title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดสัมมนาและนิทรรศการ“Thailand 4.0 ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”มุ่งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
ดีอีเอส จัดสัมมนาและนิทรรศการ“Thailand 4.0 ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”มุ่งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ดีอีเอส จัดสัมมนาและนิทรรศการ“Thailand 4.0 ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”มุ่งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)จัดงานสัมมนาและนิทรรศการเศรษฐกิจดิจิทัล“Thailand 4.0ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”โดยมีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานพร้อมด้วยนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกิจกรรมในวันที่28 – 29พฤศจิกายน2565ณโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าวเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อการพัฒนาประเทศก้าวสู่Thailand 4.0
พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีกล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการเศรษฐกิจดิจิทัล“Thailand 4.0ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของประชาชนและยังเป็นเครื่องมือหลักในการช่วยให้การประกอบธุรกิจเกิดผลสำเร็จได้ง่ายขึ้นและที่ผ่านมาประเทศไทยเองมีความก้าวหน้าไม่แพ้ชาติใดในโลกในด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเท่านั้นแต่ยังทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนสังคมอีกด้วยอันเป็นการตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศเป็น“ประเทศไทย4.0”ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรมรวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างเกราะป้องกันให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยคุกคามทางไซเบอร์ซึ่งเป็นภารกิจที่รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญสอดคล้องกับการจัดงานสัมมนาและนิทรรศการเศรษฐกิจดิจิทัล“Thailand 4.0ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond” ที่นับว่าเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจและประชาชนในการสร้างองค์ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวกับภัยอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดความเสี่ยงในการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมสามารถรู้ทันภัยออนไลน์ต่างๆเกิดความตระหนักรู้และสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกทางเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการใช้ชีวิตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
ด้านนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเปิดเผยว่าเศรษฐกิจดิจิทัลหรือDigital Economyเป็นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเนื่องจากจะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในอีก10 – 20ปีข้างหน้าต่อจากนี้ด้วยและจากการสนับสนุนของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องจึงเห็นได้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีการเติบโตขึ้นจากปีก่อนๆเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยถูกโจมตีด้วยการแพร่ระบาดของCOVID – 19ที่เข้ามาเป็นแรงผลักดันให้ภาคประชาชนภาคการศึกษาและกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมหันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลมักแฝงมาด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญและได้มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกทาง
งานสัมมนาและนิทรรศการ“Thailand 4.0ประเทศไทยไปไกลกว่าที่คิด: Thailand 4.0 The Future and Beyond”สอดรับกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลฯมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลกับประชาชนเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ การจัดงานในครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนนักเรียนนักศึกษาและประชาชนสามารถเข้าถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ในปัจจุบันรวมทั้งรู้เท่าทันภัยอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์และนำไปปรับใช้เตรียมความพร้อมรองรับการใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในยุคNew Normal
ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจไม่วาจะเป็นการบรรยายพิเศษ เสวนาจากผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศหลากหลายหัวข้ออาทิทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคThailand 4.0 /ปรับตัวอย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล/พลิกมุมคิดธุรกิจดิจิทัลของไทยในอนาคต/รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ในโลกปัจจุบัน/ Start Upจากบ้านนอกสู่แสนล้าน/ Startอย่างไรให้Up /แนวโน้มและโอกาสของDigital Startupไทย/เทรนด์อาชีพตอบโจทย์โลกอนาคต/ Thailand 4.0เปิดโลกMetaverseซึ่งล้วนมาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จะแชร์ระสบการณ์จากดิจิทัลเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจ
รวมถึงมีการจัดกิจกรรมสำคัญที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจกับกิจกรรมการแข่งขันแฟ้นหาสุดยอดStart Up Pitching On Stage : Godfather of Startup: Live in BKKและสุดมันส์ไปกับการแข่งขันE-Sportประลองชั้นเชิงทางความคิดROV THAILAND 4.0 THE FUTURE AND BEYONDที่เหล่าสาวกเกมส์เมอร์จะพลาดไม่ได้ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า200,000บาท
นอกจากนี้ยังมีการจัดบูธนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอาทิการแจ้งความออนไลน์/ร่วมกิจกรรมอุ่นใจไซเบอร์/ cyber vaccine / Digital ID / Prompt postเป็นต้นที่จะสร้างความตระหนักในการรู้เท่าทันโลกดิจิทัลและสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดทางไซเบอร์ได้อย่างเข้าถึงและรวดเร็วโดยกระทรวงดีอีเอสได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศอาทิกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี/บริษัทแอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิสจำกัด(มหาชน) /บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี่(ประเทศไทย)จำกัด/บริษัทCisco Systems /บริษัทGoogle Thailandเป็นต้นในการมีส่วนร่วมผลักดันการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเพื่อเกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องนำไปสู่ผลลัพธ์ในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและขับเคลื่อนประเทศไทย4.0ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62063 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำทีมผู้บริหารหารือ ส.อ.ท. ยกระดับอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่ | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
บีโอไอนำทีมผู้บริหารหารือ ส.อ.ท. ยกระดับอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่
เลขาธิการบีโอไอ นำทีมผู้บริหารเข้าพบ ส.อ.ท. หารือความร่วมมือยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม BCG เตรียมตั้งคณะทำงานร่วมผลักดัน SMEs เข้าถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ
บีโอไอนำทีมผู้บริหารหารือ ส.อ.ท.
ยกระดับอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่
เลขาธิการบีโอไอ นำทีมผู้บริหารเข้าพบ ส.อ.ท. หารือความร่วมมือยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม BCG เตรียมตั้งคณะทำงานร่วมผลักดัน SMEs เข้าถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ ส.อ.ท. ชูแนวคิด One FTI เร่งขับเคลื่อน 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรม มุ่งสร้างอุตสาหกรรมยุคใหม่
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้นำคณะผู้บริหารบีโอไอเข้าพบและหารือกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) พร้อมด้วยรองประธานอาวุโส รองประธานและกรรมการบริหาร ส.อ.ท. โดยได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างบีโอไอกับ ส.อ.ท. ในการร่วมขับเคลื่อนการลงทุน เพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
“บีโอไอให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการยกระดับภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนที่จะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งเป้าทั้ง 5 สาขา ได้แก่ BCG อีวี สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นอกจากนี้ บีโอไอยังได้เชิญชวนให้สมาชิก ส.อ.ท. เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนา 3 ด้านให้มากขึ้น คือ พัฒนาคน พัฒนา SMEs และพัฒนาชุมชน โดยบีโอไอมีมาตรการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่บริษัทเอกชนที่ทำกิจกรรมในเรื่องเหล่านี้ด้วย” นายนฤตม์กล่าว
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญในการหารือร่วมกับ ส.อ.ท. คือ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่ของบีโอไอ ร่วมกับการสนับสนุนนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท. เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นที่พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ การจัดตั้งทีมทำงานร่วมกันเพื่อให้สมาชิก ส.อ.ท. ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของบีโอไอ รวมถึงการร่วมกันปลดล็อกอุปสรรคและอำนวยความสะดวกด้าน
การลงทุน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์โลกปัจจุบันมีปัจจัยท้าทายหลายด้านที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัว โดยนโยบาย ONE FTIซึ่งประกอบด้วย One Vision, One Team, One Goal จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เร่งขับเคลื่อน 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรม มุ่งสร้างอุตสาหกรรมยุคใหม่โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) ไปพร้อมกับอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next - GEN Industries) ที่ประกอบด้วย 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S - Curves) อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด BCG และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
“ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เลขาธิการบีโอไอมีนโยบายและมาตรการใหม่ ๆ ที่จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็ง ส.อ.ท. พร้อมจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนให้สมาชิกเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของบีโอไอ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะสร้างความได้เปรียบและสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกลุ่ม BCG ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมไทยในอนาคต ส.อ.ท. พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ไปพร้อมกัน สำหรับอุตสาหกรรมเดิม เราพร้อมสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการยังคงยืนหยัด ต่อสู้ และต่อลมหายใจให้สามารถก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายไปได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายเกรียงไกรกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-End of Year Sale : ประมูลบ้านมือสอง ธอส. เสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 ลดราคาสูงสุดถึง 50% ราคาต่ำสุดเริ่มต้นแค่ 5 หมื่นบาท | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
End of Year Sale : ประมูลบ้านมือสอง ธอส. เสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 ลดราคาสูงสุดถึง 50% ราคาต่ำสุดเริ่มต้นแค่ 5 หมื่นบาท
ธอส. จัดงาน End of Year Sale : ประมูลบ้านมือสอง ธอส. ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 นำบ้านมือสองทั่วประเทศกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลราคาพิเศษพร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ราคาต่ำสุดเพียง 50,000 บาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยบ้านมือสอง ธอส. ยังเป็นที่นิยมของลูกค้า หลังยอดขาย 10 เดือนทำได้ถึง 3,250 ล้านบาท สูงกว่ายอดขายทั้งปี 2564 แล้ว และเตรียมจัดงาน End of Year Sale : ประมูลบ้านมือสอง ธอส. ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 นำบ้านมือสองทั่วประเทศกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลราคาพิเศษพร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ราคาต่ำสุดเพียง 50,000 บาท พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลรับสิทธิ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน ลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลล่วงหน้าผ่าน https://crm.ghbank.co.th/survey/bitnpa/ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า บ้านมือสองของ ธอส. ยังถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในทำเลดี และราคาคุ้มค่า เห็นได้จากในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 ธอส. สามารถจำหน่ายบ้านมือสองได้แล้วถึงกว่า 3,600 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมถึง 3,250 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 2564 ที่จำหน่ายได้ 3,192 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วยบ้านมือสอง ธนาคารจึงได้กำหนดจัดงาน End of Year Sale : ประมูลบ้านมือสอง ธอส. ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565” ในวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 โดยคัดบ้านมือสอง คุณภาพดี ทำเลเด่นทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 7,000 รายการ ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด(คอนโดมิเนียม) ที่ดินเปล่า และแฟลตมาเปิดประมูลในราคาพิเศษด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,238 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 50,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ ห้องชุด ชั้น 5 จาก 5 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 25.50 ตารางเมตร ในโครงการเบสท์คอนโด 1 อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ขณะที่ทรัพย์เด่นทำเลดีที่น่าสนใจ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 50.6 ตารางวา ในโครงการบุญนิมิต เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูล 2,810,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่สามารถเดินทางได้สะดวกและอยู่ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และสวนสัตว์ เป็นต้น ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคนำออกประมูลมากกว่า 6,000 รายการ โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 80,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด ชั้นที่ 4 ขนาดเนื้อที่ 23.56 ตารางเมตร ในโครงการสินมั่งคงธานี อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลบ้านมือสอง ธอส. สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อร่วมประมูลได้ที่https://crm.ghbank.co.th/survey/bitnpa/ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 โดยผู้ชนะการประมูลจะต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ 10,000 บาททุกรายการยกเว้นทรัพย์ที่มีราคาประมูลตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป วางเงินประกันซื้อทรัพย์ 100,000 บาท นอกจากนี้ผู้ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์รับสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. รับฟรีกระเป๋าอเนกประสงค์ 1 ราย ต่อ 1ใบ(เฉพาะทรัพย์ที่อยู่ในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล) และรับฟรีบัตรน้ำมันมูลค่า 1,000 บาท สำหรับลูกค้า 300 รายแรก ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาคที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายภายใน 10 วันทำการ
ทั้งนี้ ผู้ที่ประมูลทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถร่วมประมูลได้ที่ห้องพิมานมาศ อาคารจอดรถ ชั้น 11 ธอส. สำนักงานใหญ่ ส่วนทรัพย์ในเขตภูมิภาคจัดประมูลในสาขาที่ตั้งทรัพย์ โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานประมูลได้ตั้งแต่เวลา 8.00 น. และเริ่มประมูลตั้งแต่เวลา 10.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GHBank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage บ้านมือสอง ธอส. หรือ ดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : G H Bank Smart NPA และ Line Official Account : @ghbnpa
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “นาหว้าโมเดล” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงานรวมพลังสตรีไทนาหว้า | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “นาหว้าโมเดล” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงานรวมพลังสตรีไทนาหว้า
สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “นาหว้าโมเดล” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงานรวมพลังสตรีไทนาหว้า เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งผ้าไทย และฉลองครบรอบ 50 ปี โครงการศิลปาชีพ
สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “นาหว้าโมเดล” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงานรวมพลังสตรีไทนาหว้า เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งผ้าไทย และฉลองครบรอบ 50 ปี โครงการศิลปาชีพ เน้นย้ำ ทำหน้าที่สตรีไทยเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 14.00 น. ที่ศาลาพุทธชยันตี วัดธาตุประสิทธิ์ อ.นาหว้า จ.นครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานรวมพลังสตรีไทนาหว้า เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งผ้าไทย และฉลองครบรอบ 50 ปี โครงการศิลปาชีพ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายวรงค์ แสงเมือง ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นางนวลจันทร์ ศรีมงคล ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี นายวีระ ฤกษ์วาณิชย์กุล ปลัดจังหวัดสกลนคร นายวรวิทย์ พิมพนิตย์ นายอำเภอเมืองนครพนม รักษาราชการแทนปลัดจังหวัดนครพนม นายมนตรี ฮมแสน พัฒนาการจังหวัดนครพนม นายองอาจ ซองทุมมินทร์ พัฒนาการจังหวัดมุกดาหาร นายสมาน พั่วโพธิ์ พัฒนาการจังหวัดสกลนคร นายกัมปนาทจักรวาล วิเวศ ศรีพุทธา พัฒนาการจังหวัดอุดรธานี นายวิชิต ทองปาน ท้องถิ่นจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มทอผ้า
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบรางวัลชนะเลิศ การประกวดประเภทต่าง ๆ ได้แก่ 1) การประกวดแต่งกลอนสด ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เด็กชายปณตภณ แพงษา โรงเรียนราษฎร์สามัคคี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นายนัฐชานันท์ คุณขยัน โรงเรียนนาหว้าพิทยาคม 2) การประกวดเรียงความ เยาวชนคนรุ่นใหม่ เทิดไท้ 90 พรรษาพระมารดาแห่งผ้าไทย ระดับประถมศึกษา เด็กชายพงษ์อนันต์ ขวกเขียน โรงเรียนชุมชนประสานมิตร ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นางสาวอภิชญา แสงจันทร์ โรงเรียนนาหว้าพิทยาคม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นางสาวจิราภรณ์ นาโควงค์ โรงเรียนนาหว้าพิทยาคม และ 3) การประกวดการตัดเย็บเสื้อผ้า ได้แก่ ร้านอริสรา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พี่น้องสตรีบ้านนาหว้าเป็นความภาคภูมิใจของสตรีไทย เพราะเป็นสตรีไทยกลุ่มแรกที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานพระมหากรุณาจัดตั้ง “กลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ” อันเป็นน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นจากการที่พระองค์โดยเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เยี่ยมเยียนช่วยเหลือราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่บ้านนาหว้า เมื่อปี 2513 ด้วยทรงเพียรพยายามในการหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการนำเอาภูมิปัญญา นำเอาศักยภาพความสามารถที่มีอยู่ในสายโลหิตมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่าย ก่อให้เกิดรายได้เสริม และนับเป็นโชคดีของคนนาหว้าที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมีพระปณิธานที่มุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยภาพที่พวกเราคนไทยได้ชื่นชมในพระบารมีและพระอัจฉริยภาพในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 พระองค์เสด็จเยี่ยมเยียนอาณาประชาราษฎรตามรอยพระบาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ณ วัดธาตุประสิทธิ์ อ.นาหว้า จ.นครพนม แห่งนี้ เมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งในการเสด็จครั้งนี้ ได้มีคุณยายท่านหนึ่งได้กล่าวกับพระองค์ว่า “คิดว่าจะทอดทิ้งพวกเราแล้ว” โดยพระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ทอดทิ้ง จะมาช่วย และจะดูแลโครงการศิลปาชีพต่อจากสมเด็จย่าของพระองค์ท่าน" โดยพระองค์ได้พระราชทานโครงการสืบสานพระราชปณิธาน “นาหว้าโมเดล” ในโอกาสครบรอบ 50 ปี กลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเปรียบเสมือนน้ำทิพย์จากฟากฟ้าหล่นลงมากลางทะเลทราย ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 และสังคมไทยกำลังลืมเลือนผ้าไทย พระองค์ได้พระราชทานพระวินิจฉัยคำแนะนำต่าง ๆ ทำให้ผ้าไทยหลุดพ้นจากกับดักผ้าไทยที่ผันแปรไปจากผ้าไทยสมัยบรรพบุรุษ คือ 1) เราไม่ปลูกฝ้าย ไม่ปลูกหม่อน ไม่เลี้ยงไหมเอง เน้นการซื้อจากโรงงาน 2) ใช้สีเคมี ทำให้น้ำเน่า สัตว์น้ำอยู่อาศัยลำบาก เทลงไปในดิน ดินก็แข็ง ดินก็เสีย ขณะย้อมไม่ใส่ถุงมือ ผิวหนังก็เสีย โดยทรงเน้นย้ำให้พวกเราทุกคนได้น้อมนำหลักการ “พึ่งพาตนเอง” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการฟื้นฟูการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและส่งเสริมการปลูกฝ้าย สร้างมาตรฐานเส้นใย ส่งเสริมปลูกพืชและไม้ให้สีย้อมผ้าสำหรับย้อมสีธรรมชาติ อันเป็นการชุบชีวิตต่อลมหายใจกลุ่มทอผ้าบ้านนาหว้า”
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า การจัดงานในวันนี้ ถือเป็นสิ่งที่พี่น้องชาวบ้านนาหว้าทุกคนได้ร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีด้วยการปฏิบัติบูชาจัดงาน “รวมพลังสตรีไทนาหว้า เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งผ้าไทย และฉลองครบรอบ 50 ปี โครงการศิลปาชีพ” จึงควรค่าแห่งการอนุโมทนาที่ทุกคนไม่ลืมพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้วยการแสดงออกในการสนองพระเดชพระคุณพระองค์ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการตอบแทนพระองค์ท่าน คือ การสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการรักษาภูมิปัญญาผ้าไทย และจะใช้ภูมิปัญญาผ้าไทยในการเพิ่มพูนรายได้ ด้วยการใช้เวลาว่างจากการทำไร่นามารวมกลุ่มกันทอผ้า และตัดเย็บเสื้อผ้า ให้มีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และขอให้ได้ถ่ายทอดสู่ลูกหลานบ้านนาหว้าเพื่อมีผู้สืบทอดลมหายใจของผืนผ้าไทยให้มีความยั่งยืนต่อไป
จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง “สตรีไทยกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางกระทรวงมหาดไทย” โดยเน้นย้ำว่า คือ บทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของสตรีไทย คือ การน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีความรักและความปรารถนาดีแก่พสกนิกรชาวไทย เพราะทุกพระองค์ทรงปรารถนาอยากให้พวกเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ด้วยการทำหน้าที่ของสตรีไทยที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานไว้อย่างชัดเจน 4 ประการ คือ 1) พึงทำหน้าที่เป็น “แม่ที่ดีของลูก” ดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง ในยามอุ้มท้องต้องฝากครรภ์ดูแลครรภ์เพื่อให้ลูกแข็งแรง และเมื่อลูกคลอดมาแล้ว ก็เลี้ยงดูทะนุถนอมให้นมแม่ เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก ให้ความรัก ความอบอุ่น ดูแลให้ลูกหลานของเราได้เติบโตมีคุณภาพ ได้รับการศึกษา เป็นคนดีของสังคม 2) พึงเป็น “แม่บ้าน” ทำหน้าที่ดูแลบ้านของเราให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำให้บ้านมีความน่าอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ช่วยเก็บออมและเพิ่มพูนทรัพย์สินให้ครอบครัว รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่คนรอบข้างตามสมควร 3) พึงพัฒนาตนเองให้มีความทันสมัย เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง 4) สืบสาน อนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติไทยของเราให้สืบสานส่งต่อไปยังลูกหลานต่อไป ซึ่งทั้ง 4 ประการนี้ ล้วนเป็นหน้าที่สำคัญของสตรีทุกท่าน ซึ่งทุกท่านล้วนเป็นสตรีที่ทรงเกียรติ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้ คือ การพัฒนาตนเองให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่เราจะได้ช่วยกันสร้างชุมชนเล็ก ๆ สร้างบ้านของเรา สร้างชุมชนของเราให้เข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาด้านอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง และสตรีไทยจะเป็นที่ยกย่องชื่นชมของสังคมโลกตลอดไป และหน้าที่ที่พระราชทานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2547 คือ 1 พึงทำหน้าที่ “แม่” ให้สมบูรณ์ โดยทำให้ครอบครัวบังเกิดความรัก และความอบอุ่น มีความเข้าใจและไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน 2 พึงทำหน้าที่ของ “แม่บ้าน” ให้ดีโดยทำให้บ้านมีความน่าอยู่ เป็นที่พักพิงอันอบอุ่น ของสมาชิกในครอบครัว ช่วยเก็บออมและเพิ่มพูนทรัพย์สินให้ครอบครัว รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนรอบข้างตามสมควร 3 พึง “รักษาเอกลักษณ์ของความเป็นสตรีไทย” ผู้มีความนุ่มนวล อ่อนโยน สุภาพ เมตตา และยิ้มแย้มแจ่มใส รวมทั้งธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมไทยอันละเอียดประณีตให้เป็นที่ชื่นชมของนานาชาติตลอดไป และ 4 พึง “ฝึกฝนตนเอง” ให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น ขยัน และอดทน มีความประยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย และรักษา ความสามัคคี ในหมู่คณะไว้ให้มั่นคง
“กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาบทบาทสตรีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย นอกจากนี้ หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องช่วยกันส่งเสริมบทบาทของสตรีไทย คือ 1) ต้องส่งเสริมให้สตรีไทยเข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งของการดูแลตนเอง ดูแลลูกหลาน ครอบครัว ชุมชน และสังคม ในการรักษาภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทย 2) ส่งเสริมให้สตรีไทยดูแลบ้านเรือนสะอาดสะอ้าน ไม่สกปรกรกรุงรัง เป็นแหล่งเพราะเชื้อโรค ด้วยการชักชวนสมาชิกในครอบครัว จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และวางระบบในการคัดแยกขยะในบ้าน ขยะเปียก นำไปใส่ถังขยะเปียกลดโลกร้อน ขยะรีไซเคิลได้ ก็รวบรวมนำไปขายก่อให้เกิดรายได้ ถ้าทุกครัวเรือนทำ ก็จะเกิดเป็นเงินเก็บสะสม เงินที่ได้สะสมทีละเล็กละน้อยก็จะมาจุนเจือช่วยเหลือครัวเรือนที่ตกทุกข์ได้ยากในชุมชนอีกด้วย 3) น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการ “ปลูกพืชปลูกผักปลูกรักกับท่านนายอำเภอ” ซึ่งหากทุกครัวเรือนปลูกผักสวนครัวไว้บริโภค เฉลี่ยแล้วจะประหยัดได้ 50 บาท/วัน เมื่อคำนวณ 10 ล้านครัวเรือน จะเท่ากับวันละ 500 ล้านบาท เมื่อนับทั้งปี 365 วัน พี่น้องประชาชนครัวเรือนทั่วประเทศก็สามารถประหยัดเงินจากกระเป๋ากว่า 200,000 ล้านบาท และยังเป็นการเสริมสร้างความรัก ความอบอุ่น ความสามัคคีของคนในบ้าน และยังเป็นผักปลอดสารพิษ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ปลอดโรคภัย 4) ส่งเสริมให้สตรีไทยรักษาศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านเครื่องนุ่งห่ม เพราะเงินทองจะไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ และเราทอได้เอง อันเป็นหลักประกันที่มั่นคงว่า เมื่อเกิดโรคระบาด หรือหากเกิดศึกสงคราม เราจะมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสวมใส่ และ 5) ต้องส่งเสริมให้สตรีไทย ได้อบรมสั่งสอนลูกหลาน ให้เด็ก เยาวชน ลูกเสือ เนตรนารี ได้ฝึกการดูแลตนเอง การใช้ชีวิตให้อยู่รอดในสังคมได้ และทำให้ลูกหลานได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การฝ่าฟันต่อสู้เอาชนะความยากจนของชาวนาหว้า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้พี่น้องสตรีชาวบ้านนาหว้าทุกคน ได้ร่วมกันสนองพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อทำให้เศรษฐกิจฐานรากของชุมชน หมู่บ้าน เข้มแข็ง เกิดความภาคภูมิใจของลูกหลาน เพื่อมีกำลังใจในการสานต่อเจตนารมณ์ ภูมิปัญญา หัตถศิลป์ หัตถกรรมของบรรพบุรุษ อันจะส่งผลให้เกิดความมั่นคงทั้งด้านเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีและรับฟังนโยบายการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีและรับฟังนโยบายการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีและรับฟังนโยบายการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ
เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.30 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายธิติ โลหะปิยะพรรณ
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีและรับฟังนโยบายการเลือกตั้งสมาชิกสภา เกษตรกรจังหวัด และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ “ร่วมสืบสาน...อุดมการณ์ที่ผ่านมา...ด้วยศรัทธา...สู่การเลือกตั้งเปิดโครงการดังกล่าว ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์สภาของเกษตรกร” โดยมีพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี
ทั้งนี้ สภาเกษตรกรแห่งชาติจัดโครงการขับเคลื่อนภารกิจด้านการบริหารจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดและการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาตินี้ขึ้น เพื่อเป็นการขับเคลื่อนภารกิจด้านการบริหารจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดและการเลือกสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ และรับมอบนโยบายการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด ประเภทผู้แทนเกษตรกรจากนายกรัฐมนตรี ในการนี้นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ ร่วมถ่ายภาพและพบปะกับตัวแทนเกษตรกรภายในงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62079 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย แนวโน้ม “โควิด” เพิ่มขึ้น แนะฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 4 เดือน ต้องฉีดกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ปลอดภัยก่อนเข้าปีใหม่ | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
สธ. เผย แนวโน้ม “โควิด” เพิ่มขึ้น แนะฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 4 เดือน ต้องฉีดกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ปลอดภัยก่อนเข้าปีใหม่
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ประเทศไทยแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วง 2 สัปดาห์ ผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น แนะหากฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เกิน 4 เดือนแล้วให้ฉีดเข็ม 4 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน รองรับสถานการณ์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ประเทศไทยแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วง 2 สัปดาห์ ผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น แนะหากฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เกิน 4 เดือนแล้วให้ฉีดเข็ม 4 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน รองรับสถานการณ์ช่วงปลายปีที่คาดจะมีการระบาดเพิ่มขึ้น และจะมีกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ย้ำยังต้องเข้มมาตรการส่วนบุคคล กลุ่ม 608 ไม่ได้วัคซีนหากติดเชื้อให้รีบมาโรงพยาบาล มีเตียงและยาเพียงพอรองรับ
วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (20-26 พฤศจิกายน 2565) แนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ารักษาในโรงพยาบาล 4,914 ราย เฉลี่ยวันละ 702 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 553 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 319 ราย และเสียชีวิต 74 ราย เฉลี่ยวันละ 10 ราย โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบการระบาดเพิ่มในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวภาคตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นช่วงปลายปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว ประชาชนมีการผ่อนคลายมาตรการและมีกิจกรรมรวมตัวกันมากขึ้น ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตที่ผ่านมา พบว่าเป็นการติดเชื้อครั้งแรกและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ไม่ได้รับวัคซีน รับวัคซีนไม่ครบหรือได้รับเข็มสุดท้ายนานเกินกว่า 3 เดือน
“วัคซีนโควิด 19 เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดการเสียชีวิตได้ ซึ่งหลังจากฉีดวัคซีนไประยะหนึ่งแล้ว ภูมิคุ้มกันที่มีจะลดลง จึงต้องมีการฉีดเข็มกระตุ้น ดังนั้น หากยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ขอให้รีบมาฉีด และหากฉีดกระตุ้นเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือนแล้ว ขอให้มาฉีดเพิ่ม ซึ่งจากข้อมูลพบว่าการรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 ช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ เพื่อเร่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ทันช่วงปลายปีที่จะมีกิจกรรมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประสานให้เพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวและกำชับโรงพยาบาลในสังกัดทุกจังหวัดให้เปิดจุดบริการฉีดวัคซีน รวมถึงจัดบริการเชิงรุกในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่เป็นกลุ่มเสี่ยงด้วยแล้ว” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนแล้วแต่ยังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันส่วนบุคคลโดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ สำหรับกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับนานเกิน 6 เดือนควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หรือร่วมกิจกรรมที่คนจำนวนมากโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่วนคนในครอบครัวที่ไปสถานที่เสี่ยง หรือมีกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมากในช่วง 5 วัน ควรงดการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ และหากพบว่ามีการติดเชื้อ ขอให้รีบพามาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาได้ทันเวลา ซึ่งได้จัดยาและเวชภัณฑ์ไว้เพียงพอ รวมถึงเตียงระดับ 2-3 ทั่วประเทศ สำหรับรองรับผู้ป่วยอาการปานกลางถึงรุนแรง ยังมีเพียงพอรองรับสถานการณ์เช่นเดียวกัน
***************************** 28 พฤศจิกายน 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand’s effective COVID-19 response to COVID-19 boosts confidence of foreign investors | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
Thailand’s effective COVID-19 response to COVID-19 boosts confidence of foreign investors
Thailand’s effective COVID-19 response to COVID-19 boosts confidence of foreign investors
November 28, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed about a report of the Board of Investment (BOI) to Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on post-COVID-19 foreign investment trends that investors have considered more on the resilience of production supply chain and the Government’s crisis management policy to ensure crises would not impact business sector, industrial manufacturing, and export.
According to BOI, during the past 2-3 years of the COVID-19 pandemic, investors, especially large-scale exporters, commended Thailand for its effective administration of the COVID-19 situation and expressed confidence over the Thai Government’s crisis management policy to the extent that they decided to expand their investment in Thailand.
The Prime Minister instructed all agencies to ensure public safety along with promoting export and economic recovery. Investment promotion policy also needs to be adjusted to attract investment during the global geopolitical changes. This has led to the development of new investment promotion strategy (2023-2027) earlier approved by the BOI on October 12, 2022.
With regard to the COVID-19 situation, Ministry of Public Health reported an increasing number of newly-infected cases, but this has already been predicted by the Department of Disease Control, following the relaxation of public health measures. However, the Prime Minister emphasized the need to be prepared and remain on guard. Department of Disease Control is instructed to work together with chief medical officers in industrial-clustered provinces to develop COVID-19 measures and compliance approaches for industrial plants to ensure production continuity.
According to the Department of Disease Control’s report on the COVID-19 situation for the period of November 20-26, 2022, a total of 4,914 new confirmed cases, or an average of 702 cases per day, is recorded, which is an increase from 3,957(an average of 565 cases per day) recorded in the previous week (November 13-19, 2022). This makes the cumulative number of 2,483,809 cases since January 1, 2022.
The week of November 20-26, 2022 saw the total deaths of 74 persons (an average of 10 persons per day), and 553 active case patients who have developed pneumonia (319 of whom were on ventilators). The death toll since January 1, 2022 is 11,482.
Cumulative number of vaccinations across the country, as of November 26, 2022, is 143,155,910 doses (1st shot: 57,086,730, 2nd shot: 53,570,366, and 3rd shot and more: 32,498,814 doses).
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมออกสลากสัญจร งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ ที่จังหวัดลำปาง | วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมออกสลากสัญจร งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ ที่จังหวัดลำปาง
ในการออกรางวัลงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ หอประชุม จังหวัดลำปาง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้เห็นขั้นตอนและวิธีการตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง
พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ในการออกรางวัลงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ หอประชุม จังหวัดลำปาง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้เห็นขั้นตอนและวิธีการตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้ สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ให้เกียรติเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้นำชุมชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล โดยจะเชิญข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย โดยการออกรางวัลเป็นไปตามมาตรฐานสากล โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้ การออกรางวัลได้ดำเนินการตามมาตรการในการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาล อย่างเคร่งครัด ด้วยการทำความสะอาดสถานที่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์ มีการตรวจวัดอุณหภูมิคณะกรรมการออกรางวัล บุคลากร สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล รวมทั้งให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนแสดงในวันดังกล่าวด้วย และขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
- สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป
- สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป
- LINE TODAY ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
- เว็บไซต์สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
- รับฟังการถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ได้แก่ การส่งมอบบ้านตามโครงการบ้านห่วงใยจากใจ GLO ซึ่งเป็นโครงการที่จัดสร้างบ้านให้กับประชาชนที่มีบ้านพักอาศัยไม่มั่นคงถาวร รวมจำนวน 83 หลัง สำหรับจังหวัดลำปาง จะทำการส่งมอบบ้าน จำนวน 1 หลัง ให้กับนางสาว สันทนา มะณีรัตน์ และในวันเดียวกันจะจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่โรงเรียนชุมชนบ้านสันกำแพง สลากกินแบ่งรัฐบาลสงเคราะห์ อีกด้วย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงขอเชิญประชาชนชาวจังหวัดลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมชมการออกรางวัลสลากสัญจรครั้งนี้ได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่ www.glo.or.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลขอบคุณสภาฯ หลังผ่านร่าง พรบ.งบ 66 แจงพร้อมรับทุกความเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อกังวลไปพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงาน | วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลขอบคุณสภาฯ หลังผ่านร่าง พรบ.งบ 66 แจงพร้อมรับทุกความเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อกังวลไปพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงาน
โฆษกรัฐบาลขอบคุณสภาฯ หลังผ่านร่าง พรบ.งบ 66 แจงพร้อมรับทุกความเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อกังวลไปพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงาน ลั่นใช้จ่ายเงินงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่กำหนดไว้
วันนี้ 3 มิ.ย. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่า ขอขอบคุณประธานสภาฯ และ ส.ส.ทุกท่านที่ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำทุกความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่างๆ รวมถึงข้อกังวลของที่ประชุมสภาฯ ที่ได้แสดงความห่วงใยไว้ตลอดระยะเวลาการประชุมที่ผ่านมา ไปพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้เงินงบประมาณให้มากที่สุด
"ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ดำเนินการภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิค-19 และภายใต้วงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด และรัฐบาลจะกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวพ้นวิกฤต รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนมาโดยเร็ว" นายธนกร กล่าว
//////
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย (1,226) | วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย (1,226)
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย (1,226)
พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 502 เพศหญิง อายุ 32 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเตรียมพร้อมเปิดด่านชายแดนใต้รับนักท่องเที่ยว คาด มี.ค.นี้ | วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565
นายกฯ สั่งเตรียมพร้อมเปิดด่านชายแดนใต้รับนักท่องเที่ยว คาด มี.ค.นี้
นายกฯ สั่งเตรียมพร้อมเปิดด่านชายแดนใต้รับนักท่องเที่ยว คาด มี.ค.นี้
วันที่ 13 กุุมภาพันธ์ 2565นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผอ.ศบค. ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศบค. และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านท่องเที่ยวและกีฬา (ศปก.กก.)ร่วมกันเร่งพิจารณาแนวทางดำเนินการเปิดด่านชายแดนทางบกรับนักท่องเที่ยว พื้นที่จังหวัดสงขลา ยะลา นราธิวาส และ สตูล คาดว่าน่าจะเปิดดำเนินการได้ประมาณ มี.ค.65 โดยในเบื้องต้นทราบว่าทางประเทศมาเลเซียมีความพร้อมดำเนินการเช่นกัน ซึ่งท่านนายกฯได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนการประสานงานในเรื่องดังกล่าวด้วย เพื่อนำไปสู่การเห็นชอบอย่างเป็นทางการของทั้งสองฝ่าย
การพิจารณาเปิดด่านชายแดนจังหวัดชายแดนใต้ เดิมคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนม.ค. แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 สายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ต้องเลื่อนออกไป แต่ขณะนี้ ทุกอย่างอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการตรียมความพร้อมเพื่อเปิดด่านรับนักท่องเที่ยวซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและจะส่งผลต่อการฟื้นฟูธุรกิจอื่นๆอย่างมาก และระหว่างนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในเรื่อง ระบบการตรวจลงตรา การตรวจหาเชื้อโควิด-19 โรงแรมที่มีมาตรฐาน SHA++ ความพร้อมของมาตรการ Covid Free Setting ของสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของนักท่องเที่ยว ได้แก่ ระบบการขนส่ง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ตนเองพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติขอเชิญชวนให้ประชาชนในพื้นที่มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้เร่งการฉีดให้ครบ 2 เข็มในเด็กวัยเรียน และการฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 โรคเสี่ยง สตรีมีครรภ์ ในส่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดชายแดนใต้นั้น อยู่ในระดับเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับ อีก25 จังหวัด ระบบสาธารณสุขมีความพอเพียงในเรื่องเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนัก และยารักษาที่จะจ่ายให้กับผู้ป่วยทั้งในระบบ Home Isolation และ Community Isolation
.....................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” เป็นสักขีพยาน MoU โรงแรมส่งเสริมสุขภาพ เริ่มอันดามัน 6 แห่ง หวังดัน ไทยเป็นฮับสุขภาพโลก คาดทำรายเพิ่มกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี | วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564
“จุรินทร์” เป็นสักขีพยาน MoU โรงแรมส่งเสริมสุขภาพ เริ่มอันดามัน 6 แห่ง หวังดัน ไทยเป็นฮับสุขภาพโลก คาดทำรายเพิ่มกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี
วันที่ 12 กันยายน 2564 เวลา 17.30 น.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เป็นประธานในพิธีเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่เขาหลัก จังหวัดพังงา และเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างสมาคมโรงแรมที่พักส่งเสริมสุขภาพอันดามันและ อ่าวไทยกับสาธารณสุขจังหวัดพังงา
พร้อมด้วยนางกันตวรรณ ตันเถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพังงา
นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์และนายสมพงศ์ ดาวพิเศษ ประธานกรรมการบริหารบุญถาวรเซรามิค จำกัด ณ บริเวณริมชายหาดโรงแรม ลา ฟลอร่า (La Flora Khao Lak) อําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
นายจุรินทร์ กล่าวว่า
งานในวันนี้สอดคล้องกับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนโยบายรัฐบาลในการสร้างความสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาโควิดกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้สามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้ เพื่อประโยชน์ของประเทศในภาพรวมโดยเฉพาะในเรื่องของการท่องเที่ยว
ความพร้อมของจังหวัดพังงาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เราจะนับ 1 กันได้แล้ว สำหรับการฉีดวัคซีนประชากรจังหวัดพังงากลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปและเข้าเกณฑ์ 8 ข้อที่เป็นนโยบายรัฐบาล ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต่ำกว่า 80% ขณะเดียวกันเขาหลัก ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “อันดามันแซนด์บ็อกซ์” ที่สืบเนื่องมาจาก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวภูเก็ต 7 วันแล้ว สามารถมาเที่ยวเขาหลัก เกาะยาวและกระบี่ได้
โดยประชากรที่นี่ได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 70% ฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่จะมาที่นี่ถือว่าปลอดภัยและเป็นไปตามเกณฑ์โลกที่ได้กำหนดไว้ การเริ่มต้นเปิดศักราชที่จะทำให้เขาหลักเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ
ในโครงการ The Andaman World Medical & Wellness Hub ถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์และนับหนึ่งได้เร็ว
การลงนามข้อตกลงระหว่างโรงแรมห้าดาว อย่างน้อย 6 แห่งวันนี้ ประกอบด้วย
1.La Flora Khaolak
2.Apsara Beachfront Resort and Villa
3.Graceland Khaolak Beach Resort
4.Ban Khaolak Beach Resort
5.Ramada Khaolak
6.Chongfah Resort Khaolak
โดย 6 แห่ง ที่นำร่องกับสำนักงานสาธารสุขจังหวัดพังงา ที่จะเริ่มต้นทำให้เขาหลักเป็น ฮับของเมดิคอลและเวลเนสของอันดามัน
จากนี้จะขยายผลไปยังโรงแรมที่พักในภูเก็ตรวมทั้งในจังหวัดกระบี่และที่อื่นๆต่อไปในฝั่งอันดามัน จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มจุดขายให้กับการท่องเที่ยว จากการที่เราขาย ชายหาด ทะเล มาเป็นจุดขายในเรื่องของสุขภาพ เพิ่มเติมทั้งในภาคการผลิตผลิตภัณฑ์และภาคบริการ ผลิตภัณฑ์ เช่นอาหารเชิงสุขภาพ หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรไทย ภาคบริการ เช่น การนวดไทย สปาไทย รวมทั้งการให้บริการการฟื้นฟูสุขภาพหลังโควิดของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างประเทศเป็นต้น
การให้บริการทางการแพทย์จะเริ่มนับหนึ่งจากการทำทันตกรรม และจะมีเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้เป็นฮับของเมดิคอลและเวลเนส ของอันดามันจริงๆ จะเป็นการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรมที่นี่และเพิ่มรายได้ให้กับเขาหลัก ทำให้จีดีพีจังหวัดพังงาเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ได้เตรียมการให้การอบรมหลักสูตรโรงแรมที่สนใจจะปรับตัวจากโรงแรมที่พักปกติมาเป็นเวลเนสโฮเทล เพื่อสนองนโยบายให้ที่นี่เป็นฮับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ซึ่งถ้าเราใช้แต่ ทะเล หาดทราย เป็นจุดขายโดยปกติประเทศไทยจะมีรายได้ประมาณ 600,000 ล้านบาทต่อปี แต่ถ้าเอาเวลเนสมาช่วยจะมีรายได้เพิ่มอีกประมาณ 400,000 ล้านบาท รวมแล้วสามารถทำรายได้เป็น 1 ล้านล้านบาทได้ในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเติมความรู้ด้านกฎหมายว่าด้วยโรงงานให้กับบุคลากร | วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565
สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเติมความรู้ด้านกฎหมายว่าด้วยโรงงานให้กับบุคลากร
สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเติมความรู้ด้านกฎหมายว่าด้วยโรงงานให้กับบุคลากร
วันนี้ (19 สิงหาคม 2565) เวลา 08.45 น. นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาความรู้ด้านกฎหมายว่าด้วยโรงงานสำหรับหน่วยงานใน สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนกลาง ได้รับความรู้ด้านกฎหมายโรงงานเกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต และกำกับดูแลโรงงานในระดับหนึ่ง รวมถึงการตรวจสอบเงินสินบนรางวัลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน การจัดซื้อจัดจ้าง การจัดทำระบบสารสนเทศเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรม การเขียนแผนเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและสนับสนุนการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทเปิดใช้สะพานข้ามลำชี เชื่อมจังหวัดสุรินทร์ - บุรีรัมย์ | วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565
กรมทางหลวงชนบทเปิดใช้สะพานข้ามลำชี เชื่อมจังหวัดสุรินทร์ - บุรีรัมย์
ร่นระยะทาง 21 กิโลเมตร ยกระดับคุณภาพชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามลำชี (สะพานท่าสว่าง ชุมแสง) ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เสร็จสมบูรณ์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ส่งเสริมการคมนาคมขนส่งให้ขยายตัวอย่างมีระบบ เชื่อมโยงระหว่าง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านได้อย่างทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนตำบลท่าสว่างได้ขอรับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามลำชี ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเชื่อมระหว่างบ้านโคกเพชร ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ กับบ้านหัวช้าง ตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการทดแทนสะพานไม้เดิมที่พังเสียหายไม่สามารถสัญจรผ่านได้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนและความไม่สะดวกในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่ ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและขนส่งพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากสะพานดังกล่าวสามารถร่นระยะทางได้ประมาณ 21 กิโลเมตร ทช. จึงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามลำชี (สะพานท่าสว่าง ชุมแสง) โดยก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว 290 เมตร ผิวจราจรกว้าง 9 เมตร พร้อมก่อสร้างถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตต่อเชื่อมทั้งสองด้าน ผิวจราจรกว้าง 7 เมตร มีทางเท้า ติดตั้งป้ายจราจร ตีเส้นผิวจราจร วางท่อ และปลูกหญ้า ซึ่งปัจจุบันสะพานดังกล่าวได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 93.016 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50953 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครบรอบ 49 ปี มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายระบบทางพิเศษ เชื่อมโยงระบบคมนาคม อำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน | วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครบรอบ 49 ปี มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายระบบทางพิเศษ เชื่อมโยงระบบคมนาคม อำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน
...
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันก่อตั้ง กทพ. ครบรอบ 49 ปี (วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564) โดยมี นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง กทพ. ร่วมในงาน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ณ หอประชุม กทพ.
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กทพ. ได้มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการจราจร ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตามแผนงานและภารกิจที่ได้รับมอบหมายสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเครือข่ายระบบทางพิเศษให้เชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน โดยปัจจุบัน กทพ. ได้เปิดให้บริการทางพิเศษรวม 8 สายทาง รวมระยะทาง 224.6 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษอุดรรัถยา ทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์ ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร นอกจากทางพิเศษทั้ง 8 สายทาง ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษมาอย่างต่อเนื่อง กทพ. ยังคงก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาโครงข่ายระบบทางพิเศษ เชื่อมโยงระบบคมนาคม และอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน กทพ. อยู่ระหว่างดำเนินโครงการทางพิเศษระยะเร่งด่วน จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย
- โครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครกับพื้นที่ปริมณฑลทางด้านตะวันตก รวมถึงการเดินทางจากจังหวัด ภาคใต้ และช่วยลดปัญหาการจราจร ช่วงบางโคล่ - สะพานพระราม 9 - ดาวคะนอง และถนนพระราม 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ปลายปี 2567
- โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ระยะที่ 1 ตอน N2 ถนนประเสริฐมนูกิจ - ถนนวงแหวนรอบนอกฯ ด้านตะวันออก และระยะที่ 2 ส่วนทดแทนตอน N1 บางซื่อ - ถนนประเสริฐมนูกิจ เพื่อแบ่งเบาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนประเสริฐมนูกิจและถนนประดิษฐ์มนูธรรม บริเวณทางแยกต่างระดับฉลองรัช และเชื่อมโยงโครงข่ายทางพิเศษให้เป็นโครงข่ายในแนวตะวันออก - ตะวันตกอย่างสมบูรณ์ โดยการดำเนินการ อยู่ระหว่างจัดทำรายงานขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกได้อนุมัติให้ กทพ. เดินหน้าก่อสร้างในส่วนของ N2 โดยไม่ต้องรอ N1 ตามขั้นตอนเดิม
นอกจากนี้ กทพ. ยังได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ และถือเป็นทางพิเศษสายแรกที่ก่อสร้างเป็นอุโมงค์ในภูมิภาค คือ โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. และโครงการทางพิเศษสายเมืองใหม่ - เกาะแก้ว - กะทู้ ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อไปยังสนามบินภูเก็ตเพื่อรองรับการเดินทางและท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่าง TOR จ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเร็วที่สุดและเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน กทพ. ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษ เช่น การพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบจราจรอัจฉริยะ (ITS Center) การพัฒนาระบบ e-Service เพื่อให้บริการเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการทางพิเศษ และล่าสุดได้เปิดศูนย์บริหารการจราจรทางพิเศษ (Expressway Traffic Management Center) ซึ่งเป็นศูนย์สั่งการด้านการจราจรแบบ Single Command นอกจากนี้ ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ในการจัดเก็บค่าผ่านทาง ด้วยการติดตั้งระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ แบบไม่มีไม้กั้น Multi-lane Free Flow หรือ M-Flow ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมโดยบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวงให้เป็นไปในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหารถติดหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง โดยการดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 ติดตั้งระบบ M-Flow บนทางพิเศษฉลองรัช ที่ด่านจตุโชติ ด่านสุขาภิบาล 5-1 และด่านสุขาภิบาล 5-2
- ระยะที่ 2 ติดตั้งบนทางพิเศษฉลองรัชในด่านที่เหลือของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก รวม 60 ด่าน
- ระยะที่ 3 ติดตั้งบนทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษอุดรรัถยา รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ในอนาคต
และเพื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 กทพ. จะยังคงพัฒนาศักยภาพต่อไปเพื่อให้ทางพิเศษเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนไทยได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯวรวรรณ เข้าร่วมประชุมเตรียมการ ผลิตรายการวิทยุ“คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี” | วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565
รองปลัดฯวรวรรณ เข้าร่วมประชุมเตรียมการ ผลิตรายการวิทยุ“คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี”
รองปลัดฯวรวรรณ เข้าร่วมประชุมเตรียมการ ผลิตรายการวิทยุ“คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี”
วันนี้ (6 มิถุนายน 2565) เวลา 14.00น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมเตรียมการผลิตรายการวิทยุ“คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี” อากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในรูปแบบการพูดคุยแบบสบายๆ สไตล์ “เล่าสู่กันฟัง” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในภารกิจสำคัญของแต่ละกระทรวง ผ่านการพูดคุยที่เน้นสร้างความใกล้ชิดระหว่างประชาชนกับคณะรัฐมนตรี ตลอดจนรับฟังปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชน ผ่านโปรแกรม ZOOM MEETING ณ ห้องประชุม อก.2 กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมส่งข้อความทักทายเป็นรูปหรือภาพเคลื่อนไหว ทำให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว | วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2564
ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมส่งข้อความทักทายเป็นรูปหรือภาพเคลื่อนไหว ทำให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว
ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมส่งข้อความทักทายเป็นรูปหรือภาพเคลื่อนไหว ทำให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่า ตามที่มีข้อความปรากฏในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับประเด็นเรื่องส่งข้อความทักทายเป็นรูปหรือภาพเคลื่อนไหวทำให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
กรณีการเผยแพร่ข้อมูลว่าการส่งข้อความเป็นรูปหรือภาพเคลื่อนไหวเสี่ยงถูกล้วงข้อมูลส่วนตัวได้โดยมีนักเจาะข้อมูล(hackers)ได้ออกแบบรูปภาพและภาพเคลื่อนไหวเพื่อซ่อนรหัสเจาะข้อมูลไว้ในรูปภาพดังกล่าวเมื่อนำภาพเหล่านั้นไปใช้ส่งต่อผ่านโซเชียลมีเดียจะทำให้ขโมยข้อมูลส่วนตัวจากอุปกรณ์ของคุณได้ทางสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันยังไม่พบรายงานการเจาะระบบหรือการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบจากการส่งข้อความเป็นภาพหรือภาพเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สร้างความเชื่อมั่นด้านการเกษตรของไทย | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
สร้างความเชื่อมั่นด้านการเกษตรของไทย
กระทรวงเกษตรฯ หารือสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน สร้างความเชื่อมั่นด้านการเกษตรของไทย
นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้หารือร่วมกับนายคริส ฮัมฟรีย์(Mr. Christ Humphrey)กรรมการบริหารสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน(EU-ASEAN Business Council: EU-ABC)นายแจนอิริคสัน(Mr.Jan Erikson)ประธานหอการค้ายุโรปในประเทศไทย(The European Association for Business and Commerce: EABC)และนักธุรกิจของสหภาพยุโรปผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์135โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญอาทิการสนับสนุนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากความยั่งยืนในการทำการเกษตรและเกษตรกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสาขาเกษตรการสนับสนุนเกษตรกรในการเข้าถึงนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเกษตรที่ทันสมัยและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยหลังการฟื้นตัวจากCOVID-19ความยั่งยืนและการใช้เทคโนโลยีแนวปฏิบัติที่ดีของประเทศไทยเพื่อป้องกันCOVID-19ในการผลิตอาหารเพื่อการส่งออกการประกันพืชผลแบบหลากหลายตลอดจนแนวโน้มอาหารในอนาคตเป็นต้น
สำหรับสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะด้านการเกษตรซึ่งการหารือในวันนี้จะสร้างความเชื่อมั่นในด้านการเกษตรให้แก่นักธุรกิจของสหภาพยุโรปยิ่งขึ้นและกระทรวงเกษตรฯพร้อมให้ความร่วมกับEU-ABCเพื่อผลักดันความร่วมมือและความสัมพันธ์ด้านการเกษตรระหว่างภาครัฐของประเทศไทยและภาคเอกชนของสหภาพยุโรปให้เป็นรูปธรรมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM orders concerned agencies to immediately address fresh food price hikes | วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565
PM orders concerned agencies to immediately address fresh food price hikes
PM orders concerned agencies to immediately address fresh food price hikes
January 13, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has concerned over the price hike of necessities and goods, especially fresh meat and food, and ordered concerned agencies, i.e., Ministry of Commerce and Ministry of Energy, to hold talk with consumer goods producers on price freeze in a bid to help alleviate people’s burden on cost of living.
So far, concerned agencies have closely followed up on the situation and provided immediate help to the people. Ministry of Commerce has discussed with Thai President Foods, Public Company Limited, “Mama” instant noodle manufacturer, to peg the instant noodle prices, as it is the country’s popular consumable product.
Ministry of Energy, through the National Energy Policy Council, has also made a decision to extend LPG price control at 318 Baht/tank of 15 kilograms for another 2 months to end on March 31, 2022. Cooperation has also been sought from PTT Public Company Limited (PTT) to provide discount on LPG price for small shops and food street vendors through state welfare card from now until March 31, 2022, and to peg NGV retail price at 15.59 Baht/kg. PTT was also asked to maintain NGV retail price under the “NGV for the Same Breath” scheme for taxi drivers in Bangkok and vicinity at 13.62 Baht/kg for another month (February 16- March 15, 2022).
According to the Government Spokesperson, price hike of consumer products is the result of constant increase of gasoline prices in the global market which has affected manufacturing cost, transport, etc. The Government has laid out both short and long-term response plans, but meanwhile private sector and entrepreneurs are urged to peg prices of goods and necessities to minimize people’s burden.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50517 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เตือนเจ้าของรถ หลีกเลี่ยงการขูด ลบเลือน หรือติดสติกเกอร์ปิดบังหมายเลขทะเบียนรถ เนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย | วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564
กรมการขนส่งทางบก เตือนเจ้าของรถ หลีกเลี่ยงการขูด ลบเลือน หรือติดสติกเกอร์ปิดบังหมายเลขทะเบียนรถ เนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย
...
นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่มีเจ้าของรถบางรายแก้ไข ดัดแปลง แผ่นป้ายทะเบียนรถทั้งหมดหรือบางส่วน การเขียนแก้ไขตัวเลขด้วยลายมือให้เป็นเลขอื่นตามความเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงกรณีที่นำวัสดุ เช่น แผ่นทองคำเปลวหรือแผ่นสติกเกอร์ ติดทับจนบดบังตัวอักษรหรือตัวเลขบนแผ่นป้ายทะเบียนรถ กรณีการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถสกรีนลวดลายกราฟิกเลียนแบบแผ่นป้ายทะเบียนประมูล รวมทั้งการนำแผ่นป้ายพลาสติกที่สกรีนลายกราฟิกไปใช้ครอบแผ่นป้ายทะเบียนรถ ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนประมูล นอกจากนี้ ยังมีกรณีทำแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ทั้งแผ่นเลียนแบบแผ่นป้ายทะเบียนประมูลโดยใช้เลขทะเบียนเดิม และการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่ทางราชการไม่ได้ออกให้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ประกอบมาตรา 60 ฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะไม่ถูกต้องหรือแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท และหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม หมายเลขทะเบียนรถไม่ตรงกับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี ไม่ตรงกับสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถ และรายละเอียดของตัวรถ ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความสับสนและไม่สามารถระบุหมายเลขทะเบียนรถได้ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเจ้าของรถที่แผ่นป้ายทะเบียนรถชำรุด ตัวอักษรหรือตัวเลขลบเลือนเนื่องมาจากการใช้งานรวมถึงกรณีสูญหาย แนะนำให้เจ้าของรถเร่งดำเนินการขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ทดแทนของเดิมให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ที่สำนักงานขนส่งที่รถนั้นจดทะเบียน ซึ่งจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ภายใน 15 วันทำการ อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าของรถที่ต้องการหมายเลขทะเบียนรถใหม่ที่ถูกใจ สามารถจองหมายเลขได้ด้วยตนเอง ผ่านเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) www.tabienrod.com ในวันและเวลาราชการ (วันจันทร์ - ศุกร์) ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น. โดยสามารถรองรับการจองหมายเลขทะเบียนรถสำหรับรถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู รถตู้ และรถกระบะบรรทุก (ปิคอัพ) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีเป็นการจองหมายเลขทะเบียนรถที่ยังไม่เคยจดทะเบียน (รถใหม่) ผู้จองต้องได้รับรถก่อนจึงจะสามารถจองหมายเลขทะเบียนรถได้ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ สามารถทราบผลการจองได้ทันที ช่วยลดขั้นตอนไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่ ขบ. ลดโอกาสเสี่ยงในการแพร่กระจายและติดเชื้อไวรัส COVID-19 สำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัดอื่นสามารถติดต่อสอบถามที่สำนักงานขนส่งในเขตจังหวัดที่จะนำรถไปจดทะเบียน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM expresses deep condolences for the passing of former Japanese PM | วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
PM expresses deep condolences for the passing of former Japanese PM
PM expresses deep condolences for the passing of former Japanese PM
Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana conveyed the condolences of Prime Minister and Defense Minister Gen Prayut Chan-o-cha on the passing of former Prime Minister of Japan Shinzo Abe, who had greatly contributed to the development of bilateral relations between Thailand and Japan.
According to the Prime Minister, the late Prime Minister Abe was a very capable person, and very much loved especially by the Japanese people. During the 8 years of his premiership, the late Prime Minister Abe had taken on an important role in promoting relations and friendship between Thailand and Japan. His visit to Thailand in 2013 was the first official visit of a Japanese leader in 11 years, and has laid strong foundation for bilateral relations and cooperation between both countries. He had also been a strong supporter for ASEAN-Japan relations during the past several years.
On behalf of the Thai Government and people, the Prime Minister expressed profound condolences to the family of the late Prime Minister Abe, and the Japanese Government and people for such a loss.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56707 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ยืนยัน ขายสลากฯ ราคา 80 บาท ผ่านแอป เป๋าตัง เริ่มงวดแรก 16 มิ.ย.นี้ | วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2565
"อนุชา" ยืนยัน ขายสลากฯ ราคา 80 บาท ผ่านแอป เป๋าตัง เริ่มงวดแรก 16 มิ.ย.นี้
"อนุชา" ยืนยัน ขายสลากฯ ราคา 80 บาท ผ่านแอป เป๋าตัง เริ่มงวดแรก 16 มิ.ย.นี้
วันที่ 10 เมษายน 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนดฯ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการฯ และชุดทำงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาฯ มีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการเบิกจ่ายสลาก การจำหน่ายสลากของผู้ขาย รวมถึงการตรวจค้นจนพบสลากกินแบ่งจำนวนมาก นำไปสู่การยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายและยกเลิกการลงทะเบียนซื้อ-จองล่วงหน้า เกือบ 9,000 ราย ตั้งแต่งวด 16 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อสลากฯ เกินราคา 80 บาทคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เตรียมจุดจำหน่ายสลากในราคา 80 บาท ไว้แต่ละอำเภอ ๆ ทั่วประเทศแล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ได้กำหนดแนวทางการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยจะใช้แอป เป๋าตัง ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันของภาครัฐ ที่ได้มาตรฐาน มีความมั่นคงปลอดภัย มีผู้ใช้งานแล้วทั่วประเทศกว่า 40 ล้านคน โดยระบบการสั่งซื้อจะถูกบันทึกและจัดเก็บข้อมูลไว้ สามารถตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายได้ แก้ไขปัญหาสลากเปลี่ยนมือ และทำให้ราคาที่ซื้อขายเป็นไปตามที่กำหนด เมื่อถูกรางวัล ระบบจะแจ้งเตือนให้ติดต่อขอรับเงินรางวัล ซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์เริ่มจำหน่ายตั้งแต่สลากงวด 16 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่
............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53474 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนแล้วตรวจสุขภาพหนี้เกษตรกร พร้อมวางแนวทางช่วยเหลือฝ่าวิกฤต | วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
ธ.ก.ส. เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนแล้วตรวจสุขภาพหนี้เกษตรกร พร้อมวางแนวทางช่วยเหลือฝ่าวิกฤต
ธ.ก.ส.เร่งช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ราคาผลผลิตตกต่ำ ภัยธรรมชาติ โดยมอบนโยบายสาขาเข้าพบลูกค้าทุกรายเพื่อสอบถามข้อมูลประกอบอาชีพและรายได้
ธ.ก.ส. เร่งช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ราคาผลผลิตตกต่ำ ภัยธรรมชาติ โดยมอบนโยบายให้สาขาเข้าพบลูกค้าทุกรายเพื่อสอบถามข้อมูลการประกอบอาชีพและรายได้ พร้อมกำหนดแนวทางบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกค้าแต่ละราย ควบคู่การเติมสินเชื่อใหม่ ในการฟื้นฟูอาชีพอย่างยั่งยืน
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ซึ่ง ธ.ก.ส. ในฐานะธนาคารของรัฐ พร้อมช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ ทั้งเกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผลผลิตการเกษตรได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ราคาผลผลิตตกต่ำ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือมีรายได้ไม่สอดคล้องกับแผนการชำระหนี้เดิม เพื่อกำหนดกระบวนการการบริหารจัดการหนี้อย่างยั่งยืน เริ่มจากการมอบนโยบายให้พนักงานในพื้นที่ไปพบลูกค้าทุกราย โดยมีเป้าหมายเกษตรกรที่ใช้บริการสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. จำนวน 4.83 ล้านราย เพื่อสอบถามข้อมูลการประกอบอาชีพ ที่มาของรายได้มาประเมิน โดยวิเคราะห์ศักยภาพสมรรถนะและความสามารถในการประกอบอาชีพ ความสามารถในการชำระหนี้ จากนั้นจัดกลุ่มลูกหนี้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด โดยแบ่งลูกค้าเป็นกลุ่มตามศักยภาพ เช่น กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูง กลุ่มศักยภาพปานกลาง กลุ่มมีเหตุผิดปกติ เป็นต้น เพื่อทำการบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การปรับตารางกำหนดการชำระหนี้ใหม่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาขยายระยะเวลาชำระหนี้และการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามศักยภาพของลูกหนี้ การเติมสินเชื่อใหม่เพื่อฟื้นฟูอาชีพ รวมถึงพิจารณาช่วยเหลือลูกค้าที่มีหนี้สินเป็นภาระหนัก เนื่องจากรายได้ครัวเรือนลดลงหรือไม่ได้มีรายได้เพียงพอเพราะเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ชราภาพ เป็นต้น เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเป็นรายกรณีต่อไป
นอกจากบรรเทาความเดือดร้อนและลดความกังวลในเรื่องภาระหนี้สินแล้ว ธ.ก.ส. ยังเสริมสภาพคล่องในการลงทุนและการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผ่านโครงการชำระดีมีคืน วงเงินงบประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้กับลูกค้าที่นำเงินมาชำระหนี้ โดยจะทำการคืนดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากลูกค้าโดยตรง ร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ไม่เกินรายละ 1,000 บาท ล่าสุดมีการคืนดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 622 ล้านบาท มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 850,000 ราย และโครงการนาทีทองลดดอกเบี้ยสู้โควิด โดยจะลดดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมถึงเบี้ยปรับสูงสุด ไม่เกินร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ระยะเวลาตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มีนาคม 2565 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินที่กำหนด โดยมีการช่วยเหลือไปแล้วกว่า 1,110 ล้านบาท
ทั้งนี้ ลูกค้ามีประสบปัญหาในการชำระหนี้หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการการบริหารจัดการหนี้ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ หารือร่วมรองรัฐมนตรีด้านการประมงและนโยบายทางทะเล | วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565
ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ หารือร่วมรองรัฐมนตรีด้านการประมงและนโยบายทางทะเล
กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมประมงนอร์เวย์ พร้อมสนับสนุนในหลักการของปฏิญญาโคเปนเฮเกน และข้อริเริ่มความยุติธรรมสีน้ำเงิน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสมชวน
รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้การต้อนรับ ฯพณฯ วิดาร์ อุลริกเซน รองรัฐมนตรีด้านการประมงและนโยบายทางทะเล กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมประมงนอร์เวย์ และคณะ โดยฝ่ายนอร์เวย์ ได้นำเสนอปฏิญญาโคเปนเฮเกน และข้อริเริ่มความยุติธรรมสีน้ำเงิน (Blue Justice Initiative) เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประชาคมโลกในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติผ่านการทำการประมง เช่น การฟอกเงิน การทำประมงผิดกฎหมาย การเลี่ยงภาษี การค้ามนุษย์ และได้เชิญชวนให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงในลำดับต้น ๆ ของโลก สนับสนุนปฏิญญาโคเปนเฮเกนนี้ ซึ่งปัจจุบันมี 48 ประเทศทั่วโลกให้การสนับสนุน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สนับสนุนในหลักการ เนื่องจากเห็นว่าการเข้าร่วมจะทำให้ประเทศไทยมีเครือข่ายกับนานาประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านอาชญากรรมผ่านการทำการประมง รวมทั้งการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการเสริมสร้างการทำประมงให้มีความยั่งยืน
นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ขอการสนับสนุนความเชี่ยวชาญจากนอร์เวย์ในการสำรวจทรัพยากรประมงและสมุทรศาสตร์บริเวณพื้นที่ทะเลอันดามันตอนล่าง เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังนอกชายฝั่ง และฝ่ายไทยก็หวังว่าจะได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและดำเนินการร่วมกับ International Blue Justice Tracking Center ในการติดตามตำแหน่งและเส้นทางการเดินเรือ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM invites Thai people to join hands in hosting 2022 APEC | วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564
PM invites Thai people to join hands in hosting 2022 APEC
PM invites Thai people to join hands in hosting 2022 APEC
November 13, 2021, at 08.03 hrs, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha delivered a statement to the Thai people to announce Thailand’s APEC chairmanship in 2022, following the handover of the chairmanship from New Zealand. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of his statement as follows:
According to the Prime Minister, Thailand will take over the APEC chair for one year throughout 2022. This will be a crucial opportunity for the country to reopen and drive forward post-COVID-19 rehabilitation into the future. It will also demonstrate our readiness to welcome foreign visitors, ranging from national leaders, prominent businessmen, leading press and media, and other stakeholders, who will be visiting Thailand throughout the year 2022. The Asia-Pacific Economic Cooperation, or APEC, is a regional economic forum which Thailand is one of the founding member economies, and currently has 21 members with the combined GDP of over US$53 trillion (1,700 trillion Baht). Trade value of the APEC economies combined accounts for nearly half of the world’s trade value.
APEC’s membership has benefited Thailand in many ways through forging cooperation with strong economic partners, and putting forward new approaches for sustainable and inclusive development of the country, especially digital technology and innovation promotion, SMEs access to financial support, women empowerment in the economic system, and promotion of sustainable tourism. Being APEC chair is Thailand’s honor, and reflects the confidence of other APEC member economies toward the country. All concerned sectors, i.e., business sector, academicians, communities, and people of the new generations have been working closely together to conceptualize and lay out priorities that are of best interest to the Thai people.
The Prime Minister added that Thailand aims to turn crisis into opportunity to lead APEC toward post-COVID world that is opened, sustainable and balanced. This could be achieved through utilizing Bio-, Circular-, and Green (BCG) Economy Model. Theme of the 2022 APEC is “Open. Connect. Balance”, with the 3 priorities to be targeted, that is, 1) facilitating trade and investment; 2) advancing sustainable and inclusive growth; and 3) rebooting regional connectivity, especially travel and tourism for post-COVID-19 economic recovery.
The first APEC meeting will be held in Phuket during December 1-3, 2021, and over a hundred others will follow throughout the next year in other provinces across the country. It is expected that those meetings help stimulate provincial and local economy.
The Prime Minister also congratulated Mr. Chawanon Wongtrakuljong, a student from Chulalongkorn University, for winning the 2022 APEC logo competition. His work is inspired by a “Chalom”, a Thai bamboo basket used to carry items to travel from generation to generation. By using bamboo strands interlaced tightly together, it reflects cooperation among APEC economies.
The Prime Minister took the opportunity to invite all the Thai people to join hands in hosting the 2022 APEC, and affirmed the Government’s utmost effort to ensure its success which will benefit the Thai people and our children in the future. #APEC2022THAILAND
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48194 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทแจ้งปิดการจราจรบนสะพานพระราม 4 (บางช่องทาง) ตั้งแต่คืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2565 ช่วงเวลา 22.00 - 04.00 น. เพื่อเสริมผิวลาดยาง | วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
กรมทางหลวงชนบทแจ้งปิดการจราจรบนสะพานพระราม 4 (บางช่องทาง) ตั้งแต่คืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2565 ช่วงเวลา 22.00 - 04.00 น. เพื่อเสริมผิวลาดยาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง มีความจำเป็นต้องปิดการจราจร บนสะพานพระราม 4 (บางช่องทาง) ตั้งแต่คืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2565 ช่วงเวลา 22.00 - 04.00 น. เพื่อเสริมผิวลาดยาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง จะดำเนินงานโครงการเสริมผิวจราจรลาดยางแบบโพลีเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลต์คอนกรีต (PMA) บนสะพานพระราม 4 อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งจะต้องใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในการดำเนินงาน ทช. จึงมีความจำเป็นต้องปิดการจราจร (ฝั่งขาเข้าและขาออก บางช่องจราจร) บนสะพานพระราม 4 เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางระหว่างดำเนินงานก่อสร้าง ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้สัญจรผ่านสะพานฯ หลีกเลี่ยงเส้นทางในวันและเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายวรพงษ์ หร่ายเจริญ วิศวกรโยธาปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 09 2965 6514 และนายปภังกร โพธิ์หอม นายช่างโยธา (พร.) หมายเลขโทรศัพท์ 09 2868 5939 สำนักบำรุงทาง กรมทางหลวงชนบท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51767 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่คุมเข้ม “เอเชียประกันภัย” ควบคุมการจ่ายเงินและเร่งจ่ายเคลมประกัน เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชน | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
คปภ. ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่คุมเข้ม “เอเชียประกันภัย” ควบคุมการจ่ายเงินและเร่งจ่ายเคลมประกัน เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชน
ตามที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ในการนี้ ตนในฐานะนายทะเบียนจึงได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2564 เรื่อง ให้บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) แก้ไขฐานะและการดำเนินการตามที่นายทะเบียนกำหนดและหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว และประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดการจ่ายเงินอื่นของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) ที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2564 โดยมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำที่บริษัท เพื่อควบคุมดูแลให้บริษัทดำเนินการตามเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนดแล้ว
เลขาธิการ คปภ. ได้แจ้งความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสายตรวจสอบ บูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และ ดร. อายุศรี คำบรรลือ ผู้ช่วยเลขาธิการสายตรวจสอบ นำคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่จากสายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าไปประจำ ณ ที่ทำการบริษัท เพื่อควบคุมและให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศนายทะเบียนกำหนด ซึ่งการเข้าควบคุมการจ่ายเงินของบริษัทเป็นไปตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ในกรณีที่บริษัทถูกสั่งหยุดรับประกันภัยวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ห้ามมิให้กรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทสั่งจ่ายเงินของบริษัท หรือทำการเคลื่อนย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท เว้นแต่ เป็นการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทตามปกติ หรือเป็นการจ่ายเงินตามที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศนายทะเบียนดังกล่าวได้กำหนดการจ่ายเงินโดยความเห็นชอบของนายทะเบียนหรือผู้ได้รับมอบหมายจากนายทะเบียน ในกรณีดังนี้
1. การจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ฯลฯ
2. การจ่ายเงินคืนค่าเบี้ยประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัย
3. การจ่ายค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
4. การจ่ายค่าสื่อสาร เช่น ค่าไปรษณีย์ ค่าโทรศัพท์ ค่าโทรสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต้น
5. การจ่ายค่าภาษี ค่าอากร หรือค่าภาษีอากร ตามที่กฎหมายกำหนด
6. การจ่ายเงินตามคำสั่งศาล เช่น ค่าสินไหมทดแทน ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม เป็นต้น
7. การจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าปรับ เงินจ่ายหรือเงินสมทบตามที่กฎหมายกำหนด
8. การจ่ายเงินหรือค่าใช้จ่ายอื่นตามความจำเป็นเพื่อเร่งรัดติดตามหรือเรียกคืนหนี้สินค้างจ่ายของบริษัท
โดยการเบิกจ่ายเงินในกรณีที่จำเป็นนอกเหนือจากนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน โดยมีเหตุผลความจำเป็นพร้อมเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้มีการจัดทำแผนการบริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบค่าสินไหมทดแทนที่ค้างจ่าย โดยให้บริษัทแยกประเภทตามแบบกรมธรรม์และพิจารณาจากลำดับการยื่นเรื่องเข้ามา หากพบว่ารายใดมีเอกสารครบถ้วนก็จะเร่งดำเนินการอนุมัติการจ่ายและแจ้งให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว เบื้องต้นเคลมที่ใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารไม่มากจะเป็นประเภท เจอ จ่าย จบ ส่วนเรื่องที่เอกสารไม่ครบถ้วนจะเร่งให้บริษัทประสานผู้เอาประกันภัยเพื่อนำส่งเอกสารเพิ่มเติมโดยเร็ว
“การออกประกาศนายทะเบียนดังกล่าว เป็นการรองรับและมอบอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ เข้าไปประจำ ณ ที่ทำการบริษัท เพื่อดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายเงินตามที่จำเป็น และเร่งเคลียร์ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยเป็นอันดับแรก ดังนั้น ทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่จะมีการบริหารจัดการเพื่อดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ของประชาชนอย่างเต็มที่ จึงขอให้ประชาชนไม่ต้องวิตกกังวล สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการในทุกมาตรการอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ และขอให้มั่นใจในระบบประกันภัยว่าสามารถเข้ามาช่วยเหลือ เยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนได้ในทุกสถานการณ์ และทุกมิติของความเสี่ยงภัย แม้แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ก็ตาม ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46290 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเสียใจเหตุกราดยิงมีผู้เสียชีวิต เร่งสอบสวนสาเหตุ และกำชับดูแล เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต | วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีเสียใจเหตุกราดยิงมีผู้เสียชีวิต เร่งสอบสวนสาเหตุ และกำชับดูแล เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต
นายกรัฐมนตรีเสียใจเหตุกราดยิงมีผู้เสียชีวิต เร่งสอบสวนสาเหตุ และกำชับดูแล เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต
วันที่ 24 มิถุนายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์บุกยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อ เสียชีวิต 1 ราย และการกราดยิงในโรงพยาบาลสนามในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี มีผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย และจากนั้นได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมสรรพกำลังสืบสวน รวบรวมพยานจนพบว่าผู้ก่อเหตุชื่อนายกวิน แสงนิลกุล อดีตทหารเกณฑ์ปลดประจำการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามตัว จนสามารถควบคุมตัวที่ได้ จังหวัดระนอง ระหว่างการหลบหนี
นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือ เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต สำหรับผู้ก่อเหตุที่จับกุมได้แล้วจะต้องสอบสวนหาสาเหตุและดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งป้องกันไม่ให้มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
“ในสถานการณ์ที่ทุกคนประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 เข้าใจดีว่า ทุกคนมีความเครียด จึงอยากฝากให้คนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิดช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรม หากพบปัญหาขอให้ปรึกษาหน่วยงานราชการ หรือผู้นำท้องถิ่นในท้องที่ รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ได้สั่งการให้ทุกส่วนราชการทำงานกันอย่างเต็มที่ ตนเอง และ ครม. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อแก้ไขทุกปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43065 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจดีอีเอส ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ติดตามผลสำเร็จโครงการด้านดิจิทัล หนุนชุมชนเรียนรู้ นำเทคโนโลยีพัฒนายกระดับชุมชน | วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565
ผู้ตรวจดีอีเอส ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ติดตามผลสำเร็จโครงการด้านดิจิทัล หนุนชุมชนเรียนรู้ นำเทคโนโลยีพัฒนายกระดับชุมชน
ผู้ตรวจดีอีเอส ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ติดตามผลสำเร็จโครงการด้านดิจิทัล หนุนชุมชนเรียนรู้ นำเทคโนโลยีพัฒนายกระดับชุมชน
เมื่อวันที่25สิงหาคม2565นางสาวกรรวีสิทธิชีวภาคผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมลงพื้นที่จ.นครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับฟังสรุปผลการดำเนินงานสำคัญรวมทั้งปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของรัฐบาลตามนโยบายและแผนงานสำคัญในปี2565อาทิโครงการยกระดับศูนย์การเรียนICTชุมชนสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชนโครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชนโครงการเน็ตประชารัฐ/เครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัล(อสด.)โครงการจัดทำบัญชีข้อมูลภาครัฐ(GD Catalog)โครงการSmart Cityการขับเคลื่อนงานดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในระดับจังหวัดและ)โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจวัดข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระดับอำเภอให้เป็นระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
พร้อมให้ข้อแนะนำ/แนวทางการดำเนินงานโดยขอให้หน่วยงานในสังกัดเน้นการทำงานใน2มิติคือการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงและการสนับสนุนภารกิจของจังหวัดโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญในการดำเนินงานต่างๆและขอให้ทำงานแบบบูรณาการร่วมกันประสานความร่วมมือของทุกหน่วยงานรวมทั้งเอื้ออำนวยภารกิจซึ่งกันและกันและขอบคุณในความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เห็นความสำคัญของภารกิจกระทรวงดิจิทัลฯตลอดมา
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมเมืองอัจฉริยะ Haneda Innovation City แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ต่อยอดพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทย | วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565
นายกฯ เยี่ยมชมเมืองอัจฉริยะ Haneda Innovation City แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ต่อยอดพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทย
นายกฯ เยี่ยมชมเมืองอัจฉริยะ Haneda Innovation City แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ต่อยอดพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทย
วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) เวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ Haneda Innovation (HI) City เขตโอตะ กรุงโตเกียว หนึ่งในโครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามนโยบายยุทธศาสตร์แห่งชาติเขตเศรษฐกิจพิเศษ (The National Strategic Special Zones) ของญี่ปุ่น ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่เขตโอตะ กรุงโตเกียว
ซึ่งในโอกาสการศึกษาดูงานนี้ นาย Amano Hiromasa ประธานและ CEO บริษัท Hajima Corporation กล่าวขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีและคณะให้เกียรติมาเยี่ยมชม โดยเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ให้เติบโต และ นาย Matsubara Tadayoshi นายกเทศมนตรีเขตโอตะได้ฝากข้อความวิดีโอถึงนายกรัฐมนตรี เขตโอตะมีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมอนาคต หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการ HI City มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในญี่ปุ่น ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมศูนย์วิจัยและทดลองเทคโนโลยีล้ำสมัยด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Smart Robotics) เทคโนโลยีทางการแพทย์ สถานีไฮโดรเจน นอกจากนี้ HI City ยังเป็แหล่งรวมร้านค้า โรงแรม สำนักงาน ศูนย์จัดการประชุมและการแสดงที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นไว้อย่างลงตัว เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมเข้าถึงทั้งเทคโนโลยีและวัฒนธรรม
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การศึกษาดูงานในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีด้านเมืองอัจฉริยะของญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสามารถนำมาต่อยอดพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งมีโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในนิคมอุตสาหกรรม AMATA Smart City จังหวัดชลบุรี ตลอดจนเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่มีศักยภาพ
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ เวลา 14.10 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กลับประเทศไทย โดยเดินทางถึงประเทศไทยเวลา 19.50 น. ตามเวลาประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. | วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น.
พบทางหลวงที่มีระดับน้ำสูง 5 สายทาง และการจราจรผ่านไม่ได้ 21 แห่ง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนเนื่องจากเส้นทางคมนาคมได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อีกทั้งท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้กำชับให้กระทรวงคมนาคมเร่งสำรวจ ซ่อมแซม และแก้ปัญหาเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหาย จึงเร่งให้หน่วยงานในสังกัดให้เร่งซ่อมแซมฟื้นฟูเส้นทางเพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งให้เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ โดยจัดเตรียมบุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร เพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรในพื้นที่เกิดเหตุอุทกภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและเฝ้าระวังสถานการณ์ 24 ชั่วโมง เนื่องจากขณะนี้บางพื้นที่ยังได้รับอิทธิพลจากพายุทำให้มีปริมาณฝนตกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงที่มีระดับน้ำสูง 5 สายทาง และการจราจรผ่านไม่ได้ 21 แห่ง รายละเอียดดังนี้
ทางหลวงที่มีระดับน้ำสูง 5 สายทาง ดังนี้
1. ทล.2 ท่าพระ - ขอนแก่น ระดับน้ำสูง 200 เซนติเมตร
2. ทล.213 มหาสารคาม - หนองขอน ระดับน้ำสูง 210 เซนติเมตร
3. ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ระดับน้ำสูง 125 เซนติเมตร
4. ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ระดับน้ำสูง 175 เซนติเมตร
5. ทล.340 สาลี - สุพรรณ ระดับน้ำสูง 125 เซนติเมตร
ทางหลวงการจราจรผ่านไม่ได้ 21 แห่ง ดังนี้
1. จังหวัดขอนแก่น (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.2 ท่าพระ - ขอนแก่น ช่วง กม. ที่ 329+913 (จุดกลับรถใต้สะพานกุดกว้าง) ระดับน้ำสูง 200 เซนติเมตร
- ทล.2065 พล - ลำชี ช่วง กม. ที่ 33+625 น้ำกัดเซาะคันทางสไลด์
- ทล.2065 พล - ลำชี ช่วง กม. ที่ 33+785 น้ำกัดเซาะคันทางสไลด์
2. จังหวัดมหาสารคาม (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.213 มหาสารคาม - หนองขอน ช่วง กม. ที่ 5+530 (อุโมงค์ท่าขอนยาง) ระดับน้ำสูง 210 เซนติเมตร
3. จังหวัดนครราชสีมา (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
-ทล.2150 คง - โนนไทย ช่วง กม. ที่ 40+000-41+000 ระดับน้ำสูง 20 - 55 เซนติเมตร
- ทล.2369 พระทองคำ - ดอนไผ่ กม. ที่ 7+800-8+800 ระดับน้ำสูง 30 - 50 เซนติเมตร
4. จังหวัดชัยภูมิ (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.201 ช่องสามหมอ - บ้านแข้ กม. ที่ 185+000-185+300 (จุดกลับรถใต้สะพาน) ระดับน้ำสูง
20 - 60 เซนติเมตร
- ทล.201 ช่องสามหมอ - บ้านแข้ กม. ที่ 188+000-188+300 (จุดกลับรถใต้สะพาน) ระดับน้ำสูง
10 - 60 เซนติเมตร
- ทล.2484 ทางเลี่ยงเมืองภูเขียว กม. ที่ 7+050-7+150 ระดับน้ำสูง 30 - 50 เซนติเมตร
5. จังหวัดนนทบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรก) ระดับน้ำสูง 30 - 35 เซนติเมตร
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรกเพื่อมุ่งหน้าถนนกาญจนาภิเษก) ระดับน้ำสูง 30 - 40 เซนติเมตร
- ทล.307 แยกสวนสมเด็จ - สะพานนนทบุรี ช่วง กม. ที่ 0+942 (จุดกลับรถใต้สะพานนนทบุรี) ระดับน้ำสูง
30 เซนติเมตร
6. จังหวัดอ่างทอง (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ำสูง 125 เซนติเมตร
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 33+200 (จุดกลับรถวัดค่าย) ระดับน้ำสูง 35 เซนติเมตร
7. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) ระดับน้ำสูง 15 เซนติเมตร
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ำสูง
175 เซนติเมตร
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ำสูง
175 เซนติเมตร
8. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 สะพานคลองทับน้ำ ระดับน้ำสูง 85 เซนติเมตร
- ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม ระดับน้ำสูง
125 เซนติเมตร
9. จังหวัดปราจีนบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล. 33 ประจันตคาม - พระปรง ช่วง กม.ที่ 171+400 - กม. ที่ 171+900 ระดับน้ำสูง 15 - 50 เซนติเมตร
10. จังหวัดกาญจนบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล. 3390 หนองรี - บ่อยาง ช่วง กม.ที่ 3+200 - กม. ที่ 4+200 ระดับน้ำสูง 70 เซนติเมตร
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47080 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมย้าย รพ.สวรรค์ประชารักษ์ไปพื้นที่ใหม่ รองรับผู้ป่วยมากขึ้น มุ่งสู่ศูนย์ความเป็นเลิศ 5 ด้าน | วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564
สธ.เตรียมย้าย รพ.สวรรค์ประชารักษ์ไปพื้นที่ใหม่ รองรับผู้ป่วยมากขึ้น มุ่งสู่ศูนย์ความเป็นเลิศ 5 ด้าน
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมย้ายโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ไปพื้นที่ใหม่ขนาด 200 ไร่ ขยายจาก 646 เตียง เป็น 864 เตียง พร้อมมุ่งสู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ 5 ด้าน คือ มะเร็ง โรคหัวใจ วิกฤตเด็กเล็ก อุบัติเหตุ และปลูกถ่ายอวัยวะ
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมย้ายโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ไปพื้นที่ใหม่ขนาด200ไร่ขยายจาก646เตียง เป็น864เตียง พร้อมมุ่งสู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ5ด้าน คือ มะเร็ง โรคหัวใจ วิกฤตเด็กเล็กอุบัติเหตุ และปลูกถ่ายอวัยวะ ตั้งเป้าเปิดบริการได้30มิถุนายน2565
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้มีแผนย้ายโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ไปยังพื้นที่ใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ มุ่งสู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellence Center) 5ด้าน ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะวิกฤตเด็กเล็ก อุบัติเหตุ และการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยพื้นที่เดิมมีขนาด14ไร่ จำนวน9อาคาร พื้นที่ใช้งาน48,000ตารางเมตร ขนาด646เตียง มีห้องผ่าตัด12เตียง ไอซียู46เตียงและห้องพิเศษ74เตียง ส่วนพื้นที่ใหม่มีขนาด200ไร่ จำนวน13อาคาร พื้นที่ใช้งานเพิ่มเป็น111,758ตารางเมตรรวม864เตียง มีห้องผ่าตัด23เตียง ไอซียู99เตียง และห้องพิเศษ133เตียง ตั้งเป้าเปิดบริการได้ทุกระบบงานภายในวันที่30มิถุนายน2565ซึ่งจะช่วยให้รองรับบริการประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ก่อสร้างอาคารบริการแล้วเสร็จ10หลัง และอาคารที่พักอาศัย9หลัง
โดยมีกรอบระยะเวลาการก่อสร้าง ดังนี้ ช่วงตุลาคม-ธันวาคม2564อาคารบริการและที่พักอาศัยแล้วเสร็จช่วงมกราคม-มีนาคม2565อาคารรังสีและผ่าตัดแล้วเสร็จ และมีพยาบาลจบใหม่เข้ามาเพิ่ม126คน พฤษภาคม2565อาคารผู้ป่วย5ชั้นแล้วเสร็จ พร้อมปรับปรุงสิ่งก่อสร้าง อาคารต่าง ๆ แล้วเสร็จภายใน30กรกฎาคม2565และ30กันยายน2565สร้างอาคารผู้ป่วยพิเศษ100ห้องแล้วเสร็จ แต่สามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ตั้งแต่วันที่30มิถุนายน และจะมีพิธีเปิดในวันที่12สิงหาคม2565
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์น้ำท่วม จ.นครสวรรค์ ขณะนี้ยังมีน้ำท่วมในพื้นที่9อำเภอประชาชนได้รับผลกระทบ20,937คน และเสียชีวิตจากการจมน้ำ3ราย สถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ19แห่ง ใน6อำเภอ แต่ยังเปิดให้บริการได้ตามปกติ ทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์ออกเยี่ยมบ้านดูแลประชาชน ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ตรวจรักษา ประเมินสุขภาพจิต ให้ยาและสุขศึกษาแล้ว ส่วนสถานการณ์โรคโควิด19ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง แต่ยังเกิน100ราย ส่วนใหญ่อยู่ใน อ.เมือง เนื่องจากมีคลัสเตอร์แรงงานต่างด้าวอยู่ระหว่างการควบคุมโรค สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด19ภาพรวมฉีดเข็มที่1ครอบคลุม60%กลุ่มผู้สูงอายุ60ปีขึ้นไปครอบคลุม56.9%กลุ่มโรคเรื้อรัง65%หญิงตั้งครรภ์56%ประชาชนทั่วไป62%และเด็กนักเรียนที่เพิ่งเริ่มฉีดวันที่4ตุลาคม ฉีดแล้ว10,027ราย คิดเป็น42.97%ของผู้ที่สมัครใจฉีด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46767 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565
พี่น้องเกษตรกรและประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน
เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2565 ในนามของรัฐบาล ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงตลอดมา
ภาคเกษตรถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากเป็นต้นทางของปัจจัยในการดำรงชีวิต ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าไปสู่กิจกรรมกลางทางและปลายทางได้อย่างหลากหลาย รวมทั้งยังเป็นแหล่งรองรับแรงงานจากภาคการผลิตอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤติ ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งพัฒนาภาคเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการเกษตรอย่างครบวงจร ทั้งการผลิต การแปรรูป และการตลาด
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รัฐบาลได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรมาโดยตลอด เพื่อให้สามารถทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการประกันรายได้พืชผลทางการเกษตร โครงการโคก หนอง นา โมเดล นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่สำคัญเพื่อสนับสนุนพี่น้องเกษตรกร อาทิ การพัฒนาช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานของการทำการเกษตร การบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นสถาบันเกษตรกร เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมการทำประกันภัยพืชผลและการทำเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรมระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพเกษตรกร
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนภาคเกษตรไทยไปสู่ 3 สูง คือ ประสิทธิภาพสูงด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับผลผลิตเกษตรสู่มาตรฐานสูงด้วยระบบการผลิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย โภชนาการ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การทำการเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างรายได้สูงด้วยการผลิตสินค้าเกษตรที่มีอัตลักษณ์ มีความหลากหลาย ทำให้สามารถกำหนดราคาขายได้ตามคุณภาพของผลผลิต
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรไทยทุกคน ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำพาพี่น้องเกษตรกรไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจำปี 2565 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ อีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลให้พี่น้องเกษตรกรทุกคน พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน
สวัสดีครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” เผย 7 ทิศทางนโยบายมุ่ง “โควิด” สู่โรคประจำถิ่น | วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565
“สาธิต” เผย 7 ทิศทางนโยบายมุ่ง “โควิด” สู่โรคประจำถิ่น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 7 ทิศทางนโยบายเพื่อเดินหน้า “โควิด” สู่โรคประจำถิ่น ชี้เป็นโอกาสสร้างงาน สร้างรายได้ ยันหากควบคุมโรคได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะเดินหน้าเป็นโรคประจำถิ่นตามเป้าหมายต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 7 ทิศทางนโยบายเพื่อเดินหน้า “โควิด” สู่โรคประจำถิ่น ชี้เป็นโอกาสสร้างงาน สร้างรายได้ ยันหากควบคุมโรคได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะเดินหน้าเป็นโรคประจำถิ่นตามเป้าหมายต่อไป ส่วนมาตรการผ่อนคลายขึ้นกับพื้นที่และสถานการณ์
วันนี้ (6 พฤษภาคม 2565) ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซอยศูนย์วิจัย กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และบรรยายพิเศษ “ทิศทางและนโยบายภาครัฐ หลังการประกาศโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น” ว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้อย่างดี ส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือของโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงระยะทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง ทั้งผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล และผู้เสียชีวิต สำหรับการเดินหน้าสู่โรประจำถิ่นนั้น แม้องค์การอนามัยโลกยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนและยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องการกลายพันธุ์ แต่จากการติดตามยังเป็นการกลายพันธุ์ย่อยที่ไม่มีผลเรื่องความรุนแรงและการแพร่ที่รวดเร็ว ส่วนประเทศไทยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหากดำเนินการได้ตามนั้นก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามเป้าหมายคือช่วงกรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
ดร.สาธิตกล่าวว่า สำหรับทิศทางและนโยบายด้านสุขภาพเพื่อเดินหน้าสู่โรคประจำถิ่น สอดคล้องกับข้อเสนอขององค์การอนามัยโลกที่มาจัดกิจกรรมทบทวนการเตรียมความพร้อมในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า กรณีโควิด 19 ของประเทศไทย ซึ่งมี 7 เรื่อง ได้แก่ 1.การเพิ่มการลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาเรามีไทยชนะ หมอชนะ รวมถึง “หมอพร้อม” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหญ่อันดับ 2 ของประเทศรองจากเป๋าตัง มีข้อมูลมากกว่า 25 ล้านการลงทะเบียน นอกจากนี้ ครม.กำลังหารือทำแพลตฟอร์มแห่งชาติ ภายใต้กรอบวงเงินอนุมัติ 7 พันล้านบาท เพื่อทำข้อมูลกลางที่มีความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
2.การเตรียมพร้อมรับมือการระบาดครั้งต่อไปและพัฒนาบุคลากรสหสาขา ทั้งโรคทั่วไป โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ภาวะลองโควิดและมิสซี 3.การดูแลกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิ 4.ยกระดับการพึ่งพาตนเองด้านยา วัคซีน ชุดตรวจ และเวชภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ไทยมีวัคซีน 3 ตัวที่ก้าวหน้าคือ วัคซีนขององค์การเภสัชกรรม วัคซีนใบยา และวัคซีนของจุฬาฯ 5.การจัดการขยะทางการแพทย์หรือขยะติดเชื้อ ซึ่งที่ผ่านมามีการปลดล็อกกฎหมายให้เตาเผาขยะนิคมอุตสาหกรรมใช้เผาขยะติดเชื้อได้ชั่วคราว 6.พัฒนากลยุทธ์การบูรณาการข้อมูล ซึ่ง ศบค.มีการรวบรวมข้อมูลหน่วยงานต่างๆ นำมาสู่การตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน และ 7.การค้นหา บันทึก และเผยแพร่ตัวอย่างที่ดี รวมทั้งบทเรียนสำคัญในการจัดการกับภาวะระบาดใหญ่
“เมื่อโควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น จะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างงาน และประเทศจะมีรายได้จากการเก็บภาษีมากขึ้น ส่วนจะผ่อนคลายมาตรการและการปฏิบัติตัว เช่น การถอดหน้ากากอนามัย ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสถานการณ์ หัวใจสำคัญคือ ต้องก้าวข้าม อยู่กับโควิดอย่างเข้าใจ รู้เท่าทัน และเดินหน้าเศรษฐกิจให้ได้” ดร.สาธิตกล่าว
****************************************** 6 พฤษภาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54297 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดี กทม. ครองแชมป์ เมืองที่เหมาะต่อการทำงานและพักผ่อนที่สุดในโลก พ่วงภูเก็ตและเชียงใหม่ ติด Top 10 | วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564
นายกฯ ยินดี กทม. ครองแชมป์ เมืองที่เหมาะต่อการทำงานและพักผ่อนที่สุดในโลก พ่วงภูเก็ตและเชียงใหม่ ติด Top 10
.....
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยินดีที่ กทม. ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่เหมาะกับการทำงานและพักผ่อนที่สุดในโลก (The Best Cities for a Workation 2021) โดยมีค่าใช้จ่ายในเกณฑ์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ มีกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวทุกระดับและทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
.
ยืนยันว่าจะดูแลความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้คนไทย นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ใช้ชีวิตในไทยได้อย่างมั่นใจและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
.
ส่วนอันดับอื่น ๆ ได้แก่ อันดับ 2 กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย อันดับ 3 กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส อันดับ 4 เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน อันดับ 5 กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ร่วมกับกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อันดับ 7 เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย อันดับ 8 กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี อันดับ 9 กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย และอันดับร่วมที่ 10 จังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49263
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt Spokesperson: Thailand is preparing for transition into COVID-19 endemic phase | วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565
Govt Spokesperson: Thailand is preparing for transition into COVID-19 endemic phase
Govt Spokesperson: Thailand is preparing for transition into COVID-19 endemic phase
March 10, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed about the country’s transition to the endemic phase of the COVID-19 as guided by Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha that the focus has been made on preparedness in all dimensions, i.e., monitoring of incoming travelers, vaccine management, preventive and control measures, in parallel with propelling economic system to generate revenues and normalize people’s way of living under the “Universal Prevention” scheme.
In transitioning into the COVID-19 endemic phase, disease severity must be controllable. There must be sufficient medical facilities to accommodate and ensure prompt access to treatment of the patients. The number of fatalities should be kept at no higher rate than the standard of World Health Organization. The people are also required to strictly conform to COVID-19 preventive measures and receive the vaccines, including the booster dose.
As of today (March 10, 2022), a total of 22,984 new confirmed cases is reported, among which 22,937 were found domestically, and 47 from overseas traveling. The total of 74 deaths and 24,161 recoveries were reported with 220,334 active cases. From January 1, 2022, cumulative number of cases are 888,422, and cumulative number of recoveries, 699,517. Cumulative number of vaccinations across the country from February 28, 2021 to March 9, 2022 is 125,426,748 doses (1st shot: 54,123,565, 2nd shot: 49,906,689, 3rd shot 19,586,216, and 4th shot: 1,810,278.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565
รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย กองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้า สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการ ตั้งแต่สถานีลาดพร้าว บนถนนลาดพร้าว ไปจนถึงสถานีสำโรง บนถนนเทพารักษ์
โดยได้ตรวจสอบการติดตั้งรั้วทึบล้อมรอบพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อเป็นการกำหนดเขตการก่อสร้างให้ชัดเจน และตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อาทิ การทำความสะอาดพื้นที่ก่อสร้าง การปิดคลุมกองดิน กองทราย และเศษวัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงได้เน้นย้ำผู้รับสัมปทาน ในกรณีที่มีการก่อสร้างรบกวนทางเดินเท้าเดิม โดยให้จัดทำทางเดินเท้าชั่วคราว เพื่อให้สะดวกต่อการสัญจรของประชาชน และให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด สามารถสอบถามข้อมูลโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.mrta-yellowline.com เฟซบุ๊กแฟนเพจโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ และไลน์ @mrtyellowline หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55769 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “เสรีพิศุทธ์” อย่ากล่าวหาลอย ๆ มีใบสั่งให้นายกฯ นั่งประธาน ก.ตร.-ก.ต.ช.อัดดูถูกเกียรติตำรวจด้วยกันเอง เหน็บอยากได้รับเกียรติ ก็ต้องรู้จักให้เกียรติด้วย | วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาลสวน “เสรีพิศุทธ์” อย่ากล่าวหาลอย ๆ มีใบสั่งให้นายกฯ นั่งประธาน ก.ตร.-ก.ต.ช.อัดดูถูกเกียรติตำรวจด้วยกันเอง เหน็บอยากได้รับเกียรติ ก็ต้องรู้จักให้เกียรติด้วย
โฆษกรัฐบาลสวน “เสรีพิศุทธ์” อย่ากล่าวหาลอย ๆ มีใบสั่งให้นายกฯ นั่งประธาน ก.ตร.-ก.ต.ช.อัดดูถูกเกียรติตำรวจด้วยกันเอง เหน็บอยากได้รับเกียรติ ก็ต้องรู้จักให้เกียรติด้วย
วันที่ 3 ธ.ค. 64 นายธนกร วังคงบุญชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. มีมติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แต่กลับมีใบสั่งว่า ประธาน ก.ตร. ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ยังต้องมีอยู่ โดยให้นายกฯ เป็นประธานว่า หาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มีหลักฐานหรือข้อมูลที่ชัดเจนก็ต้องนำมาแสดงด้วย ไม่ใช่นึกจะกล่าวหานายกฯ ลอย ๆ ก็พูดไปเรื่อย ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นตำรวจ แต่การให้สัมภาษณ์กลับดูถูกเกียรติตำรวจด้วยกันเอง ต้องให้เกียรติ ผบ.ตร. รวมถึงตำรวจชั้นผู้น้อยด้วย ไม่ควรจะพูดว่า กรรมาธิการฯ บางส่วนแม้จะเป็นข้าราชการตำรวจ แต่ไม่เคยเป็น ผบ.ตร. จึงไม่รู้ปัญหาจริง เพราะฟังแล้วเหมือนกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นเทวดา เก่งอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ ถึงได้รู้ทุกเรื่อง
“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังไม่ให้เกียรติเพื่อน ส.ส.ด้วยกันที่ทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการฯ ในสภาฯ ถึงขนาดเอ่ยปากว่า ถ้ากรรมาธิการฯ คิดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ให้มาเชิญไปพูดไปแนะนำก็ได้ หมายความว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เก่งอยู่คนเดียว รู้ทุกเรื่องใช่หรือไม่ ซึ่งถ้าหาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ให้เกียรติแม้แต่กับเพื่อน ส.ส.ด้วยกันเอง ก็ไม่น่าแปลกใจถ้าหากจะมีใครในกรรมาธิการฯ คณะของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เอง เขาจะไม่อยากให้เกียรติท่านบ้าง เพราะถ้าเราอยากจะได้รับเกียรติจากใคร ก็ต้องรู้จักให้เกียรติกับเขาด้วย”นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบเรือนจำที่ไม่มีการระบาดเพิ่ม รวม 106 แห่ง เตรียมทยอย EXIT เพิ่มอีก 18 แห่ง เริ่มแห่งแรกพรุ่งนี้ | วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบเรือนจำที่ไม่มีการระบาดเพิ่ม รวม 106 แห่ง เตรียมทยอย EXIT เพิ่มอีก 18 แห่ง เริ่มแห่งแรกพรุ่งนี้
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบเรือนจำที่ไม่มีการระบาดเพิ่ม รวม 106 แห่ง เตรียมทยอย EXIT เพิ่มอีก 18 แห่ง เริ่มแห่งแรกพรุ่งนี้
ในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 56/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษก ศบค.ยธ. นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายกฤช กระแสทิพย์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน พบแนวโน้มการติดเชื้อพื้นที่กรุงเทพมหานครลดลงแต่พบการติดเชื้อในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยวันนี้มีเรือนจำสีแดงที่แพร่ระบาดเพิ่ม 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางชลบุรี และเรือนจำกลางลพบุรี ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดง รวมทั้งสิ้น 36 แห่ง และมีเรือนจำสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 106 แห่ง
ขณะที่ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 923 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 869 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 54 ราย) รักษาหายเพิ่ม 400 ราย เสียชีวิต 3 ราย รวมมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 7,689 ราย (กลุ่มสีเขียว 84% สีเหลือง 15.7% และสีแดง 0.3%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 415 ราย ปริมณฑล 2,056 ราย และต่างจังหวัด 5,218 ราย มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 41,640 ราย หรือ 83.3% ของผู้ติดเชื้อสะสม 49,989 ราย เสียชีวิตสะสมรวม 70 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสม
สำหรับผู้เสียชีวิตในวันนี้ เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางขอนแก่น 2 ราย และเรือนจำจังหวัดสตูล 1 ราย ซึ่งจากข้อมูลพบมีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้ส่งต่อการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกและรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในวันนี้ได้เน้นย้ำการจัดทำแผนสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) ที่ต้องดำเนินการภายใต้กรอบที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้ได้พิจารณาเรือนจำสีแดงเพื่อเข้าสู่แผน EXIT เพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง ทั้งในระยะเริ่มการวางแผน EXIT การ EXIT บางแดน และที่มีกำหนดการ EXIT แล้ว ซึ่งจะทยอย EXIT ได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (8 สิงหาคม 2564) เป็นต้นไป เช่น สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยการจัดทำแผนดังกล่าว จะทำให้ทุกเรือนจำและทัณฑสถาน มีกรอบการดำเนินงานและระยะเวลาเพื่อควบคุมโรคที่ชัดเจน ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นควบคุมการระบาด ไปจนถึงพ้นการระบาดและกลับมาปฏิบัติงานได้อีกครั้ง โดยหากสามารถเริ่มกระบวนการตรวจหาเชื้อ คัดกรอง รักษา และทำแผน EXIT ได้ดี จะสามารถกลับมาทำหน้าที่เรือนจำปกติได้เร็วที่สุดในระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่งนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดขึ้นในเรือนจำ
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 พบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย จากเดิมสถิติผู้ติดเชื้อเป็นเจ้าหน้าที่ 14 ราย เด็กและเยาวชน 37 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 52 ราย ขณะที่ผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 45 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 11 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 3 แห่ง หมดสถานะสีขาว 1 แห่ง และติดเชื้อ 7 แห่ง สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนคงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.89% จากทั้งหมด 4,183 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3,794 ราย หรือคิดเป็น 86.84% จากทั้งหมด 4,369 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44545 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการกำหนดให้สาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพิ่มขึ้น | วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565
ครม.อนุมัติหลักการกำหนดให้สาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพิ่มขึ้น
ครม.อนุมัติหลักการกำหนดให้สาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพิ่มขึ้น หวังควบคุมวิชาชีพให้เป็นไปตามหลักวิชาการที่เป็นสากล
วันที่ 18 มกราคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เพื่อให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนิติวิทยาศาสตร์ และด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้ด้วยการควบคุมดูแลความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
โดยใช้กลไกในการออก การพักใช้ และการเพิกถอนใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมในการจัดการควบคุมวิชาชีพดังกล่าวได้ครอบคลุมตามหลักวิชาการที่เป็นสากล
ทั้งนี้ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาและขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน และสิ่งแวดล้อม จึงสมควรกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพื่อเป็นการส่งเสริมและควบคุมการประกอบวิชาชีพดังกล่าว รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.พัฒนาเกลือทะเลไทย | วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564
คกก.พัฒนาเกลือทะเลไทย
คกก.พัฒนาเกลือทะเลไทย รายงานความก้าวหน้าผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือสมุทร ปีการผลิต 2563/64 เตรียมขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงผลผลิตเกลือทะเลในอัตราที่เหมาะสม
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผ่านระบบVDO Conferenceโดยที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือสมุทรปีการผลิต2563/64 (ข้อมูลณวันที่11มิ.ย. 64)มีจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร723ครัวเรือน1,276แปลงเนื้อที่27,978.30ไร่จาก7จังหวัดได้แก่จังหวัดสมุทรสาครสมุทรสงครามเพชรบุรีปัตตานีชลบุรีฉะเชิงเทราและจันทบุรี
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รายงานความก้าวหน้าการกระจายเกลือทะเลซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้สำรวจปริมาณเกลือทะเลฤดูการผลิต2562/63คงค้าง(ข้อมูลณวันที่19เม.ย. 64)จำนวน171,778ตันแบ่งเป็นเกลือขาว420ตันเกลือกลาง170,851ตันและเกลือดำ777ตันทั้งนี้เกลือคงค้างดังกล่าวอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการในการเชื่อมโยงผลผลิตเกลือทะเลในอัตราที่เหมาะสมในโครงการ“โครงการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลปี2564”จากคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
สำหรับโครงการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลปี2564เป็นโครงการที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรนาเกลือด้านค่าใช้จ่ายในครอบครัวและหนี้สินได้ในเบื้องต้นอีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรสามารถกระจายเกลือออกสู่ท้องตลาดโดยมีหลักการสนับสนุนค่าบริหารจัดการในการเชื่อมโยงผลผลิตเกลือทะเลในอัตราที่เหมาะสมในจังหวัดที่มีราคาจำหน่ายเกลือต่ำกว่าต้นทุน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสำหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสำหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสำหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ได้ร่วมลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อมอบหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ใหญ่ จำนวน10,000 ชิ้นและหน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก จำนวน 2,000 ชิ้น ให้กับนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เพื่อส่งต่อให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 อีกทั้งได้มอบนมผงสำหรับเด็กในโครงการ "พม. ปันสุข" เพื่อนำไปช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ช่วยแจกจ่ายอย่างทั่วถึงต่อไป
นางพัชรี กล่าวว่า หากกลุ่มเปราะบางและประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด - 19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และอาสาสมัครพัฒนาสังคมฯ (อพม.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ สถานการณ์ทั่วไปยังคงที่ มีการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเป็นระบบ | วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ สถานการณ์ทั่วไปยังคงที่ มีการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเป็นระบบ
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ สถานการณ์ทั่วไปยังคงที่ มีการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเป็นระบบ ด้านเรือนจำภูเก็ต EXIT แล้ว คาดว่าเรือนจำพิษณุโลก EXIT ได้เร็ว ๆ นี้
ในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 5/2565 โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2565 เวลา 16.00 นาฬิกา) พบผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ 28 ราย อยู่ในห้องกักตัว 22 ราย จากเรือนจำสีแดง 6 ราย จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 716 ราย มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 85,600 ราย หรือ 96.4% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 88,796 ราย และยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 190 ราย คิดเป็น 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในเรือนจำวันนี้ ยังคงที่ โดยไม่พบเรือนจำระบาดใหม่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 จึงมีจำนวนเรือนจำสีขาวอยู่ที่ 132 แห่ง และเรือนจำสีแดง 10 แห่ง แบ่งเป็นเรือนจำระบาดใหม่ 6 แห่ง คือ เรือนจำอำเภอแม่สะเรียง เรือนจำอำเภอรัตนบุรี เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร เรือนจำจังหวัดหนองคาย และเรือนจำอำเภอไชยา ส่วนอีก 3 แห่ง คือ เรือนจำอำเภอหลังสวน ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น และเรือนจำจังหวัดอุทัยธานี เป็นเรือนจำที่พบการติดเชื้อซ้ำในแดนบางส่วน รวมถึงเรือนจำกลางพิษณุโลกที่สามารถ EXIT ได้เป็นบางส่วน ซึ่งคาดว่าจะพ้นจากการระบาดทั้งเรือนจำได้ในเร็ว ๆ นี้
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุม ได้ติดตามสถานการณ์ของเรือนจำที่พบการระบาดแต่ละแห่ง ได้เน้นย้ำเรือนจำและทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาดให้ปฏิบัติตามแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต หรือ BCP ที่กำหนดไว้ รวมทั้งกำชับการป้องกันมิให้ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างกักโรคหลบหนีออกไปภายนอกได้ โดยสั่งการให้กรมราชทัณฑ์รีบสอบสวน และรายงานสาเหตุที่อาจเกิดจากข้อบกพร่องแต่ละครั้งให้กระทรวงยุติธรรมทราบภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ด้านการดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจำและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จำนวน 248,611 ราย หรือคิดเป็น 91.16% ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 271,536 ราย
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 พบมีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัวเป็นจำนวน 28 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 11 ราย และเยาวชน จำนวน 17 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 51 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 5 แห่ง พบว่ามีการติดเชื้อ ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น รวมจำนวน 3,488 ราย หรือคิดเป็น 90.08% จากทั้งหมด 3,872 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จำนวน 3,933 ราย หรือคิดเป็น 93.39% จากทั้งหมด 4,211 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการกัญชาทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้นแบบการพัฒนาครบวงจรควบคู่การให้ความรู้สังคม | วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการกัญชาทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้นแบบการพัฒนาครบวงจรควบคู่การให้ความรู้สังคม
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการกัญชาทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้นแบบการพัฒนาครบวงจรควบคู่การให้ความรู้สังคม กางแผนงานวิจัยยากัญชาทั้ง 5 หวังตีตลาดผู้มีปัญหาการนอนหลับทั่วโลก มูลค่าสูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (28 มิ.ย. 2565) เวลา 9.00 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำนางโศรยา ธรรมรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พร้อมผู้บริหาร เพื่อนำเสนอนิทรรศการกัญชาทางการแพทย์ เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตแก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการชมนิทรรศการฯ ว่า ที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้กัญชาทางการแพทย์เพราะเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษอย่างแน่นอน ทั้งประโยชน์เพื่อการรักษาและบรรเทาโรค ตลอดจนทางด้านเศรษฐกิจ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นย้ำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างปลอดภัย ส่วนมาตรการควบคุมที่ได้ออกไปก่อนหน้านี้ก็ขอให้ดำเนินการให้เกิดผลบังคับในทางปฏิบัติต่อไป โดยเฉพาะการจำกัดการเข้าถึงของกลุ่มที่ต้องได้รับการปกป้องเช่น เยาวชน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในนิทรรศการฯ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการที่เกิดจากการปฏิบัติจริง ทั้งการปลูกแบบอินทรีย์ การสกัดและการผลิตยารวมถึงการติดตามความปลอดภัยของกัญชา โดยองค์ความรู้ทั้งหมดโรงพยาบาลมีการถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจไปบางส่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมจัดทำเป็นชุดข้อมูล เพื่อกระจายไปยังผู้ที่สนใจในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลฯ ได้พัฒนาฐานข้อมูลออนไลน์ เพื่อรวบรวมผลการรักษาด้วยยากัญชาจากโรงพยาบาลต่างๆ และสามารถพัฒนางานวิจัยจากฐานข้อมูลดังกล่าว อาทิ การใช้ยาสารสกัดกัญชา THC ร้อยละ 1.7 ในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย ผู้ป่วยปวดปลายประสาท ผลการรักษาด้วยยาน้ำมันกัญชาทั้ง 5 (ดอก เมล็ด ราก ใบ และกิ่งก้าน) ในผู้ป่วยนอนไม่หลับเรื้อรัง ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วยลดการใช้ยานอนหลับร้อยละ 54.17 และหยุดการใช้ยานอนหลับร้อยละ 43.06 โดยยาทั้งหมดนี้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่ประชาชนสามารถรับการรักษาได้หากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีแผนการวิจัยยากัญชาทั้ง 5 เพื่อมาทดแทนยานอนหลับ ซึ่งปัจจุบันคนไทยประสบปัญหานอนไม่หลับถึง 19 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรไทย ซึ่งหากพัฒนาสำเร็จเข้ามาทดแทนยานอนหลับ จะลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศและเพิ่มโอกาสส่งออกเพราะการนอนไม่หลับเป็นปัญหาสุขภาพของคนทั่วโลก และตลาดผลิตภัณฑ์และยานอนหลับทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังอยู่ระหว่างการพัฒนาตำหรับยาอื่นๆ อาทิ ยากัญชาผสมขมิ้นชัน เป็นยาใช้ภายนอกในผู้ป่วยสะเก็ดเงินระยะแรก และการพัฒนากัญชาทางการแพทย์อย่างครบวงจรดำเนินการควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจของสังคมให้ใช้กัญชาอย่างปลอดภัย โดยมีศูนย์ข้อมูลกัญชา ตอบคำถามภาคประชาชน ผ่าน chatbot การฝึกอบรม และการจัดทำคู่มือการใช้ภาคประชาชน
.............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56226 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 | วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
สะสม 2 วัน (29 - 30 ธ.ค. 64) รวม 1,378,120 คน โดยวันที่ 30 ธ.ค. 64 มีผู้ใช้บริการระบบรางรวม 670,106 คน
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมา2 วันคือ วันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2564 มีประชาชนใช้บริการระบบราง 1,378,120 คน ประกอบด้วย
รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 93,790 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 38,065 คน และผู้โดยสารเชิงสังคม 55,725 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 52,848 คน และขาเข้า 40,942 คน ซึ่งพบว่า สายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 26,460 คน (ขาออก 16,122 คน และขาเข้า 10,338 คน) รองลงมาคือสายใต้ 26,852 คน (ขาออก14,329 คน และขาเข้า 12,523 คน) สายเหนือ 23,402 คน (ขาออก 13,637 คน ขาเข้า 9,765คน) สายตะวันออก 11,010 คน (ขาออก 5,770 คน ขาเข้า 5,240 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 6,066 คน (ขาออก 2,990 คน ขาเข้า3,076 คน) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สะสม 2วัน มีผู้ใช้บริการ 1,284,330 คน ประกอบด้วย Airport Rail Link 57,446 คน สายสีแดง 15,590 คน สายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 50,721 คน สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 355,242 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 805,331 คน
ทั้งนี้ พบว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ 2565 มีประชาชนมาใช้บริการ รวมจำนวน 670,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธันวาคม 2564 จำนวน 37,908 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 50,000 คน และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) จำนวน 620,106 คน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. รถไฟของ รฟท. จำนวน 50,000 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จำนวน 6,210 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 21,004 คนและเชิงสังคม 28,996 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกจำนวน 28,414 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จำนวน 3,980 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.28) และผู้โดยสารขาเข้า 21,586 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค.64 จำนวน 2,230 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52) โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 14,916คน (ผู้โดยสารขาออก 7,920 คน ผู้โดยสารขาเข้า 6,996 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 13,790 คน (ผู้โดยสารขาออก 8,406 คน ผู้โดยสารขาเข้า 5,384 คน) สายเหนือ 12,315 คน (ผู้โดยสารขาออก 7,336 คน ผู้โดยสารขาเข้า 4,979 คน) สายตะวันออก 5,835 คน (ผู้โดยสารขาออก 3,187 คน ผู้โดยสารขาเข้า 2,648 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 3,144 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,565 คน ผู้โดยสารขาเข้า 1,579 คน) ทั้งนี้ รฟท. ได้เพิ่มตู้โดยสารไปกับรถไฟทางไกล และเพิ่มขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร จำนวน 2 ขบวน มีผู้ใช้บริการรวม 966 คน ได้แก่ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 5 กรุงเทพ - เชียงใหม่ พ่วงรถนอนปรับอากาศชั้นสอง จำนวน 9 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 279 คน และขบวนรถเร็วที่ 977 กรุงเทพ - อุบลราชธานี พ่วงรถนั่งพัดลมชั้นสาม จำนวน 15 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 687 คน โดยพบว่า ไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่สถานีกรุงเทพและชุมทางบางซื่อ
2. ระบบรถไฟฟ้า จำนวน 620,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จำนวน 44,118 คน หรือลดลงร้อยละ 6.64) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link จำนวน 27,933 คน รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) จำนวน 7,481 คน รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) จำนวน 23,952 คน รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) จำนวน 168,470 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) จำนวน 392,270 คน โดยในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็นได้เพิ่มรถเสริม รวม 18 เที่ยว ได้แก่ Airport Rail Link เพิ่มรถเสริมจำนวน 1 เที่ยว BTS สายสุขุมวิท เพิ่มรถเสริมจำนวน 8 เที่ยว และสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) เพิ่มรถเสริมจำนวน 9 เที่ยว โดยไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง
สำหรับด้านความปลอดภัยประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2564 พบว่าหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง และมีอุบัติเหตุรถไฟของ รฟท. จำนวน 1 ครั้ง เมื่อเวลา10.55 น. ขบวนรถด่วนที่ 72 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะที่ฝ่าเครื่องกั้นอัตโนมัติที่ลงกั้นเรียบร้อยแล้ว บริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับที่เสาโทรเลขที่ 259/12-13 ระหว่างสถานีนครราชสีมา-สถานีภูเขาลาด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย จำนวน 2 ราย (ชาย 1 คนและหญิง 1 คน เป็นคนอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร) ถูกนำส่ง รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา
ในการนี้ กรมการขนส่งทางราง ได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การขับขี่ปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับ "ชีวิตของท่านมีค่า อย่าคิดฝ่าไม้กั้นรถไฟ"รวมทั้งประสานขอความร่วมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดอาสาสมัคร มาช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในบริเวณจุดตัดที่ไม่มีเครื่องกั้นและทางลักผ่านในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ
กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง เทศกาลปีใหม่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหา PM 2.5 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชื่นชมเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาจนผลกระทบลดลง | วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหา PM 2.5 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชื่นชมเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาจนผลกระทบลดลง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหา PM 2.5 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชื่นชมเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาจนผลกระทบลดลง
วันนี้ (27 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ โดยเน้นย้ำให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองทั้งในกรุงเทพฯ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วทั้งประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีห่วงใยผลกระทบที่อาจส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชน ซึ่งเกิดจากปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยได้กำชับให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – 23 มีนาคม 2565 ได้มีการตรวจสอบตรวจวัดควันดำรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศ และปรับปรุงค่ามาตรฐานควันดำโดยเพิ่มความเข้มงวดและประสิทธิภาพการแก้ปัญหา PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ โดยปรับมาตรฐานค่าควันดำของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด พ.ศ. 2564 ซึ่งกำหนดค่าความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 45 และค่ากระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิมไม่เกิน ร้อยละ 50 หากตรวจพบค่าควันดำเกินกำหนดจะลงโทษเปรียบเทียบปรับสถานหนัก 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 13 เมษายนนี้
สำหรับปัญหามลพิษอากาศจากหมอกควันและไฟป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินโครงการ “ชิงเก็บ ลดเผา” ซึ่งในปี 2564 สามารถดำเนินการเก็บขนเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่ามาใช้ประโยชน์ได้ 2,800 ตัน จากเป้าหมาย 1,000 ตัน ครอบคลุมพื้นที่ 400,000 ไร่ ทำให้จำนวนจุดความร้อนในพื้นที่ลดลงร้อยละ 60 และในปี 2565 มีการดำเนินงานต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสามารถเก็บขนเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่ามาใช้ประโยชน์ได้ 1,310 ตัน จากเป้าหมาย 3,000 ตัน และคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ปรับแนวคิดและระบบในการทำงานแบบใหม่ สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับชุมชน พร้อมทำงานแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน
รายงานของกรมควบคุมมลพิษยังพบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 15 มีนาคม 2565 มีจำนวนวันที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน 26 วัน ลดลงร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวนวันที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน 67 วัน และในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 มีนาคม 2565 มีจำนวนวันที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน 38 วัน ลดลงร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ที่ผ่านมา ที่มีจำนวนวันที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน 69 วัน นอกจากนี้ ข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พบว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 มีนาคม 2565 จำนวนจุดความร้อนในภาพรวมของประเทศไทย เหลือ 31,082 จุด ลดลงร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีจำนวน 79,441 จุด
“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยออกมาตรการที่มีประสิทธิภาพและให้ประชาชนภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่ที่เคยมีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินกำหนด และประสบปัญหาหมอกควัน ได้รับผลกระทบลดลง ซึ่งรัฐบาลยืนยันจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้จะเห็นผลที่เด่นชัดเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมทั้งประชาชนที่มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละออง ซึ่งหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันสานต่อการดำเนินการ เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52971 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. ชู “หัวหิน - ชะอำ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยว | วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565
ศบศ. ชู “หัวหิน - ชะอำ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยว
.....
ที่ประชุม ศบศ. (21 ม.ค. 65) เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Thailand Wellness Sandbox โดยปรับภาพลักษณ์ “หัวหิน และ ชะอำ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งใหม่ของไทย ควบคู่กับการพัฒนาการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกภายใต้โครงการ Thailand Riviera ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่นักท่องเที่ยวด้วยบริการที่มีมาตรฐานระดับสากลผสานกับอัตลักษณ์ความเป็นไทย
.
เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ เพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่หัวหินและชะอำ สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และที่ประชุมได้มอบให้ ททท. พิจารณาพื้นที่นำร่องในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินการระยะต่อไปด้วย
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50753
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50761 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีอัญเชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 | วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565
ก.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีอัญเชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565
ก.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีอัญเชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565
เมื่อวันที่29กรกฎาคม2565พ.ต.อ.ดร.อัครพลบุณโยปัษฎัมภ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นผู้แทนกระทรวงฯเข้าร่วมพิธีอัญเชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มทูลเกล้าฯและถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28กรกฎาคม2565ณบริเวณหน้าประตูภูธรลีลาศพระลานพระราชวังดุสิต
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM chairs 2/2021 permanent-secretary level meeting | วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564
PM chairs 2/2021 permanent-secretary level meeting
PM chairs 2/2021 permanent-secretary level meeting
September 20, 2021, at 09.30 hrs, at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha presided over the 2/2021 meeting of permanent secretaries and chiefs of ministry-level agencies and equivalent officials via a videoconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
According to the Prime Minister, the meeting of permanent secretaries and chiefs of ministry-level agencies and equivalent officials would be a good opportunity to discuss and exchange views on problems and problem solutions, as well as integrative operation of all sectors, both central and local agencies. Despite the fact that the COVID-19 situation starts to ease down, the Government continues to implement assistance and relief measures, and allocate additional budget to tackle both economic and social impacts as a result of the COVID-19 pandemic.
The Prime Minister instructed permanent secretaries and chiefs of ministry-level agencies and equivalent officials to adhere to the following 3 principles in working: 1) Hardware: various structure, ideas, policies, functional-base and agenda-base; 2) Software: additional tasks and assignments, problem solving (e.g., law amendment), new innovations and initiatives; and 3) human resource development for the post-COVID-19 New Normal to promote resilience in living with COVID, and to lead the country out of the crisis.
The Prime Minister also emphasized the need for government officials to fine-tune their perspectives and working principles in line with the New Normal. They should be the “leader for change” through adopting innovations in their work to promote “open and connected” public sector in accordance with the 20-Year National Strategic Plan.
With regard to overall water management plan, the Government strives to solve problems and undertake water management in a systematic and continuous manner, be it, water drainage and containment system, management of major river basins, consumption water management, prevention of flood and drought, etc. Under the Government’s policy, Office of National Water Resources (ONWR) ’s adoption of satellite technology and imagery in water resources management has reduced losses and enhance data analytics.
The Prime Minister also assigned Ministry of Interior, Ministry of Defense, ONWR, and other concerned agencies to work in an integrative manner in preparing against possible floods, especially acquisition of necessary equipment to prevent flood and inundation over major areas and buildings, i.e., hospitals, public and business buildings, and housing areas.
Toward the end of the meeting, the Prime Minister took a group photo with 10 permanent secretaries and chiefs of ministry-level agencies and equivalent officials who are going to retire at the end of this month.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ผบ.กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด - แปซิฟิก เข้าเยี่ยมคำนับ นรม.และ รมว.กห. ย้ำสร้างสรรค์ ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพกัน" | วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564
"ผบ.กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด - แปซิฟิก เข้าเยี่ยมคำนับ นรม.และ รมว.กห. ย้ำสร้างสรรค์ ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพกัน"
พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 1100 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคำนับของ พล.ร.อ.John C. Aquilino ( จอห์น ซี อากีลีโน ) ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด - แปซิฟิกและคณะ
ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองทัพไทย เพื่อแนะนำตัวและกระชับความสัมพันธ์
โดย พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ พล.ร.อ.จอห์น’ ที่ได้รับตำแหน่ง ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด - แปซิฟิก และขอขอบคุณ สหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนวัคซีน 2.5 ล้านโดส พร้อมตู้เก็บวัคซีน 200 ตู้ให้ไทย ต่อจากนั้น ทั้งสองฝ่าย ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในประเด็นต่างๆร่วมกัน ทั้งด้านความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด 19 ความสัมพันธ์ทางทหาร การฝึกร่วมผสม Cobra Gold 2021 ความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือในคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเลภายใต้กรอบความร่วมมือ กห.อาเซียน กับประเทศคู่เจรจา
และในตอนท้าย ทั้งสองฝ่าย ได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ของพันธมิตรที่เก่าแก่และแน่นแฟ้นระหว่างกัน ในการสนับสนุนและดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพ เสรีภาพและความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจและการเคารพซึ่งกันและกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46848 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน ประสบปัญหาสังคมจากโควิด - 19 ได้ศึกษาต่อในระบบ | วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน ประสบปัญหาสังคมจากโควิด - 19 ได้ศึกษาต่อในระบบ
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน ประสบปัญหาสังคมจากโควิด - 19 ได้ศึกษาต่อในระบบ
วันนี้ (17 พ.ย. 64) เวลา 09.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ประธานโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาจังหวัดภูเก็ต นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายเรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ผศ.ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นาวาตรีสุธรรม ระหงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ ห้องประชุมคอซิมบี้ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังเก่า) เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในครอบครัวยากจนประสบปัญหาทางสังคมจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) จำนวน 100 คน โดยได้รับทุนการศึกษาจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จำนวน 90 คน และจากกองทุนสวัสดิการชุมชน จำนวน 10 คน เพื่อช่วยเหลือเด็กให้สามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง
นายจุติ กล่าวว่า จิตวิญญาณของกระทรวง พม. คือ การลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน ตนขอให้กำลังใจทุกคน เนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้รายได้ลดลงมากจากเดือนละ 30,000 บาท เหลือปีละ 30,000 บาท ส่งผลให้คนภูเก็ตยากจนเฉียบพลัน แต่กระทรวง พม. จะไม่ทิ้งคุณ เราจะกลับมาหาคุณ ซึ่งต้องมาดูว่าหลังจากสถานการณ์โควิด - 19 เราจะเดินต่อไปอย่างไร เพราะทุกอย่างจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม จังหวัดภูเก็ตเป็นก้าวที่สำคัญของประเทศไทย เพราะเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมในทุกด้าน ตนเชื่อว่าองค์ประกอบของจังหวัดภูเก็ตสามารถทำได้ และเชื่อว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์มหาศาล ทั้งนี้ การทำภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความกล้าหาญมาก เพราะทุกอย่างมีความเสี่ยง แต่เป็นการเสี่ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีสปอร์ตไลท์อยู่แล้ว ก่อนสถานการณ์โควิด - 19 ได้สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นแน่นอน แต่เราต้องก้าวข้ามไป และตนเชื่อว่าเราจะรอดไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48372 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. พร้อมเข้าฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางอย่างต่อเนื่อง | วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. พร้อมเข้าฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางอย่างต่อเนื่อง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด รวม 36 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 21 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม นครสวรรค์ สุพรรณบุรี จันทบุรี และตราด รวม 36 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 21 สายทาง แบ่งเป็น น้ำท่วมสูง 14 สายทาง (14 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชำรุด กัดเซาะ 6 สายทาง (6 แห่ง) และสะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อำเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100)
2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ำลำคันฉู อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800)
3. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ำชี ท่านกโง่ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
4. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
5. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ำมูล อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 1+700)
6. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อำเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 2+200)
7. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลำน้ำชี อำเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400)
8. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อำเภอบ้านแฮด และมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 12+800 - 13+000)
9. สายทาง ขก.3055 แยก ทล.229 - บ้านมูลนาค อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น น้ำท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 10+600 - 12+200)
10. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลำน้ำชี อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร
11. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร
12. สายทาง มค.3062 แยก ทล.208 - บ้านหนองผือ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ำท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 7+500 - 8+450)
13. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050)
14. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075)
15. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300)
16. สายทาง สห.5042 แยกทางหลวงชนบท สห.3008 - แยกทางหลวงชนบท สห.5043 อำเภอค่ายบางระจัน และท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+700 - 5+150)
17. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 - บ้านถลุงเหล็ก อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 11+600 - 11+650)
18. สายทาง จบ.4006 แยก ทล.3277 - บ้านตาพลาย อำเภอมะขาม และขลุง จังหวัดจันทบุรี น้ำท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+350)
19. สายทาง จบ.1030 แยก ทล.3 - บ้านวังแซ้ม อำเภอเมือง และมะขาม จังหวัดจันทบุรี น้ำกัดเซาะคอสะพาน (ช่วง กม. ที่ 2+400 - 2+500)
20. สายทาง ตร.1009 แยก ทล.3 - บ้านท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดตราด น้ำท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 5+700)
21. สายทาง ตร.4022 แยก ทล.3159 - บ้านตรอกกระสังข์ อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด น้ำท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 13+700 - 13+800)
ทั้งนี้ ทช. ได้เข้าดำเนินการซ่อมแซมและฟื้นฟูเส้นทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ติดตั้งป้ายเตือน และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถใช้เส้นทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46936 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 กรกฏาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 11 ราย | วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 กรกฏาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 11 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 กรกฏาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 11 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย A2 เพศชาย อายุ 26 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย A2 เพศหญิง อายุ 22 ปี
3) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย A2 เพศชาย อายุ 27 ปี
4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย A2 เพศหญิง อายุ 32 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 137 เพศหญิง อายุ 53 ปี
6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 1 เพศชาย อายุ 30 ปี
7) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 77 เพศชาย อายุ 58 ปี (ปัจจุบันพนักงานดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ปล่อยรถโดยสาร สาย 180 ณ อู่ใต้ทางด่วนสาธุประดิษฐ์)
8) เจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ กลุ่มงานสายตรวจพิเศษ เพศชาย อายุ 56 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศหญิง อายุ 49 ปี
10) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 50 เพศชาย อายุ 60 ปี
11) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 179 เพศหญิง อายุ 48 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามการดำเนินการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม | วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน 2565
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามการดำเนินการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม
ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์
รองปลัดกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ในวันที่ 13 เมษายน 2565
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงได้กำหนดนโยบายอำนวยความสะดวกในการบริการขนส่งสาธารณะและโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ โดยยึดหลัก “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19” และขอความร่วมมือเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนมาตรการ “คนบ้านใกล้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ทีหลัง และเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน” ภายใต้แผนการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2565ของกระทรวงฯ โดยขอให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเพื่อกระจายการเดินทางและเหลื่อมเวลาการเดินทางในเส้นทางเข้า - ออกกรุงเทพฯ โดยในวันนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคม และคณะได้ตรวจติดตามการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ดังนี้
1. ศูนย์ปลอดภัยคมนาคมและศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม (MOTOC) กระทรวงคมนาคม โดยมี นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปลอดภัยคมนาคมและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานสถานการณ์การเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 โดยศูนย์ปลอดภัยคมนาคมได้จัดเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ เพื่อรับแจ้งเหตุและให้ข้อมูลการเดินทางกับประชาชนผ่านสายด่วน โทร. 1356 ตลอด 24 ชั่วโมง และดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และแก้ไขปัญหาในกรณีเกิดเหตุวิกฤตเร่งด่วน ฉุกเฉิน และเหตุการณ์สำคัญ รวมทั้งรายงานสถานการณ์ให้แก่ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมทราบ ผ่านระบบออนไลน์ตลอดช่วงเทศกาล สำหรับศูนย์ MOTOC เป็นศูนย์กลางการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่งจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ พร้อมจัดทำรายงานเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร ในการบริหารจัดการ สั่งการ และแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
2. ศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยมี นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานระบบการทำงานของศูนย์ฯ ซึ่งระบบ GPS เป็นระบบเพื่อให้ภาครัฐ ผู้ประกอบการขนส่ง และประชาชนสามารถติดตามและควบคุมพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถได้แบบเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถแสดงข้อมูลการติดตามด้วยความแม่นยำสูง ประกอบด้วย การใช้ความเร็ว เส้นทางที่ใช้ ระยะทาง ตำแหน่งพิกัดของรถ ชั่วโมงการขับรถและเวลาหยุดพัก เป็นต้น โดย ขบ. มีแอปพลิเคชัน DLT GPS เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามพฤติกรรมการขับขี่และสามารถร้องเรียนได้ทันที เพื่อลดการเกิดอุบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคม เน้นย้ำในการเชื่อมต่อข้อมูลกับการตรวจสภาพความพร้อมทั้งรถและพนักงานขับรถ ณ สถานีขนส่งทั่วประเทศ จุด Checking Point และจุด Rest Area เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถสาธารณะ
3. ศูนย์บริหารงานอุบัติภัย กรมทางหลวง (ทล.) และศูนย์ปฏิบัติการอำนวยความสะดวกการจราจร กองบังการตำรวจทางหลวง โดยมี นายมนตรี เดชาสกุลสม รองอธิบดีกรมทางหลวง นายพงศกร จุลละโพธิ ผู้อำนวยการสำนักบริหารบำรุงทาง พ.ต.อ. ชาคริต มงคลศรี รอง ผบก.ทล. ให้การต้อนรับ ซึ่งศูนย์ฯ ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์การเดินทางของประชาชนให้เป็นไปตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 โดยได้จัดเตรียมแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน ดังนี้ 1) ปิดจุดทางแยก - จุดกลับรถ พร้อมบริหารจัดการทางเข้า - ออกปั๊มน้ำมัน 2) คืนพื้นผิวจราจรบริเวณโครงการก่อสร้าง 3) เปิดจุดให้บริการทั่วไทย 423 แห่ง และห้องน้ำบริการประชาชน 581 แห่ง และ 4) รถบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งสามารถแจ้งเหตุผ่านทางสายด่วน 1586 ศูนย์ประสานงานแขวงทางหลวง หรือผ่านช่องทางไลน์ DOH1586 ตลอด 24 ชั่วโมง สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 ตำรวจทางหลวง โทร. 1193 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการหากพบจุดที่มีการจราจรติดขัดจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างทันท่วงที พร้อมให้ ทล. บูรณาการข้อมูลการจราจรร่วมกับสำนักงานนโยบายและขนส่งการจราจร (สนข.) เพื่อใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์สภาพการจราจรของรัฐบาล และใช้ในการคาดการณ์ปริมาณการเดินทางของประชาชนเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการจราจรในปีต่อไป
4. ติดตามการดำเนินการระบบ Test & Go ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ (ทสภ.) โดยมี
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และนายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานการดำเนินงานจากข้อสั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ที่จะมีการเดินทางผ่านท่าอากาศยานเพิ่มขึ้นภายหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี จึงได้เร่งรัดให้ทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดย ทสภ. ได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความแออัดตรงพื้นที่บริเวณโถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ณ บริเวณจุดนัดหมายระหว่างผู้โดยสารกับโรงแรมที่พักโดยเปิดช่องทางออกเพิ่มขึ้นและติดตั้งเคาน์เตอร์ให้บริการของโรงแรมแล้ว และผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยวจัดทำ QR Code เพื่อให้ผู้โดยสารทราบว่าจะต้องไปพบโรงแรม ที่เคาน์เตอร์หมายเลขใด เพื่อลดเวลาในการค้นหา พร้อมจัดเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ เช็กข้อมูลรายละเอียดเคาน์เตอร์ให้ผู้โดยสารได้รับทราบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้โดยสารได้รับรู้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน พร้อมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารหนาแน่น
5. ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายบางปะอิน - อยุธยา โดยมี นายธนศักดิ์ วงศ์ธนากิจเจริญ ผู้อำนวยการกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ให้การต้อนรับ ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ทล. ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเส้นทางดังกล่าว และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 พระประแดง - บางขุนเทียน ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพฯ - ชลบุรี - พัทยา - มาบตาพุด ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 12 เมษายน 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 18 เมษายน 2565 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ของประชาชน นอกจากนี้ ได้ดำเนินการปรับพื้นผิวการจรจร ตรวจสอบไฟส่องสว่าง คืนพื้นผิวการจราจรบริเวณโครงการก่อสร้าง เตรียมจุดให้บริการประชาชน ณ จุดบริการทั่วไทย บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 และ 7 ให้บริการน้ำดื่ม ห้องน้ำแก่ผู้ใช้ทาง พร้อมจัดตั้งหน่วยกู้ภัยให้บริการ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และได้สั่งการให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทาง โดยเฉพาะในจุด Rest Area ดำเนินการบริหารจัดการทางเข้า - ออก เพื่อให้การจราจรเกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้ทางสามารถติดตามการรายงานสภาพจริงการจราจร Online แบบ Real Time ผ่านแอปพลิเคชัน M-Traffic (มอเตอร์เวย์) Thailand Highway Traffic และเฟซบุ๊ก “ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุกรมทางหลวง”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53598 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565
กรมการศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
กรมการศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565
กรมการศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565
วันที่ 2 เมษายน 2565 เวลา 08.00 น. พระธรรมธัชมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นายอิทธิพล กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565 นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการตามรอยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในด้านการพระศาสนา พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงเป็นแบบอย่างแก่พุทธศาสนิกชนชาวไทยในการนำหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนามาเป็นหลักปฏิบัติ ทรงเป็นมิ่งขวัญและที่เคารพเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยตลอดมา ในการนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยได้ร่วมกันทำความดีถวายพระราชกุศลในวาระโอกาสสำคัญดังกล่าว แสดงออกถึงความรักชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และธำรงรักษาไว้ให้มั่นคงสืบไป กรมการศาสนา (ศน.) จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 19 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565 อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม เลื่อมใสศรัทธาในสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถดำเนินชีวิตด้วยการอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตและวิถีปฏิบัตินำสู่ความสมดุลอันส่งผลให้มีความสุขอย่างยั่งยืน
การจัดกิจกรรมในส่วนภูมิภาค ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2565 ประกอบด้วย การเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การจัดนิทรรศการหรือวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติฯ และกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในมิติทางศาสนา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ " ย้ำคุมเข้มสงกรานต์ ลดการติดเชื้อ ขณะที่ สธ. แนะเด็กอายุ 12-17 ปี และเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด 19 และเข็มกระตุ้น ก่อนเปิดเทอมใหม่ | วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565
โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ " ย้ำคุมเข้มสงกรานต์ ลดการติดเชื้อ ขณะที่ สธ. แนะเด็กอายุ 12-17 ปี และเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด 19 และเข็มกระตุ้น ก่อนเปิดเทอมใหม่
โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ " ย้ำคุมเข้มสงกรานต์ ลดการติดเชื้อ ขณะที่ สธ. แนะเด็กอายุ 12-17 ปี และเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด 19 และเข็มกระตุ้น ก่อนเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคม นี้ วันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่ 20,289 ราย
วันนี้(15เม.ย. 65)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยผู้ติดเชื้อโควิด-19รายวันในไทยยังทรงตัวสูงขณะที่แนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้น ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ขอให้ทุกคนยังต้องเข้มในการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อภายใต้ข้อกำหนดที่ศบค.ผ่อนคลายมาตรการให้จัดงานเทศกาลสงกรานต์ในปี2565พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุในครอบครัวไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตหากติดเชื้อได้รวมทั้งขอให้เด็กอายุ12-17ปีเข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำเด็กอายุ12-17ปีขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด19เข็มกระตุ้นแล้ว ควรเข้ารับวัคซีนก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคม2565โดยสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเต็มโดสหรือครึ่งโดสซึ่งทั้ง2แบบมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่แตกต่างกันเพียงแต่การฉีดครึ่งโดสจะมีผลข้างเคียงจากวัคซีนน้อยกว่าทั้งนี้กลุ่มเด็กที่สุขภาพปกติจะฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานส่วนกลุ่มเด็กป่วยสามารถรับบริการในโรงพยาบาลที่รักษาได้ขณะที่เด็กประถมศึกษาอายุ5-11ปีฉีดเข็มแรกไปแล้วนั้นก็จะฉีดเข็มสองห่างจากเข็มแรกประมาณ8สัปดาห์ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดเทอมต่อไป
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)ในประเทศไทยวันนี้( 15เมษายน2565)พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มรวม20,289รายจำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ20,221รายและผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ68รายทำให้ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่1,769,857ราย(ตั้งแต่1มกราคม2565)โดยมีผู้หายป่วยกลับบ้านแล้ว24,969ราย
รวมหายป่วยสะสมอยู่ที่1,573,264ราย(ตั้งแต่1มกราคม2565)ขณะที่มีผู้ป่วยกำลังรักษาอยู่224,905รายและเสียชีวิต119ราย ทั้งนี้จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล2,024รายเฉลี่ยจังหวัดละ26รายอัตราครองเตียงร้อยละ28.1
จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม(28ก.พ. 2564 - 13เม.ย. 2565)
รวม131,604,438โดสใน77จังหวัด(ซึ่งรวมยอดสะสมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด- 19แก่กลุ่มเด็กอายุ5- 11ปีตั้งแต่วันที่1ก.พ. - 13เม.ย. 2565จำนวน2,711,324 โดส)จำแนกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่1จำนวน55,992,734โดสวัคซีนเข็มที่2จำนวน50,664,116โดสและวัคซีนเข็มที่3(ขึ้นไป)จำนวน24,947,588 โดส
————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ | วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์
กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ รูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Cisco Webex Meetings และห้องประชุม ๔-๐๓ ชั้น ๔ อาคารกระทรวงยุติธรรม โดยมี นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวรายงาน สำหรับผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานกองทุนยุติธรรม และผู้ปฏิบัติงานด้านกองทุนยุติธรรม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑๐๐ คน จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ให้กับผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ต่อยอด และสั่งสมประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ตลอดจนเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะให้บุคลากรและผู้ปฏิบัติงานฯ มีสมรรถนะที่พร้อมสนับสนุนงานกองทุนยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! “พาณิชย์” จัด 703 จุดทั่วไทย ขายข้าวสารราคาประหยัดกว่า 1.5 ล้านกิโล ถึง 31 ก.ค. 65 | วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
เริ่มแล้ว! “พาณิชย์” จัด 703 จุดทั่วไทย ขายข้าวสารราคาประหยัดกว่า 1.5 ล้านกิโล ถึง 31 ก.ค. 65
.....
กระทรวงพาณิชย์ เปิดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (ข้าวถุงราคาประหยัด) Lot 19” ร่วมกับสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน จัดจำหน่ายข้าวถุงในราคาถูก 703 จุดทั่วประเทศ ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมผสม ข้าวขาว และข้าวเหนียว ขนาด 1 กก. 5 กก. และ 48 กก. รวม 228 ยี่ห้อ คิดเป็นปริมาณกว่า 1.5 ล้านกิโลกรัม (1,500 ตัน)
.
สถานที่จำหน่ายข้าวถุงมีดังนี้
- 3 บริษัทปั๊มน้ำมันที่ร่วมโครงการ (PTT Station 244 จุด/ ปั๊มพีที 193 จุด/ ปั๊มบางจาก 43 จุด)
- กลุ่มโรงสีโกดังและร้านค้าของโรงสีทั่วประเทศ 46 จุด
- จุดที่พาณิชย์จังหวัดไปจัดในชุมชน 77 จุดทั่วประเทศ
- รถโมบายพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
.
ประชาชนสามารถติดตามจุดจำหน่ายได้ที่เว็บไซต์https://mobilepanich.comหรือเว็บไซต์กรมการค้าภายในwww.dit.go.th
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56713 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เร่งรัดฉีดวัคซีนในจังหวัดระยองให้ได้ ร้อยละ 80 สร้างความปลอดภัยก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยว | วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564
รมช.สาธิต เร่งรัดฉีดวัคซีนในจังหวัดระยองให้ได้ ร้อยละ 80 สร้างความปลอดภัยก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ ตำบลเพ จังหวัดระยอง เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครอบคลุมถึงร้อยละ 80 พร้อมตรวจคัดกรอง ATK กว่า 1,000 คน สร้างความปลอดภัย ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยว
วันนี้ (30 ตุลาคม 2564) ที่ตลาด 100 เสา ตำบลเพ อำเภอบ้านเพ จังหวัดระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 และตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วยชุดตรวจATKในกลุ่มเสี่ยง 608 ผู้ประกอบการร้านค้า และแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ และกล่าวว่า ตำบลเพ จังหวัดระยอง มีท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อเดินทางไปยังเกาะเสม็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พฤศจิกายนนี้ คาดว่าตำบลเพ จะมีประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ผ่านการฉีดวัคซีนและตรวจคัดกรองจากโครงการแซนด์บอกซ์แล้ว เข้าพื้นที่จำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เตรียมความพร้อม โดยเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรให้ได้ ร้อยละ 80 โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่
โดยในวันนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง องค์การบริหารส่วนตำบลเพ กรมการปกครองอำเภอเมืองระยอง เทศบาลตำบลบ้านเพ รพ.สต.เพและอสม.เป็นต้น จัดบริการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608,ผู้ประกอบการร้านค้า,แรงงานต่างด้าวรวมกว่า 1,000 คน พร้อมจัดบริการจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด ให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าตลาด 100 เสา และประชาชนที่มีความประสงค์ตรวจเข้ารับการตรวจ
“ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานป้องกันควบคุมโรค ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน สร้างความปลอดภัย ลดการป่วยหนัก และเสียชีวิต แก่ประชาชนในจังหวัดระยอง ซึ่งวัคซีนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เดินหน้าไปสู่ภาวะปกติ ทั้งการเปิดกิจการ สถานประกอบการ ค้าขาย ทำมาหากิน ประกอบอาชีพ สร้างรายได้และขอเชิญชวนผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่ม 608 เข้ารับการฉีดให้มากที่สุด”ดร.สาธิต กล่าว
สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนในจังหวัดระยอง ขณะนี้เข็มที่ 1 ฉีดได้ร้อยละ 60.8 เข็มที่ 2 ฉีดได้ร้อยละ 45.25 และกำลังทยอยฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแรก
******************************** 30 ตุลาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่างประชาชนผู้รับบริการ เผยยอดฉีดวัคซีนในไทยสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน | วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่างประชาชนผู้รับบริการ เผยยอดฉีดวัคซีนในไทยสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่างประชาชนผู้รับบริการ เผยยอดฉีดวัคซีนในไทยสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
วันที่ 18 ก.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่มีรายงานภาพข่าวที่มีประชาชนจำนวนมากไปรอฉีดวัคซีน ณ จุดบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลบางแห่งและไม่มีการเว้นระยะห่าง และมีการชี้แจงของผู้ดูแลพื้นที่ในเวลาต่อมาว่าเกิดจากประชาชนมา ณ จุดบริการก่อนเวลานัดหมายนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีข้อห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงกำชับให้หน่วยให้บริการแต่ละหน่วยเพิ่มความระมัดระวังเรื่องของการจัดคิวและให้ข้อมูลเวลารับวัคซีนแก่ประชาชนที่ชัดเจน รวมถึงมีมาตรการจัดการในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวด ทั้งนี้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนไทยทั่วประเทศ ณ วันที่ 17 ก.ค. 2564 รวมอยู่ที่ 14.13 ล้านโดส ซึ่งจากข้อมูลที่รวบรวมโดยกระทรวงการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(อว.) พบว่าเป็นปริมาณการฉีดวัคซีนที่สูงเป็นอันดับ2 ของประเทศในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซียที่มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 57.48 ล้านโดส ขณะที่ฟิลิปปินส์ฉีดวัคซีนแล้ว 14.07 ล้านโดส มาเลเซีย 13.62 ล้านโดส กัมพูชา 9.67 ล้านโดส เป็นลำดับที่ 3-5 ในอาเซียน ตามลำดับ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่เพียงพอ ทั้งในส่วนที่รัฐบาลจัดหากเพื่อฉีดให้ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายและวัคซีนทางเลือก โดยให้จัดหาให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 100 ล้านโดสในปี 2564 รวมถึงเป้าหมายปี 2565 ตามมติของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติที่ได้เห็นชอบให้ปรับกรอบการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เป็น 120 ล้านโดส นอกจากการจัดหาจากผู้ผลิตต่างประเทศแล้ว วัคซีนโควิด-19ที่พัฒนาในประเทศจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงวัคซีนอย่างครอบคลุม โดยสถานบันวัคซีนแห่งชาติได้รายงานข้อมูลล่าสุดว่า การการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทยมีความคืบหน้าไปมาก บางชนิดเข้าสู่เฟสการทดลองในคนแล้ว โดยคาดว่าวัคซีนที่พัฒนาในประเทศจะสามารถนำมาใช้ในประเทศได้ในปี 2565 สำหรับวัคซีนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศไทยขณะนี้มี 3 ชนิด คือ 1.วัคซีนชนิดชนิด mRNA CU-Cov19 พัฒนาโดยความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อยู่ระหว่างขั้นตอนการทดสอบในคน 2.วัคซีนชนิดเชื้อตาย HXP-GPOVac ที่พัฒนาโดย องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลและสถาบัน PATH สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการทดสอบในคน และ 3.วัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax1 เป็นวัคซีนที่พัฒนาจากใบพืชตระกูลยาสูบ พัฒนาโดยความร่วมมือระหว่างบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพไทยกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านขั้นตอนการทดลองในสัตว์ทดลองแล้วเตรียมการเข้าสู่การทดลองในคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีส่งเสริมเทคโนโลยีด้านพลังงานสมัยใหม่ สอดรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน | วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม 2564
นายกรัฐมนตรีส่งเสริมเทคโนโลยีด้านพลังงานสมัยใหม่ สอดรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน
นายกรัฐมนตรีส่งเสริมเทคโนโลยีด้านพลังงานสมัยใหม่ สอดรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน
วันนี้ (19 ก.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงานต้นแบบแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในรูปแบบเสมือนจริง (ผ่านระบบ Video Conference) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ประเทศไทยจะพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการพลังงานที่ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ ซึ่งหลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 เช่นเดียวกับแผนพลังงานแห่งชาติที่กำหนดเป้าหมายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนว่า รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันและปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางด้านพลังงานของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีสำหรับการเปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่แบบ Semi Solid ที่มีความทันสมัยแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย รักษาจุดยืนความเป็นผู้นำฐานการผลิตยานยนต์ในภูมิภาค และต่อยอดเปลี่ยนผ่านตัวเองเข้าสู่เทคโนโลยีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน และยังเชื่อมโยงสนับสนุนกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมไปถึงความร่วมมือกันของพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมด้านพลังงานของประเทศ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างเป็นรูปธรรม และทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า รัฐบาลทำงานในวันนี้ เพื่อปัจจุบันและอนาคต และจะทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง แม้จะเจอสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยต้องเดินหน้าไปสู่รายได้ที่เพียงพอ มีรายได้สูงด้วยนวัตกรรม มั่นใจว่า ประเทศไทยจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งต้องขอให้ทุกคนช่วยกันคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและคนไทยในวันนี้และอนาคตด้วย
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 ธันวาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 ธันวาคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (21 ธันวาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์
3. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาล ปีใหม่ พ.ศ. 2565
4. เรื่อง การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
5. เรื่อง ขอความเห็นชอบแก้ไขข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 19 เมษายน 2528 ในการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
6. เรื่อง มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) (กระทรวงการคลัง)
เศรษฐกิจ – สังคม
7. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2564
8. เรื่อง สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 2/2564
9. เรื่อง สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-30 กันยายน 2564)
10. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนตุลาคม 2564
11. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ ปี 2565 (กห.พน.มท.วธ.อก. สำนักงาน ก.พ.ร. และ สคทช.)
12. เรื่อง รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563
13. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 40/2564
14. เรื่อง รายงานผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
15. เรื่อง การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
16. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ของกระทรวงแรงงาน ปี 2565
17. เรื่อง โครงการส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2565
18. เรื่อง การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 ให้แก่ประชาชน(สำนักนายกรัฐมนตรี)
19. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2564
20. เรื่อง แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566 – 2569)
ต่างประเทศ
21. เรื่อง ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และอุปทานอาหารแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
22. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ด้วยระบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 28
24. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum Of Understanding : MOU) ด้านความร่วมมือความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับเทศบาลนครโอซากาประเทศญี่ปุ่น (Osaka City Government)
25. เรื่อง การเปลี่ยนชื่อประเทศของสาธารณรัฐมาซิโดเนีย
26. เรื่อง การให้คำมั่นทางการเมืองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณารายชื่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือด้านภาษีของสหภาพยุโรป (EU List of Non- cooperative Jurisdictions for Tax Purposes : EU List) ข้อ 3.2
27. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของสำนักเลขาธิการอาเซียนในการต่ออายุ ครั้งที่ 3 ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลียกับรัฐบาลแห่งประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย ระยะที่ 2 และการแก้ไขข้อความใน บันทึกความเข้าใจฯ
28. เรื่อง ผลการนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
30. เรื่อง การให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผังเมืองแทนตำแหน่งที่ว่าง
32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
34. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
3. ให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษารับความเห็นของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (7 เมษายน 2564) โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยกำหนดให้คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาอาจให้ทุนการศึกษาแทนการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ ในกรณีของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และการชำระเงินคืนกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้การชำระหนี้มีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันเป็นการเสริมสร้างคุณภาพของทรัพยากรบุคคลในประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้มีมติเห็นชอบในหลักการการขอจัดตั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้แล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 โดยมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามและวัตถุประสงค์ของ กยศ. ดังนี้
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “นักเรียนหรือนักศึกษา และ สถานศึกษา” เพื่อให้รองรับการศึกษาในรูปแบบที่แตกต่างจากการศึกษาหลักสูตรในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และทำให้ผู้ซึ่งจะเข้าศึกษาในหลักสูตรอาชีพหรือเพื่อยกระดับทักษะ สมรรถนะ หรือการเรียนรู้ สามารถขอเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ได้
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของ กยศ. โดยกำหนดให้คณะกรรมการ กยศ. อาจให้ “ทุนการศึกษาแทนการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้” ในกรณีของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ
2. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการ กยศ. และคณะอนุกรรมการ ดังนี้
2.1 แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ กยศ. ให้มุ่งเน้นการกำหนดนโยบาย โดยกำหนดให้ กยศ. เป็นผู้มีหน้าที่ และอำนาจในการดำเนินการในเรื่องทางปฏิบัติต่าง ๆ แทน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งกำหนดหลักการให้คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดลักษณะของนักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยให้คำนึงถึงรายได้ และรายจ่ายของครอบครัวว่าเพียงพอต่อการให้การศึกษาแก่นักเรียน หรือนักศึกษามากน้อยเพียงใด และให้คณะกรรมการกองทุนฯ ต้องรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินและสถานศึกษาประกอบการพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วย
2.2 ยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดให้มีคณะอนุกรรมการกำกับและประเมินสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานกับกองทุนและคณะอนุกรรมการกำกับการชำระเงินคืนกองทุน เพื่อลดการดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการซึ่งอาจซ้ำซ้อนและทำให้เกิดความล่าช้า โดยคณะกรรมการสามารถพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการได้เฉพาะตามที่เห็นสมควรและตามความจำเป็น
3. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ดังนี้
3.1 กำหนดระยะเวลาการประกาศข้อมูลเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาภายในเดือนมกราคมของทุกปี และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการเผยแพร่ประกาศดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งต้องการกู้ยืมเงินมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก่อนที่จะทำการสมัครเข้าศึกษา และขอกู้ยืมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
3.2 กำหนดให้ กยศ. มีหน้าที่และอำนาจดำเนินงานในบางเรื่องแทนคณะกรรมการ กยศ. เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน เช่น การยื่นคำขอเข้าร่วมดำเนินงานของสถานศึกษา การยื่นคำขอกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาของนักเรียนหรือนักศึกษา การทำสัญญากู้ยืมเงิน การแจ้งขอเบิกเงินกู้ยืมเงิน
3.3 กำหนดให้สำนักงาน กยศ. รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการมีงานทำและประเภทของงานที่ทำของผู้กู้ยืมเงินภายหลังที่สำเร็จการศึกษาแล้ว รวมทั้งคาดการณ์งานที่จะเป็นที่ต้องการในอนาคต เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่นักเรียนหรือนักศึกษา ใช้ประกอบการตัดสินใจกู้ยืมเงิน
3.4 กำหนดหน้าที่ของผู้ยืมเงินให้แจ้ง กยศ. ทราบถึงการสำเร็จการศึกษา การเลิกการศึกษา หรือการพ้นสภาพการศึกษา เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบให้แก่ผู้กู้ยืมเงิน ทั้งนี้ เมื่อผู้กู้ยืมเงินแจ้งกองทุนทราบแล้ว จะมีสิทธิได้รับประโยชน์จากระยะเวลาปลอดหนี้
3.5 กำหนดให้ กยศ. พิจารณาให้เงิน เพื่อการศึกษาเป็นจำนวนปีที่กำหนดไว้ในหลักสูตรได้
4. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการชำระเงินคืน กยศ. ดังนี้
4.1 แก้ไขเพิ่มเติมหลักการเกี่ยวกับการชำระเงินคืน กยศ. โดยกำหนดวิธีการผ่อนชำระและระยะเวลาการผ่อนชำระเงินคืนกองทุนให้ยืดหยุ่นขึ้น โดยให้ผู้กู้ยืมเงินมีสิทธิเลือกชำระเงินกู้ยืมคืนทั้งจำนวนหรือผ่อนชำระได้ กำหนดให้คิดดอกเบี้ยเฉพาะเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้ชำระ และกำหนดลำดับการตัดชำระโดยเรียงจากต้นเงิน ดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม และให้อำนาจคณะกรรมการ กยศ. ในการกำหนดมาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้กู้ยืมเงินไม่ผิดนัดชำระหนี้หรือชำระหนี้ครบถ้วนก่อนกำหนด รวมทั้งกำหนดให้ กยศ. อาจพิจารณาผ่อนผันการชำระเงินคืนกองทุน การลดหย่อนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ หรือการระงับการชำระเงินคืนกองทุนไว้ในกฎหมายให้ชัดเจนเพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินให้สามารถชำระเงินคืนกองทุนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งกำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินได้รับการผ่อนผัน ลดหย่อนหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ แปลงหนี้ใหม่ หรือระงับการชำระเงินคืน กยศ.
4.2 กำหนดหลักการในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุนเพื่อให้การให้กู้ยืมเงินและการชำระเงินคืนกองทุนมีความเป็นธรรมและไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ เช่น การผ่อนชำระเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี และลำดับการตัดชำระซึ่งให้นำไปหักต้นเงินก่อนแล้วจึงไปหักดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม รวมทั้งมาตรการจูงใจอื่น ๆ เพื่อให้ผู้กู้ยืมเงินไม่ผิดนัด
4.3 กำหนดให้ กยศ. พิจารณาขยายระยะเวลาการชำระเงินคืนกองทุนได้ในกรณีที่กองทุนบอกเลิกสัญญากู้ยืมเงิน
4.4 แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดลักษณะที่ทำให้หนี้ที่มีต่อกองทุนเป็นอันระงับไป เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกัน เช่น ผู้กู้ยืมเงินตาย ล้มละลายแต่ไม่ได้เป็นบุคคลล้มละลายทุจริต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบการงานหรือประกอบอาชีพได้ เป็นโรคอันตรายร้ายแรงหรือมีเหตุอันไม่สามารถประกอบการงานหรือประกอบอาชีพได้
4.5 แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดให้ นายจ้างหักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น
5. กำหนดเพิ่มเติมบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ใช้บังคับบทบัญญัติในเรื่องเงินเพิ่มกับผู้กู้ยืมเงินและผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน จนกว่าหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในเรื่องดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ
6. กำหนดบทเฉพาะกาล เพื่อนำบทบัญญัติซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่ผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันซึ่งกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 3 โสฬส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 ได้กำหนดให้บรรดาหมายเรียกหนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากร แบบ ใบกำกับภาษี รายงาน เอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดที่ต้องมี จัดทำ หรือใช้ ตามที่บัญญัติในประมวลรัษฎากร และบรรดาเอกสารหลักฐาน หรือหนังสือที่กรมสรรพากรต้องใช้ในการติดต่อกับผู้เสียภาษีอากรหรือบุคคลใด หรือที่ผู้เสียภาษีอากรหรือบุคคลใดต้องใช้ในการติดต่อกับกรมสรรพากร อาจกระทำด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ปัจจุบัน กค. ได้มีระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ e-Tax Invoice by Email พ.ศ. 2560 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 15) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 สำหรับใช้ในการดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว
3. ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับ สามารถดำเนินการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีหรือใบรับด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับรูปแบบการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 3 โสฬส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 กค. พิจารณาแล้ว จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้น เพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว
4. กค. ได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยเห็นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เนื่องจากการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ตามข้อ 3. เป็นเพียงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐแต่อย่างใด แต่จะเป็นการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดต้นทุนการเสียภาษีของผู้ประกอบการในการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีหรือใบรับด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการช่วยยกระดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และช่วยยกระดับรูปแบบการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้มีความเป็นมาตรฐาน มีความทันสมัย นำไปสู่การเป็น Digital Government รวมทั้งสนับสนุนให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลภาษีที่ครบถ้วนมากขึ้น โดยสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดนิยามคำว่า “ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์” “ใบรับอิเล็กทรอนิกส์” “ผู้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์” “ผู้ออกใบรับอิเล็กทรอนิกส์” “ผู้ให้บริการจัดทำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” และ “ผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์”
2. กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับที่ประสงค์จะจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีหรือใบรับด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ ต้องยื่นคำร้องขอและได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
3. กำหนดให้ผู้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และผู้ออกใบรับอิเล็กทรอนิกส์ต้องดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ เช่น 1) มีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษา มีข้อความถูกต้องครบถ้วนเช่นเดียวกับขณะที่มีการสร้าง ส่ง และรับ โดยใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ และสามารถแสดงข้อความในภายหลังได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง 2) ดำเนินการจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้มีการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อที่เชื่อมโยงไปถึงใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) การส่งมอบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ให้ดำเนินการส่งและรับตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
4. กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับ อาจจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ โดยกระทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานหรือบุคคลที่จัดให้มีกระบวนการหรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถกระทำต่อข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับรองความมีอยู่ของข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ณ ขณะที่มีการส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบ และสามารถตรวจพบได้หากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ได้นับแต่เวลาที่ได้มีการรับรอง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และคุณสมบัติที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
5. กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับ ซึ่งมีสิทธิในการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ e-Tax Invoice by Email พ.ศ. 2560 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 15) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 อยู่ก่อนกฎกระทรวงนี้ ให้ยังคงเป็นผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎกระทรวงนี้
3. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. เนื่องจาก คค. มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดของทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 ดังนั้น คณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ กทพ.) ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2564 เวลา 00.01 นาฬิกา - วันที่ 3 มกราคม 2565 เวลา 24.00 นาฬิกา
2. การดำเนินการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 คาดว่าจะมีปริมาณจราจรที่ใช้ทางพิเศษ รายได้ที่ กทพ. ไม่ได้เรียกเก็บ และผลประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
2.1 ทางพิเศษบูรพาวิถี ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2564 – 3 มกราคม 2565
ผลการวิเคราะห์
เฉลี่ยต่อวัน
กรณี กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทาง
รวม 5 วัน
ปริมาณจราจร
142,448 คัน/วัน
712,240 คัน
รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ
5,437,240 บาท/วัน
27,186,200 บาท
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
- มูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ
- มูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง
4,390,561 บาท/วัน
8,859,467 บาท/วัน
21,952,805 บาท
44,297,335 บาท
รวมผลประโยชน์ที่ได้รับ
13,250,028 บาท/วัน
66,250,140 บาท
2.2 ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2564 – 3 มกราคม 2565
ผลการวิเคราะห์
เฉลี่ยต่อวัน
กรณี กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 5 วัน
ปริมาณจราจร
201,517 คัน/วัน
1,007,585 คัน
รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ
8,516,108 บาท/วัน
42,580,540 บาท
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
- มูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ
- มูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง
3,654,007 บาท/วัน
5,318,632 บาท/วัน
18,270,035 บาท
26,593,160 บาท
รวมผลประโยชน์ที่ได้รับ
8,972,639 บาท/วัน
44,863,195 บาท
3. คค. ได้จัดทำร่างประกาศ คค. เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2564 และร่างประกาศ คค. เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2564 ซึ่งคณะกรรมการ กทพ. ได้เห็นชอบแล้ว เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามขั้นตอนต่อไป
4. เรื่อง การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังมีความยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนยังคงต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่อง กค. พิจารณาแล้ว เห็นสมควรขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จากเดิมอัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 0.125 ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ออกไปอีก 1 ปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 2565 และอัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
2. คณะกรรมการกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Video Conference) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ได้พิจารณาและมีมติ ดังนี้
2.1 เห็นชอบการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธอส. และ ธอท. โดยปรับลดอัตราเงินนำส่งลงกึ่งหนึ่งจากร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.125 ต่อปี (ร้อยละ 0.0625 ต่องวด) ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนออกไปอีก 1 ปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 2565 (งวดเดือนกรกฎาคม - มิถุนายน 2565 และงวดเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2565)
2.2 เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. …. โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
3. การดำเนินการดังกล่าวตามข้อ 1. และ 2. สอดคล้องกับแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1. 4/2564 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2564 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่ง หลักเกณฑ์และวิธีการ ในการส่งเงินนำส่ง และการนำส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 3) ซึ่งได้ประกาศราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
2. กำหนดให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563
3. กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตรา ดังต่อไปนี้
3.1 ร้อยละ 0.125 ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับการนำส่งเงินในปี 2565
3.2 ร้อยละ 0.25 ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับการนำส่งเงินในปี 2566 เป็นต้นไป
5. เรื่อง ขอความเห็นชอบแก้ไขข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 19 เมษายน 2528 ในการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ตามมาตรา 13 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
2. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
3. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้
คค. เสนอว่า
1. ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 19 เมษายน 2528 ข้อ 14 กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานเมื่อออกจากงานมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ เหตุทดแทน เหตุทุพพลภาพ เหตุสูงอายุ และเหตุทำงานนาน และข้อ 17 กำหนดให้กรณีจะถือว่าออกจากงานด้วยเหตุอย่างใดตามข้อ 14 การนับเวลาทำงานตลอดจนวิธีการคำนวณเงินสงเคราะห์ และวิธีการจ่ายเงินให้ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการโดยอนุโลม
2. ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 4) ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2558 กำหนดให้ผู้ที่รับเงินสงเคราะห์รายเดือนอยู่มีสิทธิขอรับเงินบำเหน็จดำรงชีพ (เงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนเพื่อช่วยเหลือการดำรงชีพโดยจ่ายให้ครั้งเดียว) ในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือนที่ผู้นั้นได้รับ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
3. โดยที่ตามหลักการของการจ่ายเงินบำนาญของ รฟท. ที่ผ่านมา รฟท. ใช้วิธีการจ่ายเงินโดยให้ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการโดยอนุโลม ดังนั้น เมื่อมีการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ พ.ศ. 2562 ออกตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 47/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการปรับอัตราและวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการผู้รับบำนาญขึ้นใหม่ โดยข้อ 3 กำหนดว่า บำเหน็จดำรงชีพให้จ่ายในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยให้มีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ตามวิธีการ ดังต่อไปนี้
3.1 ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุต่ำกว่า 65 ปี ให้มีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ไม่เกิน 200,000 บาท
3.2 ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 70 ปี ให้มีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ไม่เกิน 400,000 บาท แต่ถ้าผู้รับบำนาญนั้นได้ใช้สิทธิตามข้อ 3.3.1 ไปแล้ว ให้ขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ไม่เกิน ส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้น แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 400,000 บาท
3.3. ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ให้มีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ไม่เกิน 500,000 บาท แต่ถ้าผู้รับบำนาญนั้นได้ใช้สิทธิตามข้อ 3.3.1 หรือข้อ 3.3.2 ไปแล้ว ให้ขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้นแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
ดังนั้น รฟท. จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 กองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้สอดคล้องกัน
4. การจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานใช้เงินของ รฟท.ประกอบด้วย รายได้การโดยสาร รายได้การสินค้า รายได้จากการบริหารทรัพย์สินฯ และรายได้อื่น ๆ ที่หมุนเวียนเข้ามาในแต่ละเดือน และ รฟท. จะมีแนวทางการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ ดังนี้
4.1 สำหรับผู้มีสิทธิรับบำเหน็จดำรงชีพในปีงบประมาณ 2563 และ 2564 ที่ รฟท. ยังไม่ได้จ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพตามสิทธิ เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 มีวงเงินจำนวน 1,086.041 ล้านบาท จะแบ่งจ่ายวงเงินดังกล่าว 13 เดือน จำนวนประมาณเดือนละ 83.54 ล้านบาท โดยเริ่มจ่ายในเดือนมีนาคม 2565 ตามลำดับการยื่นแบบแสดงเจตนาขอรับเงิน
4.2 สำหรับผู้ที่มีสิทธิรับบำเหน็จดำรงชีพในปีงบประมาณ 2565 - 2569รฟท. จะจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพตามสิทธิต่อไป
ทั้งนี้ ประมาณการวงเงินที่จะใช้ตามวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพ ดังนี้
ประเภทรายจ่าย/ปีงบประมาณ
ปี 2565
ปี 2566
ปี
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Progress made on various EEC projects | วันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564
Progress made on various EEC projects
Progress made on various EEC projects
August 9, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the progress of various project implementations under the Eastern Economic Corridor (EEC), gist of which is as follows:
1.Water source acquisition to solve short-term shortage and for long-term sustainability: Up until 2037, 38 water sources development and water resource management projects, worth 52,874.47 million Baht in total, have been and will be implemented. Currently, 9 projects have been completed.
EEC’s desalination project is now in the process of a preliminary study, conducted by the technical committee of the Desalination Development Project. Royal Irrigation Department, the Department of Water Resources, and other concerned agencies were assigned to work together on the development and improvement of Khlong Bang Phai Reservoir (total area of 3,348 rai), and the development of 4 large-scale and high-capacity underground water sources, which could produce up to 4.039 billion cubic meters.
2. As of June 30, 2021, total investment value in the EEC accounts for 1,594,282 million Baht. Megaprojects include 4 public-private partnership (PPP) projects, worth 633,401 million Baht in total.
86% of the construction area of the High-Speed Rail Linked 3 Airport Project has been handed over. The rest will be handed over by September 2021. U-Tapao Airport Master Planning is also in the progress. The Royal Thai Navy has also finalized the design of Runway 2 and related works.
3. PPP contracts with private partners for Laem Chabang Port phase 3 have been finalized, and are being scrutinized by Office of Council of State before being submitted to the cabinet for final approval.
The Eastern Economic Corridor Policy Committee, in its 2/2021 meeting on August 4, 2021, also deliberated the problem related to the overlapping route (Bang Sue- Don Mueang section) of the High-Speed Rail Linked 3 Airport and the Thai-Chinese high-speed railroad. The two projects will use the same civil structures, but construction period and technical standard of both projects are inconsistent. The EEC Policy Committee assigned Ministry of Transport and State Railways of Thailand (SRT) to negotiate with concerned private partners on possible solutions, which may include compensation on condition that additional budget is not required and that the construction plan of both projects are most efficiently implemented.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ พอใจศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง กรอ.พาณิชย์ เร่งพัฒนาส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก | วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ พอใจศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง กรอ.พาณิชย์ เร่งพัฒนาส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ พอใจศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง กรอ.พาณิชย์ เร่งพัฒนาส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก
วันนี้ 28 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ขยายตัวได้ดีมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่า 23,647.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 783,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% และดุลการค้าเดือนพฤศจิกายน เกินดุล 23,745 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของตัวเลขการส่งออก 11 เดือน มูลค่ารวม 246,243.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 7,731,391 ล้านบาท หรือประมาณ 7.73 ล้านล้านบาท เป็นบวก 11 เดือน 16.4% โดยหมวดส่งออกสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตร หมวดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม ดังนี้
1) หมวดสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้น 14.2% เป็นบวก 13 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน มูลค่าเดือนพฤศจิกายน 68,462 ล้านบาททุเรียนสด เพิ่มขึ้น 138.9% ขยายตัวดีมากในตลาดจีนและเกาหลีใต้ มะม่วงสด เพิ่มขึ้น 48.6% ขยายตัวดีมากในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่นและลาว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บวก 13 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 48.6% ขยายตัวดีมาก ในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซีย ลำไยสด เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 24.7% เป็นบวก 6 เดือนต่อเนื่อง ขยายตัวดีในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ยางพารา เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.5% เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง
2) หมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ภาพรวมเพิ่มขึ้น 21.2% เดือนพฤศจิกายนขยายตัวเดือนที่ 9 ต่อเนื่อง สินค้าสำคัญเช่น น้ำตาลทราย เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 74% ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่มขึ้น 34.5% บวกเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และอาหารสัตว์เลี้ยง บวกเป็นเดือนที่ 27 โดยเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 25.9%
3) หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียมเหลว เป็นต้น เพิ่มขึ้น 72.9% เป็นบวก 10 เดือนต่อเนื่อง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นบวก 12 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 51.9% อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 24.9% เป็นบวกเดือนที่ 9 ติดต่อกัน แผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 26.7% บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ บวก 12 เดือนต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 19.9% รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 13 เดือนต่อเนื่อง เป็น เพิ่มขึ้น 12%
นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ในส่วนของการตลาดขยายตัวสูง 10 อันดับแรก ได้แก่ เอเชียใต้ เพิ่มขึ้น 66% อาเซียน เพิ่มขึ้น 55.1% ตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 40.7% เกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 30.6% สหภาพยุโรป เพิ่มขึ้น 30.2% รัสเซียและกลุ่มประเทศ CSI เพิ่มขึ้น 27.3% จีน เพิ่มขึ้น 24.3% ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 24.2% สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20.5% และทวีปแอฟริกา เพิ่มขึ้น 18.4% ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกเดือนพฤศจิกายนดีขึ้นถึง 24.7% มาจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกโดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน ดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ มุ่งเดินผลักดันส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ ให้รองรับบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องในหลายประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญยังทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นอาชีพเกษตรกรมีความยั่งยืน ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล
..........
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49955 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สืบสาน รักษา และต่อยอด" ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณในงานเสวนา อาหารดี อร่อย จากดอยโครงการหลวง พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมสืบสานพระราชปณิธานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน | วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2565
"สืบสาน รักษา และต่อยอด" ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณในงานเสวนา อาหารดี อร่อย จากดอยโครงการหลวง พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมสืบสานพระราชปณิธานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
"สืบสาน รักษา และต่อยอด" ปลัดมหาดไทย ร่วมถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณในงานเสวนา อาหารดี อร่อย จากดอยโครงการหลวง พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมสืบสานพระราชปณิธานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในงานโครงการหลวง 53 ระหว่างวันนี้ ถึง 14 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
วันนี้ (7 สิงหาคม 2565) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ "อาหารดี อร่อย จากดอยโครงการหลวง" ร่วมกับคุณสุทธิพงษ์ สุริยะ อาสาสมัครมูลนิธิโครงการหลวง โดยมี ดร.รุ่งทิพย์ โชติณภาลัย สื่อมวลชนอิสระเเละอาจารย์พิเศษ และคุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์ ผู้ผลิตและผู้ดำเนินรายการชีวิตชีวา ช่อง 33 เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งกิจกรรมเสวนาในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานกิจกรรมโครงการหลวง 53 ภายใต้ Concept: The infinite blooms ร่วมแรงร่วมใจ ให้งอกงาม อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4 - 14 สิงหาคม 2565 ณ พื้นที่กิจกรรมชั้น 1 และโซน Eden ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนีพันปีหลวง ได้พระราชทานโครงการพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการ ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่พัฒนาคนและสร้างคุณภาพชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) สอดคล้องกับวาระแห่งชาติเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ประกอบกับการเข้าใจภูมิสังคมในแต่ละพื้นที่ จนกระทั่งสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP Human Development Life Time Achievement Award) เป็นรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนาของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและสิ่งที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพซึ่งในปัจจุบันองค์ความรู้ดังกล่าวนำมาสู่แนวคิดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs ของสหประชาชาติทั้ง 17 ข้อในปัจจุบัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ ที่ได้ทรงทำไว้ โครงการหลวง 53 เเสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโครงการหลวง ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่บนดอยทางภาคเหนือ อยู่ใกล้สิ่งที่เป็นภัยต่อความมั่นคงชาติ หรือเรียกว่าพื้นที่มีความเสี่ยงสูง และมีวิถีชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อโลก เช่น การปลูกฝิ่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งโครงการหลวงฯ นี้เอง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนบนดอยเหล่านี้ได้ ดูเหมือนไม่สามารถช่วยคนได้เยอะ แต่จริง ๆ แล้วช่วยคนได้ทั้งโลกเพราะหันมาปลูกพืชเป็นหลักเป็นแหล่งมีการพัฒนาพื้นที่เลิกการทำไร่เลื่อนลอยและไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดอีกทั้งยังแก้ไขปัญหาความอดอยาก สร้างความมั่นคงทางอาหารทำให้ไม่เกิดการลักขโมยในพื้นที่ได้อีกด้วย
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า เป็นเรื่องที่น่าละอายใจ ที่ต่างประเทศโดยองค์การสหประชาชาติยกย่องว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหัวใจของ BCG Model เราในฐานะคนไทยจึงจำเป็นจะต้องเริ่มตระหนักว่า "จะทำอย่างไรให้เกิดการน้อมนำแนวทางพระราชดำริไปอยู่ในใจของพี่น้องประชาชนไทยทุกคน ทุกภูมิภาค นำไปสู่วิถีชีวิตที่เป็นกิจวัตรประจำวัน" ผมคิดว่าจะต้องเริ่มจากตัวเองก่อน แล้วไปกระตุ้นให้คนในสังคม ชุมชน ช่วยกันทำ เช่น ในเรื่องของกลไกการตลาดที่ดี เรื่องการบริโภค หากคนไทยมีการรณรงค์สวมใส่ผ้าไทย เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการใช้ชีวิต ผ้าไทยเกิดจากคนไทยทุกกระบวนการไม่ต้องสั่งซื้อวัตถุดิบ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตจากต่างประเทศ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทย ลองจินตนาการว่าผู้ผลิตผ้าไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย หรือ วัยกลางคน หากมีการผลิตมาแล้วไม่มีคนสวมใส่ ผู้ผลิตก็ไม่มีทุน ไปต่อยอดธุรกิจ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่หากเราในฐานะผู้บริโภค ช่วยกันซื้อ ช่วยกันอุดหนุน รายได้ก็จะถูกนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาอาชีพเกิดการรวมกลุ่ม เด็กที่เป็นลูกหลานของผู้ประกอบอาชีพ หัตถศิลป์ หัตถกรรม หรืออาชีพอื่นๆ เพื่อชุมชนสังคม ก็จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษทำและจะเป็นคนสืบสานให้สิ่งเหล่านี้อยู่คู่สังคมไทย
.
นายสุทธิพงษ์ สุริยะ กล่าวว่า ที่พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต หรือ Living Museum มีแนวคิดสอดคล้องกับแนวคิดของกับท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย คือ "ต้องเริ่มจากตัวเอง" องค์ความรู้ที่ได้จากการเป็นอาสาสมัครโครงการหลวง 22 ปีที่ผ่านมาได้ทั้งเรื่องการสื่อสารการส่งเสริมการตลาดและการทำการเกษตร การทำหัตถกรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเห็นว่ามีคุณค่า และควรขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรมในชุมชน นำไปสู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคง ซึ่งจะต้อง เก๋ และ มีรสนิยม พิพิธภัณฑ์มีชีวิตจึงเป็นต้นแบบของหลักการดังกล่าว มีลักษณะเป็นกึ่งบ้าน กึ่งพิพิธภัณฑ์ ผมอาศัยอยู่ใต้ถุนบ้าน มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ้านผม ซึ่งเขาก็อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของบ้าน ลองคิดว่าหากทำทั้งชุมชนแต่ละบ้านก็มีตำนานของบ้านตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่การขยายการท่องเที่ยวชุมชนให้ยั่งยืนได้
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงมหาดไทย ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนทุกเรื่องที่พี่น้องประชาชนกำลังประสบอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวประชาชนเอง อันสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อทำนุบำรุงให้ทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน มีความมั่นคง ทั้งนี้ ประเทศชาติหรือพื้นที่จะมั่นคง “คนต้องมีความสุข” ซึ่งแน่นอนว่า คนจะมีความสุขได้ ทุกบ้าน ทุกสังคม ต้องมีหัวหน้าครอบครัว เช่นกัน “จังหวัดก็ต้องมีผู้นำ” คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะนายกรัฐมนตรีของจังหวัด “อำเภอก็ต้องมีผู้นำ” คือ ท่านนายอำเภอในฐานะนายกรัฐมนตรีของอำเภอ ที่เป็นโซ่ข้อกลางระหว่างพื้นที่และส่วนกลาง สิ่งที่ดีทุกเรื่องจะเกิดการ Change for Good ขึ้นได้ ผู้นำต้องมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformative Leadership) โดยความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ด้วยการพัฒนาคน สร้างทีมจากทุกตำบล/หมู่บ้าน และชุมชนที่เข้มแข็ง และเดินหน้าพัฒนาอย่างทั่วถึง เชิญชวนผู้ที่มีความพร้อมและมีจิตเสียสละ มาร่วมกันทำ ช่วยกันสนับสนุน คนละเล็ก ละน้อย และถ่ายทอด DNA ของการ Change for Good ขยายผลไปสู่คนอื่น สร้างคนให้มี DNA ของคนที่มี Passion ที่เหมือนกัน
.
"ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้พระราชทานกำเนิด “โครงการหลวง” และทฤษฎีใหม่ รวมถึงโครงการพระราชดำริต่าง ๆ มากกว่า 4,000 โครงการ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคนไทย ช่วยเหลือเกษตรกรพี่น้องคนไทย ที่ทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจสีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม เเละขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยสวมใส่ผ้าไทย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเเข็งแรงให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าว
.
สำหรับการจัดกิจกรรมโครงการหลวง 53 ในปีนี้ ได้คัดสรรสินค้าที่อัดเเน่นด้วยคุณภาพ จากโครงการหลวง และโครงการส่วนพระองค์กว่า 1,000 รายการ อาทิ งานหัตถกรรม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผ้าทอฝ้าย 5 สี ไอศกรีมอะโวคาโด กาเเฟโครงการหลวง ผัก ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโครงการหลวง และอาหารคาว หวานอีกมากมายภายในงาน เช่น สลัดผักปลาเทราต์ทอด ซี่โครงหมูซอสเสวรส แกงฮังเลเสิร์ฟพร้อมหมั่นโถวธัญพืช ฯลฯ พร้อมเปิดตัวสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่จะเปิดตัวครั้งเเรกในปีนี้ หลากหลายรายการ พร้อมรับชมนิทรรศการ Royal Project Innovation ชมพันธ์ไม้ดอกใหม่ ครั้งเเรกในประเทศไทย กับ "เอเดลไวส์" ดอกไม้สื่อรักจากเทือกเขาเเอลป์ และบรรยากาศการตกเเต่งงานแบบ Royal Project the Infinite Blooms ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ในระหว่างวันที่ 4 - 14 สิงหาคม 2565 นี้ ณ พื้นที่กิจกรรมชั้น 1 และโซน Eden ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยลงนาม MOU กับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขยายผลจัดตั้ง "ศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์" ทุกภูมิภาค เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน | วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2564
มหาดไทยลงนาม MOU กับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขยายผลจัดตั้ง "ศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์" ทุกภูมิภาค เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน
มหาดไทยลงนาม MOU กับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขยายผลจัดตั้ง "ศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์" ทุกภูมิภาค เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ด้านการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
วันนี้ (3 พ.ย. 64) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมผู้บริหาร (ใหญ่) (MC232) ชั้น 3 อาคารบริหาร 2 สำนักงานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กับกระทรวงมหาดไทย กับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์โดยมี นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลอากาศตรี นายแพทย์สันติ ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นายแพทย์ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และนายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหนนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา วิจัย และการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ภายใต้องค์ประธาน คือ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัคราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ซึ่งทรงมีพระปณิธานให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหน่วยงานที่มีขนาดกะทัดรัดและมีความคล่องตัวในการช่วยเหลือประชาชน เช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่มีพระราชประสงค์ และพระประสงค์จะดูแลประชาชนให้มีความสุข พ้นจากความทุกข์ สอดคล้องกับแนวทางการทำงานของกระทรวงมหาดไทย ในการดูแลประชาชนทุกคนในประเทศนี้ให้มีความสุข ไม่มีทุกข์ ปลอดจากโรคภัย อย่างไรก็ตามในช่วงวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นได้ว่ากลไกกระทรวงมหาดไทยในท้องที่และท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นผู้นำในการดูแลประชาชนในทุก ๆ เรื่อง โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ขับเคลื่อนเรื่องการจัดหาวัคซีน โดยประสานกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกของกระทรวงมหาดไทย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ มีเป้าหมายประการสำคัญที่สุด คือ "เพื่อประชาชนและสังคมไทย" สิ่งที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ให้การสนับสนุน คือ การให้ความรู้ เพิ่มศักยภาพบุคลากรด้านต่าง ๆ งานวิจัย โดยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อนำมาวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะในท้องถิ่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือในวันนี้จะนำไปสู่การบูรณาการในเรื่องต่าง ๆ ก่อให้เกิด "ศูนย์ภัยพิบัติ" ที่มีศักยภาพสูงในการช่วยพัฒนาบุคลากรด้านต่าง ๆซึ่งจะเป็นก้าวที่สำคัญในการช่วยดูแลประชาชนได้อย่างดีขึ้น และเป็นระบบมากขึ้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่ได้กรุณาให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทยมาโดยตลอด เพื่อยกระดับการทำงาน ในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้พี่น้องประชาชน ในยามปกติและภาวะฉุกเฉินหรือเกิดภัยพิบัติ กระทรวงมหาดไทย สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยะราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมาย ในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดตั้ง "ศูนย์ภัยพิบัติ" ซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน ในการที่จะเสริมศักยภาพความชำนิชำนาญความคล่องตัวที่ถูกต้องในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่จะต้องเผชิญเหตุที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอนาคต โดยเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เช่น ปี 2548 ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์สึนามิ ที่เราไม่มีความรู้ในการรับมือเหตุการณ์ เราไม่มีประสบการณ์การเรียนรู้จากการฝึกซ้อมที่เสมือนจริง เวลาเราฝึกซ้อมภัยต่าง ๆ เราใช้จินตนาการเป็นหลัก แต่เมื่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้กรุณาในวันนี้ ทำให้เรามีความหวังว่าเราจะมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นผู้ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับ ซึ่งในส่วนของศูนย์ภัยพิบัตินั้น ในระยะสั้น ควรมีทุกภูมิภาค ทั้งภาคกลาง เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ และในอนาคต จะได้ขยายผลความร่วมมือไปสู่การจัดตั้งศูนย์เขตทั้ง 18 เขตตามกลุ่มจังหวัด เพื่ออบรมเจ้าหน้าที่และยกระดับเป็นศูนย์ที่เชี่ยวชาญภัยพิบัติตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่ ซึ่งจะทำให้มีคุณูปการให้กับพี่น้องประชาชนมากขึ้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ประการถัดมา ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งทำให้กลไกกระทรวงมหาดไทยสามารถขับเคลื่อนในเรื่องความร่วมมือครั้งนี้เผยแพร่ขยายผลองค์ความรู้ไปสู่โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่ตั้งอยู่ในทุกจังหวัด รวมถึงโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจะได้เสริมสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ การใช้ชีวิตให้กับเด็กตั้งแต่เด็กเล็ก ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา ซึ่งจะได้พิจารณาร่วมกันในการส่งเสริมด้านการศึกษาเพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอีกเรื่องที่สำคัญที่เป็นการสนับสนุนของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คือ การป้องกันภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ช่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในด้านการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทำให้สังคมเกิดการเรียนรู้ และทำให้หน่วยงานที่มีอำนาจเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะโรคนี้ เมื่อเป็นแล้วรักษาไม่ได้ การป้องกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และยังเป็นเรื่องมนุษยธรรมของมนุษย์ที่มีกับสุนัขจรจัดและแมวจรจัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้ขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น และประชาชน ทราบซึ้งและรำลึกนึกถึงความดีที่ทางราชวิทยาลัยได้จัดวัคซีนให้กับคนในพื้นที่ได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะต้องเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเกื้อหนุน เกื้อกูล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข สอดคล้องกับความต้องการของกระทรวงมหาดไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้เกิดผลดีกับพี่น้องประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"การลงนามวัในนนี้จะเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน อย่างประมาณการไม่ได้และไม่มีที่สิ้นสุด" นายสุทธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กับกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริม สนับสนุนและประสานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านการศึกษาและฝึกอบรมด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งเพื่อเป็นการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามพระปณิธานในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47781 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. เปิดงาน “Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงอายุ” ให้บริการประชาชนแบบครบวงจร | วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565
รมช.สธ. เปิดงาน “Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงอายุ” ให้บริการประชาชนแบบครบวงจร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงอายุ” สร้างความตระหนักรู้ แนวทางการปฏิบัติตนทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพการเงิน ให้กับผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไปแบบครบวงจร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงอายุ” สร้างความตระหนักรู้ แนวทางการปฏิบัติตนทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพการเงิน ให้กับผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไปแบบครบวงจร สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่ให้มีการเตรียมพร้อมประชากรรับวัยสูงอายุ
วันนี้ (30 มิถุนายน 2565) ที่ สามย่านมิตรทาวน์ฮอล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงอายุ” และให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีผู้อายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากร และอีกราว 10 ปีจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด โดยจะมีผู้อายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 28% ของประชากร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจของประชากรทุกวัย ที่จะต้องให้การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้สูงวัย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีของคนไทย
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้วางกรอบการพัฒนาประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 - 2580) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิตเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถในการดำรงชีวิต และยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม การรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพด้วยการบูรณาการความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีการวางแผน การเตรียมการใช้ชีวิตในบั้นปลายการปรับตัวด้านสังคมและจิตใจ รวมทั้งการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการออม เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อถึงวัยผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ในงาน Healthcare 2022 มีกิจกรรมประกอบด้วย Money Health Check มิติด้านการเงินสำหรับผู้สูงอายุ Health Check บริการตรวจสุขภาพฟรีจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน อาทิ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) บริการตรวจตา โรงพยาบาลหัวเฉียว บริการอัลตราซาวด์ลดการปวดกล้ามเนื้อ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บริการวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมี Innovation นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กิจกรรม Workshop โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เช่น การดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น หลักสูตรผู้สูงวัยดิจิทัล รู้เท่าทันเทคโนโลยี และ Relaxation กิจกรรมสันทนาการสำหรับผู้สูงอายุ โปรแกรมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งมี Health Market ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์โอทอป คัดสรรสินค้าที่มีความปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาจำหน่าย และกิจกรรมสาธารณกุศล มอบรายได้ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ
******************************************* 30 มิถุนายน 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56379 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในซอยกิ่งแก้ว 21 ระเบิด | วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในซอยกิ่งแก้ว 21 ระเบิด
...
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในซอยกิ่งแก้ว 21 ระเบิด โดยประชาชนสามารถนำรถเข้ามาจอดได้ฟรี ที่ลานจอดรถระยะยาวโซน C และบริเวณลานจอดรถหน้าอาคารสถานีดับเพลิงและกู้ภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สอบถามเพิ่มเติม โทร.1722
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43465 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการพัฒนาตามกรอบแนวคิด BCG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย | วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2565
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการพัฒนาตามกรอบแนวคิด BCG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการพัฒนาตามกรอบแนวคิด BCG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2565) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการพัฒนาตามกรอบแนวคิด BCG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนตามตามแนวคิด BCG โดยมี นายนฤบดินทร์ วุฒิวรรณ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กล่าวรายงาน ได้รับเกียรติจากนายนำพล ลิ้มประเสริฐ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ผศ.ดร.วรีสา ชูวัฒนกูล อาจารย์ศุภวัฒน์ น้ำดอกไม้ ผศ.ดร.นิรุธ จิรสุวรรณกุล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมบรรยายถ่ายทอดความรู้ มีอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผ่านระบบ Web Conference (Zoom Meeting)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย สลากดิจิทัลงวดสาม ได้รับความนิยมต่อเนื่อง จำหน่ายหมดแล้ว 5.14 ล้านใบ ภายใน 2 วัน ขณะที่ “นายกฯ” ย้ำสำรวจความพอใจคู่ขนานแก้ปัญหา | วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย สลากดิจิทัลงวดสาม ได้รับความนิยมต่อเนื่อง จำหน่ายหมดแล้ว 5.14 ล้านใบ ภายใน 2 วัน ขณะที่ “นายกฯ” ย้ำสำรวจความพอใจคู่ขนานแก้ปัญหา
โฆษกรัฐบาลเผย สลากดิจิทัลงวดสาม ได้รับความนิยมต่อเนื่อง จำหน่ายหมดแล้ว 5.14 ล้านใบ ภายใน 2 วัน ขณะที่ “นายกฯ” ย้ำสำรวจความพอใจคู่ขนานแก้ปัญหา เตรียมพร้อมพัฒนาตัวเลือกในแอปฯ “เป๋าตัง” เพิ่มโอกาสให้ผู้พิการ
วันนี้ (3 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยการจำหน่ายสลากดิจิทัล งวดที่สาม 16 กรกฎาคม 2565 ที่เปิดจำหน่ายในระบบจำนวนสลากทั้งหมด 5,146,000 ใบ วันแรก เมื่อวานนี้ 2 ก.ค. 65 จำหน่ายไปได้เพียง 2 วัน มีประชาชนเข้ามาซื้อสลากดิจิทัลหมดแล้ว ถือว่าขายได้เร็วกว่างวดที่ผ่านมา ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ติดตามผลการจำหน่ายสลากอย่างต่อเนื่อง ประเมินผลและหากพบปัญหาติดขัดให้เร่งดำเนินในทันที ซึ่งขณะนี้สลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนาตัวเลือกในแอปฯ “เป๋าตัง” เพิ่มขึ้น เพื่อให้ซื้อสลากดิจิทัลกับร้านค้าผู้พิการได้ และจะพัฒนาให้สามารถควบคุมการทำงานด้วยเสียงได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มผู้พิการ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2565 จะเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัล อีก 2 ล้านใบ เป็น 7.1 ล้านใบ โดยจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 จะมีการเพิ่มจุดจำหน่ายสลากฯ 80 บาท ให้ครบตามเป้าหมายที่วางไว้ 1,077 จุดทั่วประเทศ ตลอดจนจะนำร่องขยายจุดจำหน่ายสลากฯ ไปยังปั๊มน้ำมัน ปตท. และบางจากทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 2,000 จุด ภายในปีนี้ ซึ่งเหล่านี้จะทำให้ประชาชนเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาทได้มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนแสดงความพอใจกับการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ราคาสลาก 80 บาท มีอยู่จริง และมีความเชื่อมั่นต่อแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงระบบการจำหน่าย และการขึ้นเงินรางวัลผ่านแอป “เป๋าตัง” เชื่อว่ามีความปลอดภัยสูง
“นายกรัฐมนตรี ยังเน้นมาตรการช่วยเหลือผู้ขายสลากใบ และผู้พิการที่มีอาชีพขายสลาก ให้ศึกษาผลกระทบทางสังคมในทุกมิติ ย้ำการแก้ไขปัญหาสอดคล้องสัมพันธ์กัน ยืนยันรัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายธนกรฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56465 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เตรียมประชุม ศบค.ชุดใหญ่ พรุ่งนี้ (23 ก.พ.) เตรียมพิจารณามาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรและแผนการฉีดวัคซีน | วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เตรียมประชุม ศบค.ชุดใหญ่ พรุ่งนี้ (23 ก.พ.) เตรียมพิจารณามาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรและแผนการฉีดวัคซีน
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เตรียมประชุม ศบค.ชุดใหญ่ พรุ่งนี้ (23 ก.พ.) เตรียมพิจารณามาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรและแผนการฉีดวัคซีน ขณะที่ กรณีผู้ป่วยโควิด-19 สีแดง ยังสามารถเข้ารักษาในหน่วยบริการนอกระบบตามหลักการ UCEP
วันนี้ (22 ก.พ. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จะเป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ในวันพรุ่งนี้ (23 ก.พ.) โดยที่ประชุม ศบค. จะมีการพิจารณา การปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร แผนการให้บริการวัคซีน โดยจะเน้นเรื่องความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 เป็นระดับ 4 ทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือประชาชนงดเข้าสถานที่เสี่ยง เลี่ยงการรวมกลุ่ม ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ดังนั้นหากมีความเสี่ยงขอให้กักตัวเอง โดย มาตรการในการควบคุมโรคยังมีความสำคัญ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังยีนยันถึงแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง สิทธิประกันสังคมและสิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการปอดบวม มีไข้สูง อยู่ในเกณฑ์สีแดงหรือภาวะการเข้าข่าย ฉุกเฉิน ก็ยังสามารถเข้ารักษา ยังหน่วยบริการนอกระบบตามหลักเดิมของ UCEP ที่มีอยู่เดิมได้ แต่หากไม่มีอาการก็เข้ารักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิ์ ทั้งนี้ สิทธิการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือ UCEP คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จนพ้นวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง สำหรับประกาศยกเลิกการกำหนดให้ผู้ "ติดโควิด" เป็น "ผู้ป่วยฉุกเฉิน" หรือ UCEPแล้วให้ไปใช้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพของแต่ละบุคคล จะเริ่มในวันที่ 1 มีนาคมนี้
ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ วันนี้ รวม 18,363 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 18,236 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 127 ราย ผู้ป่วยสะสม 526,126 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 15,651 ราย หายป่วยสะสม 389,302 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 169,074 ราย เสียชีวิต 35 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด-19 สะสมอยู่ที่ 121,989,737 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 53,180,882 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 49,497,055 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 17,806,551 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 1,505,249 โดส อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกฉีดวัคซีนแล้ว 10,558 ล้านโดส ใน 205 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 29.1 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 550 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 215 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"
********************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ พร้อมรับรองผลการคัดเลือกองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ปี ๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ พร้อมรับรองผลการคัดเลือกองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ปี ๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ พร้อมรับรองผลการคัดเลือกองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ปี ๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๐ – ๐๑ ชั้น ๑๐ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ นางบุญภาดา พึ่งบุญ ฯ อรุณเบิกฟ้า ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้แทนส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิมนุษยชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของอนุกรรมการ ฯ จำนวน ๔ คณะ ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย อาทิ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นภายใต้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) ผลการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) และการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรองผลการคัดเลือกองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี ๒๕๖๔ ซึ่งจะมีการจัดงานประกาศรางวัลองค์กรต้นแบบ ประจำปี ๒๕๖๔ และมอบรางวัล ฯ ในวันพุธที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ - ๑๒.๐๐ น. ผ่านทางออนไลน์ระบบ Zoom Webinar และ Facebook Live ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 องค์กรรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ผนึกกำลังตั้ง “สมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย” | วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564
5 องค์กรรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ผนึกกำลังตั้ง “สมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย”
5 องค์กรรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ผนึกกำลังตั้ง “สมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย”
5 องค์กรรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ผนึกกำลังตั้ง “สมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย”
หวังสร้างแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์กลางของไทยให้ทุกภาคส่วนใช้งานได้ ยกระดับประเทศสู่อุตสาหกรรมใหม่
รมว.อว. ลั่น ภายใน 10 ปี อว. จะเป็นองค์กรสำคัญขับเคลื่อนไทยไปสู่จุดสูงสุดในระดับสากล สอดรับแผนยุทธศาสตร์ชาติพาไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม2564 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานร่วมกับ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในพิธีเปิดโครงการ Super AI Engineer Saeson 2 พิธีลงนามสมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AI Thailand Consortium) และพิธีมอบเหรียญรางวัลผู้มีความสามารถดีเด่นโครงการ Super AI Engineer Season 1 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัด อว.
ทั้งนี้ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง การพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ว่า ในทุกปี ประเทศไทยมีนโยบายเศรษฐกิจและแผนกลยุทธ์ของชาติที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งจากของบุคลากร และองค์กรภายใน มีการเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศให้สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจภายในกับเศรษฐกิจโลก ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำงาน ซึ่งความเข้มแข็งภายในนี้ จะต้องสร้างขึ้นจากการยกระดับนวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งถือเป็นศาสตร์ทางดิจิทัลที่สำคัญ ที่หลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างให้ความสำคัญและนำมาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ที่วันนี้ได้เกิดการรวมตัวกันของทุกภาคส่วนในการจัดตั้งสมาพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทยหรือ AI Thailand Consortium ที่ประกอบไปด้วย 5 องค์กร ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. ในฐานะองค์กรภาครัฐ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะองค์กรภาคการวิจัย สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเทศไทย (CITT) ในฐานะองค์กรภาคการศึกษา สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) ในฐานะองค์กรภาคเอกชน และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) ในฐานะองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสร้างและบริหารจัดการทรัพยากรด้านปัญญาประดิษฐ์ร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการจัดทำแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์กลางของประเทศไทย (AI Thailand Platform) การสร้างทรัพยากรให้กับประเทศเพื่อใช้งานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการสร้างอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทยในอนาคต
รมว.อว. กล่าวต่อว่าที่ผ่านมา ทางสมาพันธ์ฯ ได้สร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม อาทิ โครงการปัญญาประดิษฐ์สำหรับทุกคน หรือ AI for All ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาบุคลากรในทุกระดับชั้นให้มีความสามารถพิเศษด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือโครงการสุดยอดวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ (Super AI Engineer) ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากหลากหลายวงการ หลากหลายวัย โดยในปีนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนถึง 5,400 คน มากกว่าปีที่แล้วถึง 2.5 เท่า ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียม และเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาผู้มีความสามารถ และนำไปสู่การสร้างชุมชนนักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อย่างแท้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47152 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย “ติดปีกอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต” ขนทัพใหญ่เสิร์ฟผลิตภัณฑ์-บริการการเงินครบวงจร ในงาน FTI EXPO 2022 เชียงใหม่ | วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
กรุงไทย “ติดปีกอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต” ขนทัพใหญ่เสิร์ฟผลิตภัณฑ์-บริการการเงินครบวงจร ในงาน FTI EXPO 2022 เชียงใหม่
กรุงไทยร่วมงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่
ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่ทุกอุตสาหกรรมต่างมุ่งสู่ดิจิทัล โดยมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจทุกมิติ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยธนาคารเข้าร่วมงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “ติดปีกอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต” ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และ Digital Solution ตัวช่วยสำคัญในการบริหารจัดการทางการเงิน ทำให้เรื่องธุรกิจง่าย สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่
ธนาคารได้ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจแบบครบวงจร ภายใต้การออกแบบบูธภายในงานที่สะท้อนถึงพันธกิจหลักที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน ด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมรูปทรงเรขาคณิตแบบสมมาตร เปรียบเสมือนปีกนกขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มชีวิตคนไทย แบ่งพื้นที่เป็น 3 โซน
โซนที่ 1 สมการ X2G2X “กรุงไทยติดปีกให้ชีวิตคนไทย” นำเสนอยุทธศาสตร์ธนาคาร ที่มีจุดเริ่มต้นจากภาครัฐ พัฒนาเชื่อมโยงด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม ไปยังภาคธุรกิจและประชาชนผ่าน 5 Ecosystems หลัก คือ ภาครัฐ การชำระเงิน การศึกษา ขนส่งมวลชน สุขภาพและการรักษาพยาบาล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกค้าทุกกลุ่มให้ดีขึ้นในทุกวัน ลดความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
โซนที่ 2 Krungthai Sustainability “กรุงไทยติดปีกไทยสู่ความยั่งยืน” นำเสนอแผนงานและผลงานของธนาคารที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมนำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงาน เช่น ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น โดยธนาคารจัดทำโครงการ “กรุงไทยรักชุมชน” นำความรู้ทางการเงินไปพัฒนาให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังจัดแสดงตู้ Refund Machine “เปลี่ยนการทิ้งเป็นพลังสร้างสรรค์” นำขวดพลาสติกใสมาหยอดคืนที่ตู้ เพื่อสะสมแต้มแลกของรางวัล ทำให้การรีไซเคิลเป็นเรื่องง่ายและสนุก ด้วยความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนของธนาคาร ส่งผลให้ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนได้จากรางวัลที่ธนาคารได้รับในปี 2564 รวมจำนวน 38 รางวัล
โซนที่ 3 Business Solutions “กรุงไทยติดปีกอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต” จัดทัพบริการจัดการทางการเงินครบวงจรเสริมความแข็งแกร่งสำหรับผู้ประกอบการ ต่อยอดโอกาส สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เริ่มต้นด้วย สินเชื่อธุรกิจ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2 % ต่อปี ผ่อนนานสูงถึง 10 ปี สินเชื่อเพื่อคู่ค้า ทั้งสินเชื่อ Supplier O/D สินเชื่อหมุนเวียนสำหรับเสริมสภาพคล่องให้ Supplier เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง และสินเชื่อคู่ค้าพารวย วงเงิน O/D สำหรับร้านค้า ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง เบิกใช้สะดวกผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และ Krungthai Business
พร้อมเสริมทัพด้วย Digital Solutions ทางการเงินเต็มรูปแบบ ทำให้การบริหารการเงินเป็นเรื่องง่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วย Krungthai Business ตัวช่วยจัดการด้านการเงินสำหรับธุรกิจ ง่าย ครบ จบในแอปฯ เดียว โอนรับจ่ายไม่อั้น เริ่มต้นเพียง 111 บาท/ปี Krungthai Smart Trade บริการออนไลน์สำหรับทำธุรกรรมต่างประเทศ และธุรกรรมบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) เต็มรูปแบบ รองรับ 16 สกุลเงิน Krungthai Smart FX บริการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ แบบเรียลไทม์ (ทั้ง Same Day และ Forward สูงสุด 1 ปี) ได้ถึง 13 สกุลเงิน โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้านิติบุคคล ลูกค้าใหม่ 100 ท่านแรก สมัครใช้บริการ Krungthai Smart FX และมียอดทำธุรกรรมผ่าน Krungthai Smart FX ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2565 จำนวน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า รับ Voucher มูลค่า 500 บาท ลูกค้าปัจจุบัน รับ Voucher สูงสุด 1,000 บาท เมื่อทำธุรกรรมผ่าน Krungthai Smart FX ตามเงื่อนไขธนาคาร
นอกจากนี้ยังดูแลครบให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ด้วย Krungthai Logistics Card ช่วยให้ชำระค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการขนส่งสินค้า ได้สะดวก ง่ายกว่าเดิม ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย บมจ.การบินไทย และ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ บริการออกหนังสือค้ำประกันศุลกากรผ่านแดน ASEAN (ACTS) ช่วยให้การขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่าง 7 ประเทศอาเซียนได้สะดวกขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและยุทธศาสตร์ประเทศ ในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) ธนาคารมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Financing) ประกอบด้วย สินเชื่อกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อลงทุนระบบบำบัดของเสียในธุรกิจ ดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี สินเชื่อธุรกิจเพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ดอกเบี้ยเริ่มต้น MRR-1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา สำนักงานธุรกิจทั่วประเทศ โทร. 02-111-1111 หรือ https://krungthai.com/link/fti-expo2022-pr
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านพลังงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย | วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565
นายกฯ หารือประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านพลังงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย
นายกฯ หารือประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านพลังงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย
วันนี้ (15 พฤษภาคม 2565) เวลา 06.30 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร (บน.6) นายยาเซอร์ บิน อุสมาน อัล-รูมัยยาน (Yasir bin Othman Al-Rumayyan) ประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกันในวันนี้ยินดีด้วยกับกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย PIF ได้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าอันดับหนึ่งของโลก ขณะนี้ไทยกำลังยกเลิกมาตรการเข้าประเทศซึ่งเป็นไปตามพัฒนาการด้านการจัดการโควิด-19 ทั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกความร่วมมือระหว่างไทยซาอุได้ดีขึ้น โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปด้วยดีแล้ว ไทยยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือ และความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นายยาเซอร์ บิน อุสมาน อัล-รูมัยยานกล่าวว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีคำสั่งให้ได้มาพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้เพื่อหาโอกาสเพิ่มความร่วมมือกับประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยซาอุดีอาระเบียประสงค์ที่จะมีความร่วมมือกับไทยทางการค้าการลงทุน และด้านพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจพลังงานและแก๊ส
ในโอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อหาโอกาสสร้างความร่วมมือระหว่างกันในหลายด้าน เช่น การท่องเที่ยว การกีฬา E-sports และ Soft power รวมทั้ง ซาอุดีอาระเบียหวังจะมี Business Dialogue ร่วมกับไทย เพื่อสร้างโอกาสและสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างกัน และใช้ไทยเป็นฐานลงทุนในภูมิภาคด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54587 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจร | วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจร
เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท โดยมี นายภูมิสิทธิ์ วังคีรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ และประชาชนให้การต้อนรับ ณ จุดอำนวยความสะดวกประชาชนเทศบาลตำบลคลองไผ่ ถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 29 ธันวาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อความปลอดภัยของประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 กระทรวงคมนาคมได้กำหนดนโยบายอำนวยความสะดวก ในการบริการขนส่งสาธารณะและโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ ยึดหลัก “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19” โดยการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เป็นความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์ ป้องกัน และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงการตั้งจุดบริการอำนวยความสะดวกประชาชนตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เตรียมความพร้อม กำกับดูแลการให้บริการ มาตรฐานความปลอดภัย และแจ้งข้อมูลข่าวสารที่สำคัญในการเดินทางให้แก่ประชาชนทราบล่วงหน้า ดังนี้
1. มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) บูรณาการร่วมกับตำรวจทางหลวงจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกประชาชนบริเวณจุดเชื่อมต่อ ทางโค้ง ช่วงขึ้นเนิน ถนนลาดชัน ที่มีการชะลอตัวของรถ และในวันนี้ (29 ธันวาคม 2564) เวลา 15.00 น. ให้เปิดเลนพิเศษเพื่อระบายการจราจร ลดการสะสมของรถ ขณะที่มอเตอร์เวย์จะเปิดให้บริการฟรี ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ไปจนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2565
2. มอบให้ ทล. จัดแบริเออร์กั้นช่องทางที่เข้าสู่สถานีเติมน้ำมัน และป้ายประชาสัมพันธ์ก่อนถึงสถานีประมาณ 500 เมตร เพื่อป้องกันการขับรถข้ามเลน และปัญหารถติดสะสมบริเวณดังกล่าว
3. มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับอาสาสมัครท้องถิ่นจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกประชาชนบริเวณจุดลักผ่าน และจุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศ ในช่วงที่มีรถไฟผ่าน เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวกปลอดภัย ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชนติดตามสถานการณ์การจราจรเพื่อวางแผนการเดินทางล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน "M Traffic" ของ ทล. และมีสติในการเดินทาง เมาไม่ขับ หากอ่อนเพลียหรือง่วง สามารถแวะพัก ณ จุดบริการประชาชนได้ทั่วประเทศ
ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับฟังบรรยายสรุปมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในปี 2564 มีอุบัติเหตุ จำนวน 88 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต จำนวน 16 ราย และผู้บาดเจ็บ จำนวน 93 ราย หน่วยงานในพื้นที่จึงได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ ที่ห่างไกลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ภายใต้สโลแกน “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ดังนี้ 1) การอำนวยความสะดวกการจราจร 2) ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 15 - 28 ธันวาคม 2564 ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 5 - 11 มกราคม 2565 และ 3) รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่มีการบูรณาการทำงานร่วมกันทำให้สามารถบริหารจัดการการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ป้องกัน ลดจำนวนอุบัติเหตุ ลดความสูญเสีย โดยเป็นการสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชน ลดพฤติกรรมเสี่ยงขับขี่และเสริมสร้างความร่วมมืออันดี สอดคล้องกับนโยบาย “คมนาคม UNITED” และจากการตรวจสภาพการจราจรทางอากาศบริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) จังหวัดสระบุรี และเนินคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา รวมถึงทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ในวันนี้พบว่า การจราจรเริ่มมีการชะลอตัว จึงได้สั่งการให้กรมทางหลวงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขสภาพการจราจรให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยแล้ว หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจและมอบอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 อาทิ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ร่วมกันอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน รัฐบาลได้เน้นย้ำให้ประชาชนระมัดระวังและป้องกันตัวเองยกการ์ดสูง สวมหน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือเป็นประจำ รักษาระยะห่าง และฉีดวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.แรงงาน เทรนเยาวชนชายแดนใต้ Upskill ช่างเชื่อมป้อนซาอุ | วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2565
ก.แรงงาน เทรนเยาวชนชายแดนใต้ Upskill ช่างเชื่อมป้อนซาอุ
กระทรวงแรงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ลุยฝึกทักษะช่างเชื่อมให้กับเยาวชนและแรงงานทั่วไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ เตรียมพร้อมส่งออกสู่ตลาดซาอุ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือน ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ บี ลองแกน สเปรย์พ่นช่องคอ ดักจับไวรัสทุกชนิด | วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564
โฆษกดีอีเอสเตือน ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ บี ลองแกน สเปรย์พ่นช่องคอ ดักจับไวรัสทุกชนิด
โฆษกดีอีเอสเตือน ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ บี ลองแกน สเปรย์พ่นช่องคอ ดักจับไวรัสทุกชนิด
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีข้อความแนะนำปรากฏในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผลิตภัณฑ์บีลองแกนสเปรย์พ่นช่องคอดักจับไวรัสทุกชนิดทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จกรณีผลิตภัณฑ์บีลองแกนสเปรย์ที่ระบุสรรพคุณในการจำหน่ายว่าสามารถดักจับไวรัสได้ทุกชนิดนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับอนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในชื่อบีลองแกนสเปรย์(ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) / B Longan Spray (Dietary Supplement Product)เลขอย. 10-1-04741-5-0008ซึ่งปริมาณในส่วนประกอบที่ได้รับอนุญาตไม่สามารถป้องกันไวรัสเกาะในช่องปากและโพรงจมูกหรือป้องกันภูมิแพ้หรือฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียและลดการอักเสบในช่องปากตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดอีกทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่มีผลในการบำบัดบรรเทาหรือรักษาโรค
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพหรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยสามารถแจ้งร้องเรียนได้เว็บไซต์www.fda.moph.go.thหรือโทรสายด่วน1556
โฆษกกระทรวงดิจิทัลกล่าวอีกว่าอยากขอความร่วมมือประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandเฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43888 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.เกษตรฯ เฉลิมชัย ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำคลองตะกั่วป่า | วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564
รมต.เกษตรฯ เฉลิมชัย ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำคลองตะกั่วป่า
รมต.เกษตรฯ เฉลิมชัย ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำคลองตะกั่วป่า เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั้งในเรื่องน้ำหลากและการขาดแคลนน้ำ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ชลประทานจังหวัดพังงา ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลท่านา อ.กะปง จ.พังงา ซึ่งมีโครงการชลประทานที่มีอยู่ในจังหวัดพังงา ทั้งหมด 166 โครงการ มีพื้นที่รับประโยชน์ จำนวน 60,960 ไร่ ประกอบด้วย 1) โครงการชลประทานขนาดเล็ก ในพื้นที่ชลประทาน 22,000 ไร่ จำนวน 151 โครงการ 2) โครงการพระราชดำริ ในพื้นที่ชลประทาน 9,160 ไร่ ได้แก่ ฝายทดน้ำ 7 แห่ง ในพื้นที่ชลประทาน 6,560 ไร่ และอาคารอัดน้ำ 3 แห่ง พื้นที่ชลประทาน 2,600 ไร่ และ 3) โครงการชลประทานขนาดกลาง ในพื้นที่ชลประทาน 29,800 ไร่ ฝายทดน้ำ 5 แห่ง โดยในพื้นที่จังหวัดพังงานี้ ไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำประเภทอ่างเก็บน้ำที่จะใช้ในการบริหารจัดการน้ำ ส่งผลให้เกิดน้ำหลาก ลุ่มน้ำคลองตะกั่วป่า และลุ่มน้ำคลองพังงา อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดแคลนน้ำในช่วงเดือนธันวาคม ถึงมีนาคมด้วย
สำหรับความก้าวหน้าในการพัฒนาลุ่มน้ำคลองตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่า อ.กะปง จ.พังงา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ศึกษาความเหมาสมของอ่างเก็บน้ำแล้วเสร็จ จำนวน 3 โครงการ อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม จำนวน 8 โครงการ และอาคารอัดน้ำที่อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 4 โครงการ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้รับฟังการรายงานความคืบหน้าโครงการฝายคลองท่านา หากแล้วเสร็จจะสามารถสนับสนุนพื้นที่การเกษตร (สวนปาล์มน้ำมัน) 250 ไร่ และลดปัญหาการกัดเซาะในฤดูน้ำหลาก และโครงการฝายคลองสวนพลูพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมงาน คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ภายในเดือนมกราคม 2565 หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ให้ราษฎรหมู่ที่ 4 และ 9 จำนวน 600 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร จำนวน 300 ไร่
อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานได้เตรียมโครงการที่จะเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2566 ของจังหวัดพังงา ได้แก่ 1) โครงการฝายบ้านกะปง หมู่ที่ 2 ต.กะปง อ.กะปง เพื่อลดการพังทลายเสียหายของตลิ่งบริเวณลำคลองกะปง และดักตะกอนในลำน้ำในฤดูน้ำหลาก และเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำในช่วงฤดูแล้ง และสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูก 150 ไร่ 2) โครงการฝายดักตะกอนคลองบางม่วง (แห่งที่ 2) หมู่ที่ 1 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า เพื่อลดการพังทลายเสียหายของตลิ่งบริเวณลำคลองบางม่วงและดักตะกอนในลำน้ำในฤดูน้ำหลาก และเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำในช่วงฤดูแล้ง และสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูก 150 ไร่ 3) โครงการปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำสายใหญ่ และปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำสายแยกขวา ฝายคลองทับยาว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หมู่ที่ 1 ต.เหล่ อ.กะปง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคให้ราษฎรหมู่ที่ 1,2,3,4 และ 5 จำนวน 650 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร จำนวน 1,500 ไร่ และ 4) โครงการปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำสายใหญ่ และปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำสายแยกขวา ฝายคลองทับยาว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หมู่ที่ 1 ต.เหล่ อ.กะปง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคให้ราษฎรหมู่ที่ 1,2,3,4 และ 5 จำนวน 650 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร จำนวน 1,500 ไร่
"กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกร งบประมาณที่กระทรวงเกษตรฯ จัดสรรมา จะต้องสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งในวันนี้พูดได้เต็มปากว่าวันที่รับปากว่าจะทำให้พี่น้องชาวพังงาเราทำได้จริง และสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่กรมชลประทานนำเสนอในปีงบประมาณ 66 ยืนยันว่าได้ดำเนินตามแผน และบรรจุเข้างบประมาณเรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ขอเร่งด่วน ที่จะสามารถช่วยเหลือพี่น้องในพื้นที่ได้ ได้มอบหมายให้กรมชลประทานพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการโดยเร่งด่วน สำหรับในส่วนของสหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า ที่เสนอขอก่อสร้างอาคารโครงคลุมรวบรวมผลผลิตในการเกษตรได้มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหางบประมาณเพื่อมาสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยจับมือเกาหลี ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ปักหมุดพื้นที่อีอีซีลำดับแรก | วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565
ไทยจับมือเกาหลี ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ปักหมุดพื้นที่อีอีซีลำดับแรก
ไทยจับมือเกาหลี ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ปักหมุดพื้นที่อีอีซีลำดับแรก
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)-บริษัท Korea Land and Housing Corporation ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็ง ส่งเสริมศักยภาพเชิงพื้นที่ ปักหมุดพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ลำดับแรก รวมถึงพื้นที่อื่นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเหมาะสม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ระหว่าง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กับบริษัท Korea Land and Housing Corporation (LH) โดยนายคิม ฮยุนจุน (Mr.Kim Hyun Jun) กรรมการผู้มีอำนาจ โดยระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดพันธกิจขับเคลื่อนและพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Industrial ecosystem) เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือระหว่าง กนอ. และ LH ครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี เชื่อมั่นว่าศักยภาพและประสบการณ์ของ LH จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงการเพิ่มมูลค่าการลงทุนในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเติบโตเพิ่มมากขึ้น
“ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งในประเทศไทยและประเทศเกาหลี คาดว่าจะสามารถพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ได้อย่างเป็นรูปธรรม และทำให้ กนอ. เป็นผู้นำการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาคด้วยนวัตกรรมสู่ความยั่งยืนได้ในอนาคต” นายสุริยะ กล่าว
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ. มุ่งพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยการส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเกิดของเสีย ทำให้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายผลักดันให้มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการในนิคมอุตสาหกรรม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบกิจการ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งนี้ กนอ.ได้ร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อจัดทำสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และพื้นที่ประกอบการอัจฉริยะในนิคมอุตสาหกรรม (Smart Industrial Estate and Smart Industrial Zone)
ด้านนายจอน โจยอง (Mr.Jeon Joyoung) อัครราชทูต รองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตผู้แทนถาวรสาธารณรัฐเกาหลีประจำยูเอ็นเอสแคป กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นของไทยและเกาหลีที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะในประเทศไทย และ
จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้มีการลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือเมืองอัจฉริยะระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประเทศไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่ง สาธารณรัฐเกาหลี ดังนั้น ความร่วมมือการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะในครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวที่สำคัญในความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและเกาหลี และไม่เพียงเป็นการร่วมมือระหว่าง กนอ. และ LH Corporation แต่แสดงให้เห็นถึงแผนการของประเทศไทยในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคอุตสาหกรรมของไทยและบริษัทเกาหลีในอนาคต
นายคิม ฮยุนจุน (Mr.Kim Hyun Jun) กรรมการผู้มีอำนาจ LH กล่าวว่า LH เป็นบริษัทของรัฐบาลเกาหลีที่มุ่งมั่นพัฒนาเมืองและอาคารสาธารณะ ขณะที่ กนอ.เป็นผู้นำด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและให้บริการระบบสาธารณูปโภคครบวงจร ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่ดินเหมือนกัน ทั้งนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมีศักยภาพสูงในภูมิภาคอาเซียน และการเติบโตทางเศรษฐกิจยังได้รับแรงหนุนจากนโยบาย Thailand 4.0 และการพัฒนาพื้นที่ EEC ของรัฐบาลไทย ซึ่งหลังการทำข้อตกลงเอฟทีเอระหว่างเกาหลีและไทยเมื่อปี 2553 ทำให้การค้าระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากการลงทุนของเกาหลีในประเทศไทยที่มีมูลค่า 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 และ 406 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 จึงเป็นที่มาของความต้องการของ LH ที่จะขยายขอบเขตความร่วมมือผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ร่วมกับ กนอ. โดยคาดหวังว่าความร่วมมือนี้จะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและสร้างโอกาสในการทำงานเพิ่มขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีเป้าหมายดำเนินการในระยะเวลา 2 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยมุ่งเน้นพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่อื่นที่เห็นชอบร่วมกัน และส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้รวมถึงประสบการณ์ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55758 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้ผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ ยื่นข้อเสนอประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ | วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้ผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ ยื่นข้อเสนอประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ
วันที่ 27 ธันวาคม 2564 ระหว่างเวลา 09.00 - 15.00 น.
ตามที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมการประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และแนวทางการประกวดราคานานาชาติ (International Competitive Bidding – ICB) จำนวน 6 สัญญา ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 จนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2564 โดย รฟม. ได้กำหนดให้ผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ ยื่นข้อเสนอประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาฯ ในวันที่ 27 ธันวาคม 2564 ระหว่างเวลา 09.00 - 15.00 น. นั้น ปรากฎว่ามีผู้มายื่นข้อเสนอประกวดราคา จำนวนทั้งสิ้น 4 ราย ดังนี้
สัญญาที่ 1 งานจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้างงานโยธา โครงสร้างใต้ดิน ช่วงเตาปูน - หอสมุดแห่งชาติ จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
สัญญาที่ 2 งานจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้างงานโยธา โครงสร้างใต้ดิน ช่วงหอสมุดแห่งชาติ - ผ่านฟ้า จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
สัญญาที่ 3 งานจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้างงานโยธา โครงสร้างใต้ดิน ช่วงผ่านฟ้า - สะพานพระพุทธยอดฟ้า จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. ITD – NWR JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และ บมจ. เนาวรัตน์พัฒนาการ)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
สัญญาที่ 4 งานจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้างงานโยธา โครงสร้างใต้ดิน ช่วงสะพานพระพุทธยอดฟ้า - ดาวคะนอง จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
สัญญาที่ 5 งานจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงสร้างยกระดับ ช่วงดาวคะนอง - ครุใน จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
สัญญาที่ 6 งานจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้างงานระบบราง ช่วงเตาปูน - ครุใน จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. CKST-PL JOINT VENTURE (ประกอบด้วย บมจ. ช.การช่าง และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น)
2. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
3. บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
โดยขั้นตอนต่อไป รฟม. จะพิจารณาข้อเสนอประกวดราคา ซองที่ 1 - 3 ประกอบด้วย ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ ซองที่ 2 ข้อเสนอทางเทคนิค และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านราคา และคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างงานโยธาได้ภายในเดือนมีนาคม 2565
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เป็นโครงการรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงการเดินทางระหว่างนนทบุรี กับกรุงเทพมหานครฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี รวมถึงสมุทรปราการ เข้าด้วยกัน มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 23.6 กิโลเมตร เป็นโครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน 13.6 กิโลเมตร 10 สถานี และโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ 10 กิโลเมตร 7 สถานี โดยมีแผนจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในปี 2565 และเปิดให้บริการในปี 2570
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49939 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” กำชับหน่วยงานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ย้ำป้องกันบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนทันที โดยรัฐบาล-ภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและเต็มที่ | วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” กำชับหน่วยงานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ย้ำป้องกันบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนทันที โดยรัฐบาล-ภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและเต็มที่
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” กำชับหน่วยงานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ย้ำป้องกันบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนทันที โดยรัฐบาล-ภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและเต็มที่
วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมขังฉับพลันจากฝนตกหนักในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศ โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ ล่าสุด ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก-ดินถล่ม ในช่วง 1-2 วันนี้ บริเวณ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และหนองคาย ปริมาณน้ำ แหล่งน้ำทุกขนาด 45,390 ล้าน ลบ.ม. (55%) ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 20-24 ก.ค. เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี และยะลา รวม 20 อำเภอ 29 ตำบล 65 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 392 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย (ชลบุรี) ปัจจุบันภาพรวมสถานการณ์คลี่คลายแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักทำให้น้ำท่วมในหลายพื้นที่ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง โดยได้เน้นย้ำให้ ปภ. จังหวัด หน่วยทหาร ส่วนราชการ ป้องกันและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนทันทีเมื่อเกิดภัยตามที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว ให้คลี่คลายสถานการณ์ เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขัง พร้อมทั้งให้จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ดูแลให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสำรวจและประเมินความเสียหายหลังน้ำลด เพื่อดำเนินการช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบของทางราชการต่อไป
“นายกรัฐมนตรีกำชับว่าในช่วงฤดูฝนนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ให้ความสำคัญกับการเก็บขยะและวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำไหล เพื่อเตรียมพร้อมเร่งระบายน้ำฝนที่ตกลงมาให้น้ำไหลได้สะดวก พร้อมแนะให้ประชาชนที่อยู่บนเส้นทางน้ำหลาก เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร เก็บของไว้บนที่สูงเพื่อความปลอดภัย ให้ระวังอันตรายจากสัตว์และแมลงมีพิษ ระวังอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ระวังการขับขี่พาหนะบริเวณน้ำไหลผ่านทาง โดยขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารประกาศจากทางราชการ และทางแอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศทางโทรศัพท์มือถือ ที่ในปัจจุบันสามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว มีความเที่ยงตรงและแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเตรียมความพร้อมตนเองได้ในเบื้องต้นด้วย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและเต็มที่” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57200 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายทุนการศึกษา และถวายมุทิตาสักการะแด่พระภิกษุสามเณร ผู้สำเร็จการศึกษาระดับเปรียญธรรม ๙ ประโยคประจำปี ๒๕๖๕ | วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565
พิธีถวายทุนการศึกษา และถวายมุทิตาสักการะแด่พระภิกษุสามเณร ผู้สำเร็จการศึกษาระดับเปรียญธรรม ๙ ประโยคประจำปี ๒๕๖๕
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีถวายทุนการศึกษา และถวายมุทิตาสักการะแด่พระภิกษุสามเณร ผู้สำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค ตามหลักสูตรของคณะสงฆ์เป็นครั้งแรก
เพื่อถวายความอุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร ผู้รับภาระสืบอายุพระพุทธศาสนา และเพื่อเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระบุรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงพระราชศรัทธา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์พระภิกษุสามเณรที่มีความพากเพียรเรียนพระบาลีอันเป็นภาษาที่ทรงไว้ซึ่งหลักคำสอน และแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม โดยมีพระพรหมโมลี แม่กองบาลีสนามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
สำหรับการศึกษาภาษาบาลีเป็นพระราชภาระของพระมหากษัตริย์สืบเนื่องเป็นพระราชกรณียกิจมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงจัดให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนตามกำลังสติปัญญา โดยผู้ที่สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค โปรดให้เข้าเฝ้ารับพระราชทานปริญญาบัตร พัดยศ และไตรจีวร ในพระบรมมหาราชวัง และถวายความอุปถัมภ์อุปสมบทในพระบรมราชูปถัมภ์ สำหรับผู้ที่สอบได้ในขณะที่เป็นสามเณร "เป็นพระภิกษุ
นาคหลวง"
ทั้งนี้ ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ มีพระภิกษุสามเณรสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค จำนวน ๕๒ รูป เป็นพระภิกษุ ๓๖ รูป และเป็นสามเณร ๑๖ รูป โดยทุกรูปได้เฝ้ารับพระราชทานปริญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๔ พ.ค. ๖๕ ที่ผ่านมา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น และสำหรับสามเณร ๑๖ รูปจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดให้เข้ารับการอุปสมบทในพระบรมราชูปถัมภ์เป็น "พระภิกษุนาคหลวง" ในโอกาสต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55570 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กำชับผู้รับจ้าง ขุดลอกท่อระบายน้ำและลำราง ในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า | วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม 2565
รฟม. กำชับผู้รับจ้าง ขุดลอกท่อระบายน้ำและลำราง ในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) อย่างต่อเนื่อง
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้ติดตามให้ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาทุกสัญญา ดำเนินการลอกท่อระบายน้ำ และลำรางตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันเศษวัสดุอุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ดีมากยิ่งขึ้น โดย กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ สัญญาที่ 1 ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - รามคำแหง 12 ได้ดำเนินการลอกท่อระบายน้ำแนวถนนรัชดาภิเษก ถนนวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร และถนนพระราม 9 ตั้งแต่บริเวณพื้นที่ก่อสร้างสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานี รฟม. และสถานีวัดพระราม 9
ทั้งนี้ รฟม. ได้เน้นย้ำให้ที่ปรึกษาโครงการ กำกับดูแลให้ผู้รับจ้างฯ ลอกท่อระบายน้ำตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 เดือน และเฝ้าระวังสถานการณ์ พร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องสูบน้ำ เพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ตามนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในการให้ความสำคัญแก่ประชาชนและชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานก่อสร้างโครงการฯ ติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เว็บไซต์โครงการ www.mrta-orangelineeast.com และ Line Official : @OrangeLine
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 แนะชะลอการเดินทาง | วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564
สธ.ห่วงคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 แนะชะลอการเดินทาง
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนที่พบมากขึ้น แนะให้ชะลอการเดินทาง แต่หากจำเป็นให้ป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด เมื่อกลับมาระหว่างกักตัวที่บ้านให้ไปตรวจหาเชื้ออีกครั้ง และกักตัวจนครบ 14 วัน
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศเสี่ยงติดเชื้อโควิด19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนที่พบมากขึ้น แนะให้ชะลอการเดินทาง แต่หากจำเป็นให้ป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด เมื่อกลับมาระหว่างกักตัวที่บ้านให้ไปตรวจหาเชื้ออีกครั้ง และกักตัวจนครบ 14 วัน
วันนี้ (20 ธันวาคม 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า พบการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้วใน 89 ประเทศ และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าใน 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งหลายประเทศได้มีการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคเพิ่มขึ้น เช่น การชะลอการเดินทางในผู้ที่มาจากต่างประเทศ การล็อคดาวน์ในบางธุรกิจเพื่อลดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ สำหรับประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,525 ราย รักษาหาย 4,190 ราย เสียชีวิต 31 ราย การเฝ้าระวังในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศผ่านท่าอากาศยานต่าง ๆ ในเดือนพฤศจิกายน มีผู้เดินทางเข้ามา 133,061 คน เป็นรูปแบบ Test & Go มากที่สุด 106,211 คน เดือนธันวาคม มีผู้เดินทาง 160,445 คน เป็น Test & Go 138,181 คน Sandbox 18,449 คน และ Quarantine 3,815 คน โดยทุกคนที่ตรวจพบการติดเชื้อจะมีส่งตรวจหา
สายพันธุ์ที่ห้องปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในเดือนธันวาคม พบผู้ติดเชื้อแล้ว 348 ราย จากระบบ Test & Go มากที่สุด 204 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้าประเทศ
นายแพทย์จักรรัฐ กล่าวต่อว่า จากการพบผู้ติดเชื้อโควิด19 สายพันธุ์โอมิครอนในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศรูปแบบ Test & Go มากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำข้อเสนอต่อ ศปก.ศบค. ขอให้พิจารณาชะลอการเดินทางเข้าประเทศในรูปแบบ Test & Go จากทุกประเทศ และใช้มาตรการกักตัวระบบ AQ หรือ Sandbox เป็นเวลา 7-10 วัน แทน นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดจัดบริการตรวจ ATK และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเพิ่มจุดบริการในสถานีขนส่งขนาดใหญ่ที่มีผู้เดินทางจำนวนมากทั้งต้นทางและปลายทางเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
“ขอความร่วมมือประชาชนให้ดูแลตนเองในช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้วยการไปฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบตามเกณฑ์, ชะลอการเดินทางไปต่างประเทศหากจำเป็นให้ป้องกันตนเองขณะเดินทางและขณะพำนักในต่างประเทศ โดยปฏิบัติตามมาตรการ UP อย่างเคร่งครัด หากกลับมาและอยู่ระหว่างกักตัวที่บ้าน ให้ไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 อีกครั้ง และกักตัวจนครบ 14 วัน ส่วนสถานประกอบการหน่วยงานที่จะจัดงานปีใหม่ ให้ดำเนินการตามแนวทาง Covid Free Setting ตรวจ ATK และมีผลฉีดวัคซีนก่อนร่วมงาน รวมถึงตรวจซ้ำก่อนกลับมาทำงานหลังปีใหม่ และเฝ้าระวังพนักงานทุกคนที่เดินทางไปต่างจังหวัด หากพบสถานบริการ สถานประกอบการ ร้านอาหาร ให้ดื่มสุราภายในร้านโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting ให้แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมาย” นายแพทย์จักรรัฐกล่าว
สำหรับกรณีที่พบผู้ติดเชื้อโควิด19 สายพันธุ์โอมิครอนที่น่าสนใจ ได้แก่ ผู้ติดเชื้อรายแรก ชายอายุ 35 ปี ชาวอเมริกัน ไม่พบผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สัมผัส ขณะนี้รักษาหายและพ้นระยะกักตัวแล้ว, กรณีชายชาวโคลัมเบีย อายุ 62 ปี อาชีพนักบิน เดินทางจากไนจีเรียเข้าประทศไทย วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 (ก่อนประกาศงดการเดินทางเข้าประเทศ) เข้าระบบแซนด์บอกซ์กักตัวเป็นเวลา 7 วัน จากนั้นกลับบ้านที่จังหวัดปทุมธานี พบติดเชื้อโควิด 19 เป็นสายพันธุ์โอมิครอน และภรรยาติดเชื้อจากการเป็นผู้สัมผัส ซึ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศรายแรกโดยติดจากผู้เดินทางมากจากต่างประเทศ ได้ติดตามหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 1 ราย เป็นคนขับรถ Taxi ขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัว ผลตรวจการรอบแรกเป็นลบ และอยู่ระหว่างรอผลการตรวจครั้งที่ 2 ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำทุกรายได้ติดตามต่อเนื่องยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม เนื่องจากมีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
กรณีผู้ที่เดินทางกลับจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ประเทศซาอุดิอาระเบีย เข้าพักที่ภูเก็ตในระบบTest & Go 133 ราย ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งแรกพบติดเชื้อ 3 ราย เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย เป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 36 ปี มีผู้สัมผัสสี่ยงสูง 1 ราย (เพื่อนร่วมห้องนอนระหว่างทำกิจกรรม) และเดลตา 2 ราย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 3 ราย อยู่ระหว่างการกักตัว ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มทั้งในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ และผู้เดินทางร่วมทั้งคณะ
กรณีผู้เดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ประเทศซาอุดิอาระเบีย31 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทย วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เข้าระบบ Test & Go ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR พบผู้ติดเชื้อ 18 ราย จากจังหวัดนนทบุรี 9 ราย เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 3 ราย เดลตา 5 ราย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 6 ราย และอยู่ระหว่างรอผล 1 ราย, จังหวัดปทุมธานี 2 ราย เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 6 ราย และอยู่ระหว่างรอผล 1 ราย, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 4 ราย เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย เดลตา 1 ราย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย, จังหวัดนครราชสีมา เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย และจากกรุงเทพฯ เป็นเดลตา 2 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคเพิ่มเติมในส่วนของผู้โดยสารบนเครื่องบิน
***************************** 20 ธันวาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49694 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หวังทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัยโดยเร็ว | วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หวังทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัยโดยเร็ว
โฆษกรัฐเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หวังทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัยโดยเร็ว รายงานการฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ. 64-7 มิ.ย. 65 รวม 138,314,608 โดส ใน 77 จังหวัด พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,688 ราย
วันนี้ (8 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อ การป่วยหนักและเสียชีวิต หวังทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัยโดยเร็ว และให้สามารถประกอบกิจการต่างๆ ให้สอดรับกับภาพรวมของประเทศกำลังดีขึ้น มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งผ่อนคลายมาตรการให้เปิดสถานบริการในพื้นที่ 31 จังหวัด ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 7 มิ.ย. 65 รวม 138,314,608 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,811,755 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 52,831,562 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 28,671,291 โดส
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า บางจังหวัดประชาชน ยังได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่ำกว่าเป้าหมาย จะได้กำชับสโนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) รณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมในแต่ละจังหวัดไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 โดยประชาชนสามารถ walk in เข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตามจุดบริการต่าง ๆ ทั่วประเทศ
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,688 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,688 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 0 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 21 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัว 25,426 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 4,130 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จำนวน 2,250,432 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 2,249,708 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 708 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมพร้อมปรับแผนงานรองรับสถานการณ์ ภายหลังมีประกาศสั่งปิดแคมป์คนงานและสถานที่ก่อสร้าง | วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564
รฟม. เตรียมพร้อมปรับแผนงานรองรับสถานการณ์ ภายหลังมีประกาศสั่งปิดแคมป์คนงานและสถานที่ก่อสร้าง
ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25)
ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2564 ข้อ 2 การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และประกาศของกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 34) ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2564 ข้อ 2 ปิดสถานที่ก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร หรือพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 จนถึง 27 กรกฎาคม 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น นั้น
วันที่ 28 มิถุนายน 2564นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและก่อสร้าง) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการเปิดเผยว่า ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ขณะนี้มีความคืบหน้างานโยธาเกือบร้อยละ 80 ปัจจุบันอยู่ในช่วงงานตกแต่ง งานสถาปัตย์และงานติดตั้งระบบไฟฟ้าเครื่องกล อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากภาครัฐมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง โดยสั่งปิด แคมป์คนงานก่อสร้างและพื้นที่ก่อสร้างเป็นการชั่วคราว นั้น ทาง รฟม. ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาฯ กำชับผู้รับจ้างก่อสร้างทุกโครงการ ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและประกาศของภาครัฐในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในกลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งเร่งประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภาพรวม รวมถึงดำเนินการปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และมีผลกระทบต่อระยะเวลาตามสัญญาให้น้อยที่สุด
ทั้งนี้ รฟม. และทุกโครงการจะยังคงดำเนินมาตรการต่างๆ ให้มีความเข้มข้นและรัดกุม อย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตลอดจนเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะกลับสู่ภาวะปกติ
ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ CallCenter รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้รับมอบโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ ระดับแพลทินั่ม ปีที่ 1 | วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้รับมอบโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ ระดับแพลทินั่ม ปีที่ 1
จากกิจกรรมการรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2564
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้รับมอบโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ ระดับแพลทินั่ม ปีที่ 1 จากกิจกรรมการรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2564 (Zero Accident Campaign 2021) ซึ่งถือเป็นรางวัลในระดับขั้นสูงสุดที่ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) กระทรวงแรงงาน ได้พิจารณามอบให้แก่ รฟม. เนื่องจากเห็นว่า รฟม. มีความมุ่งมั่นในการดูแลลูกจ้าง สามารถวางแผนและบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถป้องกันและลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานได้เป็นอย่างดี ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมเว็บไซต์ลงทะเบียนขอรับวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และเรียกเก็บค่าใช้จ่าย แจงเป็นการแอบอ้าง หลอกลวงของมิจฉาชีพ ยันวัคซีนไฟเซอร์เป็นการฉีดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย | วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564
โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมเว็บไซต์ลงทะเบียนขอรับวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และเรียกเก็บค่าใช้จ่าย แจงเป็นการแอบอ้าง หลอกลวงของมิจฉาชีพ ยันวัคซีนไฟเซอร์เป็นการฉีดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมเว็บไซต์ลงทะเบียนขอรับวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และเรียกเก็บค่าใช้จ่าย แจงเป็นการแอบอ้าง หลอกลวงของมิจฉาชีพ ยันวัคซีนไฟเซอร์เป็นการฉีดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเว็บไซต์ลงทะเบียนขอรับวัคซีนโควิด-19ยี่ห้อไฟเซอร์สำหรับคนไทยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขพบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
กรณีที่มีการส่งลิงก์ให้ประชาชนระบุว่าเป็นการลงทะเบียนจองวัคซีนยี่ห้องไฟเซอร์จากอเมริกาสำหรับคนไทยโดยให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายด้วยนั้นทางสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่าเป็นการแอบอ้างหลอกลวงของมิจฉาชีพเรื่องการจองวัคซีนไฟเซอร์และเรียกเก็บเงินโดยทางโฆษกกระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่าวัคซีนไฟเซอร์ทั้งหมดเป็นการฉีดฟรีไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลจนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อนเพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม ประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขได้ที่เว็บไซต์https://www.moph.go.thหรือสอบถามโทร02 5901000 ซึ่งการกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา14(2),(5)มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับหรือกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งผ่าน4ช่องทางได้แก่เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER,ทวิตเตอร์@AFNCThailand,ไลน์@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45088 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt Spokesperson: COVID-19 patients remain entitled to free treatment | วันพุธที่ 5 มกราคม 2565
Govt Spokesperson: COVID-19 patients remain entitled to free treatment
Govt Spokesperson: COVID-19 patients remain entitled to free treatment
January 4, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana clarified about an information spread throughout the social media that the cabinet decided not to subsidize treatment of COVID-19 patients who are unvaccinated, whereas for the vaccinated patients who are also social security/gold card holders must be treated at the hospital they registered in order to receive the treatment free of charge. Those who want to stay at a hospitel or be treated at a private hospital will have to shoulder their own treatment expenses. Hospitalization criteria for mild-symptom patients have also been adjusted to encourage home/community isolation.
According to the Government Spokesperson, the statement above is simply a proposal of concerned agency, deliberated at the cabinet meeting on December 28, 2022, on which the cabinet assigned Ministry of Public Health’s Department of Health Service Support to work together with the National Health Security Office and other concerned agencies to further consider implementation propriety and timeframe for the normalization of the Universal Coverage for Emergency Patients Scheme in line with the COVID-19 situation and public best interest before further decision is to be made. Therefore, as of now all related measures remain unchanged.
The Government Spokesperson reaffirmed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has made public healthcare the Government’s priority. COVID-19 patients of all cases are entitled to free treatment which will be subsidized by the Government.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก | วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565
วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก
วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทำบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา
วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทำบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา ตั้งใจนำหลักธรรม“ศีล 5”และ“สติ”มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน (โพล) ที่มีต่อ “วันวิสาขบูชา ปี 2565” (15 พฤษภาคม 2565) จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 7,865 คน ครอบคลุมทุกอาชีพและทุกภูมิภาค ซึ่งผลสำรวจพบว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.28 คิดว่าวันวิสาขบูชามีความสำคัญ คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ รองลงมา ร้อยละ 67.15 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ร้อยละ 63.55 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และร้อยละ 49.26 เป็นวันสำคัญสากลของโลก และผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 51.46 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชาในปีนี้
ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงปัจจุบันอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต้องการให้จัดกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชารูปแบบใด พบว่า ส่วนใหญ่อยากให้จัดกิจกรรมรูปแบบปกติและรูปแบบออนไลน์ควบคู่กัน ส่วนกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6) ที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่สนใจเข้าร่วม 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ตักบาตรพระสงฆ์ อันดับ 2 ทำบุญ ทำทาน อันดับ 3 ลด ละ เลิก อบายมุข อันดับ 4 เวียนเทียน และอันดับ 5 ฟังพระธรรมเทศนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามเด็ก เยาวชนและประชาชนในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะนำหลักธรรมใดมายึดถือปฏิบัติและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า “ศีล 5”เป็นศีลพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธทุกคนยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต รองลงมา “สติ” ความรู้สึกตัว ความระลึกได้ ความรับรู้ การเอาจิตไปรับรู้ ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือปรากฏขึ้น ในปัจจุบัน “อริยสัจ 4” (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ อันเป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) คุณธรรมแห่งความสำเร็จและหลักการครองงาน และท้ายสุดความกตัญญูกตเวที ความรู้และตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้
นอกจากนี้ ผลสำรวจได้สอบถามถึงวิธีการจูงใจให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา มากขึ้น 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 พ่อ แม่/ปู่ย่า ตายาย/ญาติพี่น้อง พาลูกหลานเข้าร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชา อันดับ 2 เปิดแหล่งเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมหรือเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีออนไลน์ อันดับ 3 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมผ่านโซเชียลมีเดีย อันดับ 4 หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคประชาชนและคณะสงฆ์ ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในมิติทางศาสนา ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอันดับ 5 นำศิลปินดารา บุคคลที่มีชื่อเสียง มาร่วมรณรงค์/เชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนกิจกรรม/ประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า ควรสืบสาน รักษาไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป เช่น ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ำ ประเพณีพิธีสมโภช น้ำสรงพระบรมธาตุดอยสุเทพ (เตียวขึ้นดอย) รวมทั้งงานวันอัฏฐมีบูชา ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือนวิสาขะ (ตรงกับเดือน 6 ของไทย) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
ทั้งนี้ วธ.โดยกรมการศาสนา ขอเชิญชวนเด็ก เยาวชนและประชาชน ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา ปี 2565 ในกิจกรรมตามรอย Buddha ตอบปัญหาธรรมะที่เวบไซต์ www.วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา.com วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 เวลา 08.30 - 16.30 น. ผู้ตอบปัญหาธรรมะผ่าน 5 ข้อขึ้นไป 100 คนแรก จะได้รับของที่ระลึกจากกรมการศาสนา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บูมเมืองต้นแบบเบตง! นักท่องเที่ยวคึกคัก พัฒนาจุดท่องเที่ยวเพิ่ม นักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกมาเยือน จชต.แล้ว 5 แสนคน | วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565
บูมเมืองต้นแบบเบตง! นักท่องเที่ยวคึกคัก พัฒนาจุดท่องเที่ยวเพิ่ม นักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกมาเยือน จชต.แล้ว 5 แสนคน
บูมเมืองต้นแบบเบตง! นักท่องเที่ยวคึกคัก พัฒนาจุดท่องเที่ยวเพิ่ม นักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกมาเยือน จชต.แล้ว 5 แสนคน
วันที่ 30 มิถุนายน 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความสำเร็จโครงการเมืองต้นแบบเบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่ประกอบด้วย อีกสองเมือง คือ เมืองต้นแบบหนองจิก จ.ปัตตานี และเมืองต้นแบบสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยนำนโยบายของนายกรัฐมนตรีเป็นแนวทาง เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน มีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีอาชีพ รายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ พื้นที่มีความสงบร่มเย็นภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขับเคลื่อนผ่านหน่วยงานในพื้นที่ อาทิ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัด และหน่วยงานส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ
สำหรับเมืองต้นแบบเบตง จ.ยะลา มุ่งเป้าเป็นต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ขณะนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ภายหลังเปิดให้บริการสกายวอล์คอัยเยอร์เวง ในปี 2563 ส่งผลให้การท่องเที่ยวภายในเมืองเบตงคึกคักจากทั่วทุกสารทิศ เฉลี่ยวันละ 1,000 คน ส่วนวันหยุด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวจองที่พักและเข้าเที่ยวชมเมืองวันละ 3,000-4,000 คน สร้างงานและอาชีพให้กับผู้คนในพื้นที่อย่างมาก
นางสาวรัชดา ยังได้กล่าวถึงผลจากการจัดโครงการ Amazean Jungle Trail วิ่งตามภูมิประเทศ ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศอ.บต.และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สามารถดึงนักวิ่ง 1,300 คน จาก 14 ประเทศ มีการจองและเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ทของทั้งคนไทยและต่างชาติกว่า 4,000 ห้อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัด 140 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว
ขณะนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ ศอ.บต. และภาคีเครือข่ายการพัฒนาของภาคเอกชน กำลังเร่งการสำรวจและพัฒนาอุโมงค์ปิยะมิตร แห่งที่ 2 “ต้าสุยต๋อ” ซึ่งเป็นอุโมงค์ประวัติศาสตร์สำคัญที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในฐานะฐานที่ตั้งของคอมมิวนิสต์มลายาและจะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เป็นการออกแบบการพัฒนาร่วมกันระหว่างรัฐ ประชาชนและเอกชน รองรับนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติป่าบาลาฮาลาที่มีความงดงามและเป็นป่าอเมซอนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงแห่งเดียว รวมทั้งเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะพร้อมอวดโฉมเป็นการเบื้องต้นในปี 2566
“รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะนำการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเป็นกลไกในการสร้างความสงบร่มเย็นในพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผลการดำเนินงานของโครงการเมืองต้นแบบ ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล อนึ่ง ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แสดงจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมาเยือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงมกราคม-พฤษภาคม ปี 2565 มีกว่า 5 แสนคน คิดเป็นรายได้ 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีจำนวนผู้มาเยือน 2.88 แสนคน คิดเป็นรายได้ 172 ล้านบาท” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเซียร่าลีโอนขนโคเคน 74 ก้อน | วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565
กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเซียร่าลีโอนขนโคเคน 74 ก้อน
กรมศุลกากรจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนำโคเคนเข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 74 ก้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,280 กรัม มูลค่าประมาณ 3.8 ล้านบาท
นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ กรมศุลกากรร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE: AITF) พบข้อมูลผู้ต้องสงสัยเพศชาย อายุ 41 ปี สัญชาติเซียร่าลีโอน เดินทางมาจากประเทศกีนีบิเซาถึงปลายทางสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 12.40 น. เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการวางแผนตรวจค้นบริเวณจุดตรวจศุลกากรผู้โดยสารขาเข้า ผลการตรวจค้นสัมภาระไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงทำการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่พักและการกักตัวของผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าว จนทราบว่าจะเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนจันทร์มีกำหนดออกจากโรงแรม ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ AITF จึงจัดชุดสังเกตการณ์ด้านนอกโรงแรมจนกระทั่งเวลาประมาณ 04.30 น. ของวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 พบเป้าหมายผู้ต้องหาเดินทางออกจากโรงแรม เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบโคเคนซุกซ่อนอยู่ในถุงสีดำภายในกระเป๋าเป้ จำนวน 74 ก้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,280 กรัม มูลค่าประมาณ 3.8 ล้านบาท คาดว่าขณะเดินทางเข้าประเทศผู้ต้องหาได้กลืนโคเคนตามที่ตรวจพบลงไปในช่องท้องและได้ถ่ายออกขณะที่พักในโรงแรมกักตัวดังกล่าว จึงได้แจ้งข้อหาให้ชายคนดังกล่าวทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 2 และครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และเป็นความผิดตามมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
โฆษกกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ สถิติผลการจับกุมยาเสพติดของกรมศุลกากร ในปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 ถึง ปัจจุบัน ) มีจำนวน 28 ราย มูลค่า 880,626,250 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51855 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564 | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564 โดยมีผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จำนวน 5 เรื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี | วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง ต.บางขันหมาก อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี
วันนี้ (18 พ.ย. 64) เวลา 13.00 น. ที่พระอุโบสถ วัดกลาง ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาโปรดให้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส โดยมี สมเด็จมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ การนี้ พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี พระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ธรรมยุต) พระกิตติญาณเมธี เจ้าคณะอำเภอเมืองลพบุรี (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดกลาง พระเถรานุเถระ นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายสุภกิณห์ แวงชิน นายวชิระ เกตุพันธุ์ นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ไวยาวัจกรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดลพบุรีร่วมในพิธี
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และเปิดกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และเชิญผ้าพระกฐินประทาน กล่าวบท นะโม 3 จบ กล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน จบแล้ว ประธานถวายผ้าพระกฐินและเทียนบูชาพระปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 พระสงฆ์กระทำอปโลกนกรรม ประธานถวายบริวารกฐิน พุทธศาสนิกชนถวายเครื่องไทยธรรม ประธานมอบปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินแก่ไวยาวัจกรวัดกลาง กรวดน้ำ พระสงฆ์ทั้งนั้นอนุโมทนา ประธานกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี โดยมียอดปัจจัยที่ถวายเพื่อทำนุบำรุงศาสนา เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,635,000 บาท
ในการนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โปรดประทานสัมโมทนียกถา ความโดยสังเขปว่า เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระศรัทธาให้น้อมนำผ้าพระกฐินมาน้อมถวายพระสงฆ์ ณ วัดกลางแห่งนี้ ซึ่งมีความสำคัญและผูกพันกับศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอุโบสถนี้ ทางคณะศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธได้มาร่วมดำเนินการก่อสร้างถวายเป็นเสนาสนะ เป็นศาสนสถาน เพื่อให้พระสงฆ์ทั้งปวงได้ประกอบศาสนกิจ และอุบาสก อุบาสิกา พุทธศาสนิกชน ชาวบางขันหมาก ได้ใช้ประโยชน์ โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานอนุญาตให้อัญเชิญพระพุทธอังคีรส (จำลอง) เป็นพระประธานในพระอุโบสถแห่งนี้ จึงถือว่าวัดกลางเป็นวัดในพระอุปถัมภ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกวัดหนึ่ง และอยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดราชบพิธ สืบเนื่องมาจากที่วัดราชบพิธได้ส่งเสริมดูแลคณะสงฆ์ รามัญ ที่อำเภอพระประแดง มาโดยตลอด ซึ่งพระกิตติญาณเมธี เจ้าอาวาสวัดกลาง และพระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าอาวาสวัดพระนางจามเทวี ก็เป็นเชื้อสายจากวัดแห่งนี้ที่ไปศึกษาจากวัดอาษาสงคราม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และกลับมาพัฒนาวัดในท้องถิ่นที่อยู่ ถือเป็นการกลับมาสร้างความเจริญ เป็นความอุตสาหะและความจริงใจของพระสงห์ ลูกหลานชาวตำบลบางขันหมากเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบ้านเกิด
"การทอดกฐินถือเป็นอานิสงส์สำคัญซึ่งใน 1 ปี วัดสามารถรับผ้าพระกฐินได้ 1 ครั้ง ถือว่าเป็นบุญประจำกาล ที่สามารถกระทำได้ภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษา วันนี้จึงเป็นการเรามาร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระศาสนา มาช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนา วัดกลางแห่งนี้ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ได้เป็นสมบัติของเจ้าอาวาส แต่เป็นสมบัติของเราชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน สาธารณสถานต่าง ๆ นั้นเราในฐานะพุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ต้องช่วยกันดูแลรักษาและพัฒนาขึ้น ส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมก็ช่วยกันทำนุบำรุงให้ดีขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมท้องถิ่นนี้ เพื่อเป็นศรัทธาให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จึงขออนุโมทนากับพุทธศาสนิกชนทุกท่านทุกคน" เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวสัมโมทนียกถาในช่วงท้าย
ทั้งนี้ ก่อนประกอบพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ได้ร่วมปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ บริเวณด้านหลังพระอุโบสถวัดกลาง ร่วมกับเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เยี่ยมชม พบปะ และให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดลพบุรี ซึ่งได้นำผลิตภัณฑ์ผ้ามัดหมี่ของจังหวัดลพบุรี มาออกร้านจำหน่ายให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน ซึ่งมีผ้าลวดลายต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ หลากหลายรูปแบบและหลากหลายสีสัน มีความโดดเด่น แปลกตา เป็นอัตลักษณ์ผ้าของจังหวัดลพบุรีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้น ในเวลา 14:00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางต่อมายังวัดอัมพวัน ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมและเยี่ยมชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์มอญบางขันหมาก และร่วมกิจกรรมกับชาวมอญบางขันหมาก ซึ่งจากประวัติมีการสันนิษฐานว่า ชาวมอญบางขันหมากได้อพยพมาจากพม่าในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้อพยพชาวมอญกลุ่มนี้มาสร้างเมืองลพบุรี เพราะชาวมอญมีความถนัดในการทำอิฐ และเมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วเห็นว่าภูมิประเทศแห่งนี้ทำเลดี เหมาะที่จะตั้งหลักปักฐาน จึงตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบางขันหมากจนถึงทุกวันนี้ บริเวณทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองลพบุรี ห่างจากเขตเทศบาลเมืองลพบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยชาวมอญบางขันหมากในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับคนไทย เพราะความกลมกลืนทางวัฒนธรรม แต่ยังคงมีการอนุรักษ์และรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไว้ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด อาทิ การกินอยู่ อาหารพื้นบ้าน การแต่งกาย และการพูดภาษาถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกา ยังคงใช้ภาษามอญในการสวดมนต์ไหว้พระ ทั้งนี้ จุดเด่นของชาวมอญบางขันหมาก คือ ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา แม้สภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด แต่ความศรัทธาของชาวมอญยังคงเหนียวแน่น สะท้อนจากเมื่อถึงเทศกาลงานบุญต่าง ๆ ชาวบางขันหมากทุกครัวเรือนจะไปร่วมทำบุญที่วัด ผู้ที่ไปทำงานต่างถิ่นก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิมในทุกโอกาส ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวมอญบางขันหมาก จนถึงปัจจุบัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมหน้ากากอนามัยไม่ระบุ VFE ไม่สามารถป้องกันไวรัส | วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564
โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมหน้ากากอนามัยไม่ระบุ VFE ไม่สามารถป้องกันไวรัส
โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมหน้ากากอนามัยไม่ระบุ VFE ไม่สามารถป้องกันไวรัส
โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมหน้ากากอนามัยไม่ระบุVFEไม่สามารถป้องกันไวรัสแจงหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่อย.อนุญาตแม้จะไม่ได้ระบุVFEก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันการทะลุผ่านของละอองฝอยและเชื้อไวรัสที่ปนมากับละอองฝอยได้
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่า ตามที่มีข้อความแนะนำปรากฏในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องหน้ากากอนามัยที่ไม่ระบุVFEจะไม่สามารถป้องกันไวรัสได้ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าหากสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ไม่ระบุVFEเท่ากับป้องกันไวรัสไม่ได้นั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าคำว่าVFEที่พบบนบรรจุภัณฑ์ของหน้ากากหมายถึงค่าประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัส(Viral Filtration Efficiency)ของหน้ากาก
ซึ่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่อย.อนุญาตจะมีคุณสมบัติในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสที่มาพร้อมละอองฝอยของน้ำลายได้แม้ว่าจะไม่ได้ระบุข้อมูลประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสในรูปแบบVFE
ดังนั้นประชาชนสามารถสังเกตข้างกล่องจะระบุข้อความMedical mask, Surgical maskหรือหน้ากากอนามัยทางการแพทย์และสามารถตรวจสอบรายชื่อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากอย.ทางเว็บไซต์www.fda.moph.go.thอย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วเชื้อไวรัสจะมาพร้อมกับละอองฝอยของน้ำลายหน้ากากอนามัยที่ระบุวัตถุประสงค์อื่นเช่นป้องกันฝุ่นละอองป้องกันกลิ่นแม้ว่าอย.จะไม่ได้กำกับดูแลแต่ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันการทะลุผ่านของละอองฝอยและเชื้อไวรัสที่ปนมากับละอองฝอยได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลจนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อนเพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม ประชาชนสามารถรับข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์www.fda.moph.go.thหรือโทรสายด่วนอย. 1556
นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งผ่าน4ช่องทางได้แก่เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER,ทวิตเตอร์@AFNCThailand,ไลน์@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมชัย เดินหน้าแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ปุ๋ยขาดแคลน ขับเคลื่อนมาตรการ 3 ระยะ ส่งเสริมเกษตรกรใช้ปุ๋ยผสมผสาน ลดการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ | วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565
เฉลิมชัย เดินหน้าแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ปุ๋ยขาดแคลน ขับเคลื่อนมาตรการ 3 ระยะ ส่งเสริมเกษตรกรใช้ปุ๋ยผสมผสาน ลดการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ
เฉลิมชัย เดินหน้าแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ปุ๋ยขาดแคลน ขับเคลื่อนมาตรการ 3 ระยะ
ส่งเสริมเกษตรกรใช้ปุ๋ยผสมผสาน ลดการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาช่วยเกษตรกรจากราคาปุ๋ยที่แพงปุ๋ยขาดแคลนมอบกรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ ลุยแผนบริหารจัดการมาตรการแก้ไขปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพงและไม่มีเสถียรภาพ ปี 2565 – 2569ด้านกรมปศุสัตว์ เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์นำเอาปุ๋ยคอกมาใช้ในภาคการเกษตรเพิ่มมากขึ้นกรมพัฒนาที่ดิน ส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีช่วยเกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยที่มีคุณภาพ อย่างเพียงพอ ทั่วถึง และใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงในรายละเอียดว่าจากสถานการณ์ที่เกษตรกรไทยกำลังเผชิญกับราคาปุ๋ยที่แพงปุ๋ยขาดแคลน และขาดเสถียรภาพ ซึ่งปัญหาดังกล่าว เกิดจากสาเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งปุ๋ยในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออก ปุ๋ยรายใหญ่ของโลก ได้ชะลอการส่งออกรัสเซียได้ประกาศห้ามส่งออกปุ๋ยเคมี ตลอดจนราคาน้ำมัน แก๊ส ค่าระวางเรือสูงขึ้น ส่งผลให้ปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น โดยปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศ ถึงร้อยละ 98 รวมปีละกว่า 5.1 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 40,000 - 50,000 ล้านบาท
ในเรื่องดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกียวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และปุ๋ยขาดแคลน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการและวางแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยมอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนบริหารจัดการมาตรการแก้ไขปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพงและไม่มีเสถียรภาพ ปี 2565 – 2569เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ลดการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ และให้เกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยที่มีคุณภาพ เพียงพอ และทั่วถึง ทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว ดังนี้
มาตรการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเตรียมการช่วยเหลือเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรจากปัญหาราคาปุ๋ยเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้นอาทิ โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service)ระยะที่ 2มีศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ จำนวน 299 ศูนย์ พื้นที่ 58 จังหวัด เกษตรกร 52,170 ราย พื้นที่ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน 250,398 ไร่การชดเชยราคาปุ๋ยให้แก่เกษตรกรโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ประสานงานร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยของธ.ก.ส.อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.01 เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถาบันเกษตรกร องค์กรเกษตรกรในการจัดหาปุ๋ยบริการสมาชิก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 1 ธันวาคม 2562 ถึง 30 พฤศจิกายน 2568กลไกตามบทบาทภารกิจของหน่วยงาน โดยเน้นขับเคลื่อน4 ด้านคือ (1) การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการใส่ปุ๋ยอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพสูง “4 ถูก ถูกสูตร ถูกอัตรา ถูกเวลา ถูกวิธี”(2) ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินและความต้องการของพืช/ การใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานแก่เกษตรกร (ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยชีวภาพ)/ปรับปรุงดินให้ pH เหมาะสม (3) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงปุ๋ยและจัดหาปุ๋ยเคมีที่มีคุณภาพใช้ในชุมชนอย่างพอเพียงและทั่วถึง (4) พัฒนาและสนับสนุนงานวิจัยการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินให้ครอบคลุมทุกชนิด พืชเศรษฐกิจที่สําคัญ และการเจรจาขอซื้อปุ๋ยไนโตรเจนราคาพิเศษจากมาเลเซีย (หุ้นส่วนอุตสาหกรรมตามข้อตกลง Basic Agreement on ASEAN Industrial Complementation)ซึ่งเป็นความตกลงพื้นฐานว่าด้วยการแบ่งผลิตอุตสาหกรรมอาเซียน
มาตรการการแก้ปัญหาระยะกลาง (ระยะเวลา 3 - 5 ปี)ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ ทั้งในส่วนของโปแตช และแอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งสินแร่โปแตช ที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแม่ปุ๋ยได้ เช่น จังหวัดชัยภูมิอุดรธานี นครราชสีมา เป็นต้น และ การเจรจาแลกเปลี่ยนแม่ปุ๋ยกับประเทศมาเลเซีย และอื่น ๆ โดยนำ Basic Agreement on ASEAN Industrial Complementation หรือข้อตกลงอาเซียนหรือข้อตกลงทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ในการเจรจามาตรการการแก้ปัญหาระยะยาว ประกอบด้วยการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาปุ๋ย เมื่อมีความพร้อมในการผลิตแม่ปุ๋ยโปแตสเซียมแล้ว (หากจำเป็น) เจรจาการกำหนดราคาแม่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ร่วมกับ ประเทศมาเลเซียและจีน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพของแม่ปุ๋ย ทั้งปริมาณและราคา
นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์นำเอาปุ๋ยคอกมาใช้ในภาคการเกษตรเพิ่มมากขึ้น ทั้งในนาข้าว พืชสวน พืชไร่ ในการบำรุงดิน การรองพื้นในหลุมปลูก ซึ่งปุ๋ยจากมูลสัตว์ สามารถนำมาใช้ในการผลิตพืชในครัวเรือน เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี และลดต้นทุนการผลิตได้ และจากข้อมูลพบว่า ภาพรวมของปริมาณมูลสัตว์แห้งจากฟาร์มปศุสัตว์ชนิดต่างๆ ที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ มีปริมาณรวมปีละกว่า 27 ล้านตัน โดยปัจจุบัน เกษตรกรได้มีการนำเอามูลสัตว์ไปผลิตเป็นปุ๋ยคอก ทั้งในรูปแบบผง อัดเม็ด และแบบน้ำ เพื่อนำไปใช้เอง และจำหน่ายให้เกษตรกรทั่วไป ในภาคการเกษตร และเชิงพาณิชย์ ช่วยให้สามารถทดแทนปุ๋ยเคมีที่ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ในการใช้ปุ๋ยคอกควรต้องได้รับการแนะนำ วิธีการบริหารจัดการ วิธีการใช้ที่ถูกต้อง เหมาะสมกับพืชแต่ละประเภท จากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านพืชและปุ๋ยโดยตรง
ขณะที่กรมพัฒนาที่ดิน ได้กำหนดแผนการขับเคลื่อนการจัดการปุ๋ยอินทรีย์เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี พร้อมร่วมกับหมอดินอาสาถ่ายทอดความรู้ การผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วยแนวทาง ต่างๆ อาทิ การพัฒนาคุณภาพดินตามคำแนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินรายแปลง โดยมีการเก็บตัวอย่างดิน นำมาตรวจวิเคราะห์สมบัติทางเคมี ประเมินผลให้คำแนะนำเกษตรกรในการจัดการดินและการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร สนับสนุนแจกผลิตภัณฑ์สารเร่งจุลินทรีย์ พด. ให้เกษตรกรได้นำไปผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และต่อยอดขยายผลการเพาะปลูกพืชในระบบเกษตรอินทรีย์โดยมีกองเทคโนโลยีชีวภาพทางดินทำการผลิตผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ พด. ชนิดต่างๆ พัฒนาและส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ชีวภาพได้แก่ ปุ๋ยชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และปุ๋ยพืชสด ส่งเสริมการไถกลบตอซังใช้น้ำหมักชีวภาพและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรตอซังพืช ป้องกันปัญหาหมอกควันและลดสภาวะโลกร้อน รวมทั้ง ผลักดันการตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด การหมุนเวียนนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักให้เกิดประโยชน์ และสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้ ให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ผ่านร่างกฎกระทรวงฯ ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค. 65) ช่วยลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต | วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565
ครม. ผ่านร่างกฎกระทรวงฯ ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค. 65) ช่วยลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต
ครม. ผ่านร่างกฎกระทรวงฯ ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค. 65) ช่วยลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต
วันที่ 5 เมษายน 2565 นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. ลดอัตราเงินสมทบ 3 เดือน กรณี ม 33 นายจ้างและลูกจ้าง จ่ายเงินสมทบกองทุนฯ เหลือ ฝ่ายละร้อยละ 1 จากเดิมร้อยละ 5 กรณี ม 39 จากเดิมร้อยละ 9 ของฐานค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละ 432 บาท) ให้เหลือร้อยละ 1.9 หรือ เดือนละ 91 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.- 31 ก.ค. 65 ทั้งนี้ การลดอัตราเงินสมทบ 3 งวดนี้ ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลง 34,023 ล้านบาท โดยผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบลดลงเป็นเงิน 18,085 ล้านบาท และนายจ้างจ่ายเงินลดลงเป็น 15,938 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกันตน ทำให้สามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องได้ประมาณ 1,000 - 1,800 บาทต่อคน ขณะเดียวกันนายจ้างก็มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้รัฐบาลได้ใช้กลไกของกองทุนประกันสังคม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตนและต้นทุนการผลิตให้แก่นายจ้าง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป เท่านั้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นิพนธ์ ขอบคุณทุกความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยลดการสูญเสียชีวิตทางถนนในช่วงปีใหม่ 15% เชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยลดความสูญเสียได้ตลอดทั้งปี | วันพุธที่ 5 มกราคม 2565
นิพนธ์ ขอบคุณทุกความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยลดการสูญเสียชีวิตทางถนนในช่วงปีใหม่ 15% เชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยลดความสูญเสียได้ตลอดทั้งปี
นิพนธ์ ขอบคุณทุกความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยลดการสูญเสียชีวิตทางถนนในช่วงปีใหม่ 15% เชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยลดความสูญเสียได้ตลอดทั้งปี
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2565 หรือ ศปถ. โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.64 – 4 ม.ค.65) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,707 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 333 ผู้บาดเจ็บรวม 2,672 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ เชียงใหม่ (96 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (22 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ กาญจนบุรี (จังหวัดละ 93 คน) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วันของการรณรงค์มี 9 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครนายก ปัตตานี พังงา ยะลา สตูล สมุทรสงคราม สุโขทัย และแพร
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 34.45 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 25.36 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 21.05 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.04 อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 82.78 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 40.67 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 38.28 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 18.01 – 19.00 น. ร้อยละ 10.53 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 40 – 59 ปี ร้อยละ 17.49
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนทั้งจำนวนอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ลดลงเมื่อเปรียบเทียบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับปี 2564 โดยจำนวนการเกิดอุบัติเหตุลดลง 626 ครั้ง (ลดลง 18.78%) ผู้บาดเจ็บลดลง 654 คน (ลดลง 19.66%) และผู้เสียชีวิตลดลง 59 คน (ลดลง 15% ) ซึ่งสวนทางกับปริมาณรถขาเข้าและขาออกจากกรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 7,540,156 คัน (ออกจาก กทม. จำนวน 3,718,563 คัน และเข้า กทม. จำนวน 3,821,593 คัน) ที่เพิ่มขึ้น 19 % เมื่อเทียบกับปริมาณจราจรของเทศกาลปีใหม่ 2564 ที่มีสถิติอยู่ที่ 6,328,973 คัน โดยสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและเมาสุรา แม้ปีนี้ปริมาณการจราจรบนถนนจะสูงกว่าปี 2564 แต่ผลจากรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังของทุกจังหวัดและหน่วยงาน สามารถทำให้เกิดความปบอดภัยทางถนนได้มากกว่าปี 2564 โดยดูจากตัวชี้วัดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้บาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต ลดลงทุกตัว ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะบูรณาการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายภาพรวมของประเทศในการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศให้เหลือ 12 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนภายในปี พ.ศ. 2570
“ขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร กลุ่มจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทาง ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน และเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป” นายนิพนธ์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50248 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ปรับปรุงอาคารศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ | วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
กรมทางหลวงชนบท ปรับปรุงอาคารศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่
เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ลดปัญหาการจราจรในสายทาง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ปรับปรุงอาคารศูนย์ควบคุมการจราจร เพื่อการท่องเที่ยวแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและลดปัญหาการจราจรในสายทาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางท่องเที่ยวภายในจังหวัด ด้วยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (Intelligent Transportation System : ITS) ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีปริมาณการเดินทางสูงโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลและฤดูกาลท่องเที่ยวของทุกปี เนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดในบางแห่ง และมีความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุขณะสัญจรบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้น โดย ทช. ได้คำนึงถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยและการแก้ปัญหาการจราจรในอนาคตของจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อการท่องเที่ยวแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมฯ ที่นำระบบขนส่ง และจราจรอัจฉริยะ (ITS) มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลและควบคุมการจราจรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยศูนย์ควบคุมฯ ดังกล่าวเป็นการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างแขวงทางหลวงชนบทเชียงใหม่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการจราจรของพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละช่วงเวลา รองรับปริมาณการเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงป้องกันและลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในสายทางให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี มาใช้ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงพื้นที่และดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรได้อย่างรวดเร็วและสามารถประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเดินทางสู่ผู้ใช้เส้นทางได้โดยตรงจากศูนย์ควบคุมฯ สำหรับบริเวณทางแยกและจุดเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัดเชียงใหม่ ทช. ได้ติดตั้งระบบ CCTV เพื่อนับปริมาณการจราจร พร้อมกับติดตั้งป้าย VMS สำหรับประชาสัมพันธ์ข้อมูลจราจรแบบ Real Time เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางทราบสภาพการจราจร ณ เวลาปัจจุบัน รวมทั้งมีการใช้งานระบบสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนระยะเวลาของสัญญาณตามปริมาณจราจรในแต่ละช่วงเวลาได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างทดลองระบบควบคุมการจราจรผ่านศูนย์ควบคุมฯ และดำเนินการขยายผลการติดตั้งเพิ่มเติมไปยังแหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ ทางหลวงชนบทสาย ชม.3024 อำเภอเชียงดาว ทางหลวงชนบทสาย ชม.4030 อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง และทางหลวงชนบทสาย ชม.4051 อำเภอแม่ริม ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดใช้งานศูนย์ควบคุมฯ อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2565 จึงนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อการท่องเที่ยว ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการข้อมูลจราจรบนเส้นทางในโครงข่ายทางหลวงชนบทได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนามาตรฐานด้านการอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50172 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.