title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมต.นร ธนกร" ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย พร้อมชื่นชมการบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่ายสอดคล้องแนวทางของรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 "รมต.นร ธนกร" ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย พร้อมชื่นชมการบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่ายสอดคล้องแนวทางของรัฐบาล "รมต.นร ธนกร" ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย พร้อมชื่นชมการบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่ายสอดคล้องแนวทางของรัฐบาล กำชับพื้นที่รายงานความเสียหาย เพื่อนำสู่การเยียวยาได้อย่างเร่งด่วนทันท่วงที วันนี้ (9 ธ.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ที่ อำเภอท่าศาลา และอำเภอสิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย หลังเกิดฝนตกต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 3-5 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้ตนเองลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย โดยกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการต่อไป โดยที่อำเภอท่าศาลา มีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 9 ตำบล 6 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อน 5,010 ครัวเรือน 18,385 คน ส่วนสถานการณ์ล่าสุดปริมาณน้ำในพื้นที่แห้งเป็นปกติ ลำคลองสายหลักและสายรองมีระดับน้ำลดลง ส่วนพื้นที่ราบมีน้ำท่วมขังต่ำพื้นที่การเกษตรเพียงเล็กน้อย จากนั้น ขณะที่อำเภอสิชล เกิดอุทกภัยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เกิดความเสียหายรวม 9 ตำบล 110 หมู่บ้านประชาชนได้รับผลกระทบ 12,127 ครัวเรือน 33,717 คน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 4 หลัง นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการร้องเรียน ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นจากประชาชนในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหาพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนด้านงบประมาณพร้อมความต้องการขอรับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จะถูกนำไปขยายผลและติดตามต่อโดยรัฐบาลอย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดี เกษตรกร ส่งออกผลไม้ไทยไม่สะดุด กรมวิชาการเกษตร ออกใบรับรอง GAP ใหม่ ครบ 100% ทั่วประเทศแล้ว เตือนห้ามลักลอบนำผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ หากพบเจ้าหน้าที่ร่วมทุจริตลงโทษวินัยและตามกฎหมายเด็ดขาด
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 ข่าวดี เกษตรกร ส่งออกผลไม้ไทยไม่สะดุด กรมวิชาการเกษตร ออกใบรับรอง GAP ใหม่ ครบ 100% ทั่วประเทศแล้ว เตือนห้ามลักลอบนำผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ หากพบเจ้าหน้าที่ร่วมทุจริตลงโทษวินัยและตามกฎหมายเด็ดขาด ข่าวดี เกษตรกร ส่งออกผลไม้ไทยไม่สะดุด กรมวิชาการเกษตร ออกใบรับรอง GAP ใหม่ ครบ 100% ทั่วประเทศแล้ว เตือนห้ามลักลอบนำผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ หากพบเจ้าหน้าที่ร่วมทุจริตลงโทษวินัยและตามกฎหมายเด็ดขาด วันที่ 10 ธ.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการเปลี่ยนใบรับรองมาตรฐาน GAP เป็นรหัสรับรองรูปแบบใหม่ให้กับพืชทุกชนิดในระบบ GAP ครบ 100% ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว เร็วกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้เกือบ 1 เดือน ซึ่งการเปลี่ยนใบรับรอง GAP รูปแบบใหม่นี้ ได้มีการปรับรหัสรับรอง สำหรับสินค้าผลไม้ส่งออกไปจีนและบางประเทศ ตามระเบียบสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) เนื่องจากปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าได้เพิ่มเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น ทั้งในแง่คุณภาพสินค้าและสุขอนามัยพืช เช่น สินค้าเกษตรที่จะส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานระบบการผลิต GAP เป็นต้น ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตร ได้ประสานสำนักงานศุลกากรจีน เพื่อจัดส่งเลขทะเบียนแปลง GAP รหัสใหม่ ครอบคลุม 299,076 แปลง เกษตรกร 185,808 ราย พื้นที่รวม 1,860,454.31 ไร่ ให้สำนักงานศุลการกรจีน เพื่ออัพเดทข้อมูลรหัส GAP ใหม่ ในข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนให้เป็นปัจจุบัน จึงเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งออกทุเรียนและลำไยของไทย ที่จะเริ่มมีผลผลิตในเดือน ก.พ. ปีหน้า น.ส.ไตรศุลี กล่าว่า ใบรับรอง GAP รูปแบบใหม่นี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิต มีการระบุรหัสหน่วยรับรอง รหัสมาตรฐานการผลิต รหัสผู้ได้รับการรับรอง รหัสจังหวัด รหัสชนิดขอบข่าย ทำให้การตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเป็นไปตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 และตามประกาศสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประเทศคู่ค้าที่ต้องการนำเข้าสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย และตรวจสอบที่มาแหล่งผลิตได้ เสริมสร้างการส่งออกผลไม้ไทยให้มีความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอเตือนผู้ประกอบการ ห้ามลักลอบนำเข้าผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้านหรือจากแหล่งอื่นมาสวมสิทธิใบรับรอง GAP เพื่อการส่งออก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศทั้งระบบ หากพบเบาะแสหรือการกระทำผิดสามารถแจ้งให้กรมวิชาการเกษตร ทราบเพื่อดำเนินการทันที โดยกรมวิชาการเกษตร ได้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในเรื่องดังกล่าว หากพบการทำผิดจะลงโทษตามกฎหมาย และหากพบว่าเจ้าหน้ารัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือมีการทุจริต จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยและกฎหมายอย่างเด็ดขาดด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งดำเนินการชดเชยเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกประสบอุทกภัยให้ครบทุกพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนเร็วที่สุด
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 นายกรัฐมนตรี กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งดำเนินการชดเชยเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกประสบอุทกภัยให้ครบทุกพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนเร็วที่สุด นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งดำเนินการชดเชยเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกประสบอุทกภัยให้ครบทุกพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนเร็วที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มผู้ยากจน พร้อมมอบ รง.และท่องเที่ยวดึงผู้ว่างงานพัฒนาฝีมือป้อนธุรกิจภาคท่องเที่ยวที่ยังขาดแคลนคนทำงาน วันที่17ธ.ค. 65น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้รับทราบรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านแรงงานว่าในไตรมาสที่3/65(ก.ค.-ก.ย.65)ทั่วประเทศมีการการจ้างงานรวม39.6ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ2.1จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่การว่างงานก็ปรับตัวดีขึ้นมีจำนวนผู้ว่างงาน4.9แสนคนคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ1.23 อย่างไรก็ตามแม้การจ้างงานทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรซึ่งครอบคลุมภาคการผลิตและบริการจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจและแนวโน้มแรงงงานมีรายได้ดีขึ้นตามการมีงานทำ แต่ก็มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการต่อไปคือการเร่งช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่พื้นที่เพาะปลูกถูกน้ำท่วมเสียหายให้ครบถ้วนทุกจังหวัดโดยเร็วจากปัจจุบันที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่ความเสียหายเพื่อจ่ายเงินเยียวยาตามระเบียบกระทรวงการคลังและขณะนี้ดำเนินการจ่ายเงินไปแล้วประมาณ30จังหวัดจากทั้งหมด65จังหวัด “นายกรัฐมนตรีได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเยียวยาผลกระทบจากอุทกภัยตามที่กฎหมายกำหนดให้เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือให้เร็วที่สุดให้มีเงินอีกส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมจากโครงการอื่นๆที่ดำเนินการไปแล้วอย่างประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวที่มีส่วนช่วยเหลือไร่ละ1,000บาทและเงินส่วนต่างของราคาข้าวที่ท่านนายกฯกำชับในส่วนนี้ก็เนื่องด้วยห่วงใยกลุ่มผู้ที่มีความยากจนที่มีความสามารถในการรองรับภัยพิบัติน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ”น.ส.ไตรศุลีกล่าว น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการเพื่อดูแลกลุ่มผู้ว่างงานโดยให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกันพิจารณาแนวทางที่จะดึงผู้ว่างงานเข้ามาอบรมและพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวที่ขณะนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีความต้องการแรงงานสูงเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวได้ขยายตัวตามการกลับมาของนักท่องเที่ยว โดยในไตรมาสที่3/65ในภาคโรงแรมและภัตตาคารที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ8.3 และจากผลสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยเดือนก.ย. 65พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมร้อยละ77ยังขาดแคลนแรงงาน ————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขานรับนโยบาย“อาหารไทย อาหารโลก”
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขานรับนโยบาย“อาหารไทย อาหารโลก” ต่อยอดสินค้าอาหารฮาลาลของไทยให้เป็นที่นิยมในตลาด ขอให้เน้นคุณภาพสร้างชื่อเสียงเพื่อความเชื่อมั่นต่อไป วันนี้ (17 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” ซึ่งส่วนหนึ่งของการดำเนินตามนโยบายนี้คือ เห็นโอกาสและช่องทางขยายตลาดสินค้าฮาลาล (Halal) เนื่องจากประชากรในกลุ่มประเทศมุสลิม มีแนวโน้มเติบโต และมีกำลังซื้อมากขึ้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากข้อมูลสถิติประชากรโลกของ Pew Research Center (Washington, DC) คาดว่ากลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลามจะเพิ่มจำนวนเร็วที่สุดในโลก (https://www.pewresearch.org/religion/2017/04/05/the-changing-global-religious-landscape/pf_17-04-05_projectionsupdate_change310px/) ดังนั้น ผลิตภัณฑ์และสินค้าที่ได้รับตรารับรอง ฮาลาล ตามหลักศาสนาอิสลาม จึงมีความต้องการมากขึ้นไปด้วย ซึ่งปัจจุบัน ไทยมีการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อจำหน่ายแก่มุสลิมภายในประเทศ รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศ อาหารฮาลาลของไทย มีจุดแข็งด้านคุณภาพวัตถุดิบ อุตสาหกรรมอาหารของไทยยังมีความเข้มแข็ง มีชื่อเสียงในตลาดโลก ทั้งในด้านมาตรฐาน คุณภาพ และรสชาติ โดยไทยได้ส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร ไปยังกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation-OIC) จำนวน 57 ประเทศ ซึ่งทำให้ในปี 2564 ไทยมีมูลค่าการส่งออกอาหารฮาลาล รวม 4,188.37 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นสัดส่วน 12.13% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย ขยายตัวจากปีที่ผ่านมา 4.12% ส่วนปี 2565 ช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม – กันยายน) มีมูลค่าการส่งออก 4,681.23 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 64.65% โดยประเภทสินค้าอาหารฮาลาลที่ประเทศไทยส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ OIC ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรกของปี 2564 ได้แก่ 1. ธัญพืช 2. ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์น้ำฯ 3. น้ำตาลและขนมทำจากน้ำตาล 4. ของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือนม ผลิตภัณฑ์อาหารจำพวกพาย และ 5. ของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ด ที่บริโภคได้ โดยในปี 2564 ประเทศไทย ได้ส่งออกสินค้าฮาลาล ไปยังประเทศกลุ่ม OIC โดยมีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. มาเลเซีย มูลค่าส่งออก 1,193.57 ล้านเหรียญสหรัฐ 2. อินโดนีเซีย 885.77 ล้านเหรียญสหรัฐ 3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 228.64 ล้านเหรียญสหรัฐ 4. อียิปต์ 225.18 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5. เยเมน 165.00 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากตลาดในกลุ่มประเทศ OIC ประเทศไทยยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม ได้แก่ อินเดีย จีน สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยเอง โดยตลาดกลุ่มนี้ ก็เป็นตลาดเป้าหมายส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลที่สำคัญเนื่องจากล้วนมีกลุ่มชาวมุสลิมที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากการส่งเสริมการส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังตลาดต่างประเทศแล้ว ตลาดอาหารฮาลาลในประเทศก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยจำนวนมาก และอาหารไทยก็ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้น สินค้าอาหารฮาลาลที่ผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ ก็เป็นตลาดที่สำคัญ สำหรับชาวไทยมุสลิม และนักท่องเที่ยวมุสลิม เช่นเดียวกัน “นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถทำให้ตลาดสินค้าอาหารฮาลาลของไทย เป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งล้วนมีปัจจัยสำคัญจากคุณภาพสินค้า ความหลากหลายของสินค้า ทำให้เครื่องหมายฮาลาล ของไทยเป็นที่ยอมรับ ขอให้คงไว้ซึ่งชื่อเสียงเหล่านี้ เพื่อจะได้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาด ผลักดันการส่งออกอาหารฮาลาลได้ ทั้งในประเทศ แก่นักท่องเที่ยว และต่างประเทศ รวมทั้งจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอาหารของไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ธนกร”ลงพื้นที่สงขลารับฟังปัญหา​ประชาชน​อย่างใกล้ชิด​ ย้ำ”นายกฯ”กำชับเร่งช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่อง
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 "ธนกร”ลงพื้นที่สงขลารับฟังปัญหา​ประชาชน​อย่างใกล้ชิด​ ย้ำ”นายกฯ”กำชับเร่งช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่อง "ธนกร”ลงพื้นที่สงขลารับฟังปัญหา​ประชาชน​อย่างใกล้ชิด​ ย้ำ”นายกฯ”กำชับเร่งช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่อง วันนี้(17ธ.ค.65)นายธนกรวังบุญคงชนะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาตรวจราชการรับฟังข้อร้องเรียนรวมถึงข้อคิดเห็นจากประชาชนเพื่อรับฟังทุกข์ของประชาชนและเร่งหาแนวทางการแก้ไขทั้งนี้​มีนายเจษฎาจิตรัตน์ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ​หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​และประชาชนร่วมให้การต้อนรับและร่วมในกิจกรรม เมื่อเวลา​ 9.30​น.​รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังชุมชนสถานีอู่ตะเภาเขตเทศบาลนครหาดใหญ่พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนและรับฟังปัญหาการขอความช่วยเหลือต่างๆโดยชุมชนแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัย60ครัวเรือนประชากร218คนตั้งอยู่บนดินที่ของการรถไฟฯมานานกว่า30ปีซึ่งขณะนี้มีประชาชน7ครัวเรือนที่สร้างที่อยู่อาศัยหลังปี2554ทำให้ประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเนื่องจากการรถไฟจะใช้ที่ดินในโครงการรถไฟรางคู่สายใต้โดยทางชุมชนได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาซึ่งนาย​ธนกร​และคณะได้รับฟังเรื่องฟังราวร้องทุกข์​และยืนยันว่ารัฐบาลพยายามช่วยเหลือมาโดยตลอด​ภายใต้โครงการ​ "บ้านมั่นคง"ซึ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตด้านความเป็นอยู่และสิทธิในที่อยู่อาศัยอีกด้วย จากนั้นเมื่อเวลา11.20น.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำพรุพลีควายอ.นาหม่อมเพื่อติดตามความพร้อมในการรับมือสถานการณ์อุทกภัย​และการจัดการน้ำตลอดจนติดตามเพื่อเร่งให้มีการปูลาดพื้นผิวทางบริเวณทางเข้าอ่างเก็บน้ำพรุพลีควายเพื่อใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายอีกด้วย​ซึ่ง​นายธนกร​กล่าวว่า​แม้งบประมาณ​ของรัฐจะมีจำกัด​แต่นายกรัฐมนตรีพยายามใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดเชื่อว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนนายกรัฐมนตรีจะเร่งดำเนินให้อย่างแน่นอน ขณะที่ในช่วงบ่ายของวันนี้​เวลา​ 15.20น.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด-กระแสสินธ์ุ(ชลประทานแก้มลิง)เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้​ชิด​โดย​ได้มีการรับฟังปัญหา​เกี่ยวกับ​ระบบคลองระบายน้ำในพื้นที่ตื้นเขินและแคบซึ่งเกิดจากคันกั้นน้ำยังไม่สมบูรณ์ควบคุมกั้นน้ำไม่ได้ตลอดแนวชายฝั่งทะเลสาบและขาดการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ​ทั้งนี้หน่วยงานได้พื้นที่จะมีการเร่งรัดให้เกิดการแก้ไขปัญาหาโดยเร็ว "พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายก​ฯ​และ​รมว.กลาโหม​มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจึงให้ตนเองลงพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุดเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานบูรณาการร่วมมือกันหาทางออกให้ประชาชนโดยเร็ว​ที่สุดและต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"นาย​ธนกร​กล่าว ———-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศ เสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย รองรับการท่องเที่ยวปี 66
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 16/12/2565 นายกฯ เปิดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศ เสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย รองรับการท่องเที่ยวปี 66 นายกฯ เปิดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศ เสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย รองรับการท่องเที่ยวปี 66 ย้ำร่วมผนึกกำลังขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ให้กลับมาสร้างรายได้ให้ประเทศ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 17.00 น. ณ เวทีการจัดงาน Exhibition Hall 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายฟื้นคืนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาอย่างเร็วที่สุดด้วยการท่องเที่ยว สอดรับปีท่องเที่ยวไทย 2565-2566 เร่งเพิ่มอัตราการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในประเทศ (Drive Demand) และยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) เพื่อให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ จึงได้กำหนดจัดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” ภายใต้โครงการ Save Partner จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้มีความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมเข้าสู่ระบบนิเวศการท่องเที่ยวใหม่อย่างแข็งแรงและยั่งยืนต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวมีช่องทางในการนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวในอีกรูปแบบหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วไป และจำหน่ายสินค้าและบริการในราคาพิเศษ ทั้งของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนได้มีโอกาสสัมผัสความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะต้องก้าวผ่าน และจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผ่านวิกฤตนั้น จนทำให้ปัจจุบันเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยมากขึ้น จึงทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยรัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่า ในปีนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจะสามารถสร้างรายได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับในปี 2566 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ของภาคการท่องเที่ยว ที่จะสร้างประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมายและทรงคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งสะท้อนความสำเร็จในการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากการปรับรูปแบบการท่องเที่ยว การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวสามารถดำเนินต่อไปได้ และเกิดเป็นประสบการณ์การท่องเที่ยววิถีใหม่ในอนาคต การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าบนพื้นฐานของความเป็นไทย วิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านการออกแบบประสบการณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ผ่านการลงมือทำ ได้สร้างสรรค์ผลงาน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีจิตวิญญานของความเป็นไทย การสร้างแรงบันดาลใจ เกิดความประทับใจและความผูกพันระหว่างนักท่องเที่ยวและชุมชน พร้อมสร้างความภาคภูมิใจให้กับชุมชน พร้อมทั้งขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจผนึกกำลังขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้ฟื้นฟูและกลับมางดงาม สร้างรายได้ให้กับประเทศอีกครั้ง และขอขอบคุณนักท่องเที่ยวคนไทยทุกคนที่ช่วยกันออกมาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งทำให้เราสามารถผ่านช่วงวิกฤตมาได้อย่างเข้มแข็ง จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินเยี่ยมชมบูธต่าง ๆ ภายในงาน สำหรับงาน “มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 กิจกรรม B2C (Business to Consumer) : งาน Consumer Fair ท่องเที่ยวสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ภายใต้แนวคิด “Travel Now Free Now : ยิ่งเที่ยว ยิ่งดี ยิ่งเที่ยว ยิ่งฟรี” เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมออกบูธนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวแก่ผู้บริโภคในราคาสุดพิเศษ ส่วนที่ 2 กิจกรรม B2G (Business to Government) โซน Government Product Showcase นำเสนอข้อมูลประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว โดยหน่วยงานภาครัฐที่มาร่วมออกบูธประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยว และส่วนที่ 3 กิจกรรม B2B (Business to Business) ททท. ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้าน Supply Side เพื่อรองรับ High Value Tourism & Responsible Tourism ที่เป็นเป้าหมายในอนาคต นำเสนอกิจกรรมเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สามารถนำไปเพิ่มมูลค่าต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม นักกีฬายกน้ำหนักไทยปิดฉากการแข่งขันยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก 2022
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม นักกีฬายกน้ำหนักไทยปิดฉากการแข่งขันยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก 2022 ณ กรุง Bogotá อย่างสวยงาม คว้า 5 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 7 เหรียญทองแดง วันนี้ (17 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมผลการแข่งขันยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก 2022 หรือ 2022 IWF World Championships ณ กรุงโบโกตา (Bogotá) ประเทศโคลอมเบีย ซึ่งจบการแข่งขันวันที่ 16 ธันวาคม 2565 โดยนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทย สามารถคว้ารางวัลจากการแข่งขัน ได้ถึง 18 เหรียญ แบ่งเป็น 5 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 7 เหรียญทองแดง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ทัพนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ชัยชนะจากรุ่นการแข่งขัน ดังนี้ รุ่น 45 กิโลกรัม หญิง จากธรรญธร สุขข์เจริญ 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ จากสิริวิมล ประมงคล 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน รุ่น 55 กิโลกรัม ชาย จากธีรพงศ์ ศิลาชัย 2 เหรียญทอง รุ่น 67 กิโลกรัม ชาย จาก อส.ทพ.วิษณุ จันทรี 1 เหรียญเงิน จากวีรพล วิชุมา 3 เหรียญทองแดง รุ่น 64 กิโลกรัม หญิง จากรัตนวรรณ์ วามะลุน 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง และรุ่นมากกว่า 87 กิโลกรัมหญิง จากดวงอักษร ใจดี 3 เหรียญทองแดง ซึ่งการแข่งขันนี้ เป็นการเก็บคะแนนสะสมไปมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 ปารีสเกมส์ ประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย “นายกรัฐมนตรี ชื่นชมความสามารถของนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทย ที่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้ารางวัล สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย จากการแข่งขันในรายการ 2022 IWF World Championships นี้ จะเป็นส่วนสำคัญให้นักกีฬาสู่ความสำเร็จ ทั้งเป็นประสบการณ์และการสะสมคะแนนไปสู่ โอลิมปิกเกมส์ 2024 ปารีสเกมส์ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กำลังใจนักกีฬาทุกคนสู่การแข่งขันต่อ ๆ ไป” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์เม็ดเงินลงทุนพื้นที่ EEC 11 เดือน จำนวน 48,316 ล้านบาท 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด ตอกย้ำผลสำเร็จนโยบาย “พล.อ.ประยุทธ์”ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 "ทิพานัน" โชว์เม็ดเงินลงทุนพื้นที่ EEC 11 เดือน จำนวน 48,316 ล้านบาท 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด ตอกย้ำผลสำเร็จนโยบาย “พล.อ.ประยุทธ์”ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและการลงทุน "ทิพานัน" โชว์เม็ดเงินลงทุนพื้นที่ EEC 11 เดือน จำนวน 48,316 ล้านบาท 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด ตอกย้ำผลสำเร็จนโยบาย “พล.อ.ประยุทธ์”ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เอื้อประโยชน์คนทุกกลุ่ม วางรากฐานให้คนรุ่นถัดไป วันนี้(17ธ.ค.65)น.ส.ทิพานันศิริชนะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าตามที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีในฐานะคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ(กพศ.)มุ่งยกระดับเศรษฐกิจเพื่อพลิกโฉมประเทศให้ความสำคัญในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ในพื้นที่EEC โดยเฉพาะใน7กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายล่าสุดกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานการลงทุนในพื้นที่EECของนักลงทุนต่างชาติในช่วง11เดือน2565คือตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายนมีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่EECแล้วจำนวน105รายคิดเป็น20%ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมดมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่EECจำนวน48,316ล้านบาทคิดเป็น43%ของเงินลงทุนทั้งหมด น.ส.ทิพานันกล่าวว่าสำหรับต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่EECมากที่สุดจากประเทศญี่ปุ่น42รายเงินลงทุน24,520ล้านบาทจีน9รายเงินลงทุน10,956ล้านบาทและสิงคโปร์9รายเงินลงทุน2,156ล้านบาทโดยลงทุนในธุรกิจเช่นบริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย บริการพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการควบคุมการผลิตในโรงงานและระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังและบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เป็นต้นดดยคาดว่าในเดือนธันวาคมจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จและความก้าวหน้าของพื้นที่EECตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ “โครงการEECถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วนที่พล.อ.ประยุทธ์วางรากฐานไว้สำหรับคนรุ่นถัดไปรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ถือเป็นการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการค้าการลงทุนซึ่งไม่เพียงจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่EECแต่ยังเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตไปสู่ทุกภาคของประเทศไทยและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคซึ่งประชาชนกลุ่มอื่นจะได้รับประโยชน์ด้วยอย่างครอบคลุมและทั่วถึงภายใต้การดำเนินการที่พล.อ.ประยุทธ์กำชับให้ทุกภาคส่วนดำเนินการตามกฎหมายด้วยความระมัดระวังใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใสเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน”น.ส.ทิพานันกล่าว ————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโชว์ยอดการจดทะเบียนรถยนต์เพิ่มในรอบปีกว่าล้านคัน ย้ำกำลังซื้อภาคประชาชนเพิ่ม อนุมัติโครงการผลิตรถEV แล้ว 26 โครงการ
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 รัฐบาลโชว์ยอดการจดทะเบียนรถยนต์เพิ่มในรอบปีกว่าล้านคัน ย้ำกำลังซื้อภาคประชาชนเพิ่ม อนุมัติโครงการผลิตรถEV แล้ว 26 โครงการ รองโฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลโชว์ยอดการจดทะเบียนรถยนต์เพิ่มในรอบปีกว่าล้านคัน ย้ำกำลังซื้อภาคประชาชนเพิ่ม อนุมัติโครงการผลิตรถEV แล้ว 26 โครงการ วันนี้(17ธ.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยตัวเลขจำนวนรถยนต์ทุกประเภทที่มีการจดทะเบียนรวบรวมโดยกรมขนส่งทางบกแสดงถึงจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่า1ล้านคันในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อเทียบกับปีที่แล้วแสดงถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งภาคการบริโภคการบริการและการผลิตรวมถึงการผลิตทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีกำลังซื้อมากขึ้นและล่าสุดงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่39หรือMotor Expo 2022เมื่อ12ธ.ค.ที่ผ่านมามียอดจองรถยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น36,679คันเพิ่มขึ้น16.1%จากปีที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่ากว่า50,000ล้านบาทโดยเป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง5,800คัน นางสาวรัชดากล่าวว่าจากข้อมูลสถิติของกลุ่มสถิติการขนส่งกองแผนงานกรมการขนส่งทางบกณวันที่30พฤษภาคมพ.ศ. 2565พบว่ามีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น41,955,920คันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วณวันเดียวกันถึง1,067,969คันซึ่งตัวเลขดังกล่าวครอบคลุม รถยนต์ชนิดต่างๆ,รถจักรยานยนต์,รถแทร็กเตอร์,รถบดถนนฯลฯแต่ไม่รวมรถโดยสารรถบรรทุกและรถยนต์จดทะเบียนระงับและรถยนต์แจ้งไม่ใช้ตลอดไป สำหรับชนิดของยานยนต์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุด2ลำดับแรกคือ 1รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน7คนมีจำนวน11,314,722คันเพิ่มขึ้น487,262คัน 2รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน22,094,056คันเพิ่มขึ้น455,326คัน และเมื่อแยกเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนทั้งหมด326,918คันแบ่งเป็น -รถไฮบริด(Hybrid Electric Vehicle; HEV)ทั้งหมด255,733คัน -รถไฮบริดปลั๊กอิน(Plug-In Hybrid Electric Vehicle; PHEV)ทั้งหมด41,743คัน -รถไฟฟ้าแบตเตอรี่(Battery Electric Vehicle; BEV) ทั้งหมด29,402คัน จำนวนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่โตขึ้นมากสอดรับเป้าหมายปี2573การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวม725,000คันต่อปีคิดเป็น30%ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดซึ่งจะทำให้ภายในปี2573สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)ไม่น้อยกว่า200,000ล้านบาทและสร้างความต้องการแรงงานยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ30,000อัตราต่อปี “จำนวนรถยนต์ในประเทศไทยโดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์และรถจักรยานส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นนับล้านคันชี้ให้เห็นถึงกำลังซื้อของคนไทยที่สูงขึ้นสะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนขณะเดียวกันตัวเลขรถยนต์ไฟฟ้าที่ยอดรวมการจดทะเบียนกว่า3แสนคันโดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นการยืนยันถึงประสิทธิภาพของนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลที่จะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แก้ปัญหาหาภาวะโลกร้อนสำหรับปี2566กระทรวงอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการยานยนต์คาดการณ์ว่าจะมียอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า50,000คันมากไปกว่านั้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนการผลิตรถยนต์/จักรยานยนต์ไฟฟ้าผ่านมาตรการทางภาษีถือได้ว่ามีประสิทธิภาพอย่างมากพิจารณาจากการที่คณะกรรมการสางเสริมการลงทุนหรือบีโอไอได้อนุมัติโครงการยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว26โครงการจาก17บริษัท”นางสาวรัชดากล่าว —————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.เกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2565
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ก.เกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2565 ก.เกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2565 วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น. นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห้อง 123 มีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) แนวทางการตรวจสอบเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรอง GAP 2) กฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปกำหนดข้อบังคับและเป็นอำนาจหน้าที่ให้กับเจ้าหน้าที่ในการควบคุมคุณภาพผลผลิตทุเรียน 3) การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรอง GAP
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดโครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ผ่านกลไกสหกรณ์
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 ‘รมช.มนัญญา’ เปิดโครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ผ่านกลไกสหกรณ์ ‘รมช.มนัญญา’ เปิดโครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ผ่านกลไกสหกรณ์ พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาด 89 ล้านบาท แก่สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด พร้อมหนุนสหกรณ์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิก ‘รมช.มนัญญา’เปิดโครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรผ่านกลไกสหกรณ์พร้อมมอบอุปกรณ์การตลาด89ล้านบาทแก่สหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัดพร้อมหนุนสหกรณ์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิก นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิด“โครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรผ่านกลไกสหกรณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”พร้อมเป็นสักขีพยานการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการให้ความรู้เทคโนโลยีการผลิตการดูแลบำรุงและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างสหกรณ์กับภาคเอกชนโดยมีนายภูสิตสมจิตต์ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกนายวิศิษฐ์ศรีสุวรรณอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์นายเกรียงศักดิ์รสดีประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัดหัวหน้าส่วนราชการเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์เข้าร่วมณจุดบริการสหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัด(สาขา1)ต.หอกลองอ.พรหมพิรามจ.พิษณุโลกว่ากระทรวงเกษตรฯมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์และสถาบันเกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยให้เกษตรกรมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งโครงการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรผ่านกลไกสหกรณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้การพัฒนาการขับเคลื่อนนโยบายการผลิต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความเข้มแข็งการพัฒนาเครือข่ายสินค้าสหกรณ์การสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าสหกรณ์รวมทั้งส่งเสริมสหกรณ์มีบทบาทการจัดการผลผลิตและการจัดการตลาดให้กับผลผลิตของสมาชิกให้มีคุณภาพส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตของเกษตรกรเพื่อให้สินค้าเกษตรมีตลาดรองรับที่แน่นอนในราคาที่เป็นธรรมซึ่งสหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัดได้เข้าร่วมโครงการต่างๆกับกรมส่งเสริมสหกรณ์อาทิโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาโครงการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์กลุ่มเกษตรกรและธุรกิจชุมชนซึ่งเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมธุรกิจสหกรณ์ให้สามารถสร้างความเข้มแข็งกับสหกรณ์สร้างรายได้ให้กับสมาชิกจากความเป็นธรรมในการขายผลผลิตเป็นความสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมั่นคงยั่งยืน “กระทรวงเกษตรฯมีนโยบายส่งเสริมการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาโดยมุ่งหวังจะใช้เป็นโมเดลในการปฏิรูปภาคการเกษตรโดยการสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่สูงขึ้นซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชทางเลือกที่ใช้น้ำน้อยและแนวโน้มตลาดในประเทศยังมีความต้องการสูงสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีฯที่ต้องการให้เกษตรกรปลูกพืชทดแทนเพื่อมีรายได้เสริมหลังการทำนาอย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชของเกษตรกรซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ผลิตเมล็ดพันธุ์ดีและให้กรมส่งเสริมสหกรณ์นำไปขยายให้สมาชิกสหกรณ์เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งอีกทั้งในวันนี้ยังได้มีการลงนามMOUร่วมกันระหว่างสหกรณ์กับภาคเอกชนเพื่อให้มีการรับซื้อที่แน่นอนทั้งนี้ประเทศไทยยังมีการนำเข้าถั่วเหลืองข้าวโพดจำนวนมากจึงต้องกลับมาดูว่าจะสนับสนุนให้เกษตกรเพิ่มศักยภาพการผลิตได้อย่างไรเพื่อลดการนำเข้าและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต”รมช.มนัญญา โอกาสนี้รมช.มนัญญาได้มอบอุปกรณ์การตลาดให้กับสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างการผลิตการรวบรวมและการแปรรูปของสถาบันเกษตรกรรองรับผลผลิตทางการเกษตรจำนวน6แห่งจำนวนเงินรวม89,438,560บาทและมอบเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ให้กับสหกรณ์ในจังหวัดพิษณุโลกจำนวนเงิน107,911,000บาทพร้อมทั้งเป็นประธานพิธีเปิดไซโลเป่าลมเย็นจากนั้นได้เยี่ยมชมนิทรรศการของสหกรณ์หน่วยงานราชการภาคเอกชนการจัดนิทรรศการและจำหน่ายสินค้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตรตลอดจนเยี่ยมชมแปลงปลูกพืชหลังนาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเขียวของนายเกรียงศักดิ์รสดีสมาชิกสหกรณ์พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์7ไร่และพื้นที่ปลูกถั่วเขียว3ไร่โดยได้รับสนับสนุนเมล็ดพันธุ์จากศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก ทั้งนี้สหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกที่ได้รับอุปกรณ์การตลาดซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์อุดหนุนผ่านโครงการปรับโครงสร้างการผลิตการรวบรวมและการแปรรูปของสถาบันเกษตรกรรองรับผลผลิตทางการเกษตรมีดังนี้1.สหกรณ์วัดจันทร์จำกัด(เครื่องชั่งรถบรรทุก)จำนวนเงิน1,700,000บาท2.สหกรณ์การเกษตรชาติตระการจำกัด(รถแทรกเตอร์)จำนวนเงิน1,788,000บาท3.สหกรณ์การเกษตรนิคมฯบางระกำจำกัด(รถแทรกเตอร์เครื่องอบลดความชื้น)จำนวนเงิน32,987,660บาท4.สหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัด(รถไถเดินตามรถแทรกเตอร์ไซโลเป่าลมเย็นลานตาก)จำนวนเงิน45,297,900บาท5.สหกรณ์ผู้ใช้น้ำชลประทานวัดพริกจำกัด(ลานตาก)จำนวนเงิน1,920,000บาทและ6.สหกรณ์ผู้ใช้น้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านตะแบกงามจำกัด(โกดังเครื่องชั่งรถบรรทุก)จำนวนเงิน5,745,000บาท สำหรับสหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามจำกัดเกิดขึ้นจากการรวบรวมของ3สหกรณ์ฯเดิมในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกได้แก่สหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามหนึ่งจำกัดสหกรณ์การเกษตรพรหมพิรามสองจำกัดและสหกรณ์การประมงพิษณุจำกัดจดทะเบียนเมื่อวันที่1กรกฎาคม2517ณวันสิ้นปีทางบัญชี31มีนาคม2565มีสมาชิกทั้งสิ้น3,383รายมีทุนดำเนินงานทั้งสิ้นจำนวน907,325,901บาทสหกรณ์มีการดำเนินธุรกิจ5ด้านปริมาณธุรกิจรวมทั้งสิ้น346,286,026.91บาทประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อจำนวน116,935,400บาทธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่ายจำนวน30,856,072.43บาทธุรกิจรวบรวมผลผลิตจำนวน73,555,866บาทธุรกิจแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรจำนวน17,413,765บาทและการรับฝากเงินจำนวน107,524,923.48บาทผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ16,103,364012บาทประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อจำนวน116,935,400บาทธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย จำนวน30,856,072.43บาทธุรกิจรวบรวมผลผลิตจำนวน73,555,866บาทธุรกิจแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรจำนวน17,413,765บาทและการรับฝากเงินจำนวน107,524,923.48บาท ทั้งนี้จังหวัดพิษณุโลกมีพื้นที่เกษตรกรรม3,387,938ไร่เกษตรกร102,317ครอบครัวอาชีพการเกษตรส่วนใหญ่ทำนาปี1,476,708ไร่ทำนาปรัง429,792ไร่ปลูกข้าวโพดฤดูฝน201,824ไร่ปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา58,402ไร่ ยางพารา338,422ไร่มันสำปะหลัง193,533ไร่สำหรับโครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดพืชหลังนาปีการผลิต2565/2566มีสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด108แห่งในพื้นที่27จังหวัดพื้นที่เพาะปลูก123,264ไร่สมาชิกได้รับประโยชน์11,065คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการ เข้าร่วม ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดี วันนี้(17 ธ.ค.) เกาะสมุยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญอีก 2,500 คน ตอกย้ำเที่ยวไทยคึกคัก
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 นายกรัฐมนตรียินดี วันนี้(17 ธ.ค.) เกาะสมุยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญอีก 2,500 คน ตอกย้ำเที่ยวไทยคึกคัก นายกรัฐมนตรียินดี วันนี้(17 ธ.ค.) เกาะสมุยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญอีก 2,500 คน ตอกย้ำเที่ยวไทยคึกคัก กำชับหน่วยงานเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ให้บริการอย่างเป็นธรรม แท็กซี่ต้องกดมิเตอร์ ไม่เอาเปรียบผู้โดยสาร วันที่17ธ.ค. 65น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมมีความยินดีภายหลังได้รับรายงานว่าวันนี้(17ธ.ค. 65)เกาะสมุยจ.สุราษฎร์ธานีหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากยุโรปพร้อมกับเรือสำราญไมน์ชิฟฟ์5 (Mein Schiff 5)กว่า2,500คนที่มาแวะท่องเที่ยวเกาะสมุยแบบOne Day Tripซึ่งหน่วยงานในเกาะสมุยและจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ร่วมเตรียมการต้อนรับเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวลงไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเกาะสมุยโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวชุมชนให้เกิดการกระจายรายได้สู่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง ทั้งนี้เรือไมน์ชิฟฟ์5ถือเป็นเรือสำราญจากยุโรปลำที่2ที่เดินทางมายังเกาะสมุยต่อจากลำแรกที่เข้ามาประเทศไทยในรอบ3ปีหลังเกิดสถานการณ์โควิด19เมื่อวันที่27พ.ย.ที่ผ่านมาและหลังจากนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า31ธ.ค. 65จะมีเข้ามาอีก1ลำและข้อมูลจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีระบุว่าในปี2566และ2567มีเรือสำราญกำหนดจะเข้ามาเยือนเกาะสมุยเบื้องต้น31ลำและ32ลำตามลำดับ “การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทางเรือสำราญจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นอีกสัญญาณที่ตอกย้ำถึงความคึกคักของการท่องเที่ยวไทยสอดคล้องกับการเดินทางเข้าในช่องทางอื่นๆทั้งทางอากาศและด่านทางบกทำให้ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯมั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยตามเป้าหมาย”น.ส.ไตรศุลีกล่าว น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ขณะที่การท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวได้ดีนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันเพิ่มความเข้มงวดกวดขันไม่ให้เกิดกรณีผู้ประกอบการทั้งร้านค้าร้านขายของที่ระลึกร้านอาหารผับบาร์เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวรวมถึงกรณีรถโดยสารสาธารณะเช่นรถแท็กซี่ต้องดูแลกำชับให้มีการกดมิเตอร์หากพบกรณีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวขอให้มีมาตรการลงโทษที่เด็ดขาด นายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องดูแลให้นักท่องเที่ยวได้รับบริการที่เป็นธรรมนี้ก็เพื่อดูแลภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไม่ให้มีกรณีนักท่องเที่ยวถูกหลอกให้ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำการต้องจ่ายค่าอาหารหรือเครื่องดื่มราคาที่แพงกว่าคุณภาพบริการที่ได้รับแท็กซี่ไม่ยอมกดมิเตอร์หรือคิดราคาเหมาไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันหากเกิดปัญหาแล้วข่าวสารเผยแพร่ออกไปในต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศได้ ————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนอย่าแชร์ข้อมูลเท็จให้งดจัดบริการส่งเสริมป้องกันโรคกลุ่มไม่ใช่บัตรทอง ย้ำทุกหน่วยบริการยังให้บริการตามปกติระหว่างรอความชัดเจนทางกฎหมาย
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 สธ. เตือนอย่าแชร์ข้อมูลเท็จให้งดจัดบริการส่งเสริมป้องกันโรคกลุ่มไม่ใช่บัตรทอง ย้ำทุกหน่วยบริการยังให้บริการตามปกติระหว่างรอความชัดเจนทางกฎหมาย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย พบการส่งข้อมูลเท็จทางไลน์แจ้งให้หน่วยบริการงดการจัดบริการส่งเสริมป้องกันโรคให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิบัตรทอง รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย พบการส่งข้อมูลเท็จทางไลน์แจ้งให้หน่วยบริการงดการจัดบริการส่งเสริมป้องกันโรคให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิบัตรทอง ขอให้ประชาชนและบุคลากรอย่าหลงเชื่อและไม่ส่งต่อข้อมูลเท็จดังกล่าว ยืนยัน สธ. และ สปสช. ร่วมกันดูแลให้หน่วยบริการทั้งในและนอกสังกัด สธ. จัดบริการด้านการส่งเสริมป้องกันโรคให้กับประชาชนทุกคน ทุกสิทธิ์ ตามปกติ ระหว่างรอความชัดเจนทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับงบส่วนนี้ ไม่ให้เกิดผลกระทบการเข้ารับบริการ นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้พบการส่งต่อข้อมูลเท็จทางแชทไลน์แจ้งให้หน่วยบริการงดจัดบริการด้านส่งเสริมป้องกันโรคให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิบัตรทอง ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนและหน่วยบริการได้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้มีมติเห็นชอบประกาศหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบบัตรทอง ปี 2566 โดยให้แยกจัดสรรงบผู้ป่วยนอก (OP) และผู้ป่วยใน (IP) ที่เป็นงบประมาณส่วนใหญ่ออกมาก่อน เพื่อให้หน่วยบริการสามารถนำมาจัดบริการประชาชนได้ตามปกติ สำหรับงบส่งเสริมป้องกันโรค (P&P) เฉพาะส่วนของผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิบัตรทอง ให้รอความชัดเจนจากฝ่ายกฏษฎีกา พิจารณาตีความทางกฎหมายก่อน นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าวต่อว่า จากมติที่ประชุมดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขได้ย้ำให้หน่วยบริการในสังกัดทุกแห่งดำเนินการจัดบริการด้านการส่งเสริมป้องกันโรคให้กับประชาชนในความรับผิดชอบทุกคน ทุกสิทธิ์ ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็จะดำเนินการให้หน่วยบริการอื่นนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจัดบริการเช่นเดียวกัน และจะมีการหารือในรายละเอียดการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในการจัดบริการหรือเกิดปัญหาในการเข้ารับบริการของประชาชน ดังนั้น ขอยืนยันว่าประชาชนทุกคนยังคงได้รับบริการต่างๆ ตามปกติ และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อข้อมูลเท็จดังกล่าว ******************************************** 17 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์"เป็นประธานมอบเงินเยียวยากราดยิงหนองบัว จ่ายเพิ่ม 36 ผู้เสียชีวิต - ผู้บาดเจ็บ 12 ราย รวมยอดทั้งหมด 7.5 ล้านบาท ขอทุกคนเชื่อมั่น ลั่นไม่เคยทิ้งประชาชน
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 17/12/2565 "สมศักดิ์"เป็นประธานมอบเงินเยียวยากราดยิงหนองบัว จ่ายเพิ่ม 36 ผู้เสียชีวิต - ผู้บาดเจ็บ 12 ราย รวมยอดทั้งหมด 7.5 ล้านบาท ขอทุกคนเชื่อมั่น ลั่นไม่เคยทิ้งประชาชน "สมศักดิ์"เป็นประธานมอบเงินเยียวยากราดยิงหนองบัว จ่ายเพิ่ม 36 ผู้เสียชีวิต - ผู้บาดเจ็บ 12 ราย รวมยอดทั้งหมด 7.5 ล้านบาท ขอทุกคนเชื่อมั่น ลั่นไม่เคยทิ้งประชาชน เผยนายกฯอบจ.เตรียมรับสามีครูพรเข้าทำงานให้เรียนเพิ่มวุฒิอีกนิด เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2565 ที่ อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู นายสมศักดิ์เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานในการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา เหตุกราดยิง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมี นายอนุพงศ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายอนุชา พัสถาน ปลัดจังหวัดหนองบัวลำภู พล.ต.ต.พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู นายวุฒิพงษ์ ศิริสถิตย์ นายก อบจ.หนองบัวลำภู น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้เสียหายจากเหตุกราดยิง 48 ราย ผู้นำชุมชนและชาวบ้าน 150 คนร่วมงาน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงใยในเรื่องนี้ ปกติการจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตที่ตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา จะได้รายละ 110,000 บาท ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการตาย 50,000 บาท ค่าทำศพ 20,000 บาท ค่าขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท แต่จากเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นนี้ กรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้จ่ายเยียวยาเพิ่มให้อีกรายละ 90,000 บาท ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการตาย 50,000 บาท และค่าเสียหายอื่นๆ 40,000 บาท นอกจากนี้คณะกรรมการพิจารณาเงินเยียวยา ได้นำเบี้ยประชุมและเงินบริจาครวม 172,850 บาท สมทบให้แก่ครู 2 รายและประชาชน 1 ราย ในฐานะพลเมืองดี ที่ช่วยเหลือเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและตะโกนให้คนร้ายเบี่ยงเบนไม่ไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จนตนเองเสียชีวิต และวันนี้ยังมีการจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้บาดเจ็บในเบื้องต้น 12 ราย เป็นเงิน 373,724 บาท ยอดรวมของเงินเยียวยาตามกฎหมาย ทั้งหมด 2 ครั้ง รวม 7,573,724 บาท "ในส่วนของ นายเสกสรรค์ ศรีราชา สามีครูพร ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้หารือกับ กระทรวงศึกษาธิการแล้ว ในการหาทางบรรจุเป็นครู แต่ติดที่นายเสกสรรค์ ไม่มีวุฒิการศึกษาโดยผมได้พูดคุยกับ นายวุฒิพงษ์ ศิริสถิตย์ นายก อบจ.หนองบัวลำภู ท่านได้รับดำเนินการช่วยเหลือ และรับปาก ให้นายเสกสรรค์ไปเรียนเพิ่มอีกนิด เมื่อวุฒิการศึกษาพร้อม จะบรรจุพนักงานของอบจ.ได้ ในส่วนของผู้ที่ยังต้องรักษาร่างกาย เจ้าหน้าที่จากกรมคุ้มครองสิทธิฯจะยังดูแล และจะจ่ายเงินค่ารักษาเพิ่มให้ ไม่ต้องกังวล ผมขอเป็นกำลังใจให้ชาวอุทัยสวรรค์ทุกท่าน ขอให้ท่านมั่นใจในกระทรวงยุติธรรม เราจะไม่ทอดทิ้งประชาชน" นายสมศักดิ์ กล่าว นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรม ยังมีกองทุนยุติธรรม ให้การช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี โดยการจัดหาทนาย การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิด การสนับสนุนให้ความรู้ทางกฎหมาย โดยให้การช่วยเหลือฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อได้ที่กระทรวงยุติธรรม สำนักงานยุติธรรมจังหวัด สายด่วน 1111 กด 77 และยังมีพ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง (JSOC) เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมและสร้างความปลอดภัยให้สังคม โดยเฉพาะเด็กและสตรี แก้ปัญหาและลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำ โดยใช้กำไล EM ติดตาม มีศูนย์ JSOC และอาสาสมัครคุมประพฤติ ควบคุมเฝ้าดู และเรายังได้จัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ เน้นยึดทรัพย์ตัดวงจร ซึ่งตนขอเชิญชวนทุกท่านแจ้งเบาะแส รับรางวัล 5% โดยสามารถโทรสายด่วน 1386 แต่หากใครยังกังวัล เรากำลังทำระบบ Block Chain เพื่อปกปิดผู้แจ้งเบาะแสให้ปลอดภัย 100% คาดว่าเดือนหน้าจะใช้งานได้ สำหรับเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 มีการจ่ายเงินเยียวยา ครั้งที่ 1 วันที่ 9 ต.ค. 65 ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต 36 ราย รวมเป็นเงิน 3,960,000 บาท รายละ 110,000 บาท ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการตาย 50,000 บาทค่าทำศพ 20,000 บาท ค่าขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาครั้งที่ 2 ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ 48 ราย เป็นเงิน 3,786,574 บาท แบ่งเป็น ผู้เสียชีวิต 36 ราย ได้เพิ่มรายละ 90,000 บาท เป็นเงิน 3,240,000 บาทประกอบด้วย ค่าตอบแทนการตาย 50,000 บาทค่าเสียหายอื่นๆ 40,000 บาท คณะกรรมการฯ นำเบี้ยประชุม จำนวน 172,850 บาท สมทบให้แก่ครู 2 รายและประชาชน 1 ราย ที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและประชาชนผู้บริสุทธิ์ จนตนเองเสียชีวิต และจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้บาดเจ็บ จำนวน 12 ราย เป็นเงิน 373,724 บาท ยอดรวมของเงินเยียวยา ทั้งหมด 2 ครั้ง ทั้งตามกฎหมายและเงินบริจาค รวม 7,746,574 บาท โดยพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย แบพค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้การช่วยบุคคล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเหยื่อหรือผู้เสียหายในคดีอาญา ที่ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ จากการกระทำผิดทางอาญา โดยตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และกลุ่มแพะหรือจำเลยในคดีอาญา ที่ศาลสุดท้ายตัดสินยกฟ้องว่ามิได้เป็นผู้กระทำผิดที่รัฐเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ในการอำนวยความยุติธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ลั่นฆ้องเปิดตัว “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชน “วัดบางน้ำผึ้งใน” สมุทรปราการ
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 วธ.ลั่นฆ้องเปิดตัว “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชน “วัดบางน้ำผึ้งใน” สมุทรปราการ วธ.ลั่นฆ้องเปิดตัว “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชน “วัดบางน้ำผึ้งใน” สมุทรปราการ ชวนทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ท่องเที่ยววิถีชีวิตริมน้ำ ล่องเรือชมหิ่งห้อย อิ่มอร่อยกับเมนูอาหารท้องถิ่น ปั่นจักรยานชมธรรมชาติ บนเส้นทางมรกต พักโฮมสเตย์สไตล์ วธ.ลั่นฆ้องเปิดตัว“เที่ยวชุมชน ยลวิถี”ชุมชน“วัดบางน้ำผึ้งใน”สมุทรปราการ ชวนทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ท่องเที่ยววิถีชีวิตริมน้ำ ล่องเรือชมหิ่งห้อย อิ่มอร่อยกับเมนูอาหารท้องถิ่น ปั่นจักรยานชมธรรมชาติ บนเส้นทางมรกต พักโฮมสเตย์สไตล์ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน วันที่ 17 ธันวาคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดป้าย สุดยอดชุมชนต้นแบบ“เที่ยวชุมชน ยลวิถี”ชุมชนคุณธรรมวัดบางน้ำผึ้งใน ตำบลบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ“เที่ยวชุมชน ยลวิถี”ประจำปี 2565ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้บริหาร วธ. วัฒนธรรมจังหวัดภาคกลาง หัวหน้าส่วนราชการจังหวัด ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ สภาวัฒนธรรมวัฒนธรรมจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ศิลปินพื้นบ้าน ผู้นำชุมชนฯ ชาวชุมชนวัดบางน้ำผึ้งใน นักท่องเที่ยวและสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ในโอกาสนี้ ปลัดวธ. ได้กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและองค์ท้าวเวสสุวรรณ ชมการแสดงทางวัฒนธรรม การละเล่นเด็กไทย จากโรงเรียนวัดบางน้ำผึ้งใน พร้อมเปิดงานอย่างเป็นทางการโดยการตีฆ้องอย่างกึกก้อง เยี่ยมชมการสาธิตทำผ้ามัดย้อม พับดอกไม้ใบเตย ผลิตภัณฑ์จากผึ้งชันโรง จากชุมชนคุณธรรมวัดบางน้ำผึ้งใน การทำขนมกง ปลาสลิดทอด จากชุมชนคุณธรรมบ้านบางกะอี่ อำเภอบางพลี การทำขนมจากผลิตภัณฑ์จากลูกจาก(ขนมย่างจากใจ)จากชุมชนคุณธรรมบ้านคลองนาเกลืออำเภอพระสมุทรเจดีย์ การทำเครื่องจักสานจากก้านจาก จากชุมชนคุณธรรมวัดบางด้วนนอก อำเภอเมืองสมุทรปราการ ชมการแสดงนิทรรศการผ้าไทย ปั่นจักรยานบนเส้นทางมรกต แวะบ้านธูปสมุนไพร บ้านลูกประคบสมุนไพร บ้านขนมถ้วยแม่ประคอง และโฮมสเตย์บ้านบางน้ำผึ้ง อีกทั้งเดินช้อปของดีชิมอาหารอร่อยในตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกด้วย ปลัด วธ. กล่าวว่า วธ. ปรับบทบาทจากกระทรวงสังคม สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ มุ่งขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม นำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ ตอบโจทย์สถานการณ์โลกในยุคหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพิ่มมูลค่า ทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่BCGและSoft Powerของไทย วธ. จึงได้มีการจัดงานเปิดตัวสุดยอดชุมชนต้นแบบ“เที่ยวชุมชน ยลวิถี”ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางน้ำผึ้งใน เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งระหว่างคนในชุมชนกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมรูปแบบการท่องเที่ยววิถีใหม่ สไตล์New Normalเป็นอย่างดี ถือเป็นชุมชนที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติอีกแห่งหนึ่ง นางยุพา กล่าวอีกว่า ชุมชนคุณธรรมวัดบางน้ำผึ้งใน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น อนุรักษ์ธรรมชาติและความเป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มีการดนตรี วงปี่พาทย์มอญ วงกลองยาว ตลอดจนการละเล่นพื้นบ้าน ในแบบวิถีไทยในหมู่เด็กและเยาวชน มีการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เมนูอาหารตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตลักษณ์ อาทิ มัสมั่นลูกจาก ปลาทู-ปลาตะเพียนต้มเค็มโบราณ ม้าฮ่อ ลูกประคบธัญพืชสมุนไพร ธูปหอมสมุนไพร รวมถึงการสอนทำพวงมะโหด จักสานจากวัสดุธรรมชาติต่างๆ ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ ปั่นจักรยานชมธรรมชาติบนเส้นทางมรกตหรือเส้นทางสีเขียว เชื่อมโยงพื้นที่สีเขียวใหญ่ที่สุดอย่างบางกะเจ้า ร่วมกิจกรรมการขนมถ้วยโบราณ การค้างคืนแบบโฮมสเตย์ เรียนรู้วิถีชุมชน ร่วมกิจกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เทจุลินทรีย์ลงคลอง พร้อมมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นนำชม เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดกิจกรรม ทำWorkshopร่วมกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้สามารถแวะเดินตลาดน้ำบางน้ำผึ้งแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่น ช้อปสินค้าท้องถิ่นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมล่องเรือชมหิ่งห้อยดนตรีและศิลป์ในสวนพายเรือในคลอง การนวดแผนไทยการทำขนมไทยและแหล่งเรียนรู้วิสาหกิจชุมชน โดยเปิดทุกวันเสาร์–อาทิตย์และทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00–16.00 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รองปลัดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) ครั้งที่ 1/2565
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 รองปลัดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) ครั้งที่ 1/2565 รองปลัดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) ครั้งที่ 1/2565 วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 น. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) ครั้งที่ 1/2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห้อง 123 มีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) ผลการอนุมัติการปรับเปลี่ยนข้อเสนอของโครงการฯ (Change Offer) 2) ความคืบหน้ามาตรการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตของโครงการฯ(Pre-finance) 3) ความคืบหน้ามาตรการควบคู่สำหรับชาวนา หรือ แพ็กเกจ 1 4) ความคืบหน้ามาตรการการอุดหนุนผู้ให้บริการเพื่อการลงทุนในชุดอุปกรณ์ปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ (Pro2) 5) การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวในพื้นที่เป้าหมาย Thai Rice NAMA 6) นำร่องโมเดลข้าวรักโลก ความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการ Thai Rice GCF และการขยายกรอบเวลาของโครงการ Thai Rice Nama (project extension)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ปี 66 ทั่วไทย 4 จังหวัด 4 ภาค
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 วธ. จัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ปี 66 ทั่วไทย 4 จังหวัด 4 ภาค วธ. จัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ปี 66 ทั่วไทย 4 จังหวัด 4 ภาค โชว์ของดี ของเด่น ของอร่อย ประเดิมมหาสารคามที่แรก 23-27 ธ.ค.นี้ ต่อด้วยนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ปิดท้ายที่สุราษฎร์ธานีเมืองใต้ ยกระดับเทศกาลประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น วธ. จัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ“วิถีถิ่น วิถีไทย”ปี66ทั่วไทย4จังหวัด4ภาค โชว์ของดี ของเด่น ของอร่อย ประเดิมมหาสารคามที่แรก 23-27 ธ.ค.นี้ ต่อด้วยนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ปิดท้ายที่สุราษฎร์ธานีเมืองใต้ ยกระดับเทศกาลประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวสู่ระดับนานาชาติ สร้างงาน สร้างรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการแถลงข่าวงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่นวิถีไทย ประจำปี 2566 โดยมีผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม นครสวรรค์ สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดผู้นำชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณหอศิลป์แห่งชาติกระทรวงวัฒนธรรมภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมทั้ง4ภาคอาทิหุ่นกระติบ ของจังหวัดมหาสารคามการเชิดมังกรและสิงโตของจังหวัดนครสวรรค์การแสดงเบญจดนตรีไทยของจังหวัดสุพรรณบุรี สาธิตมวยไชยา ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมไปถึงอาหารพื้นบ้านของแต่ละภาค และผลิตภัณฑ์ ทางวัฒนธรรมไทย (CPOT)ด้วย นางโชติกา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ“วิถีถิ่น วิถีไทย”มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างงาน สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดของทุกภาค เป็นการฟื้นวิกฤติจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ส่งเสริมและเปิดพื้นที่ให้ศิลปินศิลปินพื้นบ้านแขนงต่างๆ ได้มีโอกาสถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมการแสดงและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไปสู่เยาวชนและประชาชน รวมทั้งสนับสนุนการนำสินค้าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย(CPOT)สามารถสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคนั้นๆ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม ศิลปินและการท่องเที่ยวของจังหวัด ตามนโยบาย วธ. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ทั้งด้านมิติสังคมและมิติเศรษฐกิจRestartประเทศไทย ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจด้วยวัฒนธรรม ตามนโยบาย“เปลี่ยนฉากทัศน์วัฒนธรรมสู่ก้าวที่มั่นคงและยั่งยืน”ส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก ด้วยทุนทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ หรือ 5Fเปิดพื้นที่ เปิดโอกาส ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวและซึมซับวัฒนธรรมของไทยมากขึ้น รองปลัด วธ. กล่าวอีกว่า สำหรับในปี 2566 นี้ จะมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ให้ทุกคนในชุมชนและจังหวัดอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันมีส่วนร่วมในทุกมิติ ซึ่งความพิเศษของงานแต่ละที่จะแตกต่างกันด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ มาจัดเป็นไฮท์ไลท์ของงานผ่านกิจกรรมการแสดง สินค้าทางวัฒนธรรมศิลปินท้องถิ่น การตกแต่งสถานที่และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ได้แก่ 1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ“หุ่นกระติบ งึดอีหลียลวิถี ของดีอีสาน”วันที่ 23 - 27 ธันวาคม2565ณบริเวณพระบรมธาตุนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม2. ภาคเหนือ“อารยธรรมแห่งสายน้ำ วัฒนธรรมจีนไทย สานสายใยชาติพันธุ์”วันที่ 16 - 20 มกราคม 2566 ณ บริเวณหาดทรายต้นน้ำเจ้าพระยา และอาคารพาสาน อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ 3. ภาคกลางและภาคตะวันออก“ดนตรีสานศิลป์ สองถิ่นวัฒนธรรม”วันที่ 9 - 13 มิถุนายน 2566 ณ บริเวณวัดป่าเลไลยก์วรวิหารอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และ 4. ภาคใต้“สานศิลป์ แดนดินใต้ เทิดไท้องค์ราชัน”วันที่ 26 - 30กรกฎาคม 2566 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ วธ. ให้ความสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ตลอดจนหน่วยงานในสังกัดของวธ.ไม่ว่าจะเป็นกรมศิลปากรที่ดูในเรื่องกิจกรรมเสวนาวิชาการและกิจกรรมสังคีตสัญจร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดูเรื่องการจัดตลาดวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ดูการจัดบูทแสดงงานศิลปะ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ดูการจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรม ในวันเปิดงานและการแสดงโขน รวมถึงสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดของจังหวัดเจ้าภาพให้มีการประสานงานและการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ร่วมกันจัดงานให้เกิดการยกระดับเทศกาลประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62757
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำข้าราชการวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน พร้อมเชิญชวนประชาชนหลอมรวมพลังความสามัคคี มีน้ำใจ เสียสละ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ปลัด มท. นำข้าราชการวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน พร้อมเชิญชวนประชาชนหลอมรวมพลังความสามัคคี มีน้ำใจ เสียสละ ปลัด มท. นำข้าราชการวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน พร้อมเชิญชวนประชาชนหลอมรวมพลังความสามัคคี มีน้ำใจ เสียสละเพื่อส่วนรวม ช่วยกันทำความดีเป็นปฏิบัติบูชา เพื่อความผาสุกของสังคมไทย วันนี้ (28 ธ.ค. 65) เวลา 08.00 น. ที่พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย วางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วยผู้บริหาร และข้าราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการพัฒนาชุมชน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมในพิธี ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราช สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แผ่นดิน ด้วยการรวบรวบอาสาสมัคร กำลังพล เสริมสร้างพลังกาย พลังใจ ด้วยพระสติปัญญา พระวิริยอุตสาหะ หล่อหลอมความสามัคคีของคนในชาติ กระทั่งทำให้ชาติของเรามีเอกราชเป็นเอกรัฐตราบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อแผ่นดินไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในการสงครามต่อต้านอริราชศัตรู และทรงเป็นแบบอย่างให้กับพวกเราชาวไทยในทุกยุคทุกสมัย ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ร่วมกันทำความดี เพื่อเป็นปฏิบัติบูชา และเป็นการเสริมสร้างคุณค่าที่สำคัญยิ่งสำหรับชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีน้ำใจที่เสียสละต่อส่วนรวม ซึ่งจะนำมาซึ่งความรัก ความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ ช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาดให้กลายเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อแผ่นดินไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธ.ค. ของทุกปี เป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน" และถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" เพื่อยกย่องพระองค์เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ กอบกู้เอกราชของชาติไทย และสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ ประดับเหนืออัศวราชพาหนะ (ม้า) พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ ประดิษฐานบนแท่งคอนกรีตเสริมเหล็ก ณ บริเวณวงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี ออกแบบปั้นโดยศาตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และในวันนี้ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด เป็นผู้นำข้าราชการตุลาการ ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน นักเรียน นักศึกษา และพ่อค้า ประชาชน ร่วมวางพานพุ่มดอกไม้สด ถวายราชสักการะต่อพระบรมราชานุสาวรีย์ หรือพระรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในวันคล้ายวันปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ ณ สถานที่ที่จังหวัดกำหนด และร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา เนื่องในวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อันเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชของชาติไทย" นายสุทธิพงษ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จัดให้ 6 กิจกรรมพัฒนาเอสเอ็มอีไทย รับศักราชใหม่ เติมความรู้เข้าถึงแหล่งทุน ยกระดับธุรกิจเติบโตยั่งยืน ตลอดเดือน ม.ค.66
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 SME D Bank จัดให้ 6 กิจกรรมพัฒนาเอสเอ็มอีไทย รับศักราชใหม่ เติมความรู้เข้าถึงแหล่งทุน ยกระดับธุรกิจเติบโตยั่งยืน ตลอดเดือน ม.ค.66 SME D Bank เดินหน้าภารกิจธนาคารเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทย จัดโปรแกรมพัฒนา รับเปิดศักราชใหม่ ตลอดเดือนมกราคม 2566 สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เข้าถึงแหล่งทุน เสริมสภาพคล่อง ยกระดับธุรกิจ ขยายตลาด เพิ่มยอดขาย ขับเคลื่อนกิจการสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เดินหน้าภารกิจธนาคารเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทย จัดโปรแกรมพัฒนา รับเปิดศักราชใหม่ ตลอดเดือนมกราคม 2566 สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เข้าถึงแหล่งทุน เสริมสภาพคล่อง ยกระดับธุรกิจ ขยายตลาด เพิ่มยอดขาย ขับเคลื่อนกิจการสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ของขวัญปีใหม่ “3 แพคเกจส่งสุขจากใจ” รับสิทธิได้ตลอดเดือน ม.ค.66 ตามเงื่อนไขธนาคาร ได้แก่ ผ่อนดี มีรางวัล รับบัตรกำนัลมูลค่า 300 บาท, เติมทุน รับฟรีบัตรเติมน้ำมัน มูลค่าสูงสุด 5,000 บาท และช้อปปิ้งของดี มีโปรโมชั่นจากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วไทย กว่า 300 ราย ผ่าน E-book ที่เว็บไซต์ www.smebank.co.th 2. “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 4 ภาคตะวันออก วันที่ 20-22 ม.ค.66 ณ บูธของ SME D Bank ศาลาประชาคมเทศบาลเมืองบ้านสวน จ.ชลบุรี 3. “เติมทุนหนุน SMEs พัฒนาอย่างยั่งยืน” Speed Up To The Next งานสัมมนาสร้างความเข้มแข็ง SMEs ไทย วันที่ 25 ม.ค. 66 เวลา 09.00-15.30 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคาร SME Bank Tower 4. “SME D Success (ปั้นดาว)” กิจกรรม Work shop นำสินค้าเข้าสมัครรับการคัดเลือกกับฝ่ายจัดซื้อ CP ALL โดยความร่วมมือระหว่าง SME D Bank กับ บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CP ALL วันที่ 27 ม.ค.66 13.30 -16.30 น. ณ Co-Working Space ชั้น1 อาคาร SME D Bank Tower 5. “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 5 ภาคใต้ วันที่ 27-29 ม.ค.66 ณ บูธของ SME D Bank หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา 6. “E-learning SME D Academy” หลักสูตรเติมความรู้ครบวงจร เรียนรู้ได้เองตลอด 24 ชม. ที่เว็บไซต์ wdev.smebank.co.th ทั้งนี้ ทุกกิจกรรมเข้าร่วมได้ฟรี รวมถึง SME D Bank พร้อมให้บริการที่ปรึกษาธุรกิจในโครงการ SME D Coach แนะนำทั้งความรู้ยกระดับธุรกิจครบวงจรและเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งทุน สมัครเข้าร่วมกิจกรรม หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ โทร.02-265-3775, 02-265-4100 หรือ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานด้านระบบราง และการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2023 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุม “คณะกรรมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง” ครั้งที่ 4/2565 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในระบบขนส่งทางรางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือการแก้ไขและการป้องกันปัญหาในระบบขนส่งทางรางในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1.การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงลานจอดรถ ป้ายจอดรถโดยสารประจำทาง และจุดจอดแล้วจร สถานีตลิ่งชันที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านความสะดวกและความปลอดภัยการเข้าถึงสถานี ด้านปัญหาป้ายบอกทาง/ป้ายจราจรที่ไม่ชัดเจนและสอดคล้องกับพื้นที่ และประเด็นปัญหาการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานี โดยมีสิ่งที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ การปรับปรุงรูปแบบทางเดินรถภายในสถานีเป็นทางเดียว การติดตั้งแบริเออร์คอนกรีตเพื่อปิดกั้นทางเข้าลานจอดรถด้านทิศตะวันออกบริเวณทางแยกตัววาย (Y) ใต้สะพากลับรถ การปรับปรุงทางเท้าของถนนเลียบทางรถไฟ การปรับลดความชันของคันชะลอความเร็วบริเวณทางเบี่ยงจากถนนเลียบทางรถไฟฝั่งขาออก และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนปรับปรุงระยะเร่งด่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น การปรับปรุงพื้นที่จอดรถด้านทิศตะวันออกที่ติดกับอาคารผู้โดยสารเพื่อเป็นพื้นที่จอดแล้วจร จุดจอดรถแท็กซี่ และพื้นที่จอดรถสำหรับคนพิการ พร้อมติดตั้งหลังคาคลุมทางเดินเชื่อมเข้าสู่อาคารสถานี การติดตั้งและปรับปรุงป้ายและสัญลักษณ์จราจรภายในสถานีให้สอดคล้องกับรูปแบบการเดินรถ และการจัดทำทางลาดสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุบริเวณอุโมงค์ทางเชื่อมเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มกราคม 2566 2. สถิติเหตุขัดข้องรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและแนวทางแก้ไข ประจำเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2565ที่ประชุมฯ รับทราบรายงานสถิติเหตุขัดข้องของรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและแนวทางการแก้ไขปัญหาประจำเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2565 ซึ่งในเดือนตุลาคมเกิดเหตุขัดข้องทั้งหมด 7 ครั้ง ลดลงจากเดือนกันยายน 13 ครั้ง สาเหตุเกิดจากระบบอาณัติสัญญาณ 3 ครั้ง ระบบขับเคลื่อน 2 ครั้ง ระบบประตูรถและระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าอย่างละ 1 ครั้ง ในเดือนพฤศจิกายนเกิดเหตุขัดข้องทั้งหมด 3 ครั้ง สาเหตุเกิดจากระบบอาณัติสัญญาณ ระบบประตูรถ และจุดสับรางอย่างละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการขนส่งทางรางที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารืออย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ กำหนดแนวทางแก้ไข และติดตามผลการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขัดข้องซ้ำอีกต่อไป 3. ข้อร้องเรียนในสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook) เกี่ยวกับสภาพอากาศร้อนภายในตู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ประชุมฯ รับทราบรายงานการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน โดนพบว่าอากาศภายในตู้โดยสารมีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียส แต่จะรู้สึกร้อนขึ้นเมื่อมีผู้โดยสารภายในตู้โดยสารมากขึ้น อาทิ ช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาดังกล่าวต่อผู้ใช้บริการ จึงมอบหมายให้ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ดำเนินการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม ดังนี้ 1) ปรับความเร็วลมจ่ายเข้าห้องโดยสารให้มากขึ้น 2) ซ่อมบำรุงระบบทำความเย็นตามที่ผู้ผลิตกำหนดอย่างเคร่งครัด และ 3) ตรวจสอบสารทำความเย็นและความสมบูรณ์ของคอมเพรสเซอร์ และจัดทำแผนการซ่อมบำรุงระบบปรับอากาศให้ชัดเจนอย่างเร่งด่วน โดย ขร. จะได้ดำเนินการหาสาเหตุและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาร่วมกับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ต่อไป 4. การพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความหนาแน่นของผู้โดยสารภายในสถานีรถไฟฟ้าและบริเวณทางขึ้น - ลง ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการจัดการปริมาณผู้โดยสารและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเข้าใช้บริการระบบรถไฟฟ้า โดยเฉพาะรถไฟฟ้าในเมือง (Metro) และระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (Commuter) ที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ระหว่างคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 1 มกราคม 2566 ขร. ร่วมกับกับหน่วยงานผู้ให้บริการขนส่งทางรางได้แก่ BTSC รฟม. BEM และ Asia Era One ได้พิจารณากำหนดแนวทางการจัดการความหนาแน่นผู้โดยสารภายในสถานีและบริเวณทางขึ้น - ลง (Crowd Control) และมาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัยในช่วงเวลาดังกล่าว สรุปดังนี้ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน - ขยายเวลาให้บริการจาก 24.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 - จัดเตรียมขบวนรถให้บริการจำนวนสูงสุด 18 ขบวน และขบวนรถสำรองจำนวน 2 ขบวน กรณีมีปริมาณผู้รอใช้บริการภายในสถานีและทางขึ้น - ลง เพิ่มมากขึ้น - จัดพนักงานและข้อความสำหรับประกาศแจ้งเตือนและของความร่วมมือผู้โดยสารในสถานการณ์ต่าง ๆ - เพิ่มจุดจำหน่ายบัตรโดยสารและจัดเตรียมคูปองกรณีระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติขัดข้องหรือไม่เพียงพอต่อผู้ให้บริการ - จัดทำ Group Entry ที่ชั้นชานชาลา ชั้นออกบัตรโดยสาร และหน้าทางเข้า-ออกระดับถนน - จัดเตรียมแผนสำรองในกรณีฉุกเฉินและจัดการทบทวนและซักซ้อมแผนรองรับเหตุการณ์และตรวจสอบอุปกรณ์สถานี รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสยาม ชิดลม สะพานตากสินและสายสีทอง สถานีเจริญนคร - ขยายเวลาให้บริการจาก 24.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 และปรับเพิ่มความถี่การให้บริการขบวนรถมากขึ้นโดยให้สอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารที่เข้าใช้บริการ - เพิ่มจุดจำหน่ายบัตรโดยสารบริเวณชั้นจำหน่ายตั๋ว นอกเหนือจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณผู้มาใช้บริการ - ตรวจและติดตามปริมาณผู้ใช้บริการภายในสถานีอย่างต่อเนื่องผ่านกล้อง CCTV พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เดินตรวจตราปริมาณผู้รอใช้บริการบริเวณพื้นถนน เพื่อประสานข้อมูลกับศูนย์การเดินรถจัดการเดินรถที่เหมาะสมกับสถานการณ์ - เพิ่มจำนวนพนักงานให้บริการและดูแลความปลอดภัย ประจำจุดทางขึ้น - ลงสถานี บริเวณชั้นจำหน่ายตั๋ว และบริเวณชั้นชายชาลา - กำหนดมาตรการปิดกั้นบันไดเลื่อน และการปล่อยผู้ใช้บริการเข้าสถานีเป็นระยะ ๆ โดยจัดพนักงานอำนวยความสะดวกตามจุดต่าง ๆ - ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเดินทางและสถานการณ์ภายในสถานีให้ผู้ใช้บริการรับทราบและปฏิบัติตามคำแนะนำ ผ่านป้ายข้อความและประกาศแจ้งเตือน พร้อมทั้งประสานผู้จัดงานในพื้นที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการให้บริการในช่วงเวลาเดินทางกลับและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มอบหมายให้ ขร. และหน่วยงานผู้ให้บริการระบบขนส่งทางรางที่เกี่ยวข้องติดตามการดำเนินงานตามแผนการดังกล่าว และเพิ่มเติมแนวทางการจัดการปริมาณผู้รอใช้บริการบริเวณจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีอโศก (E4) และสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสุขุมวิท (BL22) เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งทางราง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเผยหลักเกณฑ์บริจาคให้สถานศึกษาผ่าน e -Donation หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2567
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 สรรพากรเผยหลักเกณฑ์บริจาคให้สถานศึกษาผ่าน e -Donation หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา ผ่านระบบ e – Donation ให้ได้รับสิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เพื่อให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการจัดการศึกษาของประเทศอย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา ผ่านระบบ e – Donation ให้ได้รับสิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เพื่อให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการจัดการศึกษาของประเทศอย่างต่อเนื่องรวมถึงอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคในการลดภาระการจัดเก็บเอกสาร นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) โดยมีหลักการสรุปได้ดังนี้ 1. ให้ยกเลิกพระราชกฤษฏีกาฯ (ฉบับที่ 420) พ.ศ.2547 และ พระราชกฤษฏีกาฯ (ฉบับที่ 655) พ.ศ.2561 ตั้งแต่วันถัดจากวันที่พระราชกฤษฏีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. ให้ผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษาดังต่อไปนี้ได้รับสิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายได้ 2 เท่า สำหรับการบริจาคผ่านระบบ e-Donation ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 (1) สถานศึกษาของรัฐ (2) โรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ (3) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน (4) สถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ (5) สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้สถานศึกษาสามารถพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น อันเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้แก่ประชาชน” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ย้ำประชาชน “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ป้องกันอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 “อนุทิน” ย้ำประชาชน “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ป้องกันอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย เทศกาลปีใหม่มีผู้เดินทางเพิ่มขึ้น ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง ใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาท ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ร่วมกับการพักผ่อนให้เพียงพอ คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย เทศกาลปีใหม่มีผู้เดินทางเพิ่มขึ้น ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง ใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาท ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ร่วมกับการพักผ่อนให้เพียงพอ คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนส่วนกระทรวงสาธารณสุขเตรียมพร้อมดูแลสุขภาพประชาชนเต็มที่ วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) ที่ สถานีขนส่งหมอชิต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ “ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุทางถนน” และให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและร่วมกิจกรรมต่างๆ ของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่จะมีประชาชนเดินทางจำนวนมาก โดยเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ คาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้รถ ใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลายและมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับเต็มที่ ทั้งบุคลากรการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงระบบการแพทย์การฉุกเฉิน โดยทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย กู้ชีพกู้ภัย “การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ต้องป้องกันที่ต้นเหตุ คือ ไม่ดื่มสุราและเครื่องดื่มมึนเมาในขณะขับขี่บนท้องถนนดังนั้น ขอให้ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน ไม่ประมาท หากเป็นผู้ขับขี่ยานพาหนะ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัยทั้งคู่และหากเดินทางด้วยรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย นอกจากนี้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ใช้ความเร็วรถตามที่กฎหมายกำหนด จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้” นายอนุทินกล่าว *********************************** 28 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567 - 2570)
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567 - 2570) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567 - 2570) เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ รวมทั้งแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนการบริหารหนี้สาธารณะ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567 - 2570) (แผนการคลังระยะปานกลางฯ) เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ รวมทั้งแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ตามความที่กำหนดไว้ในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงิน การคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ) ที่กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐมีหน้าที่จัดทำแผนการคลังระยะปานกลางให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ทั้งนี้ แผนการคลังระยะปานกลางฯ ได้กำหนดเป้าหมายการคลังเป็นการมุ่งเน้นการปรับลดขนาดการขาดดุลเพื่อมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยปรับลดขนาดการขาดดุลให้เหลือไม่เกินร้อยละ 3.0 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567 และจะปรับลดขนาดการขาดดุลลงอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง โดยการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลางจะยึดหลัก “Sound Strong Sustained” ดังนี้ การดำเนินนโยบายการคลังที่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเป็นไปตามหลักการดำเนินนโยบายการคลังแบบต่อต้านวัฏจักรเศรษฐกิจ หรือ Counter-cyclical Fiscal policy โดยในภาวะที่เศรษฐกิจสามารถเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดังเช่นในปัจจุบัน รัฐบาลก็จะลดบทบาทของ การดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ลง โดยมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายการคลังแบบเจาะจงเป้าหมาย (Targeted Fiscal Policy) ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับประชาชนในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อกลับมาเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการคลังในทุก ๆ ด้าน ทั้งในส่วนของการฟื้นฟูการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ ทางการคลังหรือ Fiscal Space ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรองรับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยคำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลัง (Fiscal Discipline) ด้วยการรักษาระดับเครื่องชี้ทางการคลังต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมด้วย มุ่งสู่ภาคการคลังที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการรองรับความเสี่ยงที่ประเทศอาจต้องเผชิญอีกในอนาคตได้ และเข้าสู่การคลังสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ในระยะยาวหากภาวะเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ภาครัฐสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้งทางด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะได้ เป้าหมายการคลังในระยะยาวจะกำหนดให้รัฐบาลมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ปลื้มชม "น้องเอ็นโซ่" เก่งใจถึง เป็นนักสู้หลังคว้าแชมป์โลกโกคาร์ท (FIA Karting World Championship 2022)
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ปลื้มชม "น้องเอ็นโซ่" เก่งใจถึง เป็นนักสู้หลังคว้าแชมป์โลกโกคาร์ท (FIA Karting World Championship 2022) รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ปลื้มชม "น้องเอ็นโซ่" เก่งใจถึง เป็นนักสู้หลังคว้าแชมป์โลกโกคาร์ท (FIA Karting World Championship 2022) วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้การต้อนรับ ด.ช. เอ็นโซ่ ธารวกุล แชมป์โลกการแข่งขันโกคาร์ท รายการเอฟไอเอ คาร์ทติ้ง ชิงแชมป์โลก 2022 ( FIA Karting World Championship 2022 ) ณ สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย โดย พล.อ.ประวิตรฯ ชื่นชม น้องเอ็นโซ่ ที่อดทนและมีความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม และยังย้ำว่าใจสู้และใจถึง มีไหวพริบปฏิภาณ จึงสามารถคว้าแชมป์การแข่งขันโกคาร์ท สร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงเป็นนักแข่งไทยคนแรกไทยคนแรก ถือเป็นความภาคภูมิใจคนไทยทั้งประเทศ พร้อมขอให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 นายกรัฐมนตรีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นายกรัฐมนตรีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) เวลา 17.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม วางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นายกรัฐมนตรีถวายความเคารพ แล้ววางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จำนวน 2 พาน ในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จากนั้น นายกรัฐมนตรีถวายความเคารพ เสร็จพิธี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ เล็งออกแบบสร้างศูนย์กีฬาทางน้ำครบวงจร ปรับโครงสร้าง กกท. คกก.
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ​รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ เล็งออกแบบสร้างศูนย์กีฬาทางน้ำครบวงจร ปรับโครงสร้าง กกท. คกก. เพิ่มจัดตั้งสถาบันมวยไทยแห่งชาติ วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุม คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผ่านระบบ TVC โดยที่ประชุมรับทราบ การใช้จ่ายงบประมาณ งบลงทุนและเงินสำรอง กกท. ปีงบประมาณ 66 รายงานการควบคุมและการตรวจสอบภายใน ต่อจากนั้น ได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้างการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญในการปรับระดับงาน กกท. ส่วนภูมิภาค เพิ่มจัดตั้งสถาบันมวยไทยแห่งชาติ และเพิ่มเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพ รวมทั้งเห็นชอบโครงการออกแบบและก่อสร้างศูนย์กีฬาทางน้ำครบวงจร รองรับการบริการประชาชนและการจัดการแข่งขันว่ายน้ำระดับนานาชาติ โดย พล.อ.ประวิตรฯ ย้ำ การใช้จ่ายงบประมาณ ขอให้เป็นไปตามแผนงาน โดยให้มีการตรวจสอบและควบคุมภายในให้ถูกต้องและโปร่งใส พร้อมทั้งให้ความสำคัญขับเคลื่อนงานตามโครงสร้างใหม่ให้มีประสิทธิภาพโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์มากขึ้น สำหรับการออกแบบและก่อสร้างศูนย์กีฬาทางน้ำ ขอให้ประสานการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง และดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยัน ไม่เคยตั้งที่ปรึกษา เข้าชุด "พาลีปราบยา" เพื่อเรียกผลประโยชน์ มอง อาจเป็นเรื่องการเมือง ดิสเครดิตผลงาน ชี้ รางวัลนำจับ 25%
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยัน ไม่เคยตั้งที่ปรึกษา เข้าชุด "พาลีปราบยา" เพื่อเรียกผลประโยชน์ มอง อาจเป็นเรื่องการเมือง ดิสเครดิตผลงาน ชี้ รางวัลนำจับ 25% รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยัน ไม่เคยตั้งที่ปรึกษา เข้าชุด "พาลีปราบยา" เพื่อเรียกผลประโยชน์ มอง อาจเป็นเรื่องการเมือง ดิสเครดิตผลงาน ชี้ รางวัลนำจับ 25% มากกว่าข่าวปล่อยรีดเงิน 250 ล้านหลายเท่า วันที่ 28 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม มีการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมประจำสัปดาห์ โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรมผู้บริหาร อธิบดีกรมต่างๆและข้าราชการ ร่วมการประชุม นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานจาก นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ถวายฎีการ้องขอความเป็นธรรม โดยประเด็นแรก เป็นการร้องเรียนการสอบคัดเลือกเลื่อนระดับชั้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรณีการสอบนั้น ทางดีเอสไอได้กำหนดหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย โดยมี คณะกรรมการ กพ. และผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ โดยจะมีการทดสอบ 3 ส่วน คือ 1. สอบข้อเขียน 2. ผลงานและประวัติการรับราชการ และ 3. การสอบสัมภาษณ์ ซึ่งผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนในแต่ละส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ร้องไม่ผ่านการสอบข้อเขียนได้คะแนนไม่ถึง 60% ส่วนกรณีที่กล่าวอ้างว่ามีข้อสอบรั่วนั้น ดีเอสไอไม่ได้ออกข้อสอบและจัดสอบเอง แต่ให้ทางมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดแล้วส่งคะแนนมาให้ โดยผู้ร้องร้องทั้งกระบวนการว่าทุกอย่างไม่ชอบ โดยไม่มีเหตุผลประกอบ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตรงนี้ทางดีเอสไอ ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้ออกข้อสอบ เพราะมีการรักษาความลับ ซึ่งข้อสอบที่ออกมาก็ไม่ได้ง่าย จากรายงานทราบว่าคนมากกว่าครึ่งก็สอบไม่ผ่าน และยังมีสายงานว่างอยู่ถึง 20 ตำแหน่งที่จะต้องสอบใหม่ ซึ่งตรงนี้ตนได้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาว่ามีข้อสอบรั่วจริงหรือไม่ และรั่วที่ตรงจุดไหนอย่างไร ส่วนอีกกรณี คือ ข้อร้องเรียนที่ว่ามีการนำซากลิฟท์เก่าไปขายร้านของเก่า เรื่องนี้ทราบว่า ทางกองยานพาหนะ ได้ทำหนังสือไปขออนุญาต เลขานุการกรม เพื่อนำแผ่นเหล็กและอลูมิเนียมจากลิฟท์เก่า ไปทำโต๊ะ เพื่อวางอุปกรณ์ หลังจากที่ทำเรื่องเบิกพัสดุ แต่ยังรอจัดซื้อ โดยโต๊ะที่ทำมี 5 ตัว ซึ่งอลูมิเนียม 1 แผ่น จากลิฟท์ ยาว 2 เมตร ราคา 200-400 บาท โดยทางกรมได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบเรียบร้อยแล้วทั้งเจ้าหน้าที่ และเจ้าของร้านของเก่า พบว่าทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ฝ่ายยานยนต์นำไปใช้งานเป็นประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้นำไปขายร้านของเก่าแต่อย่างใด เพียงแต่นำไปให้ร้านประกอบเป็นโต๊ะ "ประเด็นเรื่องพาลีปราบยา ตนไม่เคยตั้งใครเป็นที่ปรึกษา หรือตั้งคนนอกเข้าไป มีเพียง ป.ป.ส. ดีเอสไอ และ บช.ปส. ที่ร่วมเป็นกรรมการ บูรณาการร่วมกัน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ การทำงานก็มีรางวัล 25% ของทรัพย์ที่ยึดได้ ซึ่งขณะนี้ยึดได้กว่า 3,000 ล้าน จะได้รางวัลถึง 750 ล้านบาท มากกว่าเงิน 250 ล้าน ตามที่เป็นข่าวเสียอีก โดยขณะนี้ยังไม่มีการปลดอายัดใดๆ และไม่ได้รับการติดต่อจากใครทั้งสิ้น ทั้งตัวเองและคนใกล้ชิด ทำให้ผมมั่นใจว่าจะไม่มีใครไปเรียกรับประโยชน์ ซึ่งการกล่าวหาตรงนี้ อาจจะเป็นเรื่องของการเมือง เพราะที่ผ่านมาเราทำผลงานในการป้องกันและปราบปรามได้เป็นอย่างดี เรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนในชาติ และนายกรัฐมนตรีเองก็ให้มีการรายงานทุก 15 วันในเรื่องคดีตู้ห่าว ซึ่งการกล่าวหานี้ ผมได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูในข้อกฎหมายเรื่องการฟ้องร้อง ส่วนของ เลขา รมว. แจ้งว่า ได้ดำเนินคดีแล้ว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และให้ดีเอสไอ ใช้เครื่องมือพิเศษสืบต้นตอการปล่อยข่าวออกมา เราต้องดำเนินการให้เด็ดขาด อย่าให้ใครมาใส่ร้ายป้ายสี" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด พร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 บริษัท ขนส่ง จำกัด พร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เตรียมจัดรถโดยสารรองรับกว่า 3,000 เที่ยว มั่นใจรถเพียงพอ แนะนำประชาชนเผื่อเวลาเดินทางและเช็กข้อมูลในตั๋วก่อนออกเดินทาง นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ บขส. คาดการณ์ว่า จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวด้วยรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้นจากเทศกาลปีใหม่ 2565 ประมาณ 5% โดยในเที่ยวไป ระหว่างวันที่ 28 - 29 ธันวาคม 2565 คาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้บริการประมาณวันละ 50,000 - 55,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถบขส. รถร่วม และรถตู้) ประมาณวันละ 3,500 เที่ยว สำหรับเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 2 - 3 มกราคม 2566 คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณวันละ 53,000 คน ใช้รถโดยสารประมาณ 3,300 เที่ยว สำหรับยอดจองตั๋วล่วงหน้าในการเดินทางวันที่ 28 - 29 ธันวาคม 2565 ของ บขส. ขณะนี้เต็มทุกที่นั่งแล้ว หากประชาชนที่ประสงค์จะใช้บริการรถโดยสารของ บขส. สามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร บรมราชชนนี และเอกมัย) และสถานีเดินรถรังสิต โดย บขส. ได้จัดรถโดยสารไม่ประจำทางมาเสริมเที่ยววิ่งประมาณ 600 คัน เพื่อสนับสนุนการเดินทางของประชาชนในเส้นทางต่าง ๆ มั่นใจมีรถโดยสารเพียงพอต่อการเดินทางของประชาชนอย่างแน่นอน ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ บขส. ขอให้ผู้ใช้บริการเผื่อเวลาเดินทางมาขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่ง ก่อนเวลารถออกอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง และขอให้ซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่ายตั๋วเท่านั้น เพื่อป้องกันการหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพ รวมทั้งให้ตรวจสอบรายละเอียดในตั๋วโดยสาร เช่น เส้นทาง เที่ยวเวลา จุดขึ้นรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง และขอความร่วมมือผู้โดยสาร สแกนกระเป๋าสัมภาระ ตรวจวัดอุณหภูมิบริเวณทางเข้าสถานี สวมหน้ากากอนามัย เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เดินทางของประชาชน ณ สถานีขนส่งฯ เมื่อวันที่ 26 - 27 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีประชาชนทยอยเดินทางออกจากกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยในเที่ยวไปมีผู้ใช้บริการกว่า 40,000 คนต่อวัน ใช้รถโดยสาร (รถบขส. รถร่วม และรถตู้) ประมาณ 3,000 เที่ยวต่อวัน ในส่วนของมาตรการความปลอดภัยแลอำนวยความสะดวกประชาชน บขส. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กองบังคับการตำรวจจราจร สน.บางซื่อ สน.ตลิ่งชัน และ สน.ทองหล่อ เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมอำนวยความสะดวกด้านการจราจรรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ทั้ง 5 แห่ง และได้รับความร่วมมือจากสำนักงาน ป.ป.ส. และกรมการขนส่งทางบกในการตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์พร้อมสารเสพติดของพนักงานขับรถ รวมถึงมูลนิธิเมาไม่ขับในการจัดกิจกรรมรณรงค์ “ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุทางถนน” นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เน้นย้ำให้ บขส. และรถร่วมบริการ ต้องเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง ทั้งรถโดยสารและพนักงานขับรถ โดยตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีประกันภัยทุกที่นั่ง พนักงานขับรถต้องปลอดแอลกอฮอล์และสารเสพติด โดยใช้มาตรการ 4 พร้อม คือ สถานีพร้อม พนักงานพร้อม รถโดยสารพร้อม และการบริการพร้อม ในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร รวมทั้งได้จัดเตรียมห้องปฐมพยาบาล First Aid Room บริเวณชั้น 1 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เพื่อรองรับผู้ป่วยฉุกเฉิน และจัดรถวีลแชร์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลในการเดินทาง และแจ้งปัญหาในการเดินทางได้ที่จุดรับเรื่องร้องเรียน บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 และชั้น 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ซึ่งจะเปิดให้บริการในวันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของ โครงสร้างทางยกระดับกลับรถ บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดถนนเพชรเกษ มและสะพานทางยกระดับถนนราชพฤกษ์ตัดวุฒากาศ เสร็จสมบูรณ์
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 กรมทางหลวงชนบท เพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของ โครงสร้างทางยกระดับกลับรถ บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดถนนเพชรเกษ มและสะพานทางยกระดับถนนราชพฤกษ์ตัดวุฒากาศ เสร็จสมบูรณ์ เพื่อความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการซ่อมแซมโครงสร้างทางยกระดับกลับรถบริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดถนนเพชรเกษม และซ่อมแซมอุปกรณ์รองรับการเคลื่อนตัว (Mechanical Pot Bearing) สะพานทางยกระดับถนนราชพฤกษ์ตัดวุฒากาศ กรุงเทพมหานคร แล้วเสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากโครงสร้างทางยกระดับกลับรถบริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดถนนเพชรเกษมและสะพานทางยกระดับถนนราชพฤกษ์ตัดวุฒากาศ ที่เป็นสะพานทางยกระดับในสายทางของถนนราชพฤกษ์ มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ส่งผลให้อุปกรณ์และชิ้นส่วนโครงสร้างบางส่วน มีการเสื่อมสภาพและชำรุด อาจจะส่งผลต่อการเดินทางของผู้ใช้เส้นทางในอนาคต ทช. จึงได้ดำเนินการซ่อมแซมด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์รองรับการเคลื่อนตัว (Mechanical Pot Bearing) ของสะพาน การเปลี่ยนชุดอุปกรณ์รอยต่อเพื่อการขยายตัว (Expansion Joint) การซ่อมรอยแตกร้าวบริเวณตอม่อสะพาน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ทางยกระดับกลับรถบริเวณถนนราชพฤกษ์ ตัดถนนเพชรเกษมและสะพานทางยกระดับถนนราชพฤกษ์ตัดวุฒากาศให้มีความมั่นคงแข็งแรง และสามารถยืดอายุของสะพานให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัย เป็นไปตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ กอช. และ สอท. หนุนการออม สร้างหลักประกันด้านบำนาญ ให้คนพิการก่อนวัยเกษียณ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 พม. จับมือ กอช. และ สอท. หนุนการออม สร้างหลักประกันด้านบำนาญ ให้คนพิการก่อนวัยเกษียณ พม. จับมือ กอช. และ สอท. หนุนการออม สร้างหลักประกันด้านบำนาญ ให้คนพิการก่อนวัยเกษียณ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) (สอท.) ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) (สอท.) โดย 7 สมาคมคนพิการ โดยมี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ กอช. และ นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายก สอท. กล่าวถึงแนวทางความร่วมมือ ทั้งนี้ นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวง พม. นางสาวสนธยา บุณยภูษิต รองอธิบดี พก. ผู้บริหาร กอช. และ สอท. เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติสำหรับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงในการดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง สำหรับกลุ่มคนพิการ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้มุ่งเน้นการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตในทุกมิติ โดยเฉพาะในช่วงวัยเกษียณ ด้วยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกด้านสำหรับกลุ่มคนพิการ วันนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออมกับ กอช. และ สอท. เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างหลักประกันด้านบำนาญ อันเป็นการขับเคลื่อนสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนพิการให้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และยั่งยืน โดย สอท. และ กอช. ตกลงดำเนินงานภายใต้ขอบเขตความร่วมมือสำคัญ ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ทางการเงินและการออมเงินไว้ใช้ในวัยชรา กิจกรรมอบรมด้านการวางแผนทางการเงินและสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กอช. การประชาสัมพันธ์ และการได้มีสิทธิสวัสดิการเรื่องบำเหน็จบำนาญ โดยการเป็นสมาชิก กอช. เป็นต้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้นับเป็นวันที่ก้าวหน้าสำหรับการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม. โดย พก. กอช. และ สอท. โดย 7 สมาคมคนพิการ และการสร้างความมั่นคงให้กับสมาชิกสมาคมคนพิการ นอกจากนี้ ยังเป็นการให้เงินทำงานแทน เพราะว่าการออมนั้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลสนับสนุน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเกษียณในวันข้างหน้า หากสมาชิกสมาคมคนพิการไม่มีการออม รัฐบาลจะหาเงินมาสนับสนุนสมทบได้ยาก ซึ่งได้มีการออมเงินกับ กอช. และฝึกอาชีพให้กับคนพิการด้วย ดังนั้น การออมจะไม่ได้ออมเงินแค่เดือนละ 50 บาท แต่สามารถออมเงินได้มากกว่านั้น และเมื่ออายุมากขึ้นจะไม่ตื่นตัวในเรื่องเงินเมื่อถึงวัยเกษียณ นับเป็นการช่วยเหลือตัวเองและรัฐบาล ซึ่งจะทำให้สังคมมีความเข้มแข็ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2)
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากแนวทางเดิมของโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากแนวทางเดิมของโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท โดยได้เพิ่มเติมขอบเขตวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายการสนับสนุนสินเชื่อ โดยมีรายละเอียดโครงการ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับ เปลี่ยน พัฒนา การใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมในห่วงโซ่การผลิต หรือดำเนินการตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model) ภายใต้แนวทางเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต 2. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกร บุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร รวมถึงลูกค้า Smart Farmer ชุมชนที่อยู่ระหว่างกระบวนการพัฒนาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกลุ่มผู้ใช้น้ำที่พัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิตตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 3. ระยะเวลาดำเนินโครงการ ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอรับการสนับสนุนสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 4. หลักเกณฑ์และเงื่อนไข ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรกนับแต่วันกู้ โดยรัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไปคิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดว่า การดำเนินโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) ดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากตลอดจนธุรกิจตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตร และส่งเสริมให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ ภายในชุมชน อย่างเกื้อกูล แบ่งปัน เป็นธรรม อันจะช่วยยกระดับรายได้เศรษฐกิจและชุมชนได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ตั้งแต่วันที่โครงการเริ่มมีดอกเบี้ยรับ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 กรมสรรพากรยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ตั้งแต่วันที่โครงการเริ่มมีดอกเบี้ยรับ ครม. เห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อช่วยเหลือ SMEs รายย่อย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อช่วยเหลือ SMEs รายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่อง และกลุ่มที่เป็น NPL แต่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการกู้ยืมเงินผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนการดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 1 ฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าว จึงกำหนดให้กิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เฉพาะรายรับจากการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่โครงการเริ่มมีดอกเบี้ยรับ เป็นต้นไป ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับจากการให้กู้ยืมจะนำเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จะนำไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ตามความจำเป็นต่อไป” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “มาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน การดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ช่วยบรรเทาภาระภาษี จากการดำเนินโครงการฯ และยังเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ที่เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีทางอ้อมซึ่งผู้ประกอบกิจการที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ สามารถผลักภาระได้ อีกทั้งจะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตลอดจนเสริมสร้างสภาพคล่องในการลงทุน ปรับปรุง และขยายกิจการต่อไป” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Additional 200-Baht subsidy approved as New Year gift for state welfare card holders
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 Additional 200-Baht subsidy approved as New Year gift for state welfare card holders Additional 200-Baht subsidy approved as New Year gift for state welfare card holders December 27, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that the cabinet, in its meeting today, approved a 1-month subsidy for state welfare card holders as the Government’s New Year present. The cabinet has made approval to an allocation of 2.644 billion Baht from the Government’s contingency fund for emergency (FY2023) to mitigate financial burden of 13.2 million state welfare card holders through the additional subsidy of 200 Baht/person for 1 month (January 2023). With the additional subsidy, 3.54 million state welfare card holders, who have been supported with 200 Baht/person/month subsidy will receive the total of 400 Baht/person/month, and another 9.68 million, who have been supported with 300 Baht/person/month subsidy will receive the total of 500 Baht/person/month in January 2023. According to the Government Spokesperson, the reason behind this approval is to boost purchasing power of low-income earners. Although the COVID-19 situation has eased, global economic situation remains unstable. With the high inflation rate and continued gasoline price hike, the country’s consumer prices have increased, which directly impact state welfare card holders who are vulnerable to poverty.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด EEC เดินหน้า 4 โครงสร้างพื้นฐานหลัก อนุมัติเงินลงทุนเกินเป้าหมาย คู่การพัฒนาพื้นที่ครบมิติ ตรงถึงชุมชนคนพื้นที่ นายกฯ พอใจผลการดำเนินงานโครงการ EEC มีความก้าวหน้า
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 บอร์ด EEC เดินหน้า 4 โครงสร้างพื้นฐานหลัก อนุมัติเงินลงทุนเกินเป้าหมาย คู่การพัฒนาพื้นที่ครบมิติ ตรงถึงชุมชนคนพื้นที่ นายกฯ พอใจผลการดำเนินงานโครงการ EEC มีความก้าวหน้า บอร์ด EEC เดินหน้า 4 โครงสร้างพื้นฐานหลัก อนุมัติเงินลงทุนเกินเป้าหมาย คู่การพัฒนาพื้นที่ครบมิติ ตรงถึงชุมชนคนพื้นที่ นายกฯ พอใจผลการดำเนินงานโครงการ EEC มีความก้าวหน้า ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมทุกมิติ เพื่อสร้างรายได้พัฒนาปร นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (28 ธ.ค.65) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2565 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินขับเคลื่อนโครงการ EEC ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับการพัฒนาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ อาชีพให้กับประชาชน และพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งขณะนี้การดำเนินการต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลำดับ แม้บางส่วนยังมีอุปสรรคปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่ยังมีอยู่ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลสำเร็จในทุกมิติตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการ กพอ. ทุกคน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันดำเนินงานต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลำดับและเกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งทุกอย่างที่ทุกคนช่วยกันทำวันนี้ก็เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตให้กับประเทศและลูกหลานของเรา พร้อมอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ขอให้ทุกคนและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขตลอดไปและมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป ที่ประชุม กพอ. ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้ ที่ประชุม กพอ. พิจารณาเห็นชอบหลักการโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ที่มีกระทรวงสาธารณสุข และ สกพอ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกันดำเนินการ ในรูปแบบการลงทุนรัฐร่วมเอกชน (PPP) ประเภท Build Transfer Operate : BTO ที่เอกชนเป็นผู้ออกแบบ ลงทุน ก่อสร้างทรัพย์สินสำคัญและโอนกรรมสิทธิ์ให้รัฐทันทีหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งจะเป็นต้นแบบการลงทุนขยายโรงพยาบาลของรัฐโดยความร่วมมือจากเอกชน และจะช่วยแก้ข้อจำกัดด้านงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลปลวกแดง 2 จะเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก (M1) รองรับได้ 120 -200 เตียง โดยจะเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานเป็นโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม ประกอบด้วย อาคารผ่าตัด - อุบัติเหตุ อาคารผู้ป่วยใน และ/หรืออาคารอื่นๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มีบุคลากรและครุภัณฑ์การแพทย์ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข มีบริการพิเศษ (Premium Service) และระบบส่งต่อผู้ป่วยที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะรองรับผู้ประกันตน ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน ในอำเภอปลวกแดง โดยประชาชนที่อยู่อาศัย และทำงานในพื้นที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง จะได้รับบริการสาธารณสุขในระดับมาตรฐาน ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สะดวกปลอดภัย และเพื่อลดการเดินทางไปรักษาพยาบาลนอกพื้นที่ รวมทั้งที่ประชุม กพอ. ได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชน ฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ โดยแผนการดำเนินงานที่สำคัญต่อไป คาดว่าจะประกาศเชิญชวนการคัดเลือกเอกชน ได้ในช่วงต้นปี 2566 และคาดว่าจะสามารถประกาศผลการคัดเลือก พร้อมลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชน เพื่อยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งการออกแบบก่อสร้างโครงการต่างๆ จะแล้วเสร็จไม่เกิน 3 ปี และมีระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งหมด 50 ปี พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าภารกิจขับเคลื่อนโครงสร้้างพื้นฐานหลัก ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุุนรััฐ-เอกชน (PPP) ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ทาง รฟท. ได้ส่งมอบพื้นที่โครงการ (ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และพื้นที่มักกะสันและศรีราชาให้แก่เอกชนแล้ว โดยเอกชนเข้าดำเนินการเตรียมการก่อสร้าง และขณะนี้อยู่ระหว่างรอรับบัตรส่งเสริมการลงทุน จากบีโอไอ ซึ่งเมื่อได้รับจะทำให้เงื่อนไขบังคับก่อนตามสัญญาครบถ้วน และจะเริ่มการก่อสร้างได้ ทั้งนี้ในส่วนการบริหารงานการให้บริการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ปัจจุบันเอกชนได้เข้าดำเนินการตามมาตรฐานที่ดี ซึ่งตรงตาม KPI ที่ รฟท. กำหนด 2) โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก หลังจากเอกชนคู่สัญญา และกองทัพเรือ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการใช้สนามบินอู่ตะเภาร่วมกัน (Joint Use Agreement) และรายงาน EHIA ได้รับการอนุมัติจาก ครม. โดย สกพอ. ได้แจ้งให้เอกชนรับสิทธิตามสัญญาแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2565 การดำเนินงานต่อไป สกพอ. จะแจ้งให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2566 หลังจากเงื่อนไขบังคับก่อนตามสัญญาร่วมลงทุนครบถ้วน ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ และโครงการสนามบินอู่ตะเภาฯ จากสถานการณ์โควิด 19 และสงครามรัสเชีย-ยูเครน ปัจจุบันคู่สัญญาได้เจรจาหลักการแก้ไขปัญหา และได้นำเสนอต่อคณะทำงานสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทั้ง 2 โครงการ ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยพิจารณาให้ความเห็นด้านเทคนิค การเงินและกฎหมายแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างนำความเห็นไปปรับปรุง และจะนำเสนอให้ที่ประชุม กพอ. พิจารณาต่อไป 3) โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เริ่มงานออกแบบก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว โดยขณะนี้ ความก้าวหน้างานถมทะเลตามแผนงานร้อยละ 28.18 แต่สามารถดำเนินการได้จริงร้อยละ 31.57 เร็วกว่าแผนงานร้อยละ 3.39 ส่วนการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตาม EHIA ได้จัดตั้งมูลนิธิกองทุนฯ และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มประมงพื้นบ้าน 855 ราย รวมทั้งมีการสนับสนุนพัฒนาอาชีพให้ชุมชน และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง สำหรับท่าเรือมาบตาพุด ช่วงที่ 1 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 4) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เริ่มต้นการก่อสร้างงานทางทะเล โดยพื้นที่ถมทะเลช่วงที่ 1 ดำเนินการแล้วเสร็จ ส่วนการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตาม EHIA ได้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาแก่กลุ่มประมงเรือเล็กและกลุ่มผู้เลี้ยงหอยตั้งแต่ปี 2564 การจัดทำ EHIA ของท่าเทียบเรือ F ได้ส่งให้ สผ. แล้ว กำหนดเปิดบริการท่าเทียบเรือ F ในปี 2569 โดย อีอีซี ได้ผลักดันทุกโครงการ ดำเนินการลงทุนได้ตามแผน และทำหน้าที่ประสานความร่วมมือหน่วยงานเจ้าของโครงการ และเอกชนคู่สัญญา ให้การก่อสร้างทุกโครงการสำเร็จ เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ที่ประชุม กพอ. ได้รับทราบความก้าวหน้าอีอีซี ในด้านอื่นที่สำคัญ ๆ อาทิ การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนระยะที่ 1 (2561 – 2565) เกิดการอนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.92 ล้านล้านบาท เกินเป้าหมาย 1.7 ล้านล้านบาท พื้นที่ อีอีซี ก้าวสู่ที่ตั้งฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า EV แห่งภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว BCG model ขับเคลื่อนระบบ Automation ในโรงงานและธุรกิจช่วยลดต้นทุนได้กว่า 30% อีกทั้ง บูรณาการลงทุนร่วมกับทุกภาคส่วน สร้างประโยชน์และพัฒนาตรงถึงประชาชนและชุมชนคนพื้นที่ อาทิ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ระบบ Demand Driven ผลิตคนตรงตามความต้องการ และเครือข่ายเพื่ออนาคต ระบบสาธารณสุข ทันสมัย สิ่งแวดล้อมยั่งยืน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ส่งสัญญาณให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งเบิกจ่ายส่งท้ายปี 2565 หวังกระตุ้นเศรษฐกิจต้อนรับปีใหม่
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 สคร. ส่งสัญญาณให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งเบิกจ่ายส่งท้ายปี 2565 หวังกระตุ้นเศรษฐกิจต้อนรับปีใหม่ การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ 90 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ 90 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม โดยสำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2565 ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 มีผลการเบิกจ่ายสะสม 294,690 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม นอกจากนี้ สคร. ได้ส่งสัญญาณกำชับให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี 2565 ให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป และสำหรับรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ ที่ได้เริ่มการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2566 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 มีผลการเบิกจ่าย 10,035 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 61 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณได้สิ้นสุดแผนการเบิกจ่ายประจำปีแล้ว โดยเบิกจ่ายเป็นจำนวนทั้งสิ้น 114,203 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 88 ของกรอบลงทุนทั้งปี และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน จำนวน 9 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565 จำนวน 180,487 ล้านบาท โดยยังคงมีจำนวนสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ากว่า 42,027 ล้านบาท ซึ่งผลเบิกจ่ายสะสมเดือนพฤศจิกายน 2565 คิดเป็นร้อยละ 93 ของแผนเบิกจ่ายสะสม อย่างไรก็ดี มีรัฐวิสาหกิจบางแห่งยังคงมีผลการเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามแผน ซึ่ง สคร. ได้กำชับและติดตามผ่านกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจให้เร่งดำเนินการเบิกจ่ายในช่วงเดือนสุดท้ายให้เป็นไปตามแผนด้วยแล้ว ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2565 (ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณและปีปฏิทิน) หน่วย : ล้านบาท รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/ แผนเบิกจ่ายสะสม ปีงบประมาณ (ต.ค. 64 – ก.ย. 65) จำนวน 34 แห่ง (สิ้นสุดการดำเนินงานแล้ว) 130,040 114,203 88% ปีปฏิทิน (ม.ค. 65 – ธ.ค. 65) จำนวน 9 แห่ง 221,196 180,487 97% รวม 43 แห่ง 351,237 294,690 93% สำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2566 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 มีผลการเบิกจ่ายสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จำนวน 10,035 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 61 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2566 (ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ) รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/ แผนเบิกจ่ายสะสม ปีงบประมาณ (ต.ค. 65 – ก.ย. 66) จำนวน 34 แห่ง (2 เดือน) 16,462 10,035 61% ปีปฏิทิน (ม.ค. – ธ.ค. 66) จำนวน 9 แห่ง (เริ่มดำเนินการเดือน ม.ค. 66) - - - รวม 43 แห่ง 16,462 10,035 61% นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณสามารถเบิกจ่ายได้สูงถึงร้อยละ 88 ของกรอบงบลงทุนทั้งปีซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี (ปี 2561 - 2565) และยังมีรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเบิกจ่ายในเดือนสุดท้ายของปี 2565 ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงส่งท้ายปี 2565 และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID – 19 นอกจากนี้ สำหรับปีงบประมาณ 2566 สคร. ได้กำชับและกำกับติดตามการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด และขอให้รัฐวิสาหกิจช่วยกันติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนรายโครงการให้เป็นไปตามแผน รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการบริหารความเสี่ยงของโครงการที่เกิดจากสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติเบิกจ่ายงบลงทุนตามมติคณะรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Cabinet acknowledges rename of Kazakhstan’s capital
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ​Cabinet acknowledges rename of Kazakhstan’s capital ​Cabinet acknowledges rename of Kazakhstan’s capital December 27, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the cabinet acknowledged the change of official name of Kazakhstan’s capital from “Nur-Sultan” to “Astana”, and Ministry of Foreign Affairs’ relevant protocol to change the name of the Royal Thai Embassy in Nur-Sultan to the Royal Thai Embassy in Astana. On January 28, 2020, the cabinet acknowledged the change of official name of Kazakhstan’s capital from “Astana” to “Nur-Sultan” in honor of the 1st Kazakh President Nursultan Nazarbayev, according to which Ministry of Foreign Affairs proceeded with relevant protocol to rename the Royal Thai Embassy in the country. Later in 2022, however, the Kazakhs voted for constitutional changes in a referendum, and the decision has been made to rename the country’s capital back to “Astana”.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 กรมการขนส่งทางบกเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน ... กรมการขนส่งทางบกเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียนกรณีประชาชนไม่ได้รับความปลอดภัย ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ภายใต้โครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสำคัญระหว่างวันที่ 28 - 31 ธันวาคม 2565 ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้ง 3 แห่ง (จตุจักร เอกมัย บรมราชชนนี) และสถานีขนส่งผู้โดยสารในส่วนภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ และให้บริการรับเรื่องร้องเรียนกรณีที่ผู้โดยสารไม่ได้รับความปลอดภัย ถูกเอารัดเอาเปรียบ และไม่ได้รับบริการที่ดี ซึ่งคาดการณ์ว่าในเทศกาลปีใหม่ในปีนี้จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วยรถโดยสารสาธารณะเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้คลี่คลายลง ทั้งนี้ ขบ. จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ร่วมอำนวยความสะดวกและจัดระเบียบการเดินรถและดูแลความปลอดภัยภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ควบคู่กับการตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถโดยสาร ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้ง 3 แห่ง เพื่อดำเนินการตรวจอุปกรณ์ส่วนควบให้มีความมั่นคงแข็งแรงและพร้อมใช้งาน อาทิ ตัวถังรถ ที่นั่งและเข็มขัดนิรภัย ถังดับเพลิง (ต้องมีอย่างน้อย 2 ถัง) ระบบไฟฟ้าภายในรถ ยางรถ กระจกและหน้าต่าง และระบบ GPS เป็นต้น หากพบรถโดยสารสาธารณะมีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย สั่งเปลี่ยนรถคันใหม่ทดแทนหรือสั่ง “ห้ามใช้” รถคันดังกล่าวทันที รวมถึงตรวจความพร้อมของผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ ได้แก่ การมีใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้อง ตรวจสมุดประจำรถ ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ (ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) และกำชับให้คนขับรถโดยสารสาธารณะต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรทางบก และตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกอย่างเคร่งครัด ประชาชนที่พบปัญหาจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะสามารถแจ้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (ชั่วคราว) ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร หรือช่องทางร้องเรียนต่าง ๆ ของ ขบ. ซึ่งให้บริการตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ดังนี้ สายด่วน โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง ทางเว็บไซต์ http://ins.dlt.go.th/cmpweb E-mail: [emailprotected] Facebook ชื่อ 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ Line : @1584dlt แอปพลิเคชัน DLT GPS ทั้งนี้ ทุกปัญหาการร้องเรียนของประชาชน ขบ. จะเร่งตรวจสอบและแจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ร้องเรียนทราบทาง SMS และแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเป็นระยะจนกว่าจะแก้ไขเรื่องร้องเรียนแล้วเสร็จ โดยมีมาตรการลงโทษผู้กระทำความผิดขั้นสูงสุดทุกกรณี กรณีกระทำความผิดซ้ำซาก ความผิดร้ายแรงและเข้าข่ายเป็นภัยสังคม จะดำเนินการพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตทันทีเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Cabinet approves guidelines on promotion of right to health for migrant workers and stateless children
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ​Cabinet approves guidelines on promotion of right to health for migrant workers and stateless children ​Cabinet approves guidelines on promotion of right to health for migrant workers and stateless children December 27, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the cabinet acknowledged resolutions of the National Health Commission (NHC) on the right to health of migrant workers and stateless children. The cabinet also assigned concerned agencies, i.e., Ministry of Interior, Ministry of Foreign Affairs, Ministry of Labor, Ministry of Public Health, Ministry of Social Development and Human Security, the Royal Thai Police, Social Security Office, Office of National Security Council, Office of National Economic and Social Development Council, National Health Security Office, and local authorities to proceed with the NHC’s resolutions. According to the Deputy Government Spokesperson, NHC’s resolution on the right to health of migrant workers will be a guideline for the protection of right to health and fair access to healthcare services of migrant workers in Thailand. NHC views that a number of actions needs to be implemented in order to protect their right to health, i.e., integration of migrant worker management strategy in the national development plan, drafting of migrant workers’ health related law to ensure their access to health security and services as economic citizens, and development of health security scheme that covers migrant workers of all groups. NHC’s resolution on the right to health of stateless children sets the guideline for the protection of right to health and fair access to healthcare services of stateless children in Thailand in accordance with the human rights principles and international conventions. Actions that need to be undertaken include development and improvement of birth certification/registration criteria and procedure for stateless children, law revision, public healthcare service development, and provision of basic medical privileges. NHC is of the view that the above guidelines and actions should be promptly undertaken to ensure fair, equal, and indiscriminate access of migrant workers and stateless children to health security and basic healthcare services. This is also to prevent spread of the diseases, including the COVID-19, which would impact the nation’s health security and economy
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม พม. One Home จ.สมุทรปราการ เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ไม่มีใบเกิด ตายายต้องรับภาระเลี้ยงดู
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ทีม พม. One Home จ.สมุทรปราการ เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ไม่มีใบเกิด ตายายต้องรับภาระเลี้ยงดู ทีม พม. One Home จ.สมุทรปราการ เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ไม่มีใบเกิด ตายายต้องรับภาระเลี้ยงดู เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า วันนี้ ทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. One Home จังหวัดสมุทรปราการ จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการและบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับ กัน จอมพลัง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านของเด็กหญิง อายุ 5 ขวบ ไม่มีสูติบัตร และครอบครัวประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอ เพื่อประเมินทางสังคมว่ามีปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการอย่างไร และเร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจกระทรวง พม. อีกทั้งประสานความร่วมมือและวางแผนการช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า เด็กหญิงดังกล่าว มีพัฒนาการสมวัย สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีประวัติเรื่องกระทำความรุนแรง โดยได้รับการเลี้ยงดูจากตาและยาย ตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ เนื่องจากผู้เป็นพ่อต้องโทษคดียาเสพติด ซึ่งเพิ่งพ้นโทษออกมาได้ประมาณ 5 วัน และผู้เป็นแม่ได้แยกทางกัน โดยคุณยายทำงานหารายได้เป็นเสาหลักของครอบครัว ด้วยการรับจ้างทำผ้าที่บ้าน เดือนละประมาณ 1,000 บาท ส่วนคุณตาไม่ได้ทำงาน แต่ทั้งสองยังมีรายได้จากเงินของลูกสาวที่ส่งมาให้เดือนละ 1,000 -1,500 บาท และเบี้ยผู้สูงอายุรายเดือน อย่างไรก็ตาม รายได้ดังกล่าวไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันของครอบครัว นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้น กระทรวง พม. ได้พิจารณาการช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า จากนั้น จะเร่งช่วยเหลือเด็กหญิงดังกล่าวในเรื่องสถานะทางทะเบียนราษฎรและการศึกษา เนื่องจากไม่มีสูติบัตร เพื่อทำให้เด็กได้เข้ารับการศึกษาตามเกณฑ์และได้รับสิทธิสวัสดิการสังคมต่างๆ จากรัฐ ซึ่งพรุ่งนี้ (28 ธ.ค. 65) ทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. One Home จังหวัดสมุทรปราการ จะลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวเด็กอีกครั้ง เพื่อพูดคุยกับผู้เป็นพ่อและสอบถามข้อมูลของเด็กเพิ่มเติม ก่อนวางแผนการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ส่งพี่น้องฉลองปีใหม่ ถึงที่หมายทั้งไป และกลับอย่างปลอดภัย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 พร้อมด้วย นายวีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท โดยมี นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา บรรยายสรุปการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ของจังหวัดนครราชสีมา และนายมนตรี เดชาสกุลสม รองอธิบดีกรมทางหลวง ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่และประชาชน ให้การต้อนรับ ณ จุดอำนวยความสะดวกประชาชนเทศบาล ตำบลคลองไผ่ ถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน โดยกำหนดเป้าหมายเพื่อลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน อันเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีที่มีประชาชนเดินทางกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งในช่วงปีใหม่นี้ กระทรวงคมนาคมพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เพื่อความสุข ทุกการเดินทางของคนไทย ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี จึงได้กำหนดนโยบายอำนวยความสะดวก ในการบริการขนส่งสาธารณะและโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ ภายใต้นโยบาย “ส่งพี่น้องฉลองปีใหม่ 2566 ถึงที่หมายทั้งไปและกลับอย่างปลอดภัย” โดยการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เป็นความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์ ป้องกัน และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงการตั้งจุดบริการอำนวยความสะดวกประชาชนตลอดเส้นทาง เตรียมความพร้อม กำกับดูแลการให้บริการ มาตรฐานความปลอดภัย และแจ้งข้อมูลข่าวสารที่สำคัญในการเดินทางให้แก่ประชาชนทราบล่วงหน้า โดยมอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) อำนวยความสะดวกด้านการจราจร โดยเปิดให้บริการฟรีชั่วคราวทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (M6) ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว - อำเภอขามทะเลสอ ระยะทางประมาณ 64 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 โดยจัดการจราจรแบบเดินรถทางเดียว (วันที่ 29 - 31 ธันวาคม 2565 เดินทางขาออก และวันที่ 1 - 4 มกราคม 2566 เดินทางขาเข้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางสู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยการเตรียมประตูทางออกฉุกเฉินมอเตอร์เวย์ จำนวน 11 จุด ติดตั้งป้ายและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เตรียมอุปกรณ์และรถฉุกเฉิน ตั้งจุดอำนวยการบริหารจราจร จุดคัดกรองรถเข้าสู่มอเตอร์เวย์ M6 จุดให้บริการห้องน้ำบริเวณ Rest Area และติดตั้งกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยบริเวณเรือนจำคลองไผ่ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนติดตามสถานการณ์การจราจร เพื่อวางแผนการเดินทางล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน “M Traffic” ของ ทล. และมีสติในการเดินทาง เมาไม่ขับ หากอ่อนเพลียหรือง่วงสามารถแวะพัก ณ จุดบริการประชาชนได้ทั่วประเทศ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับฟังบรรยายสรุปมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในปี 2565 มีอุบัติเหตุ จำนวน 46 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ (Admit) จำนวน 43 ราย ผู้เสียชีวิต จำนวน 16 ราย หน่วยงานในพื้นที่จึงได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ ที่ห่างไกลอุบัติเหตุ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ภายใต้สโลแกน “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” โดยแบ่ง การดำเนินงานออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 22 - 28 ธันวาคม 2565 ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 5 - 11 มกราคม 2566 โดยมี 3 แนวทางในการดำเนินงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ได้แก่ 1) การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร 2) การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และ 3) การรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางเข้าสู่จังหวัดนครราชสีมา และผ่านไปยังจังหวัดในภาคอีสานด้วยความสะดวกและปลอดภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันทำให้สามารถบริหารจัดการการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ป้องกัน ลดจำนวนอุบัติเหตุ ลดความสูญเสีย โดยเป็นการสร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชน ลดพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่และเสริมสร้างความร่วมมืออันดี และจากการตรวจสภาพการจราจรทางอากาศพบว่า สถานการณ์เดินทางของประชาชนในภาพรวมยังคล่องตัว แต่มีการชะลอตัวบริเวณหน้าด่านบริการ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 (M9) ด่านทับช้าง 1 ด่านทับช้าง 2 รวมถึงบริเวณทางเชื่อมทางโค้ง เนิน และบริเวณหน้าสถานีบริการน้ำมัน สำหรับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (M6) ที่จะเปิดให้ใช้งานชั่วคราวฟรี ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 การบริหารจัดการจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยพร้อมรองรับการเดินทางมุ่งสู่พื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน ทั้งนี้ ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1) มอบหมายกรมทางหลวงเตรียมเปิดช่องทางพิเศษเพื่อระบายรถตลอดเส้นทาง และ 2) มอบหมายกรมการขนส่งทางบกกำชับผู้ประกอบการรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ไม่มีความจำเป็นงดวิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ขับขี่ในช่องทางขวา และไม่ขับแซงกัน พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ร่วมกันอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อตฯ เผย MPI เดือน พ.ย. ปี 65 ขยายตัวจากเดือนก่อนร้อยละ 1.55 รับเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คาดปีหน้าดัชนีภาคอุตฯ ขยายตัวต่อเนื่อง
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ก.อตฯ เผย MPI เดือน พ.ย. ปี 65 ขยายตัวจากเดือนก่อนร้อยละ 1.55 รับเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คาดปีหน้าดัชนีภาคอุตฯ ขยายตัวต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ1.55 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ตอบรับการบริโภคในประเทศฟื้นตัวหลังเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัว สะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนพฤศจิกายนปี2565ขยายตัวร้อยละ1.55เมื่อเทียบกับเดือนก่อนตอบรับการบริโภคในประเทศฟื้นตัวหลังเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัวสะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาในประเทศรวมถึงปัญหาข้อจำกัดในการผลิตได้คลี่คลายลงคาดปีหน้าดัชนีMPIขยายตัวต่อเนื่อง นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เปิดเผยว่าสถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคในประเทศเป็นหลักส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนพฤศจิกายนปี2565อยู่ที่95.11ขยายตัวร้อยละ1.55เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ62.63สำหรับภาพรวมดัชนีMPIสะสม11เดือนของปี2565เฉลี่ยอยู่ที่98.68ขยายตัวร้อยละ1.41เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสะสม 11เดือนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ63.02เป็นผลจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นสะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ปัญหาข้อจำกัดในการผลิตได้คลี่คลายลงอาทิค่าระวางเรือมีทิศทางลดลงรวมถึงปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้คาดว่าดัชนีอุตสาหกรรมจะขยายตัวต่อเนื่องในปี2566 นางวรวรรณชิตอรุณผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กล่าวว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนพฤศจิกายน2565หดตัวร้อยละ5.60เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกซึ่งจะกลับมาผลิตเป็นปกติในเดือนธันวาคม2565โดยอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัวในเดือนพฤศจิกายน2565ยังคงเป็นยานยนต์จากรถบรรทุกปิกอัพรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์นั่งขนาดกลางที่สามารถผลิตได้ต่อเนื่อง น้ำมันปาล์มจากน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์หลังจากราคาปาล์มน้ำมันในปีก่อนปรับสูงขึ้นจึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงต้นและลูกปาล์มส่งผลให้ปีนี้ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าปีก่อนและเครื่องปรับอากาศที่กลับมาเร่งผลิตได้อีกครั้งทั้งนี้ในเดือนธันวาคม2565คาดว่าดัชนีMPIจะขยายตัวจากปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์คลี่คลายทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องสามารถกลับมาเร่งการผลิตได้อีกครั้งรวมถึงเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศแต่อย่างไรก็ตามอุปสงค์สินค้าในตลาดโลกเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิดด้วยตลาดส่งออกสำคัญมีแนวโน้มจะเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยจากภาวะเงินเฟ้อและราคาพลังงาน ทั้งนี้สศอ.ได้คาดการณ์ดัชนีMPIปี2566จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ2.5 – 3.5จากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศรวมถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐอย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังและติดตามได้แก่ราคาพลังงานที่ทรงตัวในระดับสูงการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(Ft)และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นปัญหาเงินเฟ้อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนกระทบต่อภาคการส่งออกและทิศทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในหลายๆประเทศทั่วโลกรวมถึงตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนพฤศจิกายน2565เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่ ยานยนต์ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ12.95จากรถบรรทุกปิกอัพรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์นั่งขนาดกลางเป็นหลักจากการเร่งผลิตหลังได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นประกอบกับมีการผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าไว้เพื่อจำหน่ายในช่วงปลายปี น้ำมันปาล์มขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ32.47จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นหลักเนื่องจากในปีก่อนราคาจำหน่ายของปาล์มน้ำมันสูงจึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงต้นและลูกปาล์มส่งผลให้ปีนี้ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าปีก่อน เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ9.57จากการส่งออก ที่ขยายตัวโดยได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นสหรัฐอเมริกายุโรปและฟิลิปปินส์รวมถึงการเร่งผลิตและส่งมอบสินค้าหลังจากช่วงก่อนหน้ามีปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วน เบียร์ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ14.95จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว สถานบันเทิงและร้านอาหารเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบมากกว่าปีก่อนที่ยังมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ3.08จากผลิตภัณฑ์วงจรรวมและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักตามความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงมีอยู่ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวหลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการเติบโตน้อยลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงและความต้านทานการหมุน “ยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง” มอก.2721-2560 เพิ่มโอกาสการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทย
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงและความต้านทานการหมุน “ยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง” มอก.2721-2560 เพิ่มโอกาสการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทย สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงและความต้านทานการหมุน “ยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง” มอก.2721-2560 เพิ่มโอกาสการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทย ย้ำยังคุมเข้มข้อกำหนดด้านความปลอดภัย สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงและความต้านทานการหมุน “ยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง” มอก.2721-2560 เพิ่มโอกาสการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทย ย้ำยังคุมเข้มข้อกำหนดด้านความปลอดภัย สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงและความต้านทานการหมุน “ยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง” ตาม มอก.2721-2560 เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสการส่งออกให้ภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยยังคงข้อกำหนดสำคัญด้านความปลอดภัย “การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก” เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของประชาชน นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า มติการประชุมบอร์ด กมอ. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ได้เห็นชอบให้ สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน และความต้านทานการหมุนของยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง ตาม มอก.2721-2560 แต่ยังคงให้บังคับใช้ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศ และเพิ่มโอกาสในการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตยางล้อรถยนต์ที่สำคัญของโลก นอกจากนี้ บอร์ดยังได้เห็นชอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รวม 28 มาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์เคเบิลเส้นใยนำแสงและมาตรฐานวิธีทดสอบผลิตภัณฑ์ ปูนทนไฟ กระเบื้องเซรามิค มวลรวมผสมคอนกรีต รวมทั้งเห็นชอบให้ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่ยึดอายัดจากผู้ประกอบการทั้งผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายที่กระทำผิดกฎหมายจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ทั้งจากเว็บแอพลิเคชั่นช้อปปิ้งออนไลน์และร้านค้าทั่วไป รวมจำนวนทั้งสิ้น 49 ราย ได้แก่ กระเบื้องเซรามิก ยางล้อแบบสูบลม ฝักบัวอาบน้ำ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น เหล็กกล้าคาร์บอนทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับดูแลผิวและผม เครื่องเป่าขนสัตว์ หลอดไฟ ปลั๊กพ่วง เต้าเสียบเต้ารับ พาวเวอร์แบงค์ กระทะไฟฟ้า เตารีด พัดลมตั้งพื้น พัดลมไอน้ำ เครื่องทำป๊อปคอร์น เตาปิ้งเตาย่างไฟฟ้า หม้ออบลมร้อน ของเล่น หมวกกันน็อคหมวกนิรภัยสำหรับงานอุตสาหกรรม ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ และไฟแช็คก๊าซ ฯลฯ รวมมูลค่า 6,565,154 บาท ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิต ภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรฐาน มอก. 2721-2560 เสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก และความต้านทานการหมุน กำหนดขึ้นโดยการอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ UN R117 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2562 ครอบคลุมยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถพ่วง ปัจจุบันมีผู้ได้รับใบอนุญาตแล้วจำนวน 217 ราย สำหรับการยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน และความต้านทานการหมุน ตาม มอก. 2721-2560 นี้ เป็นการยกเว้นเฉพาะยางล้อรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียงเท่านั้น เนื่องจากยางล้อผ้าใบเฉียงมีความเหมาะสมกับการใช้งานในสภาพถนนแบบทุรกันดารและทนสภาพอากาศร้อนได้ดี จึงมีการใช้งานยางล้อชนิดนี้กันมากในประเทศไทยและประเทศในแถบตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ในต่างประเทศมีผู้ทำยางล้อประเภทผ้าใบเฉียงจำนวนน้อยมาก ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสในการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ ดังนั้น การที่ สมอ. ยกเว้นข้อกำหนดด้านเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน และความต้านทานการหมุนของยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถบรรทุก-รถพ่วง ประเภทผ้าใบเฉียง จะทำให้ผู้ผลิตยางล้อดังกล่าวในประเทศไทยมีโอกาสในการส่งออกมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สมอ. ยังคงคุมเข้มข้อกำหนดด้านความปลอดภัย “การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก” ตามเดิม เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของประชาชน” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ชี้ทางรอดปีกระต่ายต้องรุกตลาด CLMV และตะวันออกกลางควบคู่พัฒนาธุรกิจสู่อนาคต แก้เกมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 EXIM BANK ชี้ทางรอดปีกระต่ายต้องรุกตลาด CLMV และตะวันออกกลางควบคู่พัฒนาธุรกิจสู่อนาคต แก้เกมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว EXIM BANK ชี้ทางรอดของผู้ประกอบการไทยคือ การปรับตัวรุกตลาดที่มีศักยภาพและมีความต้องการสินค้าไทย ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าตามเทรนด์โลกยุคใหม่ โดยใช้ EXIM BANK และกลไกของภาครัฐเป็นเครื่องมือพัฒนาธุรกิจสู่ตลาดโลกยุค Next Normal EXIM BANK ชี้ทางรอดของผู้ประกอบการไทยคือ การปรับตัวรุกตลาดที่มีศักยภาพและมีความต้องการสินค้าไทย ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าตามเทรนด์โลกยุคใหม่ โดยใช้ EXIM BANK และกลไกของภาครัฐเป็นเครื่องมือพัฒนาธุรกิจสู่ตลาดโลกยุค Next Normal เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัว 3.5% สวนทางเศรษฐกิจโลกที่น่าจะชะลอลงเหลือ 2.7% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยและการบริโภคของภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกอาจชะลอตัวลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ราว 3.5% สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะชะลอลงเหลือ 2.7% ต่ำสุดในรอบ 21 ปี (ไม่รวมปีที่เกิดวิกฤต) โดยไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาไทยมากกว่า 20 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน รวมถึงแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดีตามการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกรและการจ้างงานในภาคบริการที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการส่งออกซึ่งเคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีแนวโน้มชะลอลง สะท้อนได้จากดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย จัดทำโดย EXIM BANK (EXIM Index) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส คาดว่า การส่งออกของไทยทั้งปี 2566 จะขยายตัวเพียง 1-2% ชะลอลงจาก 7-8% ในปี 2565 โดยมีปัจจัยกดดันมาจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ขณะเดียวกัน ปัญหา Global Supply Chain Disruption แม้จะคลี่คลายลงบ้าง แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีต่อเนื่องยังคงจะกดดันการส่งออกไทยในระยะถัดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ทางรอดของผู้ประกอบการไทยในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพื่อคว้าโอกาสในตลาดที่ยังมีพื้นที่สำหรับสินค้าไทย ได้แก่ 1. การรุกส่งออกไปยังตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในช่วง 10 เดือนแรก ปี 2565 การส่งออกของไทยไปตลาดดังกล่าวเติบโตกว่า 15% และ 26% ตามลำดับ 2. การส่งออกสินค้าที่เติมเต็มช่องว่างทางการตลาด เช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว อาทิ อาหาร ผลไม้ เครื่องสำอาง เครื่องใช้ในบ้าน เป็นต้น และสินค้าไทยที่สามารถเจาะตลาดประเทศคู่ขัดแย้ง ทางการเมืองระหว่างประเทศ อาทิ การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ และการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเข้ามาในไทยมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยในการแทรกตัวเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตแห่ง อนาคตได้อีกด้วย 3. การส่งออกสินค้าที่เกาะกระแสเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น กระแสรักษ์สุขภาพและกระแสรักษ์ สิ่งแวดล้อมที่กลายมาเป็น New World Order ดร.รักษ์ กล่าวว่า EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย รวมถึงบุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจ ใช้โอกาสที่จะเข้ามาในปีหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจให้เชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลก พัฒนากลยุทธ์และไลน์การผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการสนับสนุนธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค นำไปสู่การพัฒนาของทุกภาคส่วนอย่างสมดุลและยั่งยืน “ปี 2566 ยังมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้ามากมาย แต่โอกาสใหม่ ๆ ก็แทรกตัวอยู่ในตลาดและสินค้าที่ไทยมีศักยภาพจะแข่งขันได้ EXIM BANK จึงพร้อมทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำและเครื่องมือทางการเงินครบวงจรที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจของไทยเข้มแข็งขึ้นตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงวิสาหกิจชุมชนและกิจการทุกระดับที่มีความฝันจะขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันทำได้ง่ายขึ้นบนแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ต่าง ๆ หัวใจสำคัญคือ ความสามารถในการปรับตัวและก้าวทันโลกยุคใหม่โดยใช้กลไกและการสนับสนุนของภาครัฐ รวมถึง EXIM BANK ซึ่งมุ่งมั่นดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทยที่ ‘กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย’ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยและโลกในวันพรุ่งนี้ให้ดีและน่าอยู่กว่าเดิม” ดร.รักษ์ กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4 EXIM Thailand Points out Penetration of CLMV and Middle East alongside Development of Businesses of the Future amid Slowing Global Economy is Way of Survival in Year of the Rabbit EXIM Thailand suggested how Thai entrepreneurs could survive in 2023 is to stay adaptable and penetrate markets with good prospects and demand for Thai goods, in conjunction with development of products in response to global trends of the new era, leveraging on EXIM Thailand and public sector mechanisms as the tools for business development toward the Next Normal world. This would respond to Thai economy in the new year which would likely expand by 3.5%, against the decelerating global economic growth of 2.7%, driven by recovery of Thai tourism and private sector consumption, while export could slow down in line with global economic outlook. Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that Thai economy in 2023 tends to continue to grow by around 3.5% against the slowing global economic growth predicted by the International Monetary Fund (IMF) to 2.7%, the lowest in 21 years (excluding the years with crisis eruption). Thailand is among only a few countries whose economic growth is on an upward trend compared to the foregoing year fueled mainly by the clearly improving tourism with foreign tourist inflows expected at more than 20 million, doubling that of the previous year, along with support from domestic demand, particularly private sector consumption which has expanded on the back of the increased farm income and improving employment in service sectors in line with tourism recovery. Meanwhile, export which has for the past 2 years been a main engine in propelling Thai economy has tended to slow down as reflected from EXIM Index which has consistently declined and hit the lowest level in 8 quarters. Thai export in 2023 is forecast to expand by only 1-2%, decelerating from 7-8% in 2022, pressured by slowing global demand particularly from Thailand’s major trade counterparts like the US and Europe which are at risk of falling deeper in economic recession, coupled with the slower than expected Chinese economic recovery. Furthermore, global supply chain disruption, though having relieved to some extent, but still carrying high uncertainties, and the prevailing foreign exchange fluctuations as well as geopolitical tensions could inevitably dampen Thai export looking forward. EXIM Thailand President said that there are certain ways for Thai entrepreneurs to make it through global economic slowdown and capture opportunities in the markets where there is still room for Thai goods, comprising: 1. Penetration of the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) and the Middle East markets, such as Saudi Arabia. In the first 10 months of 2022, Thai export to such markets recorded a growth of over 15% and 26% respectively. 2. Export of goods that would fill up market gaps, such as tourism-related goods like foods, fruits, cosmetics, home appliances, etc., and products that cater to conflicting countries in international politics, such as the export of Thai electrical appliances in substitution for Chinese ones in the US market, and the increasing relocation of production bases from China to Thailand for several industries, e.g. electric vehicles and electronics products. With such developments, Thai entrepreneurs should also be enabled to make presence in the supply chains of the future. 3. Export of goods responsive to the trends of new generation consumers, such as wellness and eco trends which have become the New World Order. Dr. Rak further said that EXIM Thailand is fully equipped to work alongside the public and private sectors to assist Thai entrepreneurs including individuals in doing businesses, capturing upcoming opportunities to drive business development in linkage with global supply chains, and developing strategies and product lines to cater to demand of new generation consumers who support businesses conducive to sustainability in economic, social and environmental dimensions, and better quality of life and health of consumers toward balanced and sustainable development of all sectors. “The year 2023 could still be embattled with numerous risks but fresh opportunities are poised to emerge in the markets where Thai goods could access with competitive edge. EXIM Thailand is well-positioned to give advice and offer full-fledged financial solutions to strengthen Thai business sectors from individuals to community enterprises and business entities of all levels who aspire to expand their businesses beyond Thailand. In view of this, it is easier today to do businesses on various online trade platforms. What really matters is business operators’ capability to adapt to and catch up with global advancement making best use of mechanisms and supports from the public sector, including EXIM Thailand. We are committed to perform our role as Thailand Development Bank which dares to take ‘One Step Ahead for All Development’ to transform Thailand and the world at large into a better place of tomorrow for all,” added Dr. Rak. For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลบรรเทาภาระค่าครองชีพแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมอนุมัติงบกลาง 2,644 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มวงเงินในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม ให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐคนละ 200 บาทเป็นระยะเวลา 1 เดือน คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับวงเงิน 200 บาท/คน/เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 400 บาท/คน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน ได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 500 บาท/คน สำหรับวงเงินในเดือน ม.ค.2566 ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยกว่า 13 ล้านคน มีสภาพคล่องในการดำรงชีพเพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรชาวไทยทุกศาสนิกร้อยรวมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 พสกนิกรชาวไทยทุกศาสนิกร้อยรวมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พสกนิกรชาวไทยทุกศาสนิกร้อยรวมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการร้อยรวมใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกพื้นที่จังหวัด อำเภอ ทั่วประเทศ ในการน้อมถวายความจงรักภักดีและความห่วงใยแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ด้วยการร่วมกันประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลตามความเชื่อของศาสนิก และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อถวายพระกุศลถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ 1. จังหวัดสกลนคร ริมหนองหาร บริเวณท่าน้ำวัดมหาพรหมโพธิราช บ้านท่าวัดเหนือ ตำบลเหล่าปอแดง อำเภอเมืองสกลนคร นางจุรีรัตน์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานในพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อถวายพระพรและถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน โดยมี นายไพฑูรย์ พรหมสอน หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสกลนคร นายวรพงษ์ สาระรัตน์ ประมงจังหวัดสกลนคร นายฉัตรชัย ศรีเฉลา เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร นายสุทัศน์ โคตรธรรม นายกเทศมนตรีตำบลเหล่าปอแดง หน้าส่วนราชการ ข้าราชการ จิตอาสาพระราชทาน และราษฎรตำบลเหล่าปอแดง ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ รวมทั้งสิ้น 45,099 ตัว ประกอบด้วย ปลาตะเพียนทอง จำนวน 40,000 ตัว ปลาหมอไทย จำนวน 2,500 ตัว ปลาไหล จำนวน 99 ตัว และหอยขม จำนวน 2,500 ตัว ลงสู่หนองหาร 2. จังหวัดภูเก็ต ที่ลานประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ อ.เมืองภูเก็ต นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระครูพรหมประภัสสร รองเจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต เจ้าอาวาสวัดเทพวนาราม (วัดม่าหนิก) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธีขอพร (ดุอาฮ์) จากอัลลอฮ์ เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา หรือพิธีสวดมนต์ ทำสมาธิ อธิษฐานจิต 2 ศาสนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน นักศึกษาเข้าร่วม และที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ต นายกฤษณะ ทิพยจันทร์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดภูเก็ต นำหัวหน้าส่วนราชการ และข้าราชการ พนักงานราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และตัวแทนผู้ต้องขัง ร่วมพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล และร่วมปล่อยสัตว์น้ำ ถวายเป็นพระกุศลถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน 3. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่วัดภุมรินทร์กุฎีทอง ต.สวนหลวง อ.อัมพวา นางกชนัฑ พัฒนะวิชัย นายอำเภออัมพวา นำปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครอง สมาชิก อส. พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ เทศบาลตำบลสวนหลวง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ตลอดจนพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จัดพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมีพระปลัดเฉลิม อุจฺจโย เจ้าคณะตำบลสวนหลวง เจ้าอาวาสวัดภุมรินทร์กุฎีทอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์เขตปกครองตำบลสวนหลวง ประกอบด้วยวัดภุมรินทร์กุฎีทอง วัดบางนางลี่ใหญ่ วัดสวนหลวง และวัดแว่นจันทร์ ร่วมประกอบพิธี 4. จังหวัดปัตตานี ที่ห้องโถงชั้น 1 อาคาร 1 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ในเร็ววัน 5. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่หอโหวด 101 สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธมิ่งเมืองมงคล อัญเชิญจากพุทธพิมานมงคล ชั้น 35 หอโหวด แห่อ้อมบึงพลาญชัย และพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์โดยเร็ววัน โดยมี นายสนอง ดลประสิทธิ์ และนายชัยวัฒน์ ชัยเวชพิสิฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พลตำรวจตรี กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี 6. จังหวัดสกลนคร ณ ที่ว่าการอำเภอบ้านม่วง นายคเณศวร เกษอินทร์ นายอำเภอบ้านม่วง พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกเหล่ากาชาด ได้ปฏิบัติบูชาร่วมบริจาคโลหิต ตั้งอธิษฐานจิต และเยี่ยมเยียนให้กำลังใจประชาชนที่เดินทางมาร่วมบริจาคโลหิต เพื่อน้อมถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน 7. จังหวัดบึงกาฬ ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอพรเจริญ นางวาทิณี โฆษาศรีวิไลซ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วย นางเกศิณี กวนทา กรรมการเหล่ากาชาด นางศิริพร ขุนพานเพิง กรรมการเหล่ากาชาดและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับโรงพยาบาลบึงกาฬ ออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ถวายเป็นพระกุศล และลงนามถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน 8. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่วัดหนองไฮ หมู่ที่ 1 ตำบลสระกรวด อำเภอศรีเทพ นายวีระวัฒน์ วัฒนวงศ์พฤกษ์ นายอำเภอศรีเทพ ประธานฝ่ายฆราวาส พระมหาภนาดร ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดหนองไฮ เจ้าคณะตำบลสระกรวด เขต 1 ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อม คณะพระสงฆ์ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทเพื่อถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน 9. จังหวัดขอนแก่น ที่วัดท่าสองคร ตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองขอนแก่น นางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานประกอบพิธีเจริญจิตตภาวนา พิธีปล่อยพันธุ์ปลา และกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วม “พี่น้องประชาชนสามารถร่วมกันแสดงความจงรักภักดีด้วยการปฏิบัติบูชาถวายพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทั้งกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63190
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 ธันวาคม 2565
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 27/12/2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 ธันวาคม 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (27 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาลซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) 2. เรื่อง ร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวม 2 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน)] 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่กิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าป่วยการพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ พ.ศ. .... เศรษฐกิจ-สังคม 6. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 1/2565 7. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา 8. เรื่อง การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566 9. เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงขององค์การเภสัชกรรม 10. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมตามมาตรการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2565 11. เรื่อง โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) 12. เรื่อง แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567 - 2570) 13. เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติและมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ 14. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนตุลาคม และ 10 เดือนแรกของปี 2565 15. เรื่อง การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 16. เรื่อง (ร่าง) แนวทางการปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) 17. เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย และรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ 2565 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย 18. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2565 19. เรื่อง สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 - 31 ตุลาคม 2565) 20. เรื่อง แผนปฏิบัติการการกำกับกิจการพลังงาน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) และแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 21. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือน มกราคม 2566 22. เรื่อง การดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรชัยมงคลแต่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กระทรวงมหาดไทย 23. เรื่อง การจัดประกันภัยฟรีสำหรับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 2566 ต่างประเทศ 24. เรื่อง การรับรองกรอบการกำกับดูแลด้านยาของอาเซียน (ASEAN Pharmaceutical Regulatory Framework: APRF) 25. เรื่อง การลงนามร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับร่วมรายสาขาของอาเซียนสำหรับการตรวจประเมินตามมาตรฐานวิธีการในการผลิตยา (Protocol to Amend the ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement for Good Manufacturing Practice (GMP) Inspection of Manufacturers of Medicinal Products) 26. เรื่อง ผลการประชุมหารือ เรื่อง “การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City)” ณ ประเทศญี่ปุ่น 27. เรื่อง การเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน แต่งตั้ง 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 30. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย 31. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองทดแทนตำแหน่งกรรมการที่ว่างลง 32. เรื่อง การเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ______________________________________________ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา และร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้เพื่อการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งร่วมส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาทุกแห่งใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคและสถานศึกษา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.1 กำหนดให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 420) พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม [เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติเป็นสถานศึกษาที่ได้รับบริจาค และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 713) พ.ศ. 2563 (สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ไม่ได้กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศอนุมัติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีฯ เป็นสถานศึกษาที่ได้รับการบริจาค ดังนั้น เพื่อให้ประเภทของสถานศึกษาครบถ้วนและไม่เกิดความซ้ำซ้อน จึงกำหนดให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 420) พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และยกร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้รวมสถานศึกษาทั้ง 5 ประเภท ไว้ในฉบับเดียวกัน รวมทั้งกำหนดให้การบริจาคให้แก่สถานศึกษา เพื่อสนับสนุนการศึกษาดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการที่ ศธ. ให้ความเห็นชอบ] 1.2 กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้บริจาคที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ 1) สถานศึกษาของรัฐ 2) โรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ 3) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน 4) สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และ 5) สถาบันอุดมศึกษา ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศอนุมัติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีฯ ได้แก่ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL) และมหาวิทยาลัยอมตะ โดยให้หักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนเงินบริจาค สำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 2. กระทรวงการคลังรายงานว่าการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้จะมีผลทำให้รัฐจัดเก็บภาษีลดลงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท (รวม 3 ปีภาษี ประมาณ 6,000 ล้านบาท) แต่อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาจะได้รับบริจาคจากภาคเอกชนตามมาตรการภาษีดังกล่าวปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งมาตรการนี้จะมีส่วนช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณของรัฐในด้านการศึกษาได้อีกทางหนึ่ง 2. เรื่อง ร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวม 2 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน)] คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวม 2 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน)] รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กรมป่าไม้ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้ เช่น มูลค่าเงินลงทุนของโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ มูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง และปริมาณกักเก็บคาร์บอนที่ได้ และนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่ กค. เป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการ เพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้ ทส. กรมป่าไม้ และ อบก. ดำเนินการต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบไปด้วย 1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) โดยเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตในประเทศตามโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 (โดยพระราชกฤษฎีกาเดิมได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563) ซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มีจำนวนมากขึ้น นำไปสู่การลงทุน การใช้จ่าย และการนำรายได้เข้าประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยต้นทุนต่ำให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ 1.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) โดยเพิ่มเติมการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา และขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินที่บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้บริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรให้แก่กรมป่าไม้ เพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 (โดยพระราชกฤษฎีกาเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2565) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนให้มีจำนวนมากขึ้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ 2. กระทรวงการคลังได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว รวม 2 มาตรการ โดยคาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ รวม 394 ล้านบาท ดังนี้ 2.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลรวม 210 ล้านบาท 2.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีป่าชุมชนได้รับการสนับสนุน 10,246 แห่ง จึงทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวม 184 ล้านบาท 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้ ทส. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง เป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและหน้าที่และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง (สป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) (สป.ทส.) เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สป. ทส. พ.ศ. 60 ร่างกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการ สป. ทส. พ.ศ. .... หมายเหตุ ข้อ 3 ให้แบ่งส่วนราชการ สป. ดังนี้ ก. ราชการบริหารส่วนกลาง (1) กองกลาง (2) กองกฎหมาย (3) กองการต่างประเทศ (4) กองตรวจราชการ (5) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (6) กองการบิน (7) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน (7) สถาบันการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน - คงเดิม ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของกองกลางและกองกฎหมายให้มีความเหมาะสม ควบรวมกองฯ กับศูนย์ฯ และเปลี่ยนชื่อใหม่ - จัดตั้งขึ้นใหม่ 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่กิจการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบมอบหมายให้ สสว. จัดทำข้อมูลดอกเบี้ยรับของโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย เป็นรายปีจนสิ้นสุดโครงการและนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่ กค. ทุกสิ้นปี เพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการต่อไป กค. เสนอว่า 1. การให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่อง รวมถึงกลุ่มที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แต่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ขยายกิจการ ปรับปรุง ซ่อมแซม และยกระดับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของ SMEs โดย สสว. และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 โดย สสว. มีหน้าที่ให้กู้ยืมเงินและ ธพว. มีหน้าที่บริหารจัดการการให้กู้ยืมเงิน 2. โครงการตามข้อ 1 มีระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี โดยได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่ผู้ประกอบการเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2564 และเริ่มเกิดดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการให้กู้ยืมจะนำเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อนำไปช่วยเหลือ SMEs ตามความจำเป็นต่อไป การดำเนินโครงการดังกล่าวมีผู้ประกอบการได้รับเงินกู้ 3,197 ราย รวมเป็นเงิน 3,944.55 ล้านบาท และมีดอกเบี้ยที่ได้รับจริงในปี 2563 - 2564 จำนวน 28.63 ล้านบาท และประมาณการดอกเบี้ยรับตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการจนถึงปี 2570 จำนวน 118.84 ล้านบาท 3. ต่อมา สสว. ได้มีหนังสือถึงกรมสรรพากร (กค.) ลงวันที่ 21 เมษายน 2565 ขอให้พิจารณายกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กค. พิจารณาแล้วเห็นว่าการให้กู้ยืมเงินของ สสว. เป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยรับในอัตราร้อยละ 3 (ร้อยละ 3.3 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตามมาตรา 91/1 (5) และ มาตรา 91/6 (3) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เนื่องจากโครงการของ สสว. ดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 สิงหาคม 2562 รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยบรรเทาภาระภาษีให้แก่ สสว. ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ด้วย กค. จึงเห็นควรยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่กิจการของ สสว. เฉพาะการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ซึ่งจะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา 4. กค. ได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้ภาษีธุรกิจเฉพาะประมาณ 3.92 ล้านบาท แต่จะเป็นการช่วยสนับสนุนการดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 สิงหาคม 2562 บรรเทาภาระภาษีให้แก่ สสว. และช่วยบรรเทาภาระให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีทางอ้อมซึ่งผู้ประกอบกิจการ (สสว.) จะสามารถผลักภาระได้ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการกำหนดให้กิจการของ สสว. เฉพาะรายรับจากการให้กู้ยืมเงินตามโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่โครงการเริ่มมีดอกเบี้ยรับ 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าป่วยการพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าป่วยการพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการค่าป่วยการสำหรับพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นต่อการพิจารณาทางปกครอง (“การพิจารณาทางปกครอง” หมายความว่า การเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง1 เช่น คำสั่งอนุญาตตั้งโรงงาน หรือก่อสร้างอาคาร) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ เรื่อง สาระสำคัญ 1. บทนิยาม •“ค่าป่วยการ” คือ เงินที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนให้แก่พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐเรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นไม่ว่าโดยการมา ณ สถานที่นัดหมาย โดยระบบการประชุมทางจอภาพ หรือโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการทำรายงานความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ 2. หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีสิทธิได้รับค่าป่วยการ • พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมีสิทธิได้รับค่าป่วยการ ในกรณีดังต่อไปนี้ 1) กรณีเป็นพยาน ต้องเป็นพยานที่เจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำและพยานนั้นจำเป็นแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในการจัดทำคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ การเรียกพยานมาให้ถ้อยคำดังกล่าว ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์แห่งความยุติธรรมและต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่สังกัดหรือผู้ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐดังกล่าวมอบหมาย 2) กรณีเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ต้องเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ - หน่วยงานของรัฐที่เป็นต้นสังกัดมิได้มีบุคลากรซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญซึ่งสังกัดหน่วยงานของรัฐแตกต่างจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญซึ่งคู่กรณีอ้าง - เรื่องที่จะพิจารณานั้นต้องการความรู้ความสามารถสูงหรือความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเป็นการเฉพาะ และ - ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่จะเรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นเป็นสาระสำคัญในการจัดทำคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ การเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นดังกล่าว ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า ประสบการณ์เฉพาะด้าน และความเป็นกลางของพยานผู้เชี่ยวชาญ และต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่สังกัด หรือผู้ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐดังกล่าวมอบหมาย หัวหน้าหน่วยงานของรัฐอาจจัดทำบัญชีพยานผู้เชี่ยวชาญหรือจะใช้บัญชีรายชื่อผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมหรือบัญชีรายชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญของศาลอื่นก็ได้ • พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาให้ถ้อยคำหรือความเห็นตามหน้าที่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าป่วยการ 3. หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งจ่ายค่าป่วยการ • ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นต่อการพิจารณาทางปกครอง สั่งจ่ายตามความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ เมื่อพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้น • กรณีที่พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมาตามนัด แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยมิได้เป็นความรับผิดของพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ ได้รับค่าป่วยการไม่เกินวันละ 500 บาท • หากพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมีสิทธิได้รับค่าป่วยการตามกฎหมายหรือกฎอื่นแล้ว จะไม่มีสิทธิได้รับค่าป่วยการตามกฎกระทรวงนี้ 4. อัตราค่าป่วยการ • พยานได้รับค่าป่วยการไม่เกินวันละ 1,000 บาท (อัตราเทียบเคียงกับข้อบังคับประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักแก่พยานที่ศาลเรียกมาเอก พ.ศ. 2560) • พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งให้ถ้อยคำได้รับค่าป่วยการไม่เกินวันละ 2,000 บาท (อัตราเทียบเคียงกับข้อบังคับประธานศาลฎีกา ว่าด้วยผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม พ.ศ. 2560) • พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรได้รับค่าป่วยการไม่เกินเรื่องละ 5,000 บาท (อัตราเทียบเคียงกับประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง การจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าที่พัก ของบุคคลใดที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาในการไต่สวน ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเดินการใดเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2563) ____________________________________ 1 “คำสั่งทางปกครอง” หมายความว่า (1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ (2) การอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง เศรษฐกิจ-สังคม 6. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 1/2565 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอทั้ง 3 ข้อ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 1/2565 และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุม กอช. ครั้งที่ 1/2565 2. รับทราบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 3. รับทราบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566-2570) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง อก. รายงานว่า การประชุม กอช. ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะรองประธาน กอช. เป็นประธานการประชุมมีผลการประชุม สรุปได้ ดังนี้ 1. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2570) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะในอาเซียน และมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองภายในปี 2570 โดยมีแนวทางดำเนินงาน 3 มาตรการหลัก ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะโดยดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำและยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจร (2) กระตุ้นอุปสงค์เพื่อสร้างตลาดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในประเทศและต่อยอดการสร้างหรือพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยมุ่งเน้น 4 กลุ่ม ได้แก่ Smart Home, Smart Factory, Smart Hospital & Health และ Smart Farm และ (3) สร้างและพัฒนาระบบนิเวศสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ทั้งนี้ จะมีการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ ให้บรรลุเป้าหมายโดยใช้งบประมาณประจำปีภายใต้งบบูรณาการและงบประมาณตามยุทธศาสตร์ของแต่ละหน่วยงานและ กอช. จะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนและกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ 1.1 ความเห็นที่ประชุม เห็นควรปรับกรอบระยะเวลาของ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ จาก พ.ศ. 2565-2570 เป็น พ.ศ. 2566-2570 เพื่อให้เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) และเห็นควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาโครงการสำคัญที่ตอบสนองต่อ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รวมทั้งควรมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน 1.2 มติที่ประชุม เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ โดยให้ปรับกรอบระยะเวลาเป็น พ.ศ. 2566-2570 และมอบหมายให้ อก. นำความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ อก. ได้ปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ ตามความเห็นของที่ประชุมแล้ว 2. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางพืชกัญชงเชิงอุตสาหกรรมแห่งอาเซียนภายใน 5 ปี มีแนวทางดำเนินงาน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ (1) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่กัญชง โดยยกระดับนวัตกรรมอุตสาหกรรมกัญชงสู่การต่อยอดการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีให้รองรับในระดับอุตสาหกรรม การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม และการส่งเสริมนวัตกรรมและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (2) ส่งเสริมการผลิตและแปรรูปเชิงพาณิชย์ โดยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกัญชงให้มีความพร้อมด้านทักษะ องค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์กัญชงในระดับสากล เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และการส่งเสริมการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล (3) ส่งเสริมด้านการตลาดโดยสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านช่องทางที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกัญชงไทยได้แสดงศักยภาพและเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กัญชงที่สำคัญในระดับโลก เช่น การสร้างช่องทางการตลาดผ่านการจัดงานแสดงสินค้า/การจัดประชุมเกี่ยวกับพืชกัญชง การพัฒนาเชื่อมโยงโลจิสติกส์ และการกระตุ้นอุปสงค์ของหน่วยงานภาครัฐและ (4) สร้างปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการประกอบการ โดยลดปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ เช่น การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบ การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสู่สากล การสนับสนุนทางการเงิน/การร่วมลงทุนภาคเอกชน การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจรับรองสารสำคัญและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงฯ ให้บรรลุเป้าหมายจะต้องบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้งบประมาณประจำปีภายใต้งบบูรณาการและงบประมาณตามยุทธศาสตร์ของแต่ละหน่วยงาน และมี กอช. และคณะกรรมการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์เป็นกลไกในการขับเคลื่อนและกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงฯ 2.1 ความเห็นที่ประชุม เห็นควรดำเนินการ ดังนี้ (1) พิจารณาโครงการสำคัญที่สามารถตอบสนองตัวชี้วัดเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) บูรณาการการทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง และ (3) ผลักดันเรื่องการพัฒนาพืชกัญชงในประเด็นสำคัญ เช่น การพัฒนาเส้นใยจากพืชกัญชง การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดแคนนาบิไดออล (Cannabidiol: CBD) จากพืชกัญชงเข้าสู่การพิจารณาในระดับนโยบายเพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชและสามารถสร้างมูลค่าจากพืชกัญชงได้เพิ่มขึ้นในอนาคต 2.2 มติที่ประชุม เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงฯ และมอบหมายให้ อก. นำความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ อก. ได้ปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงฯ ตามความเห็นของที่ประชุมแล้ว 3. การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน 3.1 แนวทางดำเนินการ (1) การขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่เป้าหมายร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชน โดยได้กำหนดเป้าหมายพื้นที่พัฒนาเข้าสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวม 54 พื้นที่ 39 จังหวัด ในปี 2570 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2) ขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างมีส่วนร่วม 3) พัฒนากลไกมาตรการ/เครื่องมือการบริหารเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง 4) บริหารและขยายพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้สอดคล้องกับความยั่งยืน 5) สร้างองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรมเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และ 6) พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศบนรากฐานสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (2) การจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย อก. เห็นควรจัดตั้งกองทุนฯ เพื่อรักษาและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และป้องกันการสูญเสียโอกาสในการลงทุนด้านอุตสาหกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน 2) เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหรือความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการโรงงาน 3) ให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานกู้ยืมเงินเพื่อการปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษให้มีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม 4) ปรับปรุงระบบหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัยภายในโรงงาน และ 5) ช่วยเหลือและอุดหนุนกิจการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากปัญหาที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน ทั้งนี้ อก. อยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าวได้ 3.2 ความเห็นที่ประชุม เห็นควรพิจารณารายละเอียดเรื่องการจัดตั้งกองทุนฯ อย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่น ๆ รวมทั้งเห็นควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์/รายละเอียดของกองทุนฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความชัดเจน 3.3 มติที่ประชุม เห็นชอบในหลักการของกรอบแผนปฏิบัติการ ด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (พ.ศ. 2566-2570) และการจัดตั้งกองทุนฯ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และมอบหมาย อก. พิจารณาในรายละเอียดโดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 4. กลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานของ กอช. ที่ประชุมอนุมัติการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กอช. จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม คณะอนุกรรมการด้านอุตสาหกรรมยั่งยืน และคณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ กอช. สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาอุตสาหกรรม รวมถึงสนับสนุนให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 5. ประเด็นมอบหมายหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ สรุปได้ ดังนี้ มาตรการ/ดำเนินงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (1) ยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมและส่งเสริมให้เกิดพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (1.1) ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ เช่น (1.1.1) ปรับสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร และยานยนต์สมัยใหม่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) (1.1.2) ศึกษาแนวทางการดึงดูดการลงทุนและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กระทรวงแรงงาน อก. สกท. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) (1.1.3) สร้างกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี เช่น การแลกเปลี่ยนบุคลากรผ่านโครงการ Talent Mobility Program อว. สกพอ. (1.2) การยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะกลางน้ำและปลายน้ำ เช่น (1.2.1) ให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ลงทุนด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเพื่อส่งเสริมผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์เดิมและยกระดับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนตไฟฟ้า สกท. (1.2.2) เชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อว. อก. สกพอ. (1.2.3) สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และขยายตลาดไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ กระทรวงการคลัง (กค.) อว. อก. (1.2.4) สนับสนุนทางด้านการเงิน ได้แก่ มาตรการเสริมแกร่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนและกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และปัญญาประดิษฐ์สำหรับภาคเอกชน อว. อก. สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) (1.3) สร้างผู้ประกอบการ Startup และพัฒนาบุคลากรด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะให้มีความรู้และต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น (1.3.1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะให้กับผู้ประกอบการ เช่น การออกแบบวงจรรวมและวงจรดิจิทัล อว. อก. (1.3.2) พัฒนาหลักสูตรร่วมระหว่างสถาบันการศึกษากับภาคเอกชนในการพัฒนาบุคลากรด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและวิศวกรรมซอฟต์แวร์ อว. อก. (1.3.3) กำหนดมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและวิศวกรรมซอฟต์แวร์ อว. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) อก. (2) กระตุ้นอุปสงค์เพื่อสร้างตลาดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในประเทศและต่อยอดการสร้างหรือพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.1) สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการจัดซื้อจัดจ้างใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.1.1) สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยใช้ผลิตภัณฑ์และการติดตั้งระบบโดยผู้ประกอบการในประเทศ กค. อว. อก. (2.1.2) ส่งเสริมให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะสามารถขึ้นบัญชีนวัตกรรม อว. อก. (2.2) กระตุ้นอุปสงค์การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของภาคเอกชนและภาครัฐในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (2.2.1) สนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้มีการประยุกต์ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูลในโรงงานเพื่อยกระดับไปสู่โรงงานอัจฉริยะ ดศ. อว. อก. (2.2.2) สนับสนุนการประยุกต์ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในภาคการเกษตรเพื่อยกระดับสู่การทำเกษตรอัจฉริยะโดยส่งเสริมให้เกษตรรุ่นใหม่นำระบบหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะมาใช้ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ โดยการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพร้อมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาร่วมกับการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการเกษตรอัจฉริยะ กค. อว. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ดศ. อก. (3) สร้างและพัฒนาระบบนิเวศน์สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3.1) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสร้างระบบนิเวศน์ให้กับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่น (3.1.1) ดึงดูดการลงทุนในอพลตฟอร์มเทคโนโลยีการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่าง ๆ สู่โลกอินเทอร์เน็ต (Intermet of Things: IoT) จากบริษัทต่างชาติ เช่น Google และอาลีบาบา เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ อว. ดศ. (3.1.2) จัดทำระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่น ฐานข้อมูลด้านกำลังคน ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ด้านเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ และด้านห้องปฏิบัติการ เพื่อให้บริการบริษัทเอกชนหรือผู้ประกอบการที่ทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรม อว. อก. (3.2) ส่งเสริมการผลิตด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ, IoT,5G และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อยกระดับและเพิ่มผลิตภาพให้กับอุตสาหกรรมไทยโดยสนับสนุนด้านเงินทุน ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและกองทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ กค. อว. ดศ. อก. (3.3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและพัฒนาระบบการบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่การจัดเก็บรวบรวม การขนส่ง การถอดแยก การรีไซเคิล และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ อก. 6. ประเด็นมอบหมายหน่วยงานตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ฯ สรุปได้ ดังนี้ มาตรการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (1) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่กัญชง เช่น อว. กษ. กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อก. (1.1) พัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีให้รองรับในระดับอุตสาหกรรมโดยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมกัญชง เพื่อสนับสนุนและเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงตลอดห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มขีดความสามารถให้ได้มาตรฐานสากลให้แก่ผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (1.2) ส่งเสริมนวัตกรรมและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขึ้นทะเบียนนวัตกรรมเพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ (2) ส่งเสริมการผลิตและแปรรูปเชิงพาณิชย์ เช่น อว. กษ. ดศ. พณ. กระทรวงมหาดไทย (มท.) สธ. อก. (2.1) เพิ่มขีดความสามารถบุคลากรตลอดห่วงโซ่กัญชง โดยสร้างผู้ประกอบการให้มีความรู้และทักษะในการต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่ากัญชงตั้งแต่การยกระดับเกษตรกรในการปลูกพืชเชิงอุตสาหกรรม กฎระเบียบทางการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการยกระดับบุคลากรภาคการผลิตให้ตรงความต้องการ (2.2) ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการทั้งด้านผลิตภาพและนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจให้รองรับการตลาดสมัยใหม่ (3) ส่งเสริมด้านการตลาด เช่น อว. กษ. ดศ. พณ. สธ. อก. (3.1) สร้างช่องทางการตลาดผ่านการจัดงานการค้ากัญชงระดับโลกเพื่อประชาสัมพันธ์ว่าไทยมีความพร้อมด้านการแปรรูปพืชกัญชงและเป็นผู้นำการแปรรูปและศูนย์กลางข้อมูลกัญชงในอาเซียน รวมทั้งสร้างพันธมิตรทางการค้าและเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ (3.2) พัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการตรวจติดตามและกำกับดูแลกัญชงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเริ่มจากแปลงปลูก การวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญและการนำไปใช้ประโยชน์ทางอุตสาหกรรมหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม (4) สร้างปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการประกอบการ เช่น กค. อว. กษ. ดศ. พณ. สธ. สสว. (4.1) พัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยจัดตั้งหน่วยวิจัยร่วมในการปรับปรุงกฎระเบียบ เช่น การวิจัยปรับปรุงมาตรฐานปริมาณการปนเปื้อนสาร CBD (4.2) ปรับปรุงและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกัญชงให้เกิดการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเป็นการเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน (4.3) สร้างความมั่นคงภาคเกษตร โดยสนับสนุนการดำเนินการเกษตรพันธสัญญา เกษตรอัจฉริยะ ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการออนไลน์และการส่งเสริมการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ให้ได้มาตรฐานสากล (4.4) พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้และข้อมูลเทคโนโลยีนวัตกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการนำงานวิจัยพืชกัญชงไปสู่ระดับอุตสาหกรรม 7. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป เรื่องเดิม 1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหา SEA ดังนี้ 1) ปัญหานโยบายและการดำเนินการ SEA 2) ปัญหากฎหมายและระเบียบที่รองรับหรือบังคับให้หน่วยงานหรือเจ้าของแผนงานต้องจัดทำ SEA 3) ปัญหาหน่วยงานรับผิดชอบหลักการดำเนินการและพัฒนาระบบ SEA 4) ปัญหากระบวนการการจัดทำ SEA และ 5) ปัญหาขีดความสามารถของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำ SEA 2. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ สคช. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ข้อเท็จจริง สศช. ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการ SEA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาประเด็นการขับเคลื่อน SEA พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินการในแต่ละปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะด้าน SEA สรุปได้ดังนี้ ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะ ผลการพิจารณา 1. ปัญหานโยบายและการดำเนินการ SEA 1.1 คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) มีการประชุมเกี่ยวกับ SEA เพียงปีละ 1 ครั้ง ทำให้การนำระบบ SEA ไปใช้ประโยชน์ล่าช้ากว่าแผนการปฏิรูปประเทศ ดังนั้น กพย. ควรให้ความสำคัญกับ SEA เพื่อให้สอดรับกับการปฏิรูปในเรื่อง SEA และ สศช. ควรให้ความสำคัญกับ SEA ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วย สคช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับ ข้อเสนอแนะดังกล่าวโดยให้ความสำคัญกับ SEA และนำเสนอ กพย. เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าในการดำเนินการ SEA อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สำหรับประเด็นการขับเคลื่อน SEA ได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 จนถึงฉบับที่ 12 แต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เป็นต้นไป จะอยู่ในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ (คณะกรรมการพัฒนาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ : กสย.) ตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... [อยู่ระหว่าง สศช. ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)] 1.2 คณะกรรมการระดับนโยบายในรายสาขาหรือเชิงพื้นที่หรือคณะกรรมการที่ ครม. มอบหมายให้ทำหน้าที่กำหนดแผนงานในรายสาขาหรือเชิงพื้นที่ยังกำหนดไม่ครอบคลุมแผนงานของหน่วยงานที่ต้องจัดทำ SEA จึงควรกำหนดให้ครอบคลุมตามลำดับความสำคัญของหน่วยงานที่ต้องจัดทำ SEA ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สคช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดยคณะกรรมการระดับนโยบายในรายสาขาฯ จะมีหน้าที่และอำนาจตามที่กฎหมายระบุ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุให้คณะกรรมการดังกล่าวจะต้องพิจารณาในเรื่อง SEA ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... [อยู่ระหว่าง สศช. ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)] ให้การจัดทำนโยบายและแผนโดยนำ SEA มาเป็นเครื่องมือในการประกอบการดำเนินงาน 1.3 แผนและแผนงานรวมทั้งโครงการของรัฐที่สำคัญบางโครงการไม่มีการจัดทำ SEA มาก่อน และ SEA บางรายสาขาได้จัดทำมานานแล้ว ดังนั้น รายงาน SEA ที่ได้มักไม่บูรณาการกับสาขาอื่น ๆ ครม. จึงควรสั่งการให้มี SEA ของแผนและโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินการ เช่น แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ และรัฐบาลควรให้ สศช. พัฒนาระบบ SEA ให้สมบูรณ์ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดย สศช. ได้ผลักดัน SEA ให้เป็นระบบโดยยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... เพื่อกลั่นกรองและกำหนดแผนให้ต้องจัดทำ SEA และ สศช. ได้หารือกับสำนักงบประมาณในการสนับสนุนเรื่องการจัดทำ SEA ของหน่วยงานที่ร่างระเบียบฯ ดังกล่าวกำหนดให้ต้องมีการจัดทำ SEA อย่างไรก็ตาม ร่างระเบียบฯ ดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้มีการจัดทำ SEA กับโครงการขนาดใหญ่เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ต้องมีการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจัดทำ SEA และอาจไม่สามารถนำมาใช้บังคับกับการจัดทำแผนด้วย SEA สำหรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้ เนื่องจากมีพระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ 2. ปัญหากฎหมายและระเบียบ ปัจจุบันร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ดังนั้น ครม. ควรเร่งให้ความเห็นชอบร่างระเบียบฯ เพื่อให้ระบบ SEA ดำเนินการไปได้ ควรเพิ่มปลัดกระทรวงสาธารณสุขในคณะกรรมการพัฒนาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (กสย.) และควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เพื่อเพิ่มอำนาจให้แก่ สศช. ในการจัดทำและติดตาม SEA สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวซึ่งขณะนี้ สศช. อยู่ระหว่างการนำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... เสนอ กพย. พิจารณาและนำเสนอ ครม. ต่อไป และได้เพิ่มปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็น กสย. ในร่างระเบียบฯ ดังกล่าวแล้วสำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 การดำเนินการขับเคลื่อนงานและการติดตามประเมินผล SEA จะอยู่ภายใต้กลไกของ กสย. โดยมี สศช. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ ตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ 3. ปัญหาหน่วยงานรับผิดชอบหลัก หน่วยงานหลักที่เหมาะสมที่สุดในการรับผิดชอบ SEA ขณะนี้ คือ สศช. ซึ่งยังขาดบุคลากรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญทางด้าน SEA และยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณารายงาน SEA ให้อยู่ในมาตรฐานดังนั้น สศช. ต้องเร่งเสริมสร้างขีดความสามารถด้านบุคลากรเพื่อเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ SEA ต่อไป สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดย สศช. ได้พัฒนาความรู้และประสบการณ์ด้าน SEA ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้าน SEA ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการจัดทำโครงการขับเคลื่อน SEA ร่วมกับที่ปรึกษาในประเทศ และโครงการ SEA นำร่องร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีศักยภาพและความรู้ในการทำ SEA และจัดทำรายการตรวจสอบ (Check list) ของ SEA เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาคุณภาพของรายงาน SEA 4. ปัญหากระบวนการการจัดทำ SEA 4.1 ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในแผนและแผนงานต้องเป็นผู้มีส่วนร่วมใน SEA แต่ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจและไม่เห็นความสำคัญของ SEA ดังนั้น สศช. ต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของ SEA สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดย สศช. ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่อง SEA และจัดทำคู่มือเพื่อการสื่อสารสาธารณะ (คู่มือ SEA ฉบับประชาชน) โปสเตอร์และวิดีทัศน์ ทั้งในระดับประชาชนทั่วไปและหน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 4.2 ปัจจุบันยังไม่มีการกลั่นกรองและกำหนดแผนหรือแผนงานที่สมควรต้องทำ SEA สำหรับหน่วยงานที่สำคัญและมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น สศช. ควรเร่งกลั่นกรองและกำหนดแผนหรือแผนงานที่สมควรต้องทำ SEA สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดยการกลั่นกรองเพื่อกำหนดประเภทของแผนที่ต้องทำ SEA ได้กำหนดไว้ในร่างระเบียบฯ ประกอบด้วย 8 แผน ได้แก่ 1) คมนาคม 2) พลังงาน 3) อุตสาหกรรม 4) ทรัพยากรน้ำ 5) ผังเมือง 6) เขตพัฒนาพิเศษและเขตเศรษฐกิจพิเศษ 7) ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ 8) ทรัพยากรป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ รายชื่อของแผนจะมีการออกเป็นประกาศกำหนดในรายละเอียดต่อไป 4.3 รายงาน SEA ของแผนหรือแผนงานของหน่วยงานเจ้าของแผน และ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดย สศช. ได้จัดทำเว็บไซต์ http://sea.nesdc.go.th แผนงานที่จัดทำเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่ยังไม่มีการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเปิดเผยต่อสาธารณชน ดังนั้น สศช. ควรเผยแพร่รายงาน SEA ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างน้อยต้องผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ด้าน SEA และประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อน SEA ของประเทศ โดยมีรายงาน SEA ที่ได้รวบรวมไว้ ตั้งแต่ปี 2541 มีจำนวนทั้งสิ้น 22 โครงการ 5. ปัญหาขีดความสามารถของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานเจ้าของแผนหรือแผนงานซึ่งต้องรับผิดชอบในการจัดทำ SEA ยังขาดความรู้และความเข้าใจ ขาดงบประมาณและบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการจัดทำ SEA ดังนั้น สศช. ควรเป็นหน่วยงานหลักในการให้ความรู้เกี่ยวกับ SEA และควรช่วยเหลือสนับสนุนการขอตั้งงบประมาณของหน่วยงานที่ต้องจัดทำ SEA สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าวโดย สศช. เป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินการตามภารกิจ SEA ได้เตรียมการรองรับภารกิจดังกล่าว ดังนี้ 1) การสร้างความรู้ความเข้าใจในด้าน SEA โดยจัดสัมมนา จัดทำและเผยแพร่วิดีทัศน์ให้แก่ประชาชนทั่วไป 2) การเสริมสร้างขีดความสามารถและการเรียนรู้ โดยจัดฝึกอบรมทางวิชาการด้าน SEA 3 ระดับ สำหรับผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3) การเตรียมการในเรื่องผู้เชี่ยวชาญ SEA ซึ่งคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและการมีส่วนร่วมจะได้มีการทำรายชื่อผู้เชี่ยวชาญ SEA ต่อไป และ 4) การสร้างความพร้อมของหน่วยงานสำหรับ SEA โดย สศช. ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำ SEA เช่น กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งการช่วยเหลือสนับสนุนในการขอตั้งงบประมาณของหน่วยงานที่ต้องจัดทำ SEA โดย สศช. มีแนวทางที่จะหารือกับสำนักงบประมาณที่จะให้การสนับสนุนในการขอรับการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานที่ต้องจัดทำ SEA 8. เรื่อง การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2566 พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2566 ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 - 3 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้านเสถียรภาพการเงิน ในฐานะรองประธาน กนง. ได้ประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 และได้เห็นชอบร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มในระยะข้างหน้าในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลกและไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการลดลงของอุปทานพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับสูงขึ้น ได้แก่ (1) ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก และ (2) การส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าจะปรับลดและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในปี 2566 เมื่อแรงกดดันด้านอุปทานดังกล่าวทยอยคลี่คลายลง แต่อัตราเงินเฟ้อไทยในระยะปานกลางยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ การทวนกระแสโลกาภิวัฒน์และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว* ที่อาจเกิดเร็วขึ้น 2. ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 - 3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2566 โดยการกำหนดเป้าหมายในช่วงดังกล่าวยังมีความเหมาะสม เนื่องจาก (1) การคงเป้าหมายเป็นการแสดงถึงความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพราคาอันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนและช่วยยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย (2) ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง การปรับเป้าหมายนโยบายอาจสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเกี่ยวกับแนวนโยบายในระยะข้างหน้า และ (3) การกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีความกว้าง ร้อยละ 2 มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะปานกลาง รวมถึงช่วยเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและปัจจัยที่ส่งผลต่อพลวัตเงินเฟ้อยังมีความไม่แน่นอนสูงกระทรวงการคลัง (กค.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างรายได้ให้กับประชาชน ซึ่ง กนง. มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 3. ข้อตกลงในการติดตามและรายงานผลการดำเนินนโยบาย รวมถึงการหารือร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายการเงิน กค. และ ธปท. จะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้ง 2 หน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน และสามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินโยบายการเงินในอนาคต 4. ข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 (ข้อมูล ธปท. ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับ 6.3) และมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปี 2566 อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ ภายนอกประเทศ การส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ ที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคตได้ ดังนั้น กนง. จะติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว รวมถึงประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไป เพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมายและจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร 5. ข้อตกลงในการแก้ไขเป้าหมายนโยบายการเงินหากมีเหตุจำเป็น ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา _________________________________________ * เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความพยายามในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแทนการแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียวและการดำเนินธุรกิจที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองและก่อมลพิษ โดยตั้งอยู่บนฐานของการพัฒนาแบบยั่งยืนและคำนึงถึงความสัมพันธ์ของระบบนิเวศและเศรษฐกิจ 9. เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงขององค์การเภสัชกรรม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอการขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงของพนักงานองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ดังนี้ ระดับ1 อัตรา (บาท) อัตราเดิม อัตราใหม่ (ข้อเสนอในครั้งนี้)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on December 27, 2022
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 The cabinet met on December 27, 2022 The cabinet met on December 27, 2022. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Royal Decree issued under the Revenue Code Regarding Specific Business Tax Exemption (No. …) B.E. … (Specific business tax exemption for Office of SMEs Promotion (OSMEP)’s SMEs Support Program loan through Small and Medium Enterprises (SMEs) Promotion Fund) The cabinet approved the draft Royal Decree issued under the Revenue Code Regarding Specific Business Tax Exemption (No. …) B.E. … (Specific business tax exemption for Office of SMEs Promotion (OSMEP)’s SMEs Support Program loan through Small and Medium Enterprises (SMEs) Promotion Fund), as proposed by Ministry of Finance. Gist The draft Royal Decree prescribes specific business tax exemption for Office of SMEs Promotion (OSMEP)’s SMEs Support Program loan through Small and Medium Enterprises (SMEs) Promotion Fund, which is earlier approved by the cabinet on August 20, 2019. This shall take effect from September 1, 2020 onward. Title: Guidelines on promotion of right to health for migrant workers and stateless children The cabinet acknowledged resolutions of the National Health Commission (NHC) on the right to health of migrant workers and stateless children, and assigned concerned agencies, i.e., Ministry of Interior, Ministry of Foreign Affairs, Ministry of Labor, Ministry of Public Health, Ministry of Social Development and Human Security, the Royal Thai Police, Social Security Office, Office of National Security Council, Office of National Economic and Social Development Council, National Health Security Office, and local authorities to proceed with the NHC’s resolutions. Gist NHC’s resolution on the right to health of migrant workers will be a guideline for the protection of right to health and fair access to healthcare services of migrant workers in Thailand. NHC views that a number of actions needs to be implemented in order to protect their right to health, i.e., integration of migrant worker management strategy in the national development plan, drafting of migrant workers’ health related law to ensure their access to health security and services as economic citizens, and development of health security scheme that covers migrant workers of all groups. NHC’s resolution on the right to health of stateless children sets the guideline for the protection of right to health and fair access to healthcare services of stateless children in Thailand in accordance with the human rights principles and international conventions. Actions that need to be undertaken include development and improvement of birth certification/registration criteria and procedure for stateless children, law revision, public healthcare service development, and provision of basic medical privileges. NHC is of the view that the above guidelines and actions should be promptly undertaken to ensure fair, equal, and indiscriminate access of migrant workers and stateless children to health security and basic healthcare services. This is also to prevent spread of the diseases, including the COVID-19, which would impact the nation’s health security and economy. Title: Subsidy for state welfare card holders as New Year gift The cabinet approved a 1-month subsidy for state welfare card holders as the Government’s New Year present. Gist The cabinet has made approval to an allocation of 2.644 billion Baht from the Government’s contingency fund for emergency (FY2023) to mitigate financial burden of 13.2 million state welfare card holders through the additional subsidy of 200 Baht/person for 1 month (January 2023). With the additional subsidy, 3.54 million state welfare card holders, who have been supported with 200 Baht/person/month subsidy will receive the total of 400 Baht/person/month, and another 9.68 million, who have been supported with 300 Baht/person/month subsidy will receive the total of 500 Baht/person/month in January 2023. The reason behind this approval is to boost purchasing power of low-income earners. Although the COVID-19 situation has eased, global economic situation remains unstable. With the high inflation rate and continued gasoline price hike, the country’s consumer prices have increased, which directly impact state welfare card holders who are vulnerable to poverty. Title: Free insurance for members of National Village and Urban Community Fund The cabinet acknolwledged a proposal of Office of the Prime Minister on provision of free insurance for members of National Village and Urban Community Fund during the 2023 New Year holiday. Dhipaya Insurance Public Company Limited’s “micro insurance”, with the coverage of 100,000 Baht and coverage period of 30 days after the registration date, will be offered to members of National Village and Urban Community Fund throughout the country during the 2023 New Year holiday, as a New Year gift from the Government. Those who are interested may register for the free coverage during December 25-31, 2022. Further detail can be obtained via Hotline 1736. Title: Rename of Kazakhstan’s capital The cabinet acknowledged the change of official name of Kazakhstan’s capital from “Nur-Sultan” to “Astana”, and Ministry of Foreign Affairs’ relevant protocol to change the name of the Royal Thai Embassy in Nur-Sultan to the Royal Thai Embassy in Astana. Gist On January 28, 2020, the cabinet acknowledged the change of official name of Kazakhstan’s capital from “Astana” to “Nur-Sultan” in honor of the 1st Kazakh President Nursultan Nazarbayev, according to which Ministry of Foreign Affairs proceeded with relevant protocol to rename the Royal Thai Embassy in the country. Later in 2022, however, the Kazakhs voted for constitutional changes in a referendum, and the decision has been made to rename the country’s capital back to “Astana”.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 สรรพากรขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครม.มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 2 มาตรการ เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุข้อเสนอการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDCs) ในการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปี พ.ศ. 2573 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 2 มาตรการ เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุข้อเสนอการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDCs) ในการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามข้อตกลงปารีส เป้าหมายประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยลดภาวะโลกร้อน และการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียวจึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการภาษี ทั้ง 2 มาตรการ ดังนี้ 1. มาตรการเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายคาร์บอนเครดิตในประเทศตามโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป็นระยะเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน 2. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีของบุคคลธรรมดาให้สามารถหักลดหย่อนเงินที่บริจาคให้แก่กรมป่าไม้ เพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคแต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ และยังคงสิทธิการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินบริจาคของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคให้แก่กรมป่าไม้เพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้เช่นเดิม โดยการบริจาคทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร (e-Donation) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการเติบโตอย่างยั่งยืน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วย”หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ รองนายกฯ พล.อ. ประวิตรฯ ถกกองทุนพัฒนากีฬา เล็งความต่อเนื่องพัฒนาต้นกล้านักกีฬาสู่นักกีฬาทีมชาติ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ​ รองนายกฯ พล.อ. ประวิตรฯ ถกกองทุนพัฒนากีฬา เล็งความต่อเนื่องพัฒนาต้นกล้านักกีฬาสู่นักกีฬาทีมชาติ กระตุ้นท่องเที่ยวเชิงกีฬา วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) เวลา 10.45 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ณ ห้องประชุม คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผ่านระบบ TVC โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญ ประกอบด้วย รายงานการสนับสนุนงบประมาณ กกท. โครงการส่งเสริมกิจกรรมกีฬาสร้างเศรษฐกิจ การจัดทำแผนแม่บทด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของกองทุน การพิจารณาให้ทุนการศึกษาของนักกีฬาและบุคลากรกีฬา ปีการศึกษา 2565 โครงการพัฒนากีฬามวยไทยให้มีความนิยมและมีมาตรฐานเดียว โดยร่วมกับสหพันธ์กีฬามวยไทยที่ IOC รับรอง จากนั้น ได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ แผนงานสำคัญ ประกอบด้วย การสนับสนุนระบบการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับชาติ/นานาชาติ การส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมและเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การสร้างกระแสกีฬาจากการแข่งขันกีฬา การสนับสนุนเงินรางวัลสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย และรางวัลกีฬาตัวสำรองเพิ่มเติม ของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ปี 2565 รวมทั้งการสนับสนุนตามนโยบายคณะกรรมการบริหารกองทุน เช่น กิจกรรม Muaythai Soft Power กิจกรรม Sport Tourism, Sport Entertainment พล.อ.ประวิตรฯ เน้นย้ำ ขอให้ร่วมกันพิจารณาขยายผล โครงการ Sport Hero เพื่อร่วมกันหาช้างเผือกและสร้างนักกีฬาในทุกชนิดกีฬา ตั้งแต่เด็ก ส่งต่อสู่เยาวชนให้มีความต่อเนื่องกันไป โดยขอให้ทุกสมาคมพัฒนาและใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์การกีฬามากขึ้น ทั้งนี้ขอให้ปลูกฝังและกำกับไม่ให้มีการใช้สารกระตุ้นโดยเด็ดขาด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สธ. เผย งบบัตรทองลงนามจัดสรรแล้ว หน่วยบริการได้รับไม่เกิน 6 ม.ค. 66 ส่วนบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคผู้อยู่นอกสิทธิ สธ.- สปสช.จะร่วมกันดูแล
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 รองปลัด สธ. เผย งบบัตรทองลงนามจัดสรรแล้ว หน่วยบริการได้รับไม่เกิน 6 ม.ค. 66 ส่วนบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคผู้อยู่นอกสิทธิ สธ.- สปสช.จะร่วมกันดูแล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย งบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีการลงนามให้จัดสรรแล้ว หน่วยบริการทุกแห่งจะได้รับเงินไม่เกินวันที่ 6 มกราคม 2566 นี้ ส่วนการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคแก่ประชาชนที่อยู่นอกสิทธิบัตรทอง มติที่ประชุมคณะกรรมการร่วม สธ.-สปสช. รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย งบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีการลงนามให้จัดสรรแล้ว หน่วยบริการทุกแห่งจะได้รับเงินไม่เกินวันที่ 6 มกราคม 2566 นี้ ส่วนการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคแก่ประชาชนที่อยู่นอกสิทธิบัตรทอง มติที่ประชุมคณะกรรมการร่วม สธ.-สปสช. เห็นชอบให้หน่วยบริการของ สธ.ดูแลประชาชนกลุ่มที่อยู่ในความรับผิดชอบเดิม ส่วนกลุ่มที่อยู่นอกเหนือจากนี้ สปสช. จะเร่งประสานหน่วยบริการนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจัดบริการ เพื่อให้ได้รับบริการต่อเนื่องและเท่าเทียมกัน นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดสรรงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2566 ว่า วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามให้สปสช.ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการต่างๆ แล้ว โดยสปสช.กำหนดจะจัดสรรให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 6 มกราคม 2566 เพื่อให้หน่วยบริการได้ใช้ในการจัดบริการแก่ประชาชนในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต่อไป สำหรับงบในส่วนการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้กับผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทอง ซึ่งสปสช.ต้องชะลอการจัดสรร เนื่องจากต้องรอการพิจารณาของกฤษฎีกาว่าสามารถนำไปดำเนินการในลักษณะดังกล่าวได้หรือไม่ พบว่า มีการนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนว่า สปสช.ให้ประชาชนกลุ่มนอกสิทธิบัตรทองที่ต้องการรับบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเข้าโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขก่อน จนกว่ามีความชัดเจนทางกฎหมาย ซึ่งได้ตรวจสอบกับ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เข้าประชุมคณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระดับประเทศ (คณะกรรมการ7x7) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ยืนยันว่าข่าวดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจริง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองเกิดความเข้าใจผิดและเกิดปัญหาในการเข้ารับบริการได้ นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงคือ คณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการจัดบริการเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบระหว่างรอการพิจารณาของกฤษฎีกา โดยมีมติเห็นชอบร่วมกัน ดังนี้ 1) หน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จะจัดบริการให้กับประชาชนทุกคนทุกสิทธิ์ที่เคยรับผิดชอบดูแล เพื่อประชาชนได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง ส่วนประชาชนนอกสิทธิบัตรทองที่เคยรับบริการกับหน่วยบริการอื่นนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สปสช. จะเป็นผู้ประสานให้จัดบริการเช่นเดียวกัน เพื่อไม่ให้มีช่องว่างในการให้บริการ 2) งบบริการในส่วนของผู้ป่วยนอก (OP) ผู้ป่วยใน (IP) ทั้งหมด และงบด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) ในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ให้จัดสรรให้กับหน่วยบริการ ภายในวันที่ 6 มกราคม 2566 และ 3) ให้หน่วยบริการทุกภาคส่วน ส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายทุกสิทธิตามระบบเดิม เมื่อมีข้อชัดเจนทางกฎหมายในการจัดบริการกลุ่มนอกสิทธิบัตรทองแล้ว สปสช.จะได้โอนเงินจ่ายชดเชยบริการให้ทันที ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. จะหารือในการดำเนินงานและติดตามแก้ไขปัญหาอุปสรรคร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดบริการประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ************************************* 28 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา พื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา พื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยรับทราบประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีเนื้อที่รวมกว่า 3 ล้านไร่ ครอบคลุม 8 อำเภอใน จ.สงขลา 5 อำเภอใน จ.พัทลุง และ 2 อำเภอใน จ.นครศรีธรรมราช เป็นทะเลสาบแบบลากูนขนาดใหญ่แห่งเดียวของประเทศไทยและมีเพียง 117 แห่งทั่วโลก การประกาศเป็นพื้นที่พิเศษนี้ จะช่วยให้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้รับการพัฒนาด้วยหลักวิชาการ มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารการพัฒนา มีกลไกในการบริหารอย่างบูรณาการร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน เพื่อคงรักษาคุณค่าของทรัพยากรทางธรรมชาติและความโดดเด่นของพื้นที่ ให้เป็นพื้นที่ศักยภาพสูงเพื่อการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2566 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565 ครม.มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และ รมว.คลัง เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 28/8 แห่ง พ.ร.บ.ธปท. พ.ศ.2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ธปท. (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 สรุปได้ ดังนี้ 1. กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับปี 2566 2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะประธาน กนง. ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2566 โดยข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้ 2.1 ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มในระยะข้างหน้า ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการลดลงของอุปทานพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตโลก (Global Supply Chains) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน (Cost-Push Shocks) เป็นสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทย ได้แก่ (1) ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก และ (2) การส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการ อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าจะปรับลดลงและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในปี 2566 เมื่อแรงกดดันด้านอุปทานดังกล่าวทยอยคลี่คลายลง แต่อัตราเงินเฟ้อไทยในระยะปานกลางยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่อาจเกิดเร็วขึ้น 2.2 ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2566 ไว้ที่ร้อยละ 1 - 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 - 3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2566 โดยการกำหนดเป้าหมายที่ร้อยละ 1 - 3 ดังกล่าวยังมีความเหมาะสม เนื่องจาก (1) การคงเป้าหมายเป็นการแสดงถึงความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพราคา อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนและช่วยยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย (2) ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง การปรับเป้าหมายนโยบายอาจสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเกี่ยวกับแนวนโยบายในระยะข้างหน้า และ (3) การกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีความกว้างร้อยละ 2 มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะปานกลาง รวมถึงช่วยเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและปัจจัยที่ส่งผลต่อพลวัตเงินเฟ้อยังมีความไม่แน่นอนสูง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้มีความสอดประสานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้สามารถบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว และทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างรายได้ให้กับประชาชน ซึ่ง กนง. มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 2.3 ข้อตกลงในการติดตามและรายงานผลการดำเนินนโยบาย รวมถึงการหารือร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายการเงิน กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต 2.4 ข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปี 2566 อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ ภายนอกประเทศ การส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคตได้ ดังนั้น กนง. จะติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว รวมถึงประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือนหากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร 2.5 การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา กองนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3234
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” เผย นายกฯ ปลื้มนโยบาย Medical Hub ดันความมั่นคงด้านสุขภาพของไทยติดอันดับโลก กำชับสร้างรายได้เข้าประเทศควบคู่กับการดูแลสุขภาพประชาชน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 “ธนกร” เผย นายกฯ ปลื้มนโยบาย Medical Hub ดันความมั่นคงด้านสุขภาพของไทยติดอันดับโลก กำชับสร้างรายได้เข้าประเทศควบคู่กับการดูแลสุขภาพประชาชน “ธนกร” เผย นายกฯ ปลื้มนโยบาย Medical Hub ดันความมั่นคงด้านสุขภาพของไทยติดอันดับโลก กำชับสร้างรายได้เข้าประเทศควบคู่กับการดูแลสุขภาพประชาชน มั่นใจรายได้ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ตั้งแต่ 2566-2570 วันที่ 28 ธันวาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบาย Medical Hub หรือการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่ส่งผลให้การแพทย์และการสาธารณสุขของไทย เป็นที่ยอมรับทั้งด้านศักยภาพและความพร้อมในระดับโลก กลายเป็นจุดแข็งดึงดูดประชากรโลกและนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศทั้งเพื่อการพักผ่อนและการรักษาตัว ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา Medical Tourism Association จัดอันดับให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยติดอันดับ 5 ของโลก เกิดจากแพทย์ไทยมีศักยภาพและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ คุณภาพและมาตรฐานการรักษาระดับสากล ค่ารักษาพยาบาลสมเหตุสมผล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมด้าน Wellness ทั้งการนวดไทย สปา ผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ซึ่งเป็น Soft power ไทยที่สร้างความประทับใจ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและรายได้เข้าประเทศไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมเป็นเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทประเด็นด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Wellness ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2566-2570 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยังได้เปิดเผย รายได้จาก Medical Hub ในปี 2564 โดยอ้างอิงข้อมูลสำรวจธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขมีมูลค่าถึง 11,903 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจภาคเอกชน ที่คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วด้วยมูลค่าเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบาย Medical Hub มีเป้าหมายหลัก คือ 1. เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) เช่น นวดไทยเพื่อสุขภาพ สปาเพื่อสุขภาพ น้ำพุร้อน 2. ศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) เช่น การบริการการรักษาเฉพาะทาง การตรวจสุขภาพทันตกรรม ศัลยกรรมตกแต่งและเสริมความงาม บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 3. ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) เช่น การพัฒนาทางด้านการศึกษา การจัดประชุมวิชาการนานาชาติ สามารถสร้างองค์ความรู้ต่อยอดด้านการแพทย์ในประเทศได้ ตลอดจนมีการจัดประชุมต่าง ๆ ช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ได้อีกด้วย และ 4.ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) เช่น การพัฒนายาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอาง อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ การดำเนินโยบายและมาตรการด้านสาธารณสุข และนโยบาย Medical Hub นอกจากจะช่วยคนไทยทั้งประเทศให้มีระบบสาธารณสุขที่ดี มีศักยภาพ ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แล้ว ยังจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ามหาศาล ลดการพึ่งพิงการนำเข้ายา เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์จากต่างประเทศ สร้างประโยชน์ด้านสาธารณสุขของไทยอย่างยั่งยืน “ท่านนายกฯ ผลักดันนโยบาย Medical Hub ผ่านกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้การบริการการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นอุตสาหกรรมการบริการชั้นนำของภูมิภาคและของโลก สร้างรายได้เข้าประเทศ พร้อม ๆ กับการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนในประเทศ ด้วยการยกระดับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขยายนโยบาย 30 บาททุกที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ช่วยผู้ป่วยสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ เพราะสุขภาพของประชาชนคือความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกันการสาธารณสุขยังเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอีกด้วย” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยทันใจรับปีใหม่ ฝากปุ๊บ รับดอกเบี้ยล่วงหน้าทันที 1.25%
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ธ.ก.ส. เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยทันใจรับปีใหม่ ฝากปุ๊บ รับดอกเบี้ยล่วงหน้าทันที 1.25% ธ.ก.ส. เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยทันใจ ฝากปุ๊บ รับดอกเบี้ยล่วงหน้าไปใช้จ่ายช่วงปีใหม่ทันที 1.25 % ณ วันที่ฝาก ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 แสนบาท สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาท ยกเว้นดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา ระยะเวลาฝาก 11 เดือน ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มกราคม 2566 ธ.ก.ส. เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยทันใจ ฝากปุ๊บ รับดอกเบี้ยล่วงหน้าไปใช้จ่ายช่วงปีใหม่ทันที 1.25 % ณ วันที่ฝาก ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 แสนบาท สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาท ยกเว้นดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา ระยะเวลาฝาก 11 เดือน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มกราคม 2566 ​ นายศรัทธา อินทรพรหม ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดตัวเงินฝากออมทรัพย์ “เงินฝากดอกเบี้ยทันใจ” รับปีใหม่ เพื่อสนับสนุนทางเลือกการออมเงินให้แก่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่สามารถนำดอกเบี้ยล่วงหน้าไปใช้จ่ายได้ทันที โดยเงื่อนไขการฝาก ต้องเป็นบุคคลที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและมีถิ่นที่อยู่ในประเทศ สามารถเปิดบัญชีได้ 1 บัญชี/ราย และเป็นบัญชีเจ้าของเดียว (Single) เท่านั้น โดยรับฝากขั้นต่ำครั้งละ 100,000 บาทขึ้นไป รวมสูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อปี ระยะเวลาฝากเงิน 11 เดือน ทั้งนี้ ผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยล่วงหน้าทันที ณ วันที่ฝาก และยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา เงินฝากครบกำหนดเป็นแบบวันชนวัน เมื่อครบกำหนดธนาคารจะดำเนินการโอนต้นเงินเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คู่โอน ​ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเปิดบัญชี ฝากเงิน หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชีเงินฝากได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาเจ้าของบัญชีเท่านั้น หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มกราคม 2566 (หรือธนาคารแจ้งปิดการรับฝาก)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายผลวิธีกรณีศึกษา 7 ขั้นตอน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ขยายผลวิธีกรณีศึกษา 7 ขั้นตอน “รมว.ตรีนุช” สนอง “บิ๊กตู่” ขยายผลการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยวิธีกรณีศึกษา 7 ขั้นตอน นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เปิดงานเสวนา "การปฏิวัติการทำนาสู่ความยั่งยืน" อำเภอเชียงของ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดย “แอนโทนี่” หรือ นายปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ อายุ 17 ปี ได้นำเสนอเชียงรายโมเดล (เชียงรายเมืองสิ่งแวดล้อมโลก) ด้วยโมเดลการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งแอนโทนี่ได้พรีเซ็นต์อย่างฉะฉาน และที่ผ่านมาก็มีผลงานมากมาย เช่น เมื่อเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้นำเสนอกิจกรรมของโรงเรียน และชุมชนให้แก่คณบดีและอาจารย์คณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำจากงาน 5 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย สปป.ลาว และไทย ซึ่งองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) จัดมาศึกษาดูงานเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีของการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และในขณะที่มีอายุ 15 ปี ได้เป็นผู้ร่วมคิดค้นเทคโนโลยี เครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วแปลงเป็นพลังงานเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไข PM 2.5 ส่งประกวดและเสนอขอการสนับสนุนจาก “อีลอน มัสก์” นักธุรกิจและประดิษฐ์ชื่อดังระดับโลก ซึ่งเปิดการประกวดจากผู้คิดค้นทั่วโลก, เข้าร่วมงานพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างวัยสู่การอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมไทยสร้างรายได้ให้ชุมชน และ เป็นตัวแทนเยาวชนไทย(ยุวทูต) ของ SEAMEO เป็นต้น โดยแอนโทนี่ได้ขอบคุณนายกฯ ที่สนับสนุนกิจกรรมเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และบอกด้วยว่าที่ตนได้พัฒนามาถึงขณะนี้ เพราะการปูพื้นฐานในระดับชั้นประถมศึกษาได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีกรณีศึกษา 7 ขั้นตอน จากโรงเรียนบ้านสันกอง จ.เชียงราย ซึ่งนายกฯ ชื่นชม และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาวิธีการจัดการศึกษาและขยายผลไปยังโรงเรียนอื่น ๆ “ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีกรณีศึกษา 7 ขั้นตอนที่โรงเรียนบ้านสันกอง นำมาใช้พัฒนานักเรียน ดำเนินงานภายใต้ โครงการพัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสู่การพัฒนาชุมชนย่างยั่งยืน ซึ่งสนับสนุนโดยองค์กร Asia-Pacific Cultural Centre for UNESCO (ACCU) ประกอบด้วย 1. การศึกษาชุมชน 2. การศึกษาปัญหาเชิงลึก 3.การนำเสนอปัญหาต่อชุมชน 4. การศึกษาทางเลือกในการแก้ปัญหา 5. การวางแผนงาน/โครงการแก้ปัญหา 6. การลงมือปฏิบัติการแก้ปัญหาตามแผนงาน/โครงการ และ 7.ติดตามประเมินผล และ ชื่นชมความสำเร็จและแนวทางการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง ซึ่งดิฉันจะนำมาขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นๆตามคำแนะนำของนายก ฯ ทั้งนี้ เส้นทางการศึกษาของน้องแอนโทนี่ น่าสนใจมาก โดยแอนโทนี่ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เรียนที่โรงเรียนบ้านสันกอง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ชั้นอนุบาล - ป.6 จากนั้นก็สอบได้ทุนของรัฐบาลจีน ไปเรียนที่ประเทศจีน 1 ปี ก่อนจะกลับมาเรียนต่อที่โรงเรียนนานาชาติเกนส์วิลล์เชียงราย และสอบเทียบ ม.6 GED จาก ประเทศสหรัฐอเมริกา คะแนน IELTs Over All score 6.5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบ่มเพาะทักษะกระบวนการเรียนรู้ คิดเป็น ทำเป็น ที่เชื่อมโยงกับบริบทของท้องถิ่นและโลก เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น ” รมว.ศธ.กล่าว กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานรัฐมนตรี ศธ. : รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลห่วงใยประชาชนช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 เชิญชวนเข้าร่วมโครงการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0” ผ่านแอปพลิเคชัน สะดวก ปลอดภัยในทรัพย์สิน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รัฐบาลห่วงใยประชาชนช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 เชิญชวนเข้าร่วมโครงการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0” ผ่านแอปพลิเคชัน สะดวก ปลอดภัยในทรัพย์สิน รัฐบาลห่วงใยประชาชนช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 เชิญชวนเข้าร่วมโครงการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0” ผ่านแอปพลิเคชัน สะดวก ปลอดภัยในทรัพย์สิน วันที่ 28 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 ตามมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม และอำนวยความสะดวกการเดินทางให้กับประชาชนช่วงวันหยุดยาว รัฐบาลโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมกำลังตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ระดมออกปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อำนวยความสะดวกดูแลประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน การเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน และป้องกันการเกิดเหตุโจรกรรมทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่อยู่บ้านในช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน นางสาวรัชดา กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะนำช่องทางเข้าร่วมโครงการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0” ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ฝากบ้าน 4.0 (OBS)” สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอปฝากบ้าน 4.0 (OBS) เริ่มจาก 1.โหลดแอปฝากบ้าน 4.0 (OBS) 2.ลงทะเบียนกรอกข้อมูล 2.เลือกสถานีตำรวจที่ขอรับบริการฝากบ้าน จากนั้นเลือกเมนู “ฝากบ้าน” แล้วกดเลือก “ฝากบ้านของฉัน” 3.กรอกรายละเอียดคำร้อง 4.ตรวจยืนยันการรับฝากบ้าน นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากการดำเนินโครงการฝากบ้านผ่านแอปพลิเคชันแล้ว ประชาชนที่สามารถเข้าร่วมโครงการด้วยการยื่นแบบฟอร์มเข้าร่วมโครงการฯ ที่สถานีตำรวจที่บ้านในเขตพื้นที่รับผิดชอบได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ขอให้ระมัดระวังอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ 2566 ขอให้ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนเดินทางออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย ป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินภายในบ้าน ขอให้ทำการปิดล็อคประตู และหน้าต่างให้เรียบร้อย ไม่ควรละทิ้งเด็ก หรือผู้สูงอายุให้อยู่บ้านเพียงลำพัง หากต้องออกจากบ้านหลายวันติดต่อกัน ก็ขอเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ “หากพบเห็นการกระทำความผิด หรือต้องการความช่วยเหลือ กรุณารีบแจ้งสถานีตำรวจใกล้บ้านท่าน หรือโทร. สายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนร้ายที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ เข้ามาเพื่อขอรับบริจาค หรือขอรับความช่วยเหลืออื่นๆ ทั้งมาติดต่อที่บ้าน หรือทางออนไลน์ อย่ามอบหรือโอนเงินอย่างเด็ดขาด และไม่เปิดช่องทางให้คนร้ายที่แฝงตัวมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น ช่างไฟฟ้า ประปา เข้ามาในบริเวณบ้านพักอาศัย” นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังชี้แจงกรณีเอกสารปลอมที่เกี่ยวกับบริษัท JN RICH GROUP เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 คลังชี้แจงกรณีเอกสารปลอมที่เกี่ยวกับบริษัท JN RICH GROUP เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ ก.คลังชี้แจงกรณีที่มีเอกสารที่ถูกอ้างว่าเป็นเอกสารซึ่งออกโดย ก.คลัง พร้อมอ้างถึง ธปท.และสมาคมธนาคาร America Banking Association แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นประกาศถึงสมาชิกบริษัท JN RICH GROUP เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม กระทรวงการคลังขอชี้แจงกรณีที่มีเอกสารที่ถูกอ้างว่าเป็นเอกสารซึ่งออกโดยกระทรวงการคลัง พร้อมอ้างถึงธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคาร America Banking Association แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นประกาศถึง “สมาชิกบริษัท JN RICH GROUP ” เรื่องการทำธุรกรรมกับบริษัท JN RICH GROUP เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัท JN RICH GROUP นอกจากนั้น เอกสารดังกล่าวยังมีการอ้างถึงเลขหนังสือ “มท 0810.6/ว3090” ซึ่งไม่ใช่เลขหนังสือราชการของกระทรวงการคลังแต่อย่างใด กระทรวงการคลังขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อเอกสารปลอมดังกล่าว ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างสืบหาข้อเท็จจริงและผลกระทบที่เกี่ยวข้องจากเอกสารปลอมดังกล่าว และจะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายแก่ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อกระทรวงการคลังในทุกกรณี ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงจากกระทรวงการคลัง ได้จากเว็บไซด์ www.mof.go.th และเพจ Facebook กระทรวงการคลัง : Ministry of Finance กระทรวงการคลัง โทร 02 126 5800 https://bit.ly/3hZatxJ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีภาครัฐและเอกชนร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยว ลดค่าบัตรโดยสารทุกสายการบินสำหรับเส้นทางภายในประเทศสูงสุด 20%
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีภาครัฐและเอกชนร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยว ลดค่าบัตรโดยสารทุกสายการบินสำหรับเส้นทางภายในประเทศสูงสุด 20% โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีภาครัฐและเอกชนร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยว ลดค่าบัตรโดยสารทุกสายการบินสำหรับเส้นทางภายในประเทศสูงสุด 20% วันที่ 28ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง ในส่วนของภาคเอกชนโดยสมาคมสายการบินประเทศไทยได้ร่วมกับรัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ด้วยการลดค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งการสนับสนุนจากภาครัฐในการส่งเสริมมาตรการการท่องเที่ยวนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนสายการบินแล้ว ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวอีกด้วย ซึ่ง 7 สายการบินของสมาคมสายการบินประเทศไทย ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาล ร่วมกันจัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเดือนมกราคม 2566 ด้วยการให้ส่วนลดค่าบัตรโดยสารทุกสายการบินสำหรับเส้นทางภายในประเทศสูงสุด 20% โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาชิกสมาคมสายการบินประเทศไทยประกอบด้วย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทยสไมล์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท โดยทั้ง 7 สายการบินจะทยอยจัดโปรโมชั่นบิน เพื่อกระตุ้นการเดินทาง และการใช้จ่ายภายในประเทศ “นายกรัฐมนตรีขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่เห็นแก่ประโยชน์ภาพรวมของประเทศ ร่วมกับรัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่อีกครั้ง ทั้งนี้ นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินอยู่นอกเหนือจากจะลดผลกระทบ และบรรเทาความเดือดร้อนจากความท้าทายต่าง ๆ ที่ส่งผลถึงประชาชน ยังมุ่งที่จะอำนวยความสะดวกสบายให้แก่พี่น้องประชาชน รวมถึงสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฟื้นฟูตัวเลขทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์เดินหน้าประเทศไทยสู่ความมั่นคง ยั่งยืน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เผย สคบ. จับมือผู้ประกอบการ มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ส่งโปรโมชั่นพิเศษทั้งสินค้าและบริการ ตรงใจผู้บริโภค
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รมต.อนุชา เผย สคบ. จับมือผู้ประกอบการ มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ส่งโปรโมชั่นพิเศษทั้งสินค้าและบริการ ตรงใจผู้บริโภค รมต.อนุชา เผย สคบ. จับมือผู้ประกอบการ มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ส่งโปรโมชั่นพิเศษทั้งสินค้าและบริการ ตรงใจผู้บริโภค วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) เวลา 10.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าว สคบ. จับมือผู้ประกอบการ มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน นายอนุชาฯ เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงจัดเตรียมแผนงานและโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้กับประชาชน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดค่าครองชีพช่วงเทศกาลสำคัญ ส่งความสุขให้กับประชาชน และเป็นการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังซื้อสินค้ารวมถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการขายและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ตนในฐานะประธานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. จึงได้สั่งการให้หน่วยงานพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ โดย สคบ. ได้มีการออกประกาศในการให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคได้แก่ ประกาศให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2565 /ประกาศให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 /ประกาศให้ผลิตภัณฑ์สารเพิ่มประสิทธิภาพพืชและผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดินเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก และประกาศให้สินค้าที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตความยาวคลื่นช่วงซี(Ultraviolet C หรือ UV-C)เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก และได้มีการบูรณาการความร่วมมือ กับ 16 ผู้ประกอบการ เพื่อมอบโปรโมชั่นพิเศษให้แก่ประชาชนในการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อส่งมอบความสุขให้เป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ทั้งการมอบส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษ คูปองแทนเงินสดและเครดิตเงินคืนจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ฟรีตรวจเช็คสภาพรถก่อนเดินทาง เป็นต้น “ผมขอชื่นชมและขอขอบคุณผู้แทนจากภาคธุรกิจทุกท่านที่ให้ความร่วมมือกับโครงการนี้จนประสบความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและผู้บริโภคในภาพรวม เป็นการส่งความสุขและมอบเป็นของขวัญปีใหม่จากหน่วยงานภาครัฐให้ประชาชน ภายหลังจากที่เราเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งสร้างความลำบากในการดำเนินชีวิต โอกาสนี้ ขอส่งความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้พี่น้องประชาชนทุกท่านด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากช่องทางการประชาสัมพันธ์ของผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการ 16 ราย ได้แก่ 1. สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว 2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 3. บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด 4. บริษัท ลาซาด้า จำกัด 5. บริษัท เสนา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 6. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 7. บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (อสังหาริมทรัพย์) 8. บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด 9. The Mall Group 10. บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 11. บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 12. บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด 13. บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด 14. บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด 15. บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และ 16. บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) นี้ (28 ธันวาคม 2565) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สคบ. ได้จัดโครงการมอบของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน พ.ศ. 2566 โดยในส่วนของ สคบ. ได้มีการออกประกาศในการให้ความช่วยเหลือผู้บริโภค จำนวน 4 ประกาศ ดังนี้ 1. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้สินของผู้บริโภคในการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์อันสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบต่อรายได้ รวมถึงการประกอบอาชีพของผู้บริโภค โดยสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่กำหนดเพิ่มเติม ในประกาศฯ คือการกำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อโดยแยกออกเป็น 3 กรณี 1) กรณีรถยนต์ใหม่ ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี 2) กรณีรถยนต์ใช้แล้ว ไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และ 3) กรณีรถจักรยานยนต์ ไม่เกินร้อยละ 23 ต่อปี 2. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคเป็นธุรกิจ ที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ปัจจุบันผู้บริโภคมีการทำธุรกรรมการกู้ยืมเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่องทางออนไลน์และทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีการติดตามทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งผู้ให้กู้ยืมเงินมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมร่างประกาศดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญ มีการเพิ่มเติม ดังนี้ 1) มีการกำหนดคำนิยามให้ครอบคลุมถึงการกู้ยืมเงินรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 2) มีการขยายขอบเขตการให้กู้ยืมเงินครอบคลุมถึงบุคคลธรรมดาซึ่งดำเนินธุรกิจให้กู้ยืมเงิน 3) มีการกำหนดให้ผู้ให้กู้ยืมเงินแสดงตารางภาระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินส่งมอบให้แก่ผู้บริโภคด้วย 3. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่อง ให้ผลิตภัณฑ์สารเพิ่มประสิทธิภาพพืชและผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดินเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและแก้ปัญหาการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรที่ไม่จัดเป็นปุ๋ยตามกฎหมายว่าด้วยปุ๋ยและไม่จัดเป็นวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย โดยใช้ข้อความบนฉลากที่แสดงสรรพคุณของสินค้า ในลักษณะข้อความที่อวดอ้างว่ามีคุณสมบัติหรือมีสารออกฤทธิ์ในการปรับปรุงคุณภาพดินหรือส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยมีสาระสำคัญ คือใช้ข้อความที่ตรงต่อความจริง ต้องระบุข้อความอันจำเป็น ได้แก่ ชื่อหรือเครื่องหมายการค้าของผู้ผลิตหรือของผู้นำเข้าเพื่อขาย ประเทศที่ผลิต สถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือของผู้สั่งหรือนำเข้า ฯลฯ และต้องระบุข้อความว่า “ผลิตภัณฑ์นี้ไม่จัดเป็นปุ๋ยตามกฎหมายว่าด้วยปุ๋ย และวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายทางการเกษตร หรือสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช” 4. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่อง ให้สินค้าที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต ความยาวคลื่น ช่วงซี (Ultraviolet C หรือ UV-C) เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจอ้างสรรพคุณของรังสี UV-C ว่าสามารถกำจัดเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคอื่นๆ ได้ และเป็นสื่อกลางในการบูรณาการความร่วมมือกับ 16 ผู้ประกอบการ ได้แก่ 1. สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว 2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 3. บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด 4. บริษัท ลาซาด้า จำกัด 5. บริษัท เสนา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 6. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 7. บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (อสังหาริมทรัพย์) 8. บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด 9. The Mall Group 10. บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 11. บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 12. บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด 13. บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด 14. บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด 15. บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และ 16. บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ส่งมอบความสุขให้เป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 โดยมอบโปรโมชันพิเศษให้แก่ประชาชนในการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียดโปรโมชันได้ที่ช่องทางการประชาสัมพันธ์ของผู้ประกอบการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีไทยมีส่วนแบ่งยอดขายรถ EV ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มากที่สุดในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนและสร้างระบบนิเวศรองรับตลาดรถ EV
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีไทยมีส่วนแบ่งยอดขายรถ EV ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มากที่สุดในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนและสร้างระบบนิเวศรองรับตลาดรถ EV โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีไทยมีส่วนแบ่งยอดขายรถ EV ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มากที่สุดในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนและสร้างระบบนิเวศรองรับตลาดรถ EV วันที่ 28 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทยมีส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล (EV) ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เกือบร้อยละ 60 ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากรายงานของบริษัทวิจัยตลาด Counterpoint ซึ่งเปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล (EV) เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2564 และพบว่าประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายรถ EV สูงที่สุดในภูมิภาค คิดเป็นส่วนแบ่งทั้งหมดประมาณร้อยละ 59.2 ตามมาด้วยอินโดนีเซียร้อยละ 25.2 และสิงคโปร์ ร้อยละ 11.8 โดยรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle) มีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งหมด ในขณะที่เหลือเป็นแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) โดยบริษัทที่มียอดขายสูงสุดอันดับแรกคือ Wuling ตามด้วย Volvo, BMW, ORA และ Mercedes-Benz ตามลำดับ รายงานของบริษัทวิจัยตลาด Counterpoint ยังเปิดเผยว่า ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แม้จะยังคงมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยตลาดยานยนต์ไฟฟ้ามีส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 2 ของรถยนต์ทั้งหมด แต่ถือได้ว่าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัจจัยด้านนโยบายที่สนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายประเทศในภูมิภาคทั้งไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ทำให้บริษัทต่างๆ กำลังวางแผนที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค พร้อมคาดการณ์ว่าจะมีการซื้อขายรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี ค.ศ. 2030 มากกว่า 3.5 ล้านคัน “นโยบายของรัฐบาลสอดคล้องกับแนวโน้มของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งต่างให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนโยบาย EV [emailprotected] ที่มีเป้าหมายผลิตรถ EV ในไทยให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 พร้อมมีมาตรการสนับสนุนด้านราคารถ EV ส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ และสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศรองรับตลาดรถ EV มีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดรถ EV ในไทย และยังทำให้ไทยเป็นที่น่าจับตามองจากนักลงทุนในการพิจารณาใช้ไทย เพื่อเป็นฐานของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนรถยนต์” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์”
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2566 เริ่มต้นพุทธศักราชใหม่ด้วยกิจกรรม "สวดมนต์ข้ามปี" เพื่อเสริมสิริมงคลทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ ต่อด้วยกิจกรรม "เที่ยวท่องวัฒนธรรมไทย" ด้วยการเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรม อาทิ พิพิธัภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมฟรี และกิจกรรม "ส่งสุขทั่วโลก" ด้วยการร่วมส่งความสุขให้กันผ่าน E- Card ศิลปวัฒนธรรมไทยที่สวยงาม ทรงคุณค่า นอกจากนี้ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกิจกรรม "ช่วยชุมชน ช่วยชาติ" ร่วมใจกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) ของชุมชนคุณธรรมกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุดิบจากธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในปีนี้มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮไลท์ คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวข้าวหอมสุพรรณบุรี จากชุมชนเครือข่ายวัฒนธรรมดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี โดยชุมชนได้นำข้าวหอมสุพรรณ (กข 43) มาผสานกับสารสกัดจากรังไหมต่อยอดเป็น เซรั่ม ครีมบำรุงผิว และสบู่ มีคุณค่าจากสารสกัดจากธรรมชาติ ในระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้ยังผลิตภัณฑ์ CPOT อื่นๆ ที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญอีกมากมาย สามารถเข้าไปชมผลิตภัณฑ์และชุดของขวัญ CPOT พร้อมสั่งซื้อได้ที่ Facebook : CPOT
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลแจ้งผู้ประกอบการและผู้ขับขี่รถบรรทุก10ล้อขึ้นไป งดเดินรถถนน 7 สาย ปีใหม่ 2 ช่วงเวลา 30ธ.ค.-31ธ.ค. และ 2 ม.ค.-3ม.ค. ทั้งขาขึ้นและขาล่อง
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รองโฆษกรัฐบาลแจ้งผู้ประกอบการและผู้ขับขี่รถบรรทุก10ล้อขึ้นไป งดเดินรถถนน 7 สาย ปีใหม่ 2 ช่วงเวลา 30ธ.ค.-31ธ.ค. และ 2 ม.ค.-3ม.ค. ทั้งขาขึ้นและขาล่อง รองโฆษกรัฐบาลแจ้งผู้ประกอบการและผู้ขับขี่รถบรรทุก10ล้อขึ้นไป งดเดินรถถนน 7 สาย ปีใหม่ 2 ช่วงเวลา 30ธ.ค.-31ธ.ค. และ 2 ม.ค.-3ม.ค. ทั้งขาขึ้นและขาล่อง วันที่ 28 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร ว่าด้วยการกำหนดห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนนบางสาย ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2566ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก ในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565-วันที่ 2 มกราคม 2566 อาจทำให้เกิดปัญหาจราจรและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในด้านการจราจร จึงจำเป็นต้องออกประกาศข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร กำหนดห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนนบางสายเพื่อให้เหมาะสมกับการจัดการจราจรในช่วงเทศกาลดังกล่าว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 139 (1) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ประกอบกับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 524/2562 เรื่อง แต่งตั้งหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยกำหนดการห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถบนถนน 7 สาย ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 ถึงวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 และตั้งแต่วันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2566 ถึงวันอังคารที่ 3 มกราคม 2566 ทั้งขาขึ้นและขาล่อง ดังนี้ 1. ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 99+800ถึงกิโลเมตรที่ 106+150 ตำบลหนองยาว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 7 กิโลเมตร 2. ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 332 ตำบลกลางแดด อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงกิโลเมตรที่ 347 ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ระยะทาง 15 กิโลเมตร 3. ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2) ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 15+600 ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ถึงกิโลเมตรที่ 102 ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 87กิโลเมตร 4. ถนนรังสิโยทัย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 117) ตั้งแต่กิโลเมตร ที่ ๐+๐๐๐ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงกิโลเมตรที่ 7 ตำบลบางม่วงอำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ระยะทาง 7 กิโลเมตร 5. ถนนกบินทร์บุรี - ปักธงชัย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304) ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 165 ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ถึงกิโลเมตรที่ 222 ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 57 กิโลเมตร 6. ถนนบุรีรัมย์ - อรัญประเทศ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348) ตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 71 ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ถึงกิโลเมตรที่ 83 ตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ระยะทาง 12 กิโลเมตร 7. ถนนเลี่ยงเมืองสระบุรีฝั่งตะวันตก (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 362) ตั้งแต่กิโลเมตรที่ ๐+๐๐๐ ถึงกิโลเมตรที่ 9+288 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 9 กิโลเมตร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จึงขอแจ้งมายังผู้ประกอบการและผู้ขับขี่รถบรรทุกให้ปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว กรณีมีความจำเป็นต้องเดินรถในถนนดังกล่าวข้างต้นในช่วงเวลาดังกล่าว ภายในจังหวัดเดียวกัน ให้หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้มีอานาจพิจารณาอนุญาต หากเป็นการขอเดินรถตั้งแต่สองจังหวัดขึ้นไป ให้ผู้บังคับการตำรวจทางหลวงเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาต “พล.อ.ประยุทธ์กำชับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎจราจรและพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่นฝ่าฝืนมาตรการเมาไม่ขับและขับไม่โทร เพื่อคุ้มครองให้ประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ หารือเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ พร้อมส่งเสริมความมั่นคงชายแดน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ​รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ หารือเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ พร้อมส่งเสริมความมั่นคงชายแดน แก้ไขปัญหาแก๊ง call center วันนี้ (วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอูก ซอร์พวน (Mr. Ouk Sorphorn) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เป็นอย่างดียิ่งตลอดระยะเวลา 4 ปีของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด มีการหารือกันต่อเนื่องในทุกระดับ โดยเฉพาะด้านหน่วยงานในพื้นที่ชายแดน พร้อมยินดีต่อความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ประธานจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนของกัมพูชาที่ผ่านมา รวมทั้งยินดีที่ได้พบหารือกับสมเด็จพิชัยเสนาเตีย บันห์ ในการประชุม ADMM อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 9 ที่เสียมราฐ และ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา (GBC) ครั้งที่ 15 ที่กรุงเทพฯ ยืนยันว่าไทยพร้อมให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพร่วมกัน เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยเเละขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอมา โดยสมเด็จพิชัยเสนาเตีย บันห์ ได้ฝากความปรารถนาดีมายังรองนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ ไทยถือได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ และครอบครัวที่ต่างประทับใจกับการอยู่ในประเทศไทย ชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด – 19 ของรัฐบาลไทยที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและแสดงความยินดีต่อการจัดการประชุมเอเปคที่สามารถทำหน้าที่เจ้าภาพได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมย้ำถึงการกระชับความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยแม้ว่าจะครบวาระการทำงานในประเทศไทยแล้ว จะยังคงสานต่อภารกิจต่าง ๆ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศต่อไป โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกัน ดังนี้ ด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เพื่อหารือด้านเขตแดนบริเวณจุดผ่านแดนต่าง ๆ ที่ต้องการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งรองนายกรัฐมนตรียินดีผลักดันให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน โดยเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีที่จะประสานความร่วมมือเพื่อให้การดำเนินงานมีความคืบหน้าต่อเนื่อง ด้านการแก้ไขปัญหาขบวนการหลอกหลวงทางโทรศัพท์ข้ามชาติ (แก๊ง call center) รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณกัมพูชาที่ให้ความร่วมมือ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ช่วยเหลือคนไทยที่ถูกชักชวนไปร่วมขบวนการดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องพร้อมร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาค ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีจะนำข้อเสนอและคำชี้แนะต่าง ๆ แจ้งไปยังทางการกัมพูชาให้ทราบต่อไป ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเดินหน้าทำการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน โดยจะไม่นำเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนมาเป็นอุปสรรค ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้หารือร่วมกันแล้วที่กรุงพนมเปญ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าตอบแทนพยานคำสั่งทางปกครอง สูงสุดวันละ 2,000 บาท
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าตอบแทนพยานคำสั่งทางปกครอง สูงสุดวันละ 2,000 บาท คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าตอบแทนพยานคำสั่งทางปกครอง สูงสุดวันละ 2,000 บาท วันนี้ (28 ธ.ค.65) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าป่วยการพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ยกร่างขึ้นตามมาตรา 29 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่กำหนดให้พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น มีสิทธิได้รับค่าป่วยการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงนี้ ได้กำหนดบทนิยาม "คำป่วยการ" คือ เงินที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนให้แก่พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น โดยมีหลักเกณฑ์กำหนดเกี่ยวกับพยานและพยานผู้เชี่ยวชาญ แบ่งเป็น 1.กรณีเป็นพยาน ต้องเป็นพยานที่เจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำ และพยานนั้นจำเป็นแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในการจัดทำคำสั่งทางปกครอง 2.กรณีเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ต้องเป็นพยานผู้เชี่ยวขาญซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็นเฉพาะในกรณี ดังนี้ (1)หน่วยงานของรัฐที่เป็นต้นสังกัด ไม่ได้มีบุคลากรซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น (2)เรื่องที่จะพิจารณานั้นต้องการความรู้ความสามารถสูงหรือความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเป็นการเฉพาะ (3)ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่จะเรียกมาให้ถ้อยคำ เป็นสาระสำคัญในการจัดทำคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ พยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาให้ถ้อยคำหรือความเห็นตามหน้าที่ จะไม่มีสิทธิได้รับค่าป่วยการ นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า อัตราค่าป่วยการ (ค่าตอบแทน) ตามร่างกฎกระทรวงกำหนดไว้ ดังนี้ 1.พยานได้รับค่าตอบแทนไม่เกินวันละ 1,000 บาท 2.พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งให้ถ้อยคำได้รับค่าตอบแทนไม่เกินวันละ 2,000 บาท 3.พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรได้รับค่าตอบแทนไม่เกินเรื่องละ 5,000 บาท ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการสั่งจ่ายนั้น ให้หน่วยงานของรัฐที่เรียกพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ถ้อยคำเป็นผู้สั่งจ่ายตามความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ หากพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมาตามนัด แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้เป็นความผิดของพยาน จะได้รับค่าตอบไม่เกินวันละ 500 บาท หากพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญมีสิทธิได้รับค่าป่วยการตามกฎหมายอื่นแล้ว จะไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามกฎกระทรวงนี้ ----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. จัดแผนการเดินรถ รองรับการเดินทางของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ขสมก. จัดแผนการเดินรถ รองรับการเดินทางของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 จำนวน 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566 ซึ่งประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก ขสมก. จึงได้จัดแผนการเดินรถโดยสารรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีความปรารถนาให้ประชาชนทุกคนเดินทางด้วยความสะดวกและปลอดภัยในทุกเส้นทาง ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งแผนการจัดเดินรถโดยสารมีรายละเอียดดังนี้ 1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่งเฉลี่ยวันละ 2,744 คัน จำนวน 16,725 เที่ยว 2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จำนวน 5 เส้นทาง รวม 46 คัน ดังนี้ - สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 15 คัน - สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 12 คัน - สาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย S1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 5 คัน 3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จำนวน 5 สถานี รวม 35 เส้นทาง ดังนี้ - สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จำนวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3, 16, 49, 77, 96, 134, 136, 138, 145, 509, 517, และ 536 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2, 23, 25, 71, 72, 501, 508 และ 511 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66, 79, 511, 515, 516 และ 556 - สถานีรถไฟหัวลำโพง จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4, 21, 25, 34, 73 และ 501 - สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3, 49 และ 67 4. จัดเดินรถโดยสารธรรมดา (เฉพาะกิจ) ให้บริการฟรี จำนวน 3 เส้นทาง เพื่อส่งประชาชน ที่มาร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566” ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดอรุณราชวราราม ในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 00.00 - 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 ดังนี้ - วัดอรุณราชวราราม - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จำนวน 3 คัน - วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จำนวน 3 คัน - วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม - ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าพาต้าปิ่นเกล้า จำนวน 2 คัน 5. จัดเดินรถโดยสารช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 ในเขตกรุงเทพมหานคร ช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยขยายเวลาเดินรถในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงาน Count Down ที่สำคัญ ๆ อาทิ สยามพารากอน ไอคอนสยาม เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ สามย่านมิตรทาวน์ และวัดที่จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคล ทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2566” จำนวน 2 วัด ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดอรุณราชวราราม ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 มาตรการความปลอดภัย 1. ด้านพนักงานประจำรถ - กำกับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร ดูแลการขึ้น - ลงของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย - ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกำชับพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร - ให้พนักงานขับรถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและอุปกรณ์ส่วนควบ ก่อนนำรถออกให้บริการ ประสานผู้รับเหมาซ่อมรถ ตรวจเช็กสภาพรถโดยสาร และซ่อมบำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี - จัดพนักงานนายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษประจำจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสารที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลการขึ้น - ลงรถของผู้ใช้บริการ 2. ด้านรถโดยสารประจำทาง - เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน - ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่' ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น - ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน 3. ด้านผู้ใช้บริการ - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร - ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น - ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อโรค นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สำนักงานใหญ่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 และจัดเจ้าหน้าที่ Call Center โทร. 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารในการเดินรถตลอด 24 ชั่วโมง ในวันที่ 31 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยร่วมกับมหาเถรสมาคมจัดโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 กระทรวงมหาดไทยร่วมกับมหาเถรสมาคมจัดโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กระทรวงมหาดไทยร่วมกับมหาเถรสมาคมจัดโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (28 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักพระราชวังได้มีแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงมีพระอาการประชวร โดยเสด็จเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย “เพื่อเป็นการถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน และเป็นการร่วมถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ โดยการเจริญจิตตภาวนา อีกทั้งให้การเข้าร่วมอุปสมบทได้เป็นโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาของผู้เข้าร่วมโครงการ กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับมหาเถรสมาคม โดยความเมตตาของเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม จัดโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เชิญชวนข้าราชการ บุคลากรจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัด จำนวน 99 คน สมัครเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทฯ เป็นเวลา 15 วัน ซึ่งในส่วนของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถลาเข้าร่วมโครงการฯ ณ วัดที่จังหวัดกำหนด ทั้ง 76 จังหวัดได้โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในด้านการจัดพิธีบรรพชาอุปสมบท กำหนดจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 14 มกราคม 2566 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งวัฒนธรรมจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด เข้ากราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะผู้ปกครองในพื้นที่ เพื่อเตรียมการด้านการจัดพิธีฯ ได้แก่ 1) การจัดพิธีปลงผมนาค ในวันที่ 13 มกราคม 2566 โดยในเวลา 13.00 น. ผู้บรรพชาอุปสมบท จำนวน 99 นาค พร้อมกัน ณ วัดที่จังหวัดกำหนด และเวลา 14.30 น. ผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานในพิธี และผู้เข้าร่วมพิธีเดินทางถึง ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระประธานภายในพระอุโบสถ จากนั้น ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และถวายดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา แล้วถวายเครื่องสักการะแด่เจ้าอาวาส และประกอบพิธีปลงผม โดยผู้เป็นประธานสงฆ์ คณะสงฆ์ ประธานในพิธี และญาติ ขลิบผมตามลำดับ เมื่อพิธีปลงผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประธานในพิธีกราบลาเจ้าอาวาส แล้วถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นอันเสร็จพิธี 2) การจัดพิธีบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ในวันที่ 14 มกราคม 2566 โดยในเวลา 07.00 น. นาค จำนวน 99 นาค และผู้ร่วมพิธีพร้อมกัน ณ วัดที่จังหวัดกำหนด เวลา 08.00 น. ประธานและผู้เข้าร่วมพิธีเดินทางถึง ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระประธานภายในพระอุโบสถ จากนั้น ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และถวายดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา แล้วถวายเครื่องสักการะแด่พระอุปัชฌาย์ และถวายเครื่องสักการะแด่เจ้าอาวาส เวลา 08.15 น. ประธานเดินไปยังหน้าหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา แล้วมอบผ้าไตรแก่นาค จำนวน 99 นาค และเริ่มบรรพชาสามเณร เมื่อเสร็จพิธีบรรพชาสามเณร ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร และในเวลา 12.30 น. เริ่มพิธีอุปสมบท จำนวน 99 รูป จนเสร็จพิธี สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทฯ 12 ข้อ คือ 1) สัญชาติไทย 2) เป็นเพศชาย อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จนถึงไม่เกิน 55 ปี 3) ร่างกายสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง ไม่ทุพพลภาพ 4) ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง หรือโรคที่สังคมรังเกียจ 5) ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ เป็นต้น 6) เป็นบุรุษโดยสมบูรณ์ ไม่เป็นคนลักเพศ 7) สามารถท่องคำขออุปสมบท (คำขานนาค) และบทสวดตามที่วัดกำหนด 8) ไม่เป็นบุคคลต้องโทษ หรือหลบหนีคดี หรือเกณฑ์ทหาร 9) มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งสามารถตรวจสอบได้ ไม่เป็นคนเร่ร่อน 10) ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามหลักพระวินัย 11) ต้องแสดงผลการได้รับวัคซีนจำนวนไม่น้อยกว่า 2 เข็ม และ 12) มีผลตรวจ ATK เป็นลบก่อนเข้าร่วมงานภายใน 24 ชั่วโมง “นอกจากนี้ เพื่อให้การจัดโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ตลอดระยะเวลา 15 วัน เกิดการปฏิบัติบูชาของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ญาติ ตลอดจนพี่น้องพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ได้ร่วมกันทำบุญและประกอบศาสนกิจเพื่อถวายพระกุศลถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้บูรณาการเชิญชวนบุคลากร และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้า ถวายภัตตาหารเพล ถวายน้ำปานะ ตามกำลังศรัทธา เพื่อเกิดอานิสงส์จากพลังแห่งการร้อยรวมความศรัทธาและความจงรักภักดีถวายพระพรแด่พระองค์ท่านในโอกาสนี้ด้วย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ตลอดจนพี่น้องประชาชนที่มีคุณสมบัติในการบรรพชาอุปสมบทในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สมัครเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทฯ ได้ ณ ที่ทำการปกครองจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด และที่ว่าการอำเภอ ทุกแห่ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อร่วมกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยพร้อมเพรียงกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานช่วงปีใหม่นี้
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 กสร. ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานช่วงปีใหม่นี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ออกประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่พร้อมกำหนดชั่วโมงทำงานลูกจ้างสำหรับงานขนส่งทางบก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ออกประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่พร้อมกำหนดชั่วโมงทำงานลูกจ้างสำหรับงานขนส่งทางบก นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก 1 วัน ในปี 2565 เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่อง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวม 4 วัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 ถึงวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2566 ซึ่งสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตนเอง และร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองงานตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เนื่องในเทศกาลปีใหม่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ โดยขอความร่วมมือให้นายจ้างพิจารณาจัดให้วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 และวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 เป็นวันหยุดตามประเพณีในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ให้แก่ลูกจ้าง หากวันหยุดดังกล่าวตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้เลื่อนวันหยุดตามประเพณีไปหยุดในวันทำงานถัดไป ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมได้ออกประกาศขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ลงวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เผยแพร่ให้นายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการ และลูกจ้างทราบ ทั้งนี้ ผมก็ขอให้นายจ้างที่ต้องจัดให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง หากจะทำงานล่วงเวลาต้องไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง โดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกจ้าง และในวันทำงานถัดไป ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานก่อนครบระยะเวลา 10 ชั่วโมง หลังสิ้นสุดการทำงานในวันทำงานที่ล่วงมาแล้ว ทั้งนี้ ในการเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง และขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขในปีนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยย้ำต้อง “ทำงานเป็นทีมไม่มีพรมแดนของการเป็นกรม” ขับเคลื่อนการทำงานสู่เป้าหมายสูงสุดสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ปลัดมหาดไทยย้ำต้อง “ทำงานเป็นทีมไม่มีพรมแดนของการเป็นกรม” ขับเคลื่อนการทำงานสู่เป้าหมายสูงสุดสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน ปลัดมหาดไทยย้ำต้อง “ทำงานเป็นทีมไม่มีพรมแดนของการเป็นกรม” ขับเคลื่อนการทำงานสู่เป้าหมายสูงสุดสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายพรพจน์ เพ็ญพาส นายสมคิด จันทมฤก นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายปรีชา เดชพันธุ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ว่าที่ร้อยเอก ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล นางสุจิตรา ศรีนาม นายสุธน ศรีหิรัญ นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่จังหวัด และนายอำเภอ ร่วมประชุม ที่ห้องประชุมราชบพิธ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมติดตามการดำเนินงานของกรม รัฐวิสาหกิจ และทุกจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการขับเคลื่อนงาน ซึ่งสิ่งสำคัญที่ชาวมหาดไทยทุกคนจะต้องยึดถือในการทำงาน คือ ต้องมี Passion ของการทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชนในทุกมิติ ด้วยการ “ทำงานเป็นทีมโดยไม่มีพรมแดนของการเป็นกรม” เพื่อให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง เพราะงานของทุกกรมต่างมีเป้าหมายปลายทางเดียวกันนั่นคือ “คุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน” ดังนั้น จึงต้องใช้เวทีในการประชุมร่วมกันนี้ เป็นพื้นที่ในการวิพากษ์กัน เสนอแนะข้อคิดเห็นในการทำงานร่วมกัน ซึ่งการพูดคุย หารือ แลกเปลี่ยน วิพากษ์วิจารณ์ในเนื้องานนี้ถือเป็นอารยธรรมที่ดีในการทำงาน จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทำให้เกิดการ Change for Good เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีในการจัดระบบบริหารราชการในระดับพื้นที่ให้กับพี่น้องประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวอีกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะนายกรัฐมนตรีของจังหวัด ต้องเป็น “ผู้นำของจังหวัด” ทำหน้าที่อำนวยการ ติดตาม ประเมินว่าผลงานสำเร็จมากน้อยขนาดไหน และต้องปรับปรุงแก้ไข เสริมแรงบวกในจุดใด พื้นที่ใด “ต้องเอาใจใส่” ในทุกงานของพื้นที่ ยกระดับความเข้มข้นของการทำหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และภาคีเครือข่าย ด้วยการสร้างความเข้มแข็งของการทำงานโดยยึดพี่น้องประชาชนเป็นศูนย์กลางและช่วยกันบริหารจัดการแบบบูรณาการ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญกับการดูแลนักเรียนผู้รับทุนพระราชทานในโครงการทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษา มีงาน มีอาชีพที่มั่นคง นอกจากนี้ ต้องค้นหาเด็กในพื้นที่จังหวัดที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ขาดโอกาสในการได้รับการศึกษา และช่วยกันให้เด็ก ๆ เหล่านั้นได้รับโอกาสที่ดีในการศึกษาเล่าเรียน รวมถึงช่วยดูแลครอบครัวยากไร้ทั้งที่มีลูก และไม่มีลูก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใช้ข้อมูลจาก Thai QM หรือ TPMAP เป็นเป้าในการดำเนินการ และต้องยึดมั่นใน 1 จังหวัด 17 คำมั่นสัญญาการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อความเท่าเทียมในชีวิตของพี่น้องประชาชนในจังหวัดของท่าน ซึ่งเราไปลงนาม MOU กับ UN ภายใต้ชื่อ “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ด้วยการหมั่นลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ดั่งพระโอวาทที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสอนไว้ว่า “ต้องรองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน หมั่นสร้างพันธมิตรในการพัฒนา โดยสร้างทีมคณะกรรมการหมู่บ้านของทุกหมู่บ้าน และทีมผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราในทุกตำบล/หมู่บ้าน ด้วยการขับเคลื่อนโครงการนายอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ในทุกพื้นที่จังหวัด นอกจากนี้ คนมหาดไทยต้องเป็นผู้มีหัวใจที่ยั่งยืน ด้วยการน้อมนำพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 3 รอบ 36 พรรษา ด้วยการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดของตำบล จำนวน 1 หมู่บ้าน แล้วสร้างทีมคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ที่มีความเข้มแข็ง โดยบูรณาการหมู่บ้าน/ตำบลที่ดีอยู่แล้วไปยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในหมู่บ้านที่พัฒนาน้อยที่สุด ให้เกิดความรัก ความสามัคคี เป็นสังคมปลอดยาเสพติด ผู้คนยึดเหนี่ยวประเพณีวัฒนธรรม มีความมั่นคงด้านอาหาร บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะเหมาะสม มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีน้ำเพียงพอ อันจะยังผลให้เกิดการพัฒนาทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกหมู่บ้านของตำบลและทุกชุมชนในเขตเทศบาล “หมู่บ้านยั่งยืน หรือ Sustainable Village เป็นพระดำริที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ในโอกาสเข้าเฝ้าทูลถวายรายงานการดำเนินงานตามพระดำริและรับพระราชทานคำแนะนำ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ณ วังศุโขทัย และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2565 กระทรวงมหาดไทยได้ขอพระราชทานพระอนุญาตในการน้อมนำแนวพระดำริมาขับเคลื่อนเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวาระทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ในวันที่ 8 มกราคม 2566 อันประกอบด้วย 1) การเชิญชวนให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ได้พร้อมใจกันสวมใส่ชุดผ้าไทยผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทุกสี ทุกเทคนิค ในทุกวันพฤหัสบดี เพื่อร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี โดยพร้อมเพรียงกัน และ 2) หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานหนังสือ Sustainable City เพื่อให้พวกเราทุกคนผู้มีอุดมการณ์ทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้นำเสนอผลการดำเนินงานขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนแนวทางการทำงาน และสะท้อนแนวคิดในการพัฒนางานให้เกิดประสิทธิภาพ ยังประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน “มิติใหม่ของคนมหาดไทย คือ 1) ทำงานเป็นทีม ทำงานอย่างบูรณาการ 2) มุ่งหวังทำในสิ่งที่เรียกว่า “ความยั่งยืน (Sustainable)” และ 3) มีหลักคิด หลักการเลือกพื้นที่ทำงาน ที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เลือกหมู่บ้านที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดให้เป็นหมู่บ้านที่มีศักยภาพ หมู่บ้านที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข กระตุ้นปลุกเร้าสร้างปัญญา กระตุ้นความคิดของพี่น้องประชาชนในหมู่บ้านให้ลุกขึ้นมาพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน พัฒนาหมู่บ้าน ของตัวเองให้ดี เพราะความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนได้ “อยู่ที่กลไกมหาดไทยทุกคนในพื้นที่”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ไตรมาส 3 ปี 2565
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ไตรมาส 3 ปี 2565 รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 62.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 23.1% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันมา 4 ไตรมาสแล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 62.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 23.1% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันมา 4 ไตรมาสแล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 ทั้งนี้มีปัจจัยบวกมาจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการ COVID-19 มีนโยบายในการเปิดประเทศในต้นเดือนธันวาคม 2564 และส่งผลเชิงบวกต่อการกลับมาของกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติทั่วประเทศ ในไตรมาส 3 ปี 2565 โดยพบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 2,860 หน่วย เพิ่ม 62.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนหน่วยสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3 ปี 2564 และยังมีจำนวนหน่วยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วง 3 ปี ที่เกิด COVID-19 (ปี 2563 – 2564) 36.7% ที่มีจำนวน 2,092 หน่วย/ไตรมาส สำหรับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 14,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนมูลค่าสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส นับจากไตรมาส 1 ปี 2564 และยังเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ฯ ในช่วง 2 ปี ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีมูลค่าเพียงไตรมาสละ 9,979 ล้านบาท/ไตรมาส หากพิจารณาในภาวะการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมในช่วง 9 เดือน ปี 2565 พบว่ามีจำนวน 7,290 หน่วย เพิ่มขึ้น 19.0% มูลค่า 36,986 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% โดยมีพื้นที่โอนกรรมสิทธิ์ 337,914 ตร.ม.เพิ่มขึ้น 28.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในปี 2565 ที่ผ่านมา 3 ไตรมาสแล้วนั้นน่าจะแสดงให้เห็นได้ว่า ตลาดห้องชุดคนต่างชาติในภาพรวมน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว และการซื้อห้องชุดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาทดแทนแรงซื้อห้องชุดของชาวจีนที่หายไปจากข้อจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศในช่วงที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ในไตรมาส 3 ปี 2565 มีสัดส่วนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ 9.7% โดยเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วน 9.3% เพียงเล็กน้อย ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 18.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมากพอสมควร และมีสัดส่วน 16.7% ส่วนพื้นที่ห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 12.9% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งมีสัดส่วน 12.0% สัดส่วนห้องชุดใหม่และห้องชุดมือสอง ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติ ในไตรมาส 3 ปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติเป็นห้องชุดใหม่ต่อห้องชุดมือสองเป็นอัตราส่วน 69.3% : 30.7% และพบว่าห้องชุดใหม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติเป็นห้องชุดใหม่ต่อห้องชุดมือสองเป็นอัตราส่วน 77.1% : 22.9% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า ในส่วนพื้นที่ที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติเป็นห้องชุดใหม่ต่อห้องชุดมือสองเป็นอัตราส่วน 61.9% : 38.1% ซึ่งเป็นสัดส่วนพื้นที่ห้องชุดใหม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ในขณะเดียวกันห้องชุดมือสองมีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การที่สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติเป็นห้องชุดใหม่เพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ โดยมีข้อสังเกตว่า คนต่างชาติอาจมีความต้องการห้องชุดใหม่เพิ่มมากขึ้นและความต้องการอยู่ในทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกมากขึ้น ประกอบกับราคาห้องชุดใหม่ในทำเลเหล่านี้มีให้เลือกเพิ่มมากขึ้น ทำให้ห้องชุดใหม่จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนต่างชาติ นอกเหนือจากสัญชาติจีนแล้ว ยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อจาก รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมัน และฝรั่งเศส ตามลำดับ ระดับราคาห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ ในไตรมาส 3 ปี 2565 ห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติมากที่สุด จะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท โดยมีการโอนจำนวน 1,247 หน่วย คิดเป็น 43.6% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดจำนวน 2,860 หน่วย รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 784 หน่วย คิดเป็น 27.4% ระดับราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีจำนวน 395 หน่วย คิดเป็น 13.8% ระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 260 หน่วย คิดเป็น 9.1% และระดับราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 174 หน่วย คิดเป็น 6.1% ตามลำดับ ทั้งนี้พบว่า ห้องชุดราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่นิยมโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน ขนาดพื้นที่ห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ ในไตรมาส 3 ปี 2565 ขนาดห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ คือ ขนาดพื้นที่ 31 - 60 ตารางเมตร (ประเภท 1 - 2 ห้องนอน) โดยมีจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติ จำนวน 1,340 หน่วย คิดเป็น 46.9% รองลงมา คือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร (สตูดิโอ หรือ 1 ห้องนอน) มีจำนวน 998 หน่วย คิดเป็น 34.9% ถัดมาคือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ 61-100 ตารางเมตร (2 - 3 ห้องนอนขึ้นไป) จำนวน 359 หน่วย คิดเป็น 12.6% และห้องชุดขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร (3 ห้องนอนขึ้นไป) มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 163 หน่วย คิดเป็น 5.7% ตามลำดับ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า ห้องชุดขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และขนาด 31- 60 ตารางเมตร เป็นประเภทห้องชุดที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกันสูงกว่า 80% ในแต่ละไตรมาส สัญชาติคนต่างชาติที่รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - กันยายน) จะพบว่า ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดทั่วประเทศมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวจีนไปแล้วทั้งหมด 3,562 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 48.9% ของหน่วยทั้งหมด โดยมี 4 สัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์อันดับรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย จำนวน 420 หน่วย คิดเป็น 5.8% ถัดมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 375 หน่วย คิดเป็น 5.1% สหราชอาณาจักร จำนวน 267 หน่วย คิดเป็น 3.7% อับดับ 5 คือ เยอรมัน จำนวน 231 หน่วย คิดเป็น 3.2% ตามลำดับ ในส่วนของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศให้คนต่างชาติทั่วประเทศช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม – กันยายน) จะพบว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวจีน เป็นมูลค่าสูงสุด จำนวน 17,943 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 48.5% ของมูลค่าทั้งหมด ส่วน 4 สัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนรองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 1,611 ล้านบาท คิดเป็น 4.4% ถัดมา คือ ฝรั่งเศส จำนวน 1,431 ล้านบาท คิดเป็น 3.9% รัสเซีย จำนวน 1,361 ล้านบาท คิดเป็น 3.7% และพม่า จำนวน 1,342 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ตามลำดับ จากข้อมูลที่พบในช่วง 9 เดือนแรก มีข้อสังเกตว่า ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดชาวจีนมีจำนวน 3,562 คน คิดเป็น 48.9% และมีมูลค่า 17,943 ล้านบาท คิดเป็น 48.5% ของชาวต่างชาติที่โอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของผู้ซื้อชาวจีนได้ปรับลดลงเหลือประมาณ 50% จากที่ในปีช่วงก่อนหน้าอยู่ที่ประมาณ 55% - 60% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจาการดำเนินนโยบาย Zero-COVID ในประเทศจีน ทำให้การเดินทางของชาวจีนมีข้อจำกัดในช่วงที่ผ่านมา แต่ได้พบว่า กลุ่มผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในกลุ่มประเทศรัสเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มมีสัดส่วนที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน และเป็นที่น่าสนใจอย่างมากอีกเช่นกันที่เราได้เห็นตัวเลขของหลายประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่แม้ว่าจะมีจำนวนหน่วยและมูลค่าการซื้อไม่มากนัก แต่กลับมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ ดังเช่น ชาวเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม รวมถึงชาวมาเลเซียที่มีการเข้ามาซื้อห้องชุดไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นอานิสงค์ที่ได้รับจาการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงอาจคาดการณ์ได้หากประเทศจีนเปิดประเทศในปีหน้า น่าจะช่วยให้ตลาดอาคารชุดไทยสำหรับคนต่างชาติของไทยสามารถเติบโตได้อีกครั้งหนึ่ง ขนาดและราคาห้องชุดเฉลี่ย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - กันยายน) จะพบว่า ห้องชุดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ มีขนาดเฉลี่ย 46.4 ตารางเมตร/หน่วย มูลค่าเฉลี่ย 5.1 ล้านบาท/หน่วย หรือประมาณตารางเมตรละ 109,454 บาท ทั้งนี้ สัญชาติที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 10 ลำดับแรกในปี 2565 พบว่า พม่าเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 7.1 ล้านบาทต่อหน่วย และอินเดีย เป็นสัญชาติที่โอนห้องชุดขนาดใหญ่ที่สุดเฉลี่ย 70.7 ตารางเมตร โดยชาวจีนซึ่งเป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนห้องชุดมากที่สุด จะมีมูลค่าการโอนเฉลี่ย 5.0 ล้านบาท/หน่วย และพื้นที่ห้องชุดเฉลี่ย 39.0 ตารางเมตร/หน่วย จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติสูงสุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - กันยายน) พบว่าจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,325 หน่วย คิดเป็น 45.6% และชลบุรี จำนวน 2,155 หน่วย คิดเป็น 29.6% ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึง 75.2% ของทั่วประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - กันยายน) พบว่าจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต สมุทรปราการ และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 25,030 ล้านบาท คิดเป็น 67.7% และชลบุรี มีมูลค่า 6,181 ล้านบาท คิดเป็น 16.7% ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 84.4% ของทั่วประเทศ จากการประมวลภาพของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติทั้งหมด ทำให้เราเห็นได้ว่า ปริมาณทั้งในมิติของจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่มีข้อสังเกตต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์เหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนการซื้อขายที่ผ่านมาในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา และเห็นว่าการซื้อขายห้องชุดที่ผ่านมาสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่า ห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติมีมากกว่า 30% เป็นห้องชุดมือสอง การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลก เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่อาจจะช่วยทำให้จำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ในการซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติที่อาจมีแนวโน้มที่ทรงตัวด้วยกลุ่มคนต่างชาติอื่นเข้ามาซื้อห้องชุดในประเทศไทยมากขึ้น เช่น กลุ่มชาวยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และอินเดีย นั้น เป็นการซื้อห้องชุดที่เป็นห้องชุดมือหนึ่งและมือสอง ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนผู้ซื้อชาวจีนได้เพียงบางส่วน เนื่องจากมีปริมาณการซื้อไม่มาก แต่ไม่อาจทดแทนกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนหายไปจากตลาดได้ ซึ่งคาดว่ากลุ่มคนต่างชาติอื่นที่เข้ามาซื้อห้องชุดในประเทศไทยมากขึ้น อาจส่งผลช่วยให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามการซื้อขายห้องชุดใหม่ที่เปิดตัวใหม่ยังต้องพึ่งพาตลาดผู้ซื้อในประเทศเป็นหลัก “จากข่าวล่าสุดที่เป็นข่าวดีว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) จะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 แต่ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจแบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และสำหรับการอนุญาตให้ประชาชนในจีนเดินทางออกนอกประเทศจะมีกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ สิ่งนี้นับเป็นปัจจัยบวกที่ดีสำหรับตลาดห้องชุดในประเทศไทย แต่การกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีน จะนำมาซึ่งการซื้อห้องชุดเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดู เนื่องจากสัดส่วนของหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ชาวจีนลดลงต่ำกว่า 50% ในปี 2565 จากเดิมเคยมีสัดส่วนสูงสุดถึงกว่า 60% ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศ รวมถึงผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน และนโยบายเศรษฐกิจจีนที่จะมุ่งเน้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า การเปิดประเทศของจีนจะส่งผลดีอย่างแน่นอนต่อภาคการท่องเที่ยวทันที แต่สำหรับอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะได้รับผลดีอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566” ดร.วิชัย กล่าวสรุปในตอนท้าย คำสงวนลิขสิทธิ์ การนำข้อมูลที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้งาน หรือเผยแพร่ต่อ ไม่ว่าแต่เพียงบางส่วนหรือทั้งหมด กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย ข้อความจำกัดความรับผิดชอบ ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริง และไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูล ผู้นำข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบตามความเหมาะสม สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ เบอร์โทรศัพท์ 0 2645 9675
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมธนาคารไทย แจ้งสิ้นสุดมาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ กลับเข้าสู่อัตรา 0.46%ต่อปี ตั้งแต่ 1 ม.ค.66 มีผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 สมาคมธนาคารไทย แจ้งสิ้นสุดมาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ กลับเข้าสู่อัตรา 0.46%ต่อปี ตั้งแต่ 1 ม.ค.66 มีผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี ตามที่ ธปท. ออกประกาศเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2563 เรื่องปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อลดต้นทุนของสถาบันการเงินให้สามารถส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจและภาคประชาชนเป็นการชั่วคราวสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2565 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 เรื่องการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เพื่อลดต้นทุนของสถาบันการเงินให้สามารถส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจและภาคประชาชนเป็นการชั่วคราวสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยการลดเงินนำส่งดังกล่าว ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว (M-rate) ลง 0.4% ไปก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและชัดเจนขึ้น ธปท. จึงมีทิศทางปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) ซึ่งสอดคล้องกับที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ เพื่อช่วยให้ภาระหนี้ของ FIDF ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สามารถทยอยลดลงได้ตามเป้าหมาย โดยไม่สร้างภาระต่อระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจไทยโดยไม่จำเป็น ธปท.จึงจะมีการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ให้กลับเข้าสู่อัตราปกติที่ 0.46%ต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี ตามที่ได้ปรับลดไป 0.4% ในช่วงก่อนหน้า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงผลกระทบต่อลูกค้าประชาชน และให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ยังไม่กลับมาปกติ และได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ผ่านมาตรการความช่วยเหลือของแต่ละธนาคาร ที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม ตรงจุด และทันการณ์ ครอบคลุมทั้งการลดภาระทางการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม โดยคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต การเสริมสภาพคล่อง และการไกล่เกลี่ยหนี้ ขณะที่ยังรักษาความมั่นคงและการบริหารความเสี่ยงที่ดีของระบบสถาบันการเงินในอนาคต โดยลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อกับธนาคารที่ใช้บริการได้ทันที ขณะเดียวกัน สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก จะเร่งผลักดันมาตรการอื่นๆ ภายใต้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ ที่ปรับเงื่อนไขให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนผ่านมาตรการต่างๆ ได้แก่ ลูกหนี้รายย่อย และ SMEs ที่รายได้หยุดชะงัก โครงการพักทรัพย์พักหนี้ สำหรับลูกหนี้ธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งนี้จะได้มีการติดตามความคืบหน้าและประสิทธิผลของมาตรการต่างๆอย่างใกล้ชิด และพร้อมพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมหากมีความจำเป็นในระยะต่อไป โดยสมาคมธนาคารไทย พร้อมปฏิบัติตามนโยบายและร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ ในโอกาสพ้นหน้าที่ ยืนยันส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชา
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ ในโอกาสพ้นหน้าที่ ยืนยันส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชา เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ ในโอกาสพ้นหน้าที่ ยืนยันส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชา วันนี้ (28 ธ.ค. 2565) เวลา 10.30 น. นายอูก ซอร์พวน (H.E. Mr. Ouk Sorphorn) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ สำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างยอดเยี่ยมในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชานับตั้งแต่เข้ารับหน้าที่ ซึ่งทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมีความร่วมมือใกล้ชิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ประธานอาเซียนของกัมพูชา และขอบคุณกัมพูชาต่อการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคของไทย โดยไทยพร้อมสนับสนุนและสานต่อความร่วมมือในทุกมิติกับเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ คนใหม่ต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ไปยังนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ภริยา และประชาชนชาวกัมพูชา ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง และเจริญรุ่งเรือง ในช่วงปีใหม่และตลอดปี พ.ศ. 2566 เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ กล่าวถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว พร้อมฝากคำอวยพรปีใหม่จากนายกรัฐมนตรีกัมพูชามายังนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และประชาชนชาวไทยให้มีความสุขในช่วงปีใหม่ โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีที่ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งในไทยความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชามีความก้าวข้างหน้า ผู้นำระดับสูงและประชาชนทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิด และมีความร่วมมือทั้งด้านการค้า การลงทุน รวมถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ชายแดน ทั้งการค้าตามแนวชายแดน และการป้องกันการกระทำผิดตามแนวชายแดน พร้อมยืนยันที่จะส่งเสริมความร่วมมือและติดตามความคืบหน้าที่ไทยและกัมพูชาได้หารือร่วมกันต่อไป แม้จะพ้นจากหน้าที่แล้ว โอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ดังนี้ - ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่มมากขึ้น พร้อมยินดีสานต่อความร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าที่ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2025 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณที่รัฐบาลกัมพูชาที่สนับสนุนนักลงทุนไทยมาโดยตลอด หวังว่ารัฐบาลกัมพูชาจะช่วยดูแลนักลงทุนไทยด้วยดีต่อไป ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีที่การลงทุนของไทยในกัมพูชามีการเติบโตต่อเนื่อง และพร้อมส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น - ความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การหารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน - สตึงบท) ในระหว่างที่การก่อสร้างอาคารที่ทำการศุลกากรบนทั้งสองฝั่งยังดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งหวังว่าจะมีการเร่งรัดการเปิดเดินรถไฟข้ามแดนที่จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก - ปอยเปต โดยเสนอให้หน่วยงานทั้งสองฝ่ายหารือกันในโอกาสแรก ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีที่จะประสานงานและติดตามความร่วมมือต่อไป เพื่อสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม - ความร่วมมือด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรียืนยันไทยให้ความสำคัญกับการดูแลและคุ้มครองแรงงาน หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน เพื่อส่งเสริมให้แรงงานกัมพูชาเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ - การแก้ปัญหาขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์ข้ามชาติ (แก๊ง call center) โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่กัมพูชาร่วมมืออย่างดียิ่งในการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกชักชวนไปร่วมขบวนการ call center ในกัมพูชา หวังว่ารัฐบาลกัมพูชาจะช่วยเร่งรัดกระบวนการส่งตัวคนไทยกลุ่มดังกล่าวกลับประเทศ ด้านเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ยินดีส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว - การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ถึงความร่วมมือเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน โดยต่างเห็นพ้องว่าไม่ควรนำเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนมาเป็นอุปสรรค โดยนายกรัฐมนตรีฝากคำขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาร่วมมือกับฝ่ายไทยในเรื่องดังกล่าว - การเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket นายกรัฐมนตรีฝากคำขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา หลังจากที่ได้หารือระหว่างกันในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงพนมเปญ โดยแสดงความพร้อมจะสนับสนุนจังหวัดภูเก็ต เป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo ในปี ค.ศ. 2028 ตามหลักการของอาเซียนที่จะสนับสนุนกันและกัน ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีอวยพรเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ ให้ประสบความสำเร็จในงานที่จะได้รับมอบหมายเมื่อเดินทางกลับประเทศ โดยขอให้นึกถึงไทยว่าเป็นเสมือนบ้านหลังที่สอง สามารถกลับมาเยี่ยมเยือนได้เสมอ พร้อมหวังว่าเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ คนใหม่ จะสานต่อการทำงาน และกระชับความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตอินเดีย ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศ พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างรอบด้าน ท่องเที่ยว การค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตอินเดีย ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศ พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างรอบด้าน ท่องเที่ยว การค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ให้เกิดผลสำเร็จเห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม วันนี้ (วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยสรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีกับเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตอินเดียฯ อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของไทย ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด และมีการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยรองนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันเพิ่มพูนความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ แม้มีภารกิจมาก สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทั้งสองประเทศที่มีอย่างยาวนานและมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอินเดียฯ เน้นย้ำว่า อินเดียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตามนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย และพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้าและพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกัน ดังนี้ ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงที่ใกล้ชิด และเห็นพ้องร่วมกันผลักดันความร่วมมือที่มีอยู่ให้มีผลเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งพิจารณาเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในรูปแบบใหม่ อาทิ ความมั่นคงทางทะเล อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการฝึกอบรมด้านความมั่นคงไซเบอร์ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านการค้าที่ใกล้ชิด โดยอินเดียถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและอินเดียยังมีศักยภาพที่จะขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมทั้งเชิญชวนนักลงทุนอินเดียเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับความต้องการของไทย อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันให้นักลงทุนอินเดียขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น ด้านการท่องเที่ยว อินเดียเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน โดยทั้งสองเห็นพ้องร่วมกันหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายให้มีจำนวนนักท่องเที่ยว จากอินเดียปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งทางเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ต้องการผลักดันให้อินเดียเป็นประเทศที่มาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง ด้านวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดีย โดยทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามความตกลงโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร และเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยของทั้งสองประเทศ โดยอินเดียได้จัดตั้งสถาบันอินเดียศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายแห่งของไทย รวมถึงมีการจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและศาสนาระหว่างกัน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้ความร่วมมือระหว่างกันเป็นรูปธรรมมากขึ้น สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ทั้งสองยินดีที่ไทยและอินเดียมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทั้งในกรอบ ASEAN และ BIMSTEC โดยเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยืนยันว่าอินเดียพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด BIMSTEC ของไทยในปี 2566 อย่างเต็มที่ พร้อมขอให้ไทยสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุม G20 ของอินเดียเช่นกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ให้โอวาทแก่ครูและนักเรียนทุนฯ ม.ท.ศ. เน้นย้ำ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำรงตนถึงพร้อมด้วยความรอบรู้และความดี ทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศ
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ปลัดมหาดไทย ให้โอวาทแก่ครูและนักเรียนทุนฯ ม.ท.ศ. เน้นย้ำ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำรงตนถึงพร้อมด้วยความรอบรู้และความดี ทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศ ปลัดมหาดไทย ให้โอวาทแก่ครูและนักเรียนทุนฯ ม.ท.ศ. เน้นย้ำ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำรงตนถึงพร้อมด้วยความรอบรู้และความดี ทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ เพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตลอดไป เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65 เวลา 13.30 น. ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในการประชุมเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจแก่คณะครูและนักเรียนผู้รับทุนพระราชทานในโครงการทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) โดยนางณัฐฎ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายสุทิน แก้วพนา รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยมี คณะกรรมการ ม.ท.ศ. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงาน ม.ท.ศ. และคณะครูผู้ดูแลนักเรียนทุนฯ พร้อมด้วยนักเรียนผู้รับทุนฯ รุ่นที่ 14 ปีการศึกษา 2564 นักเรียนทุนฯ ดีเด่น ประจำปี 2565 รุ่นที่ 11 ครูดีเด่น ประจำปี 2565 และนักเรียนทุนเฉลิมพระเกียรติฯ รวม 200 คน ร่วมรับฟัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของนักเรียนทุนพระราชทานโครงการทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ. ทุกคนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินจากผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อให้โอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีการเรียนดี ความประพฤติดี แต่มีฐานะยากจนขัดสนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต่อเนื่องจนถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า อันเป็นการทรงลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและศักยภาพแก่เยาวชนไทย โดยได้พระราชทานโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน รวม 14 รุ่น มีนักเรียนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวม 2,220 ราย “กระทรวงมหาดไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีปณิธานอันมุ่งมั่นในการสนองพระราชดำริด้วยการให้โอกาสในการศึกษาซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนที่ได้รับทุนพระราชทาน ซึ่งนักเรียนผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทุกคนต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพ ในการทำงาน ภายหลังจากสำเร็จการศึกษา ดังนั้น ในการเข้ารับการศึกษา จึงต้องได้รับการแนะนำ การดูแลจากคุณครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้นักเรียนสามารถเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งในการเรียนระดับที่สูงขึ้นนี้ น้อง ๆ ทุกคนจะต้องเรียนรู้การเข้าสังคมที่ต้องพบเจอเพื่อน พบเจออาจารย์ พบเจอเจ้าหน้าที่ ที่มีอุปนิสัย มีการใช้ชีวิตที่หลากหลาย สิ่งที่สำคัญ คือเรื่อง “การปรับตัว” เพราะว่าชีวิตของนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ต้องมีสติในการที่จะวางแผนตารางชีวิตให้ดี ถัดมา คือ เรื่องการเรียนก็จะต้องเตรียมพร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ขวนขวายด้วยตัวเอง การที่เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณได้รับเลือกเป็นนักเรียนทุนพระราชทานนั้นก็ถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นแล้ว ยิ่งต้องดูแลตัวเอง ให้มีกำลังกาย กำลังใจที่ดี รำลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระคุณของผู้มีพระคุณที่ให้ความรักความเมตตา ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเรามา โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดของการศึกษาเล่าเรียน คือ ต้องมีเป้าหมายและรักษาเป้าหมายของชีวิต มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม ช่วยกันพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ต้องขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุนพระราชทาน และคุณครูดีเด่น ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นครูดีเด่นในปี พ.ศ. 2565 นี้ และขอบคุณที่ช่วยดูแลลูก ๆ หลาน ๆ ให้มีอนาคตที่ดี ด้วยการให้โอกาสแก่พวกเขา ช่วยเหลือดูแลลูกศิษย์ทุกคน สมกับคำว่า “คุณครู” อันเป็นคำที่สะท้อนความหมายลึกซึ้ง คือ เป็นผู้วางรากฐานการพัฒนาของชาติ เป็นผู้ให้ความรู้ควบคู่ความรัก ความเมตตา และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน ทั้งนี้ เพื่อให้การดูแลลูก ๆ เป็นไปตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุณครูต้องเป็นผู้นำในการประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ในการเอาใจใส่ดูแลนักเรียนที่ได้รับทุนฯ ด้วยการสื่อสารให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กนักเรียน ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอได้ทราบถึงความต้องการของนักเรียนในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงการศึกษา พัฒนาตนเอง นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตของลูกหลานที่ดี และประการถัดมา คือ การศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาเรื่องการศึกษาให้ลูกหลานได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม เพราะในสภาพความเป็นจริงนั้น ยังมีเด็กนักเรียนอีกจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดที่ยังไม่ได้รับการศึกษา ด้วยสาเหตุจากการไม่มีทุนการศึกษา จึงฝากคุณครูทุกคนช่วยขยายผลด้วยการสื่อสารทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญของการศึกษาโดยการบูรณาการร่วมกันกับภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในพื้นที่ คือ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ช่วยเหลือเด็กที่ไม่มีโอกาสได้ทุนให้ได้รับการศึกษาที่ดี และต้องสื่อสารให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และองค์กรที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อเป็นการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชปณิธานให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี นักเรียน นักศึกษา ได้มีอนาคต มีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน “ในวันพรุ่งนี้ (28 ธ.ค. 65) คณะกรรมการ ม.ท.ศ. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงาน ม.ท.ศ. ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด คณะครูผู้ดูแลนักเรียนทุนฯ นักเรียนผู้รับทุนการศึกษาพระราชทาน ครูดีเด่น นักเรียนทุนฯ ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และนักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. จะได้มีโอกาสสำคัญของชีวิตในการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอให้ทุกท่านทุกคนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ด้วยการเป็นพลเมืองที่ดีที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการดำรงตนถึงพร้อมด้วยความรอบรู้และความดี พร้อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ เพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตลอดไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลติดตามการผ่อนคลายมาตรการโควิด 19 ของจีนใกล้ชิด หน่วยงานเกี่ยวข้องรุดเตรียมความพร้อม
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รัฐบาลติดตามการผ่อนคลายมาตรการโควิด 19 ของจีนใกล้ชิด หน่วยงานเกี่ยวข้องรุดเตรียมความพร้อม รัฐบาลติดตามการผ่อนคลายมาตรการโควิด 19 ของจีนใกล้ชิด หน่วยงานเกี่ยวข้องรุดเตรียมความพร้อม วันนี้(28 ธ.ค.) รมว.คมนาคมลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องติดตามการดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี วันนี้ (28 ธ.ค.65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ขณะนี้ทางการประเทศจีนได้มีการประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด19 โดยล่าสุดคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) ได้มีแถลงว่าจีนจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลในช่วงเดือนม.ค. 66 เป็นต้นไป ส่วนการอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศจะมีการพิจารณาในระยะต่อไปตามสถานการณ์ ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ติดตามข้อมูลและรายละเอียดและความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่คาดว่าจะมีการประกาศออกมาเป็นลำดับจากทางการจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สามารถรองรับกับนักท่องเที่ยวได้ทันทีกรณีที่ทางการจีนประกาศเปิดประเทศและนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างเต็มที่ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในวันนี้ (28 ธ.ค.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีกำหนดจะเดินทางไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมการรองรับผู้โดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมท่าอากาศยาน บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) (ทอท.) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เพื่อติดตามการดำเนินการตามข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางผ่านท่าอากาศยาน ทั้งประเด็นการรอคิวตรวจหนังสือเดินทาง ความแออัดของผู้โดยสารในช่วงเวลาเร่งด่วน บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า และในการนี้จะมีการหารือเตรียมความพร้อมกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศด้วย “ทันทีทางการจีนประกาศให้เห็นทิศทางการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด19 ภาคเอกด้านการท่องเที่ยวของไทยมีความตื่นตัวอย่างมาก ส่วนสายการบิน หน่วยงานที่ดูแลด้านท่าอากาศยานและการบินก็อยู่ระหว่างการปรับประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสาร ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้คาดการณ์ว่านโยบายของจีนครั้งนี้จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566 จากเดิมที่ประมาณการไว้ 20 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 25 ล้านคน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ได้ติดตามข้อมูลและเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านเพื่อให้พร้อมรับกับสถานการณ์ท่องเที่ยวที่จะเปลี่ยนไปจากนโยบายของจีนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว --------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63198
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนระวังถูกหลอกโหลดสติกเกอร์ไลน์ จากมิจฉาชีพ
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 ดีอีเอส เตือนระวังถูกหลอกโหลดสติกเกอร์ไลน์ จากมิจฉาชีพ ดีอีเอส เตือนระวังถูกหลอกโหลดสติกเกอร์ไลน์ จากมิจฉาชีพ ดีอีเอสแจ้งเตือนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ระวังการโหลดสติกเกอร์ไลน์จากมิจฉาชีพอาจโดนสวมสิทธ์จากภัยไซเบอร์ นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าปัจจุบันมิจฉาชีพมีการชักชวนสมาชิกผู้ใช้แอปพลิเคชันสื่อสารและส่งข้อความไลน์ให้โหลดสติกเกอร์จำนวนมากอาทิสติกเกอร์ปีใหม่สติกเกอร์การ์ตูนดีอีเอสได้มีการติดตามผู้กระทำความผิดผ่านไลน์และได้รับแจ้งข้อมูลจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากในฐานะผู้กำกับดูแลและรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตให้กับประชาชนขอแนะนำผู้ใช้ไลน์ทุกท่านตรวจสอบและระวังการโหลดสติกเกอร์ที่ไม่ได้มาจากผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์โดยตรงโดยมีข้อความที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นโหลดสติกเกอร์ฟรีหากท่านส่งข้อมูลให้กับเพื่อนครบจำนวน10คนเป็นต้น ทั้งนี้การเชิญชวนการโหลดสติกเกอร์ดังกล่าวอาจมีการหลอกลวงให้ผู้ใช้ไลน์ใส่ชื่อและรหัสการเข้าใช้ไลน์รวมถึงข้อมูลส่วนตัวซึ่งอาจจะเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำชื่อและรหัสการใช้งานของท่านไปทำธุรกรรมต่างๆหรืออาจมีการสวมสิทธิ์เป็นท่านเพื่อกระทำผิดได้ นางสาวนพวรรณกล่าวต่อว่าสติกเกอร์ที่ท่านสามารถดาวน์โหลดจากไลน์มี2รูปแบบหลักได้แก่ 1. Sponsored Sticker >สติกเกอร์ฟรีที่ได้รับเมื่อเพิ่มบัญชีทางการของแบรนด์นั้นๆ 2. Mission Sticker >สติกเกอร์ฟรีที่ได้รับเมื่อร่วมกิจกรรมทางการตลาดผ่านบัญชีทางการของแบรนด์นั้นๆเช่นการร่วมตอบแบบสอบถาม “หากท่านสงสัยว่าสติกเกอร์ที่ส่งมาให้ท่านโหลดฟรีมีความถูกต้องหรือไม่แนะนำให้ผู้ใช้งานโหลดสติกเกอร์ฟรีในแท็บFreeของSticker ShopภายในแอพพลิเคชันLINEเท่านั้น และกรณีที่เพิ่มบัญชีทางการขอให้สังเกตไอคอนรูปโล่ที่อยู่หน้าชื่อบัญชีทางการว่าเป็นสีเขียวหรือน้ำเงินหรือไม่เนื่องจากสัญลักษณ์ดังกล่าวจะเป็นการแสดงว่าเป็นบัญชีที่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากไลน์ อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการถูกหลอกลวงออนไลน์ต่างๆ สามารถแจ้งมาได้ทางสายด่วนโทร1212 ทั้งนี้ดีอีเอสได้มีการติดตามการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพในทุกรูปแบบสื่อออนไลน์”นางสาวนพวรรณกล่าว _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" เผย ภาพรวมBCGไทยคืบหน้าแล้ว30% ยกกระแสรถEV-พลังงานทดแทน -อุตฯไบโอพลาสติก ขยายตัวเร็วในระยะต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 "ทิพานัน" เผย ภาพรวมBCGไทยคืบหน้าแล้ว30% ยกกระแสรถEV-พลังงานทดแทน -อุตฯไบโอพลาสติก ขยายตัวเร็วในระยะต่อไป "ทิพานัน" เผยภาพรวมBCGไทยคืบหน้าแล้ว30% ยกกระแสรถEV-พลังงานทดแทน -อุตฯไบโอพลาสติก ขยายตัวเร็วในระยะต่อไป อานิสสงส์เอเปคดันสินค้าBCG ไร้พรมแดน พลิกโฉมไทยสู่วิถีใหม่ เศรษฐกิจ สังคม โตยั่งยืน รักษาสิ่งแวดล้อมให้คนรุ่นถัดไป วันนี้(4ธ.ค.65)น.ส.ทิพานันศิริชนะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากเป้าหมายของไทยที่จะลดการปล่อย'ก๊าซเรือนกระจก'ให้ได้20-25%หรือ111-139ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี2573เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คนรุ่นถัดไปดังนั้นแม้การประชุมเอเปก2022จะผ่านพ้นไปแต่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับให้ทุกภาคส่วนผลักดันเป้าหมายกรุงเทพฯคือแนวการพัฒนาเศรษฐกิจBCGไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้น น.ส.ทิพานันกล่าวว่านายสุพัฒนพงศ์พันธุ์มีเชาว์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมตระหนักถึงความสำคัญของแนวทางBCGที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยืนโดยประยุกต์แนวทางBCGมาใช้ตั้งแต่ระดับบุคคลในชีวิตประจำวันต่อยอดไปสู่ชุมชนและอุตสาหกรรมใหญ่ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขณะนี้ภาพรวมของการพัฒนาBCGในประเทศไทยมีความคืบหน้าไปกว่า30%แล้วในระยะต่อไป70% ที่เหลือคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีการขยายผลไปอย่างกว้างขวางโดยจะเห็นได้จากการประยุกต์ใช้แนวทางBCG ในครัวเรือนการแยกขยะทำโรงเรือนปลูกผักการทำปุ๋ยจากเศษอาหารไปจนถึงเปลี่ยนพืชพันธุ์เกษตรเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือEECIโรงกลั่นชีวภาพที่สามารถแยกสารต่างๆออกจากผลิตภัณฑ์การเกษตรต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มนำไปต่อยอดได้โดยปัจจุบันมีบางโรงงานพลาสติกชีวภาพหรือไบโอพลาสติกในเมืองไทยเกิดขึ้นแล้ว หากสำเร็จโดยพร้อมเพรียงกันจะใหญ่ที่สุดในโลกโรงไฟฟ้าชีวมวลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไทยเป็นรายแรกๆของโลกที่เอาโซล่าเซลล์ไปวางบนแผ่นน้ำไม่ต้องเปลืองที่ดิน ที่เห็นผลทันทีคือกระแสตื่นตัวซื้อยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถEVและการลงทุนจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งรถขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯที่เป็นรถไฟฟ้าจึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลยกประเด็นBCGเป็นเป้าหมายกรุงเทพฯในการประชุมเอเปค2022เพื่อให้สินค้าBCGเป็นสินค้าที่ไร้พรมแดน สามารถขายได้ทุกประเทศโดยที่ไม่มีข้อต่อรองทางการค้ามากจนเกินไปเป็นการยกระดับBCGให้เป็นวัตถุประสงค์ร่วมกันของคนทั้งโลก "จะเห็นได้ว่าแนวทางBCGได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วมีความก้าวหน้าไปอย่างมากโดยที่หลายฝ่ายอาจไม่ทันรู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลงสะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลได้พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไปสู่วิถีใหม่ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้กับประชากรไทยและประชากรโลกและอนาคตที่ดีของคนรุ่นถัดไปควบคู่ไปกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ดีขึ้นทุกระดับไปจนถึงฐานราก"น.ส.ทิพานันกล่าว ————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ พะเยา ขานรับร่วมสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก เผย อำเภอแม่ใจทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” ครบ 100% ทุกครัวเรือน พร้อมขยายผลให้ครบทั้งจังหวัดนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ผู้ว่าฯ พะเยา ขานรับร่วมสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก เผย อำเภอแม่ใจทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” ครบ 100% ทุกครัวเรือน พร้อมขยายผลให้ครบทั้งจังหวัดนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้ว่าฯ พะเยา ขานรับร่วมสร้างความตระหนักรู้ในวันดินโลก เผย อำเภอแม่ใจทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” ครบ 100% ทุกครัวเรือน พร้อมขยายผลให้ครบทั้งจังหวัดนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบาย โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่อำเภอแม่ใจซึ่งสามารถขยายผลครบ 100% ทุกครัวเรือนแล้ว โดยต่อไปจังหวัดพะเยาจะเร่งดำเนินการขยายผลการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนให้ครบทั้งจังหวัด ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการ Workshop เพื่อลงมือทำจริง และการรณรงค์สร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ที่แต่ละครัวเรือนจะได้รับจากการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งในขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัด และทุกอำเภอรวมถึงภาคีเครือข่าย ร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ ดิน เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน สร้างระบบนิเวศที่สมดุลให้แก่ธรรมชาติ ทำให้ผืนแผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทอง ด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน หนึ่งในหนทางที่จะช่วยฟื้นฟูดินคือ การทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน จึงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวดี ๆ เพื่อสร้างการขยายผลไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยไปด้วยกัน ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า อำเภอแม่ใจ ดำเนินขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะ “โครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการรับรู้การคัดแยกขยะอย่างถูกต้องแก่ประชาชน รณรงค์ให้ประชาชนจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนแบบระบบปิด สาธิตการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมู่บ้านดำเนินการจัดถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบทุกครัวเรือน ซึ่งเมื่อวานนี้ ได้มอบหมายให้นายเทวา ปัญญาบุญ ปลัดจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นางสาวธิดา ไกรนรา ท้องถิ่นจังหวัดพะเยา นายพีรัช จันธิมา นายอำเภอแม่ใจ นางสาวรัตติกาล คำสม ท้องถิ่นอำเภอแม่ใจ และนายวรศิลป์ ผัดมาลา สาธารณสุขอำเภอแม่ใจ ลงพื้นที่ให้กำลังใจและร่วมกิจกรรมโครงการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในชุมชน "3Rs ประชารัฐ" ของเทศบาลตำบลเจริญราษฎร์ ตลอดจนมอบเกียรติบัตรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมู่บ้านที่ดำเนินการจัดถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบทุกครัวเรือน โดยปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่อำเภอแม่ใจ ทั้ง 7 แห่ง และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯ อสม ทั้ง 6 ตำบล 66 หมู่บ้าน พร้อมประกาศอำเภอแม่ใจ เป็นอำเภอจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ครบ 100% ทุกครัวเรือน ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่อง การเพิ่มขึ้นของขยะมูลฝอย ในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเกิดขยะมูลฝอยชุมชนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 มีประมาณ 1.04 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน และในปี พ.ศ. 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 1.18 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยชุมซนที่เกิดขึ้นเพิ่มจาก 24.11 ล้านตันในปี พ.ศ. 2552 เป็น 28.71 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2562 (กรมควบคุมมลพิษ, 2563) ถึงแม้ว่าสัดส่วนร้อยละของขยะมูลฝอยชุมชนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจาก 16.01 เป็น 43.61 แต่การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนซึ่งไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ จำนวน 16.19 ล้านตัน นั้นส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย และเป็นภาระกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดเก็บ การขนส่ง การคัดแยก การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่ง อปท. จะเลือกใช้วิธีการจัดการรูปแบบใดขึ้นอยู่กับที่ตั้ง ปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนและศักยภาพของ อปท. วิธีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนพื้นฐานที่ อปท. ใช้ในปัจจุบัน คือ การฝังกลบในหลุมฝังกลบ ซึ่งการฝังกลบขยะอินทรีย์ในหลุมฝังกลบที่ลึกกว่า 5 เมตร และมีการปูแผ่นพลาสติกรองเพื่อป้องกันการซึมของน้ำชะล้างขยะ การบดอัด กลบทับ จะทำให้เกิดการหมักแบบไร้อากาศและเกิดก๊าซมีเทนซึ่งทำให้โลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25 เท่า ส่วนวิธีการจัดการซึ่งช่วยลดก๊าซเรือนกระจกมีหลายรูปแบบ เช่น การคัดแยกขยะพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือนำไปทำเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) การคัดแยกขยะอินทรีย์ไปหมักทำสารปรับปรุงดิน การคัดแยกขยะเศษอาหารไปหมักแบบไร้อากาศเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพและใช้เป็นเชื้อเพลิงการเผาขยะมูลฝอยชุมชนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวทิ้งท้ายว่า ประโยชน์ของถังขยะเปียกลดโลกร้อน คือ สามารถช่วยลดปริมาณขยะเปียกหรือขยะอินทรีย์และเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเพื่อนำไปบำรุงดิน โดยผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศ ซึ่งหากมีปริมาณขยะอินทรีย์เกิดขึ้นมากและมีพื้นที่เหลือ สามารถทำได้มากกว่า 1 จุด แล้วนำเศษอาหาร เศษผักผลไม้ ใบไม้ และเศษหญ้า ที่เหลือมาเทใส่ในถังที่ฝังไว้ และปิดฝาภาชนะให้มิดชิด จุลินทรีย์ในดิน ไส้เดือนในดิน จะทำการย่อยเศษอาหารในภาชนะให้กลายเป็นปุ๋ย ซึ่งก็จะทำหน้าที่ในการบำรุงดินทำให้ดินมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์เป็นอาหารให้แก่พืชผักสวนครัว และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ถือเป็นการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาติ UN อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงขอชื่นชมพี่น้องประชาชนอำเภอแม่ใจ และขอขอบคุณผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ตลอดจน ทุกภาคีเครือข่าย ที่เกี่ยวข้อง จนทำให้ครัวเรือนที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ใจ มีถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบ 100% #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ กำชับเร่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ และมาตรฐานของผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศ ปีนี้ทุเรียนไทยสร้างมูลค่าได้กว่า 8.3 หมื่นล้านบาทแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ กำชับเร่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ และมาตรฐานของผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศ ปีนี้ทุเรียนไทยสร้างมูลค่าได้กว่า 8.3 หมื่นล้านบาทแล้ว โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ กำชับเร่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ และมาตรฐานของผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศ ปีนี้ทุเรียนไทยสร้างมูลค่าได้กว่า 8.3 หมื่นล้านบาทแล้ว วันที่ 4 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานการส่งออกผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่ถือเป็นผลไม้ยอดนิยม ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์วิธีการเลือกซื้อทุเรียนไทย โดยล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคในต่างประเทศอย่างถูกต้อง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากผลความสำเร็จของการส่งออกและพัฒนาคุณภาพผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เผยข้อมูลการส่งออกทุเรียนไทยในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 90% ซึ่งทุเรียนไทยสามารถสร้างมูลค่าได้กว่า 82,805 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณส่งออก 779,206 ตัน (ข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 24 พฤศจิกายน 2565) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สานต่อความเชื่อมั่นและความสำเร็จดังกล่าว โดยล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการผ่านทูตเกษตรทั้ง 11 แห่ง ใน 8 ประเทศที่เป็นประเทศเป้าหมายของผู้บริโภคทุเรียนไทย ได้แก่ จีน (ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว), ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, สหรัฐอเมริกา (วอชิงตัน ดี.ซี., ลอสแอนเจลิส), สหภาพยุโรป, อิตาลี และรัสเซีย ให้สร้างการรับรู้ผ่านการประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐาน และให้ความรู้ถึงวิธีการเลือกทุเรียนคุณภาพจากประเทศไทย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์จะเร่งประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่นเดียวกัน รวมไปถึงจะเฝ้าระวังติดตามข่าวสารในสื่อออนไลน์และสื่อต่าง ๆ หากพบประเด็นกระทบต่อผลไม้ไทยให้ตรวจสอบและชี้แจงต่อสาธารณชนทันที ทั้งนี้ วิธีการเลือกซื้อทุเรียนไทยให้ได้คุณภาพ ใช้การพิจารณาจากลักษณะภายนอกเป็นหลัก มีจุดสังเกต 5 จุด ได้แก่ 1. ปากปลิง ต้องบวมโต เห็นรอยต่อได้อย่างชัดเจน 2. ก้านผลต้องมีความแข็งแรง สีน้ำตาลเข้ม สัมผัสแล้วสากมือ 3. ร่องหนามห่าง เมื่อบีบเข้าหากันจะรู้สึกว่ามีสปริง 4. ปลายหนามแห้ง สีน้ำตาลเข้ม เปราะและหักง่าย และ 5. พูต้องสามารถสังเกตรอยแยกกลางพูได้อย่างชัดเจน “นายกรัฐมนตรีได้ดูแลการทำงานเพื่อส่งออกผลไม้ไทยอย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลเห็นถึงศักยภาพและโอกาสของตลาดผลไม้ไทยในต่างประเทศ ซึ่งทุเรียนไทยเป็นอีกความสำเร็จ สะท้อนประสิทธิภาพของการบริหารจัดการการส่งออกผลไม้ สามารถยกระดับคุณภาพและมาตรฐานจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 – 2570 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลไม้ไทยให้ครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต ขนส่ง และส่งออกผลไม้ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสู่ผู้บริโภค รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการพัฒนาผลไม้ไทยร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ไทยในอนาคต” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ... "อธิบดีกรมเจ้าท่า" ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ ติดตามความก้าวหน้า โครงการสำคัญในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เตรียมความพร้อมเส้นทางคมนาคมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโครงข่ายคมนาคมขนส่ง มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 2 ธันวาคม 2565 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ พร้อมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ โดยมี นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ ในพื้นที่และประชาชนร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานภูเก็ต นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้ครอบคลุมทั่วถึง ทุกพื้นที่และสามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างรายได้ ประชาชน มีความสุข จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่สำคัญ ทุกโหมดการเดินทางในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต อาทิ การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เช่น โครงการ ทล. 4027 ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต - ท่าเรืออ่าวปอ ตอน บ้านป่าคลอก - บ้านพารา โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปยังท่าฉัตรไชย โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟให้ครอบคลุมและเชื่อมโยง พื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ (R-MAP) โดยมีแนวเส้นทางโครงการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 สถานี เป็นต้น ในส่วนของการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางน้ำที่สำคัญ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า พร้อมด้วย นายณชพงศ ประนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 ได้รายงานถึงมิติการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางน้ำที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อสามารถรองรับเรือครูซขนาดเล็กได้ และเสนอแนวทาง การพัฒนาให้มี Landing Pier ที่อ่าวป่าตอง การพัฒนา Smart Pier ท่าเรือในจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต (วงแหวนอันดามัน) และการขุดลอกร่องน้ำภูเก็ต (ท่าเรือน้ำลึก) จังหวัดภูเก็ต ดำเนินการขุดลอกแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้การเชื่อมต่อ ด้านคมนาคมขนส่งทุกโหมดการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง สามารถรองรับปริมาณการเดินทางและคมนาคมขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคอื่นได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้พบปะพี่น้องประชาชนชาวพัทลุงที่มาให้การต้อนรับ โดยประชาชนได้ขอบคุณที่ผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาให้เกิดขึ้นจริง หลังจากที่รอคอยมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งหากโครงการนี้แล้วเสร็จ นอกจากจะย่นระยะทางการเดินทางแล้ว ยังจะทำให้เกิดประโยชน์กับการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีอาชีพประมงและเกษตรจะได้รับประโยชน์ตามไปด้วย รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่ากล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตกำลังกลับมาฟื้นตัว เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น ส่วนใหญ่กระจายตัวไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และ มีจำนวนมากที่เดินทางท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งการดูแลความปลอดภัยทางทะเลโดยเฉพาะกรณีเกิดอุบัติเหตุทางทะเล การเข้าถึงสถานที่เกิดเหตุการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก พร้อมกันนี้ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์ควบคุมจราจรและความปลอดภัยทางทะเลอันดามัน ณสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน อีกทั้งเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ถึงสภาพปัญหาและแนวทางการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อหาวิธีการทำงานในรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป พร้อมเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62295
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม นักลงทุนซาอุดีอาระเบียเชื่อมั่นศักยภาพไทย เตรียมร่วมลงทุนในไทยปี 2566 สูงถึง 3 แสนล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม นักลงทุนซาอุดีอาระเบียเชื่อมั่นศักยภาพไทย เตรียมร่วมลงทุนในไทยปี 2566 สูงถึง 3 แสนล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม นักลงทุนซาอุดีอาระเบียเชื่อมั่นศักยภาพไทย เตรียมร่วมลงทุนในไทยปี 2566 สูงถึง 3 แสนล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง วันนี้ (4 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบว่า รัฐบาลและภาคเอกชนซาอุดีอาระเบียเตรียมจะลงทุนในไทย โดยในปี 2566 ปีเดียว จะลงทุนในไทยสูงถึง 300,000 ล้านบาท โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า สาขาอุตสาหกรรมที่อยู่ในความประสงค์จะลงทุนของซาอุดีอาระเบีย อาทิ อุตสาหกรรมเป้าหมายส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบียซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเมดิคัลแคร์ อุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างโดยถือเป็นผลพวงความสำเร็จจากการปรับความสัมพันธ์ทางการทูต และการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาลของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และจากการที่คณะบุคคลระดับสูงต่างๆ จากซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าเยี่ยมชมพื้นที่ EEC ส่งผลให้ทางซาอุฯ สนใจลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมที่ EEC นำเสนอ ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลนวัตกรรมขั้นสูง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์แม่นยำ อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า EV ที่จะขับเคลื่อนบริบทเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG เป็นต้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งมาจนถึงขณะนี้ ทางประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย EEC ได้กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนอย่างแน่นอน โดยที่ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้เลือกไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และมีบุคลากรด้านยานยนต์ที่พร้อมที่สุด ทำให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวมาเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วที่สุด “นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันทำงานให้ภาคการผลิตของประเทศไทยโดดเด่นเป็นที่สนใจของต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลจาก ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบียที่แน่นแฟ้นขึ้นในช่วงรัฐบาลนี้ ซึ่งเชื่อว่ายังมีโอกาสของการเติบโตอีกมาก ยังเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ได้สร้างความเจริญด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ไว้ ยิ่งส่งเสริมและดึงดูดให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยยิ่งขึ้น และตอนนี้ถึงเวลาที่ไทยจะได้เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่องในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 วันสุดท้าย ชวนนักช้อปฯ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เลือกซื้อเลือกหาสุดยอดผ้าไทยลายพระราชทาน
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 2 วันสุดท้าย ชวนนักช้อปฯ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เลือกซื้อเลือกหาสุดยอดผ้าไทยลายพระราชทาน 2 วันสุดท้าย ชวนนักช้อปผ้าไทย “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เลือกซื้อเลือกหาสุดยอดผ้าไทยลายพระราชทาน "ลายขิดนารีรัตนราชกัญญา" ถึงวันที่ 5 ธ.ค. 65 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ Quartier Gallery, M Floor, The EmQuartier วันนี้ (4 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า “ผ้าไทย” มรดกภูมิปัญญา หัตถศิลป์ หัตถกรรม อันล้ำค่าของพวกเราคนไทย ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพี่น้องช่างทอผ้าจากทุกที่ถิ่นในชนบทห่างไกล ผู้สืบสานภูมิปัญญา ต่อลมหายใจด้วยการถักทอ ใส่ใจ ออกแบบเทคนิคลวดลายผ้าจากบรรพบุรุษ เพื่อรักษาหัตถศิลป์หัตถกรรมอันทรงคุณค่า สะท้อนความมั่นคงของชาติด้านเครื่องนุ่งห่ม อันเป็น 1 ในปัจจัย 4 ของชีวิตประจำวันให้คงอยู่คู่กับแผ่นดินไทย "นับเป็นพระกรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” มาเป็นหลักคิดในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้มีความทันสมัย ใส่ได้ในทุกโอกาส จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และผู้มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการทอผ้า การตัดเย็บเสื้อผ้า ได้ลงพื้นที่ Coaching พัฒนาทักษะ เทคนิค การทอผ้า การออกแบบลวดลาย และการตัดเย็บเสื้อผ้า ให้กับช่างทอผ้าและผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย ในทั่วประเทศ ด้วยทรงห่วงใยพี่น้องช่างทอผ้าทั่วประเทศ และพระราชทานพระกำลังใจด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนด้วยการจัด “การประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา” ประจำปี 2565” ซึ่งมีผู้สมัครส่งผลงานผ้าเข้าประกวด จำนวนทั้งสิ้น 2,946 ผืน และงานหัตถกรรม จำนวนทั้งสิ้น 298 ชิ้น โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวดผ้าลายพระราชทาน "ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา" และงานหัตกรรม รอบตัดสินระดับประเทศ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 65 ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า ผลงานผ้าทุกผืนที่ถูกถักทอส่งเข้าประกวด ผู้เข้าประกวดทุกคนได้นำเสนอแนวคิด เทคนิค และวิธีการทอผ้า ย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติ ด้วยความมุ่งมั่น โดยผลงานทุกชิ้น ล้วนเป็นสุดยอดผลงานผ้าไทยลายขิดนารีรัตนราชกัญญา พี่ผ่านการรังสรรค์ ความตั้งใจ ความใส่ใจ ในการถักทอด้วยระยะเวลานาน แต่อุปสรรคปัญหาทั้งหลายต่างกลายเป็นความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื่อบรรลุความต้องการของผู้เข้าประกวดทุกคน ที่มีความมุ่งมาดปรารถนาในการน้อมนำลายผ้าพระราชทาน "ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา" มาผลิตเป็นผลงานอันทรงคุณค่า เพื่อให้ถูกอก ถูกใจ เป็นที่ต้องการของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย และจากการประกวดผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญาที่ผ่านมา มีพี่น้องประชาชนผู้สนใจและหลงใหลในผืนผ้าไทยจำนวนมาก ติดต่อสอบถามเพื่อเป็นเจ้าของผืนผ้าที่มีความประณีตบรรจงและงดงามเหล่านี้ "เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านการตลาดและเปิดโอกาสให้พี่น้องช่างทอผ้าผู้ส่งผืนผ้าเข้าประกวดได้มีโอกาสนำเสนอผลงานออกสู่สายตา พี่น้องประชาชนและทำให้พี่น้องประชาชนผู้มีความสนใจในผืนผ้าไทยได้ร่วมสนับสนุนและอุดหนุนเลือกซื้อผืนผ้าที่ผ่านการประกวดจากผู้ประกอบการโดยตรง กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน จึงได้จัดงาน "สืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมไทย "ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา"" ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ Quartier Gallery, M Floor, The EmQuartier ซึ่งมีกลุ่มผู้ประกอบการร่วมออกร้าน จำนวน 50 บูท เพื่อจำหน่ายสุดยอดผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถศิลป์หัตถกรรมให้กับผู้สนใจ เช่น กลุ่มผาสาทแก้ว ผ้าทอลายโบราณ จ.มหาสารคาม กลุ่มผ้าชิ่นตีนจกลับแล จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มเย็บผ้าด้วยมือ (แบรนด์ขวัญตา) จ.หนองบัวลำภู กลุ่มตลาดไหมใต้ถุนเรือน (Young OTOP) จ.สุรินทร์ กลุ่มทอผ้าแม่บ้านเกษตรบ้านม่วงงาม จ.ชัยนาท saloma patek จ.นราธิวาส กลุ่มศิวะนาฎกนกไทย จ.พัทลุง กลุ่มหัตถกรรมงานทองเหลือง จ.ระยอง กลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมืออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้สนใจ ได้เลือกซื้อผืนผ้าไทยและหัตถกรรมที่ผ่านการประกวด "ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา" ทุกลวดลาย ทุกเทคนิค จากผู้ประกอบการทั้ง 4 ภาค ที่นำมาได้จัดแสดงและจำหน่าย รวมทั้งเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ผ้าพันคอ กระเป๋า และสินค้าประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะจำหน่ายถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ Quartier Gallery, M Floor, The EmQuartier เพื่อร่วมสืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมผ้าไทย และร่วมให้กำลังใจผู้ประกอบการช่างทอผ้าจากทั่วประเทศ อันเป็นการทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนภายในประเทศ และต่อลมหายใจผืนผ้าไทย ธำงรักษามรดกภูมิปัญญาที่ล้ำค่าให้คงอยู่คู่กับแผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62311
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Permanent Secretary for Interior Kick Start “The Ministry of Interior (MOI)’s world soil day event” for this year at Watpasisaengtham, Ubon Ratchathani Province
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 Permanent Secretary for Interior Kick Start “The Ministry of Interior (MOI)’s world soil day event” for this year at Watpasisaengtham, Ubon Ratchathani Province Permanent Secretary for Interior Kick Start “The Ministry of Interior (MOI)’s world soil day event” for this year at Watpasisaengtham, Ubon Ratchathani Province, and invited Thai people to participate in “World Soil Day 2022” event on Dec 5th in all Permanent Secretary for Interior Kick Start “The Ministry of Interior (MOI)’s world soil day event” for this year at Watpasisaengtham, Ubon Ratchathani Province, and invited Thai people to participate in “World Soil Day 2022” event on Dec 5th in all districts and provinces across the nation. On December 3nd, 2022, Mr. Suttipong Juljarern, Permanent Secretary for Interior, was subject to the kick start of this year's MOI’s World Soil Day event at Watpasisaengtham, Ubon Ratchathani. The main objective is to raise public awareness of the importance of natural resources in soil for sustainable conservation and to honor his Majesty the late King Bhumibol Adulyadej, on his work regarding “Soil” which the UN has declared that every year of his birthday (December, 5th) is the World Soil Day. For steering pilot zones during this period (December, 2nd - 8th) "awareness week" in 7 Districts is to extend the campaign to all 878 districts in Thailand. . Ubon Ratchatani Province is a prosperous foods area such as rice, fruits, vegetables, etc., and fulfills with Khok Nong Na about 4,044 fields, therefore Mr. Suttipong has chosen Ubonratchatani province for declaring to preserve soils for fellow FAO purposes. For this year’s World Soil Day, the event will be held under the slogan “Soils, where food begins” which reflects the importance of maintaining healthy soil, leading to Food Security, Safety, and Sustainability under the concept of One Healthy and 4 Better: Better Production, Better Nutrition, Better Environment, and Better Life. This year’s key message is about the significant loss of vitamins and nutrients in vegetables and fruits due to the loss of soil fertility, which directly affects the health and quality of life of all human beings. The Permanent Secretary added that the Ministry of Interior has introduced the sufficiency economy philosophy (SEP), the royal initiative of His late Majesty King Bhumibol Adulyadej to convey to people by "People Development Concept", allowing them to develop their land. It is the continuation of His Majesty's aspirations, wishing to perceive "National Stability" and "National Happiness" under the philosophy of a sufficient economy. Applying the SEP to the Khok Nong Na, The model that imitates nature It consists of mounds, swamps, and farmland has been empirically successful in improving soil quality, covering soil, increasing the number of microorganisms as a result of The National Food Waste Management Campaign, promoting food security by the encouragement of the cultivation of vegetables, creating Campaigns for instance 3 forest, 4 Benefits, Vetiver grass planting project, Kanna Thong project, which helps reduce the number of chemical leakages in the production of woven fabrics, cotton fabrics, and pineapple fibers. The Ministry of Interior has disseminated the knowledge to people in Thai society, which causes prosperity and a path towards a ‘Civilized Society’ as known as Change for Good. According to that, during the kickstart of the soil campaign, Mr. Permanent Secretary highlighted that “Soil” is a natural resource that is essential to all life on Earth. Soil provides an environment for plants to grow in, helps produce food, filters and cleans water, and also plays a crucial role in driving carbon and nitrogen cycles. The Ministry’s main goal is to restore good soil to the land to create the balance of nature and ecosystem”. Moreover, He was also the leader of the campaign to declare the intention of soil protection, preservation, and develop the quality of the soil. The challenge is how to implement the working mechanism of the Ministry of Interior to create people’s awareness about the importance of soil. Thailand together with the Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) has established World Soil Day Award to commemorate His late Majesty King Bhumibol Adulyadej to carry on the royal aspirations of conservation of the environment and soil, which are fundamentals of generating Food Security and Zero Hunger (SDGs) He also reminded me that on December, 5th of this year, The Ministry of Interior (MOI) will organize various activities including, for example, an intention declaration, a walking campaign, an exhibition, and public relations campaigns. All campaigns will display the logo of World Soil Day under the slogan of “Soils, where food begins”, to raise awareness of the importance of Soil in all districts and provinces across the nation. “The Ministry of Interior is taking this event very seriously this year and would continue the driving campaign under the theme of Soils, where food begins until the next one is arrived (September 2023) so please join us for the betterment of all lives,” he said. In the summary of declaring speech we will continue the late King Bhumibol Adulyadej's Study and Sufficiency Economy Philosophy (SEP) to develop and maintain the abundance of soils for creating quality food. Then we will expand the network to create multiple results driving only one planet beyond toward ultimately sustainable development goals. Finally, The Permanent Secretary said that he will continue the inspiration of King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun His Highness which is concerned and takes into account the well-being of the people. His Majesty has a firm determination to make a stable nation, to make great happiness to the people, and to fix the wrong thing. In addition, Inheriting the royal aspirations under the philosophy of sufficiency economy…” His Majesty King Rama 10 continued the royal aspirations of “Rama IX to continue preserving and extending the royal project e.g. Addressing flood and drought problems, Thai silk with no chemical process, etc., and royal initiatives of His Majesty King Bhumibol Adulyadej Maha Bhumibol Adulyadej the Great Borommanatbophit in the nurturing of suffering and maintaining the happiness of the people and developing the country to progress. he also hopes everyone would come and join this event to raise public awareness of soil resource conservation, making the concept of " Thailand, the golden land". #WorldSoilDay #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #MinistryofInterior #SDGsforAll #ChangeforGood Information Division, Office of the Permanent Secretary for Thailand No. 591/2565 3 December 2022
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ในปีนี้ กระทรวงแรงงานโดยศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงแรงงานได้สนับสนุนกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “วันพ่อแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2565 ณ พื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 4 แห่ง เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 นายสุชาติกล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ผมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานร่วมสนับสนุนกิจกรรมตลอดทั้ง 3 วันในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 แห่ง ดังนี้ จุดแรกบริเวณที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ 904 เกียกกาย เขตดุสิต สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน นนทบุรี จัดกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ การร้อยหินมงคล การเพ้นท์กระเป๋างาน DIY งานไม้ ที่วางโทรศัพท์มือถือ การทำเดคูพาจ กระเป๋ากระจูด งาน DIY กล่องใส่กระดาษทิชชูและการร้อยหินเป็นเครื่องประดับ และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 8 แจกสิ่งของเครื่องบริโภค จุดที่ 2 บริเวณชุมชนท่าเตียน พื้นที่วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ เขตพระนคร สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 5 จัดกิจกรรมสาธิตอาชีพอิสระ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ สายคล้องแมสจากหนัง ปลาตะเพียนสานจากหนัง การแต่งรองเท้าฟองน้ำแฟชั่น ที่เก็บพวงกุญแจผ้า การแต่งกระเป๋าผ้าสไตล์โบฮีเมียน และเทียนซอยแว้คอโรมาจุดที่ 3 บริเวณวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เขตดอนเมือง สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 14 ปทุมธานี จัดกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ การแปรรูปสมุนไพรเครื่องดื่ม และการผสมค็อกเทล และจุดที่ 4 บริเวณวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 1 จัดกิจกรรมสาธิตอาชีพอิสระ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ ตะกร้าสาน โมบายคริสตัล ยาดมสมุนไพร สบู่รังไหม ดอกแก้วทำด้วยดิน และการจัดดอกไม้ในกระถาง ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน จึงขอเชิญชวนประชาชน เข้าร่วมงานและรับบริการฝึกอาชีพฟรี ได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ พื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ 904 เกียกกาย เขตดุสิต ชุมชนท่าเตียน พื้นที่วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ เขตพระนคร วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เขตดอนเมือง และวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 4 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกภาคส่วนเดินหน้าทำสงครามกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ด้าน ปมท. ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส ย้ำเป็นส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติด
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ทุกภาคส่วนเดินหน้าทำสงครามกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ด้าน ปมท. ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส ย้ำเป็นส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติด ทุกภาคส่วนเดินหน้าทำสงครามกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ด้าน ปมท. ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส ย้ำเป็นส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติด สร้างสังคมไทยที่ปลอดยาเสพติดอย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง สร้างความเสียหายในทุกมิติ ทั้งต่อพี่น้องประชาชน สังคม และประเทศชาติ ซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นความสำคัญถึงภัยจากยาเสพติดจึงได้สั่งการให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเร่งเดินหน้าทำสงครามกับยาเสพติด อย่างจริงจัง โดยเน้นทั้งมาตรการเชิงรุกเข้ากวาดล้างและขจัดยาเสพติดให้หมดไปผ่านการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ และมาตรการเชิงรับ การตั้งจุดตรวจจุดสกัด จัดระเบียบสังคม Re X-Ray ตั้งเเต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยยังคงบูรณาการทุกหน่วยงานเพิ่มความเข้มข้นในปฏิบัติการจับกุมผู้กระทำความผิด จากการขยายผลการเบาะแสจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ ได้รับรายงานผลการปฏิบัติจากพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ 1. จังหวัดจันทบุรี นางสาวอัมพวัน เพไร นายอำเภอแก่งหางแมว มอบหมายให้ นายอนุพงษ์ สุขวิเศษ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วยสมาชิก อส. บูรณาการร่วมกับตำรวจ สภ.แก่งหางแมว ร่วมกันดำเนินการปิดล้อม ตรวจค้น กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในพื้นที่ อ.แก่งหางแมว สามารถดำเนินการจับกุมได้ 4 ราย ดังนี้ 1) นายเกรียงไกร พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 4 เม็ด 2) นายประจวบ พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 90 เม็ด และรถยนต์กระบะบรรทุกมีข้างเสริม จำนวน 1 คัน 3) นางสาวประภัสสร ในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) และลักลอบเล่นการพนันฟุตบอลออนไลน์ (ฟุตบอลโลก) โดยมีการพนันเอาทรัพย์สินกันโดยผิดกฎหมาย พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง และ 4) นายสนั่น พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 7,232 เม็ด และยาไอซ์ น้ำหนักรวม 1,681.62 กรัม (น้ำหนักชั่งรวมถุง) ทั้งนี้ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 2. จังหวัดหนองคาย ว่าที่ ร.ต.พงษ์สิทธิ์ เปรยะโพธิเดชะ นายอำเภอเฝ้าไร่ ได้มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง บูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจภูธรเฝ้าไร่ ดำเนินการปิดล้อม ตรวจค้น ในพื้นที่บ้านโนนต้อง ต.นาดี อ.เฝ้าไร่ เนื่องจากมีการร้องเรียนว่าพบบุคคลชายจำหน่ายยาบ้าให้กับเยาวชนในพื้นที่ และมีการครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 2,000 เม็ด และอาวุธปืนสั้นชนิดกึ่งออโต้ จำนวน 3 กระบอก จึงนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 3. จังหวัดสกลนคร ฝ่ายปกครองจังหวัดสกลนคร (ร้อย อส.จ.สน.ที่ 1) บูรณาการร่วมกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสกลนคร สำนักงานแรงงานจังหวัดสกลนคร สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสกลนคร สาธารณสุขโรงพยาบาลสกลนคร สภ.เมืองสกลนคร ร่วมกันออกปฏิบัติหน้าที่สุ่มตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ จำนวน 241 ราย ที่ บริษัท อึ้งกุ่ยเฮง จำกัด ผลไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด 4. จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.อ.นุกูล ดำสุวรรณ หัวหน้าชุด ชป.ทภ.4 กอ.รมน.ภาค 4 และชุดเฉพาะกิจผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยกำลังทหาร ฝ่ายปกครอง อ.ลานสกา ลงพื้นที่สอบสวน กรณีประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนว่า ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเหมา ต.เขาแก้ว มีพระจอมจำพรรษาอยู่ 1 รูป พร้อมผู้หญิง 2 - 3 ราย และผู้ชาย 1 ราย มีพฤติกรรมมั่วสุมยาเสพติดและกิจกรรมทางเพศ รวมถึงมีอาวุธปืนในครอบครอง จากการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด พบผลเป็นบวก พระจอมให้การยอมรับว่ามีการเสพยาเสพติดจริง จึงให้พระครูโสพิศศุภกิจ เจ้าอาวาสวัดไทรงาม ทำการสึกจากความเป็นพระ จากนั้น เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว อดีตพระจอม หรือนายเจียมศักดิ์ จากตรวจค้นกุฏิ พบ นางเอียด อายุ 55 ปี และอาวุธปืนขนาด .357 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 6 นัด ซุกซ่อนอยู่ในซอกหินหลังกุฏิ จึงนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า โดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะทำการสอบสวนผู้หญิงจำนวน 3 ราย และชาย 1 ราย ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับอดีตพระจอม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 5. จังหวัดกระบี่ กก.สส.ภ.จว.กระบี่ ร่วมกับฝ่ายปกครอง อส.ภ.จว.กระบี่ โดยชุด ชปส. นำโดย พ.ต.ท.อาวุธ ขำแผลง สว.ฯ, ร.ต.อ.สุวัฒน์ พัฒนประดิษฐ์, ร.ต.อ.ปรเมศวร์ กำไรรักษา, ร.ต.อ.วัชรินทร์ ช่วยแก้ว และ ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ แจ้งวังรองฯ สว.กก.สส.ภ.จว.กระบี่ ดำเนินการจับกุม นายมารุต อายุ 30 ปี พร้อมของกลางยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 66 เม็ด จึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่ง พงส.สภ.อ่าวลึก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 6. จังหวัดชลบุรี พ.ต.อ.จักรพันธ์ กิตติสิริพรกุล รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี, พ.ต.อ.กุลชาต กุลชัย ผกก.สภ.เมืองพัทยา, พ.ต.ท.สุริยะ โพธิ์ทองนาค รอง ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.2 พร้อมด้วย นายพรชัย สังข์เอียด ปลัดอำเภอบางละมุง สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด นปพ.ภ.2 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วม 50 นาย นำกำลังบุกเข้าจับกุมสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เนื่องจาก เมื่อ วันที่ 28 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา สถานบันเทิงเถื่อนแห่งนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ด้วยพบนักท่องเที่ยวและพนักงาน มีสารเสพติดในร่างกาย จำนวน 15 ราย จึงแจ้ง 4 ข้อกล่าวหา พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดให้ปิดให้บริการ แต่ในวันนี้กลับมีการโพสต์เชิญชวนเข้าร่วมงานปาร์ตี้ผ่านทางเพจร้าน เจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังบุกเข้าจับกุมอีกครั้ง จากการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด พบผลเป็นบวก จำนวน 7 ราย แบ่งเป็นผู้ชาย 4 รายและผู้หญิง 3 ราย นอกจากนี้ยังตรวจพบถุงใสแบบซิป บรรจุวัตถุเป็นผงสีขาวขุ่น คล้ายสารเสพติดซุกซ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน และทำการขยายผลเพื่อหาเจ้าของตัวจริง พร้อมทั้งแจ้งข้อหาดังนี้ 1) เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 2) จำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ และนำส่งเพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยจะไม่ปล่อยปละละเลยผู้กระทำความผิด และจะดำเนินการป้องกันและปราบปรามผ่านมาตรการเชิงรุกที่เข้มข้น พร้อมทั้งให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานนี้ ด้วยพลังของทุกคน ทุกภาคีเครือข่าย จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมที่ปลอดภัย และประเทศชาติมั่นคง ห่างไกลจากยาเสพติดได้ในที่สุด ทั้งนี้ หากผู้ใดพบผู้กระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร 1567 โดยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมดำเนินการตามเบาะแสตลอด 24 ชั่วโมง #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ชวนเจ้าของรถตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ฟรี
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ชวนเจ้าของรถตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ฟรี ... กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ชวนเจ้าของรถตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ฟรี ณ ศูนย์บริการของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศตลอดเดือนธันวาคม 2565 มุ่งมั่นลดอุบัติเหตุจากการขัดข้องของเครื่องยนต์ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่เป็นช่วงวันหยุดยาวที่ประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ประกอบกับตอนนี้สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในประเทศไทยเข้าสู่สภาวะปกติ มีการคลายมาตรการทางด้านสาธารณสุข โดยคาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ในปีนี้จะมีประชาชนเดินทางและใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอแนะนำว่า สำหรับผู้ขับขี่รถในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ควรตรวจเช็กสภาพรถให้มีความพร้อมก่อนเดินทางทุกครั้งเพื่อให้เกิดความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ทั้งนี้ ขบ. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” เพื่อให้บริการตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์และรถจักรยานยนต์เบื้องต้นก่อนเดินทาง กว่า 20 รายการ โดยไม่คิดค่าบริการ เช่น การตรวจระบบเบรก สภาพยาง การทำงานของเครื่องยนต์ ระดับน้ำมันเครื่องและความสกปรกของน้ำมันเครื่อง หม้อน้ำและรอยรั่ว ไส้กรองอากาศ การทำงานของไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจะได้รับการดูแลจากช่างผู้ชำนาญงาน นอกจากนี้ บางหน่วยงานยังมีบริการตรวจเช็กลูกหมากปีกนก ลูกปืนล้อ ตรวจถังน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงท่อและข้อต่อน้ำมันเชื้อเพลิงให้เพิ่มเติม ทั้งยังให้ส่วนลดค่าอะไหล่บางรายการอีกด้วย เจ้าของรถยนต์และรถจักรยานยนต์สามารถนำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขบ. มีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักให้เจ้าของรถเห็นความสำคัญของการตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถ เครื่องยนต์และอุปกรณ์ส่วนควบของรถก่อนการเดินทาง ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สมาคมผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไทย สมาคมการค้าไทย - ยุโรป สมาคมตรวจสภาพรถเอกชนไทย สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สถาบันยานยนต์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซูซูกิโมโตเซลส์คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บี - ควิก จำกัด บริษัท ฟอร์ซเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ AUTO QUIKS) บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท คาร์เวิลด์ คลับ จำกัด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด นอกจากนี้ผู้ขับขี่ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมเมื่อทราบว่าต้องขับรถเป็นระยะทางไกลๆ ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมง หากมีอาการเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางควรหยุดพักในจุดที่ปลอดภัย วางแผนและศึกษาเส้นทางล่วงหน้า ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขับรถด้วยความระมัดระวังปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด คาดเข็มขัดนิรภัยและสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อขับขี่ยานพาหนะ เพิ่มความระมัดระวังเมื่อต้องขับขี่ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งผู้ใช้ระบบแอนดรอยด์ ขอทำ E-vaccine passport ผ่าน “ไลน์หมอพร้อม” อยู่ระหว่างอัพเดท “แอปหมอพร้อม”
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 แจ้งผู้ใช้ระบบแอนดรอยด์ ขอทำ E-vaccine passport ผ่าน “ไลน์หมอพร้อม” อยู่ระหว่างอัพเดท “แอปหมอพร้อม” แจ้งผู้ใช้ระบบแอนดรอยด์ ขอทำ E-vaccine passport ผ่าน “ไลน์หมอพร้อม” อยู่ระหว่างอัพเดท “แอปหมอพร้อม” วันนี้(4ธ.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าสำหรับประชาชนคนไทยที่จะเดินทางออกนอกประเทศต้องศึกษาข้อกำหนดการเดินทางเข้าของแต่ละประเทศให้ดีซึ่งหลายประเทศมีการขอข้อมูลการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด19หรือที่เรียกว่าวัคซีนพาสปอร์ต((Vaccine Passport)ซึ่งประชาชนสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยแอปพลิเคชั่น“หมอพร้อม” (E-vaccine passport) แต่ขณะนี้กรมควบคุมโรคแจ้งว่าแอปหมอพร้อมมีการอัพเดทversionใหม่ทำให้ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์(Android)ไม่สามารถขอE-vaccine passportได้จึงขอแนะนำให้ใช้ผ่าน“ไลน์หมอพร้อม”โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.เข้าLineหมอพร้อม 2.เลือกบัญชีผู้ใช้และบริการอื่นๆ 3.เลือกInternational Certificate 4.กรอกข้อมูลการขอE-vaccine passportได้ตามปกติ หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทร.0961909290 0961909462 025903232 025903234 025903235 ———
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62301
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธารณสุขตรวจเข้มเตือนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ห้ามเปิดให้ขายช่อดอกกัญชา ด้านกรมการแพทย์เผยผลศึกษาใช้สารสกัดกัญชาในผู้ป่วยระบบประสาทเห็นผลช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 สาธารณสุขตรวจเข้มเตือนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ห้ามเปิดให้ขายช่อดอกกัญชา ด้านกรมการแพทย์เผยผลศึกษาใช้สารสกัดกัญชาในผู้ป่วยระบบประสาทเห็นผลช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้น รองโฆษกรัฐบาลเผย สาธารณสุขตรวจเข้มเตือนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ห้ามเปิดให้ขายช่อดอกกัญชา ด้านกรมการแพทย์เผยผลศึกษาใช้สารสกัดกัญชาในผู้ป่วยระบบประสาทเห็นผลช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้น วันนี้(4ธ.ค.65)น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขได้กำชับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขให้ดูแลการใช้ประโยชน์จาการกัญชาให้เป็นไปตามกฎหมายโดยเฉพาะประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสมุนไพรควบคุม(กัญชา)พ.ศ. 2565ฉบับลงวันที่11พ.ย. 65และมีผลบังคับเมื่อวันที่24พ.ย. 65ที่เน้นควบคุมช่อดอกกัญชา เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำชับดังกล่าวกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้มีการติดตามการขายช่อดอกกัญชาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากตามประกาศฯนอกจากจะห้ามการขายช่อดอกกัญชาแก่เด็กอายุต่ำกว่า20ปีนักเรียนนักศึกษาสตรีมีครรภ์หรือสตรีที่อยู่ระหว่างให้นมบุตรตลอดจนห้ามขายผ่านตู้อัตโนมัติแล้วยังห้ามขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทด้วย “กรมการแพทย์แผนไทยฯได้มอนิเตอร์ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และพบว่าหลังมีประกาศกระทรวงฯฉบับใหม่ห้ามแต่ยังมีการขายช่อดอกกัญชาในแพลตฟอร์มค้าออนไลน์อยู่ตอนนี้กรมฯได้มีการทำหนังสื่อแจ้งไปยังแพลตฟอร์มบางแห่งแล้วและทยอยตรวจสอบแพลตฟอร์มอื่นๆหากพบจะดำเนินการลักษณะเดียวกันซึ่งหากเตือนแล้วไม่มีการปิดกั้นผู้ค้าก็ต้องถือว่าแพลตฟอร์มเป็นผู้ฝ่าฝืนประกาศกระทรวงสาธารณสุขและผิดตามกฎหมายด้วย”น.ส.ไตรศุลีกล่าว น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายอนุทินได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าในช่วงเวลาที่ร่างพ.ร.บ.กัญชากัญชงพ.ศ....ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนฯให้ทุกหน่วยงานดูแลให้อยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ให้ดีที่สุดเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากกัญชาซึ่งงานวิจัยทางการแพทย์หลายงานได้ยืนยันว่าสามารถดูแลสุขภาพและให้การบำบัดผู้ป่วยหลายโรคให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ล่าสุดกรมการแพทย์ได้ร่วมกับสมาคมกุมารประสาทวิทยา(ประเทศไทย)ติดตามผลการการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักรักษายากในเด็กด้วยสารสกัดกัญชาCBDทั่วประเทศซึ่งเป็นการติดตามศึกษาต่อเนื่องจากที่ได้ร่วมกับโดยสถาบันประสาทวิทยาและสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีศึกษาการใช้สารสกัดกัญชาในเด็กกลุ่มตัวอย่างที่พบว่าผู้ป่วยมีอาการชักรุนแรงลดลง50%และสารสกัดกัญชานี้ก็ได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรบัญชี3ตั้งแต่วันที่14พ.ค. 64โดยหากการติดตามผลการรักษาทั่วประเทศได้ข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิผลที่เชื่อถือได้แล้วจะนำไปสู่การเสนอเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรบัญชี1ในปี2567ต่อไป นอกจากนี้กรมการแพทย์ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการใช้สารสกัดกัญชากับผู้ป่วยโรคระบบประสาทอื่นๆเช่นผู้ป่วยที่มีอาการเกร็งและอาการปวดที่เกิดจากโรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบรวมถึงผู้ป่วยโรคพาร์กินสันซึ่งมีข้อมูลบ่งชี้ในเบื้องต้นว่าหลังการใช้สารสกัดกัญชาแล้วผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเช่นลดพฤติกรรมผิดปกติขณะนอนส่วนผู้ป่วยพาร์กินสันที่มีอาการทางจิตก็พบว่าสามารถอาการทางจิตลดลงซึ่งจะได้มีการขยายผลการศึกษาในวงกว้างต่อไป ————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวแปดริ้วร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระบิดาแห่งดินโลก” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) จังหวัดฉะเชิงเทรา”
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ชาวแปดริ้วร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระบิดาแห่งดินโลก” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) จังหวัดฉะเชิงเทรา” ชาวแปดริ้วร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระบิดาแห่งดินโลก” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) จังหวัดฉะเชิงเทรา” เน้นย้ำ น้อมนำพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ชาวแปดริ้วร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “พระบิดาแห่งดินโลก” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) จังหวัดฉะเชิงเทรา” เน้นย้ำ น้อมนำพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทำให้แผ่นดินไทยเป็น “แผ่นดินทอง” ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลา 13.00 น. ที่วัดโพนงาม ตำบลคู้ยายหมี อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” โดยได้รับเมตตาจาก พระราชภาวนาพิธาน เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรวิหาร พระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ธ) เจ้าอาวาสวัดพระนางจามเทวี จังหวัดลพบุรี ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพนงาม ร่วมในพิธี โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอำเภอ 11 อำเภอ นายเขียน แสงสว่าง นายกเทศมนตรีตำบลสนามชัยเขต ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียน และภาคีเครือข่ายทั้ง 11 อำเภอ ร่วมกิจกรรม โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะหน้าบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเปิดกรวยถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลจบแล้ว ถวายผ้าไตรเพื่อน้อมถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กรวดน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี แล้วเดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจพี่น้องประชาชนผู้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา” ภาคีเครือข่ายโครงการพัฒนาส่วนพระองค์เขาหินซ้อน ภาคีเครือข่ายโรงเรียนบ้านอ่างทอง และร่วมกิจกรรมจัดทำระบบธนาคารน้ำใต้ดิน การปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และการปลูกต้นพะยูง ในบริเวณสวนเกษตรพอเพียงวัดโพนงาม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กิจกรรมวันดินโลกของพี่น้องชาวจังหวัดฉะเชิงเทราในวันนี้เป็นกิจกรรมที่พี่น้องประชาชนทุกคนควรภาคภูมิใจอย่างยิ่งเพราะสมาชิกสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติทั่วโลก ได้ประจักษ์ถึงพระวิสัยทัศน์และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพี่น้องประชาชนคนไทยและคนทั้งโลก ในการบริหารจัดการดินอย่างยั่งยืน การปรับปรุงแก้ไขปัญหาดินที่มีปัญหา การพัฒนาและอนุรักษ์ดิน เช่น การนำหญ้าแฝกมาปลูกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การจัดการดินเปรี้ยวจัด การจัดการดินเสื่อมโทรม และการปรับปรุงบำรุงดิน เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2555 คณะผู้บริหารรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (IUSS) และผู้เกี่ยวข้องได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Soil Scientist)” เพื่อเป็นการสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกัน และได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตใช้วันที่ 5 ธันวาคมซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพเป็น “วันดินโลก” ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 68 ได้ให้การรับรอง วันดินโลก (World Soil Day) ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี และให้ประเทศสมาชิกจัดงานเฉลิมฉลองวันดินโลกโดยทั่วกัน “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงทุ่มเทอุทิศพระวรกาย เพราะสติปัญญา พระกำลังความสามารถ พระกำลังทรัพย์ ในการที่จะพัฒนาให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีความเหมาะสม ทำให้พวกเราสามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เลี้ยงสัตว์ ประกอบสัมมาชีพต่าง ๆ ได้ และสำหรับพี่น้องชาวฉะเชิงเทราโชคดี เพราะที่นี่มี “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์เขาหินซ้อน” ในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ให้เป็นต้นแบบว่า เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เราต้องรู้จักบริหารจัดการพื้นที่ให้มีความเหมาะสม รู้จักใช้กสิกรรมธรรมชาติ จัดหาแหล่งน้ำเพื่อใช้สำหรับในพื้นที่อันจะทำให้พวกเรามีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี” และเป็นโชคดีของคนไทยทุกคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้เล็งเห็นความสำคัญด้วยการน้อมนำพระราชปณิธานด้วยการมุ่งมั่นขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการพระราชดำริที่มีมากกว่า 40 ทฤษฎีมาประยุกต์สู่การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา เพื่อทำให้แผ่นดินไทยของเราเป็น “แผ่นดินทอง” ที่มีความอุดมสมบูรณ์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ขอให้ได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริ “แก้ไขในสิ่งผิด” ดังพระบรมราชโองการที่ได้พระราชทานเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 อันมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” อันอรรถาธิบายได้ว่า “ประเทศชาติมั่นคง” แม้ว่าชีวิตเราจะมีความสำคัญ แต่ประเทศชาติสำคัญที่สุด ประเทศชาติมั่นคง มีนัยยะว่า พวกเราไม่ว่ากี่รุ่น รุ่นลูก หลาน เหลน โหลน อีกร้อยปี พันปี ถ้าประเทศชาติมั่นคงพวกเราก็จะมีความสุข พวกเราก็จะอยู่ได้ แต่ประเทศชาติจะมั่นคง ประชาชนต้องมีความสุข จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราในการช่วยกันทำทุกวิถีทางปฏิบัติภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข และในเรื่องของ “การแก้ไขในสิ่งผิด” เรื่องของการทำไร่เลื่อนลอย หรือการไปถมรางน้ำ ถมหนอง ถมคลอง ถมบึง ผลลัพธ์ทำให้เราไม่มีแหล่งน้ำ หน้าฝนน้ำไหลบ่าเข้าท่วม หน้าแล้งก็ไม่มีน้ำทำมาหากิน บางคนเลี้ยงดูลูกหลานไม่ดีลูกหลานก็ไปติดยาเสพติด ครอบครัวเดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อน ข้าวของเสียหายสูญหาย ถูกลักขโมยถูกหลักทรัพย์ ดังนั้น สิ่งใดที่ไม่ดี ที่เคยผิดพลาด เราต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยกันทำให้เกิดมรรคผล เกิดผลลัพธ์ที่ดี Change for Good ให้เกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมวันนี้เป็นการ “แก้ไขในสิ่งผิด” เพราะพวกเราได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินจนทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ จึงขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน นับตั้งแต่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคีเครือข่ายทุกท่าน ภายใต้ความเมตตากรุณาอันสูงสุดของท่านเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา และท่านเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ธ) ที่ทำให้เกิดกิจกรรมในวันนี้ขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้เราทุกคนได้มีโอกาสแสดงความจงรักภักดีแล้ว ยังได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และได้ช่วยสนองแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่จะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง และช่วยกันในการแก้ไขในสิ่งผิด บนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง “กิจกรรมวันดินโลกของจังหวัดฉะเชิงเทราที่พวกเราทำในวันนี้นั้นมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การที่เราน้อมนำเอาทฤษฎีใหม่มาใช้ในพื้นที่ ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น อันสะท้อนผ่านกิจกรรมแห่งความยั่งยืนภายในบริเวณวัดโพนงาม ซึ่งมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาวิสุทธิโมลีเป็นหลักชัยการขับเคลื่อน อาทิ ธนาคารน้ำใต้ดิน การปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การคัดแยกขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน อันจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซไข่เน่า อันประกอบด้วย ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ให้ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก และท้ายที่สุดส่งผลกับดิน เพราะอากาศแปรปรวน อุณหภูมิของโลกก็สูงขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ของดินก็หมดไป ดังนั้นการที่เราช่วยกันทำ “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” จึงเป็นคุณูปการต่อดินโดยตรง เพื่อประโยชน์สุขของชีวิตพวกเราและลูกหลาน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำว่า วันดินโลกปีนี้ FAO กำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า Soils, where food begins อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน ด้วยการน้อมนำเอาแนวทางพระราชดำริตามพระบรมราชโองการ ที่จะช่วยกันสร้างประเทศชาติให้มั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิต พลิกฟื้นแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทองอีกครั้งหนึ่ง ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อรักษาคุณภาพทางชีวภาพและเป็นแหล่งกำเนิดอาหารที่สมบูรณ์เพื่อหล่อเลี้ยงคนไทยและคนทั้งโลก “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” ซึ่งชัดเจนว่าแผ่นดินทองของเรานั้น เป็นแหล่งอาหารสำคัญของโลก ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เราโยนอะไรลงไปในดินก็รอด เดินไปทางไหนก็มีต้นไม้ที่เราเก็บกินได้ ทั้งลูกมะหวด ลูกหวาย ซึ่งทุกอย่างเป็นอาหาร เดินไปในทุ่งนา ในหนองน้ำ ก็มีบัวทั้งสายบัว ทั้งบัวหลวง และยังมีปลาให้เราช้อน ดังนั้นในวันพระบรมราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราทุกคนต้องช่วยกันรณรงค์และกลับไปทำให้ดินที่บ้านของเราอุดมสมบูรณ์ นำพืชพันธุ์ธัญญาหารผักสวนครัวต่าง ๆ มาปลูกให้เต็มพื้นที่ ดังแนวพระราชดำริ “สร้างความมั่นคงด้านอาหาร” ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” เหมือนดังที่ตำบลโก่งธนู อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี และ ต.แม่แรง อ.ลี้ จ.ลำพูน ด้วยการช่วยกันสอนลูกหลานในการดูแลปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในทุกมิติ ดังเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) เพื่อทำให้รางวัล King Bhumibol World Soil Day Award เนื่องในวันดินโลก กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย ซึ่งรางวัลนี้เป็นเกียรติภูมิที่แสดงให้เห็นว่าเราทำกันอย่างเต็มที่ แต่รางวัลนั้นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญ เพราะ “เมื่อเราทำเต็มที่จนได้รางวัล หมายความว่า แผ่นดินแม่ของเราจะเป็นแผ่นดินแม่ที่เป็น “แผ่นดินทอง” มีพืชผลธัญญาหารงอกเงย เป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัยให้กับพวกเรา ด้วยการทำให้พี่น้องคนไทยทั้ง 76 จังหวัด 878 อำเภอ “รู้แล้วลงมือทำทันที” ก็จะสำเร็จ 100% ส่งผลให้เกิดผลผลิตที่ดี (Better Production) ทำให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition) และพื้นดินจะมีความร่มเย็นชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment) และทั้ง 3 ดี ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดี (Better Life) คือ มีชีวิตที่ดี “ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องผู้มีความจงรักภักดีและความปรารถนาที่จะช่วยกัน Change for Good ด้วยการทำนุบำรุงแม่พระธรณีให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อก่อกำเนิดให้เกิดอาหารสำหรับเลี้ยงดูครอบครัวและมวลมนุษยชาติ ด้วย Passion อุดมการณ์ในการขับเคลื่อนเพื่อให้วันดินโลก เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ประเทศชาติของพวกเราทุถกคนมีดินที่ดี ทำให้ประชาชนมีอาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข อย่างยั่งยืนตลอดไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และเตรียมความพร้อมท่าอากาศยาน เพื่อรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และเตรียมความพร้อมท่าอากาศยาน เพื่อรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ... รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และเตรียมความพร้อมท่าอากาศยาน เพื่อรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานเพื่อรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม และมี นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ และประชาชนให้การต้อนรับ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานภูเก็ต นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่และสามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างรายได้ ประชาชน มีความสุข จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่สำคัญทุกโหมดการเดินทางในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ดังนี้ 1. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโครงข่ายคมนาคม การส่งเสริมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ โดยเร่งรัดการเปิดให้บริการโครงข่ายคมนาคมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งทางถนนทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ดังนี้ 1.1 มิติการพัฒนาทางถนน มีโครงการที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เช่น โครงการ ทล. 4027 ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต - ท่าเรืออ่าวปอ ตอน บ้านป่าคลอก - บ้านพารา ระยะทาง 8.10 กิโลเมตร คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในปี 2566 การพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษ เช่น โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ตามแผน จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการในปี 2570 การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2565 จำนวน 17 โครงการ ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 17 โครงการ การพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งทะเลฝั่งอันดามัน การศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค MR-MAP เป็นโครงข่ายคมนาคมที่ประกอบไปด้วยถนนมอเตอร์เวย์และทางรถไฟ เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางกับภาคอื่นของประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ส่งเสริมการขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบเส้นทาง โดยมีเส้นทางที่ผ่านจังหวัดภูเก็ต คือ MR9 สุราษฎร์ธานี - ภูเก็ต เป็นการเชื่อมโยงแนวเส้นทางการเดินทางและขนส่งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน มีจุดเริ่มต้น รวมประมาณ 252 กิโลเมตร มีช่วงที่พัฒนามอเตอร์เวย์ร่วมกับระบบราง ระยะทางรวมประมาณ 155 กม. ประกอบด้วย ช่วงดอนสัก - สุราษฎร์ธานี และช่วงพังงา - ภูเก็ต 1.2 มิติการพัฒนาทางราง ประกอบด้วย 1) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปยังท่าฉัตรไชย คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570 2) แผนพัฒนารถไฟทางคู่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นแผนพัฒนารถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2560 - 2564) จำนวน 7 เส้นทาง ระยะทาง 993 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 เส้นทาง และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 เส้นทาง ตามแผนจะเปิดให้บริการในปี 2566 และแผนพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565 - 2569) จำนวน 7 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการและจัดทำรายงาน EIA นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังมีแผนพัฒนารถไฟทางคู่สายใหม่ระยะถัดไปอีก 12 เส้นทาง โดยมีเส้นทางที่ผ่านจังหวัดภูเก็ต คือ ช่วงสุราษฎร์ธานี - พังงา - ท่านุ่น 3) โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟให้ครอบคลุมและเชื่อมโยง พื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ (R-MAP) โดยมีแนวเส้นทางโครงการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 สถานี ผ่านพื้นที่ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร 1.3 มิติการพัฒนาทางน้ำ ประกอบด้วย การพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal)ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อสามารถรองรับเรือครูซขนาดเล็กได้ และเสนอแนวทาง การพัฒนาให้มี Landing Pier ที่อ่าวป่าตอง การพัฒนา Smart Pier ท่าเรือในจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต (วงแหวนอันดามัน) และการขุดลอกร่องน้ำภูเก็ต (ท่าเรือน้ำลึก) จังหวัดภูเก็ต ดำเนินการขุดลอกแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 1.4 มิติการพัฒนาทางอากาศ สำหรับท่าอากาศยานที่อยู่ในภาคใต้มีจำนวน 11 แห่ง ปัจจุบันมีแผนการพัฒนา จำนวน 8 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 6 แห่ง และได้รับงบประมาณดำเนินการในปี 2565 เพิ่มเติมอีก 2 แห่ง สำหรับการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 อยู่ระหว่างดำเนินการประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การขยายหลุมจอดอากาศยาน ลานจอดอุปกรณ์ภาคพื้นและการขยายขีดความสามารถระบบสาธารณูปโภคเพื่อให้สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 18 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันรองรับได้ 12.5 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2570 ส่วนการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานพังงา) ณ ตำบลโคกกลอยและตำบลหล่อยูง อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างทบทวนข้อกำหนดรายละเอียดการศึกษาในการจ้างศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการในเบื้องต้น เพื่อให้สอดคล้องกับมติ ครม. ที่ให้ ทอท. เข้าบริหาร 3 ท่าอากาศยาน 2. การเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) เพื่อรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ประกอบด้วย 2.1 การเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการในช่วงผู้โดยสารหนาแน่น โดยใช้ระบบติดตามและตรวจนับความหนาแน่นของผู้โดยสาร REAL-TIME PASSENGERTRACKING SYSTEMS 2.2 การเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย เก้าอี้พักคอย ห้องน้ำ รถเข็นสัมภาระ เคาน์เตอร์ด่านตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากรให้เพียงพอต่อการให้บริการ 2.3 มาตรการการรักษาความความปลอดภัยผู้โดยสาร โดยตรวจสารเสพติดและแอลกอฮอล์ของผู้ให้บริการ จัดโครงการท่าอากาศยานสีขาวเพื่อป้องกันและปราบปรามการแสวงหาผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยว 2.4 การบริหารจัดการหลุมจอดอากาศยาน โดยพิจารณาจัดสรรให้เที่ยวบินเข้าจอดในหลุมจอดประเภท CONTACT GATE ให้มากที่สุด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่สายการบินและผู้โดยสาร ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้การเชื่อมต่อ ด้านคมนาคมขนส่งทุกโหมดการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง สามารถรองรับปริมาณการเดินทางและคมนาคมขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคอื่นได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1) การดำเนินโครงการต่าง ๆ ขอให้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน โดยต้องดำเนินการเชิงรุก ตั้งแต่ก่อนดำเนินโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 2) ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งรัดดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ตโดยแบ่งเป็นระยะ และจะต้องยึดหลักสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สะอาด ราคาเป็นธรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) ให้สนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทางน้ำในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการจำนวนมาก และให้กรมเจ้าท่า (จท.) นำระบบ AI เข้ามาจัดระเบียบผู้ใช้เรือเพื่อความปลอดภัย 4) เร่งพัฒนาระบบขนส่งทางรางให้เชื่อมต่อกับการขนส่งในโหมดอื่น ๆ 5) ให้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง ครบทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน 6) การดำเนินการในทุกขั้นตอนขอให้ยึดหลักกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด 7) ในการดำเนินการก่อสร้างให้หน่วยงานคมนาคมในพื้นที่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ 8) ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกันในทุกมิติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน ซึ่งในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้พบปะพี่น้องประชาชนชาวพัทลุงที่มารอต้อนรับและขอขอบคุณที่ผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาให้เกิดขึ้นจริง หลังจากที่รอคอยมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งหากโครงการนี้แล้วเสร็จ นอกจากจะย่นระยะทางการเดินทางแล้ว ยังจะทำให้เกิดประโยชน์กับการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีอาชีพประมงและเกษตรจะได้รับประโยชน์ตามไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.สุชาติ” ห่วงลูกจ้างก่อสร้างพลัดตกสถานีรถไฟฟ้าเสียชีวิต สั่งหน่วยงานในสังกัดเร่งตามสิทธิพึงได้รับทันที
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 “รมว.สุชาติ” ห่วงลูกจ้างก่อสร้างพลัดตกสถานีรถไฟฟ้าเสียชีวิต สั่งหน่วยงานในสังกัดเร่งตามสิทธิพึงได้รับทันที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุลูกจ้างคนงานก่อสร้างพลัดตกจากสถานีรถไฟฟ้าเสียชีวิต สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าตรวจสอบหาสาเหตุและเร่งดำเนินการสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายทันที นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงเหตุลูกจ้างคนงานก่อสร้างพลัดตกจากสถานีรถไฟฟ้าเสียชีวิต ว่า ทันทีที่ทราบข่าว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมจึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ส่งพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ทันที เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ในวันนี้ 4 ธันวาคม 2565 เวลา 01.30 น. ขณะที่นายบรรพต อาษาพนม อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร ลูกจ้าง ทำการเชื่อมเหล็กเพื่อติดตั้งแผ่นกันสาดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง บริเวณสถานีศรีด่านฝั่งขาออก ถนนศรีนครินทร์ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ได้พลัดตกลงมาจากกระเช้าความสูง 9 เมตร ทำให้นายบรรพตฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางหัวหน้างานจึงได้เเจ้งกู้ภัยเข้ามาให้การช่วยเหลือ กู้ภัยได้ทำการปฐมพยาบาลเเต่นายบรรพต ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เข้าไปตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตพึงได้รับตามกฎหมายต่อไป ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 10 (สมุทรปราการ) ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่านายจ้างมีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชันจากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ.2564 หรือไม่ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้หากนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการใด มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบข่าวปลอมภาครัฐมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมมะเร็งระยะสุดท้ายหายได้ เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม มาอันดับหนึ่ง ด้านข่าวปลอมโควิด-19 ยังเกาะกระแส
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ดีอีเอส พบข่าวปลอมภาครัฐมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมมะเร็งระยะสุดท้ายหายได้ เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม มาอันดับหนึ่ง ด้านข่าวปลอมโควิด-19 ยังเกาะกระแส ดีอีเอส พบข่าวปลอมภาครัฐมากสุด ขณะที่ข่าวปลอมมะเร็งระยะสุดท้ายหายได้ เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม มาอันดับหนึ่ง ด้านข่าวปลอมโควิด-19 ยังเกาะกระแส กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมสัปดาห์ล่าสุดพบข่าวปลอมนโยบายรัฐบาลมากที่สุดขณะที่ข่าวปลอมเรื่องสุขภาพอันดับ2 ด้านข่าวปลอมโควิด-19มี10เรื่องสอดรับกระแสการกลับมาของโควิด-19ที่สามารถติดต่อได้ง่ายมากขึ้น นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่25พฤศจิกายน-1ธันวาคม2565โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบข้อความที่เข้ามาจำนวน5,180,831ข้อความโดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ(Verify)ทั้งสิ้น185ข้อความแบ่งเป็นข้อความที่มาจากSocial listeningจำนวน146ข้อความและข้อความที่มาจากLine Officialจำนวน35ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ76เรื่องในจำนวนนี้เป็นเรื่องโควิด-19จำนวน10เรื่อง ทั้งนี้ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น4กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มที่1ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาลข่าวสารทางราชการความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดีและความมั่นคงภายในประเทศจำนวน41เรื่อง กลุ่มที่2ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพวัตถุอันตรายเครื่องสำอางรวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน25เรื่อง กลุ่มที่3 ข่าวปลอมเศรษฐกิจจำนวน5เรื่อง กลุ่มที่4ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติจำนวน5เรื่อง สำหรับข่าวปลอมทั้ง4กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิค-19จำนวน10เรื่องนางสาวนพวรรณกล่าวต่อว่าเมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจสูงสุด10อันดับระหว่างวันที่25พฤศจิกายน- 1ธันวาคมดังนี้ อันดับที่1เรื่องมะเร็งระยะสุดท้ายหายได้เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม อันดับที่2เรื่องไทยเตรียมรับมือซุปเปอร์ไต้ฝุ่นตั้งแต่วันที่2 - 5ธ.ค. 65 อันดับ3เรื่อง เพจและแอปพลิเคชันไลน์Aomsin Gsbชวนกู้เงินออนไลน์ อันดับที่4เรื่องซาอุฯนำคนมุสลิมเข้าไทย1ล้านคนในปี2565 อันดับที่5เรื่องหญ้าลิ้นงูช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ อันดับที่6เรื่องเบอร์อันตรายห้ามรับสายหากรับสายเงินหายหมดทั้งบัญชี อันดับที่7เรื่องผู้ส่งเบี้ยประกันสังคมทุกรายสามารถกู้เงินชราภาพของประกันสังคมได้ อันดับที่8เรื่องรัฐบาลเตรียมประกาศงดเทศกาลปีใหม่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิดเดลตาครอลXBC อันดับที่9เรื่องเกาหลีเปิดรับสมัครแรงงานเก็บองุ่นโดยกรมจัดหางานกระทรวงแรงงาน อันดับที่10เรื่องถอดโคเคนมอร์ฟีนฝิ่นออกจากยาเสพติดให้โทษประชาชนครอบครองได้ถูกกฎหมาย “ปัจจุบันข่าวปลอมมีการแพร่ระบาดในทุกช่องทางทั้งจากโชเชียลมีเดียโทรศัพท์และเอสเอ็มเอสดีอีเอสขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมหากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปรกติผ่านโชเชียลมีเดียเอสเอ็มเอสหรือทางโทรศัพท์เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งนี้ดีอีเอสให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องท่านสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenterเว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ”นางสาวนพวรรณกล่าว _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62308
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้เลี้ยง “นกกรงหัวจุก” และสัตว์ป่าคุ้มครอง รู้ยัง? กรมอุทยานลดขั้นตอนแจ้งครอบครองสัตว์ป่า
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ผู้เลี้ยง “นกกรงหัวจุก” และสัตว์ป่าคุ้มครอง รู้ยัง? กรมอุทยานลดขั้นตอนแจ้งครอบครองสัตว์ป่า รองโฆษกรัฐาลเผยผู้เลี้ยง “นกกรงหัวจุก” และสัตว์ป่าคุ้มครอง รู้ยัง? กรมอุทยานลดขั้นตอนแจ้งครอบครองสัตว์ป่า วันนี้(5ธ.ค. 65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เปิดเผยว่าตามที่ได้มีข้อเสนอจากภาคประชาชนในพื้นที่อยากให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาการผ่อนคลายการครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง“นกกรงหัวจุก”ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีกทั้งมีการจัดการแข่งขันเสียงร้องในหลายภูมิภาครวมถึงมีการเพาะเลี้ยงในกรงจำนวนมากจนถือได้ว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ทั้งนี้จากการรับฟังความเห็นของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทางกรมอุทยานฯเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่ต้องคง“นกกรงหัวจุก”ให้อยู่ในบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองต่อไปอย่างไรก็ตามนายวราวุธศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯได้สั่งการให้กรมอุทยานฯยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนในเรื่องการขออนุญาตค้าและครอบครองสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าคุ้มครองทุกชนิดให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นซึ่งเดิมผู้แจ้งครอบครองจะต้องดำเนินการยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆด้วยตนเองจากนั้นเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบทำให้การออกใบอนุญาตล่าช้า ขณะนี้กรมอุทยานฯได้ปรับลดขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวรวมทั้งลดการใช้เอกสารหลักฐานในการยื่นให้เหลือตามความจำเป็นเท่านั้นทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการประชาชนโดยการยื่นขออนุญาตให้ส่งเอกสารได้ทางไปรษณีย์หรือขนส่งเอกชนหรือยื่นด้วยตนเองได้ที่สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากรมอุทยานแห่งชาติฯต่างจังหวัดยื่นได้ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่1-16หรือสาขาทุกสาขานอกจากนี้กรมฯกำลังดำเนินการเพิ่มช่องทางเพื่อให้ประชาชนยื่นคำขอผ่านระบบออนไลน์ได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ซื้อสัตว์ป่าที่ได้จากการเพาะพันธุ์และนำไปครอบครองให้ยื่นขออนุญาตครอบครองสัตว์ป่าฯโดยใช้เอกสารประกอบด้วยสำเนาบัตรประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านคำขอรับใบอนุญาตหลักฐานการได้มาซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองหนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ภาพถ่ายสถานที่ครอบครองสัตว์ป่าและภาพถ่ายชนิดของสัตว์ป่าที่มีเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ป่ากรณีหากมีเหตุอันควรสงสัยเช่นชนิดจำนวนเครื่องหมายเจ้าหน้าที่อาจลงพื้นที่ตรวจสอบหรือตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ต่อไปประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข0 2579 4621หรือ0 2579 6666ต่อ1632 “จึงขอแจ้งให้ประชาชนที่ครอบครองนกกรงหัวจุกหรือสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่นๆดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องเพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกรมอุทยานฯได้ปรับลดขั้นตอนและลดการใช้เอกสารให้เหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและรวดเร็วแก่ประชาชนและระยะต่อไปจะเพิ่มการให้บริการในระบบออนไลน์ด้วย”นางสาวรัชดากล่าว ————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร”เตรียมลงพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชน ลั่น”นายกฯ”ลุยงานหนักทุกวัน มุ่งยกระดับชีวิตคนไทยหลายล้านคนอย่างยั่งยืน ชี้นโยบายรัฐเริ่มผลิดอกออกผล-นานาชาติชื่นชม
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 “ธนกร”เตรียมลงพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชน ลั่น”นายกฯ”ลุยงานหนักทุกวัน มุ่งยกระดับชีวิตคนไทยหลายล้านคนอย่างยั่งยืน ชี้นโยบายรัฐเริ่มผลิดอกออกผล-นานาชาติชื่นชม “ธนกร”เตรียมลงพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชน ลั่น”นายกฯ”ลุยงานหนักทุกวัน มุ่งยกระดับชีวิตคนไทยหลายล้านคนอย่างยั่งยืน ชี้นโยบายรัฐเริ่มผลิดอกออกผล-นานาชาติชื่นชม วันนี้(4ธ.ค.65)นายธนกรวังบุญคงชนะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าที่ผ่านมาตนได้ทำงานใกล้ชิดกับพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกฯและรมว.กลาโหมมาโดยตลอดก็เห็นชัดเจนว่าท่านนายกฯทำงานหนักทุกวันคิดหานโยบายเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนแทบจะตลอดเวลาที่ท่านมีเวลาว่างแม้บางฝ่ายจะพยายามเล่นการเมืองแบบดิสเครดิตแต่ท่านนายกฯก็ไม่ใส่ใจเพราะเอาเวลาไปคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนดีกว่า ยิ่งวันนี้ผลงานของท่านนายกฯที่หว่านไว้ระยะยาวเริ่มผลิดอกออกผลทั้งการเยียวยาประชาชนความสำเร็จแก้ปัญหาโควิด-19บัตรสวัสดิการแห่งรัฐโครงการคนละครึ่งหรือโครงการเราเที่ยวด้วยกันโครงสร้างพื้นฐานเต็มรูปแบบเป็นต้นสำหรับในส่วนของตนนั้นก็จะลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อนจากปากประชาชนให้มากขึ้นนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนซึ่งในการเลือกตั้งสมัยหน้าหากท่านนายกฯตัดสินใจไปต่อเชื่อว่าประชาชนจะสนับสนุนให้ท่านกลับมาเป็นนายกฯอีกสมัยอย่างแน่นอน “วันนี้ประเทศไทยพัฒนาไปมากผ่านการขับเคลื่อนใน3แกนหลักคือ1โครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดและบูรณาการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย2ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงต่างๆและ3ภาคการธนาคารและวิธีการทำงานของธนาคารที่สามารถกระตุ้นความมั่งคั่งรุ่งเรืองได้โดย3แกนหลักนี้จะยกระดับชีวิตคนไทยหลายล้านคนได้อย่างยั่งยืนปัจจุบันยังมีการสร้างถนนหนทางมีถนนมอเตอร์เวย์ที่สวยงามมีการพัฒนาและสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆการจัดระเบียบคูคลองการนำพาประเทศไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของโลกรวมทั้งการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ได้เป็นอย่างดีจนได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกซึ่งทั้งหมดล้วนสำเร็จได้ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ทั้งสิ้น”นายธนกรกล่าว —————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา ออกหน่วยฝึกอาชีพให้ประชาชน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ในปีนี้ กระทรวงแรงงานโดยศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงแรงงานได้สนับสนุนกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “วันพ่อแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2565 ณ พื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 4 แห่ง เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 นายสุชาติกล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ผมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานร่วมสนับสนุนกิจกรรมตลอดทั้ง 3 วันในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 แห่ง ดังนี้ จุดแรกบริเวณที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ 904 เกียกกาย เขตดุสิต สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน นนทบุรี จัดกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ การร้อยหินมงคล การเพ้นท์กระเป๋างาน DIY งานไม้ ที่วางโทรศัพท์มือถือ การทำเดคูพาจ กระเป๋ากระจูด งาน DIY กล่องใส่กระดาษทิชชูและการร้อยหินเป็นเครื่องประดับ และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 8 แจกสิ่งของเครื่องบริโภค จุดที่ 2 บริเวณชุมชนท่าเตียน พื้นที่วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ เขตพระนคร สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 5 จัดกิจกรรมสาธิตอาชีพอิสระ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ สายคล้องแมสจากหนัง ปลาตะเพียนสานจากหนัง การแต่งรองเท้าฟองน้ำแฟชั่น ที่เก็บพวงกุญแจผ้า การแต่งกระเป๋าผ้าสไตล์โบฮีเมียน และเทียนซอยแว้คอโรมาจุดที่ 3 บริเวณวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เขตดอนเมือง สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 14 ปทุมธานี จัดกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ การแปรรูปสมุนไพรเครื่องดื่ม และการผสมค็อกเทล และจุดที่ 4 บริเวณวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 1 จัดกิจกรรมสาธิตอาชีพอิสระ จำนวน 6 สาขา ได้แก่ ตะกร้าสาน โมบายคริสตัล ยาดมสมุนไพร สบู่รังไหม ดอกแก้วทำด้วยดิน และการจัดดอกไม้ในกระถาง ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน จึงขอเชิญชวนประชาชน เข้าร่วมงานและรับบริการฝึกอาชีพฟรี ได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ พื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ 904 เกียกกาย เขตดุสิต ชุมชนท่าเตียน พื้นที่วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ เขตพระนคร วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เขตดอนเมือง และวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 4 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต และโครงการทางพิเศษ สายกะทู้ - ป่าตองพร้อมตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต และโครงการทางพิเศษ สายกะทู้ - ป่าตองพร้อมตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต และโครงการทางพิเศษ สายกะทู้ - ป่าตอง พร้อมตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้า การดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต และโครงการทางพิเศษ สายกะทู้ - ป่าตอง พร้อมตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด ร่วมลงพื้นที่ และมี นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วทั้งประเทศอย่างบูรณาการทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในทุกโหมดการเดินทางที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงคมนาคมให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งจากการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งสนับสนุนและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันในจังหวัดภูเก็ต มีโครงการสำคัญที่กระทรวงคมนาคมจะพัฒนาและเร่งรัดดำเนินการ ดังนี้ 1. โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีระยะทางรวมประมาณ 58.5 กิโลเมตร จำนวน 23 สถานี มีจุดเริ่มต้นโครงการระยะที่ 1 บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ไปสิ้นสุดที่สถานีฉลอง ซึ่งอยู่ใกล้กับห้าแยกฉลอง โดยมีศูนย์ซ่อมบำรุงตั้งอยู่บริเวณสถานีถลาง และมีอาคารจอดแล้วจร จำนวน 2 แห่ง ที่บริเวณสถานีขนส่งและสถานีฉลอง สำหรับเส้นทางของส่วนต่อขยายไปยังท่าฉัตรไชย จะมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณสถานีเมืองใหม่ ไปสิ้นสุดที่สถานีท่าฉัตรไชย โดย รฟม. ได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบทางเลือกระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสม ประกอบด้วย รถรางไฟฟ้าล้อเหล็ก รถรางไฟฟ้าล้อยาง และรถไฟฟ้า EBRT โดยได้ศึกษาเปรียบเทียบในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านวิศวกรรมและจราจร ด้านการลงทุน ผลตอบแทน และด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลการศึกษาเปรียบเทียบ พบว่า รถรางไฟฟ้าล้อยาง มีความเหมาะสม สำหรับการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ รฟม. คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2570 เพื่อให้สามารถรองรับการเดินทางของผู้เข้าร่วมชมงานสเปเชี่ยลไลซ์ เอ็กซ์โป 2028 (Specialised Expo 2028) ซึ่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเสนอเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน 2. โครงการทางพิเศษ สายกระทู้ - ป่าตอง บริเวณทางหลวงหมายเลข 4029 (ปากอุโมงค์ฝั่งกะทู้) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ก่อสร้างเป็นทางยกระดับ มีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลางของแนวสายทาง ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมกับถนนพระเมตตาในพื้นที่ตำบลป่าตองและอำเภอกะทู้ เป็นทางยกระดับขนาด 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง ยกระดับจนถึงเขานาคเกิด ระยะทาง 0.9 กิโลเมตร แล้วจึงเป็นอุโมงค์ลอดเขานาคเกิด ระยะทาง 1.85 กิโลเมตร หลังจากผ่านช่วงภูเขาจึงเป็นทางยกระดับ ระยะทาง 1.23 กิโลเมตร จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการในพื้นที่ตำบลกะทู้ บริเวณจุดตัดกับ ทล. 4029 และมีด่านเก็บค่าผ่านทางบริเวณด้านกะทู้ 1 ด่าน เก็บค่าผ่านทางทั้ง 2 ทิศทาง มีระบบต่าง ๆ ภายในอุโมงค์ ประกอบด้วย ระบบระบายอากาศ (Ventilation System) ระบบฉุกเฉินและป้องกันอัคคีภัย (Emergency system) ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง (Lighting system) อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย การควบคุมการใช้งานการสื่อสาร (Controller System) ระบบควบคุมและบริหารจัดการจราจร และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้ทางพิเศษออกแบบให้มีช่องทางรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ มีรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน แบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ในขณะที่เอกชนรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียดและการก่อสร้าง (รวมถึงค่าควบคุมงาน) และการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โดยเอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าผ่านทางทั้งหมด มีระยะเวลาร่วมลงทุนรวม 35 ปี ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด กทพ. อยู่ระหว่างดำเนินการในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2570 จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาเส้นทางคมนาคมที่ประสบอุทกภัย การแก้ไขปัญหาคันทางทรุดตัวบริเวณทางหลวงหมายเลข 4029 ตอน กะทู้ - ป่าตอง กม. ที่ 0+000 (โค้งแรงดัน) ส่งผลให้ต้องปิดถนน รถไม่สามารถสัญจรได้ ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาแล้วกว่า 60% โดยสามารถเปิดให้ประชาชนสัญจรได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ทั้งนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พี่น้องประชาชนสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น จากนั้นได้พบปะประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่มาให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำมาพัฒนาการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ ในพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงประเด็นและยั่งยืนต่อไป ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1. ขอให้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้นโยบาย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สะอาด ราคาเป็นธรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่กระทบและเป็นภาระกับประชาชน 2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดินสไลด์อย่างยั่งยืน โดยให้ศึกษาวิธีการออกแบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดินสไลด์อีก และดำเนินการจัดหาไฟฟ้าส่องสว่างบนถนนเพิ่มเติม 3. การดำเนินการในทุกขั้นตอนขอให้ยึดหลักกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด 4. ให้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง ครบทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ.อุบลฯ จัดกิจกรรมวันดินโลกต่อเนื่อง หลัง ปมท. Kick Off พร้อมจัดตลอดทั้งสัปดาห์ มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ "ดิน"
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 จ.อุบลฯ จัดกิจกรรมวันดินโลกต่อเนื่อง หลัง ปมท. Kick Off พร้อมจัดตลอดทั้งสัปดาห์ มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ "ดิน" จ.อุบลฯ จัดกิจกรรมวันดินโลกต่อเนื่อง หลัง ปมท. Kick Off พร้อมจัดตลอดทั้งสัปดาห์ มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ "ดิน" เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี มอบหมายให้นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ด้วยการเคลื่อนขบวนชาวมหาดไทย ภาคีเครือข่าย และพี่น้องประชาชน ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข สู่งานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” ในระหว่างวันที่ 2 – 8 ธันวาคม 2565 สัปดาห์แห่งวันดินโลก นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะสร้างความตระหนักรู้ความสำคัญของดิน เนื่องด้วยในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เพื่อ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการฟื้นคืนชีพ คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทย และชาวโลก ด้วยการพระราชทานแนวพระราชดำริด้านการจัดการทรัพยากรดินเพื่อการเกษตร ผ่านโครงการพระราชดำริต่าง ๆ จนเกิดผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาคมโลก จนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (IUSS) ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล "นักวิทยาศาสตร์ดิน เพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Soil Scientist)" เป็นพระองค์แรกของโลก นายสมเพชร สร้อยสระคู กล่าวต่อว่า องค์การสหประชาชาติ จึงได้ประกาศสดุดีพระเกียรติคุณ โดยรับรองให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก และบรรจุในปฏิทินการปฏิบัติงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และประเทศสมาชิกทั่วโลกจะร่วมกันจัดกิจกรรมในวันสำคัญนี้ ทั้งนี้วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันพ่อแห่งชาติ ยังเป็นวันดินโลกอีกด้วย ซึ่งกลุ่มสมัชชาให้ความร่วมมือทรัพยากรดินโลก ได้กำหนดหัวข้อการจัดกิจกรรมวันดินโลกเป็นประจำทุกปี นายวิลาศ บุญโต ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี เปิดเผยว่า กิจกรรมวันนี้ได้รับความร่วมมือจากองค์การตลาด เปิดบ้านจัดกิจกรรมงานวันดินโลก (World Soil Day) ปี 2565 อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน Soils, where food begins โดยได้รับเกียรติจากนายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีการประกาศเจตนารมณ์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เรื่องวันดินโลกให้แก่ประชาชน และภาคีเครือข่าย ให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน ตลอดจนสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน นายวิลาศ บุญโต ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี กล่าวต่อว่า ภายในงานวันนี้มีกิจกรรมดี ๆ มากมาย อย่างกิจกรรมเดินรณรงค์ “วันดินโลก” และมีการประกาศเจตนารมณ์ เพื่อให้เกิดการรับรู้และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของดิน นิทรรศการวันดินโลก, ปาฐกถาพิเศษวันดินโลก โดย ท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ, กิจกรรมเสวนา ภายใต้หัวข้อ “Great food from good soil for better life awareness week” หรือ ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข โดย ผู้ช่วยศาสตรจารย์สุภาวดี นนทพจน์ สาขาวิชาแพทย์แผนไทยคณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นายสรภพ พูลเพิ่ม ประธานตลาดนัดสีเขียวกินสบายใจห้วยวังนอง นายศักดิ์สิทธิ์ บุญญะบาล อดีตประธานเครือข่าย SAVE UBON และเจ้าของแปลง “โคก หนอง นา ปันบุญ” ดำเนินรายการโดย นายอัมพร วาภพ ผู้นำอาสาพัฒนาบ้านเกิดระดับจังหวัด จังหวัดอุบลราชธานี , กิจกรรมสาธิตทำปุ๋ยหมักแห้ง หมักน้ำ เพื่อบำรุงดิน, และเชิญชิมอาหารเมนูสมุนไพร ที่รับรองความปลอดภัยว่าอาหารดี มีประโยชน์สูง ปลอดสารพิษอย่างแน่นอน และปิดท้ายด้วยกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้วิธีการบำรุงดินที่ช่วยพลิกฟื้นชีวิต ฟื้นความอุดมสมบูรณ์กลับคืนสู่ดิน โดยใช้หลักธรรมชาติ ทั้งการเลี้ยงดินเพื่อให้ดินเลี้ยงพืช การห่มดิน เพื่อสร้างจุลินทรีย์ให้ดิน วิธีการปลูกพืชปลูกผักสร้างความมั่นคงทางอาหาร การปลูกป่าสามอย่างเพื่อประโยชน์สี่อย่าง และความรู้ด้านสมุนไพร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในครัวเรือน นายสมเพชร สร้อยสระคู กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกิจกรรมในวันนี้ ที่ จ.อุบลราชธานี จะมีการจัดกิจกรรมขยายผลตลอดทั้งสัปดาห์ โดยวันพรุ่งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมที่ อ.น้ำยืน และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 8 ธ.ค. 65 ซึ่งจะได้นำองค์ความรู้ไปเผยแพร่ให้กับคนในชุมชน ทำให้เกิดการพัฒนาและสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาพื้นที่ เป็นพื้นที่อารยะ สร้างสังคมและชุมชน ให้มีความมั่นคง มั่งคั่งเเละยั่งยืน เป็นการ Change for Good สู่สิ่งดี ๆ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ การน้อมนำแนวพระราชดำรัส “อารยเกษตร” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับภูมิสังคมของประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพอใจส่งออกข้าวไทย 10 เดือนแรก 6.2 ล้านตัน โตร้อยละ 33 เอกชนคาดทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน ชี้สัญญาณบวกทั้งตลาดและราคา
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565 นายกรัฐมนตรีพอใจส่งออกข้าวไทย 10 เดือนแรก 6.2 ล้านตัน โตร้อยละ 33 เอกชนคาดทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน ชี้สัญญาณบวกทั้งตลาดและราคา นายกรัฐมนตรีพอใจส่งออกข้าวไทย 10 เดือนแรก 6.2 ล้านตัน โตร้อยละ 33 เอกชนคาดทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน ชี้สัญญาณบวกทั้งตลาดและราคา ด้านพาณิชย์เคาะราคากลางประกันรายได้งวดที่8 โอนเงินส่วนต่างภายใน 8 ธ.ค.นี้ วันนี้(4ธ.ค.65)น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมพอใจกับสถานการณ์การส่งออกข้าวไทยที่ใน10เดือนแรกของปี65 (ม.ค.-ต.ค.)ที่มีปริมาณส่งออก6,203,270ตันเพิ่มขึ้นร้อยละ33มูลค่า109,260.8ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ32.4%เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี64 ขณะที่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุว่าตลาดสำคัญที่นำเข้าข้าวจากไทยได้แก่อิรักแอฟริกาใต้สหรัฐจีนเบนินญี่ปุ่นเซเนกัลแองโกล่าเยเมนฟิลิปปินส์โมซัมบิกฮ่องกงแคนาดายังมีความต้องการนำเข้าอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่และตรุษจีนช่วงปลายเดือนม.ค. 66จึงคาดว่าปีนี้การส่งออกข้าวไทยจะเป็นไปตามเป้าหมาย7,500,000ตัน “นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความต้องการข้าวจากคู่ค้าสำคัญของไทยเป็นสัญญาณบวกต่อสถานการณ์ข้าวไทยทั้งในแง่ของตลาดรองรับและราคาที่น่าจะอยู่ระดับที่ดี ซึ่งแนวโน้มราคาข้าวที่ดีนี้เห็นได้จากในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ขณะนี้บางงวดข้าวบางชนิดก็ไม่ต้องมีการจ่ายเงินชดเชยเนื่องจากราคาอ้างอิงสูงกว่าราคาเป้าหมาย”น.ส.ไตรศุลีกล่าว น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสำหรับการโอนเงินให้กับผู้ปลูกข้าวตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีที่4ได้มีการโอนเงินในส่วนเงินเยียวยาไร่ละ1,000 บาทครบทุกกลุ่มจังหวัดแล้วส่วนเงินส่วนต่างจากการประกันรายได้ทยอยโอนล่าสุดโอนถึงงวดที่7จากทั้งหมด33งวด ล่าสุดกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ได้เคาะราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาของงวดที่8สำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวระหว่างวันที่26พ.ย. - 2ธ.ค. 65ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)จะโอนเงินให้เกษตรกรภายใน3วันทำการหรือภายในวันที่8ธ.ค. 65 โดยรายละเอียดการประกันรายได้สำหรับข้าว5ชนิดมีดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิเกณฑ์กลางตันละ14,193.06บาทชดเชยตันละ806.94บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ11,297.16บาท, ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่เกณฑ์กลางตันละ13,433.45บาทชดเชยตันละ566.55บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ9,064.80บาท,ข้าวเปลือกปทุมธานีเกณฑ์กลางตันละ10,630.36บาทชดเชยตันละ369.64บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ9,241.00บาท ข้าวเปลือกเจ้าเกณฑ์กลางตันละ9,469.04บาทชดเชยตันละ530.96บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ15,928.80บาทและข้าวเปลือกเหนียวเกณฑ์กลางตันละ12,112.38บาทซึ่งสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ตันละ12,000บาทจึงไม่มีการชดเชยส่วนต่างในงวดนี้ ————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยัน “ใบสั่งจริง แสกนจ่ายได้” แปะหน้ารถกรณีหาตัวคนขับไม่เจอเท่านั้น
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ​สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยัน “ใบสั่งจริง แสกนจ่ายได้” แปะหน้ารถกรณีหาตัวคนขับไม่เจอเท่านั้น ​สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยัน “ใบสั่งจริง แสกนจ่ายได้” แปะหน้ารถกรณีหาตัวคนขับไม่เจอเท่านั้น วันนี้ 5 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ตามที่มีการแชร์รูปภาพในเฟซบุ๊กโดยระบุว่าห้ามสแกนจ่ายเงินค่าปรับ ผ่านใบสั่งเจ้าหน้าที่ที่แปะหน้ารถ โดยบอกว่าเป็นใบสั่งปลอม ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่าตามภาพ เป็นใบสั่งจริง และประชาชนสามารถเสียค่าปรับด้วยการสแกนจ่ายได้ โดยการออกใบสั่ง เจ้าหน้าที่ตํารวจจราจร ที่ดําเนินการมี 2 กรณี คือ 1. จะให้ใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ต่อตัวผู้ขับขี่ ให้สะดวกต่อการชําระค่าปรับได้และลิงก์เชื่อมไปที่ระบบฐานข้อมูลทันทีโดยเครื่องออกใบสั่งตัวนี้ จะมีตัวอ่านบัตรประชาชนอยู่ในตัว เมื่อเสียบบัตรประชาชนเข้าเครื่องจะมีข้อมูลผู้ขับขี่ทันที ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่ประชาชนได้รับจากตํารวจจราจร 2. จะแปะหน้ารถ กรณีรถถูกล็อกล้อ ตามหาตัวผู้ขับขี่ไม่ได้เท่านั้น ยังไม่มีการส่งใบสั่งลักษณะนี้ไปที่บ้าน เหมือนกรณีใบสั่งกล้องวงจรปิด ที่ก็ต้องมีภาพหมายเลขทะเบียนรถยืนยันตัวด้วยเช่นกัน นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการออกใบสั่งจราจรรูปแบบใหม่ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เชื่อมโยงฐานข้อมูลใบสั่งของสถานีตำรวจทั่วประเทศ และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการรับชำระค่าปรับจราจรใบสั่งทุกประเภท สามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และ สามารถชำระค่าปรับใบสั่งผ่านทางเว็บไซต์ใบสั่งจราจรออนไลน์สำหรับประชาชน (e-Ticket) https://ptm.police.go.th/ ด้วยบัตรเดบิตและบัตรเครดิต ยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประหยัดเวลาในการเดินทาง พร้อมบริการตรวจสอบแต้มจราจรผ่านระบบออนไลน์ ขณะเดียวกัน ยังคงใช้ใบสั่งรูปแบบเก่า ที่เป็นแบบการจดบันทึกควบคู่กันไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำภายใต้โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำภายใต้โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำภายใต้โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 13.30 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำแม่มอก โดยมีนายวีระพันธ์ ปาต๊ะวงค์ นายช่างชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก และคณะ ให้การต้อนรับ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก ขึ้นตรงกับฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 2 โครงการชลประทานสุโขทัย สำนักงานชลประทานที่ 4 จังหวัดกำแพงเพชร มีพื้นที่เขตรับผิดชอบด้านระบบชลประทานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พื้นที่รวม ประมาน 74,500 ไร่เศษ ดังนี้ 1. พื้นที่ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 2. พื้นที่ จังหวัดสุโขทัย จำนวน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอทุ่งเสลี่ยม อำเภอสวรคโลก อำเภอศรีสำโรง อ่างเก็บน้ำแม่มอก เป็นอ่างสันดิน มีความยาวสันอ่าง 1,800 เมตร มีพื้นที่รับน้ำ ประมาณ 2,000 ไร่ มีความจุปริมาณ 110 ,000,000 ลบ.ม. สถานการณ์น้ำในอ่างปัจจุบันในปี พ.ศ. 2565 นี้ มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 107,760,000 ลบ.ม. คิดเป็น 97.96% และได้ระบายแจกจ่ายน้ำให้แก่เกษตรในพื้นที่รับผิดชอบในปริมาณ 1,000,000 ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งคาดว่าปริมาณน้ำที่จัดส่งมีเพียงพอที่จะให้บริการเกษตรกรเพื่อใช้ในการทำการเกษตรสำหรับฤดูกาลนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62319