title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมช.มนัญญา แก้ปัญหา 17 รร. ในจ.ระยองไม่ได้รับนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการ
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 รมช.มนัญญา แก้ปัญหา 17 รร. ในจ.ระยองไม่ได้รับนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการ รมช.มนัญญา แก้ปัญหา 17 รร. ในจ.ระยองไม่ได้รับนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการ เร่งปรับปรุงช่องโหว่หลักเกณฑ์ เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือแก้ปัญหานมโรงเรียน จ.ระยอง ร่วมกับ นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายสมพร ศรีเมือง รองผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และผู้เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รมช.เกษตร กล่าวว่า จากกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ จ.ระยอง ว่ามีโรงเรียน 17 แห่งที่ไม่ได้รับนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการนั้น ขณะนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลเอกสารแล้วแสดงถึงความไม่โปร่งใสในโควตาของผู้ประกอบการนมโรงเรียน จึงได้มีการเชิญกรมปศุสัตว์ และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ประชุมด่วนในวันนี้ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ไปดูรายละเอียดหลักเกณฑ์การจัดสรรสิทธิ์และพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียนใหม่ อาจต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในหลายๆ ประเด็นเพื่อให้รัดกุมและดียิ่งขึ้น เกิดความเป็นธรรม ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก โดยให้สอดคล้องกับมติครม. เรื่อง การทบทวนระบบการบริหารจัดการนมโรงเรียน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี 2562 ด้วย และจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอาการนมเพื่อเด็กและเยาวชน ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน และรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนและหลัง ให้มีระบบติดตามคุณภาพนม ตรวจสอบเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ตรวจสอบความพร้อมและประวัติของผู้ประกอบการ ในส่วนของระบบรายงานเรื่องการตรวจสอบคุณภาพต้องมีหน่วยกลางที่วิเคราะห์ ต้องไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็กได้ดื่มนมคุณภาพ เราต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง สำหรับการจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียน ปี 2564 ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จำนวน 6 กลุ่ม รวม 95 ราย จำนวนนักเรียน 6,951,599 คน ปริมาณสิทธิการจำหน่าย 1,039.33 ตันต่อวัน โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานโครงการฯ ดังนี้ 1. คณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน (อธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นประธาน /ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์เป็นเลขาฯ) ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน (ตามมติครม.) รวบรวมประเด็นปัญหาของหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ ประชุมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อร่างหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์ฯ และเสนอต่อคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนพิจารณา 2. คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน (ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน อธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นเลขาฯ) เห็นชอบและประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ (ตามมติครม.) 3. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนระดับกลุ่มพื้นที่ (5 กลุ่ม) รับสมัคร/จัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียนให้กับผู้ประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการ (ตามมติครม.) ติดตามการจัดทำสัญญาซื้อขายนมโรงเรียนให้ครบถ้วน (ตามมติครม.) ตรวจสอบ ติดตามและกากับดูแลโครงการ ในพื้นที่รับผิดชอบร่วมกับคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนระดับจังหวัดทุกจังหวัด 4. อสค. ทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาซื้อขายกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนทุกรายกับผู้ประกอบการ (ตามมติครม.) มอบอำนาจให้ผู้ประกอบการไปทำสัญญาซื้อขายกับหน่วยจัดซื้อ/โรงเรียน (ตามมติครม.) จัดเก็บสัญญาซื้อขายนมโรงเรียน และ 5. หน่วยจัดซื้อ/โรงเรียน จัดซื้อและทำสัญญาซื้อขายนมโรงเรียน เก็บรักษาและแจกจ่ายนมโรงเรียนให้เด็กนักเรียนดื่ม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีสัญญาณท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้น หลังจีนเริ่มเปิดเที่ยวบินไทย-จีน กำชับ เตรียมมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ช่วงครึ่งปีหลัง
วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2565 นายกฯ ยินดีสัญญาณท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้น หลังจีนเริ่มเปิดเที่ยวบินไทย-จีน กำชับ เตรียมมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ช่วงครึ่งปีหลัง นายกฯ ยินดีสัญญาณท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้น หลังจีนเริ่มเปิดเที่ยวบินไทย-จีน กำชับ เตรียมมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดี หลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน เปิดให้สายการบินสัญชาติไทย สามารถทำการบินระหว่างประเทศไทยและจีน ได้แล้วเบื้องต้น 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเริ่มจากเปิดให้ประชาชนในกลุ่มนักธุรกิจ นักเรียนและนักศึกษาก่อน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว จึงถือเป็นสัญญาณดีในการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวประเทศไทย จึงเชื่อว่าหลังจากนี้ทางการจีนจะเริ่มทยอยเปิดการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้นตามลำดับ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมความพร้อมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง ตามที่คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากหลังจากที่ไทยได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ โดยยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะในเริ่มวันที่ 1 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป จึงต้องเน้นย้ำเพื่อสร้างความรับรู้สำหรับชาวต่างชาติ พร้อมกับมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางมากขึ้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้ปัจจุบันสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยจะคลี่คลายลงมาก แต่รัฐบาลยังขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันป้องกันระมัดระวังการติดเชื้อ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและคนรอบข้าง ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยต่อนักท่องเที่ยวด้วย ว่าเมื่อเดินทางมาประเทศไทยแล้ว นอกจากจะได้รับการต้อนรับและการบริการที่ดีแล้ว ยังมีความมั่นใจว่าจะได้รับความปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ชี้แจงการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปประจำ ณ ที่ทำการบริษัท เอเชียประกันภัย ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โปร่งใส และเป็นกลาง โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชน
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564 คปภ. ชี้แจงการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปประจำ ณ ที่ทำการบริษัท เอเชียประกันภัย ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โปร่งใส และเป็นกลาง โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชน ตามที่ปรากฏเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2564 มีผู้เอาประกันภัยจำนวนหนึ่งมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยโควิด-19 ณ ที่ทำการ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 และมีให้ข่าวว่าการที่ คปภ.เข้าไปดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียน เป็นการเข้าไประงับการจ่ายเงินของบริษัท นั้น ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 มีผู้เอาประกันภัยจำนวนหนึ่งมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยโควิด-19 ณ ที่ทำการบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และมีการให้ข่าวว่าการที่สำนักงาน คปภ. เข้าไปดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียน เป็นการเข้าไประงับการจ่ายเงินของบริษัท นั้น ทั้งนี้ ขอเรียนชี้แจงว่าการเข้าไปดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ คปภ. ตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว ไม่ได้เป็นการระงับการจ่าย แต่เป็นการเข้าไปเพื่อควบคุมการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรมและเป็นไปตามกำหนดนัดที่บริษัทได้แจ้งไว้กับผู้เอาประกันภัย ซึ่งในการให้ความเห็นชอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทต้องเป็นผู้รวบรวมรายการค่าสินไหมทดแทนให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นชอบ โดยตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2564 คือวันแรกที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบบริษัทเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ได้กำชับให้บริษัทเร่งนำส่งรายการค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 คงค้างที่มีจำนวนมาก แต่จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทก็ยังส่งข้อมูลให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ครบถ้วน โดยส่งข้อมูลเพียง 2,232 ราย และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้เห็นชอบการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนครบแล้วทั้ง 2,232 ราย พร้อมทั้งได้ส่งข้อมูลรายการการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับความเห็นชอบดังกล่าวไปยังธนาคารเพื่อดำเนินการโอนเข้าบัญชีผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์แล้ว ต่อมาสำนักงาน คปภ. ได้ทราบข้อมูลในภายหลังว่า บริษัทนัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไว้กว่า 3,000 ราย ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่สำนักงาน คปภ. ได้รับรายงานจากบริษัทในครั้งแรก ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้แทนบริษัทได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เอาประกันภัยที่มาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด-19 ณ ที่ทำการบริษัท ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรายที่บริษัทยังไม่ได้นำส่งข้อมูลให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เร่งรัดให้บริษัทนำส่งรายการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนคงค้างให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นชอบการจ่ายภายในวันดังกล่าว และกำชับให้บริษัทจัดการสภาพคล่องให้เพียงพอกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่จะเกิดขึ้น จากการติดตามผู้ที่ได้รับความเห็นชอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ได้รับแจ้งจากผู้เอาประกันภัยว่าเงินได้ทยอยโอนเข้าบัญชีของผู้เอาประกันภัยที่มาเรียกร้องแล้ว “ขอยืนยันว่าการเข้าควบคุมบริษัทตามคำสั่งฯ ดังกล่าว เป็นไปเพื่อดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ และเพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสน สำนักงาน คปภ. ได้กำชับบริษัทให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสื่อสารถึงผู้เอาประกันภัยให้ถูกต้อง เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอีก นอกจากนี้ จะเพิ่มจำนวนพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อเร่งกระบวนการการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยได้สั่งการให้บริษัทนำส่งรายการค่าสินไหมทดแทนคงค้าง พร้อมจัดเตรียมเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ครบถ้วนและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ลดข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน ดังนั้น จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจกับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ คปภ. ว่าจะไม่ทำให้กระบวนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า แต่จะเป็นการช่วยให้การดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เอาประกันภัย ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46480
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปยอดใช้จ่ายตามมาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ ปี 65 ที่ทั้ง 3 โครงการ
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 สรุปยอดใช้จ่ายตามมาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ ปี 65 ที่ทั้ง 3 โครงการ ..... สรุปยอดใช้จ่ายตามมาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ ปี 65 ที่ทั้ง 3 โครงการ ได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 65 ประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4/ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2/ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 โดยมีผู้ใช้สิทธิสะสมทั้ง 3 โครงการรวม 40.95 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายสะสมทั้งหมด 70,458.8 ล้านบาท Cr. กระทรวงการคลัง #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” หนุนอุตสาหกรรมบันเทิงสร้างสรรค์ หลังผ่อนคลายมาตรการเพิ่มนักแสดงและทีมงานไม่เกิน 50 คน
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2564 วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” หนุนอุตสาหกรรมบันเทิงสร้างสรรค์ หลังผ่อนคลายมาตรการเพิ่มนักแสดงและทีมงานไม่เกิน 50 คน วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” หนุนอุตสาหกรรมบันเทิงสร้างสรรค์ หลังผ่อนคลายมาตรการเพิ่มนักแสดงและทีมงานไม่เกิน 50 คน วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” หนุนอุตสาหกรรมบันเทิงสร้างสรรค์ หลังผ่อนคลายมาตรการเพิ่มนักแสดงและทีมงานไม่เกิน 50 คน วันที่ 15 ตุลาคม 2564 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอภิชัย อร่ามศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ เรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 ที่โกดังมติชน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อส่งเสริมนโยบายสำคัญของรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) ของไทยใน 15 สาขา เช่น ศิลปะการแสดง แฟชั่น อาหารไทยและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการดำเนินการตามนโยบายของวธ. ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5F โดยเฉพาะในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ภายใต้แบรนด์ Content Thailand ด้วยการนำคุณค่าของวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ (Creative Culture) และการดำเนินกลยุทธ์ด้านการพัฒนาตลาดภาพยนตร์ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 219,000 ล้านบาท รวมทั้งติดตามผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 32) กรณีมาตรการสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ โทรทัศน์ และวีดิทัศน์ และมาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID - 19) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนดเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) นายอิทธิพล กล่าวว่า ภาพยนตร์ เรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำได้รับความสนใจและติดตามความเคลื่อนไหวจากประชาชนต่อเนื่องจากภาคแรกที่เป็นละครโทรทัศน์ เนื่องจากมีนักแสดง บทเนื้อหา เรื่องราว ที่มีคุณภาพ และใช้สถานที่ถ่ายทำที่เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นการส่งเสริมศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เอื้อต่อการขยายธุรกิจภาพยนตร์ของผู้ประกอบการของไทยสู่ตลาดต่างประเทศในอนาคต นอกจากนี้ จากการตรวจเยี่ยมกองถ่ายภาพยนตร์ เรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 พบว่ามีการให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการเป็นอย่างดี เช่น มีจุดลงทะเบียน วัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่ จุดพยาบาล ATK สำหรับการตรวจทีมงานทุก 3 วัน ทีมงานในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจะต้องมีไม่เกิน 50 คน มีการแบ่งโซนทำงานมิให้แออัด ทีมงานสวมหน้ากากอนามัยและทับด้วยหน้ากากผ้า 2 ชั้นตลอดเวลา พ่นแอลกอฮอล์ตามจุดต่างๆ ที่ถ่ายทำ และรักษา โดยมีการบริหารความเสี่ยง เมื่อพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะคัดแยกบุคคลออกจากพื้นที่และส่งตัวเข้ารับการตรวจทันที หากพบผู้ติดเชื้อ จะนำส่งสถานพยาบาล และพักการปฏิบัติงานเพื่อทำความสะอาด พ่นแอลกอฮอล์ในพื้นที่ทันที นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เอกชน สมาคมและผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) มีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญคือ การพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในประเทศ การส่งเสริมและพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย โดยการเข้าร่วมงานเทศกาลและตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในต่างประเทศในนามทีมประเทศไทย มีการเปิดการเจรจากับนักลงทุนทั่วโลกและจัดสัมมนาผ่านรูปแบบออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แม้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 วธ.ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว อีกทั้ง วธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำหนังสือแจ้งเวียนแนวปฏิบัติการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไปยังทุกจังหวัด รวมถึงผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้ถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค COVID – 19 อย่างเคร่งครัดอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ระดมวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง ให้ความรู้ ทำงานโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตามระเบียบหรือกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้ร่วมโครงการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ผู้เข้าร่วมโครงการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความผิด และเกิดความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย ต่อทั้งตัวเจ้าหน้าที่ และต่อหน่วยงาน และเพื่อให้บุคลากรมีศักยภาพและสมรรถนะสูง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาสาระการอบรมครั้งนี้เน้นครอบคลุมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีกำหนดระยะเวลาการฝึกอบรม ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ - ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕ ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ชอฟเฟอริน กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ วัฒนธรรมจังหวัด โดยได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง “การปฏิบัติราชการเพื่อขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติราชการได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย ดังนั้น การเป็นผู้บริหารยุคใหม่ จะต้องมีความรู้ความสามารถทุกด้าน มีความน่าเชื่อถือ ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานวัฒนธรรม จะมีประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัดที่จะเติบโตในตำแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม สามารถให้คำแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ช่วยกันทำประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติและขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมต่อไป” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี และนครปฐม รวม 23 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง แบ่งเป็น น้ำท่วมสูง 5 สายทาง (5 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชำรุด กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ำชี ท่านกโง่ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 2. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800) 3. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพ - หนองเรือ อำเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ำท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+150 - 4+000) 4. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลำน้ำชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+050 - 3+500) 5. สายทาง อย.5034 แยกทางหลวงชนบท อย.3006 (กม. ที่ 0+900) - บ้านดอนทอง อำเภอลาดบัวหลวง และเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 7+250) 6. สายทาง อย.3049 แยก ทล.340 (กม. ที่ 55+900) - บ้านบางตาเถร อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 8+530) ทั้งนี้ ทช. จะเร่งดำเนินแผนการฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการสัญจรของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เดินทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48378
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งกรมราชทัณฑ์ฉีดวัคซีนโควิดเข็มสอง หลังฉีดเข็มแรกครบแล้ว ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนตามมาตรฐานสาธารณสุข-หลักสิทธิมนุษยชน
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งกรมราชทัณฑ์ฉีดวัคซีนโควิดเข็มสอง หลังฉีดเข็มแรกครบแล้ว ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนตามมาตรฐานสาธารณสุข-หลักสิทธิมนุษยชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งกรมราชทัณฑ์ฉีดวัคซีนโควิดเข็มสอง หลังฉีดเข็มแรกครบแล้ว ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนตามมาตรฐานสาธารณสุข-หลักสิทธิมนุษยชน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ต้องขังว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับผู้ต้องขังไปแล้ว 212,932 คน จากผู้ต้องขังทั้งหมด 284,190 คน โดยผู้ต้องขังอีก 71,258 คน เป็นผู้ติดเชื้อโควิดที่ต้องรอการฉีดวัคซีนหลังจากที่หายแล้ว 1-3 เดือน โดยทางกรมราชทัณฑ์ได้วัคซีนจากกรมควบคุมโรคมาทั้งหมด 226,040 โดส โดยในส่วนที่เหลือได้ส่งมอบให้กับโรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อนำไปดำเนินการฉีดให้กับประชาชนต่อไป ในส่วนของการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ขณะนี้ฉีดให้กับผู้ต้องขังไปแล้ว 66,416 ราย ซึ่งวัคซีนเข็มที่สองกรมราชทัณฑ์จะได้รับจากกรมควบคุมโรค 226,040 โดส จะได้รับภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยตนได้กำชับให้กรมราชทัณฑ์นำวัคซีนแจกจ่ายให้ทุกเรือนจำเพื่อฉีดให้กับผู้ต้องขังทุกคน ซึ่งจะทำให้การควบคุมสถานการณ์โควิดภายในเรือนจำทำได้ง่ายมากขึ้น "ผมได้เร่งให้กรมราชทัณฑ์เร่งแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ทุกเรือนจำทันทีเมื่อเราได้รับวัคซีนมาจากกรมควบคุมโรค เพื่อให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในเรือนจำลดลงจนค่อยๆหมดไป เพราะจะทำให้การดูแลผู้ต้องขังเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น ตนยืนยันว่ากรมราชทัณฑ์ดูแลผู้ต้องขังทุกคนตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งผู้ต้องขังจะต้องได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็มโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ญาติพี่น้องเกิดความสบายใจต่อการดูแลของกรมราชทัณฑ์" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศหลักที่ผลิตรถยนต์ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565 ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศหลักที่ผลิตรถยนต์ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน .....
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53096
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงนามร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังในการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที 3
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงนามร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังในการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที 3 ... วันนี้ (23 สิงหาคม 2565) ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยท่านศักดิ์สยาม ชิดชอบ และ ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย.(กทท.).เร่งพัฒนาโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 นั้น กทท. จึงดำเนินการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement : MOA) ระหว่าง กทท. และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) National Telecom Public Company Limited (NT) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังในการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. และ พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ พร้อมด้วยนายบัณฑิต สาครวิศวะ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และนายสรพงษ์ ศิริพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยานฯ ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารที่ทำการ กทท. สำหรับการลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มีมติอนุมัติโครงการ พัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังในการรองรับอุปสงค์จากปริมาณตู้สินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และสนับสนุนการเป็นประตูการค้า สำหรับพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศไทย ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มพูนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนงานหนึ่ง ที่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริงประกอบกับ การท่าเรือฯ ตรวจสอบพบว่า มีระบบเคเบิลใต้น้ำใยแก้วเส้นเพชรบุรี-ศรีราชา ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อยู่ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งการท่าเรือฯ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้ประชุมหารือร่วมกันในการรื้อย้ายระบบเคเบิลใต้น้ำดังกล่าว เพื่อให้การก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเป็นไปตามที่กำหนด จนนำมาสู่การจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ เพื่อชดเชยเยียวยาการรื้อย้ายระบบเคเบิลใต้น้ำใยแก้วเส้นเพชรบุรี - ศรีราชา ในวงเงิน 250 ล้านบาท ให้แก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า กทท. เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระบบการขนส่งทางน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการลงนามในบันทึกข้อตกลง ครั้งนี้ จะเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การเชื่อมโยงพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจสู่นานาประเทศและเป็นการพัฒนาระบการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนคต อันเป็นประโยชน์ในภาพรวมของเทศ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58340
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. นำคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 ปลัดสธ. นำคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ในการปฏิบัติภารกิจดูแลประชาชนต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 วันนี้ (16 กรกฎาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ทำให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศเสมอมา ในวันนี้ ได้นำคณะผู้บริหารร่วมบวงสรวงสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประดิษฐานบนแท่นฐานเดียวกัน และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญมาสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขทั้งประเทศ ให้มีกำลังกาย กำลังใจ ปฏิบัติภารกิจต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 ได้อย่างลุล่วง ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ และดูแลพี่น้องชาวไทยทุกคนให้ปลอดภัย นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กรณีผู้ไม่หวังดีซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีความเห็นต่างมากระทำการลบหลู่นำสีมาสาดต่อพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย หยาบช้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้ชาวกระทรวงสาธารณสุขมีความรู้สึกสะเทือนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น “ความคิดเห็นขัดแย้ง เรามีช่องทางและระบบสื่อสาร รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน การกระทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะสร้างข้อแม้ของการขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้น สมเด็จพระบิดา สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทุกพระองค์มีคุณูปการ ทำประโยชน์ให้วงการแพทย์และสาธารณสุข ขอประณามการกระทำในครั้งนี้ และจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ***************************** 16 กรกฎาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43802
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยืนยันทุกฝ่ายร่วมดูแลแรงงานที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเต็มที่
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 “อนุทิน” ยืนยันทุกฝ่ายร่วมดูแลแรงงานที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเต็มที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่มอบนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดดูแลผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา พร้อมเตรียมทรัพยากร บุคลากร ยาเวชภัณฑ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่มอบนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดดูแลผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา พร้อมเตรียมทรัพยากร บุคลากร ยาเวชภัณฑ์ วันนี้ (2 กรกฎาคม 2564) ที่ศูนย์รับวัคซีนโควิด 19 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร โดยมี ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติและคณะให้การต้อนรับ นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ยังคงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้าทุกฝ่าย ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ที่มีการระบาด เพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลสนาม/เตียงไอซียู และมาตรการHome Isolation ให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวมีอาการน้อยหรือไม่มีอาการให้รักษาตัวที่บ้าน โดยมีแพทย์ดูแลใกล้ชิด สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดดูแลแรงงานและผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา พร้อมเตรียมทรัพยากร บุคลากร ยา เวชภัณฑ์ อย่างเต็มที่ ส่วนการกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆ พร้อมจัดหาเพิ่มตลอดเวลา ทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน อ้างอิงจากคำแนะนำของคณะกรรมการวิชาการที่มีมาตรฐานตามหลักวิชาการ นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจเยี่ยมในวันนี้พบมีความพร้อม ทุกขั้นตอนได้มาตรฐาน มีบุคลากรในสังกัดมาปฏิบัติงาน อาทิ จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์คณะเภสัชศาสตร์ เป็นต้น รองรับการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านระบบ “หมอพร้อม” และช่องทางของโรงพยาบาล ได้ถึงวันละ 3,000 คน ช่วยแบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข และจ.ปทุมธานี โดยฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า บุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะเร่งฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ลดความรุนแรงของโรคและลดสูญเสีย เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาขณะนี้ฉีดไปแล้วกว่า 42,500 ราย นอกจากนี้ในส่วนโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติได้ปรับพื้นที่อาคารกิตติวัฒนา ชั้น 3 เพื่อเพิ่มเตียงไอซียูสำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดง อีก 32เตียง ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมสถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์ เตรียมเปิดรับผู้ป่วยในสัปดาห์หน้า *********************** 2 กรกฎาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 509 เพศชาย อายุ 30 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดงานการจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมาตรการคู่ขนานปีการผลิต 2564/65
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 รมช.ประภัตร ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดงานการจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมาตรการคู่ขนานปีการผลิต 2564/65 รมช.ประภัตร ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดงานการจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมาตรการคู่ขนานปีการผลิต 2564/65 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมส่งมอบเงินตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและมาตรการคู่ขนาน ปีการผลิต 2564/65 ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาตลาดกลางสินค้าเกษตรสุพรรณบุรี อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เต็มพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. รมช.ประภัตร เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวฯ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และ ธนาคาร ธ.ก.ส. ที่จะให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรมาปรับปรุงและขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกระทรวงเกษตรฯ ให้เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ และเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 นั้น ได้รับการอนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 และคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 จำนวน 74,569 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.69 ล้านครัวเรือน สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 จะประกันราคาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรงตามข้อมูลทะเบียนเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านการประชุมของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงฯ งวดที่ 3 - 7 ในช่วงระหว่างวันที่ 9 – 13 ธันวาคม 2564 รวมทั้งสิ้น 3.58 ล้านครัวเรือน เป็นเงินจำนวนกว่า 64,000 ล้านบาท สำหรับในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี มีการโอนเงินให้เกษตรกร จำนวน 51,203 ครัวเรือน วงเงิน 1,064 ล้านบาท ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง และจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยกระดับราคาข้าวเปลือก ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินมาตรการคู่ขนานผ่านโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว ไม่ต้องเร่งขายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากและราคาตกต่ำ วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยไม่คิดดอกเบี้ยกับเกษตรกร เป็นระยะเวลา 5 เดือน ตั้งเป้าดูดซับปริมาณข้าวเปลือก 2 ล้านตัน ประกอบด้วย ชนิดข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 และข้าวเปลือกเหนียวอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมนักวิจัยไทย พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบพ่นจมูก ความสำเร็จของการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 นายกฯ ชื่นชมนักวิจัยไทย พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบพ่นจมูก ความสำเร็จของการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม นายกฯ ชื่นชมนักวิจัยไทย พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบพ่นจมูก ความสำเร็จของการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชื่นชมทีมนักวิจัยไทยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้การกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ผลิตผลงานที่เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 คือ 1) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบพ่นจมูก ชนิด Adenovirus-based และ Influenza-based ซึ่งผ่านการทดสอบการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพต่อการคุ้มโรคที่เกิดขึ้น ปลอดภัยไม่มีปัญหา และ 2) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้พัฒนา “NANO COVID-19 Antigen Rapid Test “ เป็นชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็ว ที่มีความไวและความแม่นยำสูงมาก สำหรับการพัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูก พบว่าการทดสอบในหนูทดลองนอกจากไม่มีอาการป่วยแล้ว ยังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น จากนี้ จะมีการยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในมนุษย์ โดยจะร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ วางแผนทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งหากได้รับอนุมัติเร็ว คาดว่าจะเริ่มทดสอบในมนุษย์เฟสแรกปลายปี 2564 นี้ และต่อเนื่องเฟส 2 ในเดือนมีนาคม ปี65 หากได้ผลดีจะสามารถผลิตออกมาใช้ได้ประมาณกลางปีหน้า ขณะที่ การพัฒนาชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็ว โดยศูนย์นาโนเทคนั้น มีจุดแข็งด้านการใช้งานที่สะดวก รวดเร็วสามารถตรวจหาตัวเชื้อได้ในเวลาเพียง 15 นาที มีความไว 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% ใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 เบื้องต้นได้ ช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR ลดค่าใช้จ่าย ลดภาระงานในระบบสาธารณสุข และทางศูนย์ฯกำลังเร่งผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามรถผลิตใช้เองได้ในประเทศ ตอบสนองความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขตามนโยบายรัฐบาล นางสาวรัชดา ยังให้ข้อมูลความก้าวหน้าของการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ใประเทศไทยด้วยว่า ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนี้ได้ทดสอบการฉีดวัคซีน “ChulaCov19” ให้กับอาสาสมัครแล้ว เพื่อศึกษาประสิทธิภาพสูงสุดของปริมาณวัคซีนที่จะสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล และทีมนักวิจัย และลำดับต่อไป จะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิก ระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดจะเริ่มต้นฉีดได้ในเดือนส.ค.นี้ “นายกรัฐมนตรีติดตามความคืบหน้าและชื่นชมในความสามารถของนักวิจัยไทย ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 คนไทยได้ผลิตผลงานที่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก แม้ยังจะต้องใช้เวลาในการทดสอบผลให้แน่ชัดอีกระยะหนึ่ง แต่ความก้าวหน้าต่าง ๆ ถือเป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพของประเทศที่เราจะสามารถลดการนำเข้าเวชภัณฑ์ เสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข และที่สำคัญ ความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนสนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการ” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt Spokesperson: PM orders immediate action against diesel price hike
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564 Govt Spokesperson: PM orders immediate action against diesel price hike Govt Spokesperson: PM orders immediate action against diesel price hike December 19, 2021, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the planned operation halt of 50% of trucks (approx. 200,000 trucks) under the Land Transportation Association of Thailand (LTFT), announced earlier, to protest against diesel price hike, and ordered Ministry of Energy to immediately seek assistance measures, taking into consideration voices of all stakeholders. According to the Government Spokesperson, the Government is well aware of the diesel price volatility. As an urgent measure, Ministry of Energy and concerned agencies have pegged diesel oil price to not over 30 Baht/liter to alleviate the plight of truck operators. As for the medium and long-term measures, the cabinet has just approved in principle a Royal Decree on the amendment of the loan limit to stabilize the domestic fuel price level, B.E. 2021, which prescribes an increase of the ceiling amount from 20 billion to 30 billion Baht. The Government would like to ask the truck operators to understand the global oil price situation which fluctuate according to the market mechanism, supply and demand. The Prime Minister has instructed Ministry of Energy and concerned agencies to closely monitor fuel prices and take immediate action when necessary to minimize the impact against people’s lives. If the LTFT trucks cease their operation, the impact will be vast. Thai economy, which is now recovering, and the festive New Year mood will be affected.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวนายกรัฐมนตรีเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊คไทยคู่ฟ้า
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 ข่าวนายกรัฐมนตรีเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊คไทยคู่ฟ้า การลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 นายกฯ ติดตามความก้าวหน้า “การจัดการศึกษา จ.ภูเก็ต” รัฐผนึกกำลังเอกชน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ - การท่องเที่ยว นายกฯ เปิดสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 ชูกลยุทธ์ “SMILES” สร้างท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ กระจายรายได้สู่ประชาชน พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อน Phuket Sandbox
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM wishes Thai people happiness and peace
วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 PM wishes Thai people happiness and peace PM wishes Thai people happiness and peace December 21, 2021, at 0845hrs, at Santi Maitri Building, Government House, prior to the cabinet meeting, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha joined Ministry of Tourism and Sports in promoting the event “Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapters” in 5 tourism provinces, i.e., Phuket, Chiang Mai, Rayong, Nakhon Ratchasima, and Phra Nakhon Si Ayutthaya. Minister of Tourism and Sports, and Governor of the Tourism Authority of Thailand (TAT) reported that the event will be held with an aim to promote domestic tourism, and generate revenues of the local people, as well as to boost public confidence on SHA-standardized tourism. The Prime Minister also made the New Year wishes for Thai people’s happiness and peace, and for everyone to overcome the COVID-19 situation together. He, then, was presented with Ministry of Culture’s promotion of activities and performances for 2022 New Year celebration, which include student performance of Khon, worldwide cross-year prayers, arts and cultural activities, cultural tourism, and the visits to creative learning sites in art, culture and history. The Prime Minister encouraged Thai students to preserve Thai culture and invited the public to join 2022 cross-year prayers. The Prime Minister also joined promotional activity for the “18th National Herb Fair and Annual Conference on Thai Traditional Medicine, Folk and Alternative Medicines”. Deputy Minister of Public Health presented him with a basket of herbal products, manufactured under the concept “Cannabis leads Thailand, Herbs Build the Nation” to elevate Thai traditional medicine, folk and alternative medicines. The Prime Minister made inquiries with interest, and advised promotion of herbs growing for household use and earnings.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมทีมนักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยสร้างชื่อให้ประเทศคว้ารางวัล 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง ในรายการ Spanish Open 2022
วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมทีมนักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยสร้างชื่อให้ประเทศคว้ารางวัล 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง ในรายการ Spanish Open 2022 “น้องเทนนิส” ฟอร์มยอดเยี่ยมได้เหรียญทอง วันนี้ (5 เมษายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมนักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งขอบคุณนักกีฬาทุกคนที่ตั้งใจฝึกซ้อมเป็นตัวแทนสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ในการแข่งขันเทควันโด Spanish Open 2022 (สเปน โอเพ่น 2022) เมืองอาลิกันเต้ ประเทศสเปน ซึ่งผลการแข่งขันนักเทควันโดไทยสร้างฝีมือให้ทั่วโลกเห็น สามารถคว้าชัยชนะมาได้ 3 เหรียญ 1 เหรียญทองจากรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 53 กิโลกรัม ผลงานของ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกปี 2020 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง โดยเหรียญเงินเป็นผลงานของ “น้องนก” พรรณนภา หาญสุจินต์ ดีกรีแชมป์เทควันโดโลกปี 2019 จากรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 57 กิโลกรัมหญิง และเหรียญทองแดงเป็นของ “น้องใบเตย” ศศิกานต์ ทองจันทร์ จากรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 62 กิโลกรัมหญิง โฆษกรัฐบาลกล่าวชื่นชมนักกีฬาทุกคน สำหรับวินัยการฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาความสามารถ เข้าร่วมแข่งขันด้วยสติและสมาธิ รวมทั้งขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องส่วนสนับสนุนนักกีฬาทุกคน และยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จจนคว้าเหรียญกลับมาให้คนไทยได้ร่วมกันภาคภูมิใจและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในระดับโลกอีกครั้ง โดยน้องเทนนิส “น้องเทนนิส” แม้จะร่วมแข่งขันในรุ่น 53 กิโลกรัม จากที่เคยแข่งรุ่น 49 กิโลกรัม ก็ยังทำผลงานได้ดีคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ จากการแข่งขันเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 “นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถและความทุ่มเทอย่างหนักของนักกีฬาทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ จนสามารถคว้าชัยชนะและเหรียญรางวัลมาถึงสามรายการ สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ทั้งยังเป็นการแสดงศักยภาพความเป็นเลิศด้านกีฬาของคนไทยให้ทั่วโลกได้รับรู้ โดยนายกฯ ขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกสอน ผู้สนับสนุนนักกีฬา หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่ช่วยผลักดันนักกีฬาไทยให้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัล ก็ขอให้กำลังใจ อย่าท้อ ซึ่งต้องขอบคุณความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกคนในการร่วมการแข่งขันในฐานะตัวแทนของประเทศ” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53295
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม 2564 การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่นกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔” ในวันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม สำหรับการประชุมในครั้งนี้ เป็นการพิจารณาผลการประเมินองค์กรคุณธรรมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามคู่มือการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙–๒๕๖๔) อีกทั้งเป็นการพิจารณาคัดเลือกองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่นกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งที่ประชุมมีมติคัดเลือกให้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่นของกระทรวงยุติธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ทั้งนี้ เมื่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับกระทรวงแต่ละกระทรวง คัดเลือกองค์กรคุณธรรมต้นแบบที่มีความโดดเด่นกระทรวงละ ๑ องค์กรแล้ว ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกระทรวงยุติธรรม จะส่งผลการคัดเลือกองค์กรต้นแบบโดดเด่นไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม โดยมี ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2565 สินค้าใหม่เพิ่มกว่า 60.3 % ระวังหน่วยเหลือขายฉุดตลาด
วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2565 สินค้าใหม่เพิ่มกว่า 60.3 % ระวังหน่วยเหลือขายฉุดตลาด รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ณ สิ้นปี 2564มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 285 โครงการ จำนวน 12,271หน่วย คิดเป็นมูลค่า42,565ล้านบาทจำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -9.1มูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -10.5มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 867หน่วย มูลค่า 2,897ล้านส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,439 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -15.6 มีมูลค่าหน่วยเหลือขายรวม 36,095 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -17.9 ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวด้านการขายพบว่ามีหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จำนวน 1,832หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4มูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 6,470ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ80.5เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดย ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราดูดซับดีขึ้นเล็กน้อย โดยปรับขึ้นจากร้อยละ 1.4 ในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.5 ในช่วงปลายปี 2564 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภายใต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในด้านอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์โดยรวมเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวเมื่อผู้ประกอบการลดการเติมอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้อัตราดูดซับเริ่มดีขึ้น โครงการเหลือขายลดจำนวนลง ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือครึ่งหลังปี 2564 ในส่วนของหน่วยเสนอขายทั้งหมด 12,271 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 42,565 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 10,113 หน่วย มูลค่า 37,272 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 2,158 หน่วย มูลค่า 5,294 ล้านบาทมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 867 หน่วย มูลค่า 2,897 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 794 หน่วย มูลค่า 2,721 ล้านบาท อาคารชุด 73 หน่วย มูลค่า 175 ล้านบาท สำหรับโครงการขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 มีจำนวน 1,832 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4 มูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 6,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ 1,524 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.6 มูลค่า 5,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.6 ในขณะที่โครงการอาคารชุดขายได้ใหม่จำนวน 308 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.4 มูลค่า 923 ล้านบาท โดยจังหวัดขอนแก่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอการขาย ณปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,706หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -6.7 คิดเป็นมูลค่า11,415ล้านบาท ลดลงร้อยละ -7.7เมื่อเทียบกับช่องเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดลดลงโดยมีจำนวน 295หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -28.2มูลค่า941ล้านบาท ลดลง -20.5โดยมีหน่วยขายได้ใหม่เพียง 599หน่วย อัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.1มูลค่าการขายได้ใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 78.4คิดเป็นมูลค่า 1,911ล้านบาท แต่ด้วยเหตุผลที่สินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลงอย่างมาก ส่งผลให้อัตราดูดซับขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7ในขณะที่จังหวัดนครราชสีมามีอัตราการเพิ่มขึ้นของโครงการขายได้ใหม่ในประเภทโครงการอาคารชุดสูงถึงร้อยละ 138.1 หน่วยเหลือขายลดลงร้อยละ -30.2ขณะที่โครงการเปิดขายใหม่ลดลงอย่างมาก แต่ทั้งนี้เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่มีจำนวนหน่วยต่ำ ส่งผลให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีอัตราดูดซับดีขึ้นอย่างชัดเจนโดยปรับเพิ่มจากร้อยละ 1.3ในครึ่งหลังปี 2563 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.2 ในครึ่งหลังปี 2564 ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยในด้านอุปทานคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.3เพิ่มจาก 2,450หน่วย ในปี 2564 เป็น 3,928 หน่วยในปี 2565 ขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6โดยหน่วยเหลือขายจะเพิ่มขึ้นจาก 10,439 หน่วย ในปี 2564 เป็น 12,795หน่วย ในปี 2565 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5โดยเพิ่มขึ้นจาก 36,095ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 43,505ล้านบาท ในส่วนของอุปสงค์คาดการณ์ว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 โดยเพิ่มจาก 3,973หน่วย ในปี 2564 เป็น 4,206 หน่วย ในปี 2565 มูลค่าการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8โดยเพิ่มจาก 12,945 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น13,560ล้านบาท ในปี 2565 ส่งผลให้อัตราดูดซับโดยภายรวมในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ยังคงทรงตัวอยู่ในอัตราร้อยละ 2.4 อย่างไรก็ดี ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2565จังหวัดหลัก คือจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ที่น่าจับตา โดยจังหวัดนครราชสีมาคาดว่าจะมีหน่วยเปิดขายใหม่จำนวน 1,917หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 106.0คิดเป็นมูลค่า 5,627ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.7โดยคาดการณ์ว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,865หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 คิดเป็นมูลค่า6,061ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1ส่วนหน่วยเหลือขายเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นโดยเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ คาดการณ์ว่าจะมีหน่วยเหลือขาย 5,960หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 คิดเป็นมูลค่า 20,978ล้านบาท ส่วนจังหวัดขอนแก่นทิศทางการขยายตัวอยู่ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นหลัก คาดว่าจะมีหน่วยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,195หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.4คิดเป็นมูลค่า 3,153ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.6มีหน่วยขายได้ใหม่ 1,151หน่วย ลดลงร้อยละ -0.3 คิดเป็นมูลค่า3,679ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0ขณะที่มีหน่วยเหลือขาย 3,274หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4มูลค่า 10,693ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 “ความเคลื่อนไหวของตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงต้องให้ความระมัดระวังในด้านการเติมสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด เนื่องจากทุกจังหวัดอัตราดูดซับยังอยู่ในระดับทรงตัว หากเติมสินค้าใหม่เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้นหน่วยเหลือขายก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และโดยภาพรวมตลาดยังคงเป็นของที่อยู่อาศัยแนวราบในกลุ่มราคาไม่สูง” ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทยร่วมหารือผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างที่ยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2565 กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทยร่วมหารือผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างที่ยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทยร่วมหารือผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 65 เวลา 15.00 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมหารือกับ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms.Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และนายเรนอว์ เมเยอร์ (Mr.Renaud Meyer) ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) โดยมี นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางจริยา ชุมพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนโยบายและแผน และร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms.Gita Sabharwal) กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) มีโครงสร้างการดำเนินงานรวม 21 องค์กรหลัก โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) เป็นหนึ่งในองค์กรหลักขับเคลื่อนนโยบายในประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปรับใช้ในการดำเนินงานในประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานภายใต้ UN และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) โดยมุ่งเน้นการทำงาน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะภูมิอากาศ 2) การเพิ่มศักยภาพมนุษย์ด้านการศึกษา และ 3) ด้านความเท่าเทียม ทั้งเชิงโครงสร้างและการป้องกันเชิงสังคม ซึ่งหนึ่งในประเด็นหลักที่ UNDP ให้ความสนใจ คือ การกำจัดความยากจน ความหิวโหย ความอดอยาก ที่พบว่ายังมีข้อมูลบางส่วนที่ต้องทำการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจะได้ทำการสำรวจข้อมูลให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และในด้านการทำเกษตรที่ยั่งยืน จะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีปริมาณผลผลิตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนร่วมกับ 43 องค์กรทางการเงินทั่วโลก เพื่อขับเคลื่อน “การเงินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” รวมถึงการดำเนินงานระบบ Telemedicine เพื่อนำเทคโนโลยีไปช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านกายภาพ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยขอขอบคุณผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย และผู้แทน UNDP ที่ให้เกียรติร่วมหารือและแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อจะได้ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับประชาชนชาวไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับนโยบายสู่ระดับการปฏิบัติในระดับพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ มีส่วนราชการระดับกรม (Department) ที่รับผิดชอบด้านการขับเคลื่อนงานตามเป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อของ UN คือ 1) กรมการพัฒนาชุมชน มีหลักการทำงานในการพัฒนาคนให้สามารถดูแลตนเองและครอบครัว สังคมได้ หรือเรียกว่า “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” เช่น การส่งเสริมการรวมกลุ่มของสตรีไทยโดยมีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นทุนให้สตรีได้รวมตัวกันทำอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว ขณะนี้มีสมาชิก 14 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาผู้มีทักษะในการประกอบอาชีพ ด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นกลุ่ม OTOP หรือโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดพลังในการรวมตัวเป็นผู้ประกอบการผลิตสินค้าจำหน่ายต่อไป ซึ่งการพัฒนาต่าง ๆ เหล่านี้ อยู่บนพื้นฐานการทำให้ทุกครัวเรือนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปทำให้คนได้พึ่งพาตนเอง อันจะเป็นส่วนช่วยป้องกันการหิวโหยหรือการอดอยาก และขณะเดียวกันช่วยทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และ 2) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการบริหารจัดการตนเองของพี่น้องประชาชนตามหลักการกระจายอำนาจ ด้วยการประสานการกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 7,848 แห่งกระจายอยู่ในทุกตารางนิ้วของประเทศได้ขับเคลื่อนผู้ดูแลพี่น้องประชาชน ตั้งแต่เกิด พัฒนาการ การศึกษา การป้องกันโรค การบริหารจัดการขยะ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นับเป็นเวลากว่า 130 ปี ที่กระทรวงมหาดไทย ได้ทำหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน ตั้งแต่มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินและเปลี่ยนการบริหารประเทศเป็นแบบสมัยใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2435 ดังนั้น ในแง่ของวัฒนธรรมองค์กรกระทรวงมหาดไทยจึงมีความผูกพันใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน โดยในขณะนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยขับเคลื่อนกลไกเพื่อตอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะด้านความยากจน หิวโหย ที่อยู่อาศัย ภายใต้ชื่อกลไก ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) โดยใช้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ในการกำหนดเป้า เพื่อพุ่งเป้าในการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งมีข้อมูลคนจากจนจำนวน 1,025,000 คน แบ่งเป็น 5 มิติ คือ การศึกษา ที่อยู่อาศัย ความยากจน สุขภาพ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ ซึ่งในขณะนี้พบว่ายังมีพี่น้องประชาชนมีสภาพปัญหาความเดือดร้อนอื่น ๆ จึงอยู่ระหว่างการสำรวจปัญหาความเดือดร้อนเพิ่มเติม เช่น ไม่มีที่อยู่อาศัย ยากจน ไม่มีเงินจะหาเลี้ยงชีพ ไม่มีทุนการศึกษา ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีไฟฟ้า-ประปา ลูกหลานติดยาเสพติด ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน แบ่งการสำรวจเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) การลงพื้นที่ (Onsite) สำรวจข้อมูลครัวเรือนโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ภายใต้การนำของนายอำเภอ และ 2) การประชาสัมพันธ์ผ่านภาคีเครือข่ายสื่อมวลชน (Online) เพื่อให้พี่น้องประชาชนแจ้งข้อมูลปัญหาความเดือดร้อนผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 เพื่อให้มีข้อมูลทุกคนที่มีปัญหาความเดือดร้อนและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ครบถ้วน นำไปสู่การจัดทีมพี่เลี้ยงลงไปวิเคราะห์ จัดทำแผนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเป็นรายครัวเรือนต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้กำหนดเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยให้ได้มีบ้านอยู่อาศัยอย่างถูกสุขลักษณะครบทุกครัวเรือน รวมทั้งจัดหารถเข็นวีลแชร์สำหรับผู้พิการเดินไม่ได้ ผู้สูงอายุ ให้ครบทุกคนโดยไม่ใช้งบประมาณของราชการ ภายในเดือนสิงหาคม 2565 “เรามีความตั้งใจร่วมกับพี่น้องประชาชนผู้ที่มีจิตใจเสียสละ ที่อยากทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น ซึ่งทาง UNDP สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ และประการสำคัญ เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้รับข้อมูลสภาพปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองครบถ้วน จะได้ร่วมกับ UNDP ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนต่อไปได้อีกทางหนึ่ง เพื่อ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคมนี้ อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ข้อที่ 1 การยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า ในด้านเป้าหมายการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อที่ 12 การสร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Ensure Sustainable Consumption and Production Patterns) และข้อที่ 13 การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น (Take Urgent Action to Combat Climate Change and Its Impacts) สมาคมแม่บ้านมหาดไทยได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่อร่วมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วยการบริหารจัดการขยะครบวงจรตามหลัก 3ช (3Rs) คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการรณรงค์ให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศรณรงค์ให้ทุกครัวเรือน จำนวน 30 ล้านครัวเรือน จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ให้ครบ 100% ในเดือนสิงหาคม 2565 นอกจากนี้ ได้น้อมนำหลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ภายใต้ชื่อ “โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล”” ขับเคลื่อนให้ประชาชนกว่า 50,000 ครัวเรือน นำหลักการทำมาหากินแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตนเองตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งภายในพื้นที่ดังกล่าว ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำ มีแหล่งกักเก็บน้ำ มีพืชอาหาร มีการเลี้ยงสัตว์น้ำ สัตว์บก และมีการฟื้นฟูป่า 5 ระดับ สูง กลาง ต่ำ เตี้ย ใต้ดิน ตามหลักการป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ 1) ป่าสำหรับเป็นอาหาร เป็นยาสมุนไพร เช่น ผลไม้ 2) นำมาสร้างบ้านที่อยู่อาศัย 3) ใช้ทำเครื่องใช้ไม้สอย โต๊ะ ตู้ เตียง 4) ทำให้โลกมีความร่มเย็น ลดภาวะโลกร้อน รวมทั้งได้น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนได้ปลูกผักสวนครัว เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร และยาสมุนไพรประจำบ้านทุกครัวเรือน อันทำให้ประชาชนมีอาหารที่ปลอดภัย และลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และน้อมนำพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการรณรงค์ให้ประชาชนสวมใส่ผ้าไทย ภายใต้ชื่อโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อให้ผู้ประกอบการทอผ้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสตรีในพื้นที่ห่างไกล ได้มีอาชีพ มีรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว จากการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย ใช้สีธรรมชาติย้อมผ้า และทอผ้า อันเป็นการพึ่งพาตนเอง ส่งผลให้เกิดความมั่นคงเรื่องเครื่องนุ่งห่ม และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ “สิ่งสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ “การพัฒนาคน” ให้คนสามารถดูแลครอบครัว สังคม ชุมชน และโลกของเราซึ่งมีแค่ใบเดียวให้มีอายุยืนยาว อยู่เป็นที่อยู่อาศัยที่ดีของลูกหลานเราตราบนานเท่านาน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีความยินดีที่จะได้สนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN ซึ่งเป็นภารกิจที่ได้ขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นต่อเนื่องอยู่แล้ว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้ UNDP กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด จะได้ร่วมกันดูแลพี่น้องประชาชนและดูแลโลกใบนี้ ซึ่งองค์ความรู้ของ UN จะเป็นประโยชน์ในการทำให้ทุกจังหวัด ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีทิศทางที่ดีในการที่จะ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 85/2565 วันที่ 16 มี.ค. 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๗ ธันวาคม ๒๕๖๔ วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔ วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา #๗ธันวาคม #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ตั้ง “บริษัทเคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) หนุนทำบ้านเช่า 100,000 หลัง ภายใน 4 ปี สำหรับกลุ่มเปราะบาง
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ครม. ไฟเขียว ตั้ง “บริษัทเคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) หนุนทำบ้านเช่า 100,000 หลัง ภายใน 4 ปี สำหรับกลุ่มเปราะบาง .... นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล เผย ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) “บริษัทเคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน)” (บมจ.เคหะสุขประชา) และเห็นชอบการปรับเพิ่มกรอบงบลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หมวดลงทุนอื่น ๆ . “บมจ.เคหะสุขประชา” เป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภาคที่อยู่อาศัย รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยในชุมชน โดยจะดำเนินการ ดังนี้ . 1.พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย โดยจัดทำโครงการบ้านเช่าฯ จำนวน 100,000 หน่วย ภายใน 4 ปี (ปี 65 - 68) . 2.รับซื้อทรัพย์สินมาบริหารการขาย โดยรับซื้ออาคารคงเหลือจาก กคช. เช่นโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น . 3.พัฒนาและบริหารชุมชน โดยจะบริหารชุมชนของโครงการบ้านเช่าฯ และรับจ้างดูแลโครงการตามแผนแม่บทฯ รวมจำนวน 200,000 หน่วย . 4.พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน (เศรษฐกิจสุขประชา) ในพื้นที่โครงการบ้านเช่า ประมาณ 330 โครงการ . 5.บริหารทรัพย์สินรอการพัฒนา Sunk cost จำนวน 94 แปลง (4,571 ไร่) . นโยบายดังกล่าวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีสถานะโสด กลุ่มครัวเรือนใหม่และกลุ่มครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (ปี 60 - 79) . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47997 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ตรวจความสำเร็จ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” พร้อมขยายผลรับนโยบายเปิดประเทศ
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ตรวจความสำเร็จ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” พร้อมขยายผลรับนโยบายเปิดประเทศ “ชัยวุฒิ” ตรวจความสำเร็จ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” พร้อมขยายผลรับนโยบายเปิดประเทศ “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เยี่ยมชมผลสำเร็จของกระทรวงฯ ที่สั่งการดีป้า สนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยว และการควบคุมโควิด ในโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เล็งต่อยอดแอปหมอชนะ หนุนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในเฟสต่อไป วันนี้ (8 ต.ค. 64) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ภูเก็ต และเยี่ยมชมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยว และการควบคุมโควิด ในโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการต่างๆ ที่เป็นการบูรณาการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำร่องขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เริ่มจากภูเก็ต ก่อนใช้เป็นต้นแบบขยายผลสู่จังหวัดอื่นๆ ที่มีความพร้อมต่อไป โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ โดย บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ในการช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีให้กับการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ เช่น ระบบติดตามบุคคลโดยการจับใบหน้า, ระบบติดตามตัวหมอชนะ, Dash Board ที่ใช้สำหรับรายงานสถานการณ์ แจ้งเตือนในระบบ Phuket Tourism Sandbox, ระบบ Shaba Plus และระบบตรวจสอบนักท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการกักตัว เป็นต้น ในโอกาสนี้ รมว.ดิจิทัลฯ ได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานศูนย์ Phuket Sandbox (ณ ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต) ซึ่งมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลของนักท่องเที่ยวและระบบติดตามตัวนักท่องเที่ยว กับด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ด่านตรวจคนเข้าเมืองทางบก ที่ด่านท่าฉัตรไชย ด่านตรวจคนเข้าเมืองทางน้ำ ที่ท่าเรืออ่าวฉลอง ท่าเรือรัษฎา และท่าเรืออ่าวปอ) ศูนย์ประสานงานโรงพยาบาลรัฐและเอกชนสถานี ตำรวจภูธรจังหวัด ตำรวจน้ำตำรวจท่องเที่ยว ศูนย์ประสานงานโรงแรม SHA Plus Manager ศูนย์ประสานงานสถานประกอบการ SHA Plus ศรชล.จังหวัดภูเก็ต สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลภาคใต้ รวมไปถึงหน่วยงานส่วนกลาง ทั้ง ศปก. ศบค. และ ศบค.มท. โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าภูเก็ต ต้องดาวน์โหลดแอปหมอชนะ เพื่อเป็นระบบติดตามตัวซึ่งจะส่งสัญญาณโลเคชั่นที่นักท่องเที่ยวอยู่ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงมายังศูนย์ฯ ทำให้ทราบว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาภูเก็ตอยู่ ณ จุดใด และหากนักท่องเที่ยวออกนอกพื้นที่ภูเก็ตระบบดังกล่าวก็จะแจ้งเตือนมายังศูนย์ฯ “เรายังขยายผลการใช้งานแอปหมอชนะ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติมจากภูเก็ต ที่ผ่านมามีการตรวจสอบมาตรการของแอปฯแล้ว จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ให้เจ้าหน้าที่ดาวน์โหลดติดตั้งแอปหมอชนะ ได้ทดสอบออกนอกพื้นที่ที่กำหนด ก็พบว่า ระบบจะแจ้งเตือนไปที่ห้องควบคุมระบบว่ามีผู้ฝ่าฝืนออกนอกพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามกลับเข้าพื้นที่ได้ ควบคู่กับการตรวจคัดกรองโควิดชาวต่างชาติก่อนเข้าพื้นที่ ระหว่างที่ท่องเที่ยวอยู่ในพื้นที่ด้วยครับ จึงทำให้มั่นใจมากขึ้นเรื่องป้องกันความเสี่ยงแพร่เชื้อ รองรับการผลักดันการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ให้เมืองไทยกลับมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลกได้เหมือนเดิม ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่” นายชัยวุฒิกล่าว ทั้งนี้ จากการที่ได้ลงมาติดตามความคืบหน้าภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ครั้งนี้ มั่นใจว่าประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเตรียมขยายจากภูเก็ต ไปยังจังหวัดใกล้เคียง คือ กระบี่ และพังงา โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ไปใช้ติดตามตัวนักท่องเที่ยวและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจว่า เราสามารถเปิดประเทศได้ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกล่าวไว้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ อีกทั้งจะนำโมเดลนี้ที่กระทรวงดิจิทัลฯ วางระบบไว้ไปใช้กับจังหวัดอื่นๆ ที่จะเปิดการท่องเที่ยวด้วย “เชื่อมั่นได้ว่า นโยบายที่รัฐบาลได้วางไว้เรื่องการเปิดประเทศทำได้สำเร็จแน่นอน ในส่วนของแอปพลิเคชันที่เรานำมาใช้ ในส่วนของการเชื่อมโยงข้อมูลกัน มีศูนย์บัญชาการที่เราจะเป็นแกนกลางในการประสานข้อมูล ประสานมาตรการต่างๆ ที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ในส่วนของมาตรการบางอย่างที่ยังไม่เหมาะสม เป็นข้อจำกัด เป็นภาระกับนักท่องเที่ยว ก็อาจพยายามลดลงไปให้ได้มากที่สุด เช่น การตรวจ RT-PCR เราก็อยากให้ลดลงมาเป็นการตรวจ ATK แทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจาก 2,600 บาทต่อครั้ง ลงมาอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อครั้ง ก็จะลดภาระของนักท่องเที่ยวได้” นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่จะมีการขยายพื้นที่ท่องเที่ยวไปหลายจังหวัดมากขึ้น อยากให้แต่ละจังหวัดมีการเชื่อมโยงข้อมูลและมาตรการให้เป็นเนื้อเดียวกัน รวมถึงทุกเเพตฟอร์ม เป็น One Country One Platform One application ควรมีการบริหารจัดการที่ศูนย์รวมที่เดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันต่อไปโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทุกจังหวัดเข้าด้วยกันให้ได้ นอกจากนี้ รมว.ดีอีเอส ยังได้เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์ IOC (Intelligence Operation Center) หรือ Command Center ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการและรวบรวมข้อมูลระดับเมืองของเทศบาลป่าตอง เป็นการขยายผลสู่ระดับจังหวัดที่ดำเนินการร่วมกับ จังหวัดภูเก็ต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน โดยศูนย์ดังกล่าวมีการนำแพลตฟอร์มจัดเก็บและบริหารข้อมูลเมือง (City data Platform: CDP) มาใช้วางแผน บริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาของเมืองที่มีความซับซ้อนให้เกิดประสิทธิภาพ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ดีป้า ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดดีอีเอส ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาแพลตฟอร์มจัดเก็บและบริหารข้อมูลเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการการทำงานกับ บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ติดตั้งกล้องซีซีทีวีบริเวณหาดป่าตอง และทุกแยกจราจร ให้ทำงานร่วมกับโซลูชันตรวจจับใบหน้า เพื่อตรวจสอบและติดตามผู้กระทำผิด และส่งการแจ้งเตือนสู่ศูนย์ฯ ก่อนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และนำไปใช้วางแผน บริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาของเมือง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ ในระยะต่อไปวางเป้าหมายการเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ตเข้าด้วยกัน เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในจังหวัด ก่อนนำไปสู่การขับเคลื่อนภูเก็ตเมืองอัจฉริยะ (Phuket Smart City) ด้านนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงโครงการ Phuket Sandbox ที่นำร่องทดสอบการเตรียมความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลประยุกต์ในการในหลากหลายมิติ รวมถึงการติดตามตรวจสอบให้นักท่องเที่ยวในโครงการอยู่ในขอบเขตและระยะเวลาที่กำหนดผ่าน Application หมอชนะ เป็นต้น “ขอชื่นชม แอปหมอชนะ ซึ่งรวมถึงการนำระบบ SHABA มาใช้ขับเคลื่อน และขอบคุณทางรัฐมนตรี และทางกระทรวงดิจิทัลที่ได้จัดสรรงบประมาณในโครงการ 5G Use Case ระบบในการคัดกรองและแจ้งเตือนสำหรับ Phuket Sandbox รวมถึงระบบ Big Data เพื่อบูรณาการข้อมูลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งนักท่องเที่ยวหรือฝั่งผู้ประกอบการแรงงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเศรษฐกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้จังหวัดภูเก็ตจะได้มีเครื่องไม้เครื่องมือในการดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลอย่างมาก” ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าว ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46757
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ผู้ติดยาเสพติด คือ ผู้ป่วย” ตั้งเป้า ขยายบริการรักษาครอบคลุมทั่วประเทศ เน้นหลักสมัครใจ - เข้าถึงง่าย
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 “ผู้ติดยาเสพติด คือ ผู้ป่วย” ตั้งเป้า ขยายบริการรักษาครอบคลุมทั่วประเทศ เน้นหลักสมัครใจ - เข้าถึงง่าย ..... คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ตั้งเป้าหมายปีนี้ จะขยายบริการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ในรูปแบบการจัดตั้งคลินิก หอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดใน รพ.สังกัดกรมสุขภาพจิต รพ.ศูนย์ รพ.ชุมชน ที่มีความพร้อม และ รพ.ทุกแห่งทั่วประเทศ ให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าถึงบริการได้ง่าย พร้อมทั้งมีระบบติดตามเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยกลับไปเสพยาซ้ำ . นอกจากนี้ ยังเห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด 6 ฉบับ และแนวทางพัฒนาระบบบำบัดยาเสพติดของประเทศ โดยสิ่งสำคัญ คือ การสร้างแนวคิดในสังคมว่า “ผู้ติดยาเสพติด คือ ผู้ป่วยที่ควรเข้าถึงการบำบัด” และใช้กลไกการรักษาแบบสมัครใจเป็นหลักในการบริหารจัดการ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องช่วยกันสร้างสังคมให้เข้มแข็ง พร้อมคืนคนดีสู่สังคมต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51285
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวแนวทางการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านทางพิเศษให้ประชาชน
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวแนวทางการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านทางพิเศษให้ประชาชน ... วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2564) เวลา 10.00 น. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวแนวทางทางการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านทางพิเศษให้ประชาชน พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล กรรมการบริหาร บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยมี นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคมและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ร่วมในการแถลงข่าว ณ อาคารสโมสรและหอประชุม กระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยประชาชนผู้ใช้บริการทางพิเศษช่วงภาวะค่าครองชีพสูงอันมีผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงขอให้ทางบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) พิจารณาให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และช่วยเหลือประชาชนโดยการออกมาตรการในการส่งเสริมการตลาดหรือชะลอการขึ้นค่าผ่านทางที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบต่อการปรับขึ้นค่าผ่านทางในช่วงดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจึงได้กำหนดแนวทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านทางพิเศษแก่ประชาชนดังนี้ 1. กรณีการปรับอัตราค่าผ่านทางทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ เป็นการปรับขึ้นทุก 5 ปี ตามสัญญา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 โดยปรับค่าผ่านทางจากอัตรา 50/80/115 บาท เป็น 65/105/150 บาท สำหรับรถประเภท 4 ล้อ รถประเภท 6 - 10 ล้อ และรถมากกว่า 10 ล้อ ซึ่งเป็นไปตามสัญญาสัมปทานการลงทุนในการออกแบบก่อสร้าง บริหาร และการบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษฯ กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดังนั้น กระทรวงคมนาคมจึงได้หารือร่วมกับ กทพ. และ BEM จนได้ข้อยุติ ซึ่ง BEM พร้อมสนับสนุนนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยจะจำหน่ายคูปองในราคาค่าผ่านทางเดิม ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 - 30 พฤศจิกายน 2565 ณ อาคารด่านทั้ง 9 แห่ง และสามารถใช้คูปองได้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 - 15 ธันวาคม 2565 ทั้งนี้ คูปองจะจำหน่ายเป็นเล่ม เล่มละ 20 ใบ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 - 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา 05.00 - 22.00 น. ณ อาคารด่านทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกฯ ทั้ง 9 ด่าน ได้แก่ ด่านฯ บางซื่อ 1 ด่านฯ กำแพงเพชร 2 ด่านฯ สะพานพระราม 7 ด่านฯ บางกรวย ด่านฯ บางพลัด ด่านฯ บางบำหรุ ด่านฯ บรมราชชนนี ด่านฯ ตลิ่งชัน และด่านฯ ฉิมพลี รายละเอียดดังนี้ - คูปองสำหรับรถ 4 ล้อ เล่มละ 1,300 บาท ราคาจำหน่าย 1,000 บาท (ประหยัดได้ 300 บาท) - คูปองสำหรับรถ 6 - 10 ล้อ เล่มละ 2,100 บาท ราคาจำหน่าย 1,600 บาท (ประหยัดได้ 500 บาท) - คูปองสำหรับรถมากกว่า 10 ล้อ เล่มละ 3,000 บาท ราคาจำหน่าย 2,300 บาท (ประหยัดได้ 700 บาท) สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ควบคุมทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกฯ โทร. 0 2555 0255 2. การขยายเวลาการให้ส่วนลดค่าผ่านทางพิเศษที่ด่านพระราม 9-1 (ฉลองรัช) ซึ่งเป็นด่านในทางพิเศษฉลองรัชที่เชื่อมต่อรับรถที่มาจากทางพิเศษศรีรัช ส่วน D ทั้งฝั่งอโศกและฝั่งศรีนครินทร์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2543 ซึ่ง กทพ. ได้มีแนวทางที่จะให้ส่วนลดค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษฉลองรัชแก่ผู้ใช้ทางพิเศษ จำนวน 10 บาทต่อเที่ยว สำหรับรถทุกประเภทที่มาจากทางพิเศษศรีรัช ส่วน D เพื่อเข้าสู่ทางพิเศษฉลองรัชที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระราม 9-1 (ฉลองรัช) โดยมีการให้ส่วนลดค่าผ่านทางตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการเป็นต้นมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้มีการเดินทางโดยใช้โครงข่ายทางพิเศษเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการช่วยลดภาระค่าผ่านทางพิเศษของผู้ใช้ทางพิเศษในการเดินทางข้ามระบบบนทางพิเศษ สำหรับในปี 2565 กทพ. ยังคงให้ส่วนลดค่าผ่านทาง จำนวน 10 บาทต่อเที่ยว จากอัตรา 40/60/80 บาท สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ รถยนต์ 6 - 10 ล้อ และรถยนต์มากกว่า 10 ล้อ เป็นอัตรา 30/50/70 บาท ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 - 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทางพิเศษ 3. การงดเว้นเก็บค่าผ่านทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่ง กทพ. เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 - 2564 เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาล และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 กระทรวงคมนาคมได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดของทางพิเศษบูรพาวิถี ให้งดจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เวลา 00.01 น. - 4 มกราคม 2564 เวลา 24.00 น. ส่วนทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีดำริในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ให้ กทพ. พิจารณายกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) (รวมทางเชื่อม) ตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 เป็นต้นมา โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางสายดังกล่าวเช่นเดียวกับทางพิเศษบูรพาวิถี เนื่องจากเป็นสายทางที่ต่อเนื่องกันเพื่อระบายการจราจร แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น สำหรับในช่วงเทศกาลวันหยุดต่อเนื่องเทศกาลปีใหม่ 2565 กทพ. จะยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ของทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ตามที่รัฐบาลประกาศวันหยุดพิเศษทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องติดต่อกัน 4 วัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน โดยจะเริ่มยกเว้นค่าผ่านทางของทางพิเศษทั้ง 2 สายทาง ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 30 ธันวาคม 2564 - เวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2565 รวมทั้งสิ้นจำนวน 5 วัน เช่นเดียวกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวงอีกด้วย (หากมีการปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางมอเตอร์เวย์ กทพ. จะปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันที่ยกเว้นค่าผ่านทางให้สอดคล้องกับกรมทางหลวงต่อไป)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินช่วยเหลือลูกหนี้ถูกผลกระทบจากโควิด-19 ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้ตามความสมัครใจต่อเนื่องถึงมีนาคม 2565
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564 ออมสินช่วยเหลือลูกหนี้ถูกผลกระทบจากโควิด-19 ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้ตามความสมัครใจต่อเนื่องถึงมีนาคม 2565 ธ.ออมสินมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างผ่อนผันชำระหนี้ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือในปี 2564 ที่ครบกำหนดผ่อนปรนชำระหนี้ในเดือน ธ.ค.2564 และยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ตามเงื่อนไขสัญญากู้เดิมได้ ขยายระยะเวลาช่วยเหลือตามมาตรการต่อไปได้อีก 3 เดือน นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ตามความสมัครใจ เพื่อช่วยเหลือและลดภาระการผ่อนชำระหนี้รายเดือน รวมถึงบรรเทาปัญหาสภาพคล่องแก่ลูกหนี้สินเชื่อทุกประเภทของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2564 แต่เนื่องปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำเนินชีวิตของประชาชน และความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ธนาคารออมสินจึงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างผ่อนผันการชำระหนี้ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือในปี 2564 ที่ครบกำหนดผ่อนปรนการชำระหนี้ในเดือนธันวาคม 2564 และยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ตามเงื่อนไขสัญญากู้เดิมได้ โดยธนาคารขยายระยะเวลาความช่วยเหลือตามมาตรการต่อไปได้อีก 3 เดือน หรือจนถึงเดือนมีนาคม 2565 ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ดังกล่าว ลูกหนี้จะต้องลงทะเบียนเพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการผ่านช่องทางเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือติดต่อที่สาขาธนาคารออมสินทั่วประเทศ และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกหนี้ ธนาคารฯ จะส่ง SMS พร้อม Link ลงทะเบียน หรือส่งข้อความผ่านแอป MyMo ให้ลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งแก้ไขปัญหาการโอนภารกิจ รพ.สต.ให้ท้องถิ่น รับฟังความเห็นรอบด้าน ดำเนินการตามความพร้อม กำชับช่วงการเปลี่ยนผ่านไม่ให้กระทบการดูแลประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 นายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งแก้ไขปัญหาการโอนภารกิจ รพ.สต.ให้ท้องถิ่น รับฟังความเห็นรอบด้าน ดำเนินการตามความพร้อม กำชับช่วงการเปลี่ยนผ่านไม่ให้กระทบการดูแลประชาชน นายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งแก้ไขปัญหาการโอนภารกิจ รพ.สต.ให้ท้องถิ่น รับฟังความเห็นรอบด้าน ดำเนินการตามความพร้อม กำชับช่วงการเปลี่ยนผ่านไม่ให้กระทบการดูแลประชาชนช่วงมีโรคระบาด วันที่ 24 มี.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ยังล่าช้าเนื่องจากติดปัญหาหลายประการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งพิจารณาแก้ไขปัญหา เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในแต่ละพื้นที่ในการกำหนดนโยบายในการดูแลตนเอง น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้หลายภารกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ไปอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งส่วนการโอนภารกิจของ รพ.สต. นั้น รัฐบาลได้มีการออกประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องหลักเกณฑ์และขั้นตอนการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผลบังคับมาตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2564 เพื่อกำหนดแนวทางการถ่ายโอนภารกิจ ทั้งในด้านงบประมาณ กำลังคน การบริหารจัดการให้มีความชัดเจน และให้ดำเนินการตามความพร้อมของแต่พื้นที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อกังวลต่อการดำเนินการตามประกาศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตีความกฎหมาย การบริหารงบประมาณและบุคลากร นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาถึงความพร้อมของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการแยกดำเนินการโอนภารกิจสำหรับจังหวัดที่มีความพร้อมก่อน ซึ่งขณะนี้ก็มี รพ.สต. เกือบ 70 แห่งทั่วประเทศที่ได้โอนภารกิจไปอยู่ในการดูแลของท้องถิ่นแล้ว เพราะหากมีการชะลอการโอนภารกิจทั้งหมดไว้ เนื่องจาก รพ.สต. ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม จะกระทบไปถึง รพ.สต.และท้องถิ่นที่มีความพร้อมไปด้วย “นายกรัฐมนตรีให้กระทรวงสาธารณสุขรับฟังข้อคิดเห็นของฝ่ายที่มีข้อกังวลไปประกอบการกำหนดแนวทางการโอนภารกิจ รพ.สต. อย่างรอบด้าน โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมถึงดูแลไม่ให้การเปลี่ยนผ่านกระทบภารกิจการดูแลประชาชนโดยเฉพาะช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจาก รพ.สต.เป็นหน่วยพยาบาลที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว ----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM pleased with Thailand’s rank in UN’s 2022 Sustainable Development Report (SDR)
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565 ​PM pleased with Thailand’s rank in UN’s 2022 Sustainable Development Report (SDR) ​PM pleased with Thailand’s rank in UN’s 2022 Sustainable Development Report (SDR) June 16, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha acknowledged the 2022 Sustainable Development Report (SDR), according to which Thailand ranks 44th out of 163 countries. Region wise, the country ranks 3rd in Asia, behind Japan (19th) and South Korea (27th), and is first among the Southeast Asian countries for 5 straight years. The Prime Minister thanked all concerned sectors and agencies for having mobilized SDGs in a tangible manner. The public sector, in particular, has constantly worked together with the private sector and civil society to integrate SDGs in the national-level development goals through synergizing the 20-Year National Strategy, and the 12th and 13th National Economic and Social Development Plans, which has led to the tangible success in Thailand’s overall score and rank in the SDR throughout these years. The 2022 Sustainable Development Report and SDG Index is compiled by Sustainable Development Solutions Network (SDSN) under the concept framework “From Crisis to Sustainable Development: the SDGs as Roadmap to 2030 and Beyond”. According to the Government Spokesperson, the Prime Minister has committed to promote the development of human capital, economy, environment, peace, and justice, as well as development partnership in accordance with the 17 SDGs. Even though Thailand’s rank drops by one notch from 43rd in 2021 to 44th in 2022, the country remains among the top-ranked countries in the region. The Government’s endeavor, to overcome obstacles and challenges to create opportunities and empower the Thai people, is in line with the 17 SDGs. The Government Spokesperson also affirmed the Government’s commitment to propel these goals, not only to achieve the SDG index, but also to promote the country’s prosperity and sustainability for everyone’s interest.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ ให้กรมราชทัณฑ์รับซื้อมังคุด ปรับเมนูนักโทษช่วยเกษตรกรเจอพิษโควิด
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ ให้กรมราชทัณฑ์รับซื้อมังคุด ปรับเมนูนักโทษช่วยเกษตรกรเจอพิษโควิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ ให้กรมราชทัณฑ์รับซื้อมังคุด ปรับเมนูนักโทษช่วยเกษตรกรเจอพิษโควิด รับลูกนายกฯ หลังประกาศกลางที่ประชุม ครม.ให้ทุกหน่วยงานร่วมกันช่วยเหลือประชาชน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือฝากมายังกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับเรื่องของปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะมังคุด ที่ในช่วงนี้กำลังมีผลผลิตออกมาจำนวนมาก ซึ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 เช่นนี้ทำให้เกษตรกรเกิดปัญหาในการนำออกจากแหล่งผลิตไปยังตลาดใหญ่ต่างๆได้ ทำให้ราคาตกเพราะไม่มีคนซื้อ ทางกระทรวงพาณิชย์จึงอยากให้กระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือ ซึ่งตนได้ตอบรับยินดีให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ เพราะกระทรวงยุติธรรมมีการซื้อขายอาหารดิบ ผักและผลไม้ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ เพื่อให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศได้บริโภคอยู่แล้ว ซึ่งเราปฏิบัติเป็นประจำในการซื้อผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ลำไย เงาะ และแตงโม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ที่ระบุในที่ประชุม ครม.ให้ทุกหน่วยงานช่วยเหลือประชาชน และกระทรวงต่างๆ ต้องประสานงานช่วยกัน ในเมื่อนายจุรินทร์และกระทรวงพาณิชย์ได้ร้องขอมา ตนจึงได้สั่งให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ สั่งทุกเรือนจำปรับเมนูอาหารในส่วนของผลไม้ให้มีมังคุดสัปดาห์ละ 3 ครั้งในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นโชคดีของผู้ต้องขังที่จะได้ลิ้มรส เพราะปกติจะไม่ค่อยมีมังคุดอยู่ในเมนูอาหาร แต่ทั้งนี้เราจะรับซื้อตามกำลังจัดซื้อได้เท่านั้น ไม่ได้รับซื้อทั้งหมด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว “เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดียังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนและนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างใกล้ชิด” นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 ถึง 4.0) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งคาดว่ารายได้เกษตรกรจะขยายตัวได้ดีตามราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของการบริโภค โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.3 ถึง 5.3) และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 8.0 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากจากปี 2564 ที่มีจำนวนเพียง 0.4 ล้านคน ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.2 ถึง 8.2) แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักเข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานที่ยืดเยื้อ สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.2 ถึง 6.2) ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศ ขณะที่บทบาทนโยบายการคลังจะยังมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูงสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในทุกภาคส่วนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง อีกทั้งยังช่วยรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ผ่านการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ร้อยละ 6.5 ต่อปี ตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่สูงขึ้นและกระจายตัวในหมวดสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมีทั้งปัจจัยสนับสนุน อาทิ 1) การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ค่อยๆ คลี่คลายลง 2) นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเดินทางมายังประเทศไทยสูงกว่าที่คาด ตามแนวทางการเปิดประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยง อาทิ 1) ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ 2) ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังอัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นต่อเนื่องและภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว 3) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต และ 4) เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศหลักและประเทศจีน ประกอบกับหากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศจีนยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) และส่งผลเชื่อมโยงไปยังภาคการผลิตและการค้าทั่วโลก ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีการติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ” สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3296 3273
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตพนักงาน JSL ปลื้ม รมว.เฮ้ง ปั้นให้เป็นบาริสต้ามืออาชีพ
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 อดีตพนักงาน JSL ปลื้ม รมว.เฮ้ง ปั้นให้เป็นบาริสต้ามืออาชีพ รมว.สุชาติ ชมกลิ่น มอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้กำลังใจอดีตลูกจ้าง JSL เข้าอบรมบาริสตามืออาชีพ ณ วิทยาลัยการแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57531
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด จัดกิจกรรม Big Cleaning Day “Smart & Safety Station”
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 บริษัท ขนส่ง จำกัด จัดกิจกรรม Big Cleaning Day “Smart & Safety Station” ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บขส. ได้ดำเนินการจัดกิจกรรม บขส. Big Cleaning Day “Smart & Safety Station” เพื่อเน้นย้ำในเรื่องความพร้อมด้านการบริการ และรองรับการเดินทางจากนโยบายเปิดประเทศ และในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ รวมทั้งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้หน่วยงานด้านขนส่งสาธารณะเตรียมความพร้อมด้านคมนาคม โดยคุมเข้มมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 มาตรการด้านความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการบริการ ทั้งนี้นับตั้งแต่ประเทศไทย มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 บขส. ได้ดำเนินการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ และหวังว่ากิจกรรมดังกล่าว จะช่วยลดความกังวลให้กับผู้โดยสารที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ หลังจากที่ทางสาธารณสุขตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” รายแรกของไทย สำหรับกิจกรรม บขส. Big Cleaning Day “Smart & Safety Station” จัดขึ้นภายใต้มาตรการ 4 พร้อม คือ สถานีพร้อม พนักงานพร้อม รถโดยสารพร้อม และการบริการพร้อม ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ทั้ง 4 แห่ง (จตุจักร เอกมัย สายใต้ใหม่และปิ่นเกล้า) และที่สถานีเดินรถของ บขส. ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการ บขส. ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลและรองรับการให้บริการประชาชนในช่วงวันหยุดยาวในเดือนธันวาคมนี้ ไปจนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety and Health Administration : SHA และ SHA Plus จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้โดยสารมั่นใจได้ว่าพนักงาน รถโดยสาร และสถานีของ บขส. มีความพร้อมในการให้บริการและได้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ ทั้งนี้สามารถจองตั๋วล่วงหน้าเดินทางกับ บขส. ได้แล้ว ผ่านทางแอปพลิเคชัน E-Ticket Website บขส. และที่ช่องขายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการ และตรวจวัดค่าระดับเสียงการเดินรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต
วันพุธที่ 15 กันยายน 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการ และตรวจวัดค่าระดับเสียงการเดินรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ด้วยเครื่องมือตรวจวัดบริเวณนอกขบวนรถไฟฟ้าขณะวิ่ง และบริเวณบ้านประชาชนผู้ร้องเรียน เพื่อหาวิธีลดผลกระทบจากเสียงที่เกิดขึ้น กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการเดินรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต นำโดย ผู้อำนวยการกองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุงทาง พร้อมเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางราง ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และผู้แทนบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ร่วมลงพื้นที่และสังเกตการณ์ โดยมีการวัดค่าระดับเสียงการเดินรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ด้วยเครื่องมือตรวจวัดบริเวณนอกขบวนรถไฟฟ้าขณะวิ่ง และบริเวณบ้านประชาชนผู้ร้องเรียน เพื่อหาวิธีลดผลกระทบจากเสียงที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังพบปัญหาการชำรุดของเครื่องนับเพลา (Axle counter) จากการถูกโจรกรรมสายไฟ ประแจขัดข้องไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงปัญหาจากการมีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตระบบราง เป็นต้น จากการหารือร่วมกันระหว่าง ขร. และ รฟฟท. ได้ดังนี้ 1. รฟท. พิจารณาดำเนินการติดตั้งกำแพงกันเสียงบริเวณที่มีชุมชน หรือที่พักอาศัยใกล้เขตทางรถไฟ เพื่อลดผลกระทบทางเสียงให้กับประชาชน และทำการตรวจวัดเสียงในปัจจุบันบริเวณพื้นที่อ่อนไหวต่อการได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผนในการแก้ไขปัญหาต่อไป 2. รฟท. พิจารณาดำเนินการปิดทางลักผ่าน/ติดตั้งรั้วกั้น/ติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติม/เพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย/ยกเลิกการจอดรถบริเวณพื้นที่ Connection trackเพื่อป้องกันผู้บุกรุกเข้ามาในเขตการเดินรถ ซึ่งมีความเสี่ยงอันตรายต่อการเดินรถ 3. รฟท. และ รฟฟท. ดำเนินการตรวจสอบสายไฟที่โดนโจรกรรม เพื่อลดผลกระทบจากการที่มีอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางจะสรุปรายงานกระทรวงคมนาคมเพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป และแจ้งผู้ร้องเรียนทราบผลการดำเนินงานในเบื้องต้นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45846
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ เนื่องจากวธ.และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้จัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกัน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ เป็นแผนปฏิบัติการฯฉบับแรกมีเนื้อหาสาระครอบคลุมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมที่ทั้งสองฝ่ายดำเนินการร่วมกันในระยะ ๓ ปีและปัจจุบันหมดอายุลงแล้ว จึงนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯเป็นเอกสารความร่วมมือทางวัฒนธรรมฉบับที่สองและดำเนินการภายใต้ความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯจะเสนอลงนามระหว่างช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วย ความร่วมมือทวิภาคี ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๔ ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล เพื่อประโยชน์ในการสานต่อความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศในทุกระดับ และทุกสาขาความร่วมมือให้มีความต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯฉบับนี้ ได้ขยายกรอบเวลาการบังคับใช้ให้มีอายุ ๖ ปี มุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยน และความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ศิลปะการแสดง วิจิตรศิลป์ และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปี พ.ศ. ๒๕๖๙ นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.ได้ดำเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ประกอบด้วย การหารือความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ นำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ โครงการสื่อสองวัฒนธรรมไทย - เวียดนาม เพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ Bilateral Culture (Thai – Viet Nam) to Creative Industryโดยเน้นศึกษาข้อมูลกลุ่มเป้าหมายชาวเวียดนามต่อสินค้า และบริการด้านวัฒนธรรมของไทย และเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในลักษณะกิจกรรมสาระและความบันเทิง (Edutainment) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network : RUN) และสนับสนุนข้อมูลโดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมเวียดนามประจำประเทศไทย จัดงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดงาน Thailand-Vietnam Gala Night: 45 Years of Friendship ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ โรงอุปรากรฮานอย โดยมีกิจกรรม เช่น นิทรรศการภาพถ่ายทางวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม การแสดงสร้างสรรค์ของกรมศิลปากร ชุดระบำมิตรมั่นใจไทย-เวียดนาม และการสนับสนุนกระทรวงการต่างประเทศในการออกแบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย เพื่อติดตั้งในสวนมิตรภาพนานาชาติ จังหวัดบั๊กนิงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในทั้งสองประเทศและนำไปสู่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเวียดนามในด้านอื่นๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว! แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2580) รองรับสังคมสูงวัยเชิงรุกทุกมิติ
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 ครม. ไฟเขียว! แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2580) รองรับสังคมสูงวัยเชิงรุกทุกมิติ ..... ที่ประชุม ครม. (19 พ.ค. 65) อนุมัติแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อใช้เป็นกรอบการทำงานเชิงรุกในการรองรับสังคมสูงวัย สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้วเมื่อปี 2564 . เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง/ เพิ่มคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ/ ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ/ รองรับสังคมสูงวัยเชิงรุก โดยการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุฯ ฉบับนี้ จะแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ แผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วนใน 5 ปีแรก (พ.ศ. 2566 - 2570) และแผนปฏิบัติการระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2566 - 2580) . อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54653 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.วรวรรณฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน เมืองแม่กลอง”
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 รปอ.วรวรรณฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน เมืองแม่กลอง” รปอ.วรวรรณฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน เมืองแม่กลอง” รปอ.วรวรรณฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน เมืองแม่กลอง” วันนี้ (27 เมษายน 2565) เวลา 09.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากจังหวัดสมุทรสงคราม ที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน เมืองแม่กลอง” โดยผลิตภัณฑ์ที่นำมาจำหน่ายได้รับการส่งเสริมพัฒนาและมีมาตรฐานจากผู้ผลิตจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีช่องทางการจำหน่าย และกระจายสินค้าที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ น้ำตาลมะพร้าว วุ้นมะพร้าว น้ำตาลสด ลูกตาลสด ปลาทูนึ่ง ขนมตาล ณ บริเวณด้านข้างอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรงข้ามธนาคารกรุงไทย) กระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564 นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564 นายกรัฐมนตรี ร่วมประชาสัมพันธ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564 และร่วมบริจาคเงินจำนวนหนึ่งสนับสนุนทางสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ ด้วย วันนี้ (3 ส.ค.64) เวลา 08.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้แพทย์หญิงสุวณี รักธรรม รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะ เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564 สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ได้จัดทำดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน “วันแม่แห่งชาติ” ออกโดยเผยแพร่และจำหน่วยเป็นประจำทุกปี โดยนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย และอีกส่วนหนึ่งสมทบกองทุนรวมใจสงเคราะห์ชุมชน เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน คนพิการ ผู้สูงอายุ และมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดแคลนทั่วประเทศด้วย โดยมีนายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามด้วยความห่วงใยถึงการดำเนินงานของสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ และการจำหน่ายดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน “วันแม่แห่งชาติ” เนื่องอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้ เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเพราะรัฐบาลได้มีการออกมาตรการต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์รวมถึงความร่วมมือด้วยดีของประชาชนจากทุกภาคส่วน และขณะนี้จำนวนผู้หายป่วยใกล้เคียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อแล้ว แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาพยาบาลของไทยยังสามารถบริหารจัดการได้ ขอให้ทุกคนระมัดระวังดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงและปลอดภัย ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่สนับสนุนในการประชาสัมพันธ์การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดทุกปี จุดประสงค์สำคัญคือเพื่อเทิดพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้งเพื่อให้ลูก ๆ เมื่อเห็นดอกมะลิแล้วได้นึกถึงพระคุณแม่ถึงแม้เชื่อว่าลูกทุกคนจะนึกถึงแม่อยู่ในหัวใจทุกวันอยู่แล้ว สำหรับขณะนี้ ได้งดการจำหน่ายดอกมะลิในที่สาธารณชนไปก่อนซึ่งก็ทำให้รายได้ลดลงบ้าง อย่างไรก็ตาม สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ พร้อมเป็นกำลังใจและสนับสนุนการทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการสนับสนุนทางอ้อม เช่น สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากโควิด-19 ด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมบริจาคเงินจำนวนหนึ่งสนับสนุนทางสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564 ด้วย -------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติ 7,590 ล้าน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 อนุมัติ 7,590 ล้าน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษา จึงเห็นชอบกรอบวงเงิน 7,590 ล้านบาทให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อใช้ในการวิจัย พัฒนาระบบหลักประกันตั้งแต่ปฐมวัยถึงการศึกษาภาคบังคับ พัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ จัดการศึกษาเชิงพื้นที่ ผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ ตลอดจนพัฒนาระบบงาน เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการดำเนินงานทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสให้ตรงกับความต้องการจำเป็นของแต่ละคน ป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาในทุกช่วงระดับชั้น “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 หมวดทางหลวงบ้านแดน แขวงทางหลวงนครสวรรค์ที่ 1 กระทรวงคมนาคม วันที่ 28 ธันวาคม 2564 เวลา 12.30 น. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 หมวดทางหลวงบ้านแดน แขวงทางหลวงนครสวรรค์ที่ 1 และปล่อยขบวนรถบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ณ จุดให้บริการประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 หมวดทางหลวงบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ และตำรวจทางหลวง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมเจ้าท่า กรมการขนส่งทางบก การรถไแห่งประเทศไทย และบริษัท ขนส่ง จำกัด ให้บริการประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เช่น ให้บริการห้องน้ำสะอาด ที่พักรถ เครื่องดื่ม ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงาน ที่ได้บูรณาการความร่วมมือ เสียสละแรงกาย เวลา เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยประชาชนตลอด 24 ชั่งโมง ในช่วง 7 วัน ตลอดเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และขอให้บริการประชาชนโดยยึดถือตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบของขวัญปีใหม่ส่งความสุขแก่คนไทยผ่านกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กราบสักการะพระพุทธรูปสำคัญ ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ-อุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศฟรี
วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 วธ.มอบของขวัญปีใหม่ส่งความสุขแก่คนไทยผ่านกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กราบสักการะพระพุทธรูปสำคัญ ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ-อุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศฟรี วธ.มอบของขวัญปีใหม่ส่งความสุขแก่คนไทยผ่านกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กราบสักการะพระพุทธรูปสำคัญ ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ-อุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศฟรี 31 ธ.ค. 2564 - 3 ม.ค. 2565 วธ.มอบของขวัญปีใหม่ส่งความสุขแก่คนไทยผ่านกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กราบสักการะพระพุทธรูปสำคัญ ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ-อุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศฟรี 31 ธ.ค. 2564 - 3 ม.ค. 2565 วันที่ 21 ธ.ค.2564 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมร่วมให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและครม.พร้อมทั้งนำชมกิจกรรมในโครงการ“ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ประกอบด้วยนิทรรศการและสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีใหม่ พุทธศักราช 2564” กิจกรรมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระนำพร บวรสถานพุทธปฏิมามงคล 2565” การแสดงผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย(CPOT) และการแสดงโขน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงต่างๆ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐดำเนินโครงการ กิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2565 ให้แก่ประชาชนนั้นในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ดำเนินโครงการ“ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.กิจกรรมทางศาสนาเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล จัดกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีใหม่ พุทธศักราช 2564” วันที่ 31 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565 ซึ่งปีนี้วธ.ได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานไฟพระฤกษ์ให้วธ.เพื่อมอบแก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศเพื่อประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี โดยส่วนกลางจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีและพิธีตักบาตรต้อนรับปีใหม่ ณ วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ และจังหวัดตัวแทนแต่ละภาคโดยภาคเหนือ ณ วัดพระธาตุดอยตุง จ.เชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี และภาคใต้ ณ วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และส่วนภูมิภาคจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีตามความพร้อมและบริบทของแต่ละพื้นที่ พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือวัดไทยและวัดต่างๆทั่วโลกจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี โดยถ่ายทอดสัญญาณภาพกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีจากส่วนกลางเชื่อมโยงกับการจัดกิจกรรมดังกล่าวในส่วนภูมิภาคและต่างประเทศผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์และช่องทางอื่นๆ อีกทั้งขอให้องค์การศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาซิกข์ เชิญชวนศาสนสถานในสังกัด จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ตามหลักศาสนบัญญัติของแต่ละศาสนา นอกจากนี้ ได้จัดทำเว็บแอปพลิเคชันสวดมนต์ข้ามปีประกอบด้วยกิจกรรมสวดมนต์ 10 วัด 10 รัชกาล เลือกวัด บทสวดมนต์และช่วงเวลาสวดมนต์ได้ และกิจกรรมไหว้พระ 10 วัด 10รัชกาล 2.กิจกรรมเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยจัดงาน “ของขวัญปีใหม่ จากใจกระทรวงวัฒนธรรม” วันที่ 25 ธันวาคม 2564 - 3 มกราคม 2565 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย กิจกรรมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระนำพร บวรสถานพุทธปฏิมามงคล 2565” อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 10 องค์ เช่น พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปประทานพร พระไภษัชยคุรุ เป็นต้น มาให้ประชาชนได้กราบสักการะ วันที่ 25 ธันวาคม 2564 – 9 มกราคม 2565 ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และกิจกรรม“เหมันต์บันเทิง รื่นเริงสังคีต” วันที่ 25- 26 ธันวาคม 2564 เวลา 17.30 - 19.30 น. ณ สนามสังคีตศาลา มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดงสี่ภาค การแสดงเบิกโรง ชุดปัญจเทพารักษ์หลักเมือง โขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามเดินป่าฆ่าตรีปักกัน และชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ วันที่ 25-26 ธันวาคม 2564 เวลา 16.00 - 20.00 น. ชมความงดงามของโบราณสถานพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า) และนำชมนิทรรศการใหม่ในอาคารต่างๆ อาทิ นิทรรศการประวัติศาสตร์โบราณคดี-ไทย นิทรรศการประณีตศิลป์ไทย และชมการสาธิตงานศิลปวัฒนธรรมและอาหารพื้นบ้าน วันที่ 25-26 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 - 18.00 น. อีกทั้งเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครฟรี วันที่ 25 ธันวาคม 2564 - 3 มกราคม 2565 และเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศฟรี วันที่ 31 ธันวาคม 2564 - 3 มกราคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า 3. กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม ส่งความสุขแบบไทย อาทิ การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ ครั้งที่ 2 Thailand Biennale,Korat 2021 “เซิ้ง...สิน ถิ่นย่าโม” วันที่ 18 ธันวาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565 ณ อ.เมืองนครราชสีมา หอศิลป์พิมานทิพย์ใน อ.ปากช่องและบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในอ.พิมาย จ.นครราชสีมา นอกจากนี้ ได้จัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด ลักษมีสีดา ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 - กันยายน 2565 จำนวน 14 ครั้งใน 4 ภูมิภาค เช่น ภาคกลาง งานเที่ยวทั่วไทย สไตล์พรีเมี่ยม ครั้งที่ 27 วันที่ 23 ธันวาคม 2564 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ชั้น 7 ทรูไอคอนฮอลล์ กรุงเทพฯ ภาคเหนือ เช่น งานฤดูหนาว วันที่ 26 ธันวาคม 2564 ณ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จ.เชียงใหม่ ภาคใต้ อาทิ งานวันอนุรักษ์มรดกไทย ณ วังเก่า - วังใหม่ จ.พัทลุง ในวันที่ 2 เมษายน 2565 ขณะเดียวกันมีกิจกรรมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของนักเรียน นักศึกษาของสถาบันการศึกษาสังกัดวธ. อาทิ กิจกรรมตลาดศิลปวัฒนธรรมคืนความสุข เช่น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม คอนเสิร์ตลูกทุ่ง การออกร้านจำหน่ายสินค้า ณ ลานหน้าคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จ.นครปฐม กิจกรรมนาฏศิลป์สุพรรณบุรีรวมใจมอบของขวัญปีใหม่คืนความสุขให้ประชาชน ได้แก่ การบรรเลง ขับร้องดนตรีไทย การแสดงนาฏศิลป์ไทย และการแสดงเพลงพื้นบ้าน ณ เวทีสุพรรณภิรมย์ อาศรมศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี รวมทั้งกิจกรรมรณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทย ส่งความสุขแบบไทย เป็นของขวัญปีใหม่โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์ CPOT ที่มีความโดดเด่นของแต่ละจังหวัดและจัดงานในรูปแบบโรดโชว์ เพื่อจำหน่าย สาธิตและจัดแสดงผลิตภัณฑ์ CPOT ที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นในพื้นที่ต่างๆ และกิจกรรมส่งความสุขปีใหม่ ออกแบบบัตรอวยพรปีใหม่ 2565 ในรูปแบบของ e-Card ประชาชนดาวน์โหลดได้ที่ www.ocac.go.th ตั้งแต่เดือนธันวาคม เป็นต้นไป 4.กิจกรรมท่องเที่ยววัฒนธรรม ท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน อัตลักษณ์ไทยสู่เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในงาน “เที่ยวทั่วไทย สไตล์พรีเมี่ยม” ครั้งที่ 27 วันที่ 23-26 ธันวาคม 2564 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม มีกิจกรรม เช่น นิทรรศการ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ“เที่ยวชุมชน ยลวิถี” การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ซึ่งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานของวธ.จัดกิจกรรมต่างๆโดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 และเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ ..... กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ทั่วโลกขณะนี้ พบผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 900 คน ใน 43 ประเทศ โดยในประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วย หลังจัดระบบเฝ้าระวัง - คัดกรองคนเดินทางจากต่างประเทศอย่างเข้มงวด พร้อมเตรียมจัดหาวัคซีนหากจำเป็นต้องใช้ ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้โรคดังกล่าวมีความเสี่ยงปานกลาง ยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินและโรคติดต่ออันตราย . ข้อมูลทางคลินิกของโรคฝีดาษวานร : - ระยะฟักตัวยาว 5 - 21 วัน (ต่างจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระยะเวลาเพียง 2 - 7 วัน) - มีไข้ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีน้ำมูก - หลังเป็นไข้ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้น กระจายที่แขนขา ลำตัว และใบหน้า - ลักษณะตุ่มมีหลายแบบตามระยะ ตั้งแต่ตุ่มแดง ตุ่มใส ตุ่มหนอง เป็นรอยบุ๋ม แห้งเป็นสะเก็ดและหลุดออก ส่วนใหญ่หายเองได้ . และขอย้ำว่า การดูตุ่มอย่างเดียวบอกไม่ได้ว่าเป็นฝีดาษวานร เพราะคล้ายกับหลายโรค จะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย RT-PCR หากประชาชนมีตุ่มขึ้นขอให้รีบเข้ารับการรักษาเพื่อวินิจฉัยโรค เข้าระบบแยกกักผู้ป่วย สอบสวนโรคต่อไป เพื่อให้ตรวจจับได้เร็ว และไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด . อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55436 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.ประภัตร ลุยอ่างทอง มั่นใจหลังของบกลาง กรมปศุสัตว์ พร้อมดูแลเกษตรกร และยับยั้งการระบาดของโรคลีมปี - สกิน อย่างเต็มประสิทธิภาพ
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 ​รมช.ประภัตร ลุยอ่างทอง มั่นใจหลังของบกลาง กรมปศุสัตว์ พร้อมดูแลเกษตรกร และยับยั้งการระบาดของโรคลีมปี - สกิน อย่างเต็มประสิทธิภาพ ​รมช.ประภัตร ลุยอ่างทอง มั่นใจหลังของบกลาง กรมปศุสัตว์ พร้อมดูแลเกษตรกร และยับยั้งการระบาดของโรคลีมปี - สกิน อย่างเต็มประสิทธิภา (วันที่ 19 มิถุนายน 2564) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ศาลาประชาคม หมู่ที่ 4 ตำบลทางพระ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae) พร้อม สาธิตการฉีควัคซีน (LSDV) ในโค - กระบือ และมอบเวชภัณฑ์อาหารสัตว์ ยารักษาสัตว์ป่วยตามอาการ ยากำจัดแมลง และหญ้าแห้งอาหารสัตว์ ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ โดยมีนายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม "ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังพิจารณาดำเนินการของบกลาง และจะนำเข้าครม. ในวันอังคารนี้ เพื่อให้กรมปศุสัตว์มีงบประมาณ ในการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 8 ล้านโด๊ส และสั่งซื้อยารักษาสัตว์ตามอาการ มุ้งสีฟ้า ยากำจัดแมลงดูดเลือด และอื่นๆ อีกนับสิบรายการเพื่อใช้ในการควบคุมโรคลัมปี – สกิน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเสนอต่ออธิบดีกรมบัญชีกลางและปลัดกระทรวงการคลังเพื่อปรับปรุงระเบียบการจ่ายเงินชดเชยกรณีโค - กระบือ เสียชีวิต โดยเรทการชดเชยใหม่จะจ่ายสูงสุดถึง 41,000 บาท/ตัว จ่ายตามจริง ไม่เกิน 5 ตัว" รมช.ประภัตร กล่าว ทั้งนี้ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอ่างทอง ได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองออกประกาศจังหวัดอ่างทอง กำหนดเขตโรคระบาดชนิดลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae) ในโคและกระบือ ในทุกพื้นที่ของจังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ปัจจุบันจังหวัดอ่างทองมีโค - กระบือ จำนวนทั้งสิ้น 18,365 ตัว พบสัตว์ป่วย รวม 964 ตัว รักษาหายแล้ว 6 ตัว ยังไม่มีโค – กระบือเสียชีวิต มีเกษตรกรได้รับผลกระทบแล้ว 60 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับเครือข่าย รับตัวคนไทยเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ณ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2565 พม. ร่วมกับเครือข่าย รับตัวคนไทยเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ณ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว พม. ร่วมกับเครือข่าย รับตัวคนไทยเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ณ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว วันที่ 15 เม.ย 65นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า วันนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกไปเป็นเหยื่อของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ณ บริเวณด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว นางสาวแรมรุ้งกล่าวต่อไปว่า การดำเนินการรับตัวกลุ่มคนไทยดังกล่าว เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วมากกว่า 10 ครั้ง มีจำนวนคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือกลับจากประเทศกัมพูชา รวมแล้วเกือบ 2,000 คน สำหรับการปฏิบัติการช่วยเหลือกลุ่มคนไทยในครั้งนี้ มีการช่วยเหลือคนไทยรวม 68 คน โดยการประสานงานของ ศูนย์พิทักษ์ เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฝ่ายไทย ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งกัมพูชา และสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งมีการดำเนินงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การช่วยเหลือกลุ่มคนไทยที่ถูกหลอกเข้ากระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของขบวนการค้ามนุษย์ นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกระทรวง พม. ได้มอบหมายผู้อำนวยการกองต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานปลัดกระทรวง พม. เข้าร่วมรับตัวกลุ่มคนไทยดังกล่าว หลังจากนั้นจะมอบหมายเจ้าหน้าที่เข้าร่วมดำเนินการ สัมภาษณ์เพื่อคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ภายหลังกระบวนการกักตัวตามมาตรการทางสาธารณสุขเสร็จสิ้น โดยหากเป็นผู้เสียหายจะมีกระบวนการติดตามช่วยเหลือ โดยหน่วยงานของกระทรวง พม. ในพื้นที่ภูมิลำเนาของผู้เสียหาย เช่น การช่วยเหลือเยียวยาผ่านเงินกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการช่วยเหลือเยียวยาอื่นๆ ตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ติดปีกให้ชีวิตคนไทย” ชูคอนเซ็ปต์ติดปีกให้ลูกค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565 กรุงไทยเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ติดปีกให้ชีวิตคนไทย” ชูคอนเซ็ปต์ติดปีกให้ลูกค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงไทย เปิดตัวแคมเปญการสื่อสารภายใต้แนวคิดใหม่ “ติดปีกให้ชีวิตคนไทย” มุ่งนำนวัตกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ๆ เสริมความแข็งแกร่งทางการเงินในทุกมิติ ติดปีกให้ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าธุรกิจ ลูกค้าบุคคล และลูกค้าองค์กร เติบโตอย่างยั่งยืน แนวคิดการสื่อสารได้พัฒนา Corporate Identity ใหม่ ด้วยการอัพเกรดโลโก้ปักษาวายุภักษ์เดิมที่เป็นที่ คุ้นเคย ให้กลายร่างเป็นปักษาวายุภักษ์เหล็ก เพื่อสื่อถึงความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งที่พร้อมจะติดปีกให้ชีวิตคนไทยพุ่งทะยานยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกกลุ่ม ซึ่งในส่วนของกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารได้พัฒนาแอปพลิเคชัน Krungthai Business ให้ตอบโจทย์ทุกโซลูชั่นการทำธุรกิจ รวบรวมฟีเจอร์เด่นขั้นเทพ มาช่วยให้การจัดการเรื่องการเงินให้เป็นเรื่อง ง่าย ครบ จบในแอปฯ เดียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าของกิจการมีเวลาเหลือในการคิดต่อยอดธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบุคคลที่มีความต้องการหลากหลาย ตามอายุและสถานะทางการเงิน ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ ที่คัดสรรมาเพื่อลูกค้าแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ อาทิ ผลิตภัณฑ์ด้านการใช้จ่าย ความคุ้มครอง และการลงทุนที่ตรงตามไลฟ์สไตล์ สำหรับกลุ่มเริ่มต้นทำงาน ผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อลดภาระและประกันสำหรับกลุ่มคนทำงานที่มีครอบครัว ผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อลดภาระและความคุ้มครอง ที่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มเตรียมตัวเกษียณ ผลิตภัณฑ์และบริการให้คำแนะนำด้านการลงทุนและธุรกิจ รวมไปถึงเอกสิทธิ์สำหรับกลุ่ม wealth ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน พร้อมกับสิทธิพิเศษที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์แต่ละบุคคล ธนาคารมุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนต่างๆ ผ่านโครงการ “กรุงไทยรักชุมชน” ส่งเสริมความรู้ทางการเงินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพื่อให้แต่ละชุมชมพึ่งพาตัวเองและเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจทุกระดับ พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านทุกแพลตฟอร์มของธนาคาร ทั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นThailand Open Digital Platform มีผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน “Krungthai Next” มีผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคน แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” มีผู้ใช้งานกว่า 1.5 ล้านร้านค้า และ “Krungthai Connext” มีผู้ใช้งานกว่า 16 ล้านคน สะท้อนถึงความเป็นผู้นำดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านการเงินของประเทศ ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ได้นำแนวคิดการสื่อสารใหม่ไปเปิดตัวในงาน Money Expo 2022 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 พฤษภาคม 2565 โดยนำเส้นสายจากธรรมชาติสร้างความพลิ้วไหวเสมือนนกที่ “สยายปีกบิน” ตามแนวคิด “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน : Empower Better Life for All Thais” ถ่ายทอดผ่านโครงสร้างสถาปัตยกรรมรูปทรงเรขาคณิตแบบสมมาตร ที่ถอดความหมายจากสมการ อันหมายถึง “ความเท่าเทียม” โครงสร้างหลักประกอบด้วยชิ้นส่วนทรงเรขาคณิตแบบสมมาตรหลากหลายทรง ยึดโยงจนกลายเป็นหลังคารูปตัว X เปรียบเสมือนปีกนกขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มชีวิตคนไทย ภายใต้สมการ X2G2X ที่มีจุดเริ่มต้นจาก ภาครัฐ เป็นเสมือนเสาหลักที่ธนาคารจะนำสมการตัวอื่นมาเชื่อมต่อผสานเข้ากับเส้นสายและโครงสร้างที่มีความสมดุลในทุกมิติ เชื่อมโยงและต่อยอดธุรกิจสร้างแรงเคลื่อนไหวพุ่งทะยานสู่อนาคตที่ดีขึ้นอย่างไม่รู้จบ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของธนาคารกรุงไทย ในการขับเคลื่อนสังคมด้วยนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำผู้บริหาร กรมประมง และสมาคมที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีเกษตรฯ นำผู้บริหาร กรมประมง และสมาคมที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย รัฐมนตรีเกษตรฯ นำผู้บริหาร กรมประมง และสมาคมที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย พร้อมนำข้อเสนอแนะกลับไปพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น มั่นใจว่าจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์รักษาราชการอธิบดีกรมประมง นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์รองอธิบดีกรมประมง และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับฟังข้อเสนอและได้มอบนโยบายแก่กรมประมงในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งทั้งระบบ ทั้งในเรื่องของต้นทุน ราคา และโรคระบาด เป็นต้น โดยมอบกรมประมงดำเนินโครงการ Shrimp Sandbox เป็นโครงการนำร่องเพื่อฟื้นฟูระบบการเลี้ยงกุ้งทะเลให้มีความยั่งยืน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้เลี้ยงกุ้งทะเล รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ระบบการตรวจสอบโรค สารตกค้าง และยกระดับมาตรฐานฟาร์ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมรับข้อเสนอดังกล่าวไว้ เพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้รับฟังแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลา โดยยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมแก้ไขปัญหาให้กับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ได้มอบหมายกรมประมงติดตามอย่างใกล้ชิดและประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางร่วมกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลชี้ สถานการณ์โควิด-19 เห็นสัญญาณดีขึ้น เผยนายกฯ จัดหาวัคซีน 140 ล้านโดสภายในปี 64 ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แนะยังต้องป้องกันตัวเองสูงสุด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2564 โฆษกรัฐบาลชี้ สถานการณ์โควิด-19 เห็นสัญญาณดีขึ้น เผยนายกฯ จัดหาวัคซีน 140 ล้านโดสภายในปี 64 ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แนะยังต้องป้องกันตัวเองสูงสุด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ โฆษกรัฐบาลชี้ สถานการณ์โควิด-19 เห็นสัญญาณดีขึ้น เผยนายกฯ จัดหาวัคซีน 140 ล้านโดสภายในปี 64 ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แนะยังต้องป้องกันตัวเองสูงสุด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อเพิ่ม วันที่ 29 ส.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยมีสัญญาณดีขึ้น ยอดผู้ป่วยที่รักษาหายสามารถกลับบ้านได้ ตัวเลขอยู่ที่สองหมื่นกว่ารายติดต่อกันเป็นเวลา 20 กว่าวันแล้ว และจำนวนผู้หายป่วยกลับบ้านนั้นมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 10 กว่าวันแล้วด้วย ถือเป็นข่าวดี ขณะเดียวกันจำนวนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็มีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขจะยังสูงอยู่ เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่แนวโน้มในระยะยาวน่าจะค่อย ๆ ลดลง ทั้งนี้ ศบค. ได้เห็นชอบกับแผนการที่เรียกว่าการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด -19 หรือ “Smart Control and Living with COVID-19” ด้วยการยกระดับป้องกันตัวเองอย่างสูงสุด การฉีดวัคซีนให้เป็นภูมิคุ้มกันหมู่ การเข้าถึงชุดตรวจ ATK การจัดสภาพแวดล้อมของกิจการให้ปราศจากโควิด (COVID-Free Setting) เป็นต้น นายธนกร กล่าวอีกว่าตามแผนการจัดหาวัคซีนนั้น ภายในสิ้นปีนี้จะมีวัคซีนจำนวน 140 ล้านโดส นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เจรจาสั่งซื้อวัคซีนจากแหล่งต่าง ๆ เพิ่มเติมต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าคนไทยจะได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี เพื่อสร้างภูมิให้พร้อมในการเปิดเรียนด้วย ซึ่งตอนนี้ ศบค. ได้นำมาตรการ Sandbox Safety Zone in School เป็นการทดลองเปิดเฉพาะโรงเรียนประจำก่อนบางแห่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับครูแล้วกว่า 573,656 คน และยังคงมีนักเรียนในระบบอีกประมาณ 4 ล้านคนจากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุข คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับวัคซีนรวมทุกประเภท 140 ล้านโดส โดยจะเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทุกคนตามเป้า 50 ล้านคน ครอบคลุม 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ทั้งบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยให้เร็วที่สุด สอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยมีอยู่ “ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ทั้งสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่ต้องตระหนักว่าเชื้อโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธ์ุ ระบาดกว้างขวาง แพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงแต่ประเทศไทย แต่เป็นวิกฤตทั่วโลก บางคนติดแล้วไม่แสดงอาการ ทำให้ไปติดครอบครัวได้ง่าย จึงขอให้คิดเสมอว่า เราอาจจะติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว และอาจจะเป็นผู้แพร่เชื้อได้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนยกระดับการป้องตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ต้องระมัดระวังสูงสุด ออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ แยกของใช้ส่วนตัว ทานอาหารปรุงสุก หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงต้องรีบตรวจด้วย ATK ขอให้ทุกคนอดทน เพื่อช่วยกันลดโอกาสการติดเชื้อเพิ่ม นำไปสู่การฟื้นฟูประเทศต่อไป” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้น “พลิกโฉมประเทศไทย” สร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (Unicorn) ทั่วประเทศ รับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศของ วปอ. รุ่นที่ 63 เตรียมความพร้อมประเทศรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล
วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 นายกรัฐมนตรีเน้น “พลิกโฉมประเทศไทย” สร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (Unicorn) ทั่วประเทศ รับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศของ วปอ. รุ่นที่ 63 เตรียมความพร้อมประเทศรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล นายกรัฐมนตรีเน้น “พลิกโฉมประเทศไทย” สร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (Unicorn) ทั่วประเทศ รับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศของ วปอ. รุ่นที่ 63 เตรียมความพร้อมประเทศรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลสู่อนาคต วันนี้ (8 ก.ย.64) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานรับฟังแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63 วิทยาลัยเสนาธิการทหาร วิทยาลัยการทัพของทั้งสามเหล่าทัพประจำปีการศึกษา 2563 ผ่านระบบ Virtual Presentation โดยคณะนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 63 ได้จัดทำข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้ความสำคัญใน 2 มิติ คือ มิติความมั่นคง มุ่งเน้นการบริหารจัดการความมั่นคง เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และ 2. มิติการพัฒนาประเทศ มุ่งเน้นการปรับตัวให้มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้มีการสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความสุข และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัฐบาลได้นำมาปรับเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อเป็นรากฐานให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล สังคมเข้มแข็ง เติบโตได้ด้วยนวัตกรรมในระยะยาว นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยสถาบัน IMD ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 28 จากทั้งหมด 64 ประเทศ มีอันดับที่ดีขึ้นจากปีที่แล้ว การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจโดยธนาคารโลก ไทยอยู่ในอันดับที่ 21 จาก 190 ประเทศ จากเดิมที่อยู่อันดับที่ 27 ในปีที่แล้วโดยเป็นอันดับที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลในการเดินหน้ายกระดับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ก้าวหน้าในระดับสากลอย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการผลักดันการพัฒนา 3 ประการ เพื่อสร้างโอกาสประเทศไทย ได้แก่ 1) เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของประเทศให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง จัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งในอนาคต “ข้อมูล” จะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าและมีความสำคัญไม่ต่างจากทรัพยากรอื่น ๆ 2) เร่งสร้างความแข็งแกร่งจากเศรษฐกิจภายในประเทศ กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจลงไปในระดับพื้นที่ เพิ่มสัดส่วนของเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้น ภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) และ 3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ และต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร พัฒนา และขับเคลื่อนประเทศ เพื่อเชื่อมโยงประชาชนให้เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการอย่างแท้จริง ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงการเตรียมความพร้อมประเทศ เผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ โดยความปกติใหม่จะถูกแทนที่ด้วย “ความปกติถัดไป หรือที่เรียกว่า Next Normal” ดังนั้น ต้องใช้โอกาสนี้ “พลิกโฉมประเทศไทย”ยกระดับเศรษฐกิจประเทศไทยให้มีธุรกิจที่มูลค่าสูงเกิดขึ้น (Unicorn) ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และขยายไปยังนานาประเทศด้วย นายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศฯ วปอ. รุ่นที่ 63 ตรงกับนโยบายที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว และพร้อมจะรับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศฯ วปอ. รุ่นที่ 63 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมพร้อมประเทศรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลสู่อนาคต ​ --------------- กลุ่มประชาสัมธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม สั่งกองทัพ ระดมกำลังพล – เครื่องมือช่าง เร่งช่วยเหลือ
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 นายกฯ ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม สั่งกองทัพ ระดมกำลังพล – เครื่องมือช่าง เร่งช่วยเหลือ .... พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบกับประชาชนต่อเนื่องเป็นวงกว้าง จึงได้ย้ำสั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศ พร้อมทั้งระดมเครื่องมือช่างและกระจายกำลังลงไปสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 27 จังหวัด ให้ครอบคลุมและทั่วถึง . ตั้งแต่ 23 ก.ย. 64 จนถึงปัจจุบัน ทุกเหล่าทัพได้จัดกำลังพล เครื่องมือช่างและยุทโธปกรณ์ กระจายลงพื้นที่ ช่วยเหลือประชาชน ตั้งแต่ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง เคลื่อนย้ายเด็ก คนชราและผู้ป่วยไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ แจกจ่ายถุงยังชีพ ขุดลอกคูคลองเปิดเส้นทางระบายน้ำ การจัดรถอำนวยความสะดวกในการสัญจร และรถครัวสนามประกอบอาหารแจกจ่ายผู้ประสบภัย เป็นต้น . กรณีที่ยังมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ในทุกหน่วยทหารในพื้นที่ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Japanese private sector expresses appreciation on successful implementation of Factory Sandbox scheme
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 Japanese private sector expresses appreciation on successful implementation of Factory Sandbox scheme Japanese private sector expresses appreciation on successful implementation of Factory Sandbox scheme February 8, 2022, at 0830hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Minister of Labor Suchart Chomklin led Mr.Tetsu Shiozaki, President of NMB – Minebea Thai Ltd., and the delegation to meet with Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows: Minister of Labor reported to the Prime Minister that president and executives of NMB – Minebea Thai Ltd. would like to expressed appreciation on the Government’s policies which have supported the company’s continuous operation in Thailand. The Prime Minister was pleased to meet with the company’s president and executives, and stated that the Thai Government has placed importance on industrial sector which is crucial to the development of Thai economic sector. During the COVID-19 situation, the “Factory Sandbox” scheme has been implemented to ensure that the industrial sector continue to operate and run their business for the country’s economic recovery. The Government also aims to promote Low carbon society through achieving Carbon Neutrality by 2050 and Net Zero Greenhouse Gas Emission by 2065. President of NMB – Minebea Thai Ltd. expressed appreciation toward the Thai Government for implementing policies to facilitate foreign private sector’s business operation. Under the Factory Sandbox scheme, not only that all employees have been vaccinated, the company could also operate at full capacity, and constantly export key industrial parts, including medical equipment, from Thailand to various countries around the world. The company is confident in the Thai Government’s policy and Thailand’s investment potential, with its stable industrial sector, and strong and resilient supply chain. Among the countries the company has invested in, Thailand is the only country where the company does not have to lay off the employees during the COVID-19 situation. MinebeaMitsumi, Inc. has also chosen Thailand as investment base for its new project, worth over 3 billion Baht. The new factory will focus on green manufacturing and aims toward Carbon Neutrality to be in line with Thailand’s BCG economic model and Japan’s Green Growth Strategy. The company is also interested in increasing cooperation with the Thai Government, especially in human resource development.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51358
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เร่งขยาย ทล.4009 สายสุราษฎร์ธานี - อ.อ่าวลึก ตอน บ.ซอยสิบ - อ.บ้านนาสาร เป็น 4 ช่องจราจร
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 กรมทางหลวง เร่งขยาย ทล.4009 สายสุราษฎร์ธานี - อ.อ่าวลึก ตอน บ.ซอยสิบ - อ.บ้านนาสาร เป็น 4 ช่องจราจร เพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัย หนุนเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยวไทย คืบหน้ากว่า 50% คาดแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2566 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้กรมทางหลวง (ทล.) ขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงและมาตรฐานความปลอดภัยในเส้นทางพร้อมได้ติดตามและเร่งรัดให้ดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จทันตามกำหนด รวมทั้งให้เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 4009 สาย สุราษฎร์ธานี - อำเภออ่าวลึก ตอน บ้านซอยสิบ - อำเภอบ้านนาสาร ให้มีขนาด 4 ช่องจราจรในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อยกระดับโครงข่ายคมนาคม รองรับปริมาณการจราจรให้ผู้ใช้เส้นทางเดินทางด้วยความสะดวกรวดเร็วปลอดภัย ช่วยเสริมศักยภาพกระจายความเจริญด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล ทล. โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ขานรับนโยบายดังกล่าวเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4009 สาย สุราษฎร์ธานี - อำเภออ่าวลึก ระหว่าง กม. ที่ 18+000 - 41+000 ระยะทางรวม 23 กิโลเมตร โดยจุดเริ่มต้นโครงการอยู่ในพื้นที่ โรงเรียนบ้านซอยสิบ ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี สิ้นสุดที่ อำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยขยายจากช่องจราจรเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไปกลับข้างละ 2 ช่องจราจร) ผิวทางเป็นแอสฟัลต์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางชนิดเดียวกับผิวทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร ด้านในกว้าง 0.70 เมตร และก่อสร้างบริเวณทางแยกผิวทางเป็น Concrete Pavement หนา 25 เซนติเมตร ผิวจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร มีเกาะกลางแบบยก (Raised Median) และแบ่งช่องจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีตแบบฐานแผ่สองด้าน (Barrier Type II) รวมงานก่อสร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลอง 6 แห่ง และก่อสร้างศาลาทางหลวงในบริเวณสองข้างทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจำนวน 21 แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดสายรวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยต่าง ๆ ตามมาตรฐานกรมทางหลวง งบประมาณโครงการ 1,113.164 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 50 % คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือน พฤษภาคม ปี 2566 ทั้งนี้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4009 สายสุราษฎร์ธานี - บรรจบทางหลวงหมายเลข 4 (อ่าวลึก) มีจุดเริ่มต้นจากสี่แยกแสงเพชร อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตัดขึ้นไปทางใต้ผ่านอำเภอบ้านนาสาร อำเภอเวียงสระ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอปลายพระยา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่สิ้นสุดที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 มีความยาวประมาณ 145 กิโลเมตร โดยเส้นทางอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 114 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัดกระบี่ประมาณ 31 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมไปสู่จังหวัด พังงา ภูเก็ต และผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น ถ้ำขมิ้น อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ฯลฯ โครงการดังกล่าวหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมให้สมบูรณ์ เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มสูงขึ้น ยกระดับความปลอดภัยทางถนน ช่วยอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในการเดินทาง เนื่องจากโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสายหลักที่สำคัญในการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงสายหลักเพื่อช่วยกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคต ศก.ภูมิภาคเดือน พ.ย.2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเกือบทุกภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคตทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการโดยเฉพาะภาคใต้ ภาคตะวันตก และภาคเหนือ “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนพฤศจิกายน 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเกือบทุกภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคตทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการโดยเฉพาะภาคใต้ ภาคตะวันตก และภาคเหนือ จากนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนพฤศจิกายน 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเกือบทุกภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคตทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยเฉพาะภาคใต้ ภาคตะวันตก และภาคเหนือ จากนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ปรับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 73.0 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรม จากยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 70.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าความต้องการสินค้าเกษตรจะเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับเข้าสู่ฤดูกาลทำการประมง และมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการเนื่องจากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวในประเทศมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 69.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากมียอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาคบริการ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการทัวร์เที่ยวไทย ทำให้ผู้ประกอบการภาคบริการทยอยกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบอีกครั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ 68.8 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากจะเข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ทุเรียน และมังคุด เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 67.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นภาคบริการที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน สำหรับความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีแนวโน้มคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางอยู่ที่ระดับ 66.8 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคบริการ เนื่องจาก โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความมั่นใจในการผลิตเพิ่มขึ้น จากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของกทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ 54.2 ยังแสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มียอดคำสั่งซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรกรรม เนื่องจากคาดว่าความต้องการสินค้าเกษตรของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทอาหารทะเล ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2564 (ณ เดือนพฤศจิกายน 2564) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 54.2 68.8 67.5 73.0 66.8 69.9 70.6 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 56.9 74.6 63.2 64.0 64.2 65.1 79.3 2) ภาคอุตสาหกรรม 62.6 74.7 70.7 76.2 67.1 82.0 63.7 3) ภาคบริการ 56.0 62.9 72.4 82.9 72.4 69.6 73.2 4) ภาคการจ้างงาน 50.8 64.9 63.7 70.1 64.9 66.0 66.3 5) ภาคการลงทุน 44.6 66.9 67.2 71.9 65.2 66.7 70.6 สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48844
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัว โครงการดนตรี ความรัก และครอบครัว My Music My Love & My Family พร้อมดึงอาจารย์ เทวัญ สอนเด็กเล่นแซกโซโฟน สานสัมพันธ์ครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 พม. เปิดตัว โครงการดนตรี ความรัก และครอบครัว My Music My Love & My Family พร้อมดึงอาจารย์ เทวัญ สอนเด็กเล่นแซกโซโฟน สานสัมพันธ์ครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19 พม. เปิดตัว โครงการดนตรี ความรัก และครอบครัว My Music My Love & My Family พร้อมดึงอาจารย์ เทวัญ สอนเด็กเล่นแซกโซโฟน สานสัมพันธ์ครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 64เวลา 13.30 น. ณ มูลนิธิบ้านพระพร ชุมชนบึงพระราม 9 ถนนริมคลองลาดพร้าว เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการดนตรี ความรัก และครอบครัว (My music My Love & My Family)โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กล่าวรายงานเกี่ยวกับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวด้วยความรัก ความอบอุ่น ที่สมาชิกได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณภาพและทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ร่วมกัน ด้วยการจัดกิจกรรมสอนดนตรีสากล แซกโซโฟน ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก เยาวชน และครูผู้สอนดนตรีในมูลนิธิบ้านพระพร ได้สามารถต่อยอดทักษะ ความรู้จากพื้นฐานการเป่าขลุ่ยไปสู่การเป่าแซกโซโฟโดยมีนักเป่าแซกโซโฟนระดับตำนาน อาจารย์เมธวัชร์ (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร ให้เกียรติมาร่วมแบ่งปันและถ่ายทอดทักษะ ความรู้ เทคนิคพิเศษ และประสบการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ ตนได้มอบแซกโซโฟนของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน และมอบเงินสนับสนุน200,000 บาท จากภาคเอกชน สำหรับการซื้อแซกโซโฟนเพิ่มอีก 8 ตัว พร้อมทั้งมอบเสื้อโครงการฯ และเลี้ยงอาหารกลางวัน อีกทั้งมีการมอบชุดของขวัญสำหรับเด็ก จำนวน 100 ชุด จากกรมกิจการเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ มีครูรัก-ศรัทธาศรัทธาทิพย์ นักแสดง ผู้กำกับละครชื่อดัง และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน นายจุติกล่าวว่า ดนตรีสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน และให้ความรักอย่างไม่มีพรหมแดน ซึ่งการอยู่ร่วมกันผ่านการสื่อสารทางดนตรีเป็นสิ่งที่ดีที่สุด กระทรวง พม. จะสร้างคนให้มีจิตใจอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ เป็นคนที่มีจิตใจสร้างสรรค์ทั้งดนตรีและศิลปะ โดยเราจะเป็นผู้ให้ วันนี้ ได้ให้คำมั่นสัญญาใจว่าจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ทุกคนจะมาช่วยกันสร้างฝันและสร้างคน ซึ่งกระทรวง พม. มูลนิธิบ้านพระพร และภาคเอกชน จะทำงานร่วมมือกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากของสังคมไทยในการเป็นผู้ให้ เราจะสร้างโอกาสเพื่อเติมเต็มให้กับคนที่ขาดโอกาส ซึ่งดนตรีจะเป็นเพื่อน เป็นความรัก เป็นความหวังให้กับทุกคน และขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยสนับสนุนให้โครงการนี้เกิดขึ้นมาได้ นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ เราได้รับเกียรติจาก อาจารย์เมธวัชร์ (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร เป่าแซกโซโฟน ร่วมกับเด็กๆ ที่เล่นเครื่องดนตรี ทั้งขลุ่ย ฟรุ๊ต แซกโซโฟน และไวโอลินพร้อมร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น สร้างความซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมาก โดยโครงการนี้ มีการอบรมให้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเป่าแซกโซโฟน ทุกวันเสาร์ เวลา 13.00
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ประกาศ 7 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบ “พายุมู่หลาน” ลดเงินงวด 50% ลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ ปลอดหนี้บางส่วน จ่ายสินไหมเร่งด่วน!!
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2565 ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ประกาศ 7 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบ “พายุมู่หลาน” ลดเงินงวด 50% ลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ ปลอดหนี้บางส่วน จ่ายสินไหมเร่งด่วน!! หลังจากประเทศไทยต้องประสบกับ “พายุมู่หลาน” ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ ธอส. จัดทำ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ ปี 2565” (กรอบวงเงินรวม 1,000 ล้านบาท) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก “พายุมู่หลาน” ที่ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกด้วย “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2565” 7 มาตรการ ประกอบด้วย 1.ลดเงินงวด 50% จากเงินงวดปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน 2.ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 1 ปีแรก 3.ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน และคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี 6 เดือน ไม่ต้องชำระเงินงวด 4.ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก ผ่อนเงินงวดเพียง 1,000 บาท 5.กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6.ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร และ 7.พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย จ่ายตามความเสียหายจริงรวมทุกภัยธรรมชาติสูงสุด 30,000 บาทต่อปี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากประเทศไทยต้องประสบกับ “พายุมู่หลาน” ที่ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก สร้างผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย และการประกอบอาชีพของประชาชน ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยการจัดทำ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ ปี 2565” (กรอบวงเงินรวม 1,000 ล้านบาท) โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่อยู่ระหว่างการใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว(MRR -0.50%, MRR -1.00% หรือ MRR เป็นต้น) กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) ของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติสามารถขอลดเงินงวด 50% จากเงินงวดที่ชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้ากู้ใหม่ หรือลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย วงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3% ต่อปี นาน 1 ปี ปีที่ 2 – 3 อัตราดอกเบี้ย MRR –3.15% ต่อปี(ปัจจุบันเท่ากับ 3% ต่อปี) และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR -1% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR – 0.50% ต่อปี พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้องให้ทั้งหมด ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้ทุกกรณีหลังจากนิติกรรมแล้วในรายการที่เกี่ยวข้อง มาตรการที่ 3 ลูกค้าสถานะ NPL ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก และไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 7-18 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้ มาตรการที่ 4 ลูกค้าสถานะ NPL ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก และผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาท (ตัดเงินต้นทั้งหมด) จากนั้นเดือนที่ 7-12 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน บวกอีก 100 บาท และเมื่อผ่อนชำระครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกค้ากลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้ มาตรการที่ 5 ลูกค้าสถานะบัญชีปกติและสถานะ NPL ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือ (พิจารณาเป็นรายกรณี) มาตรการที่ 6 ลูกค้าสถานะบัญชีปกติและสถานะ NPL หากที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น (พิจารณาเป็นรายกรณี) มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความ เสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการตามมาตรการที่ 1-6 สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 และมาตรการที่ 7 ติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และเว็บไซต์ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุน “การใช้ Digital Health Pass บนหมอพร้อม เพื่อการเดินทางในกลุ่มประเทศ EU”
วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ดีอีเอส หนุน “การใช้ Digital Health Pass บนหมอพร้อม เพื่อการเดินทางในกลุ่มประเทศ EU” ดีอีเอส หนุน “การใช้ Digital Health Pass บนหมอพร้อม เพื่อการเดินทางในกลุ่มประเทศ EU” เมื่อวันที่10กุมภาพันธ์2565นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ร่วมงานแถลงข่าวเรื่อง“การใช้Digital Health Passบนหมอพร้อมเพื่อการเดินทางในกลุ่มประเทศEU”โดยมีนายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เป็นประธานฯพร้อมด้วยดร.สาธิตปิตุเตชะรัฐมนตรีช่วยฯสธ.นายธานีทองภักดีปลัดกระทรวงต่างประเทศร่วมแถลงข่าวณห้องประชุมชัยนาทนเรนทรชั้น2อาคาร1สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในการนี้ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวย้ำว่ากระทรวงฯได้ร่วมพัฒนาระบบหลังบ้านกับกระทรวงสาธารณสุขสำหรับเอกสารที่เกี่ยวกับโควิด19ตามมาตรฐานสหภาพยุโรปซึ่งเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนับเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาพัฒนาระบบเอกสารรองรับเป็นการขับเคลื่อนDigital Transformationในช่วงการระบาดของโรคโควิด19ที่ช่วยพัฒนามาตรฐานของข้อมูลและยกระดับระบบข้อมูลของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลซึ่งจะเป็นประโยชนต่อการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยในอนาคต สำหรับระบบเอกสารรับรองเกี่ยวกับโควิด19ที่พัฒนาขึ้นดำเนินการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางไซเบอร์มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหน่วยบริการสุขภาพที่ประชาชนเข้ารับบริการมีการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์กำกับในเอกสารรับรองทุกฉบับโดยใช้เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ(Public Key InfrastructureหรือPKI)เพื่อเข้ารหัสลับในการลงลายมือชื่อสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงและป้องกันการปลอมแปลงได้มีการจัดเก็บหลักฐานการออกเอกสารรับรองด้วยเทคโนโลยีBlockchainเพื่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือซึ่งกระบวนการทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์(สพธอ.)หรือETDA *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.สธ.ติดตามการฉีดวัคซีนบุคลากรทางการศึกษาวันแรกของจ.สระบุรี
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564 เลขานุการ รมว.สธ.ติดตามการฉีดวัคซีนบุคลากรทางการศึกษาวันแรกของจ.สระบุรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมจุดฉีดวัคซีนโควิด19 บุคลากรทางการศึกษาวันแรกที่ อ.หนองแค สระบุรี พร้อมติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอสระบุรี หลังพบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน วันนี้ (29 มิถุนายน 2564) ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 4 ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีนโควิด19 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอหนองแค โดยในวันนี้โรงพยาบาลหนองแคได้นัดหมายกลุ่มผู้ลงทะเบียนจากระบบหมอพร้อม และกลุ่มบุคลากรทางการศึกษาในอำเภอหนองแคเข้ารับการการฉีดวัคซีนจำนวนกว่า 500 คนหลังจากนั้นเดินทางไปติดตามการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคโควิด19ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี นายวัชรพงศ์ กล่าวว่าได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้มาติดตามการฉีดวัคซีนในพื้นที่ จ.สระบุรี โดยวันนี้เป็นวันแรกที่ จ.สระบุรีเริ่มฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 700 คน ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดและหอประชุมที่ว่าการอำเภอหนองแค เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้ รอการประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทั้งนี้ จ.สระบุรี มีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับวัคซีน 603,794 คน ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แล้ว 50,656 คน เฉพาะบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 6,600 คน ต้องขอบคุณผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายอำเภอและผู้เกี่ยวข้อง ที่ได้บริหารจัดการการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายตามนโยบายของ ศบค. โดยในเดือนนี้ได้เร่งรัดฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรังที่ลงทะเบียนไว้ รวมทั้งกลุ่มอื่น ๆ ตามความจำเป็น เช่น กลุ่มครู และขอให้ประชาชนมั่นใจในวัคซีนที่รัฐบาลนำมาให้บริการ นายวัชรพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีมีแรงงานจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอส พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมเพื่อรับฟังแนวทางการควบคุมป้องกันโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข โดยแรงงานแห่งนี้ มีพนักงาน 2,914 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติจำนวน 1,481 คน พบผู้ติดเชื้อสะสม ตั้งแต่ 25-27 มิถุนายน จำนวน 126 คน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เข้าไปดำเนินการสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัส ให้ปิดโรงงานเพื่อปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและทำความสะอาดตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน พร้อมกักกันโรคผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน โดยโรงงานได้จัดหอพักเป็นสถานที่กักกันตัวตามมาตรการBubble&seal ในแรงงานต่างชาติทั้งหมด ส่วนแรงงานคนไทยมีบางส่วนสมัครใจเข้ามาตรการ Bubble&seal มีบางส่วนเข้าระบบกักตัวตามภูมิลำเนา ส่วนผู้ติดเชื้อทั้งหมดนำเข้ากระบวนการรักษาตามระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “หลังได้รับการร้องเรียนจากพนักงานในโรงงานที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากแต่ยังไม่ปิดคนงานหลายคนมีความกังวลใจมาก จึงได้นำทีมเข้ามารับฟังและวางแผนควบคุมป้องกันโรคร่วมกันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อพนักงานและให้กิจการเดินหน้าไปได้ โดยเสนอให้โรงงานปิดต่อเนื่องอีกประมาณ 3 วัน เพื่อทำความสะอาด จัดระบบควบคุมป้องกันโรค และเสนอแผนการขอเปิดโรงงานต่อคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัด อย่างไรก็ตาม การสั่งปิดโรงงานอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หากพบว่าไม่สามารถปฎิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขทำให้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง” นายวัชรพงศ์ กล่าว สำหรับสถานการณ์ของจังหวัดสระบุรี ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2564 พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 สะสม ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 จำนวน 1,644 ราย เสียชีวิต 17 ราย ********************************** 29 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผนึกกำลัง UN ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนระบบอาหารยั่งยืน บรรลุเป้าหมาย SDGs 2030 อิ่ม..และ..ดี.. 2030 Sustainable Agri-Food Systems
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผนึกกำลัง UN ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนระบบอาหารยั่งยืน บรรลุเป้าหมาย SDGs 2030 อิ่ม..และ..ดี.. 2030 Sustainable Agri-Food Systems กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผนึกกำลัง UN ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนระบบอาหารยั่งยืน บรรลุเป้าหมาย SDGs 2030 อิ่ม..และ..ดี.. 2030 Sustainable Agri-Food Systems ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและการเกษตรต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรม อิ่ม...และ...ดี...2030 Sustainable Agri-Food Systems: what will we do next together? โดยมี นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ UNFSS National Convenor ของไทย กล่าวรายงานต่อที่ประชุม และมีผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนภาคประชาสังคมผู้ประสานงานของสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) โดยมี ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ และสำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการจัดประชุมฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ (Zoom Meeting) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังร่วมกับ UN ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืน “อิ่มและดี 2030” “Healthy Diets for All” โดยมีการแลกเปลี่ยนและหารือแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อปรับเปลี่ยนระบบอาหารของไทยให้มีความมั่นคง ยั่งยืน รักษาสมดุลทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงร่วมกันแสดงข้อคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและแนวทางการดำเนินงานของไทยในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อต่อยอดพันธกิจจากความร่วมมือของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในการเชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยจากการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (UN Food Systems Summit 2021: UNFSS 2021) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา นายแอนโทนิโอ กูเตเรส เลขาธิการสหประชาชาติ มอบหมายภารกิจสำคัญ แก่องค์กรภายใต้สหประชาชาติ ให้ร่วมทำงานเพื่อสนับสนุนประเทศสมาชิกในการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อน การปรับเปลี่ยนระบบอาหารของประเทศให้สำเร็จลุล่วง พร้อมประกาศว่าในอีกสองปีข้างหน้าจะจัดให้มีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานขับเคลื่อนให้ประเทศสมาชิกนำเสนอความก้าวหน้าและผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการปรับเปลี่ยนระบบอาหารของแต่ละประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมดังกล่าว แสดงความมุ่งมั่นของไทยในการพลิกโฉมระบบอาหารให้มีความสมดุลและยั่งยืนในทุกมิติ ตามวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามนโยบายเกษตรและอาหาร “3S” ที่เน้นด้านความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงอาหาร (Security) และความยั่งยืนของทรัพยากรและนิเวศการเกษตร (Sustainability) ซึ่งไทยจะขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอบคุณ Mr. Jong-Jin Kim ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ FAO และผู้แทน FAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และ Ms. Gita Sabharwal หัวหน้าทีมงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ที่ได้ให้คำแนะนำและการประสานงานเป็นอย่างดีจนนำไปสู่ความสำเร็จ ในการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Food System Summit) เมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา “เราต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและร่วมมือกันอย่างแข็งขัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบอาหารทางการเกษตร ที่ยั่งยืน” ซึ่งการพูดนั้นมันง่ายกว่าการลงมือทำ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างและบทบาทหน้าที่ที่สำคัญ คือ การขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้ “Agri Challenge Model” โดยท่านรัฐมนตรีฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่ง Agri Challenge Model นี้ คือ การบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อจัดลำดับความสำคัญของประเด็นปัญหาที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไข นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกร และสร้างความมั่งคั่งให้แก่ภาคการเกษตรและระบบอาหารต่อไป ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอยืนยันอีกครั้งว่าพร้อมที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับองค์กรระหว่างประเทศ สถาบัน ภาคเอกชน และอื่น ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเพื่อเปลี่ยนระบบอาหารไปสู่การพัฒนา ที่ยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราต้องรีบลงมือทำกันตอนนี้บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันและเป้าหมายความสำคัญเดียวกันเพื่อมนุษยชาติและโลกของเราใบนี้ เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งอย่างมีส่วนร่วมต่อไป” ปลัดเกษตรฯ กล่าว นอกจากนี้ Mr. Jong-Jin Kim ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ FAO และผู้แทน FAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวชื่นชมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้จัดเวทีชวนคิดชวนคุย National Dialogues มากกว่า 10 ครั้ง กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในระบบอาหาร ซึ่งน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง FAO จะสนับสนุนประเทศไทยในการส่งเสริมระบบอาหารทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของ FAO โดย FAO กำลังมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานในการลดการสูญเสียอาหารและของเสีย การเสริมสร้างการจัดการดิน น้ำ ป่าไม้ และระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรที่เป็นมิตรต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (DRR) โดยได้ริเริ่มโครงการ Digital Village Initiative ซึ่งจะดำเนินการในประเทศไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงนโยบายและการแก้ปัญหาการเกษตรดิจิทัล และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม โดย FAO จะสนับสนุนด้านเทคนิคเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การริเริ่มด้านข้อมูลทางเลือกและนวัตกรรม เราได้จัดหากองทุน GEF ให้กับประเทศไทยแล้วใน 3 โครงการ – 1) การจัดการภูมิทัศน์ป่าไม้แบบบูรณาการ 2) การใช้ทรัพยากรประมงในอ่าวไทยอย่างยั่งยืน 3) การเสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำและการดำรงชีวิตในลุ่มน้ำโกลกข้ามแดน และน้ำ ด้าน Mr. Renaud Meyer ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย หรือ UNDP ได้เข้าร่วมหารือ เรื่องผลการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก หรือ UN Food Systems Summit หรือ UNFSS เมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา และกล่าวว่าถึง UN Sustainable Development Cooperation Framework ซึ่งเป็นแผนในระยะ 5 ปี โดยได้หารือกับรัฐบาลไทย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยUNFSS ได้รับฟังเสียงทุกภาคส่วนเท่าที่จะมากได้ เพื่อมุ่งเน้นการหาทางแก้ไขปัญหาและผลลัพธ์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วน รวมทั้งได้กล่าวถึง 3 เสาหลัก เสาหลักแรก คือ เศรษฐกิจสีเขียว ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy Model เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นด้านเกษตรกรรม เสาหลักที่ 2 คือการนำนวัตกรรมและดิจิทัลมาใช้ในการเกษตรในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหัวใจการพลิกโฉมระบบอาหาร และเสาหลักที่ 3 ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีบทบาท และมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพราะเป็นกลุ่มที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ ผลผลิตทางการเกษตรและด้านการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้มีความเปราะบางมากที่สุด เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหา โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ร่วมฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ร่วมฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ กับ การรถไฟแห่งประเทศไทย , การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เข้าร่วมฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ กับ การรถไฟแห่งประเทศไทย , การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงคมนาคมมีแผนเปิดใช้งานจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 ดังนั้นบริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย , การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงได้ดำเนินการประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดใช้งานจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ โดยกำหนดให้มีการฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ร่วมกันในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 โดยวันนี้ ( 30 กรกฎาคม 2564 ) บริษัทได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ และฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ ณ จุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งมีการจำลองเหตุการณ์และฝึกซ้อมร่วมกันในสถานการณ์ต่างๆ ได้แก่ การเปิดพื้นที่ทางเชื่อมต่อ , การปิดพื้นที่ทางเชื่อมต่อ , การเกิดน้ำท่วมฉับพลัน , การขู่วางระเบิดและวัตถุต้องสงสัย และการเกิดอัคคีภัย ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการฝึกซ้อมฯในครั้งนี้ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ของบริษัท มีความพร้อม และสามารถประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดการสถานการณ์ หากเกิดกรณีฉุกเฉินฯ บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้ามหานครบางซื่อ-สถานีกลางบางซื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 3.5 พันล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T for BCG” จ้างบัณฑิตจบใหม่ – ปชช. 7,435 ตำบลทั่วประเทศ เริ่ม ก.ค. – ก.ย. 65
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ครม. อนุมัติ 3.5 พันล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T for BCG” จ้างบัณฑิตจบใหม่ – ปชช. 7,435 ตำบลทั่วประเทศ เริ่ม ก.ค. – ก.ย. 65 ..... ที่ประชุม ครม. (14 มิ.ย. 65) เห็นชอบโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T for BCG and Regional Development) ใน 7,435 ตำบลทั่วประเทศ วงเงินรวม 3,566.28 ล้านบาท เพื่อจ้างงานประชาชนและบัณฑิตจบใหม่กว่า 68,350 คน ร่วมขับเคลื่อนภาคการผลิตและบริการในพื้นที่ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตั้งเป้าเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน . กลุ่มเป้าหมาย : บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี/ ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง/ ประชาชน ผ่านการจัดกิจกรรมกว่า 15,000 กิจกรรม ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตและบริการเพื่อเพิ่มคุณภาพ - ลดต้นทุน การจัดการตลาด การจับคู่ธุรกิจ การกระจายสินค้าและบริการ เป็นต้น โดยสถาบันอุดมศึกษาในแต่ละพื้นที่ (ตำบล) จะเป็นผู้บูรณาการระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่ พร้อมใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลชุมชนขนาดใหญ่ (Thailand Community Big Data: TCD) ในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน . การจ้างงาน : พื้นที่ 3,000 ตำบล จะต่อยอดจากโครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย จำนวน 8 คน/ตำบล (บัณฑิตจบใหม่ 4 คน และผู้ที่ถูกเลิกจ้าง - ประชาชนในพื้นที่ 4 คน) พื้นที่ 4,435 ตำบลใหม่ จำนวน 10 คน/ตำบล (บัณฑิตจบใหม่ 5 คน และผู้ที่ถูกเลิกจ้าง - ประชาชนในพื้นที่ 5 คน) ระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน เริ่ม 1 ก.ค. - 30 ก.ย. 65 . อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55701 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55812
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน 2 ส.ค. นี้
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน 2 ส.ค. นี้ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน 2 ส.ค. นี้ วันที่ 31 ก.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายและผลักดันการลงทุนพัฒนาระบบคมนาคมทางรางให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกประชาชนและกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศนั้น ในวันที่ 2 ส.ค. 2564 นี้ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หนึ่งในโครงการลงทุนทางรางขนาดใหญ่ที่รัฐบาลผลักดันมาโดยต่อเนื่อง จะเริ่มเปิดทดลองให้บริการ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมใช้บริการฟรีในช่วงทดลองนี้เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค. ก่อนจะเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ ในเดือน พ.ย. 2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ส.ค. เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟท.) และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม จะเดินทางให้การต้อนรับประชาชน ณ สถานีกลางบางซื่อ 
.
โดยตามกำหนดหลังจากผู้ว่า ร.ฟ.ท. กล่าวต้อนรับผู้ร่วมพิธีแล้ว รมว.คมนาคม จะกล่าวรายงานความพร้อมของการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะกล่าวแสดงความยินดีและปล่อยรถขบวนปฐมฤกษ์จากสถานีกลางบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในเวลา 10.29 น. และประชาชนจะใช้บริการขบวนถัดไปในเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งจะปล่อยขบวนรถทั้งจากฝั่งบางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน, รังสิต-บางซื่อ และตลิ่งชัน-บางซื่อ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การให้บริการช่วงทดลองนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ซึ่งเป็นผู้บริหารการเดินรถ จะดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด โดยจะจำกัดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 50% ของความจุ หรือให้บริการ 550 คน/ขบวน จากความจุ100% ของ 1 ขบวน 4 โบกี้อยู่ที่1,100 คน/ขบวน โดยหากมีความต้องการใช้บริการสูงจะใช้รูปแบบการเพิ่มโบกี้ต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อแยกโซนกับผู้มารับวัคซีน ณ สถานีกลางบางซื่อที่ปัจจุบันเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนกลางนั้น ร.ฟ.ท.จะจัดให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดงใช้บริการได้เฉพาะประตู 1 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น ส่วนประชาชนผู้มารับวัคซีนจะใช้บริการ ประตู 2,3 และ4 และเพื่อความสะดวกประชาชนสามารถใช้อุโมงค์ทางเชื่อมระหว่างสถานีกลางบางซื่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT) ซึ่งขณะนี้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว ได้อีกด้วย 

ทั้งนี้ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่กำลังจะเปิดทดลองให้บริการนี้แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ สีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิตระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ,สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี,สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที และสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน, สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางยังมีส่วนต่อขยายอีกในอนาคต 
.
“รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้การขนส่งทางรางให้เป็นระบบการขนส่งหลักของประเทศ โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้วรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลและพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ รถไฟทางคู่และทางสายใหม่ และรถไฟความเร็วสูง เฉพาะโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้เปิดบริการเพิ่มเป็น 9 เส้นทาง รวม 170.38 กม. จากก่อนปี 2557 ให้บริการอยู่ 4 เส้นทาง 85 กม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 เส้นทางรวม 131.76 กม. ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการประชาชนปีละ 30-40 กม.ในช่วงปี 2565-67 และ อยู่ระหว่างก่อสร้าง การประกวดราคา และศึกษาการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน(พีพีพี)อีกหลายเส้นทาง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว ....
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564 “กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้ “กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนเริ่มใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้ ทั้งดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง เพื่อเปิดใช้งาน G-Wallet ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมใช้ข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ตัวตน เพื่อเข้าร่วมโครงการ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จำนวน 31 ล้านสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นวันแรก ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิ แนะนำผู้ได้รับสิทธิเตรียมความพร้อมก่อนใช้สิทธิ ดังนี้ 1.ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง และทำการเปิดใช้งาน G-wallet เพื่อเตรียมรับสิทธิ 2.ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการพิสูจน์ตัวตน ป้องกันการทุจริต โดยแอบอ้าง หรือสวมสิทธิเป็นตัวท่าน ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิรายใหม่ จะต้องดำเนินการยืนยันตัวตนทุกคน ส่วนผู้รับสิทธิรายเดิมบางคน อาจจะต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเมื่อกดเข้า G-wallet ระบบจะขึ้นข้อความว่า “กรุณายืนยันตัวตนเพิ่มเติม เพื่อใช้สิทธิในโครงการ เนื่องจากการยืนยันตัวตนของคุณยังไม่สมบูรณ์” ให้ยืนยันตัวตน โดยสแกนใบหน้า ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หรือแอปฯ Krungthai NEXT หรือ นำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ ตู้ ATM กรุงไทยสีเทา หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ เมื่อกดเข้า G-Wallet แล้ว ถ้าขึ้นข้อความว่า “ โครงการ “คนละครึ่ง” สามารถใช้ได้วันที่ 1 กรกฎาคม 2564” ก็สามารถใช้สิทธิทันที ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม -31 ธันวาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ศาสตราจารย์พิเศษ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (รองศาสตราจารย์พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์) ได้ให้การต้อนรับ Mr. Ganesh Prasad Dhakal เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทย ในโอกาสที่เข้ารับหน้าที่ใหม่ ณ ห้องพระจอมเกล้า อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเนปาล รวมทั้งการขยายโอกาสในการทำความร่วมมือทางวิชาการ ดังนี้ ไทยและเนปาลมีความคล้ายคลึงกันทางศาสนา สังคมและวัฒนธรรม และทั้งสองประเทศต่างได้ให้ความสำคัญต่อภาคการเกษตร และเนปาลสนใจที่จะขยายความร่วมมือกับหน่วยงานและสถาบันอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะทางด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวซึ่งก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตเนปาลฯ ได้มีการเยือนและหารือกับผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด อว. เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (พว.) เกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากความร่วมมือด้านศาสนาและวัฒนธรรมแล้ว ไทยและเนปาลยังร่วมมือกันในสาขาด้านการเกษตรและอื่นๆ โดย อว. มีหน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวข้อง ทั้งสถาบันทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาไทยอีกหลายแห่งที่สามารถร่วมมือกันได้ ดังนั้น จึงขอเชิญให้เอกอัครราชทูตเนปาลได้ไปร่วมเยี่ยมชมสถาบัน/หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพิ่มเติม อาทิ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วังน้ำเขียว) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ (จังหวัดเชียงใหม่) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และหากเป็นความร่วมมือในด้านศิลปวัฒนธรรม กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ก็มีมหาวิทยาลัยศิลปากรที่มีความเข้มแข็งในด้านนี้ นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (รองศาสตราจารย์พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์) ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลว่าไทยกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้ง Thailand Academy of Sciences และเนปาลเองก็มี Nepal Academy of Science and Technology ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เรียนรู้จากเนปาล และทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะ มีความร่วมมือระหว่างกันได้ต่อไป เอกอัครราชทูตเนปาลได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ในโอกาสที่ได้ให้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือความร่วมมือ พร้อมทั้งเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และคณะให้เดินทางไปเจรจาความร่วมมือและเยือนลุมพินีวันซึ่งเป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญ ณ ประเทศเนปาลด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจแผนการป้องกันอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่นครศรีธรรมราช ยืนยันดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด บอกรักคนเมืองคอน ขอให้อยู่รวมกันด้วยความรักความสามัคคี อย่าให้ใครมาทำลาย
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564 นายกฯ ตรวจแผนการป้องกันอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่นครศรีธรรมราช ยืนยันดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด บอกรักคนเมืองคอน ขอให้อยู่รวมกันด้วยความรักความสามัคคี อย่าให้ใครมาทำลาย นายกฯ ตรวจแผนการป้องกันอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่นครศรีธรรมราช ยืนยันดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด บอกรักคนเมืองคอน ขอให้อยู่รวมกันด้วยความรักความสามัคคี อย่าให้ใครมาทำลาย วันนี้ (7 ตุลาคม 2564) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณถนนพุทธภูมิ ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจแผนการป้องกันอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ภายหลังรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อเตรียมแผนรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคใต้ โดยศักยภาพทางภูมิศาสตร์ภาคใต้จะประสบปัญหาน้ำท่วมช้ากว่าพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย ที่ผ่านมารัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้วบางส่วน จึงขอให้ประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารการแจ้งเตือนจากส่วนราชการ พร้อมวางแผนจัดอันดับความสำคัญในการเคลื่อนย้ายสิ่งของหากมวลน้ำไหลมามากจนประสบปัญหาน้ำท่วม เพื่อลดความสูญเสียของทรัพย์สิน รวมถึงเตรียมอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่ทางส่วนราชการเตรียมไว้ ในส่วนของการเยียวยา นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ส่วนราชการเร่งสำรวจความเสียหาย จ่ายเงินเยียวยาให้ประชาชนโดยเร็ว ยืนยันรัฐบาลจะดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ใช้งบประมาณอย่างระมัดระวัง ประเทศไทยประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้านแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ฝากให้ส่วนราชการ ส.ส.ในพื้นที่ดูแลให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำแสดงความห่วงใยสถานการณ์โควิด -19 ขอให้ประชาชนคนไทยสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา กลับบ้านล้างมือ อาบน้ำให้สะอาด ส่วนตัวอยากอยู่ใกล้ชิดกับทุกคนให้มากขึ้น แต่ต้องเว้นระยะห่าง ถึงไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก คนใต้ใจถึงใจอยู่แล้ว คนเมืองคอนรักกันเหนียวแน่น คนใต้รักใครรักจริง เราทุกคนต้องอยู่ด้วยความรัก ความสามัคคี อย่าให้ใครมาทำลายตรงนี้ได้ สังคมต้องอยู่ด้วยกันด้วยสถาบันครอบครัวมีพ่อแม่พี่น้อง เหล่านี้คือสันหลังของประเทศไทย และมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทยของเรา เราจะต้องร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไปด้วยความรัก ความสามัคคี ไม่เกลียดชัง ไม่ให้ร้ายซึ่งกันและกัน และฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์บ้าง นายกรัฐมนตรีอยากจะบอกว่า “รักจังฮู้” เพราะคิดถึงจึงมาหา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46679
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเตรียมกิจกรรมทั้งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬา วัฒนธรรม สร้างแรงส่งถึงไฮซีซัน ดันรายได้ลงสู่เศรษฐกิจฐานราก
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2565 นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเตรียมกิจกรรมทั้งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬา วัฒนธรรม สร้างแรงส่งถึงไฮซีซัน ดันรายได้ลงสู่เศรษฐกิจฐานราก นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเตรียมกิจกรรมทั้งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬา วัฒนธรรม สร้างแรงส่งถึงไฮซีซัน ดันรายได้ลงสู่เศรษฐกิจฐานราก วันที่18มิ.ย. 2565น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาการกีฬาแห่งประเทศไทยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ประเมินสถานการณ์ภายหลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19ต่อเนื่องและเตรียมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมกระตุ้นการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพการกีฬาหรือด้านวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดแรงส่งต่อเนื่องไปถึงฤดูการท่องเที่ยวช่วงปลายปีและต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ “นายกรัฐมนตรีให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมกิจกรรมต่างๆเพื่อเกิดแรงส่งต่อเนื่องไปจนถึงช่วงไฮซีซันรักษานักท่องเที่ยวไทยให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งระยะไกลและจากประเทศเพื่อนบ้านเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจรายได้จากการท่องเที่ยวลงสู่ฐานรากมีการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว”น.ส.ไตรศุลีกล่าว น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าการฟื้นฟูรายได้ในภาคการท่องเที่ยวเป็นโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญซึ่งที่ผ่านมาให้ความระมัดระวังรักษาสมดุลระหว่างการฟื้นฟูการท่องเที่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ซึ่งหลังจากทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งตั้งแต่วันที่1ม.ค.-15มิ.ย. 2565มีผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยสะสม1,615,913คนเทียบกับตลอดปี2564ที่427,896คนเฉพาะวันที่1-15มิ.ย. 2565ที่มีการผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบมีผู้เดินทางเข้าประเทศทุกช่องทางสะสม348,699คน ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวใน5เดือนแรกตั้งแต่1ม.ค.-31พ.ค. 2565ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม348,695ล้านบาทแยกเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างชาติ99,707ล้านบาทและคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศ248,988ล้านบาท ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประเมินว่าหลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19หรือศบค.ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคจากการเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยตั้งแต่วันที่1ก.ค. 2565จะยกเลิกการลงทะเบียนในระบบไทยแลนด์พาสของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงยกเลิกข้อกำหนดที่ต้องมีประกันภัยโควิด19จะสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า7.5ล้านคนและอาจจะถึง10ล้านคนในปี2565จำนวนเฉลี่ยต่อวันจากขณะนี้20,000-25,000คนต่อวันเพิ่มเป็น25,000-30,000คนต่อวันและเพิ่มเป็น50,000คนต่อวันในช่วงไฮซีซันตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้น ————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55841
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย​
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย​ ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤสจิกายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 1 ราย​ พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 117 เพศหญิง อายุ 50 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ วิษณุ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 รองนายกฯ วิษณุ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รองนายกฯ วิษณุ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วันนี้ (28 พ.ค.65) เวลา 17.15 น. ณ หอประชุมกองทัพเรือ ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 11 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 พร้อมเยี่ยมชมบูธแสดงสินค้าผ้าไหม นิทรรศการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และผลงานการประกวด The Next Big silk Designer Contest โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสถานทูตประจำประเทศไทย จำนวน 77 ประเทศ และสถานกงสุลประจำประเทศไทยจำนวน 23 ประเทศ รวม 100 ประเทศ เข้าร่วมงานด้วย โอกาสนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ด้วยเหตุนายกรัฐมนตรีเพิ่งเดินทางกลับจากการประชุมและปฏิบัติภารกิจในประเทศญี่ปุ่นจึงไม่สามารถเดินทางมาเป็นประธานเปิดงานในวันนี้ จึงได้มอบหมายให้มาปฏิบัติภารกิจในนามของนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2565 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดดำเนินโครงการมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 11 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในนามของรัฐบาล โดยดำเนินการร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้มีการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เรื่องการส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อันจะส่งผลให้เกิดความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อเกษตรกรผู้ปลูกหม่อน เลี้ยงไหมทั่วประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับโครงการมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล ในการส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านความสวยงามของผ้าไหมไทย ที่ได้นำไปออกแบบและตัดเย็บเป็นชุดประจำชาติ ส่งเสริมให้มีความใกล้ชิดระหว่างคณะอาจารย์ นิสิตนักศึกษาชาวไทยที่เข้าร่วมโครงการกับผู้แทนประเทศต่าง ๆ รัฐบาลจึงขอขอบคุณที่ได้ให้โอกาสนิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีของประเทศต่าง ๆ นับเป็นโอกาสและประสบการณ์อันมีค่าสำหรับนิสิตนักศึกษาไทย และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยและมรดกอันทรงคุณค่าของไทย รวมทั้งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประชาชนชาวไทย ในตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล ขอบคุณคณะทูตานุทูตและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการดำเนินโครงการมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 11 พร้อมขอให้กำลังใจแก่คณะกรรมการจัดงานและผู้ดำเนินโครงการ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีไทย และส่งเสริม Soft Power ที่สำคัญของประเทศไทยคือผ้าไหมไทยสู่นานาประเทศต่อไป พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้เข้าประกวดในโครงการ The 3rd Next Big Silk Designer Contest 2565 จำนวน 6 รางวัล โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เป็นผู้แทนในนามนายกรัฐมนตรีมอบรางวัลชนะเลิศประเภทการออกแบบชุดผ้าไหมร่วมสมัย พร้อมเงินรางวัลจำนวน 200,000 บาท และโล่รางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศจากจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แก่ นายธนพล โสมทรัพย์ และนายณัฐพล ทองดี ทั้งนี้ กิจกรรมที่สำคัญภายในงานคือการเดินแฟชั่นโชว์ โดยตัวแทนรัฐบาลไทย ซึ่งได้แก่ปลัดกระทรวงต่าง ๆ จำนวนกว่า 10 กระทรวง พร้อมเอกอัครราชทูต อุปทูต และผู้แทนประเทศต่าง ๆ รวม 100 ประเทศ ร่วมเดินแบบด้วย รวมทั้งมีการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินลูกทุ่งไทยชั้นนำะดับประเทศ อาทิ รุ่ง สุริยา สุนารี ราชสีมา ไชยา มิตรชัย ยิ่งยง ยอดบัวงาม หญิงดี ศรีจุมพล และเปาวลี พรพิมล แสดงร่วมกับวงดนตรีของกรมประชาสัมพันธ์ ระหว่างการเดินแบบชุดผ้าไหมไทย ที่มีเอกลักษณ์ของนานาชาติ พร้อมกันนี้ยังได้มีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง Facebook Live ของช่อง NBT World อีกทั้งยังเผยแพร่ผ่านช่อง Fashion TV เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ 500 ล้านคนทั่วโลก ได้รับชมภาพบรรยากาศภายในงานแฟชั่นโชว์ อลังการระดับโลกอีกด้วย สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในปีนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการฯ จากเดิมเป็นปีที่ 2 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ดำเนินโครงการไม่สามารถเชิญชวนดีไซน์เนอร์นานาชาติเข้าร่วมโครงการได้ จึงได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา รวมถึงสถาบันการศึกษาด้านการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอทั่วประเทศ จำนวน 73 สถาบัน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยจำนวน 20 แห่ง วิทยาลัยการอาชีวศึกษาจำนวน 40 แห่ง และสถาบันออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอภาคเอกชนจำนวน 13 แห่ง รวมมีอาจารย์จำนวน 231 คน นักศึกษาจำนวน 318 คน เข้าร่วมโครงการ โดยมีการออกแบบและตัดเย็บชุดผ้าไหมให้กับคณะทูตานุทูต และนางแบบ นายแบบกิตติมศักดิ์ โดยใช้ผ้าไหมไทยจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่นิสิต นักศึกษา จะได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนานาประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานเอกอัครราชทูตและสถาบันการศึกษาในประเทศไทย และยังเป็นการขยายความร่วมมือในด้านการศึกษาและการพาณิชย์ รวมถึงเป็นการเชิญชวนนิสิต นักศึกษา และเยาวชนไทย ให้หันมาอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทยมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55122
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน วันนี้ (6 ม.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่คณะทำงานสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุกและผู้ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบรรจบ จันทรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้แทนกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ำเสีย รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่ได้ให้ความสำคัญและมีความตั้งใจในการที่จะช่วย Change for Good สร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน สังคมไทย และกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสื่อสาร" ที่ถือเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งในขณะนี้ เราอยู่ท่ามกลางสังคมโลกที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างอิสระ เสรีเป็นอย่างมาก อันอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนับถือ ต่อองค์กรกระทรวงมหาดไทย หากไม่ให้ความสำคัญหรือทำความเข้าใจให้ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “ภัยคุกคามในโลกยุคปัจจุบัน” ซึ่งภัยคุกคามจากการสื่อสารจะหมดไปได้ถ้าเรามีเป้าหมายไปในทิศทาง (Direction) เดียวกัน คือ 1) ต้องสื่อสารภารกิจในงานขององค์กรเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น และให้ความสำคัญกับสังคมภายนอก 2) ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์ความรู้ บทบาทภารกิจขององค์กร และทัศนคติที่ดีของบุคลากรภายในหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นสารตั้งต้นก่อนจะสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชน และต้องพึงระลึกเสมอว่า พี่น้องประชาชนคือ บุคคลที่สำคัญ ที่เราต้องช่วยกันให้บริการที่ดี เพื่อสนองตอบวิสัยทัศน์ของกระทรวงมหาดไทย และปณิธาน "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารสังคม และช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด "สิ่งสำคัญ คือ คนมหาดไทยต้องรู้ เข้าใจ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการสื่อสารสังคม ทั้งการสื่อสารภายในและภายนอก ต้องมีความรัก และพร้อมในการทำหน้าที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับสิ่งที่ดี รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รุ่นพี่ต้องเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสื่อสารการทำงานให้แก่รุ่นน้องได้ เพื่อให้เรามีบุคลากรที่ดีที่รักองค์กร รักเกียรติยศ รักชื่อเสียง และสำนึกตลอดเวลาว่าเราคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อยากจะทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า ทั้ง 7 กรม 6 รัฐวิสาหกิจ รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เราต้องหลอมรวมแขนงไม้ไผ่ ทั้ง 13 แขนงเป็นทีมเดียวกัน เหมือนคติเรื่องเล่าในอดีต ซึ่งการสร้างความแข็งแกร่งของแขนงลำไม้ไผ่ย่อยๆได้นั้น ต้องเกิดจากการนำมามัดรวมกัน ซึ่งทุกส่วนราชการและการสื่อสารองค์กรต้องรวมเป็นหนึ่ง มีทิศทางเดียวกันให้ได้ คือ "ทีมมหาดไทย" เพื่อรับมือกับภัยคุกคามและโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยทีมมหาดไทยทั้ง 13 หน่วยงาน ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องขับเคลื่อนสื่อสารสังคมเป็นไปใน Theme หรือ Core Bussiness เดียวกัน นั่นคือ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" "ต้องให้คนมหาดไทยเข้าใจตรงกันและทุ่มเททำงานในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบที่ดีอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้าพวกเราทำอย่างเข้มแข็ง ก็จะเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการคนรุ่นใหม่เป็นคนดี มีอุดมการณ์ ทำเพื่อประชาชน มีความรู้รักสามัคคี และเมื่อ 13 หน่วยงานประสานหลอมรวมกัน ผนวกกับการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อสารมวลชน ที่มาร่วมมือช่วยงานกัน ก็ย่อมเป็นการเสริมพลังให้งานประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น และต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ รัฐวิสาหกิจหรือกรมต่าง ๆ ต้องปรับตัวในการทำงานเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ปรับตัวให้ทันต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ฝากถึงผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ ทั้ง 13 หน่วยงาน ให้ช่วยกันตั้งใจทำวันนี้ให้มีคุณค่า เพื่อใช้เวลาในวันข้างหน้าให้เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในการที่จะเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงกับพี่น้องประชาชน ทำหน้าที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน และในวาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย พวกเราต้องช่วยกันทำองค์กรให้เข้มแข็ง ให้เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเราต้องร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูล ทุ่มเทอุทิศกำลังกาย กำลังใจ ร่วมกับภาคีเครือข่ายให้เต็มกำลังความสามารถ และไม่ว่าจะกี่ร้อยปีข้างหน้า การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพ ทั้งในองค์กร และต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ก็จะเป็นอมตะอยู่เสมอ และจะเป็นหลักชัยในการค้ำจุนประเทศชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน จากนั้น ที่ประชุมได้มีการชี้แจงการขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมและประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการสื่อสารสังคม โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึง การประยุกต์ใช้กลไก 3 5 7 ในการทำงานสื่อสารสังคม พร้อมทั้งการขับเคลื่อนการทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ และคณะทำงานขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ด้าน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของคณะทำงานกลไกสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุก และการจัดทำแผนแม่บทสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ในระยะ 5 ปี ที่ใช้เป็นเสมือน Road Map ในการมีเป้าหมายร่วมกันในการสื่อสารองค์กร นอกเหนือจาก สิ่งที่ได้ดำเนินการมาตามปกติ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและมองเห็นภาพการทำงานที่หนุนเสริมกันได้ นายไพศาล งามจิตอนันต์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวชี้แจง รายละเอียดการสัมมนาวิชาการเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและการสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 28 – 29 ม.ค. 2565 และในช่วงท้ายของการประชุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่จะเกิดสิ่งที่ดีสำหรับกระทรวงมหาดไทย ทุกคนเป็นผู้ที่เสียสละ จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นว่า เราจะเป็นผู้นำและจะไปถ่ายทอดขยายผลสื่อสารต่อไป นอกจากนี้ การที่เราจะสร้างอนาคตได้ต้องเกิดจากความสามัคคี ดังเช่นแขนงไม้ไผ่ ถ้ามีอันเดียวสามารถหักได้ง่าย แต่ถ้ามัดรวมหลาย ๆ แขนง เป็นสิบ ๆ แขนง ก็จะไม่สามารถหักได้ นั่นคือ ความสามัคคีของกรม/รัฐวิสาหกิจทั้ง 13 หน่วยงาน และ 7 ภาคีเครือข่าย อันจะนำมาซึ่งความเข้มแข็ง รวมทั้ง ทุกคนต้องมีทัศนคติที่ดี โลกต้องการคนดีเพื่อไม่ได้มารับรางวัล แต่ต้องการคนดีเพื่อทำชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น คนดีอย่างแท้จริงเสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าตนได้กระทำความดี หรือปิดทองหลังพระ ซึ่งทัศนคติที่ดีจะทำให้พวกเราได้มุ่งไปสู่ Core Business นั่นคือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทำให้สำเร็จด้วยความศรัทธา มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ สร้างอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี สร้างตำแหน่งให้เป็นตำนาน ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ต้องรู้จักปรับตัวต่อภัยคุกคาม ทำให้องค์กรตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ นำไปสู่ การ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่อสามารถสื่อสารเชิงรุกให้สังคมได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์เปิดประมูลขายที่ราชพัสดุที่ยึดมาในคดีฟอกเงิน 44 รายการ
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 กรมธนารักษ์เปิดประมูลขายที่ราชพัสดุที่ยึดมาในคดีฟอกเงิน 44 รายการ กรมธนารักษ์จะเปิดประมูลขายที่ราชพัสดุที่ได้มาโดยคำพิพากษาของศาลให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ยึดมาในคดีมูลฐานความผิดในการฟอกเงินตามกฎหมาย ปปง. ป.ป.ช. โดยจะเปิดประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ Treasury e-Auction กรมธนารักษ์จะเปิดประมูลขายที่ราชพัสดุที่ได้มาโดยคำพิพากษาของศาลให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ยึดมาในคดีมูลฐานความผิดในการฟอกเงินตามกฎหมาย ปปง. ป.ป.ช. โดยจะเปิดประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ Treasury e-Auction ซึ่งเป็นระบบประมูลทรัพย์ออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนค้นหาและประมูลทรัพย์ที่ต้องการผ่านออนไลน์แบบ Real Time สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส โดยมีช่วงเวลาที่จะเปิดประมูลในรอบแรก วันนี้ (18 มีนาคม 2565) ณ กรมธนารักษ์ นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ผู้ประสงค์เข้าประมูลที่ได้สมัครสมาชิกในระบบประมูลขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมธนารักษ์แล้วประสงค์ที่จะเสนอราคาซื้อที่ราชพัสดุรายการใดในการขายครั้งนี้ สามารถวางเงินประกันการประมูลแต่ละรายการที่จะเสนอราคาซื้อโดยชำระผ่านระบบ Payment ในช่องทางการชำระเงินบนแอปพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยกำหนดการวางเงินประกันการประมูลตามราคาขายทรัพย์เริ่มต้นดังนี้ ราคาขายทรัพย์เริ่มต้น (บาท) เงินประกันการประมูล (บาท/รายการทรัพย์) ไม่เกิน 200,000 10,000 200,001 - 500,000 25,000 500,001 - 1,000,000 50,000 1,000,001 - 3,000,000 150,000 3,000,001 - 5,000,000 250,000 5,000,001 ขึ้นไป 500,000 ทั้งนี้ ผู้เสนอราคาเสนอสามารถราคาขั้นต่ำเพิ่มขึ้นระหว่างการแข่งขันเสนอราคาแต่ละครั้ง ดังนี้ ราคาขายทรัพย์เริ่มต้น(บาท) เพิ่มราคาครั้งละ(บาท/รายการ) ไม่เกิน 500,000 10,000 500,000 - 1,000,000 20,000 1,000,001 - 3,000,000 30,000 3,000,001 - 5,000,000 40,000 5,000,001 - 7,000,000 50,000 7,000,000 ขึ้นไป 100,000 นายประภาศ กล่าวทิ้งท้ายเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลเข้าร่วมประมูลได้ที่https://auction.treasury.go.thตั้งแต่วันที่ 24 – 29 มีนาคม 2565 และสามารถลงทะเบียนสมัครสมาชิกและวางเงินประกันการประมูลในระบบประมูลได้ก่อน ตั้งแต่วันที่ 14 – 28 มีนาคม 2565 (ก่อนเวลา 18.00 น.) สามารถสอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของกรมธนารักษ์เพิ่มเติมได้ที่ www.treasury.go.th หรือ Facebook กรมธนารักษ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Bilateral meeting between Thai and Japanese PMs to follow up on and take forward outcomes of their meeting in Thailand early this month
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 Bilateral meeting between Thai and Japanese PMs to follow up on and take forward outcomes of their meeting in Thailand early this month Bilateral meeting between Thai and Japanese PMs to follow up on and take forward outcomes of their meeting in Thailand early this month May 26, 2022, at 18.00 hrs (JST), at the Prime Minister's Official Residence, Tokyo, Japan, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha had a bilateral meeting with Prime Minister Fumio Kishida of Japan. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows: The two Prime Ministers expressed pleasure to meet with each other once again after the official visit of the Japanese Prime Minister early this month. The Thai Prime Minister commended success of the Indo-Pacific Economic Framework (IPEF), in which he participated via the videoconference on May 23rd. Thailand stands ready to work together with the U.S., Japan, and other countries in crafting the collective approach and detail for each cooperation area for mutual interest. The Japanese Prime Minister was pleased with the meeting which was a good opportunity to follow up on and take forward outcomes of the meeting in Thailand early this month. He also noted the Thai Prime Minister’s missions while in Japan, aside from attending the 27th Nikkei Forum, which include a meeting with president of Keidanren (Japan Business Federation) to discuss trade and investment promotion of the Japanese private sector in Thailand, and a visit to Haneda Innovation City. He hoped for the Thai Prime Minister’s success in all the missions for mutual interest of the two countries. The two Prime Ministers were also pleased with continuous exchange of high-level visits after the ease of travel measures of both Thailand and Japan. They also discussed relations and cooperation in various areas: On economic cooperation, the Prime Minister thanked Japan for considering Thailand’s proposal to expand KOSEN educational system in Thailand and the establishment of KOSEN Education Center, which helps promote the country as personnel training and development hub of the ASEAN region and Mekong sub-region. The Japanese Prime Minister also expressed Japan’s readiness to promote investment expansion of the Japanese private sector in the Eastern Economic Corridor (EEC) in the fields of technologies and innovations. Both parties also committed to push through the concept of “Asia Zero-Emissions Community”, an initiative the Japanese Prime Minister proposed during his official visit to Thailand. The Prime Minister noted that Japan’s Minister of Economy, Trade and Industry (METI) has discussed with Deputy Prime Minister and Minister of Energy Supattanapong Punmeechaow on the matter, and Thailand agreed to cooperate with Japan under the framework to promote carbon-free society, in line with both the countries’ goal to reach carbon neutrality, Thailand’s BCG economic model, and Japan’s Green Growth Strategy. On tourism, the Prime Minister was pleased to learn that Thailand is one of the four countries from which Japan has planned to accept small experimental package tours, in addition to businessmen, students, and skilled workers, as part of its ease of measures for entering the country. He also extended an invitation to Japanese tourists to visit Thailand. The Japanese Prime Minister was content with the opportunity to strengthen tourism cooperation with Thailand. R With regard to the cooperation under the ASEAN framework, Thailand, as the Country Coordinator for 2021- 2024 ASEAN-Japan Dialogue Relations, stands ready to further reinforce the ASEAN-Japan Strategic Partnership in all dimensions. The Japanese Prime Minister affirmed Japan’s commitment to forge constructive cooperation for mutual interest toward strong and sustainable recovery of the region, supply chain, regional and people-to-people connectivity, and sustainable development. On the cooperation under the APEC framework, the Prime Minister affirmed Thailand’s readiness to welcome Prime Minister Kishida, as well as leaders of other APEC economies, on a visit to Thailand to attend the APEC Economic Leaders’ Meeting in November this year. The Japanese Prime Minister expressed support on Thailand’s hosting of 2022 APEC, and commended the country’s BCG economic model, which is in line with Japan’s Green Growth Strategy and Smart Agriculture. Both parties also constructively discussed global and regional situations, and agreed on the importance of continued cooperation among the global community to provide humanitarian support for both the Russia-Ukraine conflict and Myanmar situation. Japan recognizes ASEAN’s effort to resolve the situation in Myanmar, and commended Thailand for providing humanitarian assistance to Myanmar to the best of its ability. Both the Prime Ministers affirmed support for all sides to end the conflict, and bring back peace and normalcy. After the bilateral meeting, at 1900hrs, at the Imperial Hotel Tokyo, the Prime Minister attended a gala dinner hosted by Nikkei Inc. in honor of the 27th Nikkei Forum’s participants, at which Prime Minister Kishida also attended.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญาเปิดงาน “ไทย-เดนมาร์ค ยู15 ฟุตบอล ทัวร์นาเมนต์ 2021” ปีที่ 3 ส่งเสริมการเล่นกีฬาควบคู่การดื่มนมสร้างค่านิยมให้คนไทยทุกวัย หันมาดื่มนมมากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564 รมช.มนัญญาเปิดงาน “ไทย-เดนมาร์ค ยู15 ฟุตบอล ทัวร์นาเมนต์ 2021” ปีที่ 3 ส่งเสริมการเล่นกีฬาควบคู่การดื่มนมสร้างค่านิยมให้คนไทยทุกวัย หันมาดื่มนมมากขึ้น รมช.มนัญญาเปิดงาน “ไทย-เดนมาร์ค ยู15 ฟุตบอล ทัวร์นาเมนต์ 2021” ปีที่ 3 ส่งเสริมการเล่นกีฬาควบคู่การดื่มนมสร้างค่านิยมให้คนไทยทุกวัย หันมาดื่มนมมากขึ้น นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการ“THAI-DENMARK U15 FOOTBALL TOURNAMENT 2021” (ไทย-เดนมาร์คยู15ฟุตบอลทัวร์นาเมนต์2021)ปีที่3ร่วมด้วยนายสุชาติจริยาเลิศศักดิ์รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยและนักฟุตบอลจากสโมสรราชบุรีมิตรผลไทยลีก1ณลานOutdoor One Arena, Stadium One - The Sport Societyกรุงเทพมหานครว่างานดังกล่าวจัดโดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนทั่วประเทศที่มีอายุไม่เกิน15ปีรวมถึงบุตรหลานเกษตรกรโคนมไทยเข้าร่วมแข่งขันการแข่งขันกีฬารายการนี้เนื่องจากการเล่นกีฬาทำให้สุขภาพแข็งแรงเด็กเหล่านี้ถือเป็นอนาคตและกำลังของชาติ “โครงการนี้จัดต่อเนื่องมาแล้วเป็นปีที่3วัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักเรียนเยาวชนไทยได้มีเวทีในการแข่งขันฟุตบอลที่เป็นระดับสากลมากขึ้นจึงมอบหมายให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)ได้จัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคมต่อเด็กและเยาวชนผ่านการเล่นกีฬาควบคู่ไปกับนโยบาย“นมแห่งชาติ”ซึ่งต้องการรณรงค์ให้กลุ่มคนทุกวัยดื่มนมเริ่มตั้งแต่กลุ่มครอบครัวไปจนถึงกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ทุกเพศทุกวัยหันมาดื่มนมไทย-เดนมาร์คที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกทั้งฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของเยาวชนไทยจึงป็น“สื่อกลาง”โดยนำผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเข้าถึงกลุ่มครอบครัวและเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศรวมทั้งอยากให้โครงการนี้เป็นทัวร์นาเม้นท์ของนมไทย-เดนมาร์คที่จะยกระดับเยาวชนในโรงเรียนทุกๆโรงเรียนได้มีโอกาสแข่งขันกันรวมถึงเปิดโอกาสให้เยาวชนบุตรหลานเกษตรกรโคนมไทยที่จะได้เฟ้นหาศักยภาพตัวเองในความตั้งใจและอดทนเพื่อไปสู่ความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาอาชีพไปพร้อมๆการดื่มนมไทย-เดนมาร์คเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและการรณรงค์สร้างการรับรู้และสร้างค่านิยมให้คนไทยทุกคนหันมาดื่มนมมากขึ้นซึ่งจะเห็นว่าโครงการนี้ทำให้แบรนด์นมไทย-เดนมาร์คซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้รัฐวิสาหกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าไปสู่ตามโรงเรียนทั่วประเทศพร้อมเป็นการส่งเสริมสุขภาพอนามัยที่ดีให้นักเรียนเยาวชนในการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และห่างไกลยาเสพติดสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย”รมช.มนัญญากล่าว อย่างไรก็ตามในปี2565จะเป็นปีที่ครบรอบ60ปีของแบรนด์นมไทย-เดนมาร์คกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายในการสนับสนุนโครงการเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและโรงเรียนสามารถเข้าถึงกิจกรรมได้เพิ่มขึ้นจึงจะมีการขยายพื้นที่ในการแข่งขันรอบคัดเลือกให้ครอบคลุมในแต่ละโซนภูมิภาคให้มากขึ้นอีกด้วย นายสุชาติจริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยกล่าวว่าอ.ส.ค.เป็นองค์กรที่มีการทำกิจกรรมต่างๆเพื่อสังคมภายใต้แบรนด์นมไทย-เดนมาร์คโดยเฉพาะด้านกีฬา(Sport Marketing)ที่ในปีนี้ได้มีความร่วมมือและสนับสนุนกับหลายๆสโมสรชั้นนำในฟุตบอลไทยลีกที่มีการพัฒนาเยาวชนด้านกีฬาฟุตบอลซึ่งจะทำให้มีกิจกรรมที่ต่อยอดและขยายออกไปอีกในปีหน้าโดยเยาวชนจะได้สัมผัสกับสนามฟุตบอลของสโมสรที่เป็นพันธมิตรกับองค์กรในหลายๆสโมสรอีกด้วยสำหรับการแข่งขันโครงการนี้จัดขึ้นเป็นปีที่3ซึ่งเป็นความร่วมมือในการจัดโครงการกิจกรรมกับสำนักงานอ.ส.ค.ใน5ภูมิภาคและหน่วยงานผู้จัดการแข่งขันระดับมืออาชีพโดยจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนให้เป็นมาตรฐานในระดับสากลและช่วยขับเคลื่อนวงการฟุตบอลเยาวชนไทยพร้อมส่งเสริมให้เกิดมิตรภาพที่ดีต่อกันระหว่าง อ.ส.ค.ภายใต้แบรนด์นมไทย-เดนมาร์คกับโรงเรียนและเยาวชนที่เข้าร่วมแข่งขันนอกจากนี้อยากให้กีฬาฟุตบอลได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน สำหรับการแข่งขันในปีนี้จัดขึ้นในรูปแบบนิวนอร์มอลโดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่เข้มงวดโดยจะเน้นการแข่งขันแบบปิดตามมาตรการที่ศบค.ประกาศไว้โดยใน1วันจะจัดการแข่งขันได้ไม่เกิน4-8ทีมในรอบคัดเลือกเพื่อลดปริมาณจำนวนคนที่อยู่ภายในสนามตลอดจนมาตรการต่างๆอาทิเว้นระยะห่างลดการสัมผัสนักกีฬาโค้ชและเจ้าหน้าที่ใส่หน้ากากตลอดเวลาตรวจวัดอุณหภูมิฉีดพ้นน้ำยาฆ่าเชื้อแอลกอฮอล์เป็นต้น ทั้งนี้รางวัลในรอบคัดเลือกตัวแทนภูมิภาคประกอบด้วยทีมแชมป์เงินรางวัล25,000บาท,ทีมรองแชมป์ เงินรางวัล20,000บาท,ทีมอันดับ3 เงินรางวัล5,000บาทและทีมอันดับ4ได้รับถ้วยรางวัลซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม2564ส่วนรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศมีรางวัลดังนี้ทีมแชมป์เงินรางวัล100,000บาททีมรองแชมป์เงินรางวัล70,000บาททีมอันดับ3เงินรางวัล40,000บาททีมอันดับ4เงินรางวัล20,000บาทโดยทุกทีมจะได้รับผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คและถ้วยรางวัลโดยรอบชิงชนะเลิศจะจัดแข่งขันในช่วงเดือนกันยายน2564ณสนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง โรงเรียนที่สนใจสามารถสมัครเข้าแข่งขันได้ตั้งแต่วันที่18มิ.ย. - 11ก.ค. 2564โดยดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่www.facebook.com/ThaiDenmark.FootballTournamentหรือติดต่อสอบถามแต่ละโซนภูมิภาค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อัปเดตความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ เหตุ รง. ไฟไหม้
วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2564 อัปเดตความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ เหตุ รง. ไฟไหม้ .... น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เผยว่า ขณะนี้ทุกส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก จ.สมุทรปราการ ทั้งพนักงานในโรงงาน ประชาชนที่อาศัยบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนี้ . สำนักงานประกันสังคม โดยกระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบสถานะผู้ประกันตนทั้งตาม ม.33 38 39 และ 40 ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ และสิทธิอื่น ๆ พึงได้ เช่น ค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัว 70% ของค่าจ้างรายเดือน รวมถึงกรณีสูญเสียสมรรถภาพในการทำงาน จะได้รับเงินชดเชย 70% ของค่าจ้างรายเดือน สูงสุด 10 ปี . สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนสำหรับการย้ายบ้านชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถอยู่อาศัยในที่พักเดิมได้ ครอบครัวละ 18,000 บาท . การเคหะแห่งชาติ จัดหาโรงแรม/ห้องพักราคาถูก สำหรับผู้ต้องการที่อยู่อาศัยเร่งด่วน แต่หากไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้ จะเร่งจัดสรรห้องพักเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป . กระทรวงศึกษาธิการ จัดหาที่พักให้ครู บุคลากร และครอบครัวของโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ . สำหรับด้านประกันภัย อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัยของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วน อาทิ การจ่ายสินไหมทดแทน ส่วนรายที่ไม่ได้ทำประกันภัย จะได้รับการชดเชยจากประกันภัยของโรงงาน ด้วยวงเงินเอาประกันภัย 20 ล้านบาท . นอกจากนี้ จ.สมุทรปราการ และ อปท. จะดำเนินการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อเยียวยาประชาชนตามระเบียบหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลินิกชุมชนอบอุ่น 124 แห่ง ร่วมกระจาย ATK ให้กลุ่มเสี่ยงใน กทม. ทั้งประเทศรับแล้วกว่า 2 แสนชุด
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 คลินิกชุมชนอบอุ่น 124 แห่ง ร่วมกระจาย ATK ให้กลุ่มเสี่ยงใน กทม. ทั้งประเทศรับแล้วกว่า 2 แสนชุด สปสช.เผยสัปดาห์หน้าจัดสรรชุดตรวจ ATK ไปตามชุมชนต่างๆ ผ่านศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม.กว่า 420,000 ชุด และจะจัดสรรผ่าน 124 คลินิกชุมชนอบอุ่นอีก 151,300 ชุด เพิ่มจุดกระจาย ATK ประชาชนกลุ่มเสี่ยงรับ ATK ไปแล้ว 205,582 ชุด 102,791 คน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยความคืบหน้าการกระจายชุดตรวจ antigen test kit (ATK) แบบ Self-test สำหรับแจกให้ประชาชนไปตรวจโควิดเองที่บ้าน ซึ่งเริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา โดยในส่วนของ กทม.นั้น สัปดาห์หน้าชุดตรวจ ATK ที่ผ่านการตรวจรับรองแล้วจะส่งถึงพื้นที่ กทม.ในส่วนของการกระจายผ่านศูนย์บริการสาธารณสุข ของกทม. เพื่อให้ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) นำไปแจกแก่กลุ่มเสี่ยง รวมทั้งเปิดให้ไปรับได้ที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. และคลินิกชุมชนอบอุ่น โดยต้องลงทะเบียนและทำแบบประเมินความเสี่ยงผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังก่อน ซึ่งจะได้รับคนละ 2 ชุด นพ.จเด็จ กล่าวว่า แผนการกระจาย ATK ของ กทม.นั้น จะได้รับจัดสรรรวมกว่า 2 แสนชิ้น โดย กทม.จะกระจายไปใน 7 กลุ่มคือ 1.ตลาด กลุ่มเป้าหมาย 203,459 คน จัดสรรคนละ 2 ชุด รวม 410,000 ชุด 2.กลุ่มขนส่งสาธารณะ กลุ่มเป้าหมาย 221,007 คน จัดสรร 440,000 ชุด 3.ร้านเสริมสวย จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 8,905 คน จัดสรร 20,000 ชุด 4.ร้านนวด สปา จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 26,145 คน จัดสรร 56,000 ชุด 5.กลุ่มครูอาจารย์ในกทม. จำนวน 148,667 คน จัดสรร 300,000 ชุด 6.ชุมชนต่างๆ จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 2,056,912 คน จัดสรรให้ 420,000 ชุด และ 7.พื้นที่อื่นๆ กลุ่มเป้าหมาย 186,718 คน จัดสรร 380,000 ชุด นพ.จเด็จ กล่าวว่า ในส่วนของกลุ่มเป้าหมายชุมชนต่างๆ ขณะนี้ สปสช.เตรียมจัดสรร ATK แก่ อสส. ผ่านศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่งจำนวน 420,000 ชุด และมีบางส่วนสำรองไว้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขอีก 73,500 ชุด รวมเป็น 493,500 ชุด ภายในสัปดาห์หน้า และวันที่ 27 ก.ย. 2564 จะจัดสรรแก่คลินิกชุมชนอบอุ่นทั่ว กทม. 124 แห่ง อีกจำนวน 151,300 ชุด ซึ่งจะได้รับชุดตรวจ ATK ในสัปดาห์หน้าสำหรับแจกให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ในส่วนขอคลินิกชุมชนอบอุ่น 124 แห่งที่เข้ามาเพิ่มนั้น จะมาช่วยแก้ปัญหาในเขตที่หน่วยบริการที่แจก ATK ให้ประชาชนมีน้อย เช่น เขตบึงกุ่ม และเขตมีนบุรี เป็นต้น ขณะเดียวกัน ในส่วนของภาพรวมของจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศนั้น ข้อมูลล่าสุดวันนี้ (22 ก.ย.2564) เวลา 15.00 น. ขณะนี้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงรับ ATK ไปแล้ว 205,582 ชุด 102,791 คน ในจำนวนนี้เป็นการรับผ่านแอปฯเป๋าตังอีก 102,543 ชุด แจกผ่าน อสม. 248 ชุด ส่วนมากผู้ที่ได้รับชุดตรวจคือกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยและอยู่ในพื้นที่เสี่ยง รองลงมาคือกลุ่มที่มีอาการใกล้เคียงกับอาการเริ่มต้นของโควิด-19 ผู้รับ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับชุดตรวจ ATK ไป ตรวจโควิดแล้ว 20,595 คน คิดเป็น 20% ของจำนวนผู้ได้รับชุดตรวจทั้งหมด พบผลตรวจเป็นบวก 144 คน โดย 3 จังหวัดที่พบผู้มีผลบวกมากที่สุดคือ กทม. 84 คน รองลงมาคือภูเก็ต 14 คน และสมุทรปราการ 12 คน //////////22 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46109
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานรับมอบวัคซีน Moderna จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 ล้านโดส
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานรับมอบวัคซีน Moderna จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีเป็นประธานรับมอบวัคซีน Moderna จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 ล้านโดส วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2564) เวลา 15.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายไมเคิล ฮีต อุปทูตรักษาราชการชั่วคราว สอท. สหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของบริษัท Moderna จากรัฐบาลสหรัฐฯ (ครั้งที่ 2) อย่างเป็นทางการ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมในพิธีด้วย ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ประธานาธิบดีไบเดน และอุปทูตฯ สำหรับการมอบวัคซีนครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ที่ไทยได้รับความช่วยเหลือวัคซีนจาก สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมิตรแท้ในยามยาก โดยการมอบให้ในครั้งแรกนั้นมีส่วนช่วยสนับสนุนมาตรการเร่งฉีดวัคซีนของไทย ซึ่งได้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนสถานการณ์ดีขึ้น และสามารถเปิดประเทศได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ในหลายประเทศยังต้องเผชิญกับผู้ติดเชื้อที่ยังมีจำนวนสูง ซึ่งไทยไม่ต้องการที่จะกลับไปเผชิญสถานการณ์นั้นอีก นายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ำว่าจะนำวัคซีนที่ได้รับมอบในครั้งนี้ไปกระจายฉีดให้อย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย ด้านอุปทูตฯ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวยินดีที่มีส่วนสำคัญในการมอบวัคซีนจากสหรัฐฯ และภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนประเทศไทยในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในไทย จนมีส่วนช่วยให้ไทยกลับมาเปิดประเทศ และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยกล่าวเพิ่มเติมอีกว่านอกจากการฉีดวัคซีนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วการรักษาก็มีความสำคัญเช่นกัน ซึ่งสหรัฐฯ พร้อมพิจารณาให้การสนับสนุนเช่นกัน ทั้งนี้ สหรัฐฯให้ความสำคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนหารือระหว่างกัน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้งสำหรับความปรารถนาดีในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ และหวังว่าทั้งสองประเทศจะสามารถก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน อนึ่ง การรับมอบวัคซีนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 ในวันนี้ เป็นไปตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า จะมอบวัคซีนกว่า 2.5 ล้านโดส ให้กับไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานความคืบหน้าโครงการออกแบบปรับปรุง ทล.121 ช่วง จุดตัด ทล.108 - จุดตัด 1006 จ.เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 กรมทางหลวง รายงานความคืบหน้าโครงการออกแบบปรับปรุง ทล.121 ช่วง จุดตัด ทล.108 - จุดตัด 1006 จ.เชียงใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและรองรับการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบปรับปรุงและแก้ไขปัญหาจราจรบนทางหลวงหมายเลข 121 หรือวงแหวนรอบ 3 ช่วงจุดตัดทางหลวงหมายเลข 108 - จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1006 เนื่องจากปัจจุบันทางหลวงสายดังกล่าวมีปริมาณจราจรหนาแน่น ทำให้รถสะสมเป็นระยะทางยาวบริเวณทางแยก ประกอบกับเป็นจุดเชื่อมต่อกับทางหลวงสายสำคัญ จึงนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาจราจรบนสายทางดังกล่าวและโครงข่ายทางหลวงที่ใกล้เคียง อันจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการขนส่งและการเดินทางของประชาชนให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งนี้พื้นที่โครงการครอบคลุมใน 4 อำเภอ 9 ตำบล ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอหางดง อำเภอสารภี และอำเภอสันกำแพง และ 9 ตำบลได้แก่ ตำบลป่าแดด ตำบลหนองคาย ตำบล สันผักหวาน ตำบลท่าวังตาล ตำบลดอกแก้ว ตำบลหนองผึ้ง ตำบลไชยสถาน ตำบลป่าบง ตำบลสันกลาง และตำบลต้นเปา โดยจุดเริ่มต้นโครงการที่ กม. 0+000 และสิ้นสุดที่ กม. 16+346 ระยะทางประมาณ 16.3 กิโลเมตร การออกแบบมีการผสมผสานระหว่างแนวคิดด้านวิศวกรรม ด้านภูมิสถาปัตยกรรมที่เน้นเอกลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ และการออกแบบเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับรูปแบบก่อสร้างทั่วไปเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 4 ช่องจราจร และ 6 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางจราจรด้วยเกาะกลางชนิดกดร่อง (Depressed Median) ส่วนช่วง กม. ที่ 10+500 - กม. ที่ 15+310 แบ่งทิศทางจราจรด้วยเกาะกลางแบบยก (Raised Median) ทางขนานที่ให้บริการชุมชน 2 ข้างทาง ออกแบบแยกจากทางสายหลักด้วยเกาะกลางแบบกดร่อง (Depressed Median) ทั้งนี้รูปแบบทางแยกโครงการมีอยู่ด้วยกัน 5 ทางแยกดังนี้ 1. ทางแยกสะเมิง ทล.121 ตัด ทล.108 (กม. ที่ 0+000) 1.1 ออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับแบบทางเลี้ยววน (Loop Ramp) สำหรับทิศทางจราจรที่มาจากหนองควาย มุ่งหน้า อ.หางดง และจาก อ.สันกำแพงมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ 1.2 ทิศทางเลี้ยวขวาจาก อ.หางดง มุ่งหน้า อ.สันกำแพง ให้ใช้สะพานทางเลี้ยวกึ่งตรง 1.3 ทิศทางเลี้ยวขวาจากเชียงใหม่ไปหนองควาย ให้ใช้ทางกลับรถใต้สะพานบน ทล.121 1.4 แยกพืชสวนโลกออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกในทิศทาง อ.หางดง มุ่งหน้าไปตัวเมืองเชียงใหม่ 2. ทางแยกกองทราย ทล.121 ตัด ทล.106 (กม. ที่ 8+500) เป็นพื้นที่คุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม มีแนวคิดออกแบบเพื่ออนุรักษ์ต้นยางนาบริเวณทางแยก โดยออกแบบการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 121เป็นรูปแบบสะพานข้ามแยก การจราจรบนทางหลวงหมายเลข 106 และทิศทางเลี้ยวขวาให้ใช้วงเวียน 3. ทางแยกซุปเปอร์ไฮเวย์ ทล.121 ตัด ทล.11 (กม. ที่ 10+000) ก่อสร้างทางแยกต่างระดับให้สมบูรณ์ เพิ่มช่องทางเลี้ยวมุ่งหน้าไป จ.ลำพูน และทางเลี้ยววน (Loop Ramp) มุ่งหน้าไป อ.หางดง ออกแบบทางเลี้ยวระดับพื้นเชื่อมทางเลี้ยววน (Loop Ramp) เดิมเพื่อรองรับการจราจรจากถนนเลียบทางรถไฟมุ่งหน้าไป อ.สันกำแพง 4. ทางแยกสันกลาง ทล.121 ตัด ทล.1317 (กม. ที่ 13+000) ออกแบบการจราจรทางตรงบนทางหลวงหมายเลข 1317 และทางหลวงหมายเลข 121 ให้เป็นสะพานข้ามทางแยกที่ระดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ทิศทางเลี้ยวขวาทุกทิศทางออกแบบให้ใช้วงเวียน (ระดับ 1) สำหรับทิศทางอื่นเป็นทางเลี้ยวระดับพื้น 5. ทางแยกต้นเปาพัฒนาหรือแยกหลุยส์ ทล.121 ตัด ทล.1006 (กม. ที่ 15+310) ออกแบบการจราจรทิศทางตรงบนทางหลวงหมายเลข 121 ใช้สะพานข้ามทางแยก ทางเลี้ยวขวาทุกทิศทางออกแบบให้ใช้วงเวียน สำหรับทิศทางอื่นเป็นทางเลี้ยวระดับพื้น ทิศทางตรงบนทางหลวงหมายเลข 1006 ออกแบบให้ใช้ทางลอด สำหรับรถที่สูงไม่เกิน 3.50 เมตร โดยช่วงระหว่าง กม. ที่ 0+000 ถึง กม. ที่ 12+200 ที่ผ่านทางแยกสะเมิง แยกกองทราย และแยกซุปเปอร์ไฮเวย์ ตรวจสอบพบว่าเป็นพื้นที่อ่อนไหวที่ต้องศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานเพื่อเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ส่วนแยกสันกลาง และแยกต้นเปาพัฒนาหรือแยกหลุยส์ นั้น สามารถดำเนินการก่อสร้างเพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาจราจรได้ก่อน โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 คาดว่าใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 2 ปีโดยประมาณ เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ในการเดินทาง ช่วยพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงให้มีความสมบูรณ์เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าให้มีความสะดวกรวดเร็ว รวมถึงสนับสนุนแผนงานโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43154
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว วันที่ 19 ธ.ค. 64 เวลา 18.30 น. ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับมูลนิธิบ้านพระพร จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศลที่จัดขึ้นเพื่อสมทบทุนการศึกษาให้แก่เด็กเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร และเป็นทุนประกอบอาชีพให้แก่แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ แคทลียา อิงลิซ โจนัส แอนเดอร์สัน แอน นันทนา บุญหลง โบ จอยซ์ อู๋ ธรรพ์ณธร อี้ด วงฟลาย คิง เดอะวอยซ์ และซิดนีย์ ThaiBev ThaiTelent เป็นต้น ร่วมขับร้องบทเพลงที่ช่วยจรรโลงใจ สร้างพลังและโอกาสในการร่วมแบ่งปันของคนในสังคม พร้อมน้อมนำบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้มีจัดการอบรมให้ความรู้ด้านดนตรี (แซกโซโฟน) จากอาจารย์เมธวัช (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร พร้อมด้วยทีมงาน ผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ด้านดนตรี ให้แก่เด็ก เยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร เพื่อให้มีทักษะด้านการเล่นดนตรี (แซกโซโฟน) มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณภาพ ด้วยการใช้ดนตรีเป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการแสดงมินิคอนเสิร์ต ณ กระทรวง พม. นับว่าเป็นการสร้างพลังใจ จุดประกายความฝันและแรงบันดาลใจในการเล่นดนตรีนำไปสู่เป้าหมายในชีวิตด้านต่าง ๆ และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองและครอบครัว นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอขอบคุณบริษัท คิง พาวเวอร์ ที่สนันสนุนสถานที่สำหรับการจัดงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ และอยากบอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ดนตรี หรือว่ากีฬา จึงอยากบอกทุกคนว่า ช่วยกันสนับสนุนเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นอนาคตของประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ขยายมาตรการช่วยเหลือแรงงานและผู้ประกอบการ 29 จังหวัดพื้นที่แดงเข้ม ปรับกรอบวงเงินเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564 ครม. ขยายมาตรการช่วยเหลือแรงงานและผู้ประกอบการ 29 จังหวัดพื้นที่แดงเข้ม ปรับกรอบวงเงินเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท ครม. ขยายมาตรการช่วยเหลือแรงงานและผู้ประกอบการ 29 จังหวัดพื้นที่แดงเข้ม ปรับกรอบวงเงินเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงาน ผู้ประกอบการ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 พร้อมขยายกรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท รายละเอียด ดังนี้ 1. ปรับเพิ่มพื้นที่ดำเนินการจากเดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ได้แก่ กทม. กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี อยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรีและอ่างทอง 2. กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ยังคงครอบคลุมกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคม 3. ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ คือ กิจการในระบบประกันสังคมจะครอบคลุม 9 สาขาและในกลุ่มผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะในปัจจุบันที่ผ่านการคัดกรองแล้วและไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จำนวน 5 กลุ่ม 4. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64 5. ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม ได้แก่ ก.ค.-ส.ค. 64 (2 เดือน) กลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติม คือ ส.ค. 64 (1เดือน) “นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้รับมอบหมายให้ไปเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ทำให้ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการลดผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64 ใน 29 จังหวัดสีแดงเข้ม เพื่อนำเข้าที่ประชุมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป” นายอนุชา ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร้อง WTO ต่อเนื่อง เหตุอินเดียบล็อกนำเข้าแอร์ไทยที่ใส่สารทำความเย็น อ้างปฏิบัติตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ก.อุตฯ ร้อง WTO ต่อเนื่อง เหตุอินเดียบล็อกนำเข้าแอร์ไทยที่ใส่สารทำความเย็น อ้างปฏิบัติตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล ก.อุตฯ เร่งช่วยเหลือผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทย เหตุอินเดียห้ามนำเข้าเครื่องปรับ อากาศที่มีสารทำความเย็น อ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล สั่ง สมอ. จี้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการต่อ WTO พร้อมขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้าง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศอินเดียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็น ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นของไทยเป็นอย่างมาก ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Committee on Technical Barriers to Trade : TBT) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการที่สมอ. ได้รับเมื่อเดือนกันยายน 2564 สมอ. ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยหยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 86 เมื่อวันที่ 8-11 มีนาคม 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามพันธกรณีความตกลงที่ประเทศสมาชิกต้องถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ และถือเป็นอุปสรรคทางการค้าโดยไม่จำเป็น แต่อินเดียยังไม่ปฏิบัติตาม และอ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล โดยชี้แจงว่ามาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็นแล้ว เป็นมาตรการที่มีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช สอดคล้องกับพันธกรณีตามพิธีสารมอนทรีออลที่อินเดียเข้าร่วมเป็นภาคี สมอ. จึงได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวอีกครั้งในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 87 เมื่อวันที่ 13 - 15 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดย สมอ. ได้เน้นย้ำให้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณี WTO รวมทั้งขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้างว่า มาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็นเป็นไปตามที่กำหนดในพิธีสารมอนทรีออล เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การร้องเรียนต่อ WTO ที่ สมอ. ดำเนินการนี้ เป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานของประเทศสมาชิกของ WTO และถือเป็นเรื่องที่ทุกประเทศสามารถกระทำได้ หากเห็นว่ามีกฎระเบียบใด ๆ ที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นอุปสรรคทางการค้าของประเทศนั้น ๆ ซึ่ง สมอ. ก็จะร้องเรียนต่อ WTO ในกรณีดังกล่าวจนกว่าอินเดียจะยกเลิกกฎระเบียบที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มในการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปจำหน่ายในอินเดีย โดยถือเป็นการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว 3 สิงหาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57603
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเร่งสำรวจความเสียหาย - เข้าช่วยเหลือ ปชช. จากภัยพายุและน้ำท่วมฉับพลัน ผู้ประสบภัย โทร. สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 นายกฯ สั่งเร่งสำรวจความเสียหาย - เข้าช่วยเหลือ ปชช. จากภัยพายุและน้ำท่วมฉับพลัน ผู้ประสบภัย โทร. สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง ..... พายุฝนและฝนที่ตกสะสมในขณะนี้ อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้พร้อมเข้าสำรวจความเสียหาย และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น . โดยเฉพาะบ้านเรือนของประชาชนที่เสียหาย ต้องดำเนินการซ่อมแซมให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยได้ และดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัยโดยเร็ว . นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง และติดตามการแจ้งเตือน ตลอดจนข่าวสารจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด หากต้องการความช่วยเหลือให้ติดต่อประสานเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ ผ่านไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” (เพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM) หรือ โทร. สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง แอปฯ “THAI DISASTER ALERT” #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมไทยลงนามบันทึกความเข้าใจแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมไทยลงนามบันทึกความเข้าใจแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมไทยลงนามบันทึกความเข้าใจแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา วันนี้ (12 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและขอบคุณการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อร่วมหารือ และได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์ แบบทวิภาคีกับรัฐบาลกัมพูชา โดยที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้มีความร่วมมือ ประสานงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหา และปฏิบัติการติดตามและจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกลุ่มมิจฉาชีพทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา รวมทั้งในโอกาสนี้ได้ติดตามผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 แก๊งใหญ่ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 74 คน และพบบุคคลทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ต้องหา จึงได้นำตัวออกมาสอบสวนดำเนินคดีอีกจำนวน 15 คน รวมควบคุมตัวได้ทั้งสิ้น 89 คน “นายกรัฐมนตรีขอบคุณ และชื่นชมการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภัยร้ายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชนชาวไทย และหน่วยงานภาครัฐที่ถูกแอบอ้าง โดยนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความรู้ ความเข้าใจ กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง อย่าได้หลงกลเชื่อมิจฉาชีพเหล่านี้อีกเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองปลัดฯ วรวรรณ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างองค์ความรู้ ในการพัฒนาเครือข่าย อุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ​รองปลัดฯ วรวรรณ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างองค์ความรู้ ในการพัฒนาเครือข่าย อุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ​รองปลัดฯ วรวรรณ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 สิงหาคม 2565) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการอุตสาหกรรมโดยการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับจังหวัดและภูมิภาครวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมและผู้ประกอบการที่นำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมมาใช้ในสถานประกอบการจนประสบผลสำเร็จนำไปสู่การขยายผลเกิดเครือข่ายอุตสาหกรรมรักสิ่งแวดล้อมและสถานประกอบการผ่านเกณฑ์ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและเพื่อการอยู่ร่วมกันของสถานประกอบการอุตสาหกรรมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยมีนายนฤบดินทร์ วุฒิวรรณ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กล่าวรายงานผ่านทางระบบออนไลน์ Zoom Meeting ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นับถอยหลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ นายก ฯ มอบหมายงานทำแผน มาตรการเฝ้าระวัง ลั่นมีการติดตามสถานการณ์ หลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ อย่างใกล้ชิด
วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564 นับถอยหลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ นายก ฯ มอบหมายงานทำแผน มาตรการเฝ้าระวัง ลั่นมีการติดตามสถานการณ์ หลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ อย่างใกล้ชิด นับถอยหลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ นายก ฯ มอบหมายงานทำแผน มาตรการเฝ้าระวัง ลั่นมีการติดตามสถานการณ์ หลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้ อย่างใกล้ชิด วันนี้ 30 ตุลาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบหมายทุกภาคส่วนราชการจัดเตรียมมาตรการเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ หลังการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย 1 พฤศจิกายน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย จัดทำข้อกำหนดการดำเนินงาน เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลกิจการประเมิน ติดตาม และเฝ้าระวัง สถานประกอบการต่าง ๆ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1 Self Certification : ให้สถานประกอบการทุก Setting ลงทะเบียน ประเมินตนเองบนระบบ Thai Stop COVID Plus เพื่อยกระดับตามมาตรการ COVID Free Setting และให้ทุกสถานประกอบการติด E-Certificated ในจุดที่ผู้ใช้บริการเห็นเด่นชัด ส่วนที่ 2 People Voice : ประชาชนสามารถประเมิน แนะนำ ติชม ร้องเรียน สถานประกอบการในพื้นที่ COVID Free Area/Zone ผ่านช่องทาง QR Code ใน E-Certificate , Website Thai Stop COVID Plus และ เฟซบุ๊ก “ผู้พิทักษ์อนามัย (COVID Watch)” และ ส่วนที่ 3 Active Inspection : จัดตั้งคณะกรรมการ ร่วมตรวจ กำกับ COVID Free Area/Zone ภาครัฐและภาคประชาชน ตรวจประเมินทุก 2 สัปดาห์ กำกับมาตรการตาม พรบ.การสาธารณสุข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จัดทำ Checklist และเป้าหมาย โดยตรวจสอบข้อมูลบน Thai Stop COVID Plus ให้คำแนะนำ ตักเตือน กิจการที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด (พรบ.การสาธารณสุข พรบ.โรคติดต่อ พรบ.สถานบริการ และ พรก.ฉุกเฉิน) ทั้งนี้ เมื่อมีการเปิดประเทศแล้ว คณะกรรมการบูรณาจากทุกภาคส่วนก็จะดำเนินการตรวจสอบและประเมินทุก 2 สัปดาห์ รวมทั้ง แต่ละหน่วยจะมืการจัดทำแผนเผชิญเหตุและความพร้อมทรัพยากร เช่น โรงพยาบาลสนาม พื้นที่สำหรับการกักตัว/แยกกัก เวชภัณฑ์/ยา ด้วย สำหรับยอดการฉีดวัคซีนสถิติการฉีดวัคซีน ภาพรวมทั่วประเทศ ณ 28 ต.ค. นี้ แบ่งเป็นการฉีดเข็มแรกแล้ว 57.63% เข็มสอง 41.47 % กทม. และปริมณฑล เข็มแรก สูงสุด 88.28% และเข็มสอง 64.85% โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมั่นใจระบบสาธารณสุขของไทยต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัยในการเตรียมมาตรการรองรับในการป้องกันตนเองหลังเปิดประเทศ ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคนต้องปฏิบัติเข้มตามมาตรการ Universal Prevention เปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ ซึ่งจะผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งการเปิดประเทศแล้วไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีผู้ติดเชื้อ แต่จะอยู่ในระดับที่ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ซึ่งรัฐบาลพร้อมชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีมาตรการรองรับและระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็ง ซึ่งขณะนี้ หลายประเทศจับตาดูไทยและจะจัดทำพื้นที่ท่องเที่ยวแซนด์บ็อกซ์ตามรูปแบบของประเทศไทยด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47617
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ พร้อม 2 มิถุนายน นี้ เริ่มขายสลากกว่า 5 ล้านฉบับผ่านแอพเป๋าตัง ในขณะที่จุดจำหน่ายสลาก 80 ใกล้ครบทุกภูมิภาค
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 สำนักงานสลากฯ พร้อม 2 มิถุนายน นี้ เริ่มขายสลากกว่า 5 ล้านฉบับผ่านแอพเป๋าตัง ในขณะที่จุดจำหน่ายสลาก 80 ใกล้ครบทุกภูมิภาค สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันแถลงความคืบหน้ามาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา และความพร้อมของการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซื้อขายด้วยแอพเป๋าตังและถุงเงิน วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) เวลา 15.00 น.ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ ชั้น 3 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการ พร้อมด้วย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันแถลงความคืบหน้ามาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา และความพร้อมของการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซื้อขายด้วยแอพเป๋าตังและถุงเงิน นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ขณะนี้ การพัฒนาระบบการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ สลากดิจิทัล มีความพร้อมเปิดให้บริการแก่ประชาชนได้ซื้อสลากในราคา 80 บาทแล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายนนี้ เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป โดยในวันนี้ สำนักงานสลากฯ ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ได้จัดทำภาพเคลื่อนไหวอธิบายขั้นตอน และวิธีการซื้อขายให้ประชาชนเข้าใจ สำหรับการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มของสำนักงานสลากฯ นี้ เป็นการนำสลากแบบเดิม ที่ยังคงมีการพิมพ์สลากออกมาก่อน มาสแกนแล้วนำเข้าแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่าย ตัวสลากยังเป็นสลากของตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล ซึ่งทำสัญญากับสำนักงานสลากฯ รวมถึงการออกรางวัลและการขึ้นเงินรางวัลยังคงเป็นแบบเดิมทุกประการ โครงการนี้ จะทำให้ผู้ซื้อสามารถหาซื้อสลาก 80 บาทได้ และสลากเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ ไม่สามารถเปลี่ยนมือ หรือถูกแอบอ้างได้ และยังเป็นการช่วยส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมรายได้ ให้กับพ่อแม่พี่น้องตัวแทนรายย่อยที่นำสลากมาขายในแพลตฟอร์มอีกด้วย ในส่วนของผู้ขาย ก็มีช่องทางการจำหน่ายที่สะดวก มีอัตราการมองเห็นกว้างขวาง จำหน่ายได้มากขึ้นและ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ขณะนี้ มีตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล จำนวน 10,258 ราย ในเบื้องต้นจะมีสลากจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มการจำหน่ายสลากของสำนักงานฯ ไม่น้อยกว่า 5,279,500 ฉบับ สำหรับโครงการสลาก 80 ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายสลากที่มุ่งหมายให้มีการกระจายไปทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถหาซื้อสลากในราคา 80 บาท ผ่านแอพเป๋าตังและถุงเงินนั้น ขณะนี้เป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ซื้อดีขึ้นมาก ปัจจุบัน มีทั้งหมด 362 จุด ในกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนที่ภาคเหนือ และภาคใต้ เพิ่งทำสัญญาเสร็จเรียบร้อย คาดว่าจำหน่ายได้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในงวด 1 กรกฎาคม 2565 และในส่วนของโครงการลงทะเบียนผู้ซื้อจองล่วงหน้านั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติให้ครบถ้วนต่อไป ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติงบกลางวงเงิน 2,241 ล้านบาทเพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อปท.ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 40 จังหวัด 889 โครงการ
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 ครม.อนุมัติงบกลางวงเงิน 2,241 ล้านบาทเพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อปท.ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 40 จังหวัด 889 โครงการ ครม.อนุมัติงบกลางวงเงิน 2,241 ล้านบาทเพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อปท.ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 40 จังหวัด 889 โครงการ วันที่ 14 มิถุนายน 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 2,241 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 40 จังหวัด อปท.จำนวน 625 แห่ง รวม 889 โครงการ ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2564 ได้เกิดอุทกภัยจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ คือพายุโซนร้อนโกนเซิน และพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ ทำให้ประเทศไทยมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางแห่ง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างกว้างขวาง และเป็นสาเหตุให้สิ่งก่อสร้าง ถนน สิ่งสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ของอปท.ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ ซึ่งมีทั้งโครงการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) 13 จังหวัด 13 อบจ. 13 โครงการ เช่น โครงการปรับปรุง ซ่อมแซมถนนลาดยาง ซ่อมสร้างถนนลูกรังปิดผิวลาดยางแอสฟัลต์คอนกรีต, เทศบาลนครมี 1 จังหวัด 1เทศบาลนคร 2 โครงการ คือ เทศบาลนครนครราชสีมา เช่น ปรับปรุงผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก, เทศบาลเมือง 2 จังหวัด 2 เทศบาลเมือง 4 โครงการ เช่น ปรับปรุงผิวจราจรโดยการปูแอสฟัลต์ติกคอนกรีตด้วยวิธี Overlay และเทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ใน 40 จังหวัด 189 เทศบาลตำบล 420 อบต.จำนวน 870 โครงการ เช่น ปรับปรุงผิวจราจรจากถนนลูกรังเป็นถนนหินคลุกบดอัด ขณะที่กระทรวงกลาโหมและกระทรวงคมนาคมเห็นด้วยกับการอนุมัติงบประมาณครั้งนี้ โดยกระทรวงคมนาคมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า โครงการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณควรมีความพร้อมของแบบแปลน และประมาณราคา สามารถดำเนินการก่อสร้างและเบิกจ่ายงบประมาณได้แล้วเสร็จโดยเร็ว และขอให้กระทรวงมหาดไทยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติครม.และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” หนุนดีป้า ลุยเมกะโปรเจกต์ HACKaTHAILAND เสริมทักษะดิจิทัลให้กับประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 “ชัยวุฒิ” หนุนดีป้า ลุยเมกะโปรเจกต์ HACKaTHAILAND เสริมทักษะดิจิทัลให้กับประชาชน “ชัยวุฒิ” หนุนดีป้า ลุยเมกะโปรเจกต์ HACKaTHAILAND เสริมทักษะดิจิทัลให้กับประชาชน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานแถลงข่าวเปิดโครงการการเผยแพร่และกระตุ้นการรับรู้พร้อมยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจยุค New Normal หลังวิกฤติโควิด 19 "HACKa THAILAND" ณ ห้อง Ballroom ชั้น 5 อาคารดีป้า โครงการ HACKaTHAILAND เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด New Normal : Digital Possibilities ซึ่งแสดงให้ได้เห็นว่า “ดิจิทัลสร้างให้ทุกโอกาสเกิดขึ้นได้” และจะช่วยเสริมสร้างความพร้อมให้กับประชาชน รองรับการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงความรู้และยกระดับทักษะดิจิทัล ก่อนนำพาประเทศเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการ HACKaTHAILAND ได้ที่ www.hackathailand.com เฟซบุ๊ก : HACKaTHAILAND และ Line OA : depaThailand ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48435
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้เชื่อมั่นวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ไทยเลือกใช้ WHO ให้การรับรอง ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก พร้อมเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ฉีด
วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2564 นายกรัฐมนตรีขอให้เชื่อมั่นวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ไทยเลือกใช้ WHO ให้การรับรอง ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก พร้อมเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ฉีด นายกรัฐมนตรีขอให้เชื่อมั่นวัคซีน 3 ยี่ห้อที่ไทยเลือกใช้ WHO ให้การรับรอง ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก พร้อมเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ฉีด วันที่ 15 ก.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าวัคซีนที่รัฐบาลเร่งจัดหาให้เป็นวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนที่อยู่ใoประเทศทั้ง 3 ยี่ห้อในขณะนี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยที่ แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) และซิโนแวค (Sinovac) ซึ่งเป็นวัคซีนหลัก และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกนั้น ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยา และได้รับการยืนยันทางการแพทย์และนักระบาดวิทยาว่า มีประสิทธิภาพสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเกิดอาการรุนแรงของผู้ติดเชื้อ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้มีแผนการนำเข้าวัคซีนต่างเทคโนโลยี อาทิ วัคซีน Pfizer และวัคซีน Moderna ซึ่งเป็นเทคโนโลยี mRNA และวัคซีน Johnson & Johnson ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Viral Vector Vaccine เช่นเดียวกับ AstraZeneca ขณะที่ ซิโนแวค และซิโนฟาร์มเป็น Inactivated Vaccine เพื่อให้ความมั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสามารถลดภาวะเจ็บป่วยรุนแรง ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนแอสตราเซเนกา เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2564, วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ขณะที่วัคซีนทั้ง 3 ยี่ห้อ องค์การอาหารและยา (อย. ) ได้อนุมัติเพื่อให้สามารถใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ซิโนแวค (Sinovac) 22 ก.พ. 2564 และ ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา “วัคซีนที่ไทยนำเข้ามาใช้ทั้ง 3 ยี่ห้อมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยแอสตราเซเนกามีการใช้แล้วใน 118 ประเทศทั่วโลกขณะที่ซิโนแวคมีใช้ใน 37 ประเทศและซิโนฟาร์มมีการใช้ 56 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (The Vaccine Alliance หรือ Gavi) ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือระหว่างองค์กรรัฐและเอกชน ซึ่งมีทั้ง องค์การอนามัยโลก และ UNICEF ร่วมเป็นสมาชิก มีแผนการจัดส่งวัคซีนกว่า 110 ล้านโดส จาก Sinopharm จำนวน 60 ล้านโดส และ Sinovac ประมาณ 50 ล้าน ภายในปีนี้ เพื่อสนับสนุน COVAX ในการแจกจ่ายให้กับประเทศยากจนทั่วโลก ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกันในระดับนานาชาติเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะทุกประเทศรวมทั้งท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและเห็นสอดคล้องว่า วัคซีนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับระบาดไปอีกอย่างน้อยใน 1-2 ปีข้างหน้า” นายอนุชา ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมฟื้นตัวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ก้าวไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม สร้างผลประโยชน์ให้ประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 ไทยพร้อมฟื้นตัวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ก้าวไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม สร้างผลประโยชน์ให้ประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน ไทยพร้อมฟื้นตัวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ก้าวไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม สร้างผลประโยชน์ให้ประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน วันนี้ (13 กันยายน 2564) เวลา 16.30 น. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ เข้าร่วมการบรรยายสรุปพัฒนาการโครงการ Phuket Sandbox แผนการเปิดรับนักท่องเที่ยว และนโยบายการเปิดประเทศ ให้แก่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยในกลุ่มประเทศเป้าหมาย ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงนโยบายการเปิดประเทศและฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย สาระสำคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลรุนแรงในระดับสากล ส่งผลกระทบในทุกมิติ โดยเฉพาะภาคบริการและภาคการท่องเที่ยว รายได้ทางการท่องเที่ยวจากการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยมีมากถึง 40 ล้านคน และเคยสร้างรายได้ให้ประเทศมากกว่า 2 ล้านล้านบาทลดลงไปอย่างมาก นโยบายเปิดประเทศและฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย จึงเป็นประเด็นสำคัญต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมไทย ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกนโยบายและมาตรการส่งเสริม กระตุ้น และประคับประคองเศรษฐกิจ รวมถึงเยียวยา ดูแลผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว จึงได้ริเริ่มโครงการ Phuket Sandbox เปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางสู่ประเทศไทย ควบคู่ไปกับมาตรการสาธารณสุขที่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมคาดหวังว่า เสน่ห์ของภูเก็ตจะช่วยสร้างแรงดึงดูด และความประทับใจจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ในปัจจุบัน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านอื่นๆ กำลังดีขึ้น ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทุกคน ที่ได้ช่วยส่งเสริมสินค้าไทยส่งออกไปยังต่างประเทศ จนทำให้ตัวเลขการส่งออกดีขึ้น และขอให้เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีความประสงค์ที่จะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น ขณะนี้ รัฐบาลได้เร่งควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเร่งการฉีดวัคซีนให้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน ให้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดสแรกก่อนจึงจะเปิดประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย รองนายกรัฐมนตรีฯ ยังเน้นย้ำถึงความสำเร็จของโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ภาครัฐ เอกชน และประชาชนได้ร่วมมือกันฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาต่อเนื่องนับเป็นจุดเริ่มต้นการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการฟื้นตัวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ โดยใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวให้เกิดความสมดุล ไม่ทำให้การท่องเที่ยวสร้างผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงจำเป็นที่ต้องหาวิธีวางแผนและปรับปรุงเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และสร้างรายได้ให้ประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน อนึ่ง การจัดการบรรยายสรุปครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยในต่างประเทศได้รับทราบข้อมูล สถานะ และทิศทางของโครงการ Phuket Sandbox แผนงานเปิดรับการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งนโยบายการเปิดประเทศและการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภาพกว้าง เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่น โดยในการบรรยายสรุปครั้งนี้ มีเอกอัครราชทูต อุปทูต กงสุลใหญ่ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ กว่า 60 แห่ง ทั่วโลกเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 3 กลุ่มเปราะบาง
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 นายกฯ ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 3 กลุ่มเปราะบาง ..... นายกฯ ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 3 กลุ่มเปราะบาง เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนอย่างครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกรัฐบาลโต้ "สุทิน" ซักฟอกควรเน้นเนื้อหามากกว่าจำนวนวันอภิปราย ดักคอ ควรใช้เวทีนี้เสนอแนะด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่หวังหาเสียงล่วงหน้า ลั่นรัฐบาลพร้อมแจงทุกประเด็น
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลโต้ "สุทิน" ซักฟอกควรเน้นเนื้อหามากกว่าจำนวนวันอภิปราย ดักคอ ควรใช้เวทีนี้เสนอแนะด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่หวังหาเสียงล่วงหน้า ลั่นรัฐบาลพร้อมแจงทุกประเด็น โฆษกรัฐบาลโต้ "สุทิน" ซักฟอกควรเน้นเนื้อหามากกว่าจำนวนวันอภิปราย ดักคอ ควรใช้เวทีนี้เสนอแนะด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่หวังหาเสียงล่วงหน้า ลั่นรัฐบาลพร้อมแจงทุกประเด็น วอนฝ่ายค้านเปิดใจรับฟังคำชี้แจงด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาอภิปรายลูกเดียว วันที่ 27 มิถุนายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลครั้งนี้มีผู้ถูกอภิปรายถึง 11 คน คงจะต้องได้วันอภิปรายไม่น้อยกว่า 4 วันว่า สุดท้ายแล้วฝ่ายค้านก็เผยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงออกมาให้เห็นว่า การใส่ชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมากถึง 11 คนในญัตตินั้น ไม่ใช่เพราะว่ามีข้อมูลหรือหลักฐานการทุจริตที่ชัดเจนใดๆ เลย แต่เป็นเพราะต้องการจะใช้เวลาอภิปรายให้ได้มากวันที่สุด เนื่องจากฝ่ายค้านต้องการจะใช้เวทีนี้เพื่อหาเสียงให้กับตัวเองก่อนจะถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เรื่องการกำหนดวันนั้นเป็นเรื่องที่วิปทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องไปพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกัน แล้วจึงแจ้งมาที่รัฐบาล แต่อยากขอให้ฝ่ายค้านใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เน้นที่เนื้อหามากกว่าจำนวนวันอภิปราย รวมทั้งควรเสนอแนะหรือชี้ให้เห็นข้อบกพร่องอย่างชัดเจนด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง ไม่ใช่ใช้แต่วาทกรรมเสียดสีเพื่อหวังจะหาเสียงเท่านั้น ซึ่งแบบนั้นประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ส่วนกรณีที่ระบุว่า ได้เตรียมหมัดเด็ดในการตรวจสอบนายกฯ และรัฐมนตรี นอกจากนี้หลังการอภิปรายจะยื่นข้อมูลหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ให้เอาผิดนายกฯ และรัฐมนตรีบางคนด้วยนั้น นายธนกร กล่าวว่า หากฝ่ายค้านคิดว่ามีหมัดเด็ดจริงก็สามารถนำมาเปิดเผยต่อที่ประชุมสภาฯ ได้ รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกประเด็นอยู่แล้ว เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้เด็ดขาดกับการทุจริตคอรัปชั่น เพียงแต่อยากจะขอร้องฝ่ายค้านว่า ข้อมูลที่นำมาอภิปรายนั้น หากเป็นเพียงแค่ข้อพิรุธที่ฝ่ายค้านเชื่อเอาเอง หรือทึกทักเอาเองว่าน่าจะมีการทุจริต เมื่อรัฐบาลชี้แจงแล้วก็ควรเปิดใจรับฟังด้วย ไม่ใช่ยังคงหลับหูหลับตาอภิปรายต่อไปว่ามีการทุจริต เพราะแบบนั้นสุดท้ายฝ่ายค้านเองที่จะถูกหมัดเด็ดรัฐบาลน็อกกลางสภาฯ และถูกประชาชนลงโทษที่อภิปรายแบบไร้คุณภาพในการเลือกตั้งสมัยหน้า ..................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 19 ราย
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 19 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 19 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 2 เขตการเดินรถที่ 3 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 2 เขตการเดินรถที่ 3 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 45 เขตการเดินรถที่ 3 5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 117 เขตการเดินรถที่ 8 6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 138 เขตการเดินรถที่ 5 7) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 45 เขตการเดินรถที่ 3 8) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 141 เขตการเดินรถที่ 5 9) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 23 เขตการเดินรถที่ 3 10) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 36ก เขตการเดินรถที่ 8 11) พนักงานบัญชีค่าโดยสาร ระดับ 2 อู่เอราวัณ เขตการเดินรถที่ 3 12) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 136 เขตการเดินรถที่ 4 13) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 60 เขตการเดินรถที่ 2 14) พนักงานเติมน้ำมันรถโดยสาร อู่คลองเตย เขตการเดินรถที่ 4 15) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เพศหญิง เขตการเดินรถที่ 6 16) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 536 เขตการเดินรถที่ 3 17) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4 18) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4 19) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 141 เขตการเดินรถที่ 5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44096
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายก" สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา กรณี ประชาชนถูกดูดเงินบัญชีธนาคารผิดปกติ ขณะที่ประธานสมาคมธนาคารไทยและแบงค์ชาติยันธนาคารไม่ได้โดนแฮกแต่เกิดจากซื้อของผ่านออนไลน์พร้อมดูแลคืนเงินให้ผู้เสียหาย
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย "นายก" สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา กรณี ประชาชนถูกดูดเงินบัญชีธนาคารผิดปกติ ขณะที่ประธานสมาคมธนาคารไทยและแบงค์ชาติยันธนาคารไม่ได้โดนแฮกแต่เกิดจากซื้อของผ่านออนไลน์พร้อมดูแลคืนเงินให้ผู้เสียหาย โฆษกรัฐบาลเผย "นายก" สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา กรณี ประชาชนถูกดูดเงินบัญชีธนาคารผิดปกติ ขณะที่ประธานสมาคมธนาคารไทยและแบงค์ชาติยันธนาคารไม่ได้โดนแฮกแต่เกิดจากซื้อของผ่านออนไลน์ไม่ใช่แอปดูดเงิน พร้อมดูแลคืนเงินให้ผู้เสียหาย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีประชาชนร้องเรียนว่าถูกหักเงินจากบัญชีธนาคาร บัญชีบัตรเครดิต หรือบัญชีบัตรเดบิต อย่างผิดปกติเป็นจำนวนมาก หรือลักษณะผูกบัญชีไว้กับวิลเลจหรือสโตร์ออนไลน์ โดยจำนวนเงินที่หักไม่สูง แต่มีจำนวนหลายรายการติดๆ กัน นั้นทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปตรวจสอบเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา นายธนกร กล่าวว่า ตนได้ประสานไปยังนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ซึ่งประธานสมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า ทีมงานของสมาคมธนาคารไทย กำลังร่วมประชุมกับทีม Fraud (ทีมตรวจสอบการทุจริตฉ้อโกงเกี่ยวกับระบบธนาคาร) และชมรมผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (Chief Information Officer :CIO) ของธนาคารพาณิชย์ ถึงเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ล่าสุดทางสมาคมธนาคารไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า โดยเบื้องต้นพบว่า มิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากธนาคาร แต่เป็นรายการที่เกิดจากการทําธุรกรรมชําระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และ ไม่ใช่แอปดูดเงินตามที่ปรากฏเป็นข่าวขณะนี้ธนาคารเจ้าของบัตรได้ดําเนินการระงับการใช้บัตรของลูกค้าที่มีรายการผิดปกติ และติดต่อลูกค้า รวมทั้งอยู่ระหว่างดําเนินการตรวจสอบร้านค้าที่มีธุรกรรมที่ผิดปกติเหล่านี้ นอกจากนี้ ลูกค้าที่ตรวจสอบพบความผิดปกติของรายการธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันการทําธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้น และเร่งคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายตามขั้นตอนของธนาคารโดยเร็วต่อไป ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทําธุรกรรมทางการเงิน และ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารพาณิชย์มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการ ตรวจสอบการทําธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบรายการที่ผิดปกติ ธนาคารจะแจ้งลูกค้าเพื่อตรวจสอบและยืนยันรายการธุรกรรม และพร้อมจะดูแลลูกค้าด้วยความรับผิดชอบเสมอ ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ภายในสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มีหน้าที่ ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังความเสี่ยงในการเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น เป็นศูนย์กลางเครือข่ายข้อมูล จัดทำข้อมูลทางสถิติเพื่อรับมือภัยคุกคาม วิเคราะห์และตรวจสอบข่าวกรองที่เกี่ยวข้อง ดำเนินมาตรการเชิงรับเมื่อมีภัยคุกคามทางไซเบอร์เกิดขึ้น เช่น เป็นศูนย์กลางรับแจ้งเหตุและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม และบริหารจัดการคุณภาพเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เช่น ผลักดันและสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้ และยกระดับความสามารถหน่วยปฏิบัติงาน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อยากให้ลูกหนี้เข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้-ลงทะเบียนรับสิทธิให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์มากมาย
วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อยากให้ลูกหนี้เข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้-ลงทะเบียนรับสิทธิให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์มากมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อยากให้ลูกหนี้เข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้-ลงทะเบียนรับสิทธิให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์มากมาย หากไม่เข้าร่วมจะโดนฟ้องดำเนินคดี-ยึดทรัพย์ ยันนายกฯต้องการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความเดือดร้อน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตนได้ประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดงาน มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 กทม.-ปริมณฑล ระหว่างวันที่ 25-26 ก.พ. ที่ไบเทค บางนา โดยเวลานี้กระบวนการตอบรับของประชาชนที่เป็นหนี้อยู่ในเกณฑ์มากพอสมควร แต่ตนต้องการให้ประชาชนลงทะเบียน QR โค๊ดของงาน เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆในงานให้มากที่สุด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน เวลานี้เรามีลูกหนี้ ในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ทั้งหมด 95,850 ราย รวมมูลค่า 10,576 ล้านบาท แบ่งเป็นผู้เป็นหนี้ก่อนฟ้อง 48,590 ราย มูลค่า 4,186 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้สินเชื่อบัตรเครดิต 24,370 ราย สินเชื่อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 3,924 ราย ลูกหนี้ กยศ. 20,296 ราย ส่วนของบังคับคดี มีส่วนที่มีคำพิพากษาแล้ว 47,260 ราย ลูกหนี้ชั้นบังคับคดี (ยึด ขายทอดตลาด) 539 ราย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า โดยสิทธิประโยชน์ที่ผู้ร่วมงานจะได้ ชั้นก่อนฟ้อง ของ กยศ. คือ 1. ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ 2. ปรับลดเบี้ยปรับ ลดดอกเบี้ย ลดค่างวดรายเดือน 3. งดฟ้องดำเนินคดี และ 4. ปลดผู้ค้ำประกันตามกฎหมาย ส่วนหนี้ของสถาบันการเงิน จะได้สิทธิ คือ 1. ส่วนลดปิดบัญชีขั้นต่ำ 20% 2. ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 60 งวด และ 3. สิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของชั้นบังคับคดี สิทธิประโยชน์ของลูกหนี้ กยศ. คือ 1. ขยายเวลสผ่อนชำระหนี้ 2. ลดเบี้ยปรับ ลดจำนวนเงินผ่อนชำระหนี้ และ 3. งดยึดทรัพย์ งดขายทอดตลาด ลูกหนี้จะไม่ถูกบังคับคดี ส่วนลูกหนี้สถาบันการเงิน จะได้สิทธิ ส่วนลดปิดบัญชีสูงสุด 100% ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 36 งวด และ สิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนไกล่เกลี่ย 1. ลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านระบบ QR โค๊ดและเว็บไซต์ 2. รับคิวเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย 3. เข้าสู่การไกล่เกลี่ยโดยมีผู้ไกล่เกลี่ยเป็นคนกลาง และ 4. จัดทำบันทึกข้อตกลงการไกล่เกลี่ย "ผมอยากให้ประชาชนที่เป็นหนี้ตื่นตัว การเดินทางมาร่วมงานจะได้สิทธิต่างๆมากมาย เพราะรัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อน แต่หากไม่มาคุณจะเสียสิทธิต่างๆ คือ จะถูกฟ้องดำเนินคดี และถูกยึดทรัพย์สิน โดยผู้ที่ต้องการที่จะร่วมงานสามารถลงทะเบียนผ่านระบบ QR โค๊ดของงานได้ หรือยังมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วน 1111 กด 79 กรมบังคับคดีพร้อมที่จะให้คำปรึกษา เราต้องการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความเดือดร้อนจริงๆ" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับสาธารณสุขเพิ่มการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิดแก่ประชาชนในวงกว้าง รองรับผู้หายป่วยที่มีผลข้างเคียงจากโรคมากขึ้น ให้สามารถดูแลตนเองได้
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565 นายกรัฐมนตรีกำชับสาธารณสุขเพิ่มการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิดแก่ประชาชนในวงกว้าง รองรับผู้หายป่วยที่มีผลข้างเคียงจากโรคมากขึ้น ให้สามารถดูแลตนเองได้ ​นายกรัฐมนตรีกำชับสาธารณสุขเพิ่มการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิดแก่ประชาชนในวงกว้าง วันที่ 16 เม.ย. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระบวนการให้การรักษาและความพร้อมของเวชภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมและเพียงพอทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ด้วยสายพันธุ์โอมิครอนที่มีลักษณะการแพร่เชื้อได้ง่าย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่ยังทรงตัวในระดับสูง แม้ความรุนแรงของโรคจะไม่มากสำหรับผู้มีร่างกายแข็งแรง แต่ก็ได้มีผู้หายป่วยแล้วจำนวนมากที่มีภาวะลองโควิด (Long Covid) หรืออาการที่เกิดขึ้นภายหลังหายป่วยจากโควิด ที่เกิดขึ้นได้กับหลายระบบในร่างกาย ไม่ว่าจะระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด นายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความรู้ และเพิ่มการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้างเกี่ยวกับภาวะลองโควิดและการดูแลตัวเองเมื่อเกิดภาวะดังกล่าว เนื่องจากยังมีผู้ป่วยที่รักษาตนเองที่บ้านที่ไม่ได้มารับการรักษาในโรงพยาบาลบางส่วนที่อาจยังไม่มีความรู้และยังไม่ได้รับการแนะนำในการดูแลตนเองหลังหายป่วยจากโควิด19 “ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้มีแนวเวชปฏิบัติเกี่ยวกับการวินิจฉัย การรักษาผู้ที่มีภาวะลองโควิด ตลอดจนข้อแนะนำในการดูแลตนเองของผู้ป่วยอยู่แล้ว ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับให้กระทรวงสาธารณสุข สร้างการรับรู้ ให้ความรู้กับประชาชนในส่วนนี้ในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อที่ยังสูงจะทำให้สัดส่วนผู้มีภาวะลองโควิดเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน และผู้ดูแลตัวเองที่บ้านบางส่วนอาจจะยังไม่มีความรู้ในส่วนนี้ โดยหากประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ก็จะช่วยลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ลงอีกทางหนึ่งด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ EEC อนุมัติร่างแผนแม่บทและแผนการดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหญ่น่าอยู่อัจฉริยะ
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ EEC อนุมัติร่างแผนแม่บทและแผนการดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหญ่น่าอยู่อัจฉริยะ นายกรัฐมนตรี ประชุมบอร์ด EEC ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ EEC อนุมัติร่างแผนแม่บทและแผนการดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหญ่น่าอยู่อัจฉริยะ เตรียมเสนอ ครม. พิจารณา วันนี้ (11 ก.ค.65) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการ EEC มีความคืบหน้าโดยลำดับทั้งที่ผ่านมาและปัจจุบัน โดยย้ำให้คณะกรรมการฯ ร่วมกันพิจารณาและช่วยกันทำงานด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ พร้อมขอให้มีการนำข้อมูลต่าง ๆ ส่งไปให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยกันทำความเข้าใจถึงความจำเป็นและความสำคัญในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ EEC ซึ่งถือเป็นอนาคตของประเทศ ที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด และให้สามารถที่จะดูแลประชาชนได้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อให้ประเทศมีการพัฒนาและประชาชนอยู่รอด พอเพียง อย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ๆ ต้องให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมกล่าวถึงการพัฒนาระบบนิเวศอากาศยานไร้คนขับ (UAS Ecosystem) ในพื้นที่ EEC โดยย้ำว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ ซึ่งประเทศไทยต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้องการพัฒนาในอนาคต รวมไปถึงให้มีการศึกษาพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ให้สอดคล้องกับการดำเนินการดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหารือดำเนินการให้รอบคอบถึงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีน้ำใช้เพียงพออย่างยั่งยืน โดยในระยะเร่งด่วนให้ สกพอ. กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโครงข่ายท่อประปาที่เสื่อมสภาพ และนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาช่วยในการดำเนินการจัดการน้ำในพื้นที่ พร้อมให้มีการพิจารณาในเรื่องของราคาค่าน้ำให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงการไม่เพิ่มภาระให้กับประชาชนด้วย และนายกรัฐมนตรีย้ำว่าการดำเนินโครงการ EEC มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหลายส่วน ดังนั้นต้องวางแผนงานให้สอดประสานเชื่อมโยงกันทั้งระบบ และให้มีการติดตามประเมินผลต่อเนื่อง ขณะที่การทำสัญญาต่าง ๆ ก็ต้องดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานทุกอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ สำหรับมติที่ประชุม กพอ. ที่ได้สำคัญ ที่ประชุมได้อนุมัติร่างแผนแม่บทและแผนการดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหญ่น่าอยู่อัจฉริยะ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ต่อไป พร้อมมอบหมายให้ สกพอ. จัดทำรายละเอียดการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อเสนอ กบอ. และ พพอ. เพื่อพิจารณาต่อไป สำหรับร่างแผนแม่บทโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยพื้นที่โครงการฯ ประมาณ 14,619 ไร่ ตั้งอยู่ในตำบลห้วยใหญ่ จังหวัดชลบุรี อยู่ในเขต สปก. ระยะเวลาพัฒนาโครงการ 10 ปี เงินลงทุนโครงการ ประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท โครงการลงทุนประกอบด้วย ภาครัฐลงทุนเรื่องที่ดินและโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการส่วนกลาง โดยมีการแบ่งพื้นที่เป็นโซนเพื่อให้เอกชนหรือรัฐวิสาหกิจเช่าที่ดินหรือร่วมลงทุนหรือลงทุนในกิจการด้านระบบสาธารณูปโภค หรือเอกชนเช่าพื้นที่ลงทุนด้านพื้นที่พาณิชย์ ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการสร้างเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะของ EEC คือสามารถรองรับประชากรได้ 350,000 คน ภายในปี 2575 รวมทั้งสร้างงานทางตรงไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2575 และมีมูลค่าการจ้างงานกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีธุรกิจและบริการมาตรฐานสากล มีวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ประมาณ 150-300 กิจการ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดี ปลอดภัย สะดวกสบาย มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมอัจฉริยะที่สะดวกรวดเร็ว มีระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการที่ครบถ้วน ตลอดจนเกิดประโยชน์กับประเทศไทยโดยรวม และจะมีเมืองรองที่ทันสมัย มีเมืองใหม่แห่งอนาคต เป็นต้นแบบการพัฒนาเมืองเน้นความน่าอยู่ กระตุ้นการขยายตัว GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี สินทรัพย์ที่โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา 50 ปี จะมีมูลค่าเพิ่มประมาณ 5 เท่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบการดำเนินงานในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าภารกิจขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) 4 โครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าก่อสร้างแล้วทุกโครงการ อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 2) โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 3) โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และ 4) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งนี้ EEC พร้อมผลักดันทุกโครงการดำเนินการลงทุนได้ตามแผน และทำหน้าที่ประสานความร่วมมือหน่วยงานเจ้าของโครงการ และเอกชนคู่สัญญา ให้การก่อสร้างทุกโครงการ เสร็จตามแผน เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ 2. รับทราบการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะล (Desalination) ในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงต่อทรัพยากรน้ำที่จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำเข้าสู่ระบบทั้งเพื่อการบริโภค ภาคเกษตรและการผลิตในอุตสาหกรรม โดยการดำเนินการต่อไป อีอีซี สทนช. กนอ. และเมืองพัทยา จะร่วมกันหารือถึงแนวทางดำเนินการ การคัดเลือกเทคโนโลยี รูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อขับเคลื่อนการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลได้อย่างยั่งยืนต่อไป 3. รับทราบการยกระดับบริการด้านยีนบำบัด (Gene therapy) สำหรับโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ซึ่งเป็นโรคโลหิตจางทางกรรมพันธุ์ที่พบได้บ่อยในคนไทยและมีค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลต่อเนื่อง เป็นภาระของผู้ปกครอง ครอบครัว และประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้เทคโนโลยี ยีนบำบัดโรคธาลัสซีเมียมีต้นทุนที่เหมาะสม และประชาชนไทยสามารถเข้าถึงได้ ซึ่ง สกพอ. จะทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนาและผลิตยีนบำบัดในไทย และจะเตรียมพื้นที่สำหรับบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนก่อสร้างศูนย์ผลิตอีกด้วย 4. รับทราบความก้าวหน้าเรื่อง จีโนมิกส์ (Genomics) ซึ่ง สกพอ. ได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และบริษัท โรช ประเทศไทย จำกัด (Roche) จัดตั้งศูนย์ทดสอบระดับสากลสำหรับ “การตรวจยีนมะเร็งแบบครอบคลุม” และศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิด non small cell ระยะลุกลามด้วยการแพทย์แม่นยำ ช่วยให้คนไทยได้เข้าถึงการรักษาที่แม่นยำ ลดอัตราการสูญเสียจากโรคมะเร็ง คนไทยได้เข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีด้านการแพทย์ชั้นสูง และยกระดับบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างยั่งยืน 5. รับทราบการพัฒนาระบบนิเวศอากาศยานไร้คนขับ (UAS Ecosystem) หรือ “โดรน” ในพื้นที่อีอีซี โดยบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย (บวท.) ได้จัดทำแนวทางการพัฒนาที่จะเกิดการใช้ประโยชน์ครบมิติ อาทิ ด้านการเกษตร การถ่ายภาพ การขนส่งสินค้าและคน การสำรวจความปลอดภัย อีกทั้งจะขยายศักยภาพต่อยอดในด้านอื่น ๆ โดยประเทศไทย คาดว่าจะมีการใช้โดรนมากถึง 700,000 ลำ ในเวลา 5 ปี และกว่า 80% จะใช้งานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะสร้างประโยชน์ และพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตามแนวคิดการสร้างเมืองการบิน (Aerotropolis) เชื่อมโยงระบบคมนาคมโครงสร้างพื้นฐานหลัก เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขนส่ง ลดต้นทุน ลดเวลา รวมทั้งต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมการผลิต และการแพทย์ครบวงจร เพื่อยกระดับการให้บริการและร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ New S Curve ในพื้นที่อีอีซี ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แถลงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อสภาฯ ย้ำรัฐบาลใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดอย่างเป็นรูปธรรม
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2565 นายกฯ แถลงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อสภาฯ ย้ำรัฐบาลใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดอย่างเป็นรูปธรรม นายกฯ แถลงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อสภาฯ ย้ำรัฐบาลใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดอย่างเป็นรูปธรรม เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน สอดคล้องสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ 31 พฤษภาคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรถึงเป้าหมายและแนวทางร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีหลักการและเหตุผลตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,185,000,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยรับงบประมาณ เป็นจำนวน 3,185,000,000,000 บาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่าร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนย่อย (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และนโยบายรัฐบาล ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยรัฐบาลได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจภายในประเทศและภายนอกประเทศ รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจทั่วไปซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงาน ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 เศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.5 – 4.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศจากการผ่อนคลายลงของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยวภายใต้มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ได้แก่ ผลกระทบของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เงื่อนไขด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ การกลายพันธุ์และการระบาดของเชื้อไวรัส และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 – 2.5 ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 อัตราการขยายตัวของ GDP ปี 2565 อยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงร้อยละ 4.2 - 5.2 ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.2 – 4.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 – 1.5 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวผ่านการจัดทำงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลายโดยประมาณการว่าจะจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิจำนวน 2,614,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 124,100 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,490,000 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินนโยบายการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จึงเป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ จำนวน 2,490,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 695,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับ จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงฐานะการคลังว่า รัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีจำนวน 9,951,962.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 สำหรับฐานะและนโยบายการเงินนั้น รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมายังคงผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้มีความต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกินกรอบเป้าหมายจากราคาพลังงานและราคาอาหารที่ปรับสูงขึ้นมาก และจะปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะไม่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นในปี 2565 รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่จะบรรเทาลง ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย และระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ขณะที่ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 22 เมษายน 2565 มีจำนวน 233,926.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 3.15 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายการจัดทำงบประมาณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่า จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายให้ประเทศได้รับการพัฒนาและฟื้นฟูจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพตลอดช่วงชีวิต มีหลักประกันและความคุ้มครองทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ และเด็ก ได้รับการดูแลและช่วยเหลือจากสวัสดิการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกระจายประโยชน์สู่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากให้มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สามารถยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลุดพ้นจากปัญหาความยากจน และสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อลดภาระทางการคลังและสนับสนุนให้เศรษฐกิจในภาพรวมมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สำหรับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยได้กำหนดแนวทางการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่สำคัญ ดังนี้ (1) ดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนย่อย (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) นโยบายของรัฐบาล เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แผนปฏิบัติราชการของกระทรวง การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ โดยมุ่งให้ความสำคัญกับประเด็นการพัฒนาที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้บรรลุ 13 หมุดหมายตาม (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และโครงการสำคัญประจำปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ จำนวน 406 โครงการ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (2) ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยใช้งบประมาณของหน่วยรับงบประมาณทั้งในส่วนของแผนงานยุทธศาสตร์ แผนงานพื้นฐาน และแผนงานบูรณาการ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ การจัดสวัสดิการที่จำเป็นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนมีการกระจายงบประมาณอย่างเป็นธรรม ไม่ซ้ำซ้อน และเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดต่อประชาชน (3)ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มศักยภาพการถ่ายโอนภารกิจการจัดบริการสาธารณะ ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และประสิทธิผล การใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (4) จัดทำงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน โดยให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณหรือเงินสะสมคงเหลือมาใช้ดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก รวมทั้งต้องพิจารณาแหล่งเงินอื่นในการดำเนินโครงการลงทุน เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณ และทำให้การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ (5) ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีวงเงินงบประมาณ จำนวน 3,185,000 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,396,942.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75.26 รายจ่ายลงทุน จำนวน 695,077.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.82 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.14 ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 7,019.6 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายในกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำแนกตามกลุ่มงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย 1) งบประมาณรายจ่ายงบกลาง จำนวน 590,470.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.6 ของวงเงินงบประมาณ 2) งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ จำนวน 1,090,329.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.2 ของวงเงินงบประมาณ 3) งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ จำนวน 218,477.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.9 ของวงเงินงบประมาณ จำนวน 11 เรื่อง ได้แก่ (1) ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (2) พัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (3) ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (4) เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย (5) บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (6) ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด (7) พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (8) พัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก (9) พัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต (10) รัฐบาลดิจิทัล และ (11) สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 4) งบประมาณรายจ่ายบุคลากร จำนวน 772,119.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.2 ของวงเงินงบประมาณ 5) งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน จำนวน 206,985.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.5 ของวงเงินงบประมาณ และ 6) งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ จำนวน 306,618.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของวงเงินงบประมาณ 2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยได้กำหนดไว้ จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ โดยได้นำยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมากำหนดเป็นกรอบโครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 296,003.6 ล้านบาท เพื่อให้บ้านเมืองมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข ทุกภาคส่วนมีความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศ และได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ (2) การรักษาความสงบภายในประเทศ (3) การพัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (4) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (5) การป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด (6) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง (7) การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ (8) การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ (9) การพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ (10) การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (11) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม (12) การสนับสนุนด้านความมั่นคง และ (13) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 396,125.5 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (เช่น ทางถนน ทางราง ทางน้ำทางอากาศ) (2) การเกษตรสร้างมูลค่า (3) การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (4) การพัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ (5) การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว (6) การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (7) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง แข่งขันได้ (8) การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต (9) การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน (10) การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (11) การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (12) การพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (13) การสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และ (14) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 549,514.0 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีความรู้ คุณธรรม จิตสาธารณะ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษาและการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและทั่วถึง รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาศักยภาพทางการกีฬา และพัฒนาทักษะแรงงานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานเศรษฐกิจในอนาคต จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี (2) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (3) การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ (4) การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬา (5) การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม (6) การสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (7) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ จำนวน 759,861.3 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม สร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สร้างหลักประกันทางสังคมให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน รวมทั้งสร้างหลักประกันสวัสดิการสำหรับแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และสนับสนุนการเตรียมความพร้อมสังคมไทยในการรองรับสังคมสูงวัย จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การสร้างหลักประกันทางสังคม (2) การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา (3) การส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (4) การส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (5) การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก (6)มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม (7) การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ ประกอบไปด้วย ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสภาพแวดล้อม และด้านสุขภาพ (8) การเสริมสร้างพลังทางสังคม (9) การสนับสนุนด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และ (10) การดำเนินภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ จำนวน 122,964.9 ล้านบาท เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว และบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2) การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ (3) การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ (4) การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม (5) การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล (6) การยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกำหนดอนาคตประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (7) การสนับสนุนด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (8) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 658,012.7 ล้านบาท เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม จำแนกตามแผนงาน ดังนี้ (1) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (2) รัฐบาลดิจิทัล (3) การพัฒนาบริการประชาชนและการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ (4) การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (5) การสนับสนุนด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (6) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 402,518.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ดังนี้ (1) รายจ่ายงบกลางเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 95,900 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ และ (2) การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 306,618.0 ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จำนวน 206,618.0 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐให้เกิดเสถียรภาพทางการคลังและการเงินรวมทั้งการรักษาวินัยทางการคลัง ---------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม! “ศาลาไทย” เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ได้รับความนิยมล้นหลาม เตรียมเข้าร่วมงานอีกครั้งปี 2025 ณ นครโอซาก้า ญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 นายกฯ ปลื้ม! “ศาลาไทย” เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ได้รับความนิยมล้นหลาม เตรียมเข้าร่วมงานอีกครั้งปี 2025 ณ นครโอซาก้า ญี่ปุ่น ..... น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากคณะผู้แทนประเทศไทยที่ไปร่วมงาน "วันชาติไทย" ซึ่งจัดขึ้นในงานเวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า . อาคารศาลาไทย (Thailand Pavilion) ที่จัดแสดงภายในงานได้รับความสนใจจากนักลงทุน และนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าชมแล้วกว่า 5 แสนคน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว เศรษฐกิจการลงทุนให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก . จากความสำเร็จดังกล่าว นายกฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเตรียมการเข้าร่วมงานอีกครั้งในปี 2025 (พ.ศ. 2568) ณ นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในธีม Medical . โดยธีม Medical จะเป็นเรื่องของการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ และเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพ เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มทางการแพทย์ให้เข้ามาในประเทศไทย . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49159 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบ้านไร่ จ.อุทัยธานี
วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 รมช.มนัญญา มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบ้านไร่ จ.อุทัยธานี รมช.มนัญญา มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบ้านไร่ จ.อุทัยธานี รมช.มนัญญามอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบ้านไร่จ.อุทัยธานี ​นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรละสหกรณ์มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และกล่าวให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบ้านไร่ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้โรงพยาบาลเริ่มขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์ในการรับมือกับวิกฤติโควิดการส่งมอบในครั้งนี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิตผู้ที่ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและไม่ให้แพร่กระจายไปยังผู้ป่วยอื่น ๆณ โรงพยาบาลบ้านไร่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ​“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอเป็นกำลังใจให้ทีมบุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่บุคลากรด่านหน้าทุกท่าน รวมถึงฝากความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนทุกคนให้ดูแลตัวเองตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อที่เราจะได้ผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกันในส่วนของภาคเกษตรเราก็ไม่ทอดทิ้งได้เร่งให้ความช่วยเหลือในการกระจายผลไม้ที่มีการกระจุกตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19ทำให้ไม่สามารถขายได้ จึงมีนโยบายในการกระจายผลผลิตผ่านขบวนการสหกรณ์เน้นผลไม้ที่ได้คุณภาพมาตรฐานGAPก่อนนำมาคัดเกรดบรรจุลงกล่องเพื่อสนับสนุนเกษตรกรสำหรับผู้ที่สนใจต้องการอุดหนุนผลไม้สหกรณ์ภาคใต้ สามารถสั่งซื้อผ่านเครือข่ายสหกรณ์ในจังหวัดของท่าน ส่วนกลางในเขตกรุงเทพและปริมณฑล สามารถสั่งซื้อได้ที่ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด โทร.081-823 3639”รมช.มนัญญากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนรับมือ PM 2.5
วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565 เตือนประชาชนรับมือ PM 2.5 วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลขับเคลื่อนแผนรับมือป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยช่วงวันที่ 25-28 ม.ค.65 ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กทม. และปริมณฑล มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศปิดและลมอ่อน จึงขอความร่วมมือประชาชนงดการเผาในที่โล่ง ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง ใช้รถเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมหน้ากากอนามัย หากมีอาการทางสุขภาพเกิดขึ้นควรปรึกษาแพทย์ โดยในพื้นที่ กทม. มีคลินิกมลพิษทางอากาศ ใน 5 รพ. ได้แก่ รพ.ตากสิน รพ.สิรินธร รพ.กลาง รพ.ราชพิพัฒน์ และ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศได้ทางแอปพลิเคชัน Air4Thai หรือทางเว็บไซต์ Air4Thai.com “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50844