title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-" ทิพานัน" ห่วงเพื่อไทยเปิดนโยบาย ซ้ำรอยอดีต “คิดใหญ่ โกงเป็น” จี้หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี ยกผลประกอบธุรกิจ “ตระกูลชินวัตร”ตอกกลับ ขณะที่ภาคธุรกิจ 112 องค์กร จ่อขึ้นเงินเดือน | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
" ทิพานัน" ห่วงเพื่อไทยเปิดนโยบาย ซ้ำรอยอดีต “คิดใหญ่ โกงเป็น” จี้หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี ยกผลประกอบธุรกิจ “ตระกูลชินวัตร”ตอกกลับ ขณะที่ภาคธุรกิจ 112 องค์กร จ่อขึ้นเงินเดือน
" ทิพานัน" ห่วงเพื่อไทยเปิดนโยบาย ซ้ำรอยอดีต “คิดใหญ่ โกงเป็น” จี้หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี ยกผลประกอบธุรกิจ “ตระกูลชินวัตร”ตอกกลับ ขณะที่ภาคธุรกิจ 112 องค์กร จ่อขึ้นเงินเดือน-โบนัส สะท้อนความสำเร็จนโยบาย“พล.อ.ประยุทธ์” ย้ำหากเศรษฐกิจฟื้นฟูเร็ว
วันนี้ 8 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าควรจะชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาของประชาชนมากกว่าและควรชัดเจนในเรื่องที่ควรจะชัดเจน น.ส. แพทองธาร ต่างหากที่ต้องชัดเจนว่า การเข้ามาการเมืองเพื่อพาพ่อกลับบ้าน หรือเพื่อประชาชน เพราะสิ่งที่สังคมสังสัยคือมาเพื่อประโยชน์ของครอบครัวตนเอง ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่าทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทยทุกคน ไม่เคยเอาประชาชนมาเป็นหมากในเกมการเมือง ดังที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมองการทำงานเพื่อบ้านเมืองเป็นแค่เกมแย่งชิงอำนาจการเมืองเท่านั้น
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงให้ประชาชนรับทราบว่า ความสำเร็จของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในด้านการพัฒนาและยกดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นต่อเนื่องย่างยั่งยืนไม่ฉาบฉวยจนเป็นที่ประจักษ์จาก UN โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้จัดประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับ “สูงมาก” (Very High) และต่อเนื่องมา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ซึ่งต่างจากปี 2554-2557 อยู่ในระดับสูง (High) และระหว่างปี 2544-2549 อยู่ในระดับ ปานกลาง เท่านั้น
รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำพาชาติฝ่าวิกฤตโควิด 19 มาตั้งแต่ช่วง 2562 ที่ทั่วโลกประสบปัญหากันอย่างหนัก รัฐบาลตระหนักถึงการประคองเศรษฐกิจไปพร้อมกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งก็ผ่านพ้นมาด้วยดีจนได้รับรางวัล United Nations Public Service Awards (UNPSA) ประจำปี ค.ศ. 2021 ณ เมืองดูไบ โดยเป็นรางวัลชนะเลิศจากผลงานหัวข้อ "Intelligent and Sustainable Public Health Emergency System in Thailand" โดยรางวัล UNPSA เป็นรางวัลเชิดชูเกียรติระดับนานาชาติที่สหประชาชาติมอบให้องค์กรระดับประเทศหรือท้องถิ่นที่มีผลการดำเนินงานภาครัฐที่เป็นเลิศ
จะเห็นได้ว่า หลังได้รับการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน วิกฤตโควิด 19 ได้กระทบทุกประเทศทั่วโลก ในช่วงปี 2562-2564 จึงเป็นความท้าทายอย่างหนักที่จะทำให้ภาคธุรกิจเสียหายน้อยที่สุด รัฐบาลจึงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและใช้ยาแรงเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวให้เร็วที่สุด จึงมีโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับครัวเรือน เช่น เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง บัตรสวัสดิการฯซื้อของร้านธงฟ้า รวมถึงมาตรการสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ เช่นโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาตรการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การ จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านแรงงาน เรารักกัน ซึ่งมาตรการเหล่านี้สามารถพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นวิกฤตมาได้
ส่วนในปี 2565 นี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยรัฐบาลมุ่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ เช่น สนามบิน รถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ถนนมอเตอร์เวย์ไปยังทุกภาค ขนส่งรถไฟฟ้า รวมถึงเศรษฐกิจ EEC ที่เป็นเศรษฐกิจใหม่ที่ขณะนี้เติบโตต่อเนื่อง ในส่วนภาคการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้านจัดสรร คอนโด ก็เติมโตมีกำไรทุกไตรมาส ที่สำคัญภาคการท่องเที่ยวก็มีอนาคตสดใสเช่น ในปี 2565 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวทะลุ 10 คนเข้ามาในไทย
“ขณะเดียวกันในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นนี้ รัฐบาลไม่รอช้าต่อพี่น้องแรงงานทุกคน จึงมีมติเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2565 ขึ้นค่าแรง 354 - 328 บาท ที่มาจากการหารืออย่างรอบคอบทั้ง 3 ฝ่ายคือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้นเร็วขึ้น ประเทศชาติสงบ ไม่มีอะไรมาทำให้สะดุด ก็จะนำข้อมูลหารือให้รอบด้านทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อขึ้นค่าแรงให้กับพี่น้องแรงงานได้อีกในไม่ช้านี้แน่นอน” น.ส. ทิพานัน กล่าว
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยดูแคลนความสามารถการบริหารงานของรัฐบาลนั้น สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เปิดเผยแนวโน้มการปรับอัตราค่าตอบแทนรวม ประจำปี 2565/2566 อย่างเป็นทางการ จากการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกในกลุ่มเป้าหมาย 112 องค์กร จากภาคธุรกิจต่างๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการ ยานยนต์ เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และเทคโนโลยี พบแนวโน้มการปรับตัวของอัตราค่าตอบแทนที่ขยับขึ้นสูง โดยในปี 2566 คาดการณ์องค์ธุรกิจต่างๆ จะมีการปรับเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.27 % ขณะที่คาดการณ์โบนัสคงที่ 1.44 เดือน คาดการณ์โบนัสผันแปร 2.31 เดือน ตรงนี้คือตัวการันตีการทำงานของรัฐบาลอย่างประจักษ์และชัดเจนมากกว่าสร้างวาทกรรมกล่าวหามั่วๆของพรรคเพื่อไทย
“สิ่งที่อยากจะให้หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยตระหนักในคำพูดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ตอบสังคมว่าแล้วทำไมธุรกิจของตระกูลชินวัตรที่อยู่ในไทยกลับมีผลประกอบการที่ดี เช่น โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขุมวิท ก็ยังมีกำไรใช่หรือไม่ ดังนั้นการที่พูดว่าเศรษฐกิจไม่ดีต้องเพื่อไทยมาแก้ ก็ให้พี่น้องประชาชนพิจารณาถึงข้อมูลด้วยการค้นหาคำว่า “รายได้ครอบครัวชินวัตร” ก็จะพบว่าสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวพูดเป็นจริงหรือไม่ ดังนั้นการที่พรรคเพื่อไทยโจมตีว่าเศรษฐกิจกำลังแย่มันสวนทางกับข้อมูลที่เผยแพร่ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และการที่ น.ส.แพทองธาร จะประกาศนโยบายขายฝันแค่ไหน คิดใหญ่เกินจริงแค่ไหน ก็อย่าให้มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนอดีตพ่อกับอา ที่ในอดีตได้ทุจริตคอรัปชันคนไทยไปอย่างมหาศาล และไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นนักโทษหลบหนีคดีร่อนเร่ไปมา ดังนั้นนโยบายที่ประกาศใหม่ก็อย่าให้สังคมตราหน้าว่า“คิดใหญ่ โกงเป็น” เหมือนในอดีต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62457 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ชื่นชมพลวัตในความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
นายกฯ หารือ ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ชื่นชมพลวัตในความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นายกฯ หารือ ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ชื่นชมพลวัตในความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ (Lord Powell of Bayswater KCMG) สมาชิกสภาขุนนางสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนเก่าที่มีความใกล้ชิด ได้พบหารือร่วมกันในหลายโอกาส พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรที่แน่นแฟ้นและยาวนาน โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการหารือในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยส่งเสริมพลวัตในความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งสหราชอาณาจักร พร้อมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งทรงเป็นที่รักและเคารพของปวงชนชาวไทย
ด้านลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นเสมอมา พร้อมทั้งแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มีศักยภาพในการรวบรวมความร่วมมือ บริหารจัดการ และดำเนินวาระการประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในประเด็นต่าง ๆ นอกจากนี้ ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลไทย ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวรวมทั้งจากสหราชอาณาจักรให้เดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้นด้วย
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและสหราชอาณาจักรยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการดำเนินนโยบายของไทย ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีการเติบโตที่ยั่งยืน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับแผน 10 ประการเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียวของสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถมีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนนักลงทุนจากสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มากขึ้น ในสาขาที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสหราชอาณาจักรสามารถใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตได้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (eco-friendly goods) ของไทยด้วย พร้อมพิจารณาร่วมกันผลักดันการจัดทำ FTA ระหว่างกันให้เป็นรูปธรรม ผ่านกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ อาทิ การประชุมคณะกรรมการหารือเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Dialogue) และการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (JETCO) ตลอดจนเชิญชวนสหราชอาณาจักรใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไปสำหรับรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมที่ไทยจัดทำร่วมกับสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62451 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ปาฐกถานานาชาติชูนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
“อลงกรณ์” ปาฐกถานานาชาติชูนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0
“อลงกรณ์” ปาฐกถานานาชาติชูนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ยกระดับการผลิตภาคเกษตรของไทยสู่เป้าหมาย 3 สูง“ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง รายได้สูง” ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจใหม่ BCG โมเดล
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ได้ให้เกียรติ เป็นองค์ปาฐกในงานการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติว่าด้วย “การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน” (Sustainable Smart Farming Workshop) จัดโดย SUNSpACe ERASMUS+ CBHE Project ณ Bamboo Whisper Garden เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ โดยมี นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร CTPI, Professor Yacine Ouzrout, Director of IUT, University Lumiere Lyon 2 และ Professor Aicha SEKHARI SEKLOULI, ผู้ประสานงานโครงการ SUN Space ให้การต้อนรับ
นายอลงกรณ์ ได้กล่าวปาฐกถาว่า ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ภาคเอกชน ภาควิชาการ นานาชาติ ให้ความสนใจและขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน และมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน” เป็นแนวทางหรือเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวิสัยทัศน์ "เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ได้ขับเคลื่อนนโยบาย “3S” คือ ความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงของภาคเกษตรและอาหาร (Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) สนับสนุนการเปิดตลาดต่างประเทศใหม่ ๆ โดยกำหนด Model การค้าเพื่อให้เกิดระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) รวมถึงการนำเทคโนโลยี Smart Farming มาใช้ในการพัฒนา Packaging และสร้างแบรนด์อีกด้วย โดย ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร (Agritech and Innovation Center: AIC) ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นศูนย์การศึกษา การวิจัยและพัฒนา การอบรมบ่มเพาะและ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร รวมทั้งยังจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Execellence: CoE) จำนวน 23 ศูนย์ ที่มีการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานการเกษตร ตั้งแต่ ต้นน้ำด้านการวิจัยและพัฒนา กลางน้ำ ด้านการแปรรูป และปลายน้ำ ด้านการตลาด การขาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคี เครือข่ายทั้งภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งเสริมช่องทางการตลาด “ตามนโยบายการตลาด นำการผลิต” ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนทั้งการค้าออนไลน์และออฟไลน์
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG Model (the Bio-Circular and Green Economic Model) ภายใต้เป้าหมายและทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนซึ่งเป็นไฮไลท์ในการจัดประชุมAPEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเน้นการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง ได้แก่ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และ รายได้สูง ซึ่งประสิทธิภาพสูง คือการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมยกระดับผลผลิตเกษตร มาตรฐานสูง ด้วยระบบการผลิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพผลผลิต โภชนาการมีความปลอดภัย ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และ รายได้สูง ด้วยการผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นความเป็นพรีเมียม หรือตลาดเฉพาะ และสามรถกำหนดราคาขายได้ตามคุณภาพของผลผลิตเกษตร เพื่อให้การทำการเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคง
ทั้งนี้ ในงาน Sustainable Smart Farming Workshop เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ได้มีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อคิดเห็น ในช่วงเช้าเป็นสัมมนาในหัวข้อ 1) Smart Farming: Economic Challenges for the future และในช่วงบ่ายในหัวข้อ 2) Smart Farming: Up-Skilling and Qualification อนึ่ง โครงการ SUNSpACe (Sustainable Development Smart Agriculture Capacity) เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากอีราสมุสพลัส รูปแบบ Capacity Building in Higher Education Projects (CBHE) โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของ 8 มหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ทั้งในเอเชียและยุโรป ฝรั่งเศส สกอตแลนด์ ฮังการี ไทย ภูฏาน และเนปาล เน้นการพัฒนาและออกแบบหลักสูตรจากองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่ทางยุโรป ผสานกับจุดแข็งและความท้าทายด้านเกษตรกรรมในเอเชีย นำไปสู่การอบรมและสร้าง Smart Farmer ที่จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการทำเกษตรแบบออร์แกนิก และช่วยให้เกษตรกรในเนปาลและภูฏานสามารถทำเกษตรทั้งในและนอกฤดูได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ในขั้นตอนการทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบหลักสูตรที่ทันสมัยและสามารถนำไปปรับใช้ได้ในบริบทที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดฯณัฐพล ลงพื้นที่สวนลุมพินี เตรียมความพร้อมร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
ปลัดฯณัฐพล ลงพื้นที่สวนลุมพินี เตรียมความพร้อมร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม
ปลัดฯณัฐพล ลงพื้นที่สวนลุมพินี เตรียมความพร้อมร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม
กรุงเทพฯ 7 ธันวาคม 2565 - นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ ณ สวนลุมพินี เพื่อเตรียมความพร้อมและตรวจความเรียบร้อยของสถานที่จัดงานร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม ร้านที่ 3.4 ในงานกาชาดประจำปี 2565 โดยได้ตรวจความเรียบร้อยตามจุดต่าง ๆ ภายในร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ โซนจับรางวัล โซนจำหน่ายคูปองร่วมสนุก และบริเวณรอบของร้านค้ากระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ และนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ด้วย ทั้งนี้งานกาชาดประจำปี 2565 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-18 ธันวาคม 2565 ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตโชว์ปราบปราบบุหรี่ผิดกฎหมายล็อตใหญ่ยกระดับเปิดศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ เดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ EASE EXCISE | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
สรรพสามิตโชว์ปราบปราบบุหรี่ผิดกฎหมายล็อตใหญ่ยกระดับเปิดศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ เดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ EASE EXCISE
กรมสรรพสามิตเปิดศูนย์ปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ โชว์ผลงานเด่นปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ จับกุมบุหรี่หนีภาษีบิ๊กล็อตกว่า 250,000 ซอง คิดเป็นค่าปรับ 247,289,842.50 บาท
กรมสรรพสามิตเปิดศูนย์ปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ โชว์ผลงานเด่นปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ จับกุมบุหรี่หนีภาษีบิ๊กล็อตกว่า 250,000 ซอง คิดเป็นค่าปรับ 247,289,842.50 บาท นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ลิงก์ข้อมูลกับองค์กรภายนอก เดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัล ตามยุทธศาสตร์ EASE EXCISE
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายที่มีการลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้เสียภาษี ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ค้าขายและจ่ายภาษีอย่างสุจริตให้ได้รับความเป็นธรรม รวมถึงยังเป็นการดูแลผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัยและได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน จากการที่ได้มอบหมายให้ นายวิวัฒน์ เขาสกุล ที่ปรึกษา ด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต และว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม ติดตามจับกุมการจำหน่ายบุหรี่ภาษีในเขตพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้สามารถจับกุมบุหรี่หนีภาษีได้ จำนวนประมาณ 250,000 ซอง คิดเป็นค่าปรับ 247,289,842.50 บาท ประกอบด้วยบุหรี่ยี่ห้อ ASK ME ,JONE BLACK ,QUEST ,ORIS ,L&M ,CANYON ,TEXAS ,ZOUK , และ 235 รวมทั้งสิ้น 9 ยี่ห้อ
กรมสรรพสามิตได้มีการติดตามและตรวจพบการจำหน่ายบุหรี่ผิดกฎหมายทางช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก จึงได้มอบหมายให้สำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ที่กรมสรรพสามิตตั้งขึ้นเพื่อรองรับลักษณะการกระทำผิดที่เปลี่ยนแปลงไป จากการขายตามหน้าร้านมาเป็นการขายทางออนไลน์ ดำเนินการสืบสวนหาข่าวลงพื้นที่เพื่อติดตามจนทราบถึงแหล่งที่มา วิธีการจำหน่าย สถานที่เก็บสินค้า โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบป้องกัน และปราบปราม ดำเนินการล่อซื้อบุหรี่ผิดกฎหมาย จนทำให้ทราบถึงแหล่งที่ตั้งและสถานที่จำหน่ายบุหรี่ผิดกฎหมายที่จับกุมได้ในครั้งนี้
สำหรับผลการปราบปรามยาสูบในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2565 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 9,398 คดี สูงกว่าปีก่อน จำนวน 2,274 คดี หรือร้อยละ 31.92 คิดเป็นค่าปรับ 1,610,838,179.54 บาท สูงกว่าปีก่อน คิดเป็นค่าปรับ 492,832,249.61 บาท หรือร้อยละ 44.08 โดยมีของกลางยาสูบ จำนวน 4,053,554 ซอง สูงกว่าปีก่อน จำนวน 2,566,047.00 ซอง หรือร้อยละ172.51
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการปราบปราบและจับกุมการกระทำความผิดสินค้าที่อยู่ในการควบคุมของกรมสรรพสามิตผ่านทางช่องทางออนไลน์ที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของกรมฯ ในการบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และช่วยดูแลผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน รวมถึงการมุ่งพัฒนาระบบการทำงานให้ได้มาตรฐานสากล นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ พร้อมมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลที่มีมาตรฐานสากล ตามยุทธศาสตร์ EASE Excise ที่กรมสรรพสามิตจะเดินหน้าเพื่อยกระดับองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้าย
หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิต จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62456 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ส่งเสริมการออม สร้างความมั่นคงการเงิน ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.50% มีผล 9 ธ.ค.65 | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
“กรุงไทย” ส่งเสริมการออม สร้างความมั่นคงการเงิน ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.50% มีผล 9 ธ.ค.65
ธ.กรุงไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50% และปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป ประคับประคองลูกค้าปรับตัว ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ 0.25% ปรับขึ้นดอกเบี้ยรายย่อยเพียง 0.15% มีผล 9 ธันวาคม 2565 นี้
ธนาคารกรุงไทย ส่งเสริมคนไทยออมเงิน สร้างความมั่นคงทางการเงิน ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50% และปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป ประคับประคองลูกค้าปรับตัว ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ 0.25% ปรับขึ้นดอกเบี้ยรายย่อยเพียง 0.15% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดูแลรายย่อยอย่างต่อเนื่อง มีผล 9 ธันวาคม 2565 นี้
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 3 ของปี 2565 รวม 0.75% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.25% ท่ามกลางแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ธนาคารกรุงไทย ตระหนักถึงผลกระทบต่อลูกค้าทุกกลุ่ม และได้พิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนคนไทย พร้อมประคับประคองดูแลลูกค้ารายย่อยให้ปรับตัวได้อย่างราบรื่น โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50% ต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้กับผู้ฝากเงิน และเสริมสร้างวินัยการออม สร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ธนาคารให้ความสำคัญกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดูแลช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถปรับตัวได้อย่างไม่สะดุด โดยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) เพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี เป็น 5.75% ต่อปี และ 6.32% ต่อปี ตามลำดับ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย (MRR) เพียง 0.15% ต่อปี อยู่ที่ระดับ 6.37% ต่อปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ปรับขึ้นต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของโลก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
“ทิศทางอัตราดอกเบี้ย มีแนวโน้มปรับขึ้นทั่วโลก ธนาคารพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยเป็นค่อยไป (Smooth Take Off) ตามแนวนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างไม่สะดุด โดยพิจารณาอย่างรอบคอบให้มีผลกระทบกับลูกค้าน้อยที่สุด โดยเฉพาะลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการรายเล็กและกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาปกติ จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยต่ำกว่าทิศทางตลาด เพื่อให้ลูกค้าได้ปรับตัว และมีมาตรการช่วยเหลือและปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบางอย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มีการประคับประคองและเกิดการเร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับผู้ฝากเงิน แบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้คนไทย สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ต้อนรับลมหนาว เชิญชวนประชาชนเดินทางท่องเที่ยวโดยใช้เส้นทางสาย นม.3052 | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท ต้อนรับลมหนาว เชิญชวนประชาชนเดินทางท่องเที่ยวโดยใช้เส้นทางสาย นม.3052
สู่จุดกางเต็นท์อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยหมวดบำรุงทางหลวงชนบทวังน้ำเขียว แขวงทางหลวงชนบทนครราชสีมา ภายใต้ความดูแลของสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 5 (นครราชสีมา) ได้เปิดจุดกางเต็นท์ให้กับประชาชน พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในธรรมชาติรับลมหนาวริมอ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา โดยพื้นที่ดังกล่าวประกอบด้วยจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการพักผ่อนแบบแคมป์ปิ้งและแคมป์ปิ้งคาร์ ลานกิจกรรมสำหรับให้นักท่องเที่ยว เดิน วิ่ง และปั่นจักรยานออกกำลังกายบนสกายเลนเลียบอ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง พร้อมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบริการให้กับนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่จะเข้าพักจุดกางเต็นท์ ต้องลงทะเบียนคัดกรองที่อาคารสำนักงานหมวดบำรุงทางหลวงชนบทวังน้ำเขียว พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎการเข้าพักที่ทางหน่วยงานกำหนดอย่างเคร่งครัด สำหรับการเดินทางมายังจุดกางเต็นท์อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง หากเดินทางจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางโดยใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 2 ตัดเข้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข 2090 จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทาง (กม. ที่ 23+200) เข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3052 ไปจนพบจุดหมาย (กม. ที่ 18+300) และนอกจากจุดกางเต็นท์อ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพงแล้ว หากเดินทางไปตามถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3052 ยังมีจุดชมวิวเขาแผงม้า (กม. ที่ 12+000) จุดชมฝูงกระทิงพร้อมสัมผัสวิวธรรมชาติ ให้นักท่องเที่ยว มาถ่ายรูปเช็กอินกันได้ตลอดปี ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด หากมาท่องเที่ยวที่อำเภอวังน้ำเขียว
ทั้งนี้ ทช. ให้ความสำคัญในเรื่องความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน เตรียมความพร้อมเส้นทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว อีกทั้งติดตั้งป้ายแนะนำเส้นทางบริเวณโครงข่ายทางหลวงชนบท เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังจุดหมายได้อย่างสะดวกปลอดภัย หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในการเดินทาง สามารถติดต่อหมวดบำรุงทางหลวงชนบทวังน้ำเขียว โทร. 044 300 563 หรือสายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62460 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" มอบเหรียญยุติธรรมธำรง-ที่ปรึกษาป.ป.ส. ให้"ชูวิทย์"ในฐานะพลเมืองแจ้งเบาะแสแก๊งจีนเทา แจงยึดทรัพย์"ตู้ห่าว"แล้ว 1,131ล้านบาท จ่อยึดอีก 1,800 ล้าน | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
"สมศักดิ์" มอบเหรียญยุติธรรมธำรง-ที่ปรึกษาป.ป.ส. ให้"ชูวิทย์"ในฐานะพลเมืองแจ้งเบาะแสแก๊งจีนเทา แจงยึดทรัพย์"ตู้ห่าว"แล้ว 1,131ล้านบาท จ่อยึดอีก 1,800 ล้าน
"สมศักดิ์" มอบเหรียญยุติธรรมธำรง-ที่ปรึกษาป.ป.ส. ให้"ชูวิทย์"ในฐานะพลเมืองแจ้งเบาะแสแก๊งจีนเทา แจงยึดทรัพย์"ตู้ห่าว"แล้ว 1,131ล้านบาท จ่อยึดอีก 1,800 ล้าน พร้อมไล่เช็คบริษัทตั้งแต่เข้าไทย ขณะที่"เฮียชู"แนะยึดทรัพย์ต้องเร็ว
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.65 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ส.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม เพื่อการบูรณาการการปราบปรามและยึดทรัพย์จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ ว่าที่ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ กลต. นายสราวุธ ศิริปัทมานนท์ ผู้ช่วยผอ.ฝ่ายตรวจสอบธปท. พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผบ.ปส. พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ น.ส.สลักจิต พงษ์ศิริจันทร์ รองอธิบดีกรมสรรพากร พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้แทนสำนักงาน ปปง. และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พลเมืองดีผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ มีหน้าที่บูรณาการทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้มีการประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ เพราะขณะนี้สังคมได้ให้ความสนใจในเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทา ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ว่าภาครัฐได้ดำเนินความคืบหน้าอย่างไร โดยกรณีนี้ที่นายชูวิทย์ ออกมาแจ้งเบาะแส ถือเป็นพลเมืองดีและน่ายกย่อง สิ่งที่นายชูวิทย์ทำเหมือนเป็นการกระตุ้นให้สังคมตื่นตัว และทำให้หน่วยงานที่คิดจะชะลอหรือคิดไม่ดีได้เปลี่ยนใจและเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด
"ในฐานะที่คุณชูวิทย์ได้มีความกล้าหาญ แจ้งเบาะแสยาเสพติด กระทรวงยุติธรรมได้พิจารณามอบเหรียญยุติธรรมธำรง เพื่อเป็นเกียรติประวัติในการทำความดีและเป็นตัวอย่างให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติด นอกจากได้ช่วยประเทศแล้วยังจะได้รับรางวัลนำจับ 5% ด้วย" นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้านนายวิชัย กล่าวรายงานความคืบหน้าการตรวจทรัพย์สินเครือข่าย ตู้ห่าว ว่า ขณะนี้ได้มีการลงนามตรวจสอบทรัพย์สินเครือข่ายทั้งหมด 7 ราย 52 รายการ เช่น บัญชีธนาคาร 18 บัญชี มูลค่า 1.7 ล้านบาท เครื่องบิน 1 ลำ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 33 แปลง มูลค่า 876 ล้านบาท และล่าสุดมีคำสั่งตรวจยึดอีก 34 รายการ เช่น เงินสด รถยนต์ 33 คันมูลค่า 95 ล้านบาท ทำให้ขณะนี้เรายึดอายัดทรัพย์ได้ทั้งหมด 1,131 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการบูรณาการร่วมกันเพื่อยึดทรัพย์อีก 1,800 ล้านบาท เช่น บริษัทจำนวนมาก รถโดยสาร 229 คัน ซึ่งสาเหตุที่อายัดล่าช้า เพราะต้องขูดเลขตัวถังอย่างละเอียดเพื่อให้ตรงกับทะเบียน แต่จะใช้เวลาไม่นาน เพราะได้ดึงภาคเอกชนมาร่วมด้วยแล้ว รวมถึงการทำงานชุด พาลีปราบยา ที่จะเน้นไปที่นิติบุคคล ที่ไม่ปรากฏชื่อของตู้ห่าว โดยพบแล้วหลายแห่ง มีเงินหมุนเวียนหลักพันล้านบาท อาจจะเข้าข่ายฟอกเงิน จึงมีการเช็คย้อนหลังตั้งแต่เข้าประเทศและถือทรัพย์อะไรบ้าง
ด้านนายชูวิทย์ กล่าวว่า การปราบปรามยาเสพติดจะมีประสิทธิภาพ การยึดทรัพย์ต้องรวดเร็ว เพราะหัวใจของประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ คือการ อายัดอย่างรวดเร็ว ตนเชื่อมั่นว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามเป้าหมาย 1 แสนล้านบาทได้ แต่ตนอยากให้ทุกหน่วยงามช่วยกันบูรณาการทำงานร่วมกัน เพราะกรณีนายตู้ห่าว ก็มีตนเพียงคนเดียวที่ออกมาติดตาม กว่าจะอายัดเงินในบัญชีได้ก็เหลือเพียง 1 แสนบาท ทั้งที่มีธุรกิจใหญ่โต โดยตั้งแต่นายสมศักดิ์ เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี ตนเห็นว่า ไม่เคยทำให้ที่ไหนผิดหวัง และทำอะไรแปดเปื้อน จึงเชื่อว่าจะเดินหน้าแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า ในเครือข่ายทุนจีนสีเทา โรงแรมคือหัวใจสำคัญ ที่ต้องตามยึดอายัดให้ได้ เพราะเท่าที่ตนประเมินมีมูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท รวมถึงรถบัสจาก 500 คันเหลือเพียงร้อยกว่าคัน จึงอยากให้หน่วยงานรัฐเร่งทำงานให้ทันเครือข่ายเหล่านี้ เพราะเขาได้มีวิธีการฟอกเงินจำนวนมาก เช่น การซื้อหุ้นไทยจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันตนยังมีความกังวลว่านายตู้ห่าวจะหลุดคดี จึงอยากขอความมั่นใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะไม่มีมวยล้มต้มคนดู
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ชี้แจงว่า ขณะนี้ ตนได้นำสำนวนสืบสวนสอบสวนมาทำเองทั้งหมดแล้ว ซึ่งในช่วงต้นที่มีปัญหาติดขัดเนื่องจากท้องที่แยกกันทำ แต่วันนี้เรามีการรวมสำนวนทั้งหมดโดยตนดูแลเอง ขอให้นายชูวิทย์หมดความกังวลใจได้ เพราะตนก็มีการทำงานคืบหน้าตามลำดับ และล่าสุดก็ได้มีการติดตามเส้นทางการเงินร่วมกับ ป.ป.ส. ปปง. โดยมีการแบ่งงานกันแล้วว่า ปปง.จะขยายเส้นทางการเงินทั้งหมด เพราะมีเครื่องมือพร้อม ส่วน ป.ป.ส.จะดำเนินการยึดทรัพย์ ซึ่งทุกหน่วยงานยืนยันแล้วว่ามีการบูรณาการที่เข้มแข็ง
นอกจากนี้ ภายหลังการหารือ นายสมศักดิ์ ได้มอบเหรียญยุติธรรมธำรงให้กับนายชูวิทย์ พร้อมหนังสือเชิญเป็นที่ปรึกษา ป.ป.ส. ซึ่งนายสมศักดิ์ ได้เสนอให้นายชูวิทย์ ใช้ชุดคุ้มครองพยานของดีเอสไอ เพื่อความปลอดภัยของนายชูวิทย์และคนที่นำข้อมูลมาให้ ขณะที่นายชูวิทย์ กล่าวขอบคุณกระทรวงยุติธรรมที่ได้มอบรางวัลให้กับตน ซึ่งมีมูลค่าทางจิตใจมากกว่ารางวัลนำจับ 5% ส่วนตำแหน่งตนขอบคุณที่เสนอมา โดยตนไม่ได้คาดหวังในตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการเล่นการเมืองแล้ว แต่ตนจะรับไว้พิจารณา เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับสังคมในการเป็นพลเมืองดี แจ้งเบาะแสยาเสพติด เพื่อทำให้สังคมเข้มแข็งและมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจากทุกภาคส่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดการดูแลความปลอดภัยด้านการท่องท่องเที่ยว ทั้งในแหล่งท่องเที่ยว การเดินทาง สุขภาพอนามัย รักษาความเชื่อมั่นไทยเป็นจุดหมายปลายทาง | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดการดูแลความปลอดภัยด้านการท่องท่องเที่ยว ทั้งในแหล่งท่องเที่ยว การเดินทาง สุขภาพอนามัย รักษาความเชื่อมั่นไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดการดูแลความปลอดภัยด้านการท่องท่องเที่ยว ทั้งในแหล่งท่องเที่ยว การเดินทาง สุขภาพอนามัย รักษาความเชื่อมั่นไทยเป็นจุดหมายปลายทาง เผย 11 เดือนต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 9.09 ล้านคน มั่นใจทั้งปีไม่พลาด
วันที่ 8 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามข้อมูลภาคการท่องเที่ยวซึ่งชี้แนวโน้มที่ต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ให้เพิ่มความเข้มงวดกับประเด็นเรื่องความปลอดภัย ทั้งในสถานที่หรือแหล่งท่องเที่ยว การเดินไม่ว่าจะทางอากาศ ทางถนน ทางเรือ ตลอดจนความปลอดภัยด้านสุขภาพอนามัยจากโรคระบาด บริการอาหารที่สะอาด
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ณ สิ้นเดือนพ.ย. 65 หรือ 11 เดือนแรกของปีนี้ มีต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 9.09 ล้านคน เฉพาะเดือนพ.ย. เดือนเดียว 1.73 ล้านคน ทำให้รัฐบาลมั่นใจว่าตลอดทั้งปี 65 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยทะลุเป้าหมาย 10 ล้านคนแน่นอน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความเข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นที่ขณะนี้ต่างชาติได้เลือกไทยเป็นจุดหลายปลายทางแรกๆ ที่เดินทางไปเยือนหลังการคลี่คลายของโควิด19
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า จากข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ขณะนี้สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงเมืองสำคัญของไทยยังคงติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ ซึ่งล่าสุดสำนักข่าว CNBC ได้รายงานผลการสำรวจของ InterNations ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์สำหรับชาวต่างชาติที่มีสมาชิกทั่วโลกกว่า 4.5 ล้านคน ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับเมืองที่น่าอยู่และน่าทำงานที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ โดยมีผู้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ 12,000 คน ซึ่งพบว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทยติดอันดับที่ 6
ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุถึง 10 เมืองทั่วโลกที่นักท่องเที่ยวเห็นว่าน่าอยู่และน่าทำงานที่สุดตามลำดับ ดังนี้ 1)เมืองบาเลนเซีย, สเปน 2) ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3) เม็กซิโก ซิตี้, เม็กซิโก 4) ลิสบอน, โปรตุเกส 5) มาดริด, สเปน 6) กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 7) บาเซิล, สวิตเซอร์แลนด์ 8) เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย 9) อาบูดาบี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ 10) สิงคโปร์
สำหรับผลสำรวจของชาวต่างชาติที่มีต่อกรุงเทพฯ พบว่า ร้อยละ 82% มีความสุขต่อคุณภาพการดูแลรักษาทางการแพทย์, ร้อยละ 79 มีความสุขกับชีวิตโดยทั่วไป, ร้อยละ 69 มีความสุขต่อค่าครองชีพ, ร้อยละ68 มีความสุขต่อความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต, ร้อยละ 66 มีความสุขต่ออาชีพการทำงาน และ ร้อยละ 54 ระบุว่าสามารถพบเพื่อนใหม่ได้ง่าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคมฝากเตือน! ผู้ประกันตน ม.33 และม.39 ประสงค์เปลี่ยนสถานพยาบาลปี 2566 ดำเนินการผ่าน 4 ช่องทางได้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 65-31 มี.ค.66 ย้ำอย่าลืมใช้สิทธิทำฟันประจำปีวงเงิน 900 บาท | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
ประกันสังคมฝากเตือน! ผู้ประกันตน ม.33 และม.39 ประสงค์เปลี่ยนสถานพยาบาลปี 2566 ดำเนินการผ่าน 4 ช่องทางได้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 65-31 มี.ค.66 ย้ำอย่าลืมใช้สิทธิทำฟันประจำปีวงเงิน 900 บาท
ประกันสังคมฝากเตือน! ผู้ประกันตน ม.33 และม.39 ประสงค์เปลี่ยนสถานพยาบาลปี 2566 ดำเนินการผ่าน 4 ช่องทางได้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 65-31 มี.ค.66 ย้ำอย่าลืมใช้สิทธิทำฟันประจำปีวงเงิน 900 บาทก่อนสิ้น ธ.ค.นี้
วันที่8 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สำนักงานประกันสังคมได้เปิดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลที่รับบริการได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกเนื่องจากอาจมีกรณีย้ายที่ทำงาน หรือที่อยู่อาศัย สำหรับปี 2566 สำนักงานประกันสังคมจะเปิดให้ผู้ประกันตนทั้ง2 กลุ่ม ยื่นขอเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 65-31 มี.ค. 66
ทั้งนี้ สามารถดำเนินการผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1) ยื่นแบบการเลือกสถานพยาบาลในการรับบริการทางการแพทย์ สปส. 9-02 กับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ 2) ทำรายการผ่านเว็บไซต์ประกันสังคม www.sso.go.th 3) ทำรายการผ่าน Application SSO Connect และ 4) ทำรายการผ่าน Line official sso ทั้งนี้ หากได้ยื่นเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคมอีก
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลนั้นจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ ตั้งอยู่ในจังหวัดที่ผู้ประกันตนทำงานหรือพักอาศัย หรือเป็นจังหวัดรอยต่อของจังหวัดดังกล่าวและสถานพยาบาลที่ประสงค์จะย้ายเข้านั้นต้องมีจำนวนผู้ประกันตนไม่เกินตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ซึ่งผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้จากนายจ้าง หรือ เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือ สอบถามที่สายด่วน 1506 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการแจ้งผลการเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลประจำปีนั้น กรณีผู้ประกันตนมาตรา 33 สำนักงานประกันสังคมจะแจ้งผ่านนายจ้าง ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 จะได้รับการแจ้งเป็นหนังสือไปยังที่อยู่ที่ให้ไว้ หรือ แจ้งผลผ่าน SMS
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้เหลืออีกไม่นานจะสิ้นปี 2565 แล้ว สำนักงานประกันสังคมยังได้ย้ำเตือนผู้ประกันตนว่าก่อนสิ้นเดือน ธ.ค. 65 นี้ อย่าลืมใช้สิทธิทำฟันประจำปี ตามที่ผู้ประกันตนมาตรา33 และ มาตรา 39 มีสิทธิทำฟันฟรีในงบไม่เกิน 900 บาทต่อปี โดยไม่ต้องสำรองจ่ายในกรณีที่ไปคลินิกที่มีป้าย “ทำฟันประกันสังคม 900 บาท ไม่ต้องสำรองจ่าย” แต่หากไปคลินิกที่ไม่มีป้ายดังกล่าวก็สามารถสำรองจ่ายแล้วนำใบเสร็จมาเบิกกับสำนักงานประกันสังคมได้
ทั้งนี้ บริการทำฟันที่ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการได้ ได้แก่ ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด โดยหากเข้ารับบริการที่คลินิกหรือสถานพยาบาลที่ค่ารักษาเกินงบ 900 บาท ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินส่วนเกินดังกล่าว ส่วนเงื่อนไขของการใช้สิทธิได้นั้น จะต้องเป็นผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมาแล้วครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการ และหากได้ลาออกจากงานแล้ว ก็ยังสามารถรับบริการทำฟันภายในเวลา 6 เดือนหลังการลาออกได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สิทธิประกันสังคมเพื่อรับบริการดูแลสุขภาพฟันเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เอนก" จับมือ รมว.ศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น ประกาศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการประชุมเอเปค | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
"เอนก" จับมือ รมว.ศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น ประกาศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการประชุมเอเปค
"เอนก" จับมือ รมว.ศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น ประกาศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการประชุมเอเปค
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้บริหารของกระทรวง อว. มาราชการที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เข้าหารือกับนางนะงะโอกะ เคโกะ รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (MEXT) ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง โดยผลการหารือเป็นไปอย่างดียิ่ง แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นของทั้งสองกระทรวง ในโอกาสนี้จึงได้ขยายผลความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน หรือ Comprehensive Strategic Partnership ซึ่งคณะรัฐมนตรีเพิ่งให้ความเห็นชอบ และไทย-ญี่ปุ่นจะประกาศร่วมกันในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมเอเปค
รมว.อว.กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะมุ่งเน้นประเด็นความร่วมมือแบบมุ่งเป้าในสองเรื่อง คือ 1.การพัฒนาและผลิตวิศวกรนักปฏิบัติ เน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านโครงการสถาบันไทยโคเซ็น ที่ไทยและญี่ปุ่นจะร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขยายผลให้มากและรวดเร็วขึ้นอีก และ 2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสร้างสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องที่สองของประเทศไทย
“ไทย-ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางด้านวิชาการหลายอย่างยาวนานมาก โดยสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องแรกของไทยที่ จ.นครราชสีมา ก็ดำเนินการโดยความร่วมมือและการสนับสนุนของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน จนปัจจุบันประเทศไทยมีความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์อย่างมาก ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์จากเครื่องดังกล่าว ซึ่งนำมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว กระทรวง อว. โดยสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ตั้งเป้าว่าการจัดสร้างสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องที่สองนั้น จะดำเนินการโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรไทยเป็นหลัก โดยให้มีการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ภายในประเทศให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังต้องการความร่วมมือและการสนับสนุนทางวิชาการจากนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำในเรื่องนี้ของโลก โดยประสงค์ให้ความร่วมมือในทางวิชาการเรื่องซินโครตรอนนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน รวมทั้งการสามารถขยายไปสู่ระดับภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงของภูมิภาคต่อไป” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินและอพยพหนีไฟ ประจำปี 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
บขส. ฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินและอพยพหนีไฟ ประจำปี 2565
.....
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินและอพยพหนีไฟ ประจำปี 2565 โดยมี ผู้บริหาร พนักงาน บขส. รถร่วมบริการฯ พนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เข้าร่วมการฝึกซ้อมฯ ณ บริเวณอาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร)
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า บขส. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สถานีดับเพลิงสุทธิสาร สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ หน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลวิชัยเวช ในการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินและอพยพหนีไฟ เสมือนจริง โดยมีการจำลองสถานการณ์ เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณศูนย์อาหารชั้น 4 (ทิศใต้) อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1 ราย และทีมดับเพลิง ได้เข้าช่วยเหลือนำตัวออกมาจากจุดเกิดเหตุ จากนั้นหน่วยกู้ชีพ จากโรงพยาบาลวิชัยเวช ได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เพื่อรักษาตัวต่อไป นอกจากนี้ ในการฝึกซ้อมแผนฯ เจ้าหน้าที่จากสถานีดับเพลิงสุทธิสาร ได้สาธิตวิธีการดับเพลิง กรณีเกิดเหตุแก๊สรั่วและมีไฟลุกไหม้ และให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุอัคคีภัยด้วย
ทั้งนี้ บขส. ได้จัดฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินและอพยพหนีไฟ เป็นประจำทุกปี เพื่อให้สอดคล้องตามกฎกระทรวง เรื่อง “กำหนดมาตรฐานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ.2555” ที่กำหนดให้สถานประกอบกิจการ ต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจและการเตรียมความพร้อมให้พนักงานบริษัทฯ ทราบถึงแนวทางปฏิบัติ เมื่อเกิดเหตุอัคคีภัย เพื่อลดความสูญเสียบุคลากรและทรัพย์สิน สามารถควบคุมสถานการณ์ และปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินได้ตามขั้นตอนเมื่อเกิดเหตุจริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62471 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM orders beefing up of security for tourists as number of foreign travelers continues on the rise | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
PM orders beefing up of security for tourists as number of foreign travelers continues on the rise
PM orders beefing up of security for tourists as number of foreign travelers continues on the rise
December 8, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has closely followed up with Thailand’s tourism situation, which shows an upward trend of incoming foreign tourists. He also instructed concerned agencies, i.e., Ministry of Transport, Ministry of Public Health, Ministry of tourism and Sports, Ministry of Interior, and the Royal Thai Police, as well as tourism business operators, to beef up security measures in all places and ensure public health safety.
According to the report of Ministry of tourism and Sports, as of the end of November 2022, or the first 11 months of the year, 9.09 million foreign travelers have visited Thailand, 1.73 million of whom is recorded in November only. The Government is certain that the total number of foreign tourists in 2022 would soon break the target of 10 million. Ensuring safety of both Thai and foreign tourists, who have chosen Thailand as one of their first tourism destinations after the ease of COVID-19 pandemic, is, therefore, very important to maintain their confidence in traveling in the country.
Based on several polls and information related to international tourism, a number of Thailand’s attractions and provinces have been in the top ranks among the world’s popular tourist attractions. The latest is CNBC’s report on the survey of more than 12,000 respondents from InterNations, an online expat community with more than 4.5 million global members, on top cities to live and work abroad, according to which Bangkok ranks 6th.
The top cities to live and work abroad in 2022, according to the survey, are: 1. Valencia, Spain; 2. Dubai, United Arab Emirates; 3. Mexico City, Mexico; 4. Lisbon, Portugal; 5. Madrid, Spain; 6. Bangkok, Thailand; 7) Basel, Switzerland; 8) Melbourne, Australia; 9) Abud Abi, UAE; and 10) Singapore.
The survey found that 79% of respondents are happy with life in general in Thailand, while 69% are happy with the cost of living, 54% say making new friends is easy, 66% are happy with their job, 68% are happy with their work-life balance, and 82% are happy with the quality of medical care.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพวงมาลาหลวง ดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน แก่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพวงมาลาหลวง ดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน แก่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
จากเหตุระเบิดขณะกำลังเก็บกู้รถพ่วงตกรางระหว่างสถานีคลองแงะ-ปาดังเบซาร์ ยังความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่พนักงานคนรถไฟและครอบครัว
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และนายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เชิญพวงมาลาพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ไปวางที่หน้าหีบศพนายนวฤทธิ์ สุวรรณ - ชาตรี เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณรางรถไฟ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 โดยตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาหมู่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลโคกม่วง อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา นายภูมิพัทธ์ เพชรสุก เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดโคกสมานคุณ อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา และนายยิ่งศักดิ์ ชุมตรี เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดแจ้ง ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่ นายดีเด่น คงสม นายนพดล ปานมา นายธีรพงศ์ หนูคง และนายฉัตรชัย นิตรจลานนท์ เจ้าหน้าที่รฟท. ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณรางรถไฟ และเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา “การได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระกรุณาในครั้งนี้ยังความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระกรุณา อันหาที่สุดมิได้ แก่พนักงานคนรถไฟ ตลอดจนครอบครัวของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62464 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ รัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
นายกฯ ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ รัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ
นายกฯ ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ รัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย
วันนี้ (8 ธ.ค.65) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศ บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้การขับเคลื่อนการพัฒนาบรรลุผลและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนมุ่งสู่ประเทศไทย 4.0 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) โดยความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งประเทศไทยและทั่วโลกต่างให้ความสำคัญอย่างมากเนื่องจากขณะนี้โลกกำลังขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดังนั้นประเทศไทยและทุกคนจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ซึ่งเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเรื่องใหม่ที่ภาครัฐต้องเร่งศึกษาและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในระยะต่อไป โดยเฉพาะการนำไปขับเคลื่อน Next Generation Growth ตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ ในดำดับแรกภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญกับการสร้างบุคคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ AI ในสาขาต่าง ๆ ที่ตรงตามความต้องการของภาคเอกชน ตลอดจนสร้างระบบการรับรองคุณวุฒิของบุคลากรที่เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและสากล นอกจากนี้ ภาครัฐต้องเน้นการสร้างสภาพแวดล้อม (Eco System) ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่องและไม่เกิดการปิดกั้นทางความคิด รวมไปถึงการออกกฎหมายหรือระเบียบเพื่อกำกับดูแล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาความต้องการ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผลกระทบของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการอย่างรอบคอบ เพื่อให้กฎระเบียบเอื้อต่อการส่งเสริมสนับสนุนการสร้าง Eco System ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการฯ ในแต่ละช่วงเวลาด้วย
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ภาครัฐเตรียมการให้พร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะการเร่งพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทยให้เพียงพอสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ โดยให้ภาครัฐประสานความร่วมมือในการทำงานกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันดำเนินงานขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ขณะเดียวกันการดำเนินการต่าง ๆ ก็ขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชนและคนรุ่นใหม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายร่วมกัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) สู่การปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของประเทศให้เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน เป็นรูปธรรม และยั่งยืน เน้นสร้างและพัฒนากำลังคนให้มีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ในทุกระดับ ทั้งการผลิตและใช้งานเทคโนโลยี AI รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบริการ AI เพื่อส่งเสริมการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สามารถเข้าถึงและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการใช้งานเริ่มที่ 15 ล้านครั้งในปี 2566 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ จะกำกับดูแลบูรณาการการทำงานสู่การปฏิบัติ และย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์เชิงรุก เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565–2570) ให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ที่มุ่งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วน และเชื่อมโยงแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570 โดยมีเป้าประสงค์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ สร้างคนและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ส่งเสริมการพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 13,500 คนต่อปี ผ่านหลักสูตรการอบรมพัฒนาทักษะความรู้ที่เหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นสูง คือ กลุ่มนักวิจัยและนักพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (2) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นกลาง คือ กลุ่มนวัตกรและวิศวกร และ (3) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นต้น คือ กลุ่มอาชีพการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถใช้งานบริการปัญญาประดิษฐ์ขั้นต้นในกลุ่มอาชีพของตนเอง
2. จัดทำแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) รองรับการให้บริการปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวในการสร้างนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ให้แก่ทุกภาคส่วนภายในประเทศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งบูรณาการความร่วมมือเพื่อดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1: เตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ การพัฒนาข้อกำหนด กฎหมาย มาตรฐาน และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ AI ของประเทศ การสื่อสาร และการสร้างการรับรู้ด้านจริยธรรม AI ยุทธศาสตร์ที่ 2: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสร้างเครือข่ายเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พัฒนาศูนย์เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ พัฒนาแพลตฟอร์มกลางระดับประเทศเชิงบูรณาการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการประมวลผลและการคำนวณขั้นสูง ยุทธศาสตร์ที่ 3: เพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ทุกระดับการเรียนรู้ สนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรสู่ภาคธุรกิจ พัฒนากลไกความร่วมมือกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 4: พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่กลุ่มสาขาเป้าหมาย พัฒนาเทคโนโลยีฐาน (Core Technology) และการวิจัยเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มด้านปัญญาประดิษฐ์ และยุทธศาสตร์ที่ 5: ส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่ การใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งเสริมอุตสาหกรรมเชื่อมโยง AI สู่การใช้งาน พัฒนากลไก และ Sand Box เพื่อนวัตกรรม ทางธุรกิจ และ AI Startup
สำหรับภาพรวมผลกระทบต่อประเทศ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2570 ได้แก่ (1) มีมูลค่าที่เกิดการจ้างงานและสร้างอาชีพในประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากบุคลากรที่มีทักษะทางด้านดิจิทัล และ AI รองรับการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้น (2) GDP ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการจากการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ตลอดจนการมีจำนวนผู้ประกอบการใหม่ด้านเทคโนโลยีในประเทศมากขึ้น (3) ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม จากการที่หน่วยงานภาครัฐนำ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานและการให้บริการ และ (4) ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถใช้ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ได้ในวงกว้าง สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ได้เพื่อสร้างประโยชน์และอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62476 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
กยศ. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานกองทุนของสถานศึกษา
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานกองทุนของสถานศึกษา โดยมี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาพิเศษผ่านระบบออนไลน์ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กล่าวแสดงความยินดีและมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ และนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กล่าวรายงานความเป็นมา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 กระทรวงการคลัง
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้เปิดเผยรายชื่อสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ จากสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนทั่วประเทศ จำนวน 313 แห่ง ในโอกาสนี้ กองทุนจึงได้จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานศึกษา 25 แห่งดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่สถานศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมของผู้กู้ยืม บ่มเพาะผู้กู้ยืมให้มีวินัยทางการเงิน ตลอดจนมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบในการชำระหนี้กองทุน ส่งผลให้กองทุนได้รับชำระเงินคืนกลับมาหมุนเวียนเพียงพอในการส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาต่อไป โดยจัดอันดับรายชื่อสถานศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรก ดังนี้
1. มหาวิทยาลัยพะเยา
2. มหาวิทยาลัยศิลปากร
3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
5. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
6. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
7. มหาวิทยาลัยมหิดล
8. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
9. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
10. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
11. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
12. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
13. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
14. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
15. มหาวิทยาลัยบูรพา
16. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
17. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 18. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
19. มหาวิทยาลัยแม่โจ้
20. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
21. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
22. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
23. สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
24. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
25. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
ปัจจุบัน กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาไปแล้วจำนวนกว่า 6.4 ล้านราย เป็นเงินให้กู้ยืมกว่า 7 แสนล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีการศึกษา มีจำนวนนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกว่า 600,000 คน มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานกับกองทุนทั่วประเทศกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งสถานศึกษาทุกแห่งล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถ อีกทั้งยังช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักศึกษา ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศให้เติบโตขึ้นเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เชิญชวนประชาชน และกลุ่ม 608 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อนเที่ยวปีใหม่ ลดโอกาสติดเชื้อ อาการรุนแรง และเสียชีวิตจากโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
รัฐบาล เชิญชวนประชาชน และกลุ่ม 608 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อนเที่ยวปีใหม่ ลดโอกาสติดเชื้อ อาการรุนแรง และเสียชีวิตจากโควิด-19
รัฐบาล เชิญชวนประชาชน และกลุ่ม 608 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อนเที่ยวปีใหม่ ลดโอกาสติดเชื้อ อาการรุนแรง และเสียชีวิตจากโควิด-19
วันที่ 25 ธ.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก ขณะที่สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยยังคงพบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น จึงเชิญชวนให้ประชาชน ผู้ที่ได้รับวัคซีนมาแล้วเกิน 4 เดือน ให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน ก่อนจะถึงเทศกาลปีใหม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และสร้างความอุ่นใจให้คนในครอบครัวและคนรอบข้าง ว่าจะได้รับความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยสามารถเข้ารับวัคซีนที่โรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้นโยบายให้ทุกแห่งให้มีจุดที่พร้อมให้บริการวัคซีนแก่ประชาชน
ทั้งนี้ กลุ่ม 608 หรือผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควรต้องเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์และรับเข็มกระตุ้นเมื่อครบระยะเวลา เพื่อลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิต หากเกิดการติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่จะต้องรอรับบุตรหลานในช่วงเทศเทศกาลปีใหม่นี้ หากเกิดการติดเชื้อ การฉีดวัคซีนจะช่วยลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ซึ่งข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขล่าสุดได้ ระบุว่า กลุ่มผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด19 ขณะนี้คือ กลุ่ม 608 (ร้อยละ 95) และทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน
ในส่วนของเด็กกลุ่มอายุ 6 เดือน – 4 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด 19 ผู้ปกครองสามารถนำเด็กฉีดพร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันได้ เช่นเดียวกัน
“เทศกาลปีใหม่มีหลายกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น งานเลี้ยงสังสรรค์ กิจกรรมเฉลิมฉลอง กิจกรรมรวมญาติ รวมไปถึงการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวัง ไม่ประมาท โดยเฉพาะการใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ ควรป้องกันตนเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด มีคนจำนวนมาก”น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้ม FTA ส่งเสริมให้ยอดการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยไปตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้ม FTA ส่งเสริมให้ยอดการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยไปตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขชัด 10 เดือนนี้ยอดส่งออกตลาดคู่ FTA มูลค่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3%
วันนี้ (25 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่อุตสาหกรรมโคนมของไทยพัฒนาดีขึ้น มีมูลค่าการส่งออกสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทยไปตลาดต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้เปิดเผยข้อมูลการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมไปตลาดโลกในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2565) ซึ่งมีมูลค่า 499.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (มกราคม-ตุลาคม 2564) โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีความตกลงการค้าเสรี (FTA) มีมูลค่ากว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3 สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 94.1 โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ นมพร้อมดื่มยูเอชที นมถั่วเหลืองที่มีนมผสม เครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีนมผสม นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ความตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยขยายตัว ซึ่งไทยมีอยู่ทั้งหมด 14 ฉบับกับ 18 คู่ค้า โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นอันดับที่ 7 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียน ซึ่งการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมไปตลาดอาเซียนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 82 โดยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2565 คิดเป็นมูลค่า 407 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลาดคู่ FTA สำคัญที่ในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2565) ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ได้แก่ จีน ขยายตัว 27.9% ฮ่องกง ขยายตัว 13.1% ญี่ปุ่น ขยายตัว 121.6%
“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นต่อการเจรจาเพื่อเพิ่มความตกลงทางการค้าระหว่างมิตรประเทศ เป็นแนวทางที่รัฐบาลปฏิบัติเพื่อเปิดโอกาสกระตุ้นการค้าการส่งออกระหว่างกัน สำหรับสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทย มีมาตรฐาน และคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ สินค้านมและผลิตภัณฑ์นมยังถือเป็นสินค้าที่เข้ากับกระแสอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคต ทั้งในระดับอาเซียนและระดับโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง ผลิตภัณฑ์นมไทยให้มีคุณภาพ เป็นสินค้าที่สร้างโอกาสต่อประเทศและเศรษฐกิจไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนระวังข้อมูลบิดเบือน ให้ติดตามแถลงการณ์สำนักพระราชวังเท่านั้น | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เตือนระวังข้อมูลบิดเบือน ให้ติดตามแถลงการณ์สำนักพระราชวังเท่านั้น
ดีอีเอส เตือนระวังข้อมูลบิดเบือน ให้ติดตามแถลงการณ์สำนักพระราชวังเท่านั้น
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าเนื่องจากมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมีการให้ข้อมูลข่าวเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดาในโซเชียลมีเดียซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ติดตามอย่างใกล้ชิดพบว่ามีความบิดเบือนหรือเป็นข้อความเท็จ ซึ่งจะมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ทางกระทรวงดิจิทัลฯขอเตือนพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่ออย่าแชร์ส่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งการนำข้อมูลปลอมข่าวปลอมหรือแค่บางส่วนเข้าสู่ในระบบคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่การแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จเหล่านั้นอาจเข้าข่ายมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา14ได้ จึงขอให้ประชาชนติดตามแถลงการณ์สำนักพระราชวังเท่านั้น
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ย้ำลงทะเบียนร่วมใจแก้หนี้ได้วันนี้ถึงมกราคมปีหน้า สะท้อนพล.อ.ประยุทธ์มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อความเป็นธรรมและลดเหลื่อมล้ำ | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
"ทิพานัน" ย้ำลงทะเบียนร่วมใจแก้หนี้ได้วันนี้ถึงมกราคมปีหน้า สะท้อนพล.อ.ประยุทธ์มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อความเป็นธรรมและลดเหลื่อมล้ำ
"ทิพานัน" ย้ำลงทะเบียนร่วมใจแก้หนี้ได้วันนี้ถึงมกราคมปีหน้า สะท้อนพล.อ.ประยุทธ์มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อความเป็นธรรมและลดเหลื่อมล้ำ
วันที่ 25 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว แต่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสF8;bf -19 ยังคงภาระหนี้อยู่ จึงได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ แก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิม สร้างรายได้ผ่านการอาชีพและอาชีพเสริม และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนด้วยการส่งเสริมทักษะในการประกอบอาชีพ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันจัดงาน "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยมีเจ้าหนี้เข้าร่วมกว่า 60 ราย เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาเต็มที่ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยได้จัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน”สัญจร 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ และเปิดให้มีการลงทะเบียน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ออนไลน์” ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์มากกว่า 170,000 รายแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม) คิดเป็นจำนวนรายการสะสมมากกว่า 380,000 รายการ ประกอบด้วย ลูกหนี้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 35% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19% ภาคกลาง 12% และภาคอื่นๆ 34% ของลูกหนี้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด ส่วนประเภทสินเชื่อที่มีการลงทะเบียนสูงสุดคือ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 75% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 6% และจำนำทะเบียนรถ 4%
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากที่สุด ตามนโยบายที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียนออกไป จากเดิมที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการลงทะเบียน 30 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันที่ 31 มกราคม 2566 โดยลงทะเบียนได้ที่ www.bot.or.th/debtfair ควบคู่ไปกับการจัดงานมหกรรมสัญจรที่จัดมาแล้ว 3 ครั้งที่กรุงเทพฯ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมามีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยมีโครงการไปจัดงานมหกรรมสัญจรในภาคตะวันออก และภาคใต้อีก 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 4 ที่จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 20 – 22 มกราคม 2566 ที่ ศาลาประชาคมเทศบาลเมืองบ้านสวน และครั้งที่ 5 จังหวัดสงขลา วันที่ 27 – 29 มกราคม 2566 ที่ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พี่น้องประชาชนที่สนใจ และต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร. 1213 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น. Chatbot หมอหนี้ Line @doctordebt Email:[emailprotected] หรือติดต่อ Call Center เจ้าหนี้ที่ร่วมในมหกรรมร่วมใจแก้หนี้
“พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนมาตลอด ประกอบกับการออกมาตรการมาช่วยเหลือประชาชน และ ผู้ประกอบการเพื่อประคับประคองธุรกิจ การจ้างงาน ผ่านระบบประกันสังคม บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมๆกับการทำงานเชิงรุก แก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าด้วย TPMAP และวางรากฐานด้วยเตรียมผลิตคน เพื่อให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ แลอุตสาหกรรมใหม่ รองรับความเปลี่ยนแปลงของโลก สะท้อนความมุ่งมั่นในการแก้ไจปัญหาปากท้อง สร้างโอกาสและยกระดับรายได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน หลังกรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์โรคหูดับในไทย ปี 65 มีผู้ป่วยแล้ว 349 ราย เสียชีวิต 6 ราย เตือนกินเลี้ยงสังสรรค์ ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน หลังกรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์โรคหูดับในไทย ปี 65 มีผู้ป่วยแล้ว 349 ราย เสียชีวิต 6 ราย เตือนกินเลี้ยงสังสรรค์ ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยสุขภาพประชาชน หลังกรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์โรคหูดับในไทย ปี 65 มีผู้ป่วยแล้ว 349 ราย เสียชีวิต 6 ราย เตือนกินเลี้ยงสังสรรค์ ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง พร้อมเตือนดื่มสุราคลายหนาว เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยสุขภาพของประชาชน ภายหลังข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคหูดับในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 23 พฤศจิกายน 2565 มีผู้ป่วยโรคหูดับ 349 ราย มีผู้เสียชีวิต 6 ราย ได้แก่ จ.เชียงใหม่ 2 ราย จ.เชียงราย 1 ราย จ.เพชรบูรณ์ 1 ราย จ.กำแพงเพชร 1 ราย และ จ.หนองคาย 1 ราย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหูดับ เกิดจากรับประทานหมูดิบ เช่น ลาบหมูดิบ ลาบเลือดดิบ เนื้อหมูสุก ๆ ดิบ ๆ ปรุงไม่สุก อีกทั้งโรคนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางบาดแผล รอยถลอก และทางเยื่อบุตา เมื่อได้รับเชื้อโรคไข้หูดับเข้าไปแล้ว ทำให้ผู้ติดเชื้อมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน ถ่ายเหลว คอแข็ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สูญเสียการได้ยิน ถึงขั้นหูหนวกถาวร ข้ออักเสบ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังติดเชื้อ รุนแรงถึงติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิตได้
นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า กรมควบคุมโรคได้แนะนำให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงปีใหม่ โดยเฉพาะการทำอาหารรับประทานกันเองในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน ๆ หากนำเนื้อหมูมารับประทานดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบ หลู้หมูดิบ หรือปิ้งย่างหมูกระทะ ควรระวังโรคหูดับ ดังนี้ 1. ควรรับประทานหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น 2. อาหารปิ้งย่าง ควรมีอุปกรณ์คีบหมูดิบแยกต่างหาก ไม่ควรใช้ตะเกียบคีบหมูดิบ แล้วนำมารับประทาน และขอให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” 3. ไม่ควรรับประทานเนื้อหมูดิบร่วมกับการดื่มสุรา 4. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาของหมู 5. ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง
“ในช่วงนี้เป็นช่วงปลายปีเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ที่จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ ซึ่งประชาชนนิยมรับประทานอาหารประเภท ชาบู หมูกระทะ กันเป็นจำนวนมาก จึงขอแนะนำให้ควรปิ้งย่าง ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง ไม่รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือเลือดหมูสุก ๆ ดิบ ๆ เพื่อป้องกันโรคหูดับที่เกิดจากเชื้อสเตปโตค็อกคัสซูอิส (Streptococcus suis) ปนเปื้อนอยู่ โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย ซึ่งนอกจากกินเนื้อดิบแล้ว เชื้อนี้ยังสามารถเข้าทางบาดแผล หรือรอยถลอก ขีดข่วนตามร่างกาย หรือทางเยื่อบุตาได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สูญเสียการได้ยิน ถึงขั้นหูหนวกถาวรได้ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังไม่รับประทานเนื้อหมูดิบ เพราะอาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อโรคหูดับได้ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นายอนุชาฯ กล่าว
นอกจากนี้ นายอนุชาฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีสภาพอากาศหนาวเย็น กรมควบคุมโรคยังได้ออกคำเตือนการดื่มสุราคลายหนาวเสี่ยงอันตรายถึงตาย เพราะการดื่มสุราจะส่งผลให้หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะขยายตัวทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเพียงชั่วครู่ อุณหภูมิของร่างกายลดลงเสี่ยงการเกิดภาวะไฮโปเทอร์เมีย (ภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิลดต่ำเกิน) หัวใจและสมองไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง รวมทั้งจะทำให้ ง่วง ซึม และอาจหลับไปท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการดื่มสุราคลายหนาว เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว โดยขอให้เตรียมร่างกายให้พร้อมรับอากาศหนาว ด้วยการสวมเสื้อผ้าหนา ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำอุ่น ๆ และเครื่องดื่มอุ่น ๆ อาบน้ำอุ่นในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมให้ร่างกายอบอุ่นได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63078 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" เผยราชทัณฑ์-พินิจ เปิดเยี่ยมญาติช่วงปีใหม่ เป็นของขวัญให้ญาติ-ผู้ต้องขัง หวังช่วยลดความเครียด สร้างกำลังใจให้พร้อมฝึกอบรม-พัฒนาตัวเอง ยันมีมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
"สมศักดิ์" เผยราชทัณฑ์-พินิจ เปิดเยี่ยมญาติช่วงปีใหม่ เป็นของขวัญให้ญาติ-ผู้ต้องขัง หวังช่วยลดความเครียด สร้างกำลังใจให้พร้อมฝึกอบรม-พัฒนาตัวเอง ยันมีมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
"สมศักดิ์" เผยราชทัณฑ์-พินิจ เปิดเยี่ยมญาติช่วงปีใหม่ เป็นของขวัญให้ญาติ-ผู้ต้องขัง หวังช่วยลดความเครียด สร้างกำลังใจให้พร้อมฝึกอบรม-พัฒนาตัวเอง ยันมีมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ กรมราชทัณฑ์และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยให้เรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่ง จัดกิจกรรมเยี่ยมญาติในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ที่เรือนจำ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.65 - 2 ม.ค.66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ญาติและผู้ต้องขัง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ต้องขังให้มีความพร้อมที่จะรับการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาพฤตินิสัยในการกลับตนเป็นคนดี ภายใต้มาตรการคัดกรองและ ป้องกันโรค (DMH) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้เปิดให้บริการญาติเยี่ยมทางไกลกรณีผู้ปกครองไม่สามารถเดินทางมาที่ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน และให้บริการญาติเยี่ยมกรณีผู้ปกครองมาเยี่ยมเด็ก/เยาวชนในสถานพินิจฯ ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนแบบใกล้ชิดให้เวลาเยี่ยมครั้งละ 45 นาที โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.65 - 8 ม.ค.66 ที่สถานพินิจฯ รวมถึงศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
"การเปิดให้ญาติได้เข้าเยี่ยมในช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นการช่วยลดความเครียดของผู้ต้องขังและเด็ก ให้โอกาสพวกเขาได้พบครอบครัวและคนที่เขารัก ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ เพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะได้รับการฝึกงาน ฝึกอาชีพ มีความพร้อมที่จะออกไปสู่สังคมได้อย่างปกติสุข และยังเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย กระทรวงยุติธรรมเล็งเห็นในจุดนี้ และอยากให้ทุกคนมีกำลังใจในการฝึกและขอให้ตั้งใจ เมื่อพ้นโทษจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างปกติสุข ซึ่งในการเปิดเยี่ยมนั้นเราก็ได้มีการคัดกรองโรคและป้องกันตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข "นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63080 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองนครพนม ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อมุ่งส่งเสริมประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ 76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
พ่อเมืองนครพนม ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อมุ่งส่งเสริมประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ 76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา
พ่อเมืองนครพนม ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อมุ่งส่งเสริมประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ 76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 65 นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่อำเภอบ้านแพงและอำเภอโพนสวรรค์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายในการขับเคลื่อนแนวนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของรัฐบาล กระทรวง กรม ต่าง ๆ ให้แก่นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการ "พัฒนาคน" ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ โดยขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของรัฐบาล และ ทุกกระทรวง กรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGS) ในทุกมิติตามหลักภูมิสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดังเจตนารมณ์ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ร่วมกันลงนามกับ UN ประจำประเทศไทย "76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา" ซึ่งในวันนี้ ตนได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจให้แก่ท่านนายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีแนวทางขับเคลื่อนภายใต้ 4 แนวทางหลัก คือ 1) หน้าบ้าน น่ามอง นครพนมน่าอยู่ 2) นำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาใช้ 3) ยึดเป้าหมายการทำงานที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม และ 4) ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยให้มุ่งเน้นที่การบูรณาการการทำงานร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์กำหนดทิศทางการบริหารจัดการงานพื้นที่ การพัฒนาคน เพื่อหนุนเสริมให้กิจกรรมต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน อันเป็นการ Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นในพื้นที่ โดยยึดพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนมเป็นศูนย์กลาง สอดคล้องกับปณิธานแห่งการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข"
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญทำให้คนในชุมชนหันมาสนใจที่จะปลูกผักเพื่อบริโภคเองด้วยเมล็ดพันธุ์ที่ดีจากต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง สร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ สร้างความรู้สึกว่าการปลูกผักสวนครัวไม่ใช่เรื่องยาก ปลูกแล้วครอบครัวจะมีผักที่ปลอดภัยหมุนเวียนกินตลอดปี อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อีกด้วย ต่อมาคือ โครงการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ที่ช่วยลดปริมาณขยะเปียกหรือขยะอินทรีย์ เเล้วเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเพื่อบำรุงดิน สอดคล้องกับการรณรงค์ของกระทรวงมหาดไทยในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ภายใต้เเนวคิด อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน หรือ Soils, where food begins. โครงการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม เพื่อรองรับผู้ป่วยยาเสพติดที่ได้รับการบำบัดรักษามาเเล้ว เเละต้องการปรับสภาพก่อนเข้าสู่สังคมด้วยทักษะการเข้าสังคม การฝึกอาชีพซึ่งเน้นที่การเกษตร เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงให้เเก่ตนเองเเละครอบครัว เเม้ยังหางานทำไม่ได้ ก็ยังมีอาหารให้ได้รับประทาน เมื่อพืชผลทางการเกษตร มะเขือ พริก เห็ด ปลา เป็ด ไก่ ฯลฯ มีเหลือจากการเเบ่งปันเเล้ว ก็นำสินค้าผลผลิตไปขายต่อสามารถสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อมาเลี้ยงตนเองเเละครอบครัวได้ ทั้งนี้ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้รับทราบผลการดำเนินงาน อุปสรรค สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งได้มีการหารือแนวทางการเเก้ไขปัญหา รวมถึงให้เเนวคิดเพื่อผลักดันให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุดในพื้นที่ นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนในทุกมิติอย่างเเท้จริง
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63082 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 26 ธ.ค.65 - 1 ม.ค.66 พร้อมรับของที่ระลึก | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 26 ธ.ค.65 - 1 ม.ค.66 พร้อมรับของที่ระลึก
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 26 ธ.ค.65 - 1 ม.ค.66 พร้อมรับของที่ระลึก
วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีสุขภาพดีส่งต่อโลหิตเป็นของขวัญให้กับผู้ป่วย ผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งหากบริจาคระหว่างวันที่ 26 – 31 ธันวาคม 2565 ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญที่ระลึก ปีใหม่2566 เป็นปฏิทินหนูแดง ปี 2566 ชุด คำถามยอดฮิตบริจาคโลหิต และเสื้อยืดลาย “Make a Wish New Year New Life”
ผู้สนใจสามารถ บริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) 7 แห่ง สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ (บางแค) ชั้น P เดอะมอลล์ (บางกะปิ) ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ (งามวงศ์วาน) ชั้น 5 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขาท่าพระ ชั้น 1 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม สุขุมวิท ชั้น M บ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)
ทั้งนี้ สามารถเช็คสถานที่บริจาคโลหิตที่ร่วมโครงการได้ที่ https://shorturl.asia/heHyn
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63079 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยพี่น้องประชาชนทุกศาสนิกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร้อยรวมใจบำเพ็ญกุศลถวายพระพร "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ " ด้วยความจงรักภักดี | วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2565
25/12/2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยพี่น้องประชาชนทุกศาสนิกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร้อยรวมใจบำเพ็ญกุศลถวายพระพร "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ " ด้วยความจงรักภักดี
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยพี่น้องประชาชนทุกศาสนิกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร้อยรวมใจบำเพ็ญกุศลถวายพระพร "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรธิดา" ด้วยความจงรักภักดี
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในห้วงวันที่ 23-24 ธ.ค. 65 พี่น้องประชาชนทุกศาสนิกทั่วประเทศ ต่างพร้อมใจกันร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. จังหวัดจันทบุรี ที่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล หรือ โบสถ์โรมันคาทอลิกจังหวัดจันทบุรี บาทหลวงอดิศักดิ์ พรงาม เจ้าอาวาสอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล และนายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นำคณะสงฆ์ ซิสเตอร์ สภาภิบาลอาสนะวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จังหวัดจันทบุรี คริสต์ศาสนิกชน ชมรมรักกางเขนในจังหวัดจันทบุรี ตุลาการศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการเหล่ากาชาด แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดจันทบุรี ร่วมพิธี ขอบพระคุณ และสวดภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา แสดงถึงความจงรักภักดีและขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
2. จังหวัดอ่างทอง ที่อาคารธรรมไตร วัดนางในธัมมิการาม ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี ท่านผู้หญิงจำลอง แววพานิช เป็นประธานในพิธี และพระโสภณปริยัติเมธี เจ้าคณะอำเภอโพธิ์ทอง เจ้าอาวาสวัดนางในธัมมิการาม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลังจากนั้นได้ปล่อยปลาที่ซื้อจากท้องตลาด และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ บริเวณท่าน้ำวัดนางในธัมมิการาม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอ่างทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอวิเศษชัยชาญ นายอำเภอโพธิ์ทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรวิเศษชัยชาญ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน ร่วมพิธี
3. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1268 บริเวณบ้านเพลงรีสอร์ท และวัดโคกใหม่ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ตักบาตรและถวายภัตตาหารพระสงฆ์ธุดงค์ จำนวน 700 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา "พระองค์ภา"ให้ทรงหายจากพระประชวรโดยเร็ว โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด/อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนจิตอาสาฯ รวมถึงพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ มาร่วมใส่บาตรพระสงฆ์เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น
4. จังหวัดพะเยา ที่ วัดศรีโคมคำ พระอารามหลวง นายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีสืบชะตา เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยมีพระราชปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดพะเยา เจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์ทำพิธีสืบชะตา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมในพิธี หลังจากนั้นได้ร่วมกันปล่อยปลา ที่ ริมกว๊านพะเยา อำเภอเมืองพะเยา
5. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ วัดบ้านฝั่งแดง ตำบลอุ่มเม้า อำเภอธวัชบุรี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในพิธีไถ่โค-กระบือ จำนวน 30 ตัว ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้ทรงหายจากอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี นายปัญญา มูลคำกาเจริญ ปศุสัตว์จังหวัดร้อยเอ็ด นายดำรงศักดิ์ นาคีสังข์ นายอำเภอธวัชบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพสกนิกรชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
6. จังหวัดบึงกาฬ ที่ บริเวณสระหลวงบ้านบัวโคก ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานในพิธีไถ่ชีวิตโค และปล่อยสัตว์น้ำ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน โดยมีนายกเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด/อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดบึงกาฬ เข้าร่วมพิธี
7. จังหวัดหนองบัวลำภู ที่ วัดป่าศิริวรรณ บ้านโนนสวรรค์ หมู่ที่ 4 ตำบลหัวนา อำเภอเมืองหนองบัวลำภู นายประยูร อรัญรุท นายอำเภอเมืองหนองบัวลำภู เป็นประธานพิธีจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมเข้าปริวาสกรรม และบวชชีพราหมณ์ ประจำปี พ.ศ. 2565 และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมกลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และรับฟังพระธรรมเทศนา “การดำรงตนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรักษาวินัยในหน้าที่” ซึ่งแสดงออกซึ่งกตเวทิตาคุณและความจงรักภักดี
8. จังหวัดลำปาง ที่ มัสยิดอัลฟาลาฮ นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้มอบหมายให้ นายจำลักษ์ กันเพ็ชร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ร่วมพิธีขอพร (ดุอาอ์) จากอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
9. จังหวัดนครพนม ที่วัดมหาธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มอบหมายให้นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้หายจากอาการทรงพระประชวร โดยมี พระมหาประกาย ปญฺญาวชิโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
"ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันสมัครสมานสามัคคี ปฏิบัติกิจที่ชอบ ทำแต่ความดี และร่วมกับภาคีเครือข่าย ร่วมประกอบศาสนพิธีเพื่อบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พระผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทย ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน" ปลัด มท. กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมพิธีเปิดท่าเรือ ราชินี - บางโพ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ประจำปี 2566 ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมพิธีเปิดท่าเรือ ราชินี - บางโพ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ประจำปี 2566 ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต
...
อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมพิธีเปิดท่าเรือ ราชินี - บางโพ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ประจำปี 2566 ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต
วันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความพร้อม การจัดพิธีเปิดท่าเรือ ราชินี - บางโพ พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ และคณะทำงาน เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ประจำปี 2566 ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต ณ ท่าเรือราชินี และ ท่าเรือบางโพ
โดยการลงพื้นที่ติดตามความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้พิธีเปิดท่าเรือ ซึ่งจะจัดขึ้น ในวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ณ ท่าเรือบางโพ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยกระทรวงคมนาคม นำโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เรียนเชิญ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน ในพิธีเปิดในครั้งนี้ พร้อมจัดนิทรรศการ แสดงเส้นทางการเดินเรือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ออกมาเป็นรูปแบบ Art Gallery ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ รวมถึงวิวัฒนาการของการคมนาคมทางน้ำที่ผูกพันกับคนไทย โดยภายในงานเปิดท่าเรือ ราชินี และ ท่าเรือบางโพ จะจัดให้มีการแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ร.10 ที่ท่าเรือราชินี และนิทรรศการที่สื่อถึงความเป็น Center Pier ของท่าเรือบางโพที่เชื่อมโยง การเดินทางของประชาชน ทั้ง 3 รูปแบบ ล้อ ราง เรือ ที่เชื่อมกันอย่างราบรื่น พร้อมสำหรับ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สู่อนาคต
ทั้งนี้ การเปิดท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ อย่างเป็นทางการ ในครั้งนี้ จะสอดรับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่จะพัฒนาการให้บริการท่าเรือโดยสารสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ให้มีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในการเดินทาง ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่น (ล้อ-ราง-เรือ) ได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดปัญหาการคับคั่งของการจราจรทางบก ลดระยะเวลาในการเดินทาง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำและสร้างภาพลักษณ์การเดินทางของประเทศต่อไป
" ท่าเรือแห่งความสุข : HAPPY PIER : HAPPY NEW YEAR 2023 "
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เร่งจ่ายเงินคืนทายาทสมาชิก จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยล่ม | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
กบข. เร่งจ่ายเงินคืนทายาทสมาชิก จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยล่ม
จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปางกลางทะเล ที่มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย กบข.ตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิต ซึ่งมีบางรายเป็นสมาชิก กบข. จึงได้เร่งประสานงานหน่วยงานต้นสังกัดและทายาทของผู้เสียชีวิตทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือการดำเนินการขอรับเงิน กบข. คืน
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปางกลางทะเล ที่มีผู้เสียชีวิตและสูญหายนั้น กบข. ได้ตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิต ซึ่งมีบางรายที่เป็นสมาชิก กบข. ด้วย จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งประสานงานไปยังหน่วยงานต้นสังกัดและทายาทของผู้เสียชีวิตทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือการดำเนินการขอรับเงิน กบข. คืน
โดยขั้นตอนการขอรับเงินคืน ทายาทผู้เสียชีวิตจะต้องดำเนินการผ่านทางหน่วยงานต้นสังกัด หลังจากนั้นหน่วยงานจะส่งเรื่องการขอรับเงินคืนมายัง กบข. และจะสามารถดำเนินการจ่ายเงิน กบข. คืนภายใน 7 วันทำการ หลังจากที่ได้รับเอกสารถูกต้องครบถ้วน
ทั้งนี้ กบข. ขอแสดงความเสียใจและขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายทุกท่าน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook กบข. หรือ LINE กบข. @gpfcommunity หรือศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก โทร 1179
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on December 20, 2022. | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
The cabinet met on December 20, 2022.
Some of the resolutions are as follows:
Title: Draft Royal Decree on annulment of land which is domain public of state for common use of people in Na Jom Thien subdistrict, Sattahip district, Chonburi province, B.E. …
The cabinet approved the followings:
Approved in principle the draft Royal Decree on annulment of land which is domain public of state for common use of people in Na Jom Thien subdistrict, Sattahip district, Chonburi province, B.E. …, as proposed by Ministry of Interior, and ordered for the draft Royal Decree to be forwarded to Office of Council of State
Ministry of Interior is to take opinions of Ministry of Agriculture and Cooperatives and Ministry of Transport into consideration
Office of the Attorney General is to take opinions of Office of National Economic and Social Development Council into consideration
Gist
The draft Royal Decree prescribes annulment of land which is domain public of state for common use of people in Na Jom Thien subdistrict, Sattahip district, Chonburi province, with the approximate area of 20 rai 2 ngan 52 square wah, for Office of the Attorney General’s use as location of its provincial office and public prosecutor residence.
Title: Draft Royal Decree on exemption of toll fee for Motorway No. 7 and No. 9 for a specified period (No. …) B.E. … (During New Year Holiday of 2023)
The cabinet approved in principle the draft Royal Decree on exemption of toll fee for Motorway No. 7 and No. 9 for a specified period (No. …) B.E. …, as proposed by Ministry of Transport.
Gist
The draft Royal Decree prescribes exemption of toll fee for Motorway No. 7 (Bangkok-Ban Chang), and No. 9 (Kanchanaphisek Rd.: - Bang Phli - Phra Pradaeng) from 0001hrs of December 29, 2022 to 2400hrs of January 4, 2023. This is to facilitate people’s traveling during the long holidays.
Title: Establishment of Department of Climate Change and Environment
The cabinet acknowledged an establishment of the Department of Climate Change and Environment, as proposed by Ministry of Natural Resources and Environment.
Gist
TheDepartment of Climate Change and Environmentwill consist of 6 divisions: Office of the Secretary, the Strategic and International Cooperation Division, the Greenhouse Gas Reduction Division, the Climate Adaptation Division, the Promotion of Climate Change and Environmental Participation Division, and the Climate Change and Environmental Research Center.
The Department is responsible for proposing and developing strategies, plans, and programs for the country’s climate change management and adaptation and greenhouse gas reduction, and translating related policies into action.
Title: Request for allocation ofGovernment’s central fund for contingency and emergency (FY2023) for cooking gas subsidy for low-income earners
The cabinetapproved 302.5 million Baht in budget from the Government’s central fund for contingency and emergency to the Department of Energy Business. This is as proposed by Ministry of Energy.
Gist
The budget allocation has earlier been approved by the cabinet to subsidize cooking gas expenses for approx. 5.5 million state welfare card holders through the 100 baht per month subsidy given for 3 months to alleviate the burden of low-income earners during October 25 and December 31, 2022.
However, Ministry of Energy was of the view that the LPG prices remain high, and there is a need to extend the subsidy period to continue alleviating the burden of low-income earners. The extension of the 100 baht per month subsidy is, therefore, approved for the period of 3 months from January- March 2023.
Title: Action plan and budget for Thailand’s participation in the Expo 2025 Osaka Kansai
The cabinet has made approval to the action plan and budget for Thailand’s participation in the Expo 2025 Osaka Kansai, as proposed by Ministry of Public Health.
Gist
Thailand is scheduled to participate in the Expo 2025 Osaka Kansai, to be held at Yumeshima Island, Osaka, Japan during April 13- October 13, 2025 (6 months) with the theme: "Designing Future Society for Our Lives", with sub-themes of "Saving Lives", "Empowering Lives" and "Connecting Lives". This is a World Expo, held once every 5 years by the Bureau International des Expositions (BIE). Ministry of Public Health will be the main agency in administering the Thai Pavilion, which will be exhibited under theme: “THAILAND Empowering Lives for Greatest Happiness”.
Ministry of Public Health’s Department of Health Service Support has had several meetings with other concerned agencies to come up with Thailand’s exhibition plan and format, and budget to be proposed to the cabinet for approval.
Thailand Pavilion, named “VIMAN THAI”, will be constructed in the zone “Connecting Lives” with 3,500 square meters in the exhibition area. VIMAN THAI will be divided into 5 zones, called “S.M.I.L.E.”, which comprises: 1) S: SIAM (Thailand-related exhibition); 2) M: Medical Hub (Thailand as international medical hub); 3) I: Intelligence toward innovation (food and herb production capacity and technologies); 4) L: Living Lab (workshops and activities); and 5) E: Enhanced and Enjoy our family (showcasing Thailand – Japan relations of over 600 years).
The budget will be allocated from FY2023-2026 budget (4 years) for the total amount of 973.48 million Baht, and will be used for administration and preparation (105.60 million Baht), and exhibition operation (867.88 million Baht). According to the Deputy Government Spokesperson, Thailand’s participation in the Expo 2025 Osaka Kansai will be a good opportunity for the country to showcase its image and reputation as international medical hub, strengthen relations and cooperation with other countries, and exchange knowledge and experiences on medical technology and innovation, as well as to expand market for health and medical business operators.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้ม ทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมในรายการแข่งขัน Sea age group swimming championships 2022 ครั้งที่ 44 คว้าเหรียญรางวัล 129 เหรียญ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้ม ทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมในรายการแข่งขัน Sea age group swimming championships 2022 ครั้งที่ 44 คว้าเหรียญรางวัล 129 เหรียญ
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้ม ทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมในรายการแข่งขัน Sea age group swimming championships 2022 ครั้งที่ 44 คว้าเหรียญรางวัล 129 เหรียญ สร้างประวัติศาสตร์จ้าวสระของรายการแข่งขันนี้ในรอบ 10 ปี
วันที่ 23 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบว่า นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้เป็นจำนวนมาก จากการแข่งขันว่ายน้ำ Sea age group swimming championships 2022 ครั้งที่ 44 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2565 โดยมี 8 ประเทศในอาเซียนเข้าร่วม ได้แก่ มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในการแข่งขันรายงานนี้ ประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 89 คน ซึ่งทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย สามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสามารถทำผลงานไปได้ทั้งหมด 58 เหรียญทอง 43 เหรียญเงิน และ 28 เหรียญทองแดง รวมเหรียญรางวัลทั้งหมดที่ประเทศไทยสามารถคว้ามาได้ 129 เหรียญ ขึ้นแท่นตำแหน่งจ้าวสระของรายการแข่งขันนี้ในรอบ 10 ปี โดยในการแข่งขันครั้งนี้ เป็นการประเมินความพร้อมของนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย เพื่อเตรียมการแข่งขันในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2023 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศกัมพูชา
“นายกรัฐมนตรียินดีทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยที่สามารถทำผลงานยอดเยี่ยมในการแข่งขันครั้งนี้ พร้อมชื่นชมและขอบคุณทัพนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตั้งใจฝึกซ้อม จนสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยนักกีฬาชุดนี้จะเป็นตัวแทนของนักกีฬารุ่นใหม่ที่จะมาต่อยอดความสำเร็จของนักกีฬารุ่นพี่ในอนาคต ในการแข่งขันรายการอื่นๆต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63043 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล รุดให้กำลังใจผู้ประกอบการในงาน OTOP City 2022 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ปลัดฯ ณัฐพล รุดให้กำลังใจผู้ประกอบการในงาน OTOP City 2022
ปลัดฯ ณัฐพล รุดให้กำลังใจผู้ประกอบการในงาน OTOP City 2022
วันนี้(22ธันวาคม2565)ดร.ณัฐพลรังสิตพลปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมด้วยนางสาวณัฏฐิญาเนตยสุภารองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมตรวจเยี่ยมบูธของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในงานOTOP City 2022ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด“มอบความสุขจากภูมิปัญญาส่งต่อคุณค่าจากฝีมือคนไทย”โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่17 – 25ธันวาคม2565ณอาคารชาเลนเจอร์1 - 3ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานีทั้งนี้คาดว่าตลอดการจัดงานจะสามารถสร้างรายได้ให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า500ล้านบาทพร้อมทั้งช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและสามารถกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างทั่วถึง
สำหรับภายในพื้นที่จัดแสดงของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น3โซนดังนี้
โซนที่1นิทรรศการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์OTOPของผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายภายใต้แนวคิด“OTOPชุมชนดีพร้อม”ประกอบด้วย1)นิทรรศการจัดแสดงผลิตภัณฑ์OTOPที่ผ่านการพัฒนาจากกระทรวงอุตสาหกรรม2)สาธิตกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ต่างๆจากผู้ผลิตเช่นการย้อมผ้าฝ้ายด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ3)กิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้(Share & Learn)
โซนที่2 DIPROM Gift Shopของขวัญปีใหม่จากใจชาวดีพร้อมเป็นการนำผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตผู้ประกอบการOTOPที่เคยเข้าร่วมโครงการกับกระทรวงอุตสาหกรรมมาจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าจำนวน5รูปแบบคือ1) Healthy DIPROM 2) Tasty DIPROM 3) Beauty DIPROM 4) Happy DIPROM 5) Luxury DIPROM
โซนที่3การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆของกระทรวงอุตสาหกรรมเช่นบูธเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทยเพื่อให้บริการคำปรึกษาแนะนำในด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการและบูธศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรมดีพร้อม(DIPROM BSC)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นราพัฒน์ ถก 3 ประเด็นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและหน่วยงานท้องถิ่น ผ่านเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
นราพัฒน์ ถก 3 ประเด็นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและหน่วยงานท้องถิ่น ผ่านเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
นราพัฒน์ ถก 3 ประเด็นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและหน่วยงานท้องถิ่น ผ่านเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 11/2565 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม นายนราพัฒน์ ได้นำปัญหาจากเกษตรกร ประชาชน และหน่วยงานปกครองท้องถิ่นที่ได้รับมาจากการลงพื้นที่ เข้าที่ประชุมเพื่อเร่งรัดหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมี 3 ประเด็น ดังนี้
1. เรื่องเร่งรัดการอนุญาติให้หน่วยงานต่างๆ เข้าไปพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคาร ถนน และสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่ป่า เพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก จากการที่องค์การปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถเข้าไปปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ ตัวอย่างเช่น การซ่อมศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ในพื้นที่ป่า ก็ต้องรอการอนุญาติจากกระทรวงทรัพฯ ก่อน ซึ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเดือดร้อนในชุมชน
2. เรื่องการดำเนินคดีและการออกระเบียบกฎเกณฑ์การเข้าไปทำกินและเก็บผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านในพื้นที่ป่าให้ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทของวิถีชีวิตชุมชน ยกตัวอย่างเช่น การทำเกษตรปลูก บุก ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ได้มีข้อตกลงการใช้พื้นที่ทำการเกษตรแล้ว แต่เมื่อเข้าช่วงเก็บผลผลิตและขนส่งไปขาย ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอยู่ แม้แปลงปลูกจะมีการรับรองแล้วก็ตาม
3. เรื่องการเปิดช่องพิจารณาเร่งด่วนสำหรับการอนุญาติขุดบ่อบาดาลเพื่อการเกษตร ซึ่งอยากให้เร่งรัดเปิดช่องพิจารณาแยกจากการขุดบ่อบาดาลเพื่อประโยชน์อื่นๆ หรือตั้งกรรมการพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่เป็นปัญหาหลักของเกษตรกรในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งน้ำ
โดยผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ยืนยันว่าทางกระทรวงทรัพฯ จะเร่งดำเนินการหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และจะเร่งจัดการและกำชับให้แต่ละจังหวัดปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างดีที่สุด โดยได้กล่าวขอบคุณนายนราพัฒน์เป็นอย่างมากที่ได้นำประเด็นจากพื้นที่มาหารือ ซึ่งเป็นการแสดงความห่วงใยที่จริงใจต่อพี่น้องประชาชน
นอกจากนี้นายนราพัฒน์ยังได้ยื่นเรื่องติดตามปัญหาต่างๆ ที่ทางตัวแทนประชาชนแต่ละจังหวัดได้เคยยื่นมาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เช่น ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินในเขตป่า ปัญหาเรื่องที่ดินในการก่อสร้างระบบชลประทานโครงการต่างๆ และปัญหาแนวเขตที่ดินทับซ้อน เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจ้งเหตุรถแท็กซี่ ฝ่าเครื่องกั้นถนน ชนกับขบวนรถชานเมืองที่ 339 กรุงเทพ - ชุมทางแก่งคอย | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
รฟท. แจ้งเหตุรถแท็กซี่ ฝ่าเครื่องกั้นถนน ชนกับขบวนรถชานเมืองที่ 339 กรุงเทพ - ชุมทางแก่งคอย
บริเวณจุดตัดรถไฟระหว่างสถานีบางเขน - หลักสี่
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) เวลาประมาณ 05.50 น. เกิดเหตุขบวนรถชานเมืองที่ 339 กรุงเทพ - ชุมทางแก่งคอย ได้ชนกับรถแท็กซี่ยีห้อ โตโยต้า อัลติส สีเขียว-เหลือง ทะเบียน 1 มท.5569 กรุงเทพมหานคร บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 15/11 ระหว่างสถานีบางเขน - หลักสี่ (แยกนอร์ธปาร์ค แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.) ซึ่งเป็นจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ-รถยนต์ มีเครื่องกั้นถนนชนิดคานอัตโนมัติ (ก.1) พร้อมป้ายเตือนครบถ้วน
จาการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า ขณะเกิดเหตุคานกั้นถนนได้ลงปิดกั้นเรียบร้อยแล้ว ได้มีแท็กซี่คันดังกล่าวขับมาจากถนนกำแพงเพชร 6 มุ่งหน้าไปถนนวิภาวดี แต่ใช้เส้นทางย้อนศรและขับฝ่าเครื่องกั้นถนนเข้ามาบนรางรถไฟ จนเป็นเหตุให้ชนกับขบวนรถชานเมืองที่ 339 กรุงเทพ - ชุมทางแก่งคอย โดยผู้ขับขี่แท็กซี่ คือ ร.ต.ชูชีพ วังทอง อายุ 65 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ มูลนิธิปอเต๊กตึ้ง นำร่างผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
จากการสอบสวนพนักงานขับรถไฟในเบื้องต้น ให้การว่า เมื่อมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุมีรถแท็กซี่ขับเข้ามาบนรางรถไฟ ซึ่งพยายามเปิดหวูด พร้อมส่งสัญญาณไฟเตือนหลายครั้ง และลงห้ามล้อเบรกชะลอความเร็วแล้ว แต่รถแท็กซี่คันดังกล่าวไม่จอด จึงทำให้เกิดเหตุดังกล่าว ขบวนรถไฟได้รับความเสียหาย ไม่สามารถทำขบวนต่อได้ ส่งผลกระทบให้ขบวนรถดังกล่าวไม่มีเดินจากบางเขน – ชุมทางแก่งคอย ส่วนขบวนรถในเส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือต้องล่าช้ากว่ากำหนดเวลา
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรฟท. เข้าดูแลช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ตลอดจนดำเนินการหามาตรการแก้ไขปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำรอยขึ้นอีก ซึ่งรฟท. เน้นความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ และขอแสดงความเสียใจแก่ญาติของผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นทางผ่าน ซึ่งรฟท. ได้ติดตั้งทางผ่านถนนเสมอระดับทางมีเครื่องกั้นถนนชนิดคานอัตโนมัติ พร้อมป้ายจราจร ป้ายข้อความเตือนทั้งสองด้าน และมีเครื่องหมายจราจรครบถ้วนตลอดเวลา ดังนั้นจึงขอความร่วมมือไปยังประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนผ่านบริเวณทางผ่านเสมอระดับรถไฟ - รถยนต์ ให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นในอนาคต
ที่ผ่านมา รฟท. ได้พยายามสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างรฟท. กับชุมชนมาโดยตลอด ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ยานพาหนะผ่านบริเวณจุดตัดทางรถไฟอย่างถูกต้อง ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกในการใช้เส้นทางอย่างระมัดระวัง ผ่านโครงการ MISSION ZERO รถไฟไทยปลอดภัยทุกเส้นทาง รณรงค์สร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุให้เหลือศูนย์ ซึ่งหลังจากนี้ยังจำเป็นต้องรณรงค์ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟ รวมทั้งลดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชน และ รฟท. ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.จับมือ ศาล-อัยการ-มท.-สธ.-ตำรวจ เซ็น MOU ขับเคลื่อนกฎหมาย JSOC | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ยธ.จับมือ ศาล-อัยการ-มท.-สธ.-ตำรวจ เซ็น MOU ขับเคลื่อนกฎหมาย JSOC
ยธ.จับมือ ศาล-อัยการ-มท.-สธ.-ตำรวจ เซ็น MOU ขับเคลื่อนกฎหมาย JSOC "สมศักดิ์"ชี้ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ปิดช่องก่อเหตุรุนแรง เดินหน้าสร้างความปลอดภัยให้ผู้หญิง-สังคม ทุกหน่วยขานรับพร้อมช่วยอำนวยความยุติธรรม
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ จากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศ หรือ ที่ใช้ความรุนแรง โดยมี นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรมว.ยุติธรรม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธีรศักดิ์ เงยวิจิตร เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ รองอัยการสูงสุด นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจแห่งชาติ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารและข้าราชการ ร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ จากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศ หรือ ที่ใช้ความรุนแรง ระหว่าง สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงยุติธรรม เพราะเราเล็งเห็นว่า เหตุสะเทือนขวัญ มักจะเกิดขึ้นแทบจะทุกปี ผู้ก่อเหตุ มักมีพฤติกรรมก่อเหตุซ้ำ เช่น สมคิด พุ่มพวง , ไอซ์ หีบเหล็ก , วันชัย แสงขาว จึงขับเคลื่อนร่างกฎหมายนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ด้วยการป้องกันบุคคลอันตรายเหล่านี้ ออกมาก่อเหตุซ้ำ ซึ่งเราได้ศึกษามาจากกฎหมายของต่างประเทศจำนวนมาก
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กฎหมาย JSOC จะใช้กับผู้กระทำผิด 3 กลุ่ม 1.เกี่ยวกับเพศ 2.ชีวิตร่างกาย 3.เสรีภาพ โดยมี 2 มาตรการ 1.แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด 2.เฝ้าระวังภายหลังพ้นโทษ ผู้ถูกเฝ้าระวังหลังพ้นโทษ จะถูกใส่กำไลอีเอ็ม ไม่เกิน 10 ปี หากพบพฤติกรรมเสี่ยง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ควบคุมตัวได้ทันที ไม่เกิน 48 ชั่วโมง และคุมประพฤติ สามารถเสนออัยการ ให้ยื่นศาล คุมขังฉุกเฉินได้อีกไม่เกิน 7 วัน เปลี่ยนมาตรการเฝ้าระวัง เป็นคุมขัง ได้ไม่เกิน 3 ปี
"กฎหมายนี้เราใช้เวลาไม่นานในการร่างกฎหมาย เพราะผมต้องการสร้างเครื่องมือในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสะเทือนขวัญ จึงทำให้กฎหมายฉบับนี้ใช้เวลาเพียง 1 ปี 8 เดือน โดยยกร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2564 และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 23 ม.ค. 2566 ทำให้ในวันนี้เรามีการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม อย่างหน่วยงานที่เข้าร่วมกับเราอย่าง สตช. จะช่วยสรุปสำนวนเพิ่มตามกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด จะช่วยยื่นคำร้องต่อศาล ให้มีคำสั่งใช้มาตรการต่างๆกับบุคคลอันตราย สำนักงานศาลยุติธรรม จะมีคำสั่งใช้มาตรการพิเศษเพิ่มขึ้น จากบทลงโทษตามปกติ กระทรวงสาธารณสุข จะช่วยส่งทีมแพทย์ วินิจฉัยและบำบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต และกระทรวงมหาดไทย จะใช้กลไกผู้นำชุมชนทั้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการช่วยเฝ้าระวัง บุคคลอันตราย ไม่ให้มีโอกาสก่อเหตุซ้ำ"นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีมีฑูตประเทศต่างๆมาเข้าพบ และมีการพูดคุยถึงโทษประหารชีวิต ที่อยากให้ประเทศไทยมีการยกเลิก ว่า ตนได้ให้ความเห็นไปว่าการจะยกเลิกโทษประหารชีวิตได้ ต้องไม่มีคนทำผิดในคดีหนักๆ ซึ่งวันนี้เรามีกฎหมาย JSOC ที่มีการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการกระทำผิดรุนแรง โดยทำให้ในอนาคตมีโอกาสยกเลิกโทษประหารชีวิตได้ เพราะกฎหมาย JSOC จะช่วยควบคุมไม่ให้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น
นายอำนาจ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุคดีอุกฉกรรจน์ข่มขืน และผู้กระทำผิดมีประวัติก่ออาชญากรรมมาแล้ว สังคมจะตั้งคำถามว่า ภาครัฐจะจัดการคนเหล่านี้อย่างไร หรือคุ้มครองสังคมให้ปลอดภัยได้อย่างไร ซึ่งตนมองว่ากฎหมายฉับนี้จะช่วยตอบคำถามให้สังคมได้เป็นอย่างดี
นายธีรศักดิ์ กล่าวว่า มองว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาระบบอำนวยความยุติธรรม เพื่อที่จะได้ร่วมทำให้เกิดความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยจะมีการร่วมส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายนี้กับทุกภาคส่วน
พล.ต.ท.วีระ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ที่จะสร้างมาตรการดูแลความปลอดภัย โดยตำรวจถือเป็นหน่วยงานต้นทางในการส่งสำนวนประกอบการพิจารณาของอัยการ เพื่อให้มีคำสั่งมาตรการฟื้นฟูสำหรับผู้ที่ต้องเฝ้าระวัง รวมถึงหากพ้นโทษ ตำรวจก็ยังสนับสนุนบุคคลากร เฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินด้วย
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นเหมือนเครื่องเตือนใจไม่ให้ผู้ก่อเหตุไปทำผิดซ้ำ รวมทั้งทำใ้ห้สังคมช่วยกันดูแลให้คนที่เคยทำผิดกลับตัวเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและสังคม ตนขอบคุณ รมว.ยุติธรรม ที่พยายามขับเคลื่อน ดูแลคนในสังคม ด้วยการช่วยสกัดยับยั้ง ไม่ให้ผู้ถูกเฝ้าระวังไปก่อเหตุรุนแรงอีก
นางพงษ์สวาท กล่าวว่า ในนามกระทรวงยุติธรรม ขอขอบคุณ รมว. ที่ให้ความสำคัญในการสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน ก่อนกฎหมายบังคับใช้ ได้มีการสั่งการในระยะเร่งด่วน ให้มีการตั้งศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย ส่วนในระยะยาวก็ผลักดันจนกฎหมายฉบับนี้สำเร็จแล้ว ซึ่งนอกจากกระทรวงยุติธรรม จะบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆแล้ว ยังมีการบูรณาการภายในกระทรวง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นประโยชน์แก่ประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63032 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือ 5 ภาคีเครือข่าย ลงนามความร่วมมือป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
สธ.จับมือ 5 ภาคีเครือข่าย ลงนามความร่วมมือป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย 5 หน่วยงาน บูรณาการการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง มุ่งรักษาและบริการทางการแพทย์ แก้ไขฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย 5 หน่วยงาน บูรณาการการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง มุ่งรักษาและบริการทางการแพทย์ แก้ไขฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม และให้การคุ้มครองประชาชนส่วนรวม
วันนี้ (23 ธันวาคม 2566) ที่ห้องสนฉัตร อาคารกระทรวงยุติธรรม กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการความร่วมมือ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงยุติธรรม และกล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้ขับเคลื่อนภารกิจ ตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565 และจัดให้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 6 หน่วยงานดังกล่าว เพื่อแสดงเจตจํานงที่จะบูรณาการความร่วมมือกันในการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำจากผู้ที่กระทําความผิดคดีเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง สร้างความปลอดภัยให้กับสังคมและให้การคุ้มครองประชาชนส่วนรวม
นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงเจตจํานงที่จะส่งเสริมความร่วมมือครั้งนี้ โดยมุ่งใช้ความเชี่ยวชาญในการรักษาและความเป็นมืออาชีพของบุคลากรในสังกัด ให้การรักษา แก้ไข ฟื้นฟู บริการทางการแพทย์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทําความผิดคดีเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง ที่อยู่ภายใต้การดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำฯ ให้เป็นพลเมืองดี ดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข และไม่หวนกลับไปกระทําความผิดซ้ำอีกภายหลังพ้นโทษ รวมถึงสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องและผลการรักษาของผู้กระทําความผิดดังกล่าว เพื่อการเฝ้าระวังและติดตามพฤติกรรมผู้กระทําภายหลังพ้นโทษ
************************************** 23 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63042 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ สั่งการเฝ้าระวังแก้ปัญหา PM 2.5 ทั่วประเทศและ กทม. หลังหนาวเยือนลมนิ่งสงบ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ สั่งการเฝ้าระวังแก้ปัญหา PM 2.5 ทั่วประเทศและ กทม. หลังหนาวเยือนลมนิ่งสงบ
รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ สั่งการเฝ้าระวังแก้ปัญหา PM 2.5 ทั่วประเทศและ กทม. หลังหนาวเยือนลมนิ่งสงบ
วันนี้ (วันที่ 23ธันวาคม 2565) พลเอกคงชีพตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้กำชับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสาน กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ PM 2.5 หลังความกดอากาศสูงและมวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุม โดยเริ่มมีผลหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพมหานคร
โดยรองนายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานประสานขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการที่ให้ความสำคัญ การสื่อสารเชิงรุก แจ้งเตือนป้องกันกับประชาชน ยกระดับเพิ่มความเข้มปฏิบัติการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนด รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้และร่วมมือกันในช่วงเวลาวิกฤต ทั้งนี้ให้ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้มีผลและครอบคลุมเป้าหมาย ทั้งพื้นที่เมือง พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ป่า เพื่อลดต้นเหตุของการเกิดปัญหาให้เป็นผล ทั้งนี้ขอให้ประสานการทำงานร่วมกัน กระทรวงสาธารณสุขเข้าไปช่วยดูแลกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้สูงวัย และสตรีมีครรภ์ ในภาพรวม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. พร้อมเปิดเดินขบวนรถสายใต้ได้ตามปกติ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2565 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
รฟท. พร้อมเปิดเดินขบวนรถสายใต้ได้ตามปกติ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2565
หลังระดมเจ้าหน้าที่ซ่อมปรับปรุงทางรถไฟสายใต้ จากเหตุน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสงขลา
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา และส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทางรถไฟสายใต้ได้รับความเสียหาย จนต้องปรับเปลี่ยนการเดินรถช่วงระหว่างสถานีนาม่วง - วัดควนมีด ควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่, โคกทราย- ควนเนียง, หารเทา - โคกทราย, หารเทา- ควรเคี่ยม, เขาชัยสน- บางแก้ว, วัดควนมีด- จะนะ เมื่อวันที่ 18 - 23 ธันวาคม 2565 นั้น
ล่าสุดวันนี้ (23 ธันวาคม 2565) หลังจากระดับน้ำลดลงเข้าสู่สภาวะปกติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่างโยธา สามารถเข้าไปดำเนินการซ่อมแซมทางรถไฟที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งตรวจสอบสภาพทางให้มีความปลอดภัยสำหรับการเดินรถในช่วงตลอดวันที่ผ่านมา โดยพร้อมเปิดให้บริการเดินขบวนรถในเส้นทางสายใต้ได้ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป จำนวน 24 ขบวน ประกอบด้วย
1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 31/32 (กรุงเทพ- หาดใหญ่ - กรุงเทพ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 (กรุงเทพ - สุไหงโกลก - กรุงเทพ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45/46 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ)
4. ขบวนรถเร็วที่ 169/170 (กรุงเทพ - ยะลา - กรุงเทพ)
5. ขบวนรถเร็วที่ 171/172 (กรุงเทพ- สุไหงโกลก - กรุงเทพ)
6. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 (พัทลุง - สุไหงโกลก- พัทลุง)
7. ขบวนรถสินค้าที่ 985/986 (กรุงเทพ - สุไหงโกลก- กรุงเทพ)
8. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445/446 (ชุมพร- หาดใหญ่ - ชุมพร)
9. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448 (สุราษฎร์ธานี - สุไหงโก-ลก - สุราษฎร์ธานี)
10. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451/452 (นครศรีธรรมราช - สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช)
11. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 (ยะลา - สุไหงโก-ลก - ยะลา)
12. ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455/456 (นครศรีธรรมราช- ยะลา - นครศรีธรรมราช)
สำหรับผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63048 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลน้อมถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรยนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยความจงรักภักดี | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลน้อมถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรยนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยความจงรักภักดี
พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลน้อมถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรยนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยความจงรักภักดี
วันนี้ (22 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ได้พร้อมใจกันร่วมกับพี่น้องประชาชนทุกศาสนิก และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรยนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยความจงรักภักดี อย่างพร้อมเพรียงกัน อาทิ
1. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อาคารหลวงพ่อรวยองค์ใหญ่ที่สุดในโลกอนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อรวย วัดตะโก อ.ภาชี นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย นางวัชราภรณ์ รุ่งสาคร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ถวายเป็นพระกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้หายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน โดยได้รับเมตตาจาก พระธรรมรัตนมงคล เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระครูปลัดจริยวัฒน์ (พระอาจารย์แก้ว) รองเจ้าคณะอำเภอภาชี เจ้าอาวาสวัดตะโก และพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการพลเรือน ศาล ทหาร ตำรวจ รองผู้ว่าราชการจังหวัด คณะผู้บริหารหน่วยงาน จิตอาสาพระราชทาน และพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ร่วมพิธีกว่า 1,000 คน พร้อมทั้งร่วมลงนามถวายพระพร ปล่อยปลาหมอไทยหน้าเขียง จำนวน 44 คู่ ปลาช่อนหน้าเขียง 44 ตัว ณ บริเวณบึงน้ำวัดตะโก เพื่อถวายเป็นพระกุศล อีกด้วย
2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่บริเวณริมเขื่อนแม่น้ำตาปี อ.เมืองสุราษฎร์ธานี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรและปล่อยปลาถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนธิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยได้รับเมตตาจาก พระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค 16 เจ้าอาวาสวัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ รวม 10 รูป โดยมีข้าราชการและประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี โดยพันธุ์ปลาที่ร่วมปล่อยได้ไถ่ชีวิตมาจากตลาด ได้แก่ ปลาดุกอุย ปลาชะโอน ปลาหมอ ปลาตะเพียนทอง รวม 180 ตัว และปลาแขยงนวล ที่อีก 44,445 ตัว นอกจากนี้ ได้มีการจัดกิจกรรมละหมาดฮายัต ขอพร (ดุอาร์) โดยผู้นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
3. จังหวัดกำแพงเพชร ที่วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ต.นครชุม อ.เมืองกำแพงเพชร นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีทางศาสนามหามงคล เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรธิดา โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้นำศาสนาคริสต์ ผู้นำศาสนาอิสราม พนักงาน ลูกจ้าง และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมในพิธีจำนวนมาก และประกอบพิธีไถ่ชีวิต โค กระบือ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อถวายเป็นพระกุศล ที่บริเวณท่าน้ำริมแม่น้ำปิง หน้าวัดพระบรมธาตุ
4. จังหวัดพิจิตร ที่ศาลาสภาบริหารคณะสงฆ์จังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อ.เมืองพิจิตร นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและประชาชน ร่วมทำบุญตักบาตรอาหารคาวหวานแด่พระสงฆ์ และร่วมปล่อยปลาหน้าเขียงคืนสู่ธรรมชาติ 45,045 ตัว เพื่อเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
5. จังหวัดนครพนม ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงหน้าวัดมหาธาตุ และศาลาการเปรียญวัดมหาธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร ปล่อยปลา ถวายภัตตาหารเช้า เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตติภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคล แต่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมี หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ข้าราชการทุกหมู่เหล่า พ่อค้า ประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
6. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่อุโบสถวัดจุฬามณี อำเภออัมพวา พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าคณะอำเภออัมพวา เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี ประธานฝ่ายสงฆ์ นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ประธานฝ่ายฆราวาส พิธีทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง พระสงฆ์ จำนวน 45 รูป และร่วมกันปล่อยปลาลงสู่ท่าน้ำวัดจุฬามณี เพื่อถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
7. จังหวัดอุทัยธานีที่บริเวณห้าแยกวิทยุ อำเภอเมืองอุทัยธานี นายอลงกต วรกี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้หายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน โดยมี นายพีระพล ตัณฑโอภาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน ร่วมกิจกรรม
8. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่บริเวณทางหลวงหมายเลข 1243 สามแยกเข้าบ้านห้วยยาง หมู่ที่ 2 ตำบลบ่อเบี้ย อำเภอบ้านโคก นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ตักบาตรพระสงฆ์ธุดงค์ จำนวน 700 รูป โดยมีนางวันทนา พ่วงบางโพ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าส่วนราชการจังหวัด/อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนจิตอาสาฯ รวมถึงพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ มาร่วมใส่บาตรพระสงฆ์เป็นจำนวนมาก
9. จังหวัดสมุทรสาคร ที่บริเวณวัดเจษฎาราม พระอารามหลวง ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนา และถวายภัตตาหารเพล เพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมร่วมปล่อยพันธุ์ปลาหลากหลายชนิด ได้แก่ ปลาไหล ปลาตะเพียร ปลาช่อน ปลาหมอไทย ปลายี่สก ปลาไสว ปลากระดี่
10. จังหวัดขอนแก่น ที่ห้องแก่นเมือง ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดขอนแก่น ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนา พิธีทางศาสนา 5 ศาสนา เพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
11. จังหวัดนครนายก ณ วัดอุดมธานี อำเภอเมืองนครนายก นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก พร้อมด้วย นายอำพล บุญประภากร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด นางสาวศุภมาส คุ้มศรีวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด นางจิตตินันท์ เชาวรินทร์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด นายวิชัย บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัด พ.อ.อภิชาติ มีธัญญากร รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดฝ่ายทหาร พล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายวีรยุทธ บุญมา อัยการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นายปรีชา ดิลกพรเมธี นายอำเภอเมืองนครนายก และประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรมเจริญจิตตภาวนา โดยได้รับเมตตาจากพระราชพรหมคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เพื่อถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมทั้งมีกิจกรรมปล่อยปลาเพื่อถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสนี้ด้วย
12. จังหวัดเชียงใหม่ ณ วัดร้องวัวแดง อ.สันกำแพง นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ นายอำเภอสันกำแพง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยฝ่ายปกครอง และประชาชนชาวอำเภอสันกำแพงจำนวนมาก ร่วมพิธีสืบชะตาแบบล้านนา และเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาเพื่อถวายพระพร แด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมี พระครูวิมลญาณประยุต ดร. เจ้าคณะอำเภอสันกำแพง รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าอาวาสทุกวัดในอำเภอสันกำแพง และพระเถรานุเถระจำนวน 108 รูป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. สานพลังเครือข่าย ช่วยคนไร้บ้าน อิ่มใจ อุ่นกาย คลายหนาว พร้อมที่พัก | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
พม. สานพลังเครือข่าย ช่วยคนไร้บ้าน อิ่มใจ อุ่นกาย คลายหนาว พร้อมที่พัก
พม. สานพลังเครือข่าย ช่วยคนไร้บ้าน อิ่มใจ อุ่นกาย คลายหนาว พร้อมที่พัก
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 65เวลา 18.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่ลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม บริเวณท้องสนามหลวง เพื่อร่วมกิจกรรม “อิ่มใจ อุ่นกาย คลายหนาว เพื่อคนไร้บ้าน” เพื่อประชาสัมพันธ์สวัสดิการด้านที่พักอาศัยที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิอิสรชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้แก่ นายกิตติ อินทรกุล และนางสาวนภาพร เมฆาผ่องอำไพ ผู้แทนหน่วยงานและภาคีเครือข่าย เข้าร่วมกิจกรรม
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดย พส. ได้จัดบริการที่พัก “บ้านปันสุข” โดยคำนึงถึงวิถีการใช้ชีวิตของผู้ประสบปัญหาด้านที่พักอาศัยในเมืองใหญ่ ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ห้องพัก เครื่องซัก–อบผ้า ห้องอาบน้ำ และโซนซักล้าง พร้อมทั้งกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย บูธอาหารและเครื่องดื่ม และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อสร้างความผ่อนคลายในบรรยากาศมิตรภาพ อีกทั้งเวทีเสวนาและกิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำด้านสิทธิสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้คนไร้บ้านสามารถเปิดอกพูดคุยถึงปัญหาและความต้องการ ซึ่งกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายจะได้นำข้อมูลไปประสานความช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการที่เหมาะสม ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือคนไร้บ้านสำหรับการเข้ารับบริการที่พักในวันดังกล่าว โดยได้จัดบริการรถรับ-ส่ง เพื่อพาไปเช็คอิน “บ้านปันสุข” ได้ทันที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เร่งรัดสถานประกอบการ ยื่นให้สิทธิผู้พิการ ภายใน 3 ม.ค.66 นี้ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
รมว.แรงงาน เร่งรัดสถานประกอบการ ยื่นให้สิทธิผู้พิการ ภายใน 3 ม.ค.66 นี้
กระทรวงแรงงาน แนะนำ 2 ช่องทางการแจ้งให้สิทธิ + รับสิทธิคนพิการ ม.35 ทางเลือกที่ 1 ยื่นผ่าน ระบบ e- Service
กรมการจัดหางาน ดำเนินการด้วยตนเองได้ 24 ชม. ทางเลือกที่ 2 ยื่นผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ภายในวันที่ 3 มกราคม 2566 พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 กำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการทั้งเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ขึ้นไป ต้องรับผู้พิการที่สามารถทำงานได้เข้าทำงาน ในอัตราส่วนลูกจ้างที่ไม่ใช่คนพิการ 100 คน ต่อผู้พิการ 1 คน เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งหากนายจ้าง/สถานประกอบการ หรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ประสงค์จะจ้างงานคนพิการ หรือส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สามารถเลือกให้สิทธิตามมาตรา 35 แทนได้ โดยมูลค่าของสัญญาต้องไม่น้อยว่า 114,245 บาทต่อปี แบ่งเป็น 7 ประเภทสิทธิ ได้แก่ 1.การให้สัมปทาน 2.จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ 3.จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือ จ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ 4.ฝึกงาน 5.จัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก 6.ล่ามภาษามือ และ7.การให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ โดยต้องขออนุญาตจากกรมการจัดหางานก่อนดำเนินการ ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม ของแต่ละปี
“ขอฝากถึงนายจ้าง สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป และไม่สะดวกที่จะจ้างผู้พิการเข้าทำงาน เร่งดำเนินการให้สิทธิผู้พิการ ภายในวันที่ 3 มกราคม 2566 โดยสามารถติดต่อขอรับบริการได้ 2 ช่องทาง ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบออนไลน์ e-Services กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th ซึ่งมีระบบบริการแจ้งให้สิทธิผู้พิการสำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการ และแจ้งขอรับสิทธิสำหรับผู้พิการ เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ตลอด 24 ชม. ไม่เว้นวันหยุดราชการ และได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อมาติดต่อราชการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับนโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เท่าเทียม แก่ผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง และคนพิการ ด้วยการส่งเสริมการมีงานทำให้คนพิการที่ประสงค์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง กรมการจัดหางานจึงได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทจ้างเหมาบริการ โดยลงพื้นที่เชิงรุก เชิญชวนนายจ้าง/สถานประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ แนะนำให้นายจ้างเปลี่ยนจากการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 ไปให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามมาตรา 35 ซึ่งจ้างงานคนพิการเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนในหน่วยบริการสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกลมีงาน มีอาชีพ มีรายได้จากการทำงานสามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป
“สำหรับสถานประกอบการที่ต้องการให้สิทธิ และผู้พิการที่ต้องการขอรับสิทธิตามมาตรา 35 สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบ e-Services กรมการจัดหางาน ภายในวันที่ 3 มกราคม 2566 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวประชาสัมพันธ์ของกรมศุลกากรประจำเดือน ธันวาคม 2565 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ข่าวประชาสัมพันธ์ของกรมศุลกากรประจำเดือน ธันวาคม 2565
กรมศุลกากรมีการดำเนินงานเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร
วันนี้ (วันที่ 23 ธันวาคม 2565) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรมีการดำเนินงานเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร และการจัดเก็บภาษีอากรอย่างเป็นธรรม โปร่งใส อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเดือนธันวาคม 2565 มีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้
1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนพฤศจิกายน 2565
กรมศุลกากรมีนโยบายในการเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้า นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงาน และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล (Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน โดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 2,859 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 261.61 ล้านบาทมีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้
1.1. ผลการจับกุมยาเสพติด
ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ รวมถึงการลักลอบนำยาเสพติดซุกซ่อนมากับสินค้าที่ส่งทางพัสดุไปรษณีย์ โดยมีผลการจับกุม ดังนี้
- เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ตรวจพบพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศต้องสงสัย ซึ่งเป็นสินค้าและเส้นทางในกลุ่มเสี่ยงที่ถูกใช้ในการซุกซ่อนยาเสพติด สำแดงเป็น SILK ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรจึงได้ร่วมกับ ชุดปฏิบัติการ Airport Interdiction Task Force (AITF) ทำการตรวจสอบ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ลักษณะเป็นผงสีขาว บรรจุพลาสติกใส ด้านหนึ่งปิดด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในสาบเสื้อและชายเสื้อพื้นเมือง น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1,973 กรัม มูลค่า 5,919,000 บาท จึงได้ยึดและประสานศุลกากรออสเตรเลีย เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐานพยายามลักลอบส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 มาตรา 252 ประกอบมาตรา 166 และ 167
- เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร พร้อมด้วยทหาร กองกำลังผาเมือง และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจสอบ บริษัทขนส่ง (สาขาป่าเหมือด) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบพัสดุและสิ่งของที่อายัดไว้จำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ มีลักษณะต้องสงสัย โดยหีบห่อและน้ำหนักผิดปกติ จึงได้ทำการตรวจสอบ ผลการเปิดตรวจกล่องพัสดุ จำนวน 8 หีบห่อ พบกล่องสุราต่างประเทศ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) รวม 387,840 เม็ด มูลค่า 31,027,200 บาท กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐาน ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามมาตรา 90 ประกอบมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และมาตรา 242 มาตรา 246 ประกอบมาตรา 252 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560
- เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่ศุลกากรพบพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ประเภทพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศ ต้นทางจากประเทศโปรตุเกส จำนวน 1 หีบห่อ มีลักษณะที่น่าสงสัย จึงร่วมกับ พนักงาน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายในพบกล่องเครื่องเล่น Play Station VR ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าปกติ ใต้กล่องพบว่ามีการซุกซ่อนถุงสีดำ ภายในพบห่อด้วยกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงิน หลังจากแกะกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงินพบถุงพลาสติกใสบรรจุผงสีขาว เจ้าหน้าที่จึงนำผงสีขาวดังกล่าวไปทดสอบด้วยน้ำยา COBALT THIOCYANATE REAGENT พบว่าทำปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 2.31 กิโลกรัม มูลค่า 11,000,000 บาท กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐานนำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 252 ประกอบมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในข้อหา “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
สำหรับ สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 15 คดี มูลค่า 108.45 ล้านบาท
1.2 ผลการจับกุมบุหรี่
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เข้าตรวจค้นห้องแถว ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบบุหรี่ต่างประเทศมีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ ไม่ปิดแสตมป์ตามกฎหมาย ขณะตรวจค้นไม่พบเอกสารการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 32,350 ซอง มูลค่า 2,588,000 บาท
กรณีนี้เป็นการลักลอบหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 242, 244 และมาตรา 246 ประกอบกับมาตรา 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง จึงยึดของกลางส่งด่านศุลกากรท่าอากาศยานหาดใหญ่ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อไป
ทั้งนี้สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 138 คดี มูลค่า 6,457,186 ล้านบาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 37 คดี มูลค่า 3,360,536 บาท
1.3. ผลการจับกุมสินค้าเกษตร
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่ศุลกากร ได้ตรวจค้นรถยนต์บรรทุก 12 ล้อ เนื่องจากสงสัยว่ามีสิ่งของที่ยังไม่ได้เสียภาษีอากร หรือมีของต้องห้ามต้องกำกัดซุกซ่อนมาในรถยนต์ ในพื้นที่ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร พบกระเทียม มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร บรรจุกระสอบ กระสอบละ 20 กิโลกรัม จำนวน 750 กระสอบ น้ำหนักรวม 15,000 กิโลกรัม มูลค่า 900,000 บาท กรณีดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242, 246และมาตรา 247 ประกอบกับมาตรา 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ สถิติการจับกุมสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 60 คดี มูลค่า 1,863,166 บาท
2. การนำเข้าของเร่งด่วน (Express) จากต่างประเทศ ผ่านทางอากาศยานและการนำเข้าของทางไปรษณีย์
กรมศุลกากรมีแนวทางในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับผู้ที่นำเข้าของเร่งด่วน (Express) จากต่างประเทศ ผ่านทางอากาศยานและการนำเข้าของทางไปรษณีย์ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
2.1 ของที่ไม่ต้องเสียภาษี
ของที่รวมมูลค่าแล้ว ไม่เกิน 1,500 บาท โดยรวมจาก ราคาของ + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย = ราคา CIF ซึ่งของทุกชิ้นจะถูกตรวจสอบโดยการ X – Ray และบันทึกภาพด้วย CCTV ตลอดเวลา
ทั้งนี้ของบางประเภทจะไม่สามารถนำเข้ามาในประเทศได้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามพระราชบัญญัติกรมศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีตัวอย่างของที่ห้ามนำเข้าประเทศ ดังนี้ บุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา วัตถุหรือสื่อลามก สัตว์ป่าสงวน และสารเสพติด
สำหรับของบางประเภทต้องขอใบอนุญาตนำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ส่วนต่าง ๆ ของพืช ต้องขออนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร, สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำต้องขออนุญาตจากกรมปศุสัตว์และกรมประมง, ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ อาหาร วัตถุอันตราย และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), วิทยุสื่อสาร และโดรน ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
หากขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อย ผู้รับของต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า โดยส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เข้าระบบคอมพิวเตอร์กรมศุลกากร ณ สำนักงาน/ด่านศุลกากร
2.2 ของที่ต้องเสียภาษี
ราคาของ ตั้งแต่ 1,500 บาท ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 40,000 บาท ของจะถูกเลือกโดยระบบบริหารความเสี่ยงของกรมศุลกากรเพื่อตรวจสอบโดยการเปิดตรวจทางกายภาพ ซึ่งหีบห่อถูกเปิดและปิดโดยพนักงานของผู้ประกอบการของเร่งด่วน หรือเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย และบันทึกภาพด้วย CCTV ตลอดเวลา ตัวอย่างอัตราอากรขาเข้าของสินค้า ได้แก่ นาฬิกา 5%, ของเล่น 10%, เครื่องดนตรี 10%, กระเป๋า 20%, รองเท้า 30%, เสื้อผ้า 30%
วิธีการคำนวณค่าภาษีอากร
อากรขาเข้า = ราคา CIF x อัตราอากรขาเข้าของสินค้า
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่าง การคำนวณค่าภาษีสินค้ากระเป๋าถือสตรี ราคา CIF 10,000 บาท, อัตราอากร 20% อากรขาเข้า = 10,000 x 20% = 2,000 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (10,000 + 2,000) x 7% = 840 บาท
ดังนั้น ต้องเสียภาษีอากรทั้งหมด 2,840 บาท
กรณีราคาของ (FOB) เกินกว่า 40,000 บาท ผู้รับของ ต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า โดยการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของศุลกากร ณ สำนักงาน/ด่านศุลกากร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เชิญพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ เป็นของขวัญปีใหม่ 2566 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เชิญพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ เป็นของขวัญปีใหม่ 2566
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เชิญพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ เป็นของขวัญปีใหม่ 2566พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต
กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า (จท.) พร้อมเปิดให้บริการท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ กรุงเทพมหานคร ท่าเรือที่มีระบบการให้บริการที่ทันสมัย และมีรูปลักษณ์สวยงามเป็นจุดหมายตา (Landmark) ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั้งทางบก น้ำ ราง และอากาศ ให้มีความเชื่อมโยง สะดวก ปลอดภัย สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
พ.ศ. 2561 - 2580 ของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธี ในวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ณ ท่าเรือราชินี แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และท่าเรือบางโพ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561 - 2580 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับนานาชาติ ตลอดจนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีความสะดวก ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามที่กระทรวงคมนาคม โดย จท. มีแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นสถานีเรือที่มีความทันสมัย สะดวก ปลอดภัย เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ทั้งทางถนนและทางราง ภายใต้แผนงานดังกล่าว จท. ได้ก่อสร้าง ปรับปรุงท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพแล้วเสร็จ โดยมีระบบการให้บริการที่ทันสมัย รูปลักษณ์สวยงาม เป็นอารยสถาปัตย์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ทำให้พี่น้องประชาชน ผู้รับบริการ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวทางน้ำที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศ การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางทางน้ำ เป็นทางเลือกที่ดีของการเดินทางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากค่าโดยสารมีราคาประหยัด สามารถกำหนดระยะเวลาการเดินทางได้แน่นอน บรรยากาศในการเดินทางมีความผ่อนคลาย ทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำมีความสวยงาม รวมทั้งการนำเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานตามนโยบายของรัฐบาลจะทำให้เกิดความยั่งยืนในการลดภาวะก๊าซเรือนกระจก ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดปริมาณการใช้น้ำมัน ลดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และจะทำให้การสนับสนุนแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยาบรรลุเป้าหมายสำเร็วลุล่วงเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนและส่วนรวมต่อไป
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ สะดวก ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดย จท. หน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ได้กำหนดแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี 2562 - 2568 ที่จะพัฒนาท่าเรือ จำนวน 29 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนี้
ดำเนินการแล้วเสร็จ (ระหว่างปี 2562 - 2564) เปิดใช้งานแล้ว จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร และท่าเรือพายัพ
ดำเนินการแล้วเสร็จเพิ่มในปี 2565 จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ
อยู่ระหว่างดำเนินการและจะแล้วเสร็จในปี 2566 จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือท่าเตียน ท่าเรือพระราม 7 และท่าเรือเกียกกาย
แผนดำเนินการในปีงบประมาณ 2566 - 2568 จำนวน 18 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือพระราม 5 ท่าเรือพระปิ่นเกล้า ท่าเรือปากเกร็ด ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือเขียวไข่กา ท่าเรือสะพานกรุงธน (ซังฮี้) ท่าเรือพรานนก ท่าเรือเทเวศร์ ท่าเรือโอเรียนเต็ล ท่าเรือราชวงศ์ ท่าเรือพิบูลสงคราม 2 (นนทบุรี) ท่าเรือวัดตึก ท่าเรือพิบูลสงคราม 1 ท่าเรือวัดเขมา ท่าเรือวัดสร้อยทอง ท่าเรือวัดเทพากร ท่าเรือวัดเทพนารี และท่าเรือรถไฟ
ทั้งนี้ ท่าเรือดังกล่าวจะมีการพัฒนาให้มีรูปลักษณ์สวยงามตามหลัก (Universal Design) มีระบบการให้บริการที่ทันสมัย เชื่อมต่อระบบการขนส่งสาธารณะ ล้อ ราง เรือ ได้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมให้มีเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าที่สามารถประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน มีส่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ และสร้างรายได้ให้กับประเทศ เมื่อการก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือแล้วเสร็จตามแผนจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 53,000 คนต่อวัน ในปี 2570
สำหรับท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพที่เปิดให้บริการในวันนี้ ถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญและเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของระบบล้อ ราง เรือ โดยท่าเรือราชินีจะเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชยเป็นจุดเชื่อมการเดินทางเข้าสู่เมืองและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญและมีความเก่าแก่เชิงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานทั้งวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร โบสถ์ซางตาครู้ส กุฎีจีน ป้อมวิไชยประสิทธิ์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร มิวเซียมสยาม และปากคลองตลาด สำหรับท่าเรือบางโพจะเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางโพ และอยู่ใกล้กับทางด่วนศรีรัช เป็นจุดเชื่อมการเดินทางเข้าสู่เมืองและสถานที่สำคัญที่มีความเก่าแก่ คือ ย่านค้าไม้ซึ่งเป็นแหล่ง ซื้อ - ขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยตั้งแต่อดีต และสถานที่ท่องเที่ยวตามวิถีชีวิตที่ทันสมัย เช่น ห้างสรรพสินค้าเกตเวย์ บางซื่อ (Gateway Bangsue) ศูนย์กลางชอปปิ้งพร้อมรับอนาคตชุมชนเมืองใหญ่ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63045 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Foreign investment soars by 74% during January and November 2022 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
Foreign investment soars by 74% during January and November 2022
Foreign investment soars by 74% during January and November 2022
December 22, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the overview of foreign direct investment situation in Thailand during the first 11 months of 2022 (January- November), which has reached the total of over 112,466 million Baht, an increase of 74% from the same period of 2021. Consequently, over 5,000 employment positions have been created.
The Prime Minister is pleased with the confidence of foreign investors on Thailand’s economic potentials. He also thanked concerned agencies for their hard work in translating the Government’s policies into action which has resulted in the Thai economy continuing to show positive signs for rapid recovery.
During January and November 2022, Ministry of Commerce has approved the request of 530 foreign investors to conduct businesses in Thailand under Foreign Business Act B.E. 2542. Top 3 foreign investors by countries are: 1) Japan: 137 investors (26%) with the total investment of 39 billion Baht, 2) Singapore: 85 investors (16%) with the total investment of 11,999 million Baht, and 3) U.S.: 70 investors (13%) with the total investment of 3,343 million Baht. Businesses approved by Ministry of Commerce are mostly relevant with the Government’s policies on national infrastructure development, public sector investment promotion, and S-Curve industries.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister emphasized the importance to continue promoting foreign direct investment and ease of doing business. Proper and timely investment policies, as well as promotion of Thailand as regional hub, also boost the confidence of foreign investors, ensure continuous economic recovery, and employment and revenue creation. The FDI statistics is in line with the report of World Bank, IMF, and Fitch Ratings which stated that the Thai economy has rapidly recovered and expanded.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-MDES ร่วมงานแถลงข่าว Digital Framework | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
MDES ร่วมงานแถลงข่าว Digital Framework
MDES ร่วมงานแถลงข่าว Digital Framework
23ธ.ค. 2565 -นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมงานแถลงข่าว"Digital Frameworkเปิดกลยุทธ์เดินหน้า...ดิจิทัลไอดีไทย"เผยความคืบหน้าการขับเคลื่อนDigital IDของประเทศและทิศทางการไปต่อภายใต้Digital ID frameworkเฟส1ซึ่งจัดโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(สพธอ.)ณห้องประชุมOpen Forumชั้น21 อาคารเดอะไนน์ทาวเวอร์แกรนด์พระรามเก้ากรุงเทพฯ
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63036 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กษ. ชี้แจงข้อเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือชาวสวนลำไย | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
กษ. ชี้แจงข้อเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือชาวสวนลำไย
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยอยู่ระหว่างเสนอ ครม.จัดทำโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565
จากกรณีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ รวมตัวยื่นข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีช่วยเร่งรัดการจ่ายค่าชดเชย หลังขาดทุนมากว่า 2 ปี โดยระบุว่า ชาวสวนลำไยประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากผลผลิตราคาตกต่ำจากการมีพ่อค้าคนกลางกำหนดราคาซื้ออย่างไม่เป็นธรรม จึงเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาให้มีความเหมาะสมนั้น
วันที่ 23 ธันวาคม 2565 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวชี้แจงว่า สำหรับการเยียวยาเกษตรกร กรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้ดำเนินการจัดทำโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 ต่อคณะรัฐมนตรี โดยเสนอแนวทางให้มีขนาดพื้นที่ปลูกรายละไม่เกิน 25 ไร่ ในอัตรา 2,000 บาทต่อไร่ กรอบวงเงิน 3,821.54 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ชี้แจงกรณีโรงงานจังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
กสร. ชี้แจงกรณีโรงงานจังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงกรณีโรงงานในพื้นที่จังหวัดตาก
ใช้แรงงานไม่เป็นธรรม
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงกรณีโรงงานในพื้นที่จังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม หลังตรวจสอบข้อมูล พบพนักงานตรวจแรงงานออกคำสั่งให้ลูกจ้างได้รับสิทธิตามกฎหมายแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแรงงาน
นางสาวกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ในฐานะรองโฆษกกรมฯ ชี้แจงกรณี สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน รายงานข่าวการบังคับใช้แรงงานเมียนมาอย่างไม่เป็นธรรมที่โรงงานแห่งหนึ่งใน อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า กรณีดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 โดยลูกจ้างสัญชาติเมียนมา จำนวน 136 คน ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตากว่านายจ้างเลิกจ้าง โดยค้างจ่ายค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุดประเพณี ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันผิดนัด ซึ่งประเด็นดังกล่าว นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับทราบถึงประเด็นปัญหาและกำชับให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดูแลลูกจ้างกลุ่มนี้ให้ได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรมตามกฎหมาย
รองอธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า จากกรณีดังกล่าว พนักงานตรวจแรงงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานเอกสารจากฝ่ายลูกจ้างนายจ้างแล้ว และได้มีคำสั่ง
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง 134 คน รวมเป็นเงิน 5,204,430 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันผิดนัด สำหรับลูกจ้างอีก 2 คน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจ้างยังไม่มีการเลิกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย และค่าบอกกล่าวล่วงหน้า สำหรับประเด็นค่าจ้างที่ลูกจ้างร้องว่านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และไม่จ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีนั้น จากการสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง พบว่าลูกจ้างได้รับค่าจ้างดังกล่าวจากนายจ้างครบถ้วนตามสิทธิแล้ว พนักงานตรวจแรงงานจึงไม่มีคำสั่งในประเด็นดังกล่าว ภายหลังจากการออกคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายได้ยื่นอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ต่อศาลแรงงานภาค 6 (นครสวรรค์) ซึ่งเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565ศาลแรงงานภาค 6 ได้พิพากษาคดีดังกล่าว โดยมีคำพิพากษาว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานชอบด้วยกฎหมายแล้ว และแก้ไขในส่วนของอายุงาน ค่าชดเชยของลูกจ้างผู้ร้อง โดยให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,615,950 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ทั้งสองฝ่ายได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ซึ่งขณะนี้ประเด็นดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
รองปลัด กษ. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
รองปลัด กษ. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม พิจารณาการจัดสรรโควตานำเข้าสินค้านม ปี 2566 และประเด็นสำคัญตามความตกลงอาเซียน (AFTA)
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ครั้งที่ 5/2565 พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงานราชการภายในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวแทนหน่วยงานราชการภายนอก ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมนม และตัวแทนกลุ่มเกษตรกร เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าของคณะอนุกรรมการศูนย์สารสนเทศโคนมระดับชาติ ความก้าวหน้าโครงการช่วยเหลือราคาน้ำนมดิบแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม การศึกษาผลกระทบกรณีผู้ประกอบการขอเข้าร่วมการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เป็นจำนวนมาก และเรื่องการใช้ตัวเลข MOU เพื่อวัตถุประสงค์นมโรงเรียนที่มากเกินจริงและการขาดแคลนน้ำนมดิบ การจัดตั้งกองทุนโคนม และการหารือปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนการจัดทำบันทึกข้อมตกลง (MOU) การซื้อขายน้ำนมโค หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ เพื่อทราบต้นทุนการผลิตน้ำมโค ไตรมาส 2 และคาดการณ์ไตรมาส 3 ปี 2565 เรื่องการขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
นอกจากนี้ ยังพิจารณาในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ทั้งการจัดสรรโควตานำเข้าสินค้านม ปี 2566 แบ่งเป็น นมปรุงแต่ง จำนวน 504 ตัน นมและครีม จำนวน 7,595 ตัน และนมผงขาดมันเนย จำนวน 75,704 ตัน การอนุมัติปริมาณเครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่งตามความตกลงอาเซียน (AFTA) การทบทวนกำหนดราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบหน้าศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และหน้าโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม ปี 2565 การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์นม และการขออนุมัติการนำเข้าน้ำนมโคยูเอชที รสจืด ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ชื่นชมนำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
นายกฯ มอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ชื่นชมนำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว
นายกฯ มอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ชื่นชมนำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ธ.ค.65) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชน จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ผู้นำชุมชน 10 จังหวัด ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำชุมชน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ ดังนี้ (1) รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่/ชุมชนคุณธรรมฯ แหลมสัก (2) รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี/ชุมชนคุณธรรมฯ วัดทรายขาว (4) ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต/ชุมชนคุณธรรมฯ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต (5) ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านภู (6) รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านบ่อน้ำร้อน (7) ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ/ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางน้ำผึ้งใน (8) รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว (9) รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพล และ (10) รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเชียง
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีและชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 และผู้ว่าราชการจังหวัดที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชนจนประสบความสำเร็จ ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบทั้งประเทศไทยและทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ทุกคนรวมพลังกันเพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาซึ่งประเทศไทยก็สามารถบริหารจัดการในเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีการเร่งพัฒนาในด้านต่าง ๆ ต่อเนื่องภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ สิ่งที่ทุกคนร่วมกันทำอยู่ถือเป็นการช่วยรัฐบาลอีกทางหนึ่งซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนในการทำให้หมู่บ้าน ชุมชน ตำบลของตนเองดีขึ้นโดยใช้ศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่แต่ละพื้นที่มีอยู่ทั้งด้านเกษตรกรรรม อุตสาหกรรม อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ท่องเที่ยว และอื่น ๆ มาพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดร่วมกันดำเนินการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งการขับเคลื่อนเรื่องของวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่และท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นสามารถที่เข้าสู่ระบบการเสียภาษีเพื่อรัฐจะจัดเก็บเป็นรายได้เพื่อนำมาพัฒนาประเทศต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้พัฒนาชุมชนทุกระดับให้มีความเข้มแข็ง สามารถ “อยู่รอด” มีความพอเพียง และนำไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลก็มีการดูแลประชาชนทุกจังหวัดอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่าง ๆ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมฝากว่าในการที่จะทำสิ่งใดขอให้ทุกคนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อน โดยรัฐบาลได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งจากภายในและฐานราก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ทุกคนในชาติมีภูมิต้านทานต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าชุมชนเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย และเต็มไปด้วยทุนทางทรัพยากร และทุนทางวัฒนธรรม ที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าได้อีกมากมาย รัฐบาลจึงได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ที่จะพลิกโฉมประเทศให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งภายในประเทศ อันประกอบไปด้วย ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนให้มีคุณภาพและมูลค่าที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำเพื่อให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความหวังว่า สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ทั้ง 10 ชุมชนนี้ จะเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งเป็นต้นแบบให้ชุมชนทั่วประเทศ ได้ศึกษาเรียนรู้ และเกิดการขยายผลต่อไป
สำหรับโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบฯ ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อน Soft power ความเป็นไทย ตลอดจนส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรม มาพัฒนาต่อยอดและภาพลักษณ์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวมถึงแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG โดยนำจุดแข็งของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม มาเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมให้มีมูลค่าสูง วธ.จึงได้จัดโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ขึ้นต่อเนื่องจากโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ซึ่ง วธ. ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 โดยมีชุมชนทั่วประเทศกว่า 27,000 ชุมชน ซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมทางศาสนา ดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งชุมชนคุณธรรมฯ หลายชุมชน มีต้นทุนทางวัฒนธรรม มีศักยภาพ และความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามารถพัฒนาต่อยอดได้ วธ. จึงได้ดำเนินการส่งเสริมพัฒนา และยกระดับชุมชนคุณธรรมดังกล่าวสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งทั้ง 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” นี้ จะเป็นต้นแบบให้เกิดการขยายผลไปยังชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ ช่วงฤดูหนาวบนถนน ชม.5080 เข้าสู่หมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ ช่วงฤดูหนาวบนถนน ชม.5080 เข้าสู่หมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่
พร้อมเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ชุมชนตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนประชาชนเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวบนถนนทางหลวงชนบท ชม.5080 สู่หมู่บ้านแม่กำปอง สัมผัสอากาศบริสุทธิ์และธรรมชาติของป่า เขา ลำธาร เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ โดยหมู่บ้านแม่กำปองอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติ ซึ่งในฤดูหนาวอากาศจะเย็นสบาย อีกทั้งยังมีลำธารไหลผ่านกลางหมู่บ้านตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวพักผ่อน หากเดินทางต่อไปตามถนนทางหลวงชนบท ชม.5080 จะได้เห็นความงดงามของน้ำตกแม่กำปองและวัดคันธาพฤกษา (วัดแม่กำปอง) ให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสและกราบไหว้สักการะหมู่บ้านแม่กำปอง ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ หากเดินทางมาจากตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถใช้ทางหลวงหมายเลข 118 (กม. ที่ 26+900) และเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบท ชม.3005 (กม. ที่ 0+000) ไปตามทางจนเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบท ชม.5080 (กม. ที่ 9+100) แล้วเดินทางต่อไปจนพบหมู่บ้านแม่กำปอง (กม. ที่ 9+500) นอกจากจะเป็นเส้นทางสู่แหล่งท่องเที่ยวแล้ว ถนนทางหลวงชนบท ชม.5080 ยังเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าเกษตรที่สำคัญจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มุ่งเน้นพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรในการเพาะปลูกพืชผักภายใต้ระบบมาตรฐานอาหารปลอดภัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย
ทช. สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ชุมชนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยบริหารจัดการเส้นทางบนถนนโครงข่ายทางหลวงชนบท เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวสามารถใช้เส้นทางได้อย่างสะดวกปลอดภัยตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลในการเดินทางสามารถติดต่อได้ที่แขวงทางหลวงชนบทเชียงใหม่ โทร. 0 5322 1646 หรือ สายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพฯ | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
นายกฯ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพฯ
นายกฯ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพข้าราชการ ร.ล.สุโขทัย 6 นาย และร่วมพิธีสวดอภิธรรม ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ จ.ชลบุรี
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (22 ธ.ค. 65) เวลา 16.45 น. ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย (ร.ล.สุโขทัย) ที่เข้ารับการรักษาตัว จำนวน 18 นาย โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยสอบถามอาการ และกล่าวให้กำลังใจกับกำลังพลทุกนาย ให้มีสุขภาพกายใจที่เข้มแข็ง ให้แข็งแรงเป็นปกติโดยเร็ว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย ณ สโมสรสัญญาบัตร กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปจากพลเรือโท สมบัติ นาราวิโรจน์ เสนาธิการกองเรือยุทธการ ซึ่งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย มีบทบาทหน้าที่ 1. ติดตาม รวบรวมข้อมูลกำลังพล ที่ช่วยเหลือ/ที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล/ที่เสียชีวิต/ที่ค้นหา 2. การอำนวยความสะดวกช่วยเหลือและเยียวยากำลังพล และญาติ 3. นายทหารประสานงานในพื้นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยการดำเนินการของศูนย์ที่ผ่านมา 1) อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือและเยียวยากำลังพล (1) ที่ช่วยเหลือปลอดภัย: ในการทำบัตรประชาชน ซิมโทรศัพท์ ธนาคาร มอบเงินบำรุงขวัญ จัดหาเครื่องแบบอุปกรณ์ประกอบเครื่องแบบ : ให้การปรึกษาแพทย์จิตวิทยา แนะนำการปฏิบัติตน (2) ที่บาดเจ็บ: ประสานในการรักษา มอบเงินบำรุงขวัญ (3) ที่เสียชีวิต: ตรวจสอบประกันภัย สหกรณ์ อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนศพและพิธีการศพ 2) อำนวยความสะดวกญาติ (1) ที่กำลังพลเสียชีวิต: โดยปรึกษาแพทย์จิตวิทยา แนะนำการปฏิบัติตน อำนวยความสะดวกและสอบถามความต้องการในการจัดการศพ : ตรวจสอบญาติโดยสืบสันดาน : ที่จัดตั้งศพ ที่พักของญาติในระหว่างพิธีศพ (2) ที่กำลังพลสูญหาย: โดยปรึกษาแพทย์จิตวิทยา แนะนำการปฏิบัติตน อำนวยความสะดวกในการปรึกษาแพทย์จิตวิทยา ขณะนี้มีสถิติการรับโทรศัพท์ให้ข้อมูลกับญาติ จำนวน 220 สาย และให้คำปรึกษาทางด้านจิตเวช ของญาติ จำนวน 14 ราย กำลังพล 3 ราย
นอกจากนี้ ศูนย์ประสานงานฯ ยังทำหน้าที่ในการรับผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ และการรับศพในพระบรมราชานุเคราะห์ ประสานเรื่องน้ำหลวงอาบศพ กับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประสานการพระราชทานเพลิงศพ กับกลุ่มอำนวยการพิธีการสงฆ์เขต โดยจะดำเนินงานด้านพิธีการศพให้กับครอบครัวกำลังพลที่เสียชีวิตตลอดทุกขั้นตอนจนถึงพิธีลอยอังคาร และศูนย์ประสานงานฯ ได้รับการสนับสนุนด้านอาหารจากครัวพระราชทาน จิตอาสา สำหรับเบอร์ติดต่อศูนย์ประสานงานฯ โทร. 084-002-3554 และ 038-182-435
ด้านภาพรวมกำลังพล ร.ล.สุโขทัย 105 นาย (สถานะ เวลา 13.00 น. 22 ธ.ค. 65) ได้รับการช่วยเหลือกลับบ้าน 55 นาย บาดเจ็บ (Admit) 19 นาย (รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 18 นาย รพ.บางสะพาน 1 นาย) เสียชีวิต 6 นาย อยู่ระหว่างการค้นหา 23 นาย จำแนกได้ดังนี้
1. ร.ล.สุโขทัย 75 นาย ได้รับการช่วยเหลือกลับบ้าน 41 นาย บาดเจ็บ (Admit) 14 นาย เสียชีวิต 4 นาย อยู่ระหว่างการค้นหา 14 นาย
2. หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) 15 นาย ได้รับการช่วยเหลือกลับบ้าน 4 นาย บาดเจ็บ (Admit) 4 นาย เสียชีวิต 1 นาย อยู่ระหว่างการค้นหา 6 นาย
3. หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) 15 นาย ได้รับการช่วยเหลือกลับบ้าน 10 นาย บาดเจ็บ (Admit) 1 นาย เสียชีวิต 1 นาย อยู่ระหว่างการค้นหา 3 นาย
จากนั้น เวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพข้าราชการ ร.ล. สุโขทัย จำนวน 6 นาย พิธีวางพวงมาลาพระราชทาน และพิธีสวดอภิธรรม ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ รวมถึงกำลังพลของกองทัพเรือ จากหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพเรือ และส่วนราชการในพื้นที่สัตหีบร่วมไว้อาลัย โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย คือ ว่าที่เรือเอก สามารถ แก้วผลึก พันจ่าเอก อัชชา แก้วสุพรรณ์ จ่าเอก จักรพงค์ พูนผล และพลทหาร อัครเดช โพธิ์บัติ สังกัด กองเรือฟริเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ (กร.) พันจ่าเอก อำนาจ พิมที สังกัด หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) และ พันจ่าเอก สมเกียรติ หมายชอบ สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยตั้งบำเพ็ญกุศลฯ กิจการฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ
ในส่วนของสิทธิกำลังพลผู้เสียชีวิตนั้น กรณีนี้กองทัพเรือถือว่ากําลังพลดังกล่าวเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จะพิจารณาบําเหน็จด้านสิทธิกําลังพลสูงสุดให้แก่กําลังพลดังกล่าว โดยจะพิจารณาเลื่อนชั้นเงินเดือน 3 - 5 ชั้น กับขอพระราชทานเลื่อนยศ 2 - 4 ชั้นยศ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามสิทธิที่สมควรจะได้รับ โดยแยกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
ชั้นยศ นาวาตรี จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือโท กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,0000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1,200,000 บาท
ชั้นยศ เรือเอก จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผู้ที่มีอายุราชการและฐานเงินเดือนสูงชั้นยศ พันจ่าเอก จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น นาวาตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท
ชั้นยศ จ่าตรี - จ่าเอก จะขอเลื่อนยศและขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พันจ่าโท - เรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 900,000 บาท
ในส่วนของทหารกองประจําการจะขอเลื่อนยศเป็น พันจ่าตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 100,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาทโดยกองทัพเรือ จะเร่งรัดการดําเนินการให้กําลังพลและครอบครัวได้รับสิทธิกําลังพลเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้แก่กําลังพลและครอบครัวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ปี 2565 นำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
นายกรัฐมนตรีชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ปี 2565 นำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ปี 2565 นำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน
นายกรัฐมนตรีชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ปี 2565 นำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน
วันที่ 23 ธันวาคม 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้นำชุมชน 10 จังหวัด ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และสื่อมวลชนเข้าร่วม ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความชื่นชมยินดีแก่ผู้นำชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ ๑๐ สุดยอดชุมชนต้นแบบ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล โดย วธ. มีนโยบายขับเคลื่อน Soft power ความเป็นไทย ตลอดจนส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรม มาพัฒนาต่อยอดและภาพลักษณ์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อีกทั้งรัฐบาลกำหนดแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG โดยนำจุดแข็งของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม มาเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ให้มีมูลค่าสูง วธ.จึงได้จัดโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ขึ้นต่อเนื่องจากโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ซึ่ง วธ. ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 โดยมีชุมชนทั่วประเทศกว่า 25,000 ชุมชน ซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมทางศาสนา ดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งชุมชนคุณธรรมฯ หลายชุมชน มีต้นทุนทางวัฒนธรรม มีศักยภาพ และความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามารถพัฒนาต่อยอดได้ วธ. จึงได้ดำเนินการส่งเสริมพัฒนา และยกระดับชุมชนคุณธรรมดังกล่าว สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วธ.ยังคงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชน ท้องถิ่น โดยได้ดำเนินโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 เพื่อคัดเลือกชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวจาก 228 ชุมชนทั่วประเทศ จังหวัดละ 3 ชุมชน จนได้ 10 ชุมชน ดังนี้ 1. ชุมชนคุณธรรมฯ แหลมสัก จังหวัดกระบี่ 2.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง จังหวัดเชียงราย 3.ชุมชนคุณธรรมฯ วัดทรายขาว จังหวัดปัตตานี 4.ชุมชนคุณธรรมฯ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต 5. ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านภู จังหวัดมุกดาหาร 6.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านบ่อน้ำร้อน จังหวัดยะลา 7. ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางน้ำผึ้งใน จังหวัดสมุทรปราการ 8.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว จังหวัดสุรินทร์ 9.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู และ10. ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
ทั้งนี้ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” นอกจากจะเป็นมีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยว มีเสน่ห์และความงดงามของวิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรมและธรรมชาติ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ยังมีการนำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนมาพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดคุณค่าและมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และเป็นชุมชนที่ใช้พลัง “บวร” เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนชุมชนสู่ความสำเร็จ ซึ่งทั้ง ๑๐ ชุมชนนี้ จะเป็นต้นแบบให้เกิดการขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ต่อไป และพร้อมแล้วในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศ สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร สายด่วนวัฒนธรรม 1765
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 ส่งความสุขให้ผู้โดยสาร | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 ส่งความสุขให้ผู้โดยสาร
...
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 ส่งความสุขให้ผู้โดยสาร
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ส่งความสุขให้ผู้โดยสาร และผู้ใช้บริการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 โดยจัดมุมถ่ายภาพต้นคริสต์มาสและบอลลูนยักษ์ พร้อมตกแต่งประดับไฟและกล่องของขวัญ ภายใต้แนวคิด (Theme) Travel make us happy ตั้งแต่วันที่17 ธันวาคม 2565 - 5 มกราคม 2566 บริเวณเคาน์เตอร์เช็กอิน Row H/J ห้องโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4และบริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ ชั้น 2 ประตู 1 เพื่อสร้างรอยยิ้มและส่งความปรารถนาดี แก่ผู้โดยสารในช่วงเทศกาลแห่งความสุข
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-13 หน่วยงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านการประเมินความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ 2565 ในระดับ AA | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
13 หน่วยงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านการประเมินความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ 2565 ในระดับ AA
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผย ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านการประเมินระดับความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง ในระดับ AA ถึง 13 หน่วยงาน ย้ำทุกหน่วยงานพัฒนาต่อเนื่อง ช่วยขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรม
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผย ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านการประเมินระดับความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง ในระดับ AA ถึง 13 หน่วยงาน ย้ำทุกหน่วยงานพัฒนาต่อเนื่อง ช่วยขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของกระทรวง
วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ราชการบริหารส่วนกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 พร้อมทั้งมอบโล่, ประกาศเกียรติคุณ แก่หน่วยงานที่ผ่านการประเมินความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ 2565 ระดับต่างๆ รวม 30 หน่วยงาน
นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวว่า บุคลากรที่รับผิดชอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องมีศักยภาพ มีความรู้ ความเข้าใจในขั้นตอนการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ไม่มีการทุจริต และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยในปีงบประมาณ 2565 หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีดำเนินงานภายใต้ตัวชี้วัดที่ 5 ระดับความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ผ่านในระดับ AA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ได้รรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จำนวน 13 หน่วยงาน ประกอบด้วย กองกลาง, กองกฎหมาย, กองบริหารการคลัง, กองบริหารการสาธารณสุข, กองบริหารทรัพยากรบุคคล, กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ, ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, กลุ่มตรวจสอบภายในระดับกระทรวง, กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร, สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท, สำนักสารนิเทศ, สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่ได้รับประกาศเกียรติคุณในระดับ A จำนวน 10 หน่วยงาน และระดับ B จำนวน 7 หน่วยงาน
“ขอแสดงความยินดี และขอชื่นชมทุกหน่วยงานที่ร่วมกันส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านการดำเนินงานภายใต้ตัวชี้วัดที่ 5 ระดับความสำเร็จในการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีหน่วยงานที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ระดับ AA ถึง 13 หน่วยงาน และขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อรักษาการดำเนินงานที่ดีนี้ไว้ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ได้มีการพัฒนาจนมีผลการดำเนินงานระดับ AA เพิ่มขึ้น ในปีงบประมาณต่อๆ” นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าว
*********************************** 23 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63051 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ลงนาม MOU ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เน้นย้ำ กลไกมหาดไทยทุกพื้นที่พร้อมขับเคลื่อนภารกิจตามกฎหมายควบคู่การเสริมสร้าง "กำลังใจ" | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ปลัด มท. ลงนาม MOU ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เน้นย้ำ กลไกมหาดไทยทุกพื้นที่พร้อมขับเคลื่อนภารกิจตามกฎหมายควบคู่การเสริมสร้าง "กำลังใจ"
ปมท. ลงนาม MOU ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เน้นย้ำ กลไกมหาดไทยทุกพื้นที่พร้อมขับเคลื่อนภารกิจตามกฎหมายควบคู่การเสริมสร้าง "กำลังใจ" เพื่อให้ผู้คิดจะทำผิดซ้ำได้รู้สึกมีคุณค่า สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคม
ปลัด มท. ลงนาม MOU ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เน้นย้ำ กลไกมหาดไทยทุกพื้นที่พร้อมขับเคลื่อนภารกิจตามกฎหมายควบคู่การเสริมสร้าง "กำลังใจ" เพื่อให้ผู้คิดจะทำผิดซ้ำได้รู้สึกมีคุณค่า สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมอย่างเป็นปกติสุข
วันนี้ (23 ธ.ค. 65) เวลา 10.00 น. ที่ห้องสนฉัตร ชั้น 3 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายธีรศักดิ์ เงยวิจิตร เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ รองอัยการสูงสุด นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพลตำรวจโท วีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรงระหว่างกระทรวงมหาดไทย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงยุติธรรม โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานสักขีพยาน โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายณัชวันก์ อัลภาชน์ เตชะเสน ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน และภาคีเครือข่าย ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมากฃ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กล่าวว่า ที่มาของพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 หรือเรียกโดยย่อว่า กฎหมาย JSOC : Justice Safety Observation ad hoc Center สืบเนื่องมาจากสาเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นทุกปี มักมีพฤติกรรมก่อเหตุซ้ำ จึงได้ขับเคลื่อนยกร่างกฎหมายกระทั่งถูกตราเป็นพระราชบัญญัติขึ้น เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมโดยเฉพาะสตรี และเพื่อป้องกันอันตรายจากการก่อเหตุซ้ำซาก โดยสาระสำคัญของกฎหมาย JSOC จะใช้กับผู้กระทำผิด 3 กลุ่ม คือ 1) ความผิดทางเพศ 2) ความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย และ 3) ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ/เรียกค่าไถ่ มีสาระสำคัญ คือ แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด และเฝ้าระวังภัยหลังพ้นโทษโดยใส่กำไล EM มากที่สุด 10 ปี และหากพบการกระทำผิด ตำรวจและฝ่ายปกครองสามารถเข้าควบคุมตัวทันทีภายใน 48 ชั่วโมง และเจ้าหน้าที่คุมประพฤติสามารถขอควบคุมฉุกเฉินเพิ่มอีกไม่เกิน 7 วัน และขออำนาจศาลเปลี่ยนมาตรการจากเฝ้าระวังเป็นคุมขังไม่เกิน 3 ปี โดยกฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 23 มกราคม 2566 นี้
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ได้ให้ความสำคัญและผลักดันกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง อันเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น และขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือช่วยทำให้ผู้ที่คิดจะกระทำความผิดซ้ำได้มีเครื่องเตือนใจให้ยับยั้งชั่งใจไม่ให้กระทำผิดซ้ำ รวมทั้งทำให้คนในสังคมได้มีโอกาสช่วยกันดูแลผู้ที่มีโอกาสกระทำความผิดให้เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและสังคม
"ผมเห็นความตั้งใจของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอย่างเด่นชัด ตั้งแต่ในช่วงขั้นตอนการยกร่างกฎหมาย ซึ่งท่านณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นกำลังสำคัญมาร่วมหารือและยืนยันถึงบทบาทของกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ซึ่ง ณ ขณะนั้น พวกเราในฐานะวิญญูชน เมื่อได้พิจารณาร่างกฎหมายแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องที่ดีและจะเป็นประโยชน์ในการสร้างมาตรการป้องกันและระมัดระวังความปลอดภัยให้กับประชาชน ทำให้ประเทศชาติมีกลไก มีระบบที่จะดูแลคนดี และช่วยสกัด ระงับยับยั้งไม่ให้คนที่เผลอพลั้งในเรื่องจิตใจที่จะตัดสินไปทำสิ่งที่ผิด ทำความเดือดร้อนให้กับผู้คนและสังคม" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยตามกฎหมายฉบับนี้สอดคล้องกับภารกิจหน้าที่ของพวกเราชาวมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่ต้อง "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้กับพี่น้องประชาชน โดยชาวมหาดไทยและภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ทั้ง 878 อำเภอใน 76 จังหวัด อันประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องอาสาสมัครต่าง ๆ มีความยินดีและเต็มใจในการขับเคลื่อนภารกิจตามกฎหมายที่ได้ลงนาม MOU กันในวันนี้ ทั้งขั้นตอนการควบคุมตัวผู้ถูกเฝ้าระวังเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน การนำตัวผู้ถูกเฝ้าระวังไปส่งศาล การพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ และการสนับสนุนฐานข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และเราจะไม่หยุดเพียงแค่ภารกิจตาม MOU ด้วยการขับเคลื่อนการเสริมสร้าง "กำลังใจ" ด้วยการวางระบบในการทำให้ผู้ที่จะกระทำผิดซ้ำได้รู้สึกมีคุณค่าที่จะอยู่ในพื้นที่ตำบล/หมู่บ้านที่เขาอาศัย พร้อมทั้งชักชวนให้พวกเขาได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับชีวิตและสังคมโดยรวม เช่น การเสริมสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ การร่วมกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม งานประเพณีต่าง ๆ เพื่อเป็นการเสริมแรงบวก นอกเหนือจากการช่วยกันระแวดระวัง และหากมีเรื่องอื่นใดที่กระทรวงมหาดไทยสามารถช่วยเหลือในกิจกรรมงานกระทรวงยุติธรรมได้ เราพร้อมช่วยสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถ
"ในโอกาสอันสำคัญ คือวันที่ 23 มกราคม 2566 ที่จะถึงในอีก 1 เดือนข้างหน้านี้ ผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องชาวมหาดไทย ร่วมแสดงเจตจำนงในการส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือและขับเคลื่อนการดำเนินงานในการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยการร่วมจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในวันนี้ เพื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสาธารณชนว่า พวกเราทั้ง 6 หน่วยงานมีความเต็มใจและตั้งใจที่จะช่วยกันทำให้ความตั้งใจของรัฐบาล ภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงยุติธรรม จะประสบความสำเร็จ เกิดผลดีต่อพี่น้องประชาชน อันจะส่งผลทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
ด้าน นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรงฉบับนี้ มีเจตจำนงที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 6 หน่วยงาน อันประกอบด้วย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรม สร้างความปลอดภัยให้กับสังคม แก้ไขปัญหาและลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำจากผู้กระทำความผิดคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง โดยร่วมกันผลักดันในระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนสร้างกลไกการดำเนินงานที่มีความเหมาะสมต่อกลุ่มผู้กระทำความผิดในระดับพื้นที่อย่างเชื่อมโยงสอดรับแนวนโยบายรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการดำเนินงานแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้แจงแผนการตรวจราชการ กำกับติดตามการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ปี 66 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
สธ. ชี้แจงแผนการตรวจราชการ กำกับติดตามการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ปี 66
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแผนการตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานขับเคลื่อน และกำกับติดตามนโยบาย 6 ประเด็น 39 ตัวชี้วัด และกำหนด Area based ในการแก้ปัญหาระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแผนการตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานขับเคลื่อน และกำกับติดตามนโยบาย 6 ประเด็น 39 ตัวชี้วัด และกำหนด Area based ในการแก้ปัญหาระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน รวมทั้งนโยบายที่มุ่งเน้นสำคัญ 5 ประเด็นหลัก และ 5 ประเด็นย่อย เพื่อเตรียมขับเคลื่อนงานในไตรมาส 2 และ 3
วันนี้ (23 ธันวาคม 2565 ) ที่ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมชี้แจงแผนการตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2566 แก่ผู้ตรวจราชการ สาธารณสุขนิเทศก์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ /โรงพยาบาลทั่วไป และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้มีการตรวจราชการประจำทุกปี เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน กำกับติดตามนโยบาย รวมถึงสร้างกลไกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ ได้กำหนดเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ผู้บริหารระดับสูง ยุทธศาสตร์ชาติ และระบบงานของหน่วยบริการ ใน 6 ประเด็น 39 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1.Health For Wealth (กัญชาทางการแพทย์ และการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์) 2.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ 3.สุขภาพกลุ่มวัยและการยกระดับบริการผู้สูงอายุ 4.Digital Health (ระบบข้อมูลสุขภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์) 5.ลดป่วย ลดตาย และการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ และ 6.องค์กรสมรรถนะสูง ด้านการเงินการคลังสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังได้กำหนด Area based ในการแก้ปัญหา และ Innovative Healthcare ที่สำคัญในระดับพื้นที่ทั้ง 12 เขตสุขภาพ รวมทั้งบูรณาการการตรวจราชการร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีใน 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยว 2.โครงการพัฒนาช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น 3.โครงการพัฒนาและยกระดับศักยภาพในแรงงาน และการตรวจราชการกรณีพิเศษสำหรับโครงการเกี่ยวกับพระราชวงศ์ อาทิ โครงการสัตว์ปลอดโรค
คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นต้น
“การตรวจราชการที่ผ่านมาถือว่ามีความเข้มข้น และมีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับส่วนภูมิภาคได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการวิเคราะห์และตัดสินใจในการตรวจราชการ ขอให้นำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลและตรวจสอบ และฝากให้หน่วยบริการเน้นสื่อสารในประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ดีให้กับประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องการฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น” นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ทิศทางและนโยบายมุ่งเน้นเพื่อเตรียมขับเคลื่อนงานในไตรมาส 2 และ 3 ในปีงบประมาณ 2566 นี้ จะมี 5 ประเด็นหลัก และ 5 ประเด็นย่อย โดยประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาบุคคลากรในเชิงปริมาณและคุณภาพ 2.พัฒนา Digital ทางการแพทย์ 3.แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ 4.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ เชื่อมโยง 3 หมอ และ 5.การปฏิรูปเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ส่วนประเด็นย่อย ได้แก่ 1.การถ่ายโอน รพ.สต. 2.การบริหารจัดการเงินบำรุง งบ สปสช. และค่าตอบแทนเสี่ยงภัย 3.การขับเคลื่อนโครงการ “การดูแลสุขภาพสูงวัย ฟอกไตทุกอำเภอ รักษามะเร็งทุกที่” 4.การดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด และการเปิดวอร์ดจิตเวชในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และ 5.กัญชาทางการแพทย์และเศรษฐกิจสุขภาพ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะมีการติดตามผลการดำเนินงานในทุกเดือน เพื่อให้การขับเคลื่อนงานบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
************************************** 23 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63040 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. ประชุม Egg Board เห็นชอบแผนการนำเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ (GP และ PS) ปี 2566 และรับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
รองปลัด กษ. ประชุม Egg Board เห็นชอบแผนการนำเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ (GP และ PS) ปี 2566 และรับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน
รองปลัด กษ. ประชุม Egg Board เห็นชอบแผนการนำเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ (GP และ PS) ปี 2566 และรับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน
นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) โดยมีผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนผู้ค้า ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ และผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการนำเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ (GP และ PS) ปี 2566 ได้แก่ ไก่ไข่ปู่ย่าพันธุ์ (GP) จำนวน 3,870 ตัว และไก่ไข่พ่อแม่พันธุ์ (PS) จำนวน 440,000 ตัว โดยมีแนวทางการจัดสรรโควตาให้แก่ผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ จำนวน 16 บริษัท โดยใช้โควตาเท่าเดิม (เท่ากับ ปี 2565) และให้เปลี่ยนชื่อ“บริษัท เอเป็กซ์ บรีดเดอร์สฟาร์ม จำกัด” เป็น “บริษัท ซัน บรีดเดอร์ส จำกัด”
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน โดยการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) ปี 2565 มีแผนการเลี้ยง จำนวน 3,800 ตัว นำเข้าเลี้ยงแล้ว 3,730 ตัว (98.16 %) (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธ.ค. 65 โดยกองสารวัตรและกักกัน/บมจ.ซีพีเอฟ) การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) ปี 2565 มีแผนการเลี้ยง จำนวน 440,000 ตัว นำเข้าเลี้ยงแล้ว 395,715 ตัว (89.94 %) (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธ.ค. 65 โดยกองสารวัตรและกักกัน/บมจ.ซีพีเอฟ) จำนวนไก่ไข่ยืนกรงปัจจุบัน 52.03 ล้านตัว ประมาณการผลผลิต 43.19 ล้านฟองต่อวัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 65) การส่งออกไข่ไก่สด ปี 2565 (ม.ค.- ต.ค.) จำนวน 213.80 ล้านฟอง มูลค่า 829.58 ล้านบาท ปริมาณลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 2.25 ในขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.84 โดยมีตลาดหลัก คือ สิงคโปร์ คิดเป็นร้อยละ 45 รองลงมา คือ ฮ่องกง ร้อยละ 37 (ข้อมูลกรมศุลกากร) ราคา (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ธ.ค. 65) ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ฟองละ 3.40 บาท (ข้อมูลโดยกรมการค้าภายใน) ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 170 บาท (ข้อมูลโดยบมจ.ซีพีเอฟ) ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ไตรมาส 3/65 เฉลี่ยฟองละ 3.40 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/65 ร้อยละ 7.94 เนื่องจากค่าพันธุ์สัตว์ ราคาอาหารสัตว์ ค่าวัคซีนและยาป้องกันโรค ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ไตรมาส 4/65 เฉลี่ยฟองละ 3.47 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุน ไตรมาส 3/65 พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.06 เนื่องจากค่าแรงงาน ค่าพันธุ์สัตว์ ราคาอาหารสัตว์ ค่าวัคซีนและยาป้องกันโรค ค่าน้ำ ค่าไฟปรับตัวสูงขึ้น (ข้อมูลโดยคณะอนุกรรมการต้นทุนการผลิตไก่ไข่และไข่ไก่)
การดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ของกรมปศุสัตว์ ได้มีการประชุมหารือเพื่อติดตามสถานการณ์การผลิตไข่ไก่ภายในประเทศ โดยได้เชิญผู้แทนจาก 4 สมาคมไก่ไข่ 4 สหกรณ์ไก่ไข่ ผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ 16 บริษัท และผู้แทนจากสำนักงานปศุสัตว์เขต 1 - 9 พิจารณากำหนดมาตรการร่วมกัน ซึ่งในปี 2565 ได้มีการประชุมไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง และกำหนดมาตรการในปัจจุบัน คือ 1) มาตรการขอความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่ยืนกรง ปลดไก่ไข่ตามอายุที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้เลี้ยงไก่ไข่ทุกราย ปลดไก่ไข่ยืนกรงไม่ให้อายุเกิน 80 สัปดาห์ ยกเว้นรายย่อยที่เลี้ยงต่ำกว่า 30,000 ตัว ที่ไม่ใช่ฟาร์มในระบบเกษตรพันธสัญญาของผู้ประกอบการรายใหญ่ และผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ขนาดการเลี้ยงตั้งแต่ 100,000 ตัว ขึ้นไป ปลดไก่ไข่ยืนกรงไม่ให้อายุเกิน 78 สัปดาห์ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2565 2) มาตรการขอความร่วมมือผู้ผลิตไก่ไข่พันธุ์ (PS) และผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ รวมจำนวน 17 ราย เก็บรวบรวมไข่ไก่เพื่อการส่งออกและปลดไก่ไข่ยืนกรงก่อนกำหนด เพื่อชดเชยปริมาณการส่งออก ในเดือนธันวาคม 2565 เป้าหมาย 59.30 ล้านฟอง โดยผลการดำเนินงาน (ณ วันที่ 20 ธ.ค. 65) มีการเก็บรวบรวมไข่ไก่เพื่อการส่งออก จำนวน 27,688,980 ฟอง ปลดไก่ไข่ก่อนกำหนด จำนวน 572,129 ตัว (เทียบเท่าส่งออกไข่ไก่ 13,915,775 ฟอง) รวมดำเนินการแล้ว 41,604,755 ฟอง คิดเป็น 70.15 % จากเป้าหมาย 3) มาตรการสนับสนุนค่าบริหารจัดการเพื่อเร่งการปลดระวางไก่ยืนกรง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมไก่ไข่ เพื่อเร่งการปลดระวางไก่ยืนกรง โดยจ่ายเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการสำหรับผู้เลี้ยงไก่ไข่ที่ปลดระวางไก่ไข่มีชีวิต ที่อายุในขณะจับอยู่ที่ระหว่าง 65 ถึง 75 สัปดาห์ ในอัตรา 10 บาทต่อตัว กรอบการดำเนินการสนับสนุนค่าบริหารจัดการรวมไม่เกิน 1,000,000 ตัว รวมวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท จ่ายเงินสนับสนุนสำหรับผู้เลี้ยงไก่ไข่ที่ปลดระวางไก่ไข่มีชีวิต ในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2565 ผลการดำเนินงาน มีผู้ขอรับการสนับสนุนแล้ว 5 ราย ปลดไก่ไข่ยืนกรง จำนวน 196,522 ตัว (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ธ.ค. 65)
สำหรับสถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญ ปัจจุบันราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังจากเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ปัจจัยหลักจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และภัยแล้งจากประเทศปลูกหลัก เช่น จีน และสหรัฐอเมริกา และการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ทำให้ราคาวัตถุดิบจะปรับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกของปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63056 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัด สธ. ประชุมทางไกลผู้บริหารในพื้นที่ เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2566 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
ปลัด สธ. ประชุมทางไกลผู้บริหารในพื้นที่ เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2566
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ กำชับเตรียมความพร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2566 เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูล การบาดเจ็บและส่งต่อ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ กำชับเตรียมความพร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2566 เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูล การบาดเจ็บและส่งต่อให้กับศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด เพื่อวางแนวทางแก้ไข ทีมช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุเน้นเข้าถึงจุดเกิดเหตุรวดเร็วภายใต้มาตรการความปลอดภัย พร้อมตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอ
วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 ซึ่งคาดว่าจะมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาและการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นได้ จึงขอให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่ง เตรียมความพร้อมรองรับ โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขประจำจังหวัด บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2565 – 5 มกราคม 2566 พร้อมวิเคราะห์ข้อมูล การบาดเจ็บและส่งต่อให้กับศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด เพื่อวางแนวทางป้องกันและลดอุบัติเหตุในพื้นที่ โดยเฉพาะการกำหนดมาตรการในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับโรงพยาบาลทุกแห่ง ให้เตรียมการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดในผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอ พร้อมทั้งรายงานข้อมูลในระบบรายงาน ส่วนทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ที่จะให้การช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งต้องเข้าถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ขอให้ดำเนินการภายใต้มาตรการความปลอดภัยของรถพยาบาลและผู้ปฏิบัติงาน ทั้งนี้ สามารถพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 เพิ่มขึ้นได้ไม่เกิน 2 เท่า ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขฯ (ฉ.5) โดยมีการทำคำสั่งมอบหมายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานให้ชัดเจน
ทั้งนี้ ข้อมูลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พบว่า เกิดเหตุสูงสุดระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2564 – 1 มกราคม 2565 โดยมีสาเหตุมาจากการขับรถเร็วและดื่มแล้วขับ ผู้ขับขี่ที่ตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีมากขึ้น ส่วนบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดในช่วงอายุ 40-49 ปี สาเหตุมาจากจักรยานยนต์ ถึงร้อยละ 85.80 และส่วนใหญ่ไม่สวมหมวกกันน็อค
*********************************** 23 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63055 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี เรียกถก EIA โครงการสำคัญ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ความมั่นคงพลังงานและการพัฒนาแหล่งน้ำ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี เรียกถก EIA โครงการสำคัญ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ความมั่นคงพลังงานและการพัฒนาแหล่งน้ำ
พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี เรียกถก EIA โครงการสำคัญ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ความมั่นคงพลังงานและการพัฒนาแหล่งน้ำ
วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) เวลา 10.00 น. พลเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผ่านระบบ VTC ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมประชุม เพื่อเร่งพิจารณา EIA ขับเคลื่อนแผนงานสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล
ที่ประชุมร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ รายงาน EIA การพัฒนาเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในเกาะกระเต็น จว.สุราษฎร์ธานี และโครงการสำคัญ ประกอบด้วย โครงการถนนตามผังเมืองกำแพงเพชร โครงการถนนวงแหวนเลี่ยงเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่บอม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จว.ลำปาง โครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติทางบกจากบางปะกงไปยังโรงไฟฟ้าพระนครใต้ โครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา จว.กระบี่ นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบ (ร่าง) แผนการจัดระดับชาติ เพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสต๊อกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน แผนดำเนินงานแก้ปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ ปี 2565-2568 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ปี 2566
พลเอก ประวิตร ฯ ได้ขอบคุณ ทส.ที่เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ปัญหา PM 2.5 โดยขอให้ ทส.เร่งรัดขับเคลื่อนการปฏิบัติตามแผนให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะห้วงเวลาวิกฤตคุณภาพอากาศ พร้อมย้ำ ขอให้คณะกรรมการ ให้ความสำคัญร่วมกันเร่งพิจารณาโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ความมั่นคงพลังงาน และการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ โดยขอให้พิจารณารอบคอบตามมาตรการหรือหลักเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ที่ผ่านความเห็นชอบ ต้องดำเนินตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และให้นำเสนอ ครม.ตามขั้นตอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
วันนี้ (22 ธ.ค. 65) เวลา 16.00 น. ณ หอพระไตรปิฎก วัดโสธรวราราม วรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยได้รับเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพิธาน เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรวิหาร เป็นประธานสงฆ์ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูปประกอบพิธี โดยมี นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางปิติมา รักพานิชมณี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทราและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ เบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เจ้าหน้าที่ อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ ให้ศีล พระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ จบแล้ว ประธานประเคนเครื่องไทยธรรมถวายแด่ประธานสงฆ์ และพระสงฆ์ ตามลำดับ พระสงฆ์ทั้งนั้นอนุโมทนา ประธานกราบลาพระรัตนตรัย กราบลาประธานสงฆ์ แล้วถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสร็จแล้วไปยังมุขด้านหน้าพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม วรวิหาร เพื่อรับขวัญโค กระบือ คล้องพวงมาลัย ป้อนหญ้า ประพรมน้ำอบ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นอันเสร็จพิธี
จากนั้น ในเวลา 17.00 น. ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
โอกาสนี้ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ เบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เจ้าหน้าที่ อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ ให้ศีล พระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ จบแล้ว ประธานประเคนเครื่องไทยธรรมถวายแด่ประธานสงฆ์ และพระสงฆ์ ตามลำดับ พระสงฆ์ อนุโมทนา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กราบลาพระรัตนตรัย กราบลาประธานสงฆ์ แล้วถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นอันเสร็จพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เปิดเผยว่า ตามที่สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร กระทรวงมหาดไทยจึงได้ร่วมกับพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนิก บำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระพรแด่พระองค์ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน ซึ่งในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพิธาน เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรวิหาร พระเถรานุเถระ และจังหวัดฉะเชิงเทรา จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญกุศลไถ่ชีวิต โค กระบือ เพื่อถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่พระองค์ท่าน โดยโค กระบือที่ไถ่ชีวิตในวันนี้เป็นโค กระบือที่ตนพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และข้าราชการ รวมถึงภาคีเครือข่าย ได้พร้อมใจกันบริจาคเงินสมทบจัดซื้อมาจากโรงฆ่าสัตว์ จำนวน 44 ตัว ซึ่งได้ทำพิธีรับขวัญและถวายให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 11 วัด ได้แก่ วัดโสธรวราราม วรวิหาร วัดมาบนาดี วัดเกาะแก้วเวฬุวัน วัดสุวรรณเตมีย์ วัดวังเย็น วัดท่ากลอย วัดบางสมัคร วัดบางกระเจ็ด วัดท่าเกรียน วัดผาณิตาราม และวัดหัวไทร เพื่อใช้ในการประกอบสัมมาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนโดยรอบวัดต่อไป
ด้าน ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการร่วมกันถวายความจงรักภักดี และถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน สถิตเป็นมิ่งขวัญแก่พวกเราพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกศาสนิก ได้ร่วมกันบำเพ็ญกุศลตามความเชื่อของศาสนาที่ทุกท่านเคารพนับถือเพื่อน้อมถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรแด่พระองค์ให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ซึ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงท่านนายอำเภอ ได้รับเมตตาจากท่านเจ้าคณะผู้ปกครอง และผู้นำศาสนาในพื้นที่ ประกอบพิธีในทุกวัน ณ ศาสนสถานในแต่ละจังหวัด อำเภอ รวมถึงยังมีกิจกรรมอื่นๆ อาทิ การบริจาคโลหิต การบำเพ็ญประโยชน์ และการทำกิจกรรมสาธารณกุศล ซึ่งทุกท่านสามารถร่วมกันประกอบวัตรปฏิบัติเหล่านี้เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาน้อมถวายพระพรแด่ "พระองค์ภา" พระผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทยโดยพร้อมเพรียงกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี” | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
นายกฯ มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี”
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี”
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ว่า “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี”
“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติให้กับเด็ก ๆ มาแล้วรวม 8 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 โดยครั้งนี้ เป็นการมอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 เป็นครั้งที่ 9” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส – ETDA ลุยสร้างภูมิคนไทยรู้ทัน ปัญหาออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส – ETDA ลุยสร้างภูมิคนไทยรู้ทัน ปัญหาออนไลน์
ดีอีเอส – ETDA ลุยสร้างภูมิคนไทยรู้ทัน ปัญหาออนไลน์
วันนี้(23ธันวาคม65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัว1212 ETDA Workshop : สร้างภูมิคนไทยรู้ทันปัญหาออนไลน์ พร้อมด้วยศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันโลกออนไลน์และการช่วยเหลือหากตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์ให้กับเจ้าหน้าที่ข้าราชการและผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่10จังหวัดทั่วประเทศโดยมีดร.ชัยชนะมิตรพันธ์ผู้อำนวยการETDAและร่วมให้การต้อนรับณสำนักงานสพธอ.
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กรุงไทย” หนุนร้านค้าเพิ่มยอดขาย จัดแคมเปญ “ร้านถุงเงินรับทรัพย์ ยิ่งใช้ยิ่งได้เพิ่ม” รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ และเครดิตเงินคืน 1,000 บาท | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
"กรุงไทย” หนุนร้านค้าเพิ่มยอดขาย จัดแคมเปญ “ร้านถุงเงินรับทรัพย์ ยิ่งใช้ยิ่งได้เพิ่ม” รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ และเครดิตเงินคืน 1,000 บาท
กรุงไทยสร้างโอกาสเพิ่มยอดขายให้ร้านค้า จัดแคมเปญ “ร้านค้าถุงเงินรับทรัพย์ ยิ่งใช้ยิ่งได้เพิ่ม” หนุนผู้ประกอบการรับเงินผ่านแอปถุงเงิน สแกนจ่ายได้ทุกธนาคารและทุกวอลเล็ต จัดเต็มสิทธิพิเศษ 2 ต่อ และรับเครดิตเงินคืน 1,000 บาท ให้ร้านถุงเงินรับง่ายขายรวย จ
“ธนาคารกรุงไทย” สร้างโอกาสเพิ่มยอดขายให้ร้านค้า จัดแคมเปญ “ร้านค้าถุงเงินรับทรัพย์ ยิ่งใช้ยิ่งได้เพิ่ม” หนุนผู้ประกอบการรับเงินผ่านแอปถุงเงิน สแกนจ่ายได้ทุกธนาคารและทุกวอลเล็ต จัดเต็มสิทธิพิเศษ 2 ต่อ และรับเครดิตเงินคืน 1,000 บาท ให้ร้านถุงเงินรับง่ายขายรวย จ่ายสะดวก ต่อยอดสบาย จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566
ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” ธนาคารกรุงไทย เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการร้านค้า สร้างโอกาสเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ รองรับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล จัดแคมเปญ “ร้านค้าถุงเงินรับทรัพย์ ยิ่งใช้ยิ่งได้เพิ่ม” สำหรับร้านค้าถุงเงินที่รับเงินผ่าน PromptPay QR ของธนาคารกรุงไทย ไม่น้อยกว่า 100 รายการต่อเดือน และมียอดเงินฝากในบัญชีถุงเงินไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อวัน รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ดังนี้
สิทธิพิเศษต่อที่ 1 สมัครสินเชื่อ SME ไซซ์เล็ก ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 5.37% ต่อปี สมัครบัตรเดบิตกรุงไทย SME ฟรี! ค่าออกบัตร 100 บาท และสมัครประกัน PA ร้านสุขใจ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 850 บาทต่อปี
สิทธิพิเศษต่อที่ 2 สมัครครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ รับไปเลย! เครดิตเงินคืน 1,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566
ทั้งนี้ ร้านค้าที่สมัครหรือรับเงินผ่านแอปฯถุงเงินทั่วประเทศสามารถขอรับ Tent Card PromptPay QR ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ อีกทั้ง ธนาคารยังจัด Troop ถุงเงินรับทรัพย์สัญจรไปตามตลาดต่างๆ โปรโมตร้านค้าถุงเงินให้รับง่ายขายรวย จ่ายสะดวก ต่อยอดสบาย โดยลูกค้าที่สแกนจ่ายผ่าน PromptPay QR ถุงเงิน หากเจอขบวน Troop ที่ร้านไหน รับของแจกทันที นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชัน รับส่วนลด 10 บาท เมื่อจ่ายด้วยเป๋าตังเปย์ 50 บาทขึ้นไป สนใจสมัครร้านค้าถุงเงินได้ที่ https://krungthai.com/th/content/sme/smesolutions/tungngern หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร 02-111-1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63037 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ยกระดับ Application GHBank Smart NPA เป็น GHB ALL HOME รวมบ้านมือสอง ธอส. ไว้ให้เลือกมากกว่า 10,000 รายการ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ธอส. ยกระดับ Application GHBank Smart NPA เป็น GHB ALL HOME รวมบ้านมือสอง ธอส. ไว้ให้เลือกมากกว่า 10,000 รายการ
ธอส. ปรับโฉม Application GHBank Smart NPA เปลี่ยนชื่อเป็น GHB ALL HOME โดยมีฟังก์ชั่นเด่นสำหรับลูกค้าบ้านมือสอง ธอส.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ยกระดับการให้บริการลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง ธอส. ให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น ปรับโฉม Application GHBank Smart NPA เปลี่ยนชื่อเป็น GHB ALL HOME โดยมีฟังก์ชั่นเด่นสำหรับลูกค้าบ้านมือสอง ธอส. อาทิ เลือกซื้อบ้านมือสอง ธอส. รวมไว้ในแอปมากกว่า 10,000 รายการ ทุกระดับราคาทั่วประเทศ ประมูลซื้อบ้านออนไลน์ วางเงินประกันการเข้าร่วมประมูล วางเงินประกันการซื้อทรัพย์ ชำระเงินผ่อนดาวน์ ชำระค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ รวมถึงบริการยื่นคำร้องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมซื้อบ้านมือสอง ธอส. อีกมาก โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลด GHB ALL HOME ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) เป็นต้นไป ทาง Apple Store หรือ Play Store ขณะที่ลูกค้าที่มี GHBank Smart NPA อยู่แล้ว สามารถกด Update Version ทาง Apple Store หรือ Play Store สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GHBank Call Center โทร.0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ Facebook Fanpage บ้านมือสอง ธอส. www.ghbhomecenter.com Mobile Application : GHB ALL HOME และ Line Official Account : @GHBALLHOME
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กมธ.ดีอีเอส” จับมือ “GISTDA” เปิดศูนย์เรียนรู้ด้านอวกาศเวียงป่าเป้า พร้อมตั้งเป้าสร้างฐานความเข้มแข็งให้ชุมชนทั่วประเทศด้วยเทคโนโลยีอวกาศ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
“กมธ.ดีอีเอส” จับมือ “GISTDA” เปิดศูนย์เรียนรู้ด้านอวกาศเวียงป่าเป้า พร้อมตั้งเป้าสร้างฐานความเข้มแข็งให้ชุมชนทั่วประเทศด้วยเทคโนโลยีอวกาศ
“กมธ.ดีอีเอส” จับมือ “GISTDA” เปิดศูนย์เรียนรู้ด้านอวกาศเวียงป่าเป้า พร้อมตั้งเป้าสร้างฐานความเข้มแข็งให้ชุมชนทั่วประเทศด้วยเทคโนโลยีอวกาศ
23 ธันวาคม 2565 คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิด “โครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีอวกาศ หรือ Space Technology Laboratory” โดยมีนางสาวกัลยา
รุ่งวิจิตรชัย ประธาน กมธ.ดีอีเอส เป็นประธาน และ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมวิทยาลัยเทคนิคเวียงป่าเป้า อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
นางสาวกัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์นี้ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการส่งต่อคุณค่าให้กับประชาชนและสังคม โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ให้กับเยาวชนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะให้เยาวชนหันมาสนใจเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อจะนำไปพัฒนาต่อยอดสร้างประโยชน์มากขึ้นและเป็นการเตรียมความพร้อมให้คนไทยสามารถสร้างอาชีพด้านอวกาศในอนาคต ตลอดจนการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดย กมธ.ดีอีเอส พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อสานฝันให้กับเยาวชนไทยต่อไป
ด้านพันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า โครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายการรับรู้และการถ่ายทอดองค์ความรู้ในเทคโนโลยีดาวเทียมและการประยุกต์ใช้ให้ลงสู่ชุมชนให้มากขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิดของการสร้างดาวเทียมที่เปลี่ยนไปมากจากในอดีต ทั้งนี้ในอดีตการสร้างดาวเทียมหรือส่งดาวเทียม จะสามารถทำได้ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากร วิศวกรที่มีความรู้ ความชำนาญเป็นพิเศษและมีแต่ต้นทุนในการสร้างสูงมาก แต่ในปัจจุบันโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาก็สามารถสร้างดาวเทียมเพื่อการศึกษาและวิจัยได้เองแล้ว โดยมีต้นทุนที่ต่ำลงมากแต่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการใช้งาน และการดำเนินงานในครั้งนี้ยังเป็นการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย
เรื่องของเทคโนโลยีอวกาศเป็นเรื่องที่หลายคนหลายหน่วยงานให้ความสนใจทั้งในภาครัฐและโดยเฉพาะในภาคธุรกิจ จะเห็นได้จากจำนวนของบริษัทและผู้ประกอบและบริษัทที่สนใจและเข้ามาดำเนินงานในธุรกิจดาวเทียมและอุตสาหกรรมอวกาศที่มีเพิ่มมากขึ้น และสามารถผลิตชิ้นส่วนด้านการบินและอากาศยานเพื่อส่งออก หรือแม้แต่การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าหลายประเทศได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการประยุกต์ใช้งานและมีการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจ เอกชนและกลุ่ม start-up เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ตรงจุดและทันต่อเหตุการณ์ การใช้งานในภาคการเกษตรก็ถูกยกระดับกลายเป็นธุรกิจระดับที่สตาร์ทอัพที่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น จากแนวความคิดดังกล่าว จึงได้มีการร่วมหารือในแนวทางและลงมือปฏิบัติ โดยเริ่มต้นในระดับเยาวชน กมธ.ดีอีเอส , GISTDA พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ร่วมหารือกันด้วยวัตถุประสงค์ที่เห็นพ้องต้องกันคือ ต้องการพัฒนาพื้นที่ในส่วนภูมิภาค และสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านกิจการอวกาศที่ทันสมัย ยกระดับการเรียนรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียมและการประยุกต์ใช้งาน เช่น ใช้ในการวางแผนจัดการทรัพยากรน้ำ ป่าไม้และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติ เพื่อการแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า และลดผลกระทบหรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งต่อบุคคลและทรัพย์สิน
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ศูนย์การเรียนรู้นี้จะทำให้ภาคเหนือมีศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศ ดาวเทียมสำรวจโลก ภูมิสารสนเทศและการประยุกต์ใช้ที่ทันสมัย เด็กนักเรียนได้ตระหนักและเข้าถึงเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เกิดแรงบันดาลใจในการอยากเรียนรู้และอาจนำไปสู่อาชีพ กิจการในอนาคต สำหรับประชาชนและคนในพื้นที่จะได้เรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการดูแลชุมชน รวมถึงทรัพยากรต่างๆ ในพื้นที่ เช่น การติดตามภัยและเตรียมความพร้อมจากไฟป่าและหมอกควันหรือน้ำท่วม หรือแม้แต่การสนับสนุนข้อมูลภัยแล้งหรือสภาพอากาศสำหรับการเตรียมการ การติดตามการเพาะปลูกและดูแลพืชอย่างเหมาะสม เป็นต้น
อีกหนึ่งความสำคัญที่ต้องกล่าวถึงคือ วิทยาลัยเวียงป่าเป้าที่ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านอวกาศอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการให้เยาวชนในพื้นที่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศ และตระหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่อาศัยอยู่ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้งานในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม การเริ่มต้นในวันนี้กับกลุ่มเยาวชนจึงเป็นสิ่งที่ดี อนาคตเราจะได้เห็นประเทศไทยจะก้าวไกลในด้านภารกิจอวกาศและสามารถต่อยอดไปสู่เศรษฐกิจอวกาศและเวทีระดับโลก อีกทั้ง ยังเป็นการเน้นย้ำบทบาทของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการให้มีใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็น 1 ในยุทธศาสตร์สำคัญตามแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63039 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รับมือสถานการณ์น้ำท่วมต่อเนื่อง จัดเจ้าหน้าที่นำเครื่องจักรและอุปกรณ์ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท รับมือสถานการณ์น้ำท่วมต่อเนื่อง จัดเจ้าหน้าที่นำเครื่องจักรและอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดปัตตานี ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดปัตตานีในเวลานี้ (23 ธ.ค. 65) ทำให้มีโครงข่ายทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบ จำนวน 4 สายทาง ได้แก่
1. ถนนสาย ปน.2010 แยก ทล.42 - บ้านบาซาเอ อำเภอโคกโพธิ์ หนองจิก และยะรัง ไหล่ทางชำรุงเสียหาย ช่วง กม. ที่ 15+100 - 15+700 สามารถสัญจรได้ฝั่งทางซ้าย
2. ถนนสาย ปน.2044 แยก ทล.42 - บ้านกาเยาะมาตี อำเภอสายบุรี ช่วง กม. ที่ 0+000 - 1+000 ระดับน้ำสูง 60 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรได้
3. ถนนสาย ปน.2061 แยก ทล.42 - บ้านสายบุรี อำเภอสายบุรี ช่วง กม. ที่ 4+500 - 5+100 ระดับน้ำสูง 50 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรได้
4. ถนนสาย ปน.6083 บ้านบือราแง - บ้านชะเมา อำเภอทุ่งยางแดง ช่วง กม. ที่ 1+900 - 3+550 ระดับน้ำสูง 75 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรได้
อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ปฏิบัติตามนโยบายรับมืออุทกภัยของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยสั่งการให้สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 12 (สงขลา) แขวงทางหลวงชนบทปัตตานี เข้าอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ปรับปรุงระบบระบายน้ำบริเวณทางหลวงชนบทสาย ปน.5072 และปรับเกลี่ยดินสไลด์ที่ปิดทับเส้นทางบนทางหลวงชนบท สาย ปน.2001 เพื่อเป็นการป้องกันน้ำท่วมขังผิวการจราจรและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในการสัญจรให้กับประชาชนในช่วงฝนตกหนัก
สำหรับโครงข่ายทางหลวงชนบทที่ได้รับผลกระทบในจังหวัดปัตตานี ในเบื้องต้น ทช. ได้ดำเนินการติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเฝ้าระวังสถานการณ์จนกว่าระดับน้ำจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยได้ที่แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่หรือติดต่อสายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด ไตรมาส 3/2565 หน่วยเหลือขายกว่า 4.73 หมื่นหน่วยกดยอดเปิดโครงการใหม่ต่ำสุด | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด ไตรมาส 3/2565 หน่วยเหลือขายกว่า 4.73 หมื่นหน่วยกดยอดเปิดโครงการใหม่ต่ำสุด
รายงานภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด พบว่าหลังจากสถานการณ์เห็นภาพการชะลอตัวลงในด้านอุปสงค์ ขณะที่อุปทานใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้นกว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมา
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา พบว่าหลังจากสถานการณ์เห็นภาพการชะลอตัวลงในด้านอุปสงค์ ขณะที่อุปทานใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้นกว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมาแต่โดยภาพรวมยังอยู่ในช่วงการหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 อุปทานพร้อมขาย หรือ Total Supply มีจำนวน 54,116 หน่วย ลดลง -9.11% มูลค่ารวม 184,985 บาท ลดลง -9.94% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งหมดในพื้นที่ EEC พบว่าที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดส่วนใหญ่เปิดขายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ขณะที่ระยอง และฉะเชิงเทราเน้นการเปิดขายโครงการใหม่ประเภทบ้านจัดสรรเป็นหลัก ซึ่งมีประเด็นที่น่าจับตาคือ ที่อยู่อาศัยที่เสนอขายทั้งหมดในตลาดเริ่มลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 และการเปิดตัวใหม่ในไตรมาส 3 ถือว่าต่ำที่สุดทั้งก่อน และระหว่างเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID -19 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่โซนอุตสาหกรรม ขณะที่อัตราการดูดซับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายได้เพิ่มขึ้นของโครงการแนวราบโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์
จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายในพื้นที่ 3 จังหวัด ณ ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่ามีจำนวน 54,116 หน่วย ลดลง -9.11% มูลค่ารวม 184,985 บาท ลดลง -9.94% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นประเภทอาคารชุด 17,998 หน่วย มูลค่า 77,667 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -10.16% มูลค่าลดลง -13.45% เป็นประเภทบ้านจัดสรร 36,118 หน่วย มูลค่า 107,318 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง – 8.57% มูลค่าลดลง -8.50% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่เข้าสู่ตลาด 4,117 หน่วย มูลค่า 12,516 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 16.89% มูลค่าลดลง -9.38% โดยโครงการอาคารชุดที่เปิดใหม่เกือบทั้งหมดจะเปิดในจังหวัดชลบุรี ขณะที่บ้านจัดสรรในไตรมาสนี้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในฉะเชิงเทรามากกว่าจังหวัดชลบุรีและระยอง
ทั้งนี้พบว่าโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 กระจายอยู่ในทำเลย่านนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ต่อเชื่อม โดย 3 ทำเล ซึ่งโครงการอาคารชุดเสนอขายใหม่มากที่สุดในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ประกอบด้วย
อันดับ 1 นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 497 หน่วย มูลค่า 596 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 4)
อันดับ 2 บางแสน-หนองมน-บางพระ จำนวน 491 หน่วย มูลค่า 1,186 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1)
อันดับ 3 สัตหีบ-อู่ตะเภา จำนวน 262 หน่วย มูลค่า 985 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 3)
ส่วนทำเลที่มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่สูงสุดอยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมถึงในพื้นที่ต่อเชื่อมนิคมอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย
อันดับ 1 ในเมืองฉะเชิงเทรา จำนวน 804 หน่วย มูลค่า 1,997 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1)
อันดับ 2 นิคมฯ สหพัฒน์ -ปิ่นทอง จำนวน 335 หน่วย มูลค่า 484 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 7)
อันดับ 3 นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 290 หน่วย มูลค่า 783 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 3)
โดยพบว่ามีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 6,740 หน่วย มูลค่า 21,113 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -14.34% มูลค่าลดลง -15.15% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุดเพียง 1,617 หน่วย มูลค่า 5,946 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -16.91% มูลค่าลดลง -20.62% โครงการบ้านจัดสรร 5,123 หน่วย มูลค่า 17,389 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -13.49% มูลค่าลดลง -12.79% ซึ่งเป็นการขายประเภทบ้านจัดสรรประมาณกว่า 75% ของหน่วยขายทั้งหมดใน 3 จังหวัด EEC ส่วนอาคารชุดเกือบทั้งหมดขายได้ในจังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ พบว่าอัตราดูดซับลงมาอยู่ที่ 4.2% ลดลงกว่าไตรมาสก่อนหน้าแต่ดีกว่าในช่วงไตรมาสแรก หากแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่าบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับสูงกว่าโครงการอาคารชุด โดยมีอัตราดูดซับ 4.7% ขณะที่อัตราดูดซับอาคารชุดอยู่ในระดับ 3.0% และระดับราคาที่มีอัตราดูดซับดีที่สุดอยู่ในกลุ่มของทาวน์เฮ้าส์ โดยอัตราดูดซับอยู่ที่ 5.0% โดยกลุ่มราคาน้อยกว่า 1.00 ล้านบาท อัตราดูดซับปรับตัวดีขึ้นจาก 3.2% มาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ขณะที่อัตราดูดซับกลุ่มราคาอื่นปรับตัวลดลง
ทำเลที่มียอดอาคารชุดขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 หาดจอมเทียน จำนวน 402 หน่วย มูลค่า 2,166 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1 และมีอัตราดูดซับ 2.2%)
อันดับ 2 พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 269 หน่วย มูลค่า 1,566 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับ 2.0%)
อันดับ 3 นิคมฯอมตะ-บายพาส จำนวน 236 หน่วย มูลค่า 287 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 6 และมีอัตราดูดซับร้อยละ 11.4%)
ทำเลที่มียอดขายบ้านจัดสรรสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 นิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น จำนวน 930 หน่วย มูลค่า 1,842 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1 และมีอัตราดูดซับ 5%)
อันดับ 2 นิคมฯเหมราช จำนวน 467 หน่วย มูลค่า 1,258 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับ 5.7%)
อันดับ 3 นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 348 หน่วย มูลค่า 1,019 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 5 และมีอัตราดูดซับ 4.9%)
การที่การขายได้ใหม่มากกว่าการเปิดตัวได้ส่งผลให้ หน่วยเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวน 47,376 หน่วย มูลค่า 163,872 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -8.32% มูลค่าลดลง -9.23% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นประเภทอาคารชุด 16,381 หน่วย มูลค่า 71,720 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -9.44% มูลค่าลดลง -11.05% เป็นประเภทบ้านจัดสรร 30,995 หน่วย มูลค่า 92,151 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -7.71% มูลค่าลดลง -7.76%
ทำเลที่มีที่อาคารชุดเหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 หาดจอมเทียน จำนวน 5,742 หน่วย มูลค่า 29,066 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1)
อันดับ 2 พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 4,287 หน่วย มูลค่า 24,552 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 2)
อันดับ 3 แหลมฉบัง จำนวน 1,564 หน่วย มูลค่า 2,797 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 5)
ในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 นิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น จำนวน 5,247 หน่วย มูลค่า 10,546 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 1)
อันดับ 2 นิคมฯพานทอง-พนัสนิคม จำนวน 2.339 หน่วย มูลค่า 5,454 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 9)
อันดับ 3 นิคมฯเหมราช จำนวน 2,274 หน่วย มูลค่า 5,682 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 4)
อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ในปี 2566 สถานการณ์โดยรวมจะยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัวอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งประกาศนโยบายชัดเจนในเรื่องของการนำกฎเกณฑ์ LTV กลับมาใช้อีกครั้ง ส่งผลให้การเปิดขายโครงการใหม่มีแนวโน้มจะลดลง โดยตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC จะยังคงถูกขับเคลื่อนโดยโครงการบ้านจัดสรร และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงเน้นการขายสินค้าคงค้างในทำเล และการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เหมาะสมความสามารถของในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อที่ยังไม่สูงนัก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
ในวันพฤหัสบดีที่๒๒ธันวาคมพุทธศักราช๒๕๖๕เวลา๑๗.๐๐น.ณพระอุโบสถวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร คณะสงฆ์วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม,ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีเจ้าคณะใหญ่หนกลางผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับศาสตราจารย์พิเศษดร.สุรเกียรติ์เสถียรไทยรองประธานกรรมการที่ปรึกษาประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยากสภากาชาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์และเจริญจิตตภาวนาเพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ได้อัญเชิญพระพุทธมนต์อันอุดมด้วยมงคลมาสาธยายเพื่อให้เกิดความสวัสดีมีชัยขอถวายเป็นพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคลขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยพร้อมเทวานุภาพของพระสยามเทวาธิราชเจ้าขออานิสงส์แห่งพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญอยู่เป็นนิจและบุญกุศลที่คณะสงฆ์พร้อมด้วยพสกนิกรชาวไทยได้บำเพ็ญถวายพระราชกุศลขอได้โปรดอภิบาลประทานพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดาและเพื่อความสุขสวัสดีแด่พสกนิกรชาวไทยที่มาร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดท่าเรือราชินี-บางโพ ท่าเรืออัจฉริยะเชื่อมโยงระบบขนส่งล้อ-ราง-เรือ อย่างไร้รอยต่อ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต จากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
นายกฯ เปิดท่าเรือราชินี-บางโพ ท่าเรืออัจฉริยะเชื่อมโยงระบบขนส่งล้อ-ราง-เรือ อย่างไร้รอยต่อ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต จากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม
นายกฯ เปิดท่าเรือราชินี-บางโพ ท่าเรืออัจฉริยะเชื่อมโยงระบบขนส่งล้อ-ราง-เรือ อย่างไร้รอยต่อ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต จากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อประชาชน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ธ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณท่าเรือราชินี แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงท่าเรือราชินี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการท่าเรืออัจฉริยะ เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต โดยท่าเรือราชินี เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ได้ยกระดับให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาระบบการบริการให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น และเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่เมืองและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งล้อ ราง เรือ ที่สมบูรณ์แบบ โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 10 ก่อนโดยสารเรือไฟฟ้าจากท่าเรือราชินีไปยังท่าเรือบางโพ เขตบางซื่อ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ โดยระหว่างการโดยสารเรือไฟฟ้า นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้ทุกฝ่ายและทุกคนช่วยกันสร้างสังคมและครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงท่าเรือบางโพ กล่าวแสดงความยินดีที่ได้เป็นประธานเปิดท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ อย่างเป็นทางการ สอดรับตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 ตามแผนพัฒนาการให้บริการท่าเรือโดยสารสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยา ยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้มีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในการเดินทาง ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่น (ล้อ-ราง-เรือ) ได้อย่างไร้รอยต่อ ลดปัญหาการคับคั่งของการจราจรทางบก ลดระยะเวลาในการเดินทาง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์การเดินทางของประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมุ่งพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะต่อจากนี้ จะมุ่งพัฒนาคุณภาพเพื่อการใช้งานให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องสะดวกสบาย ปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม เรือที่ใช้ในการสัญจรเป็นเรือพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบในประเทศไทย ที่นอกจากจะเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมและห่วงโซ่การผลิตในประเทศแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เป็นการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและบริเวณโดยรอบ ให้สามารถพัฒนาเป็นเขตการค้าและต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้ง นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดำเนินการออกแบบและสถาปัตยกรรมที่ยังคงรักษาความเป็นไทยควบคู่กับการพัฒนาให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการและนักท่องเที่ยวได้เห็นความสวยงามริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นประธานเปิดท่าเรืออัจฉริยะหลายแห่ง ซึ่งทุกแห่งล้วนเป็นจุดสำคัญในการเชื่อมโยงระบบโครงข่ายคมนาคมทั้ง ล้อ ราง เรือ และโครงข่ายการเดินทางระดับประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาล ที่มุ่งผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาความเจริญและการกระจายโอกาสไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยปัจจุบันระบบคมนาคมขนส่งของประเทศมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างมากจนใกล้เคียงกับต่างประเทศ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมกระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า และทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะทุกแห่งให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่สามารถเชื่อมโยงการเดินทางสู่ระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ พร้อมกันนี้ นายกฯ เชิญชวนประชาชนได้ลองมาเยี่ยมชมท่าเรือใหม่ ชมวิวทิวทัศน์ริมสองฝังแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองสัญจร และต้องการส่งต่อความประทับใจนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชนคนไทย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่อนาคต และยกระดับการขนส่งทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาต่อไป
สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ เป็นนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่จะพัฒนาการให้บริการท่าเรือโดยสารสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ให้มีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในการเดินทาง ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่น (ล้อ-ราง-เรือ) ได้อย่างไร้รอยต่อโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือ MTR บริเวณสถานีสนามไชย การปรับปรุงพัฒนาท่าเรือราชินีมีแนวคิดการออกแบบเน้นความสวยงามมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ให้เป็นท่าเรือที่สวยที่สุดในแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นแลนมาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร มีความสะดวกและปลอดภัยทางน้ำ ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ให้พร้อมบริการ และมีมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) พัฒนายกระดับท่าเรือให้เป็นสถานีเรือ ทั้งในส่วนของท่าเรือ ตัวเรือ ตลอดจนพัฒนาระบบการให้บริการรองรับชีวิตวิถีใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการควบคุม และบริหารจัดการบนเรือและท่าเรือ ตามแผนพัฒนาท่าเรือสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 29 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จ เปิดใช้งานแล้ว จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร และท่าเรือพายัพ ปัจจุบันแล้วเสร็จเพิ่มในปี 2565 จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือราชินี ท่าเรือบางโพ และที่จะแล้วเสร็จเพิ่มในปี 2566 อีกจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือท่าเตียน ท่าเรือพระราม 7 และท่าเรือเกียกกาย ซึ่งการเปิดท่าเรือทั้งสองแห่งจะทำให้การบริการขนส่งทางน้ำที่ปลอดภัย สะดวก สบาย ให้แก่ผู้โดยสาร นักท่องเที่ยว ตลอดจนประชาชนทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเป็นทางเลือกในการเดินทางของประชาชนแบบไร้รอยต่อ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63041 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรแนะขั้นตอนยื่นคำขอออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax) รับมาตรการช้อปดีมีคืน 2566 | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
กรมสรรพากรแนะขั้นตอนยื่นคำขอออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax) รับมาตรการช้อปดีมีคืน 2566
กรมสรรพากรแนะขั้นตอนยื่นคำขอออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax) รับมาตรการช้อปดีมีคืน 2566
วันที่ 23 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 แก่ประชาชน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 ถึงวันที่ 15 ก.พ. 2566 โดยประชาชนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยใช้ใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ตามเงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีนั้น
กรมสรรพากร จึงแนะนำช่องทางสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือมีหน้าที่ออกใบ สามารถยื่นคำขอจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax ) เพื่อเข้าร่วมมาตรการช้อปดีมีคืน 2566 ดังนี้
1.ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt สำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือมีหน้าที่ออกใบรับ มีใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และมีระบบควบคุมภายในที่ดี โดยมีวิธีการสร้างส่งและเก็บรักษาข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งระบบนี้เหมาะกับการออกใบกำกับภาษีจำนวนมากและเป็นระบบบัญชีขนาดใหญ่ โดยเป็นการจัดทำข้อมูลใบกำกับภาษี รวมถึงใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบรับ ให้อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Microsoft Word, Microsoft Excel, PDF หรือ PDF/A-3 ที่ได้ลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ส่งมอบแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ส่วนการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรต้องจัดทำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้อยู่ในรูปแบบ XML File ตามมาตรฐานเท่านั้น
สำหรับขั้นตอนการยื่นคำขอจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt มีดังนี้ 1.เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) เพื่อยื่นคำขอ 2.ดาวน์โหลดโปรแกรม Ultimate Sign & Viewer Free และติดตั้งลงเครื่องคอมพิวเตอร์ 3.เชื่อมต่ออุปกรณ์ Token หรือ HSM ที่จัดเก็บใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ 4.กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรและตรวจสอบข้อมูล 5.ลงลายมือชื่อใน บ.อ.01 และข้อตกลง 6.ตรวจสอบอีเมล และสร้างบัญชีผู้ใช้งาน 7.ตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับอนุมัติ บ.อ.01 ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
2.ระบบ e-Tax Invoice by Email สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ซึ่งระบบนี้เหมาะกับการออกใบกำกับภาษีจำนวนน้อยและเป็นระบบบัญชีขนาดเล็กโดยเป็นการจัดทำข้อมูลใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในรูปแบบ PDF/A-3 มีข้อมูล XML ตามรูปแบบที่กำหนด รับรองเอกสารโดยการประทับรับรองเวลา (Times tamp) จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และส่งมอบแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการผ่าน e-mail ส่วนการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ส่วนขั้นตอนการยื่นคำขอจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ระบบ e-Tax Invoice by Email มีดังนี้ 1.เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพื่อยื่นคำขอ 2.กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรและตรวจสอบข้อมูล พิมพ์เอกสาร ก.อ.01 เพื่อลงนาม 3.สแกน ก.อ.01 และเอกสารเกี่ยวข้องเพื่ออัปโหลดเอกสาร
4.กรมสรรพากรตรวจสอบความถูกต้องและจัดส่งเอกสารยืนยันทางไปรษณีย์ พร้อมรหัสยืนยัน (Activate Code) 5.ยืนยันตัวตนผ่านทางเว็บไซต์ และกำหนดรหัสผ่าน
ภายใน 15 วันทำการ 6.แจ้งอีเมลที่ประสงค์จะใช้ในการส่งใบกำกับภาษีและใบรับ 7.ตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับอนุมัติ ก.อ.01 ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากธ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://etax.rd.go.th/ หรือสายด่วน โทร.1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนเดินทางวันหยุดยาวตลอดเดือน ธ.ค. ขอให้เพิ่มความระมัดระวังการขับขี่ ตรวจสภาพรถ คนขับให้มีความพร้อม งดดื่มแอลกอฮอล์ | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนเดินทางวันหยุดยาวตลอดเดือน ธ.ค. ขอให้เพิ่มความระมัดระวังการขับขี่ ตรวจสภาพรถ คนขับให้มีความพร้อม งดดื่มแอลกอฮอล์
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนเดินทางวันหยุดยาวตลอดเดือน ธ.ค. ขอให้เพิ่มความระมัดระวังการขับขี่ ตรวจสภาพรถ คนขับให้มีความพร้อม งดดื่มแอลกอฮอล์ จัดคาร์ซีทสำหรับเด็ก กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัย
วันนี้(3ธ.ค.65)น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ห่วงใยประชาชนที่คาดว่าจะมีการเดินทางมากตลอดเดือนธ.ค. 65เนื่องจากมีวันหยุดยาวหลายช่วงด้วยกัน ได้แก่ช่วงวันพ่อแห่งชาติ3-5ธ.ค. นี้ วันรัฐธรรมนูญ10-12ธ.ค.และในเทศกาลปีใหม่จึงกำชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้องอาทิกระทรวงคมนาคมกระทรวงมหาดไทยสำนักงานตำรวจแห่งชาติอำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชนให้คำแนะนำตลอดจนกวดขันพฤติกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเช่นการเมาแล้วขับ
ในส่วนของประชาชนโดยเฉพาะผู้เดินทางทางถนนนั้นก็ขอให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษโดยตรวจสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน คนขับมีสภาพร่างกายที่พร้อมพักผ่อนเพียงพอไม่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการขึ้นในระหว่างขับขี่พาหนะเช่นหัวใจลมชักงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนและในขณะขับขี่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและผู้ร่วมเดินทางและหากมีเด็กร่วมเดินทางควรพิจารณาใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก(Car seat) ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับขี่และคนซ้อนท้ายขับรถด้วยความเร็วที่กำกฎหมายกำหนดเคารพกฎจราจรโดยหากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้โทรขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันทีที่สายด่วน1669ทันที
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานดูแลความปลอดภัยการเดินทางของประชาชนเนื่องจากปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการบาดเจ็บเสียชีวิตและทุพพลภาพของประชาชนโดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าตั้งแต่วันที่1ม.ค. - 23พ.ย. 65ทั่วประเทศได้พบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนรวม847,317รายแบ่งเป็นผู้บาดเจ็บ834,130ราย(ร้อยละ98.44)ผู้เสียชีวิต13,042ราย(ร้อยละ1.53)และทุพพลภาพ145ราย(ร้อยละ0.02)
ทั้งนี้ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่เป็นเพศชายกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ36-60ปีโดยพาหนะที่เกิดเหตุมากที่สุดได้แก่รถจักรยานยนต์รองลงมาคือรถยนต์จังหวัดที่มีรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดได้แก่จังหวัดกรุงเทพมหานครรองลงมาคือชลบุรีและนครราชสีมาซึ่งจากสถิติย้อนหลังเมื่อปี2564พบว่าจะมีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตสูงในช่วงเดือนมี.ค.ธ.ค.และม.ค.ซึ่งเป็นช่วงเดือนที่มีเทศกาลและวันหยุดยาว
—————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62278 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนพิการทุกคน | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนพิการทุกคน
นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนพิการทุกคน ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคมแก่ประชาชนทุกกลุ่ม
นายอนุชาบูรพชัยศรีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้(3ธันวาคม2565)เวลา09.05น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวปราศรัยเนื่องในโอกาส“วันคนพิการสากล”ประจำปี2565 ผ่านบันทึกวีดิทัศน์เผยแพร่ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่3ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคนพิการสากล
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวเนื่องในโอกาส“วันคนพิการสากล”ว่าในนามของรัฐบาลขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนพิการทุกคนซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่3ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคนพิการสากลและเชิญชวนประเทศสมาชิกร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับคนพิการและเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในสังคมอย่างเป็นธรรมและเสมอภาคกับคนทั่วไปโดยในปี2565นี้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นหลักคือ“การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล:พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม”
นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมแก่ประชาชนทุกกลุ่มรวมทั้งกลุ่มคนพิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตลดความเหลื่อมล้ำให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศโดยรัฐบาลได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆพร้อมทั้งการพัฒนาบริการภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการและใช้ประโยชน์จากบริการของภาครัฐได้สะดวกมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งส่งเสริมการจ้างงานคนพิการซึ่งในปีงบประมาณที่ผ่านมาสามาถสร้างรายได้ให้คนพิการรวมกว่า170ล้านบาทตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้พิการมีทักษะและศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพและเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีให้กำลังใจผู้พิการทุกคนและขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีโปรดอภิบาลประทานพรให้ทุกคนและครอบครัวตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานองค์การที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประสบแต่ความสุขความเจริญมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่แข็งแรงและสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาโดยทั่วกัน
_________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62281 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดือนสุดท้าย! ใช้สิทธิปีต่อปีประกันสังคมทำฟันฟรี900 บาท ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
เดือนสุดท้าย! ใช้สิทธิปีต่อปีประกันสังคมทำฟันฟรี900 บาท ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย
เดือนสุดท้าย! ใช้สิทธิปีต่อปีประกันสังคมทำฟันฟรี900 บาท ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย
วันนี้(3ธ.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพคนทำงานทางสำนักงานประกันสังคมได้ให้การดูแลผู้ประกันตนมาตรา33และมาตรา39ใช้สิทธิทำฟันฟรี900บาทซึ่งเป็นสิทธิปีต่อปีโดยไม่ต้องสำรองจ่ายโดยสามารถใช้บริการทันตกรรมเกี่ยวกับการถอนฟัน/อุดฟัน/ขูดหินปูน/ผ่าฟันคุดในสถานพยาบาลที่มีสติกเกอร์“สถานพยาบาลแห่งนี้ให้บริการผู้ประกันตนกรณีทำฟัน”ซึ่งสิทธิของปีนี้ใช้ได้ถึงสิ้นเดือนธันวาคม2565
สำหรับการใช้สิทธิประกันสังคมรับบริการทันตกรรมมีดังนี้
1.ถอนฟันอุดฟันขุดหินปูนและผ่าฟันคุดสามารถใช้สิทธิได้ในไม่เกิน900บาท/ปี
2.ใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้บางส่วนจำนวน1-5ซี่เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในวงเงินไม่เกิน1,300บาทหากจำนวนมากกว่า5ซี่เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในวงเงินไม่เกิน1,500บาท
3.ใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปาก1)ฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปากบนหรือล่างเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในวงเงินไม่เกิน2,400บาท(ภายในระยะเวลา5ปีนับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม) 2)ฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปากบนและล่างเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในวงเงินไม่เกิน4,400บาท(ภายในระยะเวลา5ปีนับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม)
“จึงขอย้ำให้ผู้ประกันตนตามมาตรา33และมาตรา39ทราบเงื่อนไขระยะเวลาการใช้สิทธิการทำทันตกรรมที่เป็นแบบปีต่อปีทั้งนี้ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิเมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า3เดือนภายในระยะเวลา15เดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ สอบถามเพิ่มเติมสายด่วนประกันสังคมโทร.1506ตลอด24ชั่วโมง”นางสาวรัชดากล่าว
————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดนโยบาย อุตฯ "MIND" ใช้หัวและใจ ปฏิรูปกระทรวงปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ดันเศรษฐกิจโตอย่างยั่งยืน | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
เปิดนโยบาย อุตฯ "MIND" ใช้หัวและใจ ปฏิรูปกระทรวงปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ดันเศรษฐกิจโตอย่างยั่งยืน
ก.อุตฯ รีแบรนด์สู่ MIND ขับเคลื่อนนโยบายปี 66 ติดปีกภาคธุรกิจ มุ่งอุตสาหกรรมวิถีใหม่ ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบาย 4 มิติ ย้ำการทำงานด้วย “MIND” มุ่งยกระดับภาคอุตฯ
กระทรวงอุตสาหกรรม รีแบรนด์สู่ MIND ขับเคลื่อนนโยบายปี 2566 ติดปีกภาคธุรกิจ มุ่งอุตสาหกรรมวิถีใหม่ ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบาย 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้สู่ชุมชน ย้ำการทำงานด้วย “MIND” มุ่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ด้วย ‘หัว’ และ ‘ใจ’
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND ในปี 2566 ว่า กระแสเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวรวมทั้งเศรษฐกิจไทย หลังจากวิกฤติโควิด-19 ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่า GDP ปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 และกระทรวงอุตสาหกรรมคาดว่า ปี 2565 GDP ภาคอุตสาหกรรมและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI ขยายตัวร้อยละ 2.0 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปี 2566 เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเปราะบางจากหนี้สาธารณะของหลายประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉลี่ยเกือบ 100% อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา โดยพบว่าไทยมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ น้ำมันแพง ค่าเงินบาทอ่อน และดอกเบี้ยสูง ทำให้สินค้ามีการปรับราคาสูงขึ้น อีกทั้ง ปัญหาด้านโครงสร้างของอุตสาหกรรมที่เริ่มแข่งขันได้ยาก เช่น ต้นทุนด้านแรงงานและการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงปัญหาด้านภาพลักษณ์ของภาคอุตสาหกรรมต่อประชาชน ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า จากปัจจัยข้างต้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ตามแนวคิด “อุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ดังนี้
1. “อุตสาหกรรม” ต้องมีภาพที่ดี ด้วยพลังของคนอุตสาหกรรม โดยใช้หลักการ "อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี" ร่วมกันสื่อสาร “การรวมพลังอุตสาหกรรมดี” เพื่อสร้างทัศนคติรวมถึงประสบการณ์ที่ดีให้กับประชาชนและสถานประกอบการให้มีความเชื่อมั่น เชื่อถือ และไว้วางใจ พร้อมปรับปรุงการให้บริการอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกภาคส่วน สามารถตรวจสอบได้ สร้างความโปร่งใสในการทำงาน ด้วยการปลูกฝังการทำดีด้วย 'หัว' และ 'ใจ" ของข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ พร้อมผลักดัน “ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชน และสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน” เพื่อให้ชุมชนและอุตสาหกรรมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตร พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2. ทุกนโยบาย มาตรการ และกลไก มุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ และให้รางวัลกับคนทำดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมสู่ S-curve ที่มุ่งเน้นการผลิตและโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประกอบด้วย มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ การปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับโลกอนาคต การแข่งขันด้านประสิทธิภาพและต้นทุน รวมถึงเพิ่มความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม อาทิ เกษตรอุตสาหกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และยานยนต์
แห่งอนาคต มิติที่ 2 การประกอบการที่กระทรวงดูแล ต้องไม่สร้างผลกระทบต่อพื้นที่ เพื่อลดความขัดแย้ง
สร้างความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจให้ประชาชน มิติที่ 3 การตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และ มิติที่ 4 การรักษาวิถีชีวิต สร้างประโยชน์ พัฒนาชุมชนรอบอุตสาหกรรม และต่อยอดอาชีพดีพร้อม โดยมุ่งเน้น “การสร้างงาน สร้างอาชีพ” ให้คนรุ่นใหม่สามารถต่อยอดอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวหรืออัตลักษณ์ชุมชน ขณะเดียวกันจะกระตุ้นผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ทำงานร่วมกับชุมชนและเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ หากดำเนินการตามที่กล่าวมา เชื่อมั่นว่าในปี 2566 จะสามารถกระตุ้น GDP ภาคอุตสาหกรรม และ MPI ให้สูงขึ้นร้อยละ 2.5 – 3.5 และเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีถัด ๆ ไป ดร.ณัฐพล กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชูโครงการปันแสง โคกอิโด่ยวัลเลย์ เป็นจุดเช็กอินใหม่ ต้นแบบพลังงานทดแทนเพื่อการเกษตร | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
"ทิพานัน" ชูโครงการปันแสง โคกอิโด่ยวัลเลย์ เป็นจุดเช็กอินใหม่ ต้นแบบพลังงานทดแทนเพื่อการเกษตร
"ทิพานัน" ชูโครงการปันแสง โคกอิโด่ยวัลเลย์ เป็นจุดเช็กอินใหม่ ต้นแบบพลังงานทดแทนเพื่อการเกษตร นวัตกรรมผักหวานป่าแก้จนพืชหมุนเวียน สร้างงาน สร้างรายได้ชุมชน ก้าวสู่BCG
วันนี้(3ธ.ค.65)น.ส.ทิพานันศิริชนะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากวิกฤติพลังงานโลกและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้เพิ่มสูงขึ้นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชามีนโยบายสำคัญของรัฐบาลซึ่งมุ่งเน้นที่จะทำน้อยให้ได้มากพร้อมขอให้มีการขยายการดำเนินการเรื่องพลังงานทดแทนให้มากยิ่งขึ้นตามศักยภาพที่มีอยู่ควบคู่กับการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
น.ส.ทิพานันกล่าวว่าทั้งนี้โครงการปันแสงที่“โคกอีโด่ยวัลเล่ย์”โรงเรียนศรีแสงธรรมศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบโคกหนองนาณวัดป่าศรีแสงธรรมอำเภอโขงเจียมจังหวัดอุบลราชธานีขณะนี้ได้กลายเป็นจุดเช็กอินในพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวคณะบุคคลจากองค์กรต่างๆทั้งภาครัฐภาคเอกชนและประชาสังคมเพื่อการเรียนรู้นวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนโดยพระปัญญาวชิรโมลีโดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อยอดพัฒนานวัตกรรมผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรโดยนำไปต่อยอดเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในการเกษตรเช่นเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์รถเข็นนอนนาพลังงานแสงอาทิตย์และพัฒนาเป็นอาชีพรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในนาม“ช่างขอข้าว”เพื่อนำรายได้กลับมาใช้ในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนซึ่งเป็นต้นแบบการใช้พลังงานทดแทนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานและทำให้เกิดประโยชน์กับชุมชนได้อย่างแท้จริง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าทั้งนี้ยังเชื่อมโยงพื้นที่การเกษตรที่เน้นการออกแบบโดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติและการออกแบบเพื่อการฟื้นฟูและแนวชนิดพืชผสมผสานเช่นปลูกผักหวานกล้วยมะละกอมะเขือพริกพืชผักคลุมดินพืชหัวไม้เลื้อยและถั่วฝักยาวโดยเฉพาะโพนผักหวานป่าแก้ปัญหาความยากจนมีการออกแบบระบบการให้น้ำจากที่สูงไหลลงที่ต่ำการกักความชื้นไว้ในขอนไม้ใต้โพนที่จะย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยไปเรื่อยๆซึ่งสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจBCGนอกจากนี้
จ้งหวัดอุบลราชธานียังเป็นพื้นที่ขับเคลื่อนกิจกรรมวันดินโลกของกระทรวงมหาดไทยจัดกิจกรรมวันดินโลกปี2565 "World Soil Day" 5ธันวาคมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรทรงมีพรมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยในการพระราชทานแนวพระราชดำริด้านการจัดการทรัพยากรดินเพื่อการเกษตรต่างๆ
"พล.อ.ประยุทธ์ได้เคยลงพื้นที่และชื่นชมแหล่งเรียนรู้พลังงานทดแทน“โคกอีโด่ยวัลเล่ย์”จ.อุบลราชธานีอีกทั้งยังให้การสนับสนุนผลักดันให้มีการปรับปรุงผิวถนนเข้าโครงการถนนลาดยางตั้งแต่ถนนใหญ่ถึงตำบลห้วยยางระยะทาง7.18กิโลเมตรเข้าไปยังโครงการเสร็จเรียบร้อยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้นที่สำคัญยังสอดรับเป้าหมายกรุงเทพฯที่ไทยเป็นผู้นำในการนำเสนอแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจBCGบนเวทีเอเปค2022จึงสร้างความตระหนักให้กับทุกภาคส่วนซึ่งสามารถต่อยอดสร้างโอกาสในการแข่งขันและการท่องเที่ยวสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน"น.ส.ทิพานันกล่าว
________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62287 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เร่งบริษัทจัดหางาน สมัครสมาชิกกองทุนฯให้คนหางานต่างประเทศ หวังได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ ใช้งานสะดวกผ่าน e-Service | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
รมว.เฮ้ง เร่งบริษัทจัดหางาน สมัครสมาชิกกองทุนฯให้คนหางานต่างประเทศ หวังได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ ใช้งานสะดวกผ่าน e-Service
กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เชิญ 132 บริษัทจัดหางาน อบรมใช้งาน e-Service เตรียมพร้อมก่อนเปิดให้บริการสมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรณีบริษัทจัดหางานจัดส่ง ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2565
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานเตรียมเปิดให้บริการยื่นคำขอสมัครและชำระเงินค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรณีบริษัทจัดหางานจัดส่ง ในวันที่ 3 ธันวาคม 2565 โดยบริษัทจัดหางานสามารถดำเนินการสมัครสมาชิกกองทุนฯ ให้คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (Overseas Employment E-Service) ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ชำระเงินผ่าน Mobile Banking หรือผ่านเคาน์เตอร์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบใบเสร็จรับเงิน และตรวจสอบบัตรสมาชิกกองทุนฯ ผ่านเว็บไซต์ หรือ Application "Smart TOEA " ทางโทรศัพท์มือถือของสมาชิกกองทุนฯ โดยไม่ต้องเดินทางมาดำเนินการ ณ สำนักงานอีกต่อไป
“กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการยกระดับการให้บริการภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยได้พัฒนา
ระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ระยะที่ 4 (e-Service) ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้งสามารถใช้บริการได้ทุกที่ ทุกเวลา”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 กรมการจัดหางาน โดยนายโอวาท ทองบ่อมะกรูด ผู้อำนวยการกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ได้เชิญบริษัทจัดหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ มาประชุมรับฟังแนวทางการให้บริการยื่นคำขอสมัครและชำระเงินค่าสมาชิกกองทุนฯ ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ฯ โดยมีบริษัทจัดหางาน รวม 132 บริษัท ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 และผ่านระบบ Video Conference เพื่อเรียนรู้การใช้งานระบบที่จะเปิดในวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะทำให้คนหางานสามารถยื่นคำขอส่งเงินเข้ากองทุนฯ ผ่านระบบ e-Service โดยไม่ต้องเดินทางไปสำนักงาน และยังสามารถเลือกชำระเงินได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ Mobile Banking , เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จำกัด และชำระเงินสด ณ สำนักงาน ที่ยื่นคำขอส่งเงินเข้ากองทุน โดยเร็วๆนี้จะเพิ่มความสะดวกให้ชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7- Eleven อีกช่องทางหนึ่ง
“สำหรับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ หากเป็นสมาชิกกองทุนฯ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ จะได้รับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนด อาทิ กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ กรณีประสบอันตรายก่อนไปทำงานหรือขณะทำงานในต่างประเทศ กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย กรณีประสบอันตรายจนพิการ กรณีถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม และกรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด โดยผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและต้องการสมัครสมาชิกกองทุน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 02 245 6710 -11 ในวันและเวลาราชการ หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ 28 Best Countries และ อันดับ 19 Best Countries for a Comfortable Retirement ประเทศที่ดีน่าอาศัยอยู่หลังเกษียณ | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ 28 Best Countries และ อันดับ 19 Best Countries for a Comfortable Retirement ประเทศที่ดีน่าอาศัยอยู่หลังเกษียณ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ 28 Best Countries และ อันดับ 19 Best Countries for a Comfortable Retirement ประเทศที่ดีน่าอาศัยอยู่หลังเกษียณ ซึ่งถือเป็นที่ 1 ในอาเซียน
วันนี้(3ธ.ค.65) นายอนุชาบูรพชัยศรีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยินดีที่ได้ทราบว่าU.S. News & World Reportสื่อสหรัฐฯที่เผยแพร่ข่าวคําแนะนําถึงผู้บริโภคการจัดอันดับและการวิเคราะห์ได้จัดให้ไทยเป็นอันดับที่28ของประเทศที่ดีที่สุดในโลก(Best Countries)โดยการจัดอันดับจากการสำรวจข้อมูลจากผู้คนทั่วโลกกว่า17,000คนพิจารณาจากคะแนนรวมจากปัจจัยต่างๆอาทิอิทธิพลทางวัฒนธรรมมรดกทางวัฒนธรรมประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นการดำเนินธุรกิจความคล่องแคล่วอำนาจในการต่อรองรวมถึงคุณภาพชีวิตและสังคม(https://www.usnews.com/news/best-countries/thailand)
ส่วนประเภทประเทศที่น่าพำนักอยู่ภายหลังเกษียณ(Best Countries for a Comfortable Retirement)ไทยได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่19ของโลกประจำปี2022 (พ.ศ. 2565)และถือเป็นอันดับ1ของอาเซียนซึ่งเป็นการปรับขึ้นมา1อันดับจากปีที่แล้วทั้งนี้พิจารณาจากปัจจัยต่างๆอาทิคุณภาพชีวิตอัตราภาษีความเป็นมิตรสภาพภูมิอากาศการเคารพสิทธิในทรัพย์สินระบบสาธารณสุขที่ได้รับการพัฒนาอย่างดีและการมีค่าครองชีพที่ถูก(https://www.usnews.com/news/best-countries/best-countries-to-retire)
"นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเสมอว่าประเทศไทยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มีภูมิประเทศที่ได้เปรียบอากาศดีผู้คนเป็นมิตรเอื้อต่อการอยู่อาศัยอีกทั้งยังมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนนอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับต่างชาติทั้งการย้ายมาพำนักอาศัยและด้านการท่องเที่ยวเป็นที่สนใจมีชื่อเสียงโดดเด่นซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการตามนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง"นายอนุชาฯกล่าว
—————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62279 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การเภสัชฯเจ๋ง พัฒนายาต้านไวรัสสูตรใหม่ สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับไวรัสตับอักเสบซี เพื่อการเข้าถึงยาอย่างเท่าเทียม | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
องค์การเภสัชฯเจ๋ง พัฒนายาต้านไวรัสสูตรใหม่ สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับไวรัสตับอักเสบซี เพื่อการเข้าถึงยาอย่างเท่าเทียม
องค์การเภสัชฯเจ๋ง พัฒนายาต้านไวรัสสูตรใหม่ สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับไวรัสตับอักเสบซี เพื่อการเข้าถึงยาอย่างเท่าเทียม เข้าระบบบัตรทองและประกันสังคมแล้ว
วันนี้(3ธ.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการวิจัยและการพัฒนายาซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและนักวิจัยไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนายารักษาโรคมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากถือเป็นอีกหนึ่งการยืนยันถึงศักยภาพทางด้านสาธารณสุขของประเทศ
รองโฆษกฯกล่าวต่อว่าองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาวิจัยยาและได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิจัยยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อผู้ติดเชื้อเอดส์มาอย่างต่อเนื่องล่าสุดได้พัฒนายาต้านไวรัสสูตรผสมชื่อยาเม็ดจีพีโอเฮบ-ซี(GPO-Hep C)สำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ร่วมกับไวรัสตับอักเสบซีเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างเท่าเทียมเนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับไวรัสตับอักเสบซีจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยาได้เพราะยาต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง
ยาจีพีโอเฮบ-ซี(GPO-Hep C)นี้เป็นยาสูตรผสมระหว่างยาเม็ดโซฟอสบูเวียร์(Sofosbuvir tablets)ขนาด400มิลลิกรัมและยาเม็ดเวลพาทาสเวียร์(Velpatasvir tablets)ขนาด100มิลลิกรัม ที่เป็นPangenotypic Direct-acting antiviral agents (DAAs)สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ทุกสายพันธ์เพิ่มความสะดวกในการรับประทานยาของผู้ป่วยส่งผลให้ประสิทธิภาพการรักษาดีขึ้นและลดปัญหาการดื้อยาโดยลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทานยาสูตรเดิมจากวันละ2เม็ด1ครั้งเหลือวันละ1เม็ดวันละ1ครั้ง
ทั้งนี้ยาสูตรผสมสำหรับต้านไวรัสตับอักเสบซีได้นำไปใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและระบบประกันสังคมแล้วสามารถใช้บริการในโรงพยาบาลตามสิทธิการรักษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งทุกหน่วยงาน ยธ. เตรียมรับ กม. JSOC ที่จะบังคับใช้ 23 ม.ค. ประสานหน่วยงานต่างๆ-ทดสอบระบบให้เรียบร้อย | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งทุกหน่วยงาน ยธ. เตรียมรับ กม. JSOC ที่จะบังคับใช้ 23 ม.ค. ประสานหน่วยงานต่างๆ-ทดสอบระบบให้เรียบร้อย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งทุกหน่วยงาน ยธ. เตรียมรับ กม. JSOC ที่จะบังคับใช้ 23 ม.ค. ประสานหน่วยงานต่างๆ-ทดสอบระบบให้เรียบร้อย ก่อนมีนักโทษในข่าย 117 คนพ้นคุก พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ทำคู่มือให้เจ้าหน้าที่
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมรองรับ พ.ร.บ. มาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง ที่จะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 23 ม.ค. 2566 ว่า ตนได้เร่งให้เจ้าหน้าที่ในกระทรวงได้เตรียมความพร้อมอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง คือ กรมคุมประพฤติและกรมราชทัณฑ์ โดยขณะนี้ได้มีการประชุมคณะทำงานร่างกฎหมายลำดับรอง ทั้งร่างกฎกระทรวงกำหนดการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด ร่างระเบียบกรม รวมถึงการจัดทำคู่มือแนวทางในการทำงาน และการอบรมหลักสูตรต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังต้องมีการประสานหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งในกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงอื่นๆด้วย โดยขณะนี้กระทรวงได้ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำฯ ซึ่งจะร่วมกันระหว่าง ศาล สำนักงานอัยการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้ต้องขังที่เข้าข่าย พ.ร.บ. JSOC นั้น ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ 17,807 คน แบ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับเพศ 5,683 คน ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย 12,068 คน และ ความผิดต่อเสรีภาพ 56 คน โดยจะมีผู้ที่พ้นโทษได้รับการปล่อยตัวระหว่างวันที่ 23 ม.ค.- 28 ก.พ. 2566 จำนวน 117 ราย ซึ่งในส่วนนี้จะต้องประสานกับศาลและสำนักอัยการในพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อน เผื่อกรณีที่ศาลจะมีคำสั่งคุมขังภายหลังพ้นโทษหรือคุมขังฉุกเฉิน รวมถึงการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่และอาสาสมัครคุมประพฤติเฝ้าระวัง โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้มีการกำหนดสถานที่คุมขังหลังพ้นโทษออกมาแล้ว โดยจะเริ่มนำร่องที่ เรือนจำกลางคลองเปรม จากนั้นจะขยายไปยังทุกภูมิภาคทั่วประเทศ คือ เรือนจำกลางพิษณุโลก เรือนจำกลางคลองไผ่ จ.นครราชสีมา เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี เรือนจำกลางระยอง และเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
"การทำกฎหมายรองและกฎกระทรวงต่างๆ ต้องทำให้ทันกรอบเวลา 90 วัน ทุกกรมต้องทำให้ทัน อย่าให้ขาดตกบกพร่อง และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำลองการทำงานขึ้นมา เพื่อทดสอบระบบต่างๆให้สมบูรณ์ ทำให้เคยชินกับองค์ความรู้ใหม่ นอกจากนี้เราต้องเร่งสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ตัวกฎหมายให้ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนได้รับทราบ ทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ การลงพื้นที่ในเชิงรุกและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้กฎหมายมีประสิทธิภาพและช่วยเหลือสังคมให้ได้มากที่สุด"นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝ่ายความมั่นคงเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ปมท. เน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ เพื่อเสริมสร้างสังคมที่สงบสุข ปลอดภัยอย่างยั่งยืน | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
ฝ่ายความมั่นคงเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ปมท. เน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ เพื่อเสริมสร้างสังคมที่สงบสุข ปลอดภัยอย่างยั่งยืน
ฝ่ายความมั่นคงเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ด้าน ปมท. เน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ เพื่อเสริมสร้างสังคมที่สงบสุข ปลอดภัยอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยยังคงมุ่งมั่นในการขจัดยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการเชิงรุก เดินหน้ากวาดล้างกระบวนการยาเสพติดในทุกระบบ บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ พร้อมทั้งส่งตัวผู้ติดยาเสพติดเข้าฟื้นฟูและบำบัดรักษาผ่านกระบวนการทางสาธารณสุขพร้อมใช้กลไกผู้นำท้องที่ และเครือข่ายอาสาสมัครในชุมชนคอยติดตามเฝ้าระวังไม่ให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษากลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก ทั้งนี้ ขับเคลื่อนมาตรการป้องกัน ปราบปราม แก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาลในหลายพื้นที่ยังคงเดินหน้าจับกุมเเละ Re X-Ray อย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ ได้รับรายงานผลการปฏิบัติจากพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้
1. จังหวัดกระบี่ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสกุล ดำรงเกียรติกุล ปลัดจังหวัดกระบี่ นายสมยศ ณ นคร นายอำเภออ่าวลึก ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมด้วย สมาชิกกองร้อย อส.อ.อ่าวลึกที่ 7 บูรณาการร่วมกับกลุ่มงานความมั่นคงจังหวัดกระบี่ ตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 426 สมาชิกกองร้อย อส.จ.กระบี่ที่ 1 ร่วมกันดำเนินการจัดกิจกรรมปล่อยแถว เพื่อกวาดล้างและแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการดำเนินการปิดล้อม ตรวจค้น บ้านเรือนในพื้นที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ตามโครงการการบูรณาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จังหวัดกระบี่ มีผลการปฏิบัติ 4 กรณี ดังนี้ 1) นายมารุต อายุ 30 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวนรวม 66 เม็ด 2) นางจันทร์สุดา อายุ 45 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวนรวม 8 เม็ด ธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อ จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) นางสาวศิริพร อายุ 28 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวน 264 เม็ด ธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และเงินสดจำนวน 1,231 บาท ในข้อกล่าวหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวลึก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว และ 4) การตรวจค้นแหล่งมั่วสุมเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดในพื้นที่ พบผู้เสพจำนวน 5 ราย เจ้าหน้าที่จึงได้นำส่งศูนย์คัดกรองโรงพยาบาลอ่าวลึก เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาต่อไป
2. จังหวัดแพร่ นายสมศักดิ์ สุขประเสริฐ นายอำเภอเมืองแพร่/ผอ.ศป.ปส.อ.เมืองแพร่ ได้มอบหมายให้ นายดำรงค์ เจริญจิตต์ ปลัดอำเภอเมืองแพร่ พร้อมด้วย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองแพร่ ที่ 1ฝ่ายปกครองตำบลแม่คำมี บูรณาการร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองแพร่ จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 641 เม็ด โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่ง สภ.เมืองแพร่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
3. จังหวัดลำปาง นางวณิชดา ไชยศิริ นายอำเภอวังเหนือ/ผอ.ศป.ปส.อ.วังเหนือ มอบหมายให้ นายไพรัช ผมไผ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วยสมาชิก อส.อ.วังเหนือ ที่ 9 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ชุดสืบสวน) สภ.วังเหนือ เข้าตรวจสอบผู้ต้องสงสัยที่ทำการจำหน่ายยาบ้าในพื้นที่ ต.วังทอง จำนวน 4 ราย พร้อมของกลาง เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า จำนวน 114 เม็ด อาวุธปืนแบบไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืน ขนาด 22 มม. จำนวน 57 นัด และขนาด .38 มม. จำนวน 1 นัด รวมทั้งสิ้น 58 นัด จึงนำส่ง สภ.วังเหนือ เพื่อดำเนินคดีต่อไป
4. จังหวัดจันทบุรี นายประพิศ ญาณปัญญา นายอำเภอโป่งน้ำร้อน ได้มอบหมายให้ ส.ต.ท.วิชิต แสงงาม ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง พร้อมด้วยสมาชิก อส. บูรณาการร่วมกับทหารพรานจาก ชค.4 ร่วมกันตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง และการลักลอบขนยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ได้ทำการตรวจรถที่สงสัยจำนวน 52 คัน และตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะจำนวน 30 ราย ผลไม่พบสารเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด
5. จังหวัดขอนแก่น พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น สั่งการให้ พ.ต.ท.เมธี ศรีวันนา สวป.สภ.เมืองขอนแก่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจ สภ.เมืองขอนแก่น เข้าตรวจค้นห้องชุด หลังได้รับแจ้งว่า มีวัยรุ่นมั่วสุมส่งเสียงดัง จากการตรวจค้น พบว่า กลุ่มวัยรุ่นลักลอบเสพยาเสพติด จำนวน 5 ราย ได้แก่ นายชิษณุพงศ์ อายุ 26 ปี นายพชร อายุ 27 ปี น.ส.อนาสตาเซีย อายุ 22 ปี น.ส.ไพริน อายุ 23 ปี และ น.ส.ศศิภา อายุ 26 ปี โดยผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ในอาการมึนเมา ตรวจสอบบริเวณโดยรอบพบอุปกรณ์การเสพวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (ยาเคตามีน) และซองพลาสติกที่บรรจุยาเสพติดใช้แล้วจำนวนหนึ่ง จากการสอบถามกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 5 คน ให้การยอมรับว่ามีการสังสรรค์และใช้ยาเคตามีนและยาอี ผลการตรวจสอบปัสสาวะ พบผลเป็นบวก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงนำบันทึกพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาลระยะเร่งด่วน 3 เดือน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการการดำเนินงานจากทุกฝ่ายอย่างแข็งขัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นสังคมที่มีความมั่นคงปลอดภัยจากยาเสพติด มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนทุกมิติ โดยประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการขจัดปัญหายาเสพติด เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมทำให้สังคมไทยเป็นสีขาวได้ ผ่านการแจ้งเบาะแสหากพบผู้กระทำผิด ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร 1567 เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เร่งดำเนินการจับผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นำไปสู่สังคมแห่งความสุขเป็นพื้นที่ที่ยาเสพติดไร้ที่ยืน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62275 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-น้อมนำพระดำริ | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
น้อมนำพระดำริ
น้อมนำพระดำริ "พระองค์ภา" และ "กรมหมื่นสุทธนารีนาถ" ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมจำหน่ายสินค้าบริโภค “ช่วยลดค่าครองชีพไม่ต่ำกว่า 50%” ที่ร้านค้าชุมชนมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร
น้อมนำพระดำริ "พระองค์ภา" และ "กรมหมื่นสุทธนารีนาถ" ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมจำหน่ายสินค้าบริโภค “ช่วยลดค่าครองชีพไม่ต่ำกว่า 50%” ที่ร้านค้าชุมชนมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเลือกซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 65 เวลา 18.30 น. ที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษา ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ประจำปี 2565” เป็นประธานเยี่ยมชมงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 ภายใต้แนวคิด “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” โดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมในพิธี
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย - สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ในงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก”” พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนและจำหน่ายสินค้าร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย - สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ให้กับพี่น้องประชาชนที่เที่ยวชมงาน โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ อาทิ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษา ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ประจำปี 2565” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และรองประธานกรรมการอำนวยการจัดงานฯ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมการอำนวยการจัดงานฯ นายฐิติวัฒน์ ว่องวรรณกุล กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯร่วมเยี่ยมชมร้านค้าชุมชนฯ โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงษ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางจิรวรรณ เพ็ญพาส นางวรสุดา รัตนสุคนธ์ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ให้การต้อนรับและร่วมจำหน่ายสินค้าภายในร้านฯ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ด้วยการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ผ่านการออกร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ในการจัดงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 ภายใต้แนวคิด “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” ในรูปแบบออนกราวน์ (On-ground) เต็มรูปแบบ ในระหว่างวันที่ 2 - 11 ธ.ค. 2565 เวลา 09.00 – 20.00 น. ตามพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย โดยภายในร้านมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และจัดจำหน่ายสินค้าบริโภค “ช่วยลดค่าครองชีพไม่ต่ำกว่า 50%” โดยคัดสรรสินค้าข้าวสาร-อาหารแห้งที่จำเป็นในครัวเรือน ลดราคา 50% หรือมากกว่า ทุกรายการสินค้า มีสินค้าที่น่าสนใจหลายรายการ ได้แก่
1) ข้าวหอมมะลิ ถุง 5 กิโลกรัม ราคาปกติ 220 บาท ขาย 110.- บาท
2) ไข่ไก่ 1 แผง 30 ฟอง ราคาปกติ 140 บาท ขาย 70.- บาท
3) น้ำพริกปลาร้าบองท่าตูม กระปุก 220 กรัม ราคาปกติ 120 บาท ขาย 60.- บาท
4) ไชโป๊หวานแม่กิมฮวย 200 กรัม ราคาปกติ 45 บาท ขาย 20.- บาท
5) น้ำพริกปลาทูน่ากรอบ กระป๋อง 30 กรัม ราคาปกติ 25 บาท ขาย 10.- บาท
6) น้ำมันหอยตราเด็กสมบูรณ์ ขวด 350 กรัม ราคาปกติ 35 บาท ขาย 15.- บาท
7) น้ำมันพืชตราองุ่น ขวด 1 ลิตร ราคาปกติ 70 บาท ขาย 35.- บาท
8) ซอสปรุงรสตราภูเขาทอง ขวดละ 500 มิลลิลิตร ราคาปกติ 33 บาท ขาย 15.- บาท
9) น้ำตาลตราษฎา ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาปกติ 23 บาท ขาย 10.- บาท
10) นมถั่วเหลืองไวตามิลค์ กล่อง 200 มิลลิลิตร แพ็ค 4 กล่อง ราคาปกติ 37 บาท ขาย 15.- บาท
ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ทรงมีพระปณิธานที่มุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดการทรงงานของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ องค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ ในการจัดงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 ภายใต้แนวคิด “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” โดยผู้มาร่วมเยี่ยมชมงานจะได้ศึกษาแนวพระดำริและหลักการทรงงานของทั้งสองพระองค์ในการน้อมนำพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการทำให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขโดยเร็วและมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ผ่านนิทรรศการภารกิจการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจรของมูลนิธิฯ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าและนวัตกรรมในการทำงานของมูลนิธิฯ ตั้งแต่ “การเฝ้าระวังก่อนเกิดอุทกภัย” “การบรรเทาทุกข์ระหว่างเกิดอุทกภัย” และ“การฟื้นฟูหลังเกิดอุทกภัย” และการสาธิตช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากทีมเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) อาสา ปฏิบัติการภัยพิบัติ
"นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการออกร้านค้าโครงการส่วนพระองค์และร้านพระบรมวงศานุวงศ์ ร้านค้ากิตติมศักดิ์ และร้านเครือข่าย ที่ยกขบวนสินค้าราคาพิเศษมาร่วมออกร้าน รวมกว่า 100 ร้าน และมี “ตลาดย้อนยุค” ที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังมาเพิ่มสีสัน ความสนุกสนานให้กับงานฯ และทุกท่านจะได้ชมการปรุงอาหารจากรถประกอบอาหาร “รถเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ช่วยด้วยใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” ที่นำเมนูสูตรประทานของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ มาให้ได้ชิมและร่วมบริจาคสมทบมูลนิธิฯ การช้อปสินค้าจากร้านพึ่งพา ผลิตภัณฑ์ของร้าน “PAfé สุขที่ได้แบ่งปัน” ตามพระดำริอีกด้วย" ดร.วันดีฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย พระผู้ทรงกตัญญูกตเวทีต่อพระมารดา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ องค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ ในการทำให้คนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จะได้นำเงินทุกบาททุกสตางค์ทั้งหมดจากการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าชุมชนฯ ในครั้งนี้ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสมทบทุนให้กับมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในด้านการยกระดับการทำงานของมูลนิธิฯ ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 27 เพื่อมุ่งสู่การเป็น “ศูนย์กลางการเป็นเลิศด้านการบรรเทาทุกข์ และจัดการภัยพิบัติอันเกิดจากอุทกภัย (Center of Excellence in Flood Relief and Management)” เป็นพลังที่สำคัญในการบรรเทาทุกข์ เสริมสร้างความปลอดภัย และความสุขที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน
"ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมเลือกซื้อสินค้าร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ในงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” ระหว่างวันที่ 2 - 11 ธ.ค. 2565 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อลดค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน และร่วมโดยเสด็จฯ สมทบทุนมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย อันเป็นการปฏิบัติบูชาถวายแด่องค์ประธานกรรมการมูลนิธิฯ และองค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ โดยพร้อมเพรียงกัน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2565
พี่น้องคนพิการที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาส“วันคนพิการสากล”ที่บรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งผมในนามของรัฐบาลขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนพิการทุกท่านองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่3ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคนพิการสากลและเชิญชวนประเทศสมาชิกร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับคนพิการและเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในสังคมอย่างเป็นธรรมและเสมอภาคกับคนทั่วไปโดยในปี2565นี้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นหลักคือ“การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล:พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม”
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมแก่ประชาชนทุกกลุ่มรวมทั้งกลุ่มคนพิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตลดความเหลื่อมล้ำให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศโดยรัฐบาลได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆพร้อมทั้งการพัฒนาบริการภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการและใช้ประโยชน์จากบริการของภาครัฐได้สะดวกมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งส่งเสริมการจ้างงานคนพิการซึ่งในปีงบประมาณที่ผ่านมาสามาถสร้างรายได้ให้คนพิการรวมกว่า170ล้านบาทตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้พิการมีทักษะและศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพและเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านและขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถืออีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีโปรดอภิบาลประทานพรให้ท่านและครอบครัวตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานองค์การที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประสบแต่ความสุขความเจริญมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่แข็งแรงและสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาโดยทั่วกัน
-----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย กระทรวงการคลังได้มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ และสภาตลาดทุนไทยมาระยะหนึ่งอย่างรอบคอบแล้ว | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย กระทรวงการคลังได้มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ และสภาตลาดทุนไทยมาระยะหนึ่งอย่างรอบคอบแล้ว
โฆษกรัฐบาลเผย กระทรวงการคลังได้มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ และสภาตลาดทุนไทยมาระยะหนึ่งอย่างรอบคอบแล้ว ยืนยันมิได้ยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ อีกทั้งไทยเก็บภาษีขายหุ้นต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชีย
วันนี้(3ธ.ค.65)นายอนุชาบูรพชัยศรีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ(ฉบับที่..)พ.ศ. ....ตามที่กระทรวงการคลังเสนอซึ่งเป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โดยกำหนดให้จัดเก็บในอัตราครึ่งหนึ่งของอัตราตามประมวลรัษฎากรโดยการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้นปีแรกจะจัดเก็บในอัตรา0.055%รวมภาษีท้องถิ่นแล้วส่วนปีถัดไปจัดเก็บในอัตรา0.11%รวมภาษีท้องถิ่นแล้วและเมื่อนำมารวมกับค่าธรรมเนียมการขายหุ้นในปัจจุบันผู้ขายหุ้นจะเสียภาษีขายรวมค่าธรรมเนียมปีแรกในอัตรา0.195%ส่วนปีถัดไปในอัตรา0.22%ถือว่าใกล้เคียงกับภูมิภาคเอเชียและต่ำกว่าตลาดหุ้นหลักเช่นฮ่องกงจัดเก็บในอัตรา0.38%มาเลเซีย0.29%และสิงคโปร์0.20%ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทยโดยหลายๆประเทศจัดเก็บอัตราเดียวกันหมดยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่จัดเก็บภาษีหุ้นจากกำไรการขายหุ้น(Capital Gains)ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์และสภาตลาดทุนไทยมานานกว่า1ปีแล้วซึ่งวันนี้ก็ได้มีการผ่อนคลายโดยการยกเว้นเรื่องกองทุนต่างๆให้รวมถึงการลดอัตราภาษีให้ในระยะแรก
นายอนุชาฯกล่าวว่า“การจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้นไม่ได้จัดเก็บทันทียังมีเวลาให้ตลาดหุ้นปรับตัวเนื่องจากกฎหมายยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาครบ3เดือนหรือ90วันจึงจะมีผลบังคับใช้ดังนั้นผู้ขายหุ้นยังมีเวลาปรับตัวและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีขายหุ้นโดยกระทรวงการคลังยืนยันว่าไม่ได้นำแนวทางการจัดเก็บภาษีจากกำไรขายหุ้นมาใช้เนื่องจากมีความซับซ้อนและหลายๆประเทศก็ไม่ได้นำมาใช้โดยมีข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีขายหุ้นเช่นกองทุนประกันสังคมกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า30-40ปีแล้วและปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เติบโตขึ้นอย่างมากโดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Capitalization)เพิ่มขึ้นถึง22เท่าจาก30ปีก่อนจึงเห็นควรยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์”
นอกจากนี้ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวการเก็บภาษีหุ้นว่าจะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่นั้นเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนทั้งนี้การเก็บภาษีขายหุ้นมิได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง(Market Maker)กับกองทุนบำนาญซึ่งMarket Makerคือบริษัทหลักทรัพย์(Broker)ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องในตลาดให้มีความต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการพัฒนาและซื้อขายผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆในตลาดหลักทรัพย์ฯและMarket Makerและเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆในตลาดหลักทรัพย์ฯจึงกำหนดให้มีการยกเว้นให้Market Makerเช่นเดียวกับต่างประเทศอาทิอังกฤษฮ่องกงฝรั่งเศสอิตาลีทั้งนี้สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ไม่ว่าบุคคลธรรมดานักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เองตามคำสั่งของผู้ถือหุ้น(ไม่ใช่บัญชีMarket Maker)ไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด
————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยถ่ายโอน รพ.สต.คืบหน้าแล้ว 40 จังหวัด 2,932 แห่ง เหลืออีก 9 จังหวัด 331 แห่ง | วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565
สธ.เผยถ่ายโอน รพ.สต.คืบหน้าแล้ว 40 จังหวัด 2,932 แห่ง เหลืออีก 9 จังหวัด 331 แห่ง
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยถ่ายโอนภารกิจ สอน.และ รพ.สต.ให้แก่ อบจ.คืบหน้าอย่างมาก ถ่ายโอนแล้ว 40 จังหวัด รวม 2,932 แห่ง จำนวนมี 6 จังหวัดที่ถ่ายโอน รพ.สต.ทั้งจังหวัด
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยถ่ายโอนภารกิจ สอน.และ รพ.สต.ให้แก่ อบจ.คืบหน้าอย่างมาก ถ่ายโอนแล้ว40 จังหวัด รวม 2,932 แห่ง จำนวนมี 6 จังหวัดที่ถ่ายโอน รพ.สต.ทั้งจังหวัด มีรายงานปัญหาเพียงการจัดบริการทันตกรรม มอบ สสจ.สนับสนุนช่วยเหลือแล้ว ส่วนอีก 9 จังหวัด 331 แห่งพร้อมลงนามถ่ายโอนเมื่อ อบจ.มีความพร้อม
วันนี้ (3 ธันวาคม 2565) นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่า การถ่ายโอน สอน.และ รพ.สต.ในปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,263 แห่ง ใน 49 จังหวัด มีบุคลากรถ่ายโอน ดังนี้ ข้าราชการ 11,722 ราย ลูกจ้างประจำ 20 ราย พนักงานราชการ 5 ราย พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 4,919 ราย ลูกจ้างชั่วคราว 4,891 ราย และช่วยราชการ 374 ราย โดยการถ่ายโอนภารกิจจะลงนามบันทึกการส่งมอบและบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เมื่อทาง อบจ.มีความพร้อม ซึ่งขณะนี้พบว่าทาง อบจ.แต่ละแห่งมีความพร้อมจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามารถทยอยถ่ายโอนภารกิจได้ตามเป้าหมายมากขึ้นและมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 มีการลงนามบันทึกการส่งมอบและ MOU ระหว่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและ อบจ.แล้ว 40 จังหวัด รวม 2,932 แห่ง จำนวนนี้มี 6 จังหวัดที่ อบจ.รับโอน สอน.และ รพ.สต.ทั้งจังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มุกดาหาร และหนองบัวลำภู
“ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจได้รับรายงานถึงปัญหาและอุปสรรคด้านบริการ 1 เรื่อง คือ การจัดบริการทันตกรรมใน รพ.สต.โดยที่อบจ.ไม่ได้ประสานเรื่องการทำงานของทันตาภิบาลในสังกัดที่ต้องมีทันตแพทย์เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติงานตาม พ.ร.บ.วิชาชีพ ทำให้ต้องหยุดให้บริการประชาชนในบางแห่ง ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ที่พบปัญหาการบริการได้รับทราบและหาแนวทางสนับสนุนช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถบริการประชาชนอย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อแล้ว” นพ.พงศ์เกษมกล่าว
นพ.พงศ์เกษมกล่าวต่อว่า สำหรับจังหวัดที่ยังไม่ได้ลงนามบันทึกส่งมอบและMOU มีอีก 9 จังหวัด รวม 331 แห่ง ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบูรณ์ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ปทุมธานี สิงห์บุรี พิษณุโลก และสุโขทัย ซึ่งปัญหาเกิดจากทาง อบจ.ยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างลูกจ้างที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องใน รพ.สต. หรือยังไม่ได้พิจารณาข้อสรุปการจัดสรรเงินในโครงการหลักประกันสุขภาพ (UC) ที่ต้องให้บริการประชาชน อย่างไรก็ตาม จะมีการลงนามทันทีเมื่อทาง อบจ.มีความพร้อมรับการถ่ายโอน ส่วนการถ่ายโอนภารกิจในปีงบประมาณ 2567 มี อบจ.ขอรับการถ่ายโอน รพ.สต.เพิ่มจำนวน 14 แห่ง ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ชัยนาท สระบุรี ลพบุรี เพชรบุรี จันทบุรี ชลบุรี สุรินทร์ เลย ระนอง ตรัง นราธิวาส และยะลา ข้อมูลวันที่ 31 ตุลาคม 2565 มีบุคลากรแสดงความสมัครใจถ่ายโอนจำนวน 3,863 ราย
ทั้งนี้ ในการประชุมระดับคณะกรรมการถ่ายโอน ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และระดับคณะอนุกรรมการถ่ายโอน ซึ่งมีนายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์ เป็นประธาน ซึ่งทั้ง 2 คณะ ตนในฐานะรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นกรรมการและรองประธานอนุกรรมการได้เสนอความเห็นเรื่องบุคลากรที่ถ่ายโอนต้องมีความชัดเจนตามภารกิจในคู่มือ คือปฏิบัติภารกิจใน รพ.สต. แล้วจะไม่เกิดปัญหากระทบต่อระบบบริการซึ่งที่ผ่านมาในรอบแรกภายในวันที่ 2 ตุลาคม 2565 คณะอนุกรรมการถ่ายโอนได้ให้บุคลากรซึ่งไม่ได้อยู่ในภารกิจดังกล่าวได้รับการถ่ายโอนไปด้วย จึงเกิดผลกระทบตามมาพอสมควร
******************************************* 3 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.สุขภาพจิตแห่งชาติ ไฟเขียว ระบบดูแลผู้ป่วย SMI-V แบบบูรณาการ และสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพจิตวัยแรงงาน | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
คกก.สุขภาพจิตแห่งชาติ ไฟเขียว ระบบดูแลผู้ป่วย SMI-V แบบบูรณาการ และสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพจิตวัยแรงงาน
คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ เห็นชอบให้ใช้ระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงแบบบูรณาการ หรือ SMI-V Care ครอบคลุมการค้นหา-ส่งต่อ-ดูแลต่อเนื่อง พร้อมรายงานผลทุก 6 เดือน
คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ เห็นชอบให้ใช้ระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงแบบบูรณาการ หรือ SMI-V Care ครอบคลุมการค้นหา-ส่งต่อ-ดูแลต่อเนื่อง พร้อมรายงานผลทุก 6 เดือน เพื่อความปลอดภัยของสังคมบนพื้นฐานการเคารพข้อมูลส่วนบุคคลและสิทธิผู้ป่วย อีกทั้งเห็นชอบ 2 มาตรการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตในสถานประกอบการ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของวัยแรงงาน
วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2565 โดยมี แพทญ์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมทั้งรูปแบบออนไซต์และออนไลน์
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการดูแลส่งเสริมสุขภาพจิตของคนไทย ตลอดจนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ป้องกันการเกิดพฤติกรรมรุนแรงในสังคม โดยการประชุมวันนี้ได้พิจารณาและเห็นชอบ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ แนวทางการดำเนินงานระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ซึ่งพบว่า ผู้ก่อความรุนแรงประมาณ 3% เท่านั้น ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเวช โดยระบบนี้จะครอบคลุมการค้นหา การส่งต่อ และการดูแลต่อเนื่องในชุมชนแบบไร้รอยต่อ ผู้ป่วยที่อยู่ในชุมชนแต่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัย จะถูกค้นหาด้วย 5 สัญญาณเตือนก่อนส่งต่อเข้ารับการวินิจฉัย และดูแลต่อเนื่องด้วยทีมจัดการรายกรณี เพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำ ทั้งนี้ ได้ขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผู้แทนเข้าร่วมทีมจัดการรายกรณีในทุกตำบล อีกทั้งเร่งพัฒนาระบบ EMS เฉพาะทางจิตเวชโดยเร็ว ตลอดจนมอบคณะอนุกรรมการประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายสุขภาพจิตระดับจังหวัด กำกับติดตามการขับเคลื่อนระบบ SMI-V Care ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบมาตรการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตในสถานประกอบการ โดยประสานให้กระทรวงแรงงานแก้กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ.2548 กำหนดให้การตรวจสุขภาพประจำปี (การตรวจร่างกายและสภาวะจิตใจ) เป็นสวัสดิการที่กฎหมายกำหนด และสนับสนุนให้สถานประกอบการใช้ระบบ Mental Health Check-In ในการประเมินสุขภาพจิตอย่างน้อยปีละ1 ครั้ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งระดับบุคคล องค์กร และส่งผลสืบเนื่องต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
*********************************** 22 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อธนาคารปล่อยสินเชื่อผ่าน SMS | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อธนาคารปล่อยสินเชื่อผ่าน SMS
ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังการแอบอ้างโดยใช้ตราสัญลักษณ์และชื่อธนาคารทำการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านทาง SMS ยืนยัน ! ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวและไม่มีนโยบายปล่อยเงินกู้ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด
ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังการแอบอ้างโดยใช้ตราสัญลักษณ์และชื่อธนาคารทำการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านทาง SMS ยืนยัน ! ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวและไม่มีนโยบายปล่อยเงินกู้ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด ซึ่งช่องทางสื่อสารหลักที่เป็นทางการของธนาคารคือ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ Line Official Account : @baacfamily เพื่อแจ้งข่าวสารผลิตภัณฑ์ บริการและกิจกรรมต่าง ๆ กับลูกค้าเท่านั้น หากพบเห็นการแอบอ้างต่าง ๆ สามารถแจ้งได้ที่ Call Center 02 555 0555
นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ช่องทางการส่งข้อความ (SMS) โดยแอบอ้างใช้ชื่อและตราสัญลักษณ์ของธนาคาร นำเสนอเงินกู้ผ่านข้อความส่วนตัวบนโทรศัพท์มือถือ และให้คลิกลิงก์ในการรับบริการสินเชื่อที่นำเสนอนั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว อีกทั้งธนาคารไม่มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อผ่าน SMS และ สื่อสังคมออนไลน์ จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อบุคคลและข้อความดังกล่าว
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการคือ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า รวมถึงการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ และ LINE Official Account : @baacfamily ที่เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งหากถูกต้องตามหลักเกณฑ์ธนาคารจึงจะนัดหมายทำสัญญาต่อไป โดยจุดสังเกต LINE Official Account : @baacfamily จะมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวบริเวณหน้าชื่อและมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 11 ล้านคน
นายไพศาล กล่าวต่อไปว่า ในปัจจุบันมีการหลอกลวงจากมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบผ่านช่องทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์ ธ.ก.ส. จึงขอให้ท่านใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ หากพบเห็นการแอบอ้างต่าง ๆ หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเว็บไซต์ www.baac.or.th และ Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท แบ่งเบาการจราจรบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท แบ่งเบาการจราจรบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
แนะนำเส้นทางเลี่ยง พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม แนะนำเส้นทางลัดเส้นทางเลี่ยงในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ตลอดการเดินทาง พร้อมแบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนสายหลัก ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีเส้นทางแนะนำ ดังนี้
1. เส้นทางเลี่ยงการจราจรถนนกัลปพฤกษ์ ถนนราชพฤกษ์ และถนนนครอินทร์
- เส้นทางเลี่ยง ทล.9 โดยเริ่มจาก ทล.9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย กท.1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 4+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 9.5 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 16+500 (จุดที่ 3) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นบ.1020 (ถนนนครอินทร์) กม. ที่ 7+600 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร (จุดที่ 6) บรรจบกับ ทล.306 เพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนติวานนท์ต่อไป
- เส้นทางเลี่ยง ทล.9 และ ทล.306 เริ่มจาก ทล.9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทางหลวงชนบทสาย กท.1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 4+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 28+000 (จุดที่ 4) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นบ.3030 (ถนนชัยพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร (จุดที่ 7) บรรจบกับ ทล.304 เพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะต่อไป
- เส้นทางเลี่ยง ทล.9 และ ทล.345 เริ่มจาก ทล.9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย กท.1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 4+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 37 กิโลเมตร บรรจบกับ ทล.346 กม. ที่ 14+120 (จุดที่ 5) เลี้ยวขวาเพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัดปทุมธานีต่อไป
2. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดนครราชสีมา
- เส้นทางเลี่ยง ทล.2 (ถนนมิตรภาพ) เริ่มจาก ทล.2 กม. ที่ 102+135 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.201 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 41 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 41+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.2148 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 3+400 (จุดที่ 3) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นม.4008 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 23.1 กิโลเมตร บรรจบกับ ทล.2369 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 30.8 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 30+800 (จุดที่ 5) เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.2246 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 65.5 กิโลเมตร บรรจบกับ ทล.2 กม. ที่ 257+650 (จุดที่ 6) เลี้ยวซ้ายเพื่อเดินทางมุ่งสู่จังหวัดขอนแก่น
3.เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสมุทรสงครามไปจังหวัดเพชรบุรี
- เส้นทางเลี่ยง ทล.4 (ถนนเพชรเกษม) เริ่มจาก ทล.35 กม. ที่ 73+070 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย สส.2021 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 23.7 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 23+700 เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.3176 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 12.6 กิโลเมตร เพื่อเข้าสู่จังหวัดเพชรบุรี (จุดที่ 3) และสามารถเลี่ยงการจราจรจากจังหวัดเพชรบุรีไปยังอำเภอชะอำ โดยเริ่มจากทางหลวงชนบทสาย สส.2021 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 60+000 เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.3187 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 18.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.4 กม. ที่ 169+070 (จุดที่ 5) เพื่อมุ่งสู่อำเภอชะอำ
4.เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสระบุรีไปจังหวัดปราจีนบุรี
- เริ่มจาก ทล.2 (ถนนมิตรภาพ) กม. ที่ 36+000 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นม.1016 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 27 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.2090 กม. ที่ 20+340 (จุดที่ 2) เดินทางต่อเป็นระยะทาง 2.9 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 23+240 (จุดที่ 3) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย นม.3052 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 70 กิโลเมตร บรรจบกับ ทล.304 กม. ที่ 55+000 (จุดที่ 4) แล้วเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งสู่อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี
5. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสระบุรี
- เริ่มจาก ทล.1 (ถนนพหลโยธิน) กม. ที่ 80+000 (จุดที่ 1) ใช้เส้นทางคู่ขนานไปบรรจบกับ ทล.3226 กม. ที่ 83+800 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย สบ.4051 (จุดที่ 3) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย สบ.3021 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร วิ่งตรงผ่านไฟแดง (จุดที่ 5 และ 6) บรรจบกับ ทล.362 กม. ที่ 3+290 (จุดที่ 7) แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งสู่จังหวัดลพบุรีและจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อไป
6. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสุพรรณบุรีไปจังหวัดชัยนาท เข้าสู่ภาคเหนือ
- จากจังหวัดนครปฐม ใช้ ทล.321 เดินทางต่อไป 75 กิโลเมตร (จุดที่ 1) ตรงไป ทล.333 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 17 กิโลเมตร (จุดที่ 2) เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย สพ.4059 เดินทางต่อไป 15 กิโลเมตร (จุดที่ 3) ตรงไปเพื่อเข้าสู่ ทล.3496 เป็นระยะทาง 27 กิโลเมตร (จุดที่ 4) ตรงไปบนทางหลวงชนบทสาย ชน.4054 เป็นระยะทาง 44 กิโลเมตร จนถึงอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท (จุดที่ 5) ซึ่งสามารถเดินทางไปจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ และมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือต่อไป
7. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสิงห์บุรีไปจังหวัดชัยนาท
- เส้นทางเลี่ยง ทล.32 เริ่มจาก ทล.32 กม.ที่ 87+800 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.369 เดินทางต่อเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.3030 กม. ที่ 1+000 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 9.8 กิโลเมตร บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย สห.4035 (จุดที่ 3) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7.3 กิโลเมตร บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย สห.5040 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 4.6 กิโลเมตร บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย ชน.4050 (จุดที่ 5) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.3183 กม. ที่ 3+730 (จุดที่ 6) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล.340 กม. ที่ 160+610 (จุดที่ 7) เพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัดชัยนาท
ทช. ได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและบรรเทาปริมาณการจราจรในช่วงเทศกาลให้กับประชาชน พร้อมดำเนินการติดตั้งป้ายแนะนำเส้นทางเลี่ยงตามโครงข่ายทางหลวงชนบท เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ผู้ใช้แรงงาน จัดอบรม จป. ฟรี! 10,000 คน | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
กสร. ร่วมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ผู้ใช้แรงงาน จัดอบรม จป. ฟรี! 10,000 คน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมส่งมอบความสุขให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมส่งมอบความสุขให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ด้วยการจัดอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน ภายใต้สโลแกน “SAFETY SERVICE ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน” ให้ จป. ระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น จำนวน 10,000 คน
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคน และถือเป็นนิมิตรหมายอันดีในการส่งต่อความสุขให้ผู้ใช้แรงงาน ในปี 2566 นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอส่งความปรารถนาดีมายังนายจ้าง และพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานมอบของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ซึ่งในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมส่งมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ภายใต้สโลแกน “SAFETY SERVICE ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน” จัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ จำนวน 10,000 คน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้ จป. ที่รับการอบรมสามารถปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดสภาพการทำงานที่ปลอดภัย ลูกจ้างมีความปลอดภัยในการทำงาน มีสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะเดียวกันยังจะลดภาระค่าใช้จ่ายของสถานประกอบกิจการในการดำเนินการพัฒนาความรู้ จป. ตามที่กฎหมายกำหนดอีกทางหนึ่งด้วย
นายนิยม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดังกล่าว มีหัวข้อการอบรม ได้แก่ กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และทักษะการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน โดยมีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 หากนายจ้าง/สถานประกอบกิจการ ลูกจ้าง ท่านใดสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128 - 39
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62978 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปลื้ม “Thai MOOC” โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ยอดคนเรียน1.5ล้านคน เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกคน | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
รัฐบาลปลื้ม “Thai MOOC” โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ยอดคนเรียน1.5ล้านคน เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกคน
รัฐบาลปลื้ม “Thai MOOC” โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ยอดคนเรียน1.5ล้านคน เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกคน
วันที่ 22 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความสำเร็จของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย เพื่อการจัดการเรียนการสอนในระบบเปิด (Thailand Massive Open Online Course Platform: Thai MOOC) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นเสมือนขุมทรัพย์ทางปัญญาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับคนไทยทุกคน โดยสามารถเข้าเรียนได้ไม่มีเงื่อนไข เลือกเรียนในเวลาที่สะดวก ไม่มีค่าลงทะเบียน เรียนจบสอบผ่านได้ประกาศนียบัตร ทั้งนี้ โครงการได้เริ่มดำเนินการมา 6 ปีแล้ว มีการขยายความร่วมมือของมหาวิทยาลัยไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง มีมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมสร้างรายวิชา 104 แห่ง ขณะนี้มีรายวิชาทั้งหมด 589 รายวิชา ผู้ลงทะเบียนเรียน จำนวน 1.5 ล้านคน เพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 8 แสนคน
แพลตฟอร์ม Thai MOOC เป็นหนึ่งในแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล มุ่งสร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มด้านการศึกษาออนไลน์ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนไทยทั้งการ Upskill และ Reskill ให้พร้อมสู่การทำงานยุคศตวรรษที่ 21 และได้มีความร่วมมือระดับนานาชาติ เชื่อมโยงหน่วยกิตกับ MOOC ของต่างประเทศอาทิ คอร์สเรียนภาษาเกาหลีจาก K-MOOC โดย Sungkyunkwan University คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นจาก JMOOC โดย Kyushu Universityสำหรับรายวิชาเด่นที่มีผู้เรียนมากสุด คือ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (178,180 คน) จิตวิทยาข้ามวัฒนธรรมในที่ทำงาน(68,715 คน) ภาษาอังกฤษพื้นฐาน (61,911 คน)
จิตวิทยากับ ชีวิตประจำวัน (60,696 คน) ภาษาเกาหลี 1-2 | Korean 1-2 (57,540 คน) เทคโนโลยี บล็อกเชนและ บิทคอยน์ (55,094 คน)
การสร้างทีมงานเพื่อการพัฒนางานแบบมืออาชีพ (54,675 คน)
การสร้างเครือข่ายด้วยการสื่อสารผ่าน Social Media | (53,470 คน)
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนภายใต้พลังความร่วมมือของสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานรัฐ และเอกชน เพื่อคนไทยทุกคนได้พัฒนาความรู้และทักษะที่สนใจ สอดรับกับยุคสมัย เป็นการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และที่สำคัญผู้เรียนสามารถเก็บประวัติการเรียนและสะสมผลการเรียน เพื่อเทียบโอนวุฒิการศึกษาได้ด้วย ดังนั้น Thai MOOC จึงเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งการเรียนในระบบและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้สนใจเข้าไปลงทะเบียนเรียนได้ที่ https://thaimooc.org
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62974 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ห่วงใยผู้ประสบเหตุเรือหลวงล่มในอ่าวไทย พร้อมกำชับ ทีม พม.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และชลบุรี เร่งช่วยเหลือเยียวยา | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
พม. ห่วงใยผู้ประสบเหตุเรือหลวงล่มในอ่าวไทย พร้อมกำชับ ทีม พม.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และชลบุรี เร่งช่วยเหลือเยียวยา
พม. ห่วงใยผู้ประสบเหตุเรือหลวงล่มในอ่าวไทย พร้อมกำชับ ทีม พม.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และชลบุรี เร่งช่วยเหลือเยียวยา
ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับผู้บาดเจ็บ จำนวน 35 ราย จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปางจมในทะเลอ่าวไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลบางสะพาน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 16 ราย และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 19 ราย
วันนี้ (22 ธ.ค. 65) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวว่า ตนในนามกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอแสดงความห่วงใยกับครอบครัวผู้สูญหายและผู้บาดเจ็บ และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกครอบครัวผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยหน่วยงานทีม พม. One Home ทั้งสองจังหวัด เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บทุกคน เพื่อเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจให้มีความผ่อนคลาย ลดความเครียดวิตกกังวล อีกทั้งพูดคุยสอบถามกับผู้บาดเจ็บและครอบครัว เพื่อประเมินทางสังคมว่ามีปัญหา ความต้องการอย่างไร ก่อนวางแผนการช่วยเหลือตามกระบวนการสังคมสงเคราะห์ต่อไป
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ มีทั้งข้าราชการที่เป็นทหารเรือ และพลเรือนที่เป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งเมื่อปลดประจำการแล้ว จะไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการจากส่วนราชการต้นสังกัด ซึ่งกระทรวง พม. จะเข้าไปช่วยเหลือดูแลตรงจุดนี้ ด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวตามกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการและ ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงพิจารณาเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉินและเงินสงเคราะห์อื่นๆ อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวางแผนการช่วยเหลืออย่างรอบด้านต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายกฯ เยี่ยมกลุ่มคนพิการแม่สาย สร้างอาชีพ มีรายได้ รับนักท่องเที่ยวเชียงราย | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายกฯ เยี่ยมกลุ่มคนพิการแม่สาย สร้างอาชีพ มีรายได้ รับนักท่องเที่ยวเชียงราย
รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายกฯ เยี่ยมกลุ่มคนพิการแม่สาย สร้างอาชีพ มีรายได้ รับนักท่องเที่ยวเชียงราย
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นประธานเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) ที่หอประชุมโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยและเยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี โดยมี นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน อาสาสมัครแรงงาน จ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ร่วมต้อนรับ
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย เพราะแรงงานทุกคนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้า และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลงในปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงรายในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาว ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศนิยมเดินทางขึ้นภาคเหนือเป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีทักษะฝีมือ มีงานทำ มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง
โอกาสเดียวกันนี้ รมว.สุชาติ ยังได้นำนายกรัฐมนตรี เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มสมาคมคนพิการอำเภอแม่สาย ซึ่งผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย หลักสูตรการตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี จำนวน 60 ชั่วโมง และการทำของที่ระลึกจากผ้าพื้นเมือง จำนวน 30 ชั่วโมง โดยกลุ่มทำผลิตภัณฑ์ผ้าและสินค้าที่ระลึก ได้ดำเนินการร่วมกับร้านณัฐยาน์ผ้าพื้นเมือง ในการผลิตของที่ระลึกและรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อส่งร้านค้าในชุมชน เป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกคนพิการได้เป็นอย่างดี
นายสุชาติ ยังได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจกับอาสาสมัครแรงงานระดับตำบล และเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน จ.เชียงรายที่ไปร่วมต้อนรับ ซึ่งอาสาสมัครแรงงานเหล่านี้เป็นผู้เชื่อมประสานภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่พื้นที่ เป็นผู้ที่มีความเสียสละอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในชุมชน ในการนำภารกิจประสานการให้บริการด้านแรงงาน เพื่อให้ประชาชนมีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีอาชีพ มีรายได้ ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมที่ยั่งยืนอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
21 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62966 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves action plan and budget for Thailand’s participation in Expo 2025 Osaka Kansai | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
Cabinet approves action plan and budget for Thailand’s participation in Expo 2025 Osaka Kansai
Cabinet approves action plan and budget for Thailand’s participation in Expo 2025 Osaka Kansai
December 20, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the cabinet has made approval to the action plan and budget for Thailand’s participation in the Expo 2025 Osaka Kansai, as proposed by Ministry of Public Health.
Thailand is scheduled to participate in the Expo 2025 Osaka Kansai, to be held at Yumeshima Island, Osaka, Japan during April 13- October 13, 2025 (6 months) with the theme: "Designing Future Society for Our Lives", with sub-themes of "Saving Lives", "Empowering Lives" and "Connecting Lives". This is a World Expo, held once every 5 years by the Bureau International des Expositions (BIE). Ministry of Public Health will be the main agency in administering the Thai Pavilion, which will be exhibited under theme: “THAILAND Empowering Lives for Greatest Happiness”.
Ministry of Public Health’s Department of Health Service Support has had several meetings with other concerned agencies to come up with Thailand’s exhibition plan and format, and budget to be proposed to the cabinet for approval.
Thailand Pavilion, named “VIMAN THAI”, will be constructed in the zone “Connecting Lives” with 3,500 square meters in the exhibition area. VIMAN THAI will be divided into 5 zones, called “S.M.I.L.E.”, which comprises: 1) S: SIAM (Thailand-related exhibition); 2) M: Medical Hub (Thailand as international medical hub); 3) I: Intelligence toward innovation (food and herb production capacity and technologies); 4) L: Living Lab (workshops and activities); and 5) E: Enhanced and Enjoy our family (showcasing Thailand – Japan relations of over 600 years).
The budget will be allocated from FY2023-2026 budget (4 years) for the total amount of 973.48 million Baht, and will be used for administration and preparation (105.60 million Baht), and exhibition operation (867.88 million Baht).
According to the Deputy Government Spokesperson, Thailand’s participation in the Expo 2025 Osaka Kansai will be a good opportunity for the country to showcase its image and reputation as international medical hub, strengthen relations and cooperation with other countries, and exchange knowledge and experiences on medical technology and innovation, as well as to expand market for health and medical business operators.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog
ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog
วันนี้(22ธ.ค.65) ศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานเปิดการประชุมสรุปผลการดำเนินการโครงการภาพรวมโครงการจัดทำบัญชีข้อมูลภาครัฐ(Government Data Catalog)และพิธีมอบโล่รางวัลหน่วยงานดำเนินการบัญชีข้อมูลหน่วยงานดีเด่น สำหรับส่วนราชการระดับจังหวัด(จำนวน76จังหวัด) ณห้องพระมาตุลี1 - 2 ชั้น2โรงแรมอัศวินแกรนด์คอนเวนชั่น (Asawin Grand Convention Hotel)
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและร่วมพิธีสวดอภิธรรม ข้าราชการเรือหลวงสุโขทัย | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและร่วมพิธีสวดอภิธรรม ข้าราชการเรือหลวงสุโขทัย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและร่วมพิธีสวดอภิธรรม ข้าราชการเรือหลวงสุโขทัย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (22 ธ.ค. 65) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ณ สโมสรสัญญาบัตร กองเรือยุทธการ และร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพข้าราชการเรือหลวงสุโขทัย จำนวน 6 นาย ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ ตามกำหนดการดังนี้
เวลาประมาณ 15.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) กรุงเทพฯ ไปยังสนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางไปโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยที่ได้รับบาดเจ็บ
เวลาประมาณ 17.10 น. นายกรัฐมนตรีจะไปตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ณ สโมสรสัญญาบัตร กองเรือยุทธการ จากนั้น เวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพข้าราชการเรือหลวงสุโขทัย จำนวน 6 นาย ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ และร่วมพิธีสวดอภิธรรม ในเวลา 18.00 น. โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 19.35 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมต.ธนกร” มอบนโยบาย "อสมท" เน้นย้ำ คุณภาพ-บทบาทสื่อ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ร่วมกันขับเคลื่อนสังคม เพื่อประโยชน์ของประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
“รมต.ธนกร” มอบนโยบาย "อสมท" เน้นย้ำ คุณภาพ-บทบาทสื่อ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ร่วมกันขับเคลื่อนสังคม เพื่อประโยชน์ของประชาชน
“รมต.ธนกร” มอบนโยบาย "อสมท" เน้นย้ำ คุณภาพ-บทบาทสื่อ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ร่วมกันขับเคลื่อนสังคม เพื่อประโยชน์ของประชาชน
วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) เมื่อเวลา 15.00 น. นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กับผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท ณ บมจ.อสมท ถนนพระรามเก้า กรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.อ.ทวิชชาติ พละศักดิ์ ประธานกรรมการ บมจ. อสมท รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท ให้การต้อนรับ โดยนายสิโรตม์ รัตนามหัทธนะ กรรมการและรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ .อสมท ได้รายงานสถานการณ์ของ อสมท ในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งแผนงานและกลยุทธ์การแข่งขันในระยะต่อไป
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้การแข่งขันระหว่างสื่อต่างๆ ในปัจจุบันนี้ มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคงคุณภาพของเนื้อหา ที่จะส่งสารไปยังผู้รับ และพัฒนาและปรับปรุงรายการต่างๆ ให้มีความแตกต่าง มีความน่าสนใจ มีประโยชน์ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับ
“ผมอยากให้ทุกท่าน หันกลับมามองที่ คุณภาพของเนื้อหา ที่จะส่งสารไปยังผู้รับ ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงรายการต่างๆ ให้มีความแตกต่าง มีความน่าสนใจ มีประโยชน์ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับ และยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นไปได้ เราน่าจะสอดแทรกเนื้อหา ที่สร้างสรรค์ ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าด้วย “คุณภาพ” จะทำให้เราครองใจผู้ชม อย่างมั่นคง และยั่งยืนได้” ดร. ธนกร กล่าว
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเน้นย้ำอีกว่า “สื่อเป็นเครื่องมือแห่งการขับเคลื่อนสังคม โดยเน้นย้ำบทบาทของสื่อที่สำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคต ของประเทศ ตลอดจนรัฐบาลก็พร้อมสนับสนุนและเป็นหน่วยเชื่อมประสานให้” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย
อนึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เยี่ยมชมการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของ บมจ. อสมท อาทิ สถานีโทรทัศน์ 9 MCOT HD สถานีวิทยุ สำนักข่าวไทย และ MCOT MUSEUM อีกด้วย
-------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวมหาดไทยทั่วประเทศร่วมกับพี่น้องประชาชนจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา และประกอบความดี ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ด้วยความจงรักภักดี | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
ชาวมหาดไทยทั่วประเทศร่วมกับพี่น้องประชาชนจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา และประกอบความดี ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ด้วยความจงรักภักดี
ชาวมหาดไทยทั่วประเทศร่วมกับพี่น้องประชาชนจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา และประกอบความดี ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยความจงรักภักดี
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักพระราชวัง ได้มีแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร และทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นำมาซึ่งความห่วงใยของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งทุกคนต่างพร้อมใจกันในการประกอบกิจที่เป็นกุศล พร้อมทั้งภาวนาอธิษฐานเพื่อถวายพระพรให้พระองค์ท่านทรงหายจากพระประชวรในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ในกรุงเทพมหานคร และทุกจังหวัดทั่วประเทศ ท่านอธิบดี ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เป็นผู้นำร่วมกับพี่น้องประชาชนคนไทย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ เหล่ากาชาดจังหวัด ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดกิจกรรมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา อาทิ
1) กรุงเทพมหานคร ที่วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน โดยได้รับเมตตาจากพระธรรมวชิราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีผู้เข้าร่วมพิธี ประกอบด้วย นายเอกวิทย์ มีเพียร รองอธิบดี สถ. ว่าที่ร้อยตรีขรรค์ไชย ทันธิมา นายสุรพล เจริญภูมิ ผู้ตรวจราชการ สถ. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง สถ. ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมพิธี
2) จังหวัดเลย ที่วัดโพนงาม บ้านติดต่อ ตำบลนาอาน อำเภอเมืองเลย นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วยนางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย นำพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ประกอบด้วย ข้าราชการศาล ทหาร ตำรวจ อัยการ ข้าราชการพลเรือน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และประชาชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมทั้งกำหนดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ระหว่างวันที่ 19-29 ธันวาคม 2565 พร้อมทั้งเชิญชวนปล่อยปลา/ปล่อยสัตว์ ร่วมทำบุญตักบาตร บริจาคโลหิต ตามที่เห็นสมควรด้วย
3) จังหวัดปทุมธานี ที่วัดโบสถ์ อำเภอสามโคก นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยได้รับเมตตาจาก พระราชวรเมธาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี (ธ) เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมี นายวีระ สากุล ผู้พิพากษาศาลหัวหน้าศาลจังหวัดปทุมธานี พล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี นายอดิเทพ กมลเวชช์ นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พ.อ.วินัย อภัยกุลชร รอง กอ.รมน. ปทุมธานี (ท) หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ชุมชนชาวมอญจังหวัดปทุมธานี และประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมพิธี พร้อมทั้งร่วมกันปล่อยสัตว์น้ำ ได้แก่ ปลาไหล ปลาดุก เต่า หอย ที่ บริเวณท่าน้ำ เพื่อถวายเป็นพระกุศล
4) จังหวัดสมุทรสงคราม ณ อุโบสถวัดดาวโด่งดุสิตาราม ตำบลคลองเขิน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วย นางมณีรัตน์ พรหมเขียว นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสงครามและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสมุทรสงคราม นายกรกฎ วงษ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นางณัฐสุดา วงษ์สุวรรณ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสงคราม/รองประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสมุทรสงคราม นายรนัสถ์ชัย พุ่มเจริญ ปลัดจังหวัดสมุทรสงคราม นายอรรถพันธุ์ สงวนเสริมศรี นายอำเภอเมืองสมุทรสงคราม หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ สมาชิกเหล่ากาชาด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ตลอดจน พสกนิกรตำบลคลองเขิน ร่วมสวดเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาเพื่อถวายเป็นพระกุศลฯ และถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยได้รับเมตตาจาก พระครูวินัยธร ลือชา เจ้าอาวาสวัดดาวโด่งดุสิตาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
5) กรุงเทพมหานคร ณ วัดชัยพฤกษมาลา ราชวรวิหาร องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย โดย นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร รองประธานกรรมการองค์การตลาด รักษาการผู้อำนวยการองค์การตลาด นำคณะผู้บริหาร และพนักงานองค์การตลาด จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนา พร้อมร่วมถวายเครื่องสังฆทาน ถวายพระพรเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
และร่วมกันปล่อยปลาหน้าเขียง บริเวณท่าน้ำวัดชัยพฤกษมาลา ราชวรวิหาร
6) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ โครงการชลประทาน ต.บ่อนอก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย นางฐิตยาภา เจริญเหรียญ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จัดพิธีทำบุญตักบาตร และปล่อยปลา เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยเร็ว
7) จังหวัดศรีสะเกษ ณ บริเวณสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เกาะห้วยน้ำคำ ต.หนองครก อ.เมืองศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง ถวายแด่ พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 45 รูป และปล่อยปลา เพื่อถวายพระพร ถวายเป็นพระกุศล ให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวร มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรงในเร็ววัน โดยได้รับความเมตตาจาก พระครูศรีมงคลปริยัติกิจ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมี นางมัลลิกา เกษกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัด/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด นายธรรมสรณ์ ปทุมมาศ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกันทรลักษ์ นายสุนทร จันทร์ฉิ้น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต นายนพ พงศ์ผลาดิสัย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ นายอำเภอเมืองจันทร์ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารองค์กรเอกชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน เข้าร่วมในพิธี
8) จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ศาลา 100 ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางพิชานันท์ เผือกผ่อง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
9) กรุงเทพมหานคร ณ วัดราชบุรณ ราชวรวิหาร นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมี คณะผู้บริหารระดับสูง ผู้ตรวจการ หัวหน้าหน่วยงาน พนักงาน เข้าร่วมพิธี เพื่อเป็นการรวมใจไทยทั้งชาติในการแสดงความจงรักภักดี
10) จังหวัดนครสวรรค์ ที่ศาลาการเปรียญวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครสวรรค์ นำหัวหน้าส่วนราชการและพสกนิกร ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนา พร้อมร่วมถวายภัตตาหารเพล เพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงหายพระประชวรในเร็ววัน
11) จังหวัดนครพนม ณ วัดพระอินทร์แปลง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้หายจากอาการทรงพระประชวร โดยได้รับเมตตาจาก พระครูอินทธรรมโกวิทย์ เจ้าอาวาสวัดพระอินทร์แปลง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนองค์กร หน่วยงาน ห้าง ร้าน พี่น้องประชาชน และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมกับคณะสงฆ์หรือผู้นำทางศาสนาในพื้นที่ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีขอพรตามหลักของแต่ละศาสนา รวมไปถึงกิจกรรมถวายภัตตาหารเพล จัดพิธีปล่อยปลา/ปล่อยสัตว์ ทำบุญตักบาตร บริจาคโลหิต เพื่อร่วมกันปฏิบัติบูชาถวาย ถวายพระพรเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62981 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คกก.ขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา เห็นชอบเพิ่ม 3 จังหวัดพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นำร่อง โครงการอาหารเป็นยา ปี 66” | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
“คกก.ขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา เห็นชอบเพิ่ม 3 จังหวัดพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นำร่อง โครงการอาหารเป็นยา ปี 66”
คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา เห็นชอบเพิ่มจังหวัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นำร่องโครงการอาหารเป็นยา ปี 2566 อีก 3 จังหวัด พร้อมเตรียมจัดงานมหกรรมอาหารเป็นยา “Earth safe Safe Live โลกปลอดภัย ชีวิตปลอดภัย”
คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา เห็นชอบเพิ่มจังหวัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นำร่องโครงการอาหารเป็นยา ปี2566อีก3จังหวัด พร้อมเตรียมจัดงานมหกรรมอาหารเป็นยา “Earth safeSafe Liveโลกปลอดภัย ชีวิตปลอดภัย” ส่งเสริมและสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภครับประทานอาหารปลอดภัย ไร้สารพิษ
วันนี้ (22ธันวาคม2566)ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา ครั้งที่1/2566โดยมีนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย มูลนิธิEarth safeและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ดร.สาธิต กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนดำเนินกิจกรรมขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยาในจังหวัดนำร่อง ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมีพื้นที่เป้าหมาย18จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน อุดรธานี สกลนคร พิษณุโลก อุทัยธานี อำนาจเจริญ ลพบุรี มหาสารคาม สระบุรี สุรินทร์ นครปฐม เพชรบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง และสงขลา หน่วยงานเจ้าภาพหลักคือ กรมอนามัย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งปี2565ที่ผ่านมา จัดกิจกรรมไปแล้ว4จังหวัด และเห็นชอบให้เพิ่มจังหวัดนำร่องในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อีก3จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดงานคิกออฟมหกรรมอาหารเป็นยา “Earth safe Safe Lifeโลกปลอดภัย ชีวิตปลอดภัย” เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภครับประทานอาหารปลอดภัยไร้สารพิษ ในวันที่16 -19กุมภาพันธ์2566ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ประกอบด้วยกิจกรรม สร้างความรู้ (Farm Model)ฟาร์มจากศาสตร์พระราชาโมเดลแห่งความยั่งยืน,สร้างทางเลือก (East Safe Market)ตลาดทางเลือกและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ,สร้างความสุข (Food & Fun)อาหารปลอดภัย อาหารเป็นยา คอนเสิร์ตจากศิลปินกลุ่มEarth Safe ,กิจกรรม “ดินปลอดสาร อาหารปลอดภัย” นำเสนอฟาร์มต้นแบบอินทรีย์วิถีไทยพร้อมทั้งมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU)ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำ (Earth Safe Foundation)โดยหลังจากกิจกรรมครั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมสัญจร ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ และมีแผนการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรด้วย
ด้านนายแพทย์ขวัญชัย กล่าวว่า ปีงบประมาณ2565ที่ผ่านมา มีการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยาในหลายพื้นที่และหลากหลายกิจกรรม อาทิ โครงการอาหารเป็นยา “เมืองสมุนไพร” ในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จันทบุรี สระบุรี สุราษฎร์ธานี และพัทลุง โดยได้มีการรับรองมาตรฐานอาหารเป็นยาให้กับสถานประกอบการในจังหวัดที่ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมอาหารเป็นยาไปแล้ว การจัดกิจกรรมประกวดแข่งขัน “การปรุงอาหารเป็นยา” เชฟรุ่นจูเนียร์ การผลิตคู่มือ “อาหารเป็นยา...สู่วิถีรักษ์สุขภาพ” และคู่มือโภชนศาสตร์ในภูมิปัญญาไทย เป็นต้น
*********************************** 22 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดเชียงราย | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดเชียงราย
วันที่ 21 ธันวาคม 2565
นายกฯ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีฯ Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) มุ่งพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมระบบดิจิทัล-เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
นายกฯ เยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ.เชียงราย ชื่นชมผลการดำเนินงาน สร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนให้เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ‘รมช.มนัญญา’ ประธานการประชุม คพช. ครั้งที่ 4/2565 | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ ประธานการประชุม คพช. ครั้งที่ 4/2565
‘รมช.มนัญญา’ ประธานการประชุม คพช. ครั้งที่ 4/2565 เร่งแก้ไข ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อประโยชน์สมาชิก แก้กลโกงสหกรณ์
‘รมช.มนัญญา’ ประธานการประชุม คพช. ครั้งที่ 4/2565 เร่งแก้ไข ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อประโยชน์สมาชิก แก้กลโกงสหกรณ์
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ครั้งที่ 4/2565 โดยมี นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ ประธานสันนิบาตสหกรณ์ คณะกรรมการฯ เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของสหกรณ์ โดยมีวาระที่สำคัญ อาทิ การกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม กรณีการซื้อสิทธิขายเสียงการเป็นคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ รวมทั้งที่ประชุมรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) รวมทั้งแนวทางการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นชุมนุมสหกรณ์ระดับประเทศ การประชุมเชิงวิชาการการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 ตลอดจนแผนการประชุมคณะกรรมการการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ปี พ.ศ. 2566 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. เห็นชอบการเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายและแนวทางในการพัฒนาการสหกรณ์ ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และ 2. เห็นชอบร่างคำสั่งคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริม สนับสนุนการขยายธุรกิจและกิจการของสหกรณ์ เพื่อกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการขยายธุรกิจและกิจการของสหกรณ์ การร่วมมือกับภาคเอกชนให้มีส่วนในการพัฒนาการสหกรณ์ การกำหนดแนวทางในการประสานงานระหว่างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือภาคเอกชน เพื่อให้การส่งเสริมสนับสนุนกิจการของสหกรณ์ รวมทั้งสร้างการเชื่อมโยงและร่วมมือกันทางธุรกิจและสังคม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของขบวนการสหกรณ์ให้สำเร็จตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ รมช.มนัญญา ยังได้เน้นย้ำในที่ประชุมในการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ของสหกรณ์ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นคง เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกให้มีความเชื่อมั่นในสหกรณ์นั้น ๆ ที่สำคัญการแก้กฎระเบียบที่ผ่านมา จะต้องสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตในสหกรณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของระบบสหกรณ์ไทย และลดการโกงในระบบสหกรณ์ให้เกิดเป็นรูปธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62992 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เดินหน้าชี้แจง “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” จ.กาฬสินธุ์ มุ่งสร้างรายได้ให้ครอบครัวเกษตรกร | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
รมช.ประภัตร เดินหน้าชี้แจง “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” จ.กาฬสินธุ์ มุ่งสร้างรายได้ให้ครอบครัวเกษตรกร
รมช.ประภัตร เดินหน้าชี้แจง “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” จ.กาฬสินธุ์ มุ่งสร้างรายได้ให้ครอบครัวเกษตรกร
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ชี้แจง “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” ณ เทศบาลตำบลดงมูล อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะส่งเสริมสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรรายย่อย โดยใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้ ภายใต้หลักการ 3 คนร่วมมือ 1 คนกู้ 2 คนค้ำ หนี้เสียสามารถกู้ได้ เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท วงเงินกู้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาปล่อยเงินกู้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2567 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรได้มีเงินทุนในการสร้างงานสร้างอาชีพ หรือการประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นคืนกลับมาโดยเร็ว กระทรวงเกษตรฯ จะทำการเข้าส่งเสริมเกษตรกรในการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม (พืช ปศุสัตว์ ประมง) ที่มีตลาดรองรับชัดเจน หรือการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตรที่มีลักษณะเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือน ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และต้องไม่เป็นการประกอบอาชีพในลักษณะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือผิดกฎหมายด้วย ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส.สาขาใกล้บ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รับมอบหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาล ส่งต่อ 6 รพ. ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนในการรับบริการ | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
สธ. รับมอบหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาล ส่งต่อ 6 รพ. ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนในการรับบริการ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาล จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด และบริษัท ยูซีไอ กรุ๊ป เพื่อส่งต่อให้กับโรงพยาบาลในสังกัด 6 แห่ง นำไปใช้บริการประชาชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาล จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด และบริษัท ยูซีไอ กรุ๊ป เพื่อส่งต่อให้กับโรงพยาบาลในสังกัด6 แห่ง นำไปใช้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็ว อาทิ แนะนำขั้นตอนการรับบริการ คัดกรองอาการโควิด 19 และวัดไข้
วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ที่ ห้องประชุมการบูร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาล จาก ผศ.ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา คุณเฉลิมพล บุณโณทก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด คุณปนัดดา รักษาแก้ว ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูซีไอ กรุ๊ป และคณะ
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบสารสนเทศที่ทันสมัย นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อลดปัญหาความแออัด ลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้สามารถดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหุ่นยนต์สวัสดีพยาบาลที่ได้รับมอบในวันนี้ เป็นนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด และบริษัทยูซีไอ กรุ๊ป ร่วมกันพัฒนาขึ้นเพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 6 แห่ง ได้แก่ 1.โรงพยาบาลบุรีรัมย์ 2.โรงพยาบาลอุดรธานี 3.โรงพยาบาลศรีสะเกษ 4.โรงพยาบาลขอนแก่น 5.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 6.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ได้นำไปใช้อำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนให้ได้รับบริการที่รวดเร็ว อาทิ ให้บริการสอบถามข้อมูล แนะนำขั้นตอนการรับบริการ คัดกรองอาการโควิด 19 วัดไข้ วัดสัญญาณชีพ ระบุตัวบุคคลเมื่อเสียบบัตรประชาชน เป็นต้น และยังสามารถรวมข้อมูลผู้ที่มาใช้บริการเชื่อมโยงไปยังระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลได้อีกด้วย ทำให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาได้ต่อไป ถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก
นอกจากนี้ ยังรับมอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร มูลค่ากว่า 1.5 แสนบาท จากบริษัท เอสซีจี แกรนด์ จำกัดเพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลในสังกัดได้นำไปใช้ดูแลสุขภาพและรักษาประชาชน
*********************************** 22 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำหน่วยงานในกำกับดูแล ถวายพระพร “พระองค์ภา” ให้ทรงหายประชวร | วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565
22/12/2565
รมต.อนุชา นำหน่วยงานในกำกับดูแล ถวายพระพร “พระองค์ภา” ให้ทรงหายประชวร
รมต.อนุชา นำหน่วยงานในกำกับดูแล ถวายพระพร “พระองค์ภา” ให้ทรงหายประชวร
วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) เวลา 08.00 น. ณ ชั้น1 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะ ประกอบด้วย นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยหน่วยงานในกำกับดูแล ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เข้าร่วมถวายแจกันดอกไม้และร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยเร็ววัน
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์แจ้งว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร และคณะแพทย์ได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 พบว่ามีประชาชนทุกหมู่เหล่าแสดงความห่วงใยต่อพระอาการของพระองค์ โดยมีหน่วยงานและประชาชนเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรไม่ขาดสาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนให้ร่วมตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา รวมถึงร่วมกันถวายกำลังใจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62991 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.