title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดจัดตั้งจุดพักคอยผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว พร้อมย้ำดูแลคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน อย่างเต็มที่ในวิกฤติโควิด-19 | วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดจัดตั้งจุดพักคอยผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว พร้อมย้ำดูแลคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน อย่างเต็มที่ในวิกฤติโควิด-19
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดจัดตั้งจุดพักคอยผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว พร้อมย้ำดูแลคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน อย่างเต็มที่ในวิกฤติโควิด-19
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 64เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 (เดิม) เขตลาดพร้าว กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นกระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้ จึงได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือต่างๆ ด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ซึ่งวันนี้ตนพร้อมคณะผู้บริหาร เดินทางมาตรวจเยี่ยมการเตรียมพื้นที่ของสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 (เดิม) เขตลาดพร้าว เพื่อจัดตั้งจุดพักคอยผู้ติดเชื้อโควิด-19 สำหรับดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ซึ่งมีอาการไม่มาก หรือไม่มีอาการ จำนวน 97 เตียง โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. กทม. กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ลงพื้นที่ไปตรวจความเรียบร้อยให้เร็วที่สุด และยังได้มอบนโยบายในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยว่า ขอให้ใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรที่เรามี เพื่อรักษาชีวิตและรักษาสุขภาพของประชาชนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ในส่วนของ กระทรวง พม. และ กทม. ได้ร่วมกันดำเนินการจัดตั้งจุดพักคอยผู้ติดเชื้อโควิด-19 แห่งนี้อย่างเร่งด่วน และมีผู้ใจบุญบริจาคอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยร่วมกับเราด้วย ซึ่งตนยืนยันว่าทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายจะทำอย่างเต็มที่
นายจุติกล่าวต่อไปว่า จากกรณีผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิต จำนวย 3 ราย นั้น ตนรู้สึกเสียใจและเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจตนเชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้มีคนเสียชีวิต สำหรับการดูแลคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ทางกระทรวง พม. ได้ดำเนินการดูแลช่วยเหลืออย่างจริงจังและต่อเนื่องในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวง พม. ได้ลงพื้นที่ไปเชิญกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาใช้สถานที่รองรับของรัฐ แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะเป็นคนเร่รอน คนไร้บ้าน จึงไม่สามารถใช้ พรบ. ควบคุมการขอทานฯ บังคับได้ เนื่องจากยังมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่เราทำได้ คือ การรับ-ส่ง ให้เข้ามาใช้บริการของเราทั้งที่พักชั่วคราว อาหาร การดูแลรักษาสุขภาพและความสะอาดรวมทั้งการป้องกันโรคโควิด-19 โดยพาไปตรวจเชื้อโควิด-19 และหาวัคซีนให้
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กระทรวง พม. ดูแลคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน จำนวน 1,000 กว่าคน ซึ่งมีผู้แสดงสิทธิได้รับวัคซีนเพียงแค่ 200 กว่าคน มีอายุ 40-50 ปี ซึ่งขณะนี้ ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 100 กว่าคน อีกทั้งเรามีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ กทม. ทั้ง 50 เขต ประมาณ 4,000 คน และทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข รวมทั้งหน่วยทหารที่ประจำอยู่ตามเขต เพื่อช่วยกันบริการกลุ่มเปราะบางและประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44396 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. คงระดับของพื้นที่และมาตรการควบคุมถึง 30 กย. นี้ เตรียมขยายฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป เตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนภายในเดือนตุลาคม | วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564
ศบค. คงระดับของพื้นที่และมาตรการควบคุมถึง 30 กย. นี้ เตรียมขยายฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป เตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนภายในเดือนตุลาคม
ศบค. คงระดับของพื้นที่และมาตรการควบคุมถึง 30 กย. นี้ เตรียมขยายฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป เตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนภายในเดือนตุลาคม
วันนี้ (10 กันยายน 2564) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศบค. สั่งติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ หลังจากองค์การอนามัยโลกได้ประกาศการยกระดับการแพร่ระบาดของโควิด – 19 สายพันธุ์ MU (มิว) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศไทย รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกต ข้อเสนอแนะหรือข้อท้วงติงที่เป็นประโยชน์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายที่ผ่านมา มาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนและช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความพอใจหลังจากที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงพยาบาลสนามที่เป็นความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และสถานประกอบการในโครงการ Factory Sandbox ซึ่งขอให้เป็นต้นแบบในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เพราะไม่อาจคาดคะเนได้ว่าไวรัสโควิด-19 จะอยู่นานแค่ไหน รัฐบาลยังเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน และขอให้ประชาชนปฏิบัติตาม Universal Prevention และทุกองค์กรเน้น COVID-19 FREE Setting (สถานประกอบการ ลูกค้า/ประชาชน) ให้ครอบคลุมทั้งในพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการดูแลเด็กนักเรียน โดยศบค. และสธ. จะเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปื ภายในเดือนตุลาคม โดยจะต้องได้รับการยินยอมผู้ปกครอง ยึดหลักและคำแนะนำทางการแพทย์ ครอบคลุมทั้ง นักเรียน ครูและเจ้าหน้าที่ เพี่อสร้าง "โรงเรียนปลอดภัย” รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน ว่าการฉีดวัคซีนสามารถลดอาการเจ็บป่วย ลดการเสียชีวิต
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบเป้าหมายให้บริการวัคซีนโควิด-19 ในเดือนตุลาคม 2564 ให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมด อย่างน้อยร้อยละ 50 ทุกจังหวัด ขยายกลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน และวางแผนให้เข็มกระตุ้นในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac ที่ครบ 2 เข็มในช่วงมีนาคม – พฤษภาคม 2564 รวมทั้งเห็นชอบคงระดับของพื้นที่และมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ ถึง 30 กันยายน นี้ ประกอบด้วย พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 37 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 11 จังหวัด คงมาตรการเคอร์ฟิว WFH เพิ่มความเข้มข้นตามมาตรการ COVID Free Setting
นายกรัฐมนตรียังมีความเป็นห่วงสถานประกอบการ/ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Micro SMEs ซึ่งจะได้หาแนวทางแบ่งเบาภาระที่เกิดขึ้น จากการเตรียมรองรับมาตรการของรัฐทั้งมาตรการ Bubble and Seal และ Factory Sandbox อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนปฏิบัตตามมาตรการเพื่อประโยชน์ของตนเอง ภายใต้ความร่วมมือ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยรัฐบาล เอกชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าตามเป้าหมายในการเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศได้จับตามองไทย เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการดำเนินงานเช่นกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ในที่ประชุม ศบค. นอกเหนือจากการเร่งแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 แล้ว นายกรัฐมนตรียังห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ โดยกำชับทุกส่วนราชการเตรียมแผนเผชิญเหตุในทุกพื้นที่ทั้งส่วนภูมิภาครวมทั้งกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที เพราะในขณะนี้ รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ปัญหาทุกมิติ ทั้งโควิด-19 เศรษฐกิจและภัยธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน
..................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45707 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นรม.และรมว.กห.หวั่นแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าลงทะเบียนตามกฎหมายปะปนติดเชื้อ สั่งทหารตำรวจเฝ้าระวังและเตรียมสนับสนุนคัดกรองคุมโรคเข้ม" | วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564
"นรม.และรมว.กห.หวั่นแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าลงทะเบียนตามกฎหมายปะปนติดเชื้อ สั่งทหารตำรวจเฝ้าระวังและเตรียมสนับสนุนคัดกรองคุมโรคเข้ม"
พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. พร้อม ปล.กห.ได้ร่วมประชุมกับทุกเหล่าทัพ ตร.และ กอ.รมน.ผ่าน ระบบ VTC ติดตามการสนับสนุนรัฐบาลขับเคลื่อนแก้ปัญหาที่สำคัญ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
รมช.กห. ได้ย้ำสั่งการตามนโยบายที่สำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ให้ทุกเหล่าทัพ กอ.รมน.และตำรวจ โดยกองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ ยังคงเข้มงวดเฝ้าระวังและสกัดกั้นจับกุมการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นในอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติ ทั้งนี้ขยายผลบังคับใช้กฎหมายกวาดล้างจับกุมให้ถึงขบวนการลักลอบนำพาแรงงานเข้าเมืองทั้งหมด ขณะเดียวกันให้เตรียมการสนับสนุนการคัดกรองแรงงานต่างด้าวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศผ่านช่องทางผ่านแดนที่กำหนดใน 5 จังหวัด ภายหลังเปิดให้มีการนำแรงงานตามบันทึกความเข้าใจร่วมกันจาก 3 ประเทศ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งอาจมีผู้ติดเชื้อปะปนเข้ามา โดยขอให้เตรียมสถานที่กักกันควบคุมโรคและประสานการดูแลตามมาตรการทางสาธารณสุขที่กำหนด
พร้อมกันนี้ ขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ภาคใต้ เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ที่อาจเกิดนำ้ท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ใน 6 จว.ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยให้เตรียมการแจ้งเตือนและให้การช่วยเหลือเร่งด่วนแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้ทันกับสถานการณ์ ทั้งนี้ หน่วยทหารในพื้นที่เพชรบุรีและภาคใต้ในหลายจังหวัด ตั้งแต่ ระนอง ชุมพร ลงไปยังคงกระจายกำลังกันประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยต่อเนื่องกัน สำหรับพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายและน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว ได้ร่วมกับจิตอาสา สำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือน ช่วยเก็บเกี่ยวพืชไร่และทำสะอาดพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะโรงเรียนและวัด เพื่อให้เด็กนักเรียนกลับเข้าเรียนและประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ นรม.และ รมว.กห. ยังได้แสดงความขอบคุณ หน่วยงานความมั่นคง ทหารและตำรวจ ที่สนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาในทุกวิกฤติของประเทศที่ผ่านมา โดยเฉพาะการคงความต่อเนื่องในการบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยและสถานพยาบาล ช่วยชีวิตผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉินระหว่างการแพร่ระบาดของโควิดที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอเป็นกำลังใจและให้กับกำลังพลทุกคนปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48866 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ปลื้มกระแสใช้จ่าย “คนละครึ่ง เฟส 3/ยิ่งใช้ยิ่งได้” โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี ดีต่อเนื่อง สร้างมูลค่ารวมของมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐสะสมสูงเกือบ 2 แสนล้านบาท | วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ปลื้มกระแสใช้จ่าย “คนละครึ่ง เฟส 3/ยิ่งใช้ยิ่งได้” โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี ดีต่อเนื่อง สร้างมูลค่ารวมของมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐสะสมสูงเกือบ 2 แสนล้านบาท
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ปลื้มกระแสใช้จ่าย “คนละครึ่ง เฟส 3/ยิ่งใช้ยิ่งได้” โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี ดีต่อเนื่อง ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ได้ประโยชน์ร่วมกัน สร้างมูลค่ารวมของมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐสะสมสูงเกือบ 2 แสนล้านบาทแล้ว
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มกระแสการใช้จ่ายของประชาชนผ่านมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ที่รัฐบาลมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน ช่วยกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยความคืบหน้า (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 41.2 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 191,685.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.13 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 169,488.9 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 86,115 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 83,373.9 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 90,799 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,445.8 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 184.5 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.55 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 17,123.1 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.43 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,443 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด มีจำนวนกว่า 75,000 ราย ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอป พลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ
นายธนกร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาคึกคึกหลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลาย นายกฯ พอใจกระแสตอบรับและการใช้จ่ายของประชาชนที่มีความเชื่อมั่นฝนรัฐบาล ออกมาใช้ชีวิตแบบ New Normal ซึ่งรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อ “พลิกโฉมประเทศไทย” ผ่านมาตรการ/โครงการต่างๆ มาตรการเยียวยา มาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่ละโครงการได้รับเสียงชื่นชมจากต่างชาติ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ ที่ทำให้ว่าทั้งผู้ซื้อ/ผู้รับบริการ และผู้ประกอบการ ตลอดจนร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ต่างได้รับประโยชน์ สร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ คู่ขนานไปกับนโยบายการเปิดประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติได้ เชื่อมั่นว่าในอีก 1 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะยิ่งคึกคัก เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนไทยทุกคนมีความสุขในเทศกาลปีใหม่อย่างแน่นอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมไทย "บก - ราง - น้ำ - อากาศ" ต่อเนื่อง ปี 65 วงเงินลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565
รัฐบาลเร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมไทย "บก - ราง - น้ำ - อากาศ" ต่อเนื่อง ปี 65 วงเงินลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านบาท
.....
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ ถือเป็น "หัวใจสำคัญ" ของการพัฒนาประเทศ ช่วงเวลาที่ผ่านมา โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลได้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เช่น การสร้าง Motorway การพัฒนาท่าเรือ และการพัฒนาท่าอากาศยาน เป็นต้น
.
สำหรับปี 65 รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการลงทุนต่าง ๆ ต่อเนื่อง ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ วงเงินลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
.
โครงการที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว 516,000 ล้านบาท
โครงการลงทุนใหม่ 974,000 ล้านบาท
.
คาดการณ์เบื้องต้นว่า จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบทวีคูณ (Multiply Effect) ประมาณ 4 แสนล้านบาท/ปี หรือคิดเป็น 2.35% ของ GDP
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52842
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเข้ม...
แจ้งเตือน...
อย่าแชร์...
กรุงเทพฯ...
ปลื้ม...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52883 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนในไทยอย่างใกล้ชิด มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการความร่วมมือ พร้อมดูแลความปลอดภัยและช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ | วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนในไทยอย่างใกล้ชิด มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการความร่วมมือ พร้อมดูแลความปลอดภัยและช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนในไทยอย่างใกล้ชิด มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการความร่วมมือ พร้อมดูแลความปลอดภัยและช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
วันนี้ (19 มี.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประเมินว่ามีนักท่องเที่ยวที่ตกค้างในไทยประมาณ 8,000 คน เป็นชาวรัสเซียประมาณ 7,000 คน และยูเครนประมาณ 1,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตและสุราษฎร์ธานี โดยได้ให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ อาทิ จัดหาระบบชำระเงินทางเลือกอื่นรองรับ จัดหาที่พักระหว่างนักท่องเที่ยวหาเที่ยวบินกลับประเทศ และจัดหาล่ามประจำโทรศัพท์สายด่วน เป็นต้น
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า การขอความช่วยเหลือส่วนมากเป็นการขอขยายเวลาพำนักในประเทศ ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ประสานความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิด สำหรับการให้ความช่วยเหลือกรณีเที่ยวบินถูกยกเลิก นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนไปใช้สายการบินประเทศที่สาม อาทิ สายการบิน Qatar Airways และ Turkish Airlines ในการเดินทางได้ นอกจากนี้ หากจำเป็น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังพร้อมสนับสนุนการจัดหาที่พัก อาหาร และความช่วยเหลืออื่น ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียและยูเครนอีกด้วย
สำหรับผลกระทบเรื่องการชำระเงิน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เร่งประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวที่ประสบปัญหาทราบว่าสามารถโอนเงินผ่านเครือข่ายอื่นนอกจาก Swift ได้ เช่น TransferWise, Western Union และ MoneyGram เป็นต้น ซึ่งมีการให้บริการผ่านทั้งธนาคารพาณิชย์ (ไทยพาณิชย์ กลิกรไทย และออมสิน) และช่องทางที่ไม่ใช่ธนาคาร (สวัสดีช้อป เซ็นทรัล และไปรษณีย์ไทย) ทั้งนี้ หน่วยงานของไทยได้ประสานผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1) ธนาคารพาณิชย์ โดยขอให้ช่วยดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาติดต่อ 2) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยขอให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยว 3) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ตและสมาคมโรงแรมภาคใต้ เพื่อให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวโดยตรง
นายธนกร กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักการบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกประชาชนจากทั้งสองประเทศอย่างรอบด้านและเท่าเทียม โดยหน่วยงานของไทยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย พร้อมรายงานนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับประเด็นปัญหา การดำเนินการ และแผนการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อประกอบการพิจารณาสั่งการทางนโยบายอย่างเหมาะสม นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทุกประเทศที่อยู่ในไทยอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ไทยเป็นมิตรกับทุกฝ่าย และไม่ใช่คู่ขัดแย้งของประเทศใด นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมทั้งชาวรัสเซียและยูเครนในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้นักท่องเที่ยวทุกคนมั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแล อำนวยความสะดวก และช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564
ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
การประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference)
วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมีนายวินัย วรวัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ นายชนะกิจ คชชี ผู้อำนวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง | วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง
กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2021
พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า สำนักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เตรียมร่วมจัดกิจกรรมในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2564 Thailand Research Expo 2021” ภายใต้แนวคิด วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม จะมีการนำเสนอบูธนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อมในภาคนิทรรศการ ในหัวข้อ “นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและเป็นธรรม” จำนวน 7 เรื่อง จาก 3 หน่วยงาน อาทิ เรื่อง การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ,โปรแกรมบำบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดผ่านกีฬา, การพัฒนาระบบป้องกันการเสพติดซ้ำของเด็กและเยาวชนผ่านการตรวจสารเสพติดในเส้นผม นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอรายงานการศึกษาวิจัย วารสารกระบวนการยุติธรรม คู่มือ แผ่นพับประชาสัมพันธ์ สมุดภาพ Infographic สื่อความรู้ด้านกฎหมายและ มีกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม Justice Game อีกทั้ง มีการเสวนาทางวิชาการเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00 - 12.00 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” ลำดับที่ 23 และวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.30 - 16.30 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนาพฤตินิสัยและการตรวจพิสูจน์ทางกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์” ลำดับที่ 62 ณ ห้องประชุม Lotus Suite 13 ชั้น 23 โดยมีนักวิจัย นักวิชาการจากหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม และจากสถาบันการศึกษา เข้าร่วมเป็นวิทยากรนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรม
โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 - 26 พฤศจิกายน 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ให้ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมแบบ Onsite และ Online ผ่าน https://thailandresearchexpo2021.com/ ซึ่งรวมถึงผู้ที่จะเข้าร่วมงานแบบ Onsite จะต้องลงทะเบียนยืนยันการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มด้วย
พันตำรวจโท พงษ์ธร เผยอีกว่า ภายในงานยังประกอบด้วยกิจกรรม 2 ส่วน คือ การประชุมสัมมนา อาทิ การประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ในหัวข้อสำคัญสำหรับการบริหารจัดการงานวิจัยและปัญหาสำคัญของประเทศ, การประชุมสัมมนาขนาดกลาง ในหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของสังคม, การประชุมกลุ่มเฉพาะเรื่อง และการนำเสนอบทความผลงานวิจัย ตลอดจนมีการประชุมให้ความรู้ ถ่ายทอดเทคนิค กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และส่วนที่เป็นการจัดนิทรรศการน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, นิทรรศการผลงานวิจัยและกิจกรรมการวิจัยจากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ รวมถึง “นิทรรศการรางวัลแห่งเกียรติยศ Platinum Award” และ “นิทรรศการชุมชนเข้มแข็งด้วยวิจัยและนวัตกรรม”, นิทรรศการผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา 2.4 นิทรรศการนำเสนอบทความผลงานวิจัย Thailand Research Expo Symposium 2021
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48487 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางจตุพร เนียมสุข ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “ฉันคือ...ข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 60 | วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565
นางจตุพร เนียมสุข ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “ฉันคือ...ข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 60
...
นางจตุพร เนียมสุข ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการประเมินโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “ฉันคือ...ข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 60 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ณ ห้องประชุมภานุมาศ ชั้น 10 โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร
นางจตุพร เนียมสุข กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการทุกคนที่ผ่านการประเมิน และได้รับวุฒิบัตรโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “ฉันคือ...ข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 60 ทั้ง 80 คน นับเป็นโอกาสอันดี ที่ทุกคนได้มีโอกาสได้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรนี้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับตนเอง และหน่วยงานต้นสังกัดในการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม พัฒนาเครือข่ายและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างข้าราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคม อันก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้จากประสบการณ์ มีความพร้อมที่จะเติบโตสู่การเป็นข้าราชการที่ดี และก้าวสู่โลกของการปฏิบัติราชการ ทั้งนี้ จงตระหนักไว้เสมอว่า การเป็นข้าราชการที่ดี คือศักดิ์ศรีของตัวท่านเอง จะนำมาซึ่ง “ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากประชาชน” เจตนารมณ์และเป้าหมายที่สำคัญในการปฏิบัติราชการ คือ ข้าราชการ ต้องปฏิบัติราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุก คิดเชิงยุทธศาสตร์ และนำระบบบริหารจัดการสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล สามารถวัดผลความสำเร็จได้ อย่างเป็นรูปธรรม และขอให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากหลักสูตรนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานและชีวิตส่วนตัว อันจะเป็นการนำพากระทรวงคมนาคมไปสู่ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป
โครงการฝึกอบรมหลักสูตร “ฉันคือ...ข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 60 มีข้าราชการบรรจุใหม่จากส่วนราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมโครงการ จำนวน 80 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นไปตามแนวทางและวัตถุประสงค์ที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด เพื่อปลูกฝังปรัชญาการเป็นข้าราชการที่ดี เสริมสร้างสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานราชการ ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม สร้างสายสัมพันธ์ที่ดี และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดกระบวนการเรียนรู้ สามารถปรับตัวในการอยู่ร่วมกันและการทำงานเป็นทีมได้อย่างดี เพื่อนำมาปรับใช้ในการปฏิบัติงานจริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ำ เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว | วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ำ เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ำ เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดมั่นในอุดมการณ์ อุทิศตนสร้างประโยชน์สุขแด่พี่น้องประชาชนตลอดไป
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมดำรงธรรม ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดและให้โอวาทกับข้าราชการโครงการพัฒนาบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (Public Service executive development program: PSED) หรือ “นปร.” รุ่นที่ 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค โดยมี หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายปวิณ ชำนิประศาสน์ อาจารย์ที่ปรึกษาประจำโครงการ นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ ผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ และข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 จำนวน 30 คน ร่วมในพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอบคุณสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ให้เกียรติและความสำคัญกับกระทรวงมหาดไทยในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะฝึกประสบการณ์การทำงานของข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 ให้ได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ ในการรับใช้ชาติในหน้าที่ข้าราชการที่มีเกียรติอย่างยิ่ง โดยขอให้ตระหนักและน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า “อาชีพของข้าราชการนั้นเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ในการทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ”
“ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนมีศักยภาพในการที่จะไปทำงานอะไรก็ได้ แต่ก็ตัดสินใจเสียสละทำงานรับใช้ประเทศชาติด้วยการดูแลพี่น้องประชาชนและประเทศชาติของเรา อันประกอบไปด้วยสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง ซึ่งการดูแลพี่น้องประชาชนให้มีความสุขสวัสดีอย่างมั่นคงและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีโซ่ข้อกลางระหว่างรัฐบาล นั่นคือ “ข้าราชการ” ไปช่วยทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา และการพัฒนาที่สำคัญที่สุด คือ “การพัฒนาคน”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ “ใจต้องเป็นนาย กายต้องเป็นบ่าว” ใจเป็นนาย หมายความว่า คนเราจะทำอะไรจิตใจต้องตั้งมั่นเสียก่อน ต้องมีอุดมการณ์ มีแรงปรารถนาที่แรงกล้า (Passion) มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่อยากทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น ทั้งกับชีวิตเรา ชีวิตครอบครัว มวลมนุษยชาติ และพี่น้องประชาชนที่เราต้องดูแล และร่างกายของเราก็จะปฏิบัติตามจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่มีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจผู้คน พร้อมที่จะให้โอกาสคนได้ทำสิ่งที่ดี ยึดโยงกลุ่มก้อน นปร. รุ่น 15 นี้ ให้ช่วยกันดูแล เป็นกำลังใจ มีแรงปรารถนาแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขกับพี่น้องประชาชน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีความเก่าแก่ มีคำขวัญว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ซึ่งเป็นพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดี โดยคนมหาดไทยยังคงน้อมนำคำขวัญนี้มาใช้จนถึงปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะภารกิจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ประชาชนยังคงต้องขับเคลื่อนดำเนินต่อไปในทุกพื้นที่ ด้วยการทำงานของ 8 ส่วนราชการ และ 6 รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ำเสีย กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่แปลงนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ (Area Base) ของประเทศชาติ เป็นผู้นำ ที่ร่วมทำงานกับทุกกระทรวง ภายใต้การนำของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นประธานคณะกรรมการของทุกกระทรวง กรมในระดับจังหวัดไม่น้อยกว่า 202 คณะ ครอบคลุมทุกมิติ โดยในปัจจุบันโครงสร้างของระบบราชการในระดับจังหวัด ประกอบด้วยส่วนราชการทั้งราชการบริหารส่วนกลางประจำภูมิภาค ทำหน้าที่ในเชิงการกำกับดูแล การติดตามนโยบาย ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดใหญ่ หรือจังหวัดที่อยู่ใจกลางภาค ถัดมา คือ ราชการบริหารส่วนภูมิภาค แบ่งอำนาจการบริหารจากส่วนกลาง ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด และอำเภอ โดยนายอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ทำหน้าที่ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้การกำกับดูแลของราชการบริหารส่วนภูมิภาค
“ขอให้ นปร. มีอุดมการณ์ในการทำหน้าที่เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เป็นข้าราชการของนักการเมืองที่มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก ถ้าเราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณในการดูแลพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือ บริการ ด้วยความเต็มใจ ไม่ไขว้เขว ไม่เป๋ไปรับใช้บางกลุ่ม บางคน บางพวก ในสมกับชุดเครื่องแบบที่ข้าราชการสีกากี ซึ่งเป็นเครื่องแบบพระราชทาน อันมีนัยว่า แผ่นดิน หรือสีของดิน เพื่อให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน และสถาบันหลักทั้ง 3 ของแผ่นดินไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เป็นที่รักยิ่งของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเราทุกคนปฏิบัติตนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว การประพฤติปฏิบัติตนในการเป็นข้าราชการก็จะบรรลุอุดมการณ์แห่งความเสียสละ แห่งความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ทำงานโดยไม่คิดว่าจะต้องเข้างาน 08.30 น. เลิกงาน 16.30 น. ทุกเวลาเป็นเวลาที่เราสามารถอุทิศให้กับราชการให้กับประชาชนได้อย่างมีความสุข จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อวัย 60 ปี แต่ถึงกระนั้น สายเลือดหรือจิตวิญญาณความเป็นข้าราชการ แม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว ก็ยังคงมีอุดมการณ์แห่งความเสียสละตนเองเพื่อทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังเช่นพระราชดำรัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เคยพระราชทานที่จังหวัดนครนายก เมื่อปี 2553 ใจความว่า “การทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมไม่ได้ทำเพื่อแค่เกษียณอายุราชการหรือไม่ได้ทำแค่ในเวลาราชการ หน้าที่ของพวกเราทุกคนต้องทำงานไม่มีวันเกษียณจากการทำงาน เราเกษียณจากอายุราชการได้ แต่ต้องไม่เกษียณจากการทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เราเกษียณอายุราชการได้เพราะอายุเราครบ 60 ปี แต่เราต้องไม่เกษียณจากการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม”
“ขอให้ นปร. รุ่นที่ 15 ทุกคน ใช้ความรู้คู่คุณธรรมด้วยความตั้งมั่นและมุ่งมั่นในการที่จะทำงานเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นกับคนที่ยังยากลำบาก ให้กับสังคม และประเทศชาติ เพื่อพวกเราทุกคนได้มีโอกาสในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และช่วยกันธำรงรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของแผ่นดินไทยที่รักยิ่งของพวกเราให้ดำรงคู่กับโลกใบนี้ รวมทั้งขอให้ธำรงรักษาอุดมการณ์ที่มีมาก่อนสมัครเป็น นปร. รุ่น 15 ใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ และก้าวสู่การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ข้าราชการที่ทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ และขอเป็นกำลังใจและเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของ นปร. รุ่น 15 ที่จะส่งผลถึงความสุขของพี่น้องคนไทยโดยรวมตลอดไป” นายสุทธพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51135 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเปิด 6 ขั้นตอน ตามแนวทางการรับนักเดินทางแบบไม่กักตัว ททท. คาดไทยจะต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน ในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565 | วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเปิด 6 ขั้นตอน ตามแนวทางการรับนักเดินทางแบบไม่กักตัว ททท. คาดไทยจะต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน ในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565
โฆษกรัฐบาลเปิด 6 ขั้นตอน ตามแนวทางการรับนักเดินทางแบบไม่กักตัว ททท. คาดไทยจะต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน ในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565
วันที่ 22 ต.ค. 64นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง แนวทางการรับนักเดินทางแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ สำหรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำและประเทศที่มีผลต่อเศรษฐกิจสูงตามแนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 มีเงื่อนไขหลักๆ ใน 6 ขั้นตอน ได้แก่
1. นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศที่กำหนดทางอากาศ กรณีมาจากกลุ่มประเทศอื่น ให้พำนักในประเทศที่กำหนดอย่างน้อย 21 วัน
2. มีเอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือ กรณีเคยติดเชื้อ และได้รับวัคซีน 1 เข็มในช่วง 3 เดือนหลังติดเชื้อ (เป็นประเทศที่กระทรวงต่างประเทศตรวจสอบว่าใบรับรองการติดเชื้อแบบเป็นทางการ) เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง ยกเว้นผู้มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน และเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครอง
3. มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่พบเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางกรณีตรวจพบการติดเชื้อ ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าเคยติดเชื้อมาก่อนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำประกันสุขภาพ อย่างน้อย 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
4. มีใบจองที่พักโรงแรม อาจเป็นสถานกักกันที่ที่ทางราชการกำหนด (AQ, OQ, AHQ) หรือ โรงแรมที่เป็น SHA+ ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการสำหรับตรวจหาเชื้อ ในวันแรกที่มาถึง โดยรวมค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR
5. เมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยาน โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ (ภาษาอังกฤษ) เดินทางโดยรถที่จัดไว้โดยมีการกำกับการเดินทาง เพื่อเข้าพักตามโรงแรมที่จองไว้ รพ.คู่ปฏิบัติการทำการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR ในวันที่ 0-1 โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและต้อง อยู่ในโรงแรม จนได้รับผลการตรวจอย่างเป็นทางการ
6. เมื่อผลการตรวจหาเชื้อ ไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางได้ ตามความต้องการ และจะพักในโรงแรมที่จองและจ่ายเงินไว้แล้วล่วงหน้า หรือกลับไปพักที่บ้าน(กรณีมีที่พำนักในไทย)ก็ได้ โดยโรงแรมจะแนะนำให้สังเกตอาการอย่างน้อย 7 วัน หากมีอาการ ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อจากโรงพยาบาลใกล้ที่พัก หรือ ตรวจ ATK ที่โรงแรม หากพบเชื้อรายงานเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่
นายธนกรฯ ยังได้กล่าวถึง สนามบินที่ปัจจุบันมีการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น) และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น) ส่วนสนามบินที่แจ้งความพร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ และท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งจะยืนยันในวันที่ 27 ต.ค. นี้
ทั้งนี้ ททท. ได้ประมาณการแผนการเปิดประเทศของรัฐบาลในวันที่ 1 พ.ย. 2564 แบบไม่ต้องกักตัว จะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาฟี้นตัว โดยในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตในรูปแบบตัววี (V) และปีหน้าจะมีรายได้ประมาณ 50% ของปี 62 ที่มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท และมีรายได้เพิ่ม 80% ของปี 62 ในปี 66
นายธนกรฯ ย้ำ ขอให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47288 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า จัดสัมมนาโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) | วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
กรมเจ้าท่า จัดสัมมนาโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal)
เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
นายวรรณชัย บุตรทองดี ผู้อำนวยการกองวิศวกรรม กรมเจ้าท่า เป็นประธานเปิดการสัมมนา “ โครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี “ เพื่อประเมินความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน (Market Sounding) โดยมีหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเข้าร่วมการสัมมนา ในวันที่ 15 มีนาคม 2565 เวลา 08.30 - 12.00 น. ณ โรงแรมพูลแมน คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ
จากนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า ดำเนินการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อศึกษาแผนแม่บท รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ในการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ บริเวณเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และตามแผนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยมีความเกี่ยวข้องในด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญทางนำ้ ที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสำราญทางทางทะเลและชายฝั่ง
เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่มีความสำคัญซึ่งเรือสำราญที่เข้าไทยมักเลือกเป็นจุดแวะพักของเรือสำราญ เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงามและแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย แต่ในปัจจุบันเรือสำราญยังไม่สามารถเข้าเทียบท่าได้โดยตรง จะต้องอาศัยเรือขนาดเล็กในการรองรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญขึ้นมาท่องเที่ยวและใช้จ่ายบนเกาะสมุย ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยและไม่สะดวกกับนักท่องเที่ยว
กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า จึงได้เร่งรัดผลักดันโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือสำราญ ซึ่งกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญ ณ บริเวณแหลมหินคม ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม
ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนครั้งที่เรือสำราญเข้าเทียบท่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระหว่างปี 2014 - 2019 ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของจำนวนครั้งที่เรือสำราญเข้าเทียบท่าสูงถึงร้อยละ 87.7 โดยในปี 2019 ประเทศไทยมีเรือสำราญที่เข้าเทียบท่าจำนวน 550 ครั้ง โดยเกาะสมุย มีเรือสำราญที่เข้าเทียบท่าจำนวน 59 ครั้ง สูงที่สุดเป็นอันดับ3 รองจากท่าเรือภูเก็ตและท่าเรือแหลมฉบังเท่านั้น โดยระหว่างปี 2010-2019 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเรือสำราญเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.3 ต่อปี
กรมเจ้าท่าจึงมีนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost โดยรัฐจะลงทุนในส่วนของค่าเวนคืนที่ดิน ค่างานก่อสร้างโยธาและค่างานระบบภายในอาคารทั้งหมด และให้เอกชนลงทุนในส่วนของอุปกรณ์ประกอบการดำเนินงาน ดำเนินงานและบำรุงรักษาท่าเรือ รวมถึงให้เอกชนมีสิทธ์ในรายได้ของโครงการทั้งหมดเป็นระยะเวลา 30 ปี ทั้งนี้ หากรายได้ของโครงการต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่เอกชนคาดหวัง เอกชนอาจได้รับการชดเชยผลตอบแทนจากภาครัฐในรูปแบบของเงินสนับสนุนหรือเงินร่วมลงทุน และหากรายได้ของโครงการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่เอกชนคาดหวัง เอกชนอาจต้องแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐ ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทาน
ทั้งนี้ ความสามารถในการรองรับของท่าเรือสำราญ จะสามารถรองรับเรือสำราญได้พร้อมกัน 2 ลำ ได้แก่ เรือสำราญขนาดใหญ่ 4,000 คน เรือสำราญขนาดกลาง 2,500 คน และรองรับเรือยอร์ชสูงสุด 80 ลำ เรือเฟอร์รี่สูงสุด 6 ลำ ซึ่งท่าเรือมีขนาดความยาวหน้าท่า 362 เมตร ความลึกร่องน้ำ 12 เมตร อาคารผู้โดยสารบรรจุ 3,600 คน ซึ่งโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) จะเป็นการส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศและสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวให้กระจายเม็ดเงินไปสู่ผู้คนในท้องถิ่น ตลอดจนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของการท่องเที่ยวทางน้ำในอนาคตอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52572 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยออกประกาศแจ้งสายการบินถึงมาตรการเข้าไทยล่าสุด สกัดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 “โอมิครอน” | วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยออกประกาศแจ้งสายการบินถึงมาตรการเข้าไทยล่าสุด สกัดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 “โอมิครอน”
เพื่อยกระดับการป้องกันการขนส่งผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กระทรวงคมนาคม ได้ออกประกาศนักบิน (NOTAM) แจ้งสายการบินทั่วโลกถึงมาตรการที่ปรับปรุงล่าสุดในการเดินทางทางอากาศเข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับการป้องกันการขนส่งผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” เข้ามาระบาดในประเทศ ดังนี้
ระบบ Thailand Pass จะปิดรับลงทะเบียนสำหรับผู้ลงทะเบียนรายใหม่ที่ต้องการเข้าประเทศไทยแบบ Test & Go และ Sandbox ทั้งหมด ยกเว้นแซนด์บ็อกซ์ของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) และผู้ลงทะเบียนใน Thailand Pass ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามแนวทางใหม่ คือ
1. ผู้ลงทะเบียนที่ได้รับ QR Code จากระบบ Thailand Pass แล้ว ยังสามารถเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไขที่ได้รับการอนุมัติ
2. ผู้ที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ยังรอผลการพิจารณาโดยยังไม่ได้รับ QR Code ต้องรอจนกว่าจะได้รับการอนุมัติ หากสำเร็จสามารถเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไขที่ได้รับการอนุมัติ
3. ผู้ลงทะเบียนรายใหม่ จะไม่สามารถลงทะเบียนภายใต้เงื่อนไขการเข้าประเทศแบบ Test & Go และ Sandbox ได้ ยกเว้นภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โดยระบบ Thailand Pass จะเปิดรับลงทะเบียนสำหรับผู้ลงทะเบียนรายใหม่ที่ต้องการเข้าประเทศไทยแบบกักตัว (Alternative Quarantine หรือ AQ) หรือ Phuket Sandbox เท่านั้น
4. ผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าไทยภายใต้เงื่อนไข Test & Go และแซนด์บ็อกซ์ซึ่งได้รับการอนุมัติไปแล้ว จะต้องเข้ารับการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 2 โดยวิธี RT-PCR (ไม่ใช่วิธีเดิมคือ ATK) ณ สถานที่ที่ทางรัฐบาลไทยจัดเตรียมไว้ให้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ทั้งนี้ กพท. ได้กำชับให้สายการบินทุกสายช่วยตรวจสอบกลั่นกรองเอกสารและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด รวมถึงให้สายการบินแจ้งผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการที่ปรับปรุงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49748 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เวอร์ชั่นเด็ก จากเพจ Because We Care ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมรณรงค์ต่อต้าน Bully | วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565
รมว.พม. รับมอบเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เวอร์ชั่นเด็ก จากเพจ Because We Care ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมรณรงค์ต่อต้าน Bully
รมว.พม. รับมอบเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เวอร์ชั่นเด็ก จากเพจ Because We Care ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมรณรงค์ต่อต้าน Bully
วันนี้ (13 มิ.ย. 65) เวลา 14.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้ทีมงาน เพจ Because We Care นำโดย พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า พยาบาล (สบ5) กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะผู้ดูแลเพจ Because We Care เข้าพบ เพื่อรับมอบเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เวอร์ชั่นเด็ก ที่แสดงศักยภาพของเด็กและเยาวชนในการมีส่วนร่วมรณรงค์ต่อต้านการบูลลี่ (Bully) ทางสังคม อีกทั้งหารือถึงความร่วมมือในการรณรงค์ต่อต้านการบูลลี่ (Bully) ในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติกล่าวว่า ด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายเสริมสร้างให้คนรุ่นใหม่เป็น "Active Citizen Leadership" หรือที่เรียกว่า "ผู้นำพลเมืองดี" ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำทักษะการสื่อสารเชิงบวกที่สร้างกำลังใจ การรู้จักหน้าที่ของตน ให้เกียรติ ไม่บูลลี่ (Bully) ผู้อื่น ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับเพจ Because We Care และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "พลเมืองดี ไม่ bully ทุกรูปแบบ" พร้อมทั้งเปิดตัวเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เพื่อสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นทั้งทางร่างกายและจิตใจ (#พลเมืองดี Active Citizen พลเมืองดี ไม่ Bully ทุกรูปแบบ) และในวันนี้ ตนได้รับมอบเพลง ปล่อยผ่าน (Move on Bully) เวอร์ชั่นเด็ก จากทีมงาน เพจ Because We Care เพื่อขยายการประชาสัมพันธ์และปลูกจิตสำนึกไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้อื่นทั้งทางร่างกายและจิตใจ
นายจุติกล่าวต่อไปว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาร่วมดำเนินงานในโครงการนี้ ซึ่งกระทรวง พม. ดำเนินการเพียงลำพังไม่ได้ ต้องร่วมกันทำทุกภาคส่วน วันนี้เราทำในเรื่องของปัญหาสังคมคือการบูลลี่ (Bully) เราไม่อยากเห็นการบูลลี่ (Bully) ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาหรือสถานที่ใดก็ตาม แม้กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศ เราต้องช่วยกันป้องกัน สร้างความเข้มแข็ง สร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม ทั้งนักเรียน เด็ก และผู้ปกครอง ดังนั้น การใช้เพลงมาเป็นสื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราเรียนรู้กันมาแล้วว่า วิธีที่จะเข้าถึงจิตใจของคน คือ ดนตรี ศิลปะ และกีฬา ดังนั้น โครงการนี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจะมีการประกวดร้องเพลง "ปล่อยผ่าน" พร้อมทั้งให้ทุนการศึกษา ทุกคนต้องมีส่วนร่วมเพื่อทำให้สังคมนี้เข้มแข็ง และปลอดภัยสำหรับเด็กๆและนักเรียนทุกคน ซึ่งตนหวังว่า ท่านจะร่วมมือในโครงการนี้กับเราทางใดทางหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องบริจาค แต่ให้ความรัก ให้การสนับสนุนก็จะทำให้งานนี้สำเร็จ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือความยั่งยืน เราต้องสร้างความกล้า สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ครอบครัว และสังคม โดยหวังว่าทุกท่านจะช่วยกันสร้างสังคมไทยให้เข้มแข็ง
พ.ต.อ.หญิง ศิริกุลกล่าวเพิ่มเติมว่า เพจ Because We Care ในฐานะที่เป็นช่องทางในการแจ้งเหตุ การให้คำปรึกษา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการนำไปสู่การช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในกรณีต่างๆ รวมทั้งการถูกบูลลี่ (Bully) ได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบของบทเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เพื่อเป็นสื่อกลางในการสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ที่ต้องตกเป็นผู้ถูกกระทำจากการดูถูกเหยียดหยาม การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม รวมถึงพฤติกรรมในการต่อต้านทางสังคมต่างๆ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้ามาร่วมรณรงค์เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างจิตสำนึก ยุติ ยับยั้ง การกระทำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งล่าสุด เพจ Because We Care ได้มีการขยายผลไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้อื่นทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยดำเนินกิจกรรมรวมพลังเครือข่าย พลเมืองดี ด้วยการนำตัวแทนเด็กและเยาวชน ได้แก่ ด.ญ.ชาณิดา โฉมเฉลา (น้องปลายนวม) จากเวที The Voice Kids Thailand ด.ญ.ปวริศา เติมจิตรอารีย์ (น้องปาญ่า) ด.ญ.นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์ (น้องอัยอิ) และน้องๆ เยาวชนจากรายการ The CAMP ค่ายหรรษา ThaiPBS ได้แก่ ด.ญ.วรรณกร สว่างวงศ์ (โอปอล) ด.ญ.มนัสสมา ผ่องใส (น้องนามะ) และ ด.ญ.วรรณวรัณธร ทิพยะวัฒน์ (น้ำอิง) รวมเป็นส่วนหนึ่งในการขับร้องเพลง "ปล่อยผ่าน (Move on Bully)" เวอร์ชั่นเด็ก โดยได้รับการสนับสนุนจาก คุณประสงค์ กรรโมทาร Producer ThaiPBS ที่นำตัวแทนเด็กและเยาวชนในสังกัดมาร่วมขับร้องเพลง ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากคุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (ครูปุ้ม พงศ์พรหม) นักประพันธ์เพลงชื่อดังของประเทศไทย ศิลปินศิลปาธร ศิลปินร่วมสมัย สาขาดนตรี ปี 2560 จาก กระทรวงวัฒนธรรม และคุณกริช อิทธิโชติกร ผู้ประพันธ์เพลง เรียบเรียงทำนอง ปล่อยผ่าน (Move on Bully) เพื่อปรับเนื้อหาของเพลงให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนมากยิ่งขึ้นอีกทั้งผู้ประพันธ์เพลงท่อนแรพ โดยคุณ Thalassa Tapia Ruano
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.เฮ้ง ส่งที่ปรึกษา มอบสิทธิประโยชน์แก่ญาติลูกจ้างโครงการเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จ.เพชรบุรี | วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน 2564
รมว.เฮ้ง ส่งที่ปรึกษา มอบสิทธิประโยชน์แก่ญาติลูกจ้างโครงการเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จ.เพชรบุรี
- -
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้
นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท แคล-คอมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จากโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ
ซึ่งบูรณาการระหว่างกระทรวงแรงงานและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต โดยมี หัวหน้าส่วนราชการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ทั้ง 5 ส่วนงาน นายสมศักดิ์ นิลยาภรณ์ กำนันตำบลสระพัง และนายธีรวัฒน์ รัตนสิงห์ รองนายกฯ อบต. หนองปรง ร่วมลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย โดยนางธิวัลรัตน์กล่าวว่าท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานและแสดงความเสียใจมายังครอบครัวของลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุ จึงได้กำชับให้กระทรวงแรงงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามกฎหมาย
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างจากโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งบูรณาการระหว่างกระทรวงแรงงานและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต โดยท่านรัฐมนตรีได้ฝากแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต และได้มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีประสานกับครอบครัวของนางสาวซาฟีระห์ มานะ ที่เสียชีวิต เพื่อดูแลด้านสิทธิประโยชน์ของผู้เสียชีวิต โดยในเบื้องต้นดิฉันและหัวหน้าในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีได้มอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือจำนวน 7,000 บาท และบริษัท แคล-คอมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้มอบเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 20,000 บาท
นอกจากนี้ ตามสิทธิของผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้ว เมื่อเสียชีวิตจะได้รับค่าทำศพจากสำนักงานประกันสังคมอีก จำนวน 50,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิต เป็นเยาวชนอายุ 22 ปี จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส โดยได้เข้าทำงานที่บริษัท แคล-คอมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะที่ทำงานอยู่ที่บริษัทฯ ได้ 7 เดือน ผู้เสียชีวิตได้คลอดบุตรอายุเพียง 15 วัน ได้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำซึ่งได้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จากนั้นได้เสียชีวิตลงระหว่างที่เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดนราธิวาส สำหรับทารกซึ่งได้ฝากเลี้ยงไว้กับบริษัทจัดหางาน ทีดับบลิว จำกัด ทางบริษัทฯ ได้ส่งทารกกลับไปอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดนราธิวาสเรียบร้อยแล้ว
------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
19 กันยายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45973 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทำงาน | วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564
เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทำงาน
เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชนเป็นฐานนำกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอำเภอทำให้สำเร็จ
เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19ชุมชนเป็นฐานนำกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอำเภอทำให้สำเร็จ ล่าสุดยอดการฉีดในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าฉีดในกลุ่มอื่น ๆ ต่อให้เกิดความครอบคลุม
นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ประเด็นการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในพื้นที่ ว่า เขตสุขภาพที่ 12 ดูแลในเขตภาคใต้ตอนล่าง 7 จังหวัด ในจำนวนนี้เป็นจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดถึง 4 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา จึงต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีน ในกลุ่มเสี่ยง 608ให้ได้ 70% ตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และเพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีน หรือเรียกว่าศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชน ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลพื้นฐานในชุมชน มีบทบาทในการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 แบบครบวงจร เฝ้าระวังบุคคลเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง คัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชนด้วยATK โดยทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายตั้งแต่ระดับปฐมภูมิถึงตติยะภูมิ และใช้กลไก 3 หมอที่มีอยู่
นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนในเขตสุขภาพที่ 12 ได้เพิ่มการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ให้มากที่สุด ด้วยการนำวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนถึง รพ.สต. ส่วนผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่เดินทางลำบากจะมีบุคลากรการแพทย์ไปฉีดวัคซีนให้ถึงบ้าน มุ่งเป้าการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 608 โดยกระตุ้นให้แต่ละอำเภอฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย ด้วยการมอบรางวัล และประกาศเกียรติคุณ ที่ฉีดวัคซีนได้ 70% เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเป็นแรงผลักดันให้พื้นที่อื่นๆ เร่งรัดตามมา เมื่อแต่ละอำเภอสามารถดำเนินการสำเร็จจะทำให้ภาพรวมการฉีดวัคซีนของจังหวัด และเขตสุขภาพเกิดความครอบคลุม ล่าสุดการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นชัดเจนข้อมูลถึงวันที่ 2 กันยายน 2564 เขตสุขภาพที่ 12 ได้ฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ไปแล้ว 523,547 คน คิดเป็น49.65%ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 352,956 คน คิดเป็น 55.71% ของผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งผลดีการการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมคือ จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ หรือหากมีประชาชนติดเชื้อโควิด 19จะช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ มีอำเภอที่บรรลุเป้าหมายฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมผู้สูงอายุเกิน 70% แล้วได้แก่ จ.สงขลา อ.นาหม่อม อ.นาทวี อ.เมืองสงขลา อ.ควนเนียง อ.หอยโข่งอ.หาดใหญ่ อ.สิงหนคร อ.บางกล่ำ / จ.ยะลา อ.เบตง อ.เมืองยะลา / จ.ปัตตานี อ.ไม้แก่น อ.เมืองปัตตานี อ.โคกโพธิ์/ จ.นราธิวาส อ.เมืองนราธิวาส อ.สุคิริน อ.สุไหงโก-ลก / จ.ตรัง อ.เมืองตรัง/ จ.พัทลุง อ.เมืองพัทลุง อ.ตะโหมด อ.เขาชัยสน อ.บางแก้ว / จ.สตูล อ.มะนัง
*********************************** 5 กันยายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ลงนามสนับสนุนใช้ “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass ขึ้นเครื่องบิน | วันพุธที่ 8 กันยายน 2564
สธ.ลงนามสนับสนุนใช้ “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass ขึ้นเครื่องบิน
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานการบินพลเรือนฯ และสมาคมสายการบินประเทศไทย ลงนามความร่วมมือ ใช้แพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass อำนวยความสะดวกตรวจสอบเอกสารฉีดวัคซีนก่อนขึ้นเครื่องบิน เป็นการคมนาคมวิถีใหม่ ตามมาตรการ COVID Free Setting
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานการบินพลเรือนฯ และสมาคมสายการบินประเทศไทย ลงนามความร่วมมือ ใช้แพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass อำนวยความสะดวกตรวจสอบเอกสารฉีดวัคซีนก่อนขึ้นเครื่องบิน เป็นการคมนาคมวิถีใหม่ ตามมาตรการ COVID Free Setting เตรียมพร้อมเปิดประเทศในอนาคต
บ่ายวันนี้ (8 กันยายน 2564) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานและสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาและเชื่อมโยงแพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เพื่อประกอบการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง โดยมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมสายการบินประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม
ดร.สาธิตกล่าวว่า ศบค.ได้ปรับมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 แนวใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นมา มีการทยอยเปิดกิจการกิจกรรมต่างๆ หนึ่งในนั้นคือการเดินทางเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด เพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ โดยเน้นย้ำการใช้มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) และมาตรการองค์กรปลอดโควิด (COVID Free Setting) 3 ด้าน ได้แก่ การจัดสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้มีการเว้นระยะห่าง มีระบบระบายอากาศอย่างเหมาะสม, มีการรับวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม และมีผลการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK เป็นลบ
โดยขณะนี้ยังไม่ได้บังคับใช้ เป็นไปตามความพร้อมของแต่ละกิจการ ซึ่งสายการบินต่างๆ มีความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting จึงเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มีระยะเวลา 3 ปี
ทั้งนี้ ข้อตกลงในครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะสนับสนุนข้อมูลการฉีดวัคซีนและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการบนแพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการสายการบินและผู้เดินทางภายในประเทศในการตรวจสอบเอกสาร เพื่อการคมนาคมอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และโอกาสการแพร่ระบาดในสังคม เป็นการคมนาคมวิถีใหม่ที่ปลอดภัยจากโรคระบาด สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นผู้สื่อสารกับหน่วยงานในกำกับและเกี่ยวข้อง เรื่องการใช้ “หมอพร้อม” ในการแสดงเอกสาร สนับสนุนมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ส่วนสมาคมสายการบินประเทศไทย ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนและผู้ปฏิบัติงานในการใช้ “หมอพร้อม” ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมกันปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้ปฏิบัติงาน และอุตสาหกรรมการบินไทย ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนแผนการเปิดประเทศในอนาคตของรัฐบาล
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มาตรการเปิดประเทศอย่างปลอดภัยด้วยการควบคุมโรคแนวใหม่ อาศัยหลักการป้องกันทุกกรณี หรือ Universal Prevention การฉีดวัคซีนแก่ประชาชน มาตรการสนับสนุนควบคุมโรค เช่น การใช้ ATK, ทีม CCRT ลงพื้นที่เชิงรุกในชุมชน, Bubble and Seal, COVID Free Settings รวมทั้งการใช้ Digital Health Pass บนแอปพลิเคชันหมอพร้อม ที่มีข้อมูลการฉีดวัคซีน ผลตรวจ RT-PCR หรือ ATK หรือเคยติดเชื้อแล้ว โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนเป็นสำคัญ และขอเชิญชวนโรงพยาบาล ร้านขายยา คลินิก ส่งข้อมูล ATK ผ่านหมอพร้อม station เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางด้วย
************************************** 8 กันยายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ยินดีผลสำเร็จการเยือนซาอุฯ อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ ต่อยอดสร้างโอกาสความร่วมมือทุกด้านทั้งการค้า การลงทุน แรงงาน และท่องเที่ยว | วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ยินดีผลสำเร็จการเยือนซาอุฯ อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ ต่อยอดสร้างโอกาสความร่วมมือทุกด้านทั้งการค้า การลงทุน แรงงาน และท่องเที่ยว
สั่งการรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทำงานทันทีให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
วันนี้ (26 ม.ค. 2565) ภายหลังการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 26 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบียนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยที่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีจนนำมาซึ่งความสำเร็จในการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยการเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี และได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ยิ่งใหญ่
โดยบรรยากาศในการหารือ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ทรงให้ความเป็นกันเอง นายกรัฐมนตรียินดีที่การเยือนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดในการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองราชอาณาจักรจะต่อยอด นำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายอย่างรอบด้าน และในทุกระดับ
ในขณะที่การพบปะพูดคุยกับชุมชนไทยและนักศึกษาไทยนั้น เป็นไปด้วยความเป็นกันเอง โดย นายกฯ ได้กล่าวขอให้ทุกคนร่วมกันเดินหน้าสู่ศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ร่วมกัน รัฐบาลต้องการให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่พัฒนาขึ้นนี้ ประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทุกคนที่มาร่วมในวันนี้ถือเป็นมีส่วนสำคัญ เพราะถือเป็นวันประวัติศาสตร์ พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะดูแลคนไทยในซาอุดีอาระเบียทุกคน
โฆษกรัฐบาลฯ กล่าวอีกว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ส่งผลให้เกิดโอกาสด้านการค้าการลงทุน แรงงาน การท่องเที่ยวมากมายตามมา นายกฯ ขอบคุณความพยายามและการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกันจนเป็นผลสำเร็จ เห็นได้จากความสำเร็จจากการเยือนที่ผ่านมา โดย นายกฯ ได้สั่งการทันทีให้รัฐมนตรีที่ร่วมเดินทาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการทันทีจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือ และประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญให้เป็นผล และเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50904 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2565) เวลา 10.00 น. นายเดชา จาตุธนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกมหาสมาคม เพื่อทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2565 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57376 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เร่งสนองนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. 4 ภาค ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมนี้ | วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เร่งสนองนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. 4 ภาค ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมนี้
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เร่งสนองนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. 4 ภาค ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมนี้ นำร่อง กทม. เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี
นางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่เป็นลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่อาจประสบปัญหาการเงินขัดข้องหลังจากสถานการณ์โควิดระบาด โดยกรมบังคับคดีจึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการจัดโครงการบังคับคดีร่วมใจช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หลังคำพิพากษา ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564 สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 609 เรื่อง ทุนทรัพย์ 81,854,444.69 บาท และระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2564 ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกรมบังคับคดี และสำนักงานบังคับคดีจังหวัด สาขาทั่วประเทศ จำนวน 117 แห่ง
นางทัศนีย์ เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้เราได้มีกำหนดจัดโครงการมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ 4 ภาค ซึ่งนำร่องจัดในพื้นที่ 7 แห่ง คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2564 เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ได้ร่วมเจรจากันด้วยความพึงพอใจ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม ตนจึงอยากเชิญชวนลูกหนี้ที่ประสบปัญหาหนี้สินซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้ว และอยู่ระหว่างการบังคับคดี ให้เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ซึ่งขอยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 02-8814840 02-8875072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมห่วงประชาชนที่กำลังเดือดร้อน จึงอยากให้เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ย ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาได้จริง จนลูกหนี้หลายรายไม่ถูกยึดอายัดทรัพย์ หรือไม่ถูกขายทอดตลาด ส่วนเจ้าหนี้ก็ได้รับชำระหนี้จนเรียบร้อยและก่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีกลับคืนมาในที่สุด” นางทัศนีย์ ระบุทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47571 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank รุกฉีดวัคซีนเสริมแกร่ง ยกระดับเอสเอ็มอีไทยก้าวผ่านโควิด-19 ประเดิม 4 โปรแกรมสุดปัง! เติมความรู้ เพิ่มรายได้ พาจับคู่ธุรกิจขยายตลาด | วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565
SME D Bank รุกฉีดวัคซีนเสริมแกร่ง ยกระดับเอสเอ็มอีไทยก้าวผ่านโควิด-19 ประเดิม 4 โปรแกรมสุดปัง! เติมความรู้ เพิ่มรายได้ พาจับคู่ธุรกิจขยายตลาด
SME D Bank เดินหน้า “ฉีดวัคซีนเสริมแกร่งเพื่อเอสเอ็มอีไทย” สร้างภูมิคุ้มกันสู้โควิด-19 ผ่านโครงการยกระดับพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ต่อเนื่องตลอดปี ประเดิมเดือน ม.ค. ด้วย 4 โปรแกรมสุดปัง เติมความรู้ เพิ่มรายได้ และพาจับคู่ธุรกิจขยายตลาด
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ต่อเนื่องและยาวนาน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง SME D Bank ในฐานะธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ได้ดำเนินการช่วยเหลือ ผ่านมาตรการด้านการเงิน ควบคู่กับช่วยเหลือด้านการพัฒนา เพื่อจะเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการอยู่รอด และยังเป็นวางรากฐานให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยปีที่ผ่านมา (2564) ช่วยพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านโครงการต่าง ๆ รวมกว่า 2 หมื่นราย
สำหรับปีนี้ (2565) SME D Bank ในฐานะธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ยังคงสานต่อแนวการพัฒนาผู้ประกอบการควบคู่ไปกับด้านการเงิน เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเติมความรู้ ช่วยเพิ่มรายได้ ขยายตลาด และพาก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้ด้วยดี ภายใต้แนวคิด “วัคซีนเสริมแกร่งธุรกิจเพื่อเอสเอ็มอีไทย” โดยจะจัดโครงการยกระดับพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม และทุกพื้นที่ ต่อเนื่องตลอดปี
ทั้งนี้ เดือนมกราคม 2565 ประเดิมด้วย 4 กิจกรรมน่าสนใจ จัดผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ประกอบด้วย ด้านเติมความรู้ 1. Workshop “เปิดตลาดออนไลน์ฟรีกับ FTIeBusiness” เพิ่มโอกาสทางธุรกิจสู่ความสำเร็จกับ Platform B2B ภาคอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในประเทศ จัดในวันศุกร์ที่ 21 ม.ค. 2565 ตั้งแต่เวลา 14.00-16.00 น. 2.กิจกรรม “Reboot ธุรกิจ ทำน้อยแต่ได้ 100%” รุ่นที่ 1 เติมความรู้ เพิ่มยอดขายออนไลน์ให้กับธุรกิจ Post Facebook ยังไงให้ทุกคนเห็น? พร้อมไขความลับการหาลูกค้าและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ จัดในวันที่ 27 ม.ค. 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ด้านเพิ่มรายได้ 3. โครงการ “ฝากร้านฟรี SME D Bank 2022” Online Workshop รวบรวมเทคนิคโปรโมทสินค้าสุดปัง พร้อมสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ผ่าน Line Openchat ที่สำคัญ! ได้รับการโปรโมทสินค้าฟรี! ผ่านช่องทางของธนาคาร จัดในวันอังคารที่ 25 ม.ค. 2565 ตั้งแต่เวลา 13.30-16.00 น. และด้านพาจับคู่ธุรกิจขยายตลาด 4.กิจกรรม “Business Matching เพิ่มโอกาส SME ขายสินค้ากับ CP All” เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย นำสินค้าเพื่อขายผ่านช่องทางต่างๆ ของ CP All เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สำหรับทั้ง 4 โปรแกรม สมัครเข้าร่วมได้ฟรี ติดต่อฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ โทร.099-616-9445 , 088-951-6926 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น | วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564
เพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น
ปลัดเกษตรฯ สั่งเพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น ให้กักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิด และให้สำนัก/กองที่มีผู้ติดเชื้อ WFH 100%
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมีเจ้าหน้าของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดเชื้อนั้น จึงได้สั่งการให้เพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น สั่งกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิด และให้สำนัก/กองที่มีผู้ติดเชื้อ WFH 100% ส่วนสำนัก/กองอื่น ให้พิจารณา WFH 95 – 100% เพื่อให้การป้องกันและควบคุมกำจัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นไปตามมาตรฐานของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังคงเน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติงานตามแนวทางที่กำหนดโดยความเข้มงวด ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ คือ
1) ให้บุคลากรในองค์กร ปฏิบัติราชการที่บ้าน (Work from home) และ/หรือการปฏิบัติเหลื่อมเวลา สลับวันหรือเวลาทำงาน ร้อยละ 95 - 100 ของจำนวนบุคลากรในหน่วยงาน สามารถปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานกับประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารราชการและการให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 กรกฎาคม 2564 โดยหากมีภารกิจเร่งด่วนต้องเข้าปฏิบัติงานที่สำนักงาน ขอให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและ/หรือนำไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง เพื่อลดความแออัดและการติดต่อสัมผัสระหว่างบุคคล
2) เน้นย้ำบุคลากรให้ปฏิบัติงานตามหลัก DMHTT (D : Social Distancing เว้นระยะห่าง M : Mask สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หรืออยู่ในพื้นที่สาธารณ H : Hand ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ T : Testing การตรวจเร็ว รักษาเร็ว ควบคุมโรคได้เร็ว และ T : Thai cha na ใช้แอพไทยชนะ) อย่างเคร่งครัด
3) การจัดประชุมหรือเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานอื่น ให้พิจารณาดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น
4) พิจารณาการปฏิบัติงานให้มีการดำเนินงานได้ภายใต้สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามแผนที่กำหนด โดยเฉพาะงานบริการต้องสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
5) ให้กำชับเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือหรือพื้นที่เสี่ยงตามข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีมีการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง ยกเว้นเหตุราชการ ให้ปฏิบัติตามมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของจังหวัดนั้น โดยเฉพาะการกักกันในสถานที่ตามระยะเวลาซึ่งเจ้าพนักงานโรคติดต่อหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขกำหนด
6) กรณีที่พบบุคลากรติดเชื้อไว้รัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้พิจารณาปิดสำนักงาน พ่นฆ่าเชื้อทำความสะอาด และจัดทีมเข้าปฏิบัติงาน โดยปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
7) สำหรับหน่วยงานที่มีการดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชนซึ่งทำให้ต้องมีบุคลากรจากภายนอกเข้ามาอยู่ในพื้นที่สำนักงาน เช่น การปรับปรุง-ซ่อมแซมอาคารสำนักงาน ขอให้พิจารณาสั่งการหยุดปฏิบัติงานตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) รวมทั้งให้มีการตรวจสอบบุคลากรกลุ่มดังกล่าวว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และขอให้พิจารณาร่วมกับภาคเอกชนในการปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเป็นไปตาม กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
"อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังคงเน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติงานตามแนวทางที่กำหนดโดยความเข้มงวด และหากพบว่าบุคคลากรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดโควิด-19 ได้มีการสั่งการให้มีการพ่นยาฆ่าเชื้อ และแจ้งไทม์ไลน์ไปที่ศูนย์โควิคของกระทรวงเกษตร อีกทั้งให้บุคลากรที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ กักตัวดูอาการเป็นเวลา 14 วันด้วย เพื่อให้การป้องกันและควบคุมกำจัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นไปตามมาตรฐานของภาครัฐอย่างเคร่งครัด" ดร.ทองเปลว กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ขานรับนโยบายนายกฯ ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร | วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564
รมช.ประภัตร ขานรับนโยบายนายกฯ ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร
รมช.ประภัตร ขานรับนโยบายนายกฯ ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร ดึงเอกชนหาตลาดรองรับผลผลิต เปิด “สุพรรณบุรีโมเดล” สนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่สุพรรณบุรี หวังขยายผลสู่ระดับประเทศ ยกระดับรายได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยื
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือโครงการ "สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร" จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อทำความเข้าใจกับเกษตรกร และผู้ประกอบการ ณ ตำบลวังน้ำซัพ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีตัวแทนจากกระทรวงมหาดไทย กรมราชทัณฑ์ ตัวแทนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ตัวแทนผู้ประกอบการที่รับซื้อฟักทอง ตัวแทนผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็ง ตัวแทนผู้เลี้ยงโคขุน หัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรีกว่า 200 คน เข้าร่วม
รมช.ประภัตร กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อการทำมาหากินของพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะหลังฤดูปลูกข้าว จึงได้มีนโยบายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสม มีตลาดรองรับ สามารถสร้างรายได้ในครัวเรือนได้ภายใน 4 เดือน โดยใช้เงินทุนจากสินเชื่อพิเศษตามโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร
“สำหรับโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ ที่จะสนับสนุนในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี จะทำเป็น "สุพรรณบุรีโมเดล" ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้จัดหาตลาดรับซื้อผลผลิต โดยขณะนี้มีการหารือกับผู้ประกอบการ และมีการประสานงานเรื่องตลาดรองรับผลผลิตทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และมีการประกันราคารับซื้อให้กับเกษตรกรที่ชัดเจนแล้ว โดยอาชีพที่มีการส่งเสริมสนับสนุนการประกอบอาชีพ คือด้านพืช มีด้วยกัน 3 เมนู 1.ฟักทอง 2.แฟง 3.พริก ด้านปศุสัตว์ มี 3 เมนู 1.โคขุน 2.แพะกับแกะ 3.ไก่พื้นเมือง ด้านประมง มี 2 เมนู 1.กุ้งก้ามกลาม 2.ปลาตะเพียน โดยบางเมนูอาชีพ กระทรวงเกษตรฯ ได้หารือกับผู้ประกอบการเรียบร้อย และพร้อมจะให้การสนับสนุนตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการสนับสนุนตั้งแต่เมล็ดพันธ์ุ พันธ์ุสัตว์ อาหาร ปุ๋ย ยา และจะหักต้นทุนคืนหลังจากเกษตรกรขายผลผลิตแล้ว ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการด้านต่างๆ ได้มาหารือร่วมกัน และพร้อมแล้วสำหรับการผลักดัน "สุพรรณบุรีโมเดล" เป็นตัวอย่างการดำเนินโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร ให้กับทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยด้วย” รมช.ประภัตร กล่าว
ทั้งนี้ โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะส่งเสริมสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรรายย่อย โดยใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้ ภายใต้หลักการ 3 คนร่วมมือ 1 คนกู้ 2 คนค้ำ หนี้เสียสามารถกู้ได้ เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท สำหรับใช้ในการประกอบอาชีพด้านการเกษตร (พืช ปศุสัตว์ ประมง) ที่มีตลาดรองรับชัดเจน หรืออาชีพที่มีลักษณะการลงทุนค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือน วงเงินกู้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาปล่อยเงินกู้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2567 ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส.สาขาใกล้บ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49897 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณเบิกจ่ายสิ้นปีงบ 2564 เป็นไปตามเป้า ทั้งผลการเบิกจ่ายภาพรวมและประสิทธิภาพดีขึ้นจากปี 2563” | วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564
“รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณเบิกจ่ายสิ้นปีงบ 2564 เป็นไปตามเป้า ทั้งผลการเบิกจ่ายภาพรวมและประสิทธิภาพดีขึ้นจากปี 2563”
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2565 แล้ว โดยรัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแล 43 แห่ง มีวงเงินลงทุน จำนวน 314,486 ล้านบาท
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2565 แล้ว โดยรัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแล 43 แห่ง มีวงเงินลงทุน จำนวน 314,486 ล้านบาท แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ จำนวน 167,317 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน จำนวน 147,169 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ซึ่ง สคร. ได้เตรียมความพร้อมในการติดตามรัฐวิสาหกิจให้เร่งจัดทำแผนการเบิกจ่ายที่สอดคล้องกับวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว สำหรับการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2564 ตามปกติ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจำนวน 260,609 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 92 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ปี 2564 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564
รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 63 – ก.ย. 64)
จำนวน 34 แห่ง (สิ้นสุดการดำเนินการแล้ว) 174,690 145,465 83%
ปีปฏิทิน (ม.ค. – ก.ย. 64)
จำนวน 9 แห่ง 110,089 115,145 105%
รวม 43 แห่ง 284,779 260,609 92%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ ซึ่งสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว จำนวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 145,465 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83 ของกรอบลงทุนทั้งปี และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน 2564) จำนวน 9 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 115,145 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 105 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม
อย่างไรก็ดี สิ้นเดือนกันยายน 2564 มีรัฐวิสาหกิจหลายแห่งสามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผนหรือสูงกว่าแผน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของ รฟม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12 ปี 2560 - 2564 ของ กฟน. งานก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปา ของการประปาส่วนภูมิภาค และโครงการขยายระบบส่งไฟฟ้า ระยะที่ 12 ของ กฟผ. ทั้งนี้ มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เบิกจ่ายล่าช้า เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ระยะที่ 1 และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร ของ รฟท. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) และโครงการทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปีที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐวิสาหกิจจะประสบปัญหาจากการประกาศปิดไซต์งานก่อสร้างและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 สคร. ได้มีการกำกับและติดตามความคืบหน้าและสภาพปัญหาในการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องและได้มีการเข้าพบรัฐวิสาหกิจเพื่อผลักดันการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณซึ่งสิ้นสุดการดำเนินการปี 2564 แล้ว มีประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบลงทุนสูงขึ้น รวมถึงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมได้สูงกว่าปี 2563 จำนวน 44,682 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเผย ข่าวปลอม อย่าแชร์ ประชาชนอายุต่ำกว่า 60 ปี ฉีดวัคซีน ที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้ว | วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2564
โฆษกดีอีเอสเผย ข่าวปลอม อย่าแชร์ ประชาชนอายุต่ำกว่า 60 ปี ฉีดวัคซีน ที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้ว
โฆษกดีอีเอสเผย ข่าวปลอม อย่าแชร์ ประชาชนอายุต่ำกว่า 60 ปี ฉีดวัคซีน ที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้ว
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจำวันที่17กรกฎาคม2564โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
พบการส่งต่อข่าวสารในประเด็นเรื่องประชาชนอายุต่ำกว่า60ปีสามารถโทรนัดหมายฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้วทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลว่าใครที่ต้องการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่สถานีกลางบางซื่อตอนนี้เปิดให้ประชาชนที่อายุต่ำกว่า60ปีจองได้แล้วโทรจองเบอร์หมอพร้อม02-7922-333ได้เลยนั้นทางกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่มีนโยบายรับผู้ที่อายุต่ำกว่า60ปีโดยCall Centerหมอพร้อมให้บริการนัดหมายฉีดวัคซีนณศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อเฉพาะผู้ที่มีอายุ60ปีขึ้นไปเท่านั้น
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์สามารถติดตามได้ที่www.dms.go.thหรือโทร02 590600
โฆษกกระทรวงดิจิทัลกล่าวอีกว่าอยากขอความร่วมมือประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน
ร่วมกันต่อต้านข่าวปลอมกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
*********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43855 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก สนองนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ COVID-19 กระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่ เปิดรับสมัครพนักงานราชการเฉพาะกิจ ตำแหน่งนักวิชาการขนส่ง 406 อัตราทั่วประเทศ | วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางบก สนองนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ COVID-19 กระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่ เปิดรับสมัครพนักงานราชการเฉพาะกิจ ตำแหน่งนักวิชาการขนส่ง 406 อัตราทั่วประเทศ
...
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้มีงานทำและกระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งรัฐบาลได้ให้ทุกส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจเร่งรัดดำเนินการรับสมัครและบรรจุเข้าปฏิบัติงานตามขั้นตอนให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ในส่วนของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้รับการจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 406 อัตรา บรรจุในตำแหน่งนักวิชาการขนส่ง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนและสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้จัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เพื่อให้เกิดการจ้างงานในระดับพื้นที่ แบ่งเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ จำนวน 26 จังหวัด ได้รับจัดสรรจังหวัดละ 6 อัตรา รวม 156 อัตรา ส่วนจังหวัดที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้รับการจัดสรรจังหวัดละ 5 อัตรา รวม 250 อัตรา
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 406 อัตรา ได้มอบอำนาจให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการได้ทันที และให้งดการเก็บค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ เพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน และดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ทั้งนี้ ได้กำหนดกรอบระยะเวลาให้ดำเนินการสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการเฉพาะกิจให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2564 และดำเนินการจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2564 โดยมีเงื่อนไขการทำสัญญาจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำสัญญาจ้าง โดยได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาทต่อเดือน สิ้นสุดสัญญาจ้างงานไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2565 และจะไม่มีการต่อสัญญาจ้าง ขณะนี้สำนักงานขนส่งจังหวัดบางจังหวัดได้เริ่มประกาศเปิดรับสมัครแล้ว ดังนั้น ผู้ที่สนใจสมัครสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นำร่องคนไข้บัตรทอง 500 ราย รับ 'เครื่องล้างไตอัตโนมัติ' ใช้ที่บ้าน | วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564
นำร่องคนไข้บัตรทอง 500 ราย รับ 'เครื่องล้างไตอัตโนมัติ' ใช้ที่บ้าน
....
การดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ดำเนินการต่อเนื่อง นอกจากบริการล้างไตผ่านเครื่องไตเทียมหรือฟอกไตแล้ว การล้างไตทางช่องท้อง เป็นบริการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง
.
ล่าสุด รัฐบาลตั้งเป้านำร่องใช้เครื่องช่วยล้างไตอัตโนมัติ (APD) ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย 500 ราย ที่ไม่สามารถเข้าฟอกไตที่หน่วยบริการได้ เช่น เป็นอัมพาต ผู้ป่วยติดเตียง หรืออยู่ห่างไกลจากหน่อยบริการ เป็นต้น เพื่อดูแลผู้ป่วยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และช่วยอำนวยความสะดวกในการล้างไตโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน ที่ไม่ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อเติมน้ำยาล้าง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลดีขึ้น
.
ผู้ป่วยที่ได้รับเครื่อง APD จะมีทีมพยาบาลประจำดูแลช่วยแนะนำวิธีใช้งานและให้คำปรึกษา ส่วนน้ำยาล้างไตจะส่งผ่านทางไปรษณีย์ไปให้กับผู้ป่วยที่บ้านอย่างต่อเนื่อง
.
สำหรับเกณฑ์คัดเลือกผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทองที่จะได้รับเครื่อง APD ได้แก่
1. ปัจจัยทางการแพทย์ เช่น ผู้ป่วยมีภาวะน้ำท่วมปอดบ่อย มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และส่งผลต่อภาวะที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ฯลฯ
2. ปัจจัยทางสังคม ซึ่งจะพิจารณาผลกระทบของญาติที่ดูแลเป็นสำคัญ
.
จึงนับเป็นการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับการดูแลผู้ป่วย ทั้งในด้านสถานการณ์ การจัดบริการ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42764 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รุกแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. ดึงผู้กู้กลุ่มผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญา 170,000 คนเข้าไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้องในงานสัญจรทั่วประเทศอีก 9 ครั้ง | วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565
รุกแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. ดึงผู้กู้กลุ่มผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญา 170,000 คนเข้าไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้องในงานสัญจรทั่วประเทศอีก 9 ครั้ง
รุกแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. ดึงผู้กู้กลุ่มผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญา 170,000 คนเข้าไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้องในงานสัญจรทั่วประเทศอีก 9 ครั้ง รับส่วนลดเบี้ยปรับ ขยายระยะเวลาผ่อนถึงอายุ 65 ปี ปลดภาระผู้ค้ำประกัน
วันที่ 26 มี.ค.2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีนโยบายให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งกลุ่มผู้กู้ยืมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่าต้องให้ความช่วยเหลือ
ล่าสุด กยศ. ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเชิงรุก โดยการร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ในการเชิญผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้ที่ถูกบอกเลิกสัญญาและกำลังจะถูกฟ้อง ประจำปี 2563 และประจำปี 2564 จำนวน 170,000 ราย เข้ามาไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้อง ภายในงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นทั้งหมด 12 ครั้ง ในกรุงเทพฯ และภูมิภาคซึ่งขณะนี้ได้จัดไปแล้ว 3 ครั้ง เหลือสัญจรอีก 9 ครั้งในภูมิภาค
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับการไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้องคดีนี้เป็นกรณีการใช้กลไกของพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 เข้ามาช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ถูกดำเนินคดีและเข้าสู่กระบวนการศาล โดยผู้เข้าร่วมจะได้ส่วนลดเบี้ยปรับ ได้รับโอกาสในการขยายระยะเวลาผ่อนชำระได้ถึงอายุ 65 ปี ขณะที่ผู้ค้ำประกันก็มีโอกาสได้รับการปลดภาระตามกฎหมายใหม่ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขคือ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ. .... โดยเมื่อกฎหมายมีผลบังคับแล้ว กยศ. จะสามารถปลดภาระผู้ค้ำประกันได้ หากผู้กู้มีการชำระเงินต้นมาแล้วร้อยละ 25 ของเงินต้นที่ค้างชำระ
“ในการสัญจรจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ทั่วประเทศที่เหลืออีก 9 ครั้งพร้อมกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและกรมบังคับดคี กยศ. จะส่งหนังสือถึงผู้กู้ยืมในแต่ละจังหวัดหรือจังหวัดที่ใกล้เคียงสถานที่จัดงานให้เข้ารับการไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนถูกฟ้องร้อง รัฐบาลจึงขอเชิญชวนลูกหนี้ กยศ. ที่อยู่ในเกณฑ์เข้าร่วม โดยหากไม่ได้รับหนังสือจาก กยศ. ให้เข้าร่วมก็สามารถวอร์คอินเข้าไปในงานโดยสามารถศึกษาข้อมูลและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่เว็บไซต์ของ กยศ. www.studentloan.or.th” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
สำหรับมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 3 ครั้งประกอบด้วยที่กรุงเทพฯและปริมณฑล, ที่จ.นครราชสีมา และที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ส่วนอีก 9 ครั้งที่เหลือในปี 2565 นั้นมีกำหนดการดังนี้ วันที่ 1 เม.ย. ที่ จ.นครศรีธรรมราช, วันที่ 28 เม.ย. ที่ จ.เชียงใหม่, วันที่ 6 พ.ค. ที่ จ.สุราษฎรธานี, วันที่ 19 พ.ค. ที่ จ.ระยอง, วันที่ 27 พ.ค. ที่ จ.พิษณุโลก, วันที่ 10 มิ.ย. ที่ จ.อุดรธานี, วันที่ 17 มิ.ย. ที่ จ.ราชบุรี และ วันที่ 24 มิ.ย. ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ ข้อมูลของ กยศ. ณ วันที่ 28 ก.พ. 2565 พบว่า ตั้งแต่ กยศ. เปิดให้กู้ยืมตั้งแต่ปี 2539 ได้ปล่อยกู้แก่นักเรียน นักศึกษาแล้ว 6,215,161 คน ชำระหนี้แล้วเสร็จ 1,565,712 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 25% ของผู้กู้ยืมทั้งหมด อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3,521,858 คน หรือร้อยละ 57 อยู่ระหว่างการปลอดหนี้ 1,060,259 คนหรือร้อยละ 17 และเสียชีวิต/ทุพพลภาพ 67,332 คน หรือร้อยละ1
......
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal | วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565
รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal
รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND
จังหวัดเชียงใหม่ : วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เวลา 14.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND โดยมีนายธีระยุทธ วาณิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องลีลาวดี ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่
.
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal โดยเฉพาะการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ หรือการใส่ใจด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และด้านสุขอนามัย ที่ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของโลกสากลที่กดดันให้กรอบการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นได้ทั่วไป สิ่งสําคัญของการดำเนินธุรกิจในยุค Next Normal ก็คือ การปรับตัว เพราะเมื่อโลกเปลี่ยนธุรกิจก็ต้องปรับ ซึ่งนโยบายด้านอุตสาหกรรมของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้กําหนดวิสัยทัศน์ไว้ได้ช่วยชี้นำให้อุตสาหกรรมไทย เดินมาอย่างถูกทิศถูกทาง และเป็นเกราะป้องกันผลกระทบของภัยคุกคามที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ตั้งแต่ในเรื่องของนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์ รองรับและบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนที่ได้กดดันให้เกิดกระแสการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ๆ รวมทั้งไทย ซึ่งในจุดนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับบริษัทต่างชาติ ผ่านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายการลงทุนและการพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสอดรับกับพัฒนาการของโลกแห่งอนาคต เช่น นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่อุตสาหกรรม EV นโยบายยกระดับ “เกษตรกรรม” ไปสู่ “เกษตรอุตสาหกรรม” เป็นตัวชูโรงในการนำแนวคิดทางวิศวกรรมและหลักการสมัยใหม่ในภาคอุตสาหกรรมร่วมกับเทคโนโลยีเพื่อการจัดการแบบอัจฉริยะหรือ Smart Farming สู่ภาคเกษตรของไทย และยังเป็นตัวเร่งการขับเคลื่อนการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสู่การประยุกต์ใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมและสถานประกอบการแปรรูปการเกษตร ทําให้เห็นถึงการสร้างเศรษฐกิจภูมิภาคด้วยโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยการเกษตร หรือ Agricultural driven Economy รวมทั้งนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย ไปสู่ “อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นทิศทางที่สามารถตอบโจทย์ของสถานการณ์วิกฤตการขาดแคลนอาหารที่กำลังเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งการปูพื้นการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ในระดับดีจนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
.
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในทุกภูมิภาค เพื่อรองรับแรงงานกลับสู่ท้องถิ่น ผ่านกลไกการพัฒนาชุมชนดีพร้อมและเกษตรอุตสาหกรรม โดยในส่วนของการพัฒนาชุมชนดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการมาตรการ “7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม” ประกอบด้วย แผนชุมชนดีพร้อม คนชุมชนดีพร้อม แบรนด์ชุมชนดีพร้อม ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาค
.
ดังนั้น ทิศทางการก้าวสู่อนาคตของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยต่อจากนี้ไป จะต้องเป็น “การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะต้องตอบโจทย์ 3 มิติ ทั้งในเรื่องของ Economic Success, Social Responsibility a Environmental Conservation เมื่อประกอบกับเจตนารมณ์ของรัฐบาล ที่จะลดช่องว่างและเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาคให้สามารถเติบโตไปด้วยกัน กรอบการกำาหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทยในยุคต่อไป จึงจะเป็นการชี้นำและกําหนดนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรมไทยให้สามารถ “เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” โดยมุ่งความสําเร็จในทั้ง 4 มิติ ควบคู่กัน คือ มิติที่ 1 ด้าน Economic Success มิติที่ 2 ด้าน Social Responsibility มิติที่ 3 ด้าน Environmental Conservation ควบคู่ไปกับ มิติที่ 4 ด้านการกระจายความเจริญด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และคนฐานราก ผ่านกลไกการพัฒนาชุมนดีพร้อม และการสร้างภาค เกษตรอุตสาหกรรม ของประเทศไทยให้เข้มแข็ง
.
นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ผมเชื่อมั่นว่าการนําพาภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทยไปสู่ความสําเร็จใน 4 มิติดังกล่าวสามารถสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ไม่ยาก หากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงสถาบันการเงินต่างๆ สานพลังและร่วมกันเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน เราจะพัฒนาและขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal ให้มีความเข้มแข็งในทั้ง 4 มิตินี้ไปด้วยกัน เราจะมีการสานพลังระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินผ่านทางการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ FTI EXPO 2022 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสานพลังในเรื่องอื่นๆ ระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะมีต่อไป เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าสืบไป”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค | วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565
การประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค
การประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปีพ.ศ. 2565ครั้งที่2/2565
วันนี้ (8 สิงหาคม 2565) พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปีพ.ศ. 2565ครั้งที่2/2565ณ ทำเนียบรัฐบาลและระบบการประชุมทางไกล โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมเพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินงานและเตรียมการของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด รองรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคระหว่างวันที่ 18-19พฤศจิกายน 2565ณ กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อหลัก“เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสู่สมดุล”หรือOpen. Connect. Balance.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57786 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ.ประธานการประชุม คสช. ครั้งที่3/2565 | วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565
รมช.สธ.ประธานการประชุม คสช. ครั้งที่3/2565
บ่ายวันนี้ (9 พ.ค. 65) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่3/2565 โดยมีหน่วยงานและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมทั้งออนไซต์และออนไลน์ เพ
บ่ายวันนี้ (9 พ.ค. 65) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่3/2565 โดยมีหน่วยงานและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมทั้งออนไซต์และออนไลน์ เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงาน (ร่าง) แผนงานหลัก สช. ฉบับที่4 ปีงปม. พ.ศ. 2566-2570, การสนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่ที่มีการถ่ายโอน รพ.สต. ให้แก่ อบจ., การพัฒนาเครือข่ายวิชาการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพระดับภาค และผลการดำเนินงานของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขตพื้นที่4 และ 7 นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชน ไร้รัฐไร้สัญชาติ และ (ร่าง) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่3 ที่ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ดาวน์โหลดภาพเพิ่มเติมได้ที่ :https://bit.ly/3FAlhtx
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54387 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ กทม. และทุกจังหวัด ถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 28) และคำสั่งฯ ฉบับล่าสุดโดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ทุกภาคส่วน ลดการออกนอกเคหสถานเพื่อชะลออัตราการระบ | วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ กทม. และทุกจังหวัด ถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 28) และคำสั่งฯ ฉบับล่าสุดโดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ทุกภาคส่วน ลดการออกนอกเคหสถานเพื่อชะลออัตราการระบ
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ กทม. และทุกจังหวัด ถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 28) และคำสั่งฯ ฉบับล่าสุดโดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ทุกภาคส่วน ลดการออกนอกเคหสถานเพื่อชะลออัตราการระบาดที่รุนแรงของโควิด - 19
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.64 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 17 ก.ค.64 และคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่ 10/2564 ลงวันที่ 17 ก.ค. 64 กำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 53 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 10 จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวังสูง 1 จังหวัด โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (20 ก.ค.64) เป็นต้นไป ซึ่งในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 64 ได้วางแนวทางปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ดังกล่าว
.
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร รับทราบและถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ และคำสั่งฯ ดังกล่าว โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้ทราบว่า มาตรการตามข้อกำหนดฯ ดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อลดการออกนอกเคหสถานของประชาชน และชะลออัตราการระบาดที่รุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) นอกจากนี้ ให้นำมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิ.ย.64 ข้อกำหนด (ฉบับที่ 25) ลงวันที่ 26 มิ.ย. 64 และข้อกำหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค. 64 ใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกำหนดฯ ฉบับล่าสุด
.
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้เน้นย้ำให้กรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และจังหวัดสงขลา) หารือกับคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ประสานการปฏิบัติกับฝ่ายทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางระบบและกำกับติดตามให้เป็นไปตามมาตรการ ได้แก่ 1) การลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง โดยให้ประชาชนเลี่ยง จำกัด หรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกเคหสถานหรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง พึงใช้ความระมัดระวังในการป้องกันตนเองตามคำแนะนำของพนักงานเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยให้กรุงเทพมหานครและจังหวัด ประสานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ สมาคม ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม อาสาสมัคร และจิตอาสา ให้ความช่วยเหลือและกระจายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบาง 2) ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน นับแต่วันที่ข้อกำหนดฉบับนี้ใช้บังคับ กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นฯ ให้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรแสดงตนอย่างอื่น และเอกสารรับรองความจำเป็น เอกสารเกี่ยวกับสินค้า บริการการเดินทาง หรือหลักฐานอื่น ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยกรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นฯ ตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 27) ได้แก่ การสาธารณสุข การขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การให้บริการหรืออำนวยประโยชน์หรือความสะดวกแก่ประชาชน และการประกอบอาชีพที่จำเป็น ให้หน่วยงาน หรือบริษัท หรือสถานประกอบการต้นสังกัด แล้วแต่กรณี เป็นผู้ออกเอกสารรับรองความจำเป็นฯ สำหรับกรณีอื่น ๆ นอกเหนือจากบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ให้ขอเอกสารรับรองความจำเป็นฯ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ หรือผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 3) การตรวจคัดกรองการเดินทางข้ามเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มีความมุ่งหมายเพื่อคัดกรอง ชะลอ หรือสกัดกั้นการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่น โดยให้พิจารณาจัดตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัดในพื้นที่เขตติดต่อระหว่างจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กับจังหวัดอื่นในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช พัทลุง และสตูล) โดยประสานการดำเนินการให้สอดคล้องกับจังหวัดพื้นที่รอยต่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด รวมทั้งทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความมุ่งหมายของมาตรการและกรณีข้อยกเว้นสำหรับบุคคลที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเดินทางข้ามเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่นตามข้อกำหนด คือ กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นฯ ตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 27) หากมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเดินทาง ให้แสดงหลักฐานหรือเอกสารซึ่งต้นสังกัด แล้วแต่กรณีเป็นผู้ออกเอกสารรับรองความจำเป็นฯ และกรณีบุคคลทั่วไป สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “หยุดเชื้อ เพื่อชาติ (https://covid-19.in.th/)” และแสดง QR Code ต่อเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ ด่านตรวจ และจุดสกัด 4) มาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วน ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เพื่อมีคำสั่งปิดสถานที่หรือกิจการที่มีความเสี่ยง ต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 14 วัน ทั้งนี้ การยกเว้นสถานที่หรือกิจการที่ให้เปิดดำเนินการได้ตามข้อกำหนดฯ ให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด 5) ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นสถานที่กักกันโรค โดยกรณีกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้จัดกิจกรรมได้ หากประสงค์จะจัดกิจกรรมในช่วงระยะเวลานี้ ให้ผู้รับผิดชอบการจัดกิจกรรมดังกล่าว ดำเนินการขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อตรวจสอบและทบทวนมาตรการป้องกันโรคในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับห้วงเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และ 6) ให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรในความรับผิดชอบดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจำนวน และมุ่งเน้นการปฏิบัติงานหรือจัดกิจกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด รวมทั้งให้งดการจัดกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มหรือเคลื่อนที่ของคนจำนวนมาก สำหรับการปฏิบัติงานของภาคเอกชน ให้ทำความเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ บริษัท ปฏิบัติตามมาตรการเช่นเดียวกัน กรณีสถานประกอบการที่มีพนักงานพักอาศัยอยู่ภายนอกสถานประกอบการ ให้พิจารณาลดกำลังการผลิต หรือปรับปรุงรูปแบบการทำงาน หรือจัดให้มีที่พักในสถานประกอบการตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคล
.
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (64 จังหวัด) ให้จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดที่ติดต่อกับจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สมุทรสงคราม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช พัทลุง และสตูล) ประสานการปฏิบัติกับฝ่ายทหาร ตำรวจ และจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ในการตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจหรือจุดสกัด เพื่อให้ประสานสอดคล้องกัน พร้อมทั้งเน้นย้ำการคัดกรองผู้เดินทางเพื่อเข้าสู่ระบบการเฝ้าสังเกตอาการ ณ ที่พำนัก โดยกำชับและเน้นย้ำทุกอำเภอจัดเก็บข้อมูลผู้ที่เดินทางเข้าหมู่บ้าน/ชุมชน ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือประธานกรรมการชุมชนอย่างใกล้ชิด
.
นอกจากนี้ ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หารือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วางมาตรการควบคุมโรคในพื้นที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ ได้แก่ การตรวจหาเชื้อโควิด - 19 โดยวางระบบการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 แบบ Antigen Test Kit (ATK) ควบคู่กับการเร่งดำเนินการในการตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR เพื่อลดการแออัดในการขอตรวจกับจุดตรวจต่าง ๆ โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายและขั้นตอนการดำเนินการให้ชัดเจน หากผลยืนยันเป็นบวกและไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย ให้เข้าสู่กระบวนการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือการแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation : CI) รวมไปถึงให้เตรียมพร้อมการจัดสถานที่รองรับผู้ติดเชื้อ ตามศักยภาพของพื้นที่ ได้แก่ (1) ระบบการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) (2) การแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolationi:iCI) (3) โรงพยาบาลสนาม (4) Hospitel (5) ICU สนาม โดยประสานการปฏิบัติ กำหนดมาตรการกำกับดูแล และการเบิกจ่ายงบประมาณ กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีมติให้ออกประกาศหรือคำสั่ง ให้ส่งประกาศหรือคำสั่งให้ ศบค.มท. ทราบโดยเร็ว เพื่อรายงานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบประกาศหรือคำสั่งโดยทั่วกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เผย คปก. ร่างประกาศ กำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ที่ดินฯ พร้อมเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจาก Covid-๑๙ | วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564
ปลัดเกษตรฯ เผย คปก. ร่างประกาศ กำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ที่ดินฯ พร้อมเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจาก Covid-๑๙
ปลัดเกษตรฯ เผย คปก. ร่างประกาศ กำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ที่ดินฯ พร้อมเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจาก Covid-๑๙
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมไชยยงค์ ชูชาติ ส.ป.ก. ว่าการประชุมในครั้งนี้มีวาระสำคัญในการอนุมัติโครงการและใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแปลงที่ดินที่ได้จากการยึดคืนพื้นที่ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๓๖/๒๕๕๙ ตลอดจนการรายงานผลการปฏิบัติงานตามกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำปีบัญชี 2564 ไตรมาสที่ 4
โดย ส.ป.ก. ได้เสนอร่างประกาศ คปก. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์สำหรับกิจการที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2564 ตามมติ คปก. ครั้งที่ 3/2564 ซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งแก้ปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้พิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์สำหรับกิจการที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่จะเรียกเก็บค่าตอบแทนจากผู้ได้รับการจัดที่ดิน และมีหลักเกณฑ์การลดค่าตอบแทน การปรับปรุงค่าตอบแทน การทบทวนอัตราค่าตอบแทน และการคำนวณค่าตอบแทนเพื่อเป็นการสนับสนุนและลดต้นทุนในกิจกรรมความเป็นอยู่ต่างๆของเกษตรกรและผู้เช่าที่ดิน และคปก. ยังให้ความสำคัญในเรื่องของสาธารณูปโภคโดยได้อนุมัติโครงการและใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการก่อสร้างบ่อบาดาลและระบบสูบน้ำโซล่าร์เซลล์ พร้อมหอถังสูงเพื่อการอุปโภคบริโภค ในแปลงที่ดินที่ได้จากการยึดคืนพื้นที่ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๖/๒๕๕๙ แปลงที่ดินNo 83 โซนที่ 5 และโซนที่ 6 จังหวัดชุมพร ซึ่งที่ผ่านมา ส.ป.ก. ได้ปรับพื้นที่ และปรับปรุงถนนสายหลัก ผิวจราจรหินคลุก ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแปลงและขนส่งผลผลิตจากแปลงไปสู่ตลาดได้สะดวกยิ่งขึ้น ตลอดจนการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรแบบครบวงจร การขุดสระ โครงการขุดบ่อบาดาล รวมทั้งระบบสูบน้ำแบบโซล่าร์เซลล์และแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำเกษตรกรรมของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้มีแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคและภาคการเกษตรอย่างเพียงพอและทั่วถึง
ด้านนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก.กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการอนุมัติโครงการและใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาแปลงที่ดินตามโครงการพัฒนาแปลงที่ดินที่ได้จากการยึดคืนพื้นที่ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 36/2559 ซึ่งได้มีการอนุมัติหลักการใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในการพัฒนาทั้งสิ้น 7 กิจกรรมมีการอนุมัติโครงการที่ขอใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 – 2564 ไปแล้ว จำนวน 74 โครงการ 5 กิจกรรม ดำเนินงานในพื้นที่ 12 จังหวัด จำนวน 39 แปลง จำนวนเงินทั้งสิ้น 218,526,362.00 บาท และเบิกจ่ายแล้ว 148,445,857.27 บาท ส.ป.ก. ให้ความสำคัญในเรื่องของความเป็นอยู่ของเกษตรกรเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ส.ป.ก. ได้เข้าไปเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกร ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ในปีงบประมาณ 2563 ถึงปีงบประมาณ 2564 จำนวน 45 จังหวัด เกษตรกร 4,162 ราย เป็นเงิน146.32 ล้านบาท และช่วยลดภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้ผ่อนผันการชำระเงินกู้รายงวดหรือขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ออกไป 1 ปี.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้สมาชิกมีรายได้บนเว็บไซต์ Thailand post mart | วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565
กอช. ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้สมาชิกมีรายได้บนเว็บไซต์ Thailand post mart
กอช. ร่วมกับ บจ.ไปรษณีย์ไทย เพิ่มช่องทางให้สมาชิก กอช.จำหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ Thailand post mart เพื่อส่งเสริมให้เกิดรายได้ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และมีเงินออมกับ กอช. ไว้ใช้ยามเกษียณ สมัครเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.2565
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ขอเชิญชวนสมาชิก กอช. เข้าร่วมกิจกรรมจำหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ Thailand post mart เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการส่งเสริมการขายให้สมาชิก กอช. นอกจากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีเงินออมกับ กอช. ไว้ใช้ยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี เป็นรายเดือน พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐตามช่วงอายุ สูงสุด 100% หรือไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี ในเดือนถัดไป โดยผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นสมาชิก กอช. ที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เป็นผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หรือมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามโครงการ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 30 มิถุนายน 2565 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนการออมแห่งชาติ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54870 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ติดตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่ | วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ติดตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ติดตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่ เร่งขับเคลื่อนงานให้ได้ตามเป้าหมายโครงการเพื่อประโยชน์พี่น้องเกษตรกร
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อมโยงตลาด ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีแปลงใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ จำนวน 19 แปลง รวมงบประมาณที่ขอสนับสนุนกว่า 55 ล้านบาท ซึ่งเบิกจ่ายไปแล้วกว่าร้อยละ 91
จากนั้นได้ลงพื้นที่เยี่ยมแปลงใหญ่โคนม หมู่ที่ 15 ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งประกอบกิจกรรมการเลี้ยงโคนมและผลิตนม ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 41 ราย และพื้นที่การผลิต 693 ไร่ เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ โดยจัดทำแผนการผลิตขอรับการสนับสนุนจัดซื้อจัดจ้าง โรงคลุมวัตถุดิบอาหารหยาบ 1 หลัง เครื่องชั่งรถบรรทุกแบบแท่นชั่งลอย จำนวน 1 ชุด และถังเก็บน้ำนมดิบขนาด 15,000 ลิตร ซึ่งใช้งบประมาณ 2,728,224 บาท คาดว่าสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในเดือนธันวาคม 2564 ตามแผนที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งรัดติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด และหลังจากจัดซื้อจัดจ้างเสร็จ ให้ติดตามดูแลแปลงใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แปลงใหญ่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ต่อไป
ทั้งนี้ โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อมโยงตลาด เป็นโครงการที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากเกษตรกร สามารถช่วยแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดว่าแปลงใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ลดต้นทุนการผลิต และผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ และขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ กำลังดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการฯ ในรอบ 2 เพื่อการพัฒนาแปลงใหญ่ให้ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯสุริยะ ร่วมหารือเอกอัครราชทูตฯเกาหลี | วันพุธที่ 27 เมษายน 2565
รัฐมนตรีฯสุริยะ ร่วมหารือเอกอัครราชทูตฯเกาหลี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือเอกอัครราชทูตฯเกาหลี
รัฐมนตรีฯสุริยะ ร่วมหารือเอกอัครราชทูตฯเกาหลี
วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 14.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายมุน ซึง-ฮย็อน (H.E. Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับหน้าที่และร่วมหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย | วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย
พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women) แสดงถึงความเชื่อมั่นของนานาประเทศต่อไทยในการส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
การประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 25 มิถุนายน 2565 ณ กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “Women: Creating Opportunities in the New Reality” โดยประเทศไทยจะได้ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คนจากกว่า 60 ประเทศ ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะเป็นการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ครั้งแรกที่จัดขึ้นแบบพบปะ (face-to-face) ในรอบ 2 ปี และเป็นโอกาสให้ไทยแสดงศักยภาพในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และการเป็นประเทศเป้าหมาย (world destination) ทั้งในด้านการจัดประชุมระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยวของไทย ภายหลังเปิดประเทศ และเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการจัดงานระหว่างประเทศ โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้กว่า 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ระบุว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่อุตสาหกรรม MICE ในประเทศไทยยังสามารถสร้างรายได้กว่า 33.2 พันล้านบาท และสร้างงานมากกว่า 46,000 ตำแหน่งในปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากกิจกรรมระดับนานาชาติ 23 งานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสปน. ในปี 2565 แล้ว การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) ซึ่งกำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงเทพฯ จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะดึงดูดความสนใจของโลกมายังประเทศไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีตอบรับการเป็นประธาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก ในวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 นี้ โดยเวทีสุดยอดผู้นำสตรีโลกนี้ เป็นโอกาสที่ไทยจะใช้แสดงศักยภาพ ความมุ่งมั่น ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.เฉพาะกิจฯ เห็นชอบแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการระยะเร่งด่วน-มาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565
คกก.เฉพาะกิจฯ เห็นชอบแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการระยะเร่งด่วน-มาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ
คกก.เฉพาะกิจฯ เห็นชอบแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการระยะเร่งด่วน และมาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ “นายกฯ” ย้ำรัฐบาลจะทำงานแก้ไขสถานการณ์ให้ดีที่สุด
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (11 ส.ค. 65) เวลา 10.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เห็นชอบแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการระยะเร่งด่วน (Quick win) และมาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง (Follow-up Urgent Policy) เพื่อรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจพิจารณากำหนดรายละเอียดมาตรการ และเสนอคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในวันนี้ถือเป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้คณะกรรมการได้ร่วมพิจารณาวางแผนแนวทางการปฏิบัติ ในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ให้สอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมการชุดอื่น ๆ รวมถึงคณะรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยคณะกรรมการจะมีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมแผนปฏิบัติการล่วงหน้า เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนได้ทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น ทั้งนี้ จากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รัฐบาลกำลังดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดูแลในทุกมิติแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการระยะเร่งด่วนว่า ขอให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้เน้นว่าจะทำอะไรได้มากกว่าเดิมบ้าง ให้พิจารณาดำเนินการไปตามห้วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมาตรการบางอย่างอาจจะดำเนินการต่อไป บางอย่างอาจจะต้องลดหรือเพิ่ม ต้องพิจารณาเตรียมการอย่างรอบคอบ ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่่มีอยู่ และต้องเตรียมสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน ว่าแต่ละเรื่องจะเดินหน้าไปด้วยงบประมาณส่วนใด โดยขอให้นำข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งหมดให้คณะอนุกรรมการ คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ได้ใช้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้การทำงานเกิดการประสานสอดคล้องกัน
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ในการทำงานบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะมีประเด็นหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง และมีผลกระทบกับหลายด้าน วันนี้รัฐบาลกำลังบริหารสถานการณ์วิกฤตที่มีความเสี่ยงสูง โดยมีการติดตามประเมินสถานการณ์ และมีวิธีการทำงานแก้ไขสถานการณ์เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยรัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด
ที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจและข้อเสนอแผนเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยสรุปได้ดังนี้
1. จากการติดตามเครื่องบ่งชี้ที่อาจก่อให้วิกฤตล่าสุด 4 ด้าน ได้แก่ (1) วิกฤตต้นทุนพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ (2) วิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร (3) วิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs และ (4) วิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพบว่าปริมาณน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า และสินค้าที่จำเป็นยังไม่ขาดแคลน แต่มีราคาสูงขึ้น และรัฐบาลได้มาตรการช่วยเหลือ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้วัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ ปุ๋ยและอาหารสัตว์ก็ไม่ขาดแคลน แต่มีราคาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าเกษตรบางรายการ มีราคาขายที่ต่ำกว่าต้นทุน สำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs พบว่าหนี้ครัวเรือนเริ่มลดลง ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ แต่รายจ่ายครัวเรือนยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวดค่าโดยสาร ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วน SMEs ในภาพรวมค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ในบางสาขายังไม่กลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ผู้ประกอบการ SMEs ยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนและกำไร ในส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต ที่ประชุมเห็นว่ายังควรเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
2. ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้แก่ (1) มาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล การตรึงราคาก๊าซ NGV การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ตลอดจนการออกมาตรการรักษากำลังซื้อให้แก่ประชาชนต่าง ๆ รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (2) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) ระยะที่ 2 มาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยของ ธ.ก.ส. (3) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs อาทิ จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2565 (พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ) และ (4) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับคู่ค้าที่มีศักยภาพ การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน การลงทุนในโครงสร้างภายในประเทศ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมแนวเหนือ ใต้ ตะวันตก และตะวันออก เป็นต้น
3. สำหรับมาตรการที่จะดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย 1) มาตรการระยะเร่งด่วน (Quick win) ได้แก่ กลุ่มมาตรการประหยัดพลังงาน มาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ โครงการบริหารจัดการปุ๋ย โครงการส่งเสริมการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุอินทรีย์ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs มาตรการบูรณาการฐานข้อมูลเกษตรกรในหลายมิติ และมาตรการทางการเงินเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 2) มาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง (Follow-up Urgent Policy) ได้แก่ มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ มาตรการประหยัดพลังงาน อาทิ ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และลดต้นทุนและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง โดยมุ่งเน้นการขนส่งทางราง มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร เช่น ศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุน/ร่วมทุน ในการจัดตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยโปแทส เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs อาทิ การพัฒนาทักษะทางการเงินในทุกช่วงวัย การดำเนินการของคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย และมาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57912 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทสร้างทางเข้า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - เชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์ | วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
กรมทางหลวงชนบทสร้างทางเข้า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - เชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์
พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนชาวไทยภูเขาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการคมนาคมในพื้นที่ให้สัญจรได้อย่างปลอดภัยในทุกฤดูกาล ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทร
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก และอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ รวมระยะทาง 74.014 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ทช. ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก และอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทและส่งเสริมการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ บรรเทาความเดือดร้อน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ อำนวยความสะดวกปลอดภัยในการขนส่งพืชผลทางเกษตรออกสู่ท้องตลาดได้ทุกฤดูกาล และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมสนับสนุนงานโครงการหลวง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เนื่องจากที่ผ่านมาการเดินทางของประชาชนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก ถนนมีลักษณะเป็นดินโคลนทำให้การคมนาคมเกิดความล่าช้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างอำเภอมากถึง 3 - 5 ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจรไป-กลับ และการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
- ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นบ้านป่าไร่ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (แม่สอด - แม่สะเรียง) (กม. ที่ 36+900) สิ้นสุดโครงการที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ระยะทาง 44.584 กิโลเมตร เส้นทางนี้อยู่ห่างจากอำเภอแม่ระมาดประมาณ 40 กิโลเมตร จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง จะเหลือเพียง 2 ชั่วโมง ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 246.664 ล้านบาท
- ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้น กม. ที่ 44+602 ที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 บ้านแม่ตื่นน้อย ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สิ้นสุดโครงการ กม.ที่ 74+032 เชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1099 (กม. ที่ 75+000) ที่บ้านใหม่ ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 29.430 กิโลเมตร เส้นทางนี้เข้าจากตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง จะเหลือเพียง 1.30 ชั่วโมง ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 244.490 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเส้นทางตามมาตรฐานถนนหลวงภูเขาขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ และจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ใหญ่ริมทางเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด เพื่อทัศนียภาพและระบบนิเวศป่าไม้ที่สมบูรณ์สืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53099 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯติดตามการค้นหาเชิงรุกชุมชน-การตรวจหาเชื้อที่รพ. หวัง ดำเนินการเต็มที่สกัดวงจรแพร่ระบาด | วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2564
นายกฯติดตามการค้นหาเชิงรุกชุมชน-การตรวจหาเชื้อที่รพ. หวัง ดำเนินการเต็มที่สกัดวงจรแพร่ระบาด
นายกฯติดตามการค้นหาเชิงรุกชุมชน-การตรวจหาเชื้อที่รพ. หวัง ดำเนินการเต็มที่สกัดวงจรแพร่ระบาด
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลการจัดหาและกระจายเวชภัณฑ์และยารักษาโรคโควิด-19 ให้เพียงพอนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีข้อกำชับเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเพียงของชุดอุปกรณ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองให้ได้มากที่สุดด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการเร่งตรวจคัดกรองประชาชน ทั้งในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในระบบการเฝ้าระวัง การลงพื้นที่เพื่อตรวจเชิงรุกในชุมชน ในทัณฑสถาน ตลอดจนในสถานที่กักตัวที่รัฐรับรอง ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะทำให้พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งทราบว่าหน่วยให้บริการต่างๆได้ทำงานเต็มที่ ทั้งในโรงพยายาบาลและลงพื้นที่ตรวจเชิงรุก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงพยาบาลเอง อาจจะมีบางช่วงที่พบว่ามีการหยุดตรวจคัดกรองบ้างเนื่องจากต้องบริหารจัดการให้สอดคล้องกับจำนวนเตียงผู้ป่วย แต่ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งดำเนินการขยายเตียงรองรับผู้ป่วยในส่วนต่างๆ ให้เพียงพอ ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โรงพยาบาลบุษราคัม ที่เมืองทองธานี ห้องไอซียูสนามที่ มทบ.11 โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ก็จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองผู้ป่วยให้ได้มากขึ้นด้วย
“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนและติดตามเพื่อสั่งการการให้การสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในทุกด้าน ซึ่งในส่วนของการตรวจคัดกรองหาเชื้อนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยบริการทั้งในโรงพยาบาลและการลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกในชุมชุนดำเนินการให้เต็มที่และหากสามารถขยายศักยภาพการตรวจได้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณสุขได้ก็ให้เร่งดำเนินการทันที”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
..........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM emphasizes the need to strictly comply with Covid Free Setting and Universal Prevention following MOPH’s forecast on continuous increase of new COVID-19 infected cases | วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
PM emphasizes the need to strictly comply with Covid Free Setting and Universal Prevention following MOPH’s forecast on continuous increase of new COVID-19 infected cases
PM emphasizes the need to strictly comply with Covid Free Setting and Universal Prevention following MOPH’s forecast on continuous increase of new COVID-19 infected cases
February 10, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has stressed the importance for the public, Government and business sector to strictly comply with theCovid Free Setting and Universal Prevention, as well as other COVID-19 preventive measures, following Ministry of Public Health’s forecast that COVID-19 infected cases will continue to increase by the end of this month. Food and drink should not be provided in all modes of public transport, and the ATK test be a requirement for traveling.
On February 11, 2022, a total of 15,242 new confirmed cases is reported, among which 14,885 were found domestically, and 182 from overseas traveling. The total of 23 deaths and 8,955 recoveries were reported with 111,393 active cases. From January 1, 2022, cumulative number of cases are 337,680, and cumulative number of recoveries, 258,841. Cumulative number of vaccinations across the country from February 28, 2021 to February 10, 2022 is 119,011,647 doses (1stshot: 52,657,317 persons, 2ndshot: 49,107,345 persons, and 3rdshot 17,246,985 persons.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51461 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ชี้แจงกรณีลูกหนี้ตามคำพิพากษาผ่อนชำระแล้วเงินต้นไม่ลด | วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564
กยศ. ชี้แจงกรณีลูกหนี้ตามคำพิพากษาผ่อนชำระแล้วเงินต้นไม่ลด
กยศ.ชี้แจงกรณีสำนักข่าวแห่งหนึ่งนำเสนอข่าวลูกหนี้กองทุนตามคำพิพากษาที่ผิดนัดชำระหนี้และถูกบังคับคดี โดยให้ผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน แต่หลังจากผ่อนชำระมาระยะหนึ่งแล้วหนี้เงินต้นไม่ลดลงเลย ซึ่งกองทุนอยู่ระหว่างดำเนินการเสนอแก้ไข กม.ช่วยเหลือลูกหนี้
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงกรณีสำนักข่าวแห่งหนึ่งได้นำเสนอข่าวความเดือดร้อนของลูกหนี้กองทุน 2 ราย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ผิดนัดชำระหนี้และถูกบังคับคดี โดยให้ผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน แต่หลังจากลูกหนี้ผ่อนชำระมาระยะหนึ่งแล้วพบว่าหนี้เงินต้นไม่ลดลงเลย ซึ่งกองทุนอยู่ระหว่างดำเนินการเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มที่ถูกดำเนินคดี
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากการตรวจสอบข้อมูลของลูกหนี้ทั้ง 2 ราย พบว่า ผู้กู้ยืมรายแรกได้กู้ยืมเงินกองทุนตั้งแต่ปี 2541 มียอดหนี้เงินกู้ทั้งสิ้น 145,600 บาท เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ผู้กู้ได้ชำระหนี้เพียง 3 ครั้ง จำนวนรวม 4,480 บาท ต่อมาในปี 2551 กองทุนจำเป็นต้องดำเนินคดี ซึ่งผู้กู้ยืมได้มาทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลโดยตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนๆ ละ 1,600 บาท แต่หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความผู้กู้ยืมมิได้ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมแต่อย่างใด ต่อมาหลังจากพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ กองทุนจึงได้ดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนผู้กู้ยืมผ่านองค์กรนายจ้างเพื่อนำมาตัดชำระหนี้ที่ค้าง ปัจจุบันผู้กู้รายนี้มียอดเงินต้นคงเหลือ 144,498 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่ง
สำหรับผู้กู้ยืมรายที่ 2 ได้กู้ยืมเงินกองทุนตั้งแต่ปี 2539 มียอดหนี้เงินกู้ทั้งสิ้น 340,500 บาท เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ผู้กู้ได้ชำระหนี้เพียงครั้งเดียวในปี 2548 จำนวน 2,000 บาท ต่อมาผู้กู้ยืมได้เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องในปี 2552 แต่ไม่ได้ชำระหนี้เลย จนกระทั่งปี 2561 ผู้กู้ยืมได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลโดยตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนๆ ละ 6,900 บาท ซึ่งผู้กู้ยืมก็ไม่ได้ชำระหนี้แต่อย่างใด ต่อมากองทุนได้ดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมผ่านองค์กรนายจ้างเพื่อนำเงินมาตัดชำระหนี้ ปัจจุบันผู้กู้รายนี้มียอดเงินต้นคงเหลือ 338,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเงินที่ได้รับจากการหักเงินเดือนของลูกหนี้ทั้งสองรายได้นำมาตัดชำระเบี้ยปรับและดอกเบี้ยก่อน แต่เนื่องจากมีการค้างชำระหนี้เป็นระยะเวลานานจึงส่งผลให้เกิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับค้างจ่ายจำนวนมากทำให้ยังตัดไม่ถึงยอดหนี้เงินต้น ซึ่งกองทุนอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มที่ถูกดำเนินคดีในลักษณะนี้ ด้วยการเสนอขอแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 เพื่อให้กองทุนสามารถดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้หรือแปลงหนี้ใหม่กับลูกหนี้ตามคำพิพากษาของกองทุน ที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมสามารถตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่กองทุน ในจำนวนและระยะเวลาที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ได้ในอนาคต
ที่ผ่านมากองทุนได้กำหนดเงื่อนไขที่ผ่อนปรนในการชำระคืน โดยไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างการศึกษาและให้ระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปีหลังจากสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษา โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ของเงินต้นคงเหลือ และให้ผ่อนชำระได้ 15 ปี กำหนดอัตราผ่อนชำระเงินต้นจากน้อยไปมากแบบขั้นบันได และเริ่มคิดดอกเบี้ยในงวดชำระปีที่ 2 เป็นต้นไป ดังตัวอย่างตารางการผ่อนชำระหนี้ 15 ปี จากเงินต้น 100,000 บาท ในปีแรกจะชำระเพียง 1,500 บาท หรือเดือนละ 125 บาท จนถึงปีสุดท้ายให้ผ่อนชำระ 13,000 บาท หรือเดือนละ 1,095 บาท หากมีการค้างชำระหนี้ กองทุนจะคิดเบี้ยปรับ 7.5% ของงวดที่ค้างชำระ
ทั้งนี้ กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนเป็นหน่วยงานของรัฐที่ให้โอกาสทางการศึกษาเพื่อสร้างทุนมนุษย์และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กู้ยืมเงินที่ขาดโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกองทุนมิได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่ใช้เงินหมุนเวียนที่ได้รับชำระหนี้จากผู้กู้ยืมที่มีความรับผิดชอบในการชำระคืน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46811 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ จังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “สืบศิลป์ถิ่นอีสาน ESAN DO DEE” | วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ จังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “สืบศิลป์ถิ่นอีสาน ESAN DO DEE”
กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ จังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “สืบศิลป์ถิ่นอีสาน ESAN DO DEE” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และงานวิสาขปุณณมีปูชา ประเพณีสรงน้ำพระธาตุยาคู ประจำปี ๒๕๖๕
กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ จังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “สืบศิลป์ถิ่นอีสาน ESAN DO DEE” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว และงานวิสาขปุณณมีปูชา ประเพณีสรงน้ำพระธาตุยาคู ประจำปี ๒๕๖๕
(๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕) เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยาง พระธาตุยาคู อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนายประสพ เรียงเงิน หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายขัตติยา ชัยมณี วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ พลตำรวจตรี วรวัฒน์มะลิ รักษาราชการแทนผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ และนางสาวธนวัน กาสี ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “สืบศิลป์ถิ่นอีสาน ESAN DO DEE” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และงานวิสาขปุณณมีปูชา ประเพณีสรงน้ำพระธาตุยาคู ประจำปี ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม และจังหวัดกาฬสินธุ์ ในการดำเนินการกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ณ โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยาง พระธาตุยาคู อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้แก่ชุมชนของจังหวัดกาฬสินธุ์ และในเขตภาคอีสาน ประกอบด้วยกิจกรรมงานสืบศิลป์ถิ่นอีสาน อีสานดูดี, พิธีอัญเชิญน้ำสรงพระราชทานเพื่อสรงน้ำพระธาตุยาคู, นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ชมทะเลธุง จำนวนกว่า ๑,๖๐๐ ต้น, ชมขบวนแห่เครื่องสักการะพระธาตุยาคูจาก ๑๘ อำเภอ, รำบูชาพระธาตุยาคู มีนางรำกว่า ๒,๒๙๐ คน, การแสดงแสงสีเสียงชุด "ตุ้มโฮม ม่วนซื่น โฮแซว" และการแสดงศิลปวัฒนธรรมจาก ๒๐ จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, พิธียกอ้อ ยอครูหมอลำ นักร้องนักดนตรีจาก ๒๐ จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอน "ลักษมีสีดา", การแสดงแบบผ้าไทยอัตลักษณ์และผ้าไทยร่วมสมัย ๒๐ จังหวัด, กิจกรรมเสวนาทางวิชาการ, การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CCPOT จาก ๒๐ จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ชม ชิม ช็อป ตลาดนัดโบราณ, นิทรรศการเฮือนอีสานย้อนยุค ๑๘ อำเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์ และการแสดงของศิลปินที่มีชื่อเสียง
สำหรับมาตรการควบคุมดูแลการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ได้วางมาตรการไว้อย่างเข้มงวด ตั้งแต่การร้านค้าภายในงาน เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีนทุกคน และใช้มาตรการ D-M-H-T-T
อย่างเคร่งครัด ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดทั้งงาน ตลอดจนการจัดชุดเจ้าหน้าที่ทำการตรวจ
คัดกรอง การปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัด
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์
โทร. ๐ ๔๓๘๑ ๕๘๐๖
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช.กลาโหมนำทีมลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ติดตามประเด็นสกัดการลักลอบเข้าเมือง สิ่งผิดกฎหมาย ป้องกันโควิด-19" | วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565
"รมช.กลาโหมนำทีมลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ติดตามประเด็นสกัดการลักลอบเข้าเมือง สิ่งผิดกฎหมาย ป้องกันโควิด-19"
เมื่อวันที่ ๑๑ มี.ค. ๒๕๖๕ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และประธานกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาล
พลเอก พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์, คุณรัชดา ธนาดิเรก กรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และ พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เดินทางไปติดตามการขับเคลื่อนงานในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้
ณ ด่านศุลกากรตากใบ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์
ในพื้นที่จากหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส (ฉก.นราธิวาส) และรับทราบรายงานสภาพเศรษฐกิจการค้าขายบริเวณด้านพรมแดนไทย - มาเลเซีย ด้านอำเภอตากใบ ซึ่งมีช่องทาง เข้า - ออก ติดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยมีจุดผ่านแดนถาวร ๑ แห่ง จุดผ่อนปรนการค้า ๓ แห่ง และช่องทางธรรมชาติ จำนวน ๒๖ จุด
หลังจากนั้นได้เดินทางโดยเรือตรวจการณ์ไปตามลำน้ำโกลกเพื่อรับทราบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในพื้นที่ที่มีการบูรณาการร่วมกันในการปฏิบัติภารกิจในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับประชาชน ดูแลป้องกัน สกัดกั้น ยับยั้งการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การขนสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี การค้ายาเสพติด สภาพพื้นที่ภายหลังน้ำลดจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ตลอดจนการควบคุมคัดกรองบุคคลในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งทุกหน่วยในพื้นที่ได้เตรียมความพร้อมตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันดูแล ตามเส้นเขตแดนทางน้ำระยะทาง ๑๐๖ กิโลเมตร ด้วยการทำงานบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และประธานกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ยังได้ฝากข้อห่วงใย และขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จากท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการทำหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนด้วยความเสียสละอดทนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมกำลังพลอาสาสมัครทหารพรานและประชาชน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการลอบวางระเบิดที่บริเวณริมถนนเส้น ๔๑๐ ตรงข้ามมัสยิสบ้านเตาปูน หมู่๓ ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๕ ณ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
#กลาโหม135ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ให้คณะผู้บริหารบริษัท Rever Automotive จำกัด เข้าพบเพื่อแนะนำการดำเนินงานของบริษัทฯ | วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565
รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ให้คณะผู้บริหารบริษัท Rever Automotive จำกัด เข้าพบเพื่อแนะนำการดำเนินงานของบริษัทฯ
รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ให้คณะผู้บริหารบริษัท Rever Automotive จำกัด เข้าพบเพื่อแนะนำการดำเนินงานของบริษัทฯ
รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ให้คณะผู้บริหารบริษัท Rever Automotive จำกัด เข้าพบเพื่อแนะนำการดำเนินงานของบริษัทฯ
วันนี้ (5 สิงหาคม 2565) เวลา 15.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้คณะผู้บริหารบริษัท Rever Automotive จำกัด เข้าพบเพื่อแนะนำการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานทางเลือก และเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์บีวายดีในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ณ ห้องรับรอง 2 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57698 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันอิฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1443” | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2565
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันอิฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1443”
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันอิฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1443”
พี่น้องมุสลิมที่รักทุกท่าน
ในโอกาสวันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1443 ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม ผมขอส่งความรัก ความระลึกถึง และความปรารถนาดีมายังพี่น้องชาวมุสลิมทุกท่านทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศและต่างประเทศ และผมขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านได้ปฏิบัติศาสนากิจถือศีลอดตลอดช่วงเดือนรอมฎอนอย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงความมุ่งมั่น เสียสละ และอดทนของพี่น้องมุสลิมทุกคน และยังแสดงถึงความช่วยเหลือเกื้อกูลและการส่งกำลังใจระหว่างกัน นับเป็นการปฏิบัติศาสนากิจตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามด้วยความศรัทธายิ่ง เป็นรอมฎอนแห่งความรักและสันติสุขอย่างแท้จริง
ในโอกาสนี้ ผมขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน และขออานุภาพแห่งองค์เอกอัลลอฮฺที่พี่น้องมุสลิมเคารพนับถือ ได้โปรดประทานความเมตตา ความสุขสวัสดี ความเจริญ และมีกำลังกาย กำลังใจ รวมทั้งจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เป็นสัตบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยคุณงามความดี ดำรงตนเป็นคนดีของสังคมและมีจิตสาธารณะ พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าและมั่นคงสืบไป
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ | วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564
ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีความคืบหน้า ดังนี้
โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 26.22 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวน 27.98 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 184,823.7 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 93,934.0 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 90,889.7 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 73,061.3 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 29,910.5 ล้านบาท ร้าน OTOP 8,876.6 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 69,616 ล้านบาท ร้านบริการ 3,162.5 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 196.8 ล้านบาท
โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีประชาชนผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 91,952 คน จากผู้ได้รับสิทธิจำนวนกว่า 4.9 แสนราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมส่วนประชาชนรวม 3,718 ล้านบาท มีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher 3,064 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม e-Voucher ทั้งสิ้นกว่า 353.8 ล้านบาท และมูลค่าการใช้จ่ายสะสมส่วน e-Voucher 194.9 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 179.6 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 198.8 ล้านบาท ร้าน OTOP 412.9 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 2,982.6 ล้านบาท และร้านบริการ 139 ล้านบาท
สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุด ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เวลา 08.00 น. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 2,657.7 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่าย 1,372.2 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 1,285.5 ล้านบาท สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีการใช้จ่ายสะสมกว่า 2 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุดขณะนี้ มีจำนวนกว่า 79,000 ราย
ประชาชนสามารถใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือใช้จ่ายในส่วน e-Voucher สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง [email protected] , [email protected]
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดำรถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” | วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดำรถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5”
...
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดำรถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรลักษ์ โดยมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหาร พนักงาน เจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรลักษ์ สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการคมนาคมขนส่งและจราจร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันลดปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งเกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยที่ผ่านมาสำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอำเภอกันทรลักษ์ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อให้ค่าฝุ่นละอองเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 ขบ. ได้ดำเนินการตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศแล้ว จำนวน 255,379 คัน พบรถที่มีค่าควันดำเกินกำหนด และพ่นห้ามใช้ จำนวน 1,922 คัน สำหรับกิจกรรมในวันนี้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยการส่งภาพรถบรรทุกและรถโดยสารควันดำที่สังเกตเห็นหมายเลขทะเบียนชัดเจนไปที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวย หมวดอักษร กน “ก้าวหน้ามั่งมี ป้ายทะเบียนดี ศรีสะเกษ” จึงขอเชิญชวนผ้สนใจร่วมประมูลผ่านทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com หรือติดต่อลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลได้ที่ฝ่ายทะเบียนรถ สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ และสำนักงานขนส่งสาขาอำเภอกันทรลักษ์ ในวันและเวลาราชการ โดยเงินรายได้จากการประมูลนำไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนผู้ใช้บริการ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และมอบสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด อาทิ การทำความสะอาดภายในรถโดยสารและบริเวณสถานี โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เว้นระยะที่นั่งผู้โดยสารป้องกันการสัมผัสใกล้ชิด คัดกรองผู้โดยสารก่อนเข้าสถานี ตลอดจนขอความร่วมมือผู้โดยสารเช็กอินแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และพนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการให้บริการ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้รถโดยสารสาธารณะรุ่นใหม่ทดแทนรถรุ่นเดิมที่หมดอายุการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารในขณะเดินทาง อีกทั้งรถรุ่นใหม่มีระบบการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นพลังงานสะอาด จะช่วยลดมลพิษและทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนในการขนส่ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54823 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แถลงเปิดตัวกิจกรรม “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง” จ.พิษณุโลก เชิญคู่รักร่วมปีนผาจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก 14 ก.พ. นี้ | วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565
รมว.พม. แถลงเปิดตัวกิจกรรม “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง” จ.พิษณุโลก เชิญคู่รักร่วมปีนผาจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก 14 ก.พ. นี้
รมว.พม. แถลงเปิดตัวกิจกรรม “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง” จ.พิษณุโลก เชิญคู่รักร่วมปีนผาจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก 14 ก.พ. นี้ พร้อมชูกีฬาปีนผาเสริมเศรษฐกิจท่องเที่ยวชุมชน
วันนี้ (22 ม.ค. 2565) เวลา 15.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน กิจกรรมสัปดาห์แห่งความรัก ณ บ้านมุง “โครงการ ปีน ปั่น ปลูก ป่านันทนาการ ภูผาหินบ้านมุง จังหวัดพิษณุโลก” ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในวันแห่งความรัก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นางสาวดารารัตน์ น้อยพันธ์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านมุง และนายไกรศักดิ์ บุญทิพย์ (ครูต้อม) ผู้เชี่ยวชาญการปืนผาแห่งสมาคมการปีนผาแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว นอกจากนี้ นายนิกโคล โทมาส "น้องเพชร" นักกีฬาปีนผาดาวรุ่งทีมชาติไทย อายุ 18 ปี ได้สาธิตการปีนผา Heart Rock ที่มีช่องหินรูปหัวใจ อีกทั้งมีการเปิดตัวคู่บ่าวสาวที่จะมาร่วมปีนเขาจดทะเบียนอีกด้วย
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่เปิดโอกาสมิติใหม่สำหรับตำบลบ้านมุง จังหวัดพิษณุโลก เราจะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ และเป็นการผจญภัยของการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และจะสร้างเศรษฐกิจฐานรากธุรกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง อีกทั้งจะเป็นโรงเรียนฝึกสอนนักกีฬาปีนผาสำหรับในอนาคต เป็นสถานที่ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถเข้ามาร่วมกันอย่างมีความสุข ทั้งพ่อ แม่ ลูก โดยกิจกรรมนี้จะให้ทางท้องถิ่นช่วยในการออกแบบและการบริการสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำให้ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และงานนี้จะสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และอาจารย์ไกรศักดิ์ บุญทิพย์ ซึ่งทั้งสองท่านมีความมุ่งมั่นที่จะมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับชาวจังหวัดพิษณุโลก และเป็นอีกหนึ่งนโยบายรัฐบาลที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการเห็นความร่วมมือของภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน และตนได้เห็นการสนับสนุน ความพยายามจากภาคีทุกภาคส่วน เป็นการสร้างโอกาสให้ทุกคนได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะมนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ก็จะไม่ยั่งยืน และไม่ได้ทิ้งไว้ให้กับลูกหลานที่อยู่ข้างหลัง สำหรับงานนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกได้สร้างโอกาส องค์ความรู้ และรายได้ จากธุรกิจบริการของพื้นที่ให้กับชาวจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งทุกคนเป็นเจ้าของและมีส่วนได้ประโยชน์ รวมทั้งอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และยั่งยืน และตนขอฝากไว้กับนายกเทศมนตรีตำบลบ้านมุงให้ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่แห่งนี้ ช่วยกันบริหารประโยชน์ จัดสรรปันส่วนให้กับประชาชนทุกกลุ่ม และตกอยู่กับชาวบ้านมุงและทุกคนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม กีฬาปีนผาเป็นกีฬาใหม่สำหรับคนไทยและประเทศไทย แต่เป็นกีฬาที่สามารถสร้างความตระหนักในการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ได้
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับงาน “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการ ภูผาหินบ้านมุง” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาหินปูนที่สวยงาม ถูกขนานนามว่า “กุ้ยหลิน เมืองไทย” มีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) กิจกรรมปีนผาจดทะเบียนสมรส ณ ภูผาหินบ้านมุง (ผาถ้ำน้ำ) 2) กิจกรรมการแข่งขันปั่นจักรยาน และ 3) การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั้งนี้ ขอเชิญชวนคู่รักที่สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมปีนผาจดทะเบียนสมรส ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 27 มกราคม 2565 และสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1qfR0NiE49dJPzqFUlkpWubNFfpSjIHJB?usp=sharing พร้อมส่งใบสมัครมาที่ E-mail : [email protected] โดยจะประกาศผลคู่รักที่ได้รับการคัดเลือกในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งจะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดตลอดการเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูในใบสมัครและสอบถามได้ที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) โทร. 0 2659 6717 - 18
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กฟผ. เตรียมขยายสถานีชาร์จไฟฟ้า หนุนไทยเข้าสู่ "สังคมคาร์บอนต่ำ" เพิ่มความสะดวกให้ ปชช. ที่ใช้รถยนต์ EV | วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564
กฟผ. เตรียมขยายสถานีชาร์จไฟฟ้า หนุนไทยเข้าสู่ "สังคมคาร์บอนต่ำ" เพิ่มความสะดวกให้ ปชช. ที่ใช้รถยนต์ EV
....
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังขับเคลื่อนให้ประเทศไทย เข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ทั้งในภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง มุ่งสร้างระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ด้วยการลงทุนพัฒนาสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ EV โดยพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า(EV Charging Station)
.
ตั้งแต่เดือนมี.ค.64 ที่ได้เปิดให้บริการ EV Charging Station นั้น พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนผู้ใช้รถยนต์ EV และยังช่วยลดการปล่อย CO2 ได้มากกว่า 10 ตันคาร์บอน
.
ระยะต่อไป จะดำเนินการขยายจำนวน EV Charging Station เพิ่มขึ้น ทั้งในพื้นที่โรงไฟฟ้า หรือเขื่อนของ กฟผ. และพื้นที่พันธมิตรต่าง ๆ ในเส้นทางหลักทั่วประเทศ คาดว่า จะสามารถขยายได้ถึง 23 แห่ง ภายในปี 2564 นี้ และ 120 แห่งในปี 2565
.
สำหรับผู้ใช้รถยนต์ EV สามารถดูสถานะ EV Charging Station ได้แบบ Realtime ผ่านแอปพลิเคชัน "EleXA" ดาวน์โหลดได้ที่
.
iOS:https://apps.apple.com/th/app/elexa/id1557651291
Android:https://play.google.com/store/apps/details?id=egat.smd.ev&hl=en_US&gl=US&fbclid=IwAR3Tc9l2thyoQZYJKD6kMZjXKxbvbQhGxEDUu3oDVhNt6eEIDIIcoaM1B-8
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47093 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน “โนรา” เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ | วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน “โนรา” เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน “โนรา” เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบว่า “โนรา” หรือ “มโนราห์” (Nora) ศาสตร์การรำของไทย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) โดยนายกฯ ยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่วัฒนธรรมของไทยที่มีความโดดเด่น ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แสดงให้เห็นว่า ศิลปวัฒนธรรมไทยที่มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ สวยงาม และเป็นที่น่าชื่นชม ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดนโยบายการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนทางมรดกทางวัฒนธรรม สร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งให้กับการนำเสนอด้าน Soft Power ของไทย รวมทั้งจะเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ตลอดจนสามารถต่อยอดไปสู่การส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า องค์การ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียน “โนรา” (Nora, Dance Drama in Southern Thailand) ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านทางภาคใต้ของไทย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 จากมติที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลตามภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 16 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยโนรามีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ 5 ข้อของการขึ้นทะเบียน ได้แก่ (1.) มรดกสอดคล้องกับลักษณะของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่นิยามไว้ในอนุสัญญาฯ มาตรา 2 (2.) สามารถส่งเสริมความประจักษ์และตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในระดับโลก และแสดงถึงความสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ (3.) มาตรการสงวนรักษาได้รับการพิจาณาอย่างรอบคอบเพื่อปกป้องและส่งเสริมมรดกนั้น (4.) ชุมชน กลุ่มคน และปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการนำเสนอ และ (5.) อยู่ในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศผู้นำเสนอ
นอกจากนี้ องค์การ UNESCO ยังระบุเพิ่มเติมว่า โนราถือเป็นแนวปฏิบัติของชุมชนที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและสังคมอย่างลึกซึ้งสำหรับคนภาคใต้ของประเทศไทยที่มีอายุกว่า 500 ปี ผ่านการแสดงรำที่ใช้ภาษาถิ่น ดนตรี และวรรณกรรม เพื่อเสริมสร้างชีวิตทางวัฒนธรรมและความผูกพันทางสังคมในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งได้รับการเผยแพร่และสานต่อในชุมชน งานวัดและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ และถ่ายทอดผ่านการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญในชุมชน และสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแล้วทั้งหมด 3 ชิ้น ได้แก่ 1. โขน 2. นวดไทย 3. รำโนรา
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า นับเป็นความยินดีที่วัฒนธรรมไทยจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ และสามารถดึงดูดให้ทั้งชาวต่างชาติและคนไทยด้วยกันหันมาสนใจศิลปวัฒนธรรมไทยมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยสืบสานอนุรักษ์ “โนรา” การแสดงสำคัญของชาวใต้ยังคงอยู่ และได้รับการต่อยอดอย่างสร้างสรรค์แพร่หลาย รวมถึงมรดกของชาติอื่นๆ ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขึ้นทะเบียน “โนรา” การแสดงที่ชาวใต้ภูมิใจ จะส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคใต้ผ่านการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคใต้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ–สาธิต” ขึ้น ฮ. สำรวจพื้นที่กรณี “น้ำมันรั่วมาบตาพุด” ย้ำภายในวันนี้เคลียร์คราบน้ำมันได้หมด เผยตัวเลขปริมาณน้ำมันล่าสุดเหลือเพียง 5 พันลิตร สั่งตั้งคณะ กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง | วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
“สุริยะ–สาธิต” ขึ้น ฮ. สำรวจพื้นที่กรณี “น้ำมันรั่วมาบตาพุด” ย้ำภายในวันนี้เคลียร์คราบน้ำมันได้หมด เผยตัวเลขปริมาณน้ำมันล่าสุดเหลือเพียง 5 พันลิตร สั่งตั้งคณะ กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง
“สุริยะ–สาธิต” ขึ้น ฮ. สำรวจพื้นที่กรณี “น้ำมันรั่วมาบตาพุด” ย้ำภายในวันนี้เคลียร์คราบน้ำมันได้หมด เผยตัวเลขปริมาณน้ำมันล่าสุดเหลือเพียง 5 พันลิตร สั่งตั้งคณะ กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง
“สุริยะ – สาธิต” ขึ้น ฮ. สำรวจพื้นที่กรณี“น้ำมันรั่วมาบตาพุด” ย้ำภายในวันนี้เคลียร์คราบน้ำมันได้หมด เผยตัวเลขปริมาณน้ำมันล่าสุดเหลือเพียง 5 พันลิตร สั่งตั้งคณะ กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงด่วน
จ.ระยอง วันที่ 27 มกราคม 2565 :“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” พร้อมด้วย “สาธิต ปิตุเตชะ” นำทีมผู้เกี่ยวข้องเหตุน้ำมันรั่วไหล บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสอบข้อเท็จจริง ยืนยันภายในวันนี้ (27 ม.ค.65) จะสามารถเคลียร์คราบน้ำมันได้ทั้งหมด ขณะที่ตัวเลขของปริมาณน้ำมันที่เหลืออยู่ที่ 5,000 ลิตร มั่นใจสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่กระทบการท่องเที่ยวของจังหวัดระยองและกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมสรุปรายงานผลทันที
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุน้ำมันรั่วไหลของ บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมากโดยเฉพาะผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริงดังกล่าว เนื่องจากการรายงานข่าวในเบื้องต้นมีการรายงานตัวเลขของปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลออกมาว่ามีจำนวน 4 แสนลิตร ซึ่งเป็นการประเมินเบื้องต้นในช่วงของการเกิดเหตุการณ์กลางดึกของวันที่ 25 มกราคม 2565 ซึ่งต่อมาทางบริษัทฯ ได้มีการส่งนักประดาน้ำลงสำรวจจุดเกิดเหตุ พบว่า มีปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลอยู่ที่ประมาณ 50,000 ลิตร ซึ่งจากการดำเนินการควบคุมพื้นที่และกำจัดคราบน้ำมันในช่วงคืนที่ผ่านมา (26 มกราคม 2565) สามารถกำจัดออกไปได้ 45,000 ลิตร จึงเหลือตกค้างอยู่ประมาณ 5,000 ลิตร คาดว่าภายในวันนี้จะสามารถดำเนินการจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
“จำนวนของคราบน้ำมันที่เหลืออยู่ประมาณ 5,000 ลิตร ผมเชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะที่บริเวณหาดแม่รำพึงที่มีการเกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น ยืนยันไม่ส่งผลกระทบอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเราจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเบื้องต้น ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวงเรียร้อยแล้ว เพื่อสอบสวนหาสาเหตุของการรั่วไหลในครั้งนี้ รวมทั้งหามาตรการหรือแนวทางในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำอีก” นายสุริยะ กล่าว
นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2556 ที่เคยเกิดการรั่วไหลของน้ำมัน และส่งผลกระทบในวงกว้างนั้น จากการตรวจสอบทั้งในส่วนของปริมาณน้ำมัน กระแสคลื่นลมและทิศทางลมในวันนี้ มีความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการติดตามความเสียหายในทุกมิติ ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตของประชาชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการประสานไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความเสียหายในทุกมิติต่อไป
ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวเสริมว่า ล่าสุดจากการสำรวจทางอากาศได้พบว่า คราบน้ำมันได้ลอยเข้าใกล้ชายฝั่งมากขึ้น แต่ยังห่างจากฝั่งประมาณ 10 กิโลเมตร โดยการดำเนินการหลังจากนี้ บริษัทฯจะทำการประเมินการเคลื่อนตัวและลักษณะของคราบน้ำมัน จัดเตรียมแผนในการเก็บกู้คราบน้ำมันในทะเลโดยใช้เครื่องมือขจัดคราบน้ำมัน (Skimmer : อุปกรณ์สกิมเมอร์ (Skimmer) เพื่อทำการเก็บคราบน้ำมันขึ้นไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ) รวมถึงการทดลองใช้แบคทีเรียในการเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดคราบน้ำมันตามคำแนะนำของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และจัดเตรียมอุปกรณ์และกำลังพล เพื่อเก็บกู้คราบน้ำมันบริเวณชายฝั่ง(ถ้ามี)เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง
“กนอ.ได้กำชับไปทางบริษัทฯให้เพิ่มการดูแลความปลอดภัย จัดหาอุปกรณ์ต่างๆเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น โดยขอให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ (27 ม.ค.65) ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่าคราบน้ำมันได้ใกล้ชายฝั่งเข้ามามากขึ้น จึงได้มีการจัดทีมสำรวจพื้นที่บริเวณแนวริมชายหาดที่คาดว่าอาจจะเกิดผลกระทบ เริ่มตั้งแต่ปากอ่าวตากวนจนถึงปากน้ำ แต่ยืนยันว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรงเท่ากับสถานการณ์ ปี 2556 และในส่วนของคราบน้ำมันเองก็มีความรุนแรงน้อยกว่า”นายวีริศ กล่าว
ด้านนายพงษ์กรณ์ ช่อชูวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารระบบ และความปลอดภัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และอาชีวอนามัย บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้ทำการฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน โดยทางเรือและเฮลิคอปเตอร์ ที่ได้รับความร่วมมือจากจากกองทัพเรือภาคที่ 1 โดยพบว่า สามารถลดปริมาณคราบน้ำมันและพยายามควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้แล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ ยินดีรับผิดชอบและเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งจัดให้มีสายด่วนรับเรื่องร้องเรียน ที่หมายเลข 038 699 090 ซึ่งหากพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติหารือแนวทางให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น | วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565
คกก.โรคติดต่อแห่งชาติหารือแนวทางให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางพิจารณาเตรียมพร้อมให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น หากสถานการณ์เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด และเห็นชอบการจัดตั้งคลินิกวัคซีนในผู้ใหญ่สำหรับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางพิจารณาเตรียมพร้อมให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่นหากสถานการณ์เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด และเห็นชอบการจัดตั้งคลินิกวัคซีนในผู้ใหญ่สำหรับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง พร้อมเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง 31 ม.ค.นี้
วันนี้ (27 มกราคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ การท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ UHOSNET โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ เข้าร่วมการประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ คงที่เฉลี่ยวันละ 7,000-9,000 รายส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ความรุนแรงของโรคน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ทำให้มีผู้ป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตลดลง ซึ่งมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ยังสามารถควบคุมป้องกันโรคได้ดี ในวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงได้หารือใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1)เห็นชอบแนวทางการพิจารณาให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น (endemic disease) โดยมีหลักเกณฑ์และค่าเป้าหมาย เช่น ผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 10,000 ราย/วัน อัตราป่วยตาย น้อยกว่าร้อยละ 0.1 การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่าร้อยละ 10 และประชาชนมีภูมิต้านทานเพียงพอ กลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้วัคซีนอย่างน้อย 2 โดส มากกว่าร้อยละ80 เป็นต้น ซึ่งหากสถานการณ์เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด กระทรวงสาธารณสุขจะมีการประกาศแจ้งให้ทราบอีกครั้ง และ 2) เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินงานคลินิกวัคซีนผู้ใหญ่ เพื่อให้บริการวัคซีนสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อให้บริการวัคซีนโควิด และวัคซีนในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีความจำเป็น
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปี จำนวนทั้งสิ้น 5.8 ล้านคน ขณะนี้มีวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.ไทย ส่งมอบลอตแรกแล้วเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 จำนวน 3 แสนโดส และจะทยอยจัดส่งต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เพื่อเตรียมฉีดให้เด็กจำนวน 2 เข็ม โดยจะเริ่มในกลุ่มเด็กที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่รักษาในโรงพยาบาล (Hospital-based vaccination) เพื่อป้องกันเด็กป่วยและบุคลากรทางการแพทย์จากการแพร่
และรับเชื้อ โดยจะเริ่มในวันที่ 31 มกราคมนี้ ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และขยายไปยังเด็กกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งให้บริการที่โรงเรียน (School-based vaccination) ในระดับประถมศึกษา สังกัดหน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชน รวมถึงเด็กที่เรียนผ่านระบบ home school ด้วย
ส่วนผู้ที่ต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น จะฉีดให้ตามสูตรที่กำหนด เพื่อให้บริหารจัดการวัคซีนที่มีอยู่ได้ถูกต้อง ยืนยันว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาเป็นวัคซีนที่ดี รวมทั้งได้เตรียมวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไว้ 60 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 30 ล้านโดส สำหรับเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ จะเน้นการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และเข็มกระตุ้นมากขึ้น ส่วนเข็มที่ 4 จะฉีดให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงมาก เช่น บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่มีความจำเป็น จึงขอความร่วมมือช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้มากที่สุด
********************** 27 มกราคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบงบสนับสนุนวิจัยลดป่วย “ไข้เลือดออก” ในพื้นที่นำร่องจังหวัดชลบุรี | วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564
“อนุทิน” รับมอบงบสนับสนุนวิจัยลดป่วย “ไข้เลือดออก” ในพื้นที่นำร่องจังหวัดชลบุรี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบงบประมาณและผลิตภัณฑ์จากคาโอ อินดัสเตรียลฯ 6.5 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายไข้เลือดออก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบงบประมาณและผลิตภัณฑ์จากคาโอ อินดัสเตรียลฯ 6.5 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายไข้เลือดออก นำร่องในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ ซิตี้, ตำบลหนองไม้แดงและดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี ตั้งเป้าลดผู้ป่วยไข้เลือดออกในพื้นที่นำร่องเป็นศูนย์ ในปี 2567
วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีรับมอบงบประมาณและผลิตภัณฑ์ทากันยุง จาก นายยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่ารวม 6.5 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภายใต้โครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก” ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อมตะ ซิตี้ และพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรม ตำบลหนองไม้แดง และตำบลดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี
นายอนุทินกล่าวว่า แม้ปี 2564 ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกลดลงจากปีที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ 80แต่ช่วงปลายปีเริ่มมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนซึ่งขณะนี้มีการผ่อนคลายให้โรงเรียนเปิดการเรียนการสอน และหลายพื้นที่จัดการเรียนแบบออนไซต์ รวมถึงมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จึงขอให้สถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียน โรงแรม ที่พัก และตามบ้านเรือน ช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยใช้มาตรการ 3 เก็บป้องกัน 3 โรค คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ และเก็บน้ำ ป้องกัน 3 โรคคือ โรคไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา
สำหรับโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก” ในพื้นที่นำร่องนิคมอุตสาหกรรม อมตะ ซิตี้ และพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรม ตำบลหนองไม้แดง และตำบลดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี เป็นความร่วมมือระหว่าง กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค), บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน และนำมาสู่การมอบงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในวันนี้ โดยจะเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องเรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย คัดแยกขยะอย่างถูกวิธี หมั่นสำรวจลูกน้ำยุงลายในสถานที่ต่าง ๆ โดยพนักงานของโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และร่วมสร้างระบบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกผ่านฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละบริษัทตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์ภายในปี 2567 และมีแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต
****************************** 17 พฤศจิกายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เสด็จร่วมการประชุมเสวนาวิชาการ “การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล” | วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เสด็จร่วมการประชุมเสวนาวิชาการ “การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล”
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จร่วมการประชุมเสวนาวิชาการ “การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล” และเปิดตัวหนังสือ “แนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย เล่มที่ 2”
วันนี้ (20 ม.ค. 65) เวลา 13.00 น ที่ True Icon Hall ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จร่วมการประชุมเสวนาวิชาการการส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล และเปิดตัวหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย เล่มที่ 2 โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเฝ้ารับเสด็จ
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย รับพระราชทานหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย เล่มที่ 2 (Thai Textiles Trend Book Autumn/Winter 2022-2023) พร้อมร่วมรับฟังการเสวนาวิชาการ เรื่อง “การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล” โดยมี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นองค์วิทยากรเสวนา ร่วมกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ คือ นายกุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสารโว้กประเทศไทย และนายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และเยี่ยมชมนิทรรศการภายในบริเวณงาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของพวกเราชาวไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีสายพระเนตรที่กว้างไกล และห่วงใยในพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ท่าน ด้วยการพระราชทานแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ สืบสาน ศิลปวัฒนธรรม หัตถกรรม หัตถศิลป์ ฟื้นคืนชุบชีวิตของคนไทยในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ และได้รับการสืบสาน รักษา ต่อยอด โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้วยทรงมีพระวิสัยทัศน์และสายพระเนตรที่เปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่น ทรงทุ่มเทพระวรกายในการทรงงานอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อรังสรรค์ลวดลายผ้าไทยอันทรงคุณค่า และทรงถอดบทเรียนทางวิชาการเป็นหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย เล่มที่ 2 (Thai Textiles Trend Book Autumn/Winter 2022-2023) เพื่อเป็นประโยชน์ในแวดวงวิชาการด้านศิลปกรรมและศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของคนไทย
ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกล ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทำให้เกิดการพัฒนาลวดลายหัตถศิลป์ หัตถกรรมผ้าทอไทย เป็นการชุบชีวิตคนไทยในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่ชุมชน ครอบครัว และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศร่วมกันถวายความจงรักภักดีด้วยการสวมใส่ผ้าไทย ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าไหม ก็สามารถร่วมกันใส่ได้ โดยหากประชาชนครึ่งหนึ่งของประเทศกว่า 35 ล้านคน ร่วมกันใส่ผ้าไทยเพิ่มขึ้นคนละ 10 เมตร ก็จะเป็น 350 ล้านเมตร เมตรละ 300 บาท เม็ดเงินจำนวน 1 แสนล้านบาท จะกลับคืนสู่ชุมชน ไปช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง สร้างความภาคภูมิใจ และความสุขของพี่น้องคนไทยอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50735 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุพัฒนพงษ์ฯ เผยผลการเยือนญี่ปุ่นชื่นมื่นสองประเทศพร้อมจับมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่ | วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
สุพัฒนพงษ์ฯ เผยผลการเยือนญี่ปุ่นชื่นมื่นสองประเทศพร้อมจับมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่
สุพัฒนพงษ์ฯ เผยผลการเยือนญี่ปุ่นชื่นมื่นสองประเทศพร้อมจับมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่
สุพัฒนพงษ์ฯ เผยผลการเยือนญี่ปุ่นชื่นมื่น สองประเทศพร้อมจับมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่
สุพัฒนพงษ์ฯ เผยผลการเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co - creation) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การลงทุนในอนาคต บริษัทชั้นนำให้ความสนใจขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ พร้อมพิจารณาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยด้วย
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 20 - 23 เมษายนที่ผ่านมา ได้นำคณะประกอบด้วย หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้แทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย เดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ กรุงโตเกียว และจังหวัดคานากาวะ ประเทศญี่ปุ่น โดยได้เข้าพบนายฮิโรคาสึ มัตสึโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) รวมทั้งประธานสมาพันธ์สมาคมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Keidanren) และบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น
ผลการหารือกับนายมัตสึโนะ ฮิโรคาสึ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนายฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้เป็นโอกาสครบรอบ 135 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งเห็นพ้องร่วมกันที่จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของไทย และยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียวของญี่ปุ่น ซึ่งมีความสอดคล้องกัน
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเห็นว่าการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ไปกับการลดการปล่อยคาร์บอนมีความสำคัญ จึงประสงค์ที่จะร่วมมือกับไทยผ่านการให้ความช่วยเหลือภายใต้ข้อริเริ่ม Asia Energy Transition Initiative (AETI) ของญี่ปุ่น และความร่วมมือในด้านพลังงานสะอาดด้วย
สำหรับการพบนักลงทุนรายสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์ ทุกบริษัทยืนยันให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย พร้อมพิจารณาไทยเป็นฐานธุรกิจหลักของภูมิภาค และวางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย นอกจากนี้ ทุกรายยังให้ความสำคัญกับการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทย และมีโอกาสสร้างความร่วมมือกันได้อีกมากด้วย
ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เน้นย้ำกับบริษัทว่ารัฐบาลไทยมีเจตจำนงที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก โดยได้หารือกับผู้ประกอบการทุกรายและได้ออกมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร เช่น แบตเตอรี่ ชิ้นส่วนต่าง ๆ และสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทุกบริษัทยินดีให้ความร่วมมือกับมาตรการดังกล่าว โดยส่วนใหญ่มีแผนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย และคาดว่าจะทยอยเข้าร่วมมาตรการสนับสนุน EV ได้ภายใน 1 - 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับโอกาสในการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงการส่งเสริมธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ด้วย
ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทญี่ปุ่นมองไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์กลางน้ำและปลายน้ำที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ได้ในอนาคต รวมทั้งการผลิตอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรมากขึ้น นอกจากนี้ หลายบริษัทยังได้ขอบคุณรัฐบาลไทยและบีโอไอที่ได้ช่วยให้บริษัทสามารถรักษาการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งได้ช่วยสร้างความมั่นใจในการยึดไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคในระยะยาว
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ บริษัทได้แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรด้านการแพทย์ของไทย โดยจะพิจารณาขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมยาและการวิจัยทางคลินิกร่วมกับมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงเรื่องการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการดูแลผู้สูงอายุให้มีอายุยืน มีสุขภาพแข็งแรง และสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุด้วย
“ผลการเยือนเพื่อชักจูงการลงทุนประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจ และมีการหารือร่วมกันในหลายประเด็นกับญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ตามโมเดล BCG ที่จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนระหว่างสองประเทศ” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกันเพิ่มเติม รวมถึงติดตามความคืบหน้าด้านความร่วมมือ และสานต่อข้อริเริ่มการเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co - creation) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น และนำไปสู่การลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ สมาพันธ์สมาคมธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) มีแผนจะนำสมาชิกของกลุ่มเศรษฐกิจและการค้าไทย - ญี่ปุ่นกว่า 70 บริษัท เดินทางมาเยือนไทยเพื่อพบกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจในปีนี้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53915 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 29 ราย | วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 29 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 29 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 62 เพศหญิง อายุ 55 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 79 เพศหญิง อายุ 44 ปี
3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 เพศชาย อายุ 58 ปี
4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 ก เพศหญิง อายุ 31 ปี
5) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 7 ก เพศชาย อายุ 36 ปี
6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 131 เพศหญิง อายุ 43 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 20 เพศหญิง อายุ 37 ปี
8) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 65 เพศชาย อายุ 46 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 ก เพศหญิง อายุ 38 ปี
10) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 79 เพศหญิง อายุ 38 ปี
11) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 84 เพศหญิง อายุ 24 ปี
12) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 47 เพศชาย อายุ 50 ปี
13) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศหญิง อายุ 53 ปี
14) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 131 เพศหญิง อายุ 58 ปี
15) พนักงานสารสนเทศ (GPS) อู่กำแพงเพชร เขตการเดินรถที่ 8 เพศชาย อายุ 52 ปี
16) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 72 เพศชาย อายุ 27 ปี
17) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 49 เพศหญิง อายุ 58 ปี (ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานธุรการ ณ อู่กำแพงเพชร เนื่องจากพนักงานป่วยเป็นโรคมะเร็ง)
18) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 49 เพศหญิง อายุ 43 ปี
19) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 36 เพศชาย อายุ 35 ปี
20) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 142 เพศชาย อายุ 46 ปี
21) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 88 เพศหญิง อายุ 23 ปี
22) พนักงานบัญชีค่าโดยสาร ระดับ 2 อู่กัลปพฤกษ์ เขตการเดินรถที่ 5 เพศชาย อายุ 50 ปี
23) นายท่าอู่คลองเตย เขตการเดินรถที่ 4 เพศชาย อายุ 52 ปี
24) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 509 เพศชาย อายุ 52 ปี
25) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 25 เพศหญิง อายุ 56 ปี
26) นายท่าปล่อยรถโดยสาร สาย 2 เพศชาย อายุ 60 ปี อู่เอราวัณ
27) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 2 เพศชาย อายุ 26 ปี
28) พนักงานวิทยุสื่อสาร ระดับ 2 อู่สวนสยาม เขตการเดินรถที่ 8 เพศหญิง อายุ 44 ปี
29) หัวหน้างานคดี สำนักกฎหมาย ฝ่ายบริหาร เพศหญิง อายุ 45 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงผู้สูงวัย ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มเสี่ยงป่วยโควิด-19 ย้ำ! ให้เข้ารับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน | วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565
นายกฯ ห่วงผู้สูงวัย ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มเสี่ยงป่วยโควิด-19 ย้ำ! ให้เข้ารับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน
.....
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล เผย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ฝากความห่วงใยไปถึงครอบครัวที่มีคนอยู่ร่วมกันหลายวัย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ขอให้เพิ่มความระวังสูงสุด แยกส่วนที่ใช้พื้นที่ร่วมกัน ลดการติดเชื้อในครอบครัว เพราะเมื่อมีบุคคลที่เป็นความเสี่ยง สูงอายุ ติดเตียง อาจป่วยและเสียชีวิตได้ พร้อมแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ชีวิตด้วยโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงและอัลไซเมอร์ จังหวัดสงขลา
.
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่า วัคซีนทุกสูตรมีประสิทธิภาพป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต แต่ประสิทธิผลของวัคซีนในส่วนการป้องกันการติดเชื้อมีสูง จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
.
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะช่วยควบคุมการระบาดของโรค และช่วยปกป้องให้ผู้คนปลอดภัยจากโรคนี้ได้ จึงขอเชิญชวนให้กลุ่มเปราะบาง ที่เป็นผู้สูงอายุและป่วยเรื้อรัง ที่รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ให้ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2565 | วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2565 พบการกระทำผิด จำนวน 627 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.27 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2565) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 627 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.27 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 329 คดี ค่าปรับ 2.72 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 228 คดี ค่าปรับ 5.68 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.10 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 22 คดี ค่าปรับ 0.50 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 3 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 17 คดี ค่าปรับ 0.38 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 19 คดี ค่าปรับ 0.62 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 2,416.475 ลิตร ยาสูบ จำนวน 39,599 ซอง ไพ่ จำนวน 446 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 64,945.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 746 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 19 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 23 มิถุนายน 2565 พบว่า มีการกระทำผิด จำนวน 20,249 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 368.54 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 10,985 คดี ค่าปรับ 96.30 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 6,940 คดี ค่าปรับ 183.65 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 306 คดี ค่าปรับ 3.10 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 603 คดี ค่าปรับ 25.19 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 92 คดี ค่าปรับ 9.42 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 853 คดี ค่าปรับ จำนวน 19.63 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 470 คดี ค่าปรับ 31.25 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 177,917.850 ลิตร ยาสูบ จำนวน 3,172,241 ซอง ไพ่ จำนวน 19,413 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 854,459.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 284,286 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,049 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/42-2565/839-2565-17-23-2565-30
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56092 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 แห่งใหม่ สะพานที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย ความภาคภูมิใจ ของ กทพ. และประชาชนชาวไทย | วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565
สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 แห่งใหม่ สะพานที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย ความภาคภูมิใจ ของ กทพ. และประชาชนชาวไทย
...
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก โดยเป็นการก่อสร้างในสัญญาที่ 4 เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ กับพื้นที่ปริมณฑลทางด้านตะวันตก ช่วยลดเวลาในการเดินทางให้ผู้ใช้ทางพิเศษได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสะพานคู่ขนานแห่งใหม่นี้ ทางกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาให้เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ซึ่งขณะนี้ กทพ. อยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอพระราชทานชื่อสะพาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ กทพ. และเป็นความภูมิใจร่วมกันของประชาชนชาวไทยทุกคน
สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 แห่งใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ 4 เป็นการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เชื่อมต่อกับทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานคร โดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง มีระยะเวลาการก่อสร้าง 39 เดือน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2566 รวมระยะทาง 2 กิโลเมตร ซึ่ง กทพ. ได้ออกแบบสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 โดยคำนึงถึงปัญหาด้านการจราจรติดขัดสะสมในช่วงขึ้นสะพาน จึงได้ออกแบบให้สะพานมีความลาดชันน้อยกว่าสะพานพระราม 9 เดิมที่เริ่มยกระดับจากพื้นดินขึ้นไป หากแต่สะพานแห่งนี้จะเริ่มยกระดับจากระดับชั้นที่ 2 ซึ่งสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 10 เมตร ทำให้ผู้ใช้ทางสามารถวิ่งขึ้นและลงสะพานได้สะดวกมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการชะลอตัวสะสมในช่วงขาขึ้นสะพานดังกล่าว โดยตัวสะพานมีจุดเริ่มต้นบริเวณเชิงลาดสะพานพระราม 9 (ฝั่งธนุบรี) ก่อสร้างเป็นสะพานขึง (Cable Stayed Bridge) ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาขนาด 8 ช่องจราจร ซึ่งถือว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ ที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย มีความยาวช่วงกลางสะพาน (Mid Span) 450 เมตร และมีความยาวของสะพาน 780 เมตร ข้ามไปฝั่งกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อกับทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร และสิ้นสุดโครงการฯ ที่บริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ โดยจะเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษศรีรัช ที่เปิดให้บริการในปัจจุบัน ระยะทางรวมประมาณ 2 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังได้จัดทำแบบจำลองสะพาน Full Model สำหรับทดสอบความแข็งแรงของสะพานต่อแรงลม ซึ่งสามารถรับแรงลมได้ถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่าความแรงของพายุทอร์นาโด ดังนั้น สะพานจึงมีความมั่นคงแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ การทางพิเศษฯ อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนการขอพระราชทานชื่อสะพานดังกล่าว เพื่อเทิดพระเกียรติพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ซึ่งเมื่อสะพานแห่งนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็น LAND MARK สำคัญของกรุงเทพมหานคร รวมถึงช่วยแก้ปัญหาด้านการจราจร ช่วยระบายการจราจรที่ติดขัดสะสม ช่วยลดปริมาณรถจากสะพานพระราม 9 เดิม เพื่อเดินทางไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังจะช่วยทดแทนกรณีที่สะพานพระราม 9 เดิม ที่เปิดใช้งานมามากว่า 35 ปี ต้องปิดเพื่อซ่อมแซมและนอกเหนือไปจากนั้นสะพานแห่งนี้จะเป็นความภาคภูมิใจของ กทพ. และพสกนิกรชาวไทยทุกคน ทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ ที่สืบสาน รักษา ต่อยอด อย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติตลอดไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาแรงงานต่างด้าว ทำใบอนุญาตทำงาน | วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564
ขยายเวลาแรงงานต่างด้าว ทำใบอนุญาตทำงาน
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 16 มิ.ย. เป็นภายในวันที่ 13 ก.ย.2564 และขยายเวลาให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนไม่มีงานทำ ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย พร้อมทำบัตรสีชมพูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มี.ค.2565 โดยเมื่อแรงงานต่างด้าวดำเนินการทุกขั้นตอนเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถอยู่ในประเทศไทยและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายถึงวันที่ 13 ก.พ.2566 โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ และความคุ้มครองอย่างเหมาะสม สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่กระทรวงแรงงาน และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ”อวยพรข้าราชการที่ครบวาระเกษียณฯ ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว | วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ”อวยพรข้าราชการที่ครบวาระเกษียณฯ ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ”อวยพรข้าราชการที่ครบวาระเกษียณฯ ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ขอให้ส่งต่อประสบการณ์ องค์ความรู้แก่ข้าราชการรุ่นต่อไปเพื่อพัฒนาองค์กรและประเทศชาติ
วันนี้ (30 ก.ย.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากอวยพรถึงข้าราชการที่ครบวาระเกษียณอายุราชการทุกคน ซึ่งวันนี้ 30 กันยายน จะเป็นการทำงานวันสุดท้าย และถือเป็นวันสิ้นสุดอายุราชการของข้าราชการที่มีอายุครบ 60 ปี หรือ “เกษียณอายุราชการ” หลังจากนี้ ทุกคนสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการแล้ว อยู่กับครอบครัว ลูกหลาน ญาติพี่น้อง อย่างมีความสุข สามารถดำเนินชีวิตอย่างอิสระ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังฝากให้ทุกท่านรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและมีอายุยืนยาว รวมทั้งเก็บความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นและความเสียสละสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติและความภาคภูมิใจที่จะติดตัวข้าราชการที่เกษียณอายุราชการทุกคนและครอบครัวตลอดไป
นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้ขอบคุณข้าราชการหลายท่านที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่ยังส่งต่อความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์การทำงาน เพื่อเป็นคลังสมองสำหรับผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานที่ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาและบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อราชการประเทศชาติ และแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาและข้าราชการรุ่นใหม่ต่อๆ ไปได้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model | วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565
รองปลัดฯ วรวรรณ เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model
รองปลัดฯ วรวรรณ เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model
วันที่ 19 มกราคม 2565 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model พร้อมด้วย นายนฤบดินทร์ วุฒิวรรณ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน จัดโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผ่านระบบ Webex Meetings ณ ห้องประชุม อก.2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมทราบ ได้แก่ ความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ปี พ.ศ. 2564 แผนและแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อการบรรลุเป้าหมายปี พ.ศ. 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาภาคการเกษตร การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีความก้าวหน้าตามแผน | วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565
ผลการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาภาคการเกษตร การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีความก้าวหน้าตามแผน
ผลการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาภาคการเกษตร การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีความก้าวหน้าตามแผน
วันที่ 25 มกราคม 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เสนอรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยผลการดำเนินการของ ทส. ในประเด็นต่าง ๆ (ข้อมูล ณ 27 ธ.ค. 64) ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำ การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว และการพัฒนาภาคการท่องเที่ยว มีความก้าวหน้าโดยสรุปดังนี้
1. การบริหารจัดการน้ำ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจสถานการณ์น้ำและการระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี (เขื่อนเพชร) อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
ทส. ได้ดำเนินการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้รับงบประมาณในการดำเนินการจำนวน 23 โครงการ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.8500 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ได้รับประโยชน์ 12,128 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 2,524 ครัวเรือน รวมทั้ง ทส. ได้พัฒนาและบริหารจัดการน้ำบาดาลเชิงลุ่มน้ำและพื้นที่แบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยจัดทำแผนงาน/โครงการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว สอดคล้องกับการดำเนินงานของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาและแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแผนปฏิบัติการทุกระดับ และสำหรับการพัฒนาและจัดหาแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่ จ.เพชรบุรี กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และงบประมาณ งบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดำเนินโครงการจัดหาน้ำบาดาล เป้าหมาย จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 2) โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่ 300 ไร่ 3) โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชน 4) โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชนภายใต้โครงการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยปี 2564 และบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2564/2565 5) โครงการฟื้นฟูสภาพบ่อน้ำบาดาลเพื่อรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ภายใต้โครงการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยปี 2564 และบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2564/2565
นอกจากนี้ มีการดำเนินโครงการเติมน้ำใต้ดิน ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ทั้งเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูคืนสู่สมดุลตามธรรมชาติให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ เฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์อุทกภัยและภัยแล้ง กำหนดเป้าหมายด้านการบริหารจัดการน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน เพื่อฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ที่เสื่อมโทรมและคืนความอุดมสมบูรณ์ใก้แก่ระบบนิเวศ รวมทั้งสำรวจพื้นที่ตามคำขอรับการสนับสนุนโครงการและดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ เพื่อจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลแบบบูรณาการ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งจัดทำข้อมูลและทบทวนเป้าหมายตัวชี้วัด ปี พ.ศ. 2566 ให้สำนักงานปลัด ทส. จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 ต่อไป
2. การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว และการพัฒนาภาคการท่องเที่ยว ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการประชุมเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว (Sandbox) โดย ทส. ได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสำหรับการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว ดังนี้
ดำเนินการขอรับการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยวโดยนักท่องเที่ยว (Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA และ SHA Plus) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ 155 แห่ง มีอุทยานแห่งชาติที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน SHA จำนวน 101 แห่ง และอุทยานแห่งชาติที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน SHA Plus จำนวน 18 แห่ง ส่วนอุทยานอีก 36 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงอุทยานแห่งชาติให้เป็นไปตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) รองรับการใช้งานของคนทั้งมวล ดังนี้ 1) แบบมาตรฐานการติดตั้งอุปกรณ์ขอความช่วยเหลือและป้ายสัญลักษณ์สำหรับห้องน้ำเพื่อคนทั้งมวล 2) แบบปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในอุทยานแห่งชาติให้เป็นไปตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) รองรับการใช้งานของคนทั้งมวล ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น 3) แบบปรับปรุงลานนันทนาการรองรับผู้พิการและคนทั้งมวลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ 4) แบบปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วะ
ดำเนินโครงการพัฒนาและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อเสริมศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถการท่องเที่ยว ดังนี้ 1) โครงการจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล เพื่อกักขยะก่อนลงสู่ทะเล และกันขยะเข้าและออกบริเวณท่าเทียบเรือและชุมชนชายฝั่งบริเวณปากแม่น้ำ 3 รูปแบบ 2) โครงการป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากแมงกะพรุนพิษในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว ติดตั้งจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น และตาข่ายป้องกันแมงกะพรุนพิษและแมงกะพรุนกล่องพร้อมชุดเตือนภัยและระบบประเมินผลในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว 14 จุด 3) โครงการติดตั้งทุ่นแพลอยน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล ฝั่งอันดามัน เพื่อเป็นจุดรับส่งนักท่องเที่ยวด้วยเรือสปีดโบ๊ต ลดการทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง ลดการก่อสร้างสะพาน ท่าจอดเรือต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล 4) โครงการติดตั้งทุ่นแพลอยน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเลฝั่งอ่าวไทย 5) โครงการการพัฒนาป่าชายเลนในเมืองเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการท่องเที่ยว 6) โครงการติดตั้งทุ่นผูกเรือเพื่อการอนุรักษ์ปะการังในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการทำลายแนวปะการังจากการทิ้งสมอเรือในบริเวณแนวปะการังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและจากกิจกรรมท่องเที่ยว จำนวน 111 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด
นอกจากนี้ ทส. มีการดำเนินการด้านที่สำคัญ ได้แก่ ดำเนินการด้านอุทยานธรณี ดังนี้ 1) การจัดตั้งอุทยานธรณี สำรวจ รวบรวม จำนวนทั้งสิ้น 1,264 แห่ง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา จำนวน 38 แห่ง และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 7 แห่ง 2) การส่งเสริมและสนับสนุนอุทยานธรณี เพื่อพัฒนายกระดับอุทยานธรณี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยกระดับอุทยานธรณีให้เป็นอุทยานธรณีโลกของ UNESCO จำนวน 2 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานธรณีโคราช จ.นครราชสีมา ดำเนินการยื่นใบสมัครและผ่านการประเมินเอกสารแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอเจ้าหน้าที่ UNESCO ลงพื้นที่ตรวจประเมินภาคสนาม ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ UNESCO ไม่สามารถลงพื้นที่ฯ ได้ อุทยานธรณีขอนแก่น จ.ขอนแก่น แจ้งเจตจำนงในการสมัครการประเมินเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ 3) การดำเนินการภายใต้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณีในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
รวมทั้ง ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์สวนป่าให้สวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติ ดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวสวนสัตว์ ดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในรูปแบบป่านันทนาการ อนุรักษ์และพัฒนามรดกธรณี อุทยานธรณี และแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาอย่างยั่งยืนโดยการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ ในส่วนของสวนพฤกษศาสตร์ ได้วางแผนเตรียมความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวตลอดปี โดยมีการจัดกิจกรรม ณ สวนพฤกษศาสตร์จังหวัดระยอง อาทิ การจัดเตรียมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเตรียมการจัดงาน Botanic Festival 2022 กิจกรรม Camping in the Garden จัดพื้นที่ให้บริการกางเต็นท์และการให้บริการกิจกรรมพิเศษเฉพาะกลุ่ม เช่น Tea in the Garden หรือ Cha in the Garden จิบชา (มหาหงส์) ในสวน ซึ่งเน้นการจัดเฉพาะกลุ่ม หรือ Activity Super Car เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนสื่อ เปิดเวที TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เดินหน้าภารกิจขับเคลื่อนสร้างแนวร่วมสื่อปลอดภัย–ติดอาวุธคนไทยรู้เท่าทันสื่อ | วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565
กองทุนสื่อ เปิดเวที TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เดินหน้าภารกิจขับเคลื่อนสร้างแนวร่วมสื่อปลอดภัย–ติดอาวุธคนไทยรู้เท่าทันสื่อ
กองทุนสื่อ เปิดเวที TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
เดินหน้าภารกิจขับเคลื่อนสร้างแนวร่วมสื่อปลอดภัย–ติดอาวุธคนไทยรู้เท่าทันสื่อ
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund : TMF) คิกออฟโครงการจัดเวทีส่งเสริมการมี
ส่วนร่วมของประชาชน 5 ภูมิภาค ประจำปี 2565 ชูแนวคิด “กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” ปูพรมโรดโชว์ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย จัดงาน “TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม” นำร่องเปิดเวทีครั้งที่ 1 ภาคใต้ พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายขับเคลื่อนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หนุนประชาชนเข้าถึง เข้าใจ รู้เท่าทันสื่อ และสร้างนิเวศสื่อที่ดียิ่งขึ้นในสังคมไทย
วันนี้ (13 มิถุนายน 2565) ที่โรงแรมทวินโลตัส อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดฉากโครงการจัดเวทีส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ภูมิภาค ประจำปี 2565 ครั้งที่ 1 ภาคใต้ โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานเปิดงาน
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร เปิดเผยว่า เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้เกิด ความก้าวหน้า ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมทั่วโลก ท่ามกลางการไหลบ่าของข้อมูลทั้งด้านสาระและบันเทิงที่ส่งผล กระทบต่อพฤติกรรมการรับสื่อของประชาชน ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งผู้รับและผู้ผลิตสื่อได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ยังก่อให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การแพร่ระบาดของข่าวปลอมหรือข้อมูลเท็จ (Fake news) การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) การใช้ประทุษวาจาในอินเทอร์เน็ต (Hate speech) และการนําเสนอความรุนแรงประเภท ต่าง ๆ โดยขาดวิจารณญาณ ‘กลไกหนึ่งที่จะสามารถช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาได้คือ การสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการร่วมสร้างระบบนิเวศสื่อที่สมดุล เพื่อขจัดสื่อร้ายและขยายสื่อดี สิ่งสําคัญคือ ทําอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเลือกรับสื่อที่ดี มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมถึงการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ต่อสังคม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่สามารถดําเนินการอย่างรวดเร็วหรือในทันทีได้ แต่ ต้องสร้างเครือข่าย โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดนิเวศสื่อที่ดี เป็นสื่อที่มีความปลอดภัย สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม’
ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ “ประชาชนเข้าถึง เข้าใจ และฉลาดใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ด้วยนิเวศสื่อที่ดี” โดยมีพันธกิจหลัก 3 ประการคือ 1) ส่งเสริม สนับสนุนภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการผลิตและพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 2) ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึง เข้าใจ และใช้ประโยชน์จากสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างทั่วถึง และ 3) ส่งเสริมให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัวมีทักษะในการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดกระบวนการคัดกรองเฝ้าระวังและรู้เท่าทันสื่อ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาช่องทางเพื่อสื่อสารให้สังคมเกิดการรับรู้และมีส่วนร่วมของประชาชน
สำหรับโครงการจัดเวทีส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ภูมิภาค จัดขึ้นเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ภายใต้แนวคิด “กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” โดยในปีนี้ใช้ชื่องานว่า “TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม”โดยจะมีการสัญจรครอบคลุม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพื่อให้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ในแต่ละภูมิภาคทั้งเครือข่ายการทำงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาค รวมทั้งหน่วยงาน องค์กร ภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชนที่สนใจ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับฟัง ตลอดจนเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ร่วมกัน
โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ เสวนาเชิงวิชาการสร้างพลังการมีส่วนร่วม ในหัวข้อ “รู้ทันสื่อร้าย ขยายสื่อดี ภาคีเข้มแข็ง”เพื่อตอกย้ำถึงการสร้างความร่วมมือ การสร้างองค์ความรู้ให้กับเครือข่าย การสนับสนุนทุน และการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กิจกรรมประชุมระดมสมองและอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ด้านการผลิตและเผยแพร่สื่อ การพัฒนากลไกการเฝ้าระวังและรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
สำหรับเวที “TMF POWER FOR CHANGE สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม” จะสัญจรอีก 3 ครั้ง ครอบคลุมใน 5 ภูมิภาค โดยครั้งที่ 2 ภาคเหนือ จะจัดขึ้นวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรม เดอะริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทาราและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ จังหวัดอุดรธานี และครั้งที่ 4 ภาคกลางและภาคตะวันออก วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่https://forms.gle/k2PR8rTb7jrLcqHS9 หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tmfpowerforchange.com
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55653 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี” | วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
วันนี้ (11 เม.ย. 65) เวลา 10.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี” พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จำนวน 11 หน่วยงาน โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานและร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ สุราลัย ฮอลล์ (SURALAI HALL) ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชนและสังคมตระหนักถึงคุณค่า ความสำคัญ และศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 เห็นชอบให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น เป็นสุขของครอบครัว ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีการจัดงานทั้งวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว เป็นประจำทุกปี โดยในปี 2565 กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้กำหนดจัดทั้งสองงานรวมกันในวันที่ 11 เมษายน 2565 ในชื่องาน “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565” ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงานครั้งนี้ ประกอบด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ 1) วีดิทัศน์ “สารนายกรัฐมนตรีเนื่องในโอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565” และ “สถานการณ์ผู้สูงอายุ และครอบครัว” 2) วีดิทัศน์ผู้สูงอายุแห่งชาติพุทธศักราช 2565 "นายแผน วรรณเมธี" 3) การเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ “เพื่อนครอบครัว : Family Line” เพื่อการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว เป็นเพื่อนคู่คิดสำหรับครอบครัวในการให้คำปรึกษาแบบ Online จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องต่างๆ รวมไปถึงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และข้อมูลข่าวสารสำหรับครอบครัวบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม 24 ชั่วโมง อีกทั้งมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จำนวน 11 หน่วยงาน ซึ่งได้เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 1 ปี โดยให้บริการผ่านช่องทางเว็บแอพพลิเคชั่น www.เพื่อนครอบครัว.com และ Line Platform ผ่านสมาร์ทโฟนในชื่อ “เพื่อนครอบครัว” หรือ @linefamily 4) กิจกรรม Talk to you “ต่าง Gen ต่างวัย กับวิถีใหม่เทคโนโลยี” โดย รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี คุณชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ และคุณโสภิต สุนทรธนสถิตย์ เป็นต้น และ 5) บูธส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายด้านครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดกิจกรรมวันนี้ให้สำเร็จ ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์เพื่อเตือนใจและเตือนสติทุกคนว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตคือครอบครัวที่ให้โอกาส ให้เวลาเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เพราะครอบครัวจะเป็นสถานที่ที่ให้หลบภัยจากมรสุมของชีวิตทุกอย่าง และเป็นการทำให้ชีวิตมีคุณค่า ผู้สูงอายุก็มีคุณค่า ทั้งนี้ ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี ถ้าครอบครัวเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดโควิดก็ต้องได้สอบ... ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการทั่วประเทศ เตรียมสนามสอบให้แก่ผู้ติดเชื้อโควิด | วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565
ติดโควิดก็ต้องได้สอบ... ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการทั่วประเทศ เตรียมสนามสอบให้แก่ผู้ติดเชื้อโควิด
ติดโควิดก็ต้องได้สอบ... ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการทั่วประเทศ เตรียมสนามสอบให้แก่ผู้ติดเชื้อโควิด
วันนี้ (9 มี.ค. 65) ที่โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าสำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ลงพื้นที่ติดตามการจัดเตรียมสนามสอบเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มัธยมศึกษาปีที่ 4 และการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในระบบ TCAS ตามนโยบายของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และเน้นย้ำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในการดำเนินการสอบของนักเรียนเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษาอย่างเคร่งครัด โดยมี นายเจนเจตน์ เจนนาวิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายภูธนะ ชมภูมิ่ง หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสมุทรปราการ นายชวลิต ทรงกิตติ นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ นายธงชัย วิเศษบุปผา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สมุทรปราการ รศ.ดร. เชาวลิต ลิ้มมณีวิจิตร รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นายวุฒิชัย วันทมาตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีสมุทรปราการ และคณะเจ้าหน้าที่จาก TCAS ร่วมหารือ
.
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมหารือร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการสอบของนักเรียนเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประสานการปฏิบัติกับทุกจังหวัดเพื่อเตรียมความพร้อมการดำเนินการดังกล่าว ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) กำชับไปยังให้ทุกจังหวัดดำเนินการเตรียมความพร้อมของสถานที่สอบสำหรับผู้ติดเชื้อในการสอบระบบ TCAS ช่วงระหว่างวันที่ 12 -15 มีนาคม 2565 (GAT PAT) และวันที่ 19 - 20 มีนาคม 2565 (วิชาสามัญ) โดยให้จังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำหนดแนวทางและประสานการจัดเตรียมสถานที่สอบสำหรับผู้ติดเชื้อในแต่ละจังหวัด นอกเหนือจากสนามสอบพิเศษที่เตรียมไว้ ตามความเหมาะสมและเน้นให้ใช้สถานที่ของ Community Isolation (CI) เป็นสถานที่ในการจัดสอบ และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดำเนินการตรวจสอบความพร้อมด้านสาธารณสุขทุกแห่งให้เป็นไปตามมาตรฐาน
.
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับจังหวัดสมุทรปราการมีผู้เข้าสอบที่เป็นผู้ติดเชื้อ จำนวน 13 ราย ซึ่งทางโรงเรียนสตรีสมุทรปราการที่เป็นสนามสอบในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมห้องสอบสำหรับผู้เข้าสอบที่เป็นผู้ติดเชื้อแยกจากผู้เข้าสอบอื่น ๆ โดยมีลักษณะเป็นห้องที่มีพื้นที่เปิดโล่ง มีระยะห่างระหว่างกัน 2 เมตร และมีมาตรการป้องกันโรคสำหรับกรรมการผู้คุมสอบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าสอบที่เป็นผู้ติดเชื้อทั้งหมดแล้ว
.
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ สำหรับมาตรการเตรียมการและการเดินทางสำหรับผู้เข้าสอบที่เป็นผู้ติดเชื้อให้เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากผู้ติดเชื้อไม่สามารถเดินทางได้ด้วยรถส่วนตัว สามารถประสานกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือติดต่อรถยนต์จิตอาสา หมายเลขโทรศัพท์ 09-6771-1687 (เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) เพื่อรับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อไปยังสถานที่สอบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52385 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมประชุมเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศว่าด้วยโรคไม่ติดต่อและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน | วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมประชุมเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศว่าด้วยโรคไม่ติดต่อและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
ในการประชุมประชุมเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศว่าด้วยโรคไม่ติดต่อและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (International Strategic Dialogue Meeting on Non-Communicable Diseases (NCDs) and Sustainable Development Goals (SDGs))
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
ในการประชุมประชุมเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศว่าด้วยโรคไม่ติดต่อและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (International Strategic Dialogue Meeting on Non-Communicable Diseases (NCDs) and Sustainable Development Goals (SDGs))
วันที่ 12 เมษายน 2565
ในรูปแบบการประชุม hybrid
*************************
ท่านประธานาธิบดีนานา อัดโด ดังกวา อาคูโฟ-อัดโด แห่งสาธารณรัฐกานา
ท่านนายกรัฐมนตรีโยนัส การ์ สเตอเรอ แห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์
ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญเข้าร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมวันนี้ และขอชื่นชมรัฐบาลกานา รัฐบาลนอร์เวย์ และองค์การอนามัยโลก ที่ริเริ่มจัดเวทีนี้เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
ในการป้องกันและควบคุมปัญหาโรคไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งต่อสุขภาพของประชาชนทั่วโลก
ที่ผ่านมา ไทยได้ดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเป้าหมาย SDG 3.4 เรื่องการลดอัตราการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อลงหนึ่งในสาม และเป้าหมาย SDG 3.8 เรื่องการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ภายในปี 2573 ทั้งนี้ ไทยประสบความสำเร็จในการขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครอบคลุมประชากรได้มากกว่าร้อยละ 99.6 ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี การจัดการกับโรคไม่ติดต่อยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ รัฐบาลจึงกำหนดให้การแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อเป็นวาระแห่งชาติ โดยระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานในระดับชาติ กำหนดให้มีการรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นกลไกในการติดตาม รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนด้านการส่งเสริมสุขภาพ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันโรคไม่ติดต่อด้วย
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การบริการที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อมีข้อจำกัดและประสบ
ความท้าทาย อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ดังนั้น ผมเห็นว่าเพื่อให้เราสามารถเตรียมการและรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต เราจำเป็นที่จะต้องบรรจุเรื่อง
การป้องกันและรักษาโรคไม่ติดต่อในแผนการเตรียมความพร้อมด้านภัยฉุกเฉินทางสาธารณสุขทั้งในระดับชาติ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมและเข้มแข็ง
จะช่วยสนับสนุนการจัดการและการเข้าถึงบริการสาธารณสุข รวมถึงโรคไม่ติดต่อได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ และส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ด้านนี้ต่อไป
สุดท้ายนี้ ไทยขอยืนยันคำมั่นที่จะปฏิบัติตามปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ ๓ ว่าด้วยการป้องกันและการควบคุมโรคไม่ติดต่อ เพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมาย SDG 3.4 และเป้าหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสุขภาพเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
ขอบคุณและสวัสดีครับ
*************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53573 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดยาว 13-17 ก.ค. เข้มป้องกันอุบัติเหตุ-โควิด 19 | วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565
สธ. แนะประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดยาว 13-17 ก.ค. เข้มป้องกันอุบัติเหตุ-โควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสุขภาพประชาชนช่วงวันหยุดยาว 13-17 กรกฎาคม นี้ เดินทางท่องเที่ยว/
กลับภูมิลำเนา เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเดินทาง ผู้ขับขี่งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อค ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ พร้อมใช้หลัก 2U
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสุขภาพประชาชนช่วงวันหยุดยาว13-17 กรกฎาคม นี้ เดินทางท่องเที่ยว/กลับภูมิลำเนา เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเดินทาง ผู้ขับขี่งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อค ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ พร้อมใช้หลัก 2U ป้องกันตนเองจากโควิด 19
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2565) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าช่วงระหว่างวันที่ 13-17 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา คาดว่าจะมีประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยว ทำบุญ และกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนทั้งจากอุบัติเหตุทางถนนและโรคโควิด 19 จึงขอให้ผู้ที่จะเดินทางเตรียมการล่วงหน้า ศึกษาเส้นทางที่จะใช้ หากมีโรคประจำตัวขอให้เตรียมยาให้พร้อม สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถ ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเดินทาง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ควรกินยาแก้ไข้หวัดบางชนิดซึ่งจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม นอกจากนี้ ควรคาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมอกกันน็อคทุกครั้งที่ขับขี่ รวมถึงสังเกตอาการตนเองก่อนเดินทางหากป่วยมีไข้ ไอ เจ็บคอ ให้ตรวจATK และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโควิด 19 ไปสู่คนในครอบครัว
นอกจากนี้ การไปร่วมกิจกรรมทำบุญทางศาสนาซึ่งอาจมีการรวมคนจำนวนมาก ขอให้ใช้มาตรการ2U คือ Universal Prevention มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หากต้องพบผู้อื่นให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเพื่อลดความเสี่ยง ตรวจ ATK ทันที เมื่อมีอาการป่วย และ Universal Vaccination ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 3 เข็ม และฉีดเข็มกระตุ้นทุก 4 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้
********************************* 13 กรกฎาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56858 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำรัฐบาลมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจน กำหนดปี 65 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน เตรียมพร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจใหม่ภายหลังโควิด | วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565
นายกฯ ย้ำรัฐบาลมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจน กำหนดปี 65 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน เตรียมพร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจใหม่ภายหลังโควิด
.....
วันนี้ (18 ก.พ. 65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กห. ชี้แจงข้อกล่าวหาจากฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 โดยระบุถึงการแก้ไขปัญหาความยากจนที่มุ่งเน้นประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งการลดหนี้ภาคครัวเรือนและปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งรัฐบาลได้มีการเตรียมแผนงานอย่างเป็นระบบ ทั้งระยะปานกลาง – ยาว และหากข้อสังเกตใดที่เป็นประโยชน์ ก็พร้อมจะนำไปขับเคลื่อนต่อไป
.
ในปี 2565 รัฐบาลกำหนดให้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ใน 8 เรื่องสำคัญ เช่น หนี้ กยศ. หนี้เช่าซื้อรถยนต์ - จักรยานยนต์ หนี้สินข้าราชการ หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ภายใต้แนวคิด “การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นการแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน วางกลไกครอบคลุมตั้งแต่ระดับนโยบายไปถึงระดับปฏิบัติ
.
รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสให้เกิดกับประเทศ พยายามหารายได้ใหม่ ๆ สร้างงานใหม่ ๆ ให้กับประชาชน ประเทศไทยต้องมีการลงทุนและเตรียมความพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับแนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 2.การลดปริมาณคาร์บอน 3.การค้าและการลงทุน 4.การพัฒนาด้านการแพทย์ ยา และวัคซีน
.
รวมถึง 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า/ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว/ อุตสาหกรรมดิจิทัล/ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์/ อุตสาหกรรมยา เป็นโอกาสของนักลงทุนต่างชาติที่มีความสามารถ พร้อมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51714
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19#ประชุมสภา#อภิปรายทั่วไป
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51723 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand and Lao PDR to reinforce cooperation in public health and cross-border connectivity | วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564
Thailand and Lao PDR to reinforce cooperation in public health and cross-border connectivity
Thailand and Lao PDR to reinforce cooperation in public health and cross-border connectivity
November 4, 2021, at 1430hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Saleumxay Kommasith, Minister of Foreign Affairs of the Lao People's Democratic Republic, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his visit to Thailand to attend the 22nd Thailand- Lao PDR Joint Commission (JC) Meeting. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister welcomed Minister of Foreign Affairs of the Lao PDR to Thailand, and congratulated the success of the 22nd Thailand- Lao PDR Joint Commission (JC) Meeting under which the goal to restrengthen relations and cooperation has been reached. The Prime Minister also conveyed his regard to Lao PDR President Thongloun Sisoulith and Prime Minister Phankham Viphavanh, and hoped to meet the two leaders in person once the COVID-19 situation eases.
Minister of Foreign Affairs of the Lao PDR expressed pleasure to have visited Thailand once again. Thailand and Lao PDR have forged tight-knitted relations and cooperation in all dimensions. The Lao PDR Minister hoped that the two countries continue to reinforce post-COVID-19 cooperation, especially in the fields of public health, infrastructure investment, and border cooperation, for the benefits of the people of both countries.
With regards to the 22nd Thailand- Lao PDR Joint Commission (JC) Meeting, Minister of Foreign Affairs of the Lao PDR stated that he and the Thai Minister of Foreign Affairs were pleased with their first meeting in 3 years, and had a chance to review past cooperation between the two countries, which, despite the COVID-19 situation, Thailand and Lao PDR have continued to support and facilitate each other. Lao PDR wishes to increase cooperation with Thailand in tourism, rail connectivity, and trade connectivity to other countries, as well as border investment, public health cooperation, especially COVID-19 vaccination.
The Prime Minister expressed pleasure to endorse cooperation in the fields of mutual interest. On border cooperation, Thailand urged for close cooperation mechanism along the border at the operational level to prevent illegal cross border activities. Cross-border trade for economic rehabilitation should also be promoted through the reopening of temporary-closed border crossing points, in parallel with strengthening of public health safety. Concerned provincial governors and border officials of both countries will discuss further in detail on the matter. Thailand and Lao PDR should also reinforce cooperation on legal connectivity and various standards that will further facilitate trade and investment, and transport activities between the two countries.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ มจธ. เติม ‘เทคโนโลยี-นวัตกรรม’ เสริมแกร่งเอสเอ็มอีไทย เดินหน้าโครงการ Scale Up ปี 4 ยกระดับเติบโตยั่งยืนตามแนวทาง BCG Model | วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2565
SME D Bank จับมือ มจธ. เติม ‘เทคโนโลยี-นวัตกรรม’ เสริมแกร่งเอสเอ็มอีไทย เดินหน้าโครงการ Scale Up ปี 4 ยกระดับเติบโตยั่งยืนตามแนวทาง BCG Model
SME D Bank ร่วมกับ มจธ. โดยสำนักเคเอกซ์ สานโครงการ “SME Scale Up to Digital Transformation” ปีที่ 4 พาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับพัฒนากิจการ สามารถปรับตัวก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19
SME D Bank ร่วมกับ มจธ. โดยสำนักเคเอกซ์ สานโครงการ “SME Scale Up to Digital Transformation” ปีที่ 4 พาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับพัฒนากิจการ สามารถปรับตัวก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 และเติบโตยั่งยืนตามแนวทาง BCG Model ด่วนรับสมัครถึง 30 เม.ย. นี้ เพียง 150 กิจการ
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยสำนักเคเอกซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโครงการ “SME Scale Up to Digital Transformation” ประจำปี 2565 โดยเปิดรับสมัครลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วไป เข้ารับโปรแกรมยกระดับและพัฒนาธุรกิจ ด้วยกระบวนการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน สามารถปรับตัวก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 พร้อมผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง BCG Model (Bio Circular Green Economy)
ความร่วมมือครั้งนี้ จัดต่อเนื่องปีที่ 4 โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) สามารถพัฒนาและเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 145 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 250 ล้านบาท โดยช่วยลดต้นทุนการผลิตในการดำเนินธุรกิจได้กว่า 45 ล้านบาท สร้างรายได้จากยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 200 ล้านบาท และบริหารจัดการด้านแรงงานเกิดประโยชน์คืนสู่กิจการกว่า 12 ล้านบาท รวมถึงยังดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สร้าง Value Chain ช่วยพาส่งเสริมการตลาด Business Matching และเชื่อมโยงกิจกรรมต่างๆ กับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ เป็นการดูแลตลอดวงจรธุรกิจ และที่สำคัญคือ สามารถช่วยลูกค้ารักษาสถานะทางธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ตรงกับภารกิจของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนา รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งทุนเพิ่มเติมอีก 16 ราย วงเงินรวมกว่า 25 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง และต่อยอดกิจการให้เติบโตต่อไป
ศ.ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักเคเอกซ์ กล่าวว่า มจธ. พร้อมพัฒนาและผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักเคเอกซ์ จะเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนและร่วมเรียนรู้ระหว่างภาคเอกชน ชุมชน และมหาวิทยาลัย โดยความร่วมมือกับ SME D Bank ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย รวมถึง สตาร์ทอัพ ด้วยโปรแกรม KX Build ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มุ่งเน้นการนำความเชี่ยวชาญด้าน วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ผ่านทางบุคลากรสู่ภาคอุตสาหกรรมพร้อมโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก SME D Bank สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างมีศักยภาพ และประสบความสำเร็จตลอดเส้นทางธุรกิจ
“ความร่วมมือระหว่าง มจธ. โดยสำนักเคเอกซ์ และ SME D Bank ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือโอกาสได้รับความรู้ทักษะทางด้านบริหารธุรกิจ นอกเหนือจากการให้บริการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว KX Build ยังทำงานอย่างแข็งขันในโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสร้างโปรแกรมและหลักสูตรเพื่อให้บุคลากรและแรงงานไทยมีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมไทย” ศ.ดร.บุญเจริญ กล่าว
สำหรับกระบวนการหลังคัดเลือกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการแล้ว จะพารับโปรแกรมยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ตลอดระยะเวลา 7 เดือน (เมษายน-ตุลาคม 2565) ทั้งด้านถ่ายทอดองค์ความรู้ควบคู่กับช่วยวิเคราะห์ปัญหา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภายในธุรกิจ ช่วยให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น (LEAN by AGILE) และการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายและช่องทางขาย โดยทีมที่ปรึกษาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาถ่ายทอดความรู้
ขณะเดียวกัน ยังมีกิจกรรมรับฟังการวิเคราะห์ปัญหา (Site Visit) จากทีมที่ปรึกษาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะประเมินศักยภาพธุรกิจและความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงลงพื้นที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ณ สถานประกอบการ เพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจได้ตรงจุดพร้อมรับโอกาสพาเข้าสู่แหล่งเงินทุนต่อไป
ทั้งนี้ เปิดโอกาสแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มธุรกิจที่สนใจ แจ้งความประสงค์สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 เมษายน 2565 รับจำนวนจำกัดเพียง 150 กิจการเท่านั้น โดยลงทะเบียนผ่านออนไลน์ คลิก https://shorturl.asia/0MV8U หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ โทร. 02-470-7998, 02-265-4588, 081-845-1190 หรือ Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53809 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "อนุทิน" เปิดประชุมวิชาการป้องกันควบคุมโรคฯ มอบเหรียญขุนประเมินวิมลเวชช์ให้แก่ 2 แพทย์ผู้อุทิศตนด้านป้องกันควบคุมโรค | วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565
"อนุทิน" เปิดประชุมวิชาการป้องกันควบคุมโรคฯ มอบเหรียญขุนประเมินวิมลเวชช์ให้แก่ 2 แพทย์ผู้อุทิศตนด้านป้องกันควบคุมโรค
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าเทคโนโลยี นวัตกรรม และทิศทางการป้องกันควบคุมโรคในระดับประเทศและนานาชาติ พร้อมมอบเหรียญเชิดชูเกียรติ “ขุนประเมินวิมลเวชช์”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าเทคโนโลยี นวัตกรรม และทิศทางการป้องกันควบคุมโรคในระดับประเทศและนานาชาติ พร้อมมอบเหรียญเชิดชูเกียรติ “ขุนประเมินวิมลเวชช์” ให้แก่ "นพ.ประยูร กุนาศล" และ "นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร" แพทย์ผู้อุทิศตนและเป็นตัวอย่างที่ดีในการป้องกันควบคุมโรค
วันนี้ (15 สิงหาคม 2565) ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคม 2565 พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลสำคัญด้านการป้องกันควบคุมโรค คือ เหรียญเชิดชูเกียรติ “ขุนประเมินวิมลเวชช์” ให้ นพ.ประยูร กุนาศล และ ศ.เกียรติคุณ นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติแด่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งมอบโล่และประกาศนียบัตรรางวัลคุณภาพแห่งชาติการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ 4.0 โดยกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ จำนวน 6 รางวัล โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขร่วมงาน
นายอนุทิน กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนและการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขเป็นอย่างมาก การเตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไทยมีแพทย์ อาจารย์ และบุคลากรสาธารณสุขที่เข้มแข็ง มีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ทั้งพร้อมเรียนรู้ ปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ ทำให้สามารถควบคุมโรคโควิด 19 ได้อย่างดี ดังผลการประเมินทบทวนการทำงานตอบโต้สถานการณ์การระบาดในในปี 2020 และผลการทบทวนการเตรียมพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (UHPR)โดยองค์การอนามัยโลก รวมถึงการจัดอันดับต่างๆ ซึ่งประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าทำได้ดีอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจัยความสำเร็จส่วนหนึ่งนั้นมาจากการบุกเบิกงานระบาดวิทยาของ นพ.ประยูร กุนาศล ทำให้ประเทศไทยมีรากฐานสำคัญในการต่อสู้กับโรคโควิด 19 และ ศ.เกียรติคุณ นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการโรคติดต่อ ที่ให้คำแนะนำแนวทางการดำเนินงานของประเทศฝ่าวิกฤตโรคระบาด จึงได้รับเลือกให้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ ขุนประเมินวิมลเวชช์" ในปีนี้
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ความสำเร็จ ความเข้มแข็ง และความยั่งยืนในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่กำลังจะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้น คือ การตั้งศูนย์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่แห่งอาเซียน (ASEAN Centre for Public Health Emergency and Emerging Diseases :ACPHEED)โดยสำนักงานคณะทำงานเลขานุการตั้งอยู่ในประเทศไทย มีหน้าที่หลักและทำงานประสานกัน ทั้งการป้องกัน การตรวจจับการระบาด และการตอบโต้ ซึ่งศูนย์ACPHEEDนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากโรคอุบัติใหม่หรือโรคติดเชื้อต่างๆ อาจระบาดข้ามประเทศได้อย่าง่ายดาย เช่น โรคฝีดาษวานรที่เคยเกิดเป็นโรคประจำถิ่นอยู่ในทวีปแอฟริกา และมีการระบาเออกไปยังประเทศต่างๆ เป็นต้น สำหรับการประชุมในครั้งนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นวัตกรรม นโยบาย และทิศทางการป้องกันควบคุมโรคในระดับประเทศและนานาชาติ ซึ่งจะนำไปใช้ปรับกระบวนการทำงานและขับเคลื่อนระบบงาน การขยายความร่วมมือในระดับประเทศและนานาชาติต่อไป เพื่อให้การรองรับภาวะฉุกเฉินมีความเข้มแข็ง เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การระบาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 แม้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งการดำรงชีวิตของผู้คน เศรษฐกิจชะลอตัว แต่นับเป็นความท้าทายทำให้เกิดการปรับปรุง ทบทวน และใช้บทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้สร้างจุดเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น การประชุมในครั้งนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิดมิติใหม่แห่งการป้องกันและควบคุมโรค พลิกวิกฤตเป็นโอกาส (The new Chapter of Disease Prevention and Control : Turning Crisis to Opportunities)นำเสนอความรู้ทางวิชาการในรูปแบบนิทรรศการ "การป้องกันควบคุมโรคสู่ความมั่นคงสุขภาพ" การนำเสนอบอร์ดวิชาการ "บทเรียนและการพัฒนาระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขภาพ" การบรรยายและอภิปราย "พลิกวิกฤตเป็นโอกาส พัฒนาอนาคต ด้านการป้องกันควบคุมโรค" โดยได้รับเกียรติจากทีมวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้ทรงคุณวุฒิ และบุคลากรสาธารณสุขจากทั่วประเทศ รวม 1,200 คน
************************************15 สิงหาคม2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ดันเอสเอ็มอีไทยก้าวสู่ BCG Model รวมพลังพันธมิตรพาเข้าถึง “เงินทุนคู่พัฒนา”หนุนธุรกิจเติบโตยั่งยืน | วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565
ธพว. ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ดันเอสเอ็มอีไทยก้าวสู่ BCG Model รวมพลังพันธมิตรพาเข้าถึง “เงินทุนคู่พัฒนา”หนุนธุรกิจเติบโตยั่งยืน
ธพว.ร่วมขับเคลื่อนวาระแห่งชาติของรัฐบาล เดินหน้าผลักดัน SMEsไทยยกระดับธุรกิจตามแนวทาง BCG Model ประสานพลังหน่วยงานพันธมิตร เข้าถึงแหล่งทุน “สินเชื่อ BCG Loan” วงเงิน 1,000 ลบ. ควบคู่กับเติมความรู้ผ่านโปรแกรมพัฒนา ติดปีกเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า โลกแห่งอนาคตจะมุ่งแข่งขันด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม รัฐบาลจึงกำหนดโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ บนพื้นฐานเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ “BCG Model” (Bio-Circular-Green Economy) โดยให้ความสำคัญสูงสุดยกเป็น “วาระแห่งชาติ” ดังนั้น ธพว. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ขานรับนโยบายรัฐบาล และพัฒนาสู่การเป็นธนาคารที่ยั่งยืนตามกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environment , Social and Governance : ESG) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญ สร้างประโยชน์ให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเข้าถึง “เงินทุน” คู่ “การพัฒนา” สามารถนำแนวทาง BCG Model ไปปรับใช้ในธุรกิจ อันจะสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจอย่างสูงสุด
ทั้งนี้ ด้าน “เงินทุน” ผ่าน “โครงการสินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” หรือ “BCG Loan วงเงิน 1,000 ล้านบาท เป็นบริการทางการเงินครบวงจร มีทั้งเงินกู้ระยะยาว (Term Loan) เงินกู้ระยะสั้น (PN) และหนังสือค้ำประกัน (LG) วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 3.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 12 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 2 ปี วัตถุประสงค์เพื่อให้ SMEs มีเงินทุนพัฒนาต่อยอดธุรกิจตามแนวทาง BCG Model เช่น ลงทุน ปรับปรุง ขยาย หรือปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ หมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง หรือ Refinance เป็นต้น พิเศษสุด ฟรี! ค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) กำหนดรับคำขอกู้ถึง 31 พฤษภาคม 2566 มาก่อนได้ก่อน หยุดรับคำขอกู้เมื่อเต็มวงเงิน
ด้าน “พัฒนา” เติมความรู้ให้ SMEs ร่วมกับมูลนิธิยูนุสไทยแลนด์ (Yunus-Thailand) คัดเลือก SMEs ต้นแบบ BCG Model จัดเตรียมที่ปรึกษาในโครงการ “SME D Coach” อีกทั้ง จัดโครงการและกิจกรรมยกระดับธุรกิจสู่ BCG Model อย่างต่อเนื่อง เช่น จัดสัมมนาออนไลน์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร “สถาบันพลาสติก” เรื่อง "เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน Induction Heater เพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน” ช่วยให้เอสเอ็มอีไทยประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต ในวันที่ 14 มิถุนายน 2565 เป็นต้น
สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของธนาคาร( www.smebank.co.th ), LINE Official Account : SME Development Bank และสาขาของ ธพว.ทั่วประเทศ เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55718 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ลดความเสียหายแก่ประชาชน | วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ลดความเสียหายแก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรีขอบคุณกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ลดความเสียหายแก่ประชาชน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย วันนี้ (25 ตุลาคม 2564) เวลา 08.45 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าพบ เพื่อรับมอบสิ่งของบริจาคจากกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย และส่งมอบแก่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีรับมอบสิ่งของบริจาค เครื่องบริโภคอุปโภค มูลค่า 2,960,604 บาท จากผู้บริหารกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เพื่อมอบให้แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อไป โดยนายกรัฐมนตรี ชื่นชมและขอบคุณนายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ผู้บริหารระดับสูงยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย และคณะผู้บริหาร ที่มอบสิ่งของบริจาคในครั้งนี้ สะท้อนคนไทยไม่ทิ้งกันในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทั้งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจุบันคือสถานการณ์น้ำท่วม ที่รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด ด้วยการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำทำให้ยังต้องประสบปัญหาสถานการณ์อุทกภัย ประกอบกับความผันผวนของสภาพอากาศ และฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล มีปริมาณมากบ้างน้อยบ้าง รัฐบาลจึงต้องวางแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบครบวงจร ตั้งแต่ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง ของประเทศ โดยสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สทนช. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระบายน้ำที่ยังท่วมขังสู่ทะเล โดยเฉพาะการระบายน้ำจากแม่น้ำท่าจีนสู่ภาคตะวันออก อาจส่งผลให้ระดับน้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติสูงขึ้นเพราะเป็นคูคลองที่มีความตื้นและเล็ก จึงต้องมีการขุดลอกควบคู่กับการกักเก็บน้ำไว้ใช้ และมีการบริหารจัดการระบายน้ำออกอย่างเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำซึ่งมีระยะทางการสูบ 10 กิโลเมตร เพื่อเร่งดึงน้ำ จูงน้ำ และตัดตอนน้ำออกไปด้านข้างให้ได้มากที่สุดและเก็บกักน้ำไว้ในทุ่งต่าง ๆ รวมทั้งไร่นาของประชาชนโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็เร่งช่วยเหลือดูแลเยียวยาพื้นที่รองรับน้ำดังกล่าวด้วย
.............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะฯ สั่งเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันโครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนฯ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โชว์ปี 2565 แค่ 9 เดือน อัดเงินทุนถึงมือผู้ประกอบการกว่า 2 แสนล้านแล้ว | วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565
สุริยะฯ สั่งเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันโครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนฯ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โชว์ปี 2565 แค่ 9 เดือน อัดเงินทุนถึงมือผู้ประกอบการกว่า 2 แสนล้านแล้ว
สุริยะฯ สั่งเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันโครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนฯ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โชว์ปี 2565 แค่ 9 เดือน อัดเงินทุนถึงมือผู้ประกอบการกว่า 2 แสนล้านแล้ว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในโอกาสเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “โครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน” ระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย และ SME Bank ว่าได้สั่งการให้กรมโรงงานฯ ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เร่งจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงงานสามารถนำเครื่องจักรที่อยู่ในโรงงานมาใช้เป็นหลักประกันสินเชื่อกับทางสถาบันการเงินได้ และนำเงินทุนที่ได้มาทำการปรับปรุงการประกอบการให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านประสิทธิภาพการผลิต ลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG Economy) ของรัฐบาล
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เสริมว่า โครงการนี้ทั้งสี่ฝ่ายจะร่วมมือกันในด้านการส่งเสริมผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้านเครื่องจักร และจะมีการส่งเสริมสนับสนุนมาตรการทางการเงิน (Financial support) พิเศษต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการ โดยที่ธนาคารกรุงไทย และ SME Bank จะดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สินเชื่อ Factoring สินเชื่อเพื่อการเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ ฯลฯ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่โรงงานเป็นหลัก
ด้านนายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 มีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรจำนวน 1,113 ราย 5,606 เครื่อง มียอดจดจำนองเหลือเพียง 8 หมื่นล้าน และกระเตื้องขึ้นในปีงบประมาณ 2564 โดยมีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรจำนวน 992 ราย 6,197 เครื่อง และสามารถจดจำนองได้ถึง 1.7 แสนล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 มีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรจำนวน 771 ราย 3,417 เครื่อง และมีการจดจำนองไปแล้ว 2.04 แสนล้านบาท ซึ่งหลังจากลงนาม MOU กันในวันนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก รวดเร็วขึ้น และจะมีการจดจำนองเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจดียิ่งขึ้นต่อไป
“กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการโรงงานทั่วประเทศนำเครื่องจักรที่มีอยู่มาทำการการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร เพื่อเตรียมความพร้อมในการแปลงเป็นเงินทุน โดยโรงงานที่อยู่ใน กทม. สามารถติดต่อสอบถามได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม โทร. 0 2430 6300 ส่วนโรงงานที่อยู่ต่างจังหวัด สามารถยื่นจดทะเบียนหรือติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ หรือที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมด้วยก็ได้” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือผู้แทน MRI ด้านการพัฒนา AI โครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำ-การพัฒนาด้านคมนาคม และMRI เตรียมจัดตั้งสำนักงานฯ ในไทยเร็วๆ นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565
ดีอีเอส หารือผู้แทน MRI ด้านการพัฒนา AI โครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำ-การพัฒนาด้านคมนาคม และMRI เตรียมจัดตั้งสำนักงานฯ ในไทยเร็วๆ นี้
ดีอีเอส หารือผู้แทน MRI ด้านการพัฒนา AI โครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำ-การพัฒนาด้านคมนาคม และMRI เตรียมจัดตั้งสำนักงานฯ ในไทยเร็วๆ นี้
เมื่อวันที่18พฤษภาคม2565นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยผู้แทนดศ.ได้ให้การต้อนรับและร่วมหารือกับนายสืบศิษฏ์ศานติศาสน์ผู้แทนจากสถาบันวิจัยมิตซูบิชิประเทศญี่ปุ่น(Mitsubishi Research Institute: MRI)ณห้อง801ชั้น8กระทรวงดิจิทัลฯในโอกาสนี้ผู้แทนจากMRIได้แนะนำความเป็นมาและภารกิจให้กระทรวงฯได้รับทราบโดยปัจจุบันMRIมีสำนักงานตั้งอยู่ณประเทศญี่ปุ่นเมืองดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกรุงฮานอยสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและมีแผนที่จะจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทยโดยสถาบันMRIถือเป็นสถาบันวิจัยขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นที่เปิดมาเป็นเวลา100ปีโดยให้บริการเป็นที่ปรึกษาศึกษาวิจัยและวางแผนนโยบายการดำเนินงานนวัตกรรมการบริการการจัดการและโซลูชันในด้านต่างๆอาทิ5G Smart City Wellness Healthcareและอื่นๆให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนภายในประเทศญี่ปุ่นและในประเทศต่างๆซึ่งปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ให้ความสนใจในภารกิจและแนวทางการดำเนินงานของสถาบันMRIและได้ให้ข้อมูลถึงภารกิจหลักที่กระทรวงฯกำลังเร่งผลักดันอยู่ในปัจจุบันรวมไปถึงให้ข้อมูลความร่วมมือในประเด็นด้านการพัฒนาAIโครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำและการพัฒนาด้านคมนาคมและด้านอื่นๆซึ่งยังเป็นประเด็นที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถร่วมมือกับประเทศไทยทั้งในแง่ของการวางนโยบายการศึกษาและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีรวมทั้งการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54771 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ | วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕
ในวันจันทร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ จัดโดยกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยมีนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางสาวจิฬาภรณ์ ตามชู กฤษณสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา นางเปรมยุดา ตันติกนกพร ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ และนางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐-๐๑ และผ่าน Application Cisco Webex Meeting กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
การประชุมในวันนี้ ได้มีการรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ ประจำปี ๒๕๖๔ การรายงานความคืบหน้าการผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... การพิจารณาแบบฟอร์มการรับเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและกรณีถูกบังคับให้หายสาบสูญ (ฉบับปรับปรุงใหม่) และการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือ คำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐซ้อมทรมานผู้ถูกควบคุมตัวเพื่อให้รับสารภาพ
ในการนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการฯ อีกทั้งเห็นชอบและมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษปรับแก้แบบฟอร์มการรับเรื่องราวร้องทุกข์ฯ ตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมฯ รวมทั้งเห็นชอบและมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ประมวลผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายคณะอนุกรรมการป้องกันฯ พิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันการทรมาน และกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อให้เป็นมาตรฐานการดำเนินงานให้กับทุกหน่วยงานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51101 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุข ใช้หลัก VUCA เปิดเมืองอย่างปลอดภัยห่างไกลโควิด | วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2564
กระทรวงสาธารณสุข ใช้หลัก VUCA เปิดเมืองอย่างปลอดภัยห่างไกลโควิด
กระทรวงสาธารณสุข ใช้หลักการ VUCA ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ป้องกันตนเองขั้นสูงสุด สร้างพื้นที่ปลอดการแพร่เชื้อ และตรวจคัดกรองด้วย ATK ช่วยให้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยห่างไกลโควิด
วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2564) ที่โรงแรมท็อปแลนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดพิษณุโลก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศและการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2565 ภาคเหนือ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำไปพัฒนาแผนปฏิบัติการฯ ของแต่ละจังหวัดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหาร สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมทั้ง Onsite และ Onlineรวม 400 คน อาทิ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงผู้แทนภาคธุรกิจเอกชน
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานภายใต้ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี จัดหาวัคซีนให้ประชาชนทุกคนอย่างเพียงพอ แต่พบว่ายังมีบางคนที่ไม่ประสงค์จะฉีดวัคซีน ซึ่งต้องเร่งทำความเข้าใจโดยเร็ว เพราะการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม เมื่อติดเชื้อจะช่วยให้สามารถควบคุมดูแลได้ ทั้งนี้ หลังจากการเปิดประเทศทุกหน่วยงานยังต้องควบคุมการระบาดให้ดี พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้
ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ภายหลังจากการเปิดประเทศ แนวโน้มผู้ติดเชื้ออาการหนักและผู้เสียชีวิตลดลง ส่วนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศพบอัตราการติดเชื้อต่ำ และยังไม่พบการแพร่เชื้อ อย่างไรก็ตาม ยังต้องดำเนินงานภายใต้หลัก VUCA ได้แก่ ภาครัฐฉีด Vaccine ให้ครอบคลุมประชากรในประเทศ 70% หรือ 100 ล้านโดส ประชาชนใช้มาตรการ Universal Prevention ป้องกันตนเองสูงสุดกับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อลดการติดเชื้อ ลดการระบาด สถานบริการ/สถานที่ต่างๆ ใช้มาตรการ Covid-free Setting สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากเชื้อโควิด และใช้ ATK ตรวจคัดกรองในชุมชน สถานที่เสี่ยง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะจัดสัปดาห์แห่งการฉีดวัคซีน 27 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคม 2564 นี้ เพื่อเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และขยายไปถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะช่วยให้เราเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย ทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยวิถี New normal
****************************** 22 พฤศจิกายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48564 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง สรุปข้อมูลการเดินทางของประชาชน ด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 | วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
กรมการขนส่งทางราง สรุปข้อมูลการเดินทางของประชาชน ด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
ประจำวันที่ 3 ม.ค. 65 สะสม 6 วัน (29 ธ.ค. 64 - 3 ม.ค. 65) รวม 3,160,216 คน พบว่า ปี 2565 ในช่วง3วัน (1 - 3 ม.ค. 65) มีประชาชนเดินทางกลับโดยรถไฟ รวม 71,684 คน โดยวันที่ 3 ม.ค. 65 มีผู้โดยสารเดินทางด้วยรถไฟเข้ากรุงเทพฯ จำนวน 26,696 คน
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวาน (3 ม.ค. 65) ซึ่งเป็นวันที่หกของเทศกาลปีใหม่ 2565 มีประชาชนมาใช้บริการระบบรางรวมจำนวน 411,824 คน (ลดลงจากวันที่ 2 ม.ค. 65 จำนวน 10,178 คน หรือลดลงร้อยละ 2.41) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 44,863 คน และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง(สายสีแดง) จำนวน 366,961 คน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.รถไฟของ รฟท. จำนวน 44,863 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 2 ม.ค. 65 จำนวน 1,562 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.61) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 19,779 คนและเชิงสังคม 25,084 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกจำนวน 18,167 คน (ลดลงจากวันที่ 2 ม.ค. 65 จำนวน 681 คน หรือลดลงร้อยละ 3.61) และผู้โดยสารขาเข้า 26,696 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 2 ม.ค. 65 จำนวน 2,243 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.17) โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 13,713 คน (ผู้โดยสารขาออก 5,993 คน ผู้โดยสารขาเข้า 7,720 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 13,108 คน (ผู้โดยสารขาออก 4,732 คน ผู้โดยสารขาเข้า 8,376 คน) สายเหนือ 10,687 คน (ผู้โดยสารขาออก 4,425 คน ผู้โดยสารขาเข้า 6,262 คน) สายตะวันออก 5,035 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,880 คน ผู้โดยสารขาเข้า 3,155 คน) และสายมหาชัย แม่กลอง 2,320 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,137 คน ผู้โดยสารขาเข้า 1,183 คน) โดย รฟท.ได้จัดขบวนพิเศษช่วยการโดยสารจำนวน 3 ขบวน มีผู้โดยสารใช้บริการรวม 985 คน ประกอบด้วย ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 5 กรุงเทพ-เชียงใหม่ จำนวน 36 คน ขบวนรถเร็วที่ 933 กรุงเทพ-อุบลราชธานี จำนวน 104 คนและขบวนรถเร็วที่ 934 อุบลราชธานี-กรุงเทพ จำนวน 845 คน
2. ระบบรถไฟฟ้า จำนวน 366,961 คน (ลดลงจากวันที่ 2 ม.ค. 65 จำนวน 11,740 คน หรือลดลงร้อยละ 3.10) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link จำนวน 20,095 คน รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) จำนวน 5,685 คน รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) จำนวน 14,538 คน รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) จำนวน 106,005 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) จำนวน 220,638 คน โดยมีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้องจำนวน 2 ครั้ง ได้แก่
1) โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เวลา 04.30 น. อุปกรณ์ชุดรับ-ส่งสัญญาณ ที่สัญญาณไฟประจำที่ขัดข้อง ระหว่างสถานีหลักหก-สถานีรังสิตฝั่งขาเข้าเมือง ต่อมาดำเนินการแก้ไขเรียบร้อย ส่งผลให้มีขบวนรถล่าช้าจำนวน 1 เที่ยว 2)โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง เวลา 05.57 น. ขบวนรถไฟฟ้าหมายเลข 03 ขัดข้องที่สถานีเจริญนครฝั่งมุ่งหน้าสถานีปลายทางคลองสาน ดำเนินการแก้ไขเรียบร้อย ส่งผลให้ขบวนรถล่าช้าจำนวน 1 เที่ยว
สำหรับด้านความปลอดภัยประจำวันที่ 3 ม.ค. 65 พบว่า หน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ อย่างต่อเนื่อง และไม่มีอุบัติเหตุทางราง
ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบรางสะสม 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 64 - 3 ม.ค. 65 มีประชาชนใช้บริการระบบราง 3,160,216 คน ประกอบด้วย รฟท. มีผู้ใช้บริการรวม 262,982 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 108,109 คน และผู้โดยสารเชิงสังคม 154,873 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 132,339 คน และขาเข้า 130,643 คน ซึ่งพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 80,010 คน (ผู้โดยสารขาออก 40,272 คน ผู้โดยสารขาเข้า 39,738 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ 71,703 คน (ผู้โดยสารขาออก 35,995 คน ผู้โดยสารขาเข้า 35,708 คน) สายเหนือ 61,877 คน (ผู้โดยสารขาออก 31,742 คน ผู้โดยสารขาเข้า 30,135 คน) สายตะวันออก 31,185 คน (ผู้โดยสารขาออก 15,250 คน ผู้โดยสารขาเข้า 15,935 คน) และสายมหาชัย แม่กลอง 18,207 คน (ผู้โดยสารขาออก 9,080 คน ผู้โดยสารขาเข้า 9,127 คน) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง)) สะสม 6 วัน มีผู้ใช้บริการ 2,897,234 คน ประกอบด้วย Airport Rail Link 135,665 คน สายสีแดง 37,658 คน สายฉลองรัชธรรม(สีม่วง) 106,810 คน สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 791,173 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 1,825,928 คน
สำหรับด้านความปลอดภัย ช่วง 6 วัน (29 ธ.ค. 64 - 3 ม.ค. 65) ที่ผ่านมา มีเหตุอันตรายทางรางรวม 6 ครั้ง (ขบวนรถไฟชนคน 2 ครั้ง ชนรถยนต์ 1 ครั้ง ชนสัตว์ 1 ครั้ง ตกราง 1 ครั้ง และคนร้ายปาระเบิดใส่ 1 ครั้ง) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 2 ราย และมีรถไฟฟ้าขัดข้องรวม 5 ครั้ง ส่งผลให้ขบวนรถล่าช้ารวม 4 เที่ยว และงดให้บริการ 1 เที่ยว
สำหรับในวันนี้ (4 ม.ค. 65) คาดว่าจะมีประชาชนบางส่วนเดินทางกลับ โดย รฟท. ตู้โดยสารไปกับขบวนรถไฟทางไกล เพื่อรองรับการเดินทางประชาชนให้เพียงพอ และผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้าได้เพิ่มความถี่ในการให้บริการในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเพื่อรองรับการเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานคร
กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง เทศกาลปีใหม่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50173 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM expresses confidence on Govt's clarification at censure debate | วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565
PM expresses confidence on Govt's clarification at censure debate
PM expresses confidence on Govt's clarification at censure debate
July 18, 2022, at 11.20 hrs, at the Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha disclosed that the cabinet, in its meeting on July 18, deliberated requests for disbursement of public health loan, of which there is little blance left, and is needed to be spared and optimized for the period of July - December. The same goes to central budget disbursement, which has been set aside for such contingencies as flood disaster, as the end of the fiscal year is coming close. The Government has to manage budet expenditure in the most prudent manner.
With regard to the censure debate, the Prime Minister has instructed coalition parties and cabinet members to prepare related information, and expressed confidence that target ministers will be able to clarify all the allegations and issues discussed during the debate. On his part, the Prime Minister will only present facts and useful information which would not damage national administration, the country's reputation, and foreign relations. He also called on all sides to take utmost precaution in presenting any information during the debate since the country and the world are still not in the normal situation. Countries in ASEAN and other regions have also encountered problems. Therefore, as a global community member, we must consider what should and should not be done, taking into account the global situation and international laws. The Prime Minister also reaffirmed that all the Government's policies and endeavors have been implemented solely for the benefit of the country and people.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 3,995 ล้านบาท จัดหายาโควิด-19 เพื่อหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับ | วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565
ครม. อนุมัติ 3,995 ล้านบาท จัดหายาโควิด-19 เพื่อหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับ
ครม. อนุมัติ 3,995 ล้านบาท จัดหายาโควิด-19 เพื่อหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับ
วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิด-19 กรอบวงเงิน 3,995.2708 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 3 เดือน (ก.ค. -ก.ย. 65) แบ่งเป็นสำหรับซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (ของใหม่) ได้แก่ Favipiravia/Molnupiravia เฉลี่ย 27 ล้านเม็ด/เดือน (จำนวน 1,296.00 ล้านบาท) และ Remdesivir จำนวน 57,000 vial/เดือน (จำนวน 21.96 ล้านบาท) วงเงินรวม 1,317.96 ล้านบาท รวมทั้งเป็นการแบ่งค้างชำระ สำหรับ Favipiravia/Molnupiravia 165 ล้านเม็ด (จำนวน 2,653.81 ล้านบาท) และค่าชุดตรวจ ATK จำนวน 1 ล้านชุด (จำนวน 23.50 ล้านบาท) ของเดือน มี.ค.- มิ.ย. 65 รวมวงเงิน 2,677.31 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับ เตรียมความพร้อมในการรับมือและป้องกันโรคโควิด-19 และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 สนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัยในหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56979 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ “ทูตฝรั่งเศส” ร่วมมือป้องกันฟอกเงิน-ดันสมรสเท่าเทียม แจง กฎหมายยาเสพติดใหม่ ช่วยปิดทางฟอกเงิน หลังยึดทรัพย์เครือข่ายยาแล้ว 8 พันล้านบ | วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ “ทูตฝรั่งเศส” ร่วมมือป้องกันฟอกเงิน-ดันสมรสเท่าเทียม แจง กฎหมายยาเสพติดใหม่ ช่วยปิดทางฟอกเงิน หลังยึดทรัพย์เครือข่ายยาแล้ว 8 พันล้านบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ “ทูตฝรั่งเศส” ร่วมมือป้องกันฟอกเงิน-ดันสมรสเท่าเทียม “สมศักดิ์” แจง กฎหมายยาเสพติดใหม่ ช่วยปิดทางฟอกเงิน หลังยึดทรัพย์เครือข่ายยาแล้ว 8 พันล้านบาท ชี้ กฎหมายคู่ชีวิต มีความจำเป็นพื้นฐาน เหมือนสมรสเท่าเทียม
วันที่ 14 มิถุนายน 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้การต้อนรับ นายตีแยรี มาตู เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ ที่กระทรวงยุติธรรม
โดยนายตีแยรี กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงอยากมาหารือถึงข้อราชการต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการฟอกเงิน เพราะฝรั่งเศสเห็นว่า การฟอกเงินจะเป็นปัญหาหนึ่งที่ไทยต้องพบเจอ ดังนั้น ความร่วมมือที่ฝรั่งเศส จะทำได้คือ การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ด้วยการจัดสัมมนาอบรม ซึ่งจะมีการเชิญตัวแทนไทย เข้าร่วมด้วย เนื่องจากในไทย มีคนฝรั่งเศส อาศัยอยู่จำนวนมาก โดยก็มีทั้งดี และเกี่ยวข้องกับผู้ร้ายด้วย ดังนั้น ฝรั่งเศส จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ นอกจากนี้ ขณะนี้ ทางสถานทูตฯ ยังได้มีการแต่งตั้ง ผู้ช่วยทูตฯในด้านศาลและยุติธรรม เพื่อติดตามตัวบทกฎหมาย และอนุสัญญาต่างๆให้มีความทันสมัย ซึ่งจะไม่ได้ดูแค่ไทย แต่จะดูในประเทศญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม
นายตีแยรี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการสมรสเท่าเทียม เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ฝรั่งเศส มีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้กฎหมายนี้ กว่า 10 ปีแล้ว จึงอยากให้คำแนะนำกระทรวงยุติธรรม ที่เป็นผู้เสนอ ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต เพราะในฝรั่งเศส การสมรสเท่าเทียมสำหรับทุกเพศ เป็นที่ยอมรับในยุโรป โดยได้มีการต่อสู้เรื่องศาสนา จนมีกฎหมายนี้มาได้ ซึ่งจากที่ดูไอเดียของกระทรวงยุติธรรม ยอมรับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก แต่จากนี้ ไทยต้องให้ความรู้เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ ให้กับคนที่ยังไม่เข้าใจ เพื่อที่จะได้ผลักดันเรื่องเท่าเทียมทางเพศให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด
ขณะที่ นายสมศักดิ์ กล่าวขอบคุณฝรั่งเศส ที่มาแบ่งปันเกี่ยวกับความก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะกฎหมายที่ทันสมัย ซึ่งไทยเอง ก็มีการปรับแก้กฎหมายให้ทันสมัย อย่าง การแก้ปัญหายาเสพติด ได้มีการยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปถึง 24 ฉบับ เพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์ ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติด รวมถึงตัดวงจรการฟอกเงิน ตามที่ฝรั่งเศส มีความห่วงใยในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งหลังมีการใช้กฎหมายยาเสพติดใหม่ เพียงครึ่งปี เราสามารถยึดทรัพย์ได้แล้วกว่า 8,400 ล้านบาท ต่างกับเมื่อก่อน ที่ยึดได้เพียงไม่เกินปีละ 600 ล้านบาท ดังนั้น ถ้ามีการฟอกเงิน เราก็จะมีการติดตามยึดทรัพย์อย่างเข้มข้น ส่วนอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ฝรั่งเศสติดตามอยู่ เราก็พร้อมร่วมมือในการสืบสวน แต่เรายังขาดข้อมูลว่า เขาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือ อาชญากรรมด้านใด โดยเชื่อมั่นว่า ถ้ามีข้อมูล เราจะสามารถดำเนินการได้
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า เรื่องกฎหมายคู่ชีวิต ขณะนี้ ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้ว และจะส่งไปยังสภาฯเพื่อให้พิจารณา ซึ่งเป็นความหวังของผู้หลากหลายทางเพศ เพราะกฎหมายฉบับนี้ มีความจำเป็นพื้นฐาน เหมือนสมรสเท่าเทียมเกือบหมด แต่ยังมีบางอย่าง ที่เรายังไม่สามารถทำได้ เพราะยังเป็นเรื่องใหม่ ที่เรากำลังดำเนินการไปพร้อมกัน ส่วนคำถามว่า ทำไมไม่ทำกฎหมายนี้ให้สุดนั้น นอกจากเป็นเรื่องใหม่แล้ว ยังเกี่ยวข้องกับเวลาสภา ที่เหลือน้อยแล้ว อาจไม่เพียงพอหากต้องลงรายละเอียดมาก ซึ่งอาจจะผ่านยาก จึงมีการผลักดัน พ.ร.บ.คู่ชีวิต เป็นหลักในการนำเข้าสภาฯ
“ส่วนที่ถามถึงแนวคิดการนำผู้ต้องขังทำความสะอาดท่อระบายน้ำ เพราะผมเล็งเห็นว่า เป็นประโยชน์กับหลายฝ่าย เนื่องจากในท่อระบายน้ำมีขยะอุดตันทางน้ำ จนทำให้น้ำท่วมขัง กทม. ซึ่งนอกจากเป็นการช่วยเรื่องระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังได้ให้โอกาสผู้ต้องขังได้ทำงานบริการสังคม โดยหลังจากผู้ว่าฯกทม.ตอบรับ กรมราชทัณฑ์ ได้ก็มีการคัดเลือกผู้ต้องขังที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมากได้ 1 พันคน ซึ่งการออกมาของผู้ต้องขัง นอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว ยังได้รับสิทธิลดวันรับโทษด้วย รวมถึงยังเป็นการช่วยผ่อนคลาย ที่ได้ออกมาข้างนอกเรือนจำ โดยนอกจากงานลอกท่อ เราก็ยังมีการฝึกอาชีพอีกหลายอย่าง ตามโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ที่ช่วยสร้างงาน และเตรียมพร้อมก่อนจะพ้นโทษด้วย” รมว.ยุติธรรม กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีความเห็นเรื่องการยกเลิกโทษประหาร ตามที่ทูตฯฝรั่งเศส ได้สอบถามมานั้น ขอเรียนชี้แจงว่า ตั้งแต่ตนเป็นรัฐมนตรีมา 3 ปี ยังไม่เคยมีการประหารชีวิตเลย แต่การยกเลิก ถ้าเราไม่มีเครื่องมือป้องกัน ประชาชนถามเรา จะตอบไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาล ก็เลยร่างกฎหมายป้องกันสังคมถูกทำร้าย ชื่อว่า พ.ร.บ.ป้องกันกระทำผิดซ้ำในเรื่องเพศและความรุนแรง เพื่อเฝ้าระวัง คนที่เป็นผู้ต้องขังคดีร้ายแรง ที่ออกจากเรือนจำ ด้วยการเฝ้าระวังเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งเราจะขึ้นทะเบียนคนที่ต้องเฝ้าระวัง เมื่อเขาทำผิดก็จะถูกควบคุม แทนการเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันการทำผิดซ้ำ ซึ่งจะไม่เกิดคดีร้ายแรง และการพูดถึงเรื่องประหารชีวิต ก็จะไม่มี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุน สดช.-กสทช. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “U.S.- Thailand 6 GHz Standard Workshop” | วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565
ดีอีเอส หนุน สดช.-กสทช. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “U.S.- Thailand 6 GHz Standard Workshop”
ดีอีเอส หนุน สดช.-กสทช. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “U.S.- Thailand 6 GHz Standard Workshop”
เมื่อวันที่18กุมภาพันธ์2565นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ“U.S.- Thailand 6 GHz Standard Workshop”จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าและพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกามีผู้เข้าประชุมออนไลน์จากหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานภาคการศึกษาหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนกว่า100คน การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้งานคลื่นความถี่6 GHzซึ่งจะครอบคลุมภาคการสื่อสารไร้สายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมุ่งเน้นไปที่การยกเว้นใบอนุญาตของเทคโนโลยีRadio Local Area Network (RLAN)เช่นWi-Fiและ5G NR-U ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับนโยบายคลื่นความถี่ไร้สายและโทรคมนาคมจากประเทศอื่นๆในอาเชียน ในส่วนของรัฐบาลไทยจะดำเนินการระหว่าง สดช.และกสทช.ในการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน6 GHzให้อยู่ในเทคโนโลยีส่วนที่ได้รับการยกเว้นใบอนุญาต(License-exempt technologies)ผ่านการให้บริการแบบWi-Fi
ทั้งนี้เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มผลผลิตในด้านต่างๆทั่วโลกได้มากกว่า4.9ล้านล้านดอลลาร์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆโดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปีพ.ศ.2566จะมีจุดเชื่อมต่อสำหรับการรับส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า70เปอร์เซ็นต์นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีสำหรับโลกอนาคตจำนวนไม่น้อยที่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อผ่านWi-Fiเช่นเทคโนโลยีInternet of Things (IoT)เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเทคโนโลยีAR/VRการบริการสำหรับการแพทย์ทางไกลเช่นเดียวกับการเข้าถึงบรอดแบนด์ สำหรับชุมชนด้อยโอกาสเป็นต้น
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมกับชาวขอนแก่น โชว์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน-ศิลปะนานาชาติ ในงาน “แก่น LAND แคน” | วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2565
วธ.ร่วมกับชาวขอนแก่น โชว์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน-ศิลปะนานาชาติ ในงาน “แก่น LAND แคน”
วธ.ร่วมกับชาวขอนแก่น โชว์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน-ศิลปะนานาชาติ ในงาน “แก่น LAND แคน” ชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติช้อปอาหาร ผลิตภัณฑ์ CPOT สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ศิลปิน ธุรกิจท่องเที่ยวฯ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วธ.ร่วมกับชาวขอนแก่น โชว์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน-ศิลปะนานาชาติ ในงาน “แก่น LAND แคน” ชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติช้อปอาหาร ผลิตภัณฑ์ CPOT สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ศิลปิน ธุรกิจท่องเที่ยวฯ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๕ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน "แก่น LAND แคน" การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมนานาชาติและการแสดงอัตลักษณ์วัฒนธรรมพื้นถิ่น จังหวัดขอนแก่น โดยมี นายประสพ เรียงเงิน หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัด ขอนแก่น ผู้แทนจากสถานกงสุล หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัด ภาคอีสาน และประชาชน เข้าร่วม ณ ตลาดต้นตาล อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ปรับเปลี่ยนสถานะเป็นกระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดย ส่งเสริมให้ “วัฒนธรรมกินได้” อาทิ การส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” พัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์วัฒนธรรมและบริการ 5F ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ผ้าไทย การออกแบบแฟชั่น มวยไทย และงานเทศกาลประเพณีสู่ระดับโลก สอดคล้องกับนโยบายจังหวัดขอนแก่น ที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านสมาร์ท ซิตี้ (Smart City) และไมซ์ซิตี้ (MICE City) ช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว และช่วยฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนั้น วธ.จึงร่วมกับจังหวัดขอนแก่น บูรณาการกับภาครัฐ ภาคเอกชน เยาวชนและประชาชนจัดงาน "แก่น LAND แคน" การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมนานาชาติและการแสดงอัตลักษณ์วัฒนธรรมพื้นถิ่น จังหวัดขอนแก่นขึ้น ระหว่างวันที่ 6-17 เมษายน 2565 ณ บริเวณตลาดต้นตาลและมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา อาหาร ศิลปะการแสดง สินค้าและบริการทางวัฒนธรรม มาเผยแพร่สู่สายตาประชาชน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ศิลปิน ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและประชาชน
ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า ภายในงานมีกิจกรรม ประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมจากศิลปินที่มีชื่อเสียง ศิลปินพื้นบ้าน และเครือข่ายเยาวชนทางวัฒนธรรม การแสดงศิลปวัฒนธรรมนานาชาติ การสาธิตและออกร้านจำหน่ายสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม การเดินแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าขอนแก่น การจัดจุดเช็คอินแก่นักท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และการถ่ายทอดสด ไลฟ์สด การแสดงและนำเสนอผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย และผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย เป็นต้น ขอขอบคุณทุกภาคส่วน จังหวัดขอนแก่น สถานกงสุลประเทศต่างๆ ที่ประจำ ณ จังหวัดขอนแก่น อาทิ จีน เวียดนาม ลาว ฝรั่งเศส และเปรู เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ภาคเอกชน สมาคม องค์กร เยาวชนและประชาชน ที่ช่วยกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม นำเสนอความเป็นไทยผ่าน Soft Power ที่เป็นทุนทางวัฒนธรรม ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นสื่อความสัมพันธ์กับมิตรประเทศทั่วโลกได้อย่างแท้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53475 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ปลื้มอาคารแสดงไทย งาน World Expo 2020 Dubai ได้รับความนิยมในลําดับที่ 1 ในโซน Mobility ช่วง 3 เดือนแรก (ต.ค.-ธ.ค. 64 ) มีผู้เข้าชมแล้ว 713,945 คน | วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565
ครม. ปลื้มอาคารแสดงไทย งาน World Expo 2020 Dubai ได้รับความนิยมในลําดับที่ 1 ในโซน Mobility ช่วง 3 เดือนแรก (ต.ค.-ธ.ค. 64 ) มีผู้เข้าชมแล้ว 713,945 คน
ครม. ปลื้มอาคารแสดงไทย งาน World Expo 2020 Dubai ได้รับความนิยมในลําดับที่ 1 ในโซน Mobility ช่วง 3 เดือนแรก (ต.ค.-ธ.ค. 64 ) มีผู้เข้าชมแล้ว 713,945 คน
วันที่ 1 มี.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai รอบช่วง 3 เดือนแรก (เดือน ต.ค.-ธ.ค. 64) มีผู้เข้าชมแล้วทั้งสิ้น 713,945 คน (ณ ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 64) และได้รับความนิยมจากผู้เข้าชมในลําดับที่ 1 ในโซน Mobility และเป็นลำดับที่ 4 จากอาคารจัดแสดง ระดับประเทศทั้งหมดโดยรองจากซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และไทย
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจจากสื่อไทยและต่างประเทศ ได้แก่ (1) เนื้อหา และรูปแบบการนําเสนอ (เช่น ศิลปวัฒนธรรมไทย พระอัจฉริยภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์) (2) ความนิยมของร้านอาหารไทย (โดยเฉพาะจากชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และชาวต่างชาติ) และ (3) การแสดงประจําวันบริเวณเวทีหน้าอาคารแสดงฯ (เช่น การแสดงชุด Thai Fighting Spirit) โดยมีกิจกรรมที่สําคัญ ได้แก่ การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น การแสดงมวยไทยประยุกต์ ร่วมกับเกมและแอนิเมชัน การแสดงสี่ภาคผสมจังหวะดนตรีที่ทันสมัย และการแสดงโขน การจัดกิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ เช่น เทศกาลอาหารไทยและสุขภาพ เทศกาลลอยกระทง และงานวันชาติไทย การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น กิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ ยังได้รับรองบุคคลสําคัญระดับราชวงศ์ ระดับรัฐบาล และองค์การระหว่างประเทศ อาทิ Prince Sora Bint Saud Al-Saud ซาอุดิอาระเบีย รัฐมนตรีแห่งรัฐว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สำหรับแผนงานกิจกรรมในช่วง 3 เดือนหลัง คือ เดือน ม.ค.-มี.ค. 65 จะเน้นการจัดกิจกรรมเพื่อแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ ของไทย เช่น เทศกาลดิจิทัลและนวัตกรรม เช่น นําเสนอโครงการเน็ตประชารัฐ สินค้าและบริการของดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย และนวัตกรรมสินค้าฮาลาล เทศกาลพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น นําเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานแห่งอนาคต สัปดาห์เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและผลิตภัณฑ์ของไทย เช่น มวยไทย นวดไทย และอาหารไทย และเทศกาลแห่งความสุข โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์การเกษตรตามฤดูกาล
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Thailand Pavillion ภายใต้พื้นที่ Mobility Zone ในงาน World Expo Dubai 2020 ได้รับความสนใจและกระแสตอบรับจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก ด้วยเนื้อหาภายในที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมการขับเคลื่อนประเทศไทย การแสดงโชว์พิเศษ การนำเสนอผลงานผลิตภัณฑ์สัญชาติไทยและเทคโนโลยีดิจิทัลจากพันธมิตรภาครัฐและเอกชนที่หมุนเวียนกันมาจัดแสดง ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมายังได้จัดกิจกรรมพิเศษฉลองยอดผู้เข้าชมอาคารแสดงประเทศไทย ครบ 1 ล้าน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปจนสิ้นสุดงานในเดือนมีนาคมนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็งพร้อมรับมือโควิด-19 เข้มยึดหลัก 2U ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและแพร่เชื้อ | วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2565
นายกฯ มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็งพร้อมรับมือโควิด-19 เข้มยึดหลัก 2U ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและแพร่เชื้อ
.....
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้มีการรายงานพบการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นเป็นระลอกเล็ก ๆ (Small Wave) อาจเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการและเปิดประเทศ ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติ และมีผู้เดินทางเข้าและออกประเทศมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขของประเทศไทยยังเข้มแข็ง โดยรัฐบาลได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและมีความพร้อมรับมือทุกด้านเพียงพอ คือ หมอพอ เตียงพอ ยาและเวชภัณฑ์พอ รวมถึงเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั่วประเทศ
.
และขอให้ประชาชนยังต้องเข้มข้นปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข 2U คือ Universal Prevention เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากาก เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด และ Universal Vaccination ด้วยการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม โดยเฉพาะวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินชีวิตของประชาชนและกิจกรรมด้านเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ตามแผนที่กำหนดโดยไม่หยุดชะงัก
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56641 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ด กพช. เห็นชอบการเลื่อนแผน การปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึง 31 ธ.ค. 68 | วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565
นายกฯ ประชุมบอร์ด กพช. เห็นชอบการเลื่อนแผน การปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึง 31 ธ.ค. 68
นายกฯ ประชุมบอร์ด กพช. เห็นชอบการเลื่อนแผน การปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึง 31 ธ.ค. 68 ลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากสถานการณ์ LNG มีราคาสูง เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้า
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 มิถุนายน 2565) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 4/2565 (ครั้งที่ 159) โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ที่มีปัญหาทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งต้องร่วมกันคลี่คลายให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่น่ายินดีล่าสุดบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นมาตรฐานทางด้านการเงินการคลังที่แข็งแกร่งมีเสถียรภาพ แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการของรัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบที่สุดในการดูแลประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้ยังอยู่ในกรอบรักษาวินัยการเงินการคลังไว้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงสถานการณ์วิฤตพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางมองหาพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทนอื่น ๆ รองรับเพื่อให้ประเทศมีพลังงานเพียงพอในทุกมิติและ ไฟฟ้าไม่ดับ แต่การหาพลังงานทดแทนนั้น ต้องไม่ให้ส่งผลกระทบกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ พร้อมให้มีการศึกษาการพัฒนาโครงการด้านพลังงานสะอาดอื่น ๆ ด้วย เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกที่จะทำให้ประเทศมีพลังงานเพียงพอและ สนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อย CO2 ในระยะยาวของประเทศตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป
นายกรัฐมนตรีรับทราบหลักการร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามใน PPA โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไข PPA ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่าง PPA และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนาม PPA ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไข
ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
กพช. มีมติเห็นชอบการเลื่อนแผน การปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากสถานการณ์ LNG มีราคาสูง ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ รวมถึงสามารถบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งเอราวัณ (G1/61) ที่ลดลงในช่วงเปลี่ยนผ่านการให้สัมปทานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งไม่กระทบต่อเป้าหมายการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของประเทศตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ภายในปี 2573 และมีความสอดคล้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กฟผ. และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กพช. รับทราบผลการบริหารอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ช่วงปี 2563 – ปัจจุบัน ซึ่งมอบหมายให้ กฟผ. ช่วยรับภาระค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น โดยชะลอการนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่สูงขึ้นตั้งแต่งวดเดือนกันยายน 2564 – เดือนธันวาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ที่เรียกเก็บกับประชาชนในระยะนี้ไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ ครม. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 ต่อไป
กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบหลักการการรับซื้อไฟฟ้าและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564 - 2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ปริมาณ 100 เมกะวัตต์ ในอัตรา 6.08 บาทต่อหน่วย (ไม่ร่วมอัตรา FiT Premium) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในปี 2569 โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ FiT รวมถึงกำกับดูแลการคัดเลือกให้เป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องการมีการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ (ยกเว้นอัตรารับซื้อ) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป
ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบโครงการและแผนงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งโดยสอดคล้องกับแผนปฏิรูปพลังงาน ได้รับการยกเว้นเงื่อนไขในการได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามหลักการแผนบูรณาการการลงทุนและการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า สำหรับแผนงานและโครงการ
---------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท | วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และเห็นชอบโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นจริงและได้ดำเนินการไปแล้วในช่วงเดือนตุลาคม 2664- เดือนมิถุนายน 2565
โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรอบวงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ ในการดำเนินการ การตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มคนไร้สิทธิการรักษาซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย ป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 สู่คนไทยจากการเปิดประเทศและเตรียมการสู่โรคประจำถิ่น รวมทั้งเป็นค่าชดเชยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรณีผู้ป่วยที่ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลให้กับหน่วยบริการ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล หรือ ผู้ไร้สัญชาติ หรือ ผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มเป้าหมายที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
ในส่วนโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย กรอบวงเงิน 98.3266 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าบริการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทยให้กับหน่วยบริการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบ 1 ล้านบาท สนับสนุนโครงการผ่าตัดข้อไหล่ข้อศอกและข้อเท้าเทียมเพื่อผู้ป่วยยากไร้ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564
ธอส. มอบ 1 ล้านบาท สนับสนุนโครงการผ่าตัดข้อไหล่ข้อศอกและข้อเท้าเทียมเพื่อผู้ป่วยยากไร้ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ธอส.มอบเงินจำนวน 1 ล้านบาท ให้แก่ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เพื่อสนับสนุนโครงการ “ผ่าตัดข้อไหล่ ข้อศอกและข้อเท้าเทียมเพื่อผู้ป่วยยากไร้เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มอบเงินจำนวน 1 ล้านบาท ให้แก่ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เพื่อสนับสนุนโครงการ “ผ่าตัดข้อไหล่ ข้อศอกและข้อเท้าเทียมเพื่อผู้ป่วยยากไร้เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคล พระชนมายุ 66 พรรษา” เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่มีภาวะกระดูกข้อไหล่หักซับซ้อน ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการและได้รับการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูง
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อความร่มเย็นของประชาชนตลอดมา และเนื่องในโอกาสมหามงคล ทรงเจริญพระชนมายุ 66 พรรษา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จึงได้มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เพื่อสนับสนุนในโครงการ “ผ่าตัดข้อไหล่ข้อศอกและข้อเท้าเทียมเพื่อผู้ป่วยยากไร้เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคล พระชนมายุ 66 พรรษา” ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้เริ่มทำการผ่าตัดผู้ป่วยยากไร้ที่มีปัญหาทางด้านข้อไหล่เสื่อม ข้อศอกเสื่อม และข้อเท้าเสื่อม หรือผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกข้อไหล่หักซับซ้อน ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการและได้รับการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูง จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เป็นผู้รับมอบเงินสนับสนุนจาก ดร.กิริฎา เภาพิจิตร กรรมการธนาคาร ธอส. ในฐานะประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CG&CSR) ธอส. และนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารร่วมในพิธี
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธอส. ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ ให้แก่ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ในการจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก “เตียงต่อชีวิต” พร้อมทั้งอาหารกลางวันและน้ำดื่มธนาคาร รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องที่จัดทำโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคาร ให้แก่บุคลากรการทางการแพทย์ และประชาชนที่มาใช้บริการ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มาแล้วอีกด้วย สำหรับกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2565 ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือทำงาน ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติด | วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565
นายกฯ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2565 ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือทำงาน ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติด
นายกฯ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2565 ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือทำงาน ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นสำคัญ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (30 มิถุนายน 2565) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2565 โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการมูลนิธิ พล.ต.อ.เภา สารสิน พร้อมด้วยบุคคล/องค์กรผู้ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิพล.ต.อ.เภา สารสิน ผู้ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณฯ ทายาท/ครอบครัวผู้เสียสละชีวิต เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณฯ
นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2565 ว่า รัฐบาลกำหนดให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนและวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ในการร่วมกันขับเคลื่อนการทำงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ด้านความมั่นคง ตลอดจนต้องยึดมติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 ที่ได้มีมติในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ 3 แนวทาง คือ 1) ผู้เสพ คือ ผู้ป่วยที่ควรได้รับการบำบัดรักษาตามวิธีการทางสาธารณสุข 2) การนำพืชเสพติดมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สาธารณสุข และส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจ และ 3) ผู้ค้ายาเสพติด ถือว่าเป็นอาชญากรที่จะต้องได้รับโทษตามพฤติการณ์การกระทำความผิด
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับปรุงกฎหมายยาเสพติด เพื่อรวบรวมจัดทำเป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศที่สร้างความสมดุลระหว่างการปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและการบำบัดรักษา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เข้าใจง่าย และปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน เพื่อประโยชน์ในการบังคับกฎหมายอย่างเป็นระบบ สิ่งสำคัญคือมาตรการในการป้องกันผู้เสพรายใหม่ การสร้างการรับรู้เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตนเอง รวมทั้งไม่ให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยการนำความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดบรรจุอยู่ในหลักสูตรของสถานศึกษาทุกระดับ ส่งเสริมให้หมู่บ้าน ชุมชน และโรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันชีวิต และป้องกันกลุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่กระบวนการค้ายาเสพติดให้มีความรู้ในบทลงโทษที่จะได้รับตามกฎหมาย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษายาเสพติดมีทักษะอาชีพ เพื่อที่จะหารายได้โดยสุจริตเพื่อใช้ในการดำรงชีพ ตลอดจนเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดสามารถตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของประชาชนและสังคมได้ครบถ้วนในทุกมิติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ได้รับรายงานจากกระทรวงยุติธรรมถึงผลการจับกุมยาเสพติดเมื่อเทียบกับปี 2561 จนถึงปี 2565 มีสถิติที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการคุมเข้มทุกมาตรการ จับกุม ดำเนินคดี ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน โดยขอขอบคุณกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การทำงานของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งต้องอาศัยทุกภาคส่วนที่เป็นเครือข่ายร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการขจัดยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย เพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาและมั่นคงตลอดไป โดยขอให้ทุกคนรักษาคุณงามความดีไว้ และยึดถือหลักการทำงานที่ยึดประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ ตลอดจนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคคลและองค์กรในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จะต้องมีการกวาดล้างทั้งสิ้น รวมทั้งนายทุน ด้วยวิธีทางกฎหมายอย่างจริงจัง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นสำคัญ และขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยแจ้งเบาะแสมายังช่องทางต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยทุกหน่วยงานต้องรับเรื่องไปพิจารณา ตรวจสอบคัดกรองและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ////
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56375 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท พร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 | วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท พร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
เตรียมแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชนเป็นจำนวนมาก ทช. คำนึงถึงความสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงระหว่างการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าว จึงดำเนินการจัดทำแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2564 - วันที่ 4 มกราคม 2565 ภายใต้การรณรงค์ “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชน สำหรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 มีแผนดำเนินการ ดังนี้
ช่วงเตรียมความพร้อมและช่วงการรณรงค์ (ระหว่างวันที่ 14 - 28 ธันวาคม 2564)
- ปรับปรุงซ่อมแซมถนนและสะพานในความรับผิดชอบให้มีความสะดวกปลอดภัย พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ไฟฟ้าแสงสว่าง และสัญญาณจราจรให้ครบถ้วน
- ตรวจสอบปรับปรุงป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง รวมถึงไฟสัญญาณจราจร
ในเส้นทางลัดทางเลี่ยงและเส้นทางเข้าแหล่งท่องเที่ยวให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ
- วางแผนการดำเนินงานในบริเวณโครงการก่อสร้างหรือบูรณะถนนและสะพานให้สอดคล้องกับ
ช่วงเทศกาล พร้อมเร่งเตรียมความพร้อมคืนพื้นผิวจราจรให้ประชาชนสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
- ตรวจสอบเตรียมความพร้อมระบบสายด่วน 1146 ระบบ CCTV ระบบวิทยุสื่อสาร และระบบ Conference
- ประชาสัมพันธ์และรณรงค์การอำนวยความสะดวกและปลอดภัยของ ทช. ผ่านช่องทางต่าง ๆ
ช่วงควบคุมเข้มข้น (ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565)
- คืนพื้นผิวจราจรพร้อมหยุดการดำเนินงานในบริเวณโครงการก่อสร้างหรือบูรณะถนนและสะพาน พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ไฟแสงสว่าง และไฟสัญญาณจราจรให้ครบถ้วน
- จัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ประจำสายด่วน 1164 ระบบ CCTV ระบบวิทยุสื่อสาร และระบบ Conference
- จัดตั้งหน่วยบริการประชาชน โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
- จัดชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ อำนวยความสะดวก และปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทาง ติดตั้งสัญญาณไฟแจ้งเตือนบริเวณจุดเสี่ยง ทางลาดชัน และบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พร้อมจัดเก็บข้อมูลจุดที่เกิดอุบัติเหตุ
ช่วงหลังเทศกาล (ระหว่างวันที่ 5 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2565)
- รวบรวมสรุปข้อมูลอุบัติเหตุ วิเคราะห์ ประมวลผล พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข และป้องกัน
- สนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุง และแก้ไข จุดอันตรายที่เกิดอุบัติเหตุช่วงควบคุมเข้มข้น
- เร่งดำเนินการปรับปรุง และแก้ไข (ระยะสั้น) จุดที่เกิดอุบัติเหตุให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเส้นทางของ ทช. หรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน ทช. โทร. 1146 หรือ เว็บไซต์ www.drr.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49930 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยรพ.บุษราคัม-ศูนย์นิมิบุตร ดูแลผู้ป่วยโควิดเต็มศักยภาพ | วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
สธ.เผยรพ.บุษราคัม-ศูนย์นิมิบุตร ดูแลผู้ป่วยโควิดเต็มศักยภาพ
กระทรวงสาธารณสุข เผย ขณะนี้โรงพยาบาลบุษราคัม และศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ทั้งกลุ่มสีเหลืองและสีแดงเต็มศักยภาพ ส่วนต่างจังหวัดแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขอความร่วมมือประชาชนเดินทางเท่าที่จำเป็น เน้นมาตรการป้องกันตนเอง
กระทรวงสาธารณสุข เผย ขณะนี้โรงพยาบาลบุษราคัม และศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร ดูแลผู้ป่วยโควิด 19ทั้งกลุ่มสีเหลืองและสีแดงเต็มศักยภาพ ส่วนต่างจังหวัดแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขอความร่วมมือประชาชนเดินทางเท่าที่จำเป็น เน้นมาตรการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งขยายจุดฉีดที่รพ.สต.ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น
วันนี้ (14 สิงหาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22,086 ราย หายป่วยกลับบ้าน 23,672 ราย เสียชีวิต 217 รายซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีว่ามีผู้หายป่วยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โรงพยาบาลทุกสังกัดยังคงมีผู้ป่วยโควิด 19 รับการรักษาเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการปานกลาง (สีเหลือง) และผู้ป่วยอาการหนัก (สีแดง) โดยในส่วนของโรงพยาบาลบุษราคัมรับผู้ป่วยโควิด 19 เข้ามารักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564 มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 3,473 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยอาการปานกลางถึงค่อนไปทางหนัก 3,334 ราย และผู้ป่วยอาการหนัก 139 ราย ต้องใช้ออกซิเจนอัตราไหลสูง 132 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 7 ราย ส่วนศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร มีการรับผู้ป่วยไว้ดูแลถึง 211 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยอาการปานกลาง 85 ราย และอาการหนัก 19 ราย เนื่องจากการหมุนเวียนผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดงยังทำได้จำกัด
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ในส่วนภูมิภาคมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จากการเดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการติดเชื้อในครอบครัว สถานที่ทำงาน สถานประกอบการ และชุมชน จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนเดินทางเท่าที่จำเป็น พร้อมทั้งเคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยง/แออัด ส่วนผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ขอให้ไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ตามที่สถานพยาบาลนัดหมาย เพื่อลดโอกาสเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิต ทั้งนี้ได้ให้ขยายจุดฉีดที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อให้กลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น
*********************************** 14 สิงหาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44760 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand to export rice to Iraq for the first time in 7 years | วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564
Thailand to export rice to Iraq for the first time in 7 years
Thailand to export rice to Iraq for the first time in 7 years
Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-chawaspleased to bereported on theplannedexport of 44,000 tons of Thai rice toIraq for the first time in 7 years.The Government stands ready tosupportexporterstoopenmore marketsfor Thai ricein addition totheexisting markets (premium/general/niche markets). This export activity would boost confidence of Thai rice among the Iraqis,and benefittheThai farmers.
According to the Government Spokesperson,44,000 tons of100% whitericewill be dispatched in the middle of August, the first lot to Iraq in 7 yearssincethe country’s suspension ofrice import from Thailand.It is expected that Thai rice exportersbe able tocontinue toexport rice to Iraq.The Government commits to provide continuous supporttoincreaseThai agricultural productexport to other Asian countries, the Middle East, and other continents. The Prime Minister also enjoined Ministry of Commerce topromote Thai rice and other agricultural products in a bid to increase global market share and toreplace the slowdown in domestic consumptionas a result ofthe economicand COVID-19 crisis.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กค. ชี้แจงข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งไม่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
กค. ชี้แจงข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งไม่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ยืนยันประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4
จากกรณีข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งไม่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ โดยที่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการเริ่มต้นใช้โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ว่า 1.รัฐบาลอ้างว่าประสบความสำเร็จนั้น ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เพราะผู้มีรายได้น้อยไม่มีเงินเพียงพอที่จะเติมเงินเข้าไปในแอพพลิเคชั่น "เป๋าตัง" ทำให้นโยบายนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร 2.ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีรายได้สูง การแจกเงินโดยไม่สร้างรากฐานทางเศรษฐกิจจะไม่ช่วยให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และ 3.เสนอให้รัฐบาลเลิกแจกเงินแล้วเปลี่ยนมาเน้นการจ้างงาน ให้คนเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนนั้น
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจง นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจง ดังนี้
1. โครงการคนละครึ่งที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก โดยการที่รัฐบาลเข้าไปช่วยสนับสนุนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในส่วนของค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และบริการ วันละไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันนั้น ไม่ได้มีลักษณะของการแจกเงิน แต่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนส่งต่อกำลังซื้อไปยังผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มหาบเร่แผงลอย ให้สามารถมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ในภาวะที่เศรษฐกิจถูกกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมากกว่า 1.3 ล้านร้านค้า และประชาชนมากกว่า 26 ล้านคน ได้ร่วมใช้สิทธิภายใต้โครงการ จึงกล่าวได้ว่า โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ สามารถเพิ่มเม็ดเงินจำนวนประมาณ 326,000 ล้านบาท เป็นรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยในโครงการ ทั้งยังหมุนเวียนต่อเนื่องไปช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า การผลิต และการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานได้จนถึงปัจจุบันด้วย และสำหรับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ซึ่งได้เริ่มใช้จ่ายแล้วเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ และจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2565 นั้น จะสามารถเพิ่มเม็ดเงินที่เข้าไปหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันได้อีกประมาณ 6.96 หมื่นล้านบาท และโดยวันแรกเพียงวันเดียว มีการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จำนวน 1,155 ล้านบาท โดยเป็นเงินของประชาชน 585 ล้านบาท และเป็นเงินที่รัฐบาลสนับสนุน 570 ล้านบาท
นอกจากการลดภาระการใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการคนละครึ่งดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังยังได้ดำเนินโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษควบคู่กันไปด้วยเพื่อดูแลและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมถึงผู้ไม่มี โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน ให้ได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด
2. กระทรวงการคลังขอเรียนว่า โครงการคนละครึ่งถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชุดมาตรการที่รัฐบาลใช้ดูแลเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงให้ความสำคัญและดำเนินการเพื่อเตรียมการสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งรวมถึงมาตรการที่สนับสนุนการจ้างงานและการช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน
สำหรับการดูแลประชาชนในระยะยาว กระทรวงการคลังยังมุ่งเป้าหมายสู่การยกระดับรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างสวัสดิการที่มั่นคงให้กับประชาชน ควบคู่กับการสร้างความรู้และทักษะทางการเงินที่จำเป็น
รวมถึงความรู้เท่าทันเกี่ยวกับภัยทางการเงินต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาโครงการคนละครึ่งได้ทำหน้าที่สำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยได้สามารถเสริมสร้างทักษะความรู้ความเข้าใจต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับประชาชนผ่านการใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” อย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง | วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เปลี่ยนโฉมกรุงเทพมหานคร "Amazing Natural Park" เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ
(9 พ.ย. 64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรีฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจากกระทรวงการคลังถึงความคืบหน้าโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อพ.ศ. 2534 ในการพัฒนาพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม ในเนื้อที่ประมาณ 450 ไร่ ให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สวนน้ำ เนื้อที่ 130 ไร่ และ สวนป่า เนื้อที่ 320 ไร่ โดนพื้นที่ส่วนน้ำได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จร่วมพิธีเปิด เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2557 สำหรับพื้นที่สวนป่า ได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พื้นที่ 61 ไร่ ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 พร้อมมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ สวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ในพื้นที่ 259 ไร่ โดยมีการลงนาม MOU ระหว่างกรมธนารักษ์ และกองทัพบก เพื่อเริ่มดำเนินการจัดสร้างโครงการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ซึ่งได้แบ่งพื้นที่ก่อสร้างออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมี่ 1 มีพื้นที่ 160 ไร่ และส่วนมี 2 มีพื้นที่ 103 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมให้บริการในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ทั้งนี้ การออกแบบสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 พื้นที่ 259 ไร่ อยู่ภายใต้แนวคิดเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการส่งเสริมสวนป่าเบญจกิติให้เป็นสวนป่าสำหรับคนเมือง ด้วยพื้นที่สวนสาธารณะที่มีความหลากหลาย ตอบสนองการใช้งานหลายรูปแบบ อาทิ อัฒจันทร์กลางแจ้งขนาดใหญ่ อัฒจันทร์ อาคารพิพิธภัณฑ์ ลานกิจกรรมแปลงนาสาธิต พื้นที่ออกกำลังกาย ทั้งอาคารกีฬาในร่ม เส้นทางปั่นจักรยาน และเส้นทางวิ่ง เป็นต้น
สวนป่าเบญจกิติยังมีการใช้พืชพันธุ์ที่หลากหลาย โดยมีพันธุ์ไม้หายากกว่า 350 ชนิด และมีไม้ดอกสวยงาม ที่ออกดอกตามฤดูกาล ทำให้เป็นสวนป่าที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาตลอดทั้งปี ทั้งนี้ โครงการสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ยังได้มีโครงการเชื่อมต่อสวนสาธารณะบริเวณใกล้เคียงกันในใจกลางเมือง กทม. บริเวนณย่านสุขุมวิท อาทิ สวนลุมพินี เพื่อเป็นการเชื่อมโยงชุมชนเมือง ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของคนในชุมชนอีกด้วย เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงนิเวศในเมืองที่จะส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวอื่น ๆ ใน กทม. ต่อไป
ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวน คณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมและตรวจความพร้อมก่อนเปิดสวนเบญจกิติอย่างเป็นทางการพร้อมเสนอแนวทางการปลูกพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย เพื่อสร้างสีสันให้เมือง การจัดให้มีพี้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่จอดรถ การเชื่องโยงการกับการเดินทางสาธารณะ รวมทั้งติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ รวมทั้งกล้องวงจรปิด เพื่อดูแลความปลอดภัย ซึ่งในอนาคต จะมีการเชื่อมโยงกับสวนลุมพินี และสวนสาธารณะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งจะเป็นการปรับโฉมกรุงเทพมหานคร ให้เป็นเมือง Amazing Natural Park ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 10 ราย | วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 10 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 10 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 20 เพศชาย อายุ 32 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 178 เพศหญิง อายุ 28 ปี
3) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 22 เพศชาย อายุ 33 ปี
4) หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 1 เขตการเดินรถที่ 2 เพศชาย อายุ 49 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 22 เพศหญิง อายุ 25 ปี
6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 145 เพศชาย อายุ 56 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 50 เพศหญิง อายุ 46 ปี
8) นายท่าปล่อยรถโดยสาร สาย 136 และสาย 205 เพศชาย อายุ 48 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 70 เพศหญิง อายุ 31 ปี
10) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 70 เพศชาย อายุ 33 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45720 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดปลื้ม! เที่ยวบินใหม่ “กทม. - เจดดาห์” ตอกย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไทย - ซาอุฯ เที่ยวแรก 19 ส.ค. 65 | วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565
สุดปลื้ม! เที่ยวบินใหม่ “กทม. - เจดดาห์” ตอกย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไทย - ซาอุฯ เที่ยวแรก 19 ส.ค. 65
.....
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กห. ยินดีที่การบินไทยเปิดเส้นทางใหม่ “กรุงเทพฯ - เจดดาห์” โดยจะเริ่มให้บริการเที่ยวบินแรกในวันที่ 19 ส.ค. 65 เป็นการตอกย้ำสัมพันธภาพที่ดียิ่งระหว่างสองประเทศภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน ม.ค. 65 ที่ผ่านมา คาดว่าเส้นทางบินใหม่นี้จะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า และยังช่วยให้ชาวไทยมุสลิมเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น
.
รัฐบาลจะร่วมกับการบินไทยโปรโมตอัตลักษณ์ของพื้นที่ จ.ชายแดนใต้ ผ่านเส้นทางการบินใหม่นี้ เช่น คัดสินค้าท้องถิ่นเข้าวางขายในร้านไทยช็อป ซึ่งมีลูกค้าจากทั่วโลกสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ นำวัตถุดิบท้องถิ่นมาต่อยอดให้บริการบนเครื่องบิน เช่น เกลือหวานจากปัตตานี ลูกหยีนราธิวาส กล้วยหินยะลา และพาผู้สื่อข่าวจากซาอุดีอาระเบียมาทัศนศึกษาประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องสังคมพหุวัฒนธรรม
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57313
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57488 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สปสช. เร่งช่วยเหลือเบื้องต้นฯ | วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564
สปสช. เร่งช่วยเหลือเบื้องต้นฯ
กรณีร้องนายกฯ พ่อเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด
เลขาธิการ สปสช. เผย สปสช.เขต 4 สระบุรี และหน่วยรับเรื่องร้องเรียน 50(5) ดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้าร้องเรียนนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว เร่งนำเอกสารคำร้อง พร้อมประวัติการรักษา เข้าสู่กระบวนการพิจารณาอนุกรรรมการฯ ให้ช่วยเหลือเบื้องต้นโดยเร็ว
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากกรณีที่นายณัฐดนัย อินตุ่ม ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ทำเนียบรัฐบาล ด้วย นายสุพิน อินตุ่ม อายุ 67 ปี ชาวอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ผู้เป็นบิดาเสียชีวิตภายหลังเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น ทาง สปสช. ได้ประสานไปยัง สปสช. เขต 4 สระบุรี ที่ดูแลพื้นที่ จ.นนทบุรี เพื่อดำเนินการช่วยเหลือครอบครัวนายสุพิน พร้อมกับประสานไปยังหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรา 50(5) จังหวัดนนทบุรี ในการลงไปพูดคุยดูแล พร้อมให้คำแนะนำแล้ว
ขณะนี้ สปสช. เขต 4 สระบุรี และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี (สสจ.) ได้ประสานกับผู้ร้องเรียนแล้วในการยื่นคำร้อง พร้อมขอประวัติการรักษาของผู้เสียชีวิตแล้ว และจำเข้าสู่กระบวนการของคณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาในวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เพื่อให้การช่วยเหลือโดยเร็วต่อไป
“สปสช. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต ไม่เพียงกรณีนี้ แต่รวมถึงครอบครัวผู้เสียชีวิตภายหลังจากการฉีดวัคซีนทุกคน เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะการฉีดวัคซีนมีเป้าหมายสำคัญคือการป้องกันและลดความรุนแรงโรค แต่เมื่อมีผู้เกิดภาวะไม่พึ่งประสงค์ขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว ก็จำเป็นต้องเร่งให้การช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเบื้องต้นฯ ที่อนุกรรมการฯ จะเป็นผู้พิจารณา” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
////////////9 พฤศจิกายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในไทย ต่ำกว่าหมื่น ลดลงมาอยู่หลักพัน ติดต่อกัน 5 วันต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในไทย ต่ำกว่าหมื่น ลดลงมาอยู่หลักพัน ติดต่อกัน 5 วันต่อเนื่อง
โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในไทย ต่ำกว่าหมื่น ลดลงมาอยู่หลักพัน ติดต่อกัน 5 วันต่อเนื่อง มอบหมาย สธ. ติดตามและเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ย่อยในต่างประเทศ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ 7,705 ราย
วันนี้ (6 พ.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วนที่ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารสุขจนส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ของประเทศไทยลดลงมาอยู่ในหลักพันติดต่อกัน 5 วันแล้ว ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เริ่มทรงตัว และมีการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) มากขึ้นทำให้หลายสถานพยาบาลมีการปรับลดการดูแลผู้ป่วยโควิด - 19 ในสถานพยาบาลลง และกลับมารักษาผู้ป่วยโรคอื่น ๆ รวมถึงทำการรักษาผ่าตัดเพิ่มมากขึ้น โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดของโรคโควิด – 19 ที่รุนแรง อย่างไรก็ตามยังขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันการติดโรคโควิด-19 แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) อย่างเคร่งครัดต่อไปเพื่อทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื่อลดลงอีก ทั้งนี้ ได้มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเฝ้าติดตามสถานการณ์โควิด - 19 อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเริ่มมีการตรวจพบเชื้อโควิด - 19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ย่อยในบางประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยวันนี้ (6 พฤษภาคม 2565) พบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน รวม 7,705 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,695 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 62 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 2,084,884 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 11,252 ราย รวมหายป่วยสะสม 2,013,177 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีที่ผู้ป่วยกำลังรักษา 97,672 ราย และเสียชีวิต 62 ราย ทั้งนี้จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,622 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 21 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 20.1
ส่วนยอดสะสมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2564 - 4 พ.ค. 2565 รวมทั้งสิ้น 134,157,571 โดส (ซึ่งรวมยอดสะสมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด - 19 แก่กลุ่มเด็กอายุ 5 - 11 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 4 พ.ค. 2565 จำนวน 3,447,975 โดส) จำแนกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 56,340,162 โดส วัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 51,440,380 โดส วัคซีนเข็มที่ 3 จำนวน 23,611,194 โดส และวัคซีนเข็มที่ 4 จำนวน 2,765,835 โดส
----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54272 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.