title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชมคนไทย สมัครใจใส่แมสป้องกันตนเองและผู้อื่น แนะการสวมหน้ากากถูกวิธีมีประโยชน์มาก ช่วยลดโอกาสการแพร่/รับเชื้อโควิด-19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ | วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชมคนไทย สมัครใจใส่แมสป้องกันตนเองและผู้อื่น แนะการสวมหน้ากากถูกวิธีมีประโยชน์มาก ช่วยลดโอกาสการแพร่/รับเชื้อโควิด-19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชมคนไทย สมัครใจใส่แมสป้องกันตนเองและผู้อื่น แนะการสวมหน้ากากถูกวิธีมีประโยชน์มาก ช่วยลดโอกาสการแพร่/รับเชื้อโควิด-19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
วันนี้ (3 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมคนไทย ส่วนใหญ่ยังให้ความร่วมมือสวมใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง ขณะออกจากบ้านและอยู่ในที่สาธารณะ แม้ ศบค. และภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าให้เป็นไปตามความสมัครใจ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นถึงประโยชน์ของการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีว่า เป็นวิธีช่วยป้องกันตนเอง ลดความเสี่ยงในการรับหรือแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ทั้งไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 โรคระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจเจอได้ในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขจึงยังแนะนําให้ประชาชนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับ บุคคลอื่นในสถานที่หรือในพื้นที่แออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ผู้ติดเชื้อ และผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อควรสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาด้วย
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,328 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,325 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 3 ราย ผู้เสียชีวิต 19 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัว 24,989 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,043 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จำนวน 2,306,670 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 2,305,922 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 678 ราย ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 1 ก.ค. 65 รวม 139,896,534 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,991,051 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 53,188,432 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไปสะสม 29,717,051 โดส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” แจงปัญหาทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนหลังมีคลิปแชร์ว่อนโลกโซเชียล | วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
“อลงกรณ์” แจงปัญหาทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนหลังมีคลิปแชร์ว่อนโลกโซเชียล
“อลงกรณ์” แจงปัญหาทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนหลังมีคลิปแชร์ว่อนโลกโซเชียล ยอมรับส่งออกทุเรียน 120 ล้านลูก 4 แสนตันใน 4 เดือน ย่อมมีผิดพลาดบ้าง ยืนยันฟรุ้ทบอร์ดแก้ไขปัญหาจนสถานการณ์ดีขึ้น ทำให้ไทยครองแชมป์ส่งออกทุเรียนไปจีน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ (เฉพาะกิจ) เปิดเผยวันนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับประเด็นคลิปทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนที่แชร์กันในโลกโซเชียล ว่า ปัญหาทุเรียนไร้คุณภาพเช่นทุเรียนอ่อนทุเรียนแก่มีจริง เพราะ 4 เดือนมานี้มีทุเรียนที่ส่งออกกว่า 4 แสนตัน หรือกว่า 120 ล้านลูก ย่อมเกิดผิดพลาดจากมือตัด มือคัดและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะมือใหม่ที่เข้ามาค้าขายทุเรียนในช่วงปี 2 ปีนี้เนื่องจากราคาดีตลาดโต แต่ปัญหาทุเรียนอ่อน ทุเรียนแก่ ทุเรียนสวมสิทธิ์ในฤดูกาลปีนี้ลดลงและมีแนวโน้มดีขึ้นมาก เพราะ 2-3 ปีมานี้ ทางราชการเข้มงวดกวดขันจับกุมไปหลายราย ลองไปดูตัวอย่างแถวระยอง จันทบุรีและตราด เจ้าหน้าที่ ชาวสวนและล้งร่วมมือกันเข้มแข็งมากๆ เพื่อรักษาคุณภาพทุเรียน ตั้งแต่ในสวนจนถึงตลาด มีชุดตรวจพิเศษจับเอาโทษหนักทั้งจำคุก-ปรับและถอนใบอนุญาต รวมทั้งการป้องกันทุเรียนต่างชาติมาสวมเป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออก ซึ่ง เป็นไปตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณื และภายใต้ 18 มาตรการของฟรุ้ทบอร์ด ซึ่งมาตรการลำดับที่ 1 คือมาตรการรักษาคุณภาพและมาตรฐานทุเรียน สวนทุเรียนและล้ง
ทั้งนี้ ในแต่ละปีมีสวนที่ส่งออกทุเรียนและผลไม้ไปจีนต้องมีใบรับรอง GAP เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 แสนแปลง โดยในปี 2565 เพิ่มเป้าหมายเป็น 120,000 แปลง และ GMP plus สำหรับล้ง ซึ่งยังไม่มีประเทศใดในโลกที่พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานได้แบบนี้ ด้วยมาตรฐานเช่นนี้ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศเดียวที่จีนยอมให้ส่งทุเรียนสดไปขายในจีนได้ ส่วนทุเรียนประเทศอื่นต้องแช่เย็น แช่แข็งหรือแปรรูปถึงจะส่งออกไปจีนเพราะสวนทุเรียนไม่ผ่านมาตรฐานของจีน
วันนี้ทุเรียนไทยสามารถครองตลาดจีนเป็นที่หนึ่งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำเงินเข้าประเทศจากการส่งออกทะลุกว่าแสนล้านบาทในปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากไม่กี่หมื่นล้านเมื่อ 4 ปีก่อน ถ้ารวมผลไม้ทั้งหมด ไทยครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดจีนกว่า 40% เป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือ ชีลี 14% อันดับ 3 ได้แก่ เวียดนาม 6% ทั้งที่เวียดนามมีพรมแดนติดจีน เรียกว่าทุเรียนไทยผลไม้ไทยครองตลาดและครองใจคนจีนแบบแน่นหนามั่นคง
อย่างไรก็ตาม การส่งออกด้วยปริมาณมากๆ และภายในเวลาที่จำกัดย่อมมีผิดพลาดบ้าง แม้จะช่วยกันดูแลเข้มข้นแค่ไหนก็ตาม เพราะมีปริมาณการส่งออกทุเรียน 4 แสนกว่าตันหรือกว่า 120 ล้านลูก ในช่วง 4 เดือนแรกของฤดูกาลผลิตผลไม้ปี 2565 นี่คือความจริงและความยากในการค้าขายทุเรียนสด
ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นคือผู้ค้ารายใหม่ทั้งไทยและจีนที่เห็นตลาดโตราคาดีเข้ามาค้าขายเพิ่มขึ้นแต่ขาดประสบการณ์จึงมักเกิดปัญหาเรื่องการตัดการคัดทุเรียน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงต้องจัดหลักสูตรฝึกอบรมบ่มเพาะพัฒนาฝีมือมือตัดและมือคัดทุเรียนและล้ง เช่น สวพ.6ที่จันทบุรี
นอกจากนี้ ทุเรียนกว่า 120 ล้านลูกต้องขนส่งไปจีนข้ามน้ำข้ามเขาข้ามลาวข้ามเวียดนามด้วยระยะทางกว่า 2 พันกิโลเมตร บางครั้งติดด่าน 10 วัน 20วัน ย่อมมีโอกาสบอบช้ำหรืองอมมากไปบ้าง ซึ่งพ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากขายครั้งเดียวแล้วเลิกจากการขายทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนแก่ นอกจากคนเห็นแก่ตัวบางส่วน ซึ่งมีการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่นำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบแปลงใหญ่ (Big Farm) การใช้เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมใหม่เช่นเครื่องมือตรวจเปอร์เซ็นต์เนื้อแป้งแบบดิจิตอล ระบบความเย็น (cold chain system) แบบไนโตรเจน ฟรีซเซอร์ (Nitrogen Freezer) ซึ่งติดตั้งแล้วหลายยูนิตที่ภาคตะวันออกและภาคใต้มีคุณภาพเหนือกว่าระบบแช่แข็งแบบเดิมที่ใข้ในเวียดนามและมาเลเซีย
วันนี้ ทุเรียนไทยนอกจากเป็นแชมป์ในตลาดจีนแล้วยังเป็นแชมป์โลกด้วย จากความร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาอย่างต่อเนื่องของทุกภาคส่วนพร้อมกับการแก้ไขปัญหาทุกปัญหาด้วยความใส่ใจทั้งปัญหาปัจจุบันและโจทย์ในอนาคต.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.คลัง มีคำสั่ง “เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เดอะ วัน ประกันภัย” แล้ว | วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564
รมว.คลัง มีคำสั่ง “เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เดอะ วัน ประกันภัย” แล้ว
• เลขาธิการ คปภ. สั่งตั้งศูนย์ทั่วประเทศให้คำแนะนำ รับเรื่องร้องเรียน และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เอาประกันภัยทุกพื้นที่ และกองทุนประกันวินาศภัยเข้ารับช่วงจ่ายเคลมประกันเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 2423/2564 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยครั้งนี้ เป็นมาตรการที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน โดยสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ ภายใต้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ พร้อมทั้ง ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเหตุประกอบการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับมิให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเดือดร้อน ดังนี้
1. ตามที่ปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะการเงินไม่มั่นคง โดยมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรสินทรัพย์หนุนหลังไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และปรากฏว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งปรากฏหลักฐาน ว่าบริษัทไม่มีเจตนาที่จะแก้ไขฐานะการเงินของบริษัท ทำให้ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ตามภาระผูกพันที่มีต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนได้ มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศฯ การประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนฯ และยังคงมีจำนวนค่าสินไหมทดแทนคงค้างจำนวนมาก รวมทั้งมีการปิดทำการโดยไม่มีเหตุผลและไม่ได้ขออนุญาตจากนายทะเบียน จึงเป็นกรณีที่บริษัทมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน เป็นเหตุให้นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของบอร์ด คปภ. มีคำสั่งตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สั่งให้บริษัทหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว และแก้ไขฐานะและการดำเนินการตามที่นายทะเบียนกำหนด
2. สำนักงาน คปภ. ได้เข้าควบคุมธุรกรรมการเงินเพื่อให้มั่นใจได้ว่าระหว่างที่มีคำสั่งดังกล่าว จะไม่มีการโยกย้ายทรัพย์สิน หรือมีการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชน นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการเร่งรัดให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมฯ เป็นผลให้ตั้งแต่วันที่ 2-13 ธันวาคม 2564 สามารถเร่งเคลียร์ค่าสินไหมทดแทนและคืนเบี้ยประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยได้กว่า 31,201 ราย เป็นเงินกว่า 109.22 ล้านบาท โดยก่อนมีคำสั่งฯ ตามมาตรา 52 สามารถเร่งบริษัทให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยได้กว่า 29,000 ราย รวมถึงกรณีร้องเรียน ณ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนประกันภัยโควิด-19 สามารถเคลียร์ ได้ 3,856 เรื่อง รวมเป็นเงิน 2,435 ล้านบาท
3. ต่อมาปรากฏพยานหลักฐานว่าบริษัทไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนด หากรอให้ครบกำหนดเวลาที่กำหนด อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน สำนักงาน คปภ. โดยมติบอร์ด คปภ. ครั้งที่ 14/2564 จึงได้เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 และจัดสรรสินทรัพย์หนุนหลังตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีฐานะการเงินไม่มั่นคงและไม่เพียงพอต่อภาระผูกพัน ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการกระทำ ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายประการ กรณีจึงเห็นได้ว่าบริษัทไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัย และประกอบธุรกิจประกันภัยได้ต่อไป ถ้าให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป โดยหากบริษัทไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ มีสิทธิเสนอคำฟ้องยื่นต่อศาลปกครองกลางภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง
5. เมื่อรัฐมนตรีฯ มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัทแล้ว บอร์ด คปภ. ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 และมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัย เป็นผู้ชำระบัญชี
6. การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัทในครั้งนี้ เป็นปัญหาฐานะการเงินและการจัดการภายใน ของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่นหรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวม ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ.ได้เตรียมมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย เพื่อรองรับมิให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลกระทบไว้แล้ว ดังนี้
6.1 บูรณาการความร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัย (ในฐานะผู้ชำระบัญชี) และบริษัทประกันวินาศภัย จำนวน 13 บริษัท บริษัทประกันชีวิต จำนวน 8 บริษัท ดังนี้
(1) ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายและได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัทแล้ว สามารถติดต่อกองทุนประกันวินาศภัย เพื่อขอรับชำระหนี้โดยกองทุนประกันภัยวินาศภัยจะเข้ารับช่วงจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้มีการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว
(2) ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัท สามารถยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะพิจารณาค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
(3) ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยทุกประเภทของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) สามารถที่จะดำเนินการในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว ดังนี้
- ขอรับคืนเบี้ยประกันภัยที่เหลือจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะคืนเบี้ยประกันภัย ให้ตามส่วนระยะเวลาตามความคุ้มครองที่เหลืออยู่ หรือ
- นำเบี้ยประกันภัยที่จะได้รับคืนไปใช้แทนเงินสดในการเลือกซื้อประกันภัยได้จากบริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิตที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทุกประเภทกรมธรรม์ประกันภัย
(4) ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปซื้อความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะให้ความคุ้มครองเฉพาะภาวะโคม่า ในวงเงินความคุ้มครอง 300,000 บาท เบี้ยประกันภัย 300 บาท หรือนำเบี้ยประกันภัยไปซื้อความคุ้มครองกับบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิตที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยเพิ่มอีก 10% ของกรมธรรม์ใหม่ แต่ไม่เกิน 500 บาท ยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
6.2 สำนักงาน คปภ. ได้จัดตั้งศูนย์ให้คำแนะนำ รับเรื่องร้องเรียน และอำนวยความสะดวกในการรับคำขอรับชำระหนี้ รวมทั้งการสนับสนุนบุคลากรในการรับคำขอรับชำระหนี้ ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ส่วนกลางและสำนักงาน คปภ. ส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
6.3 มีการจัดเตรียมสถานที่ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่
(1) กองทุนประกันวินาศภัย (ในฐานะผู้ชำระบัญชี) อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 ชั้น 15 เลขที่ 1010 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2791-1444 ต่อ 26-30
(2) สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการรับเอกสารหลักฐานการขอรับชำระหนี้แล้วส่งต่อให้กองทุนประกันวินาศภัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยสามารถยื่นได้ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด ดังนี้
ส่วนกลาง ยื่นได้ 3 แห่ง ดังนี้
- สำนักงาน คปภ. ส่วนกลาง เลขที่ 22/79 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทร. 0-2515-3999 หรือ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ chatbot “คปภ. รอบรู้” (LINE@OICConnect)
- สำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ เลขที่ 287 ซอยรัชดาภิเษก 6 ถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2476-9940-3
- สำนักงาน คปภ. เขตบางนา เลขที่ 1/16 อาคารบางนาธานี ชั้น 8 ถนนบางนาตราด กม.3 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2361-3769-70
ส่วนภูมิภาค สามารถยื่นขอรับชำระหนี้ได้ที่สำนักงาน คปภ. ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทั่วประเทศ
6.4 สำนักงาน คปภ. ได้พัฒนา Web Application โดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้รวดเร็วขึ้น โดยระบบจะแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยทางออนไลน์
6.5 สำนักงาน คปภ. มีการบูรณาการความร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยจัดเตรียมหมายเลขโทรศัพท์รวม 125 คู่สายทั่วประเทศ เพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ หากเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัท ให้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชี ของบริษัท ภายใน 60 วันนับแต่วันที่กองทุนประกันวินาศภัยกำหนดในประกาศ โดยให้นำเอกสารต้นฉบับพร้อมทั้งสำเนา จำนวน 2 ชุด ประกอบการยื่นขอรับชำระหนี้ ดังนี้ 1) กรมธรรม์ประกันภัย 2) บัตรประจำตัวประชาชน 3) ใบเคลม ใบนัดชำระหนี้ หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงถึงมูลหนี้ และ 4) หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล) และหากเป็นเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยให้นำเอกสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ ต้นฉบับพร้อมทั้งสำเนา จำนวน 1 ชุด ประกอบการยื่นขอรับชำระหนี้ ดังนี้ 1) หลักฐานแสดงถึงมูลหนี้ 2) บัตรประจำตัวประชาชน และ 3) หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล)
ทั้งนี้ หากเจ้าหนี้ไม่สามารถยื่นได้ด้วยตนเอง จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจโดยติดอากรแสตมป์ 30 บาท พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ ยื่นต่อกองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทฯ
“แม้จากการกำกับ ติดตามก่อนมีคำสั่งฯ ตามมาตรา 52 และการเข้าควบคุมตามคำสั่งฯ มาตรา 52 จะทำให้สำนักงาน คปภ. สามารถช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย โดยเร่งให้บริษัทจ่ายสินไหมฯ และคืนเบี้ยประกันภัยรวม 60,201 ราย เป็นเงินรวม 2,544.22 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินของบริษัทยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายเคลมที่ทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่บริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะการเงินได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมาย เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้ามาดูแลการชำระหนี้ตามสัญญาประกันภัย ในการนี้ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำชับให้ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อมิให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยเดือดร้อน โดยสำนักงาน คปภ. จะบูรณาการร่วมกับกองทุนฯ สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย ช่วยบรรเทา เยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะบูรณาการกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของกรรมการและผู้บริหารบริษัท หากพบว่ามีความผิด จะบังคับมาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด สำหรับรายชื่อบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ สามารถดูได้จากเว็บไซต์สำนักงาน คปภ. (www.oic.or.th) หรือสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Line Chatbot@Oicconnect ข้อมูลอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49400 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้ ผลศึกษา "ซิโนแวค" 4 แหล่ง ประสิทธิผลดี | วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564
ชี้ ผลศึกษา "ซิโนแวค" 4 แหล่ง ประสิทธิผลดี
....
กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยรายงานการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค จากสถานการณ์จริงที่ได้นำมาฉีดให้กับคนไทยใน 4 แหล่ง มีดังนี้
.
1. จ.ภูเก็ต ได้ติดตามกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ช่วงเดือนเม.ย. - พ.ค. 2564 จำนวนกว่า 1,500 ราย พบการติดเชื้อ เพียง 124 ราย หากเทียบกันระหว่างผู้รับวัคซีนและไม่ได้รับวัคซีน พบว่าประสิทธิผลป้องกันติดเชื้ออยู่ที่ 90.7%
.
2. จ.สมุทรสาคร ได้ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กว่า 500 ราย ช่วงเดือนเม.ย. 2564 พบติดเชื้อ 116 ราย ประสิทธิผลป้องกันติดเชื้ออยู่ที่ 90.5%
.
3. จ.เชียงราย ได้ศึกษากรณีการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุข ช่วงเดือนมิ.ย. 2564 กว่า 500 ราย พบการติดเชื้อ 40 ราย
.
นอกจากนี้ ยังได้ติดตามความรุนแรงเรื่องปอดอักเสบ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลพบว่า ประสิทธิผลของซิโนแวค 2 เข็มป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 88.8% และป้องกันปอดอักเสบอยู่ที่ 84.9%
.
สำหรับ บุคลากรที่ได้รับแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็มครบ 14 วัน ป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 83.8%
.
4. กรมควบคุมโรค ได้ใช้ฐานข้อมูลติดตามบุคลากรสาธารณสุขที่ติดเชื้อทั้งประเทศ และข้อมูลการรับวัคซีน ตั้งแต่ 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2564 พบว่า ประสิทธิผลอยู่ที่ 71%
.
โดยช่วงเดือนพ.ค. 2564 ที่พบการระบาดเป็นสายพันธุ์อัลฟา ประสิทธิผลอยู่ที่ 75% และช่วงเดือนมิ.ย. 2564 ที่เริ่มมีการระบาดของสายพันธุ์เดลตาแทนที่อัลฟาประสิทธิผลอยู่ที่ประมาณ 20 - 40%
.
ดังนั้น หากฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม สามารถป้องกันติดเชื้อ จากสายพันธุ์อัลฟาได้ประมาณร้อยละ 90 และป้องกันปอดอักเสบได้ร้อยละ 85 ส่วนประสิทธิผลต่อสายพันธุ์เดลตาขณะนี้ ถือว่ายังคงที่คือร้อยละ 75 ซึ่งไม่ต่างจากเดิมที่ร้อยละ 71
.
สำหรับการฉีดเข็มกระตุ้น และการฉีดสลับประเภทของวัคซีนนั้น จากการศึกษาทางห้องปฏิบัติการ พบว่าจะสามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้ได้สูงกว่าเดิมได้รวดเร็วและสูงมากขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 2570 เน้น 5 ยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “ลดภัยเก่า ป้องกันภัยใหม่” | วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565
ครม. อนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 2570 เน้น 5 ยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “ลดภัยเก่า ป้องกันภัยใหม่”
ครม. อนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 2570 เน้น 5 ยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “ลดภัยเก่า ป้องกันภัยใหม่”
วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 2570 ภายใต้แนวคิดการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยแบบอัจฉริยะ (Resilience by Smart DRM for 3s) โดยมีเป้าหมาย ลดความเสี่ยงที่มีอยู่เดิมและป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงใหม่ และประยุกต์ใช้งานวิจัย นวัตกรรม เทคโนโลยี และภูมิปัญญา เพื่อให้ทุกภาคส่วนรู้เท่าทันการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 2570 จะขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การมุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย เพื่อจัดการความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยลดความเปราะบางและความล่อแหลม พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการเตรียมพร้อมรับกับสาธารณภัยที่เกิดขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านสาธารณภัย เสริมสร้างระบบบริหารจัดการ การวิจัย นวัตกรรม เทคโนโลยีและภูมิปัญญา ใช้เพิ่มศักยภาพในการป้องกันและจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย เพื่อให้ทุกภาคส่วนตระหนัก และเข้าร่วมความเป็นหุ้นส่วนในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยในระดับชาติและนานาชาติ
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการในภาวะฉุกเฉินแบบบูรณาการ เป็นการกำหนดแนวทางของการจัดตั้งองค์กรปฏิบัติในการจัดการภาวะฉุกเฉินและแนวทางปฏิบัติในการสนับสนุนการปฏิบัติงาน
และยุทธศาสตร์ที่ 5 การเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน เป็นการดำเนินงานภายหลังเกิดภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ชุมชนหรือสังคมสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กรและหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคเอกชนและภาคส่วนต่างๆ ถือปฏิบัติตามแผนการป้องกันฯ นี้ ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56555 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมดำเนินการตามมติของ กพอ. | วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมดำเนินการตามมติของ กพอ.
เดินหน้าแก้ไขปัญหาไฮสปีดเทรน การให้บริการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ของโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบินตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อให้การบริการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก จนเกิดผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ ตามที่บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เอกชนคู่สัญญา ได้มีหนังสือถึง รฟท. ที่ ESHR1-ARX-EHSR3AL-SRT-LETR-000009 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เรื่องขอให้พิจารณาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินในส่วนที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด 19
ตามหนังสือของบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เอกชนคู่สัญญา ดังกล่าวข้างต้น แจ้งปัญหากรณีวิกฤติการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการฯ โดยขอรับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ การขอขยายระยะเวลาการชำระค่าสิทธิโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และกำหนดมาตรการเยียวยาอื่นๆ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินร่วมลงทุนโครงการฯ และการขยายระยะเวลาโครงการฯ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ได้มีมติรับทราบปัญหาดังกล่าวและได้มอบหมายให้ รฟท. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และคณะกรรมการกำกับดูแลของโครงการฯ พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาตามหลักการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายเกี่ยวข้องกำหนด โดยในระหว่างการดำเนินการเพื่อแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนให้ รฟท. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เอกชนคู่สัญญา ร่วมกันเข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เป็นการเร่งด่วน โดยให้บริการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า รฟท. มีหน้าที่ตามกฎหมาย ที่จะต้องดำเนินการตามมติที่มีการมอบหมายการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามมติฯ ดังกล่าว โดย รฟท. ยึดหลักการและแนวทางที่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกัน รฟท. ยังต้องคำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร โดยให้มีผลกระทบต่อ รฟท. น้อยที่สุด รวมถึง การดำเนินการเพื่อให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนี้ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญระดับประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในการก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และเศรษฐกิจของภูมิภาคได้อย่างมั่นคงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทำให้โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบิน ดังนั้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชนและ มีผลกระทบต่อ รฟท. น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน โครงการฯ สามารถเดินหน้าต่อไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศได้ รฟท. จึงได้มีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ร่วมกับทางบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เอกชนคู่สัญญา โดยบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นนี้ ซึ่งเป็นการบริหารสัญญาภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาร่วมลงทุนเดิมเพื่อแก้ไขปัญหาในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับรถไฟในส่วนของแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่กระทบบริการสาธารณะในช่วงที่รฟท. และเอกชนคู่สัญญาอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยในบันทึกข้อตกลง (MOU) ดังกล่าวมีรายละเอียด อันเป็นหลักการในเบื้องต้น ดังนี้
• บันทึกข้อตกลงสิ้นสุดผลการใช้บังคับเมื่อครบ 3 เดือน นับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564
•รฟท. ยังไม่มอบสิทธิการดำเนินการโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ให้แก่เอกชน และ รฟท. มีสิทธิรับรายได้ค่าโดยสารและรายได้จากการดำเนินกิจการเชิงพาณิชย์
• โดยระหว่างที่มีการพิจารณาเงื่อนไขของสัญญาอยู่นั้น จะให้เอกชนคู่สัญญาเข้ามาช่วยสนับสนุนรฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด ในการดำเนินโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ตามขอบเขตงานที่ได้รับมอบหมาย โดยเอกชนจะสนับสนุนบุคลากรและรับความเสี่ยงทั้งหมดโดย รฟท. บริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด และที่ปรึกษาของรฟท. จะกำกับดูแล ให้การดำเนินงานเป็นไปตาม KPI ที่บันทึกข้อตกลงฯ กำหนด รวมทั้ง เอกชนคู่สัญญาจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยเอกชนสามารถนำรายได้ค่าโดยสารไปชำระค่าใช้จ่ายได้ แต่หากมีกำไรต้องส่งคืนให้รฟท. หากรายได้ค่าโดยสารไม่เพียงพอชำระค่าใช้จ่ายในงานที่ได้มอบหมายให้ดำเนินการ เอกชนจะต้องเป็นผู้ชำระในส่วนที่เกิน
• เอกชนจะต้องทำประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
• เอกชนคู่สัญญาต้องชำระเงิน 10% ของค่าสิทธิในการบริหารตามสัญญาร่วมลงทุนฯ เป็นเงิน 1,067 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงฯ และสัญญาร่วมทุนฯ
•รฟท. มีสิทธิยึดถือหลักประกันจนกว่าจะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ และหากต้องคืนหลักประกัน รฟท. คืนโดยไม่มีดอกเบี้ย
• หากไม่แก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ ภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564 หรือที่ขยายเพิ่มเติมรฟท. มีสิทธิริบหลักประกันเพื่อนำมาชำระการไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมลงทุนของเอกชน
รฟท. ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)ในการเดินหน้าร่วมแก้ไขปัญหาการให้บริการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ไม่เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการ รฟท. ขอยืนยันว่า การดำเนินการต่างๆนั้น
รฟท. ยึดหลักการและแนวทางที่คำนึงถึงผลกระทบของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้ง คำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์ขององค์กรและประเทศชาติเป็นสำคัญ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนี้ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญระดับประเทศ การดำเนินการต่างๆนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและครอบคลุมในทุกมิติ โดยจะไม่มีการดำเนินการใดๆอันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชนโดยมิชอบอย่างเด็ดขาด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยัน “ฟาวิพิราเวียร์” รักษาโควิดได้ผล ช่วยอาการดีขึ้น 79% | วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565
สธ.ยัน “ฟาวิพิราเวียร์” รักษาโควิดได้ผล ช่วยอาการดีขึ้น 79%
กระทรวงสาธารณสุข เผย “ยาฟาวิพิราเวียร์”อมีประสิทธิภาพ ช่วยผู้ป่วยโควิด 19 อาการดีขึ้น 79%
กระทรวงสาธารณสุข เผย “ยาฟาวิพิราเวียร์”มีประสิทธิภาพ ช่วยผู้ป่วยโควิด19 อาการดีขึ้น 79%ย้ำการจัดหายามารักษาในภาวะโรคมีการระบาด ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย จำนวนผู้ป่วยความสามารถในการจัดหา และการจัดระบบบริการรองรับ โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณา
วันนี้ (19 มีนาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แถลงประเด็นประโยชน์การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด19 โดย นพ.โอภาสกล่าวว่า เริ่มต้นโรคโควิด 19เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ บุคลากรทางการแพทย์จึงต้องหาวิธีในการรักษา โดยนำยาต้านไวรัสที่ขึ้นทะเบียนใช้อยู่เดิมและมีกลไกการออกฤทธิ์ที่น่าจะยับยั้งเชื้อได้มาทดลองใช้ อาทิ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยารักษาไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น และพบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ขึ้นทะเบียนกับ อย.ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยหลายรายอาการดีขึ้น ซึ่งในสถานการณ์การระบาดที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก การจัดหายามาใช้นอกจากประสิทธิภาพในการรักษาและความปลอดภัย ยังต้องพิจารณาเรื่องของจำนวนผู้ป่วยที่ต้องจัดหายามารองรับ และความสามารถในการจัดบริการด้วย ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ประเทศไทยสามารถจัดหาจำนวนมากได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และมีผลการรักษาที่ดี หากป่วยอาการไม่รุนแรงและใช้รักษาเร็ว จะลดโอกาสเกิดอาการรุนแรงและหายป่วยได้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการรักษาและควบคุมป้องกันโรคได้พิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบแล้วจึงตัดสินใจนำมาใช้
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยศูนย์วิจัยทางคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยแบ่งศึกษาในผู้ป่วย2 กลุ่ม กลุ่มแรก 62 ราย ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ตามสูตร คือ 1,800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งในวันแรก และ 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง อีก 4 วัน ส่วนกลุ่มที่สอง 31 ราย ไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ติดตามจากการประเมินอาการของผู้ป่วยและวัดปริมาณไวรัสในโพรงจมูก พบว่า ภายใน 14 วัน กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้น 79% ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับยาอาการดีขึ้น 32.3% โดยผู้ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ของการรักษา และในวันที่ 13และ28 ของการรักษาจะมีปริมาณไวรัสต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้รับยา แต่มีข้อจำกัด คือ หากรักษาช้าและอาการค่อนข้างหนักประสิทธิภาพของยาจะไม่ดีนัก
“กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ไม่มีการนำยาที่ไม่มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล หรือเป็นอันตรายมาใช้รักษาผู้ป่วย และที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิด19 ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์เกินกว่าล้านคน ช่วยลดการเสียชีวิต ทำให้หายป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้ จึงขอให้เชื่อมั่นในยาที่ใช้รักษา”นพ.โอภาสกล่าว
ด้าน นพ.มานัส กล่าวว่า การรักษาโควิด19 ผู้เชี่ยวชาญมีการติดตามข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และประชุมร่วมกันเพื่อปรับแนวทางการรักษาเป็นระยะตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ล่าสุดได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาไปเมื่อวันที่1 มีนาคม 2565 และสัปดาห์หน้าอาจจะมีการปรับปรุงอีกครั้ง สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการใช้มาแล้ว 2 ปี ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา โดยเฉพาะในช่วง14 วัน ส่วนยาเรมดิซิเวียร์ มีกลไกการออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ ให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำสำหรับผู้ที่รับประทานไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการดูดซึมยา และใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ จากการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ป่วยมีอาการน้อยลง และช่วยลดการนอนโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับยาหลอกส่วนยาอีก 2 รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คือ ยาโมลนูพิราเวียร์ กำลังเตรียมการกระจายยา กลไกออกฤทธิ์จุดเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ช่วยให้ผู้ป่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรง และยาแพกซ์โลวิด กำลังดำเนินการจัดหาเข้ามา มีกลไกการออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ไม่สามารถเกิดผลกับโรคได้ ช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลลง 88% กรณีให้ยาภายใน 5 วันหลังมีอาการ คาดว่าจะเข้ามาในกลางเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจากการติดตามการใช้ยามาสักระยะพบว่าแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น เรมดิซิเวียร์ช่วยกลุ่มอาการปานกลาง ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ ยาฟาวิพิราเวียร์ให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส2 และ 3 แต่โมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิด มีข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรรวมถึงเป็นยาใหม่จึงมีราคาสูงถึงคอร์สละ1 หมื่นบาท ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ราคาคอร์สละ 800 บาท และเรมดิซิเวียร์1,512 บาท นพ.มานัสกล่าวในตอนท้าย
****************************************** 19 มีนาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52734 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ จ.พังงา | วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ จ.พังงา
นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ จ.พังงา
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา ผ่านระบบ Video Conference โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ผู้บริหารส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่จังหวัดพังงาเข้าร่วม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
สำหรับพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็มสร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ โดยอาคารจัดแสดงหลักเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าออกแบบเป็นเส้นโค้งในรูปแบบของคลื่น และมีช่องเปิดรับแสงเป็นทรงกลมแบบฟองคลื่นกระจายตามความยาวของอาคารทำให้ภายในอาคาร เกิดที่ว่างคล้ายท้องคลื่นยาวตลอดห้องจัดแสดง โดยมีหอเตือนภัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เป็นแลนด์มาร์กที่ให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพได้โดยรอบ การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่ 1. จัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลำ ที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาเข้ามาจากชายฝั่ง ส่วนที่ 2. บริการข้อมูล ขายของที่ระลึก ห้องมัลติมีเดียเหตุการณ์ภัยสึนามิ ส่วนที่ 3. จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวประกอบวัตถุจัดแสดงจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 และส่วนที่ 4. เป็นพื้นที่ภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งนี้ นักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดพิพิธภัณฑ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการพัฒนาประเทศ คือ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม” เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายและความสูญเสียให้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเชื้อชาติใดหรืออาศัยอยู่ ณ ภูมิภาคใดก็ตาม รัฐบาลจะเร่งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไข ฟื้นฟู และเยียวยาความเสียหายต่าง ๆ สำหรับภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ แม้ว่าจะผ่านล่วงเลยมาแล้วกว่า 17 ปี แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบและญาติพี่น้องของผู้สูญเสียยังคงรำลึกถึงเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งสิ่งของ บ้านเรือน รวมถึงการสูญเสียของบุคคลในครอบครัว และบุคคลที่เป็นที่รู้จัก โดยเห็นได้จากที่การจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นประจำทุกปีในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงชุมชนบ้านน้ำเค็มแห่งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายและจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในพื้นที่ประสบภัย 6 จังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ส่งผลกระทบด้านจิตใจอย่างประเมินค่าไม่ได้ จึงจำเป็นต้องได้รับความดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อฟื้นฟูความสุข และสร้างความเจริญมั่นคงให้กลับคืนสู่พื้นที่แห่งนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีความมุ่งหวังให้หน่วยงานท้องถิ่นและภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่แห่งนี้ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน และได้รับประโยชน์จากท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็มและแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง ทำให้เพิ่มโอกาส สร้างรายได้ให้แก่หน่วยงานท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคุณค่าและประโยชน์ที่ได้รับจากพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. ด้านสังคม เป็นอนุสรณ์ความทรงจำที่เล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์ภัยสึนามิ และเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิที่มีความเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ วิถีชุมชน และข้อมูลต่าง ๆ 2. ด้านเศรษฐกิจ เป็นการเพิ่มจุดขายให้กับบ้านน้ำเค็มให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากขึ้น และชุมชนบ้านน้ำเค็มสามารถที่จะจัดกิจกรรมการท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชนรองรับได้
นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกคนเรียนรู้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ของภูมิภาค และประเทศไทย เรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลง และรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดในรูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดความสูญเสียความเสียหายน้อยที่สุด ขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการรักษ์โลก ให้เป็นโลกที่สงบและร่มเย็น พร้อมกับหวังให้ทุกคนในจังหวัดพังงาร่วมกันดูแล และบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ฯ ให้มีความมั่นคงแข็งแรงและสวยงามเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของจังหวัดพังงาและของประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51243 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบสารเนื่องในวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ประจำปี 2565 ชู “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นส่วนสำคัญแห่งความสำเร็จในการดูแลประชาชน” | วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบสารเนื่องในวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ประจำปี 2565 ชู “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นส่วนสำคัญแห่งความสำเร็จในการดูแลประชาชน”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบสารเนื่องในวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ประจำปี 2565 ชู “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นส่วนสำคัญแห่งความสำเร็จในการดูแลประชาชน”
วันนี้ (10 ส.ค. 2565) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบสารเนื่องในวันกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประจำปี 2565 โดยมีใจความสำคัญว่า นับเป็นระยะเวลา 130 ปีมาแล้ว ที่สถาบันกำนันผู้ใหญ่บ้านได้ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐที่มีบทบาทสำคัญต่อการบริหารราชการส่วนภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงมหาดไทยไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองระดับฐานรากที่เป็นจุดเชื่อมในการยึดโยงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหลอมรวมประชาชนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญแก่การพัฒนาระดับฐานรากในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กินดี อยู่ดี มีความมั่นคงในชีวิต และมีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของกระทรวงมหาดไทย เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติได้อย่างแท้จริง ผมขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกท่านที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง และอดทน อุทิศตนด้วยความเสียสละในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อป้องกันควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง ขอให้ทุกท่านตระหนักถึงบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย พร้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต และปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนเป็นสำคัญ
“ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พร้อมทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดอภิบาลประทานพรให้ท่านและครอบครัวประสบความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็งและแข็งแรง สามารถปฏิบัติหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่พี่น้องประชาชน และร่วมกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองต่อไป” พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศให้วันที่ 10 สิงหาคมของทุกปีเป็น “วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานกำเนิดสถาบันกำนันผู้ใหญ่บ้าน และถือเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ที่ได้ปฏิบัติงาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และเป็นส่วนสำคัญแห่งความสำเร็จในการดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดมา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกฯ แจ้ง ระบบลงทะเบียนขอรับรองมาตรฐาน SHA ปรับให้สะดวกขึ้นและเร็วขึ้นวอนผู้ประกอบการรายย่อยอย่ากังวล | วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
รองโฆษกฯ แจ้ง ระบบลงทะเบียนขอรับรองมาตรฐาน SHA ปรับให้สะดวกขึ้นและเร็วขึ้นวอนผู้ประกอบการรายย่อยอย่ากังวล
รองโฆษกฯ แจ้ง ระบบลงทะเบียนขอรับรองมาตรฐาน SHA ปรับให้สะดวกขึ้นและเร็วขึ้นวอนผู้ประกอบการรายย่อยอย่ากังวล
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อขอรับรองมาตรฐาน SHA ว่าอาจมีบางขั้นตอนที่ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงได้ยาก เป็นการเสียโอกาสจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และหากมีสิ่งใดที่ยังเป็นอุปสรรค หรือต้องแก้ไขเพื่อให้การบริการประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลจะเร่งปรับปรุงโดยทันที
ในส่วนของการขอรับรองมาตรฐาน SHA นั้น โดยที่มาตรฐาน SHA เป็นแนวทางในการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยสำหรับการบริการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ครอบคลุมทุกกิจการภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ (10 กิจการ/กิจกรรม) ขณะนี้ ขั้นตอนการสมัครเพื่อรับมาตรฐาน SHA ได้มีการปรับปรุงแล้วไม่ให้ยุ่งยากซับซ้อน ส่วนข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในช่วงแรก ผ่านการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ThailandSHA.com ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้แก้ไขและพัฒนาระบบให้สอดรับกับจำนวนผู้ประกอบการที่สนใจลงทะเบียนมากขึ้น อาทิ ภาพถ่ายที่ใช้ประกอบการสมัคร สามารถใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายได้ และปรับขั้นตอนการอนุมัติให้รวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังได้เพิ่มช่องทางการลงทะเบียนให้กับผู้ประกอบการ โดยได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษาในการลงทะเบียน SHA (SHA Clinic) สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยผู้ประกอบการสามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้โดยตรง ณ บริเวณลานจอดรถชั้น G อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 19 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ
นางสาวรัชดาฯ ย้ำการดำเนินการของรัฐบาลทำเพื่อประชาชน นโยบายที่กำหนดขึ้นต้องการให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงด้วยความเท่าเทียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบดีและมีความห่วงใยจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ หากมีประเด็นไดที่ประชาชนยังไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควรให้เร่งแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่กำหนดเป็นนโยบายให้ประชาชนทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47940 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิตอาสาพัฒนา "เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ" ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองคูเมืองเดิม | วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565
จิตอาสาพัฒนา "เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ" ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองคูเมืองเดิม
#จิตอาสา
#สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50516 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกจ้างถูกข้อต่อเครนทับเสียชีวิต! รมว. เฮ้ง ส่งทีมเฉพาะกิจเร่งช่วยเหลือและตรวจสอบหาเท็จจริงทันที | วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565
ลูกจ้างถูกข้อต่อเครนทับเสียชีวิต! รมว. เฮ้ง ส่งทีมเฉพาะกิจเร่งช่วยเหลือและตรวจสอบหาเท็จจริงทันที
รมว. แรงงานห่วงลูกจ้างประสบอุบัติเหตุถูกข้อต่อเครนทับเสียชีวิต ส่งทีมเฉพาะกิจ และหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ช่วยเหลือลูกจ้างและครอบครัว พร้อมทั้งตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทันที
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีลูกจ้างประสบอุบัติเหตุถูกข้อต่อเครนหลุดหล่นทับเสียชีวิต ย่านบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า กระทรวงแรงงานได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างทันที โดยผมได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือ การประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง ลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือลูกจ้างผู้เสียชีวิตและครอบครัวให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายโดยเร็ว ซึ่งจากรายงานเบื้องต้นพบว่า นายวชิรวิชญ์ นันท์ไพศาล ลูกจ้างช่างซ่อมเครน ขณะปฏิบัติหน้าที่ เกิดอุบัติเหตุข้อต่อเครนหลุดและหล่นลงมาทับร่างลูกจ้างเสียชีวิต โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำร่างผู้เสียชีวิตส่งให้สถาบันนิติเวชเพื่อชันสูตรอย่างละเอียด ก่อนมอบให้ญาติครอบครัวนำร่างไปดำเนินการตามประเพณีต่อไป ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้นายจ้าง และลูกจ้างปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินที่จะเกิดจากอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยจากการทำงาน
นายสมพจน์ กวางแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือ การประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้
(28 กรกฎาคม 2565) คณะทำงานเฉพาะกิจฯ พร้อมด้วยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมทั้งชี้แจงสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ลูกจ้างผู้เสียชีวิตจะได้รับให้ครอบครัวของลูกจ้างได้รับทราบ โดยจากรายงานของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนนทบุรี ลูกจ้างจะได้รับสิทธิค่าทำศพจำนวนเงิน 50,000 บาท และเงินทดแทนกรณีเสียชีวิตให้แก่ทายาทของลูกจ้างร้อยละ 70 ของค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับเป็นระยะเวลา 10 ปี ในส่วนของสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุนั้น พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 1 จะเชิญนายจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม พร้อมทั้งตรวจสอบว่านายจ้างได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. 2564 หรือไม่ ในวันที่ 2 สิงหาคมนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57389 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-ครม. ร่วมรณรงค์วันภาษาไทยแห่งชาติ 2565 วธ.นำเด็ก เยาวชนโชว์พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยดีเด่น พร้อมยกขบวนผู้ได้รับรางวัลเพชรในเพลงเข้าพบนายกฯ พร้อมจัดงานใหญ่ 26 ก.ค. นี้ | วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565
นายกรัฐมนตรี-ครม. ร่วมรณรงค์วันภาษาไทยแห่งชาติ 2565 วธ.นำเด็ก เยาวชนโชว์พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยดีเด่น พร้อมยกขบวนผู้ได้รับรางวัลเพชรในเพลงเข้าพบนายกฯ พร้อมจัดงานใหญ่ 26 ก.ค. นี้
นายกรัฐมนตรี-ครม. ร่วมรณรงค์วันภาษาไทยแห่งชาติ 2565 วธ.นำเด็ก เยาวชนโชว์พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยดีเด่น พร้อมยกขบวนผู้ได้รับรางวัลเพชรในเพลงเข้าพบนายกฯ พร้อมจัดงานใหญ่ 26 ก.ค. นี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี-ครม. ร่วมรณรงค์วันภาษาไทยแห่งชาติ 2565 วธ.นำเด็ก เยาวชนโชว์พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยดีเด่น พร้อมยกขบวนผู้ได้รับรางวัลเพชรในเพลงเข้าพบนายกฯ พร้อมจัดงานใหญ่ 26 ก.ค. นี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ครม. ร่วมชมกิจกรรมประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการใช้ภาษาไทย เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ 2565 ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชมนิทรรศการส่งเสริมการใช้ภาษาไทย นิทรรศการหนังสือเก่าหายาก เรื่อง นามพรรณพฤกษา สัตวาภิธาน และนิติสารสาธก ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จากนั้นได้พบปะพูดคุยกับเด็กและเยาวชนผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นด้านการพูด การอ่าน การเขียน และผู้ได้รับรางวัลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) ประจำปี 2565 ด้วย
นายอิทธิพล กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ อีกทั้งปีนี้ถือเป็นวาระพิเศษ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง "ปัญหาการใช้คำไทย" ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาถึงปัจจุบันครบ 60 ปี วธ. ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายต่างๆ จึงจัดกิจกรรมเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติขึ้น เพื่อน้อมนำพระบรมราโชบายและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงงาน เพื่อสืบสาน รักษาและต่อยอดแนวพระราชดำริด้านภาษาไทยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ตลอดจนสถาบันการศึกษา องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักในความสำคัญ คุณค่าของภาษาไทย การใช้ให้ถูกต้องต่อไป
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า สำหรับกิจกรรมการจัดงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2565 นั้น วธ.และหน่วยงานในสังกัด จะร่วมกันจัดขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยจะมีพิธีมอบโล่เกียรติยศและโล่รางวัลแก่หน่วยงานและผู้ได้รับรางวัลด้านภาษาไทย ผู้ชนะการประกวดด้านภาษาไทยต่างๆ อาทิ รางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ผู้ใช้ภาษาถิ่นดีเด่น และผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย และรางวัลเด็กและเยาวชนผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นที่มีความสามารถด้านการพูด การอ่าน การเขียน , รางวัลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) และการจัดนิทรรศการหนังสือหายาก ,การมอบรางวัลการประกวดสื่อสร้างสรรค์ “รักนะจ๊ะ ภาษาไทย”, รางวัลประกวดคำขวัญวันภาษาไทยแห่งชาติ และรางวัลประกวดการอ่านทำนองเสนาะ รวมไปถึงการออกร้านจำหน่ายหนังสือ สื่อการเรียนการสอนด้านภาษาไทย จากสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สถาบันไทยปัญญ์สุข มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย และมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก และร่วมชมวีดิทัศน์ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติและวีดิทัศน์ ส่งเสริมการใช้ภาษาไทย จากสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆประจำประเทศไทย โดยจะมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่สถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยที่ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือเตรียมความพร้อมจัดงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2565 | วันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2565
ดีอีเอส หารือเตรียมความพร้อมจัดงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2565
ดีอีเอส หารือเตรียมความพร้อมจัดงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2565
เมื่อวันที่28มกราคม2565นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดงานวันข้าราชการพลเรือนสามัญณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผ่านการประชุมทางไกลโดยที่ประชุมพิจารณารูปแบบการจัดกิจกรรมวันข้าราชการพลเรือนประจำปีพ.ศ.2565ร่วมกับคณะอนุกรรมการจัดงานฯซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆเกี่ยวกับรูปแบบการจัดกิจกรรมทำบุญตักบาตร หรือกิจกรรมอื่นๆเนื่องในวันช้าราชการพลเรือนอาทิงานเลี้ยงแสดงความยินดีและเป็นเกียรติแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นเป็นต้น
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ แถลงมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564
ก.อุตฯ แถลงมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564
กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมจัดงานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 (The Prime Minister's Industry Award 2021) 13 ธันวาคม 2564 นี้
ก.อุตฯ แถลงมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล 13 ธันวาคม 2564 นี้
กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมจัดงานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 (The Prime Minister's Industry Award 2021) 13 ธันวาคม 2564 นี้ ที่สโมสรทหารบก ตอกย้ำความสำเร็จการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยตามนโยบายรัฐบาล โดยมีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวม 63 ราย จากผู้สมัครทั้งสิ้น 332 ราย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามแนวนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้มีศักยภาพในทุกด้าน ทั้งในด้านพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างสันติและมีความสุข สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชน
การมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 (The Prime Minister's Industry Award 2021) ได้รับเกียรติจากนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลฯ ในวันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นอีกกิจกรรมในการส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา ปีนี้นับเป็นปีที่ 29 ที่นายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัล เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกระดับที่มีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน ทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พลังงาน ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนามาตรฐานการประกอบการในด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม มีรางวัลจำนวนทั้งสิ้น 15 ประเภทรางวัล ดังนี้
1. รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 1 รางวัล ซึ่งคัดเลือกจากสถานประกอบการที่เคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ประเภท และเป็นสถานประกอบการที่มีการพัฒนาศักยภาพ
ในการแข่งขันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล และมีความเป็นเลิศทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการลงทุน มีการนำความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตนเอง และสามารถสร้างการพัฒนาให้กับอุตสาหกรรมในภาพรวมได้อย่างชัดเจน
2. รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น แบ่งออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทการเพิ่มผลผลิต 2) ประเภท
การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3) ประเภทการบริหารความปลอดภัย 4) ประเภทการบริหารงานคุณภาพ 5) ประเภทการจัดการพลังงาน 6) ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 7) ประเภทอุตสาหกรรมศักยภาพ 8) ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม และ 9) ประเภทเศรษฐกิจหมุนเวียน
3. รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทการบริหารจัดการ 2) ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ 3) ประเภทการจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม 4) ประเภทการบริหารธุรกิจสู่สากล และ 5) ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
ซึ่งมีสถานประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกจำนวนทั้งสิ้น 332 ราย แบ่งเป็นรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 6 ราย และรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นทั้ง 14 ประเภท รวม 326 ราย ทุกรายผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะทำงานแต่ละประเภทรางวัลอย่างเข้มงวดหลายด้าน แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 แสดงถึงความมุ่งมั่น วิริยะอุตสาหะ ในการพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถานประกอบการผ่านการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลจากนายกรัฐมนตรี จำนวนทั้งสิ้น 63 ราย ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับรางวัลได้ที่ https://industryaward.industry.go.th/th
“พิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 (The Prime Minister's Industry Award 2021) กำหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลา 14.00 น. ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต โดยได้รับเกียรติจากนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธี โดยสามารถรับชมการถ่ายทอดสดงานพิธีมอบรางวัลดังกล่าวได้ทางสถานีโทรทัศน์ NBT ในวันและเวลาดังกล่าว ซึ่งการจัดงานได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมงานทุกคน” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
8 ธันวาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี เปิดฝึกอบรมช่างจิตอาสา ซ่อมสร้างบ้าน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง | วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565
รมว.สุชาติ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี เปิดฝึกอบรมช่างจิตอาสา ซ่อมสร้างบ้าน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
รมว.สุชาติ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี เปิดฝึกอบรมช่างจิตอาสา ซ่อมสร้างบ้าน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมพัฒนาอาสาสมัครซ่อมสร้างบ้านในชุมชนและพบปะเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้เข้าฝึกอบรมและจิตอาสาตำรวจตระเวนชายแดนผู้นำท้องถิ่นชุมชนและประชาชนในพื้นที่โดยมีนายนิกรนิ่มสายผู้อำนวยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานเพชรบุรีนางสาวภัทราวรรณกลับกลายดีสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรีนายศรัณย์เกตุทองนายอำเภอบ้านแหลมตัวแทนผู้นำชุมชนฝ่ายปกครองฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วมด้วยณองค์การบริหารส่วนตำบลบางขุนไทรอำเภอบ้านแหลมจังหวัดเพชรบุรี
นางธิวัลรัตน์กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูของพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาชีพให้มีงานทำมีรายได้และยกระดับคุณภาพให้กับประชาชนในชุมชนท้องถิ่นกระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจึงได้บูรณาการความร่วมมือกับเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรีกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน(ค่ายนเรศวร)องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรีองค์การบริหารส่วนตำบลบางขุนไทรรวมทั้งผู้นำชุมชนในพื้นที่จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรช่างไม้ก่อสร้างให้แก่ประชาชนอาสาสมัครในพื้นที่จำนวน3รุ่นรุ่นละ20คนรวมจำนวน60คนระยะเวลาฝึก30ชั่วโมงเพื่อพัฒนาความรู้ทักษะด้านช่างไม้ก่อสร้างสำหรับนำไปช่วยเหลือซ่อมสร้างบ้านให้แก่ผู้ยากไร้ตามเป้าหมาย
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่าในวันนี้ท่านรัฐมนตรีสุชาติชมกลิ่นได้มอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือตามโครงการฝึกอบรมหลักสูตรช่างไม้ก่อสร้างให้แก่ประชาชนอาสาสมัครในพื้นที่เพื่อสร้างบ้านที่สภาพทรุดโทรมให้แก่ชาวบ้านผู้ยากไร้ในพื้นที่หมู่ที่7และหมู่ที่9ตำบลบางขุนไทรอำเภอบ้านแหลมแห่งนี้รวมจำนวนทั้งสิ้น3ครัวเรือนโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนภายใต้โครงการช่วยเหลือสร้างและซ่อมบ้านให้ผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาสผู้พิการและประสบภัยต่างๆในปี2565จากเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรีสำหรับโครงการดังกล่าวจะเป็นการปลูกจิตสำนึกให้คนในชุมชนได้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งกันและกันนำไปสู่ความรักความสามัคคีและความเข้มแข็งของชุมชนนอกจากนี้ทำให้ผู้ด้อยโอกาสผู้ยากไร้กลุ่มเป้าหมายในชุมชนได้รับการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนมีบ้านอยู่อาศัยที่มั่นคงปลอดภัยมีขวัญและกำลังใจที่ดีมีช่างไม้ก่อสร้างที่เป็นจิตอาสาในพื้นที่ชุมชนอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
5กรกฎาคม2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย ผู้ติดเชื้อโควิดมีแนวโน้มสูงขึ้น ยังแจ้งเตือนภัยระดับ 4 ย้ำ กทม. ปริมณฑล 8 จังหวัดท่องเที่ยวยกการ์ดสูง | วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565
ปลัด สธ. เผย ผู้ติดเชื้อโควิดมีแนวโน้มสูงขึ้น ยังแจ้งเตือนภัยระดับ 4 ย้ำ กทม. ปริมณฑล 8 จังหวัดท่องเที่ยวยกการ์ดสูง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังประกาศเตือนภัยโควิดระดับ 4เน้นย้ำงดเข้าสถานที่เสี่ยง งดรวมกลุ่มเวลานาน และชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ปริมณฑล จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว และจังหวัดที่มีพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังประกาศเตือนภัยโควิดระดับ 4เน้นย้ำงดเข้าสถานที่เสี่ยง งดรวมกลุ่มเวลานาน และชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ปริมณฑล จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว และจังหวัดที่มีพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ที่พบการติดเชื้อสูงขึ้น ต้องยกการ์ดสูงมากขึ้น พร้อมแจงแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องกักตัว
วันนี้ (21 มกราคม 2565) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ 8,640 ราย รักษาหาย 8,641 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 82,720 ราย จำนวนนี้เป็นผู้ป่วยปอดอักเสบ 540 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 118 ราย มีผู้เสียชีวิต 13 ราย ภาพรวมผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตอยู่ในระดับคงตัว ขณะที่ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงยังคงการแจ้งเตือนภัยโควิด 19 ที่ระดับ 4 โดยขอให้งดการเข้าสถานที่เสี่ยง การรวมกลุ่มทำกิจกรรมเป็นเวลานาน และชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ปริมณฑล จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว และจังหวัดที่มีพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อสูงขึ้น ต้องเข้มมาตรการต่าง ๆ มากขึ้นด้วย
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อส่วนใหญ่ยังมาจากการสัมผัสใกล้ชิดในครอบครัว
คนรู้จักกัน และทำงานรวมกลุ่มกันโดยไม่สวมหน้ากากเป็นเวลานาน ทำให้พบคลัสเตอร์ในหลายวงการ เช่น นักกีฬา บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น จึงขอให้ปฏิบัติตามมาตการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังพบสัญญาณการระบาดในโรงงาน สถานประกอบการ สถานที่ทำงาน ร้านอาหารที่ให้ดื่มสุราในร้าน และโรงเรียนเพิ่มขึ้น เน้นย้ำว่าหากพบผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการให้แยกแผนกทำงาน แยกพื้นที่ และใช้มาตรการ Bubble & Seal ขณะที่ทั่วโลกยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากต่อเนื่อง จึงเน้นติดตามกำกับการเดินทางเข้าประเทศ ในรูปแบบ Test & Go และ Sandbox โดยเฉพาะ
สำหรับผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 1-20 มกราคม 2565 มีจำนวน 289 ราย พบว่า เป็นผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปีถึง 159 ราย ช่วงอายุ 60-69 ปี จำนวน 58 ราย ช่วงอายุ 50-59 ปี จำนวน 33 ราย เนื่องจากคนอายุมาก หรือมีโรคประจำตัว เสี่ยงต่อการป่วยแล้วเสียชีวิตสูงกว่า กลุ่มนี้จึงต้องรับวัคซีนให้ครบถ้วน รวมทั้งเข็มกระตุ้นเพิ่มเติมด้วย จึงขอให้ประชาชนมารับวัคซีนตามที่กำหนด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนแล้ว 111 ล้านโดส นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผู้ที่ติดเชื้อซ้ำ เป็นสายพันธุ์โอมิครอนทั้งหมด ขณะที่ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วติดเชื้อส่วนใหญ่ก็เป็นสายพันธุ์โอมิครอนเช่นกัน แต่ทุกรายไม่มีอาการรุนแรง บ่งบอกว่าวัคซีนช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ แต่จะต้องเร่งฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ตามช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มภุมิคุ้มกันให้มากขึ้น
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ส่วนกรณี ศบค.ปรับลดเหลือกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเป็น 7 วัน และสังเกตอาการตนเองอีก 3 วัน โดยตรวจ ATK 2 ครั้งนั้น แนวทางปฏิบัติสำหรับกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง คือ ให้กักตัวที่บ้าน 7 วันโดยตรวจสอบอาการป่วยทุกวัน และตรวจ ATK ครั้งที่ 1 ช่วงวันที่ 5-6 หลังจากสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อครั้งสุดท้าย หากผลตรวจพบว่าติดเชื้อให้โทร 1330 เพื่อลงทะเบียนเข้าระบบการดูแลที่บ้าน (Home Isolation) หากไม่ติดเชื้อ เมื่อครบกักตัว 7 วัน สามารถเดินทางนอกบ้านได้โดยให้สังเกตอาการตนเองอีก 3 วัน แต่เน้นย้ำว่าให้หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องทำงาน ให้แยกพื้นที่กับผู้อื่น ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองสูงสุด สวมหน้ากากตลอดเวลา เลี่ยงไปสถานที่สาธารณะ และเลี่ยงใช้ขนส่งสาธารณะที่หนาแน่น โดยให้ตรวจ ATKครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อครั้งสุดท้าย หากไม่ติดเชื้อก็ถือว่าพ้นการกักตัว
******************************* 21 มกราคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม | วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564
นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม
นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม
วันนี้ (29 กรกฎาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณมิตรไมตรีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศว่าจะส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca จำนวน 415,040 โดสให้แก่ประเทศไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โดยรัฐบาลไทยจะดำเนินการตามแผนกระจายวัคซีนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน บรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วที่สุด
การมอบวัคซีนจากสหราชอาณาจักร สะท้อนถึงความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนสะท้อนบทบาทของสหราชอาณาจักรในฐานะมิตรประเทศที่มีความร่วมมือกับไทยในหลายมิติมายาวนาน โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข ที่ไทยและสหราชอาณาจักรมีความร่วมมือมาอย่างใกล้ชิดและครอบคลุมหลากหลายด้าน
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อันได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินตามขั้นตอนต่อไป พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหราชอาณาจักร เพื่อให้การรับมอบวัคซีนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและรวดเร็วที่สุด รวมทั้งให้เตรียมแนวทางพร้อมดำเนินการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ทันทีเมื่อได้รับวัคซีน
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยขอขอบคุณความสนับสนุน และความร่วมมือจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ที่มีให้กับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปค (APEC Senior Finance Officials’ Meeting: APEC SFOM) ระหว่างวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2565 ณ จังหวัดขอนแก่น | วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565
กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปค (APEC Senior Finance Officials’ Meeting: APEC SFOM) ระหว่างวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2565 ณ จังหวัดขอนแก่น
ในระหว่างวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2565 จะมีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปค (APEC Senior Finance Officials’ Meeting: APEC SFOM) ณ จังหวัดขอนแก่น ในรูปแบบการประชุมในสถานที่ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ในระหว่างวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2565 จะมีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปค (APEC Senior Finance Officials’ Meeting: APEC SFOM) ณ จังหวัดขอนแก่น ในรูปแบบการประชุมในสถานที่ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะเข้าร่วมหารือในประเด็นเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเด็นสำคัญ (Priorities) ซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศไทยผลักดันให้มีการหารือในช่วงการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ได้แก่ ประเด็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) และประเด็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digitalization for Digital Economy) โดยจะมีการหารือ ดังนี้
1. การประชุมในวันที่ 22 มิถุนายน 2565 จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
1.1 การหารือเกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความท้าทายต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงการแสดงความเห็นต่อการดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลัง เพื่อให้เขตเศรษฐกิจเอเปคนำไปประกอบการวิเคราะห์จัดเตรียมนโยบายที่จะตอบสนองต่อสภาวะเศรษฐกิจและรองรับต่อความท้าทายของเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างเหมาะสมต่อไป
1.2 การหารือในประเด็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งการระดมทุนของภาครัฐ ภาคเอกชนในตลาดทุน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-zero Emission) โดยพิจารณาโครงสร้างตลาดทุนที่เอื้อต่อการเข้าถึงเป้าหมายดังกล่าว เช่น การจัดหมวดหมู่และการกำหนดผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินสีเขียว และความเป็นไปได้ของการจัดทำตลาดซื้อขายคาร์บอน เป็นต้น
1.3 การหารือในประเด็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินนโยบายการคลัง ทั้งในส่วนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ การพัฒนาการเชื่อมโยงการชำระเงินในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค และการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านช่องทางการระดมทุนดิจิทัล ในการนี้ ไทยจะรายงานความคืบหน้าในการจัดทำเอกสารและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการดำเนินนโยบายการคลังและการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคเอเปค เพื่อขอรับความเห็นจากผู้แทนเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยเฉพาะในส่วนที่สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถดำเนินการร่วมกันได้โดยเร็ว
2. การประชุมในวันที่ 23 มิถุนายน 2565 จะเป็นการหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู (Implementation of Cebu Action Plan: CAP) ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการสนับสนุนการรวมกลุ่มด้านการเงินและการคลังของเอเปค พร้อมทั้งรับทราบถึงยุทธศาสตร์การนำแผนปฏิบัติการเซบูสู่การปฏิบัติฉบับใหม่ (New Strategy for Implementation of the Cebu Action Plan: New CAP) ตามแผนปฏิบัติการปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละเขตเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ จะมีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการเงินและการประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการเข้าถึงบริการด้านการเงินด้วยเครื่องมือดิจิทัล
การประชุม APEC SFOM ถือเป็นโอกาสในการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในด้านการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านการเงิน ซึ่งไทยจะนำผลลัพธ์จากการหารือไปพัฒนาจัดทำเอกสารและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรม โดยสำหรับประเทศไทยนั้น คาดว่าข้อเสนอแนะที่ได้รับจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าว รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อส่งผ่านมาตรการของรัฐ การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินและโอนเงินข้ามพรมแดนเพื่อลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงินในการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการพัฒนาตลาดทุนเพื่อประโยชน์ของ SMEs
ทั้งนี้ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ก่อนการประชุม APEC SFOM กระทรวงการคลังจะจัดสัมมนา เรื่อง การพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างความยั่งยืนในตลาดทุนและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ และสำหรับผลลัพธ์ของการประชุม APEC SFOM จะนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 29 ต่อไปในช่วงเดือนตุลาคม 2565
อนึ่ง การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปคในครั้งนี้จะจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดขอนแก่นสำหรับการเตรียมความพร้อมและการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งการประชุมในรูปแบบพบปะกันในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ พร้อมทั้งเป็นการแสดงศักยภาพของเศรษฐกิจชุมชน ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) ที่ต้องการนำจุดเด่นของไทยในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและอัตลักษณ์ไทยมาผสมผสานและเผยแพร่ให้เป็นสากล
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3615
ติดตามชมวิดิดอการแถลงข่าวได้ตามลิ๊งค์
https://fb.watch/dHL0b5Fj-J/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาด | วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ เยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาด
‘รมช.มนัญญา’ เยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาด หนุนสหกรณ์ใช้ประโยชน์เต็มศักยภาพ เพื่อสร้างรายได้ และพัฒนางานสหกร์ให้เข้มแข็ง
รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการ พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาดตามโครงการปรับโครงสร้างการผลิต การรวบรวม และการแปรรูปของสถาบันเกษตรกร มูลค่ากว่า 65 ล้านบาท อาทิ รถตัก เครื่องอบลดความชื้น ลานตาก ฉาง เป็นต้น ให้แก่ สถาบันเกษตรกรในจังหวัดเชียงราย เพื่อบริการให้กับสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งตรวจเยี่ยม พบปะ ให้กำลังใจสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร และติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนนโยบายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความอยู่ดีกินดี ณ สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด สาขาเวียงเชียงรุ้ง ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขอชื่นชมสหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด และสหกรณ์ในจังหวัดเชียงรายที่ได้ให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนได้ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ และงานเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาล อาทิ อาทิ โครงการปรับโครงสร้างการผลิต การรวบรวม และการแปรรูปของสถาบันเกษตรกร รองรับผลผลิตทางการเกษตร เพื่อยกระดับศักยภาพสถาบันเกษตรกรให้เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตร โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อสนับสนุนให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์หรือบุคคลทั่วไปที่จากบ้านไปประกอบอาชีพในต่างจังหวัด กลับมาทำการเกษตรที่บ้านเกิด โดยมีสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ คอยเป็นพี่เลี้ยง ตลอดจนการจัดหาตลาดรองรับ นโยบายการใช้ระบบตลาดนำการผลิต โดยการขยายช่องทางการตลาดสินค้าเกษตร พัฒนาความรู้และศักยภาพของเกษตรกร ส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP รวมถึงการสร้างตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ในการจำหน่าย
“สหกรณ์ทุกแห่งต้องร่วมกัน เพื่อพัฒนาสหกรณ์ให้เข้มแข็ง ช่วยกันส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าเกษตรปลอดภัย ช่วยกันขับเคลื่อนงานเพื่อให้สมาชิกสหกรณ์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มและมีความมั่นคงในอาชีพ โดยเฉพาะการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากโครงการที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุนให้เต็มศักยภาพ” รมช.มนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย ปัจจุบันมีสมาชิก 6,333 ราย มีทุนการดำเนินงานมากกว่า 645 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจเงินรับฝาก ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจสินเชื่อ และธุรกิจรวบรวม ซึ่งในปีการผลิตที่ 2564/2565 สหกรณ์รวบรวมข้าวจากสมาชิก 2,649 ตัน คิดเป็นมูลค่า 25,158,526 บาท และในปีการผลิต 2565/2566 หากอุปกรณ์การตลาดที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ สหกรณ์มีแผนการรวบรวมข้าวจากสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ 17,500 ตัน ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการแนะนำส่งเสริมกิจการงานของสหกรณ์มาตั้งแต่ต้น และยังได้สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2561 (งบกลางปี) ในการจัดหาอุปกรณ์การตลาดที่จำเป็นในการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตร หากสหกรณ์ได้ใช้ประโยชน์อุปกรณ์การตลาดเต็มประสิทธิภาพ จะเป็นแก้มลิงที่ช่วยชะลอผลผลิตทางการเกษตรที่ล้นตลาด ตอบสนองความต้องการของสมาชิกสหกรณ์ให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิกและเกษตรกรอีกด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. ร่วมกิจกรรมจิตอาสา สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อคนไทยมีงานทำ เฉลิมพระเกียรติ “วันแม่แห่งชาติ” 2565 สวนเบญจกิติ | วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2565
กพร. ร่วมกิจกรรมจิตอาสา สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อคนไทยมีงานทำ เฉลิมพระเกียรติ “วันแม่แห่งชาติ” 2565 สวนเบญจกิติ
รมว.สุชาติ ส่งทีมจัดกิจกรรมสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อคนไทยมีงานทำ ในงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม 2565 ณ สวนเบญจกิติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57987 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชัยวุฒิ” รับลูก “บิ๊กป้อม” สั่งปราบเว็บพนันออนไลน์ หวั่นกระทบเยาวชน โวปีที่ผ่านมาปิดไปแล้วเกือบ 2000เว็บ แนะแก๊งคอลเซนเตอร์กลับใจ ย้ำ ตร.ไทย-กัมพูชา ปราบจริง ไม่มีรอด | วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2565
ชัยวุฒิ” รับลูก “บิ๊กป้อม” สั่งปราบเว็บพนันออนไลน์ หวั่นกระทบเยาวชน โวปีที่ผ่านมาปิดไปแล้วเกือบ 2000เว็บ แนะแก๊งคอลเซนเตอร์กลับใจ ย้ำ ตร.ไทย-กัมพูชา ปราบจริง ไม่มีรอด
ชัยวุฒิ” รับลูก “บิ๊กป้อม” สั่งปราบเว็บพนันออนไลน์ หวั่นกระทบเยาวชน โวปีที่ผ่านมาปิดไปแล้วเกือบ 2000เว็บ แนะแก๊งคอลเซนเตอร์กลับใจ ย้ำ ตร.ไทย-กัมพูชา ปราบจริง ไม่มีรอด
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวภายหลังที่พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอีเอส ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งปราบปรามและปิดกั้นเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่กำลังแพร่ระบาดเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชนและประชาชนในสังคมว่าได้รับทราบข้อสั่งการและข้อห่วงใยของรองนายกรัฐมนตรีแล้ว หลังจากจากนี้จะมีการยกระดับการดำเนินงานร่วมกับหน่วยต่างๆให้มายิ่งขึ้นจากเดิมที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอสได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรวบรวมพยานหลักฐานเว็บไซต์พนันออนไลน์ต่างๆมีการปิดกั้นและดำเนินคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยปีที่ผ่านมาได้ปิดกั้นไปได้มากถึงเกือบ2000 URL.และในปีนี้จะเร่งปิดกั้นให้ได้มากกว่าเดิมเบื้องต้นได้มอบนโยบายให้มีการเจาะลึกข้อมูลว่าเว็บพนันออนไลน์อันไหนที่กำลังมีคนให้ความสนใจเข้าไปใช้บริการจำนวนมากให้เร่งปิดกั้นโดยเร็วที่สุดเป็นลำดับแรก เพราะหากปล่อยไว้จะสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนได้มาก
นอกจากนี้กระทรวงดีอีเอสและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดทางตำรวจไซเบอร์ของไทยนำโดยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กิตติประภัสร์รองผบ.ตร.และผอ.ศปอส.ตร. (PCT)ได้เข้าไปสืบสวนสอบสวนร่วมกับทางการกัมพูชาและจับกุมคนร้ายที่ประเทศกัมพูชาได้จำนวนมากพร้อมกับมีการส่งตัวคนไทยที่เกี่ยวข้องร่วม94คนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยด้วย “ต้องขอบคุณรัฐบาลกัมพูชาที่ได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการประสานข้อมูลทำงานร่วมกันในการทลายแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าหลังจากนี้แก๊งคอลเซนเตอร์จะลดลงอย่างแน่นอน”นายชัยวุฒิกล่าว
นายชัยวุฒิยังเตือนไปยังคนไทยทุกคนที่พยายามลักลอบข้ามไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์ที่กัมพูชาว่าขอให้กลับใจเพราะตอนนี้ไทยและกัมพูชามีความร่วมมือกันปราบปรามหากยังฝ่าฝืนที่จะไปทำงานลักษณะนี้ก็จะถูกจับกุมดำเนินคดีและต้องกลับมารับโทษที่ประเทศไทยเช่นเดียวกับคนไทยที่ยังรับจ้างเปิดบัญชีม้าที่ไม่มีทางหนีรอดแน่นอน พร้อมเตือนไปยังพี่น้องประชาชน กรณีแก๊งคอลเซนเตอร์ยังคงอ้างไปรษณีย์ไทยและบริษัทส่งสินค้าต่างๆเพื่อหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินต่างๆ ย้ำว่าไปรษณีย์ไม่มีการโทรหาประชาชนหากมีการติดต่อจริงก็จะติดต่อโดยเอกสารดังนั้นอย่าไปหลงเชื่อเด็ดขาด
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจเริ่มปี 2565 ยังคงเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย” | วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565
“รัฐวิสาหกิจเริ่มปี 2565 ยังคงเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย”
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง สำหรับปี 2565 รัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถเบิกจ่ายได้ 35,052 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง สำหรับปี 2565 รัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถเบิกจ่ายได้ 35,052 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ประกอบด้วยการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจระบบปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 - เดือนมกราคม 2565) 34 แห่ง จำนวน 19,549 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และรัฐวิสาหกิจระบบปีปฏิทิน (เดือนมกราคม 2565) 9 แห่ง จำนวน 15,503 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 111 ของแผนเบิกจ่ายสะสม
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงต้นปี 2565 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ส่วนใหญ่สามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และงานก่อสร้างปรับปรุงขยายท่อประปาของการประปาส่วนภูมิภาค
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปี 2565 ภาพรวมของรัฐวิสาหกิจยังคงสามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผน เนื่องจากรัฐวิสาหกิจมีการวางแผนการเบิกจ่ายที่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังโดย สคร. จะยังคงติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด ซึ่ง สคร. ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีโดยขอให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับให้รัฐวิสาหกิจเร่งขออนุมัติปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปี 2565 ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปีบัญชี และปรับแผนการลงทุนให้สามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้นในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2565 (Front - Loaded) รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบลงทุน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51860 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ฝากความห่วงใย ประธานสภาฯ "ชวน หลีกภัย" ขอให้หายป่วยโดยเร็ว ห่วงประชาชนช่วงหยุดยาว มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด ขอให้เพิ่มความระมัดระวัง | วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ฝากความห่วงใย ประธานสภาฯ "ชวน หลีกภัย" ขอให้หายป่วยโดยเร็ว ห่วงประชาชนช่วงหยุดยาว มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด ขอให้เพิ่มความระมัดระวัง
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ฝากความห่วงใย ประธานสภาฯ "ชวน หลีกภัย" ขอให้หายป่วยโดยเร็ว ห่วงประชาชนช่วงหยุดยาว มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด ขอให้เพิ่มความระมัดระวัง
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการป่วยของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร มีอาการอ่อนเพลียจากการติดเชื้อโควิด - 19 โดยนายกรัฐมนตรีฝากความห่วงใยและขอให้หายป่วย สุขภาพกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ทั้งนี้ นายชวน หลีกภัย ตรวจพบเชื้อโควิด 19 แต่อาการไม่รุนแรง มีเพียงอาการอ่อนเพลีย ซึ่งแพทย์ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2-3 วัน และจากนั้นจะสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านพักได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงหยุดยาวระหว่าง 13-17 กรกฎาคมนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนเรื่องความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงของการเดินทางผักผ่อนทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มของผู้คน ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ภายหลังการเดินทางหรือร่วมกิจกรรมขอให้สังเกตอาการตรวจเอง และตรวจ ATK เพื่อความมั่นใจ
"นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าท่านชวนฯ เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง จะหายป่วยในเร็ววัน พร้อมฝากความห่วงใยไปถึงประชาชน พุทธศาสนิกชน ที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกับครอบครัว โดยเฉพาะการร่วมทำบุญแห่เทียนพรรษา ทำบุญถวายพระ และร่วมพิธีเวียนเทียน รวมกลุ่มทำบุญตามสถานที่ต่างๆ ให้ดูแลระมัดระวังสุขภาพด้วย" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่สำรวจความพึงพอใจผู้ใช้บริการรถไฟระหว่างเมือง สถานีรถไฟสายเหนือ | วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่สำรวจความพึงพอใจผู้ใช้บริการรถไฟระหว่างเมือง สถานีรถไฟสายเหนือ
ณ สถานีแม่เทียบ สถานีแควน้อย จ.พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 4 - 5 ธันวาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง (ขร.) กระทรวงคมนาคม จัดทีมลงสำรวจแบบสอบถามความพึงพอใจผู้ใช้บริการรถไฟระหว่างเมือง พร้อมทั้งตรวจประเมินคุณภาพสภาพกายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับผู้โดยสารทุกกลุ่ม ณ สถานีแม่เทียบ สถานีแควน้อย จ.พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 4 ถึง 5 ธันวาคม 2564 เพื่อประกอบการศึกษาการจัดทำระบบประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานการขนส่งทางรางในแต่ละสายทางของประเทศ
โดยมีเป้าหมายในการเก็บข้อมูลปฐมภูมิด้านความพึงพอใจในการใช้บริการระบบรถไฟระหว่างเมืองของผู้โดยสาร ณ สถานีต่อปัจจัย 4 ด้าน อันประกอบด้วย ด้านราคาและการจำหน่ายตั๋วโดยสาร ด้านการใช้บริการสถานี ด้านการใช้บริการขบวนรถ และความคาดหวัง
ในการใช้บริการระบบ โดยจะนำข้อมูลที่ได้ประกอบการดำเนินการศึกษาต่อไป
ทั้งนี้ การเก็บข้อมูลภาคสนามดังกล่าวล เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาการจัดทำระบบประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานการขนส่งทางรางในแต่ละสายทางของประเทศ ซึ่งมีผลลัพธ์การศึกษาประกอบด้วย
1) การจัดทำตัวชี้วัดด้านการประเมินประสิทธิภาพขนส่งทางราง
2) การจัดทำระบบกำกับและจัดเก็บข้อมูลการประเมินประสิทธิภาพ
3) การการจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการกำกับและประเมินประสิทธิภาพระบบรางของประเทศอันจะเป็นเครื่องมือในการกำกับและพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย ให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล และมีความสะดวก สบาย ปลอดภัย ตอบสนองการใช้บริการของประชาชนอย่างเท่าเทียม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทล. รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 29 กันยายน 2564 เวลา 14.00 น. | วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
ทล. รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 29 กันยายน 2564 เวลา 14.00 น.
สำหรับสถานการณ์ประจำวันที่ 29 กันยายน 2564 เวลา 14.00 น. พบทางหลวงถูกน้ำท่วม ดินสไลด์ และสะพานชำรุด จำนวน 15 จังหวัด (62 สายทาง 109 แห่ง) โดยการจราจรผ่านไม่ได้ทั้งสิ้น 30 แห่ง
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ขานรับข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน จากสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ พร้อมดำเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัยอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยเตรียมความพร้อมในการป้องกัน การฟื้นฟู และการเยียวยาหลังสถานการณ์คลี่คลายในทุกมิติ เพื่อช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที สำหรับสถานการณ์ประจำวันที่ 29 กันยายน 2564 เวลา 14.00 น. พบทางหลวงถูกน้ำท่วม ดินสไลด์ และสะพานชำรุด จำนวน 15 จังหวัด (62 สายทาง 109 แห่ง) โดยการจราจรผ่านไม่ได้ทั้งสิ้น 30 แห่ง ดังนี้
1. จังหวัดชัยภูมิ (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.202 สำนักงานแขวงทางหลวงชัยภูมิ ช่วง กม. ที่ 0+660 ระดับน้ำสูง 30 ซม.
- ทล.201 บ้านลี่ - สี่แยกโรงต้ม ช่วง กม. ที่ 107+600 - 121+600 ระดับน้ำสูง 70 - 80 ซม.
- ทล.2170 วัดปทุมชาติ - หนองจาน ช่วง กม. ที่ 0+500 - 4+100 ระดับน้ำสูง 120 ซม.
2. จังหวัดนครราชสีมา (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.205 โคกสวาย - แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 1 ช่วง กม. ที่ 212+500 - 189+700 ระดับน้ำสูง 10 - 80 ซม.
3. จังหวัดสุโขทัย (การจราจรผ่านไม่ได้ 5 แห่ง)
- ทล.12 ตอนเมืองเก่า - สุโขทัย ช่วง กม. ที่ 166+178 - 171+270 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ำสูง 45 ซม. เดินทางจากตากไปพิษณุโลกให้ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 แทน
- ทล.101 คลองโพธิ์ - ท่าช้าง ช่วง กม. ที่ 79+969 - 82+000 ระดับน้ำสูง 60 ซม.
- ทล.125 แจกัน - บ้านสวน ช่วง กม. ที่ 14+450 - 19+400 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ำสูง 60 ซม. เดินทางจากตากไปพิษณุโลกให้ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 แทน
- ทล.1347 วัดโคก - สระบัว ช่วง กม. ที่ 0+000 - 5+284 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ำสูง 30 ซม. เดินทางจากตากไปพิษณุโลกให้ใช้ทางเลี่ยง ทล. 12 แทน
- ทล.1195 สุโขทัย - เตว็ดใน ช่วง กม. ที่ 0+000 - 1+900 ระดับน้ำสูง 30 ซม.
4. จังหวัดลพบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่ง)
- ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 0+340 สะพานทรุดตัว
- ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 1+400 เส้นทางขาด ระดับน้ำสูง 40 ซม.
- ทล.2260 ลำสนธิ - ซับลังกา ช่วง กม. ที่ 1+800 - 2+500 ระดับน้ำสูง 70 ซม.
- ทล.205 คลองห้วยไผ่ - เทศบาลลำนารายณ์ ช่วง กม. ที่ 63+000 - 63+700 การจราจรผ่านไม่ได้
- ทล.205 คลองห้วยไผ่ - เทศบาลลำนารายณ์ ช่วง กม. ที่ 68+000 - 71+000 ระดับน้ำสูง 100 ซม.
- ทล.205 เทศบาลลำนารายณ์ - ช่องสำราญ ช่วง กม. ที่ 82+900 ทางลอดใต้สะพานแม่น้ำป่าสัก ระดับน้ำสูง 150 ซม.
5. จังหวัดกำแพงเพชร (การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง)
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 419+036 (จุดกลับรถคลองพะยอม) ระดับน้ำสูง 110 ซม.
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 432+030 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ำสูง 120 ซม.
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม.ที่ 431+701 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ำสูง 120 ซม.
- ทล. 1117 ตอน คลองแม่ลาย-อุ้มผาง ช่วง กม.ที่ 66+850 - 93+000 ดินสไลด์ด้านซ้ายทางและขวาทาง
6. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองกะท่อ) ระดับน้ำสูง 80 ซม.
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถใต้สะพานวัดดอกไม้) ระดับน้ำสูง 45 - 50 ซม.
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 43+719 (จุดกลับรถใต้สะพานหลวงปู่ทวด) ระดับน้ำสูง 75 - 90 ซม.
7. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 สะพานคลองทับน้ำ ระดับน้ำสูง 55 ซม.
- ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม ระดับน้ำสูง 85 - 90 ซม.
8. จังหวัดนครสวรรค์ (การจราจรผ่านไม่ได้ 5 แห่ง)
- ทล.11 ตากฟ้า - ไตตาล ช่วง กม. ที่ 68+725 น้ำกัดเซาะคอสะพาน
- ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพานเดชาติวงศ์ ระดับน้ำสูง 120 ซม.
- ทล.3004 ท่าตะโก - ไตตาล ช่วง กม. ที่ 49+000 - 54+000 ระดับน้ำสูง 50 - 60 ซม.
- ทล.3330 เกษตรชัย - สำโรงชัย ช่วง กม. ที่ 20+000 - 29+000 ระดับน้ำสูง 40 - 60 ซม.
- ทล.1119 หนองผักหวาน - ท่าตะโก ช่วง กม. ที่ 31+800 - 34+000 ระดับน้ำสูง 50 ซม.
9. จังหวัดอุทัยธานี (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล. 3456 หนองกระดี่ - คลองข่อย ช่วง กม. ที่ 3+604 สะพานโคกหม้อ ระดับน้ำสูง 80 ซม.
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย และหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน กรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46391 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง | วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564
ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
ปัญหาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ 83.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจาก COVID-19
คำชี้แจง: ปัญหาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ 83.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจาก COVID-19 ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศวันที่ 18 ตุลาคม 2564 อยู่ที่ประมาณ 28 บาทต่อลิตร ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี (มกราคม 2564) อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของไทยกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันแล้วพบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ (สิงคโปร์ ลิตรละ 53 บาท สปป. ลาว ลิตรละ 31.50 บาท กัมพูชา ลิตรละ 30.24 บาท ฟิลิปปินส์ ลิตรละ 28.69 บาท เมียนมา ลิตรละ 26.95 บาท และมาเลเซีย (ผู้ส่งออกน้ำมัน) ลิตรละ 17.42 บาท)
เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น รัฐบาลจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกหลักในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและมีสภาพคล่องพร้อมดำเนินการ โดยได้มีการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 1.99 – 4.16 บาทต่อลิตร รวมทั้งได้มีการบริหารจัดการให้มีการปรับลดค่าการตลาดลงด้วย กล่าวคือ การใช้กลไกดังกล่าวมีความพร้อมและเพียงพอต่อการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายใต้บริบทปัจจุบันได้
ในส่วนประเด็นการปรับลดภาษีสรรพสามิตเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น อาจยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะใช้กลไกดังกล่าวในขณะนี้ เนื่องจากการจัดเก็บของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระดับราคาพลังงาน แต่มีวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ในอดีตมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาภาระของประชาชน เนื่องจากในขณะนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้น หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลอาจพิจารณามาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อบรรเทาภาระของประชาชนต่อไป
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการและลูกจ้างอาชีพกลางคืน พิจารณา 3 หลักเกณฑ์เยียวยา | วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการและลูกจ้างอาชีพกลางคืน พิจารณา 3 หลักเกณฑ์เยียวยา
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการและลูกจ้างอาชีพกลางคืน พิจารณา 3 หลักเกณฑ์เยียวยา
วันนี้(4ธ.ค.64)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้เร่งหามาตรการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการและลูกจ้างอาชีพกลางคืนที่ได้รับผลกระทบจากการสถานการณ์โควิด-19ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานสรุปผลการเจรจากับตัวแทนสมาคมเครือข่ายนักร้องนักแสดงนักดนตรีและผู้ประกอบการสถานบันเทิงผับคลับบาร์คาราโอเกะโดยเบื้องต้นกระทรวงแรงงานและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ได้พิจารณาวงเงินและหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างโดยแบ่งเป็น3กลุ่มดังนี้
1.กลุ่มนายจ้างสถานประกอบการซึ่งส่วนมากอยู่ในส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีรัฐบาลจะให้นโยบายเยียวยารายละ3,000บาทตามจำนวนลูกจ้างต่อเดือน
2.กลุ่มลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา33อยู่ในธุรกิจผับบาร์ทั้งเด็กเสริฟพ่อครัวเสมียนบัญชีจะแบ่งเป็น2ส่วนคือส่วนที่1รัฐบาลจะให้ประกันสังคมเยียวยาว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจ่าย50%และส่วนที่2หากไม่เพียงพบในการใช้จ่ายจะนำส่วนของเงินกู้สภาพัฒน์ฯโดยประมาณการตัวเลขเบื้องต้นไว้ที่5,000บาท ทั้งนี้หากอยู่ในระบบประกันสังคมจะได้2ส่วนโดยให้ประกันสังคมช่วย50%อีกส่วนขอเงินกู้จากรัฐบาล
3.กลุ่มลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปินอิสระอาจต้องขึ้นทะเบียนตามมาตรา40ของประกันสังคมได้ตรวจสอบตัวเลขในระบบเบื้องต้นมีจำนวนประมาณไม่เกิน1.5แสนรายโดยจะขอให้สมาคม/สมาพันธ์รับรองบุคคลเหล่านี้รวมทั้งในส่วนผู้ที่เกินอายุเกิน65ปีที่ไม่เข้าข่ายมาตรา40จะประสานให้กระทรวงวัฒนธรรมสำรวจจำนวนเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองงบประมาณกระทรวงการคลังสภาพัฒน์ฯและนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
"นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือประชาชนในทุกสาขาอาชีพให้ได้รับการดูแลบรรเทาความเดือดร้อนอย่างทั่วถึงและครอบคลุมมากที่สุดโดยได้สั่งการให้ทุกภาคส่วนต้องทำงานควบคู่กันเพื่อเร่งพิจารณาหาแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมขณะเดียวกันฝ่ายผู้ประกอบการต้องให้ความร่วมมือด้วยโดยเฉพาะการป้องกันการแพร่ระบาดซึ่งต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามมาตรการCOVID Free Settingเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ"โฆษกรัฐบาลกล่าว
————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49098 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ชู ‘ทุเรียน’ เป็นสินค้าเกษตร SAP ในโครงการหนึ่งประเทศหนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทย | วันพุธที่ 8 กันยายน 2564
รัฐมนตรีเกษตรฯ ชู ‘ทุเรียน’ เป็นสินค้าเกษตร SAP ในโครงการหนึ่งประเทศหนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทย
รัฐมนตรีเกษตรฯ ชู ‘ทุเรียน’ เป็นสินค้าเกษตร SAP ในโครงการหนึ่งประเทศหนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทย พร้อมให้ความร่วมมือในการผลักดันโครงการฯ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่ระบบเกษตรและอาหารที่มีความยั่งยืนสำหรับประชากรโลกทุกคน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในการประชุมการดำเนินงานระดับโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้โครงการหนึ่งประเทศหนึ่งผลิตภัณฑ์ ผ่านระบบออนไลน์ ว่า การเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปี ฉบับใหม่ของ FAO (เอฟ เอ โอ) ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบอาหารเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่มีทิ้งใครไว้ข้างหลัง และได้ร่วมนำเสนอการดำเนินงานในการพัฒนาสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบาย 3S คือ ความปลอดภัยของอาหาร ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร และความยั่งยืนภาคการเกษตร ขับเคลื่อนโดยกรอบยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวด้านการเกษตร
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ผลักดันการดำเนินการพัฒนาภาคการเกษตรในรูปแบบระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เน้นการพัฒนาแบบบูรณาการทรัพยากรธรรมชาติทั้ง 5 อย่างเข้าด้วยกัน ได้แก่ ระบบนิเวศ ดิน ป่าไม้ ที่ดิน และน้ำ ยึดหลักเกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฏีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรธรรมชาติ และวนเกษตร โดยการพัฒนาในรูปแบบนี้จะครอบคลุมถึงวิถีชีวิตของเกษตรกร กระบวนการผลิต และการจัดการทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศวิทยาในการเกษตร จนนําไปสู่การพึ่งตนเองและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระดับโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ FAO ในครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด และจะนำไปสู่การตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 1 และ 2 เกี่ยวกับการขจัดความยากจน หิวโหย และความอดอยากทุกรูปแบบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับการนำเสนอสินค้าเกษตร Special Agricultural Products (SAPs) ให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ในโครงการหนึ่งประเทศหนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทย ซึ่งสินค้า SAP จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์เกษตรสีเขียวที่มีเอกลักษณ์ ด้านแหล่งผลิต ขั้นตอนการผลิต การแปรรูป และรสชาติโดยสินค้าเกษตรที่จะหยิบยกขึ้นเป็นสินค้าเกษตร SAP คือทุเรียนไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์ของแหล่งผลิต มีอัตลักษณ์ด้านกลิ่น รสชาติ และลักษณะเนื้อ เป็นสินค้าที่ขึ้นทะเบียน GI เป็นทุเรียนระดับพรีเมียมที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากทุเรียนต่างชาติอย่างชัดเจน ซึ่งอัตลักษณ์ของความเป็นทุเรียนไทยนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้า ทุเรียนไทยเป็นสินค้าเกษตรไทยที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกสูงที่สุด ซึ่งอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปีในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องและมั่นคง โดยในปีนี้ แนวโน้มการส่งออกทุเรียนไทยจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40 ซึ่งเทียบเท่ากับราวร้อยละ 2.5 ของ GDP ของไทย
ทั้งนี้ การปลูกทุเรียนไทยเป็นการปลูกในรูปแบบเกษตรยั่งยืนและเกษตรสีเขียว โดยการแซมแปลงทุเรียนด้วยพืชสมุนไพรเพื่อป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชโดยไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ก่อให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำธรรมชาติ สวนทุเรียนไทยตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขา ซึ่งต้นทุเรียนเป็นพืชที่มีรากแก้ว สามารถยึดเกาะพื้นดินได้แน่นและสามารถอุ้มน้ำได้ดี จึงมีส่วนช่วยในการรักษาทรัพยากรดิน น้ำ และระบบนิเวชได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการป้องกันการเกิดน้ำป่าไหลหลากและหน้าดินถล่ม นอกจากนี้ การปลูกทุเรียนไทยเป็นในลักษณะวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ มีระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ทุเรียนไทยได้รับมาตรฐาน GAP เป็นส่วนสำคัญในการขยายตลาดการส่งออกอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 | วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ ๑
วันพุธที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ ๑
วันพุธที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔
*****
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ท่านนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน
และ ฯพณฯ ทั้งหลาย
ก่อนอื่น ผมขอร่วมแสดงความยินดีและร่วมต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีมอร์ริสันสู่การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ ๑ ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมประจำปีครั้งแรกหลังจากที่มีความสัมพันธ์กันมา ถึง ๔๗ ปี โดยนับแต่นี้เป็นต้นไป ผู้นำอาเซียนและออสเตรเลียจะได้แลกเปลี่ยนทัศนะกันเป็นประจำทุกปีเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันให้มีพลวัต แน่นแฟ้น ครอบคลุม และลึกซึ้งได้มากยิ่งขึ้น และผมขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณ สปป. ลาว ในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลียที่ทำหน้าที่ประสานงานได้อย่างดียิ่ง
ภายใต้บริบทการแข่งขันกันของมหาอำนาจและความท้าทายที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการจัดตั้งหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคง หรือ AUKUS (ออ-กัส) ไทยและอาเซียนได้ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด และหวังที่จะเห็นการดำเนินการต่าง ๆ นำไปสู่ความร่วมมือที่สร้างสรรค์ มุ่งเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียน และสอดคล้องกับหลักการภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการส่งเสริมเป้าหมายร่วมกันที่จะทำให้ภูมิภาคนี้มีสันติภาพเสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ การเสริมสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูในทุกมิติอย่างยั่งยืนหลังโควิด-๑๙ เพื่อนำมาซึ่งความผาสุกของประชาชน ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายปรารถนา โดยไม่ประสงค์เห็นการเผชิญหน้า การแข่งขัน หรือ ความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การบั่นทอนเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ดังนั้น อาเซียนจึงยินดีที่ออสเตรเลียได้แสดงความยึดมั่นในความเป็นแกนกลางของอาเซียน สนับสนุนกลไกที่อาเซียน มีบทบาทนำ และ AOIP (เอโอไอพี) รวมทั้งหวังที่จะเห็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในอินโด-แปซิฟิก เช่น ในด้านการเชื่อมโยง ซึ่งสอดคล้องกับข้อริเริ่มหุ้นส่วนด้านการเชื่อมโยงของออสเตรเลียที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพในภูมิภาค เป็นต้น
อย่างไรก็ดี โดยที่โควิด-๑๙ ยังต้องอยู่กับเราไปอีกระยะหนึ่ง การจัดการกับปัญหาดังกล่าว จึงยังมีความสำคัญลำดับต้นที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในยุคหลังโควิด-๑๙ ดังนั้น ผมขอเสนอการส่งเสริมความร่วมมือใน ๓ ด้าน ดังนี้
หนึ่ง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข โดยการเข้าถึงวัคซีนอย่างเป็นธรรม ทั่วถึง และรวดเร็วยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับอาเซียน ผมยินดีที่ออสเตรเลียได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนวัคซีนโควิด-๑๙ ให้อาเซียนภายใต้ข้อริเริ่มการเข้าถึงวัคซีนในภูมิภาคและความมั่นคงทางสุขภาพ รวมทั้งในระดับทวิภาคี กับบางประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงไทย ขณะเดียวกัน อาเซียนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาไปสู่การมีความมั่นคงและสามารถพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ออสเตรเลียจึงอาจพิจารณาสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานนี้ อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้าน การวิจัยและพัฒนาวัคซีน และการจัดทำฐานข้อมูลด้านวัคซีนในระดับภูมิภาค
สอง ความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการเจรจาเพื่อยกระดับ FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชน มีความทันสมัยและเกื้อกูลกับความตกลง RCEP ขณะเดียวกันไทยขอเชิญชวนให้ออสเตรเลียร่วมกันส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ซึ่งจะเป็นการรักษาสมดุลระหว่างมนุษย์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ และพลังงานหมุนเวียนจากพลาสติก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานสีเขียวและลดปริมาณขยะจากพลาสติก ผมเชื่อมั่นว่า โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นแนวทางสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มพูนความร่วมมือทางไซเบอร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นในยุคดิจิทัล โดยใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มอาเซียน-ออสเตรเลียในการเป็นหุ้นส่วนด้านการเมืองและความมั่นคง ในการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนข่าวสารและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และประเมินภัยคุกคามทางไซเบอร์
สาม ความร่วมมือในการฟื้นฟูความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ในช่วงที่ภาวะการเดินทางชะงักงัน การปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนไม่ควรหยุดนิ่งไปด้วย จึงควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดพรมแดนระหว่างกัน อย่างน้อยในเบื้องต้นให้นักเรียนนักศึกษาสามารถเดินทางกลับไปศึกษาหรือศึกษาต่อได้ หลังจากนั้น จึงเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้มาตรการและเงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ ตลอดจนการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านศิลปะ วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ หรือการสร้างคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และความเข้าใจซึ่งกันและกันในระดับประชาชนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและไม่ขาดตอน
สุดท้ายนี้ ผมขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินความร่วมมือที่สร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างบรรยากาศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เอื้อต่อการฟื้นฟูและการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน เพื่อพลิกโฉมประเทศและภูมิภาคของเราให้พร้อมสำหรับ Next Normal รวมถึงความท้าทายรูปแบบใหม่ ๆ และในโอกาสที่ไทย จะเป็นเจ้าภาพเอเปคปี ๒๕๖๕ ผมหวังว่า จะได้ให้การต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีมอร์ริสันที่ประเทศไทย ซึ่งจะตรงกับการครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับออสเตรเลียด้วย
ขอบคุณครับ
*****
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (1 ก.ย.64) | วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564
โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (1 ก.ย.64)
สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564
อัปเดต “ศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม”อำนวยความสะดวกให้ประชาชน พื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ฉีดวันที่ 1 ก.ย.64 จำนวน 900 คน
ฉีดไปแล้ว 13,400 คน
ต้องฉีดอีก 19,600 คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยโควิด BA.5 หลบวัคซีนได้ดีกว่า ทำติดเชื้อซ้ำได้ ต้องฉีดเข็มกระตุ้น | วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
สธ.เผยโควิด BA.5 หลบวัคซีนได้ดีกว่า ทำติดเชื้อซ้ำได้ ต้องฉีดเข็มกระตุ้น
กระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดสายพันธุ์ BA.4/BA.5 แพร่เร็วกว่าและมีแนวโน้มความรุนแรงมากกว่า BA.2 รวมถึงมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน 3 เข็ม ได้ดีกว่า BA.2 ทำให้ติดเชื้อซ้ำได้ แนะประชาชนฉีดเข็มกระตุ้นหากฉีดเข็มสุดท้ายนานกว่า 3-4 เดือน
กระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดสายพันธุ์BA.4/BA.5 แพร่เร็วกว่าและมีแนวโน้มความรุนแรงมากกว่า BA.2 รวมถึงมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน 3 เข็ม ได้ดีกว่า BA.2 ทำให้ติดเชื้อซ้ำได้ แนะประชาชนฉีดเข็มกระตุ้นหากฉีดเข็มสุดท้ายนานกว่า 3-4 เดือน ร่วมกับคงมาตรการป้องกันตนเอง ส่วน BA.2.75 ยังต้องติดตามข้อมูลต่อเนื่อง เตรียมทำน้ำยาเฉพาะให้พื้นที่ตรวจเบื้องต้นได้ในสัปดาห์หน้า
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 และการติดตามภูมิคุ้มกันของคนที่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 ต่อBA.5 ว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-22 กรกฎาคม 2565) ได้ตรวจเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19จำนวน 468 ราย พบเป็นสายพันธุ์BA.4/BA.5 มากสุดจำนวน 320 ราย คิดเป็น 68.38% ส่วนสายพันธุ์ BA.2 พบ 143 ราย คิดเป็น 30.56% และสายพันธุ์ BA.1 อีก 5 ราย คิดเป็น 1.07% โดยใน กทม.พบ BA.4/BA.5 80% มากกว่าภูมิภาคที่พบ 60% แสดงว่า BA.4/BA.5 แพร่เร็วกว่า BA.1 และ BA.2 สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งเมื่อถอดรหัสพันธุกรรมพบว่าเป็น BA.5 ประมาณ 75% และ BA.4 ประมาณ 25%
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ส่วนความรุนแรง จากการเปรียบเทียบกลุ่มอาการไม่รุนแรงและรุนแรงในช่วงดังกล่าว พบว่า ในพื้นที่ กทม. ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง 122 ราย พบเป็นBA.4/BA.5 77.05% กลุ่มอาการรุนแรงพบ 87.04% พื้นที่ต่างจังหวัด กลุ่มอาการไม่รุนแรง 345 ราย พบ 55.61% กลุ่มรุนแรง 53 ราย พบ 73% หากพิจารณาข้อมูลตั้งแต่วันที่ 2-22 กรกฎาคม 2565 พบว่า พื้นที่ กทม. ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง 475 ราย พบเป็น BA.4/BA.576% อาการรุนแรง 101 ราย พบ 78.22% และภูมิภาค อาการไม่รุนแรง 774 คน พบ 41.99% อาการรุนแรง 137 รายพบ 59.12% ซึ่งจากการพบสัดส่วนของ BA.4/BA.5 ในผู้ป่วยอาการรุนแรงสูงกว่า จึงอนุมานได้ว่าถ้าติดเชื้อ BA.4/BA.5 น่าจะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่า
สำหรับสายพันธุ์BA.2.75 ตำแหน่งที่กลายพันธุ์ คือ G446S และ Q493R ทำให้จับกับเซลล์ปอดมนุษย์ได้มากขึ้น จึงทำให้น่าเป็นห่วงว่าจะแพร่ค่อนข้างเร็วหรือหลบภูมิคุ้มกันได้ อาจติดเชื้อซ้ำหรือทำให้วัคซีนมีประสิทธิผลลดลง แต่ทั้งหมดเป็นการดูจากตำแหน่งที่กลายพันธุ์ ต้องติดตามข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงต่อไป โดยขณะนี้ยังไม่สามารถตรวจสายพันธุ์ BA.2.75 ได้ในพื้นที่ ต้องใช้การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ดังนั้น หากพบสายพันธุ์ที่ไม่เข้ากับ BA.2 BA.4 BA.5 จะต้องส่งมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว แต่ประมาณสัปดาห์หน้าจะผลิตน้ำยาตรวจเฉพาะ BA.2.75 เพื่อให้พื้นที่ตรวจเบื้องต้นได้เร็วขึ้น
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า กรมฯ ได้ศึกษาภูมิคุ้มกันของคนที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็ม 3 ต่อสายพันธุ์ย่อยโอมิครอนBA.5 ตามวิธีมาตรฐาน โดยเพาะเชื้อแล้วนำมาทดสอบกับภูมิคุ้มกันในน้ำเลือดของคนที่ฉีดวัคซีน 3 เข็มหลัง 2 สัปดาห์โดยวิธีPlaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ในห้องแล็บความปลอดภัยระดับ 3 พบว่า สูตรซิโนแวค 2 เข็มตามด้วย แอสตร้าเซนเนก้า ภูมิคุ้มกันต่อBA.2 ที่ 203.5 เมื่อเป็น BA.5 ลดลงเหลือ 89.79 สูตรซิโนแวค 2 เข็ม ตามด้วย ไฟเซอร์ ภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ที่ 345.8 เมื่อเป็น BA.5 ลดลงเหลือ 153.8 สูตรแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ตามด้วย ไฟเซอร์ ภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ที่ 226.2 เมื่อเป็น BA.5 ลดลงเหลือ 86.51 และสูตรซิโนแวค ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ที่ 84.60 เมื่อเป็น BA.5 ลดลงเหลือ 43.60 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศ ที่พบว่าหลังติดเชื้อ BA.1 BA.2 ประมาณ 2 สัปดาห์ และ 4 สัปดาห์ เมื่อเป็นเชื้อ BA.4/BA.5 ภูมิคุ้มกันจะลดลงประมาณ 3 เท่า จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงติดเชื้อซ้ำได้ แต่แม้สายพันธุ์ BA.5 จะหลบภูมิคุ้มกัน
จากวัคซีนได้ดีกว่า BA.2 แต่ยังป้องกันโรคได้พอสมควร จึงขอให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็ม 2 หรือเข็ม 3 นานแล้วมารับเข็มกระตุ้น เนื่องจากวัคซีนทุกสูตรเมื่อผ่านไป 3-4 เดือน ภูมิคุ้มกันจะลดลง ร่วมกับการใช้มาตรการป้องกันตนเอง Universal Prevention ด้วยการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง จะช่วยลดโอกาสรับและแพร่เชื้อได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รองปลัด กษ. เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาวาระการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ | วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2564
รองปลัด กษ. เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาวาระการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
รองปลัด กษ. เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาวาระการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ผ่านระบบ Video Conference (Zoom Meeting) จากห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเตรียมการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เป็นประธาน โดยกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดเตรียมข้อมูลในส่วนของผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2564 แผนงาน/โครงการ การขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2565 และสถานการณ์การผลิต การตลาด และแนวโน้มของเกษตรอินทรีย์ รวมถึงการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง
สำหรับข้อมูลพื้นที่เกษตรอินทรีย์และจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ของไทย ได้มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รวบรวมผลการดำเนินงาน โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2563 มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 523,162.83 ไร่ มีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ 53,315 ราย อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอประธานอนุกรรมการลงนามแต่งตั้งผู้แทนเกษตรกร ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47778 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล แจงสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน” ยังไม่ชัดเจน นายกฯ ฝากประชาชนขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย อย่าเพิ่งตื่นตระหนก | วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาล แจงสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน” ยังไม่ชัดเจน นายกฯ ฝากประชาชนขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย อย่าเพิ่งตื่นตระหนก
โฆษกรัฐบาล แจงสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน” ยังไม่ชัดเจน นายกฯ ฝากประชาชนขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย อย่าเพิ่งตื่นตระหนก
วันที่ 10 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงกรณีความห่วงกังวลเกี่ยวกับการพบเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ ในสาธารณรัฐไซปรัส โดยมีการตั้งชื่อว่า “เดลตาครอน (Deltacron)” ซึ่งเป็นการผสมผสานพันธุกรรมระหว่างสายพันธุ์เดลต้ากับสายพันธุ์โอมิครอน และพบผู้ติดเชื้อแล้วจำนวน 25 ราย นั้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลรายงานที่เป็นทางการออกมา อย่างไรก็ดี ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการติดตามข้อมูลจากทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกัน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจำนวน 25 ตัวอย่างจากฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” ซึ่งทางไซปรัสได้อัปโหลดไว้ มาวิเคราะห์และพบว่ารหัสพันธุกรรมทั้ง 25 ตัวอย่างบ่งชี้ว่าเป็นสายพันธุ์เดลตา ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนสารพันธุกรรมของโอมิครอนเข้ามาระหว่างการถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ข้อมูลดังกล่าวยังคงไม่ชัดเจน จึงอาจต้องใช้เวลาเก็บรวบรวมข้อมูลสักระยะ
นอกจากนี้ จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสระดับโลก ชี้ว่า กรณีการพบเชื้อสายพันธุ์ลูกผสมดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดจากการปนเปื้อนระหว่างสายพันธุ์เดลต้ากับสายพันธุ์โอมิครอนภายในห้องปฏิบัติการ เนื่องจากตัวอย่างทั้งหมดไม่ได้มาจากคลัสเตอร์เดียวกัน
นายธนกรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดเกี่ยวกับกรณีการพบเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ “เดลตาครอน” จึงขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งตระหนกตกใจเกินไป พร้อมขอให้มั่นใจว่า หากเกิดสายพันธุ์ลูกผสมขึ้นจริง หน่วยงานทางการแพทย์ของไทยมีบุคลากร ความรู้ ความสามารถจะสามารถตรวจพบได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหน ขอให้ประชาชนยังคงเฝ้าระวังและป้องกันตนเองตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50378 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวมพลังส่งต่อความช่วยเหลือ “เตียงกระดาษ” สู้ภัยโควิด ประชาชนปลอดภัย ประเทศไทยอยู่รอด‼ | วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
รวมพลังส่งต่อความช่วยเหลือ “เตียงกระดาษ” สู้ภัยโควิด ประชาชนปลอดภัย ประเทศไทยอยู่รอด‼
พลเอก ชูชาติ บัวขาว รองปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาโควิด-19
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ส่งมอบสิ่งของบริจาคให้กับโรงพยาบาลบุษราคัม เพื่อช่วยไทยพ้น COVID-19 ระลอกใหม่! ประกอบด้วย เตียงสนามกระดาษจำนวน 180 เตียง พร้อมเครื่องนอน จำนวน 180ชุด และฉากกั้น จำนวน 50 ชุด ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และมอบให้ พลตรี กัณฑ์ชัย ประจวบอารีย์ รองเจ้ากรมการสรรพกำลังกลาโหม เป็นผู้แทนในการส่งมอบเตียงสนามพร้อมเครื่องนอน จำนวน 10 ชุด ให้กับโรงพยาบาลเอราวัณ 2 (เขตหนองจอก) โดยเป็นการส่งต่อความช่วยเหลือในภาวะเร่งด่วนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้โรงพยาบาลต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก สำหรับเตียงสนามและเครื่องนอนดังกล่าวนี้จะช่วยยกระดับความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยได้ทันต่อสถานการณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43292 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลอนุมัติกฎหมายคุ้มครองแรงงานนอกระบบ | วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
รัฐบาลอนุมัติกฎหมายคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลดูแลแรงงานไทยที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น เกษตรกร ผู้ค้าร้านแผงลอย คนขับแท็กซี่ รวมกว่า 20 ล้านคน โดยอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกอบอาชีพ มีความปลอดภัยในการทำงาน มีหลักประกันทางสังคม และสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งเป็นองค์กรสร้างอำนาจต่อรองให้เกิดความเป็นธรรมในการจ้างงานได้ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการในระดับชาติที่จะรับข้อเสนอจากองค์กรแรงงานและเสนอแนวทางเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบต่อคณะรัฐมนตรี และให้มีกองทุนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดูแลสวัสดิภาพแรงงานนอกระบบด้วย
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50207 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน กศน. ตำบลป่าตอง | วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564
“ชัยวุฒิ” เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน กศน. ตำบลป่าตอง
“ชัยวุฒิ” เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน กศน. ตำบลป่าตอง
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชนกศน.ตำบลป่าตองปักหมุดเป็นสถานที่ให้คนในชุมชนทุกกลุ่มเข้าถึงการเรียนรู้ระบบไอทีและคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ต่อยอดพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตเปิดช่องทางขายสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชนผ่านออนไลน์ตั้งเป้าปีหน้าทำงานร่วมกับศธ.อปท.และหน่วยราชการอื่นๆขยายศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มอีก2,000แห่งทั่วประเทศ
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชนกศน.ตำบลป่าตองอำเภอกะทู้จังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับชุมชนภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลสู่ไทยแลนด์4.0โดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีได้มอบนโนยายให้กระทรวงดิจิทัลฯส่งเสริมสนับสนุนการสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านดิจิทัลให้กับทุกชุนชนทั่วทั้งประเทศ
โดยศูนย์ฯแห่งนี้ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้และการพัฒนาทักษะของกลุ่มเป้าหมายในชุมชนครอบคลุมทั้งประชาชนในชุมชนนักเรียนนักศึกษาผู้ประกอบการร้านค้าและผู้นำชุมชนเพื่อให้ก้าวทันเทรนด์โลกยุคใหม่ในการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าถึงความรู้และทักษะใหม่ๆเพื่อต่อยอดสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ผ่านทางออนไลน์และโซเชียล
สำหรับการดำเนินภารกิจของศูนย์ดิจิทัลชุมชนกศน.ตำบลป่าตองได้มีการให้บริการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เครื่องพิมพ์(Printer)สัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง(บรอดแบนด์)บริการห้องประชุมในรูปแบบของco-working spaceพร้อมอุปกรณ์แก่ชุมชนโดยให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายรวมทั้งจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลการขายสินค้าออนไลน์การสร้างเพจโฆษณาสินค้าสำหรับชุมชน
นายชัยวุฒิกล่าวว่าในปีต่อไปกระทรวงดิจิทัลฯมีเป้าหมายจัดทำศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มอีก2,000แห่งโดยจะร่วมทำงานกับหน่วยงานอื่นๆได้แก่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)และหน่วยราชการอื่นๆที่มีความพร้อมในด้านสถานที่ที่จะให้กระทรวงฯได้จัดโครงการที่จะประกอบด้วยระบบไอซีทีคอมพิวเตอร์ระบบอินเทอร์เน็ตระบบที่จะช่วยในการขายของออนไลน์โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำที่ช่วยให้ความรู้ดูแลการทำงานในศูนย์ฯเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ศูนย์ดิจิทัลชุมชนเป็นสถานที่ในการเรียนรู้ระบบไอทีและคอมพิวเตอร์ และได้นำระบบที่เรามีไปใช้ในการพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไป
“ต้องขอขอบคุณบริษัทไปรษณีย์ไทยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯที่ให้ความร่วมมือกับศูนย์ดิจิทัลชุมชนทุกแห่งทั่วประเทศในการไปส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนเรียนรู้ที่จะขายของออนไลน์ผ่านเว็บไซต์thailandpostmart.comของไปรษณีย์ไทยเป็นข่องทางหนึ่งสำหรับการขายสินค้าในชุมชนสินค้าเกษตรอาหารแปรรูปต่างๆผ่านระบบออนไลน์และจัดส่งโดยไปรษณีย์ไทยซึ่งอันนี้ก็พิสูจน์ว่าเราได้ทำมาอย่างดีประสบความสำเร็จผมเชื่อว่าถ้าเราส่งเสริมกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ต่อไปนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ประชาชนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”นายชัยวุฒิกล่าว
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เข้ารับตำแหน่ง มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติ ผลักดัน FTA ไทย-ตุรกี พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เข้ารับตำแหน่ง มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติ ผลักดัน FTA ไทย-ตุรกี พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เข้ารับตำแหน่ง มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติ ผลักดัน FTA ไทย-ตุรกี พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางแซรัป แอร์ซอย (H.E. Mrs. Serap Ersoy) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ที่ได้เข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย ไทยยินดีที่จะสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-ตุรกีให้ก้าวหน้าต่อไป พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จากจุดเด่นที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน เช่น ทำเลที่ตั้งในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค ความเป็นพหุสังคม เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน และ ACD และสอดคล้องกับนโยบาย Asia Anew ของตุรกีที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น
ด้านเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ไทยและตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นมิตรประเทศกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งไทยถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญของตุรกีมีศักยภาพในการเป็นประตูเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาค ตลอดจนเป็นประตูสู่ความร่วมมือในระดับอาเซียน พร้อมกล่าวยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ไทย – ตุรกีให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น สานต่อความร่วมมือที่อยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันให้เป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้ง การเจรจาจัดทำความตกลงFTA ระหว่างกัน และความร่วมมือระดับภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ต่างเห็นพ้องว่า ไทยและตุรกียังมีศักยภาพระหว่างกันในอีกหลายมิติ โดยได้หารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้
- ด้านเศรษฐกิจ ตุรกียินดีที่จะแสวงหาความร่วมมือในการเสริมสร้างการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายในสาขาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการเร่งเจรจาจัดทำความตกลง FTA ไทย - ตุรกี ให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 เพื่อโอกาสการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตตุรกีฯ ยินดีที่จะให้ส่งเสริมนักลงทุนไทยให้ลงทุนในตุรกีอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนตุรกีเข้ามาลงทุนในเขต EEC เพิ่มมากขึ้น พร้อมเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทยและแผนปฏิบัติการ Green Deal ของตุรกี ซึ่งทางเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เห็นพ้องและชื่นชมวิสัยทัศน์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียว สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการของรัฐบาลตุรกี
- ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีเห็นควรที่จะผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผ่านการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งไทยมีความพร้อมในการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจาก ต่างประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป โดยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะพิจารณาเพิ่มเติมรายชื่อประเทศและพื้นที่ต้นทางต่อไปตามสถานการณ์ ด้านเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ยินดีที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยหวังว่าจะเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากขึ้นในทั้งสองเส้นทางบิน เมื่อการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
- ด้านสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีชื่นชมศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขของตุรกี อาทิ การพัฒนาและผลิตวัคซีน TurkoVac (เทิร์คโคแวก) การฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนอย่างรวดเร็ว ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาและวิจัยวัคซีนเช่นเดียวกัน
- ด้านการป้องกันประเทศ นายกรัฐมนตรียินดีที่จะร่วมมือในระยะยาวกับตุรกีเพื่อสร้างความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งทางเอกอัครราชทูตตุรกีฯ เห็นพ้องที่จะร่วมมือและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะให้ทั้งสองฝ่ายขยายความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ โดยเฉพาะด้านเกษตรอัจฉริยะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเพื่อให้เกิดความร่วมมือในมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนหลังโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบชุดตรวจโควิด ATK 6,461 ชุด นำไปใช้ค้นหาผู้ติดเชื้อใน กทม. | วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564
“อนุทิน” รับมอบชุดตรวจโควิด ATK 6,461 ชุด นำไปใช้ค้นหาผู้ติดเชื้อใน กทม.
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบชุดตรวจโควิด ATK (Antigen Test Kit) 6,461 ชุด จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.) รุ่นที่ 61 สนับสนุนภารกิจการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบชุดตรวจโควิดATK (Antigen Test Kit)6,461 ชุด จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.) รุ่นที่ 61 สนับสนุนภารกิจการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก
วันนี้ (9 สิงหาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบชุดตรวจโควิดATK (Antigen Test Kit) 6,461 ชุด มูลค่า 1,260,000 บาท จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.) รุ่นที่ 61 โดยมี พลโท นักรบ บุญบัวทอง ที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และคณะ เป็นผู้แทน
อนุทินกล่าวว่า ในนามกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธา ที่นำสิ่งของที่เป็นประโยชน์มามอบให้ซึ่งชุดตรวจที่ได้รับในวันนี้ ผ่านการรับรองขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้มาตรฐาน สามารถนำไปใช้ในภารกิจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ซึ่งขณะนี้ยังพบการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง การนำชุดตรวจ ATK เข้าไปค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน จะช่วยคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนและครอบครัวได้รวดเร็ว ลดการแพร่ระบาดลงได้ แต่หากพบติดเชื้อ และไม่มีอาการจะนำเข้าสู่ระบบดูแลรักษาที่บ้าน Home Isolation โดยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ วิดิโอคอลติดตามประเมินอาการวันละ 2 ครั้ง พร้อมจัดส่งปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาพื้นฐานอื่นๆ และอาหาร 3 มื้อถึงบ้าน ขอให้ความมั่นใจว่า สิ่งของที่นำมามอบให้จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยเร็ว และจะช่วยแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19ในขณะนี้ได้
********************************* 9 สิงหาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44578 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้ผู้บริหารบริษัท ฟินโนล่าร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และคณะเข้าพบ | วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2565
รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้ผู้บริหารบริษัท ฟินโนล่าร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และคณะเข้าพบ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้นายเอซ่า โยฮานเนส อเรว่า (Mr. Esa Johannes Areva) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ฟินโนล่าร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และประธานบริษัท ซาโล เทค (ไทยแลนด์) และคณะเข้าพบ
รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้ผู้บริหารบริษัท ฟินโนล่าร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และคณะเข้าพบ
วันนี้ (8 มีนาคม 2565) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้นายเอซ่า โยฮานเนส อเรว่า (Mr. Esa Johannes Areva) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ฟินโนล่าร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และประธานบริษัท ซาโล เทค (ไทยแลนด์) และคณะเข้าพบ เพื่อแนะนำบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์อย่างครบวงจร และหารือเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนเพื่อการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัทฯ ในประเทศไทย
โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายกฤศ จันทร์สุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามเร่งรัดการศึกษา แผนพัฒนาโครงข่าย MR-Map | วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามเร่งรัดการศึกษา แผนพัฒนาโครงข่าย MR-Map
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการประชุมขับเคลื่อนการศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายMR-Mapเมื่อวันที่23กุมภาพันธ์2565เวลา 15.30น.ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference)ด้วยระบบZoom Cloud Meetingsโดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานศึกษาจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง
(MR-Map) ของ ทล. โดยปัจจุบัน ทล. ได้จัดทำร่างแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-Map)แล้วเสร็จ10เส้นทางโดยมีปรับแนวเส้นทางบางช่วงทำให้มีระยะทางรวมประมาณ7,003 กิโลเมตรโดยมีเส้นทางที่พัฒนาเป็นมอเตอร์เวย์ร่วมกับระบบรางมีระยะทางทั้งหมด4,321 กิโลเมตรแบ่งเป็นแนวเหนือ - ใต้3เส้นทาง แนวตะวันออก - ตะวันตก6เส้นทาง
ผลการดำเนินงานในโครงการนำร่องฯ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางMR2กรุงเทพฯ/ชลบุรี (แหลมฉบัง) - หนองคาย(ด่านหนองคาย) ช่วงนครราชสีมา - แหลมฉบัง เส้นทางMR5กาญจนบุรี(ด่านเจดีย์สามองค์) - อุบลราชธานี (สะพานมิตรภาพแห่งที่6)ช่วงนครราชสีมา - อุบลราชธานีและเส้นทางMR8ชุมพร - ระนองโดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบเส้นทางเบื้องต้น และได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงการโดยบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองร่วมกับระบบราง แต่ยังมีข้อกังวลในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
1.โครงข่ายแนวเส้นทางควรหลีกเลี่ยงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ชุมชนเมืองให้มากที่สุดโดยควรพิจารณาให้รอบคอบเรื่องการเวนคืนพื้นที่พร้อมกันทั้งมอเตอร์เวย์และระบบรางและความเป็นไปทางกฎหมายร่วมด้วย และการจัดลำดับความสำคัญของแผนแม่บทเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนและประชาชน
2.ประเด็นการออกแบบแนวเส้นทาง โดยในการออกแบบมอเตอร์เวย์ควรมีถนนบริการและจุดกลับรถในพื้นที่ที่ผ่านชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเข้า - ออกพื้นที่ ควรมีการออกแบบเป็นทางยกระดับในพื้นที่ที่ต้องผ่านชุมชนหรือพื้นที่ที่เป็นที่ราบลุ่มต่ำ และสิ่งสำคัญในการออกแบบ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่ระบายน้ำ/พื้นที่น้ำท่วมอีกทั้งขอให้พิจารณาการใช้เขตทางให้เหมาะสมทั้งมอเตอร์เวย์และทางรถไฟ
ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีข้อสั่งการ เน้นย้ำการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า ลดผลกระทบกับประชาชน และเส้นทางที่ออกแบบจะต้องสั้นและตัดตรง ซึ่งจะต้องพิจารณาการใช้โครงสร้างอุโมงค์และสะพานบก เพื่อทำให้เส้นทางมีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยโดยพิจารณาผลกระทบด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้รอบด้าน โดยโครงการที่จะเป็นนำร่องที่จะต้องพิจารณาความพร้อมถึงในขั้นการออกแบบในระดับDefinitive Designเพื่อที่จะสามารถกำหนดกรอบวงเงินการลงทุน ที่ให้จะสามารถดำเนินการหาผู้รับจ้างเพื่อผลักดันโครงการให้เป็นรูปธรรมรวมถึงการทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เช่น การสร้างความรับรู้ของประชาชน รวมถึงการทำRoadshowของโครงการทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางMR8(ชุมพร - ระนอง) เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51914 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก 3 จังหวัด EEC ปี 2565 ฟื้นตัวทั้งอุปสงค์-อุปทานโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 51.9% | วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565
วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก 3 จังหวัด EEC ปี 2565 ฟื้นตัวทั้งอุปสงค์-อุปทานโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 51.9%
จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 1,087 โครงการ จำนวน 71,831 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 238,253 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -5.2
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564 พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทราหรือพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด พบว่า ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 1,087 โครงการ จำนวน 71,831 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 238,253 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -5.2 มูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -6.9
แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 48,898 หน่วย มูลค่า 138,271 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 22,933 หน่วย มูลค่า 99,981 ล้านบาท มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 7,588 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,124 หน่วย มูลค่า 16,051 ล้านบาท อาคารชุด 2,464 หน่วย มูลค่า 6,472 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 60,480 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -6.8 มีมูลค่าหน่วยเหลือขายรวม 203,892 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -8.3
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวด้านการขาย พบว่ามีหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จำนวน 11,351 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 มูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 34,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ 8,348 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 มูลค่า 23,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 ในขณะที่โครงการอาคารชุดขายได้ใหม่จำนวน 3,003 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 มูลค่า 11,216 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -5.2 ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราดูดซับดีขึ้นเล็กน้อย โดยปรับขึ้นจากร้อยละ 2.4 ในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.6 ในช่วงปลายปี 2564
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภายใต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในด้านอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์โดยรวมเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว เมื่อผู้ประกอบการลดการเติมอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้อัตราดูดซับเริ่มดีขึ้น โครงการเหลือขายลดจำนวนลง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรี หน่วยเหลือขายลดลงร้อยละ -13.2 มูลค่าหน่วยเหลือขายลดลงร้อยละ -14.2 ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดถึงร้อยละ 39.4 มูลค่าขายได้ใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.0 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการขายบ้านจัดสรรเป็นหลัก
ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอการขาย ณ ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,393 หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -12.0 คิดเป็นมูลค่า 161,747 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -13.4 เมื่อเทียบกับช่องเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดลดลงอย่างมากโดยมีจำนวน 3,271 หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -48.8 มูลค่า 8,970 ล้านบาท ลดลง – 63.1 แม้จำนวนหน่วยและมูลค่าขายได้ใหม่จะยังคงติดลบถึงร้อยละ -5.1 โดยมีหน่วยขายได้ใหม่เพียง 6,531 หน่วย มูลค่าการขายได้ใหม่ลดดลงถึงร้อยละ – 7.9 คิดเป็นมูลค่า 21,410 ล้านบาท แต่ด้วยเหตุผลที่สินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลงอย่างมาก ส่งผลให้อัตราดูดซับขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.5
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย 3 จังหวัด EEC ปี 2565
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2565 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยในส่วนของอุปสงค์คาดการณ์ว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 โดยเพิ่มจาก 20,192 หน่วย ในปี 2564 เป็น 21,675 หน่วย ในปี 2565 มูลค่าการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 โดยเพิ่มจาก 60,562 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 65,774 ล้านบาท ในปี 2565
ด้านอุปทานคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.9 โดยเพิ่มจาก 13,340 หน่วย ในปี 2564 เป็น 20,270 หน่วยในปี 2565 ขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยหน่วยเหลือขายจะเพิ่มขึ้นจาก 60,480 หน่วย ในปี 2564 เป็น 61,719 หน่วย ในปี 2565 มูลค่าลดลงร้อยละ -4.4 โดยลดลงจาก 203,891 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 195,017 ล้านบาท ในปี 2565 ขณะที่อัตราดูดซับโดยภายรวมยังคงอยู่ในอัตราร้อยละ 2.5
อย่างไรก็ดี ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากตลาดเข้าสู่สภาวะซบเซาต่อเนื่องจากปี 2562 และผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีหน่วยเปิดขายใหม่จำนวน 12,513 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.9 คิดเป็นมูลค่า 44,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 181.2 โดยคาดการณ์ว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 13,916 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 คิดเป็นมูลค่า 46,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 ส่วนหน่วยเหลือขายเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นโดยเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ คาดการณ์ว่าจะมีหน่วยเหลือขาย 40,901 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 คิดเป็นมูลค่า 142,436 ล้านบาท
ส่วนจังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทราคาดการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยในพื้นที่จังหวัดระยองคาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 6,097 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 คิดเป็นมูลค่า 14,679 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -8.9 มีหน่วยขายได้ใหม่ 5,841 หน่วย ลดลงร้อยละ -7.0 คิดเป็นมูลค่า 13,989 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -13.3 ขณะที่มีหน่วยเหลือขาย 15,370 หน่วย ลดลงร้อยละ 12.6 มูลค่า 37,284 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18.4
ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทราคาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,658 หน่วย ลดลงร้อยละ -2.5 คิดเป็นมูลค่า 4,292 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -11.6 มีหน่วยขายได้ใหม่ 1,918 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 คิดเป็นมูลค่า 5,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ขณะที่มีหน่วยเหลือขาย 5,449 หน่วย ลดลงร้อยละ -9.6 มูลค่า 15,297 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.4
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าการฟื้นที่ยังคงเกิดขึ้นในกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร ทั้งในส่วนของโครงการเปิดขายใหม่ และจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ ซึ่งในส่วนของโครงการอาคารชุดแม้จะเริ่มมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวตามสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ และกำลังซื้อที่จะกลับเข้ามาของนักลงทุนจากต่างประเทศเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงเกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “สภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส” ผนึกทุกเครือข่ายเดินหน้าเกษตรออร์กานิค ดันไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน | วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2565
“กระทรวงเกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “สภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส” ผนึกทุกเครือข่ายเดินหน้าเกษตรออร์กานิค ดันไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน
“กระทรวงเกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “สภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส” ผนึกทุกเครือข่ายเดินหน้าเกษตรออร์กานิค ดันไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นประธานพิธีเปิดและปาถกฐาพิเศษ เรื่อง “เกษตรอินทรีย์และเกษตรอินทรีย์พีจีเอส” ที่ โรงแรมรอมารี ดอนเมือง ผ่านระบบออนไลน์โดยนายอลงกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อย่างมาก จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การแปรรูป การบริโภค การค้าสินค้า และการบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลภายใต้ “ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560-2564” โดยมีคณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและคณะกรรมบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เป็นกลไกระดับนโยบายและมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ภายใต้ 3 คณะทำงาน ได้แก่ คณะกรรมการด้านเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสาน และคณะทำงานด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ ได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 2564 – 2565 เดินหน้าจัดทำร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ 2566 - 2570 และร่างพรบ.เกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมกับเห็นชอบให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ รวมทั้งการจัดทำโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Urban Farming) และโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ประการสำคัญคือการจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.แห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม 2564 โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จัดทำหลักเกณฑ์การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) หรือเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน
ทั้งนี้ สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส แห่งประเทศไทย ได้เห็นชอบธรรมนูญของสภาฯ และคณะกรรมการบริหารอย่างเป็นทางการชุดแรก แทนคณะกรรมการบริหารชุดเฉพาะกิจด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรเกษตรอินทรีย์หลักๆ เช่น มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พีจีเอส สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่งประเทศไทย ยังมีกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส ในเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมาก ที่พร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนสภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส และแผนดําเนินงานขับเคลื่อนระบบ พีจีเอส ของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ (1) เพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์ (2) เพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ (3) เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ (4) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาคอาเซียน
อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ต้องให้้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์โดยเชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ทั้ง 77 จังหวัด และศูนย์ความเป็นเลิศ (AIC-Center of Excellence) อย่างใกล้ชิดด้านการวิจัยพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการอบรมบ่มเพาะเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบออนไลน์และออฟไลน์เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระบบทรัพย์สินทางปัญญาและการเชื่อมโยงการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผลผลิตทั้งพืชและสัตว์ กับโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมเกษตรอุตสาหกรรม ตาม 5 ยุทธศาสตร์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ตลาดนำการผลิต, เทคโนโลยีเกษตร4.0, 3S(safety-security-sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน, ศาสตร์พระราชาและบูรณาการเชิงรุกทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมาย 4 ประการ คือ 1. เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ 2. เพิ่มจำนวนเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย 3. เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศต่อตลาดส่งออกโดยให้มีสัดส่วนตลาดในประเทศร้อยละ 40 ต่อตลาดส่งออกร้อยละ 60 และ 4. ยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชนเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส ต้องเปิดกว้างสร้างพันธมิตรทำงานเชิงโครงสร้างและระบบ เปรียบเสมือนคานงัดที่จะสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่ออนาคตของเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57737 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 ชื่นชม ยธ. และ 16 สถาบันการเงิน สร้างโอกาสลูกหนี้ให้พลิกฟื้นชีวิต | วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565
นายกฯ เปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 ชื่นชม ยธ. และ 16 สถาบันการเงิน สร้างโอกาสลูกหนี้ให้พลิกฟื้นชีวิต
นายกฯ เปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 ชื่นชม ยธ. และ 16 สถาบันการเงิน สร้างโอกาสลูกหนี้ให้พลิกฟื้นชีวิต ผ่านโครงการไกล่เกลี่ยหนี้สินฯ ตามประกาศนายกฯ "ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน 2565"
วันนี้ (25 ก.พ. 65) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมมอบโล่รางวัลให้ศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ 9 หน่วยงาน (กรมบังคับคดี) และมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 120 แขวง โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย หัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในพิธีเปิดงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้สิน และปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือการให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ทั้งรายได้ การศึกษา สุขภาพ ที่อยู่อาศัย ให้เกิดความเท่าเทียมในการดำรงชีวิต โดยทุกปัญหาต้องมองทั้งบริบทภายในและภายนอก เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมกับการปรับตัวให้ทันและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันให้มีศักยภาพสูงขึ้นทั้ง up skill และ re skill โดยพยายามส่งเสริมการลงทุนทางด้านเศรษฐกิจกับต่างประเทศ และมีการเตรียมความพร้อมการพัฒนาคนในประเทศควบคู่ด้วย พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยต้องปรับตัวให้พร้อมกับการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยทุกคนจะต้องพัฒนาตัวเองและเตรียมความพร้อมรับกับสถานการณณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ Covid -19 ที่ทำให้การหางานมีความยากลำบากขึ้น ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมกันในการแก้ปัญหาประเทศ โดยไม่ทิ้งปัญหาเหล่านี้ให้ส่งผลในวันหน้า และพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย โดยเดินหน้าแก้ปัญหาต่าง ๆ ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ แม้จะมีความยากลำบากในหลายประการก็ตาม
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่ารัฐบาลได้กำหนดให้ “ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” โดยได้แบ่งแนวทางการดำเนินการออกเป็น 8 ด้าน ได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2. การไกล่เกลี่ยและปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านกลไกธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินของรัฐ 3. การแก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 4. การแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการ 5. การปรับลดและทบทวนโครงสร้างและเพดานอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม รวมทั้งออกมาตรการคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ 6. การแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล 7. การแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย และ SME และ 8. การปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับภาวะหนี้ในปัจจุบัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายให้ทำงานอย่างเต็มที่และร่วมมือกันปฏิบัติตัวตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิค - 19 สำหรับการแก้ปัญหาความยากจน รัฐบาลได้มีการวางแผนแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยมุ่งให้ทุกครอบครัวนั้นอยู่รอด และอยู่ได้อย่างพอเพียง เน้นปฏิบัติในเชิงโครงสร้าง อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคการเงิน ภาคธนาคาร เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่กำหนด คือการแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้ารายครัวเรือน โดยจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจในเชิงพื้นที่เพื่อให้เห็นว่ามีความจนในมิติใดบ้าง ทั้งมิติเชิงเศรษฐกิจ มิติเชิงความรู้ มิติเชิงเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้การแก้ปัญหาความยากจนเป็นเรื่องซับซ้อนมิอาจทำได้เพียง 1 ปี หรือ 2 ปี แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความยั่งยืนไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญของการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ในครั้งนี้ว่า มีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการช่วยเหลือในเรื่องไกล่เกลี่ยหนี้สิน การเจรจาลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ การลดปัญหาในเรื่องการฟ้องร้อง และการถูกยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด ซึ่งต้องขอชื่นชมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คณะทำงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการนำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ ให้ประสบความความสำเร็จอย่างยั่งยืน รวมทั้งขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 16 แห่ง ที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความยากลำบาก โดยหวังว่าหน่วยงานที่เข้าร่วมในกิจกรรมนี้จะช่วยกันสร้างโอกาสให้ลูกหนี้สามารถพลิกฟื้นชีวิตของตนได้ พร้อมทั้งควบคู่ไปกับการให้ความรู้ว่าจะวางแผนทางการเงินอย่างไร และทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นหนี้ อันจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืน และทำให้ประชาชนมีความสุข
.………………………………
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51939 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.เตือนอย่าเชื่อข้อมูลปลอม “อาการโควิด 19 วันต่อวัน” อ้างสรุปจาก สธ. | วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
โฆษก สธ.เตือนอย่าเชื่อข้อมูลปลอม “อาการโควิด 19 วันต่อวัน” อ้างสรุปจาก สธ.
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าเชื่อข้อมูล อาการโควิด 19 วันต่อวัน อ้างสรุปจาก สธ. ย้ำกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ให้ข้อมูล เผยปัจจุบันเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ แนะเข้มมาตรการ VUCA ป้องกันติดและแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าเชื่อข้อมูล อาการโควิด 19 วันต่อวัน อ้างสรุปจาก สธ. ย้ำกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ให้ข้อมูล เผยปัจจุบันเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ แนะเข้มมาตรการVUCA ป้องกันติดและแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ช่วยลดการแพร่ระบาดได้
วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2565) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการโพสต์และแชร์ข้อความในโซเชียลมีเดีย ถึงอาการเตือนของการติดเชื้อโควิด 19 แบบวันต่อวัน ว่าแต่ละวันจะมีอาการอย่างไร โดยอ้างว่าสรุปจากกระทรวงสาธารณสุขนั้น ขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เป็นผู้ให้ข้อมูลดังกล่าว และจากการตรวจสอบพบว่า มีการระบุถึงสายพันธุ์B.1.1.7 ซึ่งก็คือสายพันธุ์อัลฟาที่เคยระบาดในประเทศไทยเมื่อปี 2564 เป็นการนำข่าวปลอมเดิมกลับมาปรับแต่งแล้วแชร์ใหม่ ขอให้กับประชาชนอย่าหลงเชื่อและควรตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก
นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งผู้ติดเชื้อประมาณ 80-90% ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ทำให้อาจติดเชื้อและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัวดังนั้น สิ่งสำคัญคือการเข้มการป้องกันโควิด 19 ตามมาตรการVUCA คือ 1.ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะการฉีดเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการติดเชื้อ ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเกิน 3 เดือนรวมถึงผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนขอให้รีบมารับวัคซีนที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน2.ป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงการเข้าสถานที่เสี่ยงหรือแออัด โดยเฉพาะขณะนี้การติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากการรวมกลุ่มสังสรรค์ และนำมาติดเชื้อในครอบครัวหรือที่ทำงาน ปัจจัยเสี่ยงคือช่วงเวลาที่มีการถอดหน้ากากพูดคุยและรับประทานอาหารร่วมกันจึงยังต้องเข้มป้องกันในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง 3.มาตรการCOVID Free Setting ในสถานประกอบการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัย และ 4.ตรวจ ATK เป็นประจำ ช่วยให้รู้ผลเร็ว หากติดเชื้อจะได้แยกรักษา ซึ่งปัจจุบันเน้นการดูแลที่บ้านและชุมชน (HI/CI First) จะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อต่อ ซึ่งหากทุกคนช่วยกันปฏิบัติมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลงได้
**************************************** 21 กุมภาพันธ์ 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51747 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับ อาร์เอ็กลีฟ เวิลด์ เมดิกา (Rx Leaf World Medica) ตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ระดมผู้เชี่ยวชาญวิจัยสายพันธุ์ ปลูก สกัด ผลิตยาระดับ World Class | วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564
สธ. ร่วมกับ อาร์เอ็กลีฟ เวิลด์ เมดิกา (Rx Leaf World Medica) ตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ระดมผู้เชี่ยวชาญวิจัยสายพันธุ์ ปลูก สกัด ผลิตยาระดับ World Class
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานลงนามความร่วมมือจัดตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศร่วมวิจัยสายพันธุ์และเพาะปลูกพืชกัญชา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานลงนามความร่วมมือจัดตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศร่วมวิจัยสายพันธุ์และเพาะปลูกพืชกัญชา พัฒนาสารสกัดและสูตรทางการแพทย์ วิจัยทางคลินิก เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับโลกและฐานการผลิตยาจากกัญชาระดับ World Class
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2564) ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร (รางน้ำ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศและพิธีลงนามความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ระหว่าง นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนางนงลักษณ์ โกวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท อาร์เอ็กลีฟ เวิลด์ เมดิกา จำกัด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชาทางการแพทย์จากต่างประเทศเข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ให้เกิดเป็นรูปธรรมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย ทั้งการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม ส่งเสริมการปลูก เก็บเกี่ยว การสกัดสารสำคัญมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการแพทย์โดยผลักดัน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ทำให้นำสารสกัดกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และศึกษาวิจัยได้ ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่ามีประโยชน์ในการรักษา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดแล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน, โรคลมชักในเด็กที่รักษายากหรือลมชักที่ดื้อต่อการรักษา, ผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง, ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทที่รักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล และบรรเทาอาการปวด ช่วยให้ผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคองหรือระยะสุดท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังใช้เป็นส่วนประกอบในตัวยาแพทย์แผนไทย และยาแก้นอนไม่หลับ
สำหรับปีงบประมาณ 2565 กระทรวงสาธารณสุขยังเน้นนโยบายส่งเสริมพัฒนาสมุนไพร กัญชา กัญชง กระท่อม และภูมิปัญญาไทย ซึ่งกรมการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานพัฒนาพืชสมุนไพร กัญชา ให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ รายได้ และผู้ป่วยได้เข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัท อาร์เอ็กซ์ ลีฟ เวิลด์ เมดิกา จำกัด ในการจัดตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการวิจัยทางพันธุศาสตร์ของพืชกัญชาทางการแพทย์ พัฒนาสูตรสารสกัด ผลิตยาคุณภาพสูงที่เกิดจากการผสมผสานของกัญชากับพืชสมุนไพรไทย วิจัยทางคลินิกเพื่อการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ของผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน แสดงให้เห็นศักยภาพของประเทศไทย ที่พร้อมเป็นแหล่งความรู้ด้านการวิจัย เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับโลก มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยตั้งเป้าเป็นฐานการผลิตและพัฒนายาสมุนไพรจากกัญชาระดับ World class ในอนาคต
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับบริษัทอาร์เอ็กซ์ ลีฟฯ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิต และจัดจำหน่ายสารสกัดจากพืชเกษตรทางการแพทย์ และสารสกัดจากพืชอื่นๆ ที่ใช้ทางการแพทย์และไม่ได้ใช้ทางการแพทย์ ทั้งในประเทศไทย เอเชีย และประเทศอื่นๆ โดยศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชา ร่วมกันทำงานในรูปคณะกรรมการ 3 คณะ คือ 1.คณะกรรมการอำนวยการศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ กรมการแพทย์2.คณะกรรมการอำนวยการศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ และ 3.คณะกรรมการทางการแพทย์ศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ เพื่อวิจัยสายพันธุ์และการเพาะปลูกพืชกัญชา สารสกัดกัญชาและสูตรทางการแพทย์ การวิจัยทางคลินิกและการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ของผู้ป่วย จัดตั้งศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับโลกระหว่างสถาบันวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ในประเทศต่างๆ เช่น แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และไทย กำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี และจะมีการทำบันทึกข้อตกลงย่อยเป็นรายกรณี เพื่อกำหนดสัดส่วนของผู้มีส่วนร่วมในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้น
สำหรับ บริษัท อาร์เอ็กลีฟ เวิลด์ เมดิกา เป็นบริษัทในเครือของ เอมารา เอเชีย (Amara Asia) จำกัดที่เป็นผู้นำในด้านการปลูกและสกัดกัญชาคุณภาพสูงสำหรับใช้ในทางการแพทย์ มีแปลงปลูกบนพื้นที่ขนาด 67 ไร่ โดยใช้เทคโนโลยีวิธีการแยกสกัดแบบไร้สารตกค้าง Solvent Free ได้ทำให้สารตั้งต้นที่ใช้ในทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ
******************************10 พฤศจิกายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48050 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขปัญหากรณีน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง | วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขปัญหากรณีน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขปัญหากรณีน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขปัญหากรณีน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2565) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมติดตามการแก้ไขปัญหากรณีน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง พร้อมรับทราบผลการควบคุมสถานการณ์-แผนรับมือ หลังเกิดคราบน้ำมันรั่วไหลอีกระลอกวานนี้ (10 ก.พ.65) กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องห้ามให้คราบน้ำมันขึ้นสู่ชายหาดอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน หลังเกรงจะได้รับผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51480 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เมนู “ข้าวซอย” ของไทยสุดเจ๋ง คว้าอันดับ 1 ซุปที่ดีที่สุดจากนักรีวิวทั่วโลก | วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565
เมนู “ข้าวซอย” ของไทยสุดเจ๋ง คว้าอันดับ 1 ซุปที่ดีที่สุดจากนักรีวิวทั่วโลก
.....
ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและภาคภูมิใจของชาวไทย เมื่อเว็บไซต์ TasteAtlas ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหาร โดยนำเสนอแผนที่ที่สามารถค้นหาอาหารต่าง ๆ จากทั่วโลกแบบอินเทอร์แอคทีฟ ได้จัดอันดับ “50 Best Rated SOUPS in the World” หรือ 50 ซุปที่ดีที่สุดจากนักรีวิวทั่วโลก
.
ผลปรากฎว่า เมนู "ข้าวซอย" อาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อภาคเหนือของไทย คว้าอันดับ 1 ไปครอง
.
ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ Salmon Soup จากฟินแลนด์ อันดับ 3 คือ Cullen Skink จากสก็อตแลนด์ อันดับ 4 คือ Ramen จากญี่ปุ่น และอันดับ 5 คือ Tonkotsu ramen จากญี่ปุ่น
.
ขณะที่ เมนูยอดฮิตที่ครองใจชาวต่างชาติอย่าง "ต้มยำกุ้ง" และ "ต้มข่าไก่" ของไทย ก็ได้ติดอันดับ ที่ 13 และอันดับที่ 14 อีกด้วย
.
อ้างอิงจากhttps://www.tasteatlas.com/best-rated-soups-in-the-world
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57756 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยติด Top 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี 2021 | วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2564
ไทยติด Top 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี 2021
.....
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เผย ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index : GHS) อันดับที่ 5 ของโลก จาก 195 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเซีย จากการประเมินความพร้อมของประเทศในการรับมือการแพร่ระบาดโรคติดต่อปี 2021 โดยมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา
.
เป็นการประเมินผ่านตัวชี้วัดที่ครอบคลุมประเด็น การป้องกันการแพร่ระบาด การตรวจหาเชื้อและติดตามดูแลผู้ป่วย การรับมือต่อการแพร่ระบาด ระบบสาธารณสุข การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เป็นต้น
.
โดยประเทศที่อยู่ใน 10 อันดับแรก คือ 1.สหรัฐอเมริกา 2.ออสเตรเลีย 3.ฟินแลนด์ 4. แคนาดา 5.ไทย 6.สโลวาเนีย 7.สหราชอาณาจักร 8. เยอรมนี 9.เกาหลีใต้ และ 10.สวีเดน
.
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณ บุคลากรด่านหน้า ภาคส่วนต่าง ๆ และคนไทยที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด–19 ทำให้ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมในเรื่องการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สะท้อนถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้านสาธารณสุขและการจัดการกับการแพร่ของโรคระบาดที่ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับระดับสากล และเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49320
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49361 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย คาดเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565
Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย คาดเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นต่อเนื่อง
.....
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เผย บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ Baa1 และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
.
1.ไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้
.
2.ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของไทยมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa Peers)
.
3.ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง
.
4.ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Moody’s เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย คือ การเพิ่มระดับการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิต (Productivity Growth) อย่างยั่งยืน
.
5.ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนได้จาก ล่าสุด ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ต่อเนื่อง ในปี 2565 - 2566
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเข้ม...
แจ้งเตือน...
อย่าแชร์...
กรุงเทพฯ...
ปลื้ม...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับแม้ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว เริ่ม 1 มิ.ย. นี้ แต่ทุกฝ่ายยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด | วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2565
นายกรัฐมนตรีกำชับแม้ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว เริ่ม 1 มิ.ย. นี้ แต่ทุกฝ่ายยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรีกำชับแม้ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว เริ่ม 1 มิ.ย. นี้ แต่ทุกฝ่ายยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 5,377 ราย
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด เป็นผลให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง ทำให้รัฐบาลสามารถพิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดเรียนออนไซต์ ให้นักเรียนได้กลับมาเรียนได้อย่างปกติ ล่าสุด ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการให้เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ในพื้นที่สีฟ้า และพื้นที่สีเขียว ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข นายกรัฐมนตรี ได้กำชับ ผู้ประกอบการผับ บาร์ ให้จัดเตรียมสถานที่ให้สะอาด พร้อมให้บริการอย่างปลอด ทั้งนี้ แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แล้ว แต่ก็ขอให้ทุกคนยังคงปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 5,377 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 5,375 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 37 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัว 58,475 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 5,775 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จำนวน 2,183,320 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 2,150,071 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,018 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 13 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 14.4 ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 19 พ.ค. 65 รวม 136,160,472 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,571,194 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 52,157,255 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 24,292,316 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 สะสม 3,139,707 โดส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-แคนาดาฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต จัดทำหนังสือสัมพันธภาพ Amity เสวนาวรรณกรรมไทย - แคนาดาสะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมของสองประเทศ กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไทย-แคนาดาฉล | วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564
ไทย-แคนาดาฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต จัดทำหนังสือสัมพันธภาพ Amity เสวนาวรรณกรรมไทย - แคนาดาสะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมของสองประเทศ กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไทย-แคนาดาฉล
ไทย-แคนาดาฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต จัดทำหนังสือสัมพันธภาพ Amity เสวนาวรรณกรรมไทย - แคนาดาสะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมของสองประเทศ กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น
ไทย-แคนาดาฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต จัดทำหนังสือสัมพันธภาพ Amity เสวนาวรรณกรรมไทย - แคนาดาสะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมของสองประเทศ กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น
วันที่ 8 ธันวาคม 2564 เวลา 14.00 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานเปิดตัวหนังสือสัมพันธภาพ Amity และงานเสวนาวรรณกรรมไทย - แคนาดาในโอกาสฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและแคนาดา โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางซาราห์ เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย นายวิชชุ เวชชาชีวะ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายสกุล บุณยทัต นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ตัวแทนนักเขียนไทย นักเขียนแคนาดาและนักแปล พิธีกรและวิทยากรงานเสวนาฯ เข้าร่วม ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ และมีการถ่ายทอดสดงานผ่านช่องทาง Live Streaming แฟนเพจเฟซบุ๊กกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และแฟนเพจเฟซบุ๊กสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายพัฒนาความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมกับต่างประเทศ เสริมสร้างภาพลักษณ์ เกียรติภูมิและยกระดับบทบาทด้านวัฒนธรรมของไทยในเวทีโลก ดังนั้น วธ.ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย จัดงานเปิดตัวหนังสือสัมพันธภาพ Amity และงานเสวนาวรรณกรรมไทย-แคนาดา ในโครงการแปลวรรณกรรมในโอกาสฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและแคนาดา ซึ่งการดำเนินโครงการแปลวรรณกรรมฯ วธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดำเนินโครงการแปลวรรณกรรมฯ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากไทยและแคนาดา เพื่อคัดเลือกวรรณกรรมร่วมสมัยของไทยและแคนาดาประเภทเรื่องสั้นที่สร้างสรรค์ไว้แล้ว เป็นที่รู้จัก มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ที่เสนอภาพชีวิต สังคม และศิลปวัฒนธรรมของไทยและแคนาดาให้เป็นที่รู้จักและเข้าใจ รวมทั้งส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อจัดแปลและรวบรวมไว้ในหนังสือชื่อว่า “สัมพันธภาพ Amity” ภายใต้การสนับสนุนจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า หนังสือสัมพันธภาพ Amity แบ่งออกเป็น ๒ เล่ม ได้แก่ เล่มวรรณกรรมไทยที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ และเล่มวรรณกรรมแคนาดาที่แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งจัดทำทั้งในแบบรูปเล่มและ E-Book โดยวรรณกรรมไทยที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย เรื่องสั้นจากอนุสรณ์ ติปยานนท์ มาลา คำจันทร์ พิมใจ จูกลิ่น (เดือนวาด พิมวนา) จำลอง ฝั่งชลจิตร และวานิช จรุงกิจอนันต์ และวรรณกรรมแคนาดาที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ประกอบด้วย เรื่องสั้นจาก คิม ทุย ดาร์เรล เจ. แมคคลาวด์ ไมเคิล ออนดาต์เจ กาย แวนเดอร์เฮกจ์ และเจน เออร์คาร์ต โดยแต่ละเรื่องราวมีการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมและมุมมองความคิดและความเชื่อที่ทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างของประชาชนทั้งสองประเทศอีกด้วย
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การดำเนินโครงการแปลวรรณกรรมฯครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์และความเป็นมิตรประเทศระหว่างไทยและแคนาดาที่มีมาอย่างยาวนาน และมีการดำเนินกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สำคัญในการเผยแพร่วรรณกรรมทรงคุณค่าของทั้งสองประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์ในการส่งเสริมการเข้าถึงวรรณกรรม การส่งเสริมผลงานศิลปินด้านวรรณกรรมให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ และที่สำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในระดับประชาชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การจัดงานครั้งนี้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49257 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะจุฬาราชมนตรี | วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565
ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะจุฬาราชมนตรี
ประธานกรรมการธนาคาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เยี่ยมคารวะจุฬาราชมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ประธานกรรมการธนาคารและเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสององค์กร
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2565 เวลา 10.30 น. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยนายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ประธานกรรมการธนาคาร พร้อมด้วยคณะกรรมการธนาคาร และผู้บริหารระดับสูง เข้าเยี่ยมคารวะ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ประธานกรรมการธนาคารและเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสององค์กร ณ ห้องรับรองสำนักจุฬาราชมนตรี ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ถนนคลองเก้า เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
ในการนี้ นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ยังได้มีการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการตามพันธกิจของธนาคารที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่พี่น้องมุสลิม ได้แก่ โครงการชุมชนซื่อสัตย์เพื่อช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมให้หลุดพ้นจากหนี้นอกระบบ การสนับสนุนเงินสมทบ 40% สำหรับการทำประกันตะกาฟุลอัคคีภัยมัสยิดทั่วประเทศ การเพิ่มจำนวนรางวัลบัญชีเงินฝากอัลฮัจย์ส่งเสริมการประกอบพิธีฮัจย์ครั้งหนึ่งในชีวิตของมุสลิมที่มีความพร้อมทางร่างกาย โครงการเงินฝากสแปซิฟิก มุฎอรอบะฮ์ (Specific Mudharabah) ซึ่งเป็นการแมชชิ่งเงินฝากกับโครงการสินเชื่อครูสอนศาสนา ตลอดจนได้รายงานผลประกอบการในสามปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และทิศทางการดำเนินงานของธนาคาร
ด้านสำนักจุฬาราชมนตรีมี นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี และนายประสาน ศรีเจริญ รองประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ผู้แทนจุฬาราชมนตรีให้การต้อนรับ พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนธนาคารสู่ปีที่ 20 อย่างมั่นคง ด้วยหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงใช้หลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และทิ้งท้ายถึงความยินดีที่จะผลักดันธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในทุกมิติเพื่อความเจริญก้าวหน้าของธนาคาร ให้อยู่คู่กับพี่น้องชาวไทยทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on June 28, 2022 | วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565
The cabinet met on June 28, 2022
The cabinet met on June 28, 2022. Some of the resolutions are as follows:
The cabinet met on June 28, 2022. Some of the resolutions are as follows:
Title: Draft Royal Decree Issued under the Revenue Code Regarding Exemption from Value-Added Tax (No. …), B.E. … (Tax measure to promote investment in Data Centre)
The cabinet approved in principle the draft Royal Decree Issued under the Revenue Code Regarding Exemption from Value-Added Tax (No. …), B.E. … (Tax measure to promote investment in Data Centre), as proposed by Ministry of Finance, and ordered for immediate scrutiny of Office of Council of State before proceeding.
Gist
It is in the consideration of Ministry of Finance to impose tax privileges to promote investment in the Data Centre in accordance with the Government’s policy to promote Thailand as Regional Digital Hub.
The draft Royal Decree Issued under the Revenue Code Regarding Exemption from Value-Added Tax (No. …), B.E. … (Tax measure to promote investment in Data Centre) prescribes VAT exemption for provision of servers host and related equipment to electronically store, process, and connect through internet network, as well as support services (disaster recovery sites, cloud services, system management and information security services)
Eligible Data Centre operators must possess right qualifications and fully comply with criteria, procedures and conditions as announced by Director-General of the Revenue Department. They must submit the request for VAT exemption to Director-General of the Revenue Department within 5 years after the date the Royal Decree takes effect.
With the exemption of VAT, it is expected that hyperscale Data Centre operation and related businesses, such as cloud computing, in the country increase, and that Thailand will become the Regional Digital Hub. Revenues earned from the collection of corporate income tax is also expected to compensate for the loss of revenues earned from VAT.
Title: Draft Ministerial Regulation on Thai Industrial Standard for glow-starters for fluorescent lamps, B.E. …
The cabinet approved in principle the draft Ministerial Regulation on Thai Industrial Standard for glow-starters for fluorescent lamps, B.E. …, as proposed by Ministry of Industry. Office of Council of State has scrutinized the draft Ministerial Regulation and may proceed.
Gist
The draft Ministerial Regulation on Thai Industrial Standard for glow-starters for fluorescent lamps, B.E. …, prescribes Thai Industrial Standard for glow-starters for fluorescent lamps under TIS 183-2562, in accordance with the Ministerial Announcement No. 6166 (B.E. 2564), and issued under the Industrial Product Standards Act B.E. 2511, on Withdrawal and Prescription of Thai Industrial Standard for glow-starters for fluorescent lamps.
The draft Ministerial Regulation shall take effect 180 days after being announced in the Royal Gazette.
Title: Outcome of 1/2022 Meeting of Eastern Economic Corridor (EEC) Policy Committee on (draft) Action Plan on EEC Infrastructure and Public Utilities (2023-2027)
The cabinet acknowledged outcome of the 1/2022 meeting of Eastern Economic Corridor (EEC) Policy Committee, dated January 7, 2022, to approve the (draft) Action Plan on EEC Infrastructure and Public Utilities (2023-2027), as proposed by Office of Eastern Economic Corridor (EECO). EECO is ordered to take comments of Ministry of Transport, Ministry of Natural Resource and Environment, Ministry of Interior, and the Budget Bureau into consideration.
Gist
The (draft) Action Plan on EEC Infrastructure and Public Utilities (2023-2027) is aimed to develop seamless transport network (both road, rail, waterway, and air) in the EEC area to support logistics and public transport system. It is also aimed to develop water and electrical public utility infrastructure to accommodate modern industries, cities, and tourism activities, in line with the 20-year National Strategy, and the 13th National Economic and Social Development Plan, as well as Ministry of Transport’s plans. Under the (draft) Action Plan, 77 projects will be implemented for the total budget of 337,797.07 million Baht, comprising public investment (annual budget/loan/state enterprise budget/fund) of 178,578.07 million Baht or 53% (61 projects), and private investment/PPP of 159,219 million Baht or 47% (16 projects).
Title: Draft outcome document of the 3rd meeting of Joint Committee for Thailand-Hungary Economic Cooperation
The cabinet approved the following proposals of Ministry of Foreign Affairs:
Approved the draft outcome document of the 3rd meeting of Joint Committee for Thailand-Hungary Economic Cooperation for the meeting held on June 29, 2022
Authorized Deputy Permanent Secretary to Ministry of Foreign Affairs as signatory to the draft outcome document, which will be countersigned by Hungarian Deputy Permanent Secretary to Ministry of Foreign Affairs and Trade.
Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Ministry of Foreign Affairs and the Thai delegation may proceed without having to resubmit the document to the cabinet.
Gist
The draft outcome document of the 3rd meeting of Joint Committee for Thailand-Hungary Economic Cooperation prescribes outcome of the discussion between the two countries on trade and investment promotion and other economic cooperation, i.e., in energy, science and technology, and agriculture.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งเหตุ เกิดเหตุขบวนรถเร็วที่ 134 หนองคาย - กรุงเทพ ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บริเวณจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์ ระหว่างสถานีหนองขอนกว้าง - หนองตะไก้ | วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565
การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งเหตุ เกิดเหตุขบวนรถเร็วที่ 134 หนองคาย - กรุงเทพ ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บริเวณจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์ ระหว่างสถานีหนองขอนกว้าง - หนองตะไก้
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แจ้งเหตุ เกิดเหตุขบวนรถเร็วที่ 134 หนองคาย - กรุงเทพ ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บริเวณจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์ ระหว่างสถานีหนองขอนกว้าง - หนองตะไก้ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เบื้องต้นพนักงานการรถไฟฯ เส
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แจ้งเหตุ เกิดเหตุขบวนรถเร็วที่ 134 หนองคาย - กรุงเทพ ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บริเวณจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์ ระหว่างสถานีหนองขอนกว้าง - หนองตะไก้ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เบื้องต้นพนักงานการรถไฟฯ เสียชีวิต 2 ราย ไม่มีผู้โดยสารได้รับอันตราย
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ รฟท. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 เวลา 19.45 น. รฟท. ได้รับรายงาน เกิดเหตุขบวนรถเร็วที่ 134 หนองคาย - กรุงเทพ ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ บริเวณจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์ หลักกิโลเมตรที่ 564/6-7 ระหว่างสถานีหนองขอนกว้าง - หนองตะไก้ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ส่งผลให้ขบวนรถตกราง 1 เพลา 2 ล้อ รถจักรดีเซล หมายเลข 4106 ได้รับความเสียหายอย่างมาก และกีดขวางการเดินรถ เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นพนักงานของ รฟท. คือนายวุฒิชัย เรืองอร่าม พนักงานขับรถ และนายเจนณรงค์ ชื่นช้อย ช่างเครื่อง แต่ไม่มีผู้โดยสารได้รับอันตรายใด ๆ
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วนเพื่อหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ และเข้าช่วยเหลือเร่งกู้ขบวนรถที่ตกราง ให้กลับมาเปิดให้บริการได้โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งได้ส่งสารแสดงความเสียใจต่อครอบครัวพนักงานขับรถและช่างเครื่องของ รฟท. ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ โดยพร้อมเข้าไปดูแลช่วยเหลือครอบครัวของพนักงานที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่
Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย https://www.facebook.com/129946050353608/posts/5473038706044289/?d=n
INSTAGRAM SRT OFFICIAL https://www.instagram.com/p/CZZmc4vPvTD/?utm_medium=copy_link
Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT https://twitter.com/pr_srt/status/1488176850459250688?s=21
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพ "การประชุมเอเปคปี 65" (APEC 2022) ภายใต้แนวคิด "เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect. Balance.) | วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565
ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพ "การประชุมเอเปคปี 65" (APEC 2022) ภายใต้แนวคิด "เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect. Balance.)
.....
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปี 2565 (APEC 2022) ซึ่งดำเนินการจัดการประชุมภายใต้แนวคิด "เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect. Balance.) ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในเวทีระหว่างประเทศ
.
โดยนายกฯ พร้อมนำเสนอบทบาทของไทยในเวทีการประชุมดังกล่าว ด้วย 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย
.
Open : เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ต่อทุกโอกาส สร้างโอกาสด้านการค้าการลงทุนในทุกมิติ รวมทั้งวางแผนเศรษฐกิจในอนาคตจากบทเรียนสถานการณ์โควิด-19
.
Connect : ฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ เน้นการฟื้นฟูด้านการเดินทาง การท่องเที่ยว และความสะดวกด้านการค้า การลงทุน
.
Balance : สร้างสมดุลในทุกแง่มุม ส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ครอบคลุม ยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model)
.
รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนไทย ร่วมกันเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคของไทย และติดตามภารกิจสำคัญ ๆ ของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50778
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50813 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. สำรวจความเสียหายสถานพยาบาล ดูแลไม่ให้กระทบบริการ และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วมต่อเนื่อง | วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564
สธ. สำรวจความเสียหายสถานพยาบาล ดูแลไม่ให้กระทบบริการ และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วมต่อเนื่อง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ใน จ.จันทบุรี ตราด และปราจีนบุรี กำชับเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่อง สำรวจ ประเมินความเสียหายสถานพยาบาล และป้องกันไม่ให้กระทบกับการบริการประชาชน พร้อมมอบหน่วยงานสาธา
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่6 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ใน จ.จันทบุรี ตราด และปราจีนบุรี กำชับเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่อง สำรวจ ประเมินความเสียหายสถานพยาบาล และป้องกันไม่ให้กระทบกับการบริการประชาชน พร้อมมอบหน่วยงานสาธารณสุขจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจากอิทธิพลของพายุ “คมปาซุ” ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ วันนี้ (13 ตุลาคม 2564) ได้รับรายงานว่า จ.จันทบุรี ตราด และปราจีนบุรี เกิดน้ำท่วมฉับพลัน สถานพยาบาลหลายแห่งได้รับความเสียหายจึงมอบหมายให้นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สำรวจ ประเมินความเสียหายของสถานพยาบาล และวางแนวทางป้องกันไม่ให้กระทบกับการให้บริการประชาชน พร้อมมอบหน่วยงานสาธารณสุขบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การดูแลผู้ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ พร้อมทั้งสั่งการให้กองสาธารณสุขฉุกเฉิน จัดส่งชุดยาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัย จำนวน 3,000 ชุด
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย อาทิโรงพยาบาลพระปกเกล้าจ.จันทบุรี มีน้ำท่วมบริเวณโรงพยาบาล น้ำท่วมขังบริเวณด้านหน้าอาคารรักษาพยาบาลผู้ป่วย และเข้าห้องผ่าตัด ฝ้าเพดานถล่มชำรุด ยานพาหนะบางส่วนได้รับความเสียหาย น้ำท่วมระบบบำบัดน้ำเสียและบ้านพักบุคลากร/เจ้าหน้าที่ เบื้องต้นทำการย้ายผู้ที่ต้องการบ้านพักเข้ามาที่อาคารศูนย์แพทย์ในโรงพยาบาลชั่วคราวแล้ว และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี, จ.ปราจีนบุรี ระดับน้ำสูงประมาณ 20 ซม. ไหลเข้าท่วม รพ.สต.บ้านโคกอุดมและบ้านพักเจ้าหน้าที่ ขณะนี้น้ำเริ่มลดและสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ ส่วน จ.ตราด มี 2 อำเภอที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ อ.เมือง และ อ.เขาสมิง ทำให้มีประชาชนได้รับผลกระทบทั้งการสัญจรและที่อยู่อาศัยกว่า 188 หลังคาเรือน
*********************************** 13 ตุลาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46932 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พร้อมรับ AstraZeneca จากญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส ก.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564
พร้อมรับ AstraZeneca จากญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส ก.ค.นี้
....
จากกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่น มีความประสงค์จะบริจาควัคซีน AstraZeneca ให้กับประเทศไทยนั้น
.
ล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนการบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของฝ่ายไทย เพื่อรับมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca จากรัฐบาลญี่ปุ่น จำนวน 1.05 ล้านโดส เป็นที่เรียบร้อย คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้
.
สรุปสาระสำคัญของการลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ก็เพื่อให้นำวัคซีนไปใช้อย่างเหมาะสม และเป็นการเฉพาะ เสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและการแพทย์ของไทย
.
สำหรับการส่งมอบวัคซีนในครั้งนี้ เป็นไปตามการส่งส่งเสริมแนวคิด Free and Open Indo - Pacific ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย จ.ราชบุรี กำลังเร่งลดผู้ป่วยรายใหม่ ควบคู่กับการฉีดวัคซีนทั้งคนไทยและต่างชาติในพื้นที่ | วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564
ปลัด สธ. เผย จ.ราชบุรี กำลังเร่งลดผู้ป่วยรายใหม่ ควบคู่กับการฉีดวัคซีนทั้งคนไทยและต่างชาติในพื้นที่
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.ราชบุรี เร่งลดผู้ติดเชื้อโควิด 19 ให้น้อยกว่าวันละ 60 ราย ด้วย 4 มาตรการ ทั้งการป้องกันส่วนบุคคล ควบคุมป้องกันโรค เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง/กิจกรรมเสี่ยง และ COVID Free Setting พร้อมเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ได้ตามเป้าหมาย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.ราชบุรี เร่งลดผู้ติดเชื้อโควิด 19 ให้น้อยกว่าวันละ 60 ราย ด้วย 4 มาตรการทั้งการป้องกันส่วนบุคคล ควบคุมป้องกันโรค เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง/กิจกรรมเสี่ยง และCOVID Free Setting พร้อมเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ได้ตามเป้าหมาย รวมไปถึงคนต่างชาติในพื้นที่
วันนี้ (27 ตุลาคม 2564) ที่โรงพยาบาลราชบุรี จ.ราชบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โควิด 19 จ.ราชบุรี และกล่าวว่า การระบาดระลอกเดือนเมษายน หลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงต้องมีการดำเนินการควบคุมป้องกันอย่างเข้มข้น โดย จ.ราชบุรี อยู่ในกลุ่ม 10 จังหวัดที่ต้องจับตามอง เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก รวมถึงเป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก มีการวางแผนลดผู้ติดเชื้อให้ได้ ร้อยละ 25 ต่อสัปดาห์ และเฝ้าระวังคลัสเตอร์ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย โรงงานค่ายทหาร และพื้นที่ท่องเที่ยว โดยใช้ 4 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล ป้องกันการเกิดคลัสเตอร์ใหม่2) มาตรการด้านสาธารณสุข เช่น ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกด้วยชุดตรวจATK ในสถานที่เสี่ยง, สอบสวนโรค ตรวจจับ เพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็ว, เร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่ม 608 ให้ได้มากกว่าร้อยละ 80, เฝ้าระวังในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่อาจมีการเคลื่อนย้ายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ นักเรียน นักศึกษา3) มาตรการทางสังคม เฝ้าระวังในคลัสเตอร์หรือกิจกรรมเสี่ยง และ 4) มาตรการองค์กร โดยใช้COVID Free settingโดยเฉพาะ อ.เมือง อ.ดำเนินสะดวก และ อ.สวนผึ้ง รวมถึงโรงงาน สถานประกอบการ และสถานศึกษา เพื่อลดผู้ป่วยรายใหม่ให้น้อยกว่า 60 รายต่อวัน และลดอัตราการเสียชีวิต
ข้อมูลล่าสุด วันที่ 27 ตุลาคม 2564 จ.ราชบุรี มีผู้ป่วยรายใหม่ 169 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า ตั้งแต่การระบาดระลอกแรกมีผู้ป่วยสะสม 35,952 ราย โดยสถานการณ์ความรุนแรงของอาการผู้ป่วยในรอบ30 วันที่ผ่านมา พบผู้ป่วยสีเขียว ร้อยละ 70 สีเหลือง ร้อยละ 20 และสีแดง ร้อยละ 10 ซึ่งยังคงรักษา 2,865 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนในภาพรวม เข็มที่ 1 ครอบคลุมร้อยละ 60 เข็ม2 ร้อยละ 45 กลุ่ม 608 ครอบคลุมร้อยละ 50 กรมควบคุมโรคได้จัดสรรวัคซีนให้ต่อเนื่องเพื่อเร่งฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงฉีดให้กับกลุ่มแรงงานต่างชาติและเด็กต่างชาติ 12-17 ปี ทั้งที่อยู่ในระบบและนอกระบบการศึกษา
********************************27 ตุลาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี จัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งกับความท้าทายร่วมสมัยของการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ | วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี จัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งกับความท้าทายร่วมสมัยของการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี จัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งกับความท้าทายร่วมสมัยของการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์
ในวันอังคารที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งกับความท้าทายร่วมสมัยของการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ (International Conference on Civil Judgment : Contemporary Challenges in e-Enforcement) ร่วมกับหน่วยงานด้านการบังคับคดีแพ่งของประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศ จัดขึ้นในรูปแบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยมีนางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวต้อนรับและกล่าวรายงาน ซึ่งมีผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนรวม ๗ ประเทศ ได้แก่ เนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรไทย และประเทศคู่เจรจา รวมถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีของประเทศไทย รวมจำนวนประมาณ ๓๐๐ คน เข้าร่วมการประชุม
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวเปิดการประชุมว่า การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ในการศึกษาหลักการของกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ แนวปฏิบัติที่ดีในระดับสากล โดยกระทรวงยุติธรรมได้บูรณาการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน และเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของกรมบังคับคดี ในฐานะหน่วยงานของรัฐ เพียงหน่วยเดียวที่มีภารกิจด้านการบังคับคดีแพ่ง ได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการพัฒนากระบวนการบังคับคดีแพ่ง เพื่อให้กระบวนการบังคับคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ และมีผู้สนใจการประมูลซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดจำนวนมากขึ้น อันเป็นผลจากกระบวนการที่สะดวกขึ้น ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจของประเทศไทย การประชุมดังกล่าวประกอบด้วยการนำเสนอและการอภิปรายในประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ ๑. ศาลอัจฉริยะและนวัตกรรมทางความยุติธรรม ศาลยุติธรรมแห่งประเทศไทยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมในยามวิกฤตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้อย่างไร ๒. ความตระหนักถึงกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ ๓. พัฒนาการล่าสุดของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศกับการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ แนวปฏิบัติสากลสำหรับการบังคับคดีอิเล็กทรอนิกส์ ๔. การบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมบังคับคดีเพื่อนำไปสู่ LED ๕G ๕. ตัวอย่างของแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ในการขายทอดตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ กรมบังคับคดีจะได้มีการรวบรวมความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาเพื่อนำไปเผยแพร่ให้กับประชาชนผู้สนใจ และนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัย พัฒนาประสิทธิภาพของการบังคับคดีแพ่งของประเทศไทยให้เป็นมาตรฐานสากลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56834 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระแสดีไม่แผ่ว “หุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ” บนเป๋าตัง ตอบโจทย์ผู้ลงทุน ทุบยอดขาย 2,000 ล้านบาท ภายใน 8 นาที 38 วินาที | วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565
กระแสดีไม่แผ่ว “หุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ” บนเป๋าตัง ตอบโจทย์ผู้ลงทุน ทุบยอดขาย 2,000 ล้านบาท ภายใน 8 นาที 38 วินาที
“หุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ” ปชช.ตอบรับจองซื้อผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ล้นหลาม กวาดยอดขายครบ 2,000 ลบ. ใน 8 นาที 38 วินาที ตอกย้ำความสำเร็จความร่วมมือระหว่างแสนสิริและกรุงไทย ตอบโจทย์ผู้ลงทุนยุคใหม่ ซื้อขาย ขายง่ายได้ทันที 24 ชม. ตอกย้ำลงทุน ทั่วถึง-เท่าเทียม
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความสำเร็จของการเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ ที่ขายหมดภายในเวลา 8 นาที 38 วินาที สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจของแสนสิริและประสิทธิภาพของระบบ “เป๋าตัง” ที่ได้รับการพัฒนาโดย อินฟินิธัส บาย กรุงไทย (Infinitas by Krungthai) ให้เป็น Thailand Open Digital Platform ทำให้ทุกกิจกรรมการใช้ชีวิต เป็นเรื่องง่าย สะดวก ปลอดภัย ทำรายการได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งการใช้จ่ายโครงการภาครัฐผ่าน “G Wallet” ด้านสุขภาพผ่าน “Health Wallet” รวมถึงการออมและการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลผ่าน “วอลเล็ต สบม.” การลงทุนทองคำผ่าน “ Gold Wallet” และการลงทุนหุ้นกู้ภาคเอกชนผ่านบริการ “ซื้อขายหุ้นกู้”
การเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริครั้งนี้ เป็นต่อยอดจากความสำเร็จจากการออกหุ้นกู้ผ่าน“เป๋าตัง”ครั้งแรก เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสการออมและการลงทุนที่มีศักยภาพอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม โดยมีจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด 6,968 คน วงเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ผู้ลงทุนกระจายตัวในทุกจังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 59.1% และต่างจังหวัด 40.9% เป็นผู้หญิงสูงถึง 62.8% และกระจายตัวทุกช่วงอายุระหว่าง 20-89 ปี โดยเฉพาะกลุ่ม First Jobber 20-29 ปี 13.4% และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 13.4% สำหรับผู้ลงทุนที่จองซื้อสำเร็จ สามารถตรวจสอบรายการจองซื้อได้ในวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ ผ่านเมนู"รายการย้อนหลัง" โดยรายการจะแสดงในวอลเล็ตของผู้ลงทุนในวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ซึ่งนับเป็นวันออกหุ้นกู้วันแรก สำหรับผู้ลงทุนที่พลาดโอกาสการจองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริในตลาดแรก สามารถซื้อขายในตลาดรองได้บนแอปฯ เป๋าตัง ได้ 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2565
“การเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริครั้งนี้ เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของธนาคาร ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน(SDGs) ทั้งในด้านการนำนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนายกระดับตลาดทุนไทย นำเสนอบริการที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นผลิตภัณฑ์แบบไม่ต้องใช้เอกสาร ลดการเดินทางไปสาขา ทำรายการบนแอปฯเป๋าตังได้ทันที ซึ่งเป็นช่องทางที่ประชาชนส่วนใหญ่คุ้นเคยมีผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการลงทุนได้ทั่วถึง ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีระบบที่โปร่งใส ปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยธนาคารพร้อมจับมือกับพันธมิตรทุกกลุ่ม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืน”
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริเป็นหุ้นกู้ระยะยาวชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 4 ปี ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี พ.ศ. 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เริ่มนับจากวันออกหุ้นกู้วันแรก คือ วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 โดยเปิดให้ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท นักลงทุนสามารถลงทุนเพิ่มด้วยอัตราทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท วงเงินลงทุนสูงสุดท่านละไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “BBB+” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ซึ่งเป็นระดับ Investment Grade
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 | วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (3 มิถุนายน 2565) เวลา 19.19 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา เป็นเป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 โดยมีประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที นายกรัฐมนตรีทำวันทยหัตถ์หน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี แล้ววางพุ่มทอง พุ่มเงิน ถวายธูปเทียนแพ ทำวันทยหัตถ์ จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และกล่าวนำถวายพระพรชัยมงคลหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ ความว่า
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งที่ได้มาพร้อมกันอยู่ ณ บริเวณมณฑลพิธีแห่งนี้ และที่อยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนทั่วโลก มีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยพร้อมเพรียงกัน
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในวันนี้ ตลอดระยะเวลาที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป็นคู่พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งในด้านการเกษตรและการปรับปรุงสภาพแวดล้อม เพื่อฟื้นดินคืนป่า การพัฒนาอาชีพตามหลักเกษตรทฤษฎีพอเพียงและทฤษฎีใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร บนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการพัฒนาอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ของราษฎร จากหัตถศิลป์ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยทรงพระกรุณาส่งเสริมศิลปาชีพ อันเป็นการดำรงรักษาเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยให้ธำรงอยู่ยั่งยืนสืบไป พระราชจริยวัตรอันงดงามเป็นที่ประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์โดยทั่วกัน ในศุภวาระอันเป็นมงคลยิ่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาต นำพสกนิกรทั้งหลายถวายพระพรชัยมงคล ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ด้วยความจงรักภักดี ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย เดชะพระสยามเทวาธิราช และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลดล ให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเกษมสำราญ พระชนมายุยิ่งยืนนาน พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศานุทิศ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกรตราบกาลนานเทอญ” ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
จบแล้วดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี นายกรัฐมนตรีและภริยารับมอบโคมเทียน และร่วมร้องเพลงสดุดีจอมราชา แล้วนายกรัฐมนตรีกล่าวนำ “ทรงพระเจริญ” 3 ครั้ง เสร็จพิธี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55355 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘โฆษกแรงงาน’ ยัน จ่ายเยียวยาคนงานในแคมป์ก่อสร้างแล้วตามสิทธิ | วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
‘โฆษกแรงงาน’ ยัน จ่ายเยียวยาคนงานในแคมป์ก่อสร้างแล้วตามสิทธิ
โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผย จ่ายเงินเยียวยาสุดวิสัยโควิด -19 ในแคมป์ก่อสร้างแล้วตามสิทธิ ส่วนกิจการอื่น ๆ ที่เหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างโดยตรง
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่ คุณไชยวัฒน์ วรรณโคตร เลขานุการและอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาสถานการณ์ด้านแรงงานสวัสดิการ คุ้มครองแรงงาน และแรงงานสัมพันธ์ เขียนบทความ เรียบเรียงข้อมูลการชดเชยแรงงานจากคำสั่งปิดแคมป์คนงาน โดย ระบุว่าปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชยเยียวยาและไม่ได้ดูแลเรื่องอาหารให้กับคนงานนั้น ในเรื่องนี้นั้น ขอชี้แจงว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้จ่ายเงินเยียวยาสุดวิสัยโควิด -19 ร้อยละ 50 ของค่าจ้างให้ลูกจ้าง 4 ประเภทกิจการ ได้แก่ 1) กิจการก่อสร้าง 2) กิจการที่พักแรม บริการด้านอาหาร 3) กิจการศิลปะความบันเทิงนันทนาการ และ 4) กิจการอื่น ๆ ไม่ใช่กิจการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว และขณะนี้ สำนักงานประกันสังคมได้วินิจฉัยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ไปแล้วทั้งสิ้น 17,920 ราย เป็นจำนวนเงิน 87,631,033.80 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ก.ค.64) โดยแยกเป็น กิจการก่อสร้าง 16,468 ราย เป็นเงิน 79,801,420.45 บาท ที่เหลือเป็นกิจการร้านอาหาร และภัตตาคาร 1,452 ราย เป็นเงิน 7,829,613.35 บาท ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจะตัดจ่ายทุกวันศุกร์ และนำจ่ายเงินให้ลูกจ้างทุกวันจันทร์ โดยคนงานในกิจการก่อสร้างจ่ายเป็นเงินสด ส่วนกิจการอื่น ๆ ที่เหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างโดยตรง
กรณีลูกจ้างที่ยังไม่ได้เงิน สำนักงานประกันสังคมขอให้เร่งดำเนินการ ดังนี้ 1) ให้นายจ้างรับรองในระบบ e-service ว่ามีลูกจ้างกี่ราย หยุดงานตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน 2) ลูกจ้างยื่นแบบ สปส. 2 – 01/7 ให้แก่นายจ้างส่งต่อให้สำนักงานประกันสังคม เพื่อที่จะให้ประกันสังคมพิจารณาวินิจฉัยจ่ายเงินโดยเร็วต่อไป
ส่วนเรื่องอาหารในแคมป์คนงานก่อสร้างนั้น กระทรวงแรงงาน ได้ขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบการดูแลเรื่องอาหารแก่คนงานทั้ง 3 มื้อ โดยกระทรวงแรงงานจะสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร น้ำดื่ม ไข่ไก่ ปลากระป๋อง ที่ได้รับบริจาคจากภาคเอกชน และนำไปมอบให้สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นศูนย์กลางในการกระจายอาหารไปยังคนงานตามแคมป์ต่างๆ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมที่กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบการ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาค่าใช้จ่ายด้านอาหารให้แก่คนงานอีกทางหนึ่ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43688 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ำ! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน | วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564
กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ำ! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ (ระบบ e-Payroll) ไปยังระบบฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ สำหรับใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลได้อย่างต่อเนื่องและป้องกันการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งช่วยลดภาระการนำเงินส่งคืนคลังของส่วนราชการต้นสังกัดกรณีที่มีการเบิกเงินที่ไม่มีสิทธิส่งคืนคลังด้วย โดยจะเริ่มใช้ระบบ Digital Pension ในช่วงต้นปี 2565
อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางมีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการต่าง ๆ กำชับให้ผู้มีสิทธิ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด และผู้รับบำนาญ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตนเอง ผ่านช่องทางที่กรมบัญชีกลางจัดทำขึ้น 2 ช่องทาง คือ 1) เว็บไซต์ http://pws.cgd.go.th/EFiling/login.jsf โดยลงทะเบียนผ่านระบบการยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์ 2) ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “CDG iHealthCare” และลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งาน หากผู้มีสิทธิตรวจสอบข้อมูลและพบว่าข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นปัจจุบัน ให้ยื่นแบบคำขอเพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อนายทะเบียนของส่วนราชการต้นสังกัดเพื่อแก้ไขข้อมูลต่อไป
“สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เปิดลงทะเบียนกำหนดสิทธิเข้าใช้งานในระบบ โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://dps.cgd.go.th/pension และศึกษาบทเรียนออนไลน์สำหรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการลงทะเบียนเข้าใช้งานในระบบได้ที่ https://dps.cgd.go.th/e-learning/register ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49742 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ห่วงคนไทยหลงเชื่อการแชร์ข่าวปลอมในไลน์ | วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564
ดีอีเอส ห่วงคนไทยหลงเชื่อการแชร์ข่าวปลอมในไลน์
ดีอีเอส ห่วงคนไทยหลงเชื่อการแชร์ข่าวปลอมในไลน์
“นพวรรณ”โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมืองเผยข้อมูลจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบไลน์กำลังเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมในการแพร่กระจายข่าวปลอมห่วงคนไทยหลงเชื่อเพราะไม่รู้เท่าทันแนะผู้รับข่าวสารตรวจสอบให้รอบด้านก่อนเชื่อและแชร์
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ใช้ไลน์ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า50ล้านคนหรือเกินครึ่งประเทศดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงว่าผู้ไม่หวังดีจะหันมาใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้มากขึ้นเพื่อกระจายข่าวปลอมเมื่อมีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อก็เกิดการแชร์ต่อๆกันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์รู้ไม่เท่าทันผู้สร้างข่าวปลอมจนอาจสร้างความตื่นตระหนักในวงกว้างและแพร่กระจายความเสียหาย
จากสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่15-21ต.ค. 64โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความที่เข้ามาจำนวน11,564,020 ข้อความโดยจากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ(Verify)จำนวน217ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ114เรื่องในจำนวนนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด49เรื่อง
สำหรับช่องทางหลักๆที่พบจำนวนข้อความที่ต้องคัดกรองและตรวจสอบอันดับ1ยังมาจากระบบsocial listeningมากกว่า90%ตามมาด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลของศูนย์ฯได้แก่ไลน์ทางการทวิตเตอร์เฟซบุ๊กและเว็บไซต์อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่าในส่วนของการมอนิเตอร์และการแจ้งเบาะแสผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลจำนวนข้อความที่ต้องคัดกรองและข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบจะมาจากเบาะแสที่ได้จากช่องทางไลน์มากที่สุด
สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด3อันดับแรกรอบสัปดาห์ล่าสุดนี้ได้แก่เรื่องโครงการคนละครึ่งส่งSMSให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์สำหรับเฟส4เรื่องตำรวจปฏิเสธการรับแจ้งความจากเหตุการณ์ที่ชาวต่างชาติพลัดตกบ่อน้ำพุร้อนและเรื่องพบแอปฯดูดเงินจากบัญชีธนาคารของประชาชนเนื่องจากข้อมูลจากธนาคารรั่วไหลมีผู้เสียหายจำนวนมากตามลำดับ
ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันแก้ไขปัญหาข่าวปลอมเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทพัฒนาสายทางเชื่อมโยงการคมนาคมให้สมบูรณ์ เตรียมเข้าพื้นที่ก่อสร้างถนนเชื่อมเมืองสุรินทร์กว่า 17 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จปี 2567 | วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565
กรมทางหลวงชนบทพัฒนาสายทางเชื่อมโยงการคมนาคมให้สมบูรณ์ เตรียมเข้าพื้นที่ก่อสร้างถนนเชื่อมเมืองสุรินทร์กว่า 17 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จปี 2567
รองรับการขนส่งและการเดินทางจากการขยายตัวของเมืองในอนาคต ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม พัฒนาเส้นทางในโครงข่ายสนับสนุนการคมนาคมภายในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียงให้มีความต่อเนื่อง พร้อมรองรับปริมาณการขนส่งและการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เตรียมเข้าพื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2378 - เมืองสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รวมระยะทาง 17.954 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จต้นปี 2567
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จังหวัดสุรินทร์มีการพัฒนาและขยายตัวของชุมชนเมืองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นเมืองหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหอมมะลิ การเพาะปลูกพืชไร่ชนิดต่าง ๆ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การขนส่งสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรไปจำหน่ายในตัวอำเภอเมืองหรือจังหวัดใกล้เคียง จึงต้องอาศัยเส้นทางเข้าสู่ตัวเมืองสุรินทร์เป็นหลัก ดังนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมให้สอดคล้องกับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นทั้งช่วงเวลาปกติและช่วงเทศกาล ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างจังหวัดสู่ภูมิภาคให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2378 - เมืองสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง โดยเริ่มต้นโครงการช่วงที่ 1 บนทางหลวงชนบทสาย สร.4026 ตั้งแต่ กม. ที่ 8+000 บริเวณข้างโรงเรียนเพี้ยราม ตำบลเพี้ยราม วางแนวตามเส้นทางเดิมไปจนถึง กม. ที่ 22+697 และเริ่มต้นช่วงที่ 2 บริเวณวัดป่านิมิตมงคล ตำบลท่าสว่าง กม. ที่ 28+473 ไปสิ้นสุดโครงการที่ถนนทุ่งโพธิ์ ช่วง กม. ที่ 31+730 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รวมระยะทาง 17.954 กิโลเมตร ซึ่งโครงการดังกล่าวจะดำเนินการยกระดับชั้นทางและขยายความกว้างของถนนจากเดิมผิวจราจรกว้าง 6 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1 เมตร ขยายเป็นผิวจราจรกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางข้างละ 2.5 เมตร พร้อมเสริมผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีตบริเวณแนวเส้นทางที่ตัดผ่านหมู่บ้าน และขยายความกว้างของสะพาน จำนวน 5 แห่ง ก่อสร้างระบบระบายน้ำ ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยตลอดทั้งสายทาง โดยใช้งบประมาณค่าก่อสร้างจำนวน 149.445 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างเตรียมเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้าง โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางให้ประชาชนสามารถเดินทางจากชุมชนและตำบลต่าง ๆ เข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดต้นทุนด้านการขนส่งสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร และสนับสนุนการท่องเที่ยวสู่หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางลัดที่สามารถเดินทางต่อไปยังอำเภอสตึก ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานบุรีรัมย์อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนพิการสิทธิบัตรทอง เข้ารักษาได้ที่ รพ.รัฐทุกแห่ง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว | วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564
คนพิการสิทธิบัตรทอง เข้ารักษาได้ที่ รพ.รัฐทุกแห่ง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
คนพิการสิทธิบัตรทอง เข้ารักษาได้ที่ รพ.รัฐทุกแห่ง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
“กองทุนบัตรทอง” ดูแลสิทธิสุขภาพ “คนพิการ” ร่วมจัดสิทธิประโยชน์และบริการ เพื่อให้คนพิการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างครอบคลุมและทั่วถึง อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการในการใช้สิทธิบัตรทอง ยังกำหนดให้ผู้พิการสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลได้ที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องใช้ใบส่งตัวพร้อมจับมือ อบจ. จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ 58 จังหวัด ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตคนพิการ
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันคนพิการสากล" เพื่อเป็นการระลึกถึงวันครบรอบที่สมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติมีมติรับแผนปฏิบัติการโลกว่าด้วยเรื่องคนพิการ และได้ให้ประเทศสมาชิกร่วมจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจของสังคมต่อคนพิการ และยอมรับให้เข้าร่วมกิจกรรมในด้านต่างๆ โดยในปีนี้ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์คือ คนพิการร่วมนำการเปลี่ยนแปลง เพื่อการเข้าถึงโดยสะดวก ถ้วนหน้า สู่โลกใหม่หลังโควิด-19 อย่างยั่งยืนเป็นการรณรงค์เพื่อให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและศักยภาพคนพิการ พร้อมสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงสิทธิ
สปสช.ซึ่งดำเนินงาน “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” หรือ “บัตรทอง” ได้พัฒนาการบริการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อดูแลคนพิการให้เข้าถึงบริการได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง นอกจากการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่เป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานแล้ว ยังได้รับการดูแลภายใต้สิทธิประโยชน์บริการฟื้นฟูสมรรถภาพ ได้แก่ กายภาพบำบัด การประเมินและแก้ไขการพูด การฟื้นฟูการได้ยิน การฟื้นฟูการเห็น และการกระตุ้นพัฒนาการ เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้รับอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ อาทิ เครื่องช่วยฟัง ไม้เท้าขาว อวัยวะเทียม เช่น แขนเทียม ขาเทียม เป็นต้น นอกจากนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการในการใช้สิทธิบัตรทอง ยังกำหนดให้ผู้พิการสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลได้ที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
นอกจากนี้ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งตามมาตรา 44 ให้คนพิการในระบบประกันสังคม มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขในระบบบัตรทอง โดยผู้ประกันตนคนพิการจะได้รับสิทธิประโยชน์บริการเช่นเดียวกับคนพิการที่อยู่ในระบบบัตรทอง
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมี “กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพระดับจังหวัด” เพื่อสนับสนุนส่งเสริมระบบบริการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรง ซึ่งเป็นการร่วมสมทบงบประมาณดำเนินงานกองทุนระหว่าง สปสช. และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ขณะนี้มี 58 จังหวัดที่ร่วมจัดตั้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกองทุนฯ ร่วมดูแลคนพิการให้ได้รับการดูแลได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อบจ.สกลนครก็เป็นจังหวัดล่าสุดที่ได้เข้าร่วมจัดตั้งองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ซึ่งผมได้เดินทางไปลงนามร่วมกับ ดร.ชูพงศ์ คําจวง นายก อบจ.สกลนคร ได้ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ภายใต้พันธกิจส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต และพัฒนาการศึกษาของประชาชน รวมทั้งความมุ่งมั่นในการที่จะช่วยเหลือผู้สูงอายุและคนพิการ ในโอกาสวันคนพิการสากลนี้ สปสช.ก็ขอเชิญชวน อบจ.ที่สนใจมาร่วมจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ กับ สปสช.เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนในจังหวัดร่วมกัน” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ทั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพระดับจังหวัดที่ สปสช. และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร่วมจัดตั้ง 58 แห่ง มีดังนี้
เขต 1 เชียงใหม่ จำนวน 8 กองทุน ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, น่าน, พะเยา, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, แม่ฮ่องสอน
เขต 2 พิษณุโลก จำนวน 5 กองทุน ได้แก่ พิษณุโลก, สุโขทัย, ตาก, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
เขต 3 นครสวรรค์ จำนวน 5 กองทุน ได้แก่ นครสวรรค์, ชัยนาท, พิจิตร, อุทัยธานี, กำแพงเพชร
เขต 4 สระบุรี จำนวน 7 กองทุน ได้แก่ สระบุรี, อยุธยา, สิงห์บุรี, อ่างทอง, นนทบุรี, ปทุมธานี, นครนายก
เขต 5 ราชบุรี จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ ราชบุรี
เขต 6 ระยอง จำนวน 8 กองทุน ได้แก่ ชลบุรี, จันทบุรี, ตราด, ระยอง, สมุทรปราการ, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา
เขต 7 ขอนแก่น จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม
เขต 8 อุดรธานี จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ บึงกาฬ, หนองบัวลำภู, สกลนคร
เขต 9 นครราชสีมา จำนวน 4 กองทุน ได้แก่ นครราชสีมา, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์
เขต 10 อุบลราชธานี จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ อุบลราชธานี, ยโสธร, อำนาจเจริญ
เขต 11 สุราษฎร์ธานี จำนวน 4 กองทุน ได้แก่ สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา, ภูเก็ต
เขต 12 สงขลา จำนวน 7 กองทุน ได้แก่ สงขลา, พัทลุง, สตูล, ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, ตรัง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. สายด่วน สปสช. 1330 หรือสอบถามผ่านไลน์ สปสช. เพียงแค่แอดไลน์ สปสช. พิมพ์ค้นหา Line ID @nhso หรือคลิกลิงก์เพื่อเพิ่มเพื่อนได้ทันที https://lin.ee/zzn3pU6
/////////////3 ธันวาคม 2564
#สปสช #สิทธิบัตรทอง #สิทธิสปสช #คนพิการ #วันคนพิการสากล #กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ #อบจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ช่วยเหลือเจรจาไกล่เกลี่ย กรณียายชาวจังหวัดสิงห์บุรี ค้ำประกันญาติซื้อรถถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด | วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ช่วยเหลือเจรจาไกล่เกลี่ย กรณียายชาวจังหวัดสิงห์บุรี ค้ำประกันญาติซื้อรถถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
กรมบังคับคดีช่วยเหลือเจรจาไกล่เกลี่ย กรณียายชาวจังหวัดสิงห์บุรี ค้ำประกันญาติซื้อรถถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
ตามที่เป็นข่าวในสื่อออนไลน์ กรณีนางทองคำชาวบ้านจังหวัดสิงห์บุรีขอความช่วยเหลือกรณีบ้านถูกยึดและจะมีการขายทอดตลาด นั้น
นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสิงห์บุรี หมายเลขแดงที่ ผบ.๕๔/๒๕๕๘ โจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านและที่ดินซึ่งมีชื่อนางทองคำ เขียวน้อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ ต่อมา จำเลยที่ ๒ ได้มาพบเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอความช่วยเหลือให้ทำการงดการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ ๒ โดยประสานไปยังโจทก์เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งสามารถไกล่เกลี่ยได้เป็นผลสำเร็จไปแล้ว โดยโจทก์ยินยอมให้งดการขายทอดตลาดไว้ ๑ นัด และตกลงลดจำนวนหนี้ให้เหลือเพียง ๘๕,๐๐๐ บาท มีกำหนดชำระภายในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งกรมบังคับคดีได้มอบหมายให้นายภาคภูมิ ภู่พันธ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดสิงห์บุรีลงพื้นที่ติดตามช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้รับแจ้งจากจำเลยที่ ๒ ว่าพร้อมที่จะชำระหนี้ให้กับโจทก์แล้ว
กรมบังคับคดี ๐ ๒๘๘๑ ๔๙๙๙ หรือสายด่วนกรมบังคับคดี ๑๑๑๑ กด ๗๙ เว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42878 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะทำงานฯ พัฒนาระบบวิทยุฯ ดีอีเอส หารือแนวทางพัฒนาโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุ PS-LTE ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564
คณะทำงานฯ พัฒนาระบบวิทยุฯ ดีอีเอส หารือแนวทางพัฒนาโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุ PS-LTE ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คณะทำงานฯ พัฒนาระบบวิทยุฯ ดีอีเอส หารือแนวทางพัฒนาโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุ PS-LTE ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อวันที่26สิงหาคม2564นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาและพัฒนาระบบวิทยุคมนาคมของประเทศผ่านระบบประชุมทางไกลณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาการดำเนินการโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุPS-LTEของสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเด็นความเป็นไปได้ในแก้ไขปัญหาเรื่องงบประมาณในการดำเนินการโครงการPS-LTEของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นการโอนทรัพย์สินและการจัดหางบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานเป็นต้นซึ่งเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของคณะทำงานฯในการศึกษาและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบวิทยุคมนาคมของประเทศให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีบริบทและความต้องการใช้งานทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติและทั้งในปัจจุบันและอนาคตสามารถเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีได้รวมทั้งต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและการนำโครงสร้างพื้นฐานโครงข่ายทรัพยากรสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องที่ภาครัฐได้ลงทุนไปมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45200 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจำแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4% | วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจำแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจำแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ในวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ COVID-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 7/2565 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานวันนี้ ไม่พบเรือนจำระบาดใหม่เพิ่ม จึงมีเรือนจำสีขาว 127 แห่ง และเรือนจำสีแดง 15 แห่ง โดยเรือนจำสีแดงส่วนหนึ่งสามารถลดการระบาดและอยู่ในแผนสิ้นสุดการระบาดของโรค (แผน EXIT) รวม 6 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี เรือนจำอำเภอแม่สะเรียง ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น เรือนจำอำเภอหลังสวน เรือนจำจังหวัดระนอง และเรือนจำจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะทยอยพ้นจากการระบาดอย่างต่อเนื่องในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 98 ราย เป็นการพบในห้องแยกกักโรค 43 ราย และพบในเรือนจำสีแดง 55 ราย จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 942 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 89.8% กลุ่มสีเหลือง 10% และกลุ่มสีแดง 0.2% มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 86,164 ราย หรือ 96.4% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 89,601 ราย โดยไม่มีรายงานการเสียชีวิตติดต่อกันเป็นวันที่ 15 จึงมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 190 ราย หรือ 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมวันนี้ พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโดยทั่วไปยังคงที่ สามารถดูแลและรักษาผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังนั้นปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจำและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จำนวน 249,211 ราย หรือคิดเป็น 91.36% ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 272,769 ราย
ด้านทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปาง ที่มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่า มีการแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วนั้น คาดว่าการติดเชื้อกว่า 90% เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จึงทำให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางสถานพยาบาลเรือนจำ โรงพยาบาลแม่ข่าย รวมถึงสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ ได้เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองทุกวัน พร้อมทั้งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้แก่ผู้ต้องขังที่อยู่ในความควบคุมดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถควบคุมการระบาดจนกลับมาปฏิบัติงานได้เป็นปกติได้ในเร็ว ๆ นี้
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 พบมีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัวเป็นจำนวน 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 10 ราย และเยาวชน จำนวน 6 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 47 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง พบว่ามีการติดเชื้อ และ 3 แห่ง หมดสถานะ ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นรวมจำนวน 3,500 ราย หรือคิดเป็น 92% จากทั้งหมด 3,804 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จำนวน 3,939 ราย หรือคิดเป็น 93.65% จากทั้งหมด 4,206 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม กพช. เคาะกรอบ “แผนพลังงานชาติ” มุ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 – 2070 ย้ำรัฐบาลเตรียมการเรื่องพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต | วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564
นายกรัฐมนตรีประชุม กพช. เคาะกรอบ “แผนพลังงานชาติ” มุ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 – 2070 ย้ำรัฐบาลเตรียมการเรื่องพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต
นายกรัฐมนตรีประชุม กพช. เคาะกรอบ “แผนพลังงานชาติ” มุ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 – 2070 ย้ำรัฐบาลเตรียมการเรื่องพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต ให้ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (4 ส.ค.64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2564 ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบ VDO Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า รัฐบาลมีแผนที่จะปรับในเรื่องแหล่งพลังงานของประเทศที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต ที่จะต้องดำเนินการให้ได้ตามแผนยุทธศาสตร์ เพื่อให้ประเทศและประชาชนได้รับประโยชน์ รวมทั้งเอกชนที่ร่วมมือกับรัฐบาลก็ต้องได้ผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม หากมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย ก็จะต้องปรับแก้ไขเพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้ โดยนายกฯ อยากให้เรื่องพลังงานเป็นเรื่องของการ Reshape ประเทศไทยใหม่ ซึ่งในการปฏิรูปเศรษฐกิจมีต้นทางมาจากพลังงานเกือบทั้งสิ้น จึงขอฝากให้ กพช. ได้พิจารณาประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งภาคการเกษตร ภาคการผลิต การอุตสาหกรรม และผู้บริโภค
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าสู่รูปแบบใหม่ Hydro - Floating Solar Hybrid System หรือ โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริด คือระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานระหว่าง ‘พลังน้ำจากเขื่อน’ และ ‘พลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์ลอยน้ำบนเขื่อน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ขณะนี้ดำเนินโครงการนำร่องที่เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานีเป็นแห่งแรก กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ และจะดำเนินการอีก 7 เขื่อนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ มีแผนขยายเป็น 2,700 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี โดยนายกฯ ขอให้ดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องยานยนต์พลังงานไฟฟ้าว่า จะต้องทำให้ครบวงจร ทั้งเรื่องรถและสถานีบริการชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อจูงใจให้คนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของโลก ที่ต้องเตรียมการให้พร้อม ซึ่งการเตรียมการเรื่องพลังงานเป็นการทำเพื่อวันนี้และอนาคต ทำให้คนรุ่นใหม่ โดยการทำงานทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทุกอย่างต้องชี้แจงได้ตรวจสอบได้ และประเทศต้องได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมย้ำว่าวันนี้ประเทศไทยต้องเดินหน้าไปด้วยกัน
สำหรับมติที่ประชุม กพช. ที่สำคัญมีดังนี้
เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายภาคพลังงาน โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070 สำหรับแนวนโยบายของแผนพลังงานชาติ (Policy Direction) เพื่อขับเคลื่อนให้ภาคพลังงานสามารถบรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสีเขียวในภาคพลังงาน อาทิ (1) เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 พิจารณาร่วมกับต้นทุนระบบกักเก็บพลังงานระยะยาว (2) ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ตามนโยบาย 30@30 การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งมาเป็น EV เป็นแนวทางที่ช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเพิ่มความสามารถในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาสภาพอากาศจากภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 (3) ปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มากกว่าร้อยละ 30 โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานสมัยใหม่ มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน (4) ปรับโครงสร้างกิจการพลังงานรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ตามแนวทาง 4D1E (Decarbonization: การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน Digitalization: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบพลังงาน Decentralization: การกระจายศูนย์การผลิตพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน Deregulation: การปรับปรุงกฎระเบียบรองรับนโยบายพลังงานสมัยใหม่ และ Electrification: การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า) ทั้งนี้เป้าหมายลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในช่วงดังกล่าว (2065 – 2070) ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการสนับสนุนทางการเงิน
ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนสู่ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2065-2070 อย่างต่อเนื่อง และเพื่อแสดงถึงจุดยืนและการเตรียมการในการปรับเปลี่ยนให้รองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่ neutral-carbon economy การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดภายในช่วงเวลา 1-10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564 - 2573) กพช. จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการระยะเร่งด่วน ดังนี้
(1) จัดทำแผนพลังงานชาติ ภายใต้กรอบนโยบายที่ทำให้ภาคพลังงานขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้สามารถรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ neutral-carbon economy ได้ในระยะยาว ครอบคลุมการขับเคลื่อนพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน
(2) พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่าง ๆ และปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใต้ PDP2018 rev.1 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564 – 2573) ตามความเหมาะสม อาทิ ปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าให้มีการผูกพันเชื้อเพลิงฟอสซิลเท่าที่จำเป็นและสามารถรองรับการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้ในระยะยาว การคำนึงถึงต้นทุนและความก้าวหน้าเทคโนโลยีเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้นำหลักการวางแผนเชิงความน่าจะเป็นโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) มาใช้เป็นเกณฑ์ แทนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ซึ่งไม่สามารถวิเคราะห์ผลจากความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้การประเมินและการวางแผนความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศมีความแม่นยำมากขึ้น
(3) ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมพื้นที่ศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรองรับปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคต และสามารถตอบสนองต่อการผลิตไฟฟ้าได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่กระทบกับความมั่นคงของประเทศ
สำหรับกระบวนการจัดทำแผนพลังงานชาติ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2565 โดยจะมีรับฟังความคิดเห็นกรอบแผนพลังงานชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2564 เพื่อนำความเห็นมาประกอบการจัดทำแผน 5 แผนหลัก และรวมเป็นแผนพลังงานชาติ หลังจากนั้นจะมีการรับฟังความคิดเห็นร่างแผนพลังงานชาติ ก่อนนำเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบต่อไป
ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 (ใหม่) โดยโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ จำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้กับโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วย (1) ราคาเฉลี่ยก๊าซฯ อ่าวไทย (Gulf Gas) (2) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และ (3) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติในทะเล (Zone 1) 2. ราคาก๊าซธรรมชาติที่ Shipper ปตท. ขายในกลุ่ม Old Supply ประกอบด้วย (1) ราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยหลังโรงแยก (รวมค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติในทะเล) ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ณ ชายแดน และก๊าซ LNG (รวมค่าบริการสถานี LNG ในการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซ) (Pool Gas) (2) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และ (3) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 2-4) (โรงไฟฟ้าน้ำพอง ราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซให้เป็นไปตามที่ ปตท. รับซื้อจากผู้รับสัมปทานค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ และค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 5)) และ 3. ราคาก๊าซธรรมชาติที่ New Shipper ขายไฟฟ้าเข้าระบบใน Regulated Market ประกอบด้วย (1) ราคา LNG (2) ค่าบริการสถานี LNG ในการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซ (3) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ และ (4) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 3)
โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการทบทวนพื้นที่ (Zone) ในการคิดค่าบริการตามการใช้ระบบท่อส่งก๊าซของ ผู้ซื้อก๊าซ โดยคำนวณค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติพื้นที่ 1 ที่รวมค่าผ่านท่อในทะเลทั้งหมด ซึ่งนำค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด (TTM) นำมาคำนวณรวมในอัตราค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ในทะเลของ ปตท. ด้วย และกำหนดให้โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ มีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ระหว่างกำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่ง (S) และค่าผ่านท่อ (T) ตามโครงสร้างใหม่ ให้กำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่ง (ในแต่ละประเภทผู้ใช้ก๊าซ คิดตาม % Margin โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ย (Pool Gas) ตามวิธีปัจจุบันและกำหนดค่าผ่านท่อ (T) สำหรับ Shipper รายใหม่ที่นำเข้า LNG เท่ากับอัตราค่าผ่านท่อบนบก (Zone 3 ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าในภาพรวมลดลงประมาณ 56 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็นค่า Ft ลดลงประมาณ 0.39 สตางค์/หน่วย
นอกจากนี้ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบการนำเข้า Liquefied Natural Gas (LNG) ที่ไม่กระทบต่อ Take or Pay สำหรับ ปี 2564 -2566 เท่ากับ 0.48 1.74 และ 3.02 ล้านตันต่อปี ตามลำดับ โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาทบทวนหากพบว่าปริมาณความสามารถในการนำเข้า LNG มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากตัวเลขดังกล่าว และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดสรรปริมาณการนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติ ในระยะที่ 2 คือ Regulated Market และ Partially Regulated Market สำหรับ New Demand และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าของ Shipper รวมทั้งกำกับดูแลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จำนวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ำมัน น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ | วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จำนวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ำมัน น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์
ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จำนวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ำมัน น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ ยังคงให้เป็นสินค้าควบคุม
วันที่ 28 มิถุนายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 65 จำนวน 51รายการ ใน 11 หมวด โดยเป็นสินค้าและบริการควบคุมเช่นเดียวกับ ปี 64 จำนวน 51 รายการ จําแนกเป็น 46 สินค้า 5 บริการ 11 หมวด ได้แก่ (1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ (2) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง (3) หมวดปัจจัยทางการเกษตร (4) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (5) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ (6) หมวดวัสดุก่อสร้าง (7) หมวดสินค้าเกษตรที่สําคัญ (8) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (9) หมวดอาหาร (10) หมวดอื่น ๆ และ (11) หมวดบริการ ซึ่งเป็นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565
สำหรับ รายการสินค้าและบริการควบคุม ปี 65
(1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระดาษทําลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน
(2) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก
(3) หมวดปัจจัยทางการเกษตร กากดีดีจีเอส เครื่องสูบน้ำ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกําจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช รถเกี่ยวข้าว รถไถนา หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์
(4) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง
(5) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค
(6) หมวดวัสดุก่อสร้าง ท่อพีวีซี ปูนซีเมนต์ สายไฟฟ้า เหล็กโครงสร้าง รูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น
(7) หมวดสินค้าเกษตรที่สําคัญ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสําลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ ผลปาล์มน้ำมัน มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ได้แก่ น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ
(8) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค กระดาษชําระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย ผ้าอ้อมสําเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ สบู่ก้อน สบู่เหลว
(9) หมวดอาหาร กระเทียม ไข่ไก่ ทุเรียน นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว น้ำมัน และไขมัน ที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ แป้งสาลี มังคุด ลําไย สุกร เนื้อสุกร หอมหัวใหญ่ อาหารกึ่งสําเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
(10) หมวดอื่น ๆ เครื่องแบบนักเรียน
(11) หมวดบริการ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการซื้อขาย และหรือบริการขนส่งสินค้าสําหรับธุรกิจออนไลน์ บริการทางการเกษตร บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และบริการรับชําระเงิน ณ จุดบริการ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เห็นชอบกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2564 ซึ่งจะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 65 นี้ เพื่อเป็นการดูแลสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย หรือกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม ไม่เกี่ยวกับกรณีราคาสินค้าหรือบริการแพงขึ้นตามกลไกตลาดปกติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56250 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรียืนยันสถานการณ์โควิด-19 ในไทยควบคุมได้ ขออย่ากังวล ย้ำทุกคนปฏิบัติตนตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด | วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรียืนยันสถานการณ์โควิด-19 ในไทยควบคุมได้ ขออย่ากังวล ย้ำทุกคนปฏิบัติตนตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรียืนยันสถานการณ์โควิด-19 ในไทยควบคุมได้ ขออย่ากังวล ย้ำทุกคนปฏิบัติตนตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รัฐบาล และ ศบค. พร้อมสนับสนุน สธ. รับมือหากเกิดการแพร่ระบาดใหม่
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ แม้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงในบางพื้นที่ ขอประชาชนอย่าได้กังวล เน้น ปฏิบัติตามมาตรการของทางสาธารณสุข ป้องกัน ระวังตนเองเมื่อต้องใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง และเข้ารับวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นในประชาชนทุกกลุ่มอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี มั่นใจระบบสาธารณสุขมีความพร้อมดูแลผู้ป่วย ยืนยันว่า รัฐบาล และศบค. พร้อมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากเกิดการแพร่ระบาดในอนาคตขึ้น
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1,917 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 1,914 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 3 ราย ผู้เสียชีวิต 18 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัว 24,435 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,282 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จำนวน 2,310,582 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 2,310,352 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 705 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56530 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา มอบเงินช่วยเหลือฯ จากการปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้และอาคารถล่มหมู่บ้านกฤษดานคร 31 ยกย่องให้เป็นผู้กล้า ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ | วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
รมต.อนุชา มอบเงินช่วยเหลือฯ จากการปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้และอาคารถล่มหมู่บ้านกฤษดานคร 31 ยกย่องให้เป็นผู้กล้า ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ
รมต.อนุชา มอบเงินช่วยเหลือฯ จากการปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้และอาคารถล่มหมู่บ้านกฤษดานคร 31 ยกย่องให้เป็นผู้กล้า ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ
วันนี้ (12 ก.ค. 64) เวลา 15.50 น. ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 3 อาคารสำนักงาน ก.พ. (เดิม) ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้และอาคารถล่มหมู่บ้านกฤษดานคร 31 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ดังนี้ 1. กรณีเสียชีวิต 4 ราย รายละ 100,000 บาท เป็นเงิน 400,000 บาท 2. กรณีบาดเจ็บสาหัส 5 ราย รายละ 30,000 บาท เป็นเงิน 150,000 บาท และ 3. กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย รายละ 15,000 บาท เป็นเงิน 15,000 บาท รวมทั้งสิ้น 10 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 565,000 บาท โดยมีผู้แทนครอบครัวเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บร่วมพิธี
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทุกนายที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมยกย่องให้เป็นผู้กล้าในฐานะบุคคลตัวอย่างด้านจิตอาสา ที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละโดยยึดถือประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ
------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ลาดยางถนนเข้าเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนการคมนาคมพื้นที่ชายแดนใต้ | วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท ลาดยางถนนเข้าเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนการคมนาคมพื้นที่ชายแดนใต้
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนลาดยางทางหลวงชนบทสาย ยล.3041 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ถึง ฝายละแอ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางให้กับประชาชน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนลาดยางทางหลวงชนบทสาย ยล.3041 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ถึง ฝายละแอ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางให้กับประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเขื่อนบางลางและเป็นการสนับสนุนการคมนาคมในพื้นที่ชายแดนให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า แต่เดิมสภาพถนนในบริเวณดังกล่าวเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีความกว้างเพียง 6 เมตร ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวไม่ได้รับ ความสะดวกในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังเขื่อนบางลาง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของภาคใต้ตอนล่าง ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนลาดยางทางหลวงชนบทสาย ยล.3041 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ถึง ฝายละแอ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา กว้าง 7 เมตร พร้อมไหล่ทางข้างละ 2.50 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ตอน รวมระยะทาง 4.980 กิโลเมตร ดังนี้
- ตอนที่ 1 ก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบพาราแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 0+020 ถึง กม. ที่ 1+020 และ กม. ที่ 1+400 ถึง กม. ที่ 1+700 รวมระยะทาง 1.300 กิโลเมตร ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปเมื่อปี 2563
- ตอนที่ 2 ก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบพาราแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 1+020 ถึง 1+400 และ กม. ที่ 1+700 ถึง กม. ที่ 3+000 รวมระยะทาง 1.680 กิโลเมตร ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้าง แล้วเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564
- ตอนที่ 3 ก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 5+000 ถึง กม. ที่ 6+720 และ กม. ที่ 6+800 ถึง กม. ที่ 7+080 รวมระยะทาง 2 กิโลเมตร ปัจจุบันการก่อสร้างมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 60 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างชั้นพื้นทาง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564
ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ นอกจากเส้นทางดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ประชาชนผู้ใช้เส้นทางยังสามารถใช้สัญจรจากอำเภอบันนังสตา เพื่อเข้าสู่อำเภอเมือง จังหวัดยะลาได้อย่างสะดวกอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week | วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
November 11, 2021, at 1900hrs (Thailand), at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended the ABAC –Leaders’ Dialogue via a teleconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
At the ABAC –Leaders’ Dialogue, the Leaders were divided into 5 groups. The Prime Minister of Thailand was put under Group 1, together with the APEC leaders from Australia, Malaysia, and Chinese Taipei. ABAC Chile asked the Prime Minister the following question: “COVID-19 has had an acute, negative impact on the most vulnerable in our communities, including women, small businesses and Indigenous people. ABAC believes that to safeguard the future, we must regain the ground that has been lost and unlock the full potential of these disadvantaged groups. At the same time, we face increasingly dangerous climate change and the need to embrace the transition to a low-carbon economy. What tools should we be using to address these inclusion and sustainability challenges?”
According to the Prime Minister, Thailand recognizes that at present the world has been facing challenges in wide-ranging aspects. Finding the right tools to address these challenges will be extremely important for APEC going forward. Thailand, as 1 of the 12 founding members of APEC, believes that the pandemic would be an opportunity to ponder the vulnerability of the so-called economic growth.
In 2020, the 21 APEC economies had a combined gross domestic product (GDP) of US$53 Trillion, while the global GDP in the same year was $84.5 trillion. Therefore, restructuring the concept of APEC’s economic growth and the way forward may be a trigger point for the world to solve the problem as stated in the question. Thailand believes that the GDP numbers are not the final answer. A new paradigm shift would help achieve strong, sustainable, resilient and inclusive growth that is based on harmony and thriving for balance. Collaborative partnership and balance are the heart of the Bio-, Circular-, and Green- or BCG Economy Model.
The private sector is the important mechanism for economic growth and rejuvenation. Public-Private-Partnership (PPP) is key to achieving a sustainable, inclusive and responsive future. We can build on our rich biodiversity through innovations and technology. Businesses can also work towards environmental sustainability, conduct business responsibly, and good governance practices.
Collaboration between producers and consumers is crucial for APEC’s proper transition to low carbon economy, which can be done through maximizing energy use, and reduction of waste and emissions, among others. As an incubator of ideas and a forum that prioritizes collaboration with the business community, APEC can help further advance collective efforts to address inclusion and sustainable challenges with business needs in mind. such as investing in renewable energy, implementation of sustainable development goals, waste management, innovation development, as well as human rights.
Mr. Hiroshi Nakaso, ABAC Japan, then, asked the Prime Minister about what role APEC should play in facilitating the transition to a low-carbon economy and how the business sector can support this role. The Prime Minister stated that there have been ongoing efforts within the APEC workstream so far to advance transition to a low-carbon economy, but there is certainly more work to be done in this area. The collective voice from the COP26 Summit last week has revalidated the fact that we need to reaffirm our commitment to sustainable growth and lower our carbon emissions. For Thailand, the Thai Government is committed to addressing climate challenges and lowering carbon emission with an aim to reach carbon neutrality by 2050, and Net Zero Greenhouse Gas Emissions by or before 2065.
Thailand believes that APEC can also have a unified voice and a collective goal to affirm commitment in this regard. During the country’s host year, Thailand will endeavor to propose a list of APEC common environmental goals based on BCG Economy Model.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. เปิดเวทีสมัชชาสุขภาพ ประเด็น ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพฯ ฉ.3 | วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565
รมช.สธ. เปิดเวทีสมัชชาสุขภาพ ประเด็น ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพฯ ฉ.3
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ในรูปแบบ on-site และ online เพื่อรับฟังความเห็นต่อ (ร่าง) ธรรมนูญว่าด้
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ในรูปแบบ on-site และ online เพื่อรับฟังความเห็นต่อ (ร่าง) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 วางเข็มทิศกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพของประเทศในระยะ 5 ปี มุ่งเป้าสู่การสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ณ อาคารหอประชุม กรมประชาสัมพันธ์ ************************** เมษายน 2565
ดาวน์โหลดภาพเพิ่มเติมได้ที่ : https://bit.ly/3vcxa5u
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53894 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุม Paris Peace Forum ครั้งที่ ๔ “Mind the gaps: Improving global governance after COVID-19” | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ถ้อยแถลงโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุม Paris Peace Forum ครั้งที่ ๔ “Mind the gaps: Improving global governance after COVID-19”
ถ้อยแถลงโดย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในการประชุม Paris Peace Forum ครั้งที่ ๔
“Mind the gaps: Improving global governance after COVID-19”
ถ้อยแถลงโดย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในการประชุมParis Peace Forumครั้งที่ ๔
“Mind the gaps: Improving global governance after COVID-19”
**********
ท่านประธานาธิบดีมาครง ท่านประธานลามี แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุมParis Peace Forumครั้งที่ ๔ กับผู้นา จากประเทศต่าง ๆ ในวันนี้
สถานการณ์โควิด-๑๙ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไม่เพียงต่อความมั่นคงทางสุขภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั่วโลก แต่ยังได้ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้าในทุกมิติ ใหเ้พิ่มมากขึ้นด้วยดังนั้นเราจาเปน็ต้องหาทางปิดช่องว่างดังกล่าวโดยสร้างระบบธรรมาภิบาล โลกที่เข้มแข็งภายหลังยุคโควิด-๑๙
ช่องว่างที่ควรแก้ไขเป็นลาดับแรกคือ และการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก ซึ่งจาเป็นต้องเสริมสร้างให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น การที่ประชาชนมีสุขภาพที่ดีถ้วนหน้า โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จะนามาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรอบด้าน
เราสามารถปิดช่องว่างดังกล่าวได้ด้วยการยึดมั่นในความร่วมมือภายใต้กลไกพหุภาคี และความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันระหว่างทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพราะโรคระบาดไม่มี พรมแดน ประเทศไทยเชื่อมั่นว่า ธรรมาภิบาลโลกที่เข้มแข็งจะช่วยส่งเสริมระบบสาธารณสุข ของทุกประเทศให้มีภูมิต้านทาน เท่าเทียม และเป็นธรรม
ด้วยเหตุนี้ ผมขอเสนอให้ทุกฝ่ายร่วมกัน1.ผลักดันให้วัคซีนและยารักษา โควิด-๑๙ เป็นสินค้าสาธารณะของโลกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและเท่าเทียม2.สนับสนุนให้ทุกประเทศบรรลุเป้าหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งเร่งรัดการเจรจาจัดทำราสารระหว่างประเทศว่าด้วยโรคระบาด และ3.ส่งเสริมโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสี เขียว หรือBCGให้เป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงประเด็นความมั่นคงของมนุษย์กับ การฟื้นฟู ที่ยั่งยืน สมดุล และครอบคลุม โดยโมเดลนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดสุขภาพ หนึ่งเดียวด้วย
ขอบคุณและสวัสดีครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48115 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา | วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564
กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกปลอดภัยในด้านการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรทุกฤดูกาลให้แก่ชาวไทยภูเขา และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมสนับสนุนงานโครงการหลวง
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาการเดินทางของประชาชนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากถนนมีลักษณะเป็นดินโคลนทำให้การคมนาคมเกิดความล่าช้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างอำเภอมากถึง 3 - 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนา โครงการหลวงเลอตอ ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอฯ โดยมีรูปแบบการปรับปรุงเส้นทางตามมาตรฐานถนนหลวงภูเขา ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ หลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ใหญ่ริมทางเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ซึ่งแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
- ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นบ้านป่าไร่ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (แม่สอด - แม่สะเรียง) (กม. ที่ 36+900) สิ้นสุดโครงการที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ระยะทาง 44.584 กิโลเมตร เส้นทางนี้อยู่ห่างจากอำเภอแม่ระมาดประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 246.664 ล้านบาท
- ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้น กม. ที่ 44+602 ที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 บ้านแม่ตื่นน้อย ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 74+032 เชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1099 (กม. ที่ 75+000) ที่บ้านใหม่ ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 29.430 กิโลเมตร เส้นทางนี้เข้าจากตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จากเดิมใช้ระยะเวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 1.5 ชั่วโมง ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 244.490 ล้านบาท
อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวปิดท้ายว่า นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวทางหลวงชนบทที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ เป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแห่งที่ 39 จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างอาชีพและแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวไทยภูเขา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการสร้างเส้นทางสนับสนุนพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพระราชดำริ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ อำนวยความสะดวกปลอดภัยในการขนส่งผลิตผลทางเกษตรออกสู่ท้องตลาดได้ทุกฤดูกาลอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 | วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 เพื่อรับทราบการดำเนินการตามมาตรการการป้องกันควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 สำหรับสถานประกอบการ (โรงงาน)
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 เพื่อรับทราบการดำเนินการตามมาตรการการป้องกันควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 สำหรับสถานประกอบการ (โรงงาน) เรื่องร้องเรียนจากการประกอบกิจการโรงงานและเหตุภาวะฉุกเฉิน พร้อมทั้งหารือในประเด็นการตรวจราชการและแนวทางการตรวจราชการ ของผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2565 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายเดชา จาตุธนานันท์ นายใบน้อย สุวรรณชาตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ผลักดันความร่วมมือต่อเนื่อง เชื่อมั่นไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในอาเซียน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ | วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ผลักดันความร่วมมือต่อเนื่อง เชื่อมั่นไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในอาเซียน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ผลักดันความร่วมมือต่อเนื่อง เชื่อมั่นไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในอาเซียน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2565) เวลา 11.30 น. นายมาเร็ก ลิบชีตซกี (Mr. Marek Libřický) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง เชื่อมั่นว่าประสบการณ์ที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ได้รับตลอดการทำงานที่ประเทศไทยจะช่วยสานต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปี 2567 จะเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อกระชับความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ได้กล่าวยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับและพบหารือกับนายอันเดรย์ บาบิช อดีตนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นการเยือนระดับนายกรัฐมนตรีครั้งแรก โดยหวังว่าจะได้เห็นการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับเพิ่มมากขึ้นต่อไป
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ กล่าวขอบคุณความร่วมมือและการสนับสนุนในทุกระดับทั้งจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่สาธารณรัฐเช็กให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในด้านการค้าการลงทุน ไทยถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในอาเซียน พร้อมชื่นชมการทำงานของรัฐบาลในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 โดยเชื่อมั่นว่า ภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย ทั้งสองประเทศจะสานต่อการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันความสัมพันธ์และความร่วมมือในอนาคต
ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างกัน ดังนี้
- ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน นายกรัฐมนตรียินดีที่การค้าระหว่างกันในปี 2564 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึงกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเช็กถือเป็นประเทศหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยปัจจุบันมีธุรกิจไทยลงทุนในเช็ก ขณะเดียวกันเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังมีช่องทางที่จะขยายการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะถึงการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนด้วยการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เช่นเดียวกับแผน European Green Deal (EDC) ของสหภาพยุโรป เพื่อสร้างการเจริญเติบทางเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
- ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียินดีที่ทั้งสองประเทศต่างเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระหว่างกัน ชื่นชมเช็กที่มีภูมิประเทศที่สวยงาม โดยเห็นว่าในอนาคตควรมีแผนพัฒนาแลกเปลี่ยนกลุ่มนักท่องเที่ยวระหว่างกัน เช่น การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ มีการเดินทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและบริการที่มีคุณภาพ โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ด้านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ คาดหวังว่าภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะมีการเส้นทางบินตรงกรุงเทพมหานคร-กรุงปราก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในอนาคต
- ด้านการทหาร ทั้งสองฝ่ายยินดีที่กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศมีการประสานงานและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ในเดือนตุลาคมปีนี้ ฝ่ายเช็กได้เชิญเข้าร่วมงาน Future Forces Forum 2022 ซึ่งจะมีผู้แทนไทยเข้าร่วม
- ด้านความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี นายกรัฐมนตรีหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเช็ก (Joint Commission on Economic Cooperation: JEC) ครั้งที่ 3 เพื่อเป็นโอกาสในการหารือแนวทางที่มีอยู่เดิม และความร่วมมือในสาขาใหม่ อาทิ สาธารณสุข Startup การจัดการสิ่งแวดล้อม และการทูตอวกาศ ขณะที่ด้านความร่วมมือพหุภาคี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กฯ ยืนยันว่า เช็กจะให้การสนับสนุนไทยในการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU และการลงนามความตกลง Thailand-EU PCA และพร้อมให้การสนับสนุนไทยในกรอบ EU ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่เช็กจะดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสหภาพยุโรป ระหว่างเดือนกรกฏาคม-ธันวาคม 2565 รวมทั้งยินดีต่อการประกาศยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของ EU ซึ่งไทยพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อผลักดันให้ EU และอาเซียนมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย 3 ปี EEC เดินหน้าลงทุนเป็นรูปธรรม สร้างเงินลงทุนรวม 1.6 ล้านล้านบาท นายกฯ เร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุน เสริมแกร่งเศรษฐกิจไทย | วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย 3 ปี EEC เดินหน้าลงทุนเป็นรูปธรรม สร้างเงินลงทุนรวม 1.6 ล้านล้านบาท นายกฯ เร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุน เสริมแกร่งเศรษฐกิจไทย
โฆษกรัฐบาลเผย 3 ปี EEC เดินหน้าลงทุนเป็นรูปธรรม สร้างเงินลงทุนรวม 1.6 ล้านล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกปีนี้ มีเม็ดเงินลงทุน 126,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 นายกฯ เร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุน เสริมแกร่งเศรษฐกิจไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ EEC มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เกิดพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2561 – มิ.ย. 2564 เกิดการลงทุนรวมที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 94 จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561 - 2565) ของ EEC 1.7 ล้านล้านบาท เร็วกว่าเป้าที่กําหนดไว้ แบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ 1. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอกชนร่วมลงทุน (PPP) 4 โครงการหลัก (รถไฟฯ/สนามบินฯ/2 ท่าเรืออุตสาหกรรม) มูลค่ารวม 633,401 ล้านบาท แบ่งเป็น ทุนจากภาคเอกชน 387,018 ล้านบาท (ร้อยละ 61) จากภาครัฐ 196,940 ล้านบาท (ร้อยละ 39) 2. การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (จากการออกบัตรส่งเสริม BOI) มูลค่า 878,881 ล้านบาท (โครงการที่ขอยื่นส่งเสริมลงทุน ช่วงปี 2560 - มิ.ย. 2564 ลงทุนจริงแล้วกว่าร้อยละ 85) และ 3. การลงทุนผ่านงบบูรณาการ EEC มูลค่า 82,000 ล้านบาท สําหรับการลงทุน ช่วงสองไตรมาสแรกของปี 2564 มีเงินลงทุน 126,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 (จากช่วงเดียวกันปี 63) โดยจํานวนขอโครงการสูงสุดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์ สําหรับการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็นร้อยละ 64 ของคําขอลงทุนใน EEC ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลําดับ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวต่อว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังมีการเตรียมพัฒนาพื้นที่ EECd เป็นเมืองดิจิทัลแห่งภูมิภาคดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่ EEC โดยตั้งเป้าให้ EECd เป็นเมืองดิจิทัลระดับโลก ขณะเดียวกัน จัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) โดยมีการดำเนินการจัดทําห้องเย็นเทคโนโลยีทันสมัย พัฒนาคุณภาพผลผลิตในระดับพรีเมียม มุ่งเป้า 5 คลัสเตอร์สําคัญ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชอุตสาหกรรมชีวภาพ พืชสมุนไพร และเกษตรมูลค่าสูง เพื่อยกระดับรายได้ให้ชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อพัฒนาเชิงคุณภาพ ทําให้เกษตรกร ชุมชน คนรุ่นใหม่มีคุณภาพชีวิตและรายได้ ดีขึ้นอย่าง
นายธนากร กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ EEC ให้เป็นหนึ่งใน “ผลงานหลัก” (Flagship) ของรัฐบาล ผลักดันการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศให้เกิดขึ้นจริง ด้วยปริมาณและมูลค่าเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยแผนการลงทุนที่รอบด้านกว่าในอดีต เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดเพื่อดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ด้วย
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45948 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จับมือ ITU พัฒนาทักษะดิจิทัลเด็กหญิง-สตรี | วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565
ดีอีเอส จับมือ ITU พัฒนาทักษะดิจิทัลเด็กหญิง-สตรี
ดีอีเอส จับมือ ITU พัฒนาทักษะดิจิทัลเด็กหญิง-สตรี
“อัจฉรินทร์”ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯร่วมเปิดงานGirls in ICT Day Thailand and Asia and the Pacific 2022ส่งเสริมเยาวชนสตรีเข้าสู่สายความรู้และวิชาชีพในสาขาSTEMเกาะติดเทรนด์ยุคดิจิทัล
นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวระหว่างเข้าร่วมพิธีเปิดงานGirls in ICT Day Thailand and Asia and the Pacific 2022วันนี้(28เม.ย.65)ว่ากระทรวงดิจิทัลฯให้ความสำคัญและส่งเสริมการเรียนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์(STEM)ของเยาวชนสตรีซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้และการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัลและสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศชาย-หญิง
ทั้งนี้กระทรวงฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU)จัดกิจกรรมดังกล่าวนับตั้งแต่ปี2557โดยมีเยาวชนสตรีเข้าร่วมฝึกอบรมในประเทศไทยแล้วมากกว่า800คนในหลายหัวข้อเช่นe-Farming, e-Commerce, AI, Big DataและCybersecurityเป็นต้น
โดยในปีนี้กระทรวงฯมีกำหนดจัดการฝึกอบรมหัวข้อDigital Skills for Girlsร่วมกับศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารและการพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(CCDKM)เพื่อพัฒนาทักษะด้านการใช้ICTอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อสังคมออนไลน์และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงสนใจการประกอบอาชีพในสาขาICTมากขึ้น
ทั้งนี้ITUได้กำหนดให้วันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่4ของเดือนเมษายนของทุกปีเป็นวันInternational Girls in ICT Dayเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายและเสริมสร้างศักยภาพสตรีด้านICTโดยITUได้ร่วมมือกับประเทศสมาชิกในทุกภูมิภาคทั่วโลกจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองวันดังกล่าวโดยปีนี้จะมีกิจกรรมจัดฝึกอบรมให้กับเยาวชนสตรีของไทยอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนพ.ค. -มิ.ย. 65
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
และวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม
ที่ห้องศรีสมาน 4 ชั้น 3 อาคารบริการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ศรีสมาน พลเอก สราวุธ รัชตะนาวิน รองปลัดกระทรวงกลาโหมพร้อมด้วย คุณปาริชาต รัชตะนาวิน อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาร่วมบริจาคโลหิต ตรวจเยี่ยม และขอบคุณกำลังพลที่ร่วมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวัน พระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน และวันคล้ายวันสถาปนา กระทรวงกลาโหมครบ 135 ปี วันที่ 8 เมษายน 2565 โดยจะนำโลหิตสำรองมอบให้กับ สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการ พระมงกุฎเกล้า เพื่อนำโลหิตไปช่วยเหลือทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และบุคคลพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ภาคสนาม ตลอดจนประชาชนทั่วไป ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้โลหิตไม่เพียงพอและขาดแคลน
สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตในวันนี้ มีกำลังพลเข้าร่วมบริจาคจำนวน 150 นาย
#กลาโหม135ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มัลติเวิร์ส ! มันส์ดี-วัยรุ่นชอบ !! “จุรินทร์” นำทีมพาณิชย์ เปิด “IP Fair 2022” ยิ่งใหญ่ จุดประกายคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์เป็นทรัพย์สิน 8-10 ก.ค.นี้ | วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
มัลติเวิร์ส ! มันส์ดี-วัยรุ่นชอบ !! “จุรินทร์” นำทีมพาณิชย์ เปิด “IP Fair 2022” ยิ่งใหญ่ จุดประกายคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์เป็นทรัพย์สิน 8-10 ก.ค.นี้
พร้อมทำ MOU ร่วมกับการกีฬา ยกระดับวงการกีฬาไทย หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา(IP Fair) 2022 และเป็นสักขีพยานพิธีลงนาม MOU ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) พร้อมด้วยนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายก้องศักด์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ประธานคณะอนุกรรมาธิการการกีฬาอาชีพและอุตสาหกรรมกีฬา ผู้แทนจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และเอกอัครราชทูตประเทศฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขอขอบคุณกรมทรัพย์สินทางปัญญาและหน่วยงานพันธมิตรที่มีส่วนร่วมในการนำเสนอถึงความก้าวหน้าและการพัฒนาการใช้องค์ความรู้นวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของคนไทย เพื่อสร้างมุมมองใหม่และสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนและผู้ประกอบการไทยในวันนี้
การจัดงาน IP Fair 2022 ปีนี้มีหลากหลายกิจกรรมที่สำคัญมุ่งสนองนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่มอบหมายให้นำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้สร้างมูลค่า หรือเพิ่มมูลค่า เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
กิจกรรมณวันนี้มี 3 กิจกรรมหลัก 1. มอบรางวัล IP Champion 2022 ให้กับผู้ได้รับรางวัลดีเด่นในทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละด้าน เช่น ด้านสิทธิบัตร ตู้ขายเครื่องดื่มเต่าบิน ซึ่งถือเป็นอนุสิทธิบัตรที่สามารถสร้างศักยภาพทางด้านการค้าเศรษฐกิจนอกจากภายในประเทศแล้วในต่างประเทศอีกมากหลายประเทศ ด้านเครื่องหมายการค้าเจ้าของรองเท้าแตะกีโต้ ซึ่งเป็นธุรกิจของคนไทย กลายเป็นแบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและไปไกลอีกหลายประเทศทั่วโลก 3.ด้านลิขสิทธิ์ การจัดทัวร์นาเม้นท์ด้านกีฬา โดยการจัดการแข่งขันเจ็ตสกี ซึ่งจะมีลิขสิทธิ์ทั้งด้านการจัดการแข่งขันและลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไปยังผู้ชมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ถ้าเราสามารถพัฒนาไปเป็นการจัดการแข่งขันระดับโลก ระดับอาเซียน ระดับเอเชียก็จะทำให้เรากลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งในการจัดการแข่งขันและลิขสิทธิ์การถ่ายทอดและอื่นๆข้างเคียงไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายการค้าหรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์กีฬา ชุดแต่งกาย สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศต่อไป และสุดท้าย ด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ ปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาการจดทะเบียนไปแล้วถึง 161 สินค้า จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มเมื่อได้รับการจดทะเบียนเป็น GI ที่ได้รับรางวัลคือข้าวสังข์หยดของจังหวัดพัทลุง ซึ่งเมื่อก่อนขายได้เพียงกิโลกรัมละ 20-30 บาท หลังเป็น GI ขายได้ 80-90 บาท/กก. ซึ่ง GI ทั้งประเทศตอนนี้มี 161 สินค้า ในอดีตขายได้เพียง 10,000 กว่าล้านบาทต่อปี แต่ขณะนี้สามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 40,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีความสำคัญสำหรับอดีตและโลกในอนาคตด้วย
กิจกรรมที่สองคือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำ MOU กับการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อนำกีฬามาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อนและส่งต่อชื่อเสียงของประเทศ และจะสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศและวงการกีฬาต่อไป เพื่อประโยชน์ในการสร้างคุณภาพชีวิตให้กับนักกีฬา ผู้อยู่ในวงการกีฬาและชื่อเสียงของประเทศได้มูลค่าทางเศรษฐกิจมาด้วย ซึ่งมีหลายด้านที่จะนำมาใช้ประโยชน์จาก MOU
ได้เช่น ชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา การออกแบบ ลิขสิทธิ์การถ่ายทอด ทัวร์นาเมนต์ กีฬาด้านอื่น เช่น มวยไทยก็จะเป็นรูปธรรมมีเป้าหมายชัดเจนการแข่งขัน สามารถเพิ่มมูลค่าโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย
“และกิจกรรมสุดท้ายคือการแปลงงานศิลปเช่น ภาพวาด ไปเป็น NFT ผ่านระบบดิจิทัล นำไปขายผ่านระบบบล็อกเชน ส่งเสริมซอฟพาวเวอร์ ซึ่งเป็นศิลปะที่รังสรรค์โดยศิลปินซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตนมอบด้านซอฟพาวเวอร์ว่าต้องเน้นสร้างมูลค่าจากซอฟพาวเวอร์ ซึ่งวันนี้มีลูกของคุณถวัลย์ ดัชนี นำภาพที่มาแปลงเป็น NFT มาขายบนระบบแพลตฟอร์มบล็อกเชนซึ่งขายได้มูลค่าถึง 2,800,000 บาท” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
นอกจากนี้นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ระบุว่า มหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ IP Fair 2022 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 กรกฎาคม นี้ ที่บริเวณชั้น 1 และชั้น 9 สยามสเคป ชูแนวคิด มันส์ดีเวิร์ส ทรัพย์สินทางปัญญาทางเลือกของคนรุ่นใหม่ โชว์ไอเดียการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งกีฬา ศิลปะ ดนตรี เทคโนโลยี เกมส์ ฯลฯ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและโอกาสทางธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาผนึกกำลังหน่วยงานพันธมิตร อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ ทรูคอร์ปอเรชั่น กลุ่มบริษัท ปตท. เอสซีจีเคมิคอลส์ กสิกรเอ็กซ์ ฯลฯ ร่วมสร้างพื้นที่แห่งโอกาสและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา
รายงานกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ทุกฝ่ายมุ่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์ที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ไว้ และนับตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2565 กระทรวงพาณิชย์สร้างมูลค่าทางการตลาดกว่า 2,118 ล้านบาท มีธุรกิจที่ได้รับประโยชน์มากกว่า 9,000 ราย ซึ่งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่นำมาขับเคลื่อนนโยบายซอฟพาวเวอร์ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และสำหรับการยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เช่น จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแบบเร่งด่วน (Fast Track) ลดระยะเวลาจาก 18 เดือน เหลือ 6 เดือน และสามารถยื่นคำขอเพื่อรับการคุ้มครองในอีก 127 ประเทศทั่วโลก และในสิ้นปีนี้จะลดระยะเวลาจดทะเบียนให้เหลือ 4 เดือน การจดทะเบียนสิทธิบัตรแบบมุ่งเป้า (Fast Track) โดยเริ่มจากสาขาผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ลดระยะเวลาการตรวจสอบจากอย่างน้อย 5 ปี เหลือ 1 ปี และสามารถยื่นคำขอเพื่อขอรับความคุ้มครองในอีก 155 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Advisory Center: IPAC) เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำแก่ประชาชนและผู้ประกอบการไทยในทุกมิติที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ณ จุดเดียว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56708 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “หญิงหน่อย” ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนโพสต์ข้อความผ่านโซเซียลมีเดีย ชี้จะได้ไม่เสียทั้งชื่อและเสียหน้า เหน็บถ้าหาข้อมูลเองไม่ได้พร้อมประสานหาให้ ย้ำชัดกรมชลฯ แจงแล้ว | วันเสาร์ที่ 15 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลสวน “หญิงหน่อย” ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนโพสต์ข้อความผ่านโซเซียลมีเดีย ชี้จะได้ไม่เสียทั้งชื่อและเสียหน้า เหน็บถ้าหาข้อมูลเองไม่ได้พร้อมประสานหาให้ ย้ำชัดกรมชลฯ แจงแล้ว
โฆษกรัฐบาลสวน “หญิงหน่อย” ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนโพสต์ข้อความผ่านโซเซียลมีเดีย ชี้จะได้ไม่เสียทั้งชื่อและเสียหน้า เหน็บถ้าหาข้อมูลเองไม่ได้พร้อมประสานหาให้ ย้ำชัดกรมชลฯ แจงแล้ว เก็บค่าน้ำทำนาไร่ละ 25 บาท/ปี เป็นเพียงกรอบตัวอย่างรับฟังความเห็น
วันที่ 15 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่า รัฐบาลไม่มีปัญญาหารายได้ จึงเก็บค่าน้ำทำนา ไร่ละ 25 บาท/ปีว่า อยากให้คุณหญิงสุดารัตน์ศึกษาข้อมูล หรือสอบถามหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะโพสต์ข้อมูลหรือประเด็นอะไรบนโซเซียลมีเดีย เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเรียกกระแสนิยมให้ตัวเองแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีความรู้แค่ไหนอีกด้วย ทั้งนี้ กรมชลประทานชี้แจงแล้วว่า เป็นเพียงกรอบตัวอย่างเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทั้ง 4 ภาคของประเทศในภาพรวม ต่อการเปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่า ปัจจุบันยังไม่มีการเรียกเก็บค่าชลประทานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมให้เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 5 บาท/ปี เพราะยังไม่มีกฎกระทรวงเรียกเก็บ มีแต่เพียงกฎกระทรวงที่ให้อำนาจรองรับในการจัดเก็บค่าชลประทานเฉพาะนอกภาคเกษตรกรรม ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม การประปา และกิจการอื่น เป็นต้น ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 50 สตางค์ เท่านั้น
นายธนกร กล่าวอีกว่า ขณะนี้กรมชลประทานกำลังดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช 2485 เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราการจัดเก็บค่าใช้น้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่แบ่งทรัพยากรน้ำสาธารณะ เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ ประเภทที่ 2 การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น และประเภทที่ 3 การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก ซึ่งการใช้น้ำประเภทที่ 1 นั้นไม่ต้องขออนุญาตใช้น้ำ และไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำ ส่วนการใช้น้ำประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ต้องขออนุญาตใช้น้ำและชำระค่าใช้น้ำตามหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มีนโยบายถึงทุกส่วนราชการในการยกร่างแก้ไขกฎหมาย ให้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน และต้องสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุดารัตน์เป็นถึงนักการเมืองแถวหน้า หากโพสต์ข้อความแบบเอาง่ายเข้าว่า ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน จนกลายเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปเสียเอง ก็อาจจะทำให้แฟนคลับผิดหวังได้ ทางที่ดี หากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามมาได้ ดีกว่าไปนั่งนึกแล้วทึกทักเอาเอง ตนพร้อมประสานหาข้อมูลและข้อเท็จจริงให้ได้ตลอดเวลา จะได้ไม่เสียทั้งชื่อและเสียหน้า” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 472 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.26 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 472 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.26 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 232 คดี ค่าปรับ 2.29 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 161 คดี ค่าปรับ 5.32 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 1.27 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 0.46 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 41 คดี ค่าปรับ 0.95 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 0.83 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,080.960 ลิตร ยาสูบ จำนวน 10,492 ซอง ไพ่ จำนวน 556 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 32,070.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 12,159 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 46 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/706-2565-1-7-2564-50
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46728 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ดีเดย์ 11 เดือน 11 เปิดตัว Line Official Account : “iBank 4 All (ไอแบงก์ ฟอร์ ออล)” | วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564
ไอแบงก์ ดีเดย์ 11 เดือน 11 เปิดตัว Line Official Account : “iBank 4 All (ไอแบงก์ ฟอร์ ออล)”
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดตัว LINE Official Account “iBank 4 All” หรือ “ไอแบงก์ ฟอร์ ออล” อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ให้เข้าถึงบริการข้อมูลที่รวดเร็วได้มากยิ่
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ไอแบงก์ เปิดเผยว่า การเปิดตัว Line Official Account ภายใต้ชื่อบัญชี “iBank 4 All” (ไอแบงก์ ฟอร์ ออล) ตอกย้ำสโลแกน “ใครๆก็ใช้ได้” เพื่อเป็นการบริการช่องทางใหม่ให้ลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่สนใจผลิตภัณฑ์และบริการของไอแบงก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤต โควิดที่ธนาคารออกมาตรการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ได้เข้าถึงข้อมูลง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ลูกค้าสามารถเลือกดูผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะกับทุกวัย หรือรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือต่างๆของธนาคาร ตลอดจนโปรโมชั่นดีๆไม่ว่าจะเป็นด้านสินเชื่อ เงินฝาก และบริการทางการเงินอื่น นอกจากนี้ยังมีเมนูรวมคลิปความรู้การเงินอิสลามที่หาดูได้ไม่ง่ายจากที่อื่น และสามารถสอบถามรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ผ่านการแชทกับเจ้าหน้าที่โดยตรงได้ในเวลาทำการ จันทร์ ถึง ศุกร์ เวลา 08.30 – 18.00 น. อีกด้วย
ขอเชิญชวนทุกท่านเพิ่มเพื่อนง่ายๆ เพียงเข้าไปที่แอปพลิเคชั่นไลน์ จากนั้นไปที่เมนูเพิ่มเพื่อน แล้วกดค้นหาเพื่อนโดยพิมพ์ @ibank และคลิกที่เพิ่มเพื่อนก็สามารถใช้บริการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ 11 พฤศจิกายน 2564 (11.11) เป็นต้นไป รีบแอดนะครับเพื่อจะทราบโปรโมชั่นดีๆก่อนใคร และร่วมสนุกในกิจกรรมลุ้นของรางวัลของธนาคารที่จะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ด้วยครับ นายวุฒิชัย กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48056 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าสื่อสารเชิงรุกและสร้างสรรค์ ดันเป็นกลไกสู่การพัฒนาสร้างสันติสุขพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ | วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2565
รัฐบาลเดินหน้าสื่อสารเชิงรุกและสร้างสรรค์ ดันเป็นกลไกสู่การพัฒนาสร้างสันติสุขพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
‘รัชดา’ กรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านประสานการมีส่วนร่วมร่วมรับฟังการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการบริหารการสื่อสารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (อกส.จชต.) พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการสื่อสารอย่างครบวงจร
เมื่อวันที่18 มีนาคม2565เวลา08.30น.ณอาคารกรมประชาสัมพันธ์นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ประชุมหารือร่วมกับพลโทสรรเสริญแก้วกำเนิดอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์และคณะในประเด็นการการสื่อสารเชิงรุกและสร้างสรรค์ผ่านคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการบริหารการสื่อสารจังหวัดชายแดนภาคใต้(อกส.จชต.)ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสันติสุขและความมั่นคงในพื้นที่
นางสาวรัชดาเปิดเผยว่ารัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าการสร้างความเข้าใจความไว้เนื้อเชื่อใจความหวังและสันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนจะต้องมาจากการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นความจริงทันต่อเวลาตรงกับความสนใจของประชาชนและสื่อสารสองทางจึงได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวซึ่งการประชุมหารือในครั้งนี้เพื่อร่วมกันวางแผนและวิเคราะห์การทำแผนการสื่อสารแบบครบวงจรเพื่อยกระดับการประชาสัมพันธ์เน้นการมีส่วนร่วมของเยาวชนและกลุ่มสตรีให้มากยิ่งขึ้นรวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นความเข้าใจของประชาชนทั้งในนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และองค์กรต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์การดำเนินโครงการพัฒนาและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนโดยกรมประชาสัมพันธ์ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านการสื่อสารจะมุ่งเน้นการทำความเข้าใจและการชี้แจงด้วยความชัดเจนรวดเร็วผลิตสาระและเผยแพร่ผ่านช่องทางที่ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้รองโฆษกฯได้ให้ข้อสังเกตในประเด็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายการสื่อสารที่ชัดเจนว่ามีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากพฤติกรรมการรับสื่อของคนเปลี่ยนแปลงไปมีการใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นมากจากเดิมที่มีเพียงโทรทัศน์และวิทยุดังนั้นช่องทางการสื่อสารและเนื้อหาข้อมูลจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับความสนใจของแต่ละกลุ่มสำหรับกลุ่มเป้าหมายเยาวชนจากที่ได้ลงพื้นที่รับฟังความเห็นมีเสียงสะท้อนว่าอยากให้นำเสนอศักยภาพความสำเร็จของเยาวชนมุมดีๆในพื้นที่ให้มากๆ ซึ่งภาครัฐจะเร่งสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้มีมากขึ้นอีก
________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52714 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ธงชาติไทย สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของคนในชาติ" | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
"ธงชาติไทย สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของคนในชาติ"
"เพราะธงชาติและเพลงชาติไทย คือสัญลักษณ์ของความเป็นไทย คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกราช ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นหรือ อาณานิคมของชาติใด รวมถึงความเสียสละของบรรพบุรุษไทยทุกยุคสมัย ในการปกป้องรักษาแผ่นดินให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน"
วันที่ 28 กันยายน 2564 นี้ เป็นวันครบรอบ 104 ปี วันพระราชทานธงชาติไทย เป็นวันที่ระลึกโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่6)ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460
ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2560 สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปี เป็นวันพระราชทานธงชาติไทย โดยประเทศไทยนั้นถือเป็นประเทศที่ 54 ของโลกที่มีวันธงชาติ
สำหรับประวัติศาสตร์การใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย เมื่อสืบค้นจากหลักฐานต่างๆ ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (พุทธศักราช ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑)
เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการค้าขายทางเรือ มีลักษณะเป็นธงผ้าสีแดงเกลี้ยง โดยในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวไว้ว่า มีเรือสินค้าของฝรั่งเศสลำนึงได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงป้อมวิชัยประสิทธิ์ของไทย เรือฝรั่งเศสก็ชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายไทยยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม แต่เมื่อฝ่ายไทยชักธงขึ้นตอบบ้าง ฝ่ายฝรั่งเศสกลับไม่ยิงสลุตคำนับตอบ เพราะไทยชักธงชาติฮอลันดาขึ้น ด้วยเหตุว่าขณะนั้นไทยไม่มีธงชาติของตนใช้ (ขณะนั้นฝรั่งเศสกับฮอลันดาเป็นศัตรูกัน) ฝ่ายไทยได้แก้ปัญหาโดยชักผ้าสีแดงขึ้นแทนธงชาติฮอลันดา ฝรั่งเศสจึงยอมยิงสลุตคำนับตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ธงชาติไทย
เมื่อมาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งเรือหลวงและเรือค้าขายของเอกชนยังคงใช้ธงสีแดงล้วน เป็นเครื่องหมายเรือสยาม จึงได้มีการนำสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประดับบนธงพื้นสีแดงเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นธงสำหรับเรือหลวง โดยกฎหมายธงสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวไว้ว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปจักรสีขาวลงในธงแดง สำหรับใช้เป็นธงของเรือหลวง” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ทรงได้ช้างเผือกเอก ๓ ช้าง ถือเป็นเกียรติยศยิ่งต่อแผ่นดิน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปช้างเข้าภายในวงจักรของเรือหลวงไว้ด้วย มีความหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินอันมีช้างเผือก แต่ธงช้างอยู่ในวงจักรใช้แต่เรือหลวงเท่านั้น เรือพ่อค้ายังคงใช้ธงแดงตามเดิม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยมีการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกมากขึ้น เนื่องจากการทำสนธิสัญญาเบาริ่งกับสหราชอาณาจักรในพุทธศักราช ๒๓๙๘ พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า สยามจำเป็นต้องมีธงชาติใช้ตามธรรมเนียมชาติตะวันตก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงพื้นสีแดง มีรูปช้างเผือกเปล่าอยู่ตรงกลางเป็นธงชาติสยามแต่เอารูปจักรออก เนื่องจากมีเหตุผลว่า จักรเป็นเครื่องหมายเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์และธงพื้นแดงที่เอกชนสยามใช้ทั่วไปซ้ำกับประเทศอื่น
สำหรับการติดต่อระหว่างประเทศ ธงนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ได้ทั่วไปทั้งเรือหลวงและเรือเอกชน แต่เรือหลวงนั้นทรงกำหนดให้ใช้พื้นเป็นสีน้ำเงินขาบชักขึ้นที่หัวเรือ เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับแยกแยะว่าเป็นเรือหลวงด้วย โดยให้ชื่อว่า ธงเกตุ ซึ่งต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นธงฉานของกองทัพเรือไทยในปัจจุบัน
ส่วนธงช้างเผือกเปล่าได้ใช้เป็นธงชาติสยามสืบมา จนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองอุทัยธานี ซึ่งขณะนั้นประสบเหตุอุทกภัยและทอดพระเนตรเห็นธงช้างของราษฎร ซึ่งตั้งใจรอรับเสด็จไว้ถูกติดกลับหัว พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า ธงชาติต้องมีรูปแบบที่สมมาตรเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ มีพระราชดำริว่า ธงช้างทำยากและไม่ได้ทำแพร่หลายในประเทศ โดยธงช้างที่ขายตามท้องตลาดนั้นมักจะเป็นธงที่ผลิตจากต่างประเทศ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนรูปแบบธงชาติอีกครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นธงไตรรงค์ ธงชาติไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว! ผู้ประกอบการซื้อชุดตรวจ ATK ให้ลูกจ้าง นำมาลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า | วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564
ครม. ไฟเขียว! ผู้ประกอบการซื้อชุดตรวจ ATK ให้ลูกจ้าง นำมาลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า
....
ที่ประชุม ครม. วันนี้ (14 ก.ย.) เห็นชอบให้ผู้ประกอบการที่ซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK) สำหรับพนักงานหรือลูกจ้าง สามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 1.5 เท่า ถึงวันที่ 31 มี.ค. 65
.
มาตรการภาษีดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ด้วยการเพิ่มการตรวจ ATK ในกลุ่มแรงงาน และยังช่วยบรรเทาภาระภาษี หลังจากที่ ศบค. ได้คลายมาตรการให้บางกิจการกลับมาเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นมา
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45874 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน | วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565
นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน
นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 11.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2565 ถึงกรณีปัญหาราคาน้ำมันและจะมีการทบทวนปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันหรือไม่ว่า เมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 65) ได้มีการหารือแล้ว โดยขอให้รอการชี้แจงให้ทราบในรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ เห็นได้ว่ารัฐบาลมีแผนเรื่องกองทุนน้ำมัน การเตรียมวงเงินกู้ไว้สำหรับที่จะชดเชย โดยกองทุนน้ำมันก็ติดลบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเตรียมรองรับปัญหาเรื่องของแก๊สในหลายมิติด้วยกัน ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากเรา แต่มาจากต้นทุนพลังงาน ที่เราพึ่งพาวัตถุดิบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้น ต้องไปเปรียบเทียบดูจากประเทศรอบบ้าน และในภูมิภาคว่าเป็นอย่างไร ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มไหน หลายประเทศอาจจะถูกกว่าไทย เพราะเขามีแหล่งพลังงานในประเทศ เรื่องนี้ขอให้รออีกนิดหนึ่ง เพราะการดูแลไม่ใช่ดูแลคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับคนที่มีรายได้ไม่มากอยู่แล้ว ทุกคนต้องช่วยกัน เรื่องสถานการณ์พลังงานยังติดพันอีกมากและไม่ใช่ระยะเวลาสั้น รัฐบาลต้องหาวิธีการที่เหมาะสม จะเห็นได้ว่ามีการควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาท อีกทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องภาษีต่าง ๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่าลืมว่าถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จะทำให้รายได้ของรัฐลดลงไปมาก มีผลกระทบอื่น ๆ หรือเปล่า จะลดได้แค่ไหนอย่างไร ก็ต้องฟังเสียงจากหลายฝ่าย เดือนหนึ่งประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ถ้าระยะยาว 6 เดือน ก็ประมาณ 18,000 กว่าล้านบาท เป็นตัวเลขคร่าว ๆ เฉพาะเรื่องน้ำมัน แล้วยังมีเรื่องแก๊สอีก รัฐบาลพยายามจะตรึงราคาให้มากที่สุด จึงขอให้เข้าใจด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขอร้องสมาคมรถบรรทุกด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลทำความเข้าใจมาโดยตลอด เมื่อวานนี้ผู้ชุมนุมมีความเข้าใจไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญวิกฤติหลายด้านด้วยกัน และไม่เคยมีรัฐบาลไหนเจอมาก่อน ที่พร้อม ๆ กันอย่างนี้ ตั้งแต่โควิด-19 ราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน การแข่งขันทางการค้า ความมั่นคงในภูมิภาค ความขัดแย้งทางทะเล การแข่งขันการลงทุน การย้ายฐาน ประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีพยายามพูดคุยกับต่างประเทศที่เดินทางมาไทย เขาก็ชื่นชมประเทศไทยทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการบริหารโควิด-19 ภาคเอกชนชื่นชมในการดูแลช่วยเหลือให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ในส่วนแรงงานก็ได้รับการเยียวยา ดูแลเรื่องการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เขาบอกว่าของเขาไม่มีแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดในประเทศไทย ฉะนั้นสิ่งดี ๆ ก็เกิดขึ้นมาก ดังนั้น ขอร้องสื่อให้ออกสิ่งดี ๆ ไปด้วย ส่วนสิ่งที่เป็นปัญหาก็ดำเนินการแก้ไข
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของไทย และได้มีการต่อขยายมา ในอดีตเส้นแรกต้องลงทุนกับภาครัฐอย่างเดียว ในปัจจุบันมีการลงทุนรูปแบบ PPP ยืนยันว่า ไม่เอื้อผลประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผลประโยชน์เป็นไปเพื่อประชาชนและประเทศชาติ โดยต้องหาแนวทางไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และย้ำว่า คณะรัฐมนตรีไม่มีความขัดแย้งกันทั้งสิ้น ทุกคนมีความเห็น นายกรัฐมนตรีฟังทุกคน ขึ้นกับเหตุและผลและข้อกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งฝ่ายกฎหมายจะไปพิจารณาและมีคำชี้แจงอยู่แล้ว รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ คณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็สามารถชี้แจงได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51390 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่การดำเนินการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร(ด้านพืชและด้านปศุสัตว์)ในพื้นที่จังหวัดพังงา จังหวัดสตูล | วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่การดำเนินการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร(ด้านพืชและด้านปศุสัตว์)ในพื้นที่จังหวัดพังงา จังหวัดสตูล
กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
19 ส.ค. 64 ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลการขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ในส่วนของการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร (ด้านพืชและด้านปศุสัตว์) ว่า กระทรวงเกษตรและสหหรณ์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทยอยส่งมอบปัจจัยการผลิต ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยในเบื้องต้น ได้รับรายงานผลการดำเนินงานจากเกษตรและสหกรณ์จังหวัดพังงา ซึ่งได้มีการส่งมอบพันธุ์ไม้ยืนต้น และเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฏีใหม่ จำนวน 83 ราย สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพังงา ได้ส่งมอบพันธุ์สัตว์ พร้อมอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 83 ราย และสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสตูล ร่วมกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสตูล ส่งมอบปัจจัยการผลิตด้านปศุสัตว์ตามความต้องการของเกษตรกรและสอดคล้องกับสภาพพื้นถิ่น ประกอบด้วย ไก่ไข่ จำนวน 162 ตัว เป็ดไข่ จำนวน 54 ตัว เป็ดเนื้อ จำนวน 33 ตัว ไก่พื้นเมือง จำนวน 93 ตัว อาหารไก่ไข่ จำนวน 540 กิโลกรัม อาหารเป็ดไข่ จำนวน 54 กิโลกรัม อาหารเป็ดเนื้อ จำนวน 20 กิโลกรัม อาหารไก่พื้นเมือง จำนวน 288 กิโลกรัม และกากน้ำตาล จำนวน 108 กิโลกรัม ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 48 ราย
สำหรับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านประมงนั้น อยู่ระหว่างการปรับสภาพน้ำในบ่อ เนื่องจากบ่อขุดใหม่จะมีสภาพเป็นกรด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ประมงได้แนะนำให้เกษตรกรใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพน้ำในบ่อให้พร้อม โดยคาดว่าจะส่งมอบพันธุ์ปลาได้ภายในเดือนกันยายน 2564 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งรัดการดำเนินการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร เนื่องจากเป็นโครงการที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์ สามารถสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรกรได้จริง ในช่วงสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจซบเซา และวิกฤตการระบาดของโรคโควิค-19 ในขณะนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44904 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฮือฮา “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมเป็นนายแบบผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT ระดับ I CHAMP โชว์เสื้อคลุมมวยไทย วินเทอร์ วินเนอร์ ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมวยไทย | วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565
ฮือฮา “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมเป็นนายแบบผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT ระดับ I CHAMP โชว์เสื้อคลุมมวยไทย วินเทอร์ วินเนอร์ ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมวยไทย
ฮือฮา “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมเป็นนายแบบผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT ระดับ I CHAMP โชว์เสื้อคลุมมวยไทย วินเทอร์ วินเนอร์ ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมวยไทย
ฮือฮา “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมเป็นนายแบบผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT ระดับ I CHAMP โชว์เสื้อคลุมมวยไทย วินเทอร์ วินเนอร์ ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมวยไทย วธ.ขยายตลาดผู้ซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้างาน CCPOT GRAND EXPOSITION สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท หนุนเจรจาจับคู่ธุรกิจต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมานายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมและสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรม มโนราห์ การแสดงแบบผ้าไทย ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT จากนายแบบนางแบบเป็นจำนวนมาก โดยมีนักมวยชื่อดัง บัวขาว บัญชาเมฆ ร่วมเป็นนายแบบ CCPOT เสื้อคลุมมวยไทยในคอเลคชั่น วินเทอร์ วินเนอร์ Winter Winner Muay Thai Robes ซึ่งเป็น CCPOT ระดับ I CHAMP ออกแบบพัฒนามาจากมรดกวัฒนธรรมมวยไทย ซึ่งใช้วัสดุขนสัตว์เทียมที่มีความอบอุ่นสำหรับชาวต่างชาติผู้ชื่นชอบกีฬามวยไทยเข้ากับบริบทการเป็นอยู่ของกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ ใช้โทนสีพร้อมลูกเล่นอัตลักษณ์ของแม่ไม้มวยไทยเป็นแถบคาดให้ มีความเข้มแข็ง สง่างาม และลงตัว สร้างความฮือฮาให้กับผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นายอิทธิพล กล่าวว่า จากนโยบายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริม "Soft Power" ความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วยเหลือชุมชนและผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยวธ. ได้ต่อยอดโครงการ “โครงการการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (Community Cultural Product of Thailand : CCPOT) สู่สากล” และจัดงานแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION ขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 20 กุมภาพันธ์ 2565 ใน 2 โซนของศูนย์การค้าสยามพารากอน คือ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 และ พาร์ค พารากอน ชั้น M เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมจาก 1,0000 ชุมชนทั่วประเทศ กว่า 5,000 รายการ โดยมีไฮไลท์ที่โซน ICHAMP ระดับเพชร หรือผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นสินค้ากลุ่มพรีเมียม 10 รายการ เช่น เก้าอี้เงินแสนตอก ช็อกโกแลตทุเรียนนนท์ โซน ICHAMP ระดับทอง หรือผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าทั่วไป 240 รายการ เช่น เครื่องประดับมุกอันดามัน เครื่องประดับบ้าน เครื่องทองเหลืองตะเพียนทอง เครื่องประดับบ้านแก้วเป่า เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีโซนของฝากจากชุมชนวัฒนธรรม ของขวัญ ของที่ระลึก อาหารพื้นถิ่นแปรรูป โซนสยามแพรพรรณ หรือโซน CCPOT ระดับทอง ที่เป็นกลุ่มผ้าทอ มีสินค้า 150 รายการ เป็นผ้าทอมือลวดลายสวยงามตามวัฒนธรรมชุมชนแต่ละแห่ง เป็นต้น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้คำนึงถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงจัดงานทั้งรูปแบบปกติและรูปแบบออนไลน์ควบคู่กัน ประชาชนสามารถชมงานในรูปแบบออนไลน์ Virtual Exhibition ได้ที่เว็บไซต์ www.ccpot.in.th ทำให้เข้าถึงผู้ชมและเกิดการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ CCPOT ซึ่งชุมชนและผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ CCPOT เป็นผู้รับคำสั่งซื้อและจัดส่งไปให้ ผู้สั่งซื้อถึงบ้านและทำให้เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching)
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.มุ่งหวังงานครั้งนี้ จะก่อให้เกิดยอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CCPOT ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท และเมื่อมียอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งวธ.จะสนับสนุนชุมชนและผู้ประกอบการโดยร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ CCPOT ให้มีความสัมพันธ์กับยอดการสั่งซื้อ เช่น ชุดโนรา ชาตรี ช็อกโกแลตทุเรียนนนท์ ทั้งนี้ วธ.จะส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CCPOT ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยสนับสนุนให้เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51652 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงนามแล้ว! การจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป (LAAB) 2.5 แสนโดส ป้องกัน “โควิด” ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ | วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2565
ลงนามแล้ว! การจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป (LAAB) 2.5 แสนโดส ป้องกัน “โควิด” ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ
.....
กระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าการจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป แบบ Long Acting Antibodies (LAAB) ของ บ.แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2.5 แสนโดส เพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ปลูกถ่ายอวัยวะ ปลูกถ่ายไขกระดูก ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ โดยล่าสุด (6 ก.ค. 65) ได้ลงนามในสัญญาแล้ว
.
LAAB เป็นแอนติบอดีสำเร็จรูปที่ออกฤทธิ์ยาว โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้วเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 65 เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งจะใช้กับผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ อายุ 12 ปีขึ้นไป น้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 40 กก. เป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 6 เดือน (ก่อนการสัมผัสโรค) และพบว่ามีประสิทธิผล 83% ในการลดความเสี่ยงอาการรุนแรง
.
การจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป (LAAB) ครั้งนี้ เป็นการขอปรับสัญญากับ บ.แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) โดยเปลี่ยนจากวัคซีนบางส่วนมาเป็น LAAB ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ ครม. เคยอนุมัติ ทำให้ไม่ต้องใช้งบประมาณในการจัดหาเพิ่ม ส่งผลให้ประเทศไทยจะมีทั้งวัคซีนและแอนตีบอดีสำเร็จรูปในการดูแลประชาชนได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56618 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความยั่งยืนในตลาดทุน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัล” วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ณ จังหวัดขอนแก่น | วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565
ผลการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความยั่งยืนในตลาดทุน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัล” วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ณ จังหวัดขอนแก่น
กระทรวงการคลังร่วมกับ สำนักงาน ก.ล.ต. จัดสัมมนาภายใต้กรอบการประชุม รมว.คลังเอเปค ในวันที่ 21 มิ.ย.2565 ณ รร.อวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จ.ขอนแก่น
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้จัดการสัมมนาภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค เรื่อง การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความยั่งยืนในตลาดทุนและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัล (Seminar on Developing the Ecosystem for Sustainable Finance in the Capital Market and Digitalization for Inclusive Finance: Embracing the Digital Fundraising) (การสัมมนาฯ) ในวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น โดยมีผลการสัมมนาฯ ใน 3 หัวข้อหลัก ดังนี้
1. การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลในมุมมองของผู้กำหนดนโยบาย โดยวิทยากร ประกอบด้วย นางแพทริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (ผอ. สบน.) ผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ผู้แทนกระทรวงการคลังมาเลเซีย และผู้แทนกระทรวงการคลังสิงคโปร์ ต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงการวางแผนงบประมาณและแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในการนี้ ผู้แทนกระทรวงการคลังมาเลเซียและผู้แทนกระทรวงการคลังสิงคโปร์ ได้กล่าวถึงรูปแบบการระดมทุนที่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในเขตเศรษฐกิจของตน และ ผอ. สบน. ได้นำเสนอประสบการณ์การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ที่เป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการปฏิบัติตามข้อกำหนดการระดมทุนและการใช้เงินทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้การระดมทุนและการดำเนินนโยบายอื่น ๆ ของรัฐเข้าถึงประชาชนและภาคประชาสังคมได้อย่างครอบคลุม และส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคพลังงาน ภาคการผลิต และภาคการคมนาคมขนส่ง จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึงร้อยละ 20
2. การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความยั่งยืนในตลาดทุน ซึ่งประกอบด้วย 2 หัวข้อหลัก ได้แก่
2.1 การพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนในตลาดทุน ซึ่งนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เลขาธิการ ก.ล.ต.) ผู้แทนกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย ผู้แทนหน่วยงานกำกับบริการทางเงินญี่ปุ่น (Japan Financial Service Agency) ผู้แทนสถาบัน Sustainable Finance Institute Asia และผู้แทนองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายและมาตรฐานทางการเงินเพื่อความยั่งยืนได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน โดยกล่าวถึงความสำคัญของหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ทั้งนี้ ผู้ร่วมสัมมนาได้นำเสนอแนวทางในการจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนในตลาดทุนของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินในการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน โดยยึดหลักการการมีส่วนร่วม จัดทำนโยบายทางการเงินเพื่อความยั่งยืนอย่างมีส่วนร่วม พร้อมทั้งแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน และธรรมาภิบาลของการลงทุน
2.2 กรอบการจัดหมวดหมู่ด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเงินที่ยั่งยืนสำหรับ เศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies) และกลไกราคาสำหรับการซื้อขายคาร์บอน ซึ่งวิทยากรจาก OECD และภาคเอกชน ได้เสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนเกี่ยวกับการพัฒนามาตรฐานและเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Taxonomy) รวมถึงแนวทางบริหารความเสี่ยงที่จะช่วยให้กิจการสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่กิจการที่ยั่งยืน (Transition Finance) และเปลี่ยนการลงทุนดั้งเดิมสู่การลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย 2 หัวข้อย่อย ดังนี้
3.1 นโยบายและกรอบการดำเนินนโยบายกำกับดูแลการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการระดมทุนในตลาดทุนของ SMEs ซึ่งวิทยากรจากสำนักงาน ก.ล.ต. และ ADB ได้นำเสนอและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับกรอบนโยบายการกำกับดูแลและเครื่องมือเทคโนโลยีที่นำมาปรับใช้เพื่อสนับสนุนการระดมทุนในตลาดทุน โดยเฉพาะในประเด็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งในกรณีประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. ได้พัฒนาเครื่องมือการระดมทุนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ (Crowdfunding) เพื่อการระดมทุนของ SMEs และธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยในปัจจุบันมีการระดมทุนผ่านช่องทางดังกล่าวกว่า 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565) นอกจากนี้ ยังมีการระดมทุนในรูปแบบ Initial Coin Offerings (ICOs) หรือการระดมทุนเป็นโทเคนดิจิทัล (Digital Token) ซึ่งใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยระดมทุนผ่านช่องทางของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
3.2 ความท้าทายและโอกาสของการระดมทุนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล วิทยากรจากธนาคารโลก และวิทยากรจากภาคเอกชนที่ประกอบกิจการด้านการระดมทุนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ได้แลกเปลี่ยนบทเรียน ประโยชน์ และความท้าทายในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อการระดมทุนในตลาดทุน โดยผู้ประกอบการภาคเอกชนเห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลที่นำมาใช้ในการระดมทุนรูปแบบใหม่ อาทิ Crowdfunding และ ICOs ได้ช่วยสนับสนุนให้ SMEs และธุรกิจสตาร์ทอัพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความชัดเจนของกฎระเบียบและนโยบายของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลบริการด้านการเงินต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนให้การระดมทุนในรูปแบบดังกล่าวมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อภาคธุรกิจและนักลงทุนมากยิ่งขึ้น
การสัมมนาฯ ในครั้งนี้ทำให้สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคได้รับทราบถึงแนวทางและความคืบหน้าในการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความยั่งยืนในตลาดทุนและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปคในปี 2565 จะรายงานผลการสัมมนาในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเปค (APEC Senior Finance Officials’ Meeting) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2565 ณ จังหวัดขอนแก่น จากนั้นจะสรุปผลลัพธ์จัดทำเป็นเอกสารข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 29 ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3615
Seminar on Developing the Ecosystem for Sustainable Finance in the Capital Market and Digitalization for Inclusive Finance: Embracing the Digital Fundraising 21st June 2022 Khon Kaen
Dr. Pornchai Thiraveja, Director-General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance has reported that on June 21, 2022, the Ministry of Finance in conjunction with the Securities and Exchange Commission of Thailand (SEC) organized a seminar on Developing the Ecosystem for Sustainable Finance in the Capital Market and Digitalization for Inclusive Finance: Embracing the Digital Fundraising with the support of the Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) at AVANI Hotel & Convention Centre in Khon Kaen, Thailand. The seminar consists of three sections as follows.
1.Sustainable Finance and Digitalization: Views from Policy Makers: Mrs. Patricia Mongkhonvanit, Director-General of the Public Debt Management Office (PDMO), and representatives from Asian Development Bank (ADB), Malaysia's Ministry of Finance, and Singapore's Ministry of Finance attended the session. The panelists emphasized the importance of linking budgeting and fundraising plans to the Sustainable Development Goals. Representatives from Malaysia and Singapore highlighted financial framework that responded to the economic and environmental needs of their respective economies. PDMO Director-General discussed the issuance of Sustainability Bonds as a method for achieving sustainable development and reducing greenhouse gas emissions. For the issuance of sustainability bonds to be successful, cross-agency cooperation in adhering to practices of sustainable finance is required. Digital technology will increase fundraising and improve policy implementation, making them more accessible and inclusive to the general public. In addition, utilizing digital solutions in the energy, production, and transport sectors can contribute to a 20-percent reduction in greenhouse gas emissions.
2. Seminar on Developing the Ecosystem for Sustainable Finance in the Capital Market comprises of two topics include:
2.1 Developing the Ecosystem for Sustainable Finance in the Capital Market: Ms. Ruenvadee Suwanmongkol, Secretary-General of SEC, representatives from Indonesian Ministry of Finance, Financial Service Agency of Japan, Sustainable Finance Institute Asia, and OECD involving in standard-setting and regulation of the capital market emphasized the significance of the Environment, Social, Governance (ESG) concept. Panelists also discussed priorities in the development of an ecosystem for sustainable finance by APEC economies with participation from the public in the development disclosure and governance standards.
2.2 Sustainable Finance Taxonomies and Transition Finance Frameworks for Emerging Economies and Price-based Carbon Mitigation Measures: Speakers from OECD and the private sector shared their knowledge, and lessons learnt regarding the development of sustainable finance taxonomy and also financial instruments that would help firms transition to be more sustainability-driven, and turn traditional financing into sustainable one.
3. Seminar on Digitalization for Inclusive Finance: Embracing the Digital Fundraising comprises of two topics as follows
3.1 Enabling Policies and Regulatory Frameworks for Digital Financial Inclusion of SMEs in the Capital Market: Panelists from SEC and Asian Development Bank (ADB) presented and discussed their experiences on policy frameworks and technology to facilitate SMEs fundraising in capital markets. In Thailand, the SEC has introduced crowdfunding as a means for SMEs and start-up entrepreneurs to raise capital. As of 31 May 2022, through crowdfunding, the private sector has raised almost USD 76 million. In addition, the private sector can raise funds through Initial Coin Offerings (ICOs) in the form of digital tokens that have been approved by the SEC.
3.2 Challenges & Opportunities of Digital Fundraising Tools: Panelists from the World Bank and the private sector that are engaged in fundraising through digital technology shared lessons, benefits and challenges in applying digital technology for fundraising in the capital markets. Private sector entrepreneurs believe that digital technologies used in new forms of fundraising such as crowdfunding and ICOs have helped SMEs to access funding more conveniently and swiftly. Clarity of regulations and policies of government agencies and financial services regulators will help support this form of fundraising to be more efficient and safer for businesses and investors.
This seminar provided APEC members with guidelines and progress in developing the ecosystems for sustainable finance in capital markets and access to funding through digital tools. Thailand, as the host of the APEC Meeting in 2022, will report the results of the seminar at the upcoming APEC Senior Finance Officials' Meeting on 22 – 23 June 2022 in Khon Kaen Province. The results are then summarized as policy recommendation documents and will be presented to the 29th APEC Finance Ministers' Meeting in October 2022.
International Economic Policy Bureau, Fiscal Policy Office
Tel. 0 2273 9020 ext. 3613/3610
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55969 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บก. เร่งพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบการงานก่อสร้าง และประกาศรายชื่อผู้ประกอบการที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 8 จำนวน 173 ราย | วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564
บก. เร่งพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบการงานก่อสร้าง และประกาศรายชื่อผู้ประกอบการที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 8 จำนวน 173 ราย
กรมบัญชีกลางได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 8/2564 ซึ่งคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างในครั้งนี้แล้ว
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 8/2564 ซึ่งคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างในครั้งนี้แล้ว โดยมีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางฯ กำหนด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการงานก่อสร้างรายเดิมที่ได้เลื่อนชั้น และผู้ประกอบการงานก่อสร้างรายใหม่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน รวมทั้งสิ้น 173 ราย แบ่งเป็น 1) ผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติทั่วไป และคุณสมบัติเฉพาะ และ 2) ผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะ และคุณสมบัติเฉพาะอื่นๆ ใน 4 สาขา (สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน สาขางานก่อสร้างชลประทาน และสาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
“กรมบัญชีกลางได้เร่งตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ลงทะเบียนและยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนกับกรมบัญชีกลาง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการ และสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เป็นไปอย่างคล่องตัว เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้รับการประกาศรายชื่อให้มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐแล้ว สามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 8/2564 ได้ทางเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือ CGD Application และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสินครองแชมป์ Best Retail Bank of the Year 2022 | วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
ธนาคารออมสินครองแชมป์ Best Retail Bank of the Year 2022
ธนาคารออมสิน ครองแชมป์ธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2565 Best Retail Bank of the Year 2022 ควบธนาคารยอดเยี่ยมด้านเงินฝากและธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อเอสเอ็มอี
ธนาคารออมสิน ครองแชมป์ธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2565 Best Retail Bank of the Year 2022 ควบธนาคารยอดเยี่ยมด้านเงินฝากและธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อเอสเอ็มอี ธอส. แชมป์ธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อบ้าน ธนาคารไทยพาณิชย์ คว้าธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ชิงบริษัทยอดเยี่ยมด้านประกันชีวิต จากผลโหวตของประชาชนผู้เข้าชมงานมหกรรมการเงิน Money Expo 5 แห่ง ทั่วประเทศ
วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนมิถุนายน 2565 เผยผลการสำรวจความคิดเห็นผู้เข้าชมงานมหกรรมการเงิน Money Expo ประจำปี 2565 ว่า ธนาคารออมสิน ได้ครองตำแหน่ง ธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2565 Best Retail Bank of The Year 2022 โดยเป็นการครองตำแหน่งติดต่อกันเป็นปีที่ 7 แล้ว
สำหรับการจัดอันดับดังกล่าว วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้เข้าชมงานมหกรรมการเงิน Money Expo ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค รวม 5 งาน ซึ่งผลปรากฏว่า ธนาคารออมสินเป็นธนาคารที่ผู้เข้าชมงานชื่นชอบและตัดสินใจเลือกใช้บริการมากที่สุด โดยให้เหตุผลว่า ธนาคารมีแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษมานำเสนอภายในงาน โดยเฉพาะเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและสิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งยังมีบริการที่หลากหลายครบถ้วน พนักงานในบูธเต็มใจให้คำแนะนำและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญ ธนาคารมีความมั่นคงน่าเชื่อถือ จึงมีความมั่นใจในการใช้บริการ
นอกจากนี้ ยังมีธนาคารที่มีความยอดเยี่ยมในแต่ละบริการแห่งปี 2565 ที่ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจและตัดสินใจใช้บริการในแต่ละด้าน โดยธนาคารที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านเงินฝากและธนาคารที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อเอสเอ็มอี ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อบ้าน ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านประกันชีวิต ได้แก่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต
เปิดบูธธนาคารออมสินปี 2022 สร้างอนาคต สร้างธุรกิจ สร้างสังคม
สำหรับบูธธนาคารออมสินปีนี้ มาในคอนเซ็ปต์ “สร้างอนาคต สร้างธุรกิจ สร้างสังคม” มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิพิเศษด้านเงินฝาก สินเชื่อ และบริการทางการเงินมากมาย พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชั่นที่จัดมาเป็นพิเศษเพื่อลูกค้าและผู้เข้าชมงานโดยเฉพาะ
โปรโมชันเด่นด้านเงินฝาก ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 109 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.90% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 3.00% ต่อปี เพื่อส่งเสริมการออมเงินของแฟนคลับผลิตภัณฑ์เงินฝากธนาคารออมสิน เพียงเปิดบัญชีฝากเงินขั้นต่ำ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท สามารถจองสิทธิ์ได้ภายในงาน เพียงวันละ 200 สิทธิ์ และจำกัดคนละ 1 บัญชีเท่านั้น
ด้านสินเชื่อมีโปรโมชั่นที่เป็นไฮไลต์ ได้แก่ สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับคนอยากมีบ้านทั้งสร้าง/ซื้อบ้าน ต่อเติมซ่อมแซม หรือต้องการรีไฟแนนซ์มาจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยปีแรก 1.750% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.50% ต่อปี ได้ยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา และค่าบริการสินเชื่อ ให้สิทธิ์แก่ผู้ที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ในงาน โดยต้องยื่นกู้ภายในวันที่ 30 มิ.ย.2565 ทำนิติกรรมสัญญาภายในวันที่ 30 ก.ย.2565 เท่านั้น และลูกค้า 220 คนแรก ยังจะได้รับ Gift Card มูลค่าสูงสุด 5,000 บาท อีกด้วย
สินเชื่อ GSB Smooth BIZ สำหรับบุคคลธรรมดา/นิติบุคคล ที่ประกอบธุรกิจภาคการผลิต การพาณิชย์ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด ปีที่ 1-2 = 2.99% ต่อปี ผ่อนชำระนาน 10 ปี วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อ SMEs เต็มสุข เต็มสิบ / สินเชื่อออมสิน สร้างงาน สร้างอาชีพ / สินเชื่อออมสินห่วงใย (เพื่อสู้ภัยโควิด) เป็นต้น
ปีนี้ ธนาคารออมสินยังมาเปิดตัว “ออมสินเมตาเวิร์ส : GSB METAVERSE” ชุมชนแห่งใหม่บนโลกดิจิทัล เพื่อให้ผู้ชมงานได้เปิดประสบการณ์ใหม่ในโลกเสมือนจริงเป็นครั้งแรกภายในงาน นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมที่บูธ ธนาคารออมสิน จะได้รับ “กระปุกออมสินชิงช้าสวรรค์” พร้อมลุ้นรับของรางวัลอีกมากมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน ครู ขอบคุณ “นายกฯ” เห็นความสำคัญไม่ตัดสิทธิ์ การสอบของนักเรียนที่ติดโควิด ขณะที่การสอบระบบ TCAS วันนี้ มีนักเรียนลงทะเบียนเข้าใช้สนามสอบพิเศษถึง 1,712 คน | วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน ครู ขอบคุณ “นายกฯ” เห็นความสำคัญไม่ตัดสิทธิ์ การสอบของนักเรียนที่ติดโควิด ขณะที่การสอบระบบ TCAS วันนี้ มีนักเรียนลงทะเบียนเข้าใช้สนามสอบพิเศษถึง 1,712 คน
โฆษกรัฐบาลเผย ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน ครู ขอบคุณ “นายกฯ” เห็นความสำคัญไม่ตัดสิทธิ์ การสอบของนักเรียนที่ติดโควิด ขณะที่การสอบระบบ TCAS วันนี้ มีนักเรียนลงทะเบียนเข้าใช้สนามสอบพิเศษถึง 1,712 คน
วันนี้ (12 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บรรดาเหล่าผู้ปกครอง เด็กนักเรียน และครู ต่างแสดงความดีใจเป็นอย่างมากพร้อมขอบคุณพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีนโยบายไม่ตัดสิทธินักเรียนที่ติดโควิด ทั้งที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ และอยู่ระหว่างการรักษา รวมถึงกลุ่มเสี่ยงสูงให้สามารถเข้าสอบเรียนต่อภายใต้มาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนด ทำให้นักเรียนได้เข้าสอบโดยไม่เสียสิทธิ ทั้งการสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การสอบ NT O-net และสอบ GAT PAT ในวันที่ 12 - 13 มี.ค. นี้
นายธนกรกล่าวว่า ขณะเดียวกันล่าสุดการจัดสอบในระบบ TCAS สำหรับนักเรียนที่ติดเชื้อโควิด - 19 กลุ่มอาการสีเขียวและกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งได้เริ่มสอบวันแรกในวันนี้ (12 มี.ค. 65) พบว่านักเรียนที่มีสิทธิสอบในระบบ TCAS65 ที่ติดเชื้อโควิด-19 หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้สนามสอบพิเศษที่ ทปอ. จัดเตรียมไว้ผ่าน mytcas.com แล้วถึง 1,712 คน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้คือประมาณ 730 คน โดยมีสนามสอบพิเศษรองรับ 6 สนามสอบหลัก ครอบคลุมทุกภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง กทม. คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และภาคใต้ คือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมถึงมีอีก 1 สนามสอบพิเศษเฉพาะของจังหวัดจันทบุรี ที่เปิดรับเฉพาะนักเรียนติดเชื้อในจังหวัดจันทบุรี และล่าสุดจังหวัดต่าง ๆ มีการเปิดสนามสอบพิเศษของจังหวัดด้วย รวม 18 จังหวัด ทำให้ขณะนี้จึงมีสนามสอบพิเศษรวมเป็น 24 สนามสอบแล้ว
"นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย อนาคตทางการศึกษาของเยาวชน กำชับให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการดูแลรองรับการสอบครั้งนี้ เน้นย้ำการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขขั้นสูงสุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเพื่อให้การดำเนินการสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยขณะนี้โรงเรียนหลายแห่งได้จัดสนามสอบเพิ่ม โดยจัดอาคารเฉพาะให้กับเด็กนักเรียนที่ติดโควิดเข้าสอบ แยกต่างหากจากนักเรียนปกติ ซึ่งตัวอย่างล่าสุดนักเรียนที่ติดโควิดมาสอบสนามสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเพื่อเข้าเรียนต่อระดับชั้น ม.4 จำนวน 41 คน สอบได้ 4 คน เป็นต้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเห็นความสำคัญในโอกาสด้านการศึกษาของนักเรียนทุกคน ยืนยันไม่ตัดสิทธิ์นักเรียนที่ติดโควิด” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
.......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52471 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 4,180 ล้านบาทให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand | วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 4,180 ล้านบาทให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand
ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 4,180 ล้านบาทให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand
วันที่ 4 มกราคม 2565น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 4,180 ล้านบาท ให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand โดยครม.เคยมีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติในหลักการให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564
อย่างไรก็ตาม ทางองค์การนิทรรศการนานาชาติ(Bureau of International Expositions : BIE) มีข้อกำหนดว่า การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบกรอบงบประมาณก่อนการยื่นเสนอตัวอย่างเป็นทางการ โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ในฐานะผู้ประสานงานหลัก ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานขอให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส เป็นผู้แทนไทยในการยื่นหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานอย่างเป็นทางการ และมีกำหนดจะยื่นหนังสือดังกล่าวต่อผู้แทนระดับสูงของBIE ในวันที่ 7 มกราคม 2565 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงจำเป็นต้องเสนอครม.อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการจัดงานครั้งนี้ก่อน
---------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50179 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.