title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เผยทุกพื้นที่ต่างพร้อมใจแสดงความจงรักภักดี จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
26/12/2565
ปลัดมหาดไทย เผยทุกพื้นที่ต่างพร้อมใจแสดงความจงรักภักดี จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน
ปลัดมหาดไทย เผยทุกพื้นที่ต่างพร้อมใจแสดงความจงรักภักดี จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักพระราชวังได้มีแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร นำมาซึ่งความห่วงใยของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกศาสนิก โดยในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ได้มีการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่พระองค์ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน โดยในห้วงวันที่ 24-25 ธ.ค. 65 มีหลายพื้นที่จัดพิธีฯ อาทิ
1. จังหวัดนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางพิชานันท์ เผือกผ่อง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช นำหัวหน้าส่วนราชการ พี่น้องประชาชน ร่วมตักบาตรวันอาทิตย์ และรวมใจตั้งจิตอธิษฐานถวายสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
2. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่วัดมหาธาตุ (พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมืองเพชรบูรณ์ นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พร้อมด้วยพสกนิกรชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
3. จังหวัดจันทบุรี ที่สนามสามเหลี่ยมทุ่งนาเชย อำเภอเมืองจันทบุรี นายมนต์สิทธ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “มหาทานครั้งยิ่งใหญ่” ไถ่ชีวิตโค กระบือ ปล่อยปลา เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิรา เทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากอาการประชวรโดยเร็ว โดยมีนางวันเพ็ญ มณีเวศย์วโรดม ประธานชมรมกัลยาณมิตร จังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน และเยาวชนร่วมพิธี
4. จังหวัดสกลนคร ที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลชุมชนท่าแร่ อ.เมืองสกลนคร คริสตศาสนิกชนคาทอลิก ชุมชนท่าแร่ จ.สกลนคร ได้สืบสานพิธีแห่ดาวเล็ก และพิธีมิสซา โดยคุณพ่ออันตนวีระเดช ใจเสรี พระอัครสังฆราชแห่งอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง นำผู้ร่วมพิธีประกอบพิธี และร่วมอธิฐานจิตถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวทางวัดต่าง ๆ ในความปกครองของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร และจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ร่วมอธิฐานจิต ส่งกำลังใจแด่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในกิจกรรมพิธีสวดมนต์ของทางวัดเป็นประจำในทุกวันอาทิตย์
5. จังหวัดสุโขทัย ที่วัดทุ่งพล้อ ต.ป่างิ้ว อ.ศรีสัชนาลัย นายนิรันดร์ พรมละ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยได้รับเมตตาจากคณะสงฆ์อำเภอศรีสัชนาลัย ร่วมประกอบพิธี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีสัชนาลัย เจ้าหน้าที่ อบต.ป่างิ้ว เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ป่างิ้ว รพ.สต.แม่ราก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และประชาชนในพื้นที่ตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย รวมจำนวน 150 คน เข้าร่วมพิธี
6. จังหวัดนครพนม ที่วัดโพธิ์ศรี ต.ในเมือง อ.เมืองนครพนม พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระครูโพธิกิจวิมล เจ้าคณะตำบลในเมือง เขต 1 เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้ทรงหายจากอาการประชวร โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนชาวจังหวัดนครพนม และจิตอาสา
7. จังหวัดตาก ณ วัดนาโบสถ์ ตำบลนาโบสถ์ อำเภอวังเจ้า นายอนุรักษ์ นิลน้อย กำนันตำบลนาโบสถ์ ร่วมกับคณะสงฆ์อำเภอวังเจ้านำโดยพระครูสิริสุตวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอวังเจ้า จัดกิจกรรมโครงการธรรมะสัญจร ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา แผ่เมตตา และเทศนาเพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมีคณะสงฆ์อำเภอวังเจ้า ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน คณะครูโรงเรียนนาโบสถ์พิทยาคม และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งพี่น้องประชาชนจะนิยมประกอบกิจกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลร่วมกับครอบครัว อาทิ การทำบุญใส่บาตร การร่วมรับประทานอาหารในหมู่ญาติมิตร และกิจกรรมอื่น ๆ โดยพี่น้องประชาชนทุกคนสามารถร่วมกันอธิษฐานจิตเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่กำลังจะถึงนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยข่าวปลอมกลุ่มนโยบายรัฐ จำนวนมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมกรุงไทยส่ง SMS ให้แก้ไขรหัสผ่านบัญชีธนาคารผ่านลิงก์ ขึ้นแท่นอันดับ 1 | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เผยข่าวปลอมกลุ่มนโยบายรัฐ จำนวนมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมกรุงไทยส่ง SMS ให้แก้ไขรหัสผ่านบัญชีธนาคารผ่านลิงก์ ขึ้นแท่นอันดับ 1
ดีอีเอส เผยข่าวปลอมกลุ่มนโยบายรัฐ จำนวนมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมกรุงไทยส่ง SMS ให้แก้ไขรหัสผ่านบัญชีธนาคารผ่านลิงก์ ขึ้นแท่นอันดับ 1
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมสัปดาห์ล่าสุด พบข่าวปลอมมากกว่าครึ่ง อยู่ในกลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาล ตามด้วยข่าวปลอมกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขณะที่ข่าวปลอมโควิด-19 ยังอยู่ในกระแสที่ 6 ข่าว
นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า สรุปผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 16-22 ธันวาคม 2565 โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบว่ามีข้อความที่เข้ามาจำนวน 5,184,582 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 282 ข้อความ แบ่งเป็นข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 249 ข้อความ และข้อความที่มาจาก Line Official จำนวน 33 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 123 เรื่อง
ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 65 เรื่อง
กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 38 เรื่อง
กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องเศรษฐกิจ จำนวน 11 เรื่อง
กลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 9 เรื่อง
สำหรับข่าวปลอมทั้ง 4 กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิค-19 จำนวน 6 เรื่อง
นางสาวนพวรรณ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจสูงสุด 10 อันดับระหว่างวันที่ 16-22 ธันวาคม ดังนี้
อันดับที่ 1 เรื่อง กรุงไทยส่ง SMS ให้แก้ไขรหัสผ่านบัญชีธนาคารผ่านลิงก์
อันดับที่ 2 เรื่อง ผลิตภัณฑ์ LUTA ช่วยบำรุงสายตา ชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ต้านอาการอักเสบ บรรเทาอาการตาแห้ง และช่วยกรองแสงสีฟ้าได้
อันดับที่ 3 เรื่อง ประกาศพื้นที่สีแดง 47 จังหวัด พายุระดับ 3 พุ่งเข้าถล่มไทย
อันดับที่ 4 เรื่อง วิธีการรักษากระดูกทับเส้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
อันดับที่ 5 เรื่อง วิธีตรวจระดับความเสื่อมของสมอง ด้วยการกดและขยับเคลื่อนไหวนิ้ว
อันดับที่ 6 เรื่อง เคี้ยวเมล็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน
อันดับที่ 7 เตรียมรับมือมรสุมเริ่มขึ้นฝั่ง พายุรุนแรงระดับ 5 พุ่งเป้าถล่มไทย
อันดับที่ 8 เรื่อง กรมการขนส่งทางบกเปิดทำใบขับขี่ออนไลน์ ประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์และรถบรรทุก
อันดับที่ 9 เรื่อง การทำแมมโมแกรม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม
อันดับที่ 10 เรื่อง โครงการวินัยดีมีเงิน รับ 500 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ 2566
“ข่าวปลอมเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดีอีเอส ขอให้ประชาชน ระมัดระวังการรับรู้ข่าวสารที่ส่งมาถึงท่านทุกช่องทาง ดีอีเอสให้ความสําคัญในการตรวจสอบข่าวปลอม และตระหนักถึงผลกระทบของข่าวปลอมที่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างมาก ขอให้ประชาชนอย่างหลงเชื่อข่าวปลอมที่มีการแพร่ระบาดในทุกช่องทางทั้งจากโชเชียลมีเดีย โทรศัพท์ หากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปรกติ ผ่านโชเชียลมีเดีย เอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ท่านสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/
ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ” นางสาว นพวรรณ กล่าว
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63101 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง แนะนำเส้นทางเลือกจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวง แนะนำเส้นทางเลือกจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
เพื่อให้ผู้ใช้ทางได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง พร้อมรณรงค์ “ขับไม่ดื่มดื่มไม่ขับ”
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 2 มกราคม 2566 เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางและหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลดังกล่าว ตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีความห่วงใยประชาชนในการเดินทาง กรมทางหลวง (ทล.) จึงได้แนะนำเส้นทางเลือกบนทางหลวงสายหลักและสายรอง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี ดังนี้
1. เส้นทางกรุงเทพฯ - ภาคเหนือ
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ไปรังสิต (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - จังหวัดอ่างทอง - จังหวัดสิงห์บุรี (ทล.32 ถนนสายเอเชีย) - อำเภอมโนรมย์ (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดนนทบุรี (ทล.340 บางบัวทอง - สุพรรณบุรี) - จังหวัดสุพรรณบุรี (ทล.340 สุพรรณบุรี - ชัยนาท) - จังหวัดชัยนาท (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์ - หมวดทางหลวงแม่แตง ทล.1095 ตอน หนองโค้ง - กิ่วคอหมา กม. ที่ 14+584
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯ ไปรังสิต - อำเภอวังน้อย - จังหวัดสระบุรี - จังหวัดลพบุรี (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - อำเภอตากฟ้า (ทล.11) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลก
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯ ไปรังสิต - ต่างระดับคลองหลวง (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - เชียงรากน้อย (ทล.3214) - ทล.347 - ทล.32 จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคเหนือ
- เส้นทางที่ 5 จากกรุงเทพฯ ไปวงแหวนตะวันออก (ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9) - ต่างระดับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) - อำเภอวังน้อย (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - ถนนโรจนะ (ทล.309) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ ทล.32 จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคเหนือ
2. เส้นทางกรุงเทพฯ - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดสระบุรี (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - ตำบลม่วงค่อม จังหวัดลพบุรี (ทล.21) - ตำบลห้วยบง (ทล.2256) - อำเภอด่านขุนทด (ทล.2148) - ทล.2 ถนนมิตรภาพ จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ไปอำเภอวังน้อย (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - จังหวัดสระบุรี - อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว (ทล.2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดนครนายก (ทล.305) - อำเภอบ้านนา (ทล.3051) - อำเภอแก่งคอย (ทล.3222) - อำเภอปากช่อง (ทล.2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา หรือ จากอำเภอบ้านนาไร่ใช้ ทล.33 - อำเภอกบินทร์บุรี มุ่งหน้าสู่อำเภออรัญประเทศ
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดฉะเชิงเทรา (ทล.314 หรือ ทล.304) - อำเภอพนมสารคาม - อำเภอกบินทร์บุรี - อำเภอวังน้ำเขียว - อำเภอปักธงชัย (ทล.304) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางที่ 5 จากกรุงเทพฯ ไปอำเภอวังน้อย (ทล.1 ถนนพหลโยธิน) - จังหวัดสระบุรี - อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว (ทล.2 ถนนมิตรภาพ) - ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (ทางเบี่ยงที่ กม. 65+900) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
3. เส้นทางกรุงเทพฯ - ภาคตะวันออก
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชลบุรี (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สาย กรุงเทพฯ - ชลบุรี - พัทยา - มาบตาพุด)
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ไปอำเภอบางปะกง (ทล.34 ถนนเทพรัตน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ ทล. 3 ถนนสุขุมวิท
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯ ไปอำเภอพนัสนิคม - จังหวัดชลบุรี (ทล.304)
- เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯ ไป ทล. 34 ถนนเทพรัตน - ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา - ชลบุรี)จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ ทล. 3 ถนนสุขุมวิท
4. เส้นทางกรุงเทพฯ - ภาคใต้
- เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดสมุทรสาคร - จังหวัดสมุทรสงคราม (ทล.35 ถนนพระราม 2) - แยกวังมะนาว - จังหวัดเพชรบุรี (ทล.4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ไปอำเภอสามพราน - อำเภอนครชัยศรี - จังหวัดนครปฐม - จังหวัดราชบุรี - แยกวังมะนาว - จังหวัดเพชรบุรี (ทล.4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯ ไปถนนบรมราชชนนี (ทล.338 ปิ่นเกล้า - นครชัยศรี) - อำเภอนครชัยศรี - จังหวัดนครปฐม - จังหวัดราชบุรี - แยกวังมะนาว - จังหวัดเพชรบุรี (ทล.4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้น มุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทั้งนี้ ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางขับไม่ดื่มดื่มไม่ขับ วิถีชีวิตใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63100 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดและแสดงปาฐกถาการสัมมนาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งที่ 19 ณ วัดศรีสุดารามฯ พร้อมขับเคลื่อนงานศาสนาทุกมิติสร้างความมั่นคงแก่ประเทศชาติ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดและแสดงปาฐกถาการสัมมนาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งที่ 19 ณ วัดศรีสุดารามฯ พร้อมขับเคลื่อนงานศาสนาทุกมิติสร้างความมั่นคงแก่ประเทศชาติ
ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดและแสดงปาฐกถาการสัมมนาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งที่ 19 ณ วัดศรีสุดารามฯ พร้อมขับเคลื่อนงานศาสนาทุกมิติสร้างความมั่นคงแก่ประเทศชาติ
ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดและแสดงปาฐกถาการสัมมนาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งที่ 19 ณ วัดศรีสุดารามฯ พร้อมขับเคลื่อนงานศาสนาทุกมิติสร้างความมั่นคงแก่ประเทศชาติ
วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งที่ 19 เรื่อง การส่งเสริมพระพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม โดยมี พระเทพประสิทธิมนต์ เจ้าอาวาสวัดศรีสุดารามวรวิหาร นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ยงยุทธ วัชรดุลย์ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ ห้องประชุม วัดศรีสุดารามวรวิหาร กรุงเทพฯ
ปลัด วธ. กล่าวว่า สถาบันศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันหลักที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี สร้างสันติสุขในสังคม อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย อาจทำให้เกิดวิกฤตด้านคุณธรรม จริยธรรมของประชาชนหลายด้าน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ได้รับข่าวสารด้านศาสนาเชิงลบส่งผลต่อความศรัทธาที่เสื่อมถอยลง รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรมที่ดีงามด้านคุณธรรม การมีจิตสาธารณะ การเป็นพลเมืองดี ร่วมกับทำนุบำรุงศาสนาให้เข้มแข็ง ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2570) เน้นภาคีเครือข่ายพัฒนาสังคมคุณธรรม ส่งเสริมคุณธรรมหลัก 5 ประการ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา กตัญญู สร้างการรับรู้และความเข้าใจในพระพุทธศาสนา เกิดความมั่งคงทางสังคมของประเทศ
“ปัจจุบันกระทรวงวัฒนธรรมมีกิจกรรม โครงการต่างๆ ของกรมการศาสนาในการสนับสนุนให้เกิดศาสนทายาทในพระสงฆ์และประชาชนทั่วไป รวมสงเคราะห์พระภิกษุ สามเณรที่ประสบอุทักภัยต่างๆ ทั่วประเทศ มีการอบรมพัฒนาพระธรรมวิทยากรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถวายทุนการศึกษาแด่พระภิกษุสามเณรทุกระดับภายใต้กองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นต้น ที่สำคัญรัฐบาลมีการส่งเสริมอำนาจละมุน หรือ Soft Power ในทุกมิติ ดังนั้น ในมิติศาสนา วัฒนธรรม วธ.ได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวในมิติศาสนาและวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชน บนฐานของการเรียนรู้หลักธรรมทางศาสนา วัตรปฏิบัติของอริยสงฆ์ ส่งเสริมต่อยอดผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญา ความเชื่อ เคารพศรัทธาเชิงสร้างสรรค์ผ่านชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้าน วัด โรงเรียน กว่า 25,000 ชุมชนทั่วประเทศ โดยแต่ละปีจะคัดเลือกเป็น 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” เข้ารับโล่เชิดชูเกียรติจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วย”ปลัดวธ. กล่าว
ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าว นับตั้งแต่ วันที่ 25 ธันวาคม 2546 ที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการสัมมนา เรื่อง ความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซิ่งจัดโดยสมาคมความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทางคณะกรรมการฯ จึงกำหนดงานดังกล่าวทุกปี ต่อเนื่องปัจจุบันเป็นครั้งที่ 19 เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักวิชาการผู้มีความรู้ความสนใจ ได้ร่วมวิเคราะห์ ระคมสมองนำเสนอแผนงานส่งเสริมพระพุทธศาสนา และรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเยาวชน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และนำเสนอให้กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาวิธี และดำเนินการแก้ไขต่อไป
สำหรับการสัมมนาปีนี้ ประกอบด้วย การนำเสนอผลงานของสมาคมความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ในปี 2565 การอภิปราย เรื่อง "การส่งเสริมพระพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม โดยพระธรรมกิตติเมธี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ การปาฐกถาหัวข้อ "การส่งเสริมพระพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม" โดย พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม นอกจากนี้ยังมี การแบ่งกลุ่มอภิปรายย่อยเรื่อง การส่งเสริมพระพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63092 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีธุรกิจอาหารแช่แข็งไทยโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าโดยรวม 3 ปีกว่า 3 แสนล้านบาท | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
26/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีธุรกิจอาหารแช่แข็งไทยโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าโดยรวม 3 ปีกว่า 3 แสนล้านบาท
ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจอาหารแช่แข็งไทย 10 เดือนแรกปี 2565 เพิ่มขึ้น 84 %
วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบจากการรายงาน การเติบโตของธุรกิจอาหารแช่แข็งของประเทศไทย ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวม 3 แสนล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ไทยมีภาคธุรกิจอาหารแช่แข็งที่เติบโตดี ทั้งการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ และการส่งออก โดยในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารแช่แข็งในไทยทำมูลค่าการค้าโดยรวมได้ถึง 3 แสนล้านบาท ซึ่งช่วงเดือนมกราคม- ตุลาคม 2565 มีการจดทะเบียนนิติบุคคลในธุรกิจอาหารแช่แข็ง เพิ่มขึ้นถึง 84% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนไทยมีการลงทุนธุรกิจอาหารแช่แข็งในไทยเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทุน 48,091.14 ล้านบาท (ร้อยละ 86.20) ตามมาด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 3,629.82 ล้านบาท (ร้อยละ 6.51) , จีน มูลค่าการลงทุน 1,038.45 ล้านบาท (ร้อยละ 1.86) และ สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุน 813.89 ล้านบาท (ร้อยละ 1.46) ซึ่งในเดือน มกราคม-กันยายน 2565 มีสินค้า 8 ชนิดของอาหารแช่แข็งไทยจำพวกวัตถุดิบแช่แข็งที่ส่งออกไปต่างประเทศ มีมูลค่าการส่งออกอาหารแช่แข็งถึง 87,896 ล้านบาท ได้แก่ ผลไม้แช่แข็ง ผักสดแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ปลาหมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง เนื้อปลาและปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ปูสดแช่เย็นแช่แข็งนึ่งหรือต้ม ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และเป็ดสดแช่เย็นแช่แข็ง
โดยแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นของธุรกิจอาหารแช่แข็งในไทย ทั้งเพื่อบริโภคในประเทศ ที่ส่วนใหญ่เป็นอาหารแช่แข็งพร้อมทาน และส่งออกไปตลาดต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบแช่แข็ง สืบเนื่องมาจากอาหารแช่แข็งสามารถเก็บรักษาได้นาน ได้เปรียบเรื่องการรักษาความสด และช่วยลดจำนวนในการออกไปซื้อของที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยผลักดันการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ จนสามารถส่งออกและแข่งขันในเวทีโลกได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ตลาดสินค้าอาหารแช่แข็ง นั้นเป็นการเพิ่มโอกาสที่สำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย ตามนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” ทั้งนี้ ประเทศไทยซึ่งถือได้ว่าเป็นครัวของโลก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมอาหารที่เข้มแข็ง มีความสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรอาหาร และมีศักยภาพในการผลิต การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข่งเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สำคัญของความสำเร็จนี้ ทั้งนี้จะส่งผลต่อยอดไปถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมทางด้านอาหารอีกด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63088 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566
เมื่อเร็วๆ นี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แก่วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเสริมสิริมงคล
ทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร และวัฒนธรรมจังหวัดจากทั่วประเทศเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประกาศปี 2566 เป็นปี “สูงวัยไทย" จัดบริการดูแลสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
สธ.ประกาศปี 2566 เป็นปี “สูงวัยไทย" จัดบริการดูแลสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหารแถลงประกาศปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย จัดบริการดูแลสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่ผู้สูงอายุทั่วประเทศ ทั้งคัดกรองสุขภาพ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหารแถลงประกาศปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย จัดบริการดูแลสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่ผู้สูงอายุทั่วประเทศ ทั้งคัดกรองสุขภาพ มอบวัสดุอุปกรณ์จำเป็น คือ แว่นสายตา 5 แสนชิ้น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 5 ล้านชิ้น ฟันเทียมและรากฟันเทียม 36,000 ราย
วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวประกาศนโยบายของขวัญปีใหม่กระทรวงสาธารณสุข 2566 ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย
นายอนุทินกล่าวว่า ปี 2566 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะองค์กรหลักด้านสุขภาพของประเทศจึงประกาศให้ปี 2566 เป็นปีแห่ง “สุขภาพสูงวัยไทย” เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบและทั่วถึง พร้อมมอบบริการและวัสดุอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ เป็นของขวัญปีใหม่ตลอดปี 2566 ประกอบด้วย การคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ การจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลทุกระดับ การมอบวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ แว่นสายตาจำนวน 5 แสนชิ้น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ จำนวน 5 ล้านชิ้น ฟันเทียมและรากฟันเทียม จำนวน 36,000 ราย โดยมีหน่วยบริการและเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการส่งมอบของขวัญดังกล่าวแก่ผู้สูงอายุทั่วประเทศ
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ทำงานร่วมกันในการส่งมอบของขวัญปีใหม่แก่ผู้สูงอายุ โดยมอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ดำเนินการคัดกรองความถดถอย 9 ด้าน ด้วยBlue Book Application ครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างน้อย 10 ล้านคน และส่งต่อผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเข้ารับบริการในโรงพยาบาลทุกระดับที่มีคลินิกผู้สูงอายุรองรับการให้บริการ รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเมินความจำเป็นในการใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขภาพและจัดหาอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
นายแพทย์จเด็จ กล่าวว่า สปสช.เตรียมความพร้อมสิทธิประโยชน์มอบให้ผู้สูงอายุในปี 2566 ประกอบด้วย แว่นสายตา ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ แผ่นรองซับ แผ่นเสริมซึมซับการขับถ่าย ฟันเทียมและรากฟันเทียม โดยสนับสนุนงบประมาณภายใต้กองทุนต่างๆ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลสุขภาพยังมีสิทธิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั้งแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน กับโรงพยาบาลคู่สัญญาของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง อาทิ การฉีดวัคซีนป้องกันคอตีบและบาดทะยักทุก 10 ปี การประเมินความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวัน การตรวจเลือดเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน และการคัดกรองโรคซึมเศร้า เป็นต้น รวมถึงผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ยังมีสิทธิได้รับการดูแลในชุมชนจากกองทุนระบบการดูแลระยะยาว สิทธิประโยชน์เพื่อการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับผู้สูงอายุซึ่งดำเนินการในทุกพื้นที่ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่แข็งแรง มีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ด้าน นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ในปี 2565 กรมอนามัยพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) มีตำบลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวผ่านเกณฑ์ จำนวน 7,124 ตำบล หรือร้อยละ 98.19 ซึ่งจากข้อมูลระบบ Long Term Care 3C วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลตาม Care Plan จำนวน 387,122 คน นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนการดำเนินงานฟันเทียมและรากฟันเทียม เพื่อให้ผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันได้รับบริการใส่ฟันเทียมแบบถอดได้ และผู้ที่มีความจำเป็นต้องฝังรากฟันเทียม เพื่อรองรับฟันเทียมทั้งปากหรือเกือบทั้งปากได้รับบริการอย่างทั่วถึงด้วย
***************************** 26 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ พัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็น Young Smart PR สื่อสารเชิงบวก ลดความขัดแย้งในสังคม | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ พัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็น Young Smart PR สื่อสารเชิงบวก ลดความขัดแย้งในสังคม
พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ พัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็น Young Smart PR สื่อสารเชิงบวก ลดความขัดแย้งในสังคม
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 6509.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ Young Smart PR พร้อมทั้งมอบเกียรติบัตร วุฒิบัตรให้แก่เยาวชนผู้ผ่านการอบรม ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา จำนวน 31 คน จาก 12 สถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวรายงาน อีกทั้งได้ร่วมพูดคุยกับผู้แทนเยาวชนที่ร่วมโครงการฯ ในรายการ คิดส์ดี ซึ่งจะออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ NBT North ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดพิษณุโลก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ การสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งในสังคม ซึ่งโครงการนี้ จะทำให้เยาวชนได้พัฒนาบุคลิกภาพและกรอบความคิดเป็นตัวของตัวเอง และความคิดบวกทำเพื่อสังคมส่วนรวมมากกว่าตนเอง หลังจากนี้ เยาวชนที่ร่วมโครงการฯ ต้องการที่จะตั้งชมรมสร้างองค์ความรู้ต่อยอดและความคิดบวก โดยจะใช้ชื่อชมรมว่า “เมืองไทยบ้านฉัน หยุดบูลลี่ประเทศไทย” ซึ่งตนคิดว่าเป็นโครงการที่ดีและเยาวชนจะได้นำความรู้ความสามารถมานำเสนอในเชิงบวกเพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและมีความหวัง
สำหรับการต่อยอดโครงการนี้ กระทรวง พม. จะนำไปขับเคลื่อนให้เข้าถึงสภาเด็กและเยาวชน สภานักเรียน ในทุกพื้นที่ และใช้เทคนิคในการสื่อสารที่ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง การให้ความจริง การเข้าถึงรับรู้ และการเปลี่ยนแปลงที่ดี ซึ่งในระยะต่อไป เราจะต้องหาครูและประสบการณ์เพิ่มเติมให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ และเราต้องการเห็นเยาวชนในภูมิภาคอื่นๆ มีความเชี่ยวชาญในด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับชุมชน สังคม และประเทศด้วย ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีแกนนำคนรุ่นใหม่ในการสร้างความเข้าใจและเป็นนักสื่อสารที่ดีและเที่ยงตรง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ Young Smart PR เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และกรมประชาสัมพันธ์ โดยสำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 ซึ่งจัดอบรมการประชาสัมพันธ์ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ และทัศนศึกษาดูงาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้ ประสบการณ์ เคล็ดลับที่ดีด้านการประชาสัมพันธ์ สำหรับการนำไปใช้ขับเคลื่อนการผลิตสื่อดิจิทัลหรือชิ้นงานที่ดีมีประโยชน์ให้กับสถาบันการศึกษาของตนเอง ตลอดจนเป็นเครือข่ายประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63099 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดอาคารสถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ รองรับการบริการและการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางทั้งในประเทศและนานาชาติ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
“อนุทิน” เปิดอาคารสถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ รองรับการบริการและการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางทั้งในประเทศและนานาชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคาร สถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ เป็นศูนย์ความเป็นเลิศที่ให้บริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหลายสาขา และเป็นศูนย์ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านทั้งในประเทศและนานาชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคาร สถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ เป็นศูนย์ความเป็นเลิศที่ให้บริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหลายสาขา และเป็นศูนย์ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านทั้งในประเทศและนานาชาติ พร้อมวิจัยพัฒนาทั้งด้านการรักษาและสูตรตำรับ นำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจ ตามวิสัยทัศน์ “เป็นสถาบันโรคผิวหนังที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ”
วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) ที่สถาบันโรคผิวหนัง กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดอาคารสถาบันโรคผิวหนัง (หลังใหม่) อย่างเป็นทางการและติดตามการให้บริการประชาชน โดยนายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้สถานบริการในสังกัดทุกระดับพัฒนาการบริการให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ซึ่งสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งมีการพัฒนาตามนโนบายเป็นอย่างดี
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับสถาบันโรคผิวหนัง สังกัดกรมการแพทย์ เป็นสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนังระดับตติยภูมิ และเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยโรคผิวหนังของประเทศไทย ที่ได้รับความเชื่อมั่นและมีผู้เข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก มีแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากไทยเป็นประเทศในเขตร้อน โรคผิวหนังจึงเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่พบได้ แม้จะไม่ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต แต่สร้างปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การเปิดอาคารหลังใหม่ของสถาบันโรคผิวหนังครั้งนี้ จึงช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการเฉพาะด้านมากขึ้น โดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังวิสัยทัศน์ “เป็นสถาบันโรคผิวหนังที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ”
ด้าน นพ.มานัส โพธาภรณ์ กล่าวว่า สถาบันโรคผิวหนังมีความมุ่งมั่นพัฒนาสู่การเป็นสถาบันหลักในการดูแลโรคผิวหนังของประเทศ โดยมีภารกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการบริการ เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ด้านโรคผิวหนัง ให้บริการตรวจรักษาโรคผิวหนังทั่วไป และคลินิกเฉพาะทางที่สำคัญอีกหลายสาขา อาทิ คลินิกโรคสะเก็ดเงิน คลินิกอิมมูนวิทยา คลินิกหลอดเลือดดำ ศูนย์เส้นผมและเล็บ ศูนย์ชะลอวัย เป็นต้น พร้อมระบบให้คำปรึกษาทางไกลกับแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ และการตรวจรักษาทางไกลกับผู้ป่วย 2.ด้านวิชาการ เป็นศูนย์ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านและการอบรมเฉพาะทางด้านโรคผิวหนังอื่นๆ ทั้งในประเทศและนานาชาติ รวมถึงเป็นศูนย์ข้อมูลและหน่วยเผยแพร่ความรู้ด้านโรคผิวหนัง 3.ด้านการค้นคว้าวิจัย ทั้งการวินิจฉัยรักษาและการพัฒนาสูตรตำรับต่างๆ พร้อมต่อยอดให้เกิดการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ อาคารสถาบันโรคผิวหนังหลังใหม่ เป็นอาคารสูง 22 ชั้น และที่จอดรถชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น รวม 25 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 40,365 ตร.ม. โดยชั้น 1-6 เป็นที่จอดรถและโถงต้อนรับ ชั้น 7-14 เป็นพื้นที่ส่วนให้บริการ และชั้น 15-22 เป็นส่วนสนับสนุนและใช้ในการเรียนการสอน ได้รับงบประมาณส่วนกลางในการก่อสร้าง 947 ล้านบาท และสถาบันฯ สมทบเงินบำรุงในการก่อสร้างอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหลังจากปิดศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถาบันโรคผิวหนังได้ใช้อาคารหลังใหม่นี้ ให้บริการวัคซีนโควิด 19 เพื่อดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา
****************************26 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63109 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ผลประโยชน์ต่อรัฐในการดำเนินการคัดเลือกเอกชน ของ รฟม. | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ผลประโยชน์ต่อรัฐในการดำเนินการคัดเลือกเอกชน ของ รฟม.
.....
ตามที่ มีนักวิจารณ์ ได้ให้ข่าวเกี่ยวกับการคัดเลือกเอกชนในโครงการรถไฟฟ้าของ รฟม. ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยกล่าวอ้างว่าในการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และเหลืองฯ ทำให้รัฐประหยัดเงินสนับสนุนกว่าโครงการละ 1 แสนล้านบาท แต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ รัฐอาจต้องเสียเงินค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท นั้น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม เห็นว่า ข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลซึ่งได้มาจากการใช้ดุลพินิจที่บิดเบือน ไม่เป็นกลาง และไม่พิจารณาข้อชี้แจงใดๆ ของ รฟม. สร้างความเสียหายต่อ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) เรื่อยมา ทั้งนี้ รฟม. ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. ในการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และสายสีเหลืองฯ นั้น คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ได้อนุมัติดำเนินงานทั้ง 2 โครงการ โดยกำหนดกรอบวงเงินสนับสนุนค่างานโยธา เป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ ไม่เกิน 20,135 ล้านบาท และสายสีเหลืองฯ ไม่เกิน 22,354 ล้านบาท ซึ่งผู้ชนะการคัดเลือกได้ยื่นข้อเสนอ โดยขอเงินสนับสนุนสุทธิสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ 19,823 ล้านบาท และสายสีเหลืองฯ 22,087 ล้านบาท
2. สำหรับการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ได้อนุมัติการดำเนินงานโครงการ โดยกำหนดกรอบวงเงินสนับสนุนค่างานโยธาไม่เกิน 91,983 ล้านบาท ซึ่งผู้ชนะการคัดเลือกได้ยื่นข้อเสนอโดยขอเงินสนับสนุนสุทธิ 85,432 ล้านบาท
3. การเทียบข้อเสนอของเอกชนผู้ร่วมประมูล โดยนำมาหักลบกันตรงๆ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลการประหยัดเงินของรัฐตามที่นักวิจารณ์ดังกล่าวกล่าวอ้างแต่อย่างใด เพราะในการประมูลโครงการภาครัฐนั้นมีกรอบวงเงิน มติคณะรัฐมนตรี และกฎเกณฑ์ในการดำเนินการที่กำหนดไว้ การวิเคราะห์ของนักวิจารณ์ดังกล่าวเป็นเพียงการนำตัวเลขมาเปรียบเทียบในลักษณะจับแพะชนแกะเท่านั้น และยังพยายามหยิบยกตัวเลขข้อเสนอที่มิได้ผ่านการตรวจสอบและพิจารณาตามเกณฑ์การประเมิน มากดดันภาครัฐ ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าตามระเบียบขั้นตอนของการประมูลภาครัฐนั้น จะไม่สามารถนำข้อมูลของผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมประมูลมาเปรียบเทียบได้ ซึ่งหากพิจารณาผลต่างระหว่างข้อเสนอของเอกชนผู้ชนะการคัดเลือกและกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจะมีผลสรุปได้ ดังนี้
1. กรอบวงเงินสนับสนุนตามมติ ครม.
- สายสีชมพูฯ 20,135 ล้านบาท
- สายสีเหลืองฯ 22,354 ล้านบาท
- สายสีส้มฯ 91,983 ล้านบาท
2. ข้อเสนอการขอรับการสนับสนุนสุทธิของเอกชนผู้ชนะการคัดเลือก
- สายสีชมพูฯ 19,823 ล้านบาท
- สายสีเหลืองฯ 22,087ล้านบาท
- สายสีส้มฯ 85,432 ล้านบาท
3. รัฐประหยัดเงินสนับสนุน
- สายสีชมพูฯ 312ล้านบาท
- สายสีเหลืองฯ 267 ล้านบาท
- สายสีส้มฯ 6,551 ล้านบาท
รฟม. ขอยืนยันว่า การดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการที่กฎหมาย รวมถึงมติคณะรัฐมนตรี และมติคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนกำหนดอย่างครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พิจารณาข้อเสนอแล้วเสร็จ และสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจพิจารณาร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ โดย รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ต่อไป
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จำนวน 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ปลื้มการเเข่งขันกีฬาเยาวชน ชี้เป็นช่องทางให้เด็กและเยาวชนได้เเสดงความสามารถและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ พร้อมเน้นย้ำ ต้องตั้งใจทำหน้าที่เรียนหนังสือควบคู่การเล่นกีฬา | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
ปลัด มท. ปลื้มการเเข่งขันกีฬาเยาวชน ชี้เป็นช่องทางให้เด็กและเยาวชนได้เเสดงความสามารถและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ พร้อมเน้นย้ำ ต้องตั้งใจทำหน้าที่เรียนหนังสือควบคู่การเล่นกีฬา
ปลัด มท. ปลื้มการเเข่งขันกีฬาเยาวชน ชี้เป็นช่องทางให้เด็กและเยาวชนได้เเสดงความสามารถและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ พร้อมเน้นย้ำ ต้องตั้งใจทำหน้าที่เรียนหนังสือควบคู่การเล่นกีฬา เพื่อให้มีทักษะรอบด้านและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 65 ที่สนามฟุตบอล ขุนศึกสระบุรี สเตเดี้ยม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล 7 คน รายการ "ซ้ายดับวิญญาณ Championship 2022" ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2565 โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี คณะผู้จัดงานฯ ผู้ปกครอง และนักกีฬาเยาวชน ร่วมในพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลูก ๆ หลาน ๆ ที่เป็นอนาคตของชาติ ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ด้วยการมาร่วมกิจกรรมแข่งกีฬาฟุตบอล 7 คน รายการ "ซ้ายดับวิญญาณ Championship 2022" ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2565 แต่สิ่งสำคัญจะต้องไม่ละทิ้งหน้าที่หลักของตนเอง คือ การเรียนหนังสือ ที่ต้องขยันหมั่นเพียรควบคู่ไปกับการฝึกฝนการเล่นกีฬา เพราะถ้าหากทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไปจนไปทำให้กระทบต่ออีกส่วนหนึ่ง จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเอง ดังนั้น การทำกิจกรรม การเล่นกีฬา ต้องควบคู่กับการเรียน และบุคคลสำคัญที่เป็นกำลังใจ เป็นผู้ให้การสนับสนุน นั่นคือ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ซึ่งในวันนี้ ทุกท่านได้มายืนให้กำลังใจลูกหลานอยู่บริเวณข้างสนาม ก็ต้องขอเป็นกำลังใจและขอขอบคุณที่ท่านได้ทำหน้าที่ดูแลลูกๆหลานๆ ให้มีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง เพื่อจะได้เป็นปัจจุบันและอนาคตที่สำคัญในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ช่วยพัฒนาประเทศชาติต่อไป
"เด็กที่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย จะไม่ได้รับประโยชน์แค่เรื่องของสุขภาพร่างกาย แต่ขอให้มั่นใจว่า เด็กที่ทุ่มเทให้กับกีฬา จะทำให้พวกเขาห่างไกลยาเสพติด มีจิตใจที่กล้าหาญแจ่มใส และที่สำคัญที่สุด คือ "มีน้ำใจนักกีฬา" รู้จักคำว่าแพ้ รู้จักคำว่าชนะ และรู้จักคำว่าให้อภัย ในสนามกีฬาไม่ว่าจะแข่งแพ้หรือชนะ แต่พอเลิกแข่งแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นมิตร เป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง กีฬาฟุตบอล และกีฬาทุกประเภทต่างให้อนาคตที่ดี การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กับหน้าที่หลัก คือการเรียน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะด้านการเข้าสังคม การใช้ชีวิต ความรักใคร่สามัคคี ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด อันจะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่เอก ซ้ายดับวิญญาณ และทีมงานซ้ายดับวิญญาณที่ให้พื้นที่แก่เยาวชนในการมาแข่งขันพัฒนาฝีเท้า ซึ่งสามารถต่อยอดไปเป็น "นักฟุตบอลอาชีพในอนาคต" รวมถึงขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปกครองทุกคนที่สร้างความอบอุ่นในครอบครัว ดูแลบุตรหลานให้เป็นคนดีของสังคม และขอเป็นกำลังใจให้กับคณะผู้ดำเนินงาน คณะผู้บริหารจังหวัดสระบุรี ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ คณะผู้จัดงาน และขอให้นักกีฬาที่มาแข่งกีฬาได้เติบใหญ่ประสบความสำเร็จ ประสบความเจริญ เป็นคนที่ดีต่อสังคม "ขอให้การแข่งขันกีฬาในวันนี้สำเร็จไปด้วยดี และให้จัดขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ปี เพื่อเยาวชน ลูกหลาน จะได้มีเวทีการเเข่งขันในการเเสดงออกอยู่ต่อไป และขอขอบคุณที่ทุกท่านมีส่วนในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนภายในพื้นที่ อันจะทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้น"
ด้าน นายนิรุต คะสุระ คณะทำงานฝ่ายจัดการแข่งขัน เปิดเผยว่า การแข่งขันกีฬาฟุตบอล 7 คน รายการ "ซ้ายดับวิญญาณ Champion Ship 2022" ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2565 ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทิศทางที่ดีแก่วงการฟุตบอลในประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมแก่เด็กและเยาวชนให้มีทักษะที่ดีเยี่ยม มีความเป็นมืออาชีพในกีฬาฟุตบอล โดยอาศัยระบบการจัดการแข่งขันที่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังมุ่งเน้นเสริมสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และกระตุ้นการท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 รุ่น คือ 1) รุ่นอายุ 10 -12 ปี 2) รุ่นอายุ 11-14 ปี และ 3) รุ่นอายุ 15 -18 ปี ระยะเวลาการแข่งขัน จำนวน 3 วัน โดยมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 144 ทีม จากทั่วประเทศ ซึ่งทีมผู้ชนะการแข่งขันในแต่ละรุ่น จะได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศจากท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62558 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสังฆราช ประทานปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์แก่สังคม | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
สมเด็จพระสังฆราช ประทานปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์แก่สังคม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องและเกิดมรรคผลอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น. ณ อาคาร มวก. 48 พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปประทานปริญญาบัตรในพิธีประสาทปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำปี 2565 ดุษฎีบัณฑิต รุ่นที่ 18 มหาบัณฑิต รุ่นที่ 32 บัณฑิต รุ่นที่ 67 รวมทั้งมอบเข็มเกียรติคุณและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ โดยมี พระพรหมวชิราธิบดี นายกสภามหาวิทยาลัย พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. อุปนายกสภามหาวิทยาลัย พระธรรมวัชรบัณฑิต, ศ.ดร. อธิการบดี พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ พุทธศาสตรบัณฑิตใหม่จากทั่วประเทศและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากถวายการต้อนรับ
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ารับประทานปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม จากเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ พิจารณาแล้วเห็นว่า “นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เป็นบุคคลต้นแบบในฐานะ “ข้าราชการสายธรรมะ” ผู้มีความจงรักภักดีอย่างสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มุ่งมั่น ทุ่มเท ในการทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาอย่างมากมายต่อเนื่อง เป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ มีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา และยึดมั่นในกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติเสมอมา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งเป็น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ที่ได้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์ก่อเกิดผลดีกับสังคมโดยรวมอย่างไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นอเนกประการ ควรแก่การยกย่องเชิดชูเกียรติคุณ สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบ “ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม” เพื่อประกาศเกียรติคุณให้ปรากฏไพศาล เป็นทิฏฐานุคติแก่อนุชน
พระพรหมวชิราธิบดี นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยว่า นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นบุคคลที่มีความวิริยะ อุตสาหะ ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา และกำลังใจ ในการน้อมนำพระบรมราชโองการ พระบรมราโชบาย พระราชดำริ พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำริ พระดำริ ของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งหลักธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มุ่งมั่นอุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประชาชน และมวลมนุษยชาติ ผ่านผลงานที่ปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์ในหลายประการ ด้วยแนวคิดการทำงานที่สำคัญ คือ “Change for Good” อันเป็นแนวทางที่มุ่งหวังสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น โดยปรับสิ่งที่ไม่ดี ทำให้ดี และให้รักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้คงสภาพความดีไว้ หรือพัฒนาให้ดีตามบริบทที่ควรจะเป็น เป็นผู้นำของเหล่าราชสีห์แห่งกระทรวงมหาดไทย อันมีกลไกเชื่อมโยงในทุกพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เผยแผ่ขยายผลสร้างพลังแห่งการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นแนวทางในการทำงานของ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เสมอมา
“นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เป็นผู้นำและให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการส่งเสริมและบูรณาการงานร่วมกับคณะสงฆ์สาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม ด้วยการบูรณาการงานอบรมประชาชนกลาง หรือ อ.ป.ก. โดยให้ฝ่ายปกครองได้ร่วมกับคณะสงฆ์ออกไปพูดคุยกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีดวงตาเห็นธรรม เป็นฆราวาสที่ดี ดูแลครอบครัว และยกระดับต่อยอดสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วยวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพราะ “ความยากจน” คือ ความเดือดร้อนทุกประเภทที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองได้ ไม่ได้มีนัยยะแค่ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน แต่หมายรวมไปถึงเรื่องการป่วยเรื้อรังแล้วไม่มีคนดูแล ไม่มีกำลังที่สามารถไปหาหมอได้ หรือแม้กระทั่งสายตายาว สายตาสั้น ไม่มีเงินไปตัดแว่น เดินไม่ได้เพราะชราภาพมากหรือป่วยติดเตียง ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่มีบัตรประชาชน มีลูกหลานติดยาเสพติด อันเป็นการสร้างโอกาสดีให้กับประชาชน โดยมีนายอำเภอทั้ง 878 อำเภอร่วมกับท่านเจ้าอาวาสวัดในทุกชุมชนช่วยกันสงเคราะห์ประชาชน รวมไปถึงบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือดำเนินโครงการ “วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ที่เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งด้านสุขภาพ พลานามัย และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เราต้องการให้มีขึ้นในสังคมของเรา เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ รวมถึงกิจกรรมเชิงพุทธ ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงและสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างวัดกับชุมชน ทำให้พระมีสุขภาพที่แข็งแรง วัดมีความมั่นคง ชุมชนก็มีความเข้มแข็ง เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อส่วนรวม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอบูรณาการร่วมกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขับเคลื่อนทำให้วัดเป็นแหล่ง ครู คลัง ช่าง หมอ ด้วยการอบรมสั่งสอน เป็นคลังอาหาร สรรพวิทยาการ โดยพระสงฆ์ที่มีความสามารถทางด้านงานช่าง และวัดเป็นศูนย์กลางของความรู้ทางด้านยาสมุนไพร แพทย์ทางเลือก”
นอกจากนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นข้าราชการผู้มีความรู้ความสามารถ ขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรและชุมชนด้วยหลัก “ท้องถิ่นเข้มแข็ง ร่วมแรงพัฒนา ประชาเป็นสุข” สร้างท้องถิ่นให้เข้มแข็งด้วยการบริหารจัดการ การบริหารงานบุคคล การเงินการคลัง ตามหลักธรรมาภิบาล สนับสนุนการใช้ทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และกลไกที่มีอยู่ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันสอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจะเห็นได้จากผลงานของท่านอันเป็นที่ประจักษ์ตลอดมา อาทิ “โครงการผู้ว่าฯ หิ้วปิ่นโตเข้าวัด” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก คนที่ 42 ซึ่งเป็นโครงการที่ทำให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประธานชุมชน ได้ร่วมหิ้วปิ่นโต เพื่อถวายวัดทั้งหมดในจังหวัดนครนายก รวมทั้งสิ้นกว่า 200 วัด ในทุกวันพระ ซึ่งถือเป็นต้นแบบให้แก่จังหวัดและท้องถิ่น ให้ได้นำไปปฏิบัติในการหิ้วปิ่นโตเข้าวัด ทุกวันพระ “โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี คนที่ 47 นอกจากนี้ ท่านยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ริเริ่มดำเนินการตั้งกลุ่มอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก บริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมบริการสาธารณะอย่างมีมาตรฐาน เสมอภาคเท่าเทียมเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สนับสนุนกิจการของพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ได้ร่วมกับ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการนำเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวน้อมถวายเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อประทานแก่วัดทั่วประเทศที่มีพื้นที่ว่างสำหรับให้ประชาชนปลูกผักสวนครัวแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนช่วงวิกฤตโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร อันเป็นไปตามหลักสังคหวัตถุธรรม 4 ประการ คือ ทาน การให้ ปิยวาจา การพูดจาไพเราะ อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์ และสมานัตตตา ความมีตนสม่ำเสมอ ดำรงตนเสมอต้นเสมอปลายเป็นแบบอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกชน
และประการสุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนกิจการงานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อาทิ การสนับสนุนกิจกรรมของมหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาสพิธีกรรมวันสำคัญของพระพุทธศาสนา การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนา การให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในกิจการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยด้วยดีเสมอมา ทั้งนี้ “ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม” ถือเป็นเครื่องหมายยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา มีหลักและแนวคิดในการพัฒนา สอดรับกับนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ประชาชน โดยการบูรณาการร่วมกันของ 7 ภาคีเครือข่าย ซึ่งรวมถึงภาคศาสนา อันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนดูแลชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” เดินหน้าโครงการต้นแบบ 95 โรงเรือนเกษตรอัจฉริยะทั่วประเทศ มุ่งเป้าแรงงานเกษตร 3.2 หมื่นคนในปี 66 | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” เดินหน้าโครงการต้นแบบ 95 โรงเรือนเกษตรอัจฉริยะทั่วประเทศ มุ่งเป้าแรงงานเกษตร 3.2 หมื่นคนในปี 66
"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” เดินหน้าโครงการต้นแบบ 95 โรงเรือนเกษตรอัจฉริยะทั่วประเทศ มุ่งเป้าแรงงานเกษตร 3.2 หมื่นคนในปี 66 เพิ่มรายได้ผลผลิต-เพิ่มค่าจ้างแรงงาน พลิกโฉมเกษตรกรไทย
วันที่ 11 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากการลงตรวจเยี่ยมพื้นที่ในทุกภูมิภาค ท่านนายกได้มีนโยบายพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกกลุ่ม และมีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งผลกระทบด้านพลังงาน ผลกระทบด้านการผลิต จึงต้องการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงมีนโยบายและมุ่งมั่นยกระดับเกษตรกรไทยสู่เกษตรอัจฉริยะ Smart Farmer โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพด้านเกษตร เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในทุกมิติ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า แต่การเปลี่ยนแปลงจะต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการและแรงงานในภาคเกษตรด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงมอบนโยบายไปยัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ดำเนินการพัฒนาฝีมือเพื่อเข้าตลาดแรงงานนี้โดยเร่งด่วน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จึงได้ดำเนินโครงการศูนย์เรียนรู้โรงเรือนเกษตรแม่นยำปลอดภัยสำหรับผู้ประกอบการมืออาชีพด้านเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งเป็นโครงการพิเศษเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานภาคการเกษตรสู่เกษตรอัจฉริยะ มีเป้าหมาย 95 โรงเรือนทั่วประเทศ และให้แรงงานภาคการเกษตรมีความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะในปี 2566 จำนวน 32,300 คน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกแบบมีโรงเรือน เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืช การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ระบบพ่นหมอก ระบบกักเก็บหรือจัดน้ำ ซึ่งเกษตรกรสามารถนำไปใช้เพิ่มคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร ตามเป้าหมาย โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ สามารถสมัครได้ที่สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ หรือสอบถามที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
“พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับภาคเกษตร ต้องการให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้เพียงพอในอนาคต ที่สามารถประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับกับความปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สอดรับกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG ผ่านกลไกของหน่วยงานต่างๆที่บูรณาการอย่างครบวงจร และเป็นรูปธรรม สะท้อนความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงในการผลักดันอุตสาหกรรมเกษตรของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผู้ประกอบการภาคเกษตร มีความเข้มแข็ง มีรายได้ดีขึ้น เกิดการกระจายรายได้ไปสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมกับมีตัวชี้วัดหรือมีสถาบันรองรับฝีมือแรงงานนั้นๆ ที่จะสามารถนำไปสู่ทักษะวิชาชีพที่มีอัตราค่าแรงที่สูงขึ้นในอนาคตได้ด้วย ”น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62553 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมผลงาน เทนนิส แชมป์เทควันโดเวิลด์กรังด์ปรีซ์ไฟนอล 2022 คนล่าสุด | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมผลงาน เทนนิส แชมป์เทควันโดเวิลด์กรังด์ปรีซ์ไฟนอล 2022 คนล่าสุด
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมผลงาน เทนนิส แชมป์เทควันโดเวิลด์กรังด์ปรีซ์ไฟนอล 2022 คนล่าสุด
วันนี้ (11 ธ.ค. 2565)นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมอีกความสำเร็จ ของ เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่คว้าแชมป์เวิลด์กรังด์ปรีซ์ไฟนอล 2022 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้สำเร็จ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจนักกีฬาเทควันโดไทย รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง เจ้าของแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2020 มือวางอันดับ 1 วัย 25 ปี รอบชิงชนะเลิศ ในรุ่น 49 กิโลกรัม เอาชนะ เมอร์ฟ ดินเซล นักกีฬาจากตุรกี ซึ่ง พาณิภัค โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะสาวตุรกี 2-0 ยก ด้วยคะแนน 9-3, 9-0 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า แชมป์ครั้งนี้ ถือเป็นแชมป์รายการนี้เป็นครั้งที่ 2 และเป็นแชมป์ที่ 5 ส่งท้ายปีของเทนนิส ซึ่งส่งผลให้เทนนิส คงอันดับ 1 ของโลกในรุ่น 49 กิโลกรัมหญิงต่อไป
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมอีกความสำเร็จของเทนนิส ซึ่งยังคงผลงานอย่างยอดเยี่ยม เป็นผลจากการความเสียสละ ตั้งใจฝึกซ้อม ซึ่งนำชื่อเสียงให้ประเทศไทย ต้องขอบคุณนักกีฬา และทีมงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ที่ได้สร้างรอยยิ้มให้แฟนกีฬาชาวไทยได้อีกครั้ง” นาย อนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62551 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ ร่วมงาน “อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า” ครั้งที่ 2 | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ ร่วมงาน “อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า” ครั้งที่ 2
‘รมช.มนัญญา’ ร่วมงาน “อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า” ครั้งที่ 2 แต่งไทยย้อนยุคตามรอยเสด็จประพาสต้นเมืองอุทัยธานี ครบรอบ 116 ปี
รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีเปิดงาน “อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า” ครั้งที่ 2 แต่งไทยย้อนยุคตามรอยเสด็จประพาสต้นเมืองอุทัยธานี ครบรอบ 116 ปี จังหวัดอุทัยธานี ประจำปี 2565 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 18 ธันวาคม 2565 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดอุทัยธานี อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน และนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร เข้าร่วม เพื่อเป็นการยกระดับภูมิปัญญาผ้าทอพื้นถิ่นของจังหวัดอุทัยธานี ตลอดจนมีการนำผ้าทอไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้มีความสวยงาม ทันสมัยตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคในระดับสากล และเพื่อน้อมรำลึกถึงการเสด็จประพาสต้น เมืองอุทัยธานี ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่5)
โอกาสนี้ รมว.วัฒนธรรม และ รมช.มนัญญา ได้เยี่ยมชมนิทรรศการภายในงาน อาทิ นิทรรศการผ้าลายพระราชทาน “ลายขอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” นิทรรศการผ้าทอลายอัตลักษณ์อุทัยธานี “ผ้าทอลายอุทัยสุพรรณิการ์” นิทรรศการลายผ้ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอุทัยธานี พร้อมชมสาธิตขั้นตอนการทอผ้า ตลอดจนชมการเดินแบบแฟชั่นชุดผ้าไทยและผ้าพื้นถิ่นจังหวัดอุทัยธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62549 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM to attend ASEAN-EU Commemorative Summit in Belgium on December 12-15 | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
PM to attend ASEAN-EU Commemorative Summit in Belgium on December 12-15
PM to attend ASEAN-EU Commemorative Summit in Belgium on December 12-15
December 10, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is scheduled to attend the ASEAN-EU Commemorative Summit during December 12-15, 2022 in Brussels, Kingdom of Belgium to celebrate the 45th anniversary of ASEAN-EU relations.
This ASEAN-EU Commemorative Summit is historic as it is the inaugural meeting between 9 ASEAN leaders/representatives and leaders/representatives of 27 EU member countries under the ASEAN framework (earlier ASEAN-EU Summits were held between ASEAN leaders, president of the European Council, and president of the European Commission). This would, thus, be an important opportunity for leaders from ASEAN and the European Union to exchange view on the regional and international issues of current concern, especially geopolitics, security challenges, economic recovery, and digital and green transition.
The Prime Minister’s missions include attending the C-Suite Roundtable Luncheon, organized by the EU-ASEAN Business Council (EU-ABC). This event will allow the European private sector to give suggestion to and exchange view with the leaders on the issues related to trade and investment. Members of EU-ABC and private sector’s high-level executives will also attend the C-Suite Roundtable Luncheon. In his attendance at the ASEAN-EU Commemorative Summit to celebrate the 45th anniversary of ASEAN-EU relations, the Prime Minister will also witness the signing of Thai-EU Partnership and Cooperation Agreement (Thai-EU PCA).
At the C-Suite Roundtable Luncheon, Thailand will emphasize cooperation for inclusive, balanced, and sustainable socio-economic development driven by the BCG economic model, which is in line with the Global Gateway, EU’s initiative that aims to mobilize up to €300 billion of investments in digital, climate and energy, transport, health, and education and research.
At the ASEAN-EU Commemorative Summit, the Prime Minister will endorse EU’s constructive role in the region to build trust and peaceful atmosphere conducive to economic recovery while upholding ASEAN’s centrality in the regional architecture. Thailand will also push forward ASEAN-EU strategic partnership as positive and constructive energy for the two regions and the global community, and the ASEAN-EU Green Partnership on which Thailand is ASEAN’s leader in promoting.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยเอาจริง หารือเเนวทางสร้างสถานบำบัดฟื้นฟู ยกโมเดลวัดถ้ำกระบอก จ.สระบุรี ขยายผลบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดทั่วประเทศ ย้ำต้องพัฒนาทั้งกาย และใจไปคู่กัน | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
ปลัดมหาดไทยเอาจริง หารือเเนวทางสร้างสถานบำบัดฟื้นฟู ยกโมเดลวัดถ้ำกระบอก จ.สระบุรี ขยายผลบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดทั่วประเทศ ย้ำต้องพัฒนาทั้งกาย และใจไปคู่กัน
ปลัดมหาดไทยเอาจริง หารือเเนวทางสร้างสถานบำบัดฟื้นฟู ยกโมเดลวัดถ้ำกระบอก จ.สระบุรี ขยายผลบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดทั่วประเทศ ย้ำต้องพัฒนาทั้งกาย และใจไปคู่กัน
วันนี้ (11 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่วัดถ้ำกระบอก ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 65 เพื่อหารือแนวทางการจัดตั้งสถานบำบัดรักษา ฟื้นฟู ในการลดจำนวนผู้เสพยาเสพติด โดยได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ บุญส่ง ฐานจาโร ประธานมูลนิธิถ้ำกระบอก ร่วมให้คำปรึกษาแนะนำ โดยมีผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการในพื้นที่ร่วมหารือ อาทิ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี นายพลวรรธน์ เทียนชัยมงคล ปลัดจังหวัดสระบุรี ปลัดอำเภอพระพุทธบาท และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีนโยบายที่ชัดเจนในการทำสงครามกับยาเสพติด ซึ่งตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมาได้สั่งการให้ทุกกลไกเพิ่มระดับความเข้มข้นเเละมาตรการต่าง ๆ ทั้ง "มาตรการปราบปราม" ด้วยการนำตัวผู้ค้าผู้เสพมาดำเนินคดีตามกฎหมาย "มาตรการป้องกันและจัดระเบียบสังคม" ด้วยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เเละสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ เด็ก เยาวชน และกลุ่มเสี่ยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และ "มาตรการบำบัดรักษา ฟื้นฟูผู้ป่วย" เพื่อไม่ให้ผู้เคยหลงผิดกลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เเละเป็นการคืนคนดีกลับสู่อ้อมอกอ้อมใจของพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และสังคม ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยได้มีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน จึงได้สั่งการให้กรมการปกครอง Re X-Ray สำรวจตัวเลขผู้ค้าผู้เสพทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งได้ทำเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 65 โดยมีตัวเลขผู้ค้าประมาณ 18,000 ราย และผู้เสพ ประมาณ 120,000 ราย พร้อมทั้งได้ดำเนินการสำรวจค้นหาสถานที่ที่จะก่อตั้งเป็นสถานบำบัดรักษา ฟื้นฟูดูเเล ผู้เสพยาเสพติด ที่มีพื้นที่บริเวณรั้วรอบขอบชิด มีสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคที่ถูกสุขลักษณะ และอยู่ในพื้นที่อำเภอ ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 158 แห่งแล้ว
นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า กรมการปกครองได้สั่งการเพิ่มเติมให้ทุกอำเภอจัดหาสถานที่บำบัดรักษา และฟื้นฟู อย่างน้อยอำเภอละ 1 แห่ง เพื่อเตรียมการสำหรับการนำผู้เสพยาเสพติดในเบื้องต้นประมาณ 120,000 คน เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ซึ่งท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้ จัดการบำบัดรักษา จำนวน 15 วัน สถานที่ละไม่เกิน 50 ราย พร้อมกัน 878 แห่ง ซึ่งจะได้รุ่นละประมาณ 43,900 คน และจะดำเนินการจัดอบรมต่อเนื่องทั้งหมด 3 รุ่น นอกจากนี้เเต่ละพื้นที่ได้เเต่งตั้งกลไกในระดับพื้นที่ พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเพื่อที่จะขับเคลื่อนตามแนวทางข้างต้นเเล้ว โดยในขณะนี้ กรมการปกครองได้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ (งบกลาง) จากรัฐบาล ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกรมการปกครองพร้อมดำเนินการทันที
พระอาจารย์ บุญส่ง ฐานจาโร ประธานมูลนิธิถ้ำกระบอก กล่าวว่า กุญเเจสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยยาเสพติดสามารถกลับกลายเป็นคนปกติได้ มีปัจจัยหลักอยู่ 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยทางด้านร่างกาย ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าสารเสพติด ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง โดยเฉพาะระบบประสาท ในสถานบำบัดรักษา วัดถ้ำกระบอกจึงต้องใช้ยาน้ำซึ่งผสมจากสมุนไพร เรียกว่า ยาขับพิษ และยาครอบจักรวาล ให้ผู้ที่เข้ารับการบำบัดดื่มวันละ 4 ครั้งภายหลังจากการทำกิจกรรม ซึ่งจะต้องมีการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันโรคที่เกิดจากความเสื่อม ยังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกายได้หลายชนิด เช่น โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ฮอร์โมนที่สำคัญต่อการซ่อมแซมและเสริมสร้างร่างกาย เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า เสริมสร้างกล้ามเนื้อ อินซูลิน และไทรอยด์ฮอร์โมน (Insulin and Thyroid Hormone) ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลและกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย นอกจากนั้นการออกกำลังกาย ยังสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข เช่น โดพามีน (Dopamine) ฮอร์โมนทำให้รู้สึกดี เซโรโทนิน (Serotonin) ฮอร์โมนที่ลดอาการซึมเศร้า เอนดอร์ฟิน (Endorphin) ฮอร์โมนแห่งความสุขที่สามารถลดอาการเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อและลดอาการบาดเจ็บได้ เพราะมีโครงสร้างทางเคมีบางส่วน คล้ายมอร์ฟีนที่เป็นยาแก้ปวด ปัจจัยต่อมา คือ ด้านสภาพจิตใจ คือต้องทำให้ผู้ป่วยได้ตระหนักถึงคุณค่าในการใช้ชีวิต ได้เห็นถึงความรักความห่วงใยจากครอบครัว และเป้าหมายในการเปลี่ยนเเปลงเป็นคนดีที่ไม่หันไปพึ่งยาเสพติด โดยในด้านจิตใจนี้สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ผู้ป่วยถือสัจจะต่อตนเอง เเละให้เคารพตัวเอง ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันต่อยาเสพติดที่ดีที่สุด
พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้าน "การปราบปราม" ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยบูรณาการกำลังเร่งกวาดล้างจับกุมอย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนของจังหวัดสระบุรีช่วงที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้กว่า 50 คดีแล้ว แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของเราไม่ได้เพิกเฉย ในขณะเดียวกันสิ่งสำคัญ คือ "พี่น้องประชาชน" ต้องช่วยสอดส่องดูเเลในพื้นที่ หากพบเบาะเเส หรือ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขอให้รีบเเจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สายด่วน 191 หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 นอกจากนี้เจ้าหน้าตำรวจอยู่ระหว่างศึกษาเเนวทาง 1 ตำรวจ 1 ตำบล ที่มีหน้าที่ในการดูเเลพี่น้องประชาชนหากมีเหตุภัยเจ้าหน้าตำรวจจะได้พร้อมเข้าพื้นที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับฝ่ายปกครอง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่อว่า กลไกในระดับพื้นที่ เเละทุกภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน มีส่วนสำคัญต่อการป้องกันภัยจากยาเสพติด ซึ่งจำเป็นจะต้องจับมือร่วมกันสร้างการรับรู้ และทำให้สังตมตระหนักถึงพิษภัยจากยาเสพติด ทั้งในโรงเรียน สถานประกอบการ โรงงาน ฯลฯ ควบคู่กับการลงพื้นที่ การตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดกั้น เพื่อป้องกันการกระทำความผิด เเละส่วนที่สาม คือ "การติดตาม" โดยเราจะทอดทิ้งผู้ได้รับการบำบัดแล้วไม่ได้ โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ต้องลงไปให้กำลังใจครอบครัวและผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ให้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ดูแลไม่ให้ห่าง เพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และขยายผลต่อเนื่องด้วยการสร้างเครือข่าย ทำให้มีรู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิต ซึ่งจะทำให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้อย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้กล่าวเน้นย้ำว่า กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพื่อทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดยาเสพติด 100% เป็นการป้องกันเหตุความรุนเเรง เหตุสะเทือนขวัญต่าง ๆ ที่มีผู้ป่วยยาเสพติดมีอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายผู้อื่น หรือก่อเหตุที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง สำหรับแนวทางการจัดตั้งสถานบำบัดฟื้นฟูนั้น โดยเฉพาะการฝึกอาชีพได้มีการกำหนดหลักสูตร ภายใต้เเนวคิด เน้นการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งผู้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูเเละฝึกอาชีพ ได้ได้เรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักการดูเเลดิน การเลี้ยงดินให้ดินเลี้ยงพืช การปลูกผักสวนครัว การน้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" มาใช้ การเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงไส้เดือน การทำอาหาร การทำขนม การนำสินค้าเกษตรไปขาย และเเปรรูป ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นคงทางด้านอาหารเเม้ไม่มีอาชีพเเต่ก็สามารถดำรงชีพได้ ซึ่งกลไกที่กรมการปกครองเสนอมาจะมีขั้นตอนการตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจผู้ผ่านกระบวนการฟื้นฟู ให้มีโอกาสได้เล็งเห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่ทำ เเละเกิดการรวมกลุ่มเเลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างเวทีขยายผลสู่การเป็นกำลังหลักในการนำอุทาหรณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าสู่เด็ก เเละเยาวชนเพื่อไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 8 ม.ค. 2566 ที่กำลังจะถึงนี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งพระองค์จะมีพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะน้อมนำพระดำริ "การสร้างหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)" โดยได้รับเเรงบันดาลใจจากหนังสือ Sustainable City ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนครอบคลุมครบทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ให้ครบทุกครัวเรือน พร้อมกับการทำให้คนในชุมชนมีความรักความสามัคคี ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนแก่ชุมชน
"เราในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิต การเเก้ไขปัญหาความยากจน ความมั่นคง ความสงบสุข ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง การเเก้ไขปัญหาสิ่งเเวดล้อม และการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ขนบทำเนียบประเพณี รวมถึงด้านอื่น ๆ เพื่อให้เป็น "หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)" เพื่อเสริมความเเข็งแรงให้กับทุกตำบล ควบคู่กับการมีสถานบำบัดรักษา ฟื้นฟู ผู้ป่วยยาเสพติดที่เป็นกลไกเชิงโครงสร้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเเนวทาง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม อันเป็นการแก้ไขในสิ่งผิด และเป็นการ Change for Good ให้กับสังคมไทย เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทุกคนเเละครอบครัวของผู้ป่วยยาเสพติด คืนคนดีสู่สังคม ทำให้คนที่หลงผิด มีความเข้มเเข็ง เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป"
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62559 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วม บ.มาเวล พัฒนาช่างแอร์ รองรับ License | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
ก.แรงงาน ร่วม บ.มาเวล พัฒนาช่างแอร์ รองรับ License
รมว.แรงงาน มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วม บ.มาเวล จัดประชุมในงาน Road To Success 2023 เผย ปี 2566 พร้อมจัดตั้งศูนย์ทดสอบช่างแอร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62555 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ “ผู้นำต้องทำก่อน” ปรับสวนหลังบ้านพักปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ “ผู้นำต้องทำก่อน” ปรับสวนหลังบ้านพักปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ “ผู้นำต้องทำก่อน” ปรับสวนหลังบ้านพักปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเชิญชวนหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนใช้พื้นที่ในบ้านปลูกผักรับประทาน
รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ “ผู้นำต้องทำก่อน” ปรับสวนหลังบ้านพักปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเชิญชวนหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนใช้พื้นที่ในบ้านปลูกผักรับประทาน เพื่อสร้างอาหารที่ปลอดภัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 65 นางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายให้ทุกจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศ น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารไปขับเคลื่อนขยายผลเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้บริโภคผักปลอดสารพิษ และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษ ภายใต้การนำของ นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำนโยบายดังกล่าวมาบูรณาการทุกหน่วยงานร่วมกันรณรงค์และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ตระหนักในเรื่องของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร มีผักสวนครัวที่ปลอดภัยและมีคุณภาพดีปลูกไว้รับประทานเองภายในครัวเรือน โดยใช้แนวทาง “ผู้นำต้องทำก่อน” ด้วยการใช้พื้นที่ภายในบริเวณบ้านพัก หรือสถานที่ราชการ เป็นแปลงผักสวนครัวเพื่อให้เกิดการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับพี่น้องประชาชน และนำเมล็ดพันธุ์ หรือพันธุ์ผักที่เป็นผลผลิตแจกจ่ายมอบให้ประชาชนเพื่อขยายพันธุ์และสร้างแหล่งอาหารภายในครัวเรือน
โดยนางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำหัวหน้าส่วนราชการ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกันเอามื้อสามัคคี “ปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงทางอาหาร บริเวณหลังบ้านพักรองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ” ด้วยการปรับพื้นที่หลังบ้านพักเป็นแปลงผักและลงมือปลูกผักหลากหลายชนิด และใช้ฟางแห้งห่มดินเพื่อลดการระเหยของน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดิน พร้อมทั้งขับเคลื่อน “ถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” ภายในบริเวณดังกล่าว
นางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จังหวัดศรีสะเกษ ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ได้เป็นผู้นำในการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอทั้ง 22 อำเภอ ร่วมสนับสนุนบทบาทของท่านนายอำเภอในการเดินหน้าขับเคลื่อนปรับพื้นที่ว่างให้เป็นแปลงปลูกพืชผักต่าง ๆ ในทุกอำเภอ โดยตั้งเป้าหมายทุกครัวเรือนต้องปลูกผักอย่างน้อย 10 ชนิด เป็นต้นว่า ตะไคร้ ผักบุ้ง พริก คะน้า มะเขือเทศ มะเขือเปราะ กะเพรา โหระพา แมงลัก ถั่วฝักยาว มะละกอ และแตงกวา ซึ่งเป็นพืชผักที่ต้องจำเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญ ทั้งนี้ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รณรงค์ “ผู้นำต้องทำให้เห็นเป็นต้นแบบ” ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชสวนครัวกินเอง เพื่อลดรายจ่าย ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และจัดทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ลดก๊าชเรือนกระจก
“จังหวัดศรีสะเกษ มุ่งมั่นขับเคลื่อนด้วยการน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ด้วยการเสริมสร้างการรับรู้ความเข้าใจ และเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือน ได้หันมาใส่ใจในชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพของตนเอง ด้วยการลงมือ ลงแรง และสานพลังสมาชิกในครอบครัว ปลูกผักสวนครัวในบริเวณบ้าน อันจะทำให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนมีความรัก ความผูกพัน ความอบอุ่น ที่สำคัญ มีผักสวนครัวที่ปลอดภัยและมีคุณภาพดีหลากหลายชนิด ช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และยังสามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาและขอรับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผักได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ โทร. 0-4561-1465 ในวันและเวลาราชการ” นางสาวชนมณัฐฯ กล่าว
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62557 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนโพสต์ขายธนบัตรปลอมบนสื่อออนไลน์ เป็นเพจหลอกลวงผู้ซื้อให้โอนเงิน โดยไม่ได้ขายธนบัตรปลอมจริง ขอประชาชนระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เตือนโพสต์ขายธนบัตรปลอมบนสื่อออนไลน์ เป็นเพจหลอกลวงผู้ซื้อให้โอนเงิน โดยไม่ได้ขายธนบัตรปลอมจริง ขอประชาชนระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
ดีอีเอส เตือนโพสต์ขายธนบัตรปลอมบนสื่อออนไลน์ เป็นเพจหลอกลวงผู้ซื้อให้โอนเงิน โดยไม่ได้ขายธนบัตรปลอมจริง ขอประชาชนระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่า ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องมีการโพสต์ขายธนบัตรปลอมบนสื่อออนไลน์ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยธนาคารแห่งประเทศไทยกระทรวงการคลังพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยกระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่าเพจในข่าวเป็นเพจหลอกลวงผู้ซื้อให้โอนเงิน ซึ่งไม่ได้ขายธนบัตรปลอมจริงและบัญชีธนาคารที่เพจใช้ให้ลูกค้าโอนเงินเป็นบัญชีที่ถูกร้องเรียนว่าใช้ในการหลอกลวงประชาชนควรระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเพจต่างๆที่โพสต์ขายธนบัตรปลอมทางกระทรวงดิจิทัลฯได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปิดเพจ
สำหรับผู้เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายธนบัตรปลอมหรือการเปิดเพจขายธนบัตรปลอมจะมีความผิดตามกฎหมายอาญาโดยผู้ทำธนบัตรปลอมต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาทส่วนผู้ที่ใช้โดยรู้ว่าเป็นธนบัตรปลอมต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
ขอประชาชนโปรดระมัดระวังการซื้อขายผ่านทางช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆควรตรวจสอบแหล่งที่มาของร้านก่อนซื้อ-ขาย หากประชาชนได้รับความเสียหายจากการซื้อ-ขายออนไลน์ เพจหลอกลวงต่างๆ สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนของกระทรวงดิจิทัลโทรศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์1212 (https://1212etda.com/)และสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ตลอด24ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์https://thaipoliceonline.com
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับคณะผู้บริหารสหภาพยุโรป และผู้นำจากหลายประเทศของยุโรป มุ่งกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมความร่วมมือที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ | วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2565
นายกฯ มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับคณะผู้บริหารสหภาพยุโรป และผู้นำจากหลายประเทศของยุโรป มุ่งกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมความร่วมมือที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ
นายกฯ มีกำหนดการหารือทวิภาคีกับคณะผู้บริหารสหภาพยุโรป และผู้นำจากหลายประเทศของยุโรป มุ่งกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมความร่วมมือที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ
วันนี้ (11 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการหารือทวิภาคีที่สำคัญกับคณะผู้บริหารสหภาพยุโรป และผู้นำจากหลายประเทศของยุโรป ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ระหว่างวันที่ 12 - 15 ธันวาคม 2565 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ครั้งนี้ นอกจากภารกิจสำคัญที่นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมในกรอบของการประชุมฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรี พร้อมผู้นำอาเซียนกับสหภาพยุโรปจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญแล้ว นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับประธานคณะมนตรียุโรป ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า รวมถึงผู้นำจากประเทศในสหภาพยุโรปที่สำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่ทาบทามขอพบปะหารือกับนายกรัฐมนตรี อาทิ ผู้นำสาธารณรัฐเช็ก กรีซ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ฮังการี และเยอรมนี ตามช่วงเวลาที่กำหนดการของทั้งสองฝ่ายเอื้ออำนวย
“การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคณะผู้บริหารสหภาพยุโรป และผู้นำจากหลายประเทศของยุโรป สะท้อนว่านายกรัฐมนตรีได้รับการยอมรับจากนานาชาติในฐานะหนึ่งในผู้นำที่สำคัญของอาเซียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับทุกประเทศเพื่อโอกาสในการพัฒนาของประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือและความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืนระหว่างไทยกับมิตรประเทศซึ่งล้วนเป็นคู่ค้าสำคัญในยุโรป รวมทั้งจะเป็นการคงบทบาทของไทยในเวทีโลก” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62552 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย เปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ถอดรหัส-นวัตเกษตรไทย" ในโอกาสครบรอบ 15 ปี เเ | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
รมว.เฉลิมชัย เปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ถอดรหัส-นวัตเกษตรไทย" ในโอกาสครบรอบ 15 ปี เเ
รมว.เฉลิมชัย เปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ถอดรหัส-นวัตเกษตรไทย" ในโอกาสครบรอบ 15 ปี สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย (23 ปี รวมพลคนข่าวเกษตร) ขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง พร้อมเคียงข้างเกษตรกรไทย
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดงานครบรอบ 15 ปี สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย (23 ปี รวมพลคนข่าวเกษตร) และกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ถอดรหัส-นวัตเกษตรไทย" โดยมี นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า ภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย GDP ภาคเกษตรมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 8.5 ของ GDP รวมทั้งประเทศ ที่มาจากกิจกรรมการผลิตทางการเกษตร 5 สาขา ได้แก่ สาขาพืช ประมง ปศุสัตว์ บริการทางการเกษตร และป่าไม้ ซึ่งไม่รวมถึงเกษตรแปรรูป ที่อยู่ใน GDP ภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคเกษตรก็ยังคงมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของประเทศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น โดยเป็นรากฐานสำคัญสำหรับความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไทยและกับโลก
สำหรับปัญหาหลักของภาคเกษตร คือ ต้นทุนการผลิตสูง เกษตรกรไม่เข้าถึงแหล่งเงินทุน (ขาดหลักค้ำประกันขาดองค์ความรู้ ต้องพึ่งพาแหล่งทุนนอกระบบ ดอกเบี้ยสูง) ไม่มีตลาด ขาดแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ภัยธรรมชาติ ผลผลิตต่อไร่ต่ำ หนี้สินครัวเรือน มาตรฐานผลผลิต พันธุ์พืช/พันธุ์สัตว์ และบูรณาการภาครัฐ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้นำปัญหาของภาคเกษตร ทั้งก่อนและหลังการผลิต มาจัดทำเป็น 15 นโยบายหลักอย่างครบวงจร ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ มีส่วนร่วมและทำงานกันเป็นทีม เพื่อตอบสนองการแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกร โดยต้องนำเทคโนโลยีนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ ช่องทางการตลาดก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนภาคเกษตรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ต้องรู้ว่าตลาดต้องการสินค้าแบบไหน โดยสินค้าเกษตรต้องมีความปลอดภัย มีคุณภาพ การบริหารจัดการสินค้าเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการ (Demand) และปริมาณผลผลิต (Supply) ภายใต้หลัก “ตลาดนำการผลิต”
"กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายและขับเคลื่อนงานด้านการเกษตรที่ครอบคลุมหลายสาขา ทั้งพืช สัตว์ ประมง ดิน น้ำ สหกรณ์และสถาบันเกษตรกร การจัดการพื้นที่เกษตรกรรม รวมไปถึงมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ดังนั้นการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่เกษตรกร สื่อมวลชนเกษตรจึงมีส่วนสำคัญในการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร ประชาชนและสังคม เพื่อให้เข้าใจและรับทราบถึงผลดี ผลเสีย และผลกระทบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง เพื่อที่พี่น้องเกษตรกรจะได้เตรียมพร้อมรองรับความท้าทายได้อย่างทันท่วงที จึงต้องขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนเกษตรและคนข่าวเกษตร ที่นำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องและอยู่เคียงคู่กระทรวงเกษตรฯ ตลอดมา และพร้อมเคียงข้างเกษตรกรไทย นำพาประเทศก้าวสู่เกษตรอุตสาหกรรมและเกษตรมูลค่าสูง และนำพาเกษตรกรไทยให้มีอาชีพที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างเข้มแข็งต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'สุริยะ' สั่ง กอน. เร่งประชุมเคาะมาตรการดูแลชาวไร่ กำชับเลิกเผาอ้อย ขอโรงงานเลิกรับซื้อ ประสานมหาดไทย-ทส. อัพเดตข้อมูลลอบเผาอ้อยแบบเรียลไทม์แจ้งเตือน ปชช.ทั่วประเทศ พร้อมคืนอากาศบร | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
'สุริยะ' สั่ง กอน. เร่งประชุมเคาะมาตรการดูแลชาวไร่ กำชับเลิกเผาอ้อย ขอโรงงานเลิกรับซื้อ ประสานมหาดไทย-ทส. อัพเดตข้อมูลลอบเผาอ้อยแบบเรียลไทม์แจ้งเตือน ปชช.ทั่วประเทศ พร้อมคืนอากาศบร
'สุริยะ' สั่ง กอน. เร่งประชุมเคาะมาตรการดูแลชาวไร่ กำชับเลิกเผาอ้อย ขอโรงงานเลิกรับซื้อ ประสานมหาดไทย-ทส. อัพเดตข้อมูลลอบเผาอ้อยแบบเรียลไทม์แจ้งเตือน ปชช.ทั่วประเทศ พร้อมคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย-หนุนภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 กระทรวงอุตสาหกรรมได้เชิญตัวแทน 4 องค์กรชาวไร่อ้อย ได้แก่ สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย มาหาทางออกร่วมกันสำหรับมาตรการส่งเสริมอ้อยและน้ำตาลทรายในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการกำหนดราคา และมาตรการลดฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจาการลักลอบเผาอ้อยที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง โดยที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ
เพื่อดูแลชาวไร่ ตลอดจนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและชาวไร่อ้อย จะร่วมกันเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของประเทศที่เกิดจากการเผาอ้อย โดยกำหนดเป้าหมายลดการเผาอ้อยในฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็น 0% ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยเกษตรกรที่ให้ความร่วมมือตัดอ้อยสดรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือแน่นอน
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า สอน.ได้หารือร่วมกับ 4 องค์กรชาวไร่อ้อย ถึงข้อเสนอ 3 เรื่อง โดยหลังจากนี้จะจัดให้มีการประชุม กอน.โดยเร็ว เบื้องต้นข้อเรียกร้องเรื่องการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/2566 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2564/2565 กอน. น่าจะพิจารณาได้ทันที ส่วนข้อเสนอแนวทางการขอเพิ่มเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีปี 2565/2566 จาก 120 บาทต่อตัน ควบคู่ไปกับการปรับเพิ่มการหักเงินอ้อยถูกเผาไฟขึ้นจากเดิม 30 บาท นั้น จะต้องมีการหารือร่วมกับชาวไร่และโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรงก่อน เพราะปัจจุบันพบว่ายังมีชาวไร่ลักลอบเผาอ้อยทั้งกรณีตั้งใจเผาเองและกรณีโรงงานน้ำตาลขอให้เผา เรื่องนี้จึงต้องมีการตรวจสอบร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย
"ฤดูการผลิต 2565/2566 ซึ่งเริ่มเปิดหีบเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา กอน. พบข้อมูลที่น่ากังวลคือ มีการลักลอบเผาอ้อยมากถึง 2.3 ล้านตัน คิดเป็น 25.70% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบรวม 9.09 ล้านตัน โดยฤดูการผลิต 2564/2565 มี 3 กลุ่มโรงงานที่รับอ้อยถูกเผาสูงสุด คือ โรงงานในกลุ่มบริษัทมิตรผล 5.36 ล้านตัน กลุ่มบริษัทไทยรุ่งเรือง 3.86 ล้านตัน กลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่น 2.27 ล้านตัน ตามลำดับ ส่งผลให้เกิดควันไฟที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในทั่วพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง รวมถึงพื้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญในหลายจังหวัดและกรุงเทพมหานคร เรื่องนี้ กอน. จะตรวจสอบถึงสาเหตุ แรงจูงใจการเผา และจะเพิ่มเติมมาตรการจูงใจในส่วนของโรงงานเพิ่มเติม จากที่ปัจจุบันมีเฉพาะในส่วนของชาวไร่เท่านั้น
ขณะเดียวกันเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลสถานการณ์การเผาอ้อยอย่างใกล้ชิด สอน.จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ข้อมูลอัพเดตตัวเลขการเผาอ้อยแต่ละสัปดาห์ พร้อมพิกัดการเผา เพื่อเป็นข้อมูลเตือนภัยเชิงป้องกันด้านสุขภาพของประชาชนที่กำลังเผชิญกับโควิด-19 ซึ่งฝุ่นละอองจากการลักลอบเผาอ้อยจะทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง อาจติดโควิด-19 ได้ง่าย รวมทั้งสามารถนำข้อมูลดังกล่าววางแผนการท่องเที่ยวของประชาชนในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว" นายภานุวัฒน์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งเป้าลดขนาดการขาดดุล มุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในเวลาที่เหมาะสม พร้อมเห็นชอบกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ระยะปานกลางในปี 2566 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งเป้าลดขนาดการขาดดุล มุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในเวลาที่เหมาะสม พร้อมเห็นชอบกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ระยะปานกลางในปี 2566
ครม. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งเป้าลดขนาดการขาดดุล มุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในเวลาที่เหมาะสม พร้อมเห็นชอบกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ระยะปานกลางในปี 2566 ในช่วงร้อยละ 1-3 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ (27 ธันวาคม 2565) เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) โดยมีเป้าหมาย เน้นการปรับลดขนาดการขาดดุลเพื่อมุ่งสู่การจัดงบประมาณสมดุลในระยะเวลาทีเหมาะสม โดยจะปรับลดขนาดการขาดดุลให้เหลือไม่เกิน ร้อยละ 3.0 ต่อ GDP ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567 และจะปรับลดขนาดการขาดดุลลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังเห็นชอบกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายในปี 2566 โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 ซึ่งยังมีความเหมาะสม เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีกว้างร้อยละ 2 ทำให้มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะปานกลางรวมถึงจะช่วยเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
สำหรับ แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) สาระสำคัญ สรุปดังนี้
1. สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
ปี 2567 คาดว่า GDP ขยายตัวร้อยละ 3.3 - 4.3 อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 1.0- 2.0 โดยในปี 2568 -2570 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2568 และปี 2569 GDP คาดขยายตัวร้อยละ 2.9 - 3.9 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.2-2.2 และในปี 2569 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.3-2.3 และในปี 2570 คาดว่า GDP ขยายตัวร้อยละ 2.8-3.8 และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 1.4-2.4
โดยมีแรงสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวดีขึ้นของการลงทุนในประเทศ สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยว
2. สถานะและประมาณการการคลัง
2.1 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ ปี 2566-2570 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยในปี 2566 คาดรายได้รัฐบาลจำนวน 2.490 ล้านล้านบาท ปี 2567 ประมาณการรายได้จำนวน 2.757 ล้านล้านบาท ปี 2568 ประมาณการรายได้จำนวน 2.867 ล้านล้านบาท ปี 2569 ประมาณการรายได้จำนวน 2.953 ล้านล้านบาท และปี 2570 ประมาณการรายได้จำนวน 3.041 ล้านล้านบาท
โดยการจัดเก็บรายได้ในระยะปานกลาง จะฟื้นตัวตามการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รายได้จากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ตลอดจนการท่องเที่ยวหลังการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง
2.2 ประมาณการงบประมาณรายจ่าย
ปี งบประมาณ 2567-2570 ปรับเพิ่มขึ้น โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ เช่นการกำหนดการจ่ายคืนต้นเงินกู้ให้มีสัดส่วนร้อยละ 2.5 -4.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้เกิดความยั่งยืนทางการคลัง และเหมาะสมกับกำลังเงินของประเทศ กำหนดสัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นอยู่ที่ร้อยละ 2.0-3.5 ของวงเงินงบประมาณ ควบคุมการใช้จ่ายบุคลากรให้มีอัตราเพิ่มโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 4.0 โดยใช้มาตรการในการกำหนดให้หน่วยรับงบประมาณนำเงินรายได้มาสมบทค่าใช้จ่ายเป็นต้น โดยในปี 2566 งบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.185 ล้านล้าบาท ปี 2567 งบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.350 ล้านล้าบาท ปี 2568 งบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.457 ล้านล้าบาท ปี 2569 งบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.568 ล้านล้าบาท และ ปี 2570 งบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.682 ล้านล้านบาท
2.3 ดุลการคลัง ในปีงบประมาณ 2567-2570 ยังคงเป็นงบประมาณขาดดุล
2.4 ประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2567-2570 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบพ.ร.บ. ระเบียบวินัยการเงินการคลัง โดยปี 2566 ร้อยละ 60.64 ปี 2567 ร้อยละ 61.35 ปี 2568 ร้อยละ 61.78 ปี 2569 ร้อยละ 61.69 ปี 2570 ร้อยละ 61.25
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวการกำหนดแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ได้ยึดหลัก “Sound Strong Sustained” เน้นการดำเนินนโยบายการคลังที่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง เสริมสร้าง ความเข้มแข็งทางการคลังในทุกด้าน ทั้งการฟื้นฟูการจัดเก็บรายได้ การจัดสรรงบฯ รายจ่าย และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ทางการคลัง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รองรับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ภาคการคลังที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการรองรับความเสี่ยงที่ประเทศอาจต้องเผชิญอีกในอนาคต และหากภาวะเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะเป็นแนวทางเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทพงบฯ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐตามพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบแนวทางดูแลให้แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน พร้อมมอบหน่วยงานเกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามภารกิจ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.รับทราบแนวทางดูแลให้แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน พร้อมมอบหน่วยงานเกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามภารกิจ
ครม.รับทราบแนวทางดูแลให้แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน พร้อมมอบหน่วยงานเกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามภารกิจ
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 ธ.ค. 65 ได้รับทราบมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และ ประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพของกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาต (คสช.) เสนอ
ทั้งนี้ ครม. ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานสภาความั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยงานท้องถิ่น รับมติสมัชาสุขภาพเฉพาะประเด็นดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อดำเนินการตามภาระหน้าที่เกี่ยวข้องต่อไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เป็นแนวทางเพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้รับความคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพ มีหลักประกันการเข้าถึงบริการที่เป็นธรรม โดยเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องมีแนวทางในระดับนโยบายเนื่องจากประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติมากที่สุดในอาเซียน แต่ปัจจุบันยังแต่ยังขาดการบูรณาการประเด็นแรงงานข้ามชาติในแผนพัฒนาประเทศ มาตรการว่าด้วยแรงงานข้ามชาติยังมีลักษณะชั่วคราวและเน้นการควบคุมการเคลื่อนย้าย มากกว่าบูรณาการเข้ากับตลาดแรงงานและระบบประกันสุขภาพ จนเกิดความลักลั่นเข้าไม่ถึงสิทธิด้านสุขภาพ
โดย คสช. เห็นว่าแนวทางที่จะสนับสนุนให้แรงงานข้ามชาติได้รับการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพนั้น ต้องดำเนินการในส่วนต่างๆ อาทิ บูรณาการแรงงานข้ามชาติเข้าสู่การพัฒนาประเทศ พัฒนายุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศ รวมถึงการพัฒนากฎหมายสุขภาพแรงงานข้ามชาติ เพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพและรับรองสิทธิในหลักประกันสุขภาพและบริการสุขภาพของแรงงานข้ามชาติในฐานะพลเมืองทางเศรษฐกิจ และพัฒนาหลักประกันสุขภาพที่มีเสถียรภาพครอบคลุมแรงงานข้ามชาติทุกกลุ่ม โดยคำนึงถึงระยะเวลาการพำนักในประเทศและระดับการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและสังคม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ เป็นแนวทางดำเนินการเพื่อให้เด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติในประเทศไทยได้รับการคุ้มครอง สิทธิด้านสุขภาพ สิทธิในบริการขั้นพื้นฐาน ที่มีคุณภาพ เท่าเทียม ทั่วถึงตามหลักสิทธิมนุษชนและอนุสัญญาระหว่างประเทศ ด้วยแนวทางต่างๆ อาทิ การพัฒนา ปรับปรุงมาตรการ หลักเกณฑ์แนวปฏิบัติการรับรองการเกิด มาตรการเชิงรุกเพื่อการจดทะเบียนครบขั้นตอนทันทีหลังเกิด เพื่อรับรองสิทธิในสัญชาติของเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และการดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย พัฒนาบริการสาธารณสุข สิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน
ทั้งนี้ คสช. เห็นว่าการดำเนินการต่างๆ ข้างต้นควรเร่งดำเนินการไปสู่การปฏิบัติโดยเร็ว เพื่อให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติ รวมถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ เข้าถึงหลักประกันสุขภาพ บริการขั้นพื้นฐานที่เหมาะสม มีคุณภาพ เท่าเทียม เป็นธรรม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นการสร้างความเสมอภาคด้านสุขภาพที่เป็นพื้นฐาน รวมถึงเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ปัจจุบันยังมีผู้ติดเชื้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63159 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” No Gift Policy งดรับ งดให้ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
“ดีอีเอส” No Gift Policy งดรับ งดให้
“ดีอีเอส” No Gift Policy งดรับ งดให้
วันนี้ (27 ธันวาคม 65) ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศเจตนารมณ์ขอร่วมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต” และขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ งดรับสิ่งของ ทรัพย์สิน ของขวัญหรือของกำนัลทุกชนิดจากหารปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) จากหน่วยงานและประชาชน รวมถึงผลประโยชน์อื่นใดจากการปฏิบัติหน้าที่ในทุกโอกาสและทุกเทศกาล
____________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63139 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือน ภัยออนไลน์ช่วงปีใหม่ !!! ระวังคนร้าย ส่ง link app หลอกเอาข้อมูล หรือ หลอกเอาเงิน | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เตือน ภัยออนไลน์ช่วงปีใหม่ !!! ระวังคนร้าย ส่ง link app หลอกเอาข้อมูล หรือ หลอกเอาเงิน
ดีอีเอส เตือน ภัยออนไลน์ช่วงปีใหม่ !!! ระวังคนร้าย ส่ง link app หลอกเอาข้อมูล หรือ หลอกเอาเงิน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แจ้งเตือนไปยังประชาชนในช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ ให้ระมัดระวังคนร้ายแฝงตัวเข้ามาฉวยโอกาส หลอกลวง ทำให้เกิดความเสียหายแก่พี่น้องประชาชน ทั้งการกด Link ซื้อขายสินค้า โหลดสติกเกอร์ Line อวยพรปีใหม่ฟรี! เป็นต้น โดยดีอีเอส ได้รวบรวม 5 ภัยร้ายออนไลน์ รู้ไว้ ปลอดภัยกว่า เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังตัวมากขึ้น ประกอบด้วย
1. หลอกโหลดสติกเกอร์ เทศกาลปีใหม่ฟรี! มิจฉาชีพเชิญชวนการโหลดสติกเกอร์ดังกล่าว แฝงตัวส่ง Link ให้โหลด อาจมีการหลอกลวงให้ผู้ใช้ไลน์ใส่ชื่อ และรหัสการเข้าใช้ไลน์ รวมถึงข้อมูลส่วนตัว ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพ นำชื่อและรหัสการใช้งานของท่านไปทำธุรกรรมต่างๆ หรืออาจมีการสวมสิทธิ์เพื่อกระทำผิดได้
2. หลอกรับบริจาค ทำบุญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนอาจต้องการทำบุญเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิต มิจฉาชีพอาจมีการประกาศเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ โดยอ้างบุคคลหรือกิจกรรมต่าง ๆ จึงควรตรวจสอบข้อมูลในกิจกรรมที่จะร่วมทำบุญว่า เป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร ก่อนจะร่วมบริจาคเงินร่วมทำบุญออนไลน์ “มีสติ” ก่อนโอนเงิน
3. หลอกให้จัดงานเลี้ยงผ่านการใช้บริการออนไลน์ โดยมีพฤติกรรมแอบอ้าง ดังนี้ คนร้ายแอบอ้างกับเจ้าของร้านค้าว่าจะจัดงานเลี้ยงโดยติดต่อให้ส่งของต่าง ๆ ไปไว้ตามสถานที่จัดงาน เมื่อทางร้านค้าส่งของไปยังที่นัดหมายแล้ว คนร้ายจะแอบขนของหลบหนีไป หรือ คนร้ายแอบอ้างกับผู้ที่ต้องการจะจัดงานเลี้ยงว่า สามารถสั่งอาหารผ่านทางออนไลน์ได้ในราคาถูกกว่า ส่งผลให้ผู้ที่จะจัดงานเลี้ยงหลงเชื่อยอมจ่ายเงินค่าอาหารให้กับคนร้าย แต่เมื่อถึงวันจัดเลี้ยงไม่มีการส่งอาหารมาให้แต่อย่างใด เป็นต้น
4. หลอกให้ซื้อของขวัญ ผ่านร้านค้าออนไลน์ เพื่อไม่ให้ถูกหลอกลวงสั่งซื้อของแล้วไม่ได้สินค้า ได้รับสินค้าไม่ตรงปก หรือไม่มีคุณภาพเลือกดูสินค้าและสังเกตราคาก่อนเข้าร่วมโปรโมชันให้ดี รวมทั้งเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากหลายร้านค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุดการซื้อของขวัญให้กันผ่านร้านค้าออนไลน์
5. หลอกชวนเล่นการพนันออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ หลอกเอาข้อมูลไปใช้ทางผิดกฎหมาย หวั่นประชาชนถูกหลอกให้เสียเงิน ย้ำอย่าหลงเชื่อหากพบเห็นแจ้งเบาะแสได้ตลอด 24 ชม. ทั้งถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในความผิดพ.ร.บ. การพนัน มาตรา 12 มีโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจับทั้งปรับ ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้ามือ หรือผู้เล่น หรือเป็นผู้เชิญชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนัน
ทั้งนี้ ข่าวปลอมที่ผู้ไม่หวังดีสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสับสนให้กับสังคม ควรตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย www.antifakenewscenter.com หรือ สำนักข่าวที่น่าเชื่อถือได้ก่อนที่จะเชื่อหรือส่งต่อ มิเช่นนั้นท่านอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีและอาจถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้
กระทรวงดีอีเอส มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน และขอแสดงความห่วงใย หากท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งมิจฉาชีพ หรือถูกหลอกลวงออนไลน์ต่าง ๆ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามผลการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลืองและสายสีชมพู | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามผลการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลืองและสายสีชมพู
.....
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้าง ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางรางนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายมนตรี เดชาสกุลสม รองอธิบดีกรมทางหลวง พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ปัจจุบัน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู มีความคืบหน้าอย่างมาก ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้ากำหนดการเปิดให้บริการไว้ในช่วงปี 2566 จึงได้กำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูขึ้น โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 3 เพื่อติดตามผลการดำเนินการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดให้บริการในด้านต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งอื่น การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม การขอพระราชทานนามแนวเส้นทาง และการสื่อสารสาธารณะ โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 สายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว - สำโรง) มีความคืบหน้าการก่อสร้าง ร้อยละ 97.73 ได้รับมอบขบวนรถไฟฟ้าแล้ว 29 ขบวน จากทั้งหมด 30 ขบวน มีแผนเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2566 ส่วนสายสีชมพู (ช่วงแคราย - มีนบุรี) มีความคืบหน้าร้อยละ 94.00 ได้รับมอบขบวนรถไฟฟ้าแล้ว 39 ขบวน จากทั้งหมด 42 ขบวน มีแผนเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2566 โดยปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างจัดทำ Proof of Safety เพื่อตรวจสอบและประเมินความพร้อมของงานโยธาและงานระบบไฟฟ้าทั้งหมดของโครงการ ก่อนที่วิศวกรอิสระ (ICE) จะออกหนังสือรับรองความปลอดภัย เพื่อเปิดให้บริการให้แก่ประชาชนต่อไป
ในการประชุม ที่ประชุมได้หารือแนวทางการเร่งรัดโครงการให้เป็นไปตามแผนกำหนดการเปิดให้บริการ และได้หารือแนวทางการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูกับระบบขนส่งอื่น เช่น การก่อสร้าง Skywalk เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีหัวหมาก กับสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีหัวหมาก ซึ่งได้มอบหมายให้ รฟม. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง โดยให้เสนอคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) พิจารณา รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการรื้อย้ายสาธารณูปโภค ซึ่งมีงานทับซ้อนกัน ณ ตำแหน่งทางขึ้นลงของสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ (สถานี PK11 - PK13) ประกอบด้วย การรื้อย้าย Duct Bank และแนวสายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และการก่อสร้างทางระบายน้ำ (Flood Way) ของกรมทางหลวง โดย รฟม. จะประสานงานกับกรมทางหลวง กฟน. และ ปตท. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้แล้วเสร็จตามแผนงาน โดยสามารถเริ่มสร้างทางขึ้น - ลง ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566
ทั้งนี้ ในการประชุม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้คณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ดำเนินการดังนี้
1. คณะอนุกรรมการด้านการเดินรถ การเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง และการประเมินคุณภาพ
1.1 ให้ รฟม. ประสานงานกับ รฟท. เพื่อหารือเกี่ยวกับพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างทางเชื่อม (Skywalk)เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีหัวหมาก และสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีหัวหมาก
และเมื่อได้ข้อยุติแล้ว ให้เร่งรัดนำเสนอ คจร. ต่อไป
1.2 ให้ดำเนินการร่วมกับคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารสาธารณะ ในการประชาสัมพันธ์เรื่องการคืนพื้นที่ผิวจราจร และการก่อสร้างทางขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนแจ้งวัฒนะ
1.3 ให้ รฟม. กำชับผู้รับสัมปทานในด้านความปลอดภัยในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า และเตรียมความพร้อมรองรับการจราจรที่หนาแน่นช่วงเทศกาลปีใหม่
2. คณะอนุกรรมการด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสารให้ตรวจสอบที่มา และแนวทางในการคิดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู โดยเปรียบเทียบกับวิธีการคิดอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ที่เปิดให้บริการในปัจจุบัน
3. คณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารสาธารณะ
3.1 ให้ประสานข้อมูลจากคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น แผนการเปิดให้บริการ แนวทางการเชื่อมต่อขนส่งมวลชน
ระบบอื่น ๆ รวมถึงการก่อสร้างจุดขึ้น-ลงของสถานีรถไฟฟ้าบนถนนแจ้งวัฒนะ โดยให้ประชาสัมพันธ์
อย่างต่อเนื่อง
3.2 ให้ รฟม. และผู้รับสัมปทานร่วมกันหาแนวทางการประชาสัมพันธ์ผ่าน Influencer ต่างๆ โดยให้มีการศึกษากลุ่มเป้าหมาย (Target Group) ที่จะสื่อสาร เพื่อให้สามารถจัดหาวิธีการนำเสนอที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับสื่อสังคมออนไลน์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
4. คณะอนุกรรมการด้านการเตรียมการขอพระราชทานนามแนวเส้นทางโครงการ
ให้ดำเนินการขอพระราชทานนามสำหรับทั้ง 2 โครงการ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI สานต่อความร่วมมือ พัฒนาต่อยอดเพื่อคนรุ่นต่อไปก้าวทันเทคโนโลยี สามารถนำมาพัฒนาประเทศต่อไปได้ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
นายกฯ หารือ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI สานต่อความร่วมมือ พัฒนาต่อยอดเพื่อคนรุ่นต่อไปก้าวทันเทคโนโลยี สามารถนำมาพัฒนาประเทศต่อไปได้
นายกฯ หารือ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI สานต่อความร่วมมือ พัฒนาต่อยอดเพื่อคนรุ่นต่อไปก้าวทันเทคโนโลยี สามารถนำมาพัฒนาประเทศต่อไปได้
วันนี้ (27 ธันวาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหวัง เจี้ยน (Mr. Wang Jian) ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบ พร้อมกล่าวขอบคุณบริษัทฯ ที่สนับสนุนรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการบริจาคห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่หัว-เหยี่ยน เพื่อใช้ในการตรวจหาเชื้อ โดยทราบว่า ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI ได้พบกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหารือเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือด้านการแพทย์ และ EEC เพื่อหารือเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือที่เกี่ยวข้องของไทยในเรื่องความร่วมมือด้านการแพทย์จีโนมิกส์ หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสานต่อความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์การแพทย์จีโนมิกส์ของภูมิภาค ซึ่งไทยมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีมาตรฐานและระดับการพัฒนาทางการแพทย์สูง โดยในระดับนโยบายประเทศไทยมีแผนงานจีโนมิกส์ ที่เป็นความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรรวม 22 หน่วยงาน จึงหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถยกระดับความร่วมมือระหว่างกันได้
ด้านผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าพบในวันนี้ เชื่อมั่น และถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยมายาวนานตั้งแต่ 25 ปีก่อนเดินทางมา และมีโอกาสในการเขียนแผนจีโนมจนมาถึงวันนี้ที่ได้มาเยือนอีกครั้งเพื่อมาศึกษาหาลู่ทางการลงทุนและความร่วมมือระหว่างกัน
โดยทั้งสองฝ่ายหวังที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญ การศึกษา การฝึกอบรมบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ รุ่นต่อไปก้าวทันเทคโนโลยี การถ่ายทอดเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63135 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แย้มเตรียมปรับเพิ่มเงินเยียวยา จากปกติเสียชีวิตได้ 110,000 บาท เป็น 575,000 บาท เพิ่มชดเชยบาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ 360,000 บาท | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แย้มเตรียมปรับเพิ่มเงินเยียวยา จากปกติเสียชีวิตได้ 110,000 บาท เป็น 575,000 บาท เพิ่มชดเชยบาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ 360,000 บาท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แย้มเตรียมปรับเพิ่มเงินเยียวยา จากปกติเสียชีวิตได้ 110,000 บาท เป็น 575,000 บาท เพิ่มชดเชยบาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ 360,000 บาท ยันทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์-เสียงสะท้อนของประชาชน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมได้เล็งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคดีอาญา ดังนั้นเราจึงมีการปรับอัตราการช่วยเหลือเยียวยา ผู้เสียหายในคดีอาญาให้สูงขึ้น โดยมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นเจ้าภาพในการร่างปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทน ผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ... โดยให้มีการเพิ่มอัตรา การช่วยเหลือเยียวยาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สภาวะเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน และมีเสียงสะท้อนจากภาคประชาชน จากเหตุการณ์กราดยิง ที่ จ.หนองบัวลำภู ว่าวงเงินการเยียวยาค่อนข้างน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการสูญเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ในการประชุมครั้งที่ 12/2565 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเพิ่มอัตราการเยียวยาให้สูงขึ้น และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมาย มาตรการ กลไก เพื่อคุ้มครองผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา พิจารณาแก้ไขกฎหมาย โดยได้ประชุมไปแล้วในครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2565 และจะพิจารณาต่อเนื่องในเดือน ม.ค.2566 ต่อไป โดยการตั้งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาจะพิจารณา จากผลการศึกษาของหน่วยงานต่างๆ ที่มีการเยียวยาลักษณะคล้ายคลึง เพื่อเทียบเคียงเพื่อมาตั้งจ่าย ช่วยเหลือเยียวยาในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งปกติทั่วไปค่าตอบแทนผู้เสียชีวิต จะได้รายละ 110,000 บาท ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการเสียชีวิต 50,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท ซึ่งได้ปรับอัตราการเยียวยาใหม่ตามร่างกฎกระทรวง ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการเสียชีวิต ตั้งแต่ 100,000 - 450,000 บาท ค่าจัดการศพ 45,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท และค่าเสียหายอื่น 40,000 บาท รวมช่วยเหลือสูงสุดตามร่างกฎหมายอยู่ที่ 575,000 บาท ส่วนกรณีบาดเจ็บ เพิ่มค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเป็น 50,000 บาท จากเดิมจ่าย 20,000 บาท เพิ่มค่าตอบแทนความเสียหายอื่นเป็น 94,000 บาท เพื่อให้ครอบคลุมความเสียหาย ทั้งทางกาย จิตใจ ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ และค่าพาหนะเหมาจ่าย จากเดิมจ่าย 50,000 บาท และเพิ่มค่าชดเชยการสูญเสียอวัยวะ หรือสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะไม่เกิน 360,000 บาท จากเดิมที่ไม่มี
"สำหรับขั้นตอนต่อไปของการแก้ไขกฎกระทรวง จะส่งต่อให้ กระทรวงการคลังพิจารณาในวงเงินที่ตั้งจ่ายเพิ่มเติม และคณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาพิจารณาเห็นชอบ พร้อมทั้งเปิดเวทีรับฟังความเห็น และนำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในหลักการ แล้วส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจแก้ไข ก่อนเสนอขอความเห็นชอบ ซึ่งการปรับเพิ่มในส่วนนี้ เพราะเราเห็นถึงความเดือดร้อน ซึ่งเราอยากช่วยเหลือประชาชน บรรเทาความเดือดร้อนจากการสูญเสียให้ได้มากที่สุด ตามสิทธิที่ทุกคนควรจะได้รับ" นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. พร้อมแล้ว ปรับเปลี่ยนขบวนรถไฟทางไกล เหนือ ใต้ อีสาน 52 ขบวน ให้บริการสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่ 19 มกราคม 2566 เป็นต้นไป | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
รฟท. พร้อมแล้ว ปรับเปลี่ยนขบวนรถไฟทางไกล เหนือ ใต้ อีสาน 52 ขบวน ให้บริการสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่ 19 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
ขบวนรถธรรมดา รถชานเมือง และขบวนรถนำเที่ยวทุกสายยังคงให้บริการที่สถานีหัวลำโพงเหมือนเดิม
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม กำหนดให้ขบวนรถไฟทางไกล สายเหนือ สายใต้ สายอีสาน ของขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว จำนวน 52 ขบวน ให้บริการ ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่ได้พัฒนาและยกระดับให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางราง ที่ครอบคลุมการเชื่อมต่อการเดินทาง และการขนส่งมวลชนทุกรูปแบบ ที่ประชาชนสามารถเชื่อมการเดินทางไปยังทุกจุดหมาย และลดปัญหาการจราจรติดขัดทางรถไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ รฟท. เปิดเผยว่า รฟท. กำหนดเปิดให้บริการขบวนรถไฟทางไกล ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะเดินขบวนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ ในเวลา 13.19 น. เป็นขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศ KIHA เพื่อการท่องเที่ยว ต้นทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปลายทางสถานีอยุธยา โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจสามารถซื้อตั๋วโดยสารนำเที่ยวโปรแกรมพิเศษนี้ ส่วนขบวนรถโดยสารเที่ยวแรกที่จะออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์คือขบวนรถเร็วที่ 171 กรุงเทพ - สุไหงโกลก โดยรฟท. ได้เตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนขบวนรถไฟทางไกลไปให้บริการที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ รฟท. ได้เริ่มจำหน่ายตั๋วล่วงหน้า 30 วัน ในวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารและเดินทางตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ขอให้จะปรากฏสถานีต้นทางหรือปลายทางของขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว เป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (กภ.) บนตั๋วโดยสาร ทั้งนี้ ขบวนรถธรรมดา ขบวนรถชานเมือง จะยังคงใช้สถานีต้นทาง/ปลายทาง ที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เช่นเดิม
นับจากวันที่ 19 มกราคม 2566 ขบวนรถไฟสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกขบวน จะวิ่งบนโครงสร้างทางยกระดับเช่นเดียวกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง (บางซื่อ - รังสิต) ตั้งแต่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จนถึงสถานีดอนเมือง (เฉพาะที่สถานีดอนเมือง จะเป็นสถานียกระดับ) จะไม่มีขบวนรถโดยสารวิ่งระดับพื้นดิน ซึ่งมีทางจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ-รถยนต์ 8 แห่ง บนถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน และจะไม่มีขบวนรถไฟโดยสารเดินบนเส้นทางรถไฟเดิมระดับดิน และจะยกเลิกการใช้ป้ายหยุดรถไฟ กม.11 สถานีบางเขน ที่หยุดรถไฟทุ่งสองห้อง สถานีหลักสี่ และที่หยุดรถการเคหะ กม.19 และขบวนรถในเส้นทางสายใต้
ก็จะวิ่งบนโครงสร้างทางยกระดับรถไฟชานเมืองสายสีแดง (บางซื่อ - ตลิ่งชัน) ตั้งแต่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จนถึงสถานีบางบำหรุ ยกเว้นขบวนรถธรรมดา และชานเมืองในเส้นทางสายใต้ จะเดินรถระดับพื้นดินตั้งแต่สถานีชุมทางบางซื่อไปตามเส้นทางเดิม ทั้งหมดนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณจุดตัดได้เป็นอย่างดี ขบวนรถไฟสามารถเดินตรงตามเวลาได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่านจุดตัดทางรถไฟกับรถยนต์ ทั้งนี้ ขบวนรถที่ต้องเข้าสถานีกรุงเทพที่มี 100 กว่าขบวนต่อวันก็จะลดลง ลดปัญหาการจราจรในพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ อย่างเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
สำหรับขบวนรถไฟทางไกล กลุ่มขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว ที่จะเปลี่ยนสถานีต้นทาง ปลายทาง มาที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 52 ขบวน ประกอบด้วย สายเหนือ จำนวน 14 ขบวน สายใต้ 20 ขบวน และสายตะวันออกเฉียงเหนือ 18 ขบวน
กลุ่มขบวนรถธรรมดา ขบวนรถชานเมือง และขบวนรถนำเที่ยวทุกสาย จำนวน 62 ขบวน ยังคงให้บริการต้นทาง-ปลายทางที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ตามเดิม ตั้งแต่ กรุงเทพ สามเสน ชุมทางบางซื่อ และจะขึ้นทางยกระดับเดินรถร่วมกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ยกเว้นขบวนรถธรรมดา และชานเมืองในเส้นทางสายใต้ จะเดินรถระดับพื้นดินตั้งแต่สถานีชุมทางบางซื่อไปตามเส้นทางเดิม
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์รฟท. จึงให้สิทธิ์ผู้โดยสารสามารถใช้ตั๋วโดยสารขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว รถธรรมดา และตั๋วเดือน สามารถนำตั๋วโดยสารเข้าใช้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง เพื่อเชื่อมต่อที่สถานีดอนเมือง (ยกระดับ) ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 1 ปี ตามเงื่อนไขที่ระบุอยู่บนตั๋วโดยสาร
รถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว (รถไฟทางไกล)
สำหรับผู้โดยสารที่เคยขึ้น-ลงสถานีรถไฟทางไกล (ระดับพื้นดิน) ที่มีการยกเลิกให้บริการรับ - ส่ง รฟท. มีมาตรการอำนวยความสะดวก โดยผู้โดยสารในขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว รถธรรมดา สามารถใช้ตั๋วโดยสารเข้าใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
รถชานเมือง
สำหรับผู้ใช้บริการขบวนรถชานเมือง สามารถใช้ตั๋วเดือนเข้าใช้รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม การให้บริการขบวนรถไฟทางไกล ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รฟท. ได้ดำเนินการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานี เช่น ป้ายบอกทาง ที่พักคอยผู้โดยสาร รถเข็นสัมภาระ ลานจอดรถ เพื่อรองรับการใช้บริการที่สะดวกสบาย ปลอดภัย คลอบคลุมสำหรับผู้ใช้บริการทุกเพศ ทุกวัย โดยทางเข้าของผู้โดยสารจะอยู่ที่ประตู 4 และจะมีช่องจำหน่ายตั๋วให้บริการทั้งหมด 10 ช่อง ผู้โดยสารที่มีตั๋วโดยสารสามารถรอการโดยสารภายในโถงด้านล่างสถานี เพื่อรอขึ้นขบวนรถบนชานชาลาก่อนขบวนรถออก 20 นาที โดยสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ขาออกจะอยู่ที่ชานชาลา 1 - 2 และขาเข้าจะอยู่ที่ชานชาลา 5 – 6 ส่วนสายใต้ขาออก จะอยู่ที่ชานชาลา 7 - 8 และขาเข้าอยู่ที่ชานชาลา 11 - 12 ส่วนการ เดินทางภายในสถานีเพื่อเชื่อมต่อระบบสาธารณะนั้น จะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเชื่อมต่อโดยสาร และใกล้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว ม่วง ชมพู อีกทั้งยังอยู่ใกล้สถานีขนส่งผู้โดสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) มีรถโดยสารประจำทาง 3 สาย ให้บริการ ได้แก่ สาย 3 สาย 49 และ สาย 67
นอกจากนี้ รฟท. ได้ปรับแผนเดินรถไฟขนส่งสินค้าให้เดินเข้าเขตกรุงเทพฯ ชั้นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งช่วยลดจำนวนรถไฟที่จะผ่านจุดตัดถนน ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อการลดการจราจรแออัดในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน และช่วยลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟ ลดความสูญเสียต่อประชาชนด้วย
การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้รฟท. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการในทุกๆด้าน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ ยึดหลักความสะดวก ปลอดภัย ให้ผู้โดยสารทุกท่านอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้รฟท. ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่สามารถนำมาดำเนินการอำนวยความสะดวกในทุกมิติให้กับผู้โดยสารทุกท่านอย่างดีที่สุด และสามารถใช้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63148 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ขยายทางหลวงหมายเลข 11 แยกอินทร์บุรี - บ้านหนองบัวทอง แล้วเสร็จ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ขยายทางหลวงหมายเลข 11 แยกอินทร์บุรี - บ้านหนองบัวทอง แล้วเสร็จ
เชื่อมจังหวัดสิงห์บุรี - นครสวรรค์ สนับสนุนโครงข่ายเส้นทางการค้าอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวง (ทล.) โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 11 สาย แยกอินทร์บุรี - อำเภอสากเหล็ก ตอนแยกอินทร์บุรี - บ้านหนองบัวทอง จาก 2 ช่องจราจรเป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคม และระบบโลจิสติกส์ สนับสนุนโครงข่ายเส้นทางการค้ากลไกความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation: GMS)
สำหรับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 สายอินทร์บุรี - เชียงใหม่ เป็นทางหลวงแผ่นดิน
สายประธานแนวเหนือ - ใต้ เชื่อมการคมนาคมระหว่างจังหวัดในภาคกลางกับจังหวัดในภาคเหนือของ
ประเทศไทย มีระยะทางประมาณ 545 กิโลเมตร โดยเริ่มต้นจากทางแยกต่างระดับอินทร์บุรี บนทางหลวงหมายเลข 32 ในพื้นที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ปลายทางบรรจบกับถนนสุเทพ ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีอัตราการเดินทางและขนส่งเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ทล. จึงดำเนินการก่อสร้างขยายตอน
แยกอินทร์บุรี - บ้านหนองบัวทอง จุดเริ่มต้นโครงการบริเวณแยกอินทร์บุรี ตำบลท่างาม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ที่ กม.0+000 มีจุดสิ้นสุดที่บริเวณตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ที่ กม. 28+000 ระยะทางยาวประมาณ 28 กิโลเมตร จากมาตรฐานเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร ผิวทางแบบคอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง
2.5 เมตร ด้านในกว้าง 1.5 เมตร รวมผิวทางกว้าง 11 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบ
แบริเออร์คอนกรีต พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยตลอดเส้นทาง งบประมาณ 2,202,235,089.72 บาท
เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้การคมนาคมขนส่งในพื้นที่มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของจังหวัด รวมถึงภาพรวมของประเทศ ช่วยลดปริมาณจราจรจากเส้นทางหลัก โดยเฉพาะผู้ใช้ทางที่มีปลายทางไปจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์
ทั้งนี้ ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางปฏิบัติตาม “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทาง
การเดินทางได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63136 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.เห็นชอบการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
ครม.เห็นชอบการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 ธ.ค. 65 ได้รับทราบการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน) หรือ อพท. เสนอ พร้อมกับเห็นชอบให้หน่วยงานเกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ ไปสู่การวางแผนบริหารจัดการตามแผนงาน และให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตั้งสำนักงาน อัตราเงินเดือนบุคลาการ เพื่อเป็นหน่วยงานบริหารจัดการพื้นที่พิเศษฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป
ปัจจุบันพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามีเนื้อที่รวมประมาณ 3,470,788 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสงขลา 8 อำเภอ ได้แก่ อ.ระโนด, อ.สะทิงพระ, อ.กระแสสินธุ์, อ.สิงหนคร, อ.เมืองสงขลา, อ.ควนเนียง, อ.บางกล่ำ และอ.หาดใหญ่ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองพัทลุง อ.ปากพะยูน อ.บางแก้ว อ.เขาชัยสน และอ.ควนขนุน จังหวัดนครศรีธรรมราช 2 อำเภอ ได้แก่ อ.ชะอวด อ.หัวไทร
ทั้งนี้ ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นพื้นที่ศักยภาพสูง ทั้งในด้านคุณค่าและความโดดเด่นของทรัพยากรท่องเที่ยว และคุณค่าทางธรรมชาติ เนื่องจากเป็นลุ่มน้ำแห่งเดียวของประเทศไทยที่เป็นทะเลสาบแบบลากูน(lagoon)ขนาดใหญ่ ที่ทั่วโลกมีอยู่ 117 แห่งของโลก มีความโดดเด่นด้วยการเป็นทะเลสาบที่ได้รับทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ทำให้ความเค็มในทะเลสาบเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงมีการเรียกขานกันว่า "ทะเลสาบสามน้ำ" และยังเป็นพื้นที่เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไม้ แหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา นอกจากนี้ ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงในทางประวัติศาสตร์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี และคุณค่าทางวัฒนธรรม ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ วิถีชีวิตที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน
ขณะเดียวกัน พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลายังมีโอกาสในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญเนื่องจากอยู่ในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย(IMT-GT:Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) ซึ่งมีการให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว รัฐบาลให้การส่งเสริมด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัดและอาเซียน รวมถึงเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การประกาศเป็นพื้นที่พิเศษฯ นี้ จะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้เกิดความยั่งยืนด้วยหลักวิชาการ เนื่องจากมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งจะทำให้หน่วยงานและภาคีที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน มีการขับเคลื่อนที่ต่อเนื่องลดความซ้ำซ้อนของการใช้งบประมาณ เป็นกลไกการบริหารและพัฒนาพื้นที่อย่างบูรณาการด้วยการมีองค์กรกลางที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ ประสานงานกับท้องถิ่น และมีส่วนร่วมจากชุมชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลห่วงผู้บริโภคส่งทีมเฉพาะกิจตรวจคุณภาพกระเช้าปีใหม่ทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
รัฐบาลห่วงผู้บริโภคส่งทีมเฉพาะกิจตรวจคุณภาพกระเช้าปีใหม่ทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า
รัฐบาลห่วงใยผู้บริโภคส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและทีมสายตรวจเฉพาะกิจของพาณิชย์จังหวัด
ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพและราคากระเช้าของขวัญปีใหม่ทั่วประเทศ
โดยหากพบการกระทำความผิดเอาเปรียบผู้บริโภค เช่น ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
จำหน่ายราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้า และปฏิเสธการขาย ต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าร้องเรียนได้ที่สายด่วน
กรมการค้าภายใน 1569 กรณีได้รับบริการหรือซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้องเรียนได้ทางเว็บไซต์
สคบ. www.ocpb.go.th และแอปพลิเคชัน OCPB Connect ซึ่งติดตามสถานะการร้องเรียนได้ 24 ชั่วโมง
หรือร้องเรียนผ่านสายด่วน สบค. โทร. 1166
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยเผยสามารถจัดงานรื่นเริงในเทศกาลปีใหม่ 2566 ได้ตามปกติ พร้อมอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยให้ประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นเทศกาลแห่งความสุขอย่างแท้จริง | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ปลัดมหาดไทยเผยสามารถจัดงานรื่นเริงในเทศกาลปีใหม่ 2566 ได้ตามปกติ พร้อมอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยให้ประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นเทศกาลแห่งความสุขอย่างแท้จริง
ปลัดมหาดไทยเผยสามารถจัดงานรื่นเริงในเทศกาลปีใหม่ 2566 ได้ตามปกติ พร้อมอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยให้ประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นเทศกาลแห่งความสุขอย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2566 เป็นช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2566 ซึ่งมีวันหยุดต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน สถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และสถานที่ประกอบธุรกิจโรงแรมอาจมีการจัดงานเฉลิมฉลองหรือกิจกรรมพิเศษ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวหรือประชาชนเข้าไปใช้บริการและร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ทำให้สถานที่ดังกล่าวอาจเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้น เช่น เกิดการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย หรือเกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้มาใช้บริการ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม
“กระทรวงมหาดไทยไม่มีนโยบายหรือคำสั่งให้หน่วยงานราชการในสังกัดและสถานประกอบการที่อยู่ในความรับผิดชอบงดการจัดงานรื่นเริงเนื่องในเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2566”” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด กำหนดมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลสวัสดิภาพของประชาชน โดยจัดชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วตรวจตราและเข้มงวดกวดขันสถานบริการ สถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ โรงแรมให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องเวลาเปิด – ปิดสถานบริการ การห้ามมิให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนดเข้าไปใช้บริการ ไม่ให้มีการนำอาวุธ ยาเสพติดเข้าไปในสถานประกอบการ ไม่ให้มีการมั่วสุมกระทำความผิดในโรงแรม การจัดทำทะเบียนผู้พัก ตลอดจนการทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ การค้าประเวณี การพนัน และการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งตรวจสอบเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของอาคาร ระบบป้องกันอัคคีภัย และแจ้งให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงจำนวนผู้เข้าไปใช้บริการหรือร่วมกิจกรรมให้สัมพันธ์กับประเภทกิจการ การใช้อาคารไม่ให้แออัดหนาแน่นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตจากการเบียดของคนจำนวนมาก (Crowd crush) ดังที่เคยเกิดในต่างประเทศ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และมาตรการด้านสุขลักษณะป้องกันความเสี่ยงจากโรคโควิด-19
“ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบ “สุขสันต์ปีใหม่ นำวิถีไทย เน้นความปลอดภัย ห่างไกลอบายมุข” เช่น การทำบุญตักบาตร การขอพรปีใหม่จากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน/ชุมชน การแสดงหรือการละเล่นพื้นเมือง และสวมใส่ผ้าไทยภายใต้แนวคิด “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เป็นต้น” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดได้รณรงค์และสร้างความตระหนักรู้ให้พี่น้องประชาชนคำนึงถึงความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งเรื่องเมาไม่ขับ ง่วงไม่ขับ สวมหมวกนิรภัย รัดเข็มขัดนิรภัย ขับไม่โทร ไม่เล่นไลน์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางสัญจรอย่างปลอดภัย คนเดินเท้า คนเดินถนนก็มีความปลอดภัย ก็จะทำให้เป็นการลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ และประชาสัมพันธ์สายด่วนศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เช่น หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 แจ้งเหตุเพลิงไหม้ – ดับเพลิง 199 หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 เป็นต้น และสามารถขอรับความช่วยเหลือ หรือขอรับบริการอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ได้ที่จุดให้บริการประชาชนทั้งถนนสายหลัก และถนนสายรอง ทั่วประเทศ
“กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความสุขของพวกเราคนไทย รวมถึงนักท่องเที่ยว โดยชาวมหาดไทยทุกคน ทุกกลไก ทุกระดับ มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 2 มกราคม 2566 เพื่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ต้อนรับศักราชใหม่ ศักราชแห่งความสุขที่ยั่งยืนของคนไทยทุกคน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ .มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ จูงใจเอกชนบริจาคให้สถานศึกษา คาดช่วยสนับสนุนสถานศึกษาได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ .มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ จูงใจเอกชนบริจาคให้สถานศึกษา คาดช่วยสนับสนุนสถานศึกษาได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท
ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ .มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ จูงใจเอกชนบริจาคให้สถานศึกษา คาดช่วยสนับสนุนสถานศึกษาได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
การมีมาตรการนี้จะสามารถช่วยได้ดังนี้
1. เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจะได้รับบริจาคจากภาคเอกชนตามมาตรการภาษีดังกล่าวปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้
2. เป็นการช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณของรัฐในด้านการศึกษาของประเทศได้อีกทางหนึ่ง
3. สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะทำให้บุคคลธรรมดาสามารถนำเงินมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่นๆ
ส่วนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำเงินหรือทรัพย์สินมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาคแต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
โดยมีช่องทางบริจาคจะต้องเป็นระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e - Donation) ของกรมสรรพากร ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
ส่วนสถานศึกษา 5 ประเภท ที่จะบริจาคเพื่อการลดหย่อนได้มีดังนี้
1.สถานศึกษาของรัฐ
2.โรงเรียนเอกชนแต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ
3.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
4.สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และ
5.สถาบันอุดมศึกษาซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) อนุมัติโดยความเห็นชอบของ ครม. เช่น มหาวิทยาลัย CMKL มหาวิทยาลัยอมตะ
ซึ่งบริจาคได้ทั้ง 5 ประเภท โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาให้ความเห็นชอบ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะเป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 713) พ.ศ. 2563 และเพิ่มเติมประเภทของสถานศึกษาให้ครบถ้วนและไม่เกิดความซ้ำซ้อนทางกฎหมาย และให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 420) พ.ศ. 2547 และ (ฉบับที่ 655) พ.ศ. 2561
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นออกกฎหมายเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการศึกษาของประเทศอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ทางตรงคือจะทำให้สถานศึกษาสามารถนำเงินส่วนนี้พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเด็กและเยาวชนไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมมากขึ้น ส่วนประโยชน์ทางอ้อมคือเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทสและเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้ประชาชนทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
เมื่อเร็วๆนี้ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม ระดับภาค (Seed Thailand) รุ่นที่ 1 กลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ ให้รู้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล ส่งเสริมการผลิตสื่อเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเครือข่ายครอบครัวให้เกิดความเข้มแข็งได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยนางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และมีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน ณ โรงแรมริเวอร์ตัน อัมพวา อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม และศึกษาดูงาน ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านสารภี และชุมชนคุณธรรมวัดแก่นจันทน์เจริญ (บ้านบางพลับ) อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63165 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ให้ชาวประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 67 จังหวัด | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ให้ชาวประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 67 จังหวัด
“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ให้ชาวประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 67 จังหวัด “อลงกรณ์” เผยรัฐมนตรีเกษตรฯ ลงนามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเพาะเลี้ยงหอยทะเลและสัตว์น้ำในกระชังแล้ว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย เปิดเผยวันนี้ว่า ตามที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้หาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย มีมติเห็นชอบให้กรมประมงดำเนินการยกร่างกฎกระทรวง ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีการเลี้ยงหอยทะเลและการเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังในพื้นที่ทั่วประเทศ และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณา
ล่าสุด ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้ลงนามในกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป
“เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกว่า 17,000 ราย ในพื้นที่ 67 จังหวัด ที่มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จะได้รับการยกเว้น 1 รอบใบอนุญาต ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร คิดเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท และนับเป็นครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดังกล่าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเร่งเสนอร่างกฎกระทรวงเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้แก่พี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงหอยทะเล สัตว์น้ำในกระชัง และสัตว์น้ำอื่น ๆ ที่ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน นับเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีของขวัญปีใหม่ 2566ให้ชาวประมงด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 5 พันล้าน และยังมีของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ทางด้านนายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชาวประมง และผู้ประกอบการภาคประมง ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายมอบหมายให้กรมประมงหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ช่องทางการจำหน่ายสินค้า การอำนวยความสะดวกในการขออนุญาตต่าง ๆ การลดค่าธรรมเนียมการขออนุญาตต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้แก่ครอบครัวจึงเป็นอีกหนึ่งนโยบายการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมประมง มุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงให้มีความยั่งยืน เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องเกษตรกร ชาวประมง และผู้ประกอบการด้านประมง และสร้างความมั่นคงด้านอาชีพประมงและด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ผ่านแผนปฏิบัติการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) วงเงิน 5,286 ล้านบาท ขับเคลื่อนกิจการพลังงานไทยอย่างมั่นคง | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.ผ่านแผนปฏิบัติการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) วงเงิน 5,286 ล้านบาท ขับเคลื่อนกิจการพลังงานไทยอย่างมั่นคง
ครม.ผ่านแผนปฏิบัติการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) วงเงิน 5,286 ล้านบาท ขับเคลื่อนกิจการพลังงานไทยอย่างมั่นคง
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) และแผนการดำเนินงานงบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
แผนปฏิบัติการการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) กรอบวงเงิน 5,286 ล้านบาท เป็นแผนต่อเนื่องจากแผนฉบับเดิม ที่จะสิ้นสุดในปี 2565 โดยเป็นกรอบการดำเนินงานของสำนักงาน กกพ. ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 5 วัตถุประสงค์หลัก อาทิ 1.ส่งเสริมให้มีบริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ มีความมั่นคง ทั่วถึง และมีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต 2.ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน อย่างเป็นธรรมในอัตราค่าบริการที่เหมาะสมสะท้อนต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และ 3.ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงาน ชุมชนท้องถิ่น ประชาชน และผู้รับใบอนุญาต ในการมีส่วนร่วม เข้าถึง ใช้ และจัดการ ด้านพลังงานภายใต้หลักเกณฑ์ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
สำหรับแผนการดำเนินงานงบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ของสำนักงาน กกพ. มีแผนงานและโครงการ อาทิ 1.สนับสนุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งแบบที่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (On - Grid) และในพื้นที่ห่างไกลระบบส่งไฟฟ้า (Off - Grid) ผ่าน กองทุนพัฒนาไฟฟ้า 2.ศึกษาและจัดทำแบบจำลองการพยากรณ์ ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ และระบบฐานข้อมูลปริมาณความต้องการใช้และปริมาณการจัดหาก๊าซธรรมชาติ 3.สรุปผลการดำเนินโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) ระยะที่ 2 4.ปรับปรุงมาตรฐานวิศวกรรมความปลอดภัยกิจการก๊าซธรรมชาติ และปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพการให้บริการ 5.พัฒนาระบบการบริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้าด้วยระบบดิจิทัล สำหรับประมาณการรายจ่าย คาดว่าจะมีรายจ่าย จำนวน 1,000.25 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย เช่น บุคลากร การจัดการบริหารสำนักงาน งบลงทุน เป็นต้น ส่วนประมาณการรายได้ คาดว่า จะจัดเก็บรายได้ จำนวน 1,000.81 ล้านบาท โดยมาจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงาน และรายได้อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมเห็นควรให้สำนักงาน กกพ. ให้ความสำคัญกับการจัดทำฐานข้อมูล แบบจำลองพยากรณ์ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับกิจการพลังงานรูปแบบใหม่ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งควรติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงตลาดพลังงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถกำกับกิจการพลังงานของประเทศให้สอดรับการกับเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติวงเงิน 2,644 ล้านบาท ช่วยค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.2 ล้านคน ระยะเวลา 1 เดือน (เดือนมกราคม 2566) เพื่อให้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม. อนุมัติวงเงิน 2,644 ล้านบาท ช่วยค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.2 ล้านคน ระยะเวลา 1 เดือน (เดือนมกราคม 2566) เพื่อให้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล
ครม. อนุมัติวงเงิน 2,644 ล้านบาท ช่วยค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.2 ล้านคน ระยะเวลา 1 เดือน (เดือนมกราคม 2566) เพื่อให้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ (27 ธันวาคม 2565) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษ แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 โดยอนุมัติงบกลาง 2,644 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรฯ จำนวน 13.2 ล้านคน (ข้อมูล ณ เดือน ธันวาคม 65 ) โดยเป็นการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาท/คน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ประจำเดือนมกราคม 2566 โดย (1) ผู้มีบัตรฯ ท่ีเคยได้รับวงเงิน 200 บาท/คน/เดือน (จำนวน 3.54 ล้านคน) จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 400 บาท/คน/เดือน (2) ผู้มีบัตรฯ ที่เคยได้รับวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน (จำนวน 9.68 ล้านคน) จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 500 บาท/คน/เดือน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ปัจจุบันสถานการณ์ความรุนแรงของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศได้คลี่คลาย แต่สถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งราคาพลังงานที่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางด้านรายได้ ทรัพย์สินและหนี้สิน ถึงแม้มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มสูง ซึ่งมาตรการช่วยเหลือพิเศษนี้เป็นของขวัญปีใหม่ 2566 จากรัฐบาล ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้า ราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชน์กำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
เมื่อเร็วๆนี้ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม ระดับภาค (Seed Thailand) รุ่นที่ 1 กลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ ให้รู้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล ส่งเสริมการผลิตสื่อเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเครือข่ายครอบครัวให้เกิดความเข้มแข็งได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยนางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และมีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน ณ โรงแรมริเวอร์ตัน อัมพวา อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม และศึกษาดูงาน ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านสารภี และชุมชนคุณธรรมวัดแก่นจันทน์เจริญ (บ้านบางพลับ) อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติครั้งที่ 1/2565 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติครั้งที่ 1/2565 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570)
ครม. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติครั้งที่ 1/2565 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566 - 2570)
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เห็นชอบรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 1/2565 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรับทราบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566 - 2570) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอาเซียน และมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองภายในปี 2570 ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพการแข่งขันอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมโดยดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำและยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง (2) กระตุ้นอุปสงค์เพื่อสร้างตลาดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในประเทศ และ (3) สร้างและพัฒนาระบบนิเวศสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยให้ปรับกรอบระยะเวลาเป็น พ.ศ. 2566 – 2570
2. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงฯ เพื่อให้ไทย เป็นศูนย์กลางพืชกัญชงเชิงอุตสาหกรรมแห่งอาเซียนภายใน 5 ปี ประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก ได้แก่ (1) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ตลอดห่วงโซ่กัญชง โดยต่อยอดการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีและการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงงานวิจัย สู่ภาคอุตสาหกรรม (2) ส่งเสริมการผลิตและแปรรูปเชิงพาณิชย์ โดยยกระดับ ขีดความสามารถของผู้ประกอบการและส่งเสริมการยกระดับผลิตภัณฑ์ ให้ได้มาตรฐานสากล (3) ส่งเสริมด้านการตลาด โดยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านช่องทางที่เหมาะสม และ (4) สร้างปัจจัยสนับสนุน ให้เอื้อต่อการประกอบการ โดยลดปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ
ในส่วนการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน มีแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ (1) จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยได้กำหนดเป้าหมายพื้นที่ที่จะพัฒนาเข้าสู่ การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวม 54 พื้นที่ 39 จังหวัด ในปี 2570 และ (2) จัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์ เช่น ฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหรือความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการโรงงาน และช่วยเหลือและอุดหนุนกิจการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดำเนินงานร่วมกัน โดยที่ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ มีการดำเนินการ เช่น ปรับสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี ให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ลงทุนด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ส่งเสริมให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะสามารถขึ้นบัญชีนวัตกรรมได้ และสนับสนุนการประยุกต์ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในภาคการเกษตร โดยคำนึงถึงความยั่งยืนในการส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคอุตสาหกรรม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในชุมชนทั้งในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพและกระจายรายได้แก่ชุมชนและนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่แด่สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ลงทะเบียนรับสิทธิประกันอุบัติเหตุฟรี คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ของขวัญปีใหม่แด่สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ลงทะเบียนรับสิทธิประกันอุบัติเหตุฟรี คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท
ของขวัญปีใหม่แด่สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ลงทะเบียนรับสิทธิประกันอุบัติเหตุฟรี คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.รับทราบของขวัญปีใหม่ 2566 จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแด่สมาชิกกว่า 13 ล้านคน ซึ่งเป็นการมอบประกันภัยอุบัติเหตุแบบกลุ่ม ระยะสั้น (ไมโครอินชัวรันส์) คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ให้กับสมาชิกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 ระยะเวลาประกัน 30 วัน นับจากวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1736
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63160 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการ พรฎ. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้ สสว. กรณีดำเนินโครงการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.อนุมัติหลักการ พรฎ. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้ สสว. กรณีดำเนินโครงการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี
ครม.อนุมัติหลักการ พรฎ. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้ สสว. กรณีดำเนินโครงการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 ธ.ค. 65 ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่...) พ.ศ.... ซึ่งมีผลเป็นการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่กิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว. ) สำหรับดอกเบี้ยรับที่เกิดจากการให้กู้ยืมตามโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย ผ่านกองทุน สสว. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 63 ซึ่งเป็นวันที่โครงการเริ่มมีดอกเบี้ยรับ
สำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเอสเอ็มอีรายย่อย ผ่านกองทุน สสว. นี้ได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2562 มีวงเงินสินเชื่อตามโครงการทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่อง รวมถึงกลุ่มที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แต่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการขยายกิจการ ปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับการพัฒนามาตรฐานการให้บริการ และพัฒนาศักยภาพของเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ ตามโครงการนี้มีระยะเวลาการให้เงินกู้ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี มีการเบิกจ่ายเงินกู้เสร็จสิ้นตั้งแต่เดือนก.ย. 64 มีผู้กู้ยืมตามวงเงินทั้งสิ้น 3,197 ราย รวมวงเงิน 3,944.55 ล้านบาท โดยเริ่มเกิดดอกเบี้ยรับจากการให้กู้ยืมตั้งแต่ ก.ย. 63 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีดอกเบี้ยที่นำส่งเข้ากองทุน สสว. จนถึงสิ้นสุดโครงการในปี 2570 รวม 118.84 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายแล้ว การดำเนินการให้กู้ตามโครงการดังกล่าวของ สสว. เข้าเกณฑ์การประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยรับในอัตราร้อยละ 3 (ร้อยละ 3.3 เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น) ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุน สสว. เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กระทรวงการคลังจึงเห็นควรให้มีการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่การดำเนินการของ สสว. เฉพาะการให้กู้ยืมเงินตามโครงการนี้ จึงได้ตราเป็น พรฎ.ข้างต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีลดโลกร้อนทั้งนิติบุคคล-ประชาชน สร้างแรงจูงใจ มุ่งเป้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีลดโลกร้อนทั้งนิติบุคคล-ประชาชน สร้างแรงจูงใจ มุ่งเป้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน
ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีลดโลกร้อนทั้งนิติบุคคล-ประชาชน สร้างแรงจูงใจ มุ่งเป้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 2 ฉบับ ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม ดังนี้
ฉบับแรก ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER) โดยยกเว้นภาษีให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตในประเทศ ตามโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 (จากเดิมที่สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563) เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มีจำนวนมากขึ้น นำไปสู่การลงทุน การใช้จ่าย และการนำรายได้เข้าประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยต้นทุนต่ำให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจนี้ คาดว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้รวม 210 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ได้สำเร็จ
ฉบับที่สอง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน ที่บริจาคผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร โดย 1)ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะและเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ 2)เพิ่มเติมการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา (จากเดิมที่ไม่ให้สิทธิบุคคลธรรมดา) โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึ่งประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนการบริจาคเงินให้แก่กรมป่าไม้ เพื่อสนับสนุนโครงการภาคสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของ ทส. เท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 (จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565) เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนให้มีจำนวนมากขึ้น เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนนี้ คาดว่าจะปีป่าชุมชนได้รับการสนับสนุน 10,246 แห่ง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้รวม 184 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการสนับสนุนป่าชุมชน อันเป็นการเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของป่าชุมชนในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63161 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมจ้างงานต่อเนื่อง บัณฑิตจบใหม่มีงานแล้วกว่าร้อยละ 80 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
รัฐบาลส่งเสริมจ้างงานต่อเนื่อง บัณฑิตจบใหม่มีงานแล้วกว่าร้อยละ 80
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า
รัฐบาลดำเนินมาตรการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Co-payment
จ้างงานเด็กจบใหม่ แพลตฟอร์มไทยมีงานทำ โครงการส่งเสริมรักษาการจ้างงาน SMEs โครงการ Factory
Sandbox โดยสถิติบัณฑิตจบใหม่ในปี 2563 – 65 จำนวน 1,193,376 ราย
เป็นผู้มีงานทำและมีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลทะเบียนประกันสังคม 957,900 ราย คิดเป็นร้อยละ 80.27
แสดงให้เห็นว่าในแต่ละปีมีบัณฑิตจบใหม่เข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 33 หลายแสนคน นอกจากนี้
ยังมีการฝึกทักษะฝีมือเพื่อการประกอบอาชีพรองรับการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ เช่น
หลักสูตรผู้ประกอบการอาหารไทย อาหารฮาลาล นวดไทยและสปา พนักงานดูแลเรือ ช่างซ่อมบำรุง
เพิ่มความสามารถในการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ประชาชน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63134 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ.2565 - 2570 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ.2565 - 2570
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ.2565 - 2570 ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 นายเศรษฐเกียรติ กระจางวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ.2565 - 2570 ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ โดยมีนายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นประธาน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Cisco Webex) โดยที่ประชุมได้รับทราบถึงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2565 - 2570 ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ในคราวเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 และร่วมพิจารณาแนวทางขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กของส่วนราชการ ที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2565 - 2570 ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินโครงการฯ โดยให้หน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน และกรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมดำเนินการกับมูลนิธิฯ โดยมูลนิธิฯ มีเป้าหมายการซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็ก จำนวน 750 โครงการตามแผนที่กำหนดไว้ และกรณีมีความจำเป็นต้องขอเพิ่มเป้าหมายโครงการฯ นอกเหนือจาก 750 โครงการเดิม ขอให้หน่วยงานตั้งงบประมาณประจำปี และเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนประจำปีของหน่วยงานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 เริ่มมีแนวโน้มลดลง ช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนใช้ชีวิตได้ปกติย้ำต้องรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
สธ. เผย สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 เริ่มมีแนวโน้มลดลง ช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนใช้ชีวิตได้ปกติย้ำต้องรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ป่วยโรคโควิด 19 สัปดาห์นี้มีผู้ป่วย 2,900 ราย เฉลี่ย 414 รายต่อวัน ส่วนผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตยังคงตัว กทม. ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวผู้ติดเชื้อลดลง ช่วงปีใหม่ประชาชนใช้ชีวิตได้ตามปกติ ย้ำต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ป่วยโรคโควิด 19 สัปดาห์นี้มีผู้ป่วย 2,900 ราย เฉลี่ย 414 รายต่อวัน ส่วนผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตยังคงตัว กทม. ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวผู้ติดเชื้อลดลง ช่วงปีใหม่ประชาชนใช้ชีวิตได้ตามปกติ ย้ำต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม ส่วนยาและเตียงมีเพียงพอรองรับ คาดการณ์ปี 2566 จะเป็นการระบาดตามฤดูกาล
วันนี้ (27 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์ กรณีโรคโควิด 19 ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศ ในสัปดาห์ที่ 51 (18-24 ธันวาคม 2565) มีผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาล 2,900 ราย เฉลี่ย 414 รายต่อวัน แนวโน้มผู้ป่วยลดลงต่อเนื่องมา 4 สัปดาห์ ผู้ป่วยปอดอักเสบมี 621 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 413 ราย และผู้เสียชีวิต 89 ราย เฉลี่ย 12 รายต่อวัน แนวโน้มยังคงตัว ที่สำคัญคือผู้เสียชีวิตยังคงเป็นกลุ่ม 608 เกือบ 100% ปัจจัยหลักมาจากการไม่ได้รับวัคซีน ได้รับวัคซีนไม่ครบ ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นมานานเกิน 3 เดือน ทั้งนี้ สถานการณ์ภาพรวมพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ลดลง ขณะที่จังหวัดรองมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อคงตัว
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะมีกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมากนั้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ย้ำมาตรการ ได้แก่ 1.การฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม โดยจะเพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว 2.การรักษาได้ทันเวลา โดยผู้ป่วยกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับมาแล้วเกิน 6 เดือน จะพิจารณาให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Long Acting Antibody : LAAB) ในกลุ่มเสี่ยงก่อนมีอาการป่วย 3.ผู้ที่ไปสถานที่เสี่ยง กิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมากในช่วง 5 วัน ให้งดใกล้ชิดผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือรับนานเกิน 6 เดือน 4.กลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับมานานเกิน 6 เดือน ขอให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ดื่มสุราร่วมกับผู้อื่น หรือร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และ 5.สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ จะมีการเฝ้าระวังโรคในสถานพยาบาลและสถานที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าปี 2566 จะพบการระบาดของโรคในลักษณะการระบาดตามฤดูกาลเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่
สำหรับยารักษาและเตียงรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล ข้อมูลวันที่ 25 ธันวาคม 2565 มียาฟาวิพิราเวียร์คงเหลือ 1.53 ล้านเม็ด ยาโมลนูพิราเวียร์ 17.62 ล้านเม็ด ส่วนอัตราการครองเตียงอยู่ที่ 12.2% โดยเตียงระดับ 3 อัตราการครองเตียงอยู่ที่ 40.5% ถือว่ายังมีเพียงพอรองรับสถานการณ์
*************************************** 27 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวงแจกของขวัญปีใหม่ 2566 มอบส่วนลดค่าผ่านทางร้อยละ 20 จำนวนถึง 1.5 ล้านสิทธิ์ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวงแจกของขวัญปีใหม่ 2566 มอบส่วนลดค่าผ่านทางร้อยละ 20 จำนวนถึง 1.5 ล้านสิทธิ์
.....
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดให้พิจารณาแผนงานหรือโครงการเพื่อมอบของขวัญปีใหม่ (Gift) ให้กับประชาชน พร้อมอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัยในการเดินทางช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ โดยได้พิจารณาโครงการสำคัญ เพื่อมอบเป็นของขวัญ GIFTS ให้ประชาชน จำนวน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) คมนาคมส่งต่อความสุข (G = Gift to People) 2) คมนาคมสร้างสรรค์สังคมไทย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม (I = Inspiration for Society and Environment) 3) คมนาคมสะดวก บริการประทับใจ (F = Facilitation) 4) คมนาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว (T – Tourist Promotion)และ 5) คมนาคมใส่ใจ ปลอดภัยทุกการเดินทาง (S = Safety Journey)
กรมทางหลวง (ทล.) ได้ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยนอกจากการเปิดให้วิ่งฟรีบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เส้นทางต่าง ๆ พร้อมมอบส่วนลดค่าธรรมเนียมผ่านทางสำหรับสมาชิกระบบ M-Flow ร้อยละ 20 ระยะเวลา 1 เดือน จำนวน 1,500,000 สิทธิ์ ระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด โดยผู้สนใจสามารถเข้าไปตรวสอบข้อมูลและดำเนินการเพื่อรับสิทธิ์ได้ทาง Website: www.mflowthai.com, Mobile Application: MFlowThai, Line Official Account: @mflowthai และจุดบริการของกรมทางหลวงทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ทล. ได้เปิดให้บริการระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) แบบเต็มรูปแบบมาตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน และมีผู้สนใจใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมรูปแบบนี้ มีความสะดวกสบาย รวดเร็ว และลดการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมา ทล. ได้มีการจัดสรรโปรโมชันที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกมานำเสนออยู่เสมอ รวมถึงการออกโปรโมชันสำหรับเป็นของขวัญปีใหม่ในปีนี้ด้วยเช่นกัน ทล. จึงขอให้ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนสมัครใช้บริการระบบ M-Flow เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการเดินทางบนทางพิเศษระหว่างเมือง ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1586 กด 1
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ยกขบวนสินค้าคุณภาพ ได้มาตรฐาน ราคาเป็นธรรม ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ภายใต้โครงการ “เกษตรช่วยประชาชน ลดค่าครองชีพ” | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ ยกขบวนสินค้าคุณภาพ ได้มาตรฐาน ราคาเป็นธรรม ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ภายใต้โครงการ “เกษตรช่วยประชาชน ลดค่าครองชีพ”
กระทรวงเกษตรฯ ยกขบวนสินค้าคุณภาพ ได้มาตรฐาน ราคาเป็นธรรม ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ภายใต้โครงการ “เกษตรช่วยประชาชน ลดค่าครองชีพ” ระหว่างวันที่ 27 - 29 ธ.ค. 65 ณ ลานกิจกรรมตลาดน้ำ อ.ต.ก. พร้อมเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดโครงการ “เกษตรช่วยประชาชน ลดค่าครองชีพ” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 ธันวาคม 2565 ณ ลานกิจกรรมตลาดน้ำ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งโครงการดังกล่าว เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หลังจากได้รับผลตอบรับที่ดีในครั้งแรก ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือเชิงบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน ได้แก่ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมการข้าว สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และ บริษัท วี.ซี.มีท โปรเซสซิ่ง จำกัด โดยได้คัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพสูงที่มีมาตรฐานการผลิตมาจำหน่ายในราคาพิเศษ อาทิ เนื้อหมูอนามัย วี.ซี.มีท ที่มุ่งเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย, ไข่ไก่สด การันตีด้วยมาตรฐานปศุสัตว์ OK และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหม่อนไหม เป็นต้น
"ภาคการเกษตรมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ ที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก การเพิ่มศักยภาพเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการด้านการเกษตร จึงเป็นการสร้างโอกาสและพัฒนาระบบการผลิตสินค้าเกษตรให้มีมาตรฐาน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและพัฒนาอาชีพเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงอย่างยั่งยืน แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และปัญหาต่าง ๆ ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จนทำให้ผลผลิตล้นตลาด ผักผลไม้และสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูง การจัดทำโครงการ “เกษตรช่วยประชาชน ลดค่าครองชีพ” นี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนจากปัญหาสินค้าราคาแพง เพื่อประชาชนคนไทยจะได้สามารถบริโภคสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม จึงขอยืนยันว่ากระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะช่วยเหลือ และยืนเคียงข้างเกษตรกร ประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการทุกท่าน และพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคง" นายธนา กล่าว
จากนั้นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ ในการจำหน่ายผ้าไหมไทยที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค ระหว่างกรมหม่อนไหม กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ซึ่งการลงนามดังกล่าว จะเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างกรมหม่อนไหม และ อ.ต.ก. ในการร่วมกันส่งเสริมและเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ตามนโยบายการตลาดนำการผลิต ให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการผ้าไหมและผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นและความเป็นอยู่ดีขึ้นจากการจำหน่ายผ้าไหมไทยที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค โดยสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน 109 ตลาด อ.ต.ก. นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ในกิจกรรมหรือโครงการ รวมถึงร่วมกันเผยแพร่ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ กรอบข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว อ.ต.ก. เป็นผู้ดำเนินการจัดหาพื้นที่ ณ ตลาด อ.ต.ก. ให้แก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ และกรมหม่อนไหม เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดจำหน่ายผ้าไหมไทยและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาของกรมหม่อนไหม ส่วนกรมหม่อนไหมเป็นผู้ดำเนินการประสานงานในการจัดหาเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ ในการจัดหาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่มีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาของกรมหม่อนไหม เพื่อมาจำหน่ายอย่างเหมาะสม รวมถึงให้การสนับสนุน ส่งเสริมการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือกลยุทธ์ด้านการตลาด รวมถึงกำหนดราคาในการจำหน่ายอย่างเหมาะสม โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสนับสนุนการจัดกิจกรรมด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63143 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank สุดปลื้มหนุนลูกค้าร่วมลงทุน ‘KTMS’ และ ‘ ISTORE22’ สยายปีกเข้าสู่ตลาดทุนไทย ยกระดับกิจการก้าวสู่ความสำเร็จระดับสากล | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
SME D Bank สุดปลื้มหนุนลูกค้าร่วมลงทุน ‘KTMS’ และ ‘ ISTORE22’ สยายปีกเข้าสู่ตลาดทุนไทย ยกระดับกิจการก้าวสู่ความสำเร็จระดับสากล
SME D Bank สุดปลื้ม หนุน 2 ลูกค้าร่วมลงทุน สยายปีกเข้าสู่ตลาดทุนไทย ได้แก่ “เคที เมดิคอล เซอร์วิส” จดทะเบียนตลาด เอ็ม เอ ไอ และ “สตอเรจ เอเชีย” จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ ช่วยยกระดับกิจการเดินหน้าเติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank มอบหมาย นายชาตรี เวทสรณสุธี รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ธนาคาร รวมถึง ผู้บริหารบริษัท พีพีเอ็ม แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะผู้จัดการทรัสต์ กองทุนย่อยกองที่ 2 ร่วมแสดงความยินดี 2 ลูกค้าร่วมลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ KTMS เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ ISTORE22 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) เมื่อเร็วๆ นี้
นางสาวนารถนารี กล่าวว่า การสนับสนุนด้าน “การเงิน” ของ SME D Bank นอกจากในรูปแบบสินเชื่อแล้ว ยังสนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพผ่านการ “ร่วมลงทุน” ช่วยให้กิจการมีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอ รวมถึง ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพ และก้าวต่อไปสู่ความยั่งยืน ผ่านการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดทุนไทย
“สำหรับ KTMS และ ISTORE22 ถือเป็นลูกค้าร่วมลงทุนรายที่ 3 และ 4 ตามลำดับ ที่ SME D Bank สนับสนุนจนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ SME D Bank ในฐานะธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทยที่มีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเติบโตก้าวไกลอย่างยั่งยืน” นางสาวนารถนารี กล่าว
สำหรับบริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ KTMS ดำเนินธุรกิจศูนย์ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบครบวงจร ถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสการขยายตัวสูง เพราะธุรกิจด้านการแพทย์ครบวงจร (Health Care) เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (10 S-curves) ที่จำเป็นของประเทศไทย อีกทั้ง ทีมผู้บริหารของ KTMS มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมายาวนาน ด้วยเป้าหมายการดูแลและช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ขณะที่ บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ ISTORE22 ประกอบธุรกิจให้บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน ระดับพรีเมียมของประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจตรงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมือง เน้นทำการตลาดกลุ่มลูกค้าที่พักอาศัยรูปแบบคอนโดมิเนียม ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ต้องการพื้นที่จัดเก็บสิ่งของส่วนตัวเพิ่มขึ้น จุดเด่นของ ISTORE22 คือ ทำเลให้บริการตั้งอยู่ใจกลางเมือง ลูกค้าเดินทางมาใช้บริการสะดวกสบาย พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา SME D Bank ส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในรูปแบบร่วมลงทุน ผ่านกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทั้งกองทุนย่อยกองที่ 1 และกองทุนย่อยกองที่ 2 และธนาคารลงทุนตรงกว่า 30 กิจการ เป็นจำนวนเงินรวมแล้วทั้งสิ้นประมาณ 820 ล้านบาท (ข้อมูลเดือน พ.ย.65)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63137 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง สาธารณรัฐคาซัคสถาน | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.รับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง สาธารณรัฐคาซัคสถาน
ครม.รับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง สาธารณรัฐคาซัคสถาน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่27 ธ.ค. 65 ได้รับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถาน จากกรุงนูร์-ซุลตัน (Nur-Sultan) เป็นกรุงอัสตานา (Astana) และรับทราบการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปลี่ยนชื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนูร์-ซุลตัน เป็นสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป
สำหรับความเป็นมาของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 63 ครม. เคยได้รับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานจาก กรุงอัสตานา เป็นกรุงนูร์-ซุลตัน และกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อสถานเอกอัครราชทูตไทยให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา สาธารณรัฐคาซัคสถานได้มีการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนคาซัคสถานมีความประสงค์ให้เปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากกรุงนูร์-ซุลตัน กลับไปเป็นกรุงอัสตานา ดังเดิม ซึ่งประธานาธิบดีคาซัคสถานมีดำริว่า เฉพาะชื่อเมืองหลวงเท่านั้นที่จะมีการกลับไปเป็นกรุงอัสตานา แต่ชื่อสถานที่อื่นๆ ที่ตั้งตามชื่อนายนูร์สุลต่าน นาซาร์บาเยฟ อดีตประธานาธิบดี คนที่1 จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเป็นผู้มีคุณูปการในการสร้างคาซัคสถานและเมืองหลวงของประเทศ
จากนั้น ได้มีการส่งคำร้องไปยังสภารัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐคาซัคสถาน เพื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าว ซึ่งสภารัฐธรรมนูญได้เห็นชอบคำร้องของเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงกลับไปเป็นกรุงอัสตานา และเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 65 ประธานาธิบดีคาซัคสถานได้ลงนามในกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง รวมทั้งมีหนังสือแจ้งคณะทูตทุกประเทศ ณ สาธารณรัฐคาซัคสถานทราบ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตไทยเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63157 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สร้างเศรษฐกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจชุมชนเดิม ครม.เดินหน้า BCG อนุมัติโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 ขยายเวลาออกไปอีก 3 ปี เพิ่มวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมเกษตรกร | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
สร้างเศรษฐกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจชุมชนเดิม ครม.เดินหน้า BCG อนุมัติโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 ขยายเวลาออกไปอีก 3 ปี เพิ่มวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมเกษตรกร
สร้างเศรษฐกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจชุมชนเดิม ครม.เดินหน้า BCG อนุมัติโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 ขยายเวลาออกไปอีก 3 ปี เพิ่มวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมเกษตรกร Smart Farmer บุคคล กลุ่มผู้ผลิตผู้ใช้น้ำตามโครงการพัฒนาแหล่งน้าเพื่อการ
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 ธันวาคม 2565 ว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยออกไปอีก 3 ปีจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 และปรับชื่อโครงการจาก โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย เป็นโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนการสนับสนุนสินเชื่อในการปฏิรูปภาคการเกษตร การสร้างกิจกรรมและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงานในชุมชนอย่างต่อเนื่อง และยกระดับคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตรในห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มให้ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งทำให้เกิดความยั่งยืนตามแนวทาง BCG Model BCG Model
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ได้ เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกร บุคคลทั่วไป ลูกค้า Smart Farmer (คือเกษตรกรที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัล นวัตกรรม รวมถึงข้อมูลหรือแนวคิดทางธุรกิจแบบใหม่เพื่อผลักดันประสิทธิภาพการผลิตให้ได้มากที่สุดภายใต้งบประมาณที่เหมาะสมที่สุด) ชุมชนที่อยู่ระหว่างกระบวนการพัฒนาของ ธ.ก.ส. และกลุ่มผู้ใช้น้ำที่พัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิตตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบกับได้ขยายวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการในการปฏิรูปภาคการเกษตร สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่หรือต่อยอดธุรกิจชุมชนเดิม โดยการปรับเปลี่ยนพัฒนาการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมหรือดำเนินการตามแนวทาง BCG Model ภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืนและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นกลไกการขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต รองรับการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สังคมเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการนี้จะเป็นสินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุนในการดำเนินกิจการและเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการดำเนินกิจการที่มีอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจะคิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของธนาคาร ซึ่งโครงการเดิมที่สิ้นสุดไปแล้วมีผู้ได้ประโยชน์จากการขอสินเชื่อ 5,155 กลุ่ม/ราย สำหรับสินเชื่อทั้งหมด 22,933.22 ล้านบาท ทำให้ยังเหลือวงเงินสินเชื่ออีกประมาณ 27,066.78 ล้านบาท จากวงเงินเต็ม 50,000 ล้านบาท
“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นโครงการนี้ให้มีความต่อเนื่องเพื่อให้มีทุนหมุนเวียนแก่เกษตรกร ทำให้เกิดการปฏิรูปภาคการเกษตร สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ชุมชน แบะเกิดกิจกรรมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงานในชุมชน รวมถึงสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนทุกท้องถิ่นทั่วไทย ดังนั้นที่ประชุมครม.ยังเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลเพื่อหารูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และทำการขยายผลเพื่อสนับสนุนให้การปรับโครงสร้างการผลิตและบริการภาคการเกษตรของไทยไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านการผลิตและการบริโภคไปสู่ความยั่งยืนต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63152 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
กระทรวงวัฒนธรรม พัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่
เมื่อเร็วๆนี้ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม ระดับภาค (Seed Thailand) รุ่นที่ 1 กลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาศักยภาพยาวชนรุ่นใหม่ ให้รู้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล ส่งเสริมการผลิตสื่อเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเครือข่ายครอบครัวให้เกิดความเข้มแข็งได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยนางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และมีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน ณ โรงแรมริเวอร์ตัน อัมพวา อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม และศึกษาดูงาน ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านสารภี และชุมชนคุณธรรมวัดแก่นจันทน์เจริญ (บ้านบางพลับ) อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63166 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. ย้ำปัญหายาเสพติดแก้ได้ถ้าทุกคนช่วยกัน เผย มท.บูรณาการร่วมกับทุกฝ่าย ใช้กลไกโต๊ะยาเสพติด เพิ่มระดับความเข้มข้น พร้อมเอาจริงตัด Demand และ Supply อย่างต่อเนื่อง | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ปมท. ย้ำปัญหายาเสพติดแก้ได้ถ้าทุกคนช่วยกัน เผย มท.บูรณาการร่วมกับทุกฝ่าย ใช้กลไกโต๊ะยาเสพติด เพิ่มระดับความเข้มข้น พร้อมเอาจริงตัด Demand และ Supply อย่างต่อเนื่อง
ปมท. ย้ำปัญหายาเสพติดแก้ได้ถ้าทุกคนช่วยกัน เผย มท.บูรณาการร่วมกับทุกฝ่าย ใช้กลไกโต๊ะยาเสพติด เพิ่มระดับความเข้มข้น พร้อมเอาจริงตัด Demand และ Supply อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (27 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติดอย่างยิ่ง และได้มีการประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนของชาติ ที่จะต้องแก้ไขปัญหาให้หมดสิ้นไปอย่างเร็วที่สุด กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงหนึ่งที่มีภารกิจสำคัญ และมีนโยบายชัดเจนในการประกาศสงครามกับยาเสพติด และสั่งการให้เพิ่มความเข้มข้นในมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการป้องกัน มาตรการปราบปราม มาตรการบำบัดรักษา หรือการสั่งการให้ Re X-Ray ทุกพื้นที่ สำรวจจำนวนผู้เสพและผู้ค้า เพื่อดำเนินการจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเคลีย คัด ชัดเจน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 โดยสามารถรับชมย้อนหลังได้ลิงค์ https://fb.watch/hB6N21wCDt/?mibextid=v7YzmG
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่ทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เป็นผู้นำในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้ขับเคลื่อนเรื่องยาเสพติด ซึ่งในอดีตเคยการทำสงครามกับยาเสพติดและได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แม้บางช่วงอาจจะเหมือนกับผ่อนปรนบ้าง จนกระทั่งเกิดเหตุเศร้าสลดที่ จ.หนองบัวลำภู ทำให้ทุกภาคส่วนตระหนักและเห็นความสำคัญของแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ปปส. ตำรวจ ทหาร สาธารณสุข ภาควิชาการ พระสงฆ์ และเครือข่ายอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชน ประกาศทำสงครามกับยาเสพติด เพื่อนำความสงบสุขคืนสู่พี่น้องประชาชน เป็นการแก้ไขสิ่งผิดที่สังคมเป็นอยู่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2565 กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชน ร่วมกัน Re X-Ray ทุกพื้นที่ 76 จังหวัด 878 อำเภอ พบรายชื่อผู้เสพประมาณ 120,000 คน และรายชื่อผู้ค้า ประมาณ 18,000 คน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่อว่า ในส่วนการลด Supply ยาเสพติดของผู้ค้า 18,000 ราย จะต้องใช้กลไก “โต๊ะข่าวยาเสพติด” เพื่อนำข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในพื้นที่ มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันพร้อมหาทางจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาสามารถจับกุมบุคคลในบัญชีผู้ค้าที่ Re X-Ray ได้เกือบ 1,000 คน ทั้งนี้ ในจำนวนนี้มีผู้ค้าที่อยู่นอกบัญชีถูกจับกุมด้วย ทำให้เห็นได้ชัดว่าจะต้องติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และทำการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง จึงขอเน้นย้ำให้ทุกจังหวัดมีการประชุมโต๊ะข่าวทุกสัปดาห์ และดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ในส่วนของการช่วยเหลือผู้เสพ หรือผู้ป่วยยาเสพติด 120,000 คน กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดกระบวนการบำบัดรักษา และฟื้นฟูเป็นระยะเวลา 15 วันต่อคน โดยเทียบเคียงวิธีการมาจากการถอดบทเรียนจากจังหวัดชุมพร และโมลเดลของวัดถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรี ซึ่งระยะเวลาที่รักษาแล้วได้ผลดี คือ ระยะเวลา 15 วัน โดย 7 วันแรก เป็น 7 วันที่สำคัญ จะต้องสร้างพลังใจให้ผู้เสพในการตัดขาดจากยาเสพติด และช่วง 8 วันหลัง เป็นระยะเวลาของการสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถตัดขาดยาเสพติดได้อย่างถาวร
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ โปรแกรมช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมีคุณค่าต่อสังคมให้แก่ผู้รับการบำบัดด้วย สามารถทำกิจกรรมหรืออาชีพที่ทำให้เกิดความมั่นคงทางด้านคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น เช่น การอบรมเรื่องของการปลูกผักสวนครัว เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ การทำไข่เค็ม การทำแปรรูปสินค้า ประกอบกับการฝึกวินัยในการออกกำลังกาย สร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย รวมถึงใส่โปรแกรมวิชาชีพที่สามารถกลับไปทำด้วยตนเองที่บ้านได้ หรือเป็นเจ้าของกิจการได้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้ดำเนินการของบกลางจากรัฐบาล เพื่อสร้างศูนย์บำบัดผู้เสพแล้ว จำนวน 900 ล้านบาท สำหรับ 100,000 คน รุ่นละ 15 วัน กระทรวงมหาดไทยวางแผนเปิดศูนย์พร้อมกันทั่วประเทศ 1,000 ศูนย์บำบัด รุ่นละ 50 คน บำบัด 15 วัน ผู้เสพจะสามารถเข้าโปรแกรมได้ 50,000 คน ดังนั้น ภายใน 2 เดือน จะสามารถคืนคนดีให้กับสังคมได้ จำนวน 100,000 คน และอีก 20,000 กว่าคน กระทรวงมหาดไทยร่วมมือกับท้องถิ่นท้องที่ ภาคราชการ ภาคเอกชน จัดโปรแกรมให้ คือ ระหว่างรองบประมาณตั้งศูนย์บำบัด ได้เริ่มดำเนินการบำบัดแล้ว
“กระทรวงมหาดไทยตั้งเป้าหมายว่า จะสามารถบำบัดผู้เสพตามรายชื่อ 120,000 คน ให้สำเร็จและสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน โดยเฉพาะครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เมีย ซึ่งเป้าหมายการตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟู 1,000 ศูนย์ คือ ภายในจังหวัดมี 1 ศูนย์ และทุกอำเภอต้องมีอย่างน้อย 1 ศูนย์ เป็นศูนย์ฟื้นฟู และทำหน้าที่บำบัดรักษาด้วย สิ่งสำคัญ คือ การใช้ชุมชนบำบัดช่วยให้ได้ผลดี คือ ได้กำลังใจจากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ญาติมิตร และที่สำคัญไม่ต้องทำให้คนต่างถิ่นเจอกับคนต่างถิ่น การจัดให้ผู้เสพเข้ารับการบำบัดที่ศูนย์บำบัดใกล้บ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ ภูมิคุ้มกันภายใน หรือ สัจจะที่ให้กับพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพ หรือพ่อแม่ การบำบัดได้ผลดี อยู่ที่พลังจิต อยู่ที่จิตใจ จะเลิกได้หรือไม่ได้ จิตใจสำคัญ จิตใจต้องเข้มแข็ง และขึ้นอยู่กับคนรอบข้างด้วย จึงต้องมี 2 ส่วนประกอบกัน ควบคู่กับทีมติดตาม ซึ่งประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตามคอยให้กำลังใจ” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้อธิบายต่อว่า ในด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดคนไทยสิ่งสำคัญ นอกจากการสนับสนุนให้มีเรื่องของการตรวจหาสารยาเสพติด เช่น การตั้งด่าน การสุ่มตรวจ เพื่อป้องปรามแล้วคือ การสร้างความตระหนักรู้ให้เด็ก และเยาวชน มีภูมิคุ้มกันต่อยาเสพติด ครูและอาจารย์ต้องช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของลูกศิษย์สุ่มเสี่ยงติดยาเสพติดหรือไม่ ขาดเรียนหรือไม่ และจัดโปรแกรมไปเยี่ยมผู้ปกครอง ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ ส่วนพระองค์นำร่อง ตั้งกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในหมู่บ้านช่วยกันดูแลลูกหลาน และคนในสังคม ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงการจัดกิจกรรมในสถานศึกษา เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ด้วยกิจกรรมในลักษณะของ TO BE NUMBER ONE เพื่อนช่วยเพื่อน หรือ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยจัดกิจกรรมทำให้สังคมปลอดจากยาเสพติด เช่น การจัดแข่งกีฬา การจัดงานประเพณี วัฒนธรรม สานสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งช่วยให้มีกิจกรรมร่วมกันสร้างความแข็งแรงให้กับสถาบันครอบครัว
“ในปัจจุบันยาเสพติดมีราคาถูกมากเนื่องด้วยวิทยาการเครื่องมือต่าง ๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตยาเสพติดมีราคาถูก ซึ่งมื่อสินค้ามีราคาถูกจะสามารถแพร่กระจายสู่กลุ่มลูกค้าได้เร็วและง่าย ทุกหน่วยงานจึงต้องเอาจริงเอาจัง ในการขจัดยาเสพติด ชุมชน สังคม และครอบครัว ต้องช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตา หากสังคมมีภูมิคุ้มกันที่ดีต่อยาเสพติด แม้ว่ายาเสพติดจะให้ฟรีหรือราคาถูก ก็ไม่สามารถระบาดได้เพราะไม่มีใครให้คุณค่าหรือให้ราคา ทั้งนี้ คนในสังคมต้องไม่นิ่งนอนใจ ขอให้รีบแจ้งเบาะแสที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 แม้ว่าทำให้เจ้าหน้าที่เหนื่อยยากเพิ่มขึ้น แต่เป็นแจ้งเบาะแสให้ระแวดระวัง คนในสังคมแล้วปรากฏการณ์ของการหายาบ้ายาเสพติดได้ง่ายราคาไม่แพงจะหมดสิ้นไป ซึ่งจะช่วยเสริมให้กระบวนการคืนคนดีสู่สังคม คืนลูกหลานที่น่ารัก ให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพื่อที่พวกเราจะได้มีความสุขร่วมกันในการช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมพร้อมมาตรการความปลอดภัยในเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
รฟม. เตรียมพร้อมมาตรการความปลอดภัยในเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย
เพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวกและปลอดภัยในเทศกาลปีใหม่ 2566
ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมพร้อมมาตรการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นั้น
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า รฟม. ได้สั่งการให้โครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของ รฟม. และอยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 โดยให้ผู้รับจ้างงานโยธาทั้ง 4 โครงการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในงานก่อสร้างอย่างเคร่งครัด หมั่นตรวจสอบและจัดสภาพหน้างานให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เช่น การขยับแนวแบริเออร์เพื่อเพิ่มช่องจราจรการจัดแนวแบริเออร์ให้เป็นระเบียบ การปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างและช่องเปิดต่าง ๆ การจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรให้เรียบร้อยและปลอดภัยไม่กีดขวางการจราจร ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายทางเบี่ยง ทางเลี่ยง และปิดกั้นแนวรั้วคอนกรีตบริเวณจุดที่เป็นอันตรายให้เรียบร้อย รวมถึงการติดตั้งไฟส่องสว่างให้ชัดเจน การตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า และการจัดเก็บวัตถุไวไฟหรือสารไวไฟให้ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังจัดให้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและจัดเตรียมอุปกรณ์ด้านจราจร เพื่อเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ รฟม. ได้ร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2566 ภายใต้แคมเปญ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) และติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63130 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดลงนามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนนโยบายปี 2566 “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย” | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
สธ. จัดลงนามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนนโยบายปี 2566 “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย”
กระทรวงสาธารณสุข จัดลงนามคำรับรองการปฏิบัติงานของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2566 มุ่งเน้น 6 ประเด็น เพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขให้เข้มแข็ง มีความมั่นคงทางสุขภาพยิ่งขึ้น โดยยึดพระราชดำรัสองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขไทย
กระทรวงสาธารณสุข จัดลงนามคำรับรองการปฏิบัติงานของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2566 มุ่งเน้น 6 ประเด็น เพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขให้เข้มแข็ง มีความมั่นคงทางสุขภาพยิ่งขึ้น โดยยึดพระราชดำรัสองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขไทย เป็นปณิธานในการร่วมกันขับเคลื่อนงานสร้าง “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย”
วันนี้ (27 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการลงนามคำรับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจำปี 2566 ระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวง สาธารณสุขนิเทศก์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้อำนวยการกองในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วนกลาง
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีการลงนามคำรับรองการปฏิบัติราชการมาอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตามประเมินผลทุกไตรมาส สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้มุ่งเน้นการดำเนินงานตามนโยบาย “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง : Health for Wealth” สู่เป้าหมาย “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง” โดยมีแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานมุ่งเน้น 6 ประเด็น และให้ผู้บริหารทุกระดับ
จัดทำคำรับรองการปฏิบัติงานเพื่อถ่ายทอดตัวชี้วัดการปฏิบัติราชการลงสู่การปฏิบัติ ให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ตามเจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
สำหรับนโยบาย “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย” มุ่งเน้น 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ยกระดับการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในทุกมิติ 2.ยกระดับระบบบริการรองรับสังคมสูงวัยและลดอัตราตายโรคสำคัญ 3.ผลักดันการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสู่ยุคดิจิทัล 4.ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ เตรียมพร้อมรับภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศในอนาคต 5.ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพนานาชาติ และ 6.พัฒนาสู่องค์กรสมรรถนะสูง และบุคลากรมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีขึ้น ด้วยแนวทาง 4T ได้แก่ Trust สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชน, Teamwork & Talent สร้างเครือข่าย ทำงานเป็นทีมและสนับสนุนคนเก่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลง, Technology ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ Target ทำงานแบบมุ่งเป้าหมาย จัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับตัวได้ในภาวะวิกฤติ
“ขอให้บุคลากรสาธารณสุขน้อมนำพระราชดำรัส สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก องค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขไทย ที่ให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง มาเป็นปณิธานในการร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้เข้มแข็ง ประชาชนมีความมั่นคงทางสุขภาพมากยิ่งขึ้น นำองค์ความรู้ด้านสาธารณสุขมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
สร้างสุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย” นายแพทย์โอภาส กล่าว
************************************************ 27 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63163 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สรุปผลงานปี 2565 และขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในปี 2566 และ ปี 2567” | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สรุปผลงานปี 2565 และขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในปี 2566 และ ปี 2567”
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สรุปผลงานปี 2565 และขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในปี 2566 และ ปี 2567” โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมงาน ในวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ณ อาคารราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการบริหารประเทศ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ด้วยการสร้างศักยภาพและโอกาสให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และได้รับสิทธิประโยชน์จากการบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค โดยรัฐบาลมั่นใจว่าในปี 2566 จะเป็นโอกาสทองของประเทศไทยตามที่รัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ชาติ และเดินหน้ามาตรการต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน จึงได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งรัดการดำเนินงานตามภารกิจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ประชาชนต้องได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผลในการเดินทางทุกรูปแบบ โดยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สรุปผลงานปี 2565 และขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในปี 2566 และ ปี 2567” ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการติดตามผลการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ในปีงบประมาณ 2565 และทบทวน ถอดบทเรียนการดำเนินงาน ข้อจำกัด ปัญหา อุปสรรคที่ผ่านมา เพื่อหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปี 2566 และ ปี 2567 ร่วมกัน ซึ่งตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งจนถึงปัจจุบันได้มอบนโยบายสำคัญและได้มีการผลักดันไปสู่การปฏิบัติในทุกมิติทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศแล้ว จำนวน 105 นโยบาย
สำหรับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันแรก (21 ธันวาคม 2565) ได้มอบหมายให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม มอบแนวทางในการสัมมนาเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ซึ่งหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม คือ การนำนโยบายไปคิดวางแผนสู่การปฏิบัติจริงออกเป็น Action Plan ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยเน้น “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล มติคณะรัฐมนตรี กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ตามกรอบแนวคิดการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง คือ 1) การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ 2) การขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 3) การขนส่งที่เข้าถึงได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
โดยภาพรวมของการบริหารภารกิจของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย
- ระบบคมนาคมขนส่ง 4 มิติ ได้แก่ 1) ทางถนน/ทางบก 2) ทางราง 3) ทางน้ำ และ 4) ทางอากาศ
- ภารกิจ/หน้าที่ 4 ด้าน ได้แก่ 1) Infrastructure Developer 2) Regulation/Regulator 3) Promotion & Facilitator และ 4) Service Provider
- เป้าหมายการให้บริการ 4+2 เป้าหมาย ได้แก่ 1) สะดวก (สะอาด) 2) ปลอดภัย 3) (รวดเร็ว)
ตรงเวลา 4) ราคา (ประหยัด) สมเหตุสมผล โดยในการดำเนินการไปสู่เป้าหมายนั้นกระทรวงคมนาคมได้คำนึงถึงการพัฒนาการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ รูปแบบการเดินทางที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนทุกกลุ่ม
ด้านแนวทางการขับเคลื่อนคมนาคมที่ยั่งยืน ปี 2566 : ย้อนดูอดีตปรับแก้สู่อนาคต ต้องดำเนินการสานต่อดำเนินงานตามนโยบายที่ยังค้างอยู่ไปสู่การปฏิบัติ ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามตัวชี้วัด เรียนรู้จากปัญหาที่เกิดในปี 2564/2565 คิดวางระบบป้องกัน แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนในปี 2566/2567
ในส่วนของการจัดสัมมนา Workshop ระหว่างวันที่ 21 - 22 ธันวาคม 2565 มีจุดประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ตาม 79 นโยบาย ในปีงบประมาณ 2565 และทำการประมวลถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการสำหรับนโยบายที่ยังไม่แล้วเสร็จ เพื่อหาแนวทางในการผลักดัน
การดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมถึงพิจารณาหาแนวทางการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมให้เกิดความยั่งยืน ในปี 2566 และ ปี 2567 โดยเนื้อหาการสัมมนามี 3 ส่วน ได้แก่
1. การสรุปผลงานตามนโยบายในปี 2565 จาก 79 นโยบาย 167 โครงการ สามารถสรุปภาพรวมได้ว่าดำเนินการแล้วเสร็จหรือเปิดให้บริการแล้ว รวม 61 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 64 โครงการ และอยู่ในช่วงจัดทำแผนงานหรือออกแบบ จำนวน 42 โครงการ โดยแต่ละหมวดจะมีรายละเอียดดังนี้
1.1 นโยบายด้านการขนส่งทางถนน จำนวน 13 นโยบาย 25 โครงการ แบ่งเป็น เปิดให้บริการแล้ว 5 โครงการ อาทิ การกำหนดความเร็วรถยนต์สูงสุดไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง โครงการพัฒนาระบบ M-Flow เป็นต้น โครงการที่ประกวดราคาแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินงาน จำนวน 14 โครงการ อาทิ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) สายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว (M82) โครงการทางพิเศษในจังหวัดภูเก็ต สายกะทู้ - ป่าตอง เป็นต้น และอยู่ระหว่างจัดทำแผนหรือออกแบบ จำนวน 6 โครงการ อาทิ โครงการจัดทำแผนแม่บท MR-MAP โครงการ Landbridge ชุมพร - ระนอง และมอเตอร์เวย์ ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา (M7) เป็นต้น
1.2 นโยบายด้านการขนส่งทางบก จำนวน 19 นโยบาย 24 โครงการ เปิดให้บริการแล้ว 15 โครงการ อาทิ โครงการระบบติดตามตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ โครงการการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์เดลิเวอรี่ โครงการการจัดระเบียบรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โครงการยกระดับคุณภาพการออกใบอนุญาตขับรถ โครงการผลักดันเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถขนส่งสาธารณะ (EV) อยู่ระหว่างดำเนินงาน 4 โครงการ อาทิ โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นต้น และอยู่ระหว่างจัดทำแผนหรือออกแบบ จำนวน 5 โครงการ อาทิ การปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อ ขึ้นไป โครงการจัดหารถประจำทาง EV ของ ขสมก. จำนวน 2,511 คัน
1.3 นโยบายด้านการขนส่งทางราง จำนวน 23 นโยบาย 55 โครงการ เปิดให้บริการแล้ว 18 โครงการ อาทิ โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ รฟท. (บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด) การเร่งรัดเปิดให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ การใช้บัตร EMV เพื่อจ่ายค่าโดยสารบนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีม่วง รถไฟชานเมืองสายสีแดง เป็นต้น อยู่ระหว่างดำเนินงาน 15 โครงการ อาทิ โครงการพัฒนารถไฟทางคู่ (ระยะแรก) โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เป็นต้น และอยู่ระหว่างจัดทำแผนหรือออกแบบ 22 โครงการ อาทิ พัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงและสถานีรถไฟทางคู่ และผลักดันการพัฒนารถไฟ EV (EV on Train) เป็นต้น
1.4 นโยบายด้านการขนส่งทางน้ำ จำนวน 15 นโยบาย 34 โครงการ เปิดให้บริการแล้ว 8 โครงการ อาทิ การเปิดให้บริการเรือ RoRo เส้นทางสัตหีบ - เกาะสมุย การผลักดันเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับเรือโดยสารสาธารณะ ปรับปรุงลักษณะทางกายภาพท่าเรือ จำนวน 3 ท่า คือ ท่าบางโพ ท่าราชินี ท่าสาทร การพัฒนาบุคลากรทางน้ำ มากกว่า 3,500 คน เป็นต้น อยู่ระหว่างดำเนินการ 15 โครงการ อาทิ โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นต้น และอยู่ระหว่างจัดทำแผนหรือออกแบบ 11 โครงการ อาทิ ศึกษาความเป็นไปได้การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ การศึกษาจัดทำแผนการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ให้เป็น Automation Port เป็นต้น
1.5 นโยบายด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน 9 นโยบาย 29 โครงการ เปิดให้บริการแล้ว จำนวน 13 โครงการ อาทิ พัฒนาระบบการเดินอากาศระบบใหม่ ณ ศูนย์ควบคุมการบินหัวหิน โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร - เพิ่มประสิทธิภาพของสนามบินสุราษฎร์ธานี เป็นต้น โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 10 โครงการ อาทิ การให้สิทธิบริหารท่าอากาศยานของ ทย. แก่ ทอท. จำนวน 3 ท่าอากาศยาน (กระบี่ อุดรธานี และบุรีรัมย์) เป็นต้น และอยู่ในขั้นตอนการจัดทำแผนงานหรือออกแบบ จำนวน 6 โครงการ อาทิ โครงการศึกษา ออกแบบ และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมท่าอากาศยานภูมิภาคของ ทย. จำนวน 2 แห่ง (ระนอง และชุมพร) เป็นต้น
2. การสานต่อนโยบายปี 2565 ขับเคลื่อนนโยบายในปี 2566 จากนโยบายในปี 2565 ทั้งหมด 79 นโยบาย 167 โครงการนั้น ในส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จจำนวน 106 โครงการ หน่วยงานจะต้องเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายใหม่ 24 นโยบาย ที่จะต้องดำเนินการในปี 2566 ดังนี้
2.1 นโยบายด้านการขนส่งทางถนน จำนวน 4 นโยบาย 15 โครงการ ประกอบด้วย 1) การพัฒนาระบบ M-Flow ทางพิเศษสายฉลองรัช สายบูรพาวิถี สายกาญจนาภิเษก 2) การแก้ไขปัญหาจราจรบนทางด่วน คือ ศึกษาความเหมาะสมทางพิเศษ สายศรีนครินทร์ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 3) ต่อเติมโครงข่ายทางพิเศษเชื่อมโยงภูมิภาค อาทิ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม - ปากท่อ PPP มอเตอร์เวย์ ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา - อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุงและโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา ตำบลเกาะกลาง - ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และ 4) จัดทำมาตรฐานการควบคุมงานก่อสร้างในพื้นที่เปิด
2.2 นโยบายด้านการขนส่งทางบก จำนวน 5 นโยบาย 5 โครงการ ประกอบด้วย 1) แผนพัฒนาการบริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานฐานข้อมูลระบบ GPS 2) แผนเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า คือ การศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางเพื่อเข้าสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3) ต่อยอดการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการขนส่งสินค้า คือ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการขนส่งสินค้า 4) โรงเรียนสอนขับรถขนาดใหญ่ โดยเปิดรับคัดเลือกโรงเรียนสอนขับรถขนาดใหญ่ และ 5) ยกระดับด้านทะเบียนอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาระบบการจดทะเบียนรถ
2.3 นโยบายด้านการขนส่งทางราง จำนวน 5 นโยบาย 5 โครงการ ประกอบด้วย 1) เร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วม คือ ศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง 2) พัฒนามาตรฐานรถไฟทางคู่ คือ ศึกษารวบรวมข้อมูลและจัดทำร่างมาตรฐานการซ่อมบำรุงของรถไฟสายประธาน 3) พัฒนารถไฟความเร็วสูง คือ ศึกษาความเหมาะสมการเชื่อมโยงรถไฟไทย สปป.ลาว และจีน 4) พัฒนามาตรฐานรถไฟฟ้าในเมือง คือ การศึกษาจัดทำร่างมาตรฐานระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ และ 5) ผลักดันการพัฒนารถไฟฟ้าในเมืองภูมิภาค คือ โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายท่าฉัตรไชย
2.4 นโยบายด้านการขนส่งทางน้ำ จำนวน 6 นโยบาย 9 โครงการ ประกอบด้วย 1) แนวป้องกันการกัดเซาะตลิ่งต้องคงทน เช่น การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำป่าสัก ระยะที่ 2 และ 3 2) Master Plan ฟื้นฟูชายหาด ต้องครอบคลุม เช่น การเสริมชายหาดจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 2 สำรวจแหล่งทรายเพื่อเสริมชายหาดชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง 3) ท่าเรือยอร์ชคลับ ต้องสร้างรายได้ เช่น ศึกษา Marina Hub และท่ามารีนาชุมชน 4) แผนการเชื่อมต่อท่าเรือกับสถานีรถไฟฟ้าต้องสมบูรณ์ เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือพระราม 5 พัฒนาท่าเรือพระปิ่นเกล้า พัฒนาท่าเรือปากเกร็ด 5) เพิ่มปริมาณ การขนส่งสินค้าทางน้ำ เช่น ศึกษาพัฒนาประสิทธิภาพการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และ 6) การพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่หลังท่า คือ การศึกษาทบทวนแผนการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port)
2.5 นโยบายด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน 4 นโยบาย 24 โครงการ ประกอบด้วย 1) พัฒนาท่าอากาศยานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ/เพิ่มประสิทธิภาพ เช่น โครงการขยายลานจอดเครื่องบิน ท่าอากาศยานขอนแก่น โครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานตรังและนครศรีธรรมราชโครงการก่อสร้างสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ส่วนต่อขยายด้านตะวันออก และทางวิ่งเส้นที่ 3 2) พัฒนาห้วงอากาศ/ระบบการเดินอากาศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ/เพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ก่อสร้างอาคารหอควบคุมการจราจร และสำนักงานแห่งใหม่ (เชียงใหม่) 3) ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมการบิน เช่น โครงการบริหารและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data & Analytics) 4) เตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวตามนโยบายการเปิดประเทศ เช่น การการแก้ไขปัญหาในการให้บริการผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง
3. การขับเคลื่อนนโยบายปี 2567
3.1 นโยบายด้านการขนส่งทางถนน จำนวน 4 นโยบาย 20 โครงการ อาทิ การแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางด่วน การต่อเติมเพื่อแก้ Missing Link เชื่อมโยงภูมิภาค/เชื่อมโยงต่างประเทศ การติดตามปัญหาอุทกภัย แก้ไขอย่างยั่งยืน และการวางระบบติดตามโครงการขนาดใหญ่ เป็นต้น
3.2 นโยบายด้านการขนส่งทางบก จำนวน 8 นโยบาย 13 โครงการ อาทิ การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ส่งเสริมให้มีจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การเร่งรัดแผนฟื้นฟู ขสมก. การยกระดับระบบการออกใบอนุญาตขับรถเพื่อรองรับรัฐบาลดิจิทัล การเชื่อมโยงและพัฒนาระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายและสถานีขนส่งสินค้าการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการขนส่งสินค้า การดำเนินการเพื่อรองรับเทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติ และยกระดับมาตรฐานใบอนุญาตขับรถขนาดใหญ่
3.3 นโยบายด้านการขนส่งทางราง จำนวน 6 นโยบาย 13 โครงการ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัย การพัฒนาพื้นที่รอบสถานี (TOD) เช่น การพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีธนบุรี การแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน การป้องกันการลอบวางระเบิดทางรถไฟ เช่น จัดตั้งศูนย์ประสานงานความปลอดภัยประสานเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ตรวจสอบเส้นทางที่ชุมทางหาดใหญ่ สถานีเทพา และสถานีตันหยงมัส การป้องกันการขโมยสายไฟ และการผลักดันการพัฒนารถไฟ EV (EV on train) เป็นต้น
3.4 นโยบายด้านการขนส่งทางน้ำ จำนวน 6 นโยบาย 7 โครงการ ประกอบด้วย งานจัดระเบียบการรุกล้ำลำน้ำในแม่น้ำ และชายฝั่ง ท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว การพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่หลังท่า เสริมทรายชายหาด สนับสนุนการท่องเที่ยว การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และพัฒนาการเชื่อมต่อท่าเรือกับสถานีรถไฟฟ้า
3.5 นโยบายด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน 1 นโยบาย 3 โครงการ ประกอบด้วย การพัฒนาท่าอากาศยานระนองก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานระนอง การพัฒนาท่าอากาศยานชุมพร งานก่อสร้างต่อเติมความยาวทางวิ่งขยายทางขับ ลานจอดเครื่องบิน พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบินและองค์ประกอบอื่น ๆ และการพัฒนาท่าอากาศยานตรัง ระยะที่ 2 งานต่อเติมความยาวทางวิ่ง
ทั้งนี้ จาก 79 นโยบายปี 2565 ที่มีทั้งหมด 167 โครงการ เป็นโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จหรือเปิดให้บริการแล้ว รวม 61 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 64 โครงการ อยู่ในช่วงจัดทำแผนงานหรือออกแบบ จำนวน 42 โครงการ ส่วนโครงการ/กิจกรรมที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่องให้แล้วเสร็จ รวมถึงโครงการใหม่ที่จะทำในปี 2566 จำนวน 171 โครงการ เป็นโครงการใหม่ปี 2566 จำนวน 58 โครงการ สำหรับแหล่งเงินในการพัฒนา 171 โครงการ วงเงินลงทุนทั้งในและนอกงบประมาณภาคคมนาคมทั้งโครงการตั้งแต่ปี 2558 - 2570 จำนวน 2,718,959 ล้านบาท ส่วนวงเงินลงทุนทั้งในและนอกงบประมาณภาคคมนาคมเฉพาะของปี 2566 จำนวน 124,839 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสรุปผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในรอบปี 2565และโครงการที่กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการในปี 2566 และ ปี 2567 เพื่อให้การปฏิบัติงานของกระทรวงคมนาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนอย่างสูงสุด
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้
1) การดำเนินการในทุกขั้นตอนขอให้ยึดหลักกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
2. ขอให้นำความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาประมวลผล และนำไปใช้ปรับปรุงเพื่อขับเคลื่อนโครงการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
3) ให้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง ครบทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน
4) การดำเนินโครงการต่าง ๆ ขอให้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน โดยต้องดำเนินการเชิงรุก ตั้งแต่ก่อนดำเนินโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
5) ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกันในทุกมิติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน
6) ขอให้นำเทคโนโลยีดิจิทัล และการศึกษาดูงานต่าง ๆ มาปรับใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
7) พิจารณาการนำอัตลักษณ์ความเป็นไทยใส่ไว้ในการออกแบบ
8) ขอให้พิจารณาแนวทางการเพิ่มเรื่องความคุ้มครองอุบัติเหตุในสัญญาก่อสร้าง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63171 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัด ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
จังหวัด ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
จังหวัด ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ
1. จังหวัดระนอง ที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง อำเภอเมืองระนอง นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระระณังคมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดระนอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จัดพิธีปลงผมนาคในการบรรพชาอุปสมบทถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน เข้าร่วมพิธี เพื่อแสดงความจงรักภักดี และถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
2. จังหวัดเลย ที่วัดโพนงาม อำเภอเมืองเลย นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วยนางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเลยและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย เป็นประธานประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยมี ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และประชาชน ร่วมพิธี
3. จังหวัดมหาสารคาม ที่ศาลาปฏิบัติธรรม วัดขุนพรหมดำริ บ้านอุปราช ตำบลท่าสองคอน อำเภอเมืองมหาสารคาม นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานในพิธีปล่อยปลาเพื่อถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน โดยมี นางพรศรี ตรงศิริ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดมหาสารคาม หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนชาวมหาสารคาม ร่วมในพิธี
4. จังหวัดอ่างทอง ที่บริเวณห้องโถงศาลากลางจังหวัดอ่างทอง นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมพิธีฯ
5. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่บริเวณสามแยกเข้าบ้านห้วยมุ่น หมู่ที่ 2 และหมวดการทางห้วยมุ่น ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นำหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด นายอำเภอ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนจิตอาสา รวมถึงพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมทำบุญตักบาตรและถวายภัตตาหารพระสงฆ์ธุดงค์ จำนวน 700 รูป เป็นวันที่ 5 เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระประชวรโดยเร็ว
6. จังหวัดยะลา ที่โรงเรียนศึกษาพิเศษเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ร่วมกับส่วนราชการ คณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดยะลา จัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารกลางวันให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย เพื่อถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรพร้อมทั้งน้อมตั้งจิตอธิษฐานให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงหายจากพระอาการประชวร และกลับมามีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ว
7. จังหวัดระยอง ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง อำเภอเมืองระยอง นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง นำคณะผู้บริหารข้าราชการและเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนระยอง เข้าร่วมถวายแจกันดอกไม้และร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยเร็ววัน
8. จังหวัดลพบุรี ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู อำเภอเมืองลพบุรี พระครูสันติญาณประยุต เจ้าคณะตำบลโก่งธนู นำคณะสงฆ์ในเขตปกครอง ร่วมกับนายบรรหาญ เนาวรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน โดยมี คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู นางแสงจันทร์ ระวังกิจ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู พนักงาน เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ พร้อมใจกันร่วมประกอบพิธี
9. จังหวัดหนองคาย ที่หอประชุมโรงเรียนเหล่าฝ้ายผดุงวิทย์ ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย นายทนงศักดิ์ เตียวศิริชัยสกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเหล่าฝ้ายผดุงวิทย์ นำคณะครูและนักเรียน จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมีพระสงฆ์ 5 รูป นำประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา พร้อมลงนามถวายพระพรขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพลานามัยสมบูรณ์โดยเร็ววัน
ท้ายนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยร้อยรวมใจถวายความจงรักภักดี ด้วยการบำเพ็ญกุศลถวายพระพรตามความเชื่อของศาสนา ประกอบกิจกรรมด้วยความตั้งมั่นตั้งใจทำความดี บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระกำลังใจ และถวายพระพรให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลเตือน ปชช. ระวังการระบาดไข้หวัดใหญ่ช่วงเทศกาล ย้ำผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 อายุ 50 ปี ขึ้นไปใช้สิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ถึง 31 ธ.ค.นี้ | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
รองโฆษกรัฐบาลเตือน ปชช. ระวังการระบาดไข้หวัดใหญ่ช่วงเทศกาล ย้ำผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 อายุ 50 ปี ขึ้นไปใช้สิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ถึง 31 ธ.ค.นี้
รองโฆษกรัฐบาลเตือน ปชช. ระวังการระบาดไข้หวัดใหญ่ช่วงเทศกาล ย้ำผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 อายุ 50 ปี ขึ้นไปใช้สิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ถึง 31 ธ.ค.นี้
วันที่ 27 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นอกจากโรคโควิด-19 ที่ยังต้องเฝ้าระวังแล้ว ยังมีโรคประจำฤดูกาล คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (H1N1) โดยเฉพาะในช่วงที่มีการพบปะ ทำกิจกรรมร่วมกันของผู้คนในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พบมีการระบาดง่าย เพื่อความไม่ประมาท หากไม่สบายให้ขอให้รักษาตามอาการและหมั่นเฝ้าสังเกตอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นขอให้พบแพทย์โดยด่วน
นางสาวรัชดา กล่าวว่า จากข้อมูลกรมควบคุมโรค พบว่า"การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะช่วยลดความรุนแรงของการป่วย และการเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อของทั้ง 2 โรค และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงมีครรภ์ (แนะนำให้ฉีดวัคนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เมื่อมีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป) เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม ได้ขยายระยะเวลาในรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ ผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ตามสิทธิปีละ 1 ครั้ง จากเดิมที่สิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ขยายไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2565 นี้ เพื่อดูแลผู้ประกันตน ให้เข้าถึงสิทธิการให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
“ผู้ประกันตนที่มีมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ขอให้ใช้สิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถเข้ารับการบริการได้ที่สถานพยาบาลตามสิทธิของผู้ประกันสังคม โดยติดต่อนัดหมายการฉีดวัคซีนกับสถานพยาบาลล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ เพื่อสุขภาพที่ดี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม หมายเลขโทรศัพท์ 0 2956 2500-10 เว็บไซต์ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506” นางสาวรัชดา ย้ำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบูรณาการทุกส่วนงานพร้อมรองรับการเดินทางผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ยกเว้นค่าบริการจอดรถฟรีโซน C ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบูรณาการทุกส่วนงานพร้อมรองรับการเดินทางผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ยกเว้นค่าบริการจอดรถฟรีโซน C ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566
...
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบูรณาการทุกส่วนงานพร้อมรองรับการเดินทางผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 145,000 คน ยกเว้นค่าบริการจอดรถฟรีโซน C ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 -3 มกราคม 2566 เป็นของขวัญแก่ผู้ใช้บริการ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่คาดผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 145,000 คน ประสานหน่วยปฏิบัติงานในท่าอากาศยานปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการช่วงวันหยุดยาว ยกเว้นค่าบริการลานจอดรถระยะยาวโซน C ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 -4 มกราคม 2566 (รวม 7 วัน) ทสภ.คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในภาพรวมที่เดินทางผ่าน ทสภ. รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,019,681 คน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 145,000 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ (รวมขาเข้า - ออก) จำนวน 771,244 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ (รวมขาเข้า - ออก) จำนวน 248,437 คน
สำหรับประมาณการเที่ยวบินในช่วงดังกล่าวคาดว่าจะมีเที่ยวบิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,443 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ยวันละ 778 เที่ยวบิน โดยแบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ (รวมขาเข้า - ออก) จำนวน 3,600 เที่ยวบิน และ เที่ยวบินภายในประเทศ (รวมขาเข้า - ออก) จำนวน 1,843 เที่ยวบิน โดยมีสายการบินขอเพิ่มเที่ยวบินพิเศษ และเช่าเหมาลำ (Extra & Charter Flight) จำนวน 15 สายการบิน รวมทั้งสิ้น 79 เที่ยวบิน แบ่งออกเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ จำนวน 24 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ จำนวน 55 เที่ยวบิน ซึ่งสายการบินที่ขอเพิ่มเที่ยวบินพิเศษมากที่สุด 3 อันดับแรก (รวมขาเข้า - ออก) คือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จำนวน 24 เที่ยวบิน สายการบินจินแอร์ จำนวน 14 เที่ยวบิน และ สายการบินทีเวย์ จำนวน 8 เที่ยวบิน
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า เพื่อให้การบริการผู้โดยสารในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีความพร้อมในการรองรับผู้โดยสารที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทสภ. ได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการในด้านต่างๆ อาทิ เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกบริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางทั้งขาเข้าและขาออก สนับสนุน การดำเนินงานของกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 รวมทั้งจัดระเบียบคิวผู้โดยสารที่รอรับบริการ ตลอดจนจัดให้มีเจ้าหน้าที่ล่ามเตรียมพร้อมในการให้การสนับสนุนส่วนงานราชการหรือสายการบินเมื่อได้รับการร้องขอ นอกจากนี้
ในส่วนของการให้บริการกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร ทสภ.ได้ตรวจสอบระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระให้มีความพร้อม ในการรองรับปริมาณสัมภาระ พร้อมทั้งกำชับผู้ให้บริการภาคพื้นที่ให้บริการขนถ่ายสัมภาระผู้โดยสารทั้ง 2 ราย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด ในการดำเนินการขนถ่ายสัมภาระให้ตรงตามเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและอุปกรณ์ในการให้บริการภาคพื้นให้เพียงพอ
นอกจากนี้ ทสภ. ได้มีการจัดตั้งศูนย์ Single Command Center ตามสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อบริหารจัดการเรื่องความแออัดของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ ทสภ. ปฏิบัติงานเวรตรวจติดตามบริเวณที่มีผู้โดยสารหนาแน่นผ่านกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ทสภ. พร้อมให้ความร่วมมือสนับสนุนการปฏิบัติงาน ตลอดจนบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ณ ทสภ. เตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป
สำหรับการให้บริการระบบขนส่งรถสาธารณะ ผู้โดยสารสามารถเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกับสนามบินได้หลายรูปแบบ อาทิ รถแท็กซี่ รถไฟฟ้า Airport Rail Link รถโดยสารสาธารณะต่างๆ และรถลีมูซีนของสนามบิน โดยในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่น ทสภ. จะมีการประสานผู้ให้บริการรถสาธารณะต่าง ๆ เตรียมรถให้พร้อมเข้ามาให้บริการแก่ผู้โดยสารในช่วงดังกล่าวให้เพียงพอ และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ทสภ.ได้ยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ที่ลานจอดรถยนต์ระยะยาวโซน C ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2566 (รวม 6 วัน) ซึ่งสามารถจอดรถยนต์ได้จำนวน 718 คัน โดยมีรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ - ส่ง ระหว่างลานจอดรถยนต์ระยะยาวโซน C และอาคารผู้โดยสาร ทุกๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่จะเดินทางเที่ยวบินขาออกระหว่างประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ 19.00 - 21.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่น ซึ่ง ทสภ. ได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริการท่าอากาศยานในการให้คำแนะนำและจัดระเบียบแถวเพื่อให้การบริการเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ว และสำหรับเที่ยวบินขาออกภายในประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยสำหรับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยสำหรับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566
...
กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยสำหรับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดจัดทำแผนอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยคาดว่าเทศกาลปีใหม่ในปีนี้จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ และมีการใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้คลี่คลายลง กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้รับนโยบายและได้จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 โดยได้กำชับไปยังสำนักงานขนส่งทั่วประเทศให้ดำเนินการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน จัดหารถโดยสารประจำทางและรถโดยสารไม่ประจำทางให้เพียงพอต่อความต้องการในการเดินทางของประชาชนทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ออกตรวจจับความเร็วของรถโดยสารสาธารณะ จัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะชั่วคราว (1584) ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและป้องกันมิให้ผู้โดยสารถูกเอารัดเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งในเขตกรุงเทพมหานครและสถานีขนส่งผู้โดยสารในพื้นที่ต่างจังหวัด รวมทั้งกำกับ ดูแล ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้งด้านการรักษาความสะอาดภายในสถานี และจัดระเบียบการเดินรถบริเวณสถานี การจราจรเข้า - ออกภายในสถานี พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตั้งหรือตรวจสอบกล้อง CCTV และไฟฟ้าแสงสว่างภายในชานชาลาให้เพียงพอ โดยช่วงก่อนเทศกาล ขบ. จะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจความพร้อม ณ สถานประกอบการของผู้ประกอบการขนส่ง เพื่อตรวจความพร้อมของรถ อุปกรณ์ส่วนควบ อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย และความพร้อมผู้ขับรถตาม Checklist เช่น การมีใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้อง ตรวจความพร้อมด้านร่างกาย ตรวจสมุดประจำรถ ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ และสุ่มตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ เป็นต้น พร้อมกำชับให้ผู้ประกอบการและคนขับรถต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจร และ พรบ.การขนส่งทางบกอย่างเคร่งครัด ช่วงระหว่างเทศกาลจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สุ่มตรวจสารเสพติดและตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถ รวมถึงตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และจุดจอด จุดตรวจ Checking Point บนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ รวมทั้งจุดตรวจ (Rest Area) ทั้ง 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร พิษณุโลก ลำปาง ชัยนาท นครราชสีมา สุรินทร์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุดรธานี ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา พังงา ระยอง ตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วงวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 จะเป็นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดเข้าร่วมปฏิบัติงาน เพื่อดำเนินการตรวจความพร้อมด้านความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถ ซึ่งพนักงานขับรถสามารถจอดพัก เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการขับรถ ณ จุดตรวจ (Rest Area) ทั้งนี้ ศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจัดให้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดของรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่รับผิดชอบตลอด 24 ชั่วโมง โดยตรวจสอบจากระบบ GPS ควบคู่กับการจัดผู้ตรวจการขนส่งออกตรวจสอบความเร็ว ซึ่งหากพบพนักงานขับรถทำผิดจะมีการดำเนินการลงโทษผู้ฝ่าฝืนขั้นสูงสุดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63138 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 (มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) จำนวน 13.2 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับที่สูง ประกอบกับราคาพลังงานที่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในการดำรงชีพของผู้มีบัตรฯ และทำให้กำลังซื้อของผู้มีบัตรฯ ลดลง
มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษฯ จะให้ความช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด แก่ผู้มีบัตรฯ เพิ่มเติมจากเดิมอีก จำนวน 200 บาท เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ในเดือนมกราคม 2566 ดังนี้
1) ผู้มีบัตรฯ ที่เดิมได้รับวงเงิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 400 บาทต่อคนต่อเดือน
2) ผู้มีบัตรฯ ที่เดิมได้รับวงเงิน 300 บาทต่อคนต่อเดือน จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 500 บาทต่อคนต่อเดือน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษฯ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรฯ อีกทั้ง ยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญ
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
โทร. 0-2126-5800 ต่อ 2698, 2680
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทจังหวัดละ 99 รูป | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
ครม.เห็นชอบ ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทจังหวัดละ 99 รูป
ครม.เห็นชอบ ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทจังหวัดละ 99 รูป ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ณ วัดที่กำหนดใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่ถือเป็นวันลา
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 ธ.ค. 65 ได้เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ วัดที่จังหวัดกำหนด ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ
โครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูปฯ ครั้งนี้จัดโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยจะจัดขึ้น ณ วัดที่จังหวัดกำหนด ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ มีกำหนดการบรรพชาอุปสมบทจังหวัดละ 99 รูป ระยะเวลา 15 วัน ในช่วงเดือน ม.ค. 66 โดยมีเป้าหมายเป็นบุคลากรภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วประเทศ เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี โดยการเจริญจิตภาวนา อีกทั้งให้การเข้าร่วมอุปสมบทได้เป็นโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาของผู้เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิในการเข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ส่วนผู้ใด ที่เคยลาบรรพชาอุปสมบทมาแล้วก็สามารถบรรพชาอุปสมบทครั้งนี้ได้อีก และการบรรพชาอุปสมบทในครั้งนี้ ไม่เป็นเหตุให้เสียสทธิในการลาบรรพชาอุปสมบทตามปกติในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63155 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2566 | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2566
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565 นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2566 โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีปลัดกระทรวงฯ/ผู้แทน 11 กระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด 17 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคเหนือ เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อาคารเจียงราย จังหวัดเชียงราย
สำหรับการประชุมดังกล่าว ได้รับทราบการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2566 ทั้งในพื้นที่เมือง พื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรม ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีมาตรการป้องกัน แก้ไข ปัญหาในพื้นที่เกษตรกรรม 3 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 การสร้างการรับรู้ รณรงค์ และประชาสัมพันธ์
มาตรการที่ 2 การป้องกันและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง
มาตรการที่ 3 การส่งเสริมและสร้างเครือข่ายในการงดเผาในพื้นที่เกษตรกรรม
โดยมีเป้าหมายลดจุดสะสมความร้อนในพื้นที่การเกษตรลดลง ร้อยละ 10 จากปี 2565
ทั้งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เน้นย้ำให้กระทรวงและสหกรณ์ ดำเนินการ ดังนี้
1.เฝ้าระวัง ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง การเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเคร่งครัด โดยประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกร
2.สร้างเครือข่ายเกษตรกรงดการเผา และขยายเครือข่าย เพื่อปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นเกษตรปลอดการเผา
3.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุทางการเกษตร สร้างมูลค่า พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน บนหลักการ BCG
นอกจากนี้ ประธานฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการเตรียมความพร้อมรับมือ สถานการณ์ไฟป่า และปล่อยขบวนคาราวาน การป้องกันและแก้ไขปัญหา 3 พื้นที่ “เมือง ป่า เกษตรกร” ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวบอร์ดส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
ครม.ไฟเขียวบอร์ดส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
ครม.ไฟเขียวบอร์ดส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป เดินหน้าเสนอนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศิลปะร่วมสมัย สร้างเครือข่ายความร่วมมือ จัดทำแผนงานและยุทธศาสตร์หนุนงานศิลปะร่วมสมัย
ครม.ไฟเขียวบอร์ดส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป เดินหน้าเสนอนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศิลปะร่วมสมัย สร้างเครือข่ายความร่วมมือ จัดทำแผนงานและยุทธศาสตร์หนุนงานศิลปะร่วมสมัยทั้งในระดับท้องถิ่นสู่ระดับนานาชาติ
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย จำนวน 12 ท่าน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ เพื่อดำรงตำแหน่งแทนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ครบวาระการดำรง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัย จำนวน 8 ท่าน ได้แก่ นางกนกวลี กันไทยราษฎร์ สาขาวรรณศิลป์ผู้ช่วยศาสตราจารย์โสภาวรรณ บุญนิมิตร สาขาภาพยนตร์ นายพิชิต วีรังคบุตร สาขาเรขศิลป์ นายศิริชัย ทหรานนท์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย นายสมเถา สุจริตกุล สาขาดนตรี นางมาริษา เจียรวนนท์ สาขาทัศนศิลป์ นางเยาวณี นิรันดร สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม ประติมากรรม) และนายณรงค์ ปรางค์เจริญ สาขาดนตรี และผู้ทรงคุณวุฒิจากนักวิชาการด้านศิลปะร่วมสมัยจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 4 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง สาขาศิลปะการแสดง ศาสตราจารย์เอกชาติ จันอุไรรัตน์ สาขามัณฑนศิลป์ ศาสตราจารย์ศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์ สาขาทัศนศิลป์ (มีเดียอาร์ตและสื่อผสม) และผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญเสริม เปรมธาดา สาขาสถาปัตยกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่แต่งตั้งจะมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง โดยมีหน้าที่สำคัญในการเสนอนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะร่วมสมัยต่อ ครม. การกำหนดแนวทางการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตลอดจนการจัดทำและให้ความเห็นชอบแผนงานและยุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และเกิดการเผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติ รวมถึงการวางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ซึ่งเป็นกองทุนหลักในการส่งเสริมศิลปิน และผู้สนใจในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์งานและกิจกรรมด้านศิลปะร่วมสมัย ซึ่งตามมติดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึก มหกรรมวัฒนธรรม จ.นครปฐม ครั้งที่ 19 เทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 6 เชิญชวนคนไทยเที่ยวชมงาน อุดหนุนสินค้า ส่งมอบความสุขเทศกาลปีใหม่ | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565
26/12/2565
นายกฯ เปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึก มหกรรมวัฒนธรรม จ.นครปฐม ครั้งที่ 19 เทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 6 เชิญชวนคนไทยเที่ยวชมงาน อุดหนุนสินค้า ส่งมอบความสุขเทศกาลปีใหม่
นายกฯ เปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึก มหกรรมวัฒนธรรม จ.นครปฐม ครั้งที่ 19 เทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 6 เชิญชวนคนไทยเที่ยวชมงาน อุดหนุนสินค้า ส่งมอบความสุขเทศกาลปีใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์จากสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (26 ธ.ค. 65) เวลา 17.30 น. ณ บริเวณลานหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึก มหกรรมวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม ครั้งที่ 19 ประจำปี 2566 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้บริหาร ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมงาน ซึ่งจัดโดยสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดนครปฐม
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงพระวิหารพระร่วงโรจนฤทธิ์ ได้วางพวงมาลัย และจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระร่วงโรจนฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนครปฐม จากนั้นวางพวงมาลัย และจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระพุทธรูปปางประสูติ พร้อมวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระสรีรางคารพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระสรีรางคารสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเข้ากราบนมัสการพระเทพมหาเจติยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชมการแสดงชุด“ระบำภูษาปูรณะฎาศรีทวารวดี” โดยศูนย์วัฒนธรรมตำบลลำเหย การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุด “พระรามตามกวาง” โดยวิทยาลัยนาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมกล่าวยินดีที่ได้มาเปิดงาน เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์ ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวมาโดยตลอด ทั้งการนำทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่มาพัฒนาต่อยอด สร้างสรรค์ ให้เกิดการท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรม รวมถึงสืบสานมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมไทย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนคนไทยมาเที่ยวชมงานมหาธีรราชเจ้ารำลึกฯ และร่วมกันอุดหนุนสินค้าในงาน ส่งมอบความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์จากสินค้าชุมชน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ที่ทุกคนต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันรายได้ อยู่ด้วยความรักและความสามัคคีกัน ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเรา ก็คือประเทศไทยขวานทองแห่งนี้ มีอารยธรรม ประวัติศาสตร์ และเราทุกคนต้องยึดมั่นในแกนหลักของคือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งสิ่งที่ทุกคนต้องสำนึก คือการสืบสานต่อยอด ร่วมกันสร้างจิตสำนึกให้แก่ลูกหลานของเรา เป็นผ้าที่ขาวสะอาดไม่เปรอะเปื้อน ต้องปลูกฝังเยาวชนให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ รักความเป็นไทย รักสถาบันพระมหากษัตริย์
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีฝากความหวังให้คนไทยร่วมกันเดินไปข้างหน้า รัฐบาลพร้อมดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งเศรษฐกิจฐานรากและความเป็นอยู่ของประชาชน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนที่เดินทางมาเที่ยวในงาน โดยย้ำขอให้รักษามาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Prevention For COVID-19 ในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีลั่นฆ้องชัยเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดงานและร่วมถ่ายภาพหมู่เพื่อเป็นที่ระลึก ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมพบปะประชาชน และผู้ประกอบการร้านค้าภายในงานอย่างใกล้ชิด
สำหรับงานมหาธีรราชเจ้ารำลึกมหกรรมวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม ครั้งที่ 19 ประจำปี 2566 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2566 โดยมีกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย พิธีบวงสรวงถวายราชสักการะ พิธีสงฆ์ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การแสดงทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน การแสดงดนตรีร่วมสมัย การเสวนาทางวิชาการ การจัดกิจกรรมสาธิตและนิทรรศการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในจังหวัดนครปฐม การประกวดบทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครปฐม เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ลุยภูเก็ต จับเข่าคุย 3 สมาคม แก้ปมขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยว | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
กระทรวงแรงงาน ลุยภูเก็ต จับเข่าคุย 3 สมาคม แก้ปมขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยว
วันที่ 27 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ร่วมงานนัดพบแรงงาน จังหวัดภูเก็ต ประจำปีงบประมาณ 2566
พร้อมหารือสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทย (ภาคใต้) และชมรมการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ป่าตอง แก้ปมขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว โดยมีนายดนัย สุนันทารอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงานนัดพบแรงงานฯ และนายพิชิต สิงห์ทองคำ จัดหางานจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับ
นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับทราบความต้องการแรงงานในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว รวมถึงความกังวลของผู้ประกอบการในจังหวัดภูเก็ต หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศกลับเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก จึงมีความห่วงใยและมอบหมายตนลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการและผู้แทนจากสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เพื่อหารือแนวทางแก้ไข พร้อมเปิดงานนัดพบแรงงาน เพื่อป้อนแรงงานสู่สถานประกอบการอย่างเร่งด่วน โดยประเภทธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานมากเป็นอันดับแรก คือ ประเภทธุรกิจโรงแรม ที่พัก ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับส่วนหน้า พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม แม่บ้าน พนักงานนวดสปา รองลงมาเป็นประเภทธุรกิจการบริการ และประเภทธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ตามลำดับ โดยภายในงานมีผู้ประกอบการที่มีความต้องการแรงงาน มารับสมัครคัดเลือกและสัมภาษณ์พนักงาน จำนวน 43 แห่ง ตำแหน่งงานว่างกว่า 2,000 อัตรา ซึ่งคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะแรกได้ และยังทำให้ผู้สมัครงานมีโอกาสเลือกตำแหน่งงานที่ตรงกับความรู้ ความสามารถ ความถนัด สามารถสมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ได้จำนวนมากในคราวเดียวกัน นอกจากนี้สำนักงานจัดหางานภูเก็ตยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และบริการลงทะเบียนสำหรับผู้ประสงค์ไปทำงานต่างประเทศภายในงานด้วย
“จากการหารือร่วมกับผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทย (ภาคใต้) และชมรมการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ป่าตอง ได้ข้อสรุปว่า ภาครัฐจะมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันการศึกษา สถานประกอบการภาคเอกชน โดยแบ่งแนวทางแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะ ระยะสั้น เคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ในจังหวัดที่มีคนหางานเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีตำแหน่งงานว่าง ระยะกลาง นำโครงการ 3 ม. มีงาน เงิน มีวุฒิการศึกษา เชิญชวนสถาบันการศึกษาในภาคอีสาน ร่วมโครงการเพื่อส่งนักเรียน นักศึกษา มาฝึกงานที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเพิ่มทักษะ สร้างรายได้ ระหว่างศึกษา ร่วมกับการสนับสนุนการทำงานแบบรับรายได้เป็นรายชั่วโมง และบูรณาการร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝึกทักษะแรงงานในจังหวัดภูเก็ตในสาขาที่มีความขาดแคลน เช่น นวดไทย งานช่าง โดยกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะลงพื้นที่
ฝึกทักษะก็คือ นักเรียนสายอาชีพ ทหารเตรียมปลดประจำการ เป็นต้น และระยะยาว จะใช้การแนะแนวอาชีพนักเรียน นักศึกษาให้ทราบความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเลือกเรียนในสายงานที่ตลาดแรงงานมีความต้องการสูง เช่น สาขาการท่องเที่ยว การโรงแรม เป็นต้น นอกจากนี้จะประสานสถานประกอบการในการจ้างกลุ่มผู้พ้นโทษ และผู้สูงอายุเข้าทำงาน รวมทั้งบริหารจัดการการนำเข้าแรงงานข้ามชาติเข้ามาทดแทนตำแหน่งว่างที่แรงงานไทยไม่ต้องการทำ ด้านผู้ประกอบการจะปรับนโยบายการรับพนักงาน ลดสเป็คลง มุ่งเน้นผู้ที่พร้อมเรียนรู้ และพัฒนาตนเองระหว่างทำงานแทน" รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ด้านนายรังสิมันต์ กิ่งแก้ว รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้หารือกับท่านรองอธิบดีกรมการจัดหางาน หลังจากได้พูดคุยกันรู้สึกว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เห็นแนวโน้มว่าเรามีโอกาสในการรับสมัครพนักงานได้มากขึ้น และจะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานได้ เนื่องจากว่าการขาดแคลนแรงงานเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็คาดไม่ถึง ตลาดเริ่มมาพีคช่วงเดือนตุลา - กันยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชนในการแก้ไขปัญหา ขอฝากถึงคนหางานที่อยู่ในภาคอื่นๆ ขอให้ลองเปิดโอกาสเปิดใจ มาทำงานด้านท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เพราะจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุด เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวเป็นหลายสิ่งหลายอย่างของภูเก็ต เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวจะยังอยู่กับภูเก็ตไปอีกนาน สามารถฝากอนาคตไว้กับการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้ครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM meets with Co-founder and Chairman of BGI Group | วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
27/12/2565
PM meets with Co-founder and Chairman of BGI Group
PM meets with Co-founder and Chairman of BGI Group
December 27, 2022, at 0830hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Mr. Wang Jian, Co-founder and Chairman of BGI Group, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to meet with BGI Co-founder and Chairman, and thanked the company for supporting the Thai Government in its battle against the COVID-19 pandemic through donating Huo-Yan Air Laboratory, a complete, high-throughput nucleic acid testing platform developed by BGI Genomics. He was also pleased with the meeting between Mr. Wang Jian and representatives of Ministry of Public Health and the Eastern Economic Corridor (EEC) to discuss medical and medical genomics cooperation in a tangible manner. Thailand stands ready to become the region’s medical genomics hub as the country is internationally recognized for its quality medical personnel and advanced medical development. At the policy level, Thailand has mapped out genomics development plan, in collaboration with 22 partner agencies. The Prime Minister hoped that the Thai Government and BGI could further tightened cooperation in this area.
BGI Co-founder and Chairman expressed appreciation toward the Prime Minister for the meeting. BGI has forged cooperation with Thailand for 25 years, and his visit to the country this time is to explore further investment opportunity and tighten cooperation with the Thai Government. Both parties also discussed exchange of knowledge and expertise and personnel training, as well as advanced technology transfer, for national development.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน เตือนดูแลตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ช่วงสภาพอากาศหนาว กำชับหน่วยงานเฝ้าระวัง ควบคุมมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน เตือนดูแลตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ช่วงสภาพอากาศหนาว กำชับหน่วยงานเฝ้าระวัง ควบคุมมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน เตือนดูแลตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ช่วงสภาพอากาศหนาว กำชับหน่วยงานเฝ้าระวัง ควบคุมมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์พร้อมห่วงใยในสุขภาพของประชาชนจากฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงสภาพอากาศหนาว โดยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่ามักเกิดขึ้นในช่วงปลายปีและต้นปี ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยฝุ่นละออง PM 2.5 เกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศในช่วงปลายปี และต้นปีที่มีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ฝุ่นละออง PM 2.5 เกิดการสะสม ซึ่งถือว่าสภาพอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พบฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน
นายอนุชาฯ กล่าวว่า ในเรื่องวิกฤตฝุ่น PM2.5 กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศ จากแหล่งกำเนิดหลัก ได้แก่ การควบคุมมลพิษจากยานพาหนะ การควบคุมมลพิษจากสถานประกอบการ การควบคุมมลพิษจากการก่อสร้าง และการควบคุมมลพิษจากการเผาในที่โล่ง
“นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงสภาพอากาศหนาวเย็น เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบพื้นที่ รณรงค์เน้นย้ำเพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือของประชาชน งดเผาเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูก งดการเผาในที่โล่ง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดและกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในอากาศ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และลดการทำกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในอากาศ ตลอดจนการบูรณาการความร่วมมือในการจัดเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 จากการเผาในที่โล่งอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีพื้นที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ให้ทำการลดฝุ่นละอองในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นการควบคุมมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีและปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีฝากความห่วงใยไปยังประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัว ให้ระมัดระวังและดูแลตัวเองเป็นพิเศษ และขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ PM2.5 อย่างใกล้ชิด ใช้เครื่องฟอกอากาศ สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิดเมื่อคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากจำเป็นต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองเมื่ออยู่ข้างนอกอาคาร” นายอนุชาฯ กล่าว
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูล ข่าวสาร การรายงานคุณภาพอากาศ การคาดการณ์คุณภาพอากาศ ได้ที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4thai หรือ แฟนเพจศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหายาเสพติดไม่มีหยุดปีใหม่ มหาดไทย เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด มุ่งมั่นทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิด บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
ปัญหายาเสพติดไม่มีหยุดปีใหม่ มหาดไทย เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด มุ่งมั่นทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิด บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น
ปัญหายาเสพติดไม่มีหยุดปีใหม่ มหาดไทย เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด มุ่งมั่นทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ใช้ทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้กล่าวถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งอาจมีผู้ลักลอบฉวยโอกาสที่มีกิจกรรมการรวมกลุ่มคนเพื่อจัดกิจกรรมแห่งความสุข เป็นช่องทางในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ด้วยการเร่ง Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยง เช่น สถานบริการ และสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ พื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งหลายพื้นที่ได้ปล่อยแถวชุดปฏิบัติการ เข้ากวาดล้างจับกุม และกดดันป้องปราม รวมทั้งสุ่มตรวจสถานบันเทิง ร้านอาหาร ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 อาทิ
1. จังหวัดนนทบุรี นายพิรุณ วิมลอักษร นายอำเภอเมืองนนทบุรี มอบหมายเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองนนทบุรีร่วมกับ สภ.เมืองนนทบุรี สภ.รัตนาธิเบศร์ และสภ.บางศรีเมือง ออกตรวจสถานประกอบการ สถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี เพื่อตรวจตราสถานประกอบการฯ ให้ดำเนินการจัดงานเทศกาล ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2566 ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้เข้าใช้บริการ จำนวน 19 ร้าน การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
2. จังหวัดน่าน นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายผะอบ บินสะอาด ปลัดจังหวัดน่าน สั่งการให้ นายทศพร ผ่องศรีสุข ป้องกันจังหวัดน่าน มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการจัดระเบียบสังคมแบบบูรณาการ ตามคำสั่งจังหวัดน่าน ประกอบด้วยร้อย.อส.จ.นน.1 ร้อย.อส.อ.เวียงสา ที่ 5 ตำรวจภูธรเวียงสา และสาธารณสุขอำเภอเวียงสา ออกตรวจจัดระเบียบสังคม ควบคุมพื้นที่เสี่ยง/ปัจจัยเสี่ยง สถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะคล้ายสถานบริการ จำนวน 9 ร้าน ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้เน้นย้ำให้เจ้าของร้านดูแลร้าน ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
3. จังหวัดเชียงใหม่ นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ออกตรวจสถานบริการ และสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะคล้ายสถานบริการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้คำแนะนำผู้ประกอบการในมาตรการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2566 ทั้งนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย อย่างเคร่งครัด ที่ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลสวัสดิภาพของประชาชน โดยผลการตรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
4. จังหวัดตรัง ที่ทำการปกครองจังหวัดตรังสนธิกำลังกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง ตำรวจ สภ.เมืองตรัง ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองตรังกว่า 20 นาย เข้าตรวจสถานบันเทิงต่าง ๆ ใน อ.เมืองตรัง จำนวน 3 แห่ง คือ สถานบันเทิง DEED CLUB, คันทรีโฮม และโรงเหล้ามหานคร เพื่อป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและกฎหมายอื่น ๆ ซึ่งจากเข้าตรวจกวดขันสถานบันเทิง เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย และได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
5.จังหวัดนครศรีธรรมราช นายศรัทธา ทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุวัฒน์ สุขศรี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมปล่อยแถวออกตรวจสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 โดยมี ผู้แทนฝ่ายทหาร ตำรวจ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กฯ สรรพสามิตพื้นที่ สาธารณสุขจังหวัด พัฒนาสังคมฯ จังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด โยธาธิการจังหวัด กองร้อย อส.จ.นครศรีธรรมราชที่ 1 และเจ้าพนักงานปกครองกลุ่มงานความมั่นคง และกลุ่มงานปกครอง ร่วมปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่ออกตรวจสถานบริการ สถานประกอบการในพื้นที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย
พร้อมกันนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงมิติด้านการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเน้นย้ำว่ากระทรวงมหาดไทยยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ด้วยการใช้ทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และลงพื้นที่ลุยกวาดล้างผู้กระทำความผิดอย่างแข็งขัน จริงจัง และต่อเนื่อง ทั้งผู้ค้ารายใหญ่และผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ของจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ ได้แก่
1. จังหวัดอำนาจเจริญ นายชนาส ชัชวาลวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วย พล.ต.ต.สถาพร เอมโอษฐ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงจับผู้ต้องคดียาเสพติด 2 คดี ผู้ต้องหา 4 คน โดยคดีแรก ผู้ต้องหา 2 คน คือ 1. นายต้อม อายุ 37 ปี ชาว อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ 2. นายต้า ชาว อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ พร้อมของกลาง ยาบ้า 18,308 เม็ด รถยนต์กระบะ 2 คัน และคดีที่ 2 ผู้ต้องหา 2 คน คือ 1.นายอ๋อง อายุ 36 ปี ชาว อ.เมืองอุบลราชธานี และ 2.นายตุ้ย อายุ 34 ปี ชาว อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ พร้อมของกลางยาบ้า 60,000 เม็ด รถยนต์กระบะ 2 คัน รวมของกลางที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ ประกอบด้วย ยาบ้า จำนวน 78,308 เม็ด มูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท รถยนต์กระบะ จำนวน 4 คัน มูลค่าประมาณ 2,200,000 บาท โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง
2. จังหวัดปทุมธานี นายนิติชัย วิริยานนท์ นายอำเภอคลองหลวง ว่าที่ร้อยตรี พิชญะ เพียราช ปลัดอำเภอคลองหลวง กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ชรบ. อส. ร่วมกันจับกุมตัว นายสุวรรณ หรือนัย อายุ 28 ปี พร้อมด้วย น.ส.จริยา หรือยา อายุ 27 ปี แฟนสาว พร้อมของกลางยาบ้า 1,951 เม็ด ที่อยู่ภายในกระเป๋าของฝ่ายหญิง โดยจับกุมได้บริเวณถนนเลียบคลองหนึ่ง หลังเซียงกงรังสิต หมู่ 5 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ขณะทั้งสองคนขับขี่และซ้อนท้ายรถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำเงิน-เทา หมายเลขทะเบียน 2 ขณ 6083 กรุงเทพมหานคร และขยายผลจับกุมนายเอ๋ หรือบังมุด พร้อมยาบ้าซุกซ่อนอยู่บริเวณช่องใส่ของจำนวน 2,012 เม็ด ดำเนินคดีต่อไป
3. จังหวัดเชียงใหม่ นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย มอบหมายให้นายสมภพ หน่อแก้ว ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง นำกำลังพลสมาชิก อส.อ.แม่อาย 5 บูรณาการร่วมกับ บก.ควบคุม ที่ 2 ศอ.ปส.ชน.,ชป.ที่ 7,8 จัด กพ. 1 ชป. ตั้งด่านตรวจบริเวณบ้านแม่สลัก หมู่ 6 ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่พบรถยนต์ตามรับแจ้งเบาะแส เป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Honda city สีบรอนซ์เทา ทะเบียน กธ xxxx ชร. จากการตรวจในรถพบฝิ่นจำนวน 3 จ้อย (4.9 กก.) และผู้กระทำความผิดจำนวน 2 ราย (ขอสงวนชื่อ นามสกุล) ต่อมาเวลาประมาณ 11.30 น. ได้ทำการขยายผลตรวจค้นเพิ่มเติม อีก 2 จุด ได้แก่ บ้านปูหมื่นใน หมู่ 15 ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผลการปฏิบัติไม่พบสิ่งผิดกฏหมาย และห้องเช่าในพื้นที่ บ้านป่าบง หมู่ 2 ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ผลการปฏิบัติตรวจพบยาเสพติดให้โทษประเภท ที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 12 มัด มัดละ 2,000 เม็ด รวม 24,000 เม็ด เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง พนักงานสอบสวน สภ.แม่อาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
“กระทรวงมหาดไทย เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ร่วมกับทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ลงพื้นที่ลุยกวาดล้างผู้กระทำความผิดอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งนำผู้หลงผิดเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อคืนคนดีให้กับสังคม ให้กับครอบครัว และหมั่นลงพื้นที่ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัจจัยทำลายคนบริสุทธิ์อีก เพื่อลูกหลานของพวกเราทุกคนอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข พร้อมทั้งได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์หมายเลขติดต่อในการแจ้งเบาะแส โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถจดจำและติดต่อได้ง่าย อันเป็นการอำนวยความสะดวกและเป็นการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63305 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณ “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา” จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรและกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อปฏิบัติบูชาถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวร | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณ “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา” จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรและกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อปฏิบัติบูชาถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณ “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา” จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรและกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อปฏิบัติบูชาถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้พี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ต่างพร้อมใจกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรและกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อปฏิบัติบูชาถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความสำนึกในพระกรุณาธิคุณ และความจงรักภักดี อาทิ
1. จังหวัดลำปาง ที่บริเวณรอบสระเศรษฐีทะเลบุญ ศูนย์ปฏิบัติธรรมลำปาง ต.บ่อแฮ้ว อ.เมืองลำปาง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนางสุพรรณี ฉายะบุตร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำพุทธศาสนิกชน ร่วมตักบาตรพระภิกษุสามเณร 1,000 รูป ฉลองเมืองลำปางครบรอบ 1,342 ปี ถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการตักบาตรพระ 2 ล้านรูป 77 จังหวัดทุกวัดทั่วไทย โดยสมาคมรวมใจไทยลำปาง เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากอาการประชวร ซึ่งข้าวสารอาหารแห้งที่พระสงฆ์สามเณรรับบิณฑบาต จะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยและคณะสงฆ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่พระอุโบสถวัดอัมพวันเจติยาราม พระอารามหลวง อำเภออัมพวา พระภาวนาวิสุทธิโสภณ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ต่อเนื่องกันตลอด 7 วัน 7 คืน โดยมี นายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา นายกรกฎ วงษ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ทหาร ตำรวจ อัยการ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และประชาชน เข้าร่วมพิธี
3. จังหวัดสมุทรสาคร ที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ตำบลยกกระบัตร อำเภอบ้านแพ้ว นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญถวายภัตตาหาร เพื่อถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน และเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ โดยมี พระมงคลพัฒนาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอบ้านแพ้ว หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง
4. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่วัดวิมลนิวาส ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล และพิธีไถ่ชีวิตโค-กระบือ จำนวน 15 ตัว ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้ทรงหายจากอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีพระครูวิมลบุญโกศล เจ้าอาวาสวัดวิมลนิวาส ประธานมูลนิธิวิมลบุญโกศล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โอกาสนี้ นายพิชัยยา ตุระซอง หัวหน้าสำนักงานจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมในพิธี โดยได้ทำการไถ่ชีวิตโค-กระบือ จำนวน 15 ตัว เป็นเพศผู้ 6 ตัว เพศเมีย 9 ตัว ส่งมอบให้กับกลุ่มเกษตรกรเชียงขวัญ และผู้ปกครอง/นักเรียน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ธวัชบุรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามระเบียบ มีความเหมาะสมและสามารถเลี้ยงดูโค-กระบือ สมควรได้รับการช่วยเหลือจากโครงการฯ
5. จังหวัดเลย ที่บริเวณสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 บ้านนาปอ ต.แสงภา อ.นาแห้ว พระครูศรีธีราภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดเลย เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเลย หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพุทธศาสนิกชน อุบาสก อุบาสิกา ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรคณะสงฆ์ ธรรมจาริกธุดงค์ จำนวน 700 รูป นำโดยพระอาจารย์จรัญ อนํคโณ ประธานโครงการธรรมจาริกธุดงค์ฯ เพื่อถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวชิรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
6. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่วัดเขาพระทอง ตำบลเขาพระทอง อำเภอชะอวด นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางพิชานันท์ เผือกผ่อง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช นายอำเภอชะอวด และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมพิธีบวชสามเณรลูกแก้ว จำนวน 9 รูป และไถ่ชีวิตสัตว์ สร้างกุศลใหญ่ทำบุญเริ่มต้นปีใหม่ 2566 ประกอบด้วยโค 2 ตัว, สุกร 3 ตัว, เป็ด 20 ตัว, พันธุ์ปลาทับทิม 10 ตัว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยเร็ววัน
7. จังหวัดเพชรบุรี ที่วัดนายาง หมู่ที่ 3 ตำบลยาง อำเภอชะอำ นายไพโรจน์ จึงธนาเจริญ นายอำเภอชะอำ เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และปล่อยปลาเพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้หายจากพระอาการประชวร โดยมีพระครูพิพัฒน์วชิรปัญญาวุฒิ เจ้าคณะอำเภอชะอำ เจ้าอาวาสวัดนายาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนในพื้นที่อำเภอชะอำ เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน
8. จังหวัดนครนายก ที่วัดช้าง อำเภอบ้านนา พระสิทธิวรนายก รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก พร้อมด้วย นายอำพล บุญประภากร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด นางสาวศุภมาส คุ้มศรีวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด นายวิชัย บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัด พันเอก กิตติบดี อินทสุรัช ผู้แทนรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดฝ่ายทหาร นายวีรยุทธ บุญมา อัยการจังหวัดนครนายก หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา และประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรมเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมีกิจกรรมปล่อยปลาเพื่อถวายพระพรชัยมงคล ในกิจกรรมดังกล่าวด้วย
9. จังหวัดตาก ที่วัดมณีบรรพตวรวิหาร อ.เมืองตาก นายวีระพันธ์ ดีอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานในพิธีไถ่ชีวิตโค-กระบือ ถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระประชวรโดยเร็ว โดยมี พระประสิทธิศีลคุณ เจ้าคณะจังหวัดตาก คณะสงฆ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตาก รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 310 รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดตาก ข้าราชการ และประชาชนผู้เข้าร่วมพิธี ร่วมกันไถ่ชีวิตโค จำนวน 9 ตัว ให้แก่เกษตรกรชาวตำบลวังหมัน อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ในโครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ สำหรับนำไปเลี้ยงตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป หลังจากนั้น รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้นำผู้เข้าร่วมพิธีประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี พระประสิทธิศีลคุณ เจ้าคณะจังหวัดตาก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์จำนวน 10 รูป ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันพรุ่งนี้ (31 ธ.ค. 65) เป็นวันสิ้นปี ซึ่งพี่น้องพุทธศาสนิกชน และศาสนิกต่าง ๆ จะประกอบพิธีสวดมนต์ข้ามปี และพิธีมงคลตามความเชื่อของศาสนา จึงขอเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมกันประกอบพิธีเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาน้อมถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับทุกท่านเนื่องในโอกาสต้อนรับศักราชใหม่ พ.ศ. 2566 ค.ศ. 2023 โดยพร้อมเพรียงกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63304 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย ระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติดแบบความลับ เตรียมทดลองใช้ ม.ค.นี้ หวัง ลบความเชื่อผู้ค้ายา รู้ตัวคนแจ้ง มั่นใจ สังคมตื่นตัว | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย ระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติดแบบความลับ เตรียมทดลองใช้ ม.ค.นี้ หวัง ลบความเชื่อผู้ค้ายา รู้ตัวคนแจ้ง มั่นใจ สังคมตื่นตัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย ระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติดแบบความลับ เตรียมทดลองใช้ ม.ค.นี้ หวัง ลบความเชื่อผู้ค้ายา รู้ตัวคนแจ้ง มั่นใจ สังคมตื่นตัว ยึดอายัดทรัพย์ถึงเป้า 1 แสนล้าน ช่วยป้องกันเยาวชนเป็นทาสยาเสพติด
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการแจ้งเบาะแสยาเสพติดแบบไม่เปิดเผยตัวตน หรือ ระบบบล็อคเชน ว่า กระทรวงยุติธรรม เล็งเห็นความสำคัญของผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด ที่ขณะนี้ สังคมเริ่มตื่นตัว อยากเข้ามามีส่วนร่วมเป็นพลเมืองดีมากขึ้น อย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพราะทุกภาคส่วนตระหนักเห็นแล้วว่า ยาเสพติดถือเป็นภัยร้ายในสังคม ที่ทำลายอนาคตเยาวชน แต่ที่ผ่านมา มีคนโทรแจ้งเบาะแสที่สายด่วน 1386 เพียง 16,000 คู่สาย ทั้งที่ประเทศไทย มีกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน โดยอาจเป็นเพราะประชาชนกังวลในเรื่องของความปลอดภัย ตนจึงให้ ป.ป.ส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำระบบบล็อคเชน ที่ไม่สามารถระบุตัวตนคนแจ้งได้ ทำให้มีความปลอดภัย 100% ซึ่งจะเป็นการช่วยลบความเชื่อแบบเดิมๆ ที่ผู้ค้ายา จะรู้ตัวคนแจ้งเบาะแสเร็วมากจากเจ้าหน้าที่รัฐ
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ระบบบล็อคเชน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน ทีมวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กำลังศึกษาระบบอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่า ระบบมีความปลอดภัยสูง โดยคาดว่า จะสามารถทดสอบการใช้งานได้เบื้องต้น ภายในเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2566 เพราะทีมวิจัย กำลังเร่งศึกษารูปแบบการจ่ายเงินรางวัลนำจับ 5% ที่ขณะนี้มี 2 แนวทาง คือ 1.การจ่ายผ่านระบบ Blockchain และ Smart Contracts 2.การจ่ายผ่านระบบ Virtual Account และ ATM แต่ในแนวทางแรก มีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อน จะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ใครเป็นผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งจะถูกจัดเก็บข้อมูลเป็นความลับ
“และนอกจากทีมวิจัยศึกษาระบบอย่างละเอียดแล้ว ป.ป.ส.ก็จะมีการสำรวจความต้องการของผู้แจ้งเบาะแส ผ่านเว็บไซต์ด้วย เพื่อจะได้พัฒนาระบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึง หรือดำเนินการได้ง่าย รวมถึงได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้การจ่ายเงินรางวัลนำจับเป็น สกุลเงินดิจิตอล ถูกต้องตามระเบียบ เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า ผมพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเป็นอีกกลไกในการปราบปรามยาเสพติด เพราะผมเข้าใจดีว่า ปัญหายาเสพติดได้เข้าไปสร้างความรุนแรงในครอบครัว จึงเน้นการยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายา เพื่อตัดวงจรเหล่านี้ ทำให้ปี 66 ตั้งเป้ายึดทรัพย์ไว้ 1 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าได้รับความร่วมมือจากประชาชน แจ้งเบาะแสผ่านระบบบล็อคเชน ก็จะทำให้สามารถยึดได้เกินเป้าอย่างแน่นอน และจะเป็นการร่วมมือกันแก้ปัญหายาเสพติด ให้ลูกหลานของเราไม่ตกเป็นทาสของยาเสพติดอีกต่อไป“ รมว.ยุติธรรม กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63300 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” เผย รัฐบาลกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้มงวดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ แจงนายกฯ สั่งอำนวยความสะดวกการเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวให้ประชาชน เน้นย้ำการ์ดอย่าตก | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
“ธนกร” เผย รัฐบาลกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้มงวดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ แจงนายกฯ สั่งอำนวยความสะดวกการเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวให้ประชาชน เน้นย้ำการ์ดอย่าตก
“ธนกร” เผย รัฐบาลกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้มงวดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ แจงนายกฯ สั่งอำนวยความสะดวกการเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวให้ประชาชน เน้นย้ำการ์ดอย่าตก หลังหลายฝ่ายคาดหลังหยุดยาว โควิด-19 อาจแพร่ระบาดอีก
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ รัฐบาลกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังความปลอดภัย รวมถึงป้องกันอุบัติเหตุ ต้องป้องกัน ควบคุม และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานต้องอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน เพื่อให้การเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวของประชาชนได้รับความสะดวกให้มากที่สุด และปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ที่มีการคาดการณ์ว่า หลังเทศกาลปีใหม่อาจจะมีการติดเชื้อระลอกเล็กๆ นั้น ปัจจุบันแม้ว่าประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อก็ดี หรือจากการฉีดวัคซีนก็ตาม ซึ่งจะทำให้เมื่อเกิดการติดเชื้ออาจจะไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่อยากขอให้ประชาชนเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลตนเองและบุคคลใกล้ชิดด้วย การ์ดอย่าตก เพื่อความไม่ประมาท โดยรัฐบาลยังคงเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
“เทศกาลปีใหม่หลายคนกังวลว่า กิจกรรมต่างๆ อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานสังสรรค์ งานรวมญาติ รวมถึงการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ดังนั้น พล.อ.ประะยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางมาตรการป้องกันรวมถึงแนวทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาไว้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องพร้อมรายงานเหตุการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันที เพื่อประเมินระดับความรุนแรง ผลกระทบ จะได้แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที นอกจากนี้ อยากขอร้องให้พี่น้องประชาชน ใช้ความระมัดระวัง ไม่ประมาท โดยเฉพาะการใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ รวมถึงผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรค ยังคงต้องป้องกันตนเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดหรือมีผู้คนจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง รวมไปถึงคนที่เรารักด้วย” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63303 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผย ธ.ค.65 ขอคำสั่งศาลระงับเว็บผิดกฎหมาย 728 URL ชี้ข่าวปลอมในโซเชียลสร้างความสับสน ตื่นตระหนกแก่ประชาชน | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เผย ธ.ค.65 ขอคำสั่งศาลระงับเว็บผิดกฎหมาย 728 URL ชี้ข่าวปลอมในโซเชียลสร้างความสับสน ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
ดีอีเอส เผย ธ.ค.65 ขอคำสั่งศาลระงับเว็บผิดกฎหมาย 728 URL ชี้ข่าวปลอมในโซเชียลสร้างความสับสน ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่า จากที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ติดตามเรื่องคดีที่ผิดกฎหมายออนไลน์รวมทั้งผลดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายซึ่งจากที่กระทรวงดิจิทัลฯได้ดำเนินการยื่นขอศาลปิดกั้นเว็บไซด์ผิดกฎหมายในเดือนธันวาคม2565พบว่าศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายแล้วรวม728 URLsแบ่งเป็น
-กรณีหมิ่นสถาบันฯ 534 URLs
-พนันออนไลน์ 139 URLs
-ลามกอนาจาร52 URLs
-ความผิดตามกฎหมายอาญาอื่น3 URLs
ขณะนี้พบว่ามีการโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จที่สร้างความตื่นตระหนกสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดยกระทรวงได้เร่งติดตามมอนิเตอร์สถานการณ์ทุกวันเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วว่าเข้าข่ายกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550และที่แก้ไขเพิ่มเติม(2560)ให้รวบรวมหลักฐานส่งให้ศาลพิจารณาระงับปิดกั้นหรือลบข้อมูลออกจากระบบคอมพิวเตอร์พร้อมกับประสานส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาดำเนินคดีต่อไป
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความผิดกฎหมายด้านออนไลน์กรณีหมิ่นสถาบันฯโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จ กระทรวงดิจิทัลฯขอความร่วมมือประชาชนเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อหรือเลือกแชร์ หากท่านใดโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จสร้างข่าวปลอมในระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงผู้ที่แชร์ข้อความนั้นจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายได้ สำหรับข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันขอให้ประชาชนติดตามแถลงการณ์สำนักพระราชวังเท่านั้น
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนคนไทยใช้ Digital ID เพิ่มความสะดวกปลอดภัยรับบริการหน่วยงานรัฐ กรณีเจ้าพนักงานเรียกตรวจแสดงข้อมูลบนสมาร์ทโฟนแทนบัตรประชาชนตัวจริงได้ | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
เชิญชวนคนไทยใช้ Digital ID เพิ่มความสะดวกปลอดภัยรับบริการหน่วยงานรัฐ กรณีเจ้าพนักงานเรียกตรวจแสดงข้อมูลบนสมาร์ทโฟนแทนบัตรประชาชนตัวจริงได้
เชิญชวนคนไทยใช้ Digital ID เพิ่มความสะดวกปลอดภัยรับบริการหน่วยงานรัฐ กรณีเจ้าพนักงานเรียกตรวจแสดงข้อมูลบนสมาร์ทโฟนแทนบัตรประชาชนตัวจริงได้
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นกฎหมายกลางส่งเสริมให้การบริการของภาครัฐใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยบางส่วนของกฎหมายมีผลบังคับมาตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 65 และบางส่วนจะเริ่มบังคับตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 66 เป็นต้นไป ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการเพื่อรับโดยต่อเนื่อง
ล่าสุด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ส่งหนังสือเวียนแจ้งทุกจังหวัดและปลัดกรุุงเทพมหานคร เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงการมีผลบังคับของ มาตรา 14 พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ ที่ประชาชนสามารถแสดงภาพบัตรประชาชนทางดิจิทัล (Digital ID) บนเครื่องมือสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันแทนการแสดงตนด้วยตัวบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิเสธการแสดง Digital ID ของประชาชนได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมการปกครองได้พัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ DOPA-Digital ID เพื่อรองรับการให้บริการประชาชน ซึ่งขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้บริการเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้บริการต่างๆ ที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน โดยผู้สนใจใช้ระบบสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “D.DOPA” ของกรมการปกครอง ลงในโทรศัพท์มือถือซึ่งรองรับทั้งระบบไอโอเอส (IOS) และระบบแอนด์ดรอย (Android) จากนั้นดำเนินการลงทะเบียนซึ่งในระยะแรกนี้ ให้ใช้บัตรประชาชนตัวจริงเพื่อลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง ทุกเขตในกรุงเทพมหานคร ซึ่งระยะต่อไประบบลงทะเบียนนี้จะมีการพัฒนาเป็นระบบออนไลน์ต่อไป
ภายหลังลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อต้องติดต่อรับบริการจากหน่วยงานรัฐ หรือมีเจ้าพนักงานเรียกตรวจบัตรประชาชนในกรณีต่างๆ ประชาชนสามารถใช้สมาร์ทโฟนที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลแล้วข้างต้นแสดงต่อเจ้าพนักงานที่เรียกตรวจแทนการใช้บัตรประชาชนได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ ซึ่งจะมีผลบังคับทั้งฉบับในวันที่ 10 ม.ค. 66 เป็นต้นไปนี้ รัฐบาลได้ผลักดันออกมาเพื่อสนับสนุนการไปสู่รัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเป็นไปตามการปฏิรูปประเทศด้านการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ให้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อบริการสาธารณะและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) คาดว่าในปี 2566 จะมีประชาชนใช้ Digital ID แทนบัตรประจำตัวประชาชนประมาณ 10 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังกรมการปกครองได้พัฒนาระบบการลงทะเบียนทั้งหมดไปอยู่ในรูปแบบออนไลน์ โดยดีอีเอสยังคาดว่า Digital ID จะเข้ามาแทนที่การยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ด้วยความปลอดภัยที่สูงกว่า เนื่องจาก Digital ID จะมีลักษณะเป็นคิวอาร์โค้ด ขณะที่บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงจะเกิดโอกาสที่มิจฉาชีพเห็นข้อมูลหน้าบัตรจากการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแลกบัตร การติดต่อหน่วยงาน การใช้ประกอบการทำธุรกรรมการเงิน หรือ ธุรกิจต่างๆ โดย Digital ID จะช่วยลดการปลอมแปลงบัตรประชาชน หรือสวมรอยเจ้าของที่แท้จริงได้
ทั้งนี้ ดีอีเอส โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดทำ Digital ID Framework ระยะที่ 1 พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567 เพื่อผลักดันให้มีการใช้ Digital ID อย่างกว้างขวาง อาทิ มีการใช้ครอบคลุมทั้งบุคคลและนิติบุคคล ต่อยอดการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริการออนไลน์ ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการออนไลน์ต่างๆของรัฐโดยการใช้ Digital ID ได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวจนซ้ำซ้อน เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟรุ้ทบอร์ดแจงความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี 64/65 จ่อ ครม. พิจารณาเห็นชอบ | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
ฟรุ้ทบอร์ดแจงความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี 64/65 จ่อ ครม. พิจารณาเห็นชอบ
ฟรุ้ทบอร์ดแจงความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี 64/65 จ่อ ครม. พิจารณาเห็นชอบ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ชี้แจงวันนี้ (31 ธ.ค) เกี่ยวกับโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 ว่า ตามที่ชาวสวนลำไยได้สอบถามถึงความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 นั้น ขณะนี้รอเพียงคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยฟรุ้ทบอร์ดเสนอตามขั้นตอน ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนจนบัดนี้ ล่วงเลยมาเป็นเวลา 4 เดือน คาดว่า ครม. จะเร่งพิจารณาอนุมัติเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวสวนลำไยทั่วประเทศ ซึ่งประสบความเดือดร้อนจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ในฤดูกาลผลิตปี 2564/2565 เพื่อให้ชาวสวนลำใยมีทุนไปปรับปรุงสวนเพื่อเพิ่มผลผลิตทันต่อฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ทั้งนี้ หลังจากฟรุ้ทบอร์ดเสนอโครงการต่อ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 เสนอ ครม. ตามขั้นตอน ผ่านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้ลงนามในหนังสือถึง ครม. เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติเป็นการเร่งด่วนในโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565
โดยมีเงื่อนไขกรอบแนวทางช่วยเหลือที่กำหนดไว้ ดังนี้ ขนาดพื้นที่ปลูกรายละ ไม่เกิน 25 ไร่ ในอัตรา 2,000 ต่อไร่ กรอบวงเงินทั้งหมด 3,821.54 ล้านบาท แยกการใช้เงินเป็น 1.) เงินทุนผ่าน ธกส. ดังนี้ (1) เงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย อัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ จำนวน 3,821,537,038 บาท (2) ค่าบริหารจัดการโครงการ สำหรับ ธกส.ครัวเรือนละ 7 บาท จำนวน 1,354,388 บาท และ (3) ค่าชดเชยต้นทุนให้ ธกส. ร้อยละ 2.25 ของวงเงินเยียวยาที่ต้องจ่าย 83,842,650 บาท และ 2.) ค่าบริหารจัดการโครงการของ กรมส่งเสริมการเกษตร 10,000,000 บาท
“สำหรับโครงการเยียวยาชาวสวนลำไยครั้งนี้ ดำเนินการเช่นเดียวกับโครงการในอดีต ด้วยเงื่อนไขและวิธีการเดียวกันโดยกรมส่งเสริมการเกษตรนำเสนอตัวเลขข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วต่อฟรุ้ทบอร์ด และมีมติเห็นชอบเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนาม เมื่อต้นเดือนกันยายนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้วรอเพียงคณะรัฐมนตรีอนุมัติเท่านั้น” นายอลงกรณ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63302 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวน “สวดมนต์ข้ามปี” 31 ธ.ค.65 – 1 ม.ค.66 ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และออนไลน์ และส่งส.ค.ส.แบบe-card | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
รัฐบาลชวน “สวดมนต์ข้ามปี” 31 ธ.ค.65 – 1 ม.ค.66 ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และออนไลน์ และส่งส.ค.ส.แบบe-card
รัฐบาลชวน “สวดมนต์ข้ามปี” 31 ธ.ค.65 – 1 ม.ค.66 ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และออนไลน์ และส่งส.ค.ส.แบบe-card
วันนี้ 31 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ขอชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566” ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งมีกิจกรรมทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และออนไลน์ ดังนี้
ส่วนกลางกรุงเทพมหานคร จัดที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร และวัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ โดยกำหนดให้วัดพระเชตุพนฯ เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดสัญญาณภาพกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเชื่อมโยงการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในส่วนภูมิภาคของประเทศไทยและต่างประเทศ ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์และช่องทางอื่นๆ สำหรับส่วนภูมิภาค สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด(สวจ.) ทั้ง 76 จังหวัด จัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีของจังหวัด และอำนวยความสะดวกหน่วยงานต่างๆ ที่จัดกิจกรรม
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ www.prayer2566.com เพื่อเพิ่มโอกาสให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้มีโอกาสสวดมนต์ได้ในทุกสถานที่ ทุกช่วงเวลาตามอัธยาศัย และยังสามารถเขียนคำอวยพรในการ์ดอวยพรปีใหม่ (ส.ค.ส) แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Card) แล้วส่งต่อให้ผู้อื่นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ได้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2566 เสริมสิริมงคลต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ ตามวิถีนิวนอร์มอล | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2566 เสริมสิริมงคลต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ ตามวิถีนิวนอร์มอล
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2566 เสริมสิริมงคลต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ ตามวิถีนิวนอร์มอล
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ในโอกาสที่วันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566 กำลังจะมาถึงนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามรัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2566 ณ สถานที่จัดกิจกรรมที่กำหนด หรือผ่านทางระบบออนไลน์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ตามวิถีนิวนอร์มอล ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เพื่อความปลอดภัยจากโรคโควิด-19
นายอนุชาฯ กล่าวถึงกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2565 - 1 มกราคม 2566 กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้น เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งประเทศชาติ และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน ลด ละ เลิก อบายมุข ในเทศกาลปีใหม่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้สวดมนต์ข้ามปีได้ทุกที่ ผ่านระบบโซเชียลมีเดีย ในช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ และในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่
1. ส่วนกลาง ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร และวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยกำหนดให้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นวัดศูนย์กลางในการถ่ายทอดสัญญาณภาพกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เชื่อมโยงการจัดกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปีในส่วนภูมิภาคของประเทศไทยและต่างประเทศ ผ่านทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และช่องทางอื่น ๆ
2. ส่วนภูมิภาค โดยมีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด ดำเนินการร่วมกับวัด ศาสนสถาน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีให้สอดคล้องกับบริบทแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนาและพิธีการต่าง ๆ ของรัฐบาล และจังหวัด
3. ในต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนาได้ขอความร่วมมือให้วัดไทยและวัดต่าง ๆ ทั่วโลก ได้มีส่วนร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ โดยประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาคีเครือข่าย
“สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกันในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คือ การสวดมนต์ข้ามปี ที่ถือเป็นประเพณีของชาวไทยปฏิบัติมาแต่โบราณ และได้รับความนิยมจากพุทธศาสนิกชนในยุคปัจจุบันอีกครั้ง เพราะถือกันว่าเป็นการเสริมดวง เสริมโชคชะตา สร้างบุญกุศลให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดทั้งปี เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เริ่มต้นการเข้าสู่ชีวิตใหม่ รวมถึงเป็นการรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีของชาวพุทธ ที่ได้ช่วยรักษาพระธรรมคำสอน และนอกเหนือจากกิจกรรมเคานต์ดาวน์ช่วงปีใหม่แล้ว การสวดมนต์ข้ามปี ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ รับปีพุทธศักราชใหม่เช่นกัน จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชาวไทย ชวนครอบครัวหรือคนที่รัก มาร่วมก่อบุญสร้างกุศล ร่วมสวดมนต์ข้ามปี รับสิริมงคลเข้ามาในชีวิต และเริ่มต้นปีด้วยจิตใจที่เป็นสุข” นายอนุชาฯ กล่าว
นายอนุชาฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลสงฆ์ มีข้อแนะนำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยร่วมสวดมนต์ข้ามปี ตามวิถีนิวนอร์มอล เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2566 ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เพื่อความปลอดภัยจากโรคโควิด-19 พร้อมแนะนำว่า การปฏิบัติตนสวดมนต์ข้ามปีควรเตรียมร่างกายให้พร้อม เนื่องด้วยเป็นกิจกรรมที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน ควรสลับท่านั่งระหว่างการนั่งพับเพียบกับการนั่งขัดสมาธิ เพื่อช่วยลดการกดน้ำหนักและคลายกล้ามเนื้อ ก่อนการสวดมนต์ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เน้นผักและผลไม้ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และหลังจากการสวดมนต์ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ สำหรับผู้สูงอายุ แนะนำให้นั่งเก้าอี้แทนการนั่งกับพื้น เพื่อลดอาการปวดเข่า และที่สำคัญไม่อาจละเลยได้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นในสถานที่ที่มีคนหมู่มากมารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์ข้ามปี หรือประกอบกิจกรรมรื่นเริงต่าง ๆ ขอให้มีการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ ยังคงสวมหน้ากากอนามัย และขอความร่วมมือให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อนออกเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ในสถานบริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63297 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมภาพรวมการส่งออกของไทย ยินดี 11 เดือน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 9.1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมภาพรวมการส่งออกของไทย ยินดี 11 เดือน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 9.1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมภาพรวมการส่งออกของไทย ยินดี 11 เดือน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 9.1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (31 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบจากการรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2565 การส่งออก มีมูลค่า 846,191 ล้านบาท (หรือ 22,308 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่วนภาพรวมการส่งออกไทย 11 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565 มีมูลค่า 9.16 ล้านล้านบาท (หรือ 265,349.1 ล้านดอลลาร์) ซึ่งเกินเป้าหมายส่งออกที่คาดไว้ทั้งปีที่ 9 ล้านล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศไทย อาทิ ในหมวดหมู่สินค้าเกษตร เช่น ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ที่มีตัวเลขขยายตัวดี 7 เดือนต่อเนื่อง ส่วนผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง กลับมาขยายตัวในรอบ 5 เดือน สับปะรดสด ขยายตัวดี 10 เดือนต่อเนื่อง เป็นต้น สำหรับในหมวดหมู่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร อาทิ ไอศกรีม ที่ขยายตัว 30 เดือนต่อเนื่อง น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ และในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และอัญมณี และเครื่องประดับ เป็นต้น
โดยตลาดส่งออก 3 อันดับแรก ที่ขยายตัวสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้แก่ อิรัก บาห์เรน และ ซาอุดีอาระเบีย ตามลำดับ ซึ่งตลาดแถบตะวันออกกลาง ถือเป็นเป้าหมายตลาดการส่งออกแห่งใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
“นายกรัฐมนตรีทราบผลการค้าระหว่างประเทศ และยินดีที่ผลการดำเนินงานการส่งออกของประเทศไทยในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ในการหาตลาด โอกาส สิทธิประโยชน์ทางการค้า และความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งการค้าแบบทวิภาคี และความร่วมมือแบบพหุภาคี รวมถึงการลงนามความร่วมมือ/ข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศ ทั้งนี้ นายกฯได้ขอบคุณไปยังภาคธุรกิจ ภาคการส่งออก และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้ให้ความร่วมมือ เดินหน้าผลักดัน ฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และขอให้ยึดมั่นในคุณภาพเพื่อชื่อเสียงของสินค้าไทย ตัวเลขเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และศักยภาพของประเทศ และสินค้าไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63298 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เตือนประชาชนอย่าดื่มหนักปีใหม่ เมาแล้วขับกฎหมายจราจรใหม่ เพิ่มโทษหนักผู้กระทำผิดซ้ำ! ทั้งจำทั้งปรับ | วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565
31/12/2565
เตือนประชาชนอย่าดื่มหนักปีใหม่ เมาแล้วขับกฎหมายจราจรใหม่ เพิ่มโทษหนักผู้กระทำผิดซ้ำ! ทั้งจำทั้งปรับ
เตือนประชาชนอย่าดื่มหนักปีใหม่ เมาแล้วขับกฎหมายจราจรใหม่ เพิ่มโทษหนักผู้กระทำผิดซ้ำ! ทั้งจำทั้งปรับ
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เพื่อเป็นการป้องกันการเมาแล้วขับซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ นำไปสู่การบาดเจ็บและอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิต รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการและเตรียมพร้อมเรื่องการจราจร เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศแนะเรื่องกฎหมายต้องรู้ กรณีเมาแล้วขับว่า บุคคลทั่วไปที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 mg% และผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 mg% ถือว่าเมาแล้วขับ หากปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ ถือว่าเท่ากับเมา
สำหรับกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้มีการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำกรณี “เมาแล้วขับ” โดยกำหนดบทลงโทษผู้เมาแล้วขับ ดังนี้ 1.ทำผิดครั้งแรก อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 - 20,000 บาท 2.ทำผิดซ้ำข้อหา "เมาแล้วขับ" ภายใน 2 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งแรก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 - 100,000 บาท โดยศาลจะลงโทษจำคุก และปรับด้วย พร้อมถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ 3.เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เสียชีวิต โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
ดังนั้นในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 ขอให้ประชาชนขับขี่ปลอดภัยอย่างมีสติ เมาไม่ขับ เคารพกฎจราจร และมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง หากต้องการความช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุสามารถติดต่อสายด่วนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนี้โทร. 1193 ตำรวจทางหลวง โทร. 1197 บก.จร. ( กทม.และปริมณฑล ) โทร 191 หรือ 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63299 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจงการสำรองที่นั่งล่วงหน้า เป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันไม่มีการจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าให้กับเอเยนต์ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รฟท. ชี้แจงการสำรองที่นั่งล่วงหน้า เป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันไม่มีการจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าให้กับเอเยนต์
พร้อมให้บริการ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารทุกท่านอย่างเท่าเทียม
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยข้อเท็จจริงถึงกรณีสื่อสังคมออนไลน์ เผยแพร่ข้อความ “รถไฟฟีเวอร์? ผู้โดยสารโวยระบบจองตั๋วเต็มตั้งแต่นาทีแรกสงสัยใครจอง รวมถึงร้องว่าพบตั๋วผีรถไฟ ซึ่ง รฟท. ขอยืนยันว่าขั้นตอนการสำรองที่นั่งล่วงหน้าทุกช่องทางเป็นไปตามขั้นตอนตามระบบ และให้บริการผู้โดยสารทุกท่านอย่างเท่าเทียม
ฝ่ายบริการโดยสารรฟท. ขอเรียนชี้แจงว่า ปัจจุบัน รฟท. ได้เปิดให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ 30 วัน โดยผู้ใช้บริการ 1 ท่านสามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้สูงสุด 10 ที่นั่ง/ครั้งซึ่งมีช่องทางการสำรองที่นั่งล่วงหน้า 4 ช่องทาง ประกอบด้วย
1. ช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร จำนวน 581 ช่อง ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศ (444 สถานี)
2. เว็บไซต์ : www.dticket.railway.co.th
3. ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) หมายเลขโทรศัพท์ : 1690
4. Mobile Application : D-ticket
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการสำรองที่นั่งตามประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์เบื้องต้นพบว่า ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันเปิดให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าในวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่วันแรก ซึ่งเป็นวันหยุดเทศกาลปีใหม่และเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน ทำให้การเดินทางในช่วงดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก แม้จะมีการเพิ่มตู้โดยสารเต็มกำลังลากจูงแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร รวมถึงช่องทางการสำรองที่นั่งของการรถไฟฯนั้นมีหลายช่องทาง จึงทำให้จำนวนที่นั่งเต็มในเวลาอันรวดเร็ว จากสถิติพบว่า ระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน 2565 มีผู้ใช้บริการสำรองตั๋วโดยสารผ่านช่องทาง Call Center จำนวน 767 ที่นั่ง Mobile Application จำนวน 6,712 ที่นั่ง เว็บไซต์ dticket.railway.co.th จำนวน 7,398 ที่นั่ง และที่สถานีอีก 5,941 ที่นั่ง รวมทั้งสิ้น 20,818 ที่นั่ง
สำหรับประเด็นการกันโควตาให้กับเอเยนต์ไปขายต่อให้ชาวต่างชาติมากจนเกินไปหรือไม่นั้น ทาง รฟท.ขอเรียนว่า รฟท. ไม่มีนโยบายในการกันโควตาให้กับเอเยนต์แต่อย่างใด การรถไฟฯให้บริการโดยมุ่งเน้นการให้บริการอย่างเท่าเทียมกัน
อนึ่ง รฟท. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการในทุกๆด้าน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการทุกคน ยึดหลักความสะดวก ปลอดภัย ให้ผู้โดยสารทุกท่านอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้รฟท. ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนที่เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะให้ ซึ่ง รฟท. จะนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้มาพัฒนาและปรับปรุงการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล ร่วมงาน “Motor Expo 2022” ครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด“ ได้เวลา…สัมผัสอนาคต | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ปลัดฯ ณัฐพล ร่วมงาน “Motor Expo 2022” ครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด“ ได้เวลา…สัมผัสอนาคต
ปลัดฯ ณัฐพล ร่วมงาน “Motor Expo 2022” ครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด“ ได้เวลา…สัมผัสอนาคต
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” หรือ THE 39th THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO 2022 ภายใต้แนวคิด “ได้เวลา…สัมผัสอนาคต - IT’S TIME…COME TOUCH THE FUTURE” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้าของยานยนต์ และเทคโนโลยี โดยมีค่ายรถยนต์เข้าร่วมงาน ทั้งหมด 35 แบรนด์ จาก 10 ประเทศ และค่ายรถจักรยานยนต์ 17 แบรนด์ จาก 8 ประเทศ ซึ่งทุกค่ายมาพร้อมการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ มีลานทดลองนั่งรถยนต์ไฟฟ้า ลานทดลองขับรถรุ่นที่ผู้ชมสนใจ พร้อมมอบโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ซื้อภายในงาน นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ Join Boat Platform จัดแสดงเรือแม่น้ำ สปีดโบท สกูเตอร์ กว่า 20 แบรนด์ เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเรือ และการท่องเที่ยวทางน้ำ โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2565 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี
โดยมี นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เข้าร่วมด้วย พร้อมกันนี้ ได้รับเกียรติจากนายปาร์คเกอร์ สือ รองประธานด้านธุรกิจต่างประเทศ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ประเทศจีน คณะผู้บริหาร และคณะผู้จัดงาน ร่วมให้การต้อนรับ และร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อแสดงความเชื่อมั่นศักยภาพประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ของภูมิภาค พร้อมทั้งนำเยี่ยมชมค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ภายในงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62176 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ยืนยันไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นเดือนมกราคมปี 2566 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ธอส. ยืนยันไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นเดือนมกราคมปี 2566
ธอส. พร้อมดูแลลูกค้า ทั้งกลุ่มลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร และประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นเดือนมกราคม ปี 2566 เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยให้ลูกค้าเงินกู้ของธนาคาร
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ (30 พฤศจิกายน 2565) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี หรือจาก 1.00% ต่อปี เป็น 1.25% ต่อปี ว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ยังคงพร้อมดูแลลูกค้า ทั้งกลุ่มลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร และประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นเดือนมกราคม ปี 2566 เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยให้ลูกค้าเงินกู้ของธนาคารที่มีจำนวนเงินสินเชื่อคงค้างในปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 มากกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ได้มีเวลาปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคตและช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของลูกค้ากลุ่มที่อาจยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ นับตั้งแต่การประชุม กนง. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน กนง. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 0.75% ต่อปี แต่ ธอส. ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับเดิมมาโดยตลอด และในปี 2566 ธนาคารจะทยอยปรับขึ้นเพียง 0.15-0.25% ต่อปี ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเงินงวดของลูกค้าให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มี Buffer หรือการคำนวณเงินงวดผ่อนชำระเผื่อกรณีมีการปรับอัตราดอกเบี้ยไว้ให้กับลูกค้าอยู่แล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62185 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้กับหน่วยงานที่ผ่านการประเมิน 44 หน่วยงาน และ 7 จังหวัด | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กรมบัญชีกลางมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้กับหน่วยงานที่ผ่านการประเมิน 44 หน่วยงาน และ 7 จังหวัด
กรมบัญชีกลางจัดพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 8 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในวันนี้ (1 ธ.ค. 65) กรมบัญชีกลางจัดพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 8 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานตามขั้นตอนการบริหารด้านการเงินการคลัง 5 มิติ ได้แก่ มิติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มิติด้านการเบิกจ่าย มิติด้านการบัญชีภาครัฐ มิติด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และมิติด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด ซึ่งแต่ละมิติได้มีการปรับปรุงเกณฑ์ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล จำนวน 44 หน่วยงาน และ 7 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 103 รางวัล ประกอบด้วย 11 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการจัดซื้อจัดจ้าง 2. รางวัลประกาศเกียรติคุณ ด้านการเบิกจ่าย 3. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการบัญชีภาครัฐ 4. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ 5. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด 6. รางวัลบุคคล/ทีมงานที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง 7. รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศรายด้าน 8. รางวัลประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีการพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง 9. รางวัลประกาศเกียรติคุณส่งเสริมความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง 10. รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในด้านบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง (ถ้วยรวม) และ 11. ใบประกาศการผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง
“รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของส่วนราชการให้มีประสิทธิภาพ ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ และเป็นความภาคภูมิใจของหน่วยงานที่สามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นการส่งเสริมให้การปฏิบัติงาน ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ พร้อมกันนี้กรมบัญชีกลางยังคงมุ่งมั่น ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล และบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังภาครัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของประเทศ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ต่อไป อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขับเคลื่อนนโยบาย 2566 มุ่งเน้น “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
สธ.ขับเคลื่อนนโยบาย 2566 มุ่งเน้น “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง
กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามคำรับรองการปฏิบัติงานผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2566 มุ่งเน้น “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง” ภายใต้กรอบ 14 แผนงาน 37 โครงการ และ 59 ตัวชี้วัด
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565 ) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคำรับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจำปี 2566 ระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี อธิการบดี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายอนุทินกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำแผนปฏิบัติราชการ ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ภายใต้กรอบ 14 แผนงาน 37 โครงการ และ 59 ตัวชี้วัด โดยมุ่งเน้นให้ “คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง : Health for Wealth” สู่เป้าหมาย “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง” และขับเคลื่อนนโยบายใน 5 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้มากขึ้น อย่างเป็นธรรม สะดวก และรวดเร็ว พร้อมดูสุขภาพปฐมภูมิที่บ้านและชุมชนด้วยกลไก 3 หมอ 2.การยกระดับการเสริมสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง สื่อสารเรื่องการดูแลสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ถูกต้อง ปลอดภัย ทันสมัย 3.ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบและทั่วถึง 4.นำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมสมุนไพรและภูมิปัญญาไทยขยายโอกาสสู่การเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพ (Health Hub) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่ประชาคมโลก สร้างเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และ 5.ข้อมูลสุขภาพต้องเป็นของประชาชนและเพื่อประชาชนโดยจัดทำระบบฐานข้อมูลดิจิทัลเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ประชาชนได้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพตนเองและสามารถใช้บริการสาธารณสุขได้ทุกที่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เพื่อให้มีการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จึงมีการการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ หรือ PA ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่การประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นตัวชี้วัด และความรับผิดชอบต่อผลสำเร็จตามข้อตกลงร่วมกันที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการ ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ นำไปสู่ความสำเร็จในการดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างยั่งยืน โดยจะมีการติดตามความคืบหน้ารอบ 3, 6, 9 และ 12 เดือน
************************************1 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62191 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์ผลสำเร็จโครงการข้าวรักษ์โลก BCG โมเดล เพิ่มรายได้ชาวนา ลดต้นทุนการผลิตได้จริง ย้ำ "พล.อ.ประยุทธ์" พอใจและติดตามโครงการต่อเนื่อง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
"ทิพานัน" โชว์ผลสำเร็จโครงการข้าวรักษ์โลก BCG โมเดล เพิ่มรายได้ชาวนา ลดต้นทุนการผลิตได้จริง ย้ำ "พล.อ.ประยุทธ์" พอใจและติดตามโครงการต่อเนื่อง
"ทิพานัน" โชว์ผลสำเร็จโครงการข้าวรักษ์โลก BCG โมเดล เพิ่มรายได้ชาวนา ลดต้นทุนการผลิตได้จริง ย้ำ "พล.อ.ประยุทธ์" พอใจและติดตามโครงการต่อเนื่อง
วันนี้ (1 ธ.ค.65) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจผลการติดตามโครงการข้าวรักษ์โลกBCG Model นำร่องระยะที่ 1 ที่จ.เชียงราย โดยข้าวรักษ์โลก ซึ่งเป็นแนวคิดการปลูกข้าวแนวใหม่ของชาวนาไทย โดยความร่วมมือของสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจเกษตรรักษ์โลก ผู้ดำเนินการและดูแล สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รวมถึงกรมการข้าว และสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำนาใหม่ อย่างยั่งยืน ซึ่งปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ตามนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุน เกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย อีกทั้งยังมีเป้าหมายไปสู่การเป็นครัวโลก
จากรายงานผลการปลูกข้าวในพื้นที่รวม 10,000 ไร่ ใน 7 จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ คือ จังหวัดเชียงราย บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี มหาสารคาม และร้อยเอ็ด
1. ลดต้นทุนการผลิตได้ 2,000 บาท/ไร่ (จากเดิมต้นทุน4,500 บาท/ไร่ ลดเหลือ 2,500 บาท/ไร่)
2. สามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ย จากเดิม 300-350 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มเป็น 600-620 กิโลกรัม/ไร่
3. เกษตรกรไม่ต้องสัมผัสสารเคมี โดยเปลี่ยนมาใช้จุลินทรีย์เพื่อการเกษตร แทนการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ยาฆ่าแมลง และยาฆ่าหญ้า ทำให้ไม่มีมลพิษตกค้างรอบแปลงนา
4.ผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพดี ไม่มีปนเปื้อน ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานเกษตรปลอดภัย (GAP) ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ขายได้ในราคาที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้“ข้าวรักษ์โลก”ได้ผ่านสายตาชาวโลกบนเวที การประชุมเอเปคที่เพิ่งผ่านพ้นไป และแจกให้กับสื่อมวลชนต่างประเทศที่เข้าร่วมงานด้วย
----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62190 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ สานสัมพันธ์ธุรกิจไทย-สหรัฐ เดินหน้าสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีฯ สุริยะ สานสัมพันธ์ธุรกิจไทย-สหรัฐ เดินหน้าสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ สานสัมพันธ์ธุรกิจไทย-สหรัฐ เดินหน้าสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ Mr.Ted Osius ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) นำคณะนักธุรกิจผู้แทนบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เข้าพบเพื่อแนะนำบริษัทสมาชิก และร่วมหารือการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจไทย-สหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ พร้อมรับทราบนโยบายสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62172 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแถลงข่าวระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
การแถลงข่าวระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
การแถลงข่าวประชาสัมพันธ์ระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ หรือระบบตัดแต้ม และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อสร้างระบบดังกล่าว ให้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานสากล
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และพันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รอง จตช. และผู้บริหารของ ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าวประชาสัมพันธ์ระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ หรือระบบตัดแต้ม และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อสร้างระบบดังกล่าว ให้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานสากล
ระบบบันทึกคะแนนความประพฤติ กำหนดไว้ใน “ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถของผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ พ.ศ.2565” ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 142/1 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 มกราคม 2566 ซึ่งจะเป็นมาตรการเสริมในการสร้างวินัยการขับขี่เพิ่มเติมจากการออกใบสั่งเพื่อบังคับใช้กฎหมายตามปกติ
ภายใต้สโลแกน “มุ่งเน้นการสร้างวินัยการขับขี่ปลอดภัย ให้โอกาสแก้ไขไม่กระทำผิดซ้ำ สร้างความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และเป็นมาตรฐานสากล”
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า สาระสำคัญของระบบนี้ คือ กำหนดให้ผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่แต่ละราย จะมีคะแนนความประพฤติคนละ 12 คะแนน (ไม่ว่าผู้นั้นจะได้รับใบอนุญาตขับขี่กี่ชนิดก็ตาม) หากทำผิดตามกฎจราจรในข้อหาที่ระบุไว้ จะถูกตัดคะแนนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ดังนี้
การตัดคะแนน
1) กลุ่มความผิดหลักที่เป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุ (20 ฐานความผิด) จะถูกตัดคะแนนเมื่อทำผิดทันที โดยความผิดในกลุ่มนี้แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
- ตัด 1 คะแนน เช่น ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ไม่หยุดให้คนข้าม ทางม้าลาย ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
- ตัด 2 คะแนน เช่น ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร (ฝ่าไฟแดง)
- ตัด 3 คะแนน เช่น ขับรถชนแล้วหนี
- ตัด 4 คะแนน เช่น เมาแล้วขับ ขับรถในขณะเสพยาเสพติด
2) กลุ่มความผิดอื่นๆ ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก และกฎหมายที่เกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง จำนวน 42 ฐานความผิด ตามบัญชีท้ายระเบียบ ความผิดกลุ่มนี้จะถูกตัดคะแนนเฉพาะกรณีไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งในเวลาที่กำหนดเท่านั้น เช่น ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรในทาง จอดในที่ห้ามจอด ไม่แสดงใบอนุญาตขับขี่ขณะขับรถ เป็นต้น
วิธีการตัดคะแนนนั้น จะดำเนินการโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้ระบบฐานข้อมูลใบสั่ง PTM ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการบันทึกการทำผิดกฎจราจรและตัดคะแนนในแต่ละครั้ง
การสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่
หากผู้ขับขี่ถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 คะแนน จะถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ หรือห้ามขับรถ (ทุกประภท) เป็นเวลา 90 วัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้มีหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว และหากฝ่าฝืนไปขับรถในขณะถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 156
หากถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นครั้งที่ 3 ภายใน 3 ปี อาจจะถูกสั่งพักใช้มากกว่า 90 วัน และหากยังถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่อีกเป็นครั้งที่ 4 อาจถูกพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
การคืนคะแนน แบ่งเป็นการคืนคะแนนโดยอัตโนมัติ และการคืนคะแนนเมื่อผ่านการอบรมจากกรมการขนส่งทางบก ดังนี้
1) การคืนคะแนนอัตโนมัตินั้น คะแนนที่ถูกตัดไปในแต่ะครั้ง จะได้รับคืนเมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งนั้นๆ เว้นแต่เป็นกรณีที่ถูกตัดเหลือ 0 คะแนน จะได้รับคืนเมื่อพ้นกำหนดเวลาการสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ โดยได้รับคืนเพียง 8 คะแนน
2) การคืนคะแนนโดยวิธีการเข้ารับการอบรมกับกรมการขนส่งทางบกอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งมี 2 กรณี
- กรณีที่คะแนนเหลือน้อยกว่า 6 คะแนน สามารถขอเข้ารับการอบรมจากกรมการขนส่งทางบกได้ แต่อบรมได้เพียงปีละ 2 ครั้ง
- กรณีที่ถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 คะแนน และต้องการคะแนนกลับคืนมาทั้งหมด 12 คะแนน สามารถขอเข้ารับการอบรมจากกรมการขนส่งทางบกได้
เมื่อผ่านการอบรมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมการขนส่งทางบก ก็จะได้รับคืนคะแนนตามที่กำหนด
สำหรับความร่วมมือของกรมการขนส่งทางบกนั้น นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจกำกับดูด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในระบบการคืนคะแนนใบอนุญาตขับขี่ทุกประเภท ได้บูรณการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและการทำผิดตามกฎหมาย ข้อมูลทะเบียนรถ และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแล และการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรในการอบรมประกอบด้วย วิชาความรู้พื้นฐาน เช่น สถานการณ์อุบัติเหตุในปัจจุบัน ปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ วิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนน และผลกระทบที่เกิดจากอุบัติเหตุ รวมถึงวิชาความรู้ตามข้อหาความผิดที่ผู้เข้ารับการอบรมได้กระทำ เมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดแล้ว ต้องเข้ารับการทดสอบและต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่านการอบรมและทดสอบ ถ้าไม่ผ่านสามารถแก้ตัวใหม่เป็น ครั้งที่ 2 ในวันเดียวกัน หากยังไม่ผ่านการทดสอบอีกจะออกใบนัดมาทำการทดสอบแก้ตัวใหม่เป็นครั้งที่ 3 ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ เข้ารับการทดสอบครั้งแรกไม่ผ่าน เมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ผ่านการอบรมและการทดสอบแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะแจ้งผลการอบรมและการทดสอบ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการคืนคะแนนต่อไป โดยผู้ประสงค์เข้ารับการอบรมและทดสอบ เพื่อขอคืนคะแนน สามารถแจ้งความประสงค์พร้อมหลักฐานใบอนุญาตขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชาชน ณ กรมการขนส่งทางบก สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก (อาคาร 8) หรือ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-4 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ทุกจังหวัด
สำหรับความร่วมมือในส่วนของธนาคารกรุงไทยนั้น นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารกรุงไทยพร้อมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินที่ทันสมัย มาสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐ ตามยุทธศาสตร์ X2G2X โดยธนาคารได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เชื่อมโยงฐานข้อมูลใบสั่งของสถานีตำรวจทั่วประเทศ และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการรับชำระค่าปรับจราจรใบสั่งทุกประเภท ตั้งแต่ปี 2559 พร้อมต่อยอดพัฒนาระบบ Police Ticket Management (PTM) หรือระบบจัดการใบสั่งออนไลน์ครบวงจร เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการภาคประชาชน ล่าสุด ได้พัฒนาระบบบริการรับชำระค่าปรับผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการรับชำระค่าปรับผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และสามารถชำระค่าปรับใบสั่งผ่านทางเว็บไซต์ใบสั่งจราจรออนไลน์สำหรับประชาชน (e-Ticket) https://ptm.police.go.th/ ด้วยบัตรเดบิตและบัตรเครดิต ยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประหยัดเวลาในการเดินทาง พร้อมบริการตรวจสอบแต้มจราจรผ่านระบบออนไลน์
สำหรับความร่วมมือในส่วนของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า เอ็นที ในฐานะรัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและระบบสารสนเทศขนาดใหญ่ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและผลกระทบ จากการเกิดอุบัติเหตุ โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าว ในการใช้ระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ พร้อมทั้งเปิดตัวโมบายล์แอปพลิเคชันชื่อว่า ขับดี (KHUB DEE)"
ช่องทางการตรวจสอบคะแนน
1) เว็บไซต์ E-Ticket PTM ซึ่งพัฒนาโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สามารถตรวจสอบใบสั่งค้างชำระ จ่ายค่าปรับ ตรวจสอบคะแนนความประพฤติ และตรวจสอบสถานะใบขับขี่
2) แอปพลิเคชัน ขับดี (KHUB DEE) ซึ่งพัฒนาโดย NT เพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสาร และตรวจสอบใบสั่งค้างชำระ และคะแนนความประพฤติ และดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่อันเป็นประโยชน์ต่าง ๆ ที่ทันสมัย
3) แอปพลิชัน เป๋าตัง ให้บริการชำระค่าปรับผ่านระบบออนไลน์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งหมายให้ระบบบันทึกคะแนนดังกล่าว เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างวินัยการขับขี่ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ป้องกันอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างยั่งยืน ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62199 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชาวราชสีห์รำลึกพระกรุณาธิคุณสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” มท.1 นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ บุคลากร และภาคีเครือข่าย วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“ชาวราชสีห์รำลึกพระกรุณาธิคุณสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” มท.1 นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ บุคลากร และภาคีเครือข่าย วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ
“ชาวราชสีห์รำลึกพระกรุณาธิคุณสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” มท.1 นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ บุคลากร และภาคีเครือข่าย วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ ประจำปี 2565
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) เวลา 07.00 น. ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ถ.อัษฎางค์ กทม. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประจำปี 2565 หรือที่สังคมไทยรู้จักกันในชื่อ “วันดำรงราชานุภาพ” ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้เป็นวันสำคัญของประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารฝ่ายข้าราชการการเมือง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย สมาชิกราชสกุลดิศกุล คณะกรรมการและสมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และผู้แทนหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ประชาชน และภาคีเครือข่าย ร่วมวางพวงมาลา
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 ได้รับพระราชทานพระนามว่า “พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร” ทรงเป็นองค์ต้นราชสกุลดิศกุล โดยในด้านการรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ทรงดำรงตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ผู้บัญชาการทหารบก อธิบดีกรมศึกษาธิการ “องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร นายกราชบัณฑิตยสภา องคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นอภิรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และด้วยพระเกียรติคุณเมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการนานัปการอย่างอเนกอนันต์ นับถึง 3 รัชกาล หาผู้อื่นเสมอเหมือนได้โดยยาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า“สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อิสสริยลาภบดินทร สยามวิชิตินทรวโรปการ มโหฬารรัฐประศาสน์ ปิยมหาราชวรานุศิษฎ์ ไพศาลราชกฤตยการี โบราณคดีปวัติศาสตรโกศล คัมภีรนิพนธนิรุกติปฏิภาณ ราชบัณฑิตวิธานนิติธรรมสมรรถ ศึกษาภิวัฒน์ปิยวาที ขันติสัตยตรีสุจริตธาดา วิมลรัตนปัญญาอาชวาศรัย พุทธาทิไตรสรณาทร พิเศษคุณาภรณ์ธรรมิกนาถบพิตร”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเริ่มประชวรด้วยโรคพระหทัย ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2484 จึงเสด็จกลับมาจากเกาะปีนังบริติชมลายู (เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในปัจจุบัน) เพื่อรักษาพระอาการประชวรในประเทศไทย โดยพระอาการทรงและทรุดเรื่อยมา กระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ที่วังวรดิศ ถนนหลานหลวง จังหวัดพระนคร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สิริรวมพระชันษา 81 ปี
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวสดุดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีใจความตอนหนึ่งว่า “ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทยและทำนุบำรุงแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สุขแก่สยามประเทศ ทรงเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการปฏิรูป การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานการปกครองแบบเทศาภิบาล และสุขาภิบาล อันเป็นรากเหง้าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ งานตำรวจภูบาลและภูธร และทรงกำหนดความหมายของงานมหาดไทยให้ชัดเจนว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า “กรมดำรงฯ มอบดวงใจให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทย คือ ผู้ดูแลประเทศชาติ ชาวไทย ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข” และทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างสูง ดั่งปรากฏพระนามว่า ทรงเป็นอัจฉริยะบุรุษแก่มหาชนในทุกสมัยจนเป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และในปี พ.ศ. 2505 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO จึงถวายการสดุดีให้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” พระองค์แรกของประเทศไทย”
จากนั้นในเวลา 08.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา นำคณะผู้บริหารระดับสูง และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ประกอบพิธีสงฆ์ ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยได้รับเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร และคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร ประกอบพิธี
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศักดิ์สยามฯ ห่วงใยผู้โดยสารแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ มอบกรมราง ลงพื้นที่ ติดตาม และกำกับ การดำเนินงานของเอกชนผู้ให้บริการ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ศักดิ์สยามฯ ห่วงใยผู้โดยสารแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ มอบกรมราง ลงพื้นที่ ติดตาม และกำกับ การดำเนินงานของเอกชนผู้ให้บริการ
.....
ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ มีปริมาณผู้โดยสารหนาแน่น เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 65 ซึ่งกระทรวงคมนาคมไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จึงได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางรางหน่วยงานกำกับดูแลระบบขนส่งทางราง ลงพื้นที่สำรวจความหนาแน่นรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ ณ สถานีมักกะสัน
นายพิเชฐ คุณธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบโดยทันที ซึ่งจากการลงพื้นที่ร่วมกับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ทำให้ทราบถึงสาเหตุว่าจากปัจจุบันสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายลง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 60,000 - 67,000 คนต่อวัน แต่เนื่องด้วยผู้ให้บริการได้ทยอยนำรถไฟฟ้าขบวนด่วน (ขบวน express) ไปปรับปรุงเพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น จากเดิมรถไฟด่วน 1 ขบวน มีตู้โดยสาร 3 ตู้ และตู้สัมภาระ 1 ตู้ ปรับเป็นตู้โดยสารรวม 4 ตู้ ซึ่งช่วงระหว่างการปรับปรุงทำให้มีขบวนรถไฟฟ้าให้บริการเพียง 8 ขบวน จากทั้งหมด 9 ขบวน ส่งผลให้เกิดปริมาณผู้โดยสารหนาแน่น ทั้งนี้ ผู้ให้บริการแจ้งว่าจะมีการทยอยปรับปรุงครั้งละ 1 ขบวนและนำมากลับมาใช้จนครบทุกขบวนเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับและไม่กระทบผู้ใช้บริการมากเกินไป
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แสดงความใส่ใจและห่วงใยประชาชน จึงได้ได้เร่งกำชับให้เอกชนผู้ให้บริการ เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบ หากเกิดเหตุขบวนรถมีความล่าช้า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ให้ประชาชนให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างอย่างเหมาะสม ตลอดจนแจ้งความจำเป็นของการทำ Group Release เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารหนาแน่นบนชั้นชานชาลา และขอให้ผู้ให้บริการพิจารณามาตรการเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้โดยสารปรับปลี่ยนเวลาการเดินทางนอกช่วงเวลาเร่งด่วน
ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางราง เข้าใจและรับทราบถึงความไม่สะดวกในการเดินทางของประชาชนทุกท่าน และจะติดตาม ตรวจสอบผู้ให้บริการ เพื่อเร่งรัดการต่อเพิ่มตู้รถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จครบทุกขบวน ให้ดำเนินการโดยเร็ว เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางระบบขนส่งทางรางต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62186 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว โครงการแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทย นานาชาติ ครั้งที่ 3 Thai Silk International Fashion Week | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว โครงการแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทย นานาชาติ ครั้งที่ 3 Thai Silk International Fashion Week
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว โครงการแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทย นานาชาติ ครั้งที่ 3 Thai Silk International Fashion Week
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว โครงการแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทย นานาชาติ ครั้งที่ 3 Thai Silk International Fashion Week
เมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว โครงการแฟชั่นวีค ผ้าไหมไทย นานาชาติ ครั้งที่ 3 Thai Silk International Fashion Week โดยมี ดร.สุมาลี อุทัยเฉลิม ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี Mr.Saif Alshamsi เอกอัครราชทูตประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62203 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. จัดโปรโมชันส่งความสุข จำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT Plus ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 เพื่อมอบเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ 2566 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รฟม. จัดโปรโมชันส่งความสุข จำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT Plus ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 เพื่อมอบเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ 2566
ตามที่ รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดเตรียมมาตรการมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน นั้น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้เตรียมมอบของขวัญส่งความสุขเนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน ด้วยการจำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT Plus ในราคาสุดพิเศษ ซึ่งมีให้เลือกถึง 2 รูปแบบ ดังนี้
1. บัตรโดยสาร MRT Plus 4 ประเภท ได้แก่ บุคคลทั่วไป เด็ก ผู้สูงอายุ และนักเรียน/นักศึกษา จำหน่ายในราคาพิเศษเพียง 150 บาท จากราคาปกติ 180 บาท (ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตร 30 บาท) ซึ่งภายในบัตรมีมูลค่าการเดินทาง 100 บาท และค่ามัดจำบัตร 50 บาท
2. บัตรโดยสาร MRT Plus ที่ระลึกเนื่องในโอกาสเปิดให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม ชุด “Inauguration of the MRT Purple Line” จำหน่ายในราคาพิเศษเพียง 150 บาท จากราคาปกติ 200 บาท ซึ่งภายในบัตรมีมูลค่าการเดินทาง 50 บาท พร้อมรับโปสการ์ดที่ระลึก 2 ใบ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจเก็บสะสม หรือมอบเป็นชุดของขวัญในโอกาสพิเศษ
โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 ทั้งนี้ บัตรโดยสาร MRT Plus ทุกประเภท สามารถใช้เดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT ได้ทั้งสายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง รวมถึงใช้ชำระค่าบริการจอดรถ ณ อาคารจอดแล้วจรของรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สาย ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62177 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK โชว์สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิตภายในประเทศระดับ AAA(tha) เป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
EXIM BANK โชว์สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิตภายในประเทศระดับ AAA(tha) เป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ที่ 'AAA(tha)' เป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ที่ 'AAA(tha)' เป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบทบาทของธนาคารที่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ในมิติการค้าและการลงทุน เชื่อมโยงกับการเติบโตทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาองค์กรอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง ควบคู่กับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยที่ยังเข้าไม่ถึงบริการจากธนาคารพาณิชย์ ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่ สู่เป้าหมายการสร้างนักรบเศรษฐกิจไทยในตลาดโลกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เนื่องจากภาคการส่งออกคิดเป็น 58% ของ GDP ประเทศไทย โดย EXIM BANK มุ่งเน้นการ “เติมทุน เติมความรู้ และเติมโอกาส” ให้แก่ผู้ประกอบการ ตั้งแต่ระดับวิสาหกิจชุมชนไปจนถึงผู้ประกอบการทั่วไปตลอดทั้ง Supply Chain การส่งออก โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล อีกทั้ง EXIM BANK ยังเป็นธนาคารของรัฐเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ให้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยเริ่มต้นหรือขยายการค้าการลงทุนไปยังเวทีโลกอย่างมั่นใจและเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ยุค Next Normal
ผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พลิกจากผลขาดทุนสุทธิเกือบ 1,340 ล้านบาทในปี 2563 เป็นกำไรสุทธิ 1,531 ล้านบาทในปี 2564 สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานในปี 2537 ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คาดการณ์แนวโน้มรายได้จะยังคงเติบโตในระดับที่เหมาะสมตามเป้าหมายจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและปรับบทบาทใหม่ “กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการความเสี่ยงของคุณภาพสินทรัพย์อย่างเหมาะสม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธ สถิตในดวงใจ…นิรันดร์” สป. จัดกิจกรรมน้อมรำลึกวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร.9 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“ธ สถิตในดวงใจ…นิรันดร์” สป. จัดกิจกรรมน้อมรำลึกวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร.9
“ธ สถิตในดวงใจ…นิรันดร์” สป. จัดกิจกรรมน้อมรำลึกวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร.9
“ธ สถิตในดวงใจ…นิรันดร์” สป. จัดกิจกรรมน้อมรำลึกวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร.9
(30 พฤศจิกายน 2565 เวลา 08.30) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมขอร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 5 ธันวาคม 2565 ระหว่าง 1 - 6 ธันวาคม 2565 โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม
สำหรับภายในกิจกรรมประกอบด้วยการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจฯ การมอบพันธุ์ไม้มีค่าให้กับผู้แทนหน่วย ศอว.ศอพท. และ รวท.อท.ศอพท. โดยหลังจากนั้นปลัดกระทรวงกลาโหมและคณะตรวจเยี่ยม ได้ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ทำความสะอาดคลองคูเมืองเดิมและบริเวณโดยรอบศาลาว่าการกลาโหม รวมทั้งเยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่กำลังพลทุกนายได้มาร่วมกันเทิดพระเกียรติ แสดงออกถึงความจงรักภักดี และ
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ถือเป็นการสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรดินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และส่งเสริมให้กำลังพล สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ครู นักเรียน และทุกท่านได้ตระหนักถึงคุณค่า และร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรดินให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62207 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนา “การพัฒนาเพื่อยกระดับระบบติดตาม วิเคราะห์และรายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม” ครั้งที่ 2 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนา “การพัฒนาเพื่อยกระดับระบบติดตาม วิเคราะห์และรายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม” ครั้งที่ 2
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ณ โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนา “การพัฒนาเพื่อยกระดับระบบติดตาม วิเคราะห์และรายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม” ครั้งที่ 2 โดยมี ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมประชุมสัมมนา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ณ โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อประเทศ กระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับนโยบายจากรัฐบาลมาดำเนินการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงคมนาคมมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงคมนาคมซึ่งมีภารกิจหน้าที่หลักในการบริหารจัดการการขนส่งคนหรือสินค้าจากต้นทางไปสู่ปลายทางให้มี
ความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลาและมีราคาสมเหตุสมผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือภารกิจของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย 4 ภารกิจหลัก ได้แก่
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมทั้ง 4 มิติเข้าด้วยกัน ทั้งทางบก ทางราง
ทางน้ำ และทางอากาศ
2. การจัดกฎระเบียบ กฎหมาย เพื่อกำกับดูแลการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน โดยมีหน่วยงานทำหน้าที่กำกับดูแลให้การคมนาคมขนส่งมีความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลาและมีราคาสมเหตุสมผล
3. การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่าย
4. การเป็นผู้ให้บริการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชน ให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลาและมีราคาสมเหตุสมผล
ดังนั้น การติดตามและการรายงานผลความก้าวหน้าของโครงการสำคัญเชิงนโยบาย ถือว่าเป็นภารกิจหลักของสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมในการบริหารนโยบายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมซึ่งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยในปี 2566 กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบงบประมาณรวมทั้งหมดกว่า 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินงบประมาณ จำนวน 201,510.96 ล้านบาท และวงเงินนอกงบประมาณ ได้แก่ เงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจ เงินกองทุน เงินกู้ และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) จำนวน 104,697 ล้านบาท ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทั้งในระดับโครงข่ายและโครงการมีจำนวนมาก เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีความซับซ้อน และมีรูปแบบโครงการที่แตกต่างกัน
จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงคมนาคมจึงได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามความก้าวหน้าโครงการสำคัญ และการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการ ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการทดลองใช้ระบบการติดตาม วิเคราะห์และรายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ ซึ่งระบบดังกล่าวทำให้สามารถติดตามผลการปฏิบัติงาน และความก้าวหน้าโครงการได้แบบ Real Time รวมทั้งทราบปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงาน เพื่อหาแนวทางการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยระบบจะประมวลผลและวิเคราะห์ผลความก้าวหน้าโครงการและข้อมูลสำคัญ รายงานผลให้ผู้บริหารทราบโดยตรงด้วยระบบ Dashboard ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานลดความซ้ำซ้อนในการจัดการข้อมูล มีข้อมูลครบถ้วน และยกระดับการบริหารจัดการโครงการเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างรวดเร็ว และสามารถบริหารจัดการโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับ 6 โครงการสำคัญ ที่จะดำเนินการติดตามในระยะแรกได้แก่ 1) โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Land Bridge) 2) โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ - นครราชสีมา 3) โครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-MAP) 4) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา 5) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครตอนทางยกระดับบางขุนเทียน - บางบัวทอง และ 6) โครงการก่อสร้างบนพื้นที่ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2)
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาและคณะทำงานของกระทรวงคมนาคมร่วมกันพัฒนาระบบการติดตามและรายงานผลโครงการสำคัญ เพื่อดำเนินการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงาน คู่มือการปฏิบัติงาน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการ อันจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนโครงการสำคัญให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดในทุกอำเภอ เร่งจัดชุดจิตวิทยามวลชนเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชน | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ปลัด มท. แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดในทุกอำเภอ เร่งจัดชุดจิตวิทยามวลชนเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชน
ปลัดมหาดไทย แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดในทุกอำเภอ เร่งจัดชุดจิตวิทยามวลชนเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชน เพื่อคืนคนดีให้กับแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้มอบนโยบายด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้กับอธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด โดยได้เน้นย้ำในประเด็นสำคัญ คือ ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำสงครามกับยาเสพติดอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งจัดเตรียมพื้นที่ภายในชุมชนเพื่อเป็นศูนย์บำบัดฟื้นฟู อย่างน้อยอำเภอละ 1 แห่ง และประสานเตรียมทีมภาคีเครือข่ายให้ครบถ้วนแต่ละด้าน เช่น ด้านสาธารณสุข ด้านการฝึกระเบียบวินัย ด้านกีฬา สันทนาการ ด้านอาชีพที่สร้างการพึ่งพาตนเอง เช่น ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ทำอาหาร เพื่อให้มีความมั่นคงด้านอาหาร และเชิญผู้นำทางศาสนาประจำศูนย์ อาทิ พระสงฆ์ โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม และจัดตั้งทีมจิตวิทยามวลชนในพื้นที่ เพื่อให้กำลังใจและตรวจเยี่ยมผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่ผ่านการบำบัดและครอบครัว และสร้างเกราะป้องกันยาเสพติดให้กับเด็ก เยาวชน ในระบบการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ ด้วยการน้อมนำโครงการพระดำริ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาขับเคลื่อน เพื่อคืนคนดีให้กับแผ่นดิน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ประชุมโต๊ะข่าวยาเสพติดทุกสัปดาห์ โดยเชิญภาคีเครือข่ายร่วมหารือตามความเหมาะสมของพื้นที่ สำหรับวันนี้ มีหลายพื้นที่รายงานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเข้ามาในหลายมิติ ซึ่งจะยกตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
1.จังหวัดเชียงใหม่ สืบเนื่องจาก พลตรีศุภฤกษ์ สถาพรพล ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง สั่งการให้กองกำลังผาเมืองลาดตระเวนพื้นที่รับผิดชอบ และได้พบกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งเปิดฉากยิงมาทางทหารไทยก่อน นานกว่ากว่า 5 นาที แล้วอาศัยช่องทางธรรมชาติหลบหนีออกนอกประเทศไปได้ ทหารกองกำลังผาเมือง จึงได้เข้าทำการขยายผลตรวจพื้นที่ พบกระสอบดัดแปลงเป็นเป้ เพื่อขนย้ายง่ายจำนวน 16 ใบ ภายในพบว่าเป็นยาเสพติดประเภทยาไอซ์ น้ำหนักประมาณ 192 กิโลกรัม จากนั้นได้สั่งการให้ทหารออกขยายผลช่องทางเดินเท้าทุกเส้น เพราะกองกำลังอาจจะหนีแล้วทิ้งสัมภาระตามข้างทางเดิน คาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้ จากการลาดตระเวนตามช่องทางห่างจากจุดปะทะไปทางทิศเหนือ พบชายต่างด้าว 2 คน พร้อมกระสอบยาไอซ์เพิ่มอีก 2 กระสอบ ที่ยังอยู่กับตัว พูดไทยไม่ได้ ทหารจึงได้ทำการจับกุมพร้อมของกลางที่ยังสะพายบ่าอยู่ จากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถจับกุมกลุ่มขบวนการได้ 2 คน พร้อมยาไอซ์ในกระสอบเป้ทั้งหมดรวมกัน จำนวน 18 ใบ น้ำหนักประมาณ 214 กิโลกรัม โดยประมาณ จึงนำตัวทั้งคู่พร้อมของกลางยาไอซ์ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรฝาง เพื่อทำการสอบสวนและสืบสวนที่มาที่ไปของยาเสพติดต่อไป
2.จังหวัดตาก ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.มนต์ศักดิ์ แก้วอ่อน ผกก.สภ.แม่สอด, พ.ต.ท.จาตุรนต์ ปัจฉิม รอง ผกก.สส.สภ.แม่สอด พร้อมชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.สนั่น เหล็กบุญเพชร สว.สส.สภ.แม่สอด, ได้ร่วมกันจับกุมนางปรัชญาภรณ์ (ตั๊ก) อายุ 39 ปี พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า รวมทั้งหมด 1,004 เม็ด ยาไอซ์น้ำหนักรวม 1.30 กรัม โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ไอโฟน สีขาว จำนวน 1 เครื่อง และสำเนาธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 9 ฉบับ รวมเป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท เหตุเกิดในการล่อซื้อของเจ้าหน้าที่ริมถนนสายแม่สอด-พบพระ ขาล่อง บ้านห้วยไม้แป้น ม.5 ต.มหาวัน อ.แม่สอด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
3.จังหวัดขอนแก่น โดยการอำนวยของ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4, นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัสผบก.ภ.จว.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นยาเสพติด ภายใต้ยุทธการ "ฟ้าสางที่กระนวน" โดยมีชุดจับกุมนำโดย พ.ต.อ.ประศาสตร์แน่นอุดรผกก.สภ.กระนวน,พ.ต.อ.ณัฏฐ์โหม่งพุฒ ผกก.สืบสวน ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น, สภ.กระนวน, สภ.น้ำพอง, สภ.ซำสูง,เมืองไหม, สภ.เมืองขอนแก่น, สภ.ท่าพระ และ สภ.เวฬุวันบูรณาการกำลังปิดล้อมตรวจค้น ยาเสพติดในพื้นที่ ต.ดูนสาด อ.กระนวน จว.ขอนแก่น โดยแบ่งการปฏิบัติเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ชุดปฏิบัติการตั้งจุดตรวจ จำนวน 2 จุด ส่วนที่ 2 ชุดปฏิบัติการตั้งจุดสกัด จำนวน 7 จุดส่วนที่ 3 ชุดปฏิบัติการค้นบ้านเป้าหมาย จำนวน 8 จุด ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหา 21 ราย ยาบ้า 917.5 เม็ด อาวุธปืน7กระบอก ตรวจยึด รถยนต์ 1 คัน
4.จังหวัดสตูล นายชาตรี ณ ถลาง ปลัดจังหวัดสตูล ในฐานะหัวหน้าศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดสตูล เป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่หอประชุมโรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์ อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล พร้อมมอบสื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันยาเสพติดให้แก่นายอำเภอท่าแพ และผู้อำนวยการโรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์ อีกด้วย ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้มีหัวหน้าส่วนราช คณะครู เจ้าหน้าที่ และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน กิจกรรมประกอบด้วย นายชาตรี ณ ถลาง ปลัดจังหวัดสตูล ได้ให้เกียรติบรรยายให้ความรู้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต แนวคิดในการดำเนินชีวิตที่ดีงามและห่างไกลยาเสพติดแก่นักเรียนโรงเรียนบ้านคลองขุดซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องของกิจกรรมดังกล่าว ตัวแทนจากตำรวจภูธรจังหวัดสตูล บรรยายให้ความรู้ถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดและบทลงโทษ บรรยายการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมตามโครงการ TO BE NUMBER ONE ในสถานศึกษา จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล รวมถึงกิจกรรมการรับรู้และภูมิคุ้มกันยาเสพติดในเด็กและเยาวชน จากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสตูล ซึ่งกิจกรรมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา เป็นกิจกรรมโดยคณะผู้บริหารระดับจังหวัด ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ออกเยี่ยมเยียนพบปะนักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษา โดยจัดกิจกรรมในพื้นที่ทั้ง 7 อำเภอ อำเภอละ 1 โรงเรียน เพื่อให้ความรู้รณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสตูล รวมถึงเป็นการสร้างผู้นำเยาวชนในการต่อต้านและป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานศึกษาและชุมชน ต่อไป
5.จังหวัดยะลา กองร้อยทหารพรานที่ 4104 จัดกำลังพลชุดปฏิบัติการเสริมสร้างความเข้าใจ ร่วมกับ จิตอาสาญาลันนันบารู, ผู้นำชุมชน, ผู้นำศาสนา และประชาชนในพื้นที่ จัดกิจกรรมเวทีประชาคม (ระดับตำบล) ขับเคลื่อนดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลกายูบอเกาะ หมู่ที่ 2 บ้านตอแล ตำบลกายูบอเกาะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ตามนโยบายนโยบายของรัฐบาล และแม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดในพื้นที่ สนับสนุนนโยบายยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตลอดจนเพื่อให้พี่น้องประชาชน มีความเข้าใจ รับรู้โทษภัยของยาเสพติดในชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมี กลุ่มผู้ปกครอง และกลุ่มสตรี ในพื้นที่ ประมาณ 40 คน ร่วมกิจกรรมดังกล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว มิติด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดก็เป็นประเด็นที่สำคัญของสังคม และประเทศชาติ การจะคืนลูกที่ดีให้กับพ่อแม่ คืนน้องที่ดีให้กับพี่ คืนสามีที่ดีให้กับภรรยา ที่ตอนนี้หลงผิดติดยา ในท้ายที่สุด ถ้าทำให้เขาเลิกติดยาได้ด้วยความเอาจริงเอาจังของพวกเรา จะทำให้ลดปัญหาทางสังคมอย่างมากมาย ครอบครัวและชุมชนก็ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ความสุขและความอบอุ่นกลับคืนมา เท่ากับเป็นการ "คืนคนดีให้กับแผ่นดิน" ทำให้ประเทศชาติของเรามีความมั่นคง ทำให้คนในสังคมมีความสุข อันเป็นการร่วมทำความดีให้กับสังคมไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันเป็นพลังแผ่นดินที่จะเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการเป็นจิตอาสาในการช่วยงานฝ่ายราชการ ร่วมให้กำลังใจผู้หลงผิด และเป็นหูเป็นตาให้ฝ่ายความมั่นคงด้วยการแจ้งเบาะแสที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือโทรสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้ตลอดเวลา
#WorldSoilDay #วันดินโลก
#soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62189 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เฟ้นหาชุมชนอุดมสุขยั่งยืนยอดเยี่ยม ระดับประเทศ ประจำปี 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ธ.ก.ส. เฟ้นหาชุมชนอุดมสุขยั่งยืนยอดเยี่ยม ระดับประเทศ ประจำปี 2565
ธ.ก.ส. จัดประกวดชุมชนอุดมสุขยั่งยืน ระดับประเทศ ประจำปี 2565 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมประเพณี โดยค้นหาจากชุมชนอุดมสุข ธ.ก.ส. ที่มีการพัฒนาที่โดดเด่น จังหวัดละ 1 ชุมชน
ธ.ก.ส. จัดประกวดชุมชนอุดมสุขยั่งยืน ระดับประเทศ ประจำปี 2565 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมประเพณี โดยค้นหาจากชุมชนอุดมสุข ธ.ก.ส. ที่มีการพัฒนาที่โดดเด่น จังหวัดละ 1 ชุมชน มาคัดเหลือภาคละ 3 ชุมชน รวม 27 ชุมชน แล้วนำชุมชนที่ชนะเลิศทั้ง 9 ภาค รวม 9 ชุมชน มาชิงชัยในระดับประเทศ ลุ้นรางวัลชนะเลิศ มูลค่า 100,000 บาท และรางวัลอื่น ๆ พร้อมโล่เกียรติยศ ติดตามรับชมผลงานชุมชนผู้เข้าประกวด 1 ธ.ค. นี้
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565) ณ ห้องประชุมจำเนียรสาร ชั้น 24 ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง กรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และประธานอนุกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการจัดประกวดชุมชนอุดมสุขที่ยั่งยืน ยอดเยี่ยม ประจำปีบัญชี 2565 โดยมีนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. คณะผู้บริหารและพนักงานเข้าร่วมกิจกรรม ผ่านระบบ VDO Conference
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านการพัฒนาชุมชน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อยกระดับสู่การเป็นชุมชนอุดมสุขอย่างยั่งยืน โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ทั้งด้านการส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมีส่วนร่วมและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจนสามารถจัดทำแผนงานโครงการหรือแผนธุรกิจชุมชนและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาธารณชน ธ.ก.ส. จึงจัด “โครงการประกวดชุมชนอุดมสุขยั่งยืนยอดเยี่ยม ระดับประเทศ ปี 2565” เป็นปีที่ 2 โดยคัดเลือกชุมชนอุดมสุข ธ.ก.ส. จากทั่วประเทศ เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่น ๆ ในการพัฒนาสู่ความยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
สำหรับคุณสมบัติของชุมชนที่เข้าประกวด ต้องเป็นชุมชนอุดมสุขที่มีผลประเมินอยู่ในระดับ A มีกิจกรรมขับเคลื่อนตามหลัก BCG Model นำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต และมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการประกอบอาชีพ ซึ่งการตัดสินในระดับประเทศจะใช้เกณฑ์ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์ การตลาด การพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ ด้านสังคมวัฒนธรรมประเพณีด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ เชื่อมโยง BCG และทายาทสืบทอด ทั้งนี้ ในการจัดประกวด แต่ละจังหวัดจะคัดเลือกชุมชนอุดมสุขดีเด่น อย่างน้อยจังหวัดละ 1 ชุมชน เพื่อนำมาประกวดในระดับภูมิภาค รวม 9 ภาค โดยคัดเลือกชุมชนดีเด่นภาคละ 3 ชุมชน รวม 27 ชุมชน แล้วนำชุมชนที่ชนะเลิศทั้ง 9 ภาค รวม 9 ชุมชน มาคัดเลือกชุมชนอุดมสุขยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับประเทศในรูปแบบ New Normal โดยให้ชุมชนส่งรายละเอียดข้อมูลในการนำเสนอให้คณะกรรมการตัดสินการประกวดชุมชนอุดมสุขพิจารณาตามหลักเกณฑ์การประกวดชุมชนอุดมสุข และนัดหมายผู้นำชุมชนนำเสนอและตอบข้อซักถามผ่าน ระบบ Google Meet Conference ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565
ในส่วนของชุมชนที่ชนะการประกวดในระดับประเทศ รางวัลชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 70,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 50,000 บาท ส่วนรางวัลระดับภูมิภาค รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศในทุกรางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 1,120,000 บาท นอกจากนี้โครงการฯ ยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิในหลากหลายสาขามาร่วมเป็นกรรมการตัดสิน ได้แก่ นางสาวลดาวัลย์ คำภา อนุกรรมการเศรษฐกิจฐานราก ธ.ก.ส. ผู้แทนสำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ผู้แทนวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน ทั้งนี้ สามารถติดตามการประกาศผลชุมชนที่ได้รับรางวัลในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ผ่านทางเว็บไซต์ www.baac.or.th และ Facebook ฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน (ฝลช.)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รณรงค์ “วันเอดส์โลก” 1 ธ.ค. ย้ำ เจตนารมณ์ยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 ไทยจะใช้เวทีเจ้าภาพประชุมโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติย้ำลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
นายกฯ รณรงค์ “วันเอดส์โลก” 1 ธ.ค. ย้ำ เจตนารมณ์ยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 ไทยจะใช้เวทีเจ้าภาพประชุมโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติย้ำลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ
นายกฯ รณรงค์ “วันเอดส์โลก” 1 ธ.ค. ย้ำ เจตนารมณ์ยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 ไทยจะใช้เวทีเจ้าภาพประชุมโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติย้ำลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ
วันที่ 1 ธ.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ร่วมรณรงค์ “วันเอดส์โลก” (World AIDS Day) ซึ่งองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ตรงกับวันที่ 1 ธ.ค. ของทุกปี เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ การยอมรับ และเข้าใจผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก โดยสนับสนุนการรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ ให้ประชาชนมีมาตรการในการป้องกันตนเองที่ถูกต้องและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ของประเทศไทยที่มุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 โดยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ.2560-2573 มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ “ไม่ติด-ไม่ตาย-ไม่ตีตรา” สู่การแก้ไขปัญหาตามยุทธศาสตร์ 1.ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เหลือไม่เกิน 1,000 รายต่อปี 2.ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวี เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย และ 3.ลดการเลือกปฏิบัติ อันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวี และเพศภาวะลงจากเดิมร้อยละ 90 โดยมีหลักการพื้นฐาน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ มีความเสมอภาคทางเพศ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อยุติปัญหาเอดส์ในระยะยาว 6 ยุทธศาสตร์ 1.มุ่งเน้นและเร่งรัดจัดชุดบริการที่มีประสิทธิผลสูงให้ครอบคลุมพื้นที่และประชากรที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง 2.ยกระดับคุณภาพและบูรณาการดำเนินงานป้องกันให้เข้มข้นและยั่งยืน 3.พัฒนาและเร่งรัดการรักษา ดูแลและช่วยเหลือทางสังคม ให้มีคุณภาพรอบด้าน 4.ปรับภาพลักษณ์ความเข้าใจทั้งระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน มีกลไกการคุ้มครองสิทธิ์เพื่อลดการรังเกียจ กีดกัน การเลือกปฏิบัติ 5.การลงทุนเพื่อประสิทธิภาพการจัดการในทุกภาคและทุกระดับ 6.ส่งเสริมและพัฒนาการเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลและงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปี 2565 ประเทศไทยได้ทำหน้าที่ในการเป็นประธานคณะกรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือ UNAIDS PCB ในโอกาสนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้เป็นผู้แทนประเทศไทยผลักดันผ่านกิจกรรมต่างๆ ให้ทั่วโลกเห็นความสำคัญใน 3 ประเด็น ได้แก่ การปกป้องวัยรุ่นคนหนุ่มสาว ให้พ้นจากโรคเอดส์ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่เป็นทั้งอนาคตของประเทศและของโลก, การเร่งให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมถึงบริการเอชไอวี/เอดส์ และ การส่งเสริมให้ลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ ทั้งในการให้บริการสุขภาพ สถานศึกษา ที่ทำงาน และชุมชน
ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม UNAIDS PCB ครั้งที่ 51 ซึ่งจะมีประเทศสมาชิก 22 ประเทศ องค์กรไม่แสวงหากำไร(NGO) และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน (Co-Sponsor)เข้าร่วม และนายอนุทิน จะเป็นประธานการประชุม ซึ่งในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ไทยจะผลักดันให้ทั่วโลกเห็นความสำคัญของการยุติการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกและการดูแลให้เข้าถึงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และเน้นย้ำในประเด็นการไม่เลือกปฏิบัติและการลดการตีตรา ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่ลดปัญหาภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุขโลกและการลดทอนศักยภาพของประเทศจากปัญหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้เป็นโรคเอดส์ได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62174 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เผย Moody’s คงอันดับเครดิตองค์กร อยู่ที่ระดับ Baa1 และแนวโน้มระดับ Stable ถือเป็นอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูงสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ธอส. เผย Moody’s คงอันดับเครดิตองค์กร อยู่ที่ระดับ Baa1 และแนวโน้มระดับ Stable ถือเป็นอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูงสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทย
Moody's สถาบันการจัดอันดับเครดิตระดับสากล คงอันดับเครดิตองค์กรของ ธอส. ในระดับ Baa1 และแนวโน้มอันดับเครดิตของ ธอส. ในระดับคงที่ (Stable)
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผย Moody's สถาบันการจัดอันดับเครดิตระดับสากล คงอันดับเครดิตองค์กรของ ธอส. ในระดับ Baa1 และแนวโน้มอันดับเครดิตของ ธอส. ในระดับคงที่ (Stable) ถือเป็นอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูงสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทย สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร และบริหารจัดการ NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า Moody’s Investors Service สถาบันจัดอันดับเครดิตระดับสากล ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธอส. ในระดับ “Baa1” รวมทั้งแนวโน้มอันดับเครดิตของ ธอส. ที่ระดับ “คงที่” (Stable) ถือเป็นอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูงสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทย สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และมีสภาพคล่องที่มั่นคง ทั้งในปี 2565 และ
ปี 2566 โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับทรงตัวรวมจำนวน 1.58 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากกว่า 4 ล้านครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” มาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนตุลาคม 2565 สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ถึง 227,788 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2565 ที่ 226,423 ล้านบาท ขณะที่การจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 มากกว่า 22 มาตรการ ทำให้คาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2566 หรืออยู่ในระดับต่ำกว่า 5% ของสินเชื่อคงค้าง ขณะเดียวกันยังมีการตั้งสำรองหนี้สูญไว้สูงถึง 185% ของ NPL และมีอัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารในปี 2566 อยู่ที่ 14 -15% สะท้อนว่าธนาคารมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพและสามารถขับเคลื่อนภารกิจของธนาคาร เพื่อทำให้คนไทยมีบ้านได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62219 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.