title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
รมว.มท. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 08.30 น. ที่อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และลงนามถวายพระพร ขอทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
ตามที่สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค. 65) เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาทรงพระประชวร ความว่า เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 เวลา 18.20 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงทำการฝึกสุนัขทรงเลี้ยงที่จะเข้าแข่งขันสุนัขใช้งานตามมาตรฐานสากลในรายการ Thailand Working Dog Championship by Royal Thai Army 2022 ระหว่างวันที่ 10-19 ธันวาคม 2565 ณ สนามฝึก กองพันสุนัขทหาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในระหว่างที่ทรงทำการฝึก ทรงมีพระอาการ ประชวรหมดพระสติ ด้วยพระอาการทางพระหทัย คณะแพทย์ประจำพระองค์จึงได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินไปปฐมพยาบาล ณ โรงพยาบาลปากช่องนานา พระอาการประชวรคงที่ในระดับหนึ่ง จากนั้น ได้เชิญเสด็จประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเพื่อถวายการตรวจพระวรกายอย่างละเอียด และประทับรักษาพระองค์ต่อไป
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาร่วมกับคณะสงฆ์ทุกพระอารามทั่วประเทศ ต่อจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น ตามที่มหาเถรสมาคมได้ประกาศเชิญชวน รวมทั้งการปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62737 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ช่วยเหลือครู จัดทำมาตรการแก้ไขหนี้ ลดดอกเบี้ย 0% ผ่อนชำระ 1,000 บาท นาน 2 ปี ในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย ระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค.65 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
ธอส. ช่วยเหลือครู จัดทำมาตรการแก้ไขหนี้ ลดดอกเบี้ย 0% ผ่อนชำระ 1,000 บาท นาน 2 ปี ในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย ระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค.65 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ธอส.ร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า จัดโดย ก.ศึกษาธิการ ร่วมกับสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค.2565 ณ ฮอลล์ 5 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีหน้าที่หลักในการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้สิน ทั้งที่อยู่ระหว่างการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และการปรับโครงสร้างหนี้ ให้ได้รับความช่วยเหลือ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงพร้อมเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่าที่จัดขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2565 ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยรายละเอียดความช่วยเหลือของ ธอส. ประกอบด้วย
มาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร 1.มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL หรือ ลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2 ปี เดือนที่ 1-10 ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) และ 2.มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ : คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี นาน 6 เดือน
บ้านมือสอง ธอส. จากทั่วประเทศ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสุดพิเศษ และสามารถผ่อนดาวน์ 0% ระยะเวลานานถึง 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ สามารถจองซื้อทรัพย์ออนไลน์ภายในและวางเงิน 1,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณสำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. ภายในงาน สามารถจองสิทธิ์ซื้อและเลือกดูทรัพย์ได้ที่ Application : G H Bank Smart NPA
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้ามาตรการความช่วยเหลือฯ จะต้องเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ข้าราชการครูและและบุคลากรทางการศึกษาของสังกัดกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ โดยจะต้องแสดงหลักฐาน เอกสาร บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด พร้อมทั้งแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพหรือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เช่น หลักฐานรายได้ หรือ หนังสือรับรองจากหน่วยงานจากต้นสังกัด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL , GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62747 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พร้อมช่วยบุคลากรประสาน ก.พ. ติดตามความก้าวหน้าสายงาน ทั้งการบรรจุข้าราชการ-กำหนดตำแหน่งนักสาธารณสุข | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
สธ. พร้อมช่วยบุคลากรประสาน ก.พ. ติดตามความก้าวหน้าสายงาน ทั้งการบรรจุข้าราชการ-กำหนดตำแหน่งนักสาธารณสุข
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุขรับเรื่องจากตัวแทนเครือข่ายบุคลากรสาธารณสุขและเจ้าพนักงานสาธารณสุข ที่มาติดตามความก้าวหน้าในสายงาน ยืนยันพร้อมดูแลทุกสายวิชาชีพ
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุขรับเรื่องจากตัวแทนเครือข่ายบุคลากรสาธารณสุขและเจ้าพนักงานสาธารณสุข ที่มาติดตามความก้าวหน้าในสายงาน ยืนยันพร้อมดูแลทุกสายวิชาชีพ กรณีบรรจุข้าราชการโควิดรอบ 2 การกำหนดตำแหน่งนักสาธารณสุข จะประสานติดตามให้ข้อมูล ก.พ. เพื่อพิจารณาต่อไป
วันนี้ (16 ธันวาคม 2565) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับเรื่องจากชมรมนักวิชาการสาธารณสุข (ประเทศไทย) ตัวแทนเครือข่ายบุคลากรสาธารณสุข 63 สายงาน และชมรมเจ้าพนักงานสาธารณสุข 11 สายงานที่ขอเข้าพบเพื่อติดตามความคืบหน้าและกรอบระยะเวลาการดำเนินงานเรื่องความก้าวหน้าในสายงานต่างๆ เช่น การบรรจุข้าราชการโควิด 19 รอบ 2 การกำหนดตำแหน่งนักสาธารณสุขเป็นวิชาชีพเฉพาะ ตามมติ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข การปรับสายงานเจ้าพนักงานสาธารณสุข รวมถึงค่าตอบแทน และค่าเสี่ยงภัยโควิด เป็นต้น
นพ.รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าใจถึงความเสียสละในการทำงานของบุคลากร มีความห่วงใยและมีนโยบายที่ชัดเจนในการดูแลบุคลากรสาธารณสุขทุกคนให้มีความก้าวหน้าในสายวิชาชีพอย่างเท่าเทียมและมีความสุข ซึ่งในช่วงนี้มีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและเต็มที่ ทั้งการเพิ่มอัตราบรรจุข้าราชการและเพิ่มค่าตอบแทน โดยประเด็นต่างๆ ที่เครือข่ายบุคลากรติดตามสอบถามในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)เนื่องจากขณะนี้กระบวนการพิจารณาอยู่ในส่วนของ ก.พ. ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของกระทรวงสาธารณสุข แต่เราได้เตรียมพร้อมข้อมูลเพื่อสนับสนุนในประเด็นต่างๆ เช่น กรณีการบรรจุข้าราชการโควิดรอบ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มนอกเหนือสายวิชาชีพ หรือการกำหนดตำแหน่งนักสาธารณสุขเป็นวิชาชีพเฉพาะ ได้มีการติดตามความคืบหน้ากับ ก.พ.เป็นระยะ
ส่วนการปรับสายงานเจ้าพนักงานสาธารณสุขที่มีการศึกษาต่อในระดับสูงนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามระเบียบของ ก.พ. ที่ใช้กับข้าราชการทุกหน่วยงาน ซึ่งจะมีกรอบอัตรากำลังกำหนดตำแหน่งและจำนวนข้าราชการกลุ่มต่างๆ และมีกฎเกณฑ์การบรรจุที่จะต้องผ่านการสอบภาค ก ก่อน สำหรับเรื่องค่าตอบแทนค่าเสี่ยงภัยปฏิบัติงานโควิด 19ขณะนี้มีการเบิกจ่ายถึงเดือนมิถุนายน 2565 ส่วนที่ยังตกค้างและยังขาดอีก 3 เดือน คือ กรกฎาคม - กันยายน 2565 อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อขอจัดสรรงบกลางต่อไป
******************************************** 16 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62732 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ถนนสายวัฒนธรรม วิถีใหม่ บ้านโนนกอก” ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก จังหวัดอุดรธานี | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ถนนสายวัฒนธรรม วิถีใหม่ บ้านโนนกอก” ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก จังหวัดอุดรธานี
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ถนนสายวัฒนธรรม วิถีใหม่ บ้านโนนกอก” ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก จังหวัดอุดรธานี
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ถนนสายวัฒนธรรม วิถีใหม่ บ้านโนนกอก” ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก จังหวัดอุดรธานี
เมื่อเร็วๆ นี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ถนนสายวัฒนธรรม วิถีใหม่ บ้านโนนกอก” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนกอก นายกสมาคมธุรกิจชาวเวียดนามแห่งประเทศไทย
เครือข่ายทางวัฒนธรรมชุมชนบ้านโนนกอก เข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวิถีถิ่น วิถีชุมชน “ถนนสายวัฒนธรรม” เป็นโครงการต้นแบบส่งเสริมให้เครือข่ายทางวัฒนธรรมมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ สืบสาน ศิลปวัฒนธรรมของชุมชน ท้องถิ่น สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้ทุกจังหวัดมีตลาดวัฒนธรรม คือ ตลาดบก หรือตลาดน้ำ ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล ตามนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62744 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 162/2562 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 แต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไปนั้น เนื่องจาก นายดิสทัต โหตระกิตย์ ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2565 ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 10 (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 จึงให้นายดิสทัต โหตระกิตย์ ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก
และเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2565 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62724 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมงานเเถลงข่าวมหกรรมอารยสถาปัตย์เเละนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งมวลครั้งที่ 6 Thailand Friendly Design Expo 2022 | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมงานเเถลงข่าวมหกรรมอารยสถาปัตย์เเละนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งมวลครั้งที่ 6 Thailand Friendly Design Expo 2022
กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมงานเเถลงข่าวมหกรรมอารยสถาปัตย์เเละนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งมวลครั้งที่ 6 Thailand Friendly Design Expo 2022
กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมงานเเถลงข่าวมหกรรมอารยสถาปัตย์เเละนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งมวลครั้งที่ 6 Thailand Friendly Design Expo 2022
เมื่อเร็วๆ นี้ นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเเถลงข่าวมหกรรมอารยสถาปัตย์เเละนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งมวลครั้งที่ 6 Thailand Friendly Design Expo 2022โดยมีผู้เเทนจากหน่วยงานต่าง ๆ
เข้าร่วม อาทิ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะเเห่งชาติ นางพรนิภา มาสิลิรังสี รองอธิบดีกรมส่งเสริมเเละพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าร่วมเเถลงข่าว โดยมีนางพนารัตน์ คนขยัน ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์เเละเเผนงาน กระทรวงวัฒนธรรม ผู้มีเกียรติ เเละเจ้าหน้าที่เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 201 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเเละส่งเสริมอารยสถาปัตย์ ขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม เเละการคิกออฟ “ประชาคมอาเซียนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” การประชุมเสวนานิทรรศการต่าง ๆ พร้อมทั้งเเสดงเเละจำหน่ายสินค้าเเสดงนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีเเละบริการเพื่อดูเเลสุขภาพเเละการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการเเละครอบครัว รวมถึงผู้รักสุขภาพทั่วไป ระหว่างวันที่ 15 - 18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการเเละการประชุมไบเทคบางนา กรุงเทพฯ ซึ่งในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายส่งเสริมอารยสถาปัตย์เเละปรับปรุงเเหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเเละศาสนสถานให้รองรับคนทั้งมวลได้ รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้พิการให้เข้าชมและสัมผัสได้ อีกทั้งได้นำสินค้าเเละผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน สินค้าทางวัฒนธรรม รวมถึงแนะนำเเหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในงานดังกล่าวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนเที่ยวแหล่งมรดกทางโลก ชมวัฒนธรรมไทพวน ชุมชนยลวิถี “บ้านเชียง” จ.อุดรธานี | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
วธ.ชวนเที่ยวแหล่งมรดกทางโลก ชมวัฒนธรรมไทพวน ชุมชนยลวิถี “บ้านเชียง” จ.อุดรธานี
วธ.ชวนเที่ยวแหล่งมรดกทางโลก ชมวัฒนธรรมไทพวน ชุมชนยลวิถี “บ้านเชียง” จ.อุดรธานี ปั้นหม้อ ล้อลายเขียนสีลายสืบทอดมา 5,000 ปี แซ่บอีหลีกับเมนูข้าวผัดข่าแจ่วหอมหวานบ้านเชียง ช้อปของดีบ้านเชียง พร้อมจัดโปรแกรมเที่ยวต้อนรับน้องท่องเที่ยว
วธ.ชวนเที่ยวแหล่งมรดกทางโลก ชมวัฒนธรรมไทพวน ชุมชนยลวิถี “บ้านเชียง” จ.อุดรธานี ปั้นหม้อ ล้อลายเขียนสีลายสืบทอดมา 5,000 ปี แซ่บอีหลีกับเมนูข้าวผัดข่าแจ่วหอมหวานบ้านเชียง ช้อปของดีบ้านเชียง พร้อมจัดโปรแกรมเที่ยวต้อนรับน้องท่องเที่ยว สร้างรายได้ สร้างงาน สร้างฐานการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
วันที่ 13 ธันวาคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายวันชัยคงเกษมผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีผู้บริหารหัวหน้าส่วนราชการวัฒนธรรมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ผู้แทนสภาวัฒนธรรมจังหวัด นายกเทศมนตรีตำบลบ้านเชียง ผู้นำชุมชนฯ ชาวชุมชนบ้านเชียง นักท่องเที่ยว และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ในโอกาสนี้ ปลัดวธ. ได้เปิดตัวชุมชนด้วยเอกลักษณ์ของชาวบ้านเชียงเปิดป้ายชุมชนด้วยการเขียนลวดลายก้นหอยลงบนไหบ้านเชียง พร้อมการบรรเลงเพลงโปงลางจากวงดนตรีพื้นบ้านโปงลาง โรงเรียนบ้านเชียงวิทยา จากนั้นเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทพวน ตลาดวัฒนธรรม ชิมข้าวผัดข่าแจ่วหอมหวานบ้านเชียง ชมสาธิตภูมิปัญญาไทพวนบ้านเชียง อาทิ ทำขนมข้าวปาดเขียวมรกต ข้าวโล่ง ข้าวจี่ ขนมครก ขนมดอกบัว จักสาน ทำผ้าบาติก ของฝากที่ระลึก เยือนร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของชุมชน ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ศูนย์เรียนรู้กลุ่มปั้นหม้อเขียนสีบ้านเชียง “เฮ็ดมือ ปั้นหม้อ ล้อลาย” ปั้นหม้อเขียนสีลายสืบทอดมา 5,000 ปี ชมการร้อยสร้อยลูกปัดดินเผาตามรอยดินดำ อารยธรรมบ้านเชียง เรียนรู้การทอผ้าฝ้ายย้อมครามบ้านเชียง “มนต์เสน่ห์ภูษา ผ้าฝ้ายย้อมครามไทพวนบ้านเชียง” ชมหลุมขุดค้น วัดโพธิ์ศรีใน กราบสักการะสรีระสังขาร อดีตเจ้าอาวาส กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ อุโบสถดอกบัวกลางน้ำแห่งเดียวในประเทศไทย ณ วัดสันติวนาราม
ปลัด วธ. กล่าวว่า การเปิดตัวสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเชียง เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ (Creative Culture)เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่BCGสอดคล้องกับ วธ. มุ่งขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทจากกระทรวงสังคม สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ “เปลี่ยนฉากทัศน์วัฒนธรรม สู่ก้าวที่มั่นคงและยั่งยืน” เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และบริการทางวัฒนธรรม ตอบโจทย์สถานการณ์โลกในยุคหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นับเป็นการแสดงถึงความเข้มแข็งระหว่างคนในชุมชนกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมรูปแบบการท่องเที่ยววิถีใหม่ สไตล์New Normalเป็นอย่างดี ถือเป็นชุมชนที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติอีกแห่งหนึ่ง
ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า ชุมชนบ้านเชียง เป็นเครือข่ายวัฒนธรรมไทพวน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้ายย้อมคราม มีวิถีชีวิตและแหล่งท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์ มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จัดการแสดงวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบที่บ้านเชียงและพื้นที่ใกล้เคียงพร้อมทั้งนิทรรศการทางประวัติศาสตร์ หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ทำนา ทำปุ๋ยหมัก ปลูกผักปลอดสารพิษ เรียนรู้ทอผ้าย้อมคราม ออกแบบลายผ้า การมัดหมี่ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ บึงนาคำ วัดสันติวนาราม (วัดดงไร่) ป่าไม้ธรรมชาติ 1,000 ไร่ หนองน้ำ 100 ไร่ เรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผา และเขียนสีลวดลายบ้านเชียง ณ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปั้นหม้อเขียนไห เรียนรู้การจักสาน ทอผ้า และมัดย้อม ร่วมกิจกรรมของฝากที่ระลึกDIYแม็คเน็ต พวงกุญแจ ถ้วยกาแฟ ถ้วยชามบ้านเชียง ชมศาสนสถาน ที่สวยงาม เช่น อุโบสถดอกบัวกลางน้ำ พระใหญ่วัดเทพประทานพร โบสถวิหารวัดสระแก้ว ยกระดับอาหารพื้นบ้านไทพวน “ข้าวผัดข่าแจ่วหอมหวานบ้านเชียง” ต้อนรับนักท่องเที่ยว ชมศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์ที่เดียว “ระบำบ้านเชียง” ถ่ายรูปStreet Artตามโปรแกรมนำเที่ยวภายในชุมชน พักโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์ พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและมัคคุเทศก์น้อยนำชมสถานที่ท่องเที่ยวและชุมชนอย่างเป็นกันเอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62741 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ ไม่แผ่วจัดกิจกรรมทิ้งท้ายในสัปดาห์แห่งการสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก 2565 (Awareness Week) นำคณะครู และเด็กนักเรียนร่วมกิจกรรมกว่า 4,000 คน | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
อำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ ไม่แผ่วจัดกิจกรรมทิ้งท้ายในสัปดาห์แห่งการสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก 2565 (Awareness Week) นำคณะครู และเด็กนักเรียนร่วมกิจกรรมกว่า 4,000 คน
อำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ ไม่แผ่วจัดกิจกรรมทิ้งท้ายในสัปดาห์แห่งการสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก 2565 (Awareness Week) นำคณะครู และเด็กนักเรียนร่วมกิจกรรมกว่า 4,000 คน สร้างเสริมจิตสำนึกอนุรักษ์และฟื้นฟูดินอย่างยั่งยืน เพื่อโลกใบเดียวของเรา
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดกิจกรรมสัปดาห์แห่งการสร้างการตระหนักรู้เนื่องในโอกาสวันดินโลก ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิดกิจกรรม “Great food from good soil for better life awareness week” หรือ “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” ในระหว่างวันที่ 1 – 15 ธันวาคม 2565 ซึ่ง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสำคัญในการ Change for Good เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ให้มีความมั่นคง ด้วยการพึ่งพาตนเองด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ซึ่งเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค. 65) ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร นำโดย ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร และที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย มีคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู เจ้าหน้าที่และนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 4,160 คน เข้าร่วมกิจกรรมการสร้างความตระหนักรู้ให้เด็กนักเรียน ได้เห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรดิน ซึ่งมีการจัดกิจกรรมการเดินรณรงค์ กิจกรรมการประกาศเจตนารมณ์ และกิจกรรมปลูกต้นไม้ โดยนำหัวข้อการรณรงค์ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่กำหนดว่า Soils, where food begins หรือ อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน มาใช้ในการปลูกฝังจิตสำนึกเพื่อให้เด็กนักเรียนได้ตระถึงความสำคัญของ “ดิน”
นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร กล่าวว่า กิจกรรมงานวันดินโลก ประจำปี 2565 ที่ได้จัดขึ้นเมื่อวานนี้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในสถานศึกษาจำนวน 4 แห่ง มีคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู เจ้าหน้าที่และนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 4,160 คน โรงเรียน รายละเอียดดังนี้ 1) โรงเรียนเทศบาล 2 พิบูลวิทยาคาร จำนวน 435 คน 2) วิทยาลัยเทคนิคพิบูลมังสาหาร จำนวน 2,025 คน 3) โรงเรียนอนุบาลพิบูลมังสาหารวิภาคย์วิยากร จำนวน 670 คน และ 4) โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง) จำนวน 1,700 คน ซึ่งแต่ละแห่งมีการจัดกิจกรรมอย่างน้อย 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการเดินรณรงค์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เรื่องวันดินโลกให้แก่ประชาชน และภาคีเครือข่าย ให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน ตลอดจนสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน กิจกรรมการประกาศเจตนารมณ์เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์และสร้างความตระหนักรู้ และกิจกรรมปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ภายในบริเวณพื้นที่ของสถานศึกษา
ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร และที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในสถานศึกษาทั้ง 4 แห่ง มีบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุก ความตื่นตัวในการเรียนรู้ และความสนใจของน้อง ๆ เด็กนักเรียนที่เห็นความสำคัญของทรัพยากรดิน และ น้ำ ซึ่งเป็นที่มาของทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ไม่เพียงเฉพาะแต่อาหาร แต่ดินยังเป็นต้นกำเนิดของ ปัจจัย 4 ของมนุษย์ ทั้ง อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่มห่ม และที่อยู่อาศัย รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งเหล็ก อะลูมิเนียม อัญมณี ฯลฯ ก็ล้วนอยู่ในผืนดินเช่นกัน เป้าหมายของการรณรงค์นี้ หัวใจสำคัญ คือ การรับรู้และเห็นคุณค่าถึงทรัพยากรดิน เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ และฟื้นฟูสภาพดินที่ถูกทำลาย ซึ่งจะทำให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดินได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นการส่งต่อความรักจากบรรพบุรุษของเราไปสู่คนรุ่น ๆ ถัดไป ดังนั้น การรักษาทรัพยากรดิน หรือ ทรัพยากรน้ำ หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ระบบนิเวศของโลกมีความสมบูรณ์ เมื่อธรรมชาติอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ เราเองก็จะอยู่ได้ด้วย เราต่างอยู่แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่มนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกด้วย
ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร กล่าวต่อว่า ทรัพยากรธรรมชาติบนโลกของเรามีจำกัด คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้คน Generation ถัดไป สามารถอยู่ได้ ปัญหาที่พบในปัจจุบัน ผืนแผ่นดินบนโลกถูกทำให้เสื่อมโทรมสาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เรา โดยเฉพาะการทำเกษตรเพื่อสนองตอบการบริโภคที่เกินพอดี มีการใช้สอยใช้ประโยชน์อย่างฟุ่มเฟือย จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ทรัพยากรดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพของเรากำลังเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการในพระราชดำริทั้งปวง “สิ่งใดที่ยังเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต้องดำเนินการและขับเคลื่อนต่อไป” และพระราโชบายที่แน่วแน่ในการทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นหลักการที่คนไทยทุกคนควรศึกษา และน้อมนำมาปรับใช้จนเป็นวิถีชีวิต โดยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ห่วงแรก คือ “ความพอประมาณ” กล่าวคือ เราต้องรู้จักตัวเองว่าเราคือใคร เรามีหน้าที่อะไร เรามีรายได้เท่าไร มีความขยันหมั่นเพียรแค่ไหน เราชอบรับประทานอาหารอย่างไร เรามีไลฟ์สไตล์อย่างไร ฯลฯ แล้วทำสิ่งต่าง ๆ ให้มีความพอดี สิ่งนี้คือนัยยะที่สำคัญของความพอประมาณ ต่อมาห่วงที่สอง คือ “ความมีเหตุผล” ซึ่งหลักนี้จะช่วยเสริมความพอประมาณว่าเราทำให้พอดีแล้ว แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นดีพอหรือยัง ก็ให้กำหนดเป้าหมายซึ่งจะเป็นการทบทวนหลักความพอประมาณ ด้วยเหตุและผลนำไปสู่การกระทำของเรา เช่น เรามีภาระค่าใช้จ่ายต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ต้องเลี้ยงดูครอบครัว รายได้ต่อเดือน 15,000 บาทเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอก็ต้องขยันทำมาหากินรู้จักหาอาชีพเสริมเพิ่มเติม เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาจุนเจือ รายจ่ายของครัวเรือน เป็นต้น และห่วงสุดท้าย คือ “การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี” หลักนี้เป็นหลักที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราทุกคนสามารถอยู่ได้และปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดมากขึ้น เช่น โรคโควิด-19 ที่ผ่านมาคนที่มีภูมิคุ้มกันก็ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยจากโรคนี้ได้ แล้วถามว่าวัคซีนที่เราฉีดกันมีอยู่แล้วหรือสร้างขึ้นมาใหม่ เราทุกคนรู้ดีว่าเป็นวัคซีนที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดจากการศึกษาวิจัยของทีมนักวิจัย ฉันใดฉันนั้น เราต้องรู้จักบริบทสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราและรู้จักปรับตัวเพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลง
“2 เงื่อนไขที่สำคัญซึ่งจะทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข และช่วยยกระดับสังคมที่เราอยู่ได้ คือ เงื่อนไข “ความรู้” และเงื่อนไข “คุณธรรม” การที่เราจะประสบความสำเร็จต่าง ๆ ได้นั้นจะต้องเกิดจากความเพียรพยายาม และความตั้งใจที่แน่วแน่ และต้องมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริง ซึ่งการที่เรามีความรู้จะเกิดจากประสบการณ์ตรง หรือการเรียนการสอน หรือ อื่น ๆ จะทำให้เรามีความมั่นใจทุก ๆ เรื่อง ซึ่งภายใต้เงื่อนไขคุณธรรมนี้เองจะเป็นตัวควบคุมเราให้รู้จักความรัก ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ การไม่เอารัดเอาเปรียบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับคุณภาพจิตใจ การที่เรามีความรักและมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสภาพดินก็เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากเงื่อนไขคุณธรรม เพราะเรารู้จักการแบ่งปันและมีเจตนาที่ดีที่อยากจะส่งต่อทรัพยากรดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา เพราะฉะนั้นแล้วกิจกรรมที่จัดขึ้นทั้งหมด ล้วนแต่จะร้อยเรียงทุกเรื่องราวเข้าด้วยกันไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การสร้างความมั่นคงแข็งแรงของชุมชนฐานราก ซึ่งจะทำให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนจากรากฐานสังคมที่แข็งแรง” ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา กล่าวเน้นย้ำ
นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมการรณรงค์วันดินโลกในวันนี้ จะไม่จบอยู่เพียงแค่วันนี้วันเดียวหรือวันสุดท้าย ในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มุ่งหวังจะ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่พี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมเป็นกำลังสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในทุกมิติ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งกิจกรรมในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนงาน เฉกเช่นการประกาศเจตนารมณ์ของเด็กนักเรียน และผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนในวันนี้ ที่มีความตั้งใจที่จะอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ สอดคล้องกับหลักคิดที่ว่า “คืนดินดีให้ผืนแผ่นดินไทย สร้างสรรค์ความสมดุลธรรมชาติ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้เป็นแผ่นดินทอง” ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (16 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมีคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ร่วมการลงนามถวายพระพรฯ ตามลำดับพิธี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ถวายความเคารพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา นายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ จำนวน 2 แจกัน ในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีและภริยา จากนั้น ภริยานายกรัฐมนตรี ถวายแจกันดอกไม้ในนามคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ณ โต๊ะด้านหน้าพระรูปฯ
นายกรัฐมนตรีและภริยา ลงนามถวายพระพร นายกรัฐมนตรีและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ถวายความเคารพพระรูปฯ เสร็จพิธี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62718 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานครั้งที่ 22 | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รมว.เฉลิมชัย เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานครั้งที่ 22
รมว.เฉลิมชัย เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานครั้งที่ 22 พร้อมอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐ มนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานครั้งที่ 22 ณ โครงการวัวหลุม ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานภาคใต้และตะวันตกได้จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 และหลังจากนั้นชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้และตะวันตกจำกัดร่วมกับสหกรณ์โคนมสมาชิกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันจัดงานประกาดโคนมเทิดพระเกียรติมาอย่างต่อเนื่องโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรรัชกาลที่ 9 พระบิดาแห่งโคนมไทยที่พระองค์ได้ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทยขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันตกของประเทศให้เห็นความสำคัญในการพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์โคนมและปรับปรุงฟาร์มให้ได้มาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นด้วย
สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการประกวดโคนมชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีจำนวน 4 รุ่น ประกาดโคนมชิงเงินรางวัลสายสะพายพร้อมถ้วยเกียรติยศจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกจำนวน 2 รุ่น การออกร้านแสดงนิทรรศการทางวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยพัฒนาพืชอาหารสัตว์เพชรบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรีและสำนักงานสหกรณ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การออกร้านแสดงและจำหน่ายปัจจัยการผลิตในราคาพิเศษจากบริษัทหรือห้างร้านต่างๆส่วนกิจกรรมภาคกลางคืนก็ได้จัดให้มีกิจกรรมสังสรรค์บันเทิงและงานพบปะสังสรรค์เพื่อต้อนรับปีใหม่ 2566 ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและหน่วยงานต่างๆในงาน "ราตรีโคนม" ซึ่งจะจัดให้มีการประกวดธิดาและขวัญใจโคนมเป็นตัน
"ดีใจที่ได้มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมกับพี่น้องผู้เลี้ยงโคนมเพราะถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติเราจึงต้องรักษาอาชีพนี้ให้อยู่คู่กับประเทศไทยโดยเกษตรกรจะต้องมีการปรับตัวและพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่างๆในอนาคตโดยกระทรวงเกษตรฯพร้อมจะอยู่เคียงข้างกับพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตลอดไปสำหรับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรคือปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำทันทีโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการร่วมขับเคลื่อนการทำงานและวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้เด็กไทยได้บริโภคนมทั้ง 365 วันเพราะถือเป็นหนึ่งในการเสริมสร้างพัฒนาการทั้งทางสมองและร่างกายของเด็กโดยจะต้องเป็นนมจากพี่น้องเกษตรกรคนไทยเท่านั้นซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องเกษตรกรโคนมอีกทางหนึ่งด้วย" ดร.เฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62731 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เดินหน้าอบรมจ่าปี่ 44 คน ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของราชสำนัก | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
วธ. เดินหน้าอบรมจ่าปี่ 44 คน ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของราชสำนัก
วธ. เดินหน้าอบรมจ่าปี่ 44 คน ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของราชสำนัก
วธ. เดินหน้าอบรมจ่าปี่ 44 คน ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของราชสำนัก
วันที่ 15 ธันวาคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพ และเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 15 - 29 ธันวาคม 2565 โดยมี นายชนะกิจ คชชี ผู้อำนวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน นายปี๊บ คงลายทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) และนายอนันต์ ศรีระอุดม เจ้าหน้าที่งานในพระองค์ ระดับ 4 สำนักพระราชวัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) จำนวน 44 คน เข้าร่วม ณ ศาลาวิจิตร รัตนศิริวิไลย วัดศรีสุดาราม วรวิหาร แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
ปลัด วธ. กล่าวว่า ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายให้กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ และมีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของราชสำนัก เป็นไปตามแนวปฏิบัติ ที่สำนักพระราชวังกำหนด โดยเฉพาะตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ และต้องใช้ความสามารถเฉพาะทาง จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้เกิดทักษะ ความชำนาญในการปฏิบัติงาน ปัจจุบันกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 103 คน วธ.ได้จัดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 15 - 29 ธันวาคม 2565 ณ วัดศรีสุดาราม วรวิหาร ให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) จำนวน 44 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่) บรรจุใหม่ 5 คน และเจ้าหน้าที่ฯจ่าปี่เดิมจำนวน 39 คน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาทักษะในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ในภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ให้มีทักษะความชำนาญในการบรรเลงปี่ไฉน เพลงพญาโศกลอยลม ได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักพระราชวังกำหนด
ปลัดวธ. กล่าวอีกว่า สำหรับผู้เข้าอบรมจะมีการฝึกอบรมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ระเบียบวินัย ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี และมีความเป็นทีมในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นการออกกำลังกาย การฝึกระเบียบแถว การเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มุ่งมั่น เสียสละ ซื่อสัตย์ และจิตอาสา พร้อมด้วยการฝึกทักษะการบรรเลงปี่ไฉน เพลงพญาโศกลอยลม และให้ความรู้เรื่องเครื่องประกอบเกียรติยศ พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติงานในสถานการณ์จริง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเป็นไปตามที่สำนักพระราชวังกำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62745 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. รับชำระค่าตอบแทน การใช้ประโยชน์ศูนย์การค้า บริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธินประจำปี 2565 | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รฟท. รับชำระค่าตอบแทน การใช้ประโยชน์ศูนย์การค้า บริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธินประจำปี 2565
จากบริษัท เซ็นทรัลอินเตอร์พัฒนา จำกัด เป็นเงิน 1,309 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน รฟท. ได้รับค่าตอบแทนการประโยชน์ระหว่างปี 2551 - 2565 รวมแล้วทั้งสิ้น 12,365,785,000 บาท
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ณ ห้องปฏิบัติการชั้น 3 ตึกบัญชาการรถไฟ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการไฟแห่งประเทศไทย เป็นผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม รับชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธินประจำปี 2565 จากนายปัณฑิต มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานด้านการเงิน บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ผู้แทนจากบริษัท เซ็นทรัลอินเตอร์พัฒนา จำกัด ซึ่งเป็นค่าใช้ประโยชน์จากการใช้พื้นที่ของ รฟท. ในรอบระยะเวลา 1 ปี (วันที่ 19 ธันวาคม 2564 - 18 ธันวาคม 2565) เป็นเงิน 1,309,059,000 บาท รับมอบการรับชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ รฟท.เปิดเผยว่า ตามที่ รฟท. ได้ทำสัญญาให้สิทธิใช้ประโยชน์ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน บนพื้นที่จำนวน 47.22 ไร่ ระหว่างรฟท. กับ บริษัท เซ็นทรัลอินเตอร์พัฒนา จำกัด เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 ระยะเวลาการใช้ประโยชน์ 20 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2551 – 18 ธันวาคม 2571 โดยผลตอบแทนรวมตลอดอายุสัญญา เป็นจำนวนเงิน 21,298,833,000 บาท (สองหมื่นหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบแปดล้านแปดแสนสามหมื่นสามพันบาทถ้วน) กำหนดชำระค่าผลประโยชน์ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธินภายในวันที่ 19 ธันวาคมของทุกปี โดยจะต้องชำระให้แก่รฟท.เป็นรายปี รวม 20 งวด ตลอดระยะเวลาสัญญา
สำหรับการชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์การใช้พื้นที่ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน ประจำปี 2565 เป็นปีที่ 15 ที่รฟท.จะได้รับจากบริษัท เซ็นทรัลอินเตอร์ พัฒนา จำกัด โดยคิดเป็นจำนวนเงิน 1,309,059,000 บาท (หนึ่งพันสามร้อยเก้าล้านห้าหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) ส่งผลให้จนถึงปัจจุบันระหว่างปี 2551-2565 รวมแล้วทั้งสิ้น 12,365,785,000 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยหกสิบห้าล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
ที่ผ่านมารฟท.ได้วางกรอบแนวทางการดำเนินงาน และการบริหารที่ดินของรฟท. ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ พื้นที่ Core Business เป็นพื้นที่ย่านสถานี ที่ทำการ เขตทางรถไฟ และพื้นที่ Non-Core Business ที่สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ เป็นพื้นที่ที่ไม่มีประเด็นข้อพิพาท และไม่มีปัญหาการบุกรุก เพื่อนำที่ดินออกจัดประโยชน์เป็นสิ่งปลูกสร้าง การเกษตรกรรม ที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยที่ดินทั้งสองส่วนนี้ รฟท. ได้จัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อบริหารทรัพย์สินและสัญญา รวมถึงได้ตั้ง บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRT Asset) โดยเป็นบริษัทลูกที่รฟท.ถือหุ้น100% ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้การบริหารทรัพย์สินของ รฟท. ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสุงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62717 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนการสร้างหมอดินอาสาให้เป็นเกษตรกรต้นแบบที่มีองค์ความรู้สามารถ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนการสร้างหมอดินอาสาให้เป็นเกษตรกรต้นแบบที่มีองค์ความรู้สามารถ
รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนการสร้างหมอดินอาสาให้เป็นเกษตรกรต้นแบบที่มีองค์ความรู้สามารถใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการเกษตร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตร พร้อมให้ความสำคัญกับอาสาสมัครเกษตรทุกประเภท
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม “โครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของหมอดินอาสาด้านการพัฒนาที่ดิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจำปีงบประมาณ 2566” ณ โรงแรมแกรนด์หัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดขึ้นเพื่อให้หมอดินอาสาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้พัฒนาความรู้ความชํานาญด้านการพัฒนาที่ดิน สามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาพื้นที่การเกษตรของตนเอง รวมถึงเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการนําเทคโนโลยีในการพัฒนาที่ดินไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ร่วมกัน และให้ข้อคิดเห็นต่อการดําเนินงานของกรมพัฒนาที่ดิน
อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาที่ดินได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของหมอดินอาสา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอดินอาสาประจำจังหวัด ซึ่งเป็นตัวแทนที่มีความสำคัญในการบริหารเครือข่ายหมอดินอาสาทั่วประเทศ โดยมีการดำเนินงานให้สอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) กับยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระยะ 20 ปี ที่มีเป้าหมายให้เกษตรกรเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ สถาบันเกษตรกรมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ สินค้าเกษตรมีคุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัย ภาคเกษตรเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม รวมถึงมีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม จึงมุ่งเน้นการสร้างหมอดินอาสาให้เป็นเกษตรกรต้นแบบที่มีองค์ความรู้สามารถใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการเกษตร ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับรายได้ของเกษตรกร
ทั้งนี้ การดําเนินงานโครงการหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน ได้ริเริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน โดยการดําเนินงานช่วงแรกเริ่มจากการแต่งตั้งเกษตรกรที่สนใจงานด้านการพัฒนาที่ดิน และสมัครใจเป็นอาสาสมัครของกรมพัฒนาที่ดิน มีความต้องการพร้อมที่จะเข้ารับการอบรมรับความรู้การใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของกรมพัฒนาที่ดินและนําไปใช้พัฒนารูปแบบการทําการเกษตรของตนเองและมีความเป็นผู้นําสามารถถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรภายในหมู่บ้านหรือพื้นที่อื่นได้ โดยหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามรูปแบบการปกครองของประเทศไทย ได้แก่ หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน หมอดินอาสาประจําตําบล หมอดินอาสาประจําอําเภอ และหมอดินอาสาประจําจังหวัด ปัจจุบันมีจํานวนหมอดินอาสาทุกระดับปฏิบัติงานอยู่ทั่วประเทศจํานวนกว่า 77,000 คน สําหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีหมอดินอาสาจํานวนทั้งสิ้น 435 ราย ประกอบด้วยหมอดินอาสาประจําจังหวัด จํานวน 1 ราย หมอดินอาสาประจําอําเภอจํานวน 8 ราย หมอดินอาสาประจําตําบลจํานวน 45 รายและหมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน จํานวน 381 ราย
"การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของหมอดินอาสาด้านการพัฒนาที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นี้ ได้คัดเลือกหมอดินอาสาที่มีความรู้ความสามารถ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หมอดินอาสาได้มีเวทีพบปะและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการนําเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ร่วมกัน ตลอดจนเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ประโยชน์ในการถอดบทเรียน นําองค์ความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ได้จริง และเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายหมอดินอาสาในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งนํามาปรับใช้ในการบริการเกษตรกร จนเกิดการสร้างเครือข่ายหมอดินอาสากลุ่มต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย ทั้งในด้านการจัดการดิน ที่ดิน ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพเกษตรอินทรีย์และการจัดการการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ยังพร้อมเป็นพี่เลี้ยงให้กับหมอดินอาสา ซึ่งหนึ่งในนโยบายสำคัญคือจะต้องให้ความสำคัญต่ออาสาสมัครเกษตรทุกสาขาให้มากยิ่งขึ้น โดยจะต้องมีการผลักดันให้อาสาสมัครเกษตรได้รับการดูแลหรือได้รับค่าป่วยการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งอาสาสมัครเกษตรนั้นถือเป็นกำลังสำคัญในการเป็นตัวแทนเข้าไปส่งต่อความรู้และสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ สู่เกษตรกรรายอื่น ๆ ต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “การผลิตข้าวยั่งยืน” นำร่องวิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “การผลิตข้าวยั่งยืน” นำร่องวิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “การผลิตข้าวยั่งยืน” นำร่องวิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค
วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทย – เยอรมัน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคเกษตรกรรม (Thai - German Climate Programme – Agriculture) ซึ่งส่งเสริมการปลูกข้าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 915,053 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานไทยและเยอรมนี ทั้งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ ความปลอดภัยทางปรมาณูและคุ้มครองผู้บริโภค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMUV) มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565) ซึ่งมีเกษตรกรและเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนการเกษตร ทั้งในส่วนกลางและในระดับจังหวัดเข้ารับการฝึกอบรมการผลิตข้าวยั่งยืนของโครงการฯ จำนวนมากถึง 30,389 ราย ใน 6 จังหวัดนำร่องในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี โดยเน้นการเพิ่มองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีมาใช้และเรียนรู้วิธีการการตรวจวัด และการคำนวณค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตร เพิ่มพื้นที่ “การทำนาข้าวที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ” และเพื่อเป็นแนวทางส่งต่อการพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรในภาคเกษตรรุ่นใหม่
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ยกระดับภาคการเกษตรผ่านการประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับข้าวยั่งยืน (Thai Agricultural Standard for Sustainable Rice: TAS) ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการปลูกข้าว การดูแล การจัดการโรคข้าว เพื่อส่งเสริมให้นำวิธีการปลูกข้าวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนการเก็บเกี่ยวผลผลิตและการจัดเก็บสินค้าข้าว ผลักดันให้ข้าวไทยเป็นสินค้าเกษตรมีคุณภาพ มีมาตรฐานสากล และปลอดภัยต่อผู้บริโภค
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือที่ล้วนทำให้เกิดประโยชน์ต่อโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่โลกต้องร่วมมือกัน โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ไทยให้ความสำคัญ ได้นำมาใช้ประโยชน์ และผลักดันอย่างต่อเนื่องคือแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่าความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจะช่วยภาคเกษตรกรรมให้เกิดการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการพัฒนานี้ จะเพิ่มโอกาสให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต ซึ่งผลสำเร็จจากโครงการฯ ครั้งนี้ ถือเป็นการนำร่องวิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและคุณภาพได้ตามมาตรฐานสากล สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62715 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมและยินดีนักกีฬาไทยประเดิมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสองวันแรก ครองตำแหน่งแชมป์โลกในการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก พร้อมให้กำลังใจสู้ศึกอย่างเต็มที่ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมและยินดีนักกีฬาไทยประเดิมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสองวันแรก ครองตำแหน่งแชมป์โลกในการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก พร้อมให้กำลังใจสู้ศึกอย่างเต็มที่
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมและยินดีนักกีฬาไทยประเดิมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสองวันแรก ครองตำแหน่งแชมป์โลกในการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก พร้อมให้กำลังใจสู้ศึกอย่างเต็มที่
วันนี้ (16 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้กำลังใจและยินดีที่นักกีฬาเจ็ตสกีไทย ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก ดับเบิลยู จีพี วัน เจ็ตสกี เวิลด์ คัพ (WGP#1 Jet Ski World Cup) และเวิลด์ ซีรีส์ ประจำฤดูกาล 2022 (WGP#1 World Series 2022) หาดจอมเทียน พัทยา ระหว่างวันที่ 14-18 ธันวาคม 2565
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รายการเจ็ตสกีชิงแชมป์โลกดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในรายการ ที่มีนักกีฬาจากทั่วโลกเข้าร่วมมากที่สุด ชิงเงินรางวัลสูงที่สุดในโลก โดยเป็นการแข่งขันทั้งในรุ่นกึ่งอาชีพ สมัครเล่น และเยาวชน โดยในวันแรกนักกีฬาเจ็ตสกีไทยประเดิมผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถเข้าเป็นอันดับ 1 ได้ในหลายรุ่น ส่วนวันที่ 2 ยังสามารถครองตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นกึ่งอาชีพ สมัครเล่น และเยาวชน ได้ถึง 8 รุ่น
นอกจากนี้ การแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการกีฬาไทย ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันจนไทยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทัวร์นาเม้นท์เจ็ตสกีเก็บคะแนนชิงแชมป์โลก ที่เป็นรายการหาแชมป์ เวิลด์ ซีรีส์ เก็บคะแนนจาก 3 สนาม ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศสำคัญทั่วโลก โดยในฤดูกาลนี้จัดขึ้นที่ประเทศไทย ที่ถือเป็นการดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมายังประเทศไทย ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยว ตามแผนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตามการสำรวจกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬามักใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ
“นายกฯ ยินดีที่ทุกฝ่ายร่วมกันเดินหน้าร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะทำงานวางนโยบายและสนับสนุน เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนไทย รวมทั้ง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งนี้ กระแสการท่องเที่ยวเชิงกีฬามีแนวโน้มเติบโตที่ดี เป็นโอกาสของไทยในการต่อยอดสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยการจัดการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์โลก นอกจากจะดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้าชมการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของผู้เข้าชม กระจายรายได้สู่ชุมชนแล้ว ยังช่วยสร้างชื่อเสียงด้านการจัดการแข่งขันกีฬาและการท่องเที่ยวไทยไปสู่ระดับโลกได้อีกทางด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62748 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดดีอีเอส หารือความร่วมมือ สมาชิกรัฐสภายุโรปของโปแลนด์และรองประธานกลุ่ม DASE | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รองปลัดดีอีเอส หารือความร่วมมือ สมาชิกรัฐสภายุโรปของโปแลนด์และรองประธานกลุ่ม DASE
รองปลัดดีอีเอส หารือความร่วมมือ สมาชิกรัฐสภายุโรปของโปแลนด์และรองประธานกลุ่ม DASE
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมหารือกับ MR.Tomasz Piotr Poreba สมาชิกรัฐสภายุโรปและรองประธาน The Delegation of Relations with the Countries of Southeast Asia and ASEAN (กลุ่ม DASE) ของรัฐสภายุโรป และคณะผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ พร้อมทั้งได้นำเสนอหน้าที่ความรับผิดชอบ และนโยบายสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และดิจิทัล ณ ห้องประชุม ๘๐๒ ชั้น ๘ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร บี) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ส่ง ‘โฆษก’ เยือน ‘นครพนม’ เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
รมว.เฮ้ง ส่ง ‘โฆษก’ เยือน ‘นครพนม’ เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา
รมว.เฮ้ง ส่ง ‘โฆษก’ เยือน ‘นครพนม’ เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจกลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมคนเพื่อคนพิการทางสติปัญญา จังหวัดนครพนม ซึ่งมีนางสาวปฐมพร ปานลักษณ์พลประธานกลุ่มฯ สมาชิกกลุ่ม รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนม ร่วมให้การต้อนรับ ณ กลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมคนเพื่อคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดนครพนม
นางเธียรรัตน์กล่าวว่าท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นความสำคัญด้านความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคมให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งคนพิการเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง จึงได้มอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มงานหัตถกรรม โดยสมาคมคนเพื่อคนพิการทางสติปัญญา จ.นครพนม ซี่งเป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยใช้ชื่อว่า ชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดนครพนม ต่อมาได้จดทะเบียนเป็นสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ครอบครัวคนพิการ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 เพื่อให้คนพิการสามารถทำงานในที่สาธารณประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านการเกษตร โดยได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการส่งเสริมการประกอบอาชีพงานด้านหัตถกรรม เช่น การทำดอกไม้ดินไทย การทำพรมเช็ดเท้า การรีดใบตองกาละแม เป็นต้น ซึ่งได้จดทะเบียนให้เป็นกลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน โดยสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ได้ทาง เฟสบุค “สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดนครพนม”
นางเธียรรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางกลุ่มฯ ยังได้ให้ความช่วยเหลือคนพิการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขอรับการสนับสนุนด้านกายอุปกรณ์ เช่น รถวิลแชร์ เตียงผู้ป่วย เก้าอี้ส้วม การขอรับทุนประกอบอาชีพจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ จำนวน 130 ครอบครัว ขอทุนในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้แก่คนพิการ หลังละไม่เกิน 75,000 บาท จำนวน 32 ครอบครัว และเงินทุนสงเคราะห์รายละ 3,000 – 5,000 บาท จำนวน 32 ครอบครัว จากสภาสังคมสงเคราะห์ การทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยนครพนม เรื่อง เกษตรอินทรีย์ และสื่อกระตุ้นพัฒนาเด็กพิการทางสติปัญญา อีกทั้งยังเป็นผู้ประสานงานเครือข่ายประกันสังคมจังหวัดนครพนม และทำงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนมอีกด้วย
+++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
16 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62722 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส-ตร. เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายอินเตอร์เน็ตข้ามแดนไทยไปกัมพูชา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมขยายผลเอาผิด จนท.ที่มีเอี่ยว | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส-ตร. เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายอินเตอร์เน็ตข้ามแดนไทยไปกัมพูชา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมขยายผลเอาผิด จนท.ที่มีเอี่ยว
ดีอีเอส-ตร. เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายอินเตอร์เน็ตข้ามแดนไทยไปกัมพูชา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมขยายผลเอาผิด จนท.ที่มีเอี่ยว
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร ,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และคณะทำงาน ร่วมกันแถลงข่าวผลการปิดล้อมตรวจค้น 6 จุดเป้าหมาย โดยมีจุดเชื่อมต่อชายแดน 1 จุด ในจังหวัดสระแก้วและจังหวัดจันทบุรี ตามยุทธการ SHUT DOWN กวาดล้างจับกุมบัญชีม้าทั่วประเทศ
โดยนายชัยวุฒิ กล่าวว่า ขอชื่นชมสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เอาจริงเอาจังในการปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเต็มที่ ซึ่งสามารถจับกุมได้ทั้งบัญชีม้า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ต ตลอดจนผู้ที่ลักลอบนำสัญญาณไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงขบวนการที่หลอกลวงทั้งหมด ซึ่งจับกุมและดำเนินคดีไปได้จำนวนมาก ต่อไปถ้ามีการป้องกันการใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือ สายอินเทอร์เน็ตที่ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ถูกต้อง อาชญากรรมเหล่านี้จะหมดไป
ทั้งนี้ ในกรณีมีเจ้าหน้าที่บางคนอำนวยความสะดวกหรือสนับสนุนผู้กระทำผิด เพื่อหวังผลตอบแทน ถ้าในส่วนบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หากมีเจ้าหน้าที่ลักลอบนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านนั้นมีความผิด ถือเป็นการทุจริตตามกฎหมาย ซึ่งจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานและหาข้อเท็จจริงก่อนจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป
ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมามีผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์ ถูกกลุ่มคนร้ายชักชวนหลอกให้ลงทุน โดยพฤติการณ์กลุ่มคนร้ายได้เปิดเว็บไซด์ชื่อ AMATA ชักชวนให้ลงทุน โดยมีการเสนอผลตอบแทนในจำนวนที่สูงกว่าที่สถาบันการเงินทั่วไปให้ได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อและได้นำเงินลงทุน ต่อมาเมื่อครบกำหนดกลับไม่ได้ผลตอบแทนตามที่ตกลง ผู้เสียหายพยายามขอเงินคืน แต่กลับให้นำเงินมาลงทุนเพิ่มเติมอีก ส่งผลให้เกิดความเสียหาย จำนวน 257,115.16 บาท จึงได้แจ้งความร้องทุกผ่าน www.thaipoliceonline.com ซึ่งต่อมาชุดสืบสวนตรวจสอบพบมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) โดยมีนายมโนรม สม ( MR.MONOROM SOM ) ชาวกัมพูชา เป็นผู้ยื่นคำขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับองค์กร จากการตรวจสอบพบมีค่าบริการรายเดือนกว่า 200,000 บาท เป็นการขอใช้บริการภายในประเทศ แต่เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบกลับไม่พบจุดติดตั้งอินเตอร์เน็ตภายในประเทศดังกล่าวแต่อย่างใด จึงตรวจสอบทางเทคนิคพบว่ามีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชา สอดคล้องกับข้อมูลของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด ไม่พบว่ามีสัญญาให้ใช้บริการระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่ามีการลักลอบนำสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทยเข้าไปใช้ในกัมพูชา
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการดังกล่าวจะนำไปสู่การตัดวงจรขบวนการคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด โดยเน้นในเรื่องของการตัดวงจร ซิม-สาย-เสา ซึ่งในส่วนของซิม มีการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นกวาดล้างโดยตรวจยึดซิมโทรศัพท์มากกว่า 2 แสนเบอร์ ส่งผลให้สถานการณ์ลดลงไปกว่าร้อยละ 25 แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเรื่องของสายและเสา ซึ่งหากสามารถตัดสัญญาณที่มีการลักลอบลงก็จะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เพราะขบวนการดังกล่าวทำมานานกว่า 12 ปี อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยขั้นตอนต่อไปทางบช.สอท. ร้องทุกข์ต่อบก.ปปป. ให้ดำเนินการ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามมาตรา 157 ต่อไป และหากพบว่าใครมีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำความผิด เป็นตัวการในการสนับสนุนก็จะต้องดำเนินการตามม.83 อีกด้วย
*********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เดินหน้ามอบโค "โครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ " | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รมช.ประภัตร เดินหน้ามอบโค "โครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ "
รมช.ประภัตร เดินหน้ามอบโค "โครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ " พร้อมมอบพันธุ์ปลา และชี้แจง "โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร" แก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดเชียงราย
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบโค ในโครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ มอบเวชภัณฑ์ฟื้นฟูสุขภาพสัตว์ และมอบพันธุ์ปลา ณ สหกรณ์การเกษตรแม่สรวย จำกัด อ.แม่สรวย และอบต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดยมี นายวิวัฒน์ ไชยชอุ่ม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนและเกษตรกรเข้าร่วม ว่า โครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานมอบโค ให้แก่เกษตรกร พื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากจน ได้มีโคเป็นทรัพย์สินของตนเอง และขยายผลให้กับเกษตรกรข้างเคียง เป็นปัจจัยในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ได้มูลโคเป็นปุ๋ยคอกเป็นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ทำให้เกษตรกรมีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการรวมกลุ่ม สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอีกด้วย
รมช.ประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ได้ส่งมอบโค ในโครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ แก่พี่น้องเกษตรกร จ.เชียงราย จำนวน 55 ตัว โดยมอบให้กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ อ.แม่สรวย 15 ราย อ.พาน 26 ราย และอ.เวียงป่าเป้า 14 ราย พร้อมเวชภัณฑ์ฟื้นฟูสุขภาพสัตว์ และแนะนำ "โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร" ทั้งกำชับให้ส่วนราชการกระทรวงเกษตรฯ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เร่งทำประชาสัมพันธ์โครงการ และสนับสนุนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ โดยโครงการดังกล่าวฯ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ธ.ก.ส จะปล่อยสินเชื่อให้เป็นทุนหมุนเวียนแก่เกษตรกร สำหรับใช้ประกอบอาชีพการเกษตรเน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะช่วยหาตลาดให้ มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต สามารถสร้างรายได้ในระยะสั้น 4 – 6 เดือน ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้รับการอนุมัติวงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ปล่อยกู้เป็นรายบุคคล หนี้เสียสามารถกู้ได้สามารถใช้บุคคลรวม 3 คน หรือหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ โดยจะปล่อยกู้สูงสุดรายละ 100,000 บาท /1 – 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 และปีที่ 4 - 5 ดอกเบี้ยตามปกติของธนาคาร ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกสาขาใกล้บ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมระดับรัฐมนตรี เสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนในความร่วมมือระดับพหุภาคีเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
พม. จัดประชุมระดับรัฐมนตรี เสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนในความร่วมมือระดับพหุภาคีเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พม. จัดประชุมระดับรัฐมนตรี เสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนในความร่วมมือระดับพหุภาคีเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 09.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 5 (5th COMMIT Inter-Ministerial Meeting : IMM 5) หัวข้อเรื่อง การเสริมสร้างความเข้มเข็งอย่างยั่งยืนในความร่วมมือระดับพหุภาคีเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (Strengthening Lasting and Sustainable Muti-Lateral Cooperation to End Trafficking in Persons) ซึ่งจัดโดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานปลัดกระทรวง พม. ทั้งนี้ นายประวิทย์ ร้อยแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีค้ามนุษย์ ในฐานะรองหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมเอส รัชดา เลเชอร์ กรุงเทพฯและผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับผู้แทนประเทศสมาชิก ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
นายอนุกูล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปี ตั้งแต่มีการก่อตั้งกระบวนการความร่วมมือระดับรัฐมนตรีของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (Coordinated Mekong Ministerial Initiative Against Trafficking : COMMIT Process) หรือกระบวนการ COMMIT เมื่อปี 2547 โดยรัฐบาล 6 ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักไทย ที่ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง จนกระทั่งถึงวันนี้ กระบวนการ COMMIT ยังคงดำเนินความร่วมมืออย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ซึ่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากประเทศสมาชิก COMMIT เป็นแหล่งผลิตอาหาร และมีความโดดเด่นทั้งในด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่งดงาม จึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและประเทศสมาชิก COMMIT ยังคงเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใหม่ รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รูปแบบการค้ามนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อประเทศสมาชิกสำหรับความร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า การประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งนี้ ทุกท่านคงเห็นพ้องต้องกันว่า หัวข้อหลักการประชุมเหมาะสมอย่างยิ่งกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน คือ "การเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนในความร่วมมือระดับพหุภาคีเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์" เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมค้ามนุษย์ไม่อาจรับมือและแก้ไขได้เพียงประเทศใดเพียงลำพัง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไปทั่วอนุภูมิภาค ดังนั้น เราทุกประเทศต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถจัดการกับอาชญากรรมที่ร้ายแรงนี้ได้ วันนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราทุกประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้พบปะกัน แม้ไม่ได้ประชุมแบบพบหน้า แต่การประชุมออนไลน์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความมุ่งมั่นและความร่วมมือของเราในการแบ่งปันประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้กันและกัน การทบทวนและพัฒนาแผนปฏิบัติการที่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติร่วมกัน รวมทั้งการมองไปข้างหน้าสำหรับความยั่งยืนของกระบวนการ COMMIT ของทั้ง 6 ประเทศสมาชิก
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามรัฐบาลไทย ขอยืนยันในความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิก COMMIT ทุกประเทศ เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนของเรา และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการประชุมระดับรัฐมนตรีในวันนี้ จะเป็นพื้นฐานในการก้าวสู่ความร่วมมือ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและกระบวนการ COMMIT ในอนาคตต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62734 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง โดยมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามถวายพระพร ในวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณชั้น 1 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สำนักพระราชวังได้มีแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 เวลา 18.20 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงทำการฝึกสุนัขทรงเลี้ยงที่จะเข้าแข่งขันใช้งานตามมาตรฐานสากลในรายการ Thailand Working Dog Championship by Royal Thai Army 2022 ระหว่างวันที่ 10 - 19 ธันวาคม 2565 ณ สนามฝึกกองพันสุนัขทหาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในระหว่างที่ทรงทำการฝึก ทรงมีพระอาการประชวรหมดพระสติ ด้วยพระอาการทางพระหทัย คณะแพทย์ประจำพระองค์จึงได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินไปปฐมพยาบาล ณ โรงพยาบาลปากช่องนานา พระอาการประชวรคงที่ในระดับหนึ่ง จากนั้น ได้เชิญเสด็จประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อถวายการตรวจพระวรกายอย่างละเอียด และประทับรักษาพระองค์ต่อไป
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้จัดสถานที่สำหรับลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 08.00 - 16.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62726 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรผ่านธนาคารไทยพาณิชย์
ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM / CDM ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ธ.ก.ส. สามารถถอนเงินได้อย่างสะดวกสบาย เพียงทำรายการจากแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และนำรหัสไปถอนเงินที่ตู้ ATM / CDM ธนาคารไทยพาณิชย์ใกล้บ้านคุณ
ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM / CDM ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ธ.ก.ส. สามารถถอนเงินได้อย่างสะดวกสบาย เพียงทำรายการจากแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และนำรหัสไปถอนเงินที่ตู้ ATM / CDM ธนาคารไทยพาณิชย์ใกล้บ้านคุณได้ตลอด 24 ช.ม.
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้เพิ่มช่องทางบริการถอนเงินสดโดยไม่ใช้บัตร (ATM Cardless Withdrawal) บนแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus ให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ธ.ก.ส. ให้สามารถถอนเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยมีเงื่อนไขดังนี้ ลูกค้าสามารถทำรายการผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และนำรหัสถอนเงิน 6 หลักไปทำรายการถอนเงินผ่านเครื่อง ATM / CDM ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวนกว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 15 นาที ค่าธรรมเนียม 15 บาทต่อรายการ โดยเริ่มเปิดให้บริการ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมีช่องทางให้บริการผ่าน Banking Agent อื่น ๆ ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้บุญเติม เติมสบาย และบิ๊กซี ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรลูกค้าในการเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างหลากหลายในทุกช่วงเวลาที่ต้องการ ซึ่งเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางมาติดต่อที่ธนาคารโดยตรง
ด้าน นายวิฑูรย์ พรสกุลวานิช รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Integrated Channels และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ล่าสุดได้ร่วมมือกับ ธ.ก.ส. โดยการนำเอาความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายตู้ ATM / CDM ของไทยพาณิชย์ที่ครอบคุลมทั่วประเทศ มาพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการถอนเงินสดโดยไม่ใช้บัตร (cardless) ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus ที่ตู้ ATM / CDM ของไทยพาณิชย์ เพื่อมอบประสบการณ์การที่ดีในการให้บริการลูกค้าจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถช่วยอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับลูกค้าของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิลดลง ช่วง 17-20 ธ.ค. ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพ ดูแลร่างกายให้อบอุ่น เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิลดลง ช่วง 17-20 ธ.ค. ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพ ดูแลร่างกายให้อบอุ่น เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิลดลง ช่วง 17-20 ธ.ค. ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพ ดูแลร่างกายให้อบอุ่น เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ
วันนี้ 16 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยพี่น้องประชาชนในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิลดลง หลังกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศ ระบุว่า ในช่วงวันที่ 17-20 ธันวาคมนี้ บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว และอุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 6-8 องศาเซลเซียส บริเวณพื้นราบอุณหภูมิต่ำสุด 10-18 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 2-10 องศาเซลเซียส สำหรับภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 15-21 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
“นายกรัฐมนตรีห่วงใยในสุขภาพของประชาชน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย ดูแลร่างกายให้อบอุ่น ดังนั้น ควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ พร้อมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดมีความจำเป็นที่จะต้องก่อไฟเพื่อช่วยให้อุ่นขึ้น ขอให้ดูแลระมัดระวังในเรื่องอัคคีภัยด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
นายอนุชาฯ กล่าวด้วยว่า ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสาร และประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ เพราะนอกจากจะได้เตรียมพร้อมรับกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงแล้ว ในภาคใต้ยังต้องระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มด้วย โดยสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th หรือโทรศัพท์สอบถามที่สายด่วน หมายเลข 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62714 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ที่ประเทศเบลเยี่ยม | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
นายกรัฐมนตรี ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ที่ประเทศเบลเยี่ยม
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ
เมื่อวันที่ 13-15 ธ.ค.2565 ณ กรุงบรัสเซลล์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม โดยไทยเสนอให้ทั้ง 2
ภูมิภาคร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนา
สร้างพื้นที่ทางการทูตและข้อริเริ่มเพื่อสันติภาพโดยแยกเรื่องการสู้รบออกจากความร่วมมือและการช่วยเหลือท
างเศรษฐกิจและมนุษยธรรม ร่วมกันยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมโดยไม่นำไปเป็นอุปสรรคทางการค้า
ร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และให้อาเซียนมีส่วนเกื้อกูลในการผลิตสินค้าของสหภาพยุโรป ทั้งนี้
ไทยและสหภาพยุโรปได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและร่วมมือรอบด้าน PCA
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การเปิดเจรจาการค้าเสรี ไทย-ยุโรปรอบใหม่ด้วย
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62713 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” เปิดงาน “Thailand Friendly Design Expo 2022” รวมพลังขับเคลื่อนเมืองสุขภาพ เมืองท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
“สาธิต” เปิดงาน “Thailand Friendly Design Expo 2022” รวมพลังขับเคลื่อนเมืองสุขภาพ เมืองท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “Thailand Friendly Design Expo 2022” มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 6 พร้อมมอบรางวัล Friendly Design Awards 2022 ให้กับ 11 หน่วยงาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “Thailand Friendly Design Expo 2022” มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 6 พร้อมมอบรางวัล Friendly Design Awards 2022 ให้กับ 11 หน่วยงานที่มีความโดดเด่นด้านการส่งเสริมและสร้างอารยสถาปัตย์เป็นมิตรกับคนทั้งมวล สนับสนุนการออกแบบอาคาร สถานที่ ระบบขนส่งมวลชนและบริการสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม
วันนี้ (16 ธันวาคม 2565) ที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “Thailand Friendly Design Expo 2022” มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 6 จัดโดยมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล และเครือข่าย Friendly Design ไทย – นานาชาติ พร้อมมอบรางวัล Friendly Design Awards 2022 ให้กับ 11 หน่วยงานที่มีความโดดเด่นด้านการส่งเสริมและสร้างอารยสถาปัตย์เป็นมิตรกับคนทั้งมวล
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายที่จะใช้การดำเนินงานด้านสุขภาพมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศ ทั้งการบริการทางการรักษาพยาบาล การบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ การนวด สปา สมุนไพรและผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามารับบริการเพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ ทั้งนี้ การให้ความสำคัญและส่งเสริมการดำเนินงานด้านอารยสถาปัตย์ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ประเทศไทยเป็นทั้งเมืองสุขภาพและเมืองท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล และจะช่วยฟื้นฟูประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ให้ก้าวหน้า เข้มแข็ง ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับการจัดงานในวันนี้ เป็นการแสดงผลงานความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม สถาปัตยกรรม และการออกแบบที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล รวมถึงการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในอาคาร สถานที่ แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงระบบขนส่งมวลชนและบริการสาธารณะได้อย่างสะดวกปลอดภัย ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
************************************** 16 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา บ้านหนองกุงพัฒนา ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา บ้านหนองกุงพัฒนา ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา บ้านหนองกุงพัฒนา ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา บ้านหนองกุงพัฒนา ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
เมื่อเร็วๆ นี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา บ้านหนองกุงพัฒนา ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู ชมการเดินแบบผ้า พร้อมชมพิพิธภัณฑ์ผ้าทอ สาธิตการย้อมฝ้าย สาธิตการทำผ้าย้อมสีใบไม้ (Eco-Print) และผลิตภัณฑ์จากผ้าทอในร้านขวัญตา โดยมีนางสุมามาลย์ เต๋จ๊ะ ผู้ประกอบการศิลป์ผ้าถิ่นไทยขวัญตา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
ทั้งนี้ บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา เป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอ ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT และสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงเชื่อมโยงกับชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ประจำปี 2565 ของกระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62742 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
รฟม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
ลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมโดย กองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการฯ ตั้งแต่สถานีลาดพร้าว บนถนนลาดพร้าว ไปจนถึงสถานีสำโรง บนถนนเทพารักษ์ โดยตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบทางด้านฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น การปิดคลุมกองดิน กองทราย และเศษวัสดุก่อสร้างต่างๆ เป็นต้น พร้อมทั้งตรวจสอบการติดตั้งรั้วทึบล้อมรอบพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อเป็นการกำหนดเขตการก่อสร้างให้ชัดเจน รวมไปถีงการติดตั้งแผ่นดูดซับเสียงบริเวณสถานีสำโรง และได้เน้นย้ำผู้รับสัมปทาน ให้ทำความสะอาดพื้นที่ก่อสร้างและถนนสาธารณะโดยรอบโครงการฯ และให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
สามารถติดตามข้อมูลโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์โครงการ www.mrta-yellowline.com และไลน์ @mrtyellowline หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62729 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับฟังการแถลงผลงาน กพต. และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 66 ชื่นชม กพต.และทุกภาคส่วนร่วมกันทำงานเกิดผลชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
นายกฯ รับฟังการแถลงผลงาน กพต. และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 66 ชื่นชม กพต.และทุกภาคส่วนร่วมกันทำงานเกิดผลชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายกรัฐมนตรี รับฟังการแถลงผลงาน กพต. และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 66 ชื่นชม กพต.และทุกภาคส่วนร่วมกันทำงานเกิดผลชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และประชาคมโลก
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการรับฟังการแถลงผลงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2566 (ห้วงไตรมาส 1) ตามนโยบายรัฐบาล และ กพต. ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่ความมั่นคงด้วยการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและพื้นที่มีความมั่นคงปลอดภัย สู่ความมั่งคั่งด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างความอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำลดลง และความยากจนได้รับการแก้ไข และสู่ความยั่งยืนด้วยการพัฒนาพื้นที่ภายใต้แนวคิด BCG Model และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน และนำสันติสุขกลับสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วย กรรมการ กพต. และผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำภายใต้สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแนวความคิดนโยบายการปฏิบัติของหลายประเทศทั่วโลกมีความหลากหลายมากขึ้น จึงขอให้ทุกคนพัฒนาปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ภายหลังที่ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ระหว่างวันที่ 12-15 ธ.ค. 65 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียมที่ผ่านมา จากการพบปะหารือกับผู้นำของประเทศต่าง ๆ นั้น หลายประเทศต่างชื่นชมประเทศไทยในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารราชการเรื่องต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเงินการคลัง ตลอดจนด้านการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านคนแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการนำศักยภาพในด้านต่าง ๆ มาใช้ขับเคลื่อนทั้งเรื่องของธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม โดยเฉพาะภาคใต้ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีสถานที่แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีศักยภาพด้านธรรมชาติที่หลากหลายด้วย ทั้งนี้ ภายใต้ที่ไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การทำงานของ กพต. และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็มีความก้าวหน้าและดีขึ้นโดยลำดับ แม้จะยังมีความรุนแรงอยู่บ้างซึ่งเกิดจากความคิดและการเคลื่อนไหวของคนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ความรุนแรงก็ลดลงบ้างแล้ว ซึ่งก็ขอให้ทุกฝ่ายหาแนวทางร่วมกันในการที่จะทำให้ความรุนแรงลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การทำให้สถานการณ์ยุติลงและเกิดความสงบสุข โดยนายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการที่จะร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมไปถึงการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ตามนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมสอดคล้องกับการพัฒนาและแนวนโยบายของทั่วโลก
นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการ กพต. ที่ทำงานด้วยความเสียสละ ทุ่มเท มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการพัฒนาไปในทิศทางเชิงบวกที่ชัดเจนขึ้นหลายด้าน ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การอำนวยความเป็นธรรม การสร้างพหุสังคมที่มีความเข้มแข็ง เป็นต้น รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากภายนอกประเทศ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ซึ่งก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศไทยดี จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเทศไทย “ทั้งประเทศ” และประชาคมโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ำว่าแม้ผลการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติของ กพต. และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเกิดความสำเร็จในหลายด้าน แต่ก็ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันมุ่งมั่นและทุ่มเท ขยายผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้านเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อนำพาความสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืน มาสู่ “ดินแดนปลายด้ามขวานทอง” ของไทยให้จงได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย “การขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำหลักคิดและหลักปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ (1) การประยุกต์ศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หมายถึง “เข้าใจถ่องแท้...ถึงภูมิสังคม” คือ เข้าใจพื้นที่ ผู้คน ความเป็นอยู่ จารีต ประเพณี และเข้าใจปัญหา “เข้าถึงจิตใจ...ใจถึงใจ” ให้ถึงขั้นเปิดใจต้อนรับ รับรู้ รับฟัง แลกเปลี่ยนกัน แล้วนำไปสู่การ “พัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา ทุกคนเป็นคนไทย...ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร และต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ (2) หลักการทรงงาน “ระเบิดจากข้างใน” และให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยฟังเสียง และฟังความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยไม่ใช่เป็นการกระทำที่ยัดเยียดหรือคิดแทนในสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรต่าง ๆ เช่น ผู้นำองค์กรศาสนา “ทุกศาสนา” แกนนำเด็ก-เยาวชน-สตรี เป็นต้น ต้องนำทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม สำหรับการสร้างโอกาสการพัฒนา ทั้งภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคเอกชน โดยรัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดสรรทรัพยากรเข้ามาสนับสนุน และทำงานอย่างบูรณาการกัน ตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ที่ต้องโจทย์ประชาชน หรือชาวชุมชน “เจ้าของพื้นที่”
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึง 3 ภารกิจที่จะต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ (1) การสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์และความสุขต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมอบหมายให้ ศอ.บต. สมช. และสำนักงาน กปร. ประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อขจัดอุปสรรคและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการทำงาน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินการได้ตามแผนงาน (2) การเชื่อมโยงแผนงาน โครงการ “แบบ 360 องศา” โดยประสานสอดคล้องแผนงานระดับชาติ ระดับภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และแต่ละท้องถิ่น เช่น โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ได้แก่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี : “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตร” อ.เบตง จ.ยะลา : “เมืองต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส : “เมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ” ที่ได้มีการขยายผล แตกแขนง เป็นหลายโครงการระดับพื้นที่แล้ว เช่น โครงการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปูทะเลให้เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจใหม่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล และโครงการเมืองผลไม้แบบครบวงจร เป็นต้น และ (3) การดูแล คุ้มครอง ช่วยเหลือให้พระสงฆ์ และชาวไทยพุทธในพื้นที่ สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นปกติสุข หมายรวมถึง การปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนาสามารถดำเนินได้ด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความเจริญงอกงามของพหุสังคม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกส่วนราชการในฐานะ กพต. ได้ทบทวนว่ายังคงมีเรื่องใดที่ กพต. ได้เคยมีมติเห็นชอบเป็นหลักการไว้หรือไม่ รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ความเหลื่อมล้ำในสังคม การพัฒนา ครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศ มาพิจารณาเปรียบเทียบการดำเนินการในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อให้เห็นถึงการดำเนินการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามา พร้อมให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทุกภาคส่วนและต่างประเทศ ถึงผลสำเร็จที่เกิดขึ้นและการดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง ทั้งนี้ การดำเนินการสิ่งใดก็ตามต้องระมัดระวังอย่างที่สุดและรอบคอบ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความยุติธรรม รวมถึงการทุจริตจะต้องไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นตามนโยบายรัฐบาลโดยการทำทุกอย่างให้โปร่งใส เป็นธรรม คำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข และปลอดภัย โดยเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องเสนอให้ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบตามอำนาจหน้าที่ ก็ขอให้เร่งรัดดำเนินการเสนอเข้ามาเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการจัดทำคำของบประมาณประจำปี และดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อประมวลผลการทำงานที่สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริงในปี 2566 และให้เสนอเป็นรายการของขวัญเพื่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2566 ให้ ครม. พิจาณาอนุมัติต่อไป พร้อมขอบคุณและชื่นชม กพต. และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันทำงานเพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้พัฒนาต่อเนื่องและเข้มแข็งเช่นภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย และให้ภาคใต้มีรายได้ที่สูงขึ้น มีอนาคตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนภารกิจของทุกส่วนราชการอย่างเต็มที่ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมประสบความสำเร็จต่อไป
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตามมติ กพต. ระยะที่ผ่านมาที่ประสบผลสำเร็จเกิดผลเป็นรูปธรรม และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2566 (ห้วงไตรมาส 1) โดยเลขาธิการ ศอ.บต.และผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้นำเยี่ยมชม
----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62752 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 จังหวัดเชียงใหม่ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
การจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 จังหวัดเชียงใหม่
วันที่ 16 ธ.ค.2565 รมว.คลังได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ร่วมกับผู้แทนจากสถาบันการเงินและหน่วยงานราชการในพื้นที่
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “วันที่ 16 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ร่วมกับผู้แทนจากสถาบันการเงินและหน่วยงานราชการในพื้นที่”
ในพิธีเปิดงานมหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวปาฐกถาถึงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพยุงเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการในระยะเร่งด่วนเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังมีความรุนแรง และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้คลี่คลายลง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับเพิ่มขีดความสามารถให้กับประชาชน ทั้งการสร้างรายได้เพิ่มและการผ่อนปรนภาระโดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลต่อเนื่องถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป ดังนั้น การจัด “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” จึงมีกิจกรรมครอบคลุมทั้งการแก้ไขหนี้สินเดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ และการสร้างทักษะการประกอบอาชีพพร้อมทั้งการให้ความรู้ทางการเงิน
“มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ระหว่าง 10.00 น. – 18.00 น. โดยมีสถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตรร่วมออกบูธในงานมหกรรมจำนวนมาก ทั้งนี้ กิจกรรมในงานประกอบด้วย
• การแก้ไขหนี้สินเดิม โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการผ่อนชำระ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยค้างชำระ การคืนดอกเบี้ยในกรณีเป็นลูกหนี้ชำระดี
• สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ปลอดชำระเงินต้นนานเป็นพิเศษ
• การค้ำประกันสินเชื่อ โดยผ่อนปรนค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง
• ผลิตภัณฑ์เงินฝากดอกเบี้ยพิเศษเพื่อส่งเสริมการออม
• การให้คำปรึกษาทางออกให้ธุรกิจ คำปรึกษาทางการเงิน ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และการให้ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการออม
• การขายสินทรัพย์ NPA ของสถาบันการเงินและบริษัทเอกชน
• การแนะแนวอาชีพจากกรมการจัดหางาน
นอกจากนี้ การจัดงานมหกรรมในครั้งที่ 3 นี้ ได้รับความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ร่วมออกบูธเพิ่มเติม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนและผู้ประกอบการภายในงานทำได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอเชิญชวนลูกหนี้ ประชาชน หรือผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่หรือพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมงานมหกรรม ระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ระหว่าง 10.00 น. – 18.00 น. หรือลงทะเบียนล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ https://ln15.gsb.or.th/WEB-DEBT/Page/Consent.aspx หรือ Scan QR Code ท้ายแถลงข่าว และสามารถรับชมกิจกรรมเสวนาออนไลน์ได้ทาง Facebook Live ของสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
1. สมาคมสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โทร. 02 202 1868 หรือ 02 202 1961
2. ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือสายด่วน 1115
3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02 111 1111
4. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555
5. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000
6. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือสายด่วน 1357
7. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 169 9999
8. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือสายด่วน 1302
9. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62750 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เตรียมถวายพระราชสมัญญา "พระอัครราชูปถัมภิกาการจดหมายเหตุไทย" แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
วธ.เตรียมถวายพระราชสมัญญา "พระอัครราชูปถัมภิกาการจดหมายเหตุไทย" แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
วธ.เตรียมถวายพระราชสมัญญา "พระอัครราชูปถัมภิกาการจดหมายเหตุไทย" แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
วธ.เตรียมถวายพระราชสมัญญา "พระอัครราชูปถัมภิกาการจดหมายเหตุไทย" แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
วันที่ 9 ธันวาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยกรมศิลปากร ได้รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานการถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ต่อที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ครั้งที่ 7/2565 ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยกองงานในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำความกราบบังคมทูลทรงทราบแล้ว ขณะนี้กรมศิลปากรอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมกับจัดทำแผนการดำเนินงานการถวายพระราชสมัญญา ประกอบด้วย การจัดทำหนังสือที่ระลึก จัดนิทรรศการ เสวนา จัดทำของที่ระลึกถวาย และการประชาสัมพันธ์
ทั้งนี้ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เตรียมจัดทำหนังสือที่ระลึก 2 เล่ม เล่มแรกเป็นหนังสือการถวายพระราชสมัญญาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวถึงพระกรณียกิจและพระปรีชาสามารถของพระองค์ต่องานจดหมายเหตุไทย อีกเล่มเป็นหนังสือที่คัดเลือกเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจจากเอกสารจดหมายเหตุ 70 เรื่อง มาเรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งปัจจุบันบางส่วนนำเสนอในรูปแบบออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊กสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และภายในปี 2566 กรมศิลปากร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เตรียมการรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ สภาการจดหมายเหตุระหว่างประเทศประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Southeast Asia Regional Branch International Council on Archives: SARBICA) เป็นการพัฒนาความสำเร็จของกิจการจดหมายเหตุประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62743 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” เปิดจุดฉีดวัคซีนโควิด “สยามพารากอน” รองรับประชาชนเติมภูมิคุ้มกันให้ครบ 4 เข็ม ข้ามผ่านปีใหม่ปลอดภัย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
“สาธิต” เปิดจุดฉีดวัคซีนโควิด “สยามพารากอน” รองรับประชาชนเติมภูมิคุ้มกันให้ครบ 4 เข็ม ข้ามผ่านปีใหม่ปลอดภัย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยความร่วมมือเอกชน เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรีให้ประชาชน ที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้ถึง 26 ธันวาคม ตามนโยบายรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยความร่วมมือเอกชน เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรีให้ประชาชน ที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้ถึง 26 ธันวาคม ตามนโยบายรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็มเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ข้ามผ่านปีใหม่อย่างปลอดภัย หลังสถานการณ์ยังเพิ่มขึ้นแบบชะลอตัว
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) ที่ห้องประชุม 5-6 รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการ “สยามรวมใจ เติมความสุข เติมภูมิคุ้มกัน” โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โรงพยาบาลธนบุรี และกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เข้าร่วม
ดร.สาธิต กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด 19 ของไทยมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ประกอบกับช่วงนี้ประชาชนมีความต้องการรับวัคซีนเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและมีกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัย โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการเปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกสถานพยาบาล ภายใต้โครงการ สยามรวมใจเติมความสุข เติมภูมิคุ้มกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป และสื่อสารให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้สูงพอ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อช่วยลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
นพ.โอภาส กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบเริ่มชะลอตัว ซึ่งยังจะพบการระบาดในลักษณะSmall Waveได้ ส่วนเชื้อโรคอาจมีการกลายพันธุ์ย่อยๆ เล็กน้อย และแม้ว่าขณะนี้ระบบสาธารณสุขจะรองรับได้ แต่มาตรการป้องกันตนเองยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการสวมหน้ากากเมื่อมีอาการของระบบทางเดินหายใจ หรืออยู่ในที่มีคนจำนวนมากหรือแออัด ส่วนผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงยังคงต้องรับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน จึงต้องเร่งรัดเชิญชวนกลุ่ม 608 รวมถึงผู้ที่ได้รับวัคซีนมาแล้วเกิน 3-4 เดือน ให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยกำชับสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า ให้บริการประชาชนทุกคนที่เข้ามาขอรับบริการ อย่ากังวลเรื่องการสูญเสียวัคซีนจนเกินไป รวมถึงให้จัดจุดบริการเพิ่มขึ้นและหน่วยฉีดเชิงรุก
ด้าน นพ.ธเรศ กล่าวว่า ข้อมูลวันที่ 11-17 ธันวาคม 2565 พบผู้ป่วยโควิด 19 รักษาตัวในโรงพยาบาล 3,419 ราย เฉลี่ย 488 รายต่อวัน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 645 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นเป็น 400 ราย และพบผู้เสียชีวิต 113 ราย เฉลี่ย 16 รายต่อวัน โดยกลุ่ม 608 เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดสูงสุดถึง 107 ราย คิดเป็นร้อยละ 95 ทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปและกลุ่ม 608 เข้ารับวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 4 เข็ม โดยหากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือนแล้ว ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้เลย ไม่ต้องรอวัคซีนรุ่นใหม่ สำหรับความร่วมมือกับภาคเอกชนในวันนี้ มีกรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานกลางจัดสรรวัคซีนทั้งไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าให้บริการประชาชนฟรี
นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ “สยามรวมใจ เติมความสุข เติมภูมิคุ้มกัน” เป็นความร่วมมือระหว่าง สยามพารากอน และ ไอคอนสยาม กับ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และโรงพยาบาลธนบุรี เปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนอกสถานพยาบาลให้กับประชาชนอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ณ ห้องประชุม 10 ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม และห้องประชุม 5-6 รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ฝั่งนอร์ท เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน สามารถWalk-inเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนได้ทุกวัน เวลา 10.00 น. – 18.00 น. ตั้งแต่วันนี้ – 26 ธันวาคม 2565 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่call centerไอคอนสยาม โทร 1338 และสยามพารากอนโทร 02-610-8333
*********************************** 20 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62893 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง อัปเดตเส้นทางน้ำท่วมบนทางหลวง ผ่านไม่ได้เหลือเพียง 4 แห่ง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวง อัปเดตเส้นทางน้ำท่วมบนทางหลวง ผ่านไม่ได้เหลือเพียง 4 แห่ง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง
.....
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในขณะนี้ ส่งผลให้ทางหลวงบางเส้นทางมีน้ำท่วมสูงเป็นเหตุให้ไม่สามารถใช้สัญจรได้ตามปกติ กรมทางหลวง (ทล.) ได้สั่งการให้ สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด และได้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน สำหรับเส้นทางที่น้ำลดแล้วได้มีการสำรวจความเสียหายของถนนและระบบระบายน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการสัญจรโดยเร็วที่สุดอย่างต่อเนื่อง ตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีความห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยในครั้งนี้ พร้อมทั้งเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
พร้อมกันนี้ ทล. ได้ทำการสรุปสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวง โดย สถานการณ์ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 15.00 น. พบทางหลวงถูกน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จำนวน 16 สายทาง 18 แห่ง ที่การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง ดังนี้
1.จังหวัดสงขลา จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- ทางหลวงหมายเลข 4085 ตอน ปากน้ำเทพา - ธารคีรี ในพื้นที่ อำเภอสะบ้าย้อย ช่วง กม. ที่ 32+350 - 33+550 ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร
2.จังหวัดยะลา จำนวน 1 แห่งได้แก่
- ทางหลวงหมายเลข 409 ตอน ป่าพ้อ - ท่าสาป ในพื้นที่ อำเภอเมืองยะลา ช่วง กม. ที่ 30+600 - 32+600 ระดับน้ำ 30 - 40 เซนติเมตร ใช้ทางเลี่ยง ยล.3003 - ทล.409 (ท่าสาป - ลำใหม่)
3.จังหวัดนราธิวาส จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- ทางหลวงหมายเลข 4168 ตอน ต้นไทร - ปะลุกกาสาเมาะ ในพื้นที่ อำเภอบาเจาะ ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+700 ระดับน้ำ 30 - 40 เซนติเมตร ใช้เส้นทางเลี่ยงท้องถิ่นแทน
- ทางหลวงหมายเลข 4271 ตอน คอลอกาเว - ไอร์ซือเร๊ะ ในพื้นที่ อำเภอศรีสาคร ช่วง กม. ที่ 12+300 - 12+800 ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร ใช้เส้นทางเลี่ยง สาย 4058 ตอน มะรือโบ - รือเสาะ
ทั้งนี้ ทล. ได้สั่งการให้ สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ เฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีพื้นที่ใดประสบปัญหา เจ้าหน้าที่จะเข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทันที นอกจากนี้ ทล. ได้ติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์ความปลอดภัย อุปกรณ์นำทาง ในบริเวณทางหลวงที่ถูกน้ำท่วม พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์จนกว่าจะคลี่คลาย โดยขอให้ประชาชนผู้ใช้ทางโปรดใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด หากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือ ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อ ได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางและเส้นทางเลี่ยงได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62892 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK มอบของขวัญปีใหม่ 2566 สินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกเพื่อบุคคลทำธุรกิจและ SMEs พร้อมมาตรการแก้หนี้รับปีกระต่าย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
EXIM BANK มอบของขวัญปีใหม่ 2566 สินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกเพื่อบุคคลทำธุรกิจและ SMEs พร้อมมาตรการแก้หนี้รับปีกระต่าย
EXIM BANK จัดเต็มแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อผู้ส่งออก “สินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออก” เพื่อบุคคลทำธุรกิจและ SMEs สนับสนุนคนตัวเล็กให้กล้าเริ่มต้นบุกตลาดส่งออกด้วยเงินทุนพร้อมความคุ้มครองกรณีไม่ได้รับการชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ
EXIM BANK จัดเต็มแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อผู้ส่งออก “สินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออก” เพื่อบุคคลทำธุรกิจและ SMEs สนับสนุนคนตัวเล็กให้กล้าเริ่มต้นบุกตลาดส่งออกด้วยเงินทุนพร้อมความคุ้มครองกรณีไม่ได้รับการชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ พร้อม “มาตรการแก้หนี้ รับปีกระต่าย” ตัดต้นก่อนดอก ยืดหนี้ เพื่อกระตุ้นการส่งออกของไทยในตลาดที่ยังมีศักยภาพและช่วยเตรียมความพร้อมผู้ส่งออกไทยรับโอกาสใหม่ทางธุรกิจปีหน้า
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า ในปี 2566 สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกเต็มไปด้วยความเสี่ยงและโอกาสที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ โดยความเสี่ยงหลัก ๆ มาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจสําคัญอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่อาจรุนแรงถึงขั้นถดถอย ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและการเงินของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจและ SMEs อาจได้รับผลกระทบมากกว่า
อย่างไรก็ตาม โอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจในตลาดโลกยังมีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตะวันออกกลาง อีกทั้งสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอยู่อีกมาก อาทิ อาหาร และสินค้าที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว EXIM BANK ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง จึงจัดทํามาตรการของขวัญเพื่อส่งมอบความสุขต้อนรับปีกระต่ายให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยและ Rebate เงินคืน ดังนี้
กล่องของขวัญที่ 1 สินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออก เพื่อบุคคลทำธุรกิจ และ SMEs
EXIM BANK ให้ “อัตราดอกเบี้ย” 4.34% ต่อปีถึงไม่เกิน 6.60% ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน สำหรับลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้คนตัวเล็กกล้ามีความกล้าและความพร้อมที่จะเริ่มต้นธุรกิจ คือ
• สินเชื่อบุคคลทำธุรกิจ (EXIM Personal biz)
ครั้งแรกของการปลดล็อกให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถกู้ EXIM BANK ได้ โดยได้รับเงินทุนเริ่มต้นธุรกิจสูงสุด 5 แสนบาท เมื่อมียอดขายและจ่ายดี EXIM เพิ่มทุนให้อีกสูงสุดรวม 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 6.60% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน
• สินเชื่อเพื่อผู้ส่งออกป้ายแดง
ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่ม Startup และ SMEs มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับเริ่มต้นส่งออกได้ วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.34% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน
• สินเชื่อ EXIM Shield Financing
ผลิตภัณฑ์เพื่อ SMEs ที่ต้องการเริ่มต้นหรือขยายตลาดส่งออก เป็นเงินทุนหมุนเวียนพร้อมความคุ้มครองกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศไม่ชำระเงินค่าสินค้า วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5.09% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน
กล่องของขวัญที่ 2 มาตรการแก้หนี้รับปีกระต่าย ตัดต้นก่อนดอก ยืดหนี้
สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนของ EXIM BANK ธนาคารขยายเวลาชำระหนี้ ร่วมกับการตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ย รวมทั้งคืนเงิน 2% ของดอกเบี้ยจ่ายสะสม หากชำระหนี้เป็นปกติ เพื่อช่วยลดภาระและต้นทุนทางการเงินให้แก่ลูกหนี้ และแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกค้าอย่างยั่งยืน
“EXIM BANK ขอส่งความสุขให้แก่ภาคธุรกิจ ด้วยแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ ประกอบด้วยสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจส่งออก อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และพิเศษในปีนี้ ธนาคารมีสินเชื่อให้แก่บุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจให้พร้อมเริ่มต้นส่งออกได้ และมาตรการแก้หนี้ ตัดต้นก่อนดอก ยืดหนี้ พร้อมคืนเงิน 2% หากชำระเป็นปกติ เพื่อให้ภาคธุรกิจมีขวัญกำลังใจและสภาพคล่อง รับโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจในปีหน้าได้” ดร.รักษ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
EXIM Thailand Offers New Year 2023 Gift Package with Export Turnaround Credit for Businessperson and SMEs Alongside Debt Resolution for Year of the Rabbit Scheme
EXIM Thailand has made available New Year 2023 gift package for exporters, i.e. “Export Turnaround Credit” for businessperson and SMEs aiming to empower little people in the business world so that they dare to start up business and penetrate export markets with available capital in conjunction with provision of insurance coverage in case of foreign buyers’ non-payment. The Bank has also launched “Debt Resolution for Year of the Rabbit” scheme with principal-pre-interest hair-cut and debt rescheduling to revive Thai export to markets with good prospects and get Thai exporters well-prepared for capturing fresh business opportunities of the upcoming year.
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that the year 2023 could come with global trade and economic risks and opportunities for entrepreneurs mainly due to global economic vulnerability, particularly in major markets like the US and Europe. Such economic challenges might intensify to the extent of economic recession amid the prolonged Russia-Ukraine tension and upward trend of interest rates, which could heighten production and financial costs of entrepreneurs, particularly individual business operators and SMEs on whom impacts might be deepened.
However, new business opportunities are still evident in the global markets, good potential markets in particular, e.g. the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) and the Middle East, coupled with high demand for such Thai goods as foods and tourism-related products. In view of good prospects of Thai export, EXIM Thailand has collaborated with Fiscal Policy Office, Ministry of Finance, in preparing well-wishing gift packages going into the Year of the Rabbit for export-related entrepreneurs along with interest rate reduction and interest rebate, as follows:
Gift Box No. 1 Export Turnaround Credit for Businessperson and SMEs
EXIM Thailand offers “special interest rates” ranging from 4.34% per annum to 6.60% per annum for 6 months for new and existing customers with 3 products that would empower little people to get ready and dare to start up business, comprising:
• EXIM Personal Biz
It is the first unlocking of EXIM Thailand credit facility for business person with offering of business start-up capital of up to 500,000 baht, and upon entrepreneurs recording sales and having good repayment record, additional capital of an amount that would make up a combined capital of 2 million baht maximum, with special interest rate of 6.60% per annum for 6 months.
• Brand New Export Financing
It is the product for start-up and SME exporters so that they have adequate working capital for export start-up, with a credit line of up to 5 million baht and interest rate of 4.34% per annum for 6 months.
• EXIM Shield Financing
It is the product for SMEs aspiring to start up or expand export with offering of revolving fund in conjunction with insurance coverage in case of foreign buyers’ non-payment for goods, a maximum credit line of 2 million baht per entrepreneur and special interest rate of 5.09% per annum for 6 months.
Gift Box No. 2 Debt Resolution for Year of the Rabbit Scheme with Principal-pre-Interest Hair-cut and Debt Rescheduling
For customers participating in EXIM Thailand’s Sustainable Debt Restructuring scheme, EXIM Thailand will extend loan repayment tenor alongside principal-pre-interest reduction and rebate of 2% of accumulated interest paid for customers with normal debt repayment record in order to relieve their financial cost burden and to help solve their debt problems on a sustainable basis.
“EXIM Thailand would like to extend well wishes to business sectors with Happy New Year packages comprising Export Turnaround Credit carrying special interest rates, and especially for this year, catering to individual business operators to enable them to start up their export, and Debt Resolution scheme with offering of principal-pre-interest hair-cut and debt rescheduling alongside 2% interest rebate in case of normal loan repayment record. These packages are aimed to uplift business sectors’ morale and boost their liquidity to ensure their readiness to embrace fresh business opportunities of the upcoming year,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62905 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยกำลังพล ร.ล.สุโขทัย มอบหมายรองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ พร้อมกำชับหน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยกำลังพล ร.ล.สุโขทัย มอบหมายรองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ พร้อมกำชับหน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยกำลังพล ร.ล.สุโขทัย มอบหมายรองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ พร้อมกำชับหน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนเริ่มเข้าวาระการประชุม ครม. ในวันนี้ (20 ธ.ค. 2565) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีเรื่องแจ้งเพื่อทราบ และข้อสั่งการดังต่อไปนี้
1. เมื่อช่วงเช้านี้ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและภริยาเป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และน้อมถวายกำลังพระทัยให้ทรงแข็งแรงโดยเร็ว
2. นายกรัฐมนตรีได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบถึงผลสำเร็จในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ โดยมีผู้นำอาเซียน 9 ประเทศและผู้นำยุโรป 27 ประเทศร่วมหารือ ซึ่งผู้นำหลายประเทศได้แสดงความชื่นชมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2022 ของไทย รวมทั้งการแก้ปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยปัจจุบันไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้วกว่า 10 ล้านคน ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การรับมือความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายด้านความมั่นคง ด้วยการแยกความขัดแย้งออกจากความร่วมมือเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวเพื่อความยั่งยืน สร้างความเป็นหุ้นส่วนสีเขียวอาเซียน-สหภาพยุโรป และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ การทรวงดีอีเอส กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ติดตามความร่วมมือในประเด็นดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
3. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกพบว่า ภูมิภาคยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหาทั้งราคาพลังงาน และเงินเฟ้อที่หนักกว่าบ้านเรา ซึ่งผู้นำยุโรปชื่นชมไทยที่สามารถบริหารจัดการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้กำชับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ ติดตามดูแลราคาพลังงานที่เหมาะสม รวมทั้งหาแนวทางลดผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนให้เดือดร้อนน้อยที่สุด โอกาสนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึงการประกาศปรับอัตราค่า Ft ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ล่าสุดนั้น เป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนการผลิตและไม่กระทบต่อภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตามสำหรับข้อห่วงใยของภาคอุตสาหกรรมนั้น กระทรวงพลังงานได้ประสานเพื่อขอความร่วมมือไปยังสำนักงาน กกพ. ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยขอให้พิจารณาการปรับค่า Ft นอกจากสะท้อนต้นทุนการผลิตแล้ว ขอให้คำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ต้องรักษาระดับอัตราค่าไฟฟ้าไทยในระดับที่เหมาะสม
4. นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยกำลังพลของกองทัพเรือ ที่ประสบเหตุเรือหลวงสุโขทัยอัปปาง โดยให้หน่วยงานระดมเข้าไปช่วยเหลือกำลังพลของ ร.ล.สุโขทัยทุกคนให้กลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย รวมถึงดูแลและประสานกับครอบครัวผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิดด้วย
5. นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ เข้าไปช่วยติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ และกำชับให้หน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย แก้ไขคลี่คลายสถานการณ์ตามแผนการช่วยเหลือ ให้จัดกำลังสนับสนุนส่วนราชการท้องถิ่นดูแลประชาชนที่ศูนย์อพยพชั่วคราว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีน้ำท่วม ช่วยขนย้ายคนและสิ่งของจำเป็นไปยังพื้นที่ปลอดภัย ช่วยรับส่งประชาชน รวมทั้งร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ มอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัย ปรุงอาหารแจกจ่ายประชาชน ย้ำให้ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62866 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิดให้รับรหัสเข้าร่วมโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ธอส. เปิดให้รับรหัสเข้าร่วมโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป
ธอส. ร่วมกับ สปส. ลดภาระค่าใช้จ่ายผ่อนชำระเงินงวดที่อยู่อาศัยให้ผู้ประกันตน ม. 33 ผ่าน “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน” ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 ปี เท่ากับ 1.99% ต่อปี ให้กู้เพื่อรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลดภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดที่อยู่อาศัยให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ผ่าน“โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน” ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 ปี เท่ากับ 1.99% ต่อปี ให้กู้เพื่อรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น และลดอัตราดอกเบี้ยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับ ธอส. ภายใต้กรอบวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท ขอรับรหัสเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป
นายฉัตรชัย ศิรืไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การจัดทำความร่วมมือใน “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน” ระหว่างสำนักงานประกันสังคม กับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อรวม 30,000 ล้านบาท เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลของ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จึงได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ประกันตนมีประวัติการผ่อนชำระปกติสามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุดจากสถาบันการเงินอื่น รวมถึงเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับ ธอส. วงเงินให้กู้สูงสุดตามจำนวนเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 2 ล้านบาท/หลักประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 ปี เท่ากับ 1.99% ต่อปี ปีที่ 6–8 เท่ากับ MRR-2.00% (4.15%) ต่อปี และปีที่ 9 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% (5.65%) ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี) ผ่อนชำระนานสูงสุด 40 ปี
ผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถขอรับรหัสผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป เพื่อรับรหัสผ่าน GHB Buddy ใน Line Application จากนั้นนำรหัสที่ได้รับพร้อมหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 (ดาวน์โหลดทางเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม) และเอกสารส่วนตัว / เอกสารแสดงรายได้ / และเอกสารแสดงหลักประกัน(ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) มายื่นกู้กับ ธอส. ที่สาขาทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป (ตามวันที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งผู้ที่ขอรับรหัสจะได้รับการแจ้งเตือนวันที่ให้ติดต่อยื่นกู้ทาง GHB Buddy หรือ ตรวจสอบลำดับการยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th และทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/ สาขา/ ที่ท่านสะดวก หรือโทรสายด่วน 1506 หรือ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, Mobile Application : GHB ALL GEN และเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62904 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย 21 ธ.ค.นี้ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนร.ไทย-นร.ญี่ปุ่น พร้อมตรวจติดตามโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย 21 ธ.ค.นี้ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนร.ไทย-นร.ญี่ปุ่น พร้อมตรวจติดตามโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย 21 ธ.ค.นี้ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนร.ไทย-นร.ญี่ปุ่น พร้อมตรวจติดตามโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดเชียงราย ในวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 โดยมีกำหนดการดังนี้
เวลาประมาณ 07.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ จะออกเดินทางจากท่าอาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และเดินทางต่อไปยังโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (รร.จภ.) จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นประธานเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) ในเวลาประมาณ 09.30 น. โดยนายกรัฐมนตรีจะรับฟังการนำเสนอโครงงานของนักเรียนพร้อมติดตามผลการพัฒนาโรงเรียนในด้านต่าง ๆ และเยี่ยมชมนิทรรศการ PCSHS CR Smart School ชมวีดิทัศน์การแข่งขัน Thailand - Japan Game Programming Hackathon (TJ-GPH 2022) และการพัฒนาเกมส์ของนักเรียน รวมทั้งเยี่ยมชมผลงานและนวัตกรรมด้านไอซีทีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย ซึ่ง รร.จภ. เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมุ่งจัดการศึกษาให้กับนักเรียนผู้มีศักยภาพสูง มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาให้ศึกษาต่อทางด้าน STEM ในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก และพัฒนาไปสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี วิศวกร และนักคณิตศาสตร์ในอนาคต โดยที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานบรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้าน STEM เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0
ในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้พืชมูลค่าสูง ได้แก่ วานิลลา ซึ่งเป็นพืชชนิดแรกของโครงการ มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ เช่น ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการระบบการรดน้ำบนพื้นที่ไหล่เขาร่วมกับแบบดั้งเดิม ทำให้ลดระยะเวลารดน้ำจากเดิม 3 วัน เหลือแค่ 3 ชม./วัน ปรับปรุงระบบการจดบันทึกประวัติการเจริญเติบโตและการเก็บบันทึกข้อมูลแบบอัตโนมัติ ทำให้ทีมนักวิจัยลดระยะเวลาการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด จากเดิมต้องใช้เวลา 6-10 วัน เหลือเพียง 4 วัน ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ช่วยสร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน และสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางกลับถึงท่าอาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 18.30 น. กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62868 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ พร้อมเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ จ.สงขลา ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. ช่วงบ่ายวันอังคาร 20 ธ.ค.นี้ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ พร้อมเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ จ.สงขลา ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. ช่วงบ่ายวันอังคาร 20 ธ.ค.นี้
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ พร้อมเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ จ.สงขลา ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. ช่วงบ่ายวันอังคาร 20 ธ.ค.นี้
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าในช่วงบ่ายวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกลาโหม มีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา
ในเวลาประมาณ 13.30 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานทหารกองบิน 56 ตำบลโคกม่วง อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึง จะเข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย จากนายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่ห้องรับรองกองบิน 56
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ จะออกเดินทางไปยังวัดเขาตกน้ำ ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ วัดเขาตกน้ำ ก่อนออกเดินทางไปยังศูนย์อพยพเทศบาลตำบลควนเนียง อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย โดยนายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 19.50 น. ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
สำหรับจังหวัดสงขลา เป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างที่ได้รับผลกระทบสถานการณ์มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากตั้งแต่วันที่ 18-19 ธันวาคม 2565 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินสไลด์ และลมกระโชกแรง โดยจากข้อมูลล่าสุดตามรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (ณ 19 ธันวาคม 2565 เวลา 18.00 น.) มีสถานการณ์ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวม 66 อำเภอ 271 ตำบล 1,425 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 64,626 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย (จ.นราธิวาส) ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ 7 จังหวัด 58 อำเภอ 256 ตำบล 1,362 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 61,939 ครัวเรือน โดยจังหวัดสงขลา มีน้ำท่วมในพื้นที่ 13 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสงขลา รัตภูมิ ควนเนียง หาดใหญ่นาหม่อม จะนะ บางกล่ำ ระโนด คลองหอยโข่ง สิงหนคร สะบ้าย้อย สะทิงพระ และเทพา รวม 93 ตำบล 524 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 12,236 ครัวเรือน โดย สำนักงาน ปภ.จังหวัด อำเภอ อปท. จิตอาสา อส. อปพร. อาสาสมัคร มูลนิธิ เข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ ศูนย์ปภ.เขต 18 ภูเก็ต สนับสนุนเครื่องจักรกลสาธารณภัยในพื้นที่ ปัจจุบันระดับน้ำลดลง มีฝนตกปานกลางในบางพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62848 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อำนวยความสะดวกผู้ประกันตนเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคม ผ่านระบบออนไลน์ได้จนถึง 31 มี.ค.ปีหน้า | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
อำนวยความสะดวกผู้ประกันตนเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคม ผ่านระบบออนไลน์ได้จนถึง 31 มี.ค.ปีหน้า
อำนวยความสะดวกผู้ประกันตนเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคม ผ่านระบบออนไลน์ได้จนถึง 31 มี.ค.ปีหน้า
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผูัประกันตน ให้ผู้ประกันตนเลือกโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับบริการได้ อย่างเหมาะสมให้สอดคล้องกับที่พักอาศัยในปัจจุบัน สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 แจ้งเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำปี 2566 ได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ทั้งยื่นด้วยตนเองหรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ รวม 4 ช่องทาง ดังนี้
1.ยื่นแบบการเลือกสถานพยาบาลในการรับบริการทางการแพทย์ สปส. 9-02 ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ
2.ทำรายการผ่านเว็บไซด์ www.sso.go.th
3.ทำรายการผ่าน Application SSO Connect
4.ทำรายการผ่าน Line official sso โดยเพิ่มเพื่อน @ssothai
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ผู้ประกันตนที่แจ้งเปลี่ยนสถานพยาบาลผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารต่อสำนักงานประกันสังคมอีก ทั้งนี้ สถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนขอเปลี่ยนนั้น ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่ผู้ประกันตนทำงานหรือพักอาศัยในปัจจุบัน หรือจังหวัดรอยต่อของจังหวัดดังกล่าวและมีจำนวนผู้ประกันตนไม่เกินตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ส่วนการแจ้งผลผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ทำงานกับนายจ้าง จะแจ้งผลการเลือกสถานพยาบาลผ่านนายจ้าง ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 จะแจ้งเป็นหนังสือ หรือ SMS
"ผู้ประกันตนสามารถสอบถามรายชื่อสถานพยาบาลประกันสังคมจากนายจ้าง หรือดูข้อมูลจากเว็บไซต์ www.sso.go.th หรือสอบถามผ่าน สายด่วนประกันสังคม โทร.1506 " นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เผยสายทางที่ได้รับผลกระทบ ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท เผยสายทางที่ได้รับผลกระทบ ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง
และติดตั้งป้ายเตือนเพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ขณะนี้ เนื่องมาจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงที่พัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทย ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดพื้นที่ภาคใต้นำกำลังเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ พร้อมติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนกว่าสถานการณ์น้ำจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565 มีสายทางหลวงชนบท ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จำนวน 23 สายทาง สัญจรผ่านได้ 14 สายทาง และสัญจรผ่านไม่ได้ 9 สายทาง ได้แก่
1. ถนนสาย นศ.4021 แยก ทล.4151 - บ้านบางคลุ้ง อำเภอเชียร์ใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วง กม. ที่ 14+925 - 17+925 ระดับน้ำสูง 50 เซนติเมตร
2. ถนนสาย ปน.2001 แยก ทล.42 - บ้านข่าลิง อำเภอสายบุรีและทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ช่วง กม. ที่ 13+400 - 14+000 ระดับน้ำสูง 40 เซนติเมตร
3. ถนนสาย ปน.2061 แยก ทล.42 - บ้านสายบุรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ช่วง กม. ที่ 4+500 - 5+100 ระดับน้ำสูง 50 เซนติเมตร
4. ถนนสาย ปน.2067 แยก ทล.42 - บ้านตันหยง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ช่วง กม. ที่ 3+600 - 5+500 ระดับน้ำสูง 45 เซนติเมตร
5. ถนนสาย ปน.6083 บ้านบือราแง - บ้านชะเมา อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ช่วง กม. ที่ 1+900 - 3+550 ระดับน้ำสูง 55 เซนติเมตร
6. ถนนสาย พท.1002 แยก ทล.4 - บ้านคู อำเภอเมืองและกงหรา จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+200 ระดับน้ำสูง 60 เซนติเมตร
7. ถนนสาย พท.1014 แยก ทล.4 - บ้านควนอินนอโม อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+300 ระดับน้ำสูง 150 เซนติเมตร
8. ถนนสาย พท.1042 แยก ทล.4 - บ้านถ้ำน้ำเย็น อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 7+600 - 8+600 ระดับน้ำสูง 150 เซนติเมตร
9. ถนนสาย สข.4051 แยก ทล.4208 - บ้านโล๊ะหนุน อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา ช่วง กม. ที่ 8+200 - 3+200 ระดับน้ำสูง 40 เซนติเมตร
ทช. ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเน้นย้ำหน่วยงานในพื้นที่ปฏิบัติตามมาตรการรับมืออุทกภัยตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักร อุปกรณ์ ประจำตามสายทางที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันที ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยได้ที่สายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62869 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมการประชุม | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมการประชุม
เชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคม
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ 2566 ภายใต้โครงการขับเคลื่อนด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริต และด้านการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของกระทรวงคมนาคม โดยมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงาน ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมกิจกรรม ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
นายชยธรรม์ พรหมศร กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งเน้นการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาของข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล กอปรกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้นโยบายกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ การดําเนินการใด ๆ ให้ยึดถือปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด โดยการทํางานของทุกหน่วยงานต้องยึดถือความโปร่งใส ตรวจสอบได้เป็นสําคัญ กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานอย่างโปร่งใส เป็นไปตามกฎระเบียบ หลักธรรมาภิบาล ตรวจสอบได้ โดยมีการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดการทุจริตให้หมดไป รวมทั้งยังมุ่งเน้นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานพัฒนาเป็นองค์กรคุณธรรม จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคมขึ้น เพื่อให้สอดคคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
สำหรับการจัดกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ 2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารด้านการต่อต้านการทุจริตให้มีประสิทธิภาพได้มีการบูรณาการเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของกระทรวง ให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นไปในทิศทางเดียวกันยกระดับคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) เพื่อสร้างวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมร่วมต้านทุจริตและประพฤติมิชอบก่อให้เกิดกระบวนการเฝ้าระวังการทุจริต และเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและเครือข่ายต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมกระทรวงคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านมาตรการสร้างความโปร่งใสอย่างมีประสิทธิภาพมีการตรวจสอบการทำงาน ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใส
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสร้างองค์กรคุณธรรมหรือการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมการประชุม จำนวน 72 คน โดยมีวิทยากรจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “แนวทางและตัวอย่างการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62894 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงมอบของขวัญปีใหม่ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษ รวม 7 วัน | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงมอบของขวัญปีใหม่ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษ รวม 7 วัน
เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก กรมทางหลวง (ทล.) จึงได้เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีความห่วงใยประชาชนในการเดินทาง โดยได้ให้สำนักงานทางหลวงและแขวงทางหลวงทั่วประเทศ ดำเนินการตรวจสอบป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจร ไฟฟ้าแสงสว่างให้พร้อมใช้งาน ตรวจสอบและแก้ไขจุดเสี่ยงหรือจุดอันตราย บำรุงรักษาทางหลวงให้อยู่ในสภาพดี อีกทั้งได้ขอความร่วมมือผู้รับจ้างคืนพื้นผิวจราจรในพื้นที่ก่อสร้างให้มีช่องจราจรเท่าเดิมหรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด และหากพบว่า มีปริมาณจราจรหนาแน่นจะทำการประสานงานกับตำรวจทางหลวง ในการสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรหรือการจัดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทล. ได้จัดตั้งจุดให้บริการทั่วไทย จำนวน 393 แห่ง แบ่งเป็นจุดให้บริการทั่วไทย (โดยแขวงทางหลวงกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ) 119 แห่ง จุดให้บริการตำรวจทางหลวง 205 แห่ง และจุดให้บริการสถานีตรวจสอบน้ำหนักและพักรถบรรทุก 85 แห่ง ซึ่งภายในจุดบริการทั่วไทยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการประชาชนผู้ใช้ทางตลอด 24 ชั่วโมง อาทิ การให้ข้อมูลเส้นทาง แนะนำเส้นทางเลือก บริการน้ำดื่ม รวมทั้งแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 พร้อมทั้งได้จัดเตรียมห้องน้ำสะอาดบริการประชาชน จำนวน 581 แห่ง (ในพื้นที่หมวดทางหลวงทั่วประเทศ) และรถบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนทางหลวง จำนวน 515 คัน
อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทล. ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพ - ชลบุรี - พัทยา - มาบตาพุด ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 บางปะอิน - บางพลี และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 พระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2566 รวมระยะเวลา 7 วัน นอกจากนี้ จะเปิดให้บริการวิ่งฟรีชั่วคราว บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ช่วง อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว - อำเภอขามทะเลสอ ระยะทาง 64.26 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 (โดยจัดการจราจรแบบเดินรถทางเดียวในวันที่ 29 - 31 ธันวาคม 2565 เดินทางขาออก และวันที่ 1 - 4 มกราคม 2566 เดินทางขาเข้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณจราจรบนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ทั้งสิ้น 7,325,097 คัน แบ่งเป็นฝั่งขาออก 3,584,353 คัน และฝั่งขาเข้า 3,740,744 คัน โดยผู้ใช้ทางสามารถติดตามการรายงานสภาพจริงการจราจร Online แบบ Real Time ผ่านแอปพลิเคชัน M-Traffic (มอเตอร์เวย์) Thailand Highway Traffic และเฟซบุ๊ก “ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุกรมทางหลวง”
อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางขับขี่ด้วยความระมัดระวังปฏิบัติตามกฎจราจรวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เตรียมร่างกายให้พร้อม หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62885 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. มอบของขวัญปีใหม่ให้เกษตรกร ทั้งคืนดอกเบี้ย ลดภาระหนี้ และเสริมสภาพคล่อง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ธ.ก.ส. มอบของขวัญปีใหม่ให้เกษตรกร ทั้งคืนดอกเบี้ย ลดภาระหนี้ และเสริมสภาพคล่อง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้
ธ.ก.ส. จัด 4 มาตรการ ส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้เกษตรกร ทั้งคืนดอกเบี้ยผ่านโครงการชำระดีมีคืน การลดดอกเบี้ยแก้หนี้ครัวเรือน สูงสุด 50% จัดสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า ดอกเบี้ย 0% 6 เดือน และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ
ธ.ก.ส. จัด 4 มาตรการ ส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้เกษตรกร ทั้งคืนดอกเบี้ยผ่านโครงการชำระดีมีคืน การลดดอกเบี้ยแก้หนี้ครัวเรือน สูงสุด 50% จัดสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า ดอกเบี้ย 0% 6 เดือน และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ใน 2 ปีแรก และปลอดชำระดอกเบี้ย 6 เดือนแรก เพื่อลดผลกระทบจาก COVID-19 ภัยธรรมชาติ และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ให้สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพและจัดการหนี้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มี.ค. 2566
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2566 ธ.ก.ส. ขอส่งมอบของขวัญพิเศษให้กับพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่าง ๆ ทั้งการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 ภัยธรรมชาติ และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผ่าน 1) โครงการ ชำระดีมีคืน ปี 2565 โดยคืนดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริงไม่เกิน 1,000 บาทต่อรายให้กับลูกค้าที่ชำระหนี้ที่ถึงกำหนด เพื่อลดภาระการชำระหนี้และเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายช่วงปีใหม่ วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท 2) โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 สำหรับลูกค้าที่มีหนี้สินอันเป็นภาระหนัก ได้แก่ ลูกหนี้ (Non - Performing Loan - NPL) ลูกหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และลูกหนี้ที่ออกจากโครงการพักชำระหนี้ต่าง ๆ ของรัฐบาล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยลดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมด เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นเป็นรายสัญญา กรณีชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้เสร็จสิ้น ลดดอกเบี้ยร้อยละ 30 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และกรณีชำระดอกเบี้ยบางส่วน เกษตรกรรายบุคคลได้ลดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และลูกหนี้กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ลดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง
นอกจากนั้น ยังพร้อมเติมทุนผ่าน 3) มาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า ปีบัญชี 2565 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายจำเป็นฉุกเฉิน เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 คิดดอกเบี้ย MRR วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท และ โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนประกอบอาชีพ วงเงินรายละไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-2 ชำระคืนภายใน 15 ปี และ 4) สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อเพื่อการปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการ) ที่มีการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับบริบทโลกใหม่ (New Normal) ทันกระแสดิจิทัลเทคโนโลยี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ในช่วง 2 ปีแรก โดยปลอดชำระดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก ปีถัดไปคิดอัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับ ร้อยละ 6.50) และ MLR (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 4.875) ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถตรวจสอบสิทธิ์และแจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมมาตรการต่าง ๆ ได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาที่ทำสัญญาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62901 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จาก อว. 14 กิจกรรมเพื่อประชาชนทุกช่วงวัยและส่งเสริมชาวนา เกษตรกร และ SME | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จาก อว. 14 กิจกรรมเพื่อประชาชนทุกช่วงวัยและส่งเสริมชาวนา เกษตรกร และ SME
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จาก อว. 14 กิจกรรมเพื่อประชาชนทุกช่วงวัยและส่งเสริมชาวนา เกษตรกร และ SME
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เห็นชอบและรับทราบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ เพื่อประชาชนทุกช่วงวัย 14 กิจกรรม โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้
1. กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย 11 กิจกรรม แบ่งเป็น
1.1 กิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศและภูมิสารสนเทศและดาราศาสตร์ 3 กิจกรรม คือ 1.ให้บริการแหล่งการเรียนรู้ด้านอวกาศและภูมิสารสนเทศ (Space Inspirium) ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 65 – 1 ม.ค. 66 ณ Space Inspirium ในพื้นที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อ. ศรีราชา จ. ชลบุรี 2.ชมนิทรรศการด้านดาราศาสตร์ Night at the Museum เปิดประสบการณ์ชมนิทรรศการดาราศาสตร์และท้องฟ้าจำลองรอบพิเศษยามค่ำคืนและกิจกรรมดูดาวผ่านท้องฟ้าจริง ระหว่างวันที่ 23-25 ธ.ค. 65 และ 3.NARIT Public Night Countdown 2023 ชมพาเหรดดาวเคราะห์ (อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ยูเรนัส) ดูดาวข้ามปี และร่วมนับถอยหลังเริ่มศักราชใหม่ ในวันที่ 31 ธ.ค. 65 ณ อุทยานดาราศาสตร์ สิรินธร จ. เชียงใหม่ และหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จ. นครราชสีมา จ. ฉะเชิงเทรา และ จ. สงขลา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
1.2 จัดเต็มความสนุกสนาน ฟรี! โดยจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ในพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 65 – 8 ม.ค. 66 ได้แก่ 1.กิจกรรมห้องทดลองวิทยาศาสตร์ (Science Lab) ณ อพวช. คลองห้า จ. ปทุมธานี และจัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. (เดอะสตรีท รัชดา กรุงเทพฯ จ. เชียงใหม่ และ จ. นครราชสีมา) และ 2.การแสดง ทางวิทยาศาสตร์ Science Show โชว์สุดมหัศจรรย์ ณ อพวช. คลองห้า ปทุมธานี
1.3 เปิดตัวแพลตฟอร์ม Traffy Fondue 2023 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองเวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งเปิดตัวไลน์แชทบอท Fondue Manager เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนให้สะดวกง่ายขึ้นผ่านทาง LINE และเจ้าหน้าที่สามารถบริหารจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา “ฟรี” ทุกหน่วยงานทั่วประเทศ
1.4 จัดทำแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันเกี่ยวกับสุขภาพ ได้แก่ 1.A-MED Telehealth แพลตฟอร์มดิจิทัลดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เป็นระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล และ 2.“แอปพลิเคชันรู้ทัน” สื่อสารความเสี่ยง ด้านสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงหรือรับการแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสาร ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างสะดวกและรวดเร็วจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และดัชนีความร้อน ที่นำไปสู่โรคลมแดด และพร้อมขยายผลสู่ความเสี่ยงสุขภาพอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต
1.5 แพลตฟอร์ม BrighterBee Talent Solution ที่เปิดให้นักศึกษาสามารถค้นหาโอกาสทางอาชีพทั้งในองค์กรขนาดใหญ่และ Start Up ในหลากหลายอุตสาหกรรม ช่วยสร้างโปรไฟล์อย่างมืออาชีพ รวมทั้งมีหลักสูตรที่รวบรวม ไว้ในแพลตฟอร์มนี้กว่า 250 หลักสูตร ให้เข้าไปเรียนรู้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
1.6 กิจกรรม ณ สถานีวิจัยลำตะคอง ระหว่างเดือน ธ.ค. 65 - ม.ค. 66 โดยให้บริการจุดพักรถในช่วงการเดินทางไปภาคอีสาน เส้นทาง ถ. มิตรภาพ และจุด check-in ทุ่งดอกผักเสี้ยนบานและซุ้มดอกไม้นานาพรรณให้เข้าชมฟรี
2. กิจกรรมเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรม 3 กิจกรรม แบ่งเป็น
2.1 ลดค่าบริการในการทดสอบและสอบเทียบแบบปกติ ร้อยละ 30 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 66 เพื่อสนับสนุนบริการทางวิทยาศาสตร์และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ SME ภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป
2.2 ไลน์บอทโรคข้าว (Rice Disease Linebot) : โมบายแอปพลิเคชันเพื่อการวินิจฉัยโรคข้าว เพื่อให้เกษตรกรหรือผู้ใช้งานที่พบต้นข้าวที่สงสัยว่าจะเป็นโรค สามารถถ่ายรูปแล้วอัปโหลดรูปเข้าในกลุ่มไลน์บอท เพื่อวิเคราะห์โรคข้าว และระบบจะส่งคำวินิจฉัยตอบกลับมาพร้อมคำแนะนำในการแก้ไข
2.3 การจัดการความรู้เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวปิ่นเกษตรและการปลูกพืชหลังนา โดยจัดกิจกรรมการบริการวิชาการในการพัฒนาการผลิตข้าวและชาวนาไทยในพื้นที่ชุมชน 5 จังหวัด (นครปฐม ราชบุรี ชัยนาท อุทัยธานี และนครศรีธรรมราช) เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพด้านแรงงาน การนำผลผลิตมาพัฒนาต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับรายได้และลดต้นทุนสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62874 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” ย้ำ ปีใหม่ 2566 “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เดินทางปลอดภัย พร้อมกำชับ อสม.คัดกรองคนเมา-สอดส่อง ร้านค้าขายเหล้าผิด กม. | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
“สาธิต” ย้ำ ปีใหม่ 2566 “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เดินทางปลอดภัย พร้อมกำชับ อสม.คัดกรองคนเมา-สอดส่อง ร้านค้าขายเหล้าผิด กม.
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวปีใหม่ 2566 ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ ย้ำ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” และยังต้องเข้มป้องกันโควิด 19 สวมหน้ากากเมื่ออยู่สถานที่คนหมู่มาก ฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม พร้อมกำชับ อสม.ช่วยสอดส่องร้านค้าทำผิดกฎหมาย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวปีใหม่ 2566 ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ ย้ำ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” และยังต้องเข้มป้องกันโควิด 19 สวมหน้ากากเมื่ออยู่สถานที่คนหมู่มาก ฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม พร้อมกำชับ อสม.ช่วยสอดส่องร้านค้าทำผิดกฎหมายขายน้ำเมา ตรวจประเมินความพร้อมผู้ขับขี่ด่านชุมชน ด้านปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้โรงพยาบาลเพิ่มบุคลากร 120-130% จากช่วงปกติ เตรียมพร้อมห้องผ่าตัด ไอซียู ระบบส่งต่อ และจัดทีมกู้ชีพประจำตามเส้นทางสายหลัก
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”
ดร.สาธิต กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 กำลังจะมาถึง ประกอบกับประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนไทยโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ทำให้มีการใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ ให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ได้กลับบ้านอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุข จึงขอให้ระมัดระวังสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง โดยยังต้องเข้มงวดเรื่องมาตรการป้องกันเนื่องจากยังคงพบการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในหลายพื้นที่ หากต้องอยู่ในสถานที่มีคนหมู่มากขอให้สวมหน้ากากอนามัย และควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ให้ครบอย่างน้อย 4 เข็ม โดยฉีดกระตุ้นเมื่อได้รับเข็มสุดท้ายเกิน 4 เดือน
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ในการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ มักจะมีการดื่มสุราร่วมด้วย จึงมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้น โดยเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา มีผู้ขับขี่มากกว่าครึ่งที่ดื่มแล้วเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ดังนั้นหากต้องรับผิดชอบขับรถ ต้องไม่ดื่มสุรา แต่ถ้าจะดื่มสุราก็ต้องห้ามขับรถ ขอให้ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เพื่อความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมทาง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้ อสม.ทั่วประเทศดูแลประชาชนในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ด่านชุมชน โดยประเมินสภาวะมึนเมาและคัดกรองผู้ที่ดื่มแล้วขับ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ออกไปขับขี่บนถนนตามวิธีประเมินที่ได้แจ้งให้ทราบแล้ว รวมถึงช่วยสอดส่องเฝ้าระวังร้านค้าในชุมชนไม่ให้ฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการขายในสถานที่และเวลาที่ห้ามจำหน่าย การขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี นอกจากนี้ ได้สนับสนุนความรู้ในการดูแลป้องกันอุบัติเหตุผ่านแอปพลิเคชั่นสมาร์ท อสม. เพื่อส่งต่อความรู้สู่ชุมชน ทั้งออกเคาะประตูบ้าน สื่อสารผ่านผู้นำชุมชนหรือสื่อในชุมชน และยังพัฒนา อสม.จิตอาสาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาล ทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR)เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินทางถนนอย่างถูกวิธี ก่อนส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์หรือสถานพยาบาลอย่างปลอดภัย ช่วยลดการเสียชีวิตหรือความพิการ รวมทั้งขอให้เป็นแบบอย่างที่ดีเรื่องพฤติกรรมความปลอดภัย โดยช่วยกันปฏิบัติตามกฎจราจร ซึ่งจะช่วยป้องกันหรือลดจำนวนอุบัติเหตุกับคนได้ถึง 1 ล้านคน
นพ.โอภาส กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานและโรงพยาบาลในสังกัด สนับสนุนการทำงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC)ที่ส่วนกลางและจังหวัดเป็นศูนย์ประสานและสนับสนุนการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลสนับสนุนการทำงานของชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นของ อปท. ฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS)ของโรงพยาบาลและเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ เตรียมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินพร้อมเจ้าหน้าที่ทุกระดับ รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการทางอากาศและทางเรือ จัดหน่วยกู้ชีพระดับพื้นฐาน (BLS)และระดับสูง (ALS)ประจำบนเส้นทางสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการอยู่ห่างกันมาก เพื่อให้การรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนกรณีบาดเจ็บ/เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชั่วโมงแรก ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP)
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ได้ขอให้โรงพยาบาลทุกแห่งเพิ่มจำนวนบุคลากรเป็น 120-130% เตรียมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู ระบบส่งต่อ รวมถึงดำเนินการเจาะเลือดตรวจระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุตามการร้องขอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีที่ไม่สามารถเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจได้ นอกจากนี้ ขอให้ป้องกันเหตุความรุนแรงในสถานพยาบาลโดยประสานตำรวจท้องที่มาตรวจตราความเรียบร้อยเป็นระยะ กรณีมีผู้เข้ารับการรักษาจากเหตุทะเลาะวิวาทให้รีบแจ้งเหตุ เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่และกำลังพลให้เพียงพอต่อการระงับเหตุ สร้างความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ ผู้ป่วยและญาติที่มารับบริการ และดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุขั้นเด็ดขาดให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม สำหรับการรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม. ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ตั้งด่านชุมชน ด่านครอบครัว ร่วมกันสกัดกั้นกลุ่มเสี่ยงอุบัติเหตุเพื่อแสดงความห่วงใยในชุมชน รวมถึงให้ความรู้แก่ประชาชนในการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่กับครอบครัว
“ช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นวันหยุดสำคัญที่คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาสังสรรค์ อยู่กับครอบครัว แต่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขนอกจากจะยังคงทำงานช่วยเหลือดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ยังต้องรับปริมาณงานเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงปกติ โดยเทศกาลปีใหม่ 2563 เพียง 7 วัน มีผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลมากกว่า 3 หมื่นราย เฉลี่ยวันละเกือบ 4,300 ราย คาดว่าปีใหม่ปีนี้จะมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีเวลารักษาผู้ป่วยจากโรคอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุด้วยการ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” นพ.โอภาสกล่าว
ด้าน นพ.ธเรศกล่าวว่า การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาใหญ่ของไทย ช่วงที่ผ่านมามีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งขับรถโดยประมาท ดื่มสุราก่อนขับขี่ ไม่ใช้หมวกกันนิรภัย เข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราสามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ โดยการดื่มแล้วขับยังมีแนวโน้มเป็นปัญหาต่อเนื่องในทุกเทศกาล พบร้านค้ามีการกระทำผิด ทั้งการขายในสถานที่และเวลาห้ามขาย การขายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี กรมควบคุมโรคในฐานะผู้รับผิดชอบ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเน้นย้ำให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทำงานเชิงรุก โดยมีการออกตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาล
ส่วนในช่วงเทศกาล จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นทั่วประเทศ พร้อมทั้งขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการไม่ให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการจำหน่ายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และขอให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล ถ้าพบเห็นผู้กระทำผิด อาทิ ขายในสถานที่ห้ามขาย เช่น ปั๊มน้ำมัน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา ขายในเวลาห้ามขาย การเร่ขาย และโฆษณาส่งเสริมการขาย สามารถแจ้งศูนย์ร้องเรียนบุหรี่และสุรา สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค โทร. 0-2590-3342 หรือ สายด่วน 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำโครงการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยได้รับงบประมาณค่าตรวจจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการตลอดปีเป็นเวลา 3 ปี โดยได้รับงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.)กรมการขนส่งทางบก โดยตำรวจจะตรวจผู้ขับขี่ที่รู้สึกตัวด้วยวิธีเป่าลมหายใจ หากไม่สามารถเป่าได้ให้ส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ และนำผลตรวจไปประกอบสำนวนคดีตามกฎหมาย ขอย้ำว่า ผู้ที่จะขับขี่ต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง สวมหมวกนิรภัยหรือคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ล้อหมุนเพื่อความปลอดภัย
ด้านดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่ สสส. ชวนทุกคนมาฉลองปีใหม่ 2566ด้วยความสุขและเกิดสิริมงคลกับชีวิต โดย สสส. ได้ผลิตสปอตโฆษณา 2 ชิ้น เพื่อรณรงค์ให้เทศกาลปีใหม่ 2566 เป็นเทศกาลที่ส่งความสุขให้แก่กัน 1. “ขอบคุณคนไทย ที่ไม่ให้เหล้า” ให้เหล้า = แช่ง เพื่อชวนมอบของขวัญปีใหม่ที่ไม่ใช่เหล้าให้แก่กัน เลิกเหล้าเพื่อตนเองและครอบครัว 2. “ดื่มไม่ขับ กรึ่มๆ ก็ถึงตาย” โดยสื่อสารไปถึงคนที่มักดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ และคิดว่าขับรถได้ไม่เป็นไร ดื่มแล้วยังขับไหว และชี้ถึงผลของแอลกอฮอล์ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะเกิดปฏิกิริยากับร่างกายเมื่อขับขี่ ทำให้สายตาและการมองเห็นแย่ลง และการตัดสินใจก็ช้าลง หวังว่าสปอตนี้จะกระตุ้นเตือนพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น และหวังให้ทุกหน่วยดูแลเรื่องนี้ร่วมกันไปตลอดทั้งปีไม่ใช่แค่ช่วงเทศกาล
*********************************** 20 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62895 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank มอบของขวัญ “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” ขอบคุณเอสเอ็มอีไทย จัดเต็มช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ช้อปปิ้งจุใจส่งเสริมการตลาดสุดคึกคัก | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
SME D Bank มอบของขวัญ “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” ขอบคุณเอสเอ็มอีไทย จัดเต็มช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ช้อปปิ้งจุใจส่งเสริมการตลาดสุดคึกคัก
SME D Bank มอบสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แด่เอสเอ็มอีไทย จัดเต็มของขวัญ “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” แทนคำขอบคุณ ช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และส่งเสริมการตลาดคึกคัก
SME D Bank มอบสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แด่เอสเอ็มอีไทย จัดเต็มของขวัญ “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” แทนคำขอบคุณ ช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และส่งเสริมการตลาดคึกคัก ได้แก่ 1.มอบบัตรกำนัล 300 บาท ให้แก่ลูกค้ารายย่อยทุกรายที่มีประวัติชำระดี 2.หนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงเงินทุน วงเงิน 5 ล้านบาทขึ้นไป แจกฟรีบัตรเติมน้ำมันสูงสุด 5,000 บาท และ 3.ช้อปปิ้งของดี ราคาประหยัด มีโปรโมชั่นทุกชิ้นจากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วไทย เปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 ก.พ. 66
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยในงานแถลงข่าว “ของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรม จัดเตรียมของขวัญสุดพิเศษส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แทนคำขอบคุณมอบแด่ลูกค้าธนาคารและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่ร่วมเดินหน้าฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19 มาด้วยกัน จนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้สำเร็จ ด้วย “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” รับสิทธิได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566 ได้แก่
1.สุขใจ “ผ่อนดี มีรางวัล” มอบแด่ลูกค้าธนาคารทุกรายที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500,000 บาท และประวัติการชำระหนี้ดีต่อเนื่องตามเงื่อนไข (3 งวดติดต่อกัน ตั้งแต่เดือน ธ.ค.65 ถึงวันที่ 28 ก.พ.66) รับบัตรกำนัลซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ฟรี! มูลค่า 300 บาท สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ตามพอใจ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้คึกคัก
2.สุขล้น “เติมทุน รับฟรีบัตรเติมน้ำมัน” ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน นำไปใช้เสริมสภาพคล่อง และฟื้นฟูธุรกิจ หากได้รับอนุมัติและทำสัญญาสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันภายในวันที่ 28 ก.พ.66 วงเงินกู้ตั้งแต่ 5-50 ล้านบาท รับฟรี บัตรเติมน้ำมัน มูลค่าสูงสุด 5,000 บาท
และ 3.สุขช้อป “ช้อปปิ้งของดี มีโปรโมชั่นจากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วไทย” เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ซื้อหาสินค้าดี ราคาประหยัด มีโปรโมชั่นทุกชิ้น จากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วไทย กว่า 300 กิจการ ทั้งกลุ่มคลัสเตอร์ ท่องเที่ยว ที่พัก อาหาร เป็นต้น ผ่าน E-Book ของ SME D Bank ที่หน้าเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th) เหมาะซื้อเป็นของขวัญมอบในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th , LINE Official Account : SME Development Bank และสาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62902 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดตัว “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566” | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ เปิดตัว “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566”
‘รมช.มนัญญา’ เปิดตัว “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566” จัดกระเช้าคัดสรรสินค้าสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร มอบเป็นของขวัญเทศกาลปีใหม่ พร้อมยกระดับสู่การเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม สร้างรายได้ให้สมาชิกอย่างยั่งยืน
‘รมช.มนัญญา’ เปิดตัว “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566” จัดกระเช้าคัดสรรสินค้าสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร มอบเป็นของขวัญเทศกาลปีใหม่ พร้อมยกระดับสู่การเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม สร้างรายได้ให้สมาชิกอย่างยั่งยืน
กรมส่งเสริมสหกรณ์ ชูแนวคิด “ส่งความสุข ส่งความห่วงใย จากใจสินค้าสหกรณ์” คัดสินค้าคุณภาพได้มาตรฐาน และผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรรุ่นใหม่ในโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ จัดลงกระเช้าของขวัญออกแบบสวยงาม หวังช่วยขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าสหกรณ์ไปสู่ผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เปิดจำหน่าย 15 ธันวาคม 2565 – 15 มกราคม 2566
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานแถลงข่าว “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566” พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ คณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมเยี่ยมชมสินค้าและกระเช้าของขวัญภายในห้องจัดแสดงกระเช้าสินค้าสหกรณ์ นอกจากนี้ ได้ร่วมสาธิตการจัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ด้วยสหกรณ์ ณ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศน์ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายมุ่งหวังพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตสินค้าของเกษตรกรให้ได้มาตรฐาน ควบคู่กับการส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และขยายช่องทางการตลาดให้ถึงมือผู้บริโภค และใช้กลไกระบบสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการผลผลิตให้มีคุณภาพ ปัจจุบันสหกรณ์ภาคการเกษตรมีศักยภาพในการผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าเพื่อการบริโภค และในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นับเป็นโอกาสดีที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้คัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่ผลิตโดยสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศหลากหลายชนิด ทั้งอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากผ้า เครื่องจักสาน และงานหัตถกรรม ได้นำผลิตภัณฑ์และสินค้าของชุมชนจากกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ นำมาจัดวางในรูปแบบของกระเช้าของขวัญปีใหม่
“ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ที่ผ่านมา ทำให้พี่น้องเกษตกรขาดรายได้ แต่ตอนนี้เป็นที่น่าภูมิใจ ที่ลูกหลานเกษตรกรกลับมาช่วยครอบครัวทำการเกษตร ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ที่นำมาวางจำหน่ายในวันนี้ ก็เป็นฝีมือของเด็กรุ่นใหม่ ในโครงการลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ที่รวมกลุ่มบูรณาการทำงานร่วมกันในชุมชน โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้การสนับสนุน เกิดเป็นแพจเกจที่สวยงาม เพิ่มมูลค่า รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ของสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร สามารถเก็บไว้ได้นานเหมาะกับการมอบเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ อีกทั้ง ในปีที่ผ่าน ๆ มา มีหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชน ให้ความสนใจติดต่อสั่งซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ และสินค้าของสหกรณ์กันอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันซื้อของไทย และใช้ของไทยที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน และเป็นการสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน มีทั้งสินค้าและผลผลิตจากเกษตรกรรุ่นใหม่ ในโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ซึ่งได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ส่งเสริมอาชีพและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ปลูกพืชผักปลอดภัย ได้มาตรฐาน GAP และ GMP” รมช.มนัญญา กล่าว
นอกจากนี้ ได้ขออนุมัติงบประมาณเพื่ออุดหนุนสหกรณ์ นำไปจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์การตลาด เพื่อนำมารองรับผลผลิตและรวบรวมพืชผลต่าง ๆ ของสมาชิก เพื่อพัฒนาและยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้สหกรณ์ร่วมมือกันเป็นเครือข่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าและผลผลิตการเกษตรของสมาชิกและสามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้คนไทยได้มีโอกาสบริโภคผักอินทรีย์ ผลไม้ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อสุขภาพ และราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ยกระดับไปสู่การเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นต่อไป
ด้าน นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้จัดทำ “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2566” เป็นการนำสินค้าของสหกรณ์มาตกแต่งและจัดเป็นกระเช้าของขวัญ เพื่อเป็นการมอบความสุขและความปรารถนาดีให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 และในปีนี้นับเป็นปีที่ 20 โดยเปิดจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 เป็นต้นมา ตอนนี้มียอดสั่งซื้อเข้ามาแล้ว 249 กระเช้า มูลค่าประมาณ 3.2 แสนบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่ติดตามอุดหนุนกระเช้าปีใหม่ของสหกรณ์ทุกปี มีทั้งลูกค้าที่เป็นประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ทำให้ในแต่ละปีกรมฯ สามารถสร้างยอดจำหน่ายกระเช้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการส่งเสริมการผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การพัฒนาธุรกิจของสหกรณ์ และการสร้างรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การซื้อสินค้าสหกรณ์ นอกจากพี่น้องประชาชนจะได้สินค้าคุณภาพกลับไปแล้ว ทุกท่านยังมีส่วนสนับสนุนรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศอีกด้วย
สำหรับรูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ที่จะนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ได้คัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์จากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพของสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ มาจัดตกแต่งลงกระเช้าของขวัญหลากหลายรูปแบบและหลายขนาด พร้อมห่อหุ้มด้วยผ้าขาวม้า และผ้าปาเต๊ะที่มีสีสันสวยงาม โดยจะคัดสรรเฉพาะสินค้าคุณภาพทั้งอุปโภคบริโภค เน้นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพเป็นหลัก อาทิ ผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเพื่อสุขภาพ เช่น ข้าว กข 43 นาขวัญ จากสหกรณ์การเกษตรสว่างอารมณ์ จำกัด จังหวัดอุทัยธานี ข้าวสายน้ำแร่แจ้ซ้อน จากสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และที่พิเศษสุดสำหรับกระเช้าสินค้าสหกรณ์ในปีนี้ ได้คัดเลือกสินค้าและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร และสินค้าของสมาชิกสหกรณ์จากโครงการซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์มาร่วมจัด ซึ่งสินค้าทุกชนิดที่จะนำมาจัดลงกระเช้าของขวัญจะเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ภายใต้แนวคิด “ส่งความสุข ส่งความห่วงใย จากใจสินค้าสหกรณ์”
นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทสมุนไพรชงดื่ม ขิงผง เก๊กฮวยผง ดอกคำฝอย ชาใบหม่อนอินทรีย์ ชาดอกกาแฟ กระเทียมผงและพริกไทยดำ พันธุ์ปะเหลียน จากสหกรณ์การเกษตรปะเหลียน จำกัด จังหวัดตรัง สินค้าประเภทนมและเครื่องดื่ม นม UHT น้ำผลไม้ น้ำส้มแขก กาแฟชงพร้อมดื่ม กาแฟดริป และโกโก้ผงบรรจุกระป๋อง ของสหกรณ์การเกษตรห้วยคต จำกัด จังหวัดอุทัยธานี สินค้าประเภทอาหารแปรรูปและผลไม้แปรรูป อาทิ กล้วยตากเคลือบช๊อคโกแล็ต กล้วยตากรสทุเรียน กล้วยหนึบหนับ ขิงกรอบแก้วรสน้ำผึ้ง หมี่กรอบสามรส ลำไยอบแห้งเนื้อสีทอง เนื้อทุบ เนื้อกระจก เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกหยีกวนหยาบไม่มีเมล็ด ผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมและผ้าฝ้าย เช่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม ผ้าพันคอ รวมทั้งสินค้าและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร เช่น คุกกี้มะม่วง น้ำผึ้งมะนาว มะเขือเทศแช่อิ่ม กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง กระเทียมโทนดองสามรส
สำหรับกระเช้าสินค้าสหกรณ์ มีหลายรูปแบบ อาทิ กระเช้าสำเร็จรูป และสามารถเลือกสินค้าที่ต้องการจัดกระเช้าได้ด้วยตัวเอง ราคาตั้งแต่ 599 - 2,000 บาท และมีบริการส่งฟรีในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับยอดสั่งซื้อครบ 5,000 บาท ขึ้นไป สามารถสั่งซื้อได้ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 – 15 มกราคม 2566 จำหน่ายทุกวัน ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันจันทร์ – ศุกร์ เปิดจำหน่ายตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. และวันเสาร์ – อาทิตย์ จำหน่ายตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. ณ ห้องจำหน่ายสินค้าสหกรณ์ อาคาร 1 ชั้น 1 กรมส่งเสริมสหกรณ์ ท่าน้ำเทเวศร์ กรุงเทพฯ สามารถดูรายละเอียดสินค้าและรูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ได้ทางเพจ Facebook : COOP Market หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 628 5512 , 089 891 5912
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62897 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่องเที่ยวคึกคัก รมว.สุชาติ สั่งอัพสกิลผู้ว่างงาน 50,000 คน ทำงานบริการท่องเที่ยว | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
ท่องเที่ยวคึกคัก รมว.สุชาติ สั่งอัพสกิลผู้ว่างงาน 50,000 คน ทำงานบริการท่องเที่ยว
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขานรับข้อสั่งการ รมว.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ดึงคนว่างงาน นักเรียน นักศึกษาปีสุดท้าย อัพสกิล 50,000 คน พร้อมรื้อแผนฝึกทั่วประเทศรับภาคการท่องเที่ยว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62891 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ขอบคุณประชาชนผู้ใจบุญร่วมงานกาชาด ประจำปี 2565 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
ปลัด พม. ขอบคุณประชาชนผู้ใจบุญร่วมงานกาชาด ประจำปี 2565
ปลัด พม. ขอบคุณประชาชนผู้ใจบุญร่วมงานกาชาด ประจำปี 2565
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า วานนี้ เป็นวันสุดท้ายของงานกาชาด ประจำปี 2565 โดยกระทรวง พม. ได้ออกร้านกาชาดที่บูธเลขที่ 3.11 โซน A ภายในสวนลุมพินี ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากตลอดทั้งวัน เข้ามาร่วมสนุกและลุ้นรางวัลมากมายจากกิจกรรมตักไข่ไดโนเสาร์ และการจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย “บัตร พม. เชิญรับโชค” ที่มีรางวัลใหญ่รวมมูลค่ากว่า 1,200,000 บาท โดยเฉพาะช่วงค่ำ ประชาชนจำนวนมากเดินเข้ามายังบูธ กระทรวง พม. อย่างไม่ขาดสาย เพื่อซื้อบัตรร่วมกิจกรรมตักไข่ไดโนเสาร์กับแขกรับเชิญคนพิเศษ 3 ท่าน ได้แก่ 1) เอก - นนทกฤช กลมกล่อม ผู้ประกาศข่าวจากช่อง MONO 29 2) ตะวัน - ณวินวิชญ์ กิตติชนวิชญ์ นักแสดงจากช่อง 8 และ 3) ฟิล์ม - ฉัตรดาว สิทธิผล นักแสดงอิสระ ที่มาช่วยสร้างสีสันและความสนุกสนานอย่างเต็มที่ ส่งผลให้วันนี้ กระทรวง พม. มีรายได้มากที่สุดตั้งแต่ออกร้านกาชาดครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณประชาชนผู้ใจบุญทุกท่าน รวมทั้งแขกรับเชิญคนพิเศษทั้ง 3 ท่าน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะนำรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายองค์สภานายิกาสภากาชาดไทยต่อไป
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสลากบำรุงสภากาชาดไทย "บัตร พม. เชิญรับโชค" มีผลการออกสลาก ดังนี้ 1) รางวัลที่ 1 รถยนต์ Mazda2 1.3 C จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ หมายเลข 47094 2) รางวัลที่ 2 ทองคำแท่ง หนัก 5 บาท จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ หมายเลข 27202 3) รางวัลที่ 3 ทองคำแท่ง หนัก 3 บาท จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ หมายเลข 55203 4) รางวัลที่ 4 ทองคำแท่ง หนัก 1 บาท จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ หมายเลข 79123 และ หมายเลข 77036 และ 5) รางวัลเลขท้าย 3 ตัว หมุน 1 ครั้ง สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 1 สลึง จำนวน 35 รางวัล ได้แก่ หมายเลข 641 ทั้งนี้ ผู้ถูกรางวัลนำใบสลากพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนมาติดต่อรับรางวัลได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 มีนาคม 2566 ในเวลาราชการ ที่กลุ่มอำนวยการ กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวง พม. โทร. 0 2659 6441, 0 2659 6403 และ 0 2659 6528
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62860 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ขยายเวลาสินเชื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจจังหวัดชายแดนใต้ อีก 30 เดือน พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุม 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.ขยายเวลาสินเชื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจจังหวัดชายแดนใต้ อีก 30 เดือน พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุม 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ครม.ขยายเวลาสินเชื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจจังหวัดชายแดนใต้ อีก 30 เดือน พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุม 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา นราธิวาส ปัตตานี) วงเงิน 25,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการด้านการเงินสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 – 30 มิ.ย. 2568 (จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธ.ค.65) หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน พร้อมกันนี้ ครม.เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการ อาทิ ขยายพื้นที่เป้าหมายครอบคลุม 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น และอนุมัติงบประมาณวงเงิน 1,250 ล้านบาท สำหรับชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในการดำเนินโครงการด้วย
โครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ เกิดความมั่นใจในการประกอบกิจการ และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี และธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี โครงการนี้ ดำเนินการมาแล้ว 5 ปี ตั้งแต่ปี 1 ม.ค.2561 - 31 ธ.ค.2565 อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว (ณ 24 พ.ย.2565) จำนวน 4,890 ราย รวมวงเงิน 20,872 ล้านบาท จากวงเงินโครงการทั้งหมด 25,000 ล้านบาท มีวงเงินคงเหลือจำนวน 4,128 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการให้สินเชื่อต่อไป
สำหรับหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการส่วนใหญ่ยังคงเดิม แต่มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์บางประการ อาทิ
1.คุณสมบัติของผู้สินเชื่อ 1)ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย จากเดิมที่ให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการในจังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และ 2)ผู้ขอสินเชื่อต้องเป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อตามโครงการ หรือเคยได้รับสินเชื่อตามโครงการมาแล้วไม่เกิน 5 ปี เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
2.กำหนดวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น จากเดิมที่ไม่ได้กำหนดวงเงินกู้ต่อราย
3.รัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสิน ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,250 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62883 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 ธันวาคม 2565 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 ธันวาคม 2565
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมือง พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมนนทบุรี พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ของ ปี พ.ศ. 2566)
เศรษฐกิจ-สังคม
8. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชุ่มน้ำ
9. เรื่อง รายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
10. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2565
11. เรื่อง มาตรการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2565
12. เรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 เพื่อให้การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์
13. เรื่อง การจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579)
14. เรื่อง วาระแห่งชาติ เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการ ล่วงละเมิดทางเพศ
15. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่)
16. เรื่อง การจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
17. เรื่อง การขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
18. เรื่อง การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน
19. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2565
20. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566
21. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ ปี 2566 (จำนวน 19 หน่วยงาน)
22. เรื่อง การดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบทถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
23. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กระทรวงพลังงาน)
ต่างประเทศ
24. เรื่อง แผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยตอบรับและคำมั่นโดยสมัครใจภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 (พ.ศ. 2564 – 2568)
25. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงาน กรอบงบประมาณ การจัดงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
26. เรื่อง การจัดทำร่างโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่ง ราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2570
แต่งตั้ง
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงวัฒนธรรม)
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
34. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
35. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้ รถใช้ถนน
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. 2551
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
39. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
__________________________________________
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพังงา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพังงา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ตามที่ มท. เสนอเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนบปริง ตำบลถ้ำน้ำผุด ตำบลท้ายช้าง ตำบลตากแดด และตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมือง และบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดพังงาและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนเมืองให้เป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครอง การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวโดยดำรงรักษารูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน และได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 9 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท ตลอดจนกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
กำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพังงา ในท้องที่ตำบลนบปริง ตำบลถ้ำน้ำผุด ตำบลท้ายช้าง ตำบลตากแดด และตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. กำหนดให้ผังเมืองรวมเมืองพังงา มีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพสามารถรองรับและสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1.1 ส่งเสริมและพัฒนาชุมชนเมืองให้เป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครองของจังหวัด
1.2 ส่งเสริมการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนและระบบเศรษฐกิจของจังหวัด
1.3 ส่งเสริมและพัฒนาการบริการทางสังคม การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการให้เพียงพอและได้มาตรฐาน รวมทั้งขยายพื้นที่เพื่อการพัฒนาเมืองให้สัมพันธ์กับถนนและการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
1.4 ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว
1.5 ดำรงรักษารูปแบบการตั้งถิ่นฐาน วิถีชีวิตดั้งเดิม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน
1.6 อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2. กำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 9 ประเภท ดังนี้
ประเภท
วัตถุประสงค์
1. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง)
- เป็นพื้นที่รอบนอกชุมชนเมืองต่อจากพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยที่เบาบางที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมทั้งรองรับการขยายตัวด้านการอยู่อาศัยในอนาคตซึ่งมีการก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยได้ทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว หอพัก อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม โดยมีข้อจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่ของอาคารซึ่งต้องไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่ และมีความสูงของอาคารไม่เกิน 15 เมตร เว้นแต่ในบริเวณหมายเลข 1.4 ให้มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร
2. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม)
- เป็นพื้นที่บริเวณต่อเนื่องหรือล้อมรอบพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางในการรองรับการอยู่อาศัยบริเวณที่ต่อเนื่องจากศูนย์กลางพาณิชยกรรมซึ่งมีการสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว หอพัก อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม โดยมีข้อจำกัดขนาดพื้นที่อาคารอยู่อาศัยต้องไม่ใช่อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่สำหรับในระยะ 50 เมตร จากริมถนนมนตรีกำหนดให้มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร
3. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง)
- เป็นพื้นที่ศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรมของเมืองพังงามีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมหลักเพื่อส่งเสริมความเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการบริการของชุมชน ประกอบด้วย ตลาด ศูนย์การค้าสำนักงาน โรงแรม โดยมีข้อจำกัดเรื่องความสูงของอาคารซึ่งต้องไม่ใช่อาคารสูง รวมทั้งกำหนดให้เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากเพื่อรองรับการประกอบกิจการดังกล่าว
4. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว)
- เป็นพื้นที่ฉนวน (Buffer Zone) ของชุมชนให้คงสภาพชนบทและประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ การสงวนรักษาพื้นที่เกษตรกรรม และการส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตรโดยมีข้อจำกัดเรื่องความสูงของอาคารซึ่งต้องมีความสูงไม่เกิน 9 เมตร
5. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน)
- เป็นพื้นที่โล่ง และพื้นที่ตามธรรมชาติที่มีวัตถุประสงค์ในการกำหนดพื้นที่ไว้เพื่อให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ มีที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่สมบูรณ์ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบด้วยที่โล่ง 3 ลักษณะ คือ บริเวณเขาวง เขาช้าง เขาหลักเมือง และเขางุ้ม ให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อนันทนาการ การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมสภาพภูมิทัศน์ของเมือง และการท่องเที่ยวเท่านั้น บริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สวนกาญจนาภิเษก เทศบาลเมืองพังงา และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดพังงา ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและสวนสุขภาพเท่านั้น และบริเวณสนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาและหนองน้ำสาธารณะ ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อสนามกีฬาและการพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น
6. ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ (สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว)
- เป็นพื้นที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ และพื้นที่ของเอกชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว กรณีที่ดินของป่าไม้มีวัตถุประสงค์ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสงวนและคุ้มครองดูแลรักษาหรือบำรุงป่าไม้ สัตว์ป่า ต้นน้ำลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สำหรับที่ดินซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อให้สอดคล้องกับป่าไม้โดยมีการผ่อนปรนให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการดำรงอยู่ได้ เช่น การอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ซึ่งมิใช่การจัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและต้องไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่สำหรับที่ดินซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของหรือ ผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย มีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการท่องเที่ยว โดยมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของอาคารซึ่งต้องไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่และมีที่ว่างไม่น้อยกว่าร้อยละสี่สิบของแปลงที่ดินที่ยื่นขออนุญาต
7. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก)
- มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดพื้นที่ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาตามการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน เช่น ศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพังงา โรงเรียนอนุบาลช้างวิทยาลัยเทคนิคพังงา
8. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน)
-มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่สถาบันศาสนาตามการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน เช่น วัดมะปริง วัดสราภิมุข วัดประชุมโยธี สำนักสงฆ์ถ้ำตาปาน (ที่ธรณีสงฆ์วัดประชุมโยธี)
9. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน)
- มีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น สถานีตำรวจทางหลวงที่ 1 กองกำกับการ 7 สำนักงานประกันสังคมจังหวัดพังงาโรงพยาบาลพังงา
3. กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการได้ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภท
4. กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณแนวถนนสาย ก 1 ถนนสาย ก 2 ถนนสาย ก 3 ถนนสาย ก 4 ถนนสาย ก 5 ถนนสาย ก 6 ถนนสาย ข 1 ถนนสาย ข 2 ถนนสาย ค 1 ถนนสาย ค 2 และถนนสาย ค 3 ตามแผนผังแสดงโครงการคมนาคม และขนส่งท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้ใช้ประโยชน์เพื่อกิจการตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้
4.1 การสร้างถนนหรือเกี่ยวข้องกับถนน และการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
4.2 การสร้างรั้วหรือกำแพง
4.3 เกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร หรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมนนทบุรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมือง รวมนนทบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาจังหวัดนนทบุรีให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย มีคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมที่ดี มีการพัฒนาบริการสาธารณะที่ได้มาตรฐาน และมีการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคการผลิต การค้า การบริการและการลงทุน ตลอดจนดำรงรักษาพื้นที่เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน โดยมีแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาจังหวัดนนทบุรีให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 14 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น 1 รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท ตลอดจนกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดนนทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาจังหวัดนนทบุรี ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมที่ดี มีการพัฒนาบริการสาธารณะที่ได้มาตรฐาน และมีการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคการผลิต การค้า การบริการและการลงทุน ตลอดจนดำรงรักษาพื้นที่เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน โดยมีแนวทางในการพัฒนาและดำรงรักษาจังหวัดนนทบุรี ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 ส่งเสริมและพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง และการค้า การบริการของจังหวัด
1.2 ส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นเมืองน่าอยู่อาศัยที่ดี ในสภาพแวดล้อมที่ดีมีมาตรฐาน
1.3 ส่งเสริมและพัฒนาด้านที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ให้มีความสอดคล้องและสมดุลกับการพัฒนาเมือง
1.4 ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานให้เพียงพอและได้มาตรฐาน
1.5 พัฒนาระบบโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง ให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชน ตลอดจนระบบคมนาคมขนส่งของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
1.6 ดำรงรักษาพื้นที่เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่มีความอุดมสมบูรณ์ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
1.7 ส่งเสริมและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตลอดจนป้องกันปัญหาจากภัยธรรมชาติ และภัยพิบัติ
1.8 อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม แหล่งศิลปกรรม สถาปัตยกรรมท้องถิ่น ที่มีคุณค่าให้คงความงดงาม และกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
2. กำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 14 ประเภท ดังนี้
ประเภท
วัตถุประสงค์
1. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ย. 1 ถึง ย. 3 ดังนี้
1.1 ที่ดินประเภท ย. 1
- มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและดำรงรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี ของการอยู่อาศัยบริเวณเขต ชานเมือง และบริเวณต่อเนื่องกับพื้นที่ที่สงวนรักษาไว้สำหรับพื้นที่เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่มีการก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยได้ทุกประเภท และไม่ให้ก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยประเภทอาคารชุด หอพัก อาคารอยู่อาศัย หรืออาคารขนาดใหญ่ รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน คลังเชื้อเพลิง สุสาน ฌาปนสถาน โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การล้าง ชำแหละ แกะ ต้ม นึ่ง ทอด หรือบดเนื้อสัตว์ เป็นต้น
1.2 ที่ดินประเภท ย. 2
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยบริเวณโดยรอบศูนย์กลางชุมชนชานเมือง และพื้นที่ต่อเนื่องกับเขตชานเมืองที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน คลังเชื้อเพลิง สุสาน ฌาปนสถาน โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำน้ำดื่ม การซ่อมแซมเครื่องยนต์ เป็นต้น
1.3 ที่ดินประเภท ย. 3
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายตัวของการอยู่อาศัย ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีบริเวณใกล้กับเขตการให้บริการของระบบขนส่งมวลชนและโครงข่ายคมนาคมและขนส่ง ที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน คลังเชื้อเพลิง และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำน้ำดื่ม น้ำแร่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
2. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ย. 4 ถึง ย. 6
2.1 ที่ดินประเภท ย. 4
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัย ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งอยู่ใกล้แหล่งงาน และเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกับศูนย์กลางพาณิชยกรรม ของชุมชนชานเมือง ที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน ฌาปนสถาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การเพาะเชื้อเห็ด กล้วยไม้ เป็นต้น
2.2 ที่ดินประเภท ย. 5
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่ยังคงสภาพแวดล้อมที่ดี ในบริเวณพื้นที่ต่อเนื่องกับเขตเมืองชั้นใน ศูนย์กลางชุมชนชานเมือง และอยู่ใกล้เขตการให้บริการ ของระบบขนส่งมวลชน ที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ โรงฆ่าสัตว์ สวนสัตว์ สนามแข่งรถ และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำน้ำดื่ม น้ำแร่ การผลิตรองเท้า เป็นต้น
2.3 ที่ดินประเภท ย. 6
- มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ในบริเวณพื้นที่ชั้นใน ศูนย์กลางหลักของเมืองและอยู่ในเขตการให้บริการของระบบขนส่งมวลชน ที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ คลังสินค้า สถานที่สงเคราะห์สัตว์ กำจัดมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูล และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การเพาะเห็ด กล้วยไม้หรือถั่วงอก เป็นต้น
3. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีน้ำตาล) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ย. 7 ถึง ย. 8
3.1 ที่ดินประเภท ย. 7
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยภายใต้ สภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ศูนย์กลางชุมชนที่ต่อเนื่องกับศูนย์กลางพาณิชยกรรมหลักของเมือง และอยู่ใกล้เขตการให้บริการของระบบขนส่งมวลชนที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท รวมทั้ง ห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การซ่อมรองเท้า การซ่อมนาฬิกา เป็นต้น
3.2 ที่ดินประเภท ย. 8
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการอยู่อาศัยและ การบริการ ในบริเวณพื้นที่เมืองชั้นในและศูนย์กลางชุมชนชานเมือง โดยส่งเสริมและดำรงรักษาทัศนียภาพของเมือง ให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีซึ่งอยู่ในเขตบริการของระบบขนส่งมวลชน ที่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัยที่ดี ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การซ่อมรองเท้าหรือเครื่องหนัง การล้างอัดฉีด เป็นต้น
4. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (สีแดง) จำแนกเป็นที่ดินประเภท พ. 1 ถึง พ. 4
4.1 ที่ดินประเภท พ. 1
- มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมของชุมชน ที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมือง เพื่อกระจายกิจกรรมการค้า การบริการที่อำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่พาณิชยกรรม ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำอาหารสำเร็จรูปจากเนื้อสัตว์ การทำน้ำดื่ม น้ำแร่ เป็นต้น
4.2 ที่ดินประเภท พ. 2
- มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางชุมชนชานเมืองที่รองรับ และส่งเสริมกิจกรรมทางการค้า การบริการ และนันทนาการที่ก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างที่อยู่อาศัย และแหล่งงาน รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่พาณิชยกรรม ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำอาหารสำเร็จรูปจากเนื้อสัตว์ การทำน้ำดื่ม น้ำแร่ เป็นต้น
4.3 ที่ดินประเภท พ. 3
- มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรม รองของจังหวัด ที่รองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางการค้า การบริการ และนันทนาการที่ให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ และในบริเวณโดยรอบเขต การให้บริการของระบบขนส่งมวลชน รวมทั้งห้าม การใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่พาณิชยกรรม ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำขนมปังขนมเค้ก ขนมอบแห้ง การทำน้ำดื่ม น้ำแร่ การพิมพ์ การซ่อมรองเท้า ซ่อมนาฬิกา เป็นต้น
4.4 ที่ดินประเภท พ. 4
- มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมหลักของจังหวัด ที่รองรับการพัฒนาการขยายตัวของกิจกรรมทางการค้า การลงทุน และการบริการ สำหรับประชาชนทั่วไป และพื้นที่บริเวณโดยรอบเขตการให้บริการของระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเชื่อมต่อกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่พาณิชยกรรม ได้แก่ คลังเชื้อเพลิง สถานีบริการเชื้อเพลิง การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน สุสาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำขนมปังขนมเค้ก ขนมอบแห้ง เป็นต้น
5. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) จำแนกเป็นที่ดินประเภท อ. 1
- มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งสามารถบริหารจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากพื้นที่อุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ การอยู่อาศัยประเภทอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ อาคารชุด หอพัก และสามารถประกอบกิจการโรงงาน อุตสาหกรรมได้ทุกประเภท
6. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ (สีม่วงอ่อน) จำแนกเป็นที่ดินประเภท อ. 2
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการกำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และส่งเสริมการพัฒนาโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดิ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากพื้นที่อุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ ศูนย์ประชุม อาคารแสดงสินค้า นิทรรศการ และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การบำบัดน้ำเสีย การคัดแยกหรือฝังกลบ
สิ่งปฏิกูล เป็นต้น
7. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมทั่วไปที่ไม่เป็นมลพิษต่อชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมและคลังสินค้า (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีม่วง) จำแนกเป็นที่ดินประเภท อ. 3
- มีวัตถุประสงค์ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษต่อชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม และรองรับการขยายตัวของกิจกรรม การเก็บและการกระจายสินค้า รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากพื้นที่อุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ สถานศึกษา สถานพยาบาล การซื้อขายหรือเก็บชิ้นส่วนเครื่องจักรกลเก่า และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน เป็นต้น
8. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ก. 1 ถึง ก. 3
8.1 ที่ดินประเภท ก.1
- มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนรักษาสภาพทางธรรมชาติ
ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่เกษตรอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่นของจังหวัดรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพื้นที่ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การปลูกทุเรียน กระท้อน มะม่วง และพืชผลเอกลัษณ์ของจังหวัดนนทบุรีเป็นหลักโดยสามารถก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้แต่ไม่สามารถก่อสร้างบ้านแฝด บ้านแถว ห้องแถว ตึกแถว อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด หอพัก หรืออาคารขนาดใหญ่ได้ รวมทั้งห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรม ได้แก่ โรงงานทุกจำพวกคลังเชื้อเพลิง สุสาน และไม่สามารถประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมได้
8.2 ที่ดินประเภท ก. 2
- มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตรและรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้มีความสมดุลมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเภษตรกรรม การเพาะปลูกและเป็นแนวกันชน (Buffer Area) โดยสามารถก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้แต่ไม่สามารถก่อสร้างบ้านแฝด บ้านแถว ห้องแถว ตึกแถว อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด หรือหอพักได้รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรม ได้แก่ โรงแรม โรงมหรสพ และโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำน้ำตาล ไซโล การฆ่าสัตว์ เป็นต้น
8.3 ที่ดินประเภท ก.3
- มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นชุมชนและศูนย์กลาง การให้บริการทางสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ในพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ตลอดจนรองรับกิจการอื่นที่จำเป็นสำหรับชุมชน และเป็นแนวกันชน (Buffer Area) โดยสามารถก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว ได้ แต่ไม่สามารถก่อสร้างห้องแถว ตึกแถว อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด หรือหอพักได้ รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรม ได้แก่ สวนสนุก สวนสัตว์ และโรงงานอุตสาหกรรม ที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การอบเมล็ดพืช การฟักไข่ เป็นต้น
9. ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ก. 4
- มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนรักษาสภาพทางธรรมชาติของพื้นที่ธรรมชาติในบริเวณที่มีข้อจำกัดด้านการระบายน้ำ และมีความสี่ยงต่อการกิดอุทกภัย ส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน คือ พื้นที่เกาะเกร็ดโดยสามารถก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้แต่ไม่สามารถก่อสร้างบ้านแฝด บ้านแถว ห้องแถว ตึกแถว อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด หรือหอพักได้รวมทั้งห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอนุรักษ์พื้นที่ ได้แก่ การจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ คือ การทำผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและการบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน
10. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน) จำแนกเป็นที่ดินประเภท ล. 1 และ ล. 2 โดยมีวัตถุประสงค์จำแนกเป็นบริเวณ ดังต่อไปนี้
10.1 ที่ดินประเภท ล. 1
- มีวัตถุประสงค์ให้เป็นพื้นที่โล่งริมแม่น้ำ ลำคลอง เพื่อเป็นการส่งเสริมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางภูมิทัศน์ริมฝั่ง และเป็นแนวพื้นที่กันชน (Buffer Area) และห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ได้แก่ การทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การจัดสรรที่ดิน สถานสงเคราะห์ รับเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
10.2 ที่ดินประเภท ล. 2
- มีวัตถุประสงค์เพื่อการนันทนาการ หรือเกี่ยวข้องกับการนันทนาการ สาธารณประโยชน์ และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีที่พักผ่อนหย่อนใจเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ประกอบด้วยสวนสาธารณะที่เป็นปอดของเมือง ได้แก่ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ นนทบุรี และอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก
11. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก)
- มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับการศึกษา สถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ หรือกิจการสาธารณประโยชน์ เช่น โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี เป็นต้น
12. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย (สีน้ำตาลอ่อน)
- วัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ ส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมท้องถิ่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การอยู่อาศัย การศาสนา สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) พุทธสถานเชิงท่าหน้าโบสถ์ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร วัดอัมพวัน วัดปรางค์หลวง ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี (หลังเก่า) เป็นต้น
13. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน)
- มีวัตถุประสงค์เพื่อการศาสนา หรือเกี่ยวข้องกับ การศาสนา กิจการเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาของชุมชน สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ เช่น วัดชลประทานรังสฤษฏ์ วัดสวนแก้ว วัดบัวขวัญ วัดลาดปลาดุก วัดปรมัยยิกาวาส วัดโบสถ์ดอนพรหม วัดเขมาภิรตาราม วัดกู้ วัดกลางเกร็ด วัดส้มเกลี้ยง วัดสังฆทาน สุสานบางบัวทองมูลนิธิ เป็นต้น
14. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน)
- มีวัตถุประสงค์ให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อเป็นสถาบันราชการ และการดำเนินกิจการของรัฐที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เรือนจำกลางบางขวาง ที่ว่าการอำเภอปากเกร็ด โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เป็นต้น
3. กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการได้ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นป่านกลาง (สีส้ม) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีน้ำตาล) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (สีแดง) ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ (สีม่วงอ่อน) และที่ดินประเภทอุตสาหกรรมทั่วไปที่ไม่เป็นมลพิษต่อชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมและคลังสินค้า (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีม่วง) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภท
4. กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณแนวถนนตามแผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่งท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้ใช้ประโยชน์เพื่อกิจการตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้
4.1 การสร้างถนนหรือเกี่ยวข้องกับถนน และการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
4.2 การสร้างรั้วหรือกำแพง
4.3 เกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร หรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่
3. เรื่อง ร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
คสช. เสนอว่า
1. มาตรา 25 (1) และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 บัญญัติให้ คสช. มีหน้าที่และอำนาจจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติจะใช้เป็นกรอบและแนวทางในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศ ในการจัดทำธรรมนูญดังกล่าว ให้ คสช. นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสมัชชาสุขภาพมาประกอบด้วย และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในธรรมนูญดังกล่าวแล้ว ให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้ คสช. ทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติอย่างน้อยทุกห้าปี
2. โดยที่ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติฉบับปัจจุบัน กล่าวคือ ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ได้ถึงกำหนดที่จะต้องมีการทบทวนตามบทบัญญัติในข้อ 1 แล้ว ประกอบกับมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 บัญญัติให้ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญตามที่กำหนด อาทิ ปรัชญาและแนวคิดหลักของระบบสุขภาพ คุณลักษณะที่พึงประสงค์และเป้าหมายของระบบสุขภาพ การจัดให้มีหลักประกันและความคุ้มครองให้เกิดสุขภาพ การบริการสาธารณสุขและการควบคุมคุณภาพ การผลิตและการพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 คสช. จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เพื่อทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันและจัดทำร่างธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้ดำเนินการยกร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. .... โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ และสมัชชาสุขภาพด้วยแล้ว
3. ในคราวประชุม คสช. ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างธรรมนูญตามข้อ 2 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอร่างธรรมนูญดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างธรรมนูญ
ร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน สรุปได้ดังนี้
1. ส่วนที่ 1 สถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อระบบสุขภาพ ในระยะ 5 ปี
สาระสำคัญในส่วนนี้เป็นการสรุปข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อระบบสุขภาพในระยะ 5 ปี ภายใต้แนวคิดว่าการสร้างความแข็งแกร่งของระบบสุขภาพไทยในระยะ 5 ปี ต่อจากนี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อระบบสุขภาพของไทยเพื่อออกแบบกลไกให้สนับสนุนการฟื้นคืน ตอบสนอง และก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมุ่งไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ คือ “ระบบสุขภาพที่เป็นธรรม” โดยสถานการณ์และปัจจัยดังกล่าว ประกอบด้วย (1) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและความแตกต่างระหว่างวัย (2) การเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาของโรคและปัญหาสุขภาพ (3) การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นเมือง (4) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว (5) การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน (6) การขาดแคลนทรัพยากรและงบประมาณ และ (7) การแบ่งขั้วทางการเมืองของโลกและการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ แนวโน้มสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้นได้ส่งผลให้เกิดปัญหากับประชาชนและระบบสุขภาพที่ล้วนเป็นไปในทิศทางที่ทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมเพิ่มขึ้น และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ทิศทางการพัฒนาควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่มุ่งไปสู่การขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล (good governance) และการปกครองด้วยหลักนิติธรรม (rule of law)
2. ส่วนที่ 2 กรอบแนวคิด ปรัชญาและเป้าหมายร่วมของระบบสุขภาพในธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3
การดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน หรือ sustainable livelihoods ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดตามแนวคิดในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนนี้หมายรวมถึง ความสามารถ ทักษะ ทุน (ทั้งทางวัตถุและสังคม) และวิธีหรือกิจกรรมที่บุคคลและชุมชนนำไปใช้เพื่อการอยู่รอดอย่างยั่งยืน โดย “สุขภาพ” ถือเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันสุขภาพก็ยังจัดเป็นผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยเชื่อว่าหากมีการจัดการได้ดีในเรื่องของปัจจัยที่กำหนดสุขภาพ (Determinants of Health) ในกลุ่มประชากรต่าง ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มประชากรที่ยากจนและกลุ่มประชากรที่อยู่ในสภาวะเปราะบางแล้ว ก็จะเกิดสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นธรรม มีสภาพเศรษฐกิจที่พัฒนา และเป็นสังคมที่มีสุขภาวะ
ดังนั้น ร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. .... จึงมีกรอบแนวคิดที่มุ่งสู่ “ระบบสุขภาพที่เป็นธรรม” ซึ่งหมายถึง “ระบบสุขภาพที่มุ่งให้เกิด “ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ” ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือ ภาวะที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ตลอดทุกช่วงวัย ไม่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกลุ่มทางสังคม เศรษฐกิจ ลักษณะ ประชากร เชื้อชาติ ถิ่นที่อยู่อาศัย พื้นที่ หรือการเข้าถึงสิทธิหน้าที่ด้านสุขภาพตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หากความแตกต่างนั้น ๆ เป็นความแตกต่างที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้” โดยมีแนวคิดหลักว่า “ระบบสุขภาพมีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัว ปรับเปลี่ยน คงอยู่ได้ ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และเป็นระบบสุขภาพที่มีการดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาล” ซึ่งได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานสู่เป้าหมายในระยะ 5 ปี ได้แก่ การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การทำสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ในทุกกลุ่มวัยและทุกระดับ
3. ส่วนที่ 3 มาตรการสำคัญสู่เป้าหมายระบบสุขภาพที่พึงประสงค์
3.1 กระบวนการนโยบายสาธารณะที่ดีและมีส่วนร่วมของภาคีทุกภาคส่วน โดยมาตรการในเรื่องนี้มีเป้าหมายให้ระบบสุขภาพของประเทศไทยเป็นระบบสุขภาพที่สร้างเสริมให้เกิดความเป็นธรรมด้วยกระบวนการนโยบายสาธารณะทางเศรษฐกิจและสังคมที่คำนึงถึงผลต่อสุขภาพตามหลักทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ มีการจัดการด้วยระบบธรรมาภิบาลที่ดี โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับกระบวนการมีส่วนร่วมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริงของทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดการเข้าถึงทรัพยากรเพื่อการพัฒนาอย่างทั่วถึง มีชุมชนเข้มแข็งสามารถพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการ ต่าง ๆ เช่น การสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านกระบวนการนโยบายสาธารณะจากชุมชนและนโยบายของรัฐในระดับ ต่าง ๆ การส่งเสริมบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการจัดการสังคมและสุขภาพในประเทศและระดับพื้นที่ สร้างกลไก เครื่องมือ และพื้นที่กลาง เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีความร่วมมือกันและสร้างความเป็นเจ้าของในสังคมและสุขภาพทุกระดับอย่างกว้างขวางมากขึ้น เป็นต้น
3.2 การสร้างเสริมสุขภาพและการจัดการปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพ โดยมาตรการในเรื่องนี้มีเป้าหมายให้ระบบสุขภาพของประเทศไทยเป็นระบบสุขภาพที่กำหนดนโยบายสนับสนุนให้มีสภาพแวดล้อมและปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพที่เอื้อให้ประชาชนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยที่เกิด เติบโต ทำงาน ดำรงชีวิตอยู่ จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต สามารถดำรงตนและพัฒนาสุขภาพตนเองอย่างสมดุลทั้งกาย จิต ปัญญา และสังคม อย่างมีศักยภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับและเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ (นอกเหนือจากเรื่องการรับบริการสุขภาพ) มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีพฤติกรรมด้านสุขภาพที่เหมาะสม สามารถสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรคและปัจจัยคุกคามสุขภาพได้ในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ รวมทั้งสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพได้อย่างเป็นธรรมและสอดคล้องตามบริบท ซึ่งประกอบด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมแนวคิดการสร้างทุนสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมสู่การสร้างชุมชนและเมืองสุขภาวะ (healthy city) การส่งเสริมการสร้างชุมชน นโยบายและพื้นที่สาธารณะทั้งทางกายภาพ และโลกเสมือนจริง ที่ส่งเสริมและตระหนักถึงความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างการรับรู้และตระหนักรู้ในหน้าที่ของประชาชนในการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
3.3 การจัดการระบบบริการสุขภาพ โดยมาตรการในเรื่องนี้มีเป้าหมายให้ระบบสุขภาพของประเทศไทยเป็นระบบทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยสามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นการบริการต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและบำบัดสภาวะความเจ็บป่วยและการฟื้นฟูสมรรถภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชนที่เชื่อมโยงและสมดุลทั้งสุขภาพทางกาย จิต ปัญญาและสังคมที่เป็นธรรม ตอบสนอง มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเน้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันของบุคลากรและผู้รับบริการ ด้วยการบูรณาการตั้งแต่ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ จนถึง ตติยภูมิ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น การนำนโยบายทางการเงินการคลังมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและกระจายทรัพยากรด้านสุขภาพ การพัฒนาและใช้ระบบบริการปฐมภูมิเป็นฐานของหลักประกันสร้างการเข้าถึงบริการที่เป็นธรรม การพัฒนาและออกแบบรูปแบบการจัดบริการสุขภาพชุมชน เมือง หรือพื้นที่จำเพาะ ซึ่งรวมไปถึงชุมชนเสมือน (virtual community) และชุมชนออนไลน์ เป็นต้น
3.4 แนวทางการวัดผลสำเร็จของระบบสุขภาพที่พึงประสงค์ ได้แก่
(1) รายงานการวัดผลสำเร็จและการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดและดำเนินนโยบายการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่คำนึงถึงหรือส่งผลต่อสุขภาพไปพร้อมกัน
(2) ข้อมูลสภาวการณ์และแนวโน้มความเป็นธรรมของระดับสุขภาพ รวมทั้งปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่อสุขภาพ ปัจจัยคุกคามสุขภาพ และการกระจายการลงทุนและทรัพยากร
(3) ข้อมูลสถานการณ์และแนวโน้มความเป็นธรรมด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรค การรักษาพยาบาลของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีปัจจัยความเสี่ยงทางสุขภาพสูงหรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เปราะบางต่อสุขภาพ
(4) ข้อมูลการมีส่วนร่วมในกลไกการอภิบาลและกำกับคุณภาพในระบบบริการสุขภาพ การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และมาตรการทางสังคมอื่น ๆ
(5) ตัวอย่างรูปธรรมของการจัดบริการสุขภาพที่แสดงความจำเพาะและสามารถตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่มในพื้นที่ รวมทั้งรูปธรรมพื้นที่ต้นแบบหรือพื้นที่ปฏิบัติการทางสังคมในการคลี่คลายความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์และผลลัพธ์เชิงบวกต่อการบรรลุสุขภาพที่ดีอย่างเป็นธรรม
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดรวม 10 สาขาวิชา ได้แก่ (1) สาขาวิชาการบัญชี (2) สาขาวิชาครุศาสตร์ (3) สาขาวิชานิติศาสตร์ (4) สาขาวิชานิเทศศาตร์ (5) สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (6) สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (7) สาขาวิชารัฐประศาสนศาตร์ (8) สาขาวิชารัฐศาสตร์ (9) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (10) สาขาวิชาศิลปศาสตร์
ม็
2. มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดได้กำหนดปริญญาในสาขาเพิ่มขึ้น 2 สาขาวิชา ได้แก่ (1) สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ (2) สาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม โดยได้เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต ตามลำดับซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ครั้งที่ 10 (157)/2563 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 และครั้งที่ 2(160)/2564 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ประชุม ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564) และหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาไฟฟ้า (4 ปี) (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2564) โดยสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว
3. อว. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาและสีประจำสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรมและสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ดังนี้
3.1 กำหนดปริญญาในสาชาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา
3.1.1 สาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม มีปริญญาสามชั้น คือ
(ก) เอก เรียกว่า “ครุศาสตร์อุตสาหกรรมดุษฎีบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ค.อ.ด.” และ “ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ปร.ด.”
(ข) โท เรียกว่า “ครุศาสตร์อุตสาหกรรมหาบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ค.อ.ม.”
(ค) ตรี เรียกว่า “ครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ค.อ.บ.”
3.1.2 สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มีปริญญาสามชั้น คือ
(ก) เอก เรียกว่า “สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ส.ด.” และ “ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ปร.ด.”
(ข) โท เรียกว่า “สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ส.ม.”
(ค) ตรี เรียกว่า “สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต”
ใช้อักษรย่อ “ส.บ.”
3.2 กำหนดสีประจำสาขาวิชา
3.2.1 สาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม สีแดงเลือดนก
3.2.2 สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ สีชมพูกุหลาบ
4. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ครั้งที่ 1(172)/2565 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 3 แล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรมและสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง รวม 14 สาขาวิชา ได้แก่ (1) การจัดการ (2) การบัญชี (3) ครุศาสตร์ (4) เทคโนโลยี (5) นิติศาสตร์ (6) นิเทศศาสตร์ (7) บริหารธุรกิจ (8) รัฐประศาสนศาสตร์ (9) รัฐศาสตร์ (10) วิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ (11) วิทยาศาสตร์ (12) วิศวกรรมศาสตร์ (13) ศิลปศาสตร์ และ (14) สาธารณสุขศาสตร์
2. มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางได้กำหนดปริญญาในสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์เพิ่มขึ้น โดยได้เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2565 และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว
3. อว. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชา ดังนี้
3.1 กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มีปริญญาวามชั้น คือ
(ก) เอก เรียกว่า “พยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พย.ด.” และ “ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ปร.ด.”
(ข) โท เรียกว่า “พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พย.ม.”
(ค) ตรี เรียกว่า “พยาบาลศาสตรบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พย.บ.”
3.2 กำหนดสีประจำสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ สีน้ำเงิน
4. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 3 แล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา [แล้วดำเนินการต่อไปได้]
2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงคมนาคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. เสนอว่า
1. สำนักงานอัยการสูงสุดขอถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลง “ที่เลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์” ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ 8196 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอวัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานอัยการและบ้านพักข้าราชการฝ่ายอัยการ ต่อมาที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงดังกล่าวถูกกันออกเป็นแนวถนนสุขุมวิท เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 3 งาน 21 ตารางวา สำนักงานอัยการสูงสุดจึงขอถอนสภาพที่ดิน บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา
2. ที่ดินสาธารณประโยชน์ตามข้อ 1 เดิมราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกันมาก่อนปี พ.ศ. 2486 และราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้วทั้งแปลง เนื่องจากไปใช้เครื่องจักรแทนจึงไม่มีการนำสัตว์เข้าไปเลี้ยงในที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้ โดยทางราชการได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 8196 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2521 เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา ที่ดินดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่จะถอนสภาพตามมาตรา 8 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการถอนสภาพ การจัดขึ้นทะเบียน และการจัดหาผลประโยชน์ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2550 จึงเห็นควรให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานอัยการและบ้านพักข้าราชการฝ่ายอัยการ
3. มท. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
3.1 จังหวัดได้ประสานขอความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ราษฎรในพื้นที่ สภาเทศบาลตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และคณะกรรมการกำกับการใช้ที่ดินของรัฐ จังหวัดชลบุรี ต่างเห็นชอบให้ถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว
3.2 กรมที่ดินได้ประสานกรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อพิจารณาให้ความเห็นด้านผังเมือง ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมืองแจ้งว่า พื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตผังเมืองรวม เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินไว้เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าการถอนที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา พ.ศ. 2556 แต่อย่างใด และกรมการปกครองได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ตามมติคณะรัฐมนตรี (22 มีนาคม 2565) [เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการตราร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติที่ต้องจัดให้มีแผนที่ท้าย] ด้วยแล้ว
4. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย มท. คณะที่ 2 ในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2565 เมื่อวันพุธที่ 20 เมษายน 2565 มีมติให้กรมที่ดินตรวจสอบความถูกต้องของแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ อีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ พร้อมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย ฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งกรมที่ดินได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของ มท. ต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา เพื่อมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานอัยการและบ้านพักข้าราชการฝ่ายอัยการ
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2566)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ คค. เสนอ เป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2566 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันพุธที่ 4 มกราคม 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทางบนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลดังกล่าวและช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้าแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ทางแยกเข้าพัทยา และตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (บ้านอำเภอ) และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง - บางแค ช่วงพระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน และตอนบางปะอิน - บางพลี ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันพุธที่ 4 มกราคม 2566
เศรษฐกิจ-สังคม
8. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชุ่มน้ำ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
มติคณะรัฐมนตรี
จากเดิม
แก้ไขเป็น
26 สิงหาคม 2540
(ปรับปรุงหน่วยงานรับผิดชอบการประสานงานระดับชาติและการตั้งงบประมาณ)
เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม* (สผ.) รับผิดชอบเป็นหน่วยงานประสานงานระดับชาติและตั้งงบประมาณสำหรับเป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ตามอัตราที่กำหนด
ให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานรับผิดชอบแทน สผ.
3 พฤศจิกายน 2552
(ปรับปรุงหน่วยงานสนับสนุนตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ ชุ่มน้ำ)
ข้อ 1 ประกาศกำหนดให้พื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นที่สาธารณะทุกแห่งทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำแหล่งน้ำจืดเป็นพื้นที่สีเขียวและมิให้ส่วนราชการเข้าไปใช้ประโยชน์เพื่อสงวนไว้เป็นแหล่งรองรับน้ำและกักเก็บน้ำต่อไป โดยมี สผ. เป็นหน่วยงานสนับสนุน ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมประมง กรมที่ดิน กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ยกเลิก สผ. จากหน่วยงานสนับสนุน
ข้อ 3 ให้มีการติดตาม ตรวจสอบและดำรงรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำตามทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับท้องถิ่นเพื่อสงวนเพื่อสงวนไว้เป็นแหล่งรองรับน้ำตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ ตลอดจนควบคุมและป้องกันการบุกรุกเข้าใช้ประโยชน์ที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์โดยมี สผ. เป็นหน่วยงานสนับสนุน ร่วมกับกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี กรมที่ดิน กรมทรัพยากรน้ำ สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันการศึกษา
ข้อ 11 ให้มีการศึกษาวิจัยระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติและเผยแพร่ข้อมูลแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง โดยมี สผ. เป็นหน่วยงานสนับสนุน ร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานสนับสนุนแทน สผ.
ข้อ 17 ให้จัดทำรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี ข้อ 1 -16 โดยติดตามตรวจสอบจากหน่วยงานหลักเสนอต่อคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นประจำ โดยมี สผ. เป็นหน่วยงานสนับสนุน
และให้แก้ไขชื่อหน่วยงานในมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) จากเดิม “กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี” เป็น “กรมเจ้าท่า” ตามความเห็นของกระทรวงคมนาคม รวมทั้งให้ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (อนุสัญญาแรมซาร์) ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2541 โดยเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลซึ่งกำหนดกรอบการทำงานสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลกและสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด
2. ที่ผ่านมา สผ. ได้ดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ สรุปได้ดังนี้
2.1 ด้านต่างประเทศ ได้ตั้งงบประมาณสำหรับเป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นประจำทุกปี และประสานการอนุวัตและติดตามการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญา โดยเป็นผู้แทนประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมเจรจา เพื่อกำหนดนโยบายและกรอบการดำเนินงานในเวทีระดับสากล ระดับภูมิภาค ระดับทวิภาคี และความร่วมมือระหว่างองค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้พันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำและความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของประเทศไทยเข้าร่วมเป็น Ramsar Site จำนวน 15 แห่ง การเสนอเมืองแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำ จำนวน 1 แห่ง เป็นต้น
2.2 ภายในประเทศ เช่น (1) การศึกษา สำรวจ และติดตตามสถานภาพพื้นที่ชุมน้ำที่มีความสำคัญของประเทศไทย ได้แก่ Ramsar Site พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตลอดจนพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเสนอเป็น Ramsar Site เพิ่มเติม (2) การจัดทำเครื่องมือ กลไกในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทย (3) ส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้สาธารณชนเกิดความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ (4) เพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำโดยส่งผู้แทนหน่วยงานที่กำกับดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำเข้าร่วมการฝึกอบรมในระดับสากล (5) ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทางวิชาการเพื่อประกอบการดำเนินโครงการในพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทย และ (6) ดำเนินงานในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำและคณะทำงานวิชาการพื้นที่ชุ่มน้ำ
3. ทส. ได้ตระหนักถึงข้อจำกัดในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่เป้าหมาย เนื่องจาก สผ. ไม่มีหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่จึงมีนโยบายในการถ่ายโอนภารกิจพื้นที่ชุ่มน้ำจาก สผ. ไปยังกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับ ดูแล และเสนอแนะมาตรการ หลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะและพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งยังเป็นหน่วยงานที่มีสำนักงานทรัพยากรน้ำภาคเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนการดำเนินงานในพื้นที่ ทส. จึงได้ถ่ายโอนภารกิจงานพื้นที่ชุ่มน้ำจาก สผ. ไปยังกรมทรัพยากรน้ำแล้วตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2565 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565) ทั้งนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
9. เรื่อง รายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอรายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (4 มกราคม 2565) ที่เห็นชอบให้ สปน. เสนอขอทบทวนหน่วยงานรับผิดชอบการเสนอตั้งงบประมาณการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี (30 เมษายน 2562) โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม (กห.) (กองทัพบก) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบเสนอขอตั้งงบประมาณโครงการจัดสร้างหอประชุมอเนกประสงค์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2566 เป็นต้นไป รวมถึงงบประมาณในการบริหารจัดการและบำรุงรักษารายปีหลังจากที่โครงการฯ แล้วเสร็จด้วย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบเสนอขอตั้งงบประมาณโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป] โดยมีความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
1. โครงการสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ
1.1 ย้ายพื้นที่ก่อสร้างโครงการไปจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ จากพื้นที่ก่อสร้างเดิม ณ บริเวณหอประชุมกองทัพบก เขตดุสิต เนื้อที่ 19 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ 8 ไร่ และพื้นที่ในการก่อสร้างอาคารหอประชุมกองทัพบก 11 ไร่ ไปยังที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ เขตวังทองหลาง เนื้อที่ 79 ไร่ 2 งาน 60.9 ตารางวา แบ่งเป็นพื้นที่ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ 36 ไร่ และอาคารหอประชุมอเนกประสงค์ฯ 43 ไร่ จึงต้องมีการพิจารณาปรับปรุงการออกแบบพิพิธภัณฑ์ฯ และงบประมาณในการก่อสร้างใหม่ โดยปรับปรุงรูปแบบ รายการแบบ รายละเอียด และปรับวงเงินงบประมาณ เพิ่มกรอบวงเงินโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ประกอบด้วย
(1) พื้นที่ที่เปลี่ยนไปมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงต้องขยายขนาดอาคารให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ (ตามแบบเดิมมีพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารประมาณ 13,300 ตารางเมตร โดยในพื้นที่แห่งใหม่มีพื้นที่ประมาณ 25,000 ตารางเมตร)
(2) ปรับปรุงแนวคิดในการออกแบบ เพื่อรองรับการเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และรองรับการสื่อความหมายในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากร ป่าไม้และคุณค่าของทรัพยากรป่าไม้
(3) สถานที่ตั้งอาคารแห่งใหม่มีสภาพภูมิทัศน์โดยรอบแตกต่างจากพื้นที่เดิม ทำให้ต้องเพิ่มขนาดสัดส่วนความสูงเพื่อให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์และประโยชน์ใช้สอยและความงาม
(4) กรอบวงเงินที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นโดยใช้แบบจากพื้นที่เดิม ยังไม่ได้ออกแบบรายละเอียดสำหรับพื้นที่ใหม่ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ออกแบบและประมาณการราคาแล้วเสร็จ โดยมีองค์ประกอบของอาคารทั้งภายนอกและภายในครบถ้วน เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ด้านวิศวกรรม (ระบบไฟฟ้าและระบบปรับอากาศ) ด้านภูมิทัศน์และงานจัดสวนพฤกษศาสตร์พันธุ์ไม้มีค่า และการจัดแสดงนิทรรศการ/ตกแต่งภายใน (จัดแสดงงานศิลปาชีพ ข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับไม้ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ชาติไทย และวัฒนธรรม)
1.2 ในการประชุมคณะกรรมการฝ่ายโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565 มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ในส่วนของงานก่อสร้างและตกแต่งตามผลการออกแบบของกรมศิลปากร 4,055.32 ล้านบาท และเห็นชอบวงเงินที่จะจัดทำคำของบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 ซึ่งเสนอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 874 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 4 หมวด ดังนี้
(1) ค่าก่อสร้างโครงสร้างอาคารสถาปัตยกรรมและงานระบบไฟฟ้า ระบบงานที่เกี่ยวข้อง และค่าควบคุมงาน 1,277.31 ล้านบาท ได้สนอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 372 ล้านบาท โดย ทส. ตั้งงบประมาณ และให้ กห. (กองทัพบก) เป็นหน่วยงานเบิกจ่ายแทน
(2) ค่าตกแต่งสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน ระบบสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกอาคาร และค่าควบคุมงาน 2,169.63 ล้านบาท ได้เสนอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 350 ล้านบาท โดย ทส. ตั้งงบประมาณและเป็นหน่วยงานดำเนินการ
(3) ค่าปรับปรุงภูมิทัศน์และค่าควบคุมงาน 418.39 ล้านบาท ได้เสนอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 110 ล้านบาท โดย ทส. ตั้งงบประมาณและเป็นหน่วยงานดำเนินการ
(4) ค่าจัดแสดงนิทรรศการองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร 189.98 ล้านบาท ได้เสนอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 25 ล้านบาท โดย ทส. ตั้งงบประมาณ และให้กรมศิลปากรเป็นหน่วยเบิกจ่ายแทน
1.3 ระยะเวลาก่อสร้างและตกแต่งตามแบบของกรมศิลปากร รวม 5 ปี เริ่มจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กองทัพบกจะเริ่มการก่อสร้างตามรายการที่ (1) (ตามสัญญาที่ได้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณไว้แล้ว) และให้ ทส. ดำเนินการก่อสร้างในรายการที่ (2) และสำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ทส. จะดำเนินการในรายการที่ (3) และ (4)
2. โครงการจัดสร้างหอประชุมอเนกประสงค์ฯ (ประกอบด้วย อาคารหอประชุมอเนกประสงค์ฯ และอาคารกรมสวัสดิการทหารบก) กองทัพบกได้ดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
2.1 หอประชุมอเนกประสงค์ฯ เป็นอาคารสูง 3 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ประกอบด้วย สำนักงานห้องแถลงข่าว โถงพักคอย ห้องจัดเลี้ยง และห้องประชุมขนาดใหญ่ โดยมีผลการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 91.24 ช้ากว่าแผนร้อยละ 6.16 (กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565)
2.2 อาคารกรมสวัสดิการทหารบก เป็นอาคารสำนักงานสูง 7 ชั้น ที่จอดรถพร้อมหลังคา 33 คัน โรงอาหารจุคนได้ 250 คน มีผลการก่อสร้างดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญา
10. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2565 พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องราวร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น และแนวทางในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อขอความร่วมมือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน และการบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์ต่อไป [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (29 พฤศจิกายน 2548) ที่รับทราบแนวทางการจัดระเบียบของระบบกระบวนการแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของประชาชนและมอบหมายให้ทุกกระทรวงดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว โดยให้ สปน. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการติดตามผลการดำเนินการและสรุปรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบทุก 3 เดือน] สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
1.1 สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นของประชาชน ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ 1111 รวมทั้งสิ้น 67,919 เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ 62,112 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 91.45 และรอผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5,807 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 8.55
1.2 หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นมากที่สุด 5 ลำดับแรก ดังนี้
(1) ส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4,405 เรื่อง กระทรวงสาธารณสุข 2,252 เรื่อง กระทรวงการคลัง 2,071 เรื่อง กระทรวงแรงงาน 1,644 เรื่อง และกระทรวงคมนาคม 1,372 เรื่อง
(2) รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 673 เรื่อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 465 เรื่อง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 432 เรื่อง การไฟฟ้านครหลวง 352 เรื่อง และการประปาส่วนภูมิภาค 320 เรื่อง
(3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 3,522 เรื่อง จังหวัดนนทบุรี 851 เรื่อง สมุทรปราการ 830 เรื่อง ปทุมธานี 735 เรื่อง และชลบุรี 651 เรื่อง
2. การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สรุปได้ ดังนี้
2.1 สถิติจำนวนเรื่องร้องทุกข์เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่ผ่านมา มีการติดต่อแจ้งเรื่องร้องทุกข์ 134,575 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 33,129 ครั้ง (มีการติดต่อแจ้งเรื่องร้องทุกข์ 167,704 ครั้ง)
2.2 ประเด็นเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่
(1) การรักษาพยาบาล เช่น ขอให้มีการยกระดับมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สายพันธุ์ใหม่และยังคงให้มีความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงขอให้ดำเนินการจัดสรรและฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวม 4,893 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 4,654 เรื่อง (ร้อยละ 95.12)
(2) เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน เช่น การเปิดสถานบันเทิงและร้านอาหารเป็นแหล่งก่อให้เกิดเสียงดังรบกวน รวมทั้งการมั่วสุมของกลุ่มวัยรุ่นแข่งรถจักรยานยนต์ รวม 4,730 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 4,598 เรื่อง (ร้อยละ 97.21)
(3) ไฟฟ้า เช่น ขอให้แก้ปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง และซ่อมแซมไฟฟ้าส่องสว่าง ริมทาง หม้อแปลงไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเสาไฟฟ้า รวมทั้งขอให้ขยายเขตการให้บริการไฟฟ้า 3,247 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 3,141 เรื่อง (ร้อยละ 96.74)
(4) การเสนอและตรากฎหมาย เช่น ขอให้มีการปรับปรุงกฎหมายการห้ามจุดพลุและดอกไม้ไฟ รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติสุราก้าวหน้า ซึ่งขอให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถผลิตและจำหน่ายสุราได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันที่เท่าเทียม รวม 2,972 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 2,949 เรื่อง (ร้อยละ 99.23)
(5) โทรศัพท์ เช่น การให้บริการทางโทรศัพท์หมายเลข 1422 ของกรมควบคุมโรค หมายเลขสายด่วน 1506 ของสำนักงานประกันสังคม และหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐานของสำนักงานเขตและหน่วยงาน อื่น ๆ ในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการสอบถามเกี่ยวกับมาตรการการรักษาโควิด-19 ซึ่งรอสายนาน การต่อสายหลายครั้ง และสายหลุด รวม 2,627 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 2,363 เรื่อง (ร้อยละ 89.95)
(6) ถนน เช่น ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมถนนชำรุดซึ่งมีสาเหตุมาจากถนนเก่ามีอายุการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน ถนนมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อจากน้ำท่วมขังในฤดูฝน รวมทั้งขอให้ปรับปรุงถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์หรือถนนคอนกรีต รวม 1,922 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,759 เรื่อง (ร้อยละ 91.52)
(7) น้ำประปา เช่น น้ำประปาไม่ไหลและไหลอ่อน น้ำประปาไม่มีคุณภาพ มีลักษณะเป็นสีขุ่น รวมทั้งการขอขยายเขตการให้บริการน้ำประปา รวม 1,844 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,790 เรื่อง (ร้อยละ 97.07)
(8) การเมือง เช่น การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล 1,742 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,719 เรื่อง (ร้อยละ 98.68)
(9) ประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น ขอให้ตรวจสอบ ระงับ ตัดสายกรณีเป็นสายโทรศัพท์จากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการโทรศัพท์แอบอ้างจากกลุ่มมิจฉาชีพและการตรวจสอบเว็บไซต์และ แอปพลิเคชันที่มีลักษณะหลอกลวงประชาชน รวมทั้งขอให้แก้ไขปัญหากลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงด้วยความเด็ดขาดเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม รวม 1,687 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,366 เรื่อง (ร้อยละ 80.97)
(10) การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ เช่น มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ค่าน้ำ-ค่าไฟ) และขอให้เพิ่มสิทธิและขยายระยะเวลาโครงการคนละครึ่ง รวมทั้งขอให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวม 1,511 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,414 เรื่อง (ร้อยละ 93.58)
2.3 รายงานสรุปการสอบถามข้อมูล แจ้งเหตุ ร้องขอความช่วยเหลือและเสนอข้อคิดเห็น ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผ่านสายด่วน 1111 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 30 กันยายน 2565) สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : เรื่อง
ลำดับที่
ประเภทเรื่อง
เรื่องร้องทุกข์
ดำเนินการ
จนได้ข้อยุติ
รอผลการพิจารณา
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง และงดเดินขบวนรถในเส้นทางสายใต้ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
รฟท. แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง และงดเดินขบวนรถในเส้นทางสายใต้
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่จังหวัดสงขลา
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ รฟท. ได้ปรับเปลี่ยนการเดินรถเส้นทางรถไฟสายใต้จากสถานการณ์น้ำท่วม ระหว่างสถานีควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่ อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา และสถานีนาม่วง อำเภอนาหม่อม - วัดควนมีด อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 18 - 19 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา นั้น
สำหรับสถานการณ์ในวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ระดับน้ำยังคงท่วมสูงอย่างต่อเนื่อง และมีมวลน้ำไหลเข้าท่วมสถานีและทางรถไฟอีกหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการเดินรถ เนื่องจากเกิดเหตุดินสไลด์ และน้ำท่วมสันราง ระหว่างนาม่วง - สถานีวัดควนมีด และน้ำท่วมย่านสถานีควนเนียง ทำให้ขบวนรถไม่สามารถผ่านได้ และจำเป็นต้องปิดเส้นทางระหว่าง สถานีนาม่วง - สถานีวัดควนมีด และ สถานีควนเนียง - สถานีบ้านเกาะใหญ่
ทั้งนี้ รฟท. จึงจำเป็นต้องประกาศปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายใต้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ดังนี้
ขบวนรถงดเดิน จำนวน 16 ขบวน ประกอบด้วย
1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 31/32 (กรุงเทพ - หาดใหญ่ - กรุงเทพ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 (กรุงเทพ - สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45/46 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ)
4. ขบวนรถเร็วที่ 169/170 (กรุงเทพ - ยะลา - กรุงเทพ)
5.ขบวนรถเร็วที่ 171/172 (กรุงเทพ- สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 (สุไหงโก-ลก- พัทลุง - สุไหงโก-ลก - พัทลุง)
7.ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 947/948 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)
8. ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 949/950 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)
ขบวนรถปรับเปลี่ยนเส้นทาง จำนวน ขบวน 10 ประกอบด้วย
1.ขบวนรถสินค้าที่ 985/986 (กรุงเทพ - สุไหงโกลก- กรุงเทพ) เดินเฉพาะ กรุงเทพ- พัทลุง - กรุงเทพ
3.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445 (ชุมพร - หาดใหญ่) เดินเฉพาะ ชุมพร - พัทลุง
4.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 446 (หาดใหญ่ - ชุมพร) เดินเฉพาะ พัทลุง - ชุมพร
5.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447 (สุราษฎร์ธานี - สุไหงโก-ลก) เดินเฉพาะ จะนะ - สุไหงโก-ลก และ สุราษฏร์ธานี - พัทลุง
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 448 (สุไหงโก-ลก - สุราษฎร์ธานี) เดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - จะนะ และ พัทลุง - สุราษฎร์ธานี
7.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451 (นครศรีธรรมราช - สุไหงโก-ลก) เดินเฉพาะ เทพา - สุไหงโก-ลก และ นครศรีธรรมราช - พัทลุง
8.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 452 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) เดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - เทพา และ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
9.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455 (นครศรีธรรมราช - ยะลา) เดินเฉพาะ นครศรีธรรมราช – พัทลุง
10.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 456 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) เดินเฉพาะ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
ส่วนขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 (ยะลา - สุไหงโก-ลก - ยะลา) เดินรถปกติ
ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถคืนค่าตั๋วโดยสารได้เต็มราคาที่สถานีรถไฟทุกแห่ง และขณะเดียวกัน- ยังคงติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่างโยธา และนายสถานีในพื้นที่ได้เฝ้าระวังและติดตาม พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาและศูนย์ปลอดภัยฝ่ายการเดินรถทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและสั่งการแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสาร
สำหรับประชาชนที่จะเดินทางโดยรถไฟ ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดก่อนเดินทางอีกครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง รฟท. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพทั่วประเทศ ร่วมพิธีสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ” ด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดี ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพทั่วประเทศ ร่วมพิธีสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ” ด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดี ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
...
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นายทหารชั้นผู้ใหญ่ กำลังพลของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและครอบครัว ตลอดจนจิตอาสาและภาคประชาชน ร่วมพิธีฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2565 เวลา 18.00 น. ณ วัดชินวราราม วรวิหาร จังหวัดปทุมธานี
นอกจากนี้ หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ นำโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และหน่วยทหารทั่วประเทศต่างเฝ้าติดตามพระอาการน้อมใจสวดมนต์บูชาธรรม ณ วัดต่าง ๆ และศาสนสถานประจำหน่วย โดยการตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 “ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ” จากกระทรวงแรงงาน 6 กิจกรรม | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 “ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ” จากกระทรวงแรงงาน 6 กิจกรรม
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 “ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ” จากกระทรวงแรงงาน 6 กิจกรรม สินเชื่อที่อยู่อาศัย ม.33 สิทธิรักษา5โรค 6แสนตำแหน่งงาน คัดกรองป้องกันโรคเสี่ยง ความปลอดภัยจนท. และลดค่าทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเหลือ 1-3 บาท
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เห็นชอบและรับทราบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 “ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ” ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ จำนวน 6 กิจกรรม
1. ให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ตาม ม.33 ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 15,000 ราย ไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท ตั้งแต่ ม.ค. 66 เป็นต้นไป
2. ให้เข้าถึงสิทธิการรักษา 5 โรค ตามโรงพยาบาลที่กำหนด 7,500 คน ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่มดลูก โรคนิ่ว โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจและหลอดเลือด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 30 มิ.ย. 66 เป็นต้นไป
3. ให้งานทำ “ต้องการทำงาน ต้องได้งานทำ” โดยมีตำแหน่งงานว่าง ที่หลากหลายไว้ให้บริการ รวม 613,754 อัตรา แบ่งเป็นต่างประเทศ 50,000 อัตราและในประเทศ 563,784 อัตรา
4. ฟรี ค้นหาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจในสถานประกอบการสำหรับผู้ประกันตน 300,000 คน ใน 7 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จ. สมุทรปราการ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร ให้ได้รับการตรวจสุขภาพ โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนต่อหัว เฉลี่ยรายละ 910 บาท (กลุ่มเสี่ยง) และ 340 บาท (กลุ่มไม่เสี่ยง) ตั้งแต่ ม.ค. 66 เป็นต้นไป
5. ฟรี อบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ 10,000 คน โดยมีหลักสูตรการอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัย ในการทำงาน เช่น กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทำงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และทักษะการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย ในการทำงาน ตั้งแต่ ม.ค. - มี.ค.66
6. ลดอัตราค่าทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ คงเหลือ 1-3 บาท นาน 3 เดือน มีผู้เข้าร่วมทดสอบ 5,000 คน ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 66
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62871 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ยังตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ หนุนเกษตรกรช่วงฟื้นตัว | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ธ.ก.ส. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ยังตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ หนุนเกษตรกรช่วงฟื้นตัว
ธ.ก.ส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำสูงสุดร้อยละ 0.20 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนการออมและเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้า พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ธ.ก.ส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำสูงสุดร้อยละ 0.20 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนการออมและเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้า พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาภาระให้กับลูกค้าในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทในการดูแลภาคการเกษตรและการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนนโยบายในการแบ่งเบาภาระและสนับสนุนการออมเกษตรกร ด้วยการ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ A-Savings สำหรับลูกค้าทั่วไป ร้อยละ 0.05 เงินฝากออมทรัพย์และออมทรัพย์พิเศษสำหรับลูกค้านิติบุคคล ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 0.05 – 0.10 และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ สำหรับลูกค้า ทุกประเภท ร้อยละ 0.12 – 0.20 ประกอบด้วย เงินฝากออมทรัพย์ A-Savings สำหรับลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นจากร้อยละ 0.45 เป็น 0.50 เงินฝากประเภทออมทรัพย์สำหรับลูกค้านิติบุคคล ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.15 เป็น 0.25 ต่อปี ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 0.35 ต่อปี และเงินฝากออมทรัพย์พิเศษสำหรับลูกค้านิติบุคคล ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.20 เป็นร้อยละ 0.30 ต่อปี และส่วนราชการ ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.30 เป็นร้อยละ 0.40 ต่อปี
สำหรับบัญชีเงินฝากประจำ ลูกค้าทั่วไปที่มีบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นจากร้อยละ 0.50 เป็น ร้อยละ 0.62 ต่อปี เงินฝากประจำ 6 เดือน จากร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 0.65 ต่อปี เงินฝากประจำ 12 เดือน และ 24 เดือน จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 1.15 และ 1.20 ต่อปี ตามลำดับ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 36 เดือน 48 เดือน และ 60 เดือน ปรับขึ้นจากร้อยละ 1.10 เป็นร้อยละ 1.30 ต่อปี และลูกค้านิติบุคคล ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นจากร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 0.37 ต่อปี เงินฝากประจำ 6 เดือน จากร้อยละ 0.25 เป็น ร้อยละ 0.40 ต่อปี เงินฝากประจำ 12 เดือน จากร้อยละ 0.48 เป็นร้อยละ 0.63 ต่อปี เงินฝากประจำ 24 เดือน จากร้อยละ 0.48 เป็นร้อยละ 0.68 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย เงินฝากประจำ 36 เดือน 48 เดือน และ 60 เดือน ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.70 เป็น ร้อยละ 0.90 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ธ.ก.ส. ยังคงตรึง ทั้งอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันและนิติบุคคลชั้นดี (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ไว้ให้นานที่สุด เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้า สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านการเกษตร ให้มีกำลังในการฟื้นตัวจากผลกระทบ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ใกล้บ้านท่านทุกสาขา หรือ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'รองปลัดแรงงาน' ประชุมซักซ้อมการคัดกรองแรงงานบังคับและค้ามนุษย์ด้านแรงงานตามมาตรฐานปฏิบัติงาน (SOP) | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
'รองปลัดแรงงาน' ประชุมซักซ้อมการคัดกรองแรงงานบังคับและค้ามนุษย์ด้านแรงงานตามมาตรฐานปฏิบัติงาน (SOP)
'รองปลัดแรงงาน' ประชุมซักซ้อมการคัดกรองแรงงานบังคับและค้ามนุษย์ด้านแรงงานตามมาตรฐานปฏิบัติงาน (SOP)
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงานและโฆษกกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อซักซ้อมการคัดกรองแรงงานบังคับและค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ตามมาตรฐานปฏิบัติงานการตรวจคัดกรองเบื้องต้นและแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (SOP) และกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ณ ห้องประชุม เดอะกาลลา โฮเทล จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเป็นครั้งที่ 3 (ครั้งที่ 1 จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2 จังหวัดชลบุรี) เพื่อรวบรวมข้อมูล ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะสำหรับปรับปรุง sop ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติ และแบบคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงานและโฆษกกระทรวงแรงงาน และดูแลงานด้านการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานของกระทรวงแรงงาน และให้เน้นย้ำการป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอย่างเป็นรูปธรรมเนื่องด้วยเป็นนโยบายสำคัญ เพื่อมุ่งสู่ระดับ Tier 1 ซึ่งการประชุมในวันนี้มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชลบุรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์เข้าร่วม เป็นการดำเนินการจัดประชุมร่วมระหว่างภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย มูลนิธิ IJM สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (สล.ศปคร.) และ Government of the United States เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ปฏิบัติงานระดับพื้นที่ในการคัดกรองผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานตามแบบคัดกรองเบื้องต้น รบ.1 รวมถึงการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 (NRM) สอดคล้องกับ NRM และในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ โดยมีนางสาวสิริลักษณ์ วิริยะดี รองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดชลบุรี ร่วมบรรยายในประเด็นข้อบ่งชี้ หลักเกณฑ์การจำแนก แยกแยะ และคัดกรองเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานการบังคับใช้แรงงาน และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามข้อสั่งการของคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการค้ามนุษย์ ที่มี รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน สั่งการให้กระทรวงแรงงานนำ SOP ไปทดลองและปรับปรุงต่อไป
+++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
20 ธันวาคม 256
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62890 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ กรอบวงเงินลงทุน 1.35 ล้านล้านบาท ตั้งเป้า ติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
รัฐบาลเดินหน้าโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ กรอบวงเงินลงทุน 1.35 ล้านล้านบาท ตั้งเป้า ติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580
รัฐบาลเดินหน้าโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ กรอบวงเงินลงทุน 1.35 ล้านล้านบาท ตั้งเป้า ติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2565 เรื่อง ร่างแผนปฏิบัติการด้านโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ กรอบวงเงินลงทุน 1.35 ล้านล้านบาท ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
ร่างแผนปฏิบัติการนี้ มีวิสัยทัศน์ "เพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาค มาตรฐานเทียบเท่าสากลภายในปี 2570 และเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลกในปี 2580" โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์ธุรกิจและเมืองน่าอยู่อัจฉริยะต้นแบบ สำหรับการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะทั่วประเทศไทยในอนาคต ซึ่งดำเนินการด้วยพันธกิจ คือ 1)พัฒนาพื้นที่ศูนย์ธุรกิจศูนย์การเงิน 2)พัฒนาพื้นที่สำหรับศูนย์ราชการสำคัญ ศูนย์วิจัยและพัฒนา สถาบันการศึกษา 3)พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่สำหรับคนทุกกลุ่ม 4)เป็นศูนย์ธุรกิจและเมืองน่าอยู่อัจฉริยะนำร่องที่รัฐเป็นเจ้าของที่ดิน เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน และประชาชนเจ้าของพื้นที่มีส่วนร่วมในการลงทุน ส่วนการขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการ ดำเนินการภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ออกแบบวางแผนเชิงพื้นที่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าประสงค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างระบบเทคโนโลยีความน่าอยู่อัจฉริยะ ครบทั้ง 7 ด้าน คือ การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างสภาพแวดล้อมรองรับธุรกิจ เศรษฐกิจนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา ยุทธศาสตร์ที่ 5 สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และยุทธศาสตร์ที่ 6 สร้างธรรมาภิบาลมาตรฐานสากล ความร่วมมือระดับนานาชาติ
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ รวม 10 ปี โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2566 – 2570) พัฒนาพื้นที่ 5,795 ไร่ (ร้อยละ 40 ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาย่านศูนย์กลางธุรกิจและศูนย์กลางการเงิน ย่านสำนักงานภูมิภาค สถานที่ราชการ และที่อยู่อาศัย ระยะที่ 2 (พ.ศ.2571 – 2572) พัฒนาพื้นที่ 4,254 ไร่ (ร้อยละ 29 ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาส่วนต่อขยายย่านศูนย์ธุรกิจเฉพาะด้านศูนย์การแพทย์แม่นยำและการแพทย์เพื่ออนาคต ศูนย์การศึกษา ระยะที่ 3 (พ.ศ.2573 - 2575) พัฒนาพื้นที่ 4,570 ไร่ (ร้อยละ 31 ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาพื้นที่ผสมผสานเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยและกิจการเป้าหมายต่อเนื่องจนเต็มพื้นที่โครงการ
สำหรับกรอบวงเงินลงทุนประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี มีสัดส่วนการลงทุนมาจาก 3 แหล่ง คือ 1.เงินลงทุนโดยภาครัฐ ประมาณ 37,674 ล้านบาท (ร้อยละ 2.8) เช่น ค่าชดเชยที่ดิน ค่าดำเนินการปรับพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคส่วนกลาง 2.รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนหรือร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ประมาณ 131,119 ล้านบาท (ร้อยละ 9.7) เช่น ระบบดิจิทัล ระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ และระบบขนส่งสาธารณะในเมือง ระบบจัดการขยะ และ 3.ภาคเอกชน ประมาณ 1.18 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 87.5)
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการสร้างเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะของ EEC อาทิ 1.เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ สามารถรองรับประชากรประมาณ 350,000 คน ภายในปี 2575 รวมทั้งคนในพื้นที่เดิม 2.สร้างงานทางตรงไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2575 มีแรงงานทักษะสูง มีรายได้ที่สูงขึ้น และมีมูลค่าการจ้างงานกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีธุรกิจและบริการตามมาตรฐานสากล มีวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ประมาณ 150 -300 กิจการ 3.จากมูลค่าการลงทุนโดยรวมประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท จะสามารถช่วยกระตุ้นการขยายตัวของ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี และสร้างพลังทางเศรษฐกิจให้ประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 และ 4.สินทรัพย์ที่โอนกรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของรัฐ เมื่อสิ้นสุดสัญญา 50 ปี จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62884 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม พม. จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สร้างสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสให้แก่เด็ก ย้ำเด็กในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศไทย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกฯ ชื่นชม พม. จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สร้างสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสให้แก่เด็ก ย้ำเด็กในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี ชื่นชม พม. จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สร้างสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสให้แก่เด็ก ย้ำเด็กในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน นายเอกศักดิ์ โตสิงห์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นางวาสนา ทองสม หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยคณะนักดนตรีมูลนิธิบ้านพระพร เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดพิธีมอบป้ายของขวัญปีใหม่ “บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” และกิจกรรมบรรเลงดนตรีสากล “แซกโซโฟน” จากเด็กและเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการซ่อม เสริม สร้าง บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การสร้างสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสจะทำให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ เพราะเด็กในวันนี้จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศไทย ขอให้ พม. ดำเนินการช่วยเหลือตามแผนของโครงการอย่างเต็มที่ และขอแสดงความยินดีกับครอบครัวที่ได้รับบ้านหลังแรกของโครงการถือเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ โดยขอให้ทุกคนพบเจอกับความสุขในบ้านใหม่หลังนี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมการบรรเลงดนตรีสากล “แซกโซโฟน” บทเพลงพระราชนิพนธ์ Oh I Say (โอไอเซย์) และเพลง Love Story จากเด็กและเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมและยังสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก และเยาวชนคนอื่น ๆ ขอให้นำความสามารถนี้ไปพัฒนา ฝึกฝนเพื่อต่อยอดสร้างอาชีพ ชื่อเสียงให้ตนเองและประเทศชาติต่อไป
-----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62858 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ขยายเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 66 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
กยศ. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ขยายเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 66
กยศ. ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้เป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ผู้กู้ยืมถึงวันที่ 30 มิ.ย.2566 โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเหลือ 0.01% ต่อปี ลดเงินต้น 5% ลดเบี้ยปรับ 80-100% ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี พร้อมชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้เป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ผู้กู้ยืม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเหลือ 0.01% ต่อปี ลดเงินต้น 5% ลดเบี้ยปรับ 80-100% ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี พร้อมชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี ชะลอการบังคับคดี งดการขายทอดตลาด ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนด
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุน เพื่อเป็นการช่วยเหลือลดภาระหนี้สินและให้โอกาสผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ดังนี้
1. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิม 1% ต่อปี เป็น 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้
2. ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว
3. ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี ดังนี้
3.1 ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา
3.2 ผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ www.studentloan.or.th โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
4. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ)
5. ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
นอกจากนั้น กองทุนได้ชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันที่ผิดนัดชำระหนี้ จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2566 เป็นภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 เว้นแต่คดีที่ใกล้ขาดอายุความ ชะลอการบังคับคดีกับผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว เว้นแต่คดีที่ใกล้จะหมดระยะเวลาบังคับคดี (10 ปี) รวมถึงงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันที่ได้ดำเนินการยึดทรัพย์ไว้ และอยู่ระหว่างขั้นตอนการขายทอดตลาด ซึ่งต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาและผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th หรือตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62903 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมกำลังคนและเครื่องมือเครื่องจักร | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบทรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมกำลังคนและเครื่องมือเครื่องจักร
เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเต็มกำลัง ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องจากมีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ในส่วนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ ประกอบด้วย สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 4 (เพชรบุรี) สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 12 (สงขลา) สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 14 (กระบี่) และแขวงทางหลวงชนบทในสังกัดจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนติดตามเฝ้าระวังถนนในโครงข่ายทางหลวงชนบทอย่างใกล้ชิด ซึ่งนอกจากจะให้เตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ ป้ายเตือน หลักนำทาง สะพานเบลีย์ และยานพาหนะแล้ว ยังได้กำชับให้เฝ้าระวังในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดเหตุดินสไลด์บนถนนทางหลวงชนบท พร้อมเน้นย้ำให้จัดชุดลาดตระเวนสำรวจพื้นที่เสี่ยงเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเส้นทางและเข้าดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุ เป็นการอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับผู้ใช้เส้นทาง ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อาทิ แขวงทางหลวงชนบทนราธิวาส ซึ่งปัจจุบันในพื้นที่ยังมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีถนนทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ จำนวน 12 สายทาง ดังนี้
สามารถสัญจรผ่านได้ 3 สายทาง คือ
1. นธ.4023 แยก ทล.4056 - บ้านแบง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 4+000 - 4+200
2. นธ.4026 แยก ทล.4055 - บ้านยานิง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+300
3. นธ.2031 แยก ทล.42 - ถนนสาย ข ผังเมืองรวม เมืองสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 6+000 - 7+000
สายทางที่มีระดับน้ำท่วมสูง 30 - 80 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 9 สายทาง คือ
1. นธ.4001 แยก ทล.4056 - บ้านตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 4+400 - 5+600
2. นธ.4008 แยก ทล.4055 - บ้านป่าไผ่ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+600
3. นธ.4010 แยก ทล.4057 - บ้านบูเก๊ะตา อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม.ที่ 9+800 - 10+500 และ ช่วง กม. ที่ 11+300 - 12+000
4. นธ.4011 แยก ทล.4055 - บ้านบูเก๊ะซามี อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 5+000 - 6+000 และช่วง กม. ที่ 8+200 - 8+700
5. นธ.4016 แยก ทล.4066 - บ้านกาโด๊ะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 3+000 - 3+100
6. นธ.5027 แยก ทช.นธ.4013 - บ้านบาโงสะโต อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 29+600 - 29+700
7. นธ.2003 แยกทล.42 - บ้านมะนังตายอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 5+800 - 7+000
8. นธ.6038 บ้านโคกยาง - บ้านปลักปลา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ช่วง กม. ที่ 0+000 - 3+500
9. นธ.4013 แยก ทล.4060 - บ้านน้ำวน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส กม. ที่ 13+550 เนื่องจากคอสะพานชำรุด ปัจจุบันแขวงทางหลวงชนบทนราธิวาสได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องหมายจราจร ป้ายปิดสะพานและป้ายประชาสัมพันธ์ทางเลี่ยงเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางในพื้นที่ได้รับทราบแล้ว ตลอดจนได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวทางแก้ไขและซ่อมบำรุงอย่างเร่งด่วนภายหลังน้ำลดต่อไป
ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการแจ้งเหตุอุทกภัยหรือขอความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่แขวงทางหลวงชนบททุกจังหวัด หรือสายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62855 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เผยสายทางที่ได้รับผลกระทบ ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง 17 สายทาง พร้อมระดมเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท เผยสายทางที่ได้รับผลกระทบ ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง 17 สายทาง พร้อมระดมเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน
ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนเร่งด่วน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เนื่องจากมีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่งผลให้ในส่วนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มีถนนทางหลวงชนบทในพื้นที่จังหวัดพัทลุงได้รับผลกระทบจากอุทกภัยหลายเส้นทาง ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 14 (กระบี่) แขวงทางหลวงชนบทพัทลุง และหมวดบำรุงทางหลวงชนบทในสังกัด เร่งดำเนินการติดตั้งป้ายเตือน ป้ายจราจร พร้อมปักเสาขาวแดงเพื่อบอกแนวเขตทางบนถนนสายดังกล่าวในช่วงที่เกิดเหตุ รวมถึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนติดตามระดับน้ำในพื้นที่ที่มีน้ำท่วม และเฝ้าระวังสายทางในโครงข่ายทางหลวงชนบทสายทางอื่นควบคู่กันไปด้วย ตลอดจนให้เตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ สะพานเบลีย์ ยานพาหนะ ในการรับส่งผู้ประสบภัยในกรณีน้ำท่วมสูงในสายทาง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนได้ทันที ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ขณะนี้มีถนนทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบ จำนวน 17 สายทาง ดังนี้
สามารถสัญจรผ่านได้ 13 สายทาง ได้แก่
1. ถนนสาย พท.1021 แยก ทล.4 - บ้านทุ่งนาชี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
2. ถนนสาย พท.2013 แยก ทล.4 - บ้านใหม่ อำเภอเมืองและควนขนุน จังหวัดพัทลุง
3. ถนนสาย พท.4009 แยก ทล.4048 - บ้านท่าสำเภาใต้ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
4. ถนนสาย พท.5050 ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อำเภอควนขนุน และระโนด จังหวัดพัทลุง
5. ถนนสาย พท.4019 แยก ทล.4048 บ้านแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
6. ถนนสาย พท.4004 แยก ทล.4081 - บ้านฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
7. ถนนสาย พท.4046 แยก ทล.4049 - บ้านควนพระ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
8. ถนนสาย พท.4033 แยก ทล.4138 - บ้านเพ็งอาด อำเภอบางแก้วและปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
9. ถนนสาย พท.4032 แยก ทล.4081 - บ้านควนโก อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง
10. ถนนสาย พท.1023 แยก ทล.4 - บ้านหารเทา อำเภอป่าบอนและปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
11. ถนนสาย พท.1015 แยก ทล.4 - บ้านศาลาเม็ง อำเภอเขาชัยสนและกงหรา จังหวัดพัทลุง
12. ถนนสาย พท.5051 แยก ทล. 4026 - บ้านเกาะยวน อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
13. ถนนสาย พท.4003 แยก ทล. 4050 - บ้านจงเก อำเภอเมืองและเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง
ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูง 30 - 150 เซนติเมตร จำนวน 4 สายทาง ได้แก่
1. ถนนสาย พท.1002 แยก ทล.4 - บ้านคู อำเภอเมืองและกงหรา จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 2+300 - 3+200 ช่วง กม. ที่ 4+800 - 6+500 และช่วง กม. ที่ 11+600 - 12+600
2. ถนนสาย พท.1014 แยก ทล.4 - บ้านควนอินนอโม อำเภอเขาชัยสนและตะโหมด จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 0+000 - 3+000
3. ถนนสาย พท.1017 แยก ทล.4 บ้านเขาชัยสน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 0+000 - 6+000
4. ถนนสาย พท.1042 แยก ทล.4 - บ้านถ้ำน้ำเย็น อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ช่วง กม. ที่ 10+700 - 11+244
อย่างไรก็ตาม ทช. จะติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง และจะรายงานให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนโปรดระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนเป็นพิเศษ และโปรดสังเกตป้ายเตือน โดยสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยได้ที่แขวงทางหลวงชนบททั่วประเทศหรือติดต่อสายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62886 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. ประชุมคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร อนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานโครงการก่อนการเบิกจ่ายโครงการเสริมสภาพคล่องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล ปี 2565 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
รองปลัด กษ. ประชุมคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร อนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานโครงการก่อนการเบิกจ่ายโครงการเสริมสภาพคล่องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล ปี 2565
รองปลัด กษ. ประชุมคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร อนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานโครงการก่อนการเบิกจ่ายโครงการเสริมสภาพคล่องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล ปี 2565 ระยะที่ 1 ของกรมประมง และอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพ
นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ 8/2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการประชุมทางไกลออนไลน์ (Zoom Meeting) โดยมีผู้แทนเกษตรกรที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร เข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมมีมติอนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานโครงการก่อนการเบิกจ่ายโครงการเสริมสภาพคล่องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล ปี 2565 ระยะที่ 1 ของกรมประมง
นอกจากนี้ ยังอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อดำเนินโครงการ ได้แก่
1) โครงการโคบาลชายแดนใต้ของกรมปศุสัตว์ วงเงิน 1,566,200,000 บาท
2) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงโคบ้านสาวอฮูลู ตำบลสาวอ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส วงเงิน 3,611,300 บาท
3) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงโคบ้านปายอ ตำบลกะตุนง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,128,500 บาท
4) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงโคบ้านมือลอ ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 2,765,900 บาท
5) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรเลี้ยงโคบารอกัต ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 4,947,700 บาท
6) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคคอกวัวสามัคคี ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,590,500 บาท
7) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงโครวมพลังสามัคคี ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,790,500 บาท
8) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรชมรมเลี้ยงโคโลทู ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 4,997,600 บาท
9) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโค ปลองอร่วมใจ ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,146,600 บาท
10) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคบ้านมอแซงพัฒนา ตำบลปล่องหอย อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,977,600 บาท
11) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคสัจจะ ตำบลตะโละดือรามัน อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 4,962,000 บาท
12) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านกอลี ตำบลตะโละดือรามัน อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 4,921,600 บาท
13) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคบ้านโตะแน ตำบลตะโละดือรามัน อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 1,811,600 บาท
14) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนเพื่อศึกษาพันธุ์หอยบ้านตันหยงลุโละ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี วงเงิน 4,547,700 บาท
15) โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคของวิสาหกิจชุมชนปลาสดปลอดสารพิษ ตำบลบ้านกลาง อำเภอปานาเระ จังหวัดปัตตานี วงเงิน 3,950,500 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62899 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 “มีบ้านอยู่ดี-มีงานสร้างเงิน-มีรายได้ดูแลครอบครัว” จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม. เห็นชอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 “มีบ้านอยู่ดี-มีงานสร้างเงิน-มีรายได้ดูแลครอบครัว” จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ครม. เห็นชอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 “มีบ้านอยู่ดี-มีงานสร้างเงิน-มีรายได้ดูแลครอบครัว” จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธันวาคม 2565 มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอเพื่อให้ประชาชนมีบ้านอยู่อาศัยที่อบอุ่นและมีรายได้จากการสร้างอาชีพ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ซ่อมบ้าน สร้างสุข จำนวน 50,000 หลัง ให้บ้านของเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวผู้มีรายได้น้อยมีความมั่นคงปลอดภัย มีมาตรฐาน มีสภาพแวดล้อมและระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม ตามหลักการการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาสังคม โดยบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในการดำเนินการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
2. บ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย 15,000 หน่วย โดยแบ่งออกเป็นโครงการบ้านเช่า 1,500 บาทต่อเดือน (50 บาทต่อวัน) จำนวน 5,000 หน่วยของการเคหะแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี สังคมที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และโครงการบ้านเช่าซื้อ จำนวน 10,000 หน่วย ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เข้าถึงแหล่งเงินเพื่อที่อยู่อาศัยได้อย่างเสมอภาค
3. สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน 15,300 คน โดยแบ่งออกเป็น 3 โครงการ คือ
3.1.สร้างผู้ดูแลเด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบางติดเตียง (Care Giver) จำนวน 10,000 คน โดยการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะในการดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบางติดเตียง ให้แก่กลุ่มเป้าหมายใน 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรพื้นฐาน (18 ชั่วโมง) หลักสูตรระยะกลาง (70 ชั่วโมง) และหลักสูตรระยะยาว (420 ชั่วโมง) ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในกลุ่ม 10,000 คนนี้นอกจากจะมีอาชีพและรายได้แล้วยังสามารถสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับกลุ่มเปราะบางที่ดูแลด้วย
3.2.สร้างอาชีพธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยว กลุ่มเปราะบาง และผู้ว่างงาน จำนวน 5,000 คน โดยการส่งเสริมและพัฒนาทักษะอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในธุรกิจการท่องเที่ยว สถาบันเสริมความงาม ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม และร้านสปา พร้อมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้โดยส่งเสริมทักษะที่ครบวงจรในการประกอบอาชีพเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
3.3.สร้างนักขายมือทอง จำนวน 300 คน โดยพัฒนาทักษะด้านการขายไปสู่การเป็นนักขายมืออาชีพให้แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ว่างงานที่สนใจได้เข้าร่วมแนะนำโครงการคหะแห่งชาติทั่วประเทศ โดยได้รับค่าตอบแทนเหมาะสม เพื่อส่งเสริมให้ประชานมีรายได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา กำชับเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือประชาชน | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา กำชับเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือประชาชน
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา กำชับเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือประชาชน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 16.00 น. ณ วัดเขาตกน้ำ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พบปะเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ในจังหวัดสงขลา โดยนางสาววิไลลักษณ์ เรืองผล นายอำเภอรัตภูมิ ได้รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ อ.รัตภูมิ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมในพื้นที่มี 5 ตำบล 63 หมู่บ้านมีประชาชนได้รับความเดือดร้อน จำนวน 5,445 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหาย จำนวน 1,080 ไร่ ทั้งนี้ได้มีการบูรณาการหน่วยงานทั้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จิตอาสา เร่งเข้าคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพ ได้การจัดตั้งโรงครัวพระราชทานประกอบเลี้ยงผู้ประสบภัย การแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมทั้งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนกำลังจากกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 5 ค่ายเสนาณรงค์ จัดกำลังพลและรถบรรทุกเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำไหลบริเวณหน้าวัดเขาตกน้ำ พร้อมกล่าวพบปะทักทายให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นทุกพื้นที่ ทั้งนี้ ได้ติดตามการรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนทุกพื้นที่โดยเร็วที่สุด รัฐบาลมีแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่จะเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยจะดูแลจัดสรรโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการร่วมกัน รวมทั้งเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะบริเวณจุดที่มีความเสียหายที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซากจะต้องแก้ไขปัญหาทันที
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประชาชนคนไทยทุกคนต้องมีความสามัคคี รักกัน ไม่แบ่งแยก มีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน รัฐบาลพยายามทำงานอย่างเต็มที่ ย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและจะทำเพื่อประชาชนคนไทยทุกคน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนร่วมกันสวดมนต์ขอให้ พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุข จุดแจกข้าวให้กับประชาชน และโรงครัวพระราชทาน ก่อนเดินทางไปให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย ณ ศูนย์อพยพเทศบาลตำบลควนเนียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา ซึ่งที่ศูนย์อพยพเทศบาลตำบลควนเนียง นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนว่า วันนี้ได้นำคณะรัฐมนตรีมาเยี่ยมประชาชนด้วยความคิดถึงและห่วงใย ถึงแม้ตนไม่ใช่คนใต้ แต่คนใต้น่ารัก เราจะไม่แบ่งแยกกัน ไม่สร้างความขัดแย้ง มีความรัก ความสามัคคี สิ่งเดียวที่มีให้กัน พร้อมรับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ถึงแม้ว่าใครไม่ชอบนายกฯ ก็ตาม แต่นายกฯ รักทุกคน ไม่ว่าภาคไหน เราคือคนไทยด้วยกัน มีรอยยิ้ม มี soft power พลังแห่งรอยยิ้มของคนไทย วันนี้มาให้กำลังใจคนใต้ รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในทุกจังหวัด พร้อมทั้งได้รับทราบรายงานถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งขณะนี้ยังมีฝนตกหนักในทุกพื้นที่ โดยรัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาและเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนต้องมีการปรับตัวให้ทัน รองรับกับความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์โลกเพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่ศตวรรษใหม่ พร้อมฝากความหวังอนาคตของลูกหลานไทยขอให้มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงสถาบันครอบครัวที่ต้องรักกัน
ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต่างขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและเยี่ยมเยียนให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ด้วยความห่วงใย โดยประชาชนก็พร้อมสนับสนุนและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนว่า “รักจริงก็อย่าทิ้งนายกฯ ก็แล้วกัน” ซึ่งประชาชนต่างส่งเสียงร้องบอกว่า “ไม่ทิ้งนายกฯ หรอก” โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณประชาชนทุกคน และย้ำให้ประชาชนดูแลตนเองให้ปลอดภัย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมประกอบอาหารพร้อมรับประทานเมนูผัดกะเพราไก่และไข่เจียวสำหรับมอบให้กับผู้ประสบอุทกภัยในศูนย์อพยพเทศบาลตำบลควนเนียงด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62911 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรฯ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรฯ
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 07.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมีคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เข้าร่วมพิธีตามลำดับพิธี ดังนี้
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงตึกภักดีบดินทร์ พระสงฆ์ จำนวน 10 รูปขึ้นนั่งอาสนะสงฆ์ นายกรัฐมนตรีจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายธูปเทียนแพ หน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตรพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์สวดอนุโมทนา นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำรับพร กราบลาพระรัตนตรัย ถวายความเคารพหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสร็จพิธี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” หารือร่วมฝ่ายยุติธรรม เข้มบังคับใช้ประกาศ “ช่อดอกกัญชา” ลดข้อกังวลผู้ปฏิบัติงาน | วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565
“สาธิต” หารือร่วมฝ่ายยุติธรรม เข้มบังคับใช้ประกาศ “ช่อดอกกัญชา” ลดข้อกังวลผู้ปฏิบัติงาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมกรมการแพทย์แผนไทยฯ อย. กรมอนามัย หารือร่วมกับกระบวนการยุติธรรม ทั้ง ตร. อัยการ กรมการปกครอง ทำความเข้าใจประกาศสมุนไพรควบคุม “ช่อดอกกัญชา” และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ป้อ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมกรมการแพทย์แผนไทยฯ อย. กรมอนามัย หารือร่วมกับกระบวนการยุติธรรม ทั้ง ตร. อัยการ กรมการปกครอง ทำความเข้าใจประกาศสมุนไพรควบคุม “ช่อดอกกัญชา” และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ป้องกันการนำกัญชามาใช้ในทางที่ผิดลดข้อกังวลผู้ปฏิบัติหน้างาน
วันนี้ (19ธันวาคม2565)ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมหารือนโยบายและแนวทางสร้างความเข้าใจการบังคับใช้กฎหมายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565ร่วมกับ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย นายณัฐพงศ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (รอง ผบช.ปส.) ผู้แทนจาก อย. และกรมวิชาการเกษตร
ดร.สาธิตกล่าวว่า ได้เชิญหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมมาหารือเพื่อกระชับประกาศเกี่ยวกับ “กัญชา” โดยหลักคือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565ที่กำหนดเฉพาะส่วนของช่อดอกกัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม ออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542โดยเฉพาะกรณีการศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปช่อดอกกัญชาเพื่อการค้า ต้องขอรับใบอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเงื่อนไขให้ต้องจัดทำข้อมูลแหล่งที่มา การนำไปใช้ ห้ามจำหน่ายให้เด็กอายุน้อยกว่า20ปี สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร นักเรียน นิสิตนักศึกษา ห้ามจำหน่ายเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ ห้ามจำหน่ายผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติหรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ห้ามโฆษณาในทุกช่องทาง ห้ามจำหน่ายในศาสนสถาน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์และสวนสนุก หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต ครั้งละไม่เกิน90วัน หากยังฝ่าฝืนประกอบกิจการต่อไป ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรง จะมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต หากไม่ขออนุญาตมีโทษจำคุกไม่เกิน1ปี หรือปรับไม่เกิน2หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ที่ผ่านมา ยังมีข้อกังวลและเป็นห่วงผู้ปฏิบัติหน้างาน ซึ่งได้หารือกับอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ แล้วว่าต้องดำเนินการให้เป็นตัวอย่าง จึงมีการร่วมมือกับ ผอ.เขตใน กทม. และสน.ในพื้นที่ ตรวจสอบ จับกุมผู้ประกอบการนำไปสู่การฟ้องศาลแขวงและมีคำพิพากษาแล้ว นอกจากนี้ ยังหารือถึงกรณีผู้ต้องหาไม่รับสารภาพว่าเป็นช่อดอกหรือไม่ ซึ่งต้องหาทางออกเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมั่นใจว่าจะไม่ถูกฟ้องกลับ โดยรองอธิบดีอัยการแนะนำว่าต้องเข้ากระบวนการพิสูจน์ให้ทราบ หากตรวจสอบพบหลักฐานเพียงพอว่าเป็นช่อดอกกัญชา มีพยานหลักฐานแวดล้อมฟ้องได้ อัยการจะดำเนินการฟ้องศาลต่อไป” ดร.สาธิตกล่าว
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ส่วนผู้ปฏิบัติมีข้อเสนอให้ทำความชัดเจนข้อปฏิบัติในแง่ข้อกฎหมาย อัตราโทษ และวิธีปฏิบัติ ซึ่งจะมีการดำเนินการไปสู่ระดับจังหวัด เพื่อให้เข้าใจและปฏิบัติได้ชัดเจนมากขึ้น ส่วนต้องออกประกาศเพิ่มเติมหรือไม่ ได้มอบหมายรองอธิบดีกรมอนามัยพิจารณาเรื่องประกาศกลิ่นควันเป็นเหตุรำคาญ ว่าจะลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้หรือไม่หากมีการสูบในที่สาธารณะ เพราะต้องมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ระงับเหตุก่อน หากฝ่าฝืนจึงจะมีการเปรียบเทียบปรับ อย่างไรก็ตาม ต้องดูฐานอำนาจของ พ.ร.บ.การสาธารณสุขด้วย ทั้งนี้ จะเร่งใช้ทุกประกาศที่มีในการจัดการควบคุมให้การใช้ช่อดอกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่แพร่หลายไปสู่กลุ่มคนและสถานที่ที่คิดว่าเสี่ยงจะมีผลกระทบในเชิงสังคม เพื่อควบคุมป้องกันการใช้กัญชาในทางที่ผิดในช่วงที่ยังไม่มีร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงออกมา
ด้าน นพ.ธงชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สื่อสารกับสถานีตำรวจท้องที่ให้ทราบแนวทางการปฏิบัติ กรณีจับกุมและดำเนินคดีตามประกาศฯ ว่า การจับกุมต้องมีพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาฯ เป็นผู้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุม ซึ่งจากการลงพื้นที่ร่วมกับสถานีตำรวจชนะสงครามและทองหล่อ มีการจับกุมเอาผิด10ราย ดำเนินคดีส่งฟ้องศาลและตัดสินแล้วทั้ง10ราย แบ่งเป็น สน.ชนะสงคราม กรณีถนนข้าวสาร4ราย ศาลตัดสินสั่งปรับ5พันบาท และ สน.ทองหล่อ6ราย ศาลตัดสินจำคุก2เดือน รอลงอาญา2ปี และปรับ5พันบาท
ส่วน2ราย ย่านถนนข้าวสารเป็นเรื่องไม่ปฏิบัติตามเงือนไขใบอนุญาต ข้อ3(5)เนื่องจากจัดให้มีการสูบในสถานที่ประกอบการ ผู้อนุญาตอยู่ระหว่างดำเนินการออกคำสั่งทางปกครองพักใช้ใบอนุญาต ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบติดตามในพื้นที่ต่างจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ที่ระหว่างนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ใบอนุญาต
**************************************** 19ธันวาคม2565
*********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ
ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธันวาคม 2565 มีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีความคืบหน้าสรุปรายละเอียดได้ดังนี้
โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ได้ย้ายพื้นที่ก่อสร้างโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ไปยังที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ เขตวังทองหลาง เนื้อที่ 79 ไร่ 2 งาน 60.9 ตารางวา ซึ่งมีขนาดพื้นที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม ดังนั้นจึงจะขยายขนาดอาคารเป็น 25,000 ตารางเมตรและปรับปรุงแนวคิดในการออกแบบให้รองรับการสื่อความหมายในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และคุณค่าของทรัพยากรป่าไม้ และยังมีการขยายขนาดสัดส่วนความสูงเพื่อให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ ประโยชน์ใช้สอย และความงาม เนื่องจากสถานที่ตั้งอาคารแห่งใหม่มีสภาพภูมิทัศน์โดยรอบแตกต่างจากพื้นที่เดิม ซึ่งระยะเวลาก่อสร้างและตกแต่งตามแบบของกรมศิลปากร รวม 5 ปี
สำหรับโครงการจัดสร้างหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือ หอประชุมอเนกประสงค์ฯ จะเป็นอาคารสูง 3 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ประกอบด้วย สำนักงานห้องแถลงข่าว โถงพักคอย ห้องจัดเลี้ยง และห้องประชุมขนาดใหญ่ โดยมีผลการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 91.24 ช้ากว่าแผนร้อยละ 6.16 และในส่วนของอาคารกรมสวัสดิการทหารบกที่เป็นอาคารสำนักงานสูง 7 ชั้นพร้อมที่จอดรถมีหลังคา 33 คัน โรงอาหารจุคนได้ 250 คน มีผลการก่อสร้างดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญา
น.ส.ทิพานัน กล่าว สำหรับพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินแห่งนี้นั้น รัฐบาลตั้งใจจัดสร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงสมบัติของชาติ แสดงองค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าของประเทศไทย ให้ประชาชนเกิดความรัก หวงแหนในทรัพยากรป่าไม้ เกิดจิตสำนึกร่วมกันในการพิทักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ในการจัดแสดงงานศิลปะ ด้านประติมากรรม จิตรกรรม งานฝีมือต่างๆ ของช่างไทย จะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยที่สร้างโดยคนไทยเอง มีความยิ่งใหญ่อลังการ ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้ไม้มีค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62876 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62864 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ผ่านมิติศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน เชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกฯ ร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ผ่านมิติศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน เชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์
นายกฯ ร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ผ่านมิติศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน เชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2566 เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อตนเอง ครอบครัว ประเทศ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรมและโครงการในมิติศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน มุ่งเน้นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต ฟื้นฟูจิตใจและสร้างขวัญกำลังใจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งนำทุนทางวัฒนธรรมมาส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและในภาพรวมของประเทศ
นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 ให้แก่ประชาชน โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนำเยี่ยมชมกิจกรรมและภาพรวมโครงการของกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย (1) การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 (2) การจัดกิจกรรมไหว้สักการะพระพุทธปฏิมา ณ วังหน้ามงคลพุทธคุณ และเปิดแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ (3) การเขียนและส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) อวยพรปีใหม่ 2566 (4) การชมชุดของขวัญผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย CPOT ประเภทผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสุขภาพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบสักการะพระพุทธรูปปางถวายเนตร (พระพุทธรูปประจำวันอาทิตย์) ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24 (200 ปีมาแล้ว) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 มงคลพุทธคุณเทศกาลปีใหม่ 2566 และชมการเขียนและส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) อวยพรปีใหม่ 2566
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกคนร่วมกันสวดมนต์เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2566 เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ประเทศชาติ พร้อมอวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จทุกประการ และขอให้น้อมนำหลักธรรมทางศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง พร้อมย้ำว่าการสวดมนต์และการทำกิจกรรมทางศาสนาเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่เป็นประเพณีที่กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต้องขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันดำเนินโครงการดังกล่าวต่อเนื่องทุกปี และมีการพัฒนากิจกรรมให้สอดคล้องกับบริบทสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและทันสมัย โดยปีนี้ได้มีการจัดให้สวดมนต์ข้ามปีผ่านออนไลน์ได้ด้วยซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับพุทธศาสนิกชนในการที่จะมาร่วมสวดมนต์ข้ามปี จึงฝากให้พุทธศาสนิกชนทุกคนและผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทยได้ร่วมกันสวดมนต์และทำกิจกรรมทางศาสนาของแต่ละศาสนา เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตของตนเอง ครอบครัว และอุทิศเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น รวมไปถึงร่วมกันรักษาปกป้องสถาบันหลักของชาติ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนาน และด้วยกุศลผลบุญและการกระทำความดีงามต่าง ๆ ที่ทุกคนร่วมกันทำก็จะสะท้อนผลกลับมาสู่ทุกคนและครอบครัวร้อยเท่าพันทวีเช่นกันด้วย
สำหรับกิจกรรม “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชนนั้นเป็นการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อสืบสาน รักษาและต่อยอดอย่างยั่งยืน และส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม สร้างจิตสำนึก ค่านิยมและวิถีชีวิตที่ดีงามในสังคมไทยผ่านกิจกรรม โครงการ สื่อต่าง ๆ ไปสู่ประชาชน มุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG และผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทย เช่น งานฝีมือและหัตถกรรม ศิลปะการแสดง อาหารไทย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดังนั้น จึงได้จัดทำปฏิทินโครงการของ วธ. เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ภายใต้ชื่อโครงการ “ส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566” อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ชวนทำ E-card อวยพรปีใหม่ 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.m-culture.go.th และ Facebook กระทรวงวัฒนธรรม จัดจำหน่ายชุดของขวัญผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT ประเภทผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสุขภาพ ณ ร้านค้าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : CPOT และการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วัดพระธาตุนาดูน จังหวัดมหาสารคาม สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งความสุขแก่ประชาชน
ด้านกรมการศาสนา จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 ทั้งในส่วนกลางส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดทั่วประเทศ ตลอดจนวัดไทยในต่างประเทศและวัดต่าง ๆ ทั่วโลก และกิจกรรมตักบาตรต้อนรับปีใหม่ 2566 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ 4 ภาค ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ณ บ้านศิลปินหรือหอศิลป์แหล่งเรียนรู้แต่ละภาค กรมศิลปากร จัดนิทรรศการ ส.ค.ส./ปฏิทินไทย และการเสวนาทางวิชาการ ณ หอสมุดแห่งชาติ จัดการแสดงดนตรีสำหรับประชาชน ณ สังคีตศาลา เปิดอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง ให้เข้าชมฟรี 31 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 รณรงค์ให้หนังสือเป็นของขวัญปีใหม่ : “ปีใหม่ ให้หนังสือ” ในราคาพิเศษ เปิด Night at the museum อีกทั้งชวนร่วมกิจกรรมสักการะพระพุทธปฏิมา ณ วังหน้ามงคลพุทธคุณ
นอกจากนี้ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ชวนทำ E-card อวยพรปีใหม่ 2566 ผ่านทาง www.ocac.go.th เรียนรู้ดูหอศิลป์ ในงาน “Christmas in Library” เปิดหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ชมผลงานศิลปะ และเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ภาพวาดสีน้ำ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ชวนชมการแสดงผลงานทัศนศิลป์ศิษย์เก่า วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี การแสดง “รื่นเริงสุขสันต์ รับขวัญปีใหม่ 2566” จากลพบุรี และงาน Amazing Night Sukhothai Countdown 2023 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ศูนย์คุณธรรม ผลิตสื่อ Moral Game “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” ให้ประชาชนร่วมสนุกด้วยการตอบคำถามหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราวความดีในช่วงวันปีใหม่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผลิตสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน “สัมมาทิฏฐิ ทะลุมิติมายา” เพื่อเผยแพร่สื่อคุณธรรมที่ดีและสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชัน สนุกสนาน เข้าใจง่าย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ชวนฟัง “ดนตรีในสวน” ต้อนรับลมหนาว บริเวณลานละลาน จากคณะดุริยางค์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมสนุกกิจกรรมแจกหนังสือที่ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หอภาพยนตร์ จัดงานมายาไนท์ ครั้งที่ 3 เปิดเมืองมายาในยามค่ำคืนประดับไฟ ให้ผู้สนใจมารับลมหนาวเที่ยวเล่นถ่ายรูปในเมืองจำลองประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ จัดฉายภาพยนตร์ โปรแกรม “หม่อมน้อยรำลึก” 7 เรื่อง ปิดท้ายสิ้นปี ด้วยการฉายภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของวาระชีวิตของหม่อมหลวงพันธุ์นพ เทวกุล เรื่อง “มายาพิศวง” ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
---------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยรับมอบปัจจัย 1,000,000 บาท โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์และคณะสงฆ์วัดพระเชตุพน เพื่อสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทยรับมอบปัจจัย 1,000,000 บาท โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์และคณะสงฆ์วัดพระเชตุพน เพื่อสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย
ปลัดกระทรวงมหาดไทยรับมอบปัจจัย 1,000,000 บาท โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์และคณะสงฆ์วัดพระเชตุพน เพื่อสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย
วันนี้ (20 ธ.ค. 65) เวลา 11.00 น. ณ กุฏิคณะ ต. 34 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนสุนทร (วินัย ธมฺมานนฺโท ป.ธ.5) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นผู้แทนเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร มอบปัจจัย จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำไปสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย โดยมี นายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายอาระยะ วงศ์อุดม ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมรับมอบ
พระราชรัตนสุนทร กล่าวว่า เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ดำริว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้พระราชทานกำเนิดโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เพื่อเป็นทุนการศึกษาสำหรับพระสงฆ์และสามเณรในการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและหลักธรรมคำสอนแห่งพระธรรมเพื่อเผยแผ่ให้แก่พุทธบริษัททั้งปวง อันเป็นการธำรงพระพุทธศาสนาให้เป็นสรณะที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน สืบทอดพระบรมเจตนาพุทธานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้มอบหมายให้ดำเนินการจัดตั้งกล่องเพื่อรับบริจาคปัจจัยสำหรับสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ในบริเวณพระอุโบสถ พระวิหาร รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เพื่อให้ญาติโยมที่มาประกอบศาสนกิจ มาทำบุญ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสมทบกองทุนฯ ดังกล่าว และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ทางวัดจึงได้ทำการเปิดตู้และรวบรวมปัจจัย ซึ่งในครั้งนี้ มียอดปัจจัยที่ได้รับบริจาคเป็นเงิน 1,000,000 บาท จึงขอมอบให้กับท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำไปสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ตามวัตถุประสงค์และเจตนาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และคณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และท่านเจ้าคุณพระราชรัตนสุนทร รวมถึงพระเถรานุเถระ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ทุกรูป ที่เมตตาให้กระทรวงมหาดไทย ได้เป็นธุระในการรับมอบปัจจัยเพื่อสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เป็นจำนวน 1,000,000 บาท ในวันนี้ ซึ่งโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 พร้อมพระราชทานทุนปฐมฤกษ์ส่วนพระองค์เป็นทุนแรกเริ่ม เพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย พระปริยัติธรรมให้ลึกซึ้งแตกฉาน มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาขั้นสูงจากสถาบันพุทธศาสนาในประเทศ และนำไปเผยแผ่เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจและความคิดในการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชน โดยผู้รับทุนจะต้องเป็นพระภิกษุ หรือสามเณรที่มีสัญชาติไทยมีศีลาจารวัตรที่งดงามตามพระธรรมวินัย มีความประพฤติเรียบร้อย มีวิริยะอุตสาหะในการศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จหลักสูตร และมีจิตอาสา โดยต้องผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการฯ และของสถานศึกษาที่ศึกษาอยู่ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1. ทุนศึกษาบาลีชั้นสูง (แบบต่อเนื่อง) เปรียญธรรม 6 - 9 ประโยค 2. ทุนระดับอุดมศึกษา (แบบต่อเนื่อง) ด้านพุทธศาสตร์ ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก 3. ทุนหลักสูตรอบรมพระนักเทศน์ 4. ทุนหลักสูตรอบรมพระวิปัสสนาจารย์ และ 5. ทุนหลักสูตรอบรมพระธรรมจาริก
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับพี่น้องประชาชนผู้มีจิตศรัทธาและมีความประสงค์ที่จะร่วมสมทบทุนบริจาคเงินในโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย สามารถร่วมสมทบผ่านธนาณัติ ตั๋วแลกเงินธนาคาร เช็คขีดคร่อม ตามที่อยู่ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ทำเนียบองคมนตรี ถนนสราญรมย์ เขตพระนคร กทม. 10200 หรือ โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย" ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน สาขาพระบรมมหาราชวัง หมายเลขบัญชี 061-2-06592-5 โดยสามารถส่งหลักฐานการโอนเงิน ทางโทรสารหมายเลข 0-2220-7403 หรือทาง Facebook Fanpage โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย E-mail. [emailprotected] และทางไลน์ไอดี kstm565 โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2220-7400 ต่อ 4121, 4217, 4345 และ 4358
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62867 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เริ่ม 7 ธ.ค. 65 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เริ่ม 7 ธ.ค. 65
กรมบัญชีกลางยกระดับการให้บริการด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลโดยนำเทคโนโลยี Mobile Application มาเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล โดยได้ดำเนินโครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานพยาบาลของทางราชการหลายแห่งได้พัฒนาระบบบริการของสถานพยาบาลโดยนำแอปพลิเคชัน (Application) มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ เพิ่มมากขึ้น กรมบัญชีกลางเห็นถึงความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการให้บริการของระบบเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลข้าราชการประเภทผู้ป่วยนอก จึงได้พัฒนาระบบเบิกจ่ายตรงให้สามารถทำธุรกรรมเบิกจ่ายตรงผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ลดการรอคิวในการทำธุรกรรม ณ จุดชำระเงินของสถานพยาบาล โดยจะดำเนินการเป็นโครงการนำร่องกับสถานพยาบาลของทางราชการ จำนวน 21 แห่ง ซึ่งขณะนี้มีสถานพยาบาลที่พร้อมให้บริการ จำนวน 6 แห่ง คือ 1. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 2. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 3. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ 4. โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ 5. โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ 6. โรงพยาบาลสระบุรี โดยกรมบัญชีกลางจะเร่งขยายผลให้ครอบคลุมสถานพยาบาลทั่วประเทศต่อไป
“กรมบัญชีกลางยกระดับการให้บริการด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลโดยนำเทคโนโลยี Mobile Application มาเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล โดยได้ดำเนินโครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ผ่านกระเป๋าสุขภาพ ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างกรมบัญชีกลางกับธนาคารกรุงไทย นอกจากนี้กรมบัญชีกลางยังมีแผนที่จะพัฒนาต่อยอดการดำเนินการ โดยขยายขอบเขตการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงผ่านแอปพลิเคชัน ให้ครอบคลุมไปถึงการให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยทางไกล หรือ Telemedicine รองรับกับแนวโน้มการให้บริการทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อมุ่งสู่องค์กรดิจิทัลและการให้บริการที่เป็นเลิศและยกระดับการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้มีความทันสมัยและมีการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในทางระบบสารสนเทศ หากประสงค์จะเข้าเป็นสถานพยาบาลนำร่องเพิ่มเติม จะต้องดำเนินการขออนุญาตกับกรมบัญชีกลางเป็นรายกรณีก่อนเริ่มดำเนินการ โดยผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลนำร่องและดาวน์โหลดข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th หัวข้อ รักษาพยาบาล/ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ เพื่อให้การเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกผ่านแอปพลิเคชันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมบัญชีกลางได้กำหนดแนวปฏิบัติการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกผ่านแอปพลิเคชันสำหรับการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาล (Onsite) เพื่อให้ผู้มีสิทธิและสถานพยาบาลถือปฏิบัติ รายละเอียดตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4/ว 1465 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้ กฟผ.ยุติโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ เผยไม่กระทบความมั่นคงทางไฟฟ้าภาคตะวันตกที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม. เห็นชอบให้ กฟผ.ยุติโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ เผยไม่กระทบความมั่นคงทางไฟฟ้าภาคตะวันตกที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง
ครม. เห็นชอบให้ กฟผ.ยุติโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ เผยไม่กระทบความมั่นคงทางไฟฟ้าภาคตะวันตกที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และมีแผนพัฒนาไฟฟ้าหมุนเวียนอื่นทดแทน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธ.ค. 2565 ได้เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ ซึ่งตามโครงการฯ จะมีการก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อจ่ายไฟใช้ในภาคตะวันตก มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 2x9 เมกะวัตต์ (รวม 18 เมกะวัตต์)
ทั้งนี้ โครงการการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ เคยได้รับการอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2559 มีวงเงินลงทุนตามโครงการ 3,542 ล้านบาท โดยโครงการฯ ได้รับการบรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-79 (แผน PDP2015) มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2562 และต่อมาได้รับการบรรจุในแผน PDP ปี 2561-80 หรือ แผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2566
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า คณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติให้ กฟผ.ยุติการดำเนินโครงการฯ และนำเสนอกระทรวงพลังงานเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอน เนื่องด้วยที่ผ่านมา กฟผ. มีอุปสรรคเกี่ยวกับการดำเนินการจัดหาที่ดินสำหรับดำเนินโครงการฯ ซึ่งตามแผนจะตั้งอยู่บนลำน้ำแควน้อย บริเวณตอนล่างของเขื่อนวชิราลงกรณ โดยอยู่ห่างจากท้ายเขื่อนวชิราลงกร เป็นระยะทางตามลำน้ำประมาณ 22.5 กิโลเมตร และอยู่เหนือบ้านจันเดย์ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 180 ไร่ บนที่ดินที่มีเอกสารสิทธิทั้งหมด แต่ปรากฎว่า กฟผ. ไม่สามารถซื้อที่ดินเพื่อดำเนินโครงการตามรายงานศึกษาความเหมาะสมโครงการได้ เนื่องจากเจ้าของที่ดินมีความประสงค์ขายในราคาที่ต่อรองจนถึงที่สุดและสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้ในรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการถึง 2 เท่า
ประกอบกับ กฟผ. มีข้อจำกัดทางเทคนิคในการคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทางวิศวกรรมสำหรับก่อสร้างเขื่อนสำหรับโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถหาพื้นที่อื่นทดแทนได้ และเนื่องด้วยโครงการฯ จะต้องใช้ระยะเวลาเตรียมการและก่อสร้างประมาณ 5 ปี โดยสภาพการณ์ในปัจจุบันจึงไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ทันภายในปี 2566 ตามแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่1 กำหนดได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงประเด็นความคุ้มค่าของการลงทุนตามโครงการฯ ในสถานการณ์ด้านพลังงานปัจจุบันแล้ว กฟผ. ยังพบว่าไม่มีความคุ้มค่ากับการลงทุน เทียบกับช่วงที่เริ่มศึกษาความเหมาะสมของโครงการในปี 2556 ที่ขณะนั้นยังพบว่ายังมีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอื่น แต่เมื่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ด้านพลังงานเปลี่ยนไป พบว่า ณ ปัจจุบันค่าไฟจากโครงการฯ มีราคาสูงกว่าพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น โครงการพลังไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเศรษฐกิจฐานรากกำลังการผลิตมากกว่า 3 เมกะวัตต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ กฟผ. รายงานว่า เมื่อยกเลิกโครงการฯ แล้วไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เนื่องจากระบบไฟฟ้าในภาคตะวันตก มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และมีปริมาณไฟฟ้าสำรองเพียงพอกับการใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันประเทศไทยมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อีก โดย กฟผ. ได้วางแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอื่นที่มีเสถียรภาพและคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62882 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ลูกค้าผ่อนดี 48 เดือน รับ Cashback 1,000 บาท | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ธอส. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ลูกค้าผ่อนดี 48 เดือน รับ Cashback 1,000 บาท
ธอส. มอบของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีวินัยการผ่อนชำระเงินงวดสินเชื่อบ้านสม่ำเสมอให้ได้รับ Cashback 1,000 บาท โดยแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีวินัยการผ่อนชำระเงินงวดสินเชื่อบ้านสม่ำเสมอให้ได้รับ Cashback 1,000 บาท โดยแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีวินัยในการผ่อนชำระย้อนหลังรวม 48 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) และลูกค้าที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ปัจจุบันมีสถานะบัญชีปกติ และมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 6 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) เพียงชำระเงินงวดผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ติดกันไม่น้อยกว่า 2 เดือน (ในงวดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 หรือ งวดเดือนธันวาคม 2565-มกราคม 2566)
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 และร่วมสร้างวินัยทางการเงินผ่านการผ่อนชำระเงินงวดสินเชื่อบ้าน และส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า และในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทำ “โครงการของขวัญปีใหม่ 2566” สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านของ ธอส.ที่มีวินัยในการผ่อนชำระย้อนหลังรวม 48 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) โดยมีการชำระเงินงวดสม่ำเสมอและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกำหนดทุกเดือน ให้ได้รับเงิน Cashback จำนวน 1,000 บาท ซึ่งแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 : สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ มีวงเงินกู้ทุกบัญชีภายใต้หลักประกันเดียวกันไม่เกิน 2 ล้านบาท มีวินัยในการผ่อนชำระย้อนหลังรวม 48 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) สม่ำเสมอและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกำหนดทุกเดือน
กลุ่มที่ 2 : สำหรับลูกค้าที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่ปัจจุบันมีสถานะบัญชีปกติ และมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 6 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) สม่ำเสมอและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกำหนดทุกเดือน
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ของขวัญปีใหม่ 2566 จะต้องดาวน์โหลด Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN พร้อมผูกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธอส. และชำระเงินงวดผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ติดกันไม่น้อยกว่า 2 เดือน (ในงวดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 หรือ งวดเดือนธันวาคม 2565-มกราคม 2566) และรับใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่อรับโอนเงินของขวัญปีใหม่จากธนาคาร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62909 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงการคลัง ช้อปดีมีคืน ลดภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมโอนและอีกมาก | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงการคลัง ช้อปดีมีคืน ลดภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมโอนและอีกมาก
ครม.เห็นชอบของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงการคลัง ช้อปดีมีคืน ลดภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมโอนและอีกมาก
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบมาตรการการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1.มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 66” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2566 ถึงวันที่ 15 ก.พ.2566 โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยแบ่งเป็น
1)ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวน 30,000 บาทแรก ออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ 2)ค่าซื้อสินค้าหรือบริการ อีกจำนวน 10,000 บาท ออกใบกำกับภาษีรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับสินค้าที่เข้าร่วมมาตรการ เช่น ค่าซื้อสินค้า และค่าบริการทุกประเภทที่ซื้อจากผู้ประกอบการ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงค่าสินค้า OTOP แต่ไม่รวมถึงสินค้าและบริการ 10 ประการ ดังนี้ ค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ค่าซื้อยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าซื้อหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ ค่าที่พักในโรงแรมที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต ค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 ม.ค. 66 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 ก.พ. 66 และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 66” จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 56,000 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ มวลรวมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.16 และ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษี และสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์
2.มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 โดยลดภาษีให้ในอัตราร้อยละ 15 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี พ.ศ.2566
3.มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม ร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านมือ 1และมือ 2) เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา
4.มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานภายในประเทศ โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้บินในประเทศ จากลิตรละ 4.726 บาท เหลือลิตรละ 0.20 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2566 เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและบรรเทาผลกระทบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสายการบินภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19
5.มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ตาม พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ให้สิทธิยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 สำหรับผู้ประกอบการที่ประสงค์จะประกอบกิจการต่อเนื่อง ณ สถานประกอบการเดิม ประเภทใบอนุญาตเดิม ที่ยื่นคำขอระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2566 เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์โควิด19
ส่วนมาตรการและโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ อาทิ
1.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เช่น โครงการชำระดีมีคืน ลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน มาตรการส่งเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟู
2.ธนาคารออมสิน เช่น โครงการวินัยดี มีเงิน
3.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เช่น ยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs
4.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ (ธพว.) เช่น ผ่อนดีมีคืน (บัตรกำนันสูงสุด 300 บาท) มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ยังมีมาตรการและโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง 5 โครงการ ได้แก่
1)มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 จากกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
2)มาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ให้กับลูกค้ารายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.)
3)โครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้แก่ประชาชน จากกรมธนารักษ์
4)โครงการสนับสนุนตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนลดภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อความสุขที่มั่นคงของทุกภาคส่วน จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทัพย์ (ก.ล.ต.)
5)โครงการส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี และมีภูมิคุ้มกัน ไม่ถูกหลอกลวง จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทัพย์ (ก.ล.ต.)
6)โครงการกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกบิธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
7)โครงการ "ชม ชิม ช็อป ยาสูบเชียงราย" จากการยาสูบแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบแผนดำเนินงานและกรอบงบประมาณ 973.48 ล้านบาท สำหรับการเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ที่ประเทศญี่ปุ่นของประเทศไทย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบแผนดำเนินงานและกรอบงบประมาณ 973.48 ล้านบาท สำหรับการเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ที่ประเทศญี่ปุ่นของประเทศไทย
ครม.เห็นชอบแผนดำเนินงานและกรอบงบประมาณ 973.48 ล้านบาท สำหรับการเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ที่ประเทศญี่ปุ่นของประเทศไทย
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 20 ธ.ค. 2565 ได้เห็นชอบแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณ การจัดงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สำหรับสาระสำคัญในเรื่องนี้ ประเทศไทยมีกำหนดจะเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ระหว่างวันที่ 13 เม.ย. -13 ต.ค. 2568 รวมระยะเวลา 6 เดือน ณ เกาะยูเมะชิมะ นครโอซากา ซึ่งเป็นงานแสดงนิทรรศการระดับโลก หรือ World Expo ที่จัดขึ้นทุก 5 ปี ภายใต้การดูแลขององค์การนิทรรศการนานาชาติ(BIE) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ เนื่องจากหัวข้อหลักของงานครั้งนี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การแพทย์ และสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทยจะดำเนินการภายใต้แนวคิด สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ (THAILAND Empowering Lives for Greatest Happiness)
ทั้งนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง และสรุปรูปแบบการจัดนิทรรศการ แผนงานและกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเสนอให้ ครม.อนุมัติในครั้งนี้ โดยในส่วนของรูปแบบการจัดนิทรรศการ ประเทศไทยจะจัดแสดงศาลาไทย (Thailand Pavilion) ซึ่งเป็นอาคารทรงไทยชื่อว่า วิมานไทย (VIMAN THAI) ดำเนินการจัดแสดงทั้งแบบออนไซต์และออนไลน์ นำศิลปะชั้นสูงมาใช้ในการออกแบบอาคารการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ รักษาความปลอดภัย ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาด
ศาลาไทยจะจัดแสดงบนพื้นที่ A13 โซน Connecting Lives ขนาดพื้นที่ 3,500 ตารางเมตร ในรูปแบบ Type A Pavilion :Self-Built Pavilion ที่ผู้เข้าร่วมงานต้องก่อสร้างอาคารนิทรรศการเองตามผังผู้จัดงานและรับผิดชอบการรื้อถอน เคลื่อนย้ายอาคาร ปรับภูมิทัศน์ เมื่อเสร็จสิ้นงาน แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 โซน โดยใช้ชื่อ S.M.I.L.E.ประกอบด้วย โซนที่1 S:SIAM จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย โซนที่2 M:Medical Hub เป็นโซนไฮไลต์ของนิทรรศการ แสดงการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติ เป็นผู้นำด้านการผลิตวัคซีนแห่งหนึ่งของโลกและเน้นการจัดแสดงนวัตกรรมการแพทย์ของไทย เทคโนโลยีการจัดการทางสาธารณสุขและการรับมือกับวิกฤตโควิด19
โซนที่3 I:Intelligence toward innovation แสดงเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะศักยภาพการผลิตอาหารและสมุนไพร โซนที่4 L:Living Lab จำลองวิถีไทยรูปแบบ Workshop และแบบเชิงพาณิชย์ด้านต่างๆ โดยเป็นกิจกรรมหมุนเวียนแต่ละสัปดาห์หรือเดือนไม่ซ้ำกัน และโซนที่5 E:Enhanceand Enjoy our family แสดงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่น(ประเทศเจ้าภาพ) ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนานกว่า 600 ปี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แผนการดำเนินงาน จะแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1.การเตรียมการเข้าร่วมงาน ซึ่งส่วนนี้หลังจาก ครม. ให้ความเห็นชอบแล้วช่วงปี 2566 จะดำเนินการจัดจ้างผู้รับจ้างจัดงาน ยื่นแบบก่อสร้างและเซ็นสัญญาเข้าร่วมจัดนิทรรศการ ประชุมกับ BIE ตามกำหนด จากนั้นปี 2567 จะเป็นช่วงการก่อสร้าง Thailand Pavilion ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2567 และเริ่มเผยแพร่สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ 2.ระยะดำเนินการเข้าร่วมจัดนิทรรศการ ในปี 2568 และ 3.ระยะหลังดำเนินการเข้าร่วมจัดนิทรรศการ ในปี 2569 ที่จะดำเนินการื้อถอน Thailand Pavilion และขนส่งวัสดุจัดแสดงกลับประเทศไทย
สำหรับกรอบงบประมาณจะใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปี 2566-2569 รวม 4 ปี รวม 973.48 ล้านบาท แยกเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารและเตรียมงานรวม 105.60 ล้านบาท และสำหรับดำเนินการจัดงานนิทรรศการ รวม 867.88 ล้านบาท โดยหากแยกเป็นการใช้จ่ายงบประมาณรายปีจำแนกเป็นปี 2566 จำนวน 89.64 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 331.31 ล้านบาท ปี 2568 จำนวน 507.61 ล้านบาท และ ปี 2569 จำนวน 44.91 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการในงาน Expo 2025 Osaka Kansai ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือ Medical Hub ในภูมิภาค บนเวทีโลก ส่งเสริมความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือกับนานาประเทศ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์กับนานาชาติ การขยายตลาดอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ให้ผู้ประกอบการไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่ จ.สงขลา และจ.พัทลุง | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกฯ และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่ จ.สงขลา และจ.พัทลุง
นายกฯ และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่ จ.สงขลา และจ.พัทลุง
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง โดยเมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่ อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ในจังหวัดสงขลา ณ ห้องรับรองกองบิน 56 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา หัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลาล่าสุดพบว่า ยังคงมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอต่าง ๆ จนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 14 อำเภอ (จากทั้งหมด 16 อำเภอ) คือ อ.เมืองสงขลา อ.รัตภูมิ อ.ควนเนียง อ.หาดใหญ่ อ.นาหม่อม อ.จะนะ อ.บางกล่ำ อ.ระโนด อ.คลองหอยโข่ง อ.สิงหนคร อ.สะบ้าย้อย อ.สทิงพระ อ.เทพา และ อ.กระแสสินธุ์ รวม 100 ตำบล 51 ชุมชน 566 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 46,529 ครัวเรือน จำนวน 126,178 คน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้นแล้ว รวมทั้งจัดตั้งศูนย์อพยพสำหรับผู้ที่ไม่สามารถอาศัยในครัวเรือนได้ ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ได้ประสานจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระบายน้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันในบางพื้นที่ระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ ทางอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ จะเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อดำเนินการให้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ต่อไป
ทั้งนี้ จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุงเป็นอีกพื้นที่ใน 9 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบสถานการณ์อุทกภัยที่ได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 18 - 20 ธ.ค.65 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินสไลด์ และลมกระโชกแรงในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 66 อำเภอ 271 ตำบล 1,425 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 64,626 ครัวเรือน ขณะที่พัทลุง น้ำท่วมในพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ อ.ตะโหมด อ.ศรีนครินทร์ อ.กงหรา อ.เขาชัยสน อ.ปากพะยูน อ.ป่าบอน อ.บางแก้ว อ.เมืองพัทลุง และ อ.ควนขนุน รวม 29 ตำบล 178 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,400 ครัวเรือน ปัจจุบันสถานการณ์น้ำเริ่มลดลงแล้ว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่และเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ วัดเขาตกน้ำ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา รวมทั้งเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ ศูนย์อพยพเทศบาลตำบลควนเนียง และเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย ณ วัดหัวควนตก ต.ดอนประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62910 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้คนไทย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ออมสิน มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้คนไทย
ธนาคารออมสินได้จัดของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ลูกค้าและประชาชน 2 ชิ้นใหญ่ ประกอบด้วย
วินัยดี มีเงิน มอบเงินรายละ 500 บาท ให้แก่ลูกค้าสินเชื่อที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท มีประวัติชำระหนี้ดีติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี ไม่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้/ไม่มีประวัติการตัดหนี้สูญ และมีสถานะหนี้ปกติ (ค้างชำระไม่เกิน 30 วัน) โดยธนาคารจะส่งข้อความให้กดรับสิทธิ์ผ่านแอป MyMo ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566
มีออม มีลุ้น กับสลากออมสิน 2 ปี เพิ่มรางวัลพิเศษ จำนวน 24 รางวัล รางวัลละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท ให้ผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ทั้งแบบใบสลากหรือสลากดิจิทัล ในวันที่ 2 ธ.ค.65 - 31 ม.ค.66 ทำการออกรางวัล 2 ครั้ง ในวันที่ 30 ธ.ค.65 จำนวน 12 รางวัล และ วันที่ 1 ก.พ.66 อีก 12 รางวัล โดยสลากแบบใบ หน่วยละ 100 บาท ฝากได้ตั้งแต่ 1 หน่วยขึ้นไป สำหรับบุคคลธรรมดาอายุ 7 ปี ขึ้นไป และนิติบุคคลทุกประเภท สลากดิจิทัล (ฝากผ่านแอป MyMo) หน่วยละ 100 บาท ฝากขั้นต่ำ 10 หน่วย รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุ 15 ปี ขึ้นไป ทั้ง 2 แบบนี้ ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ฝาก จะได้รับสิทธิ์ลุ้นถูกเลขสลากทุกเดือน ทำการออกรางวัลทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 24 ครั้ง มีเงินรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้รับเงินต้นคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย กำหนดดอกเบี้ย 0.15 บาท/หน่วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62906 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเ 24 กิจกรรม เตือนภัยข่าวปลอมทางเป๋าตัง ฟรีค่าโทร-ส่งSMS ลดค่าส่งEMS | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเ 24 กิจกรรม เตือนภัยข่าวปลอมทางเป๋าตัง ฟรีค่าโทร-ส่งSMS ลดค่าส่งEMS
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเ 24 กิจกรรม เตือนภัยข่าวปลอมทางเป๋าตัง ฟรีค่าโทร-ส่งSMS ลดค่าส่งEMS
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เห็นชอบและรับทราบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ จำนวน 24 กิจกรรม อาทิ เช่น
1. แจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์และข่าวปลอม ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่เดือน ม.ค. 66 เป็นต้นไป ให้ประชาชนรู้เท่าทันและสามารถรับมือกับการหลอกลวงรูปแบบใหม่ได้
2. ยกเว้นบริการค่าโทร เช่น บริการ NT Voice ยกเว้นค่าโทรที่โทรไปยังเลขหมายปลายทางที่เป็น Fixed Line/IP Phone ของ NT ทั่วไทย (วันที่ 30 ธ.ค. 65 - 2 ม.ค. 66) และบริการ my โทรฟรีในเครือข่าย และส่ง SMS ฟรี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (วันที่ 31 ธ.ค. 65 - 1 ม.ค. 66)
3. ส่วนลดค่าบริการไปรษณีย์ไทยด่วนพิเศษ (EMS) ในประเทศ ร้อยละ 19-48 สำหรับประชาชนที่ใช้บริการแบบ Walk In (วันที่ 26 ธ.ค. 65 - 5 ม.ค. 66)
4. ให้ผู้ประกอบการ SMEs ยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ช่วยลดค่าใช้จ่าย ร้อยละ 250 ในการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษา/ฝึกอบรม หรือในการจัดฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้าง โดยเฉพาะทักษะดิจิทัล
5. จัดให้มีบริการ/นวัตกรรมด้านดิจิทัลภาครัฐสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ เช่น ระบบการหางาน ห้องสมุดออนไลน์ ระบบการเดินทาง และระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ
6. เพิ่มจำนวนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้สามารถรองรับการใช้งานของคนพิการและคนทุกกลุ่ม
7. ยกเว้นค่าบริการข้อมูลสารสนเทศด้านอุตุนิยมวิทยาและสถิติภูมิอากาศของประเทศ (1-15 ม.ค. 66) ผ่านเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา
8. ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมให้ดาวโหลดสติ๊กเกอร์ “อัศวินต่อต้านข่าวปลอม” ฟรี ผ่าน Line Sticker Shop @antifakenewscenter สามารถใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน
9. จัดงาน NSO Data Camp งานประชุมเสวนาวิชาการและนิทรรศการการใช้ประโยชน์ข้อมูลสถิติ และกิจกรรมนักสถิติรุ่นเยาว์สัญจร เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสถิติ (เดือน ม.ค. - ก.พ. 66)
10. สร้างความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้กับประชาชน ผ่านสื่อวีดิทัศน์ และอินโฟกราฟิก ผ่านสื่อส่วนกลางของ สนง. คกก. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (วันที่ 28 ธ.ค. 65 – 3 ม.ค. 66)
11. ส่งเสริมการมี Digital ID เพื่อให้ประชาชนประหยัดเวลา/ค่าใช้จ่าย และปลอดภัยในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนสามารถยืนยันตัวตนได้สะดวก ลดความเสี่ยงการถูกปลอมแปลงตัวตน (คาดว่าจะประกาศใช้ภายในเดือน ม.ค. 66)
12. นำผลสำรวจความต้องการของประชาชน สำหรับการวางแผนช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานรัฐ ปี 66เสนอ ครม. ต่อไป เช่น เรื่องควบคุมราคาสินค้าอุปโภค - บริโภค ลดค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปา/ค่าอินเทอร์เน็ต และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62873 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ชาวบ้าน ต.นาเหลือง จว.น่าน ดีใจได้ทำนาหลังหยุดมา 3 ปี ขอโฟนอิน ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ใจดีช่วยสร้างฝายแก้ปัญหาน้ำแล้งแล้วเสร็จ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ชาวบ้าน ต.นาเหลือง จว.น่าน ดีใจได้ทำนาหลังหยุดมา 3 ปี ขอโฟนอิน ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ใจดีช่วยสร้างฝายแก้ปัญหาน้ำแล้งแล้วเสร็จ
ชาวบ้าน ต.นาเหลือง จว.น่าน ดีใจได้ทำนาหลังหยุดมา 3 ปี ขอโฟนอิน ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ใจดีช่วยสร้างฝายแก้ปัญหาน้ำแล้งแล้วเสร็จ
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) 15.00 น. พลเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ชาวบ้าน ต.นาเหลือง อ.เวียงสา จว.น่าน กว่า 300 คนและพระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่รวมตัวกัน ขอโฟนอินแสดงความขอบคุณ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ที่มอบหมายสั่งการให้ พลเรือเอก พิเชษฐ์ ตานะเศรษฐ ลงไปกำกับให้การช่วยเหลือแก้ปัญหาเร่งด่วน การขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค - บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร ของประชาชนในพื้นที่ ต.นาเหลือง อ.เวียงสา จว.น่าน โดยช่วยก่อสร้างฝายน้ำล้นลำน้ำนาเหลือง เป็นที่เสร็จสิ้นแล้ว ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 580 ไร่ 140 ครัวเรือน
โดยผู้แทนชาวบ้าน ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ พลเอก ประวิตร ฯ ที่ช่วยแก้ปัญหาชาวนาในพื้นที่ อ.เวียงสา ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยและภัยแล้ง โดยไม่สามารถทำนามาแล้วกว่า 3 ปี ฝายดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมและกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร และสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำดิบของระบบประปาในพื้นที่ให้มีน้ำใช้ อุปโภค - บริโภค ได้ตลอดปี
พลเอก ประวิตร ฯ กล่าวขอบคุณชาวบ้านนาเหลือง ที่มาร่วมแสดงน้ำใจและความขอบคุณ พร้อมย้ำว่า “น้ำคือชีวิต” จึงถือเป็นความตั้งใจและมุ่งมั่นของรัฐบาล ที่ต้องจัดระบบบริหารจัดการน้ำในภาพใหญ่และระดับพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมไปพร้อมกัน การจัดสร้างฝายแห่งนี้ จึงถือเป็นความต้องการและความร่วมมือที่เกิดขึ้นระดับพื้นที่ โดยรัฐบาลเข้าไปสนับสนุนให้เกิดขึ้นและใช้ประโยชน์ได้จริงร่วมกัน เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและเกษตรกร ให้มีรายได้เลี้ยงชีพด้วยตนเองและมีแหล่งน้ำดิบเพื่อการอุปโภค บริโภคตลอดปี พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะทำต่อไป โดยไม่เลือกปฏิบัติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบฯ เดินหน้าเปิดประมูลที่ดินทำเลดี ให้เช่ายาว 30 ปี ใน กทม. และต่างจังหวัด | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
การยาสูบฯ เดินหน้าเปิดประมูลที่ดินทำเลดี ให้เช่ายาว 30 ปี ใน กทม. และต่างจังหวัด
การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดประมูลให้เช่าที่ดินทำเลศักยภาพสูงระยะยาว 30 ปี จำนวน 3 แปลง ใน กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และหนองคาย จัดประชุมทดสอบความสนใจของนักลงทุน (Market Sounding) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2565
ยสท. นำอสังหาริมทรัพย์เปิดประมูลให้เช่าระยะยาว 30 ปี โดยได้คัดเลือกที่ดินจำนวน 3 แปลง ได้แก่ แปลง "โกดังแองโกล" โฉนดเลขที่ 6009 และ 23614 เนื้อที่ 5-1-58.2 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 80 กรุงเทพมหานคร ภายในพื้นที่มีอาคารคลังสินค้า 2 หลัง พื้นที่อาคารรวม 6,140 ตารางเมตร ที่ตั้งโครงการใกล้กับเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนต์ และย่านธุรกิจถนนสาทร สีลม
ส่วนอีก 2 แปลง อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ แปลงบ้านพัก (สหผล) ขอนแก่น โฉนดเลขที่ 332 เนื้อที่ 6-3-18.8 ไร่ ริมถนนแจ้งสนิท อำเภอบ้านไผ่ ขอนแก่น ตั้งอยู่ในย่านชุมชนตลาดบ้านไผ่ ใกล้เคียง โรงพยาบาลบ้านไผ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ และแปลงลานหินคลุก หนองคาย โฉนดเลขที่ 102741 เนื้อที่ 9-2-40.7 ไร่ ตั้งอยู่ติดถนนมิตรภาพ (ทล.2) ห่างจากด่านพรมแดนไทย-ลาว เพียง 300 เมตร (ฝั่งขาออก) ทำเลย่านการขนส่ง การท่องเที่ยว การค้าชายแดน ไม่มีอาคารสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน
สำหรับผู้สนใจร่วมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 แปลง ยสท. ได้กำหนดการประชุมทดสอบความสนใจของนักลงทุน (Market Sounding) ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านโปรแกรม ZOOM โดยมีกำหนดการจัดงานในวันที่ 22 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 - 16.30 น. หากนักลงทุนท่านใดสนใจเข้าร่วมการประชุมฯ ติดต่อได้ที่ สำนักพัฒนาธุรกิจ โทร. 0-2229-1000 ต่อ 1866, 2328 ติดตามข่าวสารการให้เช่าที่ดินของ ยสท. ได้ที่ www.thaitobacco.or.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62900 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. Kick off “โครงการซ่อม เสริม สร้าง บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” มอบบ้านหลังแรกเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
พม. Kick off “โครงการซ่อม เสริม สร้าง บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” มอบบ้านหลังแรกเป็นของขวัญปีใหม่ 2566
พม. Kick off “โครงการซ่อม เสริม สร้าง บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” มอบบ้านหลังแรกเป็นของขวัญปีใหม่ 2566
วันนี้ (20 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบของขวัญปีใหม่ "บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก" หลังแรกจากโครงการ “ซ่อม เสริม สร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” ให้กับครอบครัวเด็กเปราะบาง โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) แนะนำโครงการ พร้อมทั้งรับชมการบรรเลงดนตรีสากล "แซกโซโฟน" ของเด็กและเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร ทั้งนี้ มีคณะรัฐมนตรีและคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วม ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการและสิทธิสวัสดิการสังคมของรัฐ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบางตั้งแต่เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงในทุกมิติ รวมถึงความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ขับเคลื่อนโครงการ “ซ่อม เสริม สร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” เพื่อเสริมสร้างโอกาสให้เด็กและครอบครัวเปราะบางได้เข้าถึงสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยที่มีความมั่นคงและปลอดภัย อีกทั้งส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหุ้นส่วนการพัฒนาสังคมทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในการสนับสนุนงบประมาณหรือวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนมีการแนะนำแนวทางการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก โดยไม่ใช้ความรุนแรง และสนับสนุนให้ครอบครัวเลี้ยงดูเด็กตามมาตรฐานขั้นต่ำ พร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 มิติ ทั้งรายได้ สุขภาพ การศึกษา ความเป็นอยู่ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2566 วันนี้ กระทรวง พม. โดย ดย. จึงได้จัดพิธีมอบของขวัญปีใหม่ “บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” หลังแรกจากโครงการ “ซ่อม เสริม สร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” ให้กับครอบครัวเด็กเปราะบางเป็นเด็กหญิงฝาแฝด อายุ 7 ปี อาศัยอยู่กับคุณยาย อายุ 57 ปี ในพื้นที่ตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ นับเป็นการ Kick off โครงการดังกล่าว เพื่อขยายผลการดำเนินงานไปสู่พื้นที่ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานครต่อไป ทั้งนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระหว่าง พ.ย. 2565 - มิ.ย. 2566 มีการขับเคลื่อนโครงการซ่อม เสริม สร้าง บ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก จำนวน 100 หลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รีบเลยผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ “สถานะไม่สมบูรณ์” สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้แล้วที่หน่วยงาน รับลงทะเบียนทั่วประเทศ หรือเว็บไซต์ https:// บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ .mof.go.th | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
รีบเลยผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ “สถานะไม่สมบูรณ์” สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้แล้วที่หน่วยงาน รับลงทะเบียนทั่วประเทศ หรือเว็บไซต์ https:// บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ .mof.go.th
รีบเลยผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ “สถานะไม่สมบูรณ์” สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้แล้วที่หน่วยงาน รับลงทะเบียนทั่วประเทศ หรือเว็บไซต์ https:// บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ .mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th แก้ไขข้อมูลได้ถึง 23 ธ.ค.นี้
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ผู้ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ที่ผ่านมานั้น ปรากฎว่ายังมีผู้ลงทะเบียน “สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์” เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง ซึ่งมีจำนวน 1,386,423 ราย (คิดเป็น 6.6% ของผู้ลงทะเบียนที่มีข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทั้งหมด 21,016,770 ราย)
นางสาวรัชดา กล่าวว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนได้ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทั่วประเทศ หรือตรวจสอบได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บไซต์ https:// บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ .mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th นอกจากนี้ กลุ่มผู้ลงทะเบียนที่ยังไม่ทราบผลการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลว่า สถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ก็สามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนได้
“ผู้ลงทะเบียนตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนแล้ว พบว่า “สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์” ให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ/สำนักงานเขต และหากพบว่าข้อมูลที่ลงทะเบียนไม่ตรงกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ขอให้ดำเนินการแก้ไขข้อมูลได้ตั้งแต่วันอังคารที่ 20 ถึงวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 โดยผู้ลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียน จะต้องติดต่อขอแก้ไขข้อมูล ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนที่ตนยื่นเอกสารไว้แล้วเท่านั้น ส่วนผู้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ สามารถติดต่อขอแก้ไขข้อมูลที่หน่วยงานรับลงทะเบียนใดก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์แล้ว รอประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติในช่วงเดือนมกราคม 2566” นางสาวรัชดา ย้ำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย-กรมบัญชีกลาง จับมือเชื่อมสิทธิข้าราชการเข้ากระเป๋าสุขภาพแบบเรียลไทม์ ยกระดับบริการสาธารณสุขไทย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
กรุงไทย-กรมบัญชีกลาง จับมือเชื่อมสิทธิข้าราชการเข้ากระเป๋าสุขภาพแบบเรียลไทม์ ยกระดับบริการสาธารณสุขไทย
ธนาคารกรุงไทย จับมือ กรมบัญชีกลาง ยกระดับการให้บริการการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และบริการชำระค่ารักษาพยาบาลผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถตรวจสอบและเบิกจ่ายตรงได้แบบเรียลไทม์ พร้อมเชื่อมต่อระบบโรงพยาบาล
ธนาคารกรุงไทย จับมือ กรมบัญชีกลาง ยกระดับการให้บริการการใช้สิทธิ เบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และบริการชำระค่ารักษาพยาบาลผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถตรวจสอบและเบิกจ่ายตรงได้แบบเรียลไทม์ พร้อมเชื่อมต่อระบบโรงพยาบาลกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ ผ่าน Application Programming Interface (API) โดยมี 6 โรงพยาบาลนำร่องที่พร้อมให้บริการ ได้ในปี 2565 และภายในต้นปี 2566 มีแผนเปิดให้บริการกับอีก 15 โรงพยาบาล และมีแผนจะดำเนินการให้ครบถ้วนทุกโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการกับกรมบัญชีกลางทั่วประเทศในอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สังกัดกรมการแพทย์ สังกัดกระทรวงกลาโหม สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดกระทรวงอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ ที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถลดขั้นตอนและลดความแออัดให้กับโรงพยาบาล และเป็นการยกระดับการให้บริการด้านสวัสดิการและรักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ เพื่อให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้นในทุกวัน ด้วยวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” ธนาคารเดินหน้ายกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศโดยพัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform มาอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนงานด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร โดยร่วมกับกรมบัญชีกลางและโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ยกระดับบริการด้านสาธารณสุขให้กับข้าราชการของประเทศ เชื่อมต่อข้อมูลให้สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการแบบเรียลไทม์ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่พัฒนาโดยบริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย ให้รองรับผู้มีสิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ภายใต้กรมบัญชีกลาง ทั้งข้าราชการปัจจุบัน ข้าราชการเกษียณอายุ รวมถึงบุคคลในครอบครัว ที่มีอยู่กว่า 4.7 ล้านคนทั่วประเทศ และนำระบบยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) มาช่วยในการยืนยันตัวตนให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็วและแม่นยำ
ธนาคารได้พัฒนาระบบการชำระเงิน ที่เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับระบบเบิกจ่ายตรงของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการประเภทผู้ป่วยนอกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการใช้สิทธิ จากเดิมที่ใช้บัตรประชาชนอย่างเดียวในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงผ่านช่องทางเครื่อง EDC และสามารถชำระเงินค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินสิทธิได้ทันที โดยสามารถเลือกจ่ายได้ทั้ง Krungthai NEXT หรือสแกน QR Payment ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร และมีแผนจะขยายช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรเดบิตและบัตรเครดิตในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้การใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วกับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ช่วยลดขั้นตอนและลดความแออัดให้กับโรงพยาบาล และเป็นการยกระดับการให้บริการด้านสวัสดิการและรักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้กับกรมบัญชีกลาง อีกทั้งยังมีบริการแจ้งเตือนให้ทำการยืนยันการใช้สิทธิ และชำระเงินส่วนเกินสิทธิทันทีหลังเข้ารับบริการ พร้อมอำนวยความสะดวกผู้ใช้สิทธิด้วยบริการแจ้งเตือนรายการนัดหมายในครั้งถัดไป และสามารถตรวจสอบรายละเอียดค่ารักษาพยาบาลย้อนหลังได้ที่เมนูประวัติการทำรายการย้อนหลังผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชันเป๋าตัง
โครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ผ่านกระเป๋าสุขภาพนี้ ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สังกัดกรมการแพทย์ สังกัดกระทรวงกลาโหม สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดกระทรวงอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมโครงการ ร่วมกันยกระดับการบริการด้านสาธารณสุขให้กับข้าราชการของประเทศ กรุงเทพมหานครที่เข้าร่วมโครงการ ในการให้บริการผู้มีสิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยในระยะเริ่มต้น มี 6 โรงพยาบาลนำร่องที่พร้อมให้บริการ ได้ในปี 2565 ได้แก่ 1. คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 2. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 3. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ 4. โรงพยาบาลสระบุรี 5.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 6.โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ภายในต้นปี 2566 มีแผนเปิดให้บริการกับอีก 15 โรงพยาบาล ได้แก่ 1. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 2. โรงพยาบาลบางคล้า 3. โรงพยาบาลปากช่องนานา 4. โรงพยาบาลพนมสารคาม 5. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 6. โรงพยาบาลพุทธโสธร 7. โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช 8. โรงพยาบาลราชวิถี 9. โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 10. โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 11. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 12. โรงพยาบาลสมุทรปราการ 13. ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 14. สถาบันโรคทรวงอก 15. สถาบันประสาทวิทยา และเตรียมพร้อมขยายการเชื่อมต่อระบบครอบคลุมโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งนี้สามารถดูรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมได้ที่ www.cgd.co.th หัวข้อ รักษาพยาบาล/ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือ ที่จะเชื่อมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สำหรับบริการ Telehealth ให้ผู้ป่วยที่รักษาทางไกล สามารถใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการได้ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายและทำเรื่องเบิกย้อนหลัง ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยมีความพร้อมและยินดีให้การสนับสนุนการพัฒนายกระดับการบริการในทุกด้านเพื่อให้ข้าราชการและประชาชนคนไทย สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62859 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. และรมว.กห. สั่งทุกเหล่าทัพให้การช่วยเหลือ กองทัพเรือ (ทร.) ระดมค้นหาลูกเรือสุโขทัยที่ยังพลัดหาย มอบ รมช.กห. ลงตามสถานกาณ์และเยี่ยมผู้ประสบภัย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นรม. และรมว.กห. สั่งทุกเหล่าทัพให้การช่วยเหลือ กองทัพเรือ (ทร.) ระดมค้นหาลูกเรือสุโขทัยที่ยังพลัดหาย มอบ รมช.กห. ลงตามสถานกาณ์และเยี่ยมผู้ประสบภัย
นรม. และรมว.กห. สั่งทุกเหล่าทัพให้การช่วยเหลือ กองทัพเรือ (ทร.) ระดมค้นหาลูกเรือสุโขทัยที่ยังพลัดหาย มอบ รมช.กห. ลงตามสถานกาณ์และเยี่ยมผู้ประสบภัย
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงติดตามสถานการณ์ และเป็นห่วงลูกเรือเรือหลวงสุโขทัยกว่า 30 ชีวิต ที่อัปปางลง โดยมอบหมายให้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การ ให้ความช่วยเหลือกำลังพลที่ยังสูญหาย และเยี่ยมเยียนกำลังพลที่ได้รับการช่วยเหลือและอยู่ระหว่างเข้ารับการรักษาตัว ณ โรงพยาบาลในพื้นที่
พลเอกประยุทธ์ ได้แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังได้กำชับ ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพให้การสนับสนุน โดย ทร. ระดมให้ความช่วยเหลือลูกเรือที่ยังพลัดหลงและสูญหายให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งขอให้ ทร. ดูแลฟื้นฟูจิตใจและรักษาพยาบาลกำลังพลที่ประสบเหตุอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งลงไปช่วยเหลือดูแลและให้กำลังใจครอบครัวลูกเรือที่พลัดหายและอยู่ระหว่างการระดมให้ความช่วยเหลือ โดยไม่ทอดทิ้งกัน
โดยบ่ายวันนี้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้รับมอบหมาย จากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เดินทางไปยังศูนย์ประสานและช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ ณ ทรภ.1 อ.อำเภอสัตหีบ และเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ประสบภัยและอยู่ระหว่างรักษาตัว ณ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.บ้านฉาง จังหวัดระยอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62877 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลางปี 66 สำหรับมาตรการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าเดือน ต.ค.-ธ.ค.65 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม. เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลางปี 66 สำหรับมาตรการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าเดือน ต.ค.-ธ.ค.65
ครม. เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลางปี 66 สำหรับมาตรการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าเดือน ต.ค.-ธ.ค.65
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธันวาคม 2565 มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2565 ตามที่กระทรวงมมหาดไทยเสนอ โดยพิจารณาอนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้จ่ายในวงเงินรวม 6,693.31 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากงบประมาณปี 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าไฟฟ้าเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2565 เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน โดยให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณต่อไป
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านไฟฟ้า โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน เป็นเวลา 4 เดือน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ส่วนลด 92.04 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย (กลุ่มเปราะบาง) ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน และกลุ่มที่ 2 ส่วนลดค่า Ft แบบขั้นบันไดร้อยละ 15-75 (จำนวน 10.30-51.50 สตางค์ต่อหน่วย) สำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 301-500 หน่วยต่อเดือน ซึ่ง ครม.มีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 อนุมัติงบกลางปี 2565 ให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ใช้จ่ายในวงเงิน 2,231.10 ล้านบาท เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าของเดือนกันยายน 2565 ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน
“สำหรับส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าของเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2565 ที่ทางการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ประมาณการงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ 6,693.31 ล้านบาทนั้น ครม.เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบประมาณกลางปี 2566 โดยจะเบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ซึ่งทางการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62878 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 12/2565 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 12/2565
กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 12/2565
นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 12/2565 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุม บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด อาคารพญาไทพลาซ่า ชั้น 32 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่
1. การขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการบริษัท ประเภทที่ 1 ฝ่ายชาวไร่อ้อยแทนกรรมการที่ลาออก และกำหนดรายชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม กลุ่มที่ 3 ของฝ่ายชาวไร่อ้อย
2. การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นของ บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด (อนท.) ในฝ่ายชาวไร่อ้อย
3. การขออนุมัติประมาณการรายจ่ายค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุมกับประเทศกลุ่มพันธมิตรเพื่อปฏิรูปการค้าน้ำตาลโลก (GSA) ประจำปี 2567
4. การขออนุมัติให้ผู้จัดการทั่วไป อนท. เข้าร่วมการสัมมนา Dubai Sugar Conference 2023
5. การขอความเห็นชอบงบประมาณของ อนท. ประจำปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62907 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนของส่วนราชการต่างๆ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.รับทราบการมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนของส่วนราชการต่างๆ
ครม.รับทราบการมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนของส่วนราชการต่างๆ
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธ.ค. 2565 ได้รับทราบการจัดของขวัญปีใหม่เพื่อมอบแก่ประชาชนของหลายหน่วยงาน โดยส่วนของกระทรวงคมนาคมได้เสนอของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับประชาชนหลายโครงการด้วยกัน อาทิ เปิดให้วิ่งฟรีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี -นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง – อำเภอสีคิ้ว – อำเภอขามทะเลสอ และยกเว้นค่าผ่านทาง มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 และ ยกเว้นค่าผ่านทาง ทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก ระหว่างเวลา 0.01 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2566
ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ระหว่างเวลา 12.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค.2565 ถึงเวลา เวลา 12.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2566, เรือไฟฟ้า (EV Boat) จะให้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2565 -1 มกราคม 2566, ลดค่าโดยสาร บขส. 10% ทุกเส้นทาง สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วรถ บขส. ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ ตรวจรถฟรี โดยกรมการขนส่งทางบก ตลอดเดือนธ.ค. 2565
ขยายเวลาการเดินรถเมล์ ในเขตกรุงเทพฯ ในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงานเคานท์ดาวน์ (Count Down) เช่น สยามพารากอน ไอคอนสยาม และเอเชียทีค ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2566 ขยายเวลาเปิดให้บริการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2565 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2566 และขยายเวลาให้บริการของอาคารและลานจอดรถ MRT ทั้ง 2 สาย ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2565 จนถึงเวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2566 บริการจอดรถฟรี ณ ลานจอดรถระยะยาว โซน C ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ ท่าอากาศยานภูเก็ต 29 ธ.ค. 2565 ถึงวันที่ 3 ม.ค. 2566
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะดำเนินมาตรการตรึงราคาน้ำมันทุกชนิดในช่วงวันที่ 24 ธ.ค. 2565- 3 ม.ค. 2566, เตรียมการขอขยายระยะเวลาคงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG โดยกำหนดราคาขายปลีกอยู่ที่ 408 บาท/ถัง 15 กก. ตั้งแต่ 1-31 ม.ค. 2566, ให้ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/คน/3เดือน และให้แก่ร้านค้าหาบเร่ จำนวน 100 บาท/คน/เดือน ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2566, บริการตรวจสภาพรถโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย, รวมถึงแจกส่วนลดครึ่งราคาที่พักที่เขื่อน กฟผ. จำนวน 30,000 สิทธิ์
ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศ จะให้บริการหนังสือเดินทางด่วนภายในวันเดียว(ทำเช้า รับบ่าย) โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเล่มด่วนตั้งแต่วันที่ 3-13 ม.ค. 2566 (ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ), บริการแปลเอกสารภาษาอังกฤษโดยไม่คิดค่าบริการ (จำกัดคนละ 1 เอกสาร) ตั้งแต่วันที่ 3-31 ม.ค. 2566 ณ กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และในช่วงเวลาและสถานที่เดียวกันนี้ยังจะมีบริการรถทะเบียนเคลื่อนที่ของ กทม. ณ กรมการกงสุล โดยรถทะเบียนเคลื่อนที่ของ กทม. จะจอดให้บริการที่ลาดจอดรถกรมการกงสุล เพื่อให้บริการทำบัตรประชาชนใหม่ การคัดสำเนาเอกสารทะเบียนราษฎรภาษาไทย-อังกฤษ 3 ประเภท ได้แก่ ทะเบียนบ้าน สูติบัตร และมรณบัตร
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่กระทรวงการต่างประเทศจะให้บริการตลอดปี คือ บริการหนังสือเดินทางวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) ณ สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวปทุมวัน(ศูนย์การค้า MBK Center) และบางใหญ่ (ศูนย์การค้า Central Plasa West Gate) ทั้งรูปแบบบูธปกติและเครื่องทำหนังสือเดินทางด้วยตนเอง และ การให้บริการกงสุลสัญจร ของขวัญตลอดปี เพื่อให้บริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้ง เพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดที่ไม่มีสาขาสำนักงานหนังสือเดินทางตั้งอยู่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62881 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. พร้อมเปิดให้บริการ ขบวนรถ Feeder เส้นทางที่หยุดรถพระจอมเกล้า - สถานีลาดกระบัง - ที่หยุดรถพระจอมเกล้า | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
รฟท. พร้อมเปิดให้บริการ ขบวนรถ Feeder เส้นทางที่หยุดรถพระจอมเกล้า - สถานีลาดกระบัง - ที่หยุดรถพระจอมเกล้า
เชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ เริ่ม 3 มกราคม 2566
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย มีนโยบายให้ รฟท. พัฒนาเส้นทางการเดินรถและจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนสาธารณะอื่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรฟท. มีความพร้อมเปิดให้บริการ ขบวนรถดีเซลรางชานเมือง (Feeder) เส้นทางที่หยุดรถพระจอมเกล้า - สถานีลาดกระบัง - ที่หยุดรถพระจอมเกล้า อัตราค่าโดยสาร 10 บาท:คน:เที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน สามารถเดินทางโดยรถไฟเพื่อเชื่อมต่อใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มทดลองให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ ไป - กลับ 22 เที่ยวต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน
ทั้งนี้ การให้บริการเดินรถขบวน Feeder เชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ จะช่วยเพิ่มความความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน ตามนโยบายของผู้ว่า รฟท. ที่ยึดประโยชน์ของผู้โดยสารเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่อาศัยบริเวณสถานีหัวตะเข้และชุมชนที่หยุดรถพระจอมเกล้า ที่คาดว่าจะโดยสารรถไฟมาเชื่อมต่อบริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ไม่ต่ำกว่า 1 พันคนต่อวัน อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายเอกรัช กล่าวต่อว่า สำหรับขบวนรถ Feeder เส้นทางที่หยุดรถพระจอมเกล้า-สถานีลาดกระบัง-ที่หยุดรถพระจอมเกล้า ถือเป็นขบวนรถ Feeder เส้นทางที่สองที่ รฟท. เปิดให้บริการต่อจากเส้นทางแรก คือ สถานีธนบุรี-ตลิ่งชัน-นครปฐม ที่เปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จโดยได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี สามารถช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางแก่พี่น้องประชาชน ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้โดยสารใช้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดงได้เพิ่มอีกด้วย
สำหรับผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะเดินทางโดยรถดีเซลรางชานเมือง (Feeder) สามารถตรวจสอบเส้นทางและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62865 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-World Bank reports on Thai economic growth which accelerated to 4.5% in third quarter of 2022 | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
World Bank reports on Thai economic growth which accelerated to 4.5% in third quarter of 2022
World Bank reports on Thai economic growth which accelerated to 4.5% in third quarter of 2022
December 18, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is pleased with the World Bank’s “Thailand Economic Monitor” report, released in December 2022, which stated that the Thai economy has shown resilience to recent global shocks, and is projected to recover to its pre-pandemic level in 2022 due to the government’s proactive fiscal policy which supports the recovery and mitigate the rising cost-of-living pressures.
According to the report, economic growth accelerated to 4.5% in the third quarter of this year. The Thai economy is projected to expand by 3.4% in 2022 and 3.6% in 2023 fueled by resurgent private consumption and strong tourism inflows. Employment is expected to return to pre-pandemic level and will continue to support consumer spending. Over the medium term, public debt is projected to remain sustainable as the narrowing fiscal deficit and recovering output would contribute to a gradually declining debt to GDP ratio. However, as the global growth slowdown intensifies, commodity prices are expected to ease in the next two years, but they will remain considerably above their average over the past five years and will continue to pose challenges to Thailand’s growth outlook.
The Prime Minister thanked all concerned agencies for their hard work, and instructed them to continue working in an integrative manner during the next phase of economic recovery to ensure efficiency, immunity, and resilience.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62849 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย รพ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยังคงมีกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยอยู่ในการดูแลอีก 6 ราย | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
ปลัด สธ. เผย รพ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยังคงมีกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยอยู่ในการดูแลอีก 6 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย เหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปางในทะเล บริเวณอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลบางสะพานได้รับการประสานให้การดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บรวม 65 ราย ขณะนี้กลับบ้านได้แล้ว 59 ราย ยังเหลือรับการรักษาในโรงพยาบาลอีก 6 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย เหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปางในทะเล บริเวณอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลบางสะพานได้รับการประสานให้การดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บรวม 65 ราย ขณะนี้กลับบ้านได้แล้ว 59 ราย ยังเหลือรับการรักษาในโรงพยาบาลอีก 6 ราย ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ มีอาการกระดูกหัก บาดแผลฉีกขาด
วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากฝั่ง 16 ไมล์ทะเล บริเวณอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ประสบเหตุ 106 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานจากกองทัพเรือส่งผู้ป่วยมารับการรักษาที่โรงพยาบาลบางสะพาน จำนวน 65 ราย ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ มีอาการกระดูกหักหรือมีบาดแผลฉีดขาด ซึ่งโรงพยาบาลบางสะพานมีแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและมีศักยภาพในการรักษาดูแลผู้ป่วยได้ จึงไม่ต้องส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ล่าสุดเช้าวันนี้ ได้รับรายงานจาก นายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 5 ว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้น สามารถจำหน่ายให้กลับบ้านได้แล้ว 59 ราย ยังเหลือผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาล 6 ราย อาการโดยรวมอยู่ในขั้นปลอดภัย โรงพยาบาลบางสะพานจะให้การดูแลอย่างเต็มที่จนกว่าผู้ป่วยจะสามารถจำหน่ายกลับบ้านได้ หรือหากประสงค์จะย้ายไปรับการรักษาต่อกับโรงพยาบาลต้นสังกัดก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ต่อไป
**************************************** 20ธันวาคม2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกประชุม Pig Board รายงานสถานการณ์การผลิตการตลาดสุกร มาตรการการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมาย และมาตรการป้องกันโรค ASF | วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกประชุม Pig Board รายงานสถานการณ์การผลิตการตลาดสุกร มาตรการการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมาย และมาตรการป้องกันโรค ASF
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกประชุม Pig Board รายงานสถานการณ์การผลิตการตลาดสุกร มาตรการการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมาย และมาตรการป้องกันโรค ASF พร้อมกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และนำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงการดำเนินงาน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมรับทราบสถานการณ์การผลิตการตลาดสุกร ประจำไตรมาส 3/2565 (ก.ค. - ก.ย.) มีปริมาณการผลิตสุกรขุน 3.81 ล้านตัว (ประมวลผลจากข้อมูลการเคลื่อนย้ายสัตว์) คิดเป็นเนื้อสุกร 286.05 พันตัว ปรับลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 20.63 เนื่องจากปริมาณแม่พันธุ์สุกรในระบบลดลง จากปัญหาความเสี่ยงด้านสุขภาพในสุกร ประกอบกับเกษตรกรบางรายอยู่ในช่วงปรับตัวเข้าสู่ระบบมาตรฐานใหม่ และภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาพันธุ์สุกรและอาหารสัตว์ที่ปรับเพิ่มขึ้น จึงชะลอการนำสุกรเข้าเลี้ยง
สำหรับต้นทุนการผลิตสุกร (กรณีซื้อลูกสุกรมาเลี้ยงเอง) เฉลี่ย 98.06 บาท/กก. ลดลงจากไตรมาสที่แล้วร้อยละ 1.64 ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.76 จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็น 100 บาท/กก. และเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.72 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ราคาขายปลีกเนื้อสุกรชำแหละ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 202.96 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/65 ร้อยละ 4.48
การส่งออกสุกรมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มูลค่ารวม 2,264.47 ล้านบาท โดยเริ่มมีการส่งออกสุกรมีชีวิตในไตรมาส 2/2565 เนื่องจากประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตไปนอกราชอาณาจักร เป็นเวลา 3 เดือน สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา การส่งออกสุกรมีชีวิตเป็น 2,619 ตัว มูลค่า 17.44 ล้านบาท เป็นการส่งออกสุกรพันธุ์ รวม 2,444 ตัว มูลค่า 15.69 ล้านบาท สำหรับการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์รวมทั้งสิ้น 19,596.66 ตัน มูลค่า 2,247.03 ล้านบาท เป็นหนังฟอก 11,998.59 ตัน เนื้อสุกร 984.41 ตัน เนื้อสุกรแปรรูป 6,430.31 ตัน
การนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มูลค่ารวม 1,916.41 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ 4.24 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าชิ้นส่วนอื่นของสุกร จำนวน 66,745.05 ตัน ประกอบด้วย หนังสุกร และเครื่องในสุกร
นอกจากนี้ ยังได้รับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมการต้นทุนการผลิตสุกร เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 รวมถึงมาตรการป้องกันปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าสุกร โดยมีปริมาณการเข้าตรวจสอบห้องเย็นทั่วประเทศ จำนวน 428 ครั้ง ได้ดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรมาขายในประเทศ โดยมีการดำเนินคดี 29 คดี ของกลางจำนวน 1,069,954 กิโลกรัม (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ธ.ค. 65) ทำลายไปแล้ว 75,886 กิโลกรัม มีแผนทำลาย (เดือน ธ.ค. 65) 994,068 กิโลกรัม มูลค่า 123,800,224 บาท
ในส่วนของมาตรการควบคุม ป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยมีการเฝ้าระวังเชิงรับและเชิงรุก ทั้ง พ.ร.บ. โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ (E-smart surveillance) การเฝ้าระวังทางอาการ การเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการสุกรในโรงฆ่าหรือสุกรเคลื่อนที่ เป็นต้น รวมถึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์การลงเลี้ยงสุกรใหม่ ที่ต้องผ่านการอบรมการเลี้ยงและป้องกันโรคปีละ 1 ครั้ง ในรัศมี 5 กม. ไม่มีรายงานโรคอย่างน้อย 30 วัน และเป็นฟาร์ม GFM ขึ้นไป หรือได้รับการประเมินฟาร์มเบื้องต้นตามแบบ ฟป.2 เป็นต้น และรับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีน้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาระบบการติดตามยานพาหนะบรรทุกสัตว์และซากสัตว์ผ่านระบบ GPS Tracking ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการตลาดด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสัตว์-ซากสัตว์ได้ เพื่อเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด และโครงการยกระดับ ปรับระบบการจัดการ และส่งเสริมการเลี้ยงสุกรรายย่อย – เล็ก เพื่อยกระดับ ปรับระบบการจัดการ และอบรมการเลี้ยงสุกร พัฒนาระบบป้องกันและควบคุมโรค ASF และโรคที่สำคัญในสุกร ที่ฟาร์มเกษตรกร และสนับสนุนสุกรขุนแก่เกษตรเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ และเป็นอาชีพที่ยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62844 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้โดยไม่ถือเป็นวันลา
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธ.ค. 2565 ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ระหว่างวันที่ 26 ธ.ค. 2565 - 9 ม.ค. 2566
ทั้งนี้ โครงการบรรพชาอุปสมบทฯ ครั้งนี้ จะดำเนินการโดยกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ให้หายจากอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน และเป็นการแสดงความจงรักภักดีโดยการเจริญจิตภาวนา อีกทั้งเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมอุปสมบทได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยการบรรพชาอุปสมบทจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธ.ค. 2565 - 9 ม.ค. 2566 รวมเวลา 15 วัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เคยลาบรรพชาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้วก็สามารถบรรพชาอุปสมบทในครั้งนี้ได้อีก และการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้จะไม่เป็นเหตุให้เสียสิทธิในการลาบรรพชาอุปสมบทตามปกติในอนาคตด้วย
สำหรับขั้นตอนดำเนินโครงการ กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จะเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างวันที่ 19-22 ธ.ค. 2565 และมีการเตรียมการก่อนบรรพชาอุปสมบท ในวันที่ 23-24 ธ.ค. 2565 มีพิธีปลงผม ในวันที่ 25 ธ.ค. 2565 และบรรพชาอุปสมบทในวันที่ 26 ธ.ค. 2565 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62879 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-ครม ร่วมส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566 วธ.จัดสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลใหญ่ ทั่วไทย-ทั่วโลก จัดมหกรรมฯ คืนความสุขให้ท้องถิ่น ส่ง E-card มอบคำขวัญอวยพร ชวนฟังดนตรีในสวน | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกรัฐมนตรี-ครม ร่วมส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566 วธ.จัดสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลใหญ่ ทั่วไทย-ทั่วโลก จัดมหกรรมฯ คืนความสุขให้ท้องถิ่น ส่ง E-card มอบคำขวัญอวยพร ชวนฟังดนตรีในสวน
นายกรัฐมนตรี-ครม ร่วมส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566 วธ.จัดสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลใหญ่ ทั่วไทย-ทั่วโลก จัดมหกรรมฯ คืนความสุขให้ท้องถิ่น ส่ง E-card มอบคำขวัญอวยพร ชวนฟังดนตรีในสวน ต้อนรับลมหนาว แจกหนังสือ
นายกรัฐมนตรี-ครม ร่วมส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566 วธ.จัดสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลใหญ่ ทั่วไทย-ทั่วโลก จัดมหกรรมฯ คืนความสุขให้ท้องถิ่น ส่ง E-card มอบคำขวัญอวยพร ชวนฟังดนตรีในสวน ต้อนรับลมหนาว แจกหนังสือ พร้อมชวนศึกษาประวัติศาสตร์เข้าอุทยาน-พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ฟรี
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ครม. ร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่วธ. ให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชมวีดิทัศน์สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 เปิดแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เขียนและส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) อวยพรปีใหม่ 2566 จากนั้นชมชุดของขวัญผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย CPOT ประเภทผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสุขภาพ ด้วย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อสืบสาน รักษาและต่อยอดอย่างยั่งยืน และส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม สร้างจิตสำนึก ค่านิยมและวิถีชีวิตที่ดีงามในสังคมไทยผ่านกิจกรรม โครงการ สื่อต่างๆ ไปสู่ประชาชน มุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG และผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทย เช่น งานฝีมือและหัตถกรรม ศิลปะการแสดง อาหารไทย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดังนั้น จึงได้จัดทำปฏิทินโครงการของวธ. เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ภายใต้ชื่อโครงการ “ส่งสุขวิถีไทย รับปีใหม่ 2566” อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ชวนทำ E-card อวยพรปีใหม่ 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.m-culture.go.th และ Facebook กระทรวงวัฒนธรรม จัดจำหน่ายชุดของขวัญผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT ประเภทผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสุขภาพ ณ ร้านค้าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : CPOT และการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วัดพระธาตุนาดูน จังหวัดมหาสารคาม สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งความสุขแก่ประชาชน กรมการศาสนา จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดทั่วประเทศ ตลอดจนวัดไทยในต่างประเทศและวัดต่างๆ ทั่วโลก และกิจกรรมตักบาตรต้อนรับปีใหม่ 2566 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ 4 ภาค ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ณ บ้านศิลปินหรือหอศิลป์แหล่งเรียนรู้แต่ละภาค กรมศิลปากร จัดนิทรรศการ ส.ค.ส./ปฏิทินไทย และการเสวนาทางวิชาการ ณ หอสมุดแห่งชาติ จัดการแสดงดนตรีสำหรับประชาชน ณ สังคีตศาลา เปิดอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง ให้เข้าชมฟรี 31 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 รณรงค์ให้หนังสือเป็นของขวัญปีใหม่ : “ปีใหม่ ให้หนังสือ” ในราคาพิเศษ เปิด Night at the museum อีกทั้งชวนร่วมกิจกรรมสักการะพระพุทธปฏิมา ณ วังหน้ามงคลพุทธคุณ
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า สำหรับ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ชวนทำ E-card อวยพรปีใหม่ 2566 www.ocac.go.th เรียนรู้ดูหอศิลป์ ในงาน “Christmas in Library” เปิดหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ชมผลงานศิลปะ และเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ภาพวาดสีน้ำ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ชวนชมการแสดงผลงานทัศนศิลป์ศิษย์เก่า วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี การแสดง “รื่นเริงสุขสันต์ รับขวัญปีใหม่ 2566” จากลพบุรี และงาน Amazing Night Sukhothai Countdown 2023 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ศูนย์คุณธรรม ผลิตสื่อ Moral Game “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” ให้ประชาชนร่วมสนุกด้วยการตอบคำถามหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราวความดีในช่วงวันปีใหม่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผลิตสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน "สัมมาทิฏฐิ ทะลุมิติมายา" เพื่อเผยแพร่สื่อคุณธรรมที่ดีและสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชัน สนุกสนาน เข้าใจง่าย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ชวนฟัง “ดนตรีในสวน” ต้อนรับลมหนาว บริเวณลานละลาน จากคณะดุริยางค์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมสนุกกิจกรรมแจกหนังสือที่ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หอภาพยนตร์ จัดงานมายาไนท์ ครั้งที่ 3 เปิดเมืองมายาในยามค่ำคืนประดับไฟ ให้ผู้สนใจมารับลมหนาวเที่ยวเล่นถ่ายรูปในเมืองจำลองประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ จัดฉายภาพยนตร์ โปรแกรม "หม่อมน้อยรำลึก" 7 เรื่อง ปิดท้ายสิ้นปี ด้วยการฉายภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของวาระชีวิตของหม่อมหลวงพันธุ์นพ เทวกุล เรื่อง "มายาพิศวง" ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62870 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงยุติธรรม 24 กิจกรรม ไกล่เกลี่ยหนี้ ป้องกันหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ เพิ่มช่องทางความรู้กฎหมาย เพิ่มความปลอดภัยช่วงปีใหม่ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงยุติธรรม 24 กิจกรรม ไกล่เกลี่ยหนี้ ป้องกันหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ เพิ่มช่องทางความรู้กฎหมาย เพิ่มความปลอดภัยช่วงปีใหม่
ครม.เห็นชอบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 จากกระทรวงยุติธรรม 24 กิจกรรม ไกล่เกลี่ยหนี้ ป้องกันหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ เพิ่มช่องทางความรู้กฎหมาย เพิ่มความปลอดภัยช่วงปีใหม่ และบังคับใช้กฎหมายให้สังคมปลอดภัย
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เห็นชอบและรับทราบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 ตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอ จำนวน 24 กิจกรรม อาทิ เช่น
1. บริการสานสุข 10 กิจกรรม เช่น
1.1 ไกล่เกลี่ยทั่วไทยสุขใจปีใหม่ เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ได้เจรจากัน ด้วยความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย ลดปัญหาหนี้สิน ส่งผลให้ลูกหนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
1.2 กิจกรรม “LED-Care” ลงพื้นที่พบปะประชาชน ให้คำปรึกษากฎหมาย ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ บทบาท ภารกิจ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.3 แอปพลิเคชัน “เช็คดิ” DSI ตรวจสอบการหลอกชักชวนลงทุนเฉพาะกิจแชร์ลูกโซ่ โดยสามารถประเมินความเสี่ยงที่บุคคล บริษัท หรือองค์กรที่เข้ามาชักชวน ให้เข้าร่วมลงทุนว่าเข้าข่ายลักษณะแชร์ลูกโซ่หรือไม่ แบบเบ็ดเสร็จในแอปพลิเคชันเดียว
1.4 กิจกรรมการลดราคาผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์และบริการอาหารเครื่องดื่ม โดยให้เรือนจำ/ทัณฑสถาน ดำเนินการลดราคาผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์และบริการอาหารเครื่องดื่มตามความเหมาะสม
2. ปีใหม่...ให้ความรู้คู่ความสุข 7 กิจกรรม เช่น
2.1 ยุติธรรมสร้างสุข ส่งสุขให้กับประชาชน โดยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการขอรับคำปรึกษากฎหมายและการยื่นคำขอรับบริการ เช่น สายด่วน 1111 กด 77 แอปพลิเคชัน Justice care หรือศูนย์ยุติธรรมชุมชน และผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ
2.2 สนับสนุนการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน ในเดือน ธ.ค. 65 - ม.ค. 66 และพัฒนาระบบยื่นคำขอ กรณีสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
2.3 ส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 โดยการนำสื่อความรู้กฎหมายในรูปแบบสมุดอินโฟกราฟฟิกกฎหมาย ฉบับพกพา และสื่อความรู้กฎหมายอื่น ๆ มอบให้กับประชาชน รวมถึงแนะนำช่องทาง การเข้าถึงความรู้กฎหมาย และการขอรับความช่วยเหลือบริการงานยุติธรรมของ ยธ.
3. ปีใหม่ปลอดภัย 3 กิจกรรม เช่น การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 66 โดยนำผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานบริการสังคมปรับภูมิทัศน์ ตัดแต่งต้นไม้ บริเวณทางแยกและจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ การบังคับใช้กฎหมายและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขับรถขณะเมาสุรา และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และการสุ่มตรวจปัสสาวะ ในผู้ขับขี่รถโดยสารประจำทาง ภายใต้หัวข้อ “ปีใหม่สุขใจ เดินทางปลอดภัยไร้ยาเสพติด” ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) จตุจักร
4. กฎหมายดี... รับปีใหม่ 4 กิจกรรม เช่น
4.1 คุมประพฤติห่วงใย สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเตรียมการรองรับการมีผลบังคับใช้ของพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 ให้กรมคุมประพฤติเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามเฝ้าระวังพฤติกรรมของผู้พ้นโทษในความผิด 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเพศ กลุ่มความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย และกลุ่มความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ
4.2 กิจกรรม “เร่งรัดผลักดันการแก้ไขกฎหมายลดค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี” โดยดำเนินการผลักดันให้มีการแก้ไขร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉ. .. ) พ.ศ. .... (ในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี) ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ในการลดภาระทางการเงินของลูกหนี้ ลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม ทำให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62872 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM leads government officials and private sector to present floral offerings on occasion of Thai National Day and Father’s Day on December 5, 2022 | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
PM leads government officials and private sector to present floral offerings on occasion of Thai National Day and Father’s Day on December 5, 2022
PM leads government officials and private sector to present floral offerings on occasion of Thai National Day and Father’s Day on December 5, 2022
December 5, 2022, at 0830hrs, at Sanam Luang Royal Plaza, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha and Assoc. Prof. Naraporn Chan-o-cha, spouse, presided over the ceremony to present floral offerings and pay homage to H.M. King Bhumibol Adulyadej The Great on occasion of His Majesty’s birthday anniversary, Thai National Day, and the Father’s Day. Participating in the ceremony were the House Speaker, head of the Supreme Court and spouse, President of the Senate, heads of constitutional organizations and spouses, cabinet members and spouses, PM’s Secretary General, Bangkok Governor, commanders-in-chief and spouses, Commander of the Royal Thai Police, chiefs of public agencies and officials of equivalent-level, permanent secretary to Bangkok Metropolitan Administration, and the private sector.
Upon arrival at the Sanam Luang Royal Plaza, the Prime Minister paid homage in front of H.M. King Bhumibol Adulyadej The Great’s portrait, and offered two traditional cone-shaped floral receptacles, one for himself and the other, on behalf of members of the cabinet, while the Prime Minister’s spouse presented floral receptacle on behalf of spouses of cabinet members.
He, then, made a statement in remembrance of His Majesty to express reverence and profound gratitude over his immeasurable benevolence on occasion of His Majesty’s birthday anniversary and Father’s Day on December 5, 2022. The Prime Minister stressed that all the Thai people commit to perform good deeds for the Royal Father, and would remember His teachings, forever be humble subjects of the late King, and pledged to live up to His aspirations.
After the laudatory statement, he led the participants to bow 3 times before the House Speaker, head of the Supreme Court, President of the Senate, heads of constitutional organizations, PM’s Secretary General, Bangkok Governor, commanders-in-chief of the Military, Commander of the Royal Thai Police, chair of National Broadcasting and Telecommunication Commission, chair of Anti-Money Laundering board, chair of Public Sector Anti-Corruption Commission, chiefs of public agencies and officials of equivalent-level, permanent secretary to Bangkok Metropolitan Administration, and the private sector presenting floral receptacles on behalf of respective agencies to complete the ceremony.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว.สร้างสะพานเชื่อมด้านวิทยาศาสตร์กับ รมว.วิทยาศาสตร์ เกาหลีใต้ ร่วมกันสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รมว.อว.สร้างสะพานเชื่อมด้านวิทยาศาสตร์กับ รมว.วิทยาศาสตร์ เกาหลีใต้ ร่วมกันสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า
รมว.อว.สร้างสะพานเชื่อมด้านวิทยาศาสตร์กับ รมว.วิทยาศาสตร์ เกาหลีใต้ ร่วมกันสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ศ.(พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารจากกระทรวง อว.และ ดร.วิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เข้าเยี่ยมคารวะและหารือกับ นายลีจองโฮ (Mr. Lee Jong Ho) รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยเมื่อเริ่มการเจรจา ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่อิแทวอน กรุงโซล และขอแสดงความไว้อาลัยต่อการสูญเสียแก่สาธารณรัฐเกาหลี มายังนายลีจองโฮมา ณ โอกาสนี้
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า หลังการหารือ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เปิดเผยว่า ตนและนายลีจองโฮ ได้ตกลงร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า ใน 5 ประเด็นสำคัญ คือ 1. งานทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ โดยจะเน้นความร่วมมือทางด้านการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการสร้างเศรษฐกิจและระบบนิเทศทางด้านอวกาศ ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ 2. การเจรจาหารือเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีใต้ถึงเรื่องการสร้างสถานีปล่อยยานอวกาศ (Spaceport) โดยประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการสร้างและมีความร่วมมือร่วมกันต่อไป 3. งานทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเกี่ยวกับทางด้านการแพทย์ ซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านการบริการการแพทย์เป็นเลิศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเกาหลีใต้มีความโดดเด่นทางด้านแพลตฟอร์มของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยประเทศไทยและเกาหลีใต้ สามารถที่จะมีความร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีในอนาคต 4. งานทางด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เน้นการสร้างองค์ความรู้ขั้นแนวหน้า ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน เพื่อร่วมมือกันสร้างและใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ 5. งานทางด้านการจัดการกับปัญหาภาวะเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยเน้นการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้า เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหา และในอนาคตไทยและเกาหลีใต้ ยังมีแผนในการสร้างความร่วมมือกันต่อไป
“ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเกาหลีใต้ โดย รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศตอบรับถึงความพร้อมของสาธารณรัฐเกาหลีที่จะร่วมมือในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” รมว.อว.กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อว. ร่วมหารือโครงการสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก มุ่งหวังผลิตภัณฑ์ไทยก้าวไกลสร้างประโยชน์ต่อโลก" | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
"อว. ร่วมหารือโครงการสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก มุ่งหวังผลิตภัณฑ์ไทยก้าวไกลสร้างประโยชน์ต่อโลก"
"อว. ร่วมหารือโครงการสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก มุ่งหวังผลิตภัณฑ์ไทยก้าวไกลสร้างประโยชน์ต่อโลก"
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุลรองปลัด อว., คณะผู้บริหาร อว., สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ต้อนรับศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภาพร้อมด้วยคณะผู้บริหารและผู้แทนจากมหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยนเรศวร และ บริษัท NEO CORPORATE CO.,LTD ร่วมหารือโครงการสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลกณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกกล่าวว่า สมุนไพรไทยมีอยู่มากมายหลากหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์และสรรพคุณที่ต่างกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการนำไปพัฒนาต่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สนับสนุนสมุนไพรไทยไปสู่สมุนไพรโลก ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีความก้าวหน้าร่วมด้วย และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือด้านการประชาสัมพันธ์ ที่ต้องคิดค้น หาแนวทางที่จะทำให้ตลาดโลกได้รับรู้สรรพคุณและประโยชน์ของสมุนไพรไทยได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า โครงการสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลกเป็นความตั้งใจของมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อที่จะนำสมุนไพรไทยไปสร้างประโยชน์ต่อโลก รวมถึงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญผ่านการนำผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่จะเกิดขึ้นนี้ไปจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62361 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เปิดมหกรรมเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย มหกรรมเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ 17 จังหวัดภาคเหนือ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ปลัด พม. เปิดมหกรรมเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย มหกรรมเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ 17 จังหวัดภาคเหนือ
ปลัด พม. เปิดมหกรรมเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย มหกรรมเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ 17 จังหวัดภาคเหนือ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65เวลา 09.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดมหกรรมเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย มหกรรมเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยมีพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย พร้อมทีม One Home พม. จังหวัดเชียงราย และผู้แทนหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ โรงเรียนผู้สูงอายุวัดหัวฝาย ตําบลสันกลาง อําเภอพาน จังหวัดเชียงราย
นายอนุกูล กล่าวว่า เครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุ ของประเทศไทยเกิดจากการร่วมกันของโรงเรียนผู้สูงอายุทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “ร่วมแรง ร่วมใจ ผู้สูงวัย กายใจ เบิกบาน” ซึ่งโรงเรียนผู้สูงอายุเป็นรูปแบบหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นทักษะชีวิตที่จําเป็นที่ใช้ในชีวิตประจําวัน อีกทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ ถ่ายทอดภูมิปัญญา เพื่อให้ผู้สูงอายุได้แสดงศักยภาพ ด้วยการถ่ายทอด ภูมิความรู้ประสบการณ์ที่สั่งสมแก่บุคคลอื่น เป็นการสืบสานภูมิปัญญาให้คงคุณค่าอยู่คู่กับชุมชนและสังคมตลอดไป
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้รับ ความเมตตาจากพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เป็นพี่เลี้ยงในการขับเคลื่อนโรงเรียนผู้สูงอายุทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนทั้งสิ้น 2,404 แห่ง โดยแบ่งออกเป็นภาคเหนือ จํานวน 835 แห่ง ภาคกลาง จํานวน 475 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 804 แห่ง ภาคใต้ จํานวน 290 แห่ง สำหรับจังหวัดเชียงราย มีเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุมากที่สุด จํานวนทั้งสิ้น 162 แห่ง และมีชมรมคลังปัญญาผู้สูงอายุ จํานวน 18 อําเภอ ปัจจุบัน การดําเนินกิจกรรมของเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุครอบคลุมกิจกรรมใน 5 มิติ ได้แก่ 1) ด้านสุขภาพ 2) ด้านเศรษฐกิจ 3) ด้านสังคม การศึกษา วัฒนธรรม และประเพณี 4) ด้านสภาพแวดล้อมและการบริการสาธารณะ และ 5) ด้านนวัตกรรม
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานของโรงเรียนผู้สูงอายุภาคเหนือ ตลอดจนร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสในชุมชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโนบายของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM congratulates Thai youths for winning at World Robot Olympiad 2022 | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
PM congratulates Thai youths for winning at World Robot Olympiad 2022
PM congratulates Thai youths for winning at World Robot Olympiad 2022
Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that on December 6, 2022, at 0900hrs, Minister of Higher Education, Science, Research and Innovation Anek Laothamatas led a group of people, comprising president of National Science Museum Thailand Rawin Raviwongse, Governor of Lampang province Chatchawan Chayabutr, CEO of Gammaco (Thailand) Co., Ltd. Jakarin Chantravisoot, and representatives of Thai youths (Teams “ThaiHerbGood” and “PANYA ROBOT”) who attended the World Robot Olympiad 2022, to pay a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Participating in the meeting were Minister of Interior Gen. Anupong Paojinda and PM’s Secretary General Distat Hotrakitya.
The Prime Minister congratulated the success of both teams, as “ThaiHerbGood”, represented by students from Assumption Suksa School Lampang Campus, won the 1st place under Robo Mission Senior category, and “PANYA ROBOT”, represented by students from Panya Robot Academy, won the 2nd place under Robo Sports category. The World Robot Olympiad 2022 was held in Dortmund, Germany in November 2022. He commended the students for bringing pride to the country, and hoped they would build upon this success and achieve their dream goal. The Prime Minister was also presented with his portrait drawn by a Grade-5 student from Assumption Suksa School Lampang Campus.
As for the next project, National Science Museum, in collaboration with Gammaco (Thailand) Co., Ltd., will organize a robot competition: the “FIRST LEGO League Thailand 2022/2023” for students from the elementary and secondary levels during February 2-4, 2023. Further detail may be obtained at the website: www.nsm.or.th, or Facebook : NSMThailand.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62362 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 เดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บูรณาการด้านไฟฟ้าร่วมลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซื้อ-ขาย100 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 เดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บูรณาการด้านไฟฟ้าร่วมลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซื้อ-ขาย100 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง
ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 เดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บูรณาการด้านไฟฟ้าร่วมลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซื้อ-ขาย100 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง ระหว่างปี 65-66 เชื่อมโยงท่อก๊าซอาเซียนข้ามพรมแดน
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) วันที่ 6 ธันวาคม 2565 รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 13-16 กันยายน 2565 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม โดยสรุปสาระสำคัญที่ประชุม รัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ได้รับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมฯ เช่น
1.ด้านไฟฟ้า มีการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (รวม 16 โครงการ ณ เดือน กันยายน 2564 ) โดยมีกำลังไฟฟ้าที่ถ่ายเทระหว่างประเทศสมาชิกรวม 26,644 - 30,114 เมกะวัตต์ และดำเนินโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ได้สำเร็จ โดยกำหนดปริมาณการซื้อ-ขายไฟฟ้าสูงสุดที่ 100 เมกะวัตต์ชั่วโมง ระหว่างปี 2565-2566
2. ด้านก๊าซธรรมชาติ มีการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซอาเซียน มุ่งเน้นการพัฒนาตลาดก๊าซร่วมสำหรับภูมิภาค การขยายการเชื่อมโยงและการเข้าถึงก๊าซธรรมชาติ และการติดตามความคืบหน้า ในการพัฒนาท่อส่งก๊าซข้ามพรมแดน
3. ด้านถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด มีจัดการประชุมของผู้แทนระดับสูงอาเซียน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 เพื่อรวบรวมแนวทางและนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยี ลำดับ ชื่อเรื่อง/สาระสำคัญ/ข้อเสนอแนะ ถ่านหินสะอาด และเทคโนโลยีการดักจับ การกักเก็บ และการใช้ประโยชน์คาร์บอน เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการด้านถ่านหินของอาเซียนให้เป็นทิศทางเดียวกัน
4. ด้านพลังงานหมุนเวียน สถานะของการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน ในปี 2563 สัดส่วนพลังงานทดแทนเมื่อเทียบกับปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้ ของอาเซียนอยู่ที่ร้อยละ 14.2 ซึ่งอาเซียนตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 23 ในปี 2568
5. ด้านนโยบายและแผนพลังงานของภูมิภาค ในปี 2565 ได้ริเริ่มความร่วมมือระหว่างอาเซียน ในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสกับองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรปและธนาคาร เพื่อการพัฒนาเอเชีย เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอาเซียนอย่างยั่งยืน และพัฒนาทางการเงิน
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ส่วนการประชุมอื่น ๆ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 โดยมุ่งเน้นความร่วมมือ ด้านความมั่นคงทางพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีใหม่ เกี่ยวกับพลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ
การประชุม รัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 16 ยังได้หารือเกี่ยวกับ ความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างยั่งยืนและเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอแนวทางการจัดทำแผนพลังงานชาติและแสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมความร่วมมือ กับประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเพื่อสนับสนุน ความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานในภูมิภาคร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ได้เสนอโครงการ Southeast Asia Smart Power Program ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการด้านพลังงานสะอาด ในภูมิภาคและยกระดับการเชื่อมโยงทางพลังงานและส่งเสริมการค้าพลังงานแบบ พหุภาคีในภูมิภาค และการประกาศผลรางวัลดีเด่นด้านพลังงานอาเซียน ประจำ 2565 ไทยมีผู้รับรางวัลทั้งสิ้น 23 รางวัล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62367 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. เปิดงานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง โดย มทร.สุวรรณภูมิ หนุนชุมชนฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. เปิดงานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง โดย มทร.สุวรรณภูมิ หนุนชุมชนฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง
ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. เปิดงานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง โดย มทร.สุวรรณภูมิ หนุนชุมชนฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ลานแสดงวัฒนธรรม ในวัดเขาพระศรีสรรเพชญาราม ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี นายเสกสรร ถนอมกิตติ นายอำเภออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี กล่าวต้อนรับ ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสเดินทางมาเปิดงานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง ภายใต้โครงการ “การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การฟื้นคืนเมือง โบราณทวารวดีอู่ทอง ในเขตพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” ซึ่งมีการเสวนาการฟื้นคืนเมืองโบราณอู่ทอง จากการบูรณาการจากทุกฝ่าย อาทิ รองศาสตราจารย์ ดร. ประมุข อุณหเลขกะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ , นายธีรวัฒน์ บุญสม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ , ผศ. ดร.วารุณี ศรีสงคราม หัวหน้าโครงการวิจัย , นายประยูร อสัมภินพงศ์ ประธานชมรมเมืองโบราณอู่ทอง , กรมศิลปากร และ อพท.
ซึ่งโครงการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง เป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการวิจัยการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทอง ในเขตพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ตามแผนงานวิจัยการยกระดับผลิตภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วารุณี ศรีสงคราม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 การนำชุมชนวัดเขาพระฯ มาสร้างเป็นมูลค่าที่สะท้อนผ่านสื่อดิจิทัลของแหล่งการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ชุมชน ระยะที่ 2 การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีการบริการและระบบบริหารรายงานนักท่องเที่ยว (Tourist Service and Management Technology) โดยใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงานแบบออนไลน์ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนในการใช้นวัตกรรมนี้ให้เหมาะสมกับชุมชนและภาคีที่เกี่ยว ด้วยรูปแบบเว็ปแอปพิเคชั่น (Web application) ในการเข้าเที่ยวจุดต่าง ๆ ในชุมชน สร้างระบบการติดตามนักท่องเที่ยวให้กับผู้ดูแลสถานที่ในการเฝ้าระวังผ่านระบบออนไลน์ และในระยะที่ 3 เป็นการขยายผลและปรับปรุงแก้ไขนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มีความสมบูรณ์และเกิดประสิทธิภาพกับชุมชนอู่ทอง และการใช้เทคโนโลยีการฟื้นคืนแหล่งท่องเที่ยวในอำเภออู่ทองให้กลับคืนมามีชีวิตและพัฒนานวัตกรรม การตลาดที่เชื่อมโยงชุมชนและภาคธุรกิจกับแอพพลิเคชั่น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีความสนใจรูปแบบการท่องเที่ยว เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน และ ทุกคนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมได้ทุกเพศ ทุกวัย
ทางด้าน ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่าสำหรับ โครงการ “งานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทองภายใต้โครงการ การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การฟื้นคืนเมือง โบราณทวารวดีอู่ทอง ในเขตพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” ซึ่งจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ นี้ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวและการฟื้นคืนเมืองโบราณอันเป็นสมบัติล้ำค่า ของผืนแผ่นดินไทย และดำเนินงานตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาจนเกิดกิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีและวัฒนธรรมชุมชนเป็นอย่างดียิ่ง และเป็นเอกลักษณ์ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการสร้างองค์ความรู้จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ถือได้ว่าการจัดงานการฟื้นคืนเมืองโบราณทวารวดีอู่ทองในครั้งนี้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ที่สัมผัสได้ในเชิงประจักษ์อันจะทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางสังคมหลากมิติ ที่มีการผนวกประวัติศาสตร์ที่สำคัญ สู่นวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62353 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.