title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล” แจง การจ้างงาน พยุงผู้ค้าปลีกไทย | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
“นฤมล” แจง การจ้างงาน พยุงผู้ค้าปลีกไทย
- -
วันที่ 23 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน แจงข้อมูลการจ้างงานและการจ้างงานแบบรายชั่วโมง แก่นายพัฒนา สุธีระกุลชัย ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคณะ เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง พร้อมหารือในประเด็นการจ้างงาน โดยมี ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารร่วมหารือในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประสงค์ รณะนัทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ด้วยการพยุงการจ้างงานในหลายรูปแบบ เช่น การส่งเสริมสภาพคล่องให้ภาคเอกชน ด้วยการปรับอัตราเงินสมทบใหม่ จัดโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อให้สถานประกอบกิจการมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและเสริมสภาพคล่องให้สามารถรักษาการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง การปรับอัตราส่วนการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 จากร้อยละ 50 เหลือเพียงร้อยละ 10 เป็นต้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า การพยุงการจ้างงานโดยภาครัฐ ได้แก่ การให้บริการจัดหางานผ่านโครงการและกิจกรรมตามภารกิจของกรมการจัดหางาน จัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน Part-time เพื่อให้สามารถจ้างงานระยะสั้น ซึ่งจะช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จัดโครงการเพื่อให้เกิดการจ้างงานระยะสั้น ด้วยการจ้างผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าวเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ จัดโครงการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงาน มีเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกอบรม ล่าสุดจะมีการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 ที่ Bitec บางนา มีตำแหน่งงานว่างกว่าล้านตำแหน่ง
นายพัฒนา สุธีระกุลชัย ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า สถานการณ์การจ้างงานในปัจจุบัน มีการปรับตัวลดลง ผู้มีงานทำจำนวนกว่า 37.1 ล้านคน สาขาที่มีการจ้างงานลดลง ได้แก่ งานก่อสร้าง โรงแรม/ภัตตาคาร การขายส่ง-ขายปลีก ลดลงเล็กน้อย ส่วนการขนส่ง/เก็บสินค้า ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากมาตรการและรณรงค์ให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบให้เกิดการว่างงาน แรงงานในระบบกลายเป็นแรงงานนอกระบบ ถึงร้อยละ 58.7 สาเหตุจากการเลิกกิจการ
ถึงแม้กลุ่มผู้ค้าปลีกจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก แต่เพื่อพยุงการจ้างงาน กลุ่มผู้ค้าปลีกจึงต้องการหารือเพื่อขอรับความช่วยเหลือ กลุ่มผู้ค้าปลีกที่มาร่วมหารือในครั้งนี้ อาทิ ผู้จัดการทั่วไปของ CP All ,ผู้แทนจาก Makro , BBQPLAZA, Central Group ,Home Pro ,Tesco Lotus โดยกลุ่มผู้ค้าปลีกเสนอให้ช่วยเหลือหลายประเด็น อาทิ อัตราส่วนการจ้างงานคนพิการจาก 100 คน: 1 คนเป็น 200 คน:1 คน ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการจ้างงานคนพิการทดแทนรายเดิมที่ลาออกไป จากเดิมต้องจ้างทดแทนภายใน 45 วัน ขยายเป็นจ้างทดแทนภายใน 60 วัน การลดหย่อนภาษีสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ ให้สามารถลดหย่อนได้มากกว่า 15,000 บาท รับรองหลักสูตรการฝึกที่เป็นในรูปแบบออนไลน์ ปรับหลักสูตรการฝึกที่เกี่ยวข้องกับด้านอาหารให้สอดคล้องและบูรณาการร่วมกับกรมอนามัย และปรับลดอัตราการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับการจ้างงานกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจบใหม่
การจ้างงานแบบรายชั่วโมง ต้องการให้สามารถจ้างเป็นรายชั่วโมงได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานอาจกำหนดประเภทหรือลักษณะงานที่สามารถจ้างงานแบบรายชั่วโมงได้ รวมถึงกำหนดสัดส่วนการจ้างรายชั่วโมง เพื่อเป็นการพยุงการจ้างงาน เนื่องจากมีแรงงานส่วนหนึ่งต้องการทำงานเป็นรายชั่วโมง เช่น กลุ่มผู้มีงานประจำอยู่แล้ว แต่ต้องการมีอาชีพหรือรายได้เสริม กลุ่มแม่บ้าน และนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น
“ข้อเสนอดังกล่าว กระทรวงแรงงานขอรับไปพิจารณา ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้างต้องนำข้อมูลและรายลเอียดที่เกี่ยวข้องมากำหนดแนวทางในการการปฏิบัติ และให้ความช่วยเหลือต่อไป การจ้างงานแบบรายชั่วโมงนั้น จะเป็นการเพิ่มช่องทางการจ้างงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การทำงานที่เปลี่ยนไป รวมทั้งสนับสนุนให้แรงงานมีโอกาสทำงานได้มากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับนายจ้าง อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงาน ต้องพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการคุ้มครองและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่องแรงงาน เพื่อรองรับการทำงานรูปแบบวิถีใหม่ (New normal) ที่เกิดขึ้นทั้งระบบ ขอเสนอในวันนี้ จึงร่วมกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและจะช่วยผลักดันให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
---------------------------------------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ระดมสมอง “ก้าวข้ามความท้าทาย สู่อนาคตสาธารณสุขไทย” | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
สธ.ระดมสมอง “ก้าวข้ามความท้าทาย สู่อนาคตสาธารณสุขไทย”
กระทรวงสาธารณสุขระดมสมองผู้บริหาร/ผู้ปฏิบัติงานจากกรมวิชาการ เขตสุขภาพ และอสม. จัดทำแผนงานรองรับนโยบายสำคัญปีงบ 2564 ภายใต้แนวคิด “ก้าวข้ามความท้าทาย สู่อนาคตสาธารณสุขไทย”
กระทรวงสาธารณสุขระดมสมองผู้บริหาร/ผู้ปฏิบัติงานจากกรมวิชาการ เขตสุขภาพ และอสม. จัดทำแผนงานรองรับนโยบายสำคัญปีงบ 2564 ภายใต้แนวคิด “ก้าวข้ามความท้าทาย สู่อนาคตสาธารณสุขไทย” ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ เพื่อคนไทยแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง
วันนี้ (23 กันยายน 2563) ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ร่วมเปิดงานแสดงผลงานวิชาการและการประชุมเชิงปฏิบัติงานเพื่อจัดทำแผนงานรองรับนโยบายสำคัญด้านสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ภายใต้แนวคิด ก้าวข้ามความท้าทาย สู่อนาคตสาธารณสุขไทย (Fly Together to the Future “New Normal Healthcare”) โดยมีอธิบดี ผู้บริหาร/ ผู้แทนกรมวิชาการและเขตสุขภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 600 คน
นายอนุทินกล่าวว่า ตลอด 1 ปีที่ตนได้เข้ามาทำงาน ได้เห็นพลังที่เข้มแข็งของคนกระทรวงสาธารณสุข ที่สามารถฟันฝ่าวิกฤตมาได้หลายเหตุการณ์ ด้วยการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งในระดับนโยบาย ระดับหน่วยงานในจังหวัดและพื้นที่ ตลอดจน อสม. จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมการสาธารณสุขไทยจึงประสบความสำเร็จ รวมทั้งความร่วมมือและใส่ใจในสุขภาพของประชาชน ทั้งตนเอง ครอบครัว และชุมชน ทำให้ไทยเป็นผู้นำการให้บริการด้านสุขภาพ เป็นที่ยอมรับในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด ถือเป็นการพลิกโฉมการสาธารณสุขครั้งใหม่ที่จะก้าวข้ามความท้าทายที่เกิดขึ้นสู่บริบทใหม่ นอกเหนือจากองค์กรผู้นำด้านสุขภาพสู่บทบาทสำคัญการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจของประเทศ คนไทยแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง
ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานสู่อนาคตสาธารณสุขไทย ในปีงบประมาณ 2564 ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และกำหนดจุดมุ่งเน้นประเด็นสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ได้แก่การสร้างระบบสุขภาพปฐมภูมิเข้มแข็งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถให้กับ อสม. หมอประจำบ้าน เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนคนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัวครบ 3 คนให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสุขภาพเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและเพิ่มมูลค่านวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการสุขภาพ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศผลักดัน สมุนไพร กัญชา กัญชงเพื่อสุขภาพ เร่งวิจัยและคิดค้นผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างมีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำยึดหลัก ธรรมาภิบาลโปร่งใสในการบริหาร ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องสร้าง“กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแห่งความสุข”เพราะบุคลากรถือเป็นหัวใจขององค์กร
นายอนุทินกล่าวต่อว่า วันที่ 1 ตุลาคม 2563 จะเริ่มปีงบประมาณใหม่ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ผู้บริหารชุดใหม่ ให้สานต่อนโยบายที่ทำดีอยู่แล้วให้สำเร็จ โดยร่วมมือกัน ทั้งภายในและภายนอกกระทรวง เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โรงเรียนแพทย์ หน่วยบริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร กระทรวงกลาโหม เป็นต้น โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานระบบสาธารณสุขของประเทศ
สำหรับเรื่องงบประมาณขอให้เร่งรัดการใช้งบประมาณที่ค้างท่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริการประชาชน หากยังค้างท่อก็จะประสบปัญหาในการทำงบประมาณขาขึ้นได้ โดยเฉพาะงบก่อสร้างของโรงพยาบาลต่างๆ ที่ประสบปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงาน หากผู้รับเหมาไม่ทำตามสัญญาขอให้ยกเลิกสัญญา ไม่ต้องกังวลเรื่องการฟ้องร้อง กลับกันยังสามารถเรียกเงินค้ำประกันคืน ระงับการชำระค่างวด ไม่มีทางเสียเปรียบ หากเอาจริงเอาจังงานก็จะขับเคลื่อนไปได้
“การขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทยในอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้า เป็นการส่งมอบของขวัญด้านสุขภาพให้กับประชาชน จากแรงกายแรงใจของชาวกระทรวงสาธารณสุขบุคลากรทุกคนถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก้าวข้ามความท้าทายสู่อนาคตการสาธารณสุขไทย” นายอนุทินกล่าว
ด้านดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วิกฤตสุขภาพจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนหันมารักษาสุขภาพและดูแลสุขอนามัยตนเองเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสอันดีที่จะขับเคลื่อนด้านการส่งเสริมสุขภาพให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ให้มีสุขภาพแข็งแรง ลดการเจ็บป่วย ลดการสูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาโรค โดยมุ่งเน้นการสร้างสุขภาพดีวิถีใหม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบ New Normal ใช้หลัก 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ ซึ่งแต่ละคนมีอาชีพและไลฟ์สไตล์ต่างกัน จะต้องส่งเสริมกระตุ้นให้ออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะสมจนเป็นนิสัยการดูแลสุขภาพประชาชนทุกกลุ่มวัยอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กปฐมวัยและ ผู้สูงวัย ทั้งด้านกาย จิต สังคมใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์มาช่วยในการบริการประชาชน ลดแออัด ลดรอคอย เข้าถึงบริการได้มากขึ้น เป็น New Normal Medical Care ซึ่งได้นำร่องที่จังหวัดปัตตานี เพิ่มความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน โดยขอให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลต่างๆ ปรับปรุงระบบข้อมูลภายใน 1 ปี ให้เป็น Digital Health Platform เดียวกัน
******************************** 23 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) การันตีผลงานด้วยรางวัลเลิศรัฐดีเด่น ประจำปี 2563 | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
กรมสรรพากรเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) การันตีผลงานด้วยรางวัลเลิศรัฐดีเด่น ประจำปี 2563
สรรพากรตั้งเป้าทำงานแบบใกล้ชิดเป็นระบบกับผู้เสียภาษีและประชาชน เน้นพัฒนาการบริหารราชการให้เป็นระบบราชการแบบเปิด ส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการให้ข้อมูล (Inform) และรับฟังความคิดเห็น (Consult)
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากการที่กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานภาครัฐเพียงหน่วยงานเดียวที่ได้รับ “รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม” ประจำปี 2563 จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องเชิดชูหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จและมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐ และยังได้รับรางวัลเลิศรัฐสาขาต่าง ๆ อีก 4 รางวัล ซึ่งรวมถึงรับรางวัลเลิศรัฐสาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น จากการขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ D2RIVE โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับกระบวนงานต่าง ๆ มีการยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง (Taxpayer Centric) และส่งเสริมการเป็น “กรมสรรพากรคุณธรรม” ด้วยการปฏิบัติตามคุณธรรมอัตลักษณ์ที่ให้เกียรติและสนองตอบต่อลูกค้า มีการจัดทำ Taxpayer Journey เพื่อนำมาออกแบบการให้บริการที่ตรงกับความต้องการของผู้เสียภาษี รวมทั้งมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (Citizen Feedback) โดยเน้นการรับข้อเสนอแนะหรือข้อร้องเรียน ณ จุดที่ผู้เสียภาษีมาใช้บริการโดยตรง (Citizen Touch Point) เพื่อนำความคิดเห็นนั้นมาพัฒนาการบริการด้วยเป้าหมายของกรมสรรพากรที่ต้องการจัดเก็บภาษีตรงเป้า นโยบายภาษีตรงกลุ่ม และให้บริการตรงใจ โดยล่าสุดได้นำความต้องการของผู้เสียภาษีมาออกแบบการให้บริการรูปแบบใหม่หลายด้าน เช่น Tax From Home, e-Tax Invoice & e-Receipt, e-Withholding Tax เป็นต้น”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของกรมสรรพากร นอกจากจะตรงความต้องการของผู้เสียภาษีแล้ว กรมสรรพากรยังเอื้อให้เกิดการมีส่วนร่วมโดยเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนสู่กรมสรรพากรดิจิทัล โดยการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิของภาครัฐและเอกชนมาเป็นที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ และอีกหนึ่งความสำเร็จที่ทำให้ได้รับรางวัลนี้ คือ การร่วมมือกับภาคเอกชนในการให้บริการ Open API ที่เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในการเสียภาษีผ่านภาคเอกชน”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35329 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มเติมรายการยาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังให้สามารถเบิกและนำไปใช้นอกสถานพยาบาลของทางราชการได้ | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
กรมบัญชีกลางเพิ่มเติมรายการยาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังให้สามารถเบิกและนำไปใช้นอกสถานพยาบาลของทางราชการได้
กรมบัญชีกลางปรับปรุงการเบิกจ่ายค่ายาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารในระหว่างฟอกเลือด สามารถเบิกสารอาหารจากสถานพยาบาลของทางราชการ เพื่อนำไปใช้ในสถานพยาบาลเอกชนได้
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียมมาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันการให้ยาหรือสารอาหารบางกรณี ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิหรือที่บ้าน โดยการกำกับของผู้ประกอบวิชาชีพได้ และเพื่อเตรียมการรองรับบริการทางการแพทย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กรมบัญชีกลางอาศัยอำนาจตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553 จึงได้ปรับปรุงการเบิกจ่ายค่ายาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย โดยกำหนดให้ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในระหว่างฟอกเลือด สามารถเบิกสารอาหารจากสถานพยาบาลของทางราชการ เพื่อนำไปใช้ในสถานพยาบาลเอกชนได้
“การเบิกจ่ายยาหรือสารอาหารที่จะต้องบริหารจัดการในสถานพยาบาลโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้เบิกจ่ายได้เฉพาะกรณีที่ใช้กับผู้ป่วยในขณะที่อยู่ในสถานพยาบาลเท่านั้น มิให้เบิกจ่ายเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาล ยกเว้นยาหรือสารอาหารตามหลักเกณฑ์และรายการที่กรมบัญชีกลางกำหนด และรายการยาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่รักษาด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม สามารถเบิกยาหรือสารอาหารดังกล่าวจากสถานพยาบาลของทางราชการ เพื่อนำไปใช้ในหน่วยไตเทียม (สถานพยาบาลเอกชน) ได้ ตามความเห็นของแพทย์ผู้รักษาที่สถานพยาบาลของทางราชการ โดยอ้างอิงมาตรฐานทางการแพทย์ที่สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยหรือราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้ นอกจากการเพิ่มเติมรายการยาหรือสารอาหารที่จำเป็นข้างต้นแล้ว ยังกำหนดให้ผู้ป่วยโรคอื่น หรือผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง หรือผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่บำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการอื่นซึ่งมิใช่การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ให้สามารถเบิกยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (Erythropoietin) เพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาลของทางราชการได้ ตามความจำเป็นและคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษา ทั้งนี้ การเบิกจ่ายค่ายาหรือสารอาหารข้างต้น ให้สถานพยาบาลของทางราชการเป็นผู้เบิกแทนผู้มีสิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงเท่านั้น หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 127 7000 ต่อ 4614 4441 4355 6852 6854 หรือสอบถามที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Krungthai NEXT เวอร์ชันใหม่ ใช้ชีวิตให้เก่งขึ้นในแอปเดียว รองรับธุรกรรมการเงินแบบไร้ขีดจำกัดด้วยเทคโนโลยีระดับโลกบน Cloud Native แบงก์แรกของประเทศไทย | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
Krungthai NEXT เวอร์ชันใหม่ ใช้ชีวิตให้เก่งขึ้นในแอปเดียว รองรับธุรกรรมการเงินแบบไร้ขีดจำกัดด้วยเทคโนโลยีระดับโลกบน Cloud Native แบงก์แรกของประเทศไทย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย คณะกรรมการและผู้บริหาร พร้อมด้วย ณเดชน์ คูกิมิยะ พรีเซ็นเตอร์ ร่วมเปิดตัวแอป “Krungthai NEXT” เวอร์ชั่นใหม่
วันนี้ (23 กันยายน 2563) นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย คณะกรรมการและผู้บริหาร พร้อมด้วย ณเดชน์ คูกิมิยะ พรีเซ็นเตอร์ ร่วมเปิดตัวแอป “Krungthai NEXT” เวอร์ชั่นใหม่ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลอย่างครบวงจรภายในแอปเดียว เตรียมก้าวสู่การเป็น The Full-scale Digital Banking ที่เป็นมากกว่าแอปธนาคารทั่วไป ตั้งเป้าดันยอดผู้ใช้งานทะลุ 12 ล้านคน ภายในปี 2564 ที่ JustCo อาคารมิตรทาวน์ออฟฟิศทาวเวอร์
นายผยง ศรีวณิช เปิดเผยว่า ธนาคารเดินหน้าผลักดันให้ Krungthai NEXT ก้าวสู่การเป็น The Full-scale Digital Banking ออกจากขีดจำกัดการเป็นเพียงตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน สู่การเป็น Open Platform ที่เปิดให้องค์กรอื่นๆ สามารถเชื่อมต่อระบบในการสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อรองรับทุกกิจกรรมการเงินในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายทอง บิตคอยน์ หรือสินทรัพย์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และมีความปลอดภัยสูงสุด โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะมียอดผู้ใช้งาน Krungthai NEXT จำนวน 12 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้งานกว่า 9 ล้านคน และมียอดธุรกรรมสูงกว่า 6,000 ล้านครั้งในสองปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดตัว Krungthai NEXT
Krungthai NEXT เวอร์ชั่นใหม่ นำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกทำให้ลูกค้าและประชาชนได้ใช้ชีวิตเก่งขึ้นในแอปเดียว ด้วย Cloud Native ที่มอบที่สุดแห่งประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี 3S อันได้แก่ Scalability - รองรับการทำธุรกรรมการเงินที่พร้อมกันจำนวนมหาศาลในช่วงระยะเวลาเดียวกัน Stability - มีความเสถียรใช้งานได้อย่างลื่นไหล และ Secuirty - มีความปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยีระดับโลก นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยี AI (Artificial intelligence) สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานผ่าน Smart Transaction ที่เรียนรู้และขึ้นแถบรายการธุรกรรมทางการเงินที่ใช้งานบ่อย Smart Banner ทำหน้าที่แจ้งเตือนรายการสำคัญ เช่น การครบกำหนดชำระค่าเบี้ยประกัน การต่ออายุบัตรเดบิต บัตรเครดิต การแจ้งเตือนวันเกิด เป็นต้น และ Smart Promotion รู้ใจด้วยโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ทุกการใช้งาน โดยปรับ User Experience (UX) และ User Interface (UI) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า สามารถเปิดใช้งานด้วย Face Authentication สแกนใบหน้าและบัตรประชาชน เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ตัวตน หมดกังวลเรื่องการลืม Username และ Password เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ หรืออีเมลเพื่อรับรหัส OTP ด้วยตนเอง ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่สาขา ใช้งานสนุกขึ้น โดยการตั้งรูปโปรไฟล์ ปรับแต่งหน้าโฮมเพจได้ตามใจ และมีการปรับโฉมธีมสีใหม่อัตโนมัติตามช่วงเวลาหรือเทศกาลสำคัญ
สำหรับฟีเจอร์เด่นของ Krungthai NEXT เน้นให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วยจุดแข็งการให้บริการ โอน เติม จ่าย ที่มีเน็ตเวิร์คการทำธุรกรรมการเงินที่ครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย ทั้งช่องทางภาครัฐ และเอกชน เช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าบริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ค่าบริการอินเทอร์เน็ต บริการรับชำระค่าปรับจราจร และยังครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ทั้ง กิน เที่ยว หรือช้อปปิ้ง เช่น Foodpanda Shopee Lazada Agoda Central เป็นต้น แจ้งความประสงค์กู้ยืมเงินออนไลน์ โดยกรอกรายละเอียดและข้อมูลให้ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารติดต่อกลับได้อย่างสะดวก Krungthai NEXT Savings เปิดบัญชีใหม่ ผ่าน Krungthai NEXT รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี ซื้อประกันเดินทางออนไลน์และตรวจสอบกรมธรรม์ได้ทุกที่ ทุกเวลา เลือกได้ตามจำนวนวันเดินทาง จ่ายตามไลฟ์สไตล์ คุ้มครองรอบด้านอย่างสบายใจ ตลอดจน สมัครบัตร Krungthai Travel Card บัตรแรกและบัตรเดียวที่แลกเงินตราต่างประเทศด้วยตนเองได้ถึง 18 สกุลเงินในอัตราพิเศษ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือบัตร Krungthai Travel UnionPay Debit Card แลกสกุลเงินหยวนในอัตราพิเศษ สามารถเปิดบัตรเสริมและสร้างกระเป๋าเงินสกุลบาทสำหรับใช้จ่ายภายในประเทศได้
ด้าน ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว “กรุงไทย” ในฐานะแบรนด์พรีเซ็นเตอร์ และได้มีโอกาส ไป Roadshow ต่างจังหวัด นำบริการล้ำๆ อย่าง Krungthai NEXT ไปให้พ่อแม่พี่น้องทั่วประเทศได้เข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ซึ่งเห็นได้เลยว่า Krungthai NEXT ได้รับการตอบรับจากทุกคนอย่างล้นหลาม
“สำหรับผมถึงแม้การทำธุรกรรมการเงินออนไลน์มีเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่กังวลเพราะสามารถจ่ายบิลได้ทันทีผ่าน “Krungthai NEXT” ตอบโจทย์คนที่เดินทางบ่อยและไม่ค่อยมีเวลาอย่างผมเป็นอย่างมาก จึงขอเชิญชวนดาวน์โหลดแอป Krungthai NEXT ได้ทั้งใน iOS, Android และ HarmonyOS ที่ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ครอบคลุมที่สุด และให้คุณ “ใช้ชีวิตเก่งขึ้นในแอปเดียว”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานาธิบดีอิหร่านฝากชื่นชมการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ของไทย | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
ประธานาธิบดีอิหร่านฝากชื่นชมการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ของไทย
ประธานาธิบดีอิหร่านฝากชื่นชมการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ของไทย
วันนี้ (23 กันยายน 2563) เวลา 15.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายซัยยิด เรซา โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีในการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย รัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเอกอัครราชทูตฯ อย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันจะสานต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอิหร่านที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในทุกมิติ
เอกอัครราชทูตอิหร่านฯ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ พร้อมกล่าวว่าประธานาธิบดีอิหร่านฝากชื่นชมความสำเร็จของไทยในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจรัฐบาล และประชาชนชาวอิหร่านให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน โดยที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้บริจาคชุดอุปกรณ์ตรวจสอบการติดเชื้อโรคโควิด-19 และบริจาคเงินช่วยเหลือแก่อิหร่าน
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายหารือเกี่ยวกับการเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคี ด้านเศรษฐกิจ เห็นพ้องที่จะร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่จะสนับสนุนการเจรจา การค้า และการส่งออกระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ในด้านสาธารณสุข นายกรัฐมนตรียินดีสนับสนุนความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขแก่อิหร่าน ในส่วนที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ และยินดีที่ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องสนับสนุนด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน ฝ่ายไทยมีเอกลักษณ์ และมีอัตลักษณ์ที่สวยงาม สามารถส่งเสริมเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ในระดับประชาชน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตอิหร่านฯ และรัฐบาลอิหร่านที่ช่วยเหลือ ประสานงานและอำนวยความสะดวกในการส่งคนไทยในอิหร่านกลับประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงช่วยดูแลคนไทยในอิหร่าน ซึ่งฝ่ายเอกอัครราชทูตพร้อมสนับสนุนการดูแลอำนวยความสะดวกแก่คนไทยอย่างเต็มที่
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35353 |
รัฐบาลไทย-รมว.แรงงาน แจงเงื่อนไข จ้างงานเด็กจบใหม่ เพิ่มวุฒิ ม.6 ในโควตา | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
รมว.แรงงาน แจงเงื่อนไข จ้างงานเด็กจบใหม่ เพิ่มวุฒิ ม.6 ในโควตา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ลงความเห็นเพิ่ชมวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.6 ) เงินเดือน 8,690 บาท/เดือน มอบหมายกรมการจัดหางานเร่งทำระบบรองรับ
หวังเป็นโครงการทำงานร่วมกับนายจ้าง สถานประกอบการแบบบูรณาการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การจ้างงานเด็กจบใหม่ จำนวน 260,000 อัตรา ที่รัฐบาลช่วยเอกชน สนับสนุนค่าจ้าง 50% จากหลักเกณฑ์เดิมที่ช่วยเหลือผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แล้ว ได้มีการพิจารณาให้เพิ่มวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6 ) ค่าจ้างไม่เกินเดือนละ 8,690 บาท รัฐช่วยอุดหนุนค่าจ้างครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 4,345 บาท เพื่อการดูแลผู้ว่างงานอย่างครอบคลุมทั่วถึง โดยนายจ้างและสถานประกอบการที่ต้องการร่วมโครงการจะต้องอยู่ในระบบประกันสังคม ไม่มีการเลิกจ้างลูกจ้างเดิมเกินกว่าร้อยละ 15 ภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ได้รับพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการและทำสัญญาจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่เข้าทำงาน เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือหากผู้จบการศึกษาใหม่ลาออกในระหว่างโครงการสถานประกอบการสามารถหาผู้จบการศึกษาใหม่ทดแทนได้ ในส่วนของผู้จบการศึกษาใหม่ ต้องมีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคมมาก่อน อายุไม่เกิน 25 ปี หรือหากอายุเกินกว่า 25 ปี ต้องเป็นผู้จบการศึกษาประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2562 หรือ พ.ศ. 2563 ซึ่งได้มอบกรมการจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาระบบ การ Matching งาน ระหว่างสถานประกอบการและผู้หางานให้ตอบโจทย์และสะดวกต่อการใช้งาน เพื่อประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
ตามนโยบายพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายลง โดยสนับสนุนการจ้างงานระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ ให้ส่งเสริมการมีงานทำก่อน อย่างไรก็ตามมิให้ละเลยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย มุ่งเน้นให้คนไทยต้องมีงานทำในทุกพื้นที่ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่อง เน้นเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศไทย” นาย สุชาติฯ กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แจงขั้นตอนเข้าร่วมโครงการ 4 ขั้นตอนดังนี้ 1.การลงทะเบียนนักศึกษาจบใหม่ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เข้าลงทะเบียนในระบบ Co-payment บันทึกข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมแนบTranscript ในส่วนของนายจ้างและสถานประกอบการ เข้าลงทะเบียนในระบบ Co-payment แจ้งตำแหน่งงานว่างและจำนวนลูกจ้างที่ต้องการรับเข้าทำงาน 2.การตรวจสอบเอกสารข้อมูลเข้าร่วมโครงการ ระบบจะทำการตรวจสอบ Transcript ของผู้สมัคร และสถานประกอบการนั้นๆ ว่าอยู่ในระบบของสำนักงานประกันสังคมหรือไม่ หากตรงตามเงื่อนไข จึงอนุมัติเข้าร่วมโครงการ 3.การ Matching งาน สำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการเมื่อลงทะเบียนในระบบเรียบร้อยแล้ว สามารถค้นหาผู้สมัครงานในตำแหน่งที่ต้องการ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจ้างงานกันแล้ว ให้ Download สัญญาจ้างเพื่อลงลายมือชื่อร่วมกัน และ upload สัญญาจ้างเข้าระบบอีกครั้ง 4.เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานตรวจสอบเอกสารสัญญาจ้าง หากถูกต้องจึงอนุมัติผลการจ้างงาน เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
สำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องจ่ายเงินค่าจ้างร้อยละ 50 ตามระดับการศึกษาให้กับลูกจ้าง ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และแจ้งข้อมูลการจ่ายเงินให้ลูกจ้าง พร้อมส่งหลักฐานให้กรมการจัดหางานภายในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป และกรมการจัดหางานจะเป็นผู้โอนเงินค่าจ้างร้อยละ 50 ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้าบัญชีลูกจ้างโดยตรงภายใน 5 วันทำการ หลังจากได้รับแจ้งหลักฐานจากนายจ้าง/สถานประกอบการแล้ว
ทั้งนี้ ผู้จบการศึกษาใหม่ คนหางาน นายจ้างและสถานประกอบการ ที่กำลังมองหา”งานและคน” สามารถเข้าร่วมงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงแรงงาน วันที่ 26-28 กันยายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร Hall EH 98-99 และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35354 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรสร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทยวาง 4 แนวทางเดินหน้าโครงการพืชแห่งอนาคต | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
กระทรวงเกษตรสร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทยวาง 4 แนวทางเดินหน้าโครงการพืชแห่งอนาคต
กระทรวงเกษตรสร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทยวาง 4 แนวทางเดินหน้าโครงการพืชแห่งอนาคต ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ยุคโควิด เร่งวางโรดแม็ปดันไทยเป็น “เจฮับ” โมเดลซิลิคอนวัลเลย์ผลิตอาหารแห่งอนาคตเจาะตลาด 4 พันล้านคน มูลค่า 5 แสนล้านบาท จับมือภาคเอกชนลุยโปรต
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 แถลงวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ตามที่รัฐบาลกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (First S-Curve New S-Curve) เพื่อสร้างโอกาสและศักยภาพใหม่ให้กับประเทศ โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่คืออาหารแห่งอนาคตซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รับผิดชอบโครงการพืชแห่งอนาคต (Future Crop) เพื่อตอบสนองการผลิตอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่มีแนวโน้มความต้องการของตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นกรณีของโปรตีนจากแมลง ซึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารจากแมลงของโลก
นอกจากนั้น ยังมีอาหารแห่งอนาคตที่กำลังมาแรงคืออาหารที่ใช้โปรตีนจากพืชผลิตเป็นอาหารที่เรียกว่า เนื้อจากพืช (Plant Based Meat) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อของ “อาหารเจ” ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นฮับของการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จะเป็นสินค้าเกษตรอาหารตัวใหม่ในการสร้างรายได้สร้างอาชีพและธุรกิจการเกษตรใหม่ๆ ให้กับภาคเกษตรและกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารในยุคโควิดที่ผู้บริโภคทั่วโลกโดยเฉพาะในจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อาเซียน สหรัฐและยุโรป ซึ่งมีประชากรกว่า 4 พันล้านคน ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้นนับเป็น New Normal ในยุคโควิดเป็นเทรนด์การรับประทานอาหารแนวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
อีกทั้ง ข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ FAO (Food and Agriculture Organization) คาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ของโลกเพิ่มขึ้น 30% ภายใน 15 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม หากการผลิตอาหารยังคงดำเนินไปในรูปแบบเดิม การสนับสนุนการบริโภคโปรตีนจากพืชจึงเป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด
สอดคล้องกับยอดขายอาหารสำเร็จรูปของเนื้อจากพืชในสหรัฐขยายตัวต่อเนื่อง ระหว่างปี 2013-2018 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 15.4% เทียบกับเนื้อแปรรูป (Processed Meat) ที่เติบโตเพียงปีละ 1.2% สอดคล้องกับข้อมูลของ NPD Group ผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกาที่ขายเบอร์เกอร์และแซนวิชเนื้อที่ทำจากพืช ก็พบว่ายอดขายระหว่างเมษายน 2018 – มีนาคม 2019 เพิ่มขึ้นถึง 7.8% ซึ่งมากสุดเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับบริษัท Beyond Meat หนึ่งในโรงงานผลิตเนื้อจากพืชรายใหญ่สุดของโลกก็รายงานยอดขายไตรมาส 2 ของปี 2019 เติบโตถึง 287%
อาจกล่าวได้ว่าปี 2019 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของผลิตภัณฑ์เนื้อที่ทำจากพืช สะท้อนจากธุรกิจอาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2019 ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา เช่น Carl’s Jr.ประกาศขายเบอร์เกอร์ที่ผลิตด้วยเนื้อที่ทำจากพืช ตามด้วยในเดือนเมษายน 2019 Burger King ก็ประกาศขายเบอร์เกอร์ที่ทำจากพืชเช่นกัน โดยเริ่มแรก ทดลองเพียง 59 สาขา กระทั่งวันที่ 2 พฤษภาคม 2019 Burger King ประกาศแผนวางขายเบอร์เกอร์เนื้อที่ทำจากพืชในทุกสาขาภายในสิ้นปี 2019 ที่ผ่านมา
ส่วนตลาดอาหารเจในจีนที่ใช้เนื้อจากพืชกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดมีมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมาและถ้ารวมมูลค่าตลาดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกจะมีมูลค่าเกือบ 5 แสนล้านบาท ไม่ว่าค่ายอาลีบาบา ของจีนหรือสตาร์บัค เคเอฟซีและเนสเลของประเทศตะวันตกต่างขยายการผลิตและการตลาดอาหาร ตั้งแต่ติ่มซำ ซาลาเปา เฝอ ก๊วยเตี๋ยว ซูชิแกงกะหรี่ จนถึงไส้กรอก ไก่ย่างและแฮมเบอร์เกอร์ที่ผลิตจากโปรตีนพืช เช่นถั่วเหลือง ถั่วลันเตา มะเขือยาว เห็ด สาหร่าย พืชสมุนไพร พืชสวนครัว น้ำมันปาล์ม มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวเป็นต้น
สำหรับประเทศไทยมีบริษัทชื่อ “Let’s Plant Meat” เป็นผู้ผลิตเนื้อจากพืชรายแรกในประเทศไทยและได้รับรางวัลระดับทวีปเอเซียประเภทอาหารแห่งอนาคตจากโปรตีนพืชประจำปี 2563 โดยมีการวางจำหน่ายแฮมเบอร์เกอร์ใช้เนื้อจากพืชในซูเปอร์มาร์เก็ตเช่นเทสโก้โลตัส แม็กแวลูและกูเมท์มาร์เก็ต โดยมีราคาถูกกว่าของอเมริกายี่ห้อ Beyond Burger ยักษ์ใหญ่ของโลกกว่าครึ่งหนึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพและราคาและยังมีบริษัท Meat Avatar เป็นบริษัทสตาร์ทอัพของไทยรวมทั้งยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ก็ออกผลิตภัณฑ์เฟรกซิทาเรี่ยน(Flexitarians) ออกสู่ตลาด
ยิ่งกว่านั้น บริษัท เอ็นอาร์เอฟ (NRF) ผู้ผลิตเนื้อจากพืชรายใหญ่ที่สุดของไทยได้ขยายโรงงานผลิตเนื้อจากพืชทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และกำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งแสดงว่าอาหารแห่งอนาคตจะมาพลิกโฉมตลาดอาหารของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเป็นอาหารที่ปราศจากยาปฏิชีวนะ 0% คลอเรสเตอรอล 0% และเป็นการเพิ่มปริมาณอาหารให้กับโลกซึ่งเท่ากับว่าเกษตรกรของไทยคือฮีโร่ช่วยชาวโลกในภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบห่วงโซ่การผลิตอาหารของโลก
4 แนวทาง ได้แก่ เทคโนโลยีเกษตร นวัตกรรมอาหาร ระบบทรัพย์สินทางปัญญาและนโยบายเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัยเป็นหัวใจหลักในการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร การแปรรูปการตลาด การสร้างธุรกิจและอุตสาหกรรม “เนื้อจากพืช” หรืออาหารเจป้อนตลาดในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก
ทั้งนี้ คณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกลุ่มคลัสเตอร์เกษตรอาหาร (กรกอ.) สศก. สวก.และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC (Agritech and Innovation Center) สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม หอการค้าไทยและกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมกับกลุ่มบริษัทไทยผู้ผลิตอาหารเจภายใต้โมเดลเนื้อจากพืช (Plant Based Meat) จัดทำโรดแมปตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารแห่งอนาคต หรือเรียกว่า ซิลิคอน วัลเลย์อาหารแห่งอนาคต (Silicon Valley of Future Food)
“ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มองทุกโอกาสในวิกฤติโควิดและอาหารจากโปรตีนพืชและแมลงที่มีตลาด 4 พันล้านคนรออยู่คืออีกโอกาสใหม่ๆ ของเกษตรกรไทยในฐานะประเทศไทยเป็นครัวโลก” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.วธ เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมต้นแบบ “วัดฝั่งคลอง” จ.นครนายก ชูวัฒนธรรมไทยพวน-พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น-ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช-การแสดงพื้นบ้าน-อาหารพื้นถิ่น | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
รมว.วธ เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมต้นแบบ “วัดฝั่งคลอง” จ.นครนายก ชูวัฒนธรรมไทยพวน-พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น-ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช-การแสดงพื้นบ้าน-อาหารพื้นถิ่น
รมว.วธ เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมต้นแบบ “วัดฝั่งคลอง” จ.นครนายก
ชูวัฒนธรรมไทยพวน-พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น-ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช-การแสดงพื้นบ้าน-อาหารพื้นถิ่น
นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน
เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เดินทางไปติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานการสร้างความเข้มแข็งของพลังบวร เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง “บวร On Tour” ณ ชุมชนคุณธรรมวัดฝั่งคลอง ต.เกาะหวาย อ.ปากพลี จ.นครนายก โดยมี พระราชพรหมคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก พระครูวิริยานุโยค เจ้าอาวาสวัดฝั่งคลอง นายบัญชา เชาวรินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดนครนายก ผู้นำ “บวร” ชุมชนคุณธรรมวัดฝั่งคลอง คณะกรรมการ และประชาชนชาวจังหวัดนครนายก ให้การต้อนรับ โดยว่าที่ร้อยตรีชาติชาย ยอดมิ่ง ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนไทยพวน ผู้แทนพลังบวร บรรยายสรุปกระบวนการและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ชุมชนภาคภูมิใจในการขับเคลื่อนชุมชนตามแนวทางคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จากนั้นนำชมมิวเซียม “ปะพวนที่ปากพลี” และ “ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดฝั่งคลอง” ชมเรือนไทยพวน และชมการสาธิตวิถีชีวิตของชาวไทยพวน การทอผ้า การถักแห การจักสาน และการแสดงพื้นบ้าน ฟ้าอมรนครนายก ฟ้อนไทยพวน และ ลำตัด รำโทน ลำ พวน
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ดำเนินงานส่งเสริมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ตามนโยบายของรัฐบาล โดยนำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ไปขับเคลื่อนและดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยเริ่มต้นที่ชุมชนต้นแบบนำร่องจังหวัดละ ๑ ชุมชน รวม ๗๖ ชุมชน และพร้อมขยายเป้าหมายเป็น ๑,๐๐๐ ชุมชนภายในปลายปีนี้ ซึ่งที่ผ่านมา วธ.ได้ดำเนินการขับเคลื่อนในชุมชนต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ชุมชนคุณธรรมวัดสำโรงเกียรติ จ.ศรีสะเกษ ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง จ.ราชบุรี ซึ่งจังหวัดนครนายกมีชุมชนคุณธรรมฯ ทั้งหมด ๑๒๓ แห่ง และเป็นชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ “บวร On Tour” จำนวน ๒๙ แห่ง โดยชุมชนคุณธรรมวัดฝั่งคลอง จ.นครนายก เป็น ๑ ใน ๗๖ ชุมชนต้นแบบนำร่องที่มีความโดดเด่น ที่ได้ใช้ “พลังบวร” ในการนำทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงามเป็นอัตลักษณ์ของชาวไทยพวนที่มีการรวมตัวกันของ ๔ ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านฝั่งคลอง ชุมชนบ้านท่าแดง ชุมชนบ้านเกาะหวาย และชุมชนบ้านใหม่ มีการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นด้านภาษาพูด การแต่งกายแบบไทยพวน อาหารพื้นบ้าน การทอผ้า และการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง คองสิบสี่ เช่น ประเพณีบุญทานข้าวจี่ - วิถีไทยพวน ประเพณีสงกรานต์ไทยพวน และการอนุรักษ์ศิลปพื้นบ้าน อาทิ พิธีบายศรีสู่ขวัญต้อนรับแขกผู้มาเยือน การจัดเลี้ยงอาหารโตกไทยพวน ไปต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
นอกจากนี้ ชุมชนคุณธรรมวัดฝั่งคลองยังเป็นชุมชนที่มีความเป็นอยู่เรียบง่ายแบบสังคมชนบท คนในชุมชนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความภาคภูมิใจในวิถีแห่งชาติพันธุ์ไทยพวน ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การเป็นเจ้าบ้านที่ดีพร้อมต้อนรับผู้มาเยือน และมีการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ของชุมชน โดยร่วมกับพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ พัฒนาปรับปรุงพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวน ให้เป็น “มิวเซียม ปะพวนที่ปากพลี” เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของ จ.นครนายก รวมทั้งมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงทางวัฒนธรรม “ลำตัด รำโทน ลำพวน” ผลิตภัณฑ์และอาหารพื้นบ้าน อาทิ ผ้าทอมือไทยพวน ปลาดูทอดสมุนไพร ขนมข้าวกระยาคู ขนมกระยาสารท เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์ชุมชนแก่ผู้มาเยือน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนและท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
"เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์"
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสา ได้จัดบรรยายในหัวข้อ "สถาบันพระมหากษัตริย์กับประเทศไทย"
โดยวิทยากรจิตอาสา 904 เพื่อสร้างความรู้ เผยแพร่และปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้กับ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นักเรียน และครูจากโรงเรียนที่มีที่ตั้งอยู่บริเวณโดยรอบกระทรวงกลาโหม โดย พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมโครงการจิตอาสา "เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม (23 กันยายน 2563)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหัวหน้าส่วนราชการฯ เร่งผลักดันเป้าหมายการทำงานทั้งระดับกระทรวงและระดับประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ย้ำข้าราชการทุกระดับมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนบริหารประเทศ | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีกำชับหัวหน้าส่วนราชการฯ เร่งผลักดันเป้าหมายการทำงานทั้งระดับกระทรวงและระดับประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ย้ำข้าราชการทุกระดับมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนบริหารประเทศ
นายกรัฐมนตรีกำชับหัวหน้าส่วนราชการฯ เร่งผลักดันเป้าหมายการทำงานทั้งระดับกระทรวงและระดับประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ย้ำข้าราชการทุกระดับมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนบริหารประเทศ
วันนี้ (23 ก.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2563 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563 โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง คณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารสำนักงาน ก.พ. ร่วมประชุม ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำหลักการทำงานของรัฐบาล โดยกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เน้นบูรณการงานทุกกระทรวง ควบคู่การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน ให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างครบถ้วน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า เป็นโอกาสอันดีที่หัวหน้าส่วนราชการฯ ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ สิ่งสำคัญคือ การบูรณาการประสานงานร่วมกันให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ รวมทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคในระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนของประชาชน ซึ่งรัฐบาลดำเนินโครงการต่างๆ โดยพิจารณาถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาให้ถูกต้องสอดคล้องกับงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทุกหน่วยงานต้องเร่งรัดการทำงานให้รวดเร็ว ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจราชการทุกครั้ง ก็มีโอกาสพบปะพี่น้องประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อการบริหาราชการเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างครบถ้วน ซึ่งข้าราชการทุกระดับตั้งแต่หัวหน้าส่วนราชการถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะมีบทบาทสำคัญไนการขับเคลื่อนการบริหารราชการ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่านายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมคนไทยทุกระดับเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า สังคมไทย มีทั้งกลุ่มคน On line และ กลุ่ม คน Off line รวมทั้งกลุ่มคนที่อยู่ระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ จึงเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลในการส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี เพิ่มมูลค่ากิจการ สร้างมูลค่าประเทศให้สูงขึ้น สำหรับหัวหน้าส่วนราชการที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีศักยภาพ มีประสบการณ์และความสามารถ ซึ่งจะพิจารณาให้เป็น “คลังสมอง” ต่อไป
โอกาสนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกส่วนราชการที่ปฏิบัติงานร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนตามนโยบายและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ตามแนวทางการทำงาน “รวมไทย สร้างชาติ” และ “New Normal” ด้วย
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ถ่ายภาพร่วมกับคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า และถ่ายภาพหมู่ร่วมกับคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่ครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563 ณ บริเวณโถงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีปีนี้มีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่ครบเกษียณอายุราชการ จำนวน 14 คน อาทิ นายอนุกูล เจิมมงคล ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นางบุษยา มาทแล็ง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมือส่งออก!จุรินทร์ นำพาณิชย์ จัด THAIFEX–ANUGA ASIA 2020 แบบ “The Hybrid Edition” นำอาหารไทยสู่ตลาดโลก พร้อมจับมือ 4 กระทรวง MOU มาตรฐานความปลอดภัยอาหารจากโควิด-19 | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
รับมือส่งออก!จุรินทร์ นำพาณิชย์ จัด THAIFEX–ANUGA ASIA 2020 แบบ “The Hybrid Edition” นำอาหารไทยสู่ตลาดโลก พร้อมจับมือ 4 กระทรวง MOU มาตรฐานความปลอดภัยอาหารจากโควิด-19
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน จัดงานแสดงสินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องดื่ม THAIFEX–ANUGA ASIA 2020 โดยปีนี้เป็นไปตามนโยบายนายจุรินทร์ คือ จัดในรูปแบบผสมผสาน (หรือ Hybrid)
เป็นครั้งแรกของ ประเทศไทย ตอบรับสถานการณ์การค้าวิถีใหม่ (New Normal) เป็นงาน THAIFEX–ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition”
โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า “ปี 2563 เป็นปีที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน กิจกรรมหลายๆ อย่างต้องหยุดชะงักหรือชะลอตัว แม้แต่อุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เคยเติบโต ก็ได้รับผลกระทบ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังต้องเผชิญกับสถานการณ์สงครามการค้า เศรษฐกิจชะลอตัว ความผันผวนของค่าเงินบาท ดังนั้น การปรับตัวทางเศรษฐกิจและการปรับตัวทางการค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ จึงเป็น เรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าให้กับฐานราก โดยเฉพาะใน ส่วนของเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอี โอท็อป รวมทั้งไมโครเอสเอ็มอีต่างๆ ที่อยู่ในทุกภาคส่วนของภูมิภาค กระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นความจำเป็นที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยนำแนวนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่างสองกระทรวงสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับพื้นฐานของประเทศ จนก้าวสู่ตลาดโลก คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ สร้างฐานข้อมูล Big Data ร่วมกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วยคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ มุ่งสู่เป้าหมายให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก” โดยการค้าภายในประเทศ จะมีเซลส์แมนจังหวัดทำหน้าที่ขยายตลาดและหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการทำงานเป็นทีมระหว่างพาณิชย์จังหวัด จับมือกับเกษตรกร ผู้ประกอบธุรกิจ ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สร้างโอกาสการค้าและช่องทางการเข้าสู่ตลาดของสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย
ด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์มีกลไกในการเชื่อมโยงตลาดโลกและผู้ประกอบการไทยให้มาเจอกัน ผ่านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ซึ่งได้กระจายที่ตั้งครอบคลุมตลาดคู่ค้าหลักๆ และตลาดที่มีศักยภาพทั่วโลก จำนวน 58 แห่ง มีเซลส์แมนประเทศ เปรียบเสมือนทัพหน้าที่จะกรุยทางให้ผลผลิตจากเกษตรกร ผลิตภัณฑ์อาหารจากผู้ผลิตก้าวสู่ตลาด ต่างประเทศอย่างมั่นคง สร้างโอกาสในการแข่งขัน รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการเจาะตลาดสำคัญ ได้มีนโยบายเร่งรัดผลักดันการส่งออกภายใต้แนวทาง “รักษาและขยายตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ ฟื้นตลาดเก่าที่เคยเป็นตลาดสำคัญ” โดยมีคณะผู้บริหาร ระดับสูงเดินทางไปทำความตกลงทางการค้า (MOU) และจับคู่ธุรกิจกับนานาประเทศทั้งในแถบเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ผมได้เล็งเห็นลู่ทางการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของประเทศ ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยการผลักดันแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์มีอยู่ จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ รวมถึงร่วมมือกับแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น อาลีบาบาของจีน
ในส่วนของอุตสาหกรรม อาหารนั้นแม้จะมีเหตุการณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในการผลิตและส่งออกอาหารในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยสามารถให้ความมั่นใจกับผู้บริโภคทั่วโลกได้ว่า อาหารไทยปลอดภัย ปราศจากเชื้อในกระบวนการผลิต จนรัฐบาลไทยสามารถออกหนังสือรับรองการปฏิบัติตามมาตรการ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกระบวนการผลิตอาหารส่งออกให้กับผู้ผลิตอาหาร เพื่อแสดงต่อผู้ซื้อและผู้นำเข้าในต่างประเทศ ซึ่งหนังสือรับรองดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทย โดยผมได้มอบให้ท่านปลัดทั้ง 4 กระทรวงเป็น
ผู้ลงนามความร่วมมือในวันนี้ เพื่อรับรองการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกระบวนการผลิตอาหารส่งออก (COVID - 19 Prevention Best Practice) สำหรับงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม THAIFEX จึงมีส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งงานนี้เป็นงานสำคัญที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 30
"สำหรับการจัดงานในปีนี้ ได้มีการปรับชื่องานเป็น THAIFEX – ANUGA ASIA ซึ่งเป็นการรวมตัวกันระหว่าง 2 งานที่ยิ่งใหญ่ คือ THAIFEX ของประเทศไทย และ ANUGA จากเยอรมนี และยังเป็นปีแรกที่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานให้เป็นแบบไฮบริด (Hybrid) เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ไวรัสโควิด-19 ซึ่งต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ โดยใช้ชื่องานว่า THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition” โดยเป็นการผสมผสานการจัดงานระหว่างออฟไลน์และเทคโนโลยีออนไลน์ การจัดงานครั้งนี้ จะเป็นการช่วยกระตุ้นตั้งแต่สินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป อุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่มของไทยให้ฟื้นตัวกลับมา พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่น และเน้นย้ำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทยในเรื่องความปลอดภัย และยังสามารถผลิตและส่งออกได้ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับการบริโภคในโลก ซึ่งแม้ว่าจะมีเรื่องโควิด-19 มากระทบ แต่เรา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าแบบออฟไลน์รวม 708 บริษัท 1,747 คูหา ผมมั่นใจว่าการจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบผสมผสาน (หรือ Hybrid) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย จะตอบรับสถานการณ์การค้าวิถีใหม่ (New Normal) ของงานแสดงสินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องดื่ม THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition” ครั้งนี้และจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งคาดว่าจะได้มูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาท" นายจุรินทร์ กล่าว
รายงานข่าวกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า มีการจัดงานแสดงสินค้าจริง ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็คแห่งนี้ วันที่ 22-26 กันยายน ระหว่างผู้เข้าร่วมงาน (Exhibitors) และผู้ชมงานในไทยที่ประกอบด้วย นักธุรกิจในวงการอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ในไทย 51,869 กิจการ รวมถึงตัวแทนผู้ซื้อจากต่างประเทศ (Buying Agents) ที่มีสำนักงานในไทย และการจัดกิจกรรมเจรจาการค้าออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าเสมือนจริง หรือ Virtual Trade Show ระหว่างผู้เข้าร่วมงาน (Exhibitors) กับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าต่างประเทศ (Importers) ที่ไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้เป็นผู้ประกอบการไทย 519 บริษัทและตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทยของผู้ประกอบการต่างชาติจาก 12 ประเทศ ได้แก่ บราซิล แคนาดา จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี นอร์เวย์ โปแลนด์ ไต้หวัน อเมริกา และเวียดนาม รวม 189 บริษัท บนพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการใช้มาตรการการดูแลสุขอนามัย ของผู้เข้าร่วมงานอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 23 กันยายน 2563 | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 23 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ญี่ปุ่น 2 ราย, ฝรั่งเศส 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,345 ราย
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 23 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ญี่ปุ่น 2 ราย, ฝรั่งเศส 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,345 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.19 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 110 ราย หรือร้อยละ 3.13 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,514 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ญี่ปุ่น 2 รายเป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 39 ปี อาชีพพนักงานบริษัท และ อายุ 53 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 16 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 21 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ
ฝรั่งเศส1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 22 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 21 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 3 ราย ซึ่งเดินทางมาจากประเทศโมร็อกโก ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการพบผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ทำให้ภาพรวมของประเทศไทยตั้งแต่พบการระบาดจนถึงขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,445 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,069 ราย เข้าสถานกักกันที่ราชการกำหนด 576 ราย และได้ส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลทุกราย
ปัจจุบันประเทศไทยได้ผ่านพ้นการระบาดในระลอกแรกไปแล้ว ช่วงนี้ทุกภาคส่วนได้เตรียมการและเตรียมความพร้อมในการรับมือหากเกิดการระบาดในประเทศระลอกที่ 2 อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขขอเน้นย้ำประชาชน ห้างร้าน องค์กรทุกแห่ง ดำเนินกิจการและใช้ชีวิตตามปกติในรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ต่อเนื่อง เช่น การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าให้เกิดความเคยชิน เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ การลดความแออัด การลงทะเบียนเข้าออกสถานที่เข้าใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้ง ช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติ สามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ นอกจากนี้ ขอให้ทุกคนสังเกตอาการเจ็บป่วยของตนเองและคนรอบข้าง หากไปในที่ชุมชนกลับมา แล้วมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก การรับรสและกลิ่นลดลง หรือมีภาวะปอดอักเสบ ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกแห่งเพื่อตรวจหาเชื้อได้ทันทีโดยสามารถเบิกจ่ายได้ตามสิทธิการรักษา
************************** 23 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เชิญร่วมงาน MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ ช่วยสร้างงาน กระจายรายได้สู่ชุมชน ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
รมว.พม. เชิญร่วมงาน MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ ช่วยสร้างงาน กระจายรายได้สู่ชุมชน ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก
รมว.พม. เชิญร่วมงาน MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ ช่วยสร้างงาน กระจายรายได้สู่ชุมชน ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก
วันนี้ (23 ก.ย. 63) เวลา 09.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการสัมมนา “MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ” พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษเชิงนโยบาย ในหัวข้อ “MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ” ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สก.สว.) และมหาวิทยาลัยนเรศวร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุมมหาราช ศูนย์แสดงนิทรรศการและจัดการประชุมนานาชาติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมสัมมนา “MICE วิสาหกิจชุมชนแก้วิกฤตประเทศ” นับเป็นงานแรกที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการและจัดการประชุมนานาชาติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนในพื้นที่ โดยอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) จะช่วยต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนซึ่งเป็นเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศให้มีความเข้มแข็ง และมีความพร้อมในการสร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่และวิสาหกิจชุมชนเป็นสำคัญ เป็นการช่วยกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เสริมสร้างศักยภาพของชุมชนที่เข้มแข็งรวมทั้งเพิ่มทักษะในการบริหารจัดการและต่อยอดความยั่งยืนให้กับชุมชนในการทำธุรกิจเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของสังคมต่อไป
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เราสามารถทำร่วมกันได้ทั้งประเทศในระดับจังหวัดและภูมิภาค ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสำคัญในการให้บริการสวัสดิการสังคมสำหรับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งราษฎรบนพื้นที่สูงโดยน้อมนำศาสตร์พระราชา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ แต่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมอันดีงามไว้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับการสร้างงาน สร้างรายได้ที่พอเพียงและมั่นคงให้กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ตนได้ทดลองนั่งรถวีลแชร์ไฟฟ้า ประดิษฐ์โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ (MOVE) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งต่อไปจะมีการพัฒนาให้มีน้ำหนักเบาและลดต้นทุนการผลิตให้มีราคาลดลงสำหรับประชาชนทั่วไป และเยี่ยมชมบูธนิทรรศการ นวัตกรรมเทคโนโลยี และร้านค้าจำหน่ายสินค้าชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาควิชาการในจังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พิจิตรกำแพงเพชร สุโขทัย เพชรบูรณ์และตาก รวมกว่า 40 บูธ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงพรุ่งนี้ (24 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องประชุมมหาราช ศูนย์แสดงนิทรรศการและจัดการประชุมนานาชาติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ติวเข้ม ผู้ประสงค์สอบคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
คปภ. ติวเข้ม ผู้ประสงค์สอบคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย
• เลขาธิการ คปภ. แนะผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัยยุค Digital Disruption พัฒนาความรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์ที่จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) ชุดที่ 3 เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ให้กับบุคคลภายนอกที่มีความประสงค์จะขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ จำนวนทั้งสิ้น 91 คน ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน 2563 ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพมหานคร
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ดำเนินการภายใต้ระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัย ให้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับประชาชนที่จะระงับข้อพิพาทด้านการประกันภัยให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งเป็นการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากความพึงพอใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย (win-win) ประกอบกับผู้ขึ้นทะเบียนไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ที่ได้แต่งตั้งครบอายุ 2 ปี ตามระเบียบดังกล่าว ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดอบรมบุคคลภายนอกที่ประสงค์ขึ้นทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการ ชุดที่ 3 ให้มีความรู้พื้นฐานด้านการประกันภัยก่อนเข้ารับการสอบคัดเลือก เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย
สำหรับการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ ชุดที่ 3 มีผู้สนใจสมัครเข้ารับการอบรมเพื่อคัดเลือกจากหลายสาขาอาชีพ อาทิ ผู้ประนีประนอมของศาล ทนายความ อาจารย์ เจ้าของธุรกิจ ข้าราชการบำนาญ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดใน 60 ลำดับแรก จะเป็นผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย ซึ่งการคัดเลือกผู้ชำนาญการในครั้งนี้ จะมีความพิเศษแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา โดยกำหนดให้มีการอบรมที่เน้นทักษะความรู้ด้านกฎหมายประกันภัย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย และความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ทางด้านประกันภัยให้กับผู้สมัครที่มีทักษะทางด้านไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว จากนั้นจึงจัดให้มีการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ ก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการต่อไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และส่งผลให้เกิดข้อดี 2 ประการ คือ ประการแรก ผู้เข้ารับการอบรม จะได้รับความรู้ด้านการประกันภัย และมีความพร้อมในการปฏิบัติงานได้ทันทีภายหลังจากการได้รับคัดเลือก และประการที่ 2 เกิดความร่วมมือเป็นภาคีเครือข่ายและพันธมิตรระหว่างสำนักงาน คปภ. และผู้เข้ารับการอบรมที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักงาน คปภ. มากยิ่งขึ้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 ซึ่งถือเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการทั้งสิ้น 1,154 เรื่อง ไกล่เกลี่ยสำเร็จเป็นจำนวน 920 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 79.72 โดยงานไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย (Insurance Mediation Center) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2562 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ทั้งนี้ จากสถิติประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการประกันวินาศภัยที่มีการร้องเรียนมากที่สุด คือ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 80 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย รองลงมา คือ ค่าซ่อมรถ และค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บ ส่วนประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการประกันชีวิตที่มีการร้องเรียนมากที่สุด คือ การบอกล้างสัญญาประกันชีวิต กรณีไม่แถลงข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 การเรียกร้องเงินผลประโยชน์ตามเอกสารเสนอขายซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขตามกรมธรรม์ และการเสนอขายโดยไม่ได้อธิบายเงื่อนไขและความคุ้มครองให้ชัดเจน ทำให้ผู้เอาประกันภัยหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดในการทำสัญญาประกันชีวิตตามลำดับ ซึ่งจำนวนข้อพิพาทที่เกิดขึ้น อาจเป็นผลจากการที่ประชาชนนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากยอดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 หรือการนำระบบประกันภัยมาใช้รองรับนโยบายภาครัฐ อย่างไรก็ดี การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้น จึงต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน เพื่อลดปัญหาข้อพิพาทด้วยเช่นกัน
“การทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของสำนักงาน คปภ. ต้องสามารถปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital Disruption ต้องมีความเข้าใจด้านข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎกติกาด้านการประกันภัย ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และที่สำคัญต้องปฏิบัติตนให้เป็นกลาง มีความซื่อสัตย์สุจริต ให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่าย อันจะส่งผลให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการ และเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัยได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะขยายเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียครอบคลุมทั่วประเทศ จับมือท้องถิ่นแก้ปัญหาน้ำเสียเต็มรูปแบบและยั่งยืน | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
ครม. เคาะขยายเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียครอบคลุมทั่วประเทศ จับมือท้องถิ่นแก้ปัญหาน้ำเสียเต็มรูปแบบและยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีเคาะขยายเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียครอบคลุมทั่วประเทศ จับมือท้องถิ่นแก้ปัญหาน้ำเสียเต็มรูปแบบและยั่งยืน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปัญหาน้ำเสียที่ประเทศไทยเผชิญมาเป็นระยะเวลานานและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำเสียจากชุมชนเฉลี่ยวันละ 9.50 ล้านลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้แบ่งเป็นน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดด้วยระบบบำบัดน้ำเสียตามกฎหมายควบคุมอาคารและการบำบัดได้เองตามธรรมชาติ จำนวน 4.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน น้ำเสียที่ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จึงยังมีน้ำเสียที่ไม่ได้ผ่านการบำบัดอีกจำนวน 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน กลายเป็นปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างจริงจัง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกจังหวัด เนื่องจากติดขัดด้วยข้อกฎหมายตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ.2538 ที่กำหนดให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) มีเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย รวมทั้งสิ้น 45 พื้นที่ ใน 26 จังหวัด ทำให้ อจน. ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียและบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียของชุมชนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่รับผิดชอบได้
เพื่อเป็นการแก้ไขอุปสรรคดังกล่าว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (22 กันยายน 2563) ว่าจึงมีมติเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียขององค์การจัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีมาตรฐานและเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ปัญหามลพิษทางน้ำได้อย่างทันสถานการณ์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการ 1)เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเสียทั่วประเทศในการดูแลรักษาคุณภาพแห่งน้ำ ระบบนิเวศทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เพิ่มศักยภาพและมูลค่าให้กับแหล่งท่องเที่ยว 2)เพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์ในการบริการหรือกิจการเกี่ยวเนื่องในพื้นที่บำบัดน้ำเสีย เช่น การนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การผลิตพลังงานจากน้ำเสีย 3)ไม่เป็นภาระงบประมาณภาครัฐ โดยใช้วิธีการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนสำหรับโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ ควบคู่กับการจัดเก็บค่าบริการ ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
มากไปกว่านั้น ครม. ยังได้มีมติอนุมัติงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 รายการเงินสำรองจ่าย วงเงิน 385.64 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงบำบัดน้ำเสียและสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 โครงการ และโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง จำนวน 2 โครงการ โดยให้เบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
และให้ใช้เงินรายได้ของท้องถิ่นเมืองพัทยาและ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง สมทบอีดจำนวน 42.85 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้ง 4 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 428.49 ล้านบาท สำหรับรายละเอียดแต่ละโครงการ มีดังนี้ 1)โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสีย จังหวัดชลบุรี วงเงิน 175.25 ล้านบาท เพื่อบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นในพื้นที่และรองรับปริมาณน้ำเสียในพื้นที่ใกล้เคียง 2)โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วมจังหวัดชลบุรี วงเงิน 77.54 ล้านบาท เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและจัดการควบคุมน้ำเสีย 3)โครงการป่าชายเลนในเมือง จังหวัดระยอง วงเงิน 81.7 ล้านบาท เป็นการก่อสร้างสะพานและเส้นทางเดินสำรวจ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ และ4) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ศูนย์พัฒนาปลวกแดง ตามพระราชดําริ จังหวัดระยอง (ระยะที่ 3) เป็นการปรับปรุงอาคาร คอกสัตว์ ภูมิทัศน์ ฐานการเรียนรู้ และงานอื่น ๆ ภายในศูนย์ รวมถึงระบบไฟฟ้า และระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
..........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้เฉพาะในอากาศหนาว ไม่แพร่ในอากาศร้อนชื้น จริงหรือไม่ ?? | วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
ไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้เฉพาะในอากาศหนาว ไม่แพร่ในอากาศร้อนชื้น จริงหรือไม่ ??
ไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้เฉพาะในอากาศหนาว จริงหรือไม่ ??
Q : ไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้เฉพาะในอากาศหนาว ไม่แพร่ในอากาศร้อนชื้น จริงหรือไม่ ??
A : ไม่จริง เพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายได้ในทุกสภาพอากาศ ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศใด ต้องปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี คือล้างมือบ่อยๆ ปิดปากเวลาไอจาม หรือสวมหน้ากากอนามัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และรมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมดูแลการชุมนุม ยันรัฐบาลพร้อมรับฟังและแก้ปัญหาไปด้วยกัน | วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563
นรม.และรมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมดูแลการชุมนุม ยันรัฐบาลพร้อมรับฟังและแก้ปัญหาไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้กล่าวชื่นชมและแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ร่วมดูแลการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยร่วมกันในภาพรวม
พร้อมทั้งขอขอบคุณกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนทุกคน ที่ต่างเรียนรู้บทเรียนและประสบการณ์การชุมนุมในอดีตที่ผ่านมาร่วมกันด้วยความเข้าใจ โดยไม่มีปัญหาการกระทบกระทั่งและใช้ความรุนแรงต่อกัน
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลรับทราบและพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกพื้นที่การแสดงออกของทุกฝ่าย และมีความจริงใจที่จะร่วมผลักดันการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกตามวิถีประชาธิปไตยที่เราต่างยึดมั่น โดยเฉพาะปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในสภาพแวดล้อมของประเทศปัจจุบัน ที่เราต่างมีความกังวลกับปัญหาเร่งด่วนร่วมกัน ทั้งจากปัญหาโรคระบาด เศรษฐกิจ และภัยจากธรรมชาติ ซึ่งเราจำเป็นต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมใจไทยขับเคลื่อนแก้ปัญหาไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35242 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 20 กันยายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 20 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซาอุดิอาระเบีย 2 ราย, คูเวต 1 ราย, โมร็อกโก 3 ราย) คัดกรองที่ด่านฯ สุวรรณภูมิเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดใ
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 20 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซาอุดิอาระเบีย 2 ราย, คูเวต 1 ราย, โมร็อกโก 3 ราย) คัดกรองที่ด่านฯ สุวรรณภูมิเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,340 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.27 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 107 ราย หรือร้อยละ 3.05ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,506 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ซาอุดิอาระเบีย 2 รายเป็นชาย อายุ 8 ปี อาชีพนักเรียน และหญิง อายุ 35 ปี อาชีพแม่บ้าน ทั้ง 2 ราย มีสัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 5 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 17 กันยายน 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว )ไม่มีอาการ ทั้ง 2 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่กรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 4 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
คูเวต 1 รายเป็นชาย สัญชาติไทย อายุ 38 ปี อาชีพรับจ้าง (เดินทางจากคูเวตต่อเครื่องที่กาตาร์ โดยก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกันจากกาตาร์ 2 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล) ถึงประเทศไทยวันที่ 13 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 18 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดชลบุรี
โมร็อกโก 3 รายเป็นหญิง อายุ 21 ปี 2 ราย และ 22 ปี 1 ราย ทุกรายมีสัญชาติไทย อาชีพนักศึกษาเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 กันยายน 2563 คัดกรองที่ด่านฯ สุวรรณภูมิ เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค (PUI) จึงตรวจหาเชื้อผลพบเชื้อ ทั้ง 3 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดสมุทรปราการ (ทั้ง 3 รายเริ่มป่วยประมาณวันที่ 11 กันยายน 2563 โดย 2 รายอายุ 21 ปี มีอาการไข้ ปวดศีรษะ และไอ ส่วนรายอายุ 22 ปี มีอาการ ไข้ ปวดศีรษะ ไอ และการรับรส กลิ่นลดลง)
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขห่วงใยสุขภาพของผู้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากพักผ่อนน้อยบางรายไม่ได้นอน ร่วมกับสภาพอากาศที่ชื้น มีฝน ทำให้มีโอกาสป่วยเป็นไข้หวัด หรือโรคระบบทางเดินหายใจได้ รวมทั้งสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยยังถือว่ามีความเสี่ยงอาจมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในสังคม ที่สำคัญกลุ่มชุมนุมมีการรวมตัวของคนจำนวนมาก อาจเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 หรือไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งทั้ง 2 โรคนี้อาการป่วยจะใกล้เคียงกันมาก ขอความร่วมมือทุกคนหลังกลับจากการเข้าร่วมชุมนุมให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองจนครบ 14 วัน วัดไข้ ใส่หน้ากาก แยกสำรับอาหารและของใช้ส่วนตัว ป้องกันการแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื่องจากกลุ่มนี้หากป่วยจะมีอาการรุนแรง และอาจเสียชีวิตได้ หากมีอาการ ไข้ ไอเจ็บคอ น้ำมูก การรับรส กลิ่นลดลง ให้ไปรับการตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที
**************************************20 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจาก “พายุโนอึล” เปิดให้บริการได้ตามปกติ | วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563
สถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจาก “พายุโนอึล” เปิดให้บริการได้ตามปกติ
กระทรวงสาธารณสุข ให้สถานพยาบาลทุกแห่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก แนะนำป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด ส่วนสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ สามารถเปิดบริการได้ปกติ
กระทรวงสาธารณสุข ให้สถานพยาบาลทุกแห่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก แนะนำป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด ส่วนสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ สามารถเปิดบริการได้ปกติ
วันนี้ (20 กันยายน 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากผลกระทบพายุโซนร้อน “โนอึล” ส่งผลให้หลายพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนงบประมาณ ยาและเวชภัณฑ์ ล่าสุดได้สั่งการให้กองสาธารณสุขฉุกเฉิน จัดส่งชุดยาปฐมพยาบาลเบื้องต้น จำนวนกว่า 20,000 ชุด ให้กับผู้ประสบภัยใน 11 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี สงขลา นครพนม ตาก ปราจีนบุรี นครปฐม มุกดาหาร นราธิวาส ฉะเชิงเทรา ร้อยเอ็ด และบึงกาฬ และกำชับส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ออกเยี่ยมบ้านดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และให้คำแนะนำประชาชนป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วมและหลังน้ำลด อาทิ โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อุจจาระร่วง โรคฉี่หนู ไข้เลือดออก
สำหรับสถานบริการสาธารณสุข ได้รับรายงานว่ามีโรงพยาบาล 5 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 11 แห่ง และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง ได้รับผลกระทบ เช่น น้ำท่วมชั้นล่างอาคาร น้ำท่วมขังพื้นที่โดยรอบ ต้นไม้ล้มทับรั้ว บ้านพัก อาคาร สิ่งของเสียหาย ขณะนี้ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติสามารถเปิดให้บริการได้
“ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ รักษาร่างกายให้อบอุ่น หากป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวและบุคคลอื่น ๆ และรีบไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน” นายแพทย์สุขุมกล่าว
**************************************20 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย | วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความขอบคุณ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทุกคน ที่ช่วยกันทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่และประชาชนได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการยั่วยุ เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความมุ่งหวังให้ประชาชน มีสิทธิในการแสดงออกได้อย่างเต็มที่ภายใต้รัฐธรรมนูญและในกรอบของกฎหมาย
ในขณะเดียวกัน ท่านนายกรัฐมนตรี ขอให้คนไทยทุกคน ร่วมมือร่วมใจ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่ สามารถดำเนินการให้ผ่านพ้นไปด้วยความสำเร็จด้วยดีด้วยกัน
-------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35238 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 29 กันยายน 2563 | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 29 กันยายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (29 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. ….
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง มาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม)
6. เรื่อง ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.)
7. เรื่อง ขอยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ
เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ป.ป.ท) และเรื่อง การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่ โซน C (สำนักงาน ปปง.)
8. เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนว ทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline)
9. เรื่อง ขออนุมัติจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
10. เรื่อง การลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park
11. เรื่อง กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564
12. เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564
13. เรื่อง ระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของ หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2563
14. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
พ.ศ. 2560 และโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
15. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
16. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..)
17. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
18. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 22/2563
ต่างประเทศ
19. เรื่อง ร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
20. เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK, ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM, EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3)
ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อ เชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมา)
21. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อร่วมรับรองโดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการ ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
25. เรื่อง การแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
31. เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม
33. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ได้มีการใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การกำหนดขั้นตอนการเจรจาและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานที่ขาดความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมการแก้ไขข้อขัดแย้งและการยุติข้อพิพาทแรงงานด้วยระบบทวิภาคี การกำหนดให้มีการจดทะเบียนองค์กรฝ่ายนายจ้างและองค์กรฝ่ายลูกจ้าง และการจำกัดสิทธิการปิดงานหรือนัดหยุดงานขององค์กรฝ่ายนายจ้างและองค์กรฝ่ายลูกจ้าง และการจำกัดสิทธิการรวมตัวจัดตั้งองค์กรของฝ่ายลูกจ้างที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้เพียงสหภาพแรงงานเดียว อันมีลักษณะเป็นการควบคุมจากภาครัฐซึ่งไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เกี่ยวกับวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การห้ามปิดงานหรือการนัดหยุดงาน หลักเกณฑ์การจัดตั้งและการดำเนินงานของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการรวมตัวเพื่อจัดตั้งและดำเนินกิจการขององค์กรดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ตลอดจนปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในรัฐวิสาหกิจให้มีการเจราจายุติข้อพิพาทในระดับทวิภาคี ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน คุ้มครองการดำเนินการของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงาน และพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและหลักสากล รง. จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ขึ้น
2. รง. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้โดยจัดสัมมนาไตรภาคี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 รับฟังความคิดเห็นโดยส่งแบบแสดงความคิดเห็นให้กระทรวงต่าง ๆ ที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ จำนวน 15 กระทรวง และให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 47 แห่ง และรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 และ รง. ได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย พร้อมทั้งได้เปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) และได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 (เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562) ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 โดยมีสาระสำคัญที่ต่างไปจากเดิม ดังนี้
1. ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
สาระสำคัญ
- กำหนดระยะเวลาในการยื่นข้อเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยกำหนดให้ยื่นภายในระยะเวลา 60 วัน ก่อนวันที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจะสิ้นสุดลง
- กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่กระทำโดยนายจ้างกับสหภาพแรงงานซึ่งมีลูกจ้างเป็นสมาชิกเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด มีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างทุกคน
- กำหนดให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาแจ้งต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
2. วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน
สาระสำคัญ
กำหนดให้ในกรณีที่มีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการประนอมข้อพิพาทแรงงานต่อไป หรือนำข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้นไปเจรจาตกลงกันเอง หรือส่งข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงานเพื่อชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
3. การปิดงานและการนัดหยุดงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้นายจ้างอาจปิดงานหรือลูกจ้างอาจนัดหยุดงานได้โดยนายจ้างที่ประสงค์จะปิดงานหรือลูกจ้างที่ประสงค์จะนัดหยุดงานต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนการปิดงานหรือนัดหยุดงาน
- กำหนดให้การปิดงานหรือการนัดหยุดงานในงานที่เป็นบริการสาธารณะ ฝ่ายที่ปิดงานหรือนัดหยุดงานต้องจัดให้มีบริการขั้นต่ำเท่าที่จำเป็น
- กำหนดงานที่เป็นบริการสาธารณะ ได้แก่ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์หรือโทรคมนาคม บรรเทาสาธารณภัย ควบคุมการจราจรทางอากาศ และกิจการอื่นตามที่ประกาศกำหนด
4. คณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน ประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นประธานกรรมการ และให้ผู้อำนวยการสำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ
- กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
5. สหภาพแรงงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งสามารถมีสหภาพแรงงานได้มากกว่าหนึ่งสหภาพแรงงาน
- อนุญาตให้ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่เป็นฝ่ายบริหารสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานได้
- กำหนดให้สหภาพแรงงานตั้งแต่สองสหภาพแรงงานขึ้นไปสามารถรวมกันจัดตั้งเป็นสหพันธ์แรงงานได้
- กำหนดให้สหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 10 แห่งสามารถจัดตั้งเป็นสภาองค์การแรงงาน
6. อัตราโทษ
สาระสำคัญ
ปรับอัตราโทษของความผิดในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่ต้องออกเพื่อให้การเป็นไปตามสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เกี่ยวกับอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โดยให้การคุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย เพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพิ่มเติมข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และแก้ไขข้อยกเว้นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี อันจะเป็นการยกระดับการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ผู้ให้บริการ” และ “ผู้ใช้บริการ” และแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “มาตรการทางเทคโนโลยี”
2. แก้ไขอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โดยให้ลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่ายกลับไปใช้อายุความทั่วไป คือ กำหนดให้การคุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
3. กำหนดให้ลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียงหรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ให้มีอายุ 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก
4. กำหนดประเภทของผู้ให้บริการโดยแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้ให้บริการในฐานะสื่อกลาง (2) ผู้ให้บริการในการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการชั่วคราว (3) ผู้ให้บริการในการรับฝากข้อมูลคอมพิวเตอร์ และ (4) ผู้ให้บริการในการสืบค้นแหล่งที่ตั้งข้อมูลคอมพิวเตอร์
5. กำหนดให้ผู้ให้บริการที่จะได้รับยกเว้นความรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์อันเนื่องมาจากการให้บริการของตน ต้องเป็นผู้ให้บริการที่ได้ประกาศมาตรการยกเลิกการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการที่กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ซ้ำไว้อย่างชัดแจ้งและได้ปฏิบัติตามมาตรการนั้น ทั้งนี้ การยกเว้นความรับผิดของผู้ให้บริการ ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
6. กำหนดข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการในฐานะสื่อกลางไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการเป็นสื่อกลางส่งผ่านข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านกระบวนการทางเทคนิคที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มการส่งผ่านหรือเลือกผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น
7. กำหนดข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการในการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการชั่วคราวไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยมิได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นไม่แทรกแซงการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานของผู้ใช้บริการ และมีระบบที่ทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
8. กำหนดให้ผู้ให้บริการรับฝากข้อมูลคอมพิวเตอร์ไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่ามีข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์บนระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ตนให้บริการ และได้นำข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระงับการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว โดยไม่ชักช้าเมื่อได้รู้หรือได้รับแจ้งถึงการละเมิดนั้น
9. กำหนดให้ผู้ให้บริการสืบค้นแหล่งที่ตั้งข้อมูลคอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ตไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่ามีข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และได้นำแหล่งอ้างอิงหรือจุดเชื่อมต่อของข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อ้างว่าได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระงับการเข้าถึงแหล่งอ้างอิงหรือจุดเชื่อมต่อของข้อมูลดังกล่าว โดยไม่ชักช้าเมื่อได้รู้หรือได้รับแจ้งถึงการละเมิดนั้น
10. กำหนดให้การให้บริการ ผลิต ขาย หรือแจกจ่าย ซึ่งบริการ ผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ที่ทำให้มาตรการทางเทคโนโลยีไม่เกิดผลเป็นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี และกำหนดข้อยกเว้นความรับผิดสำหรับกรณีดังกล่าว รวมทั้งปรับปรุงบทกำหนดโทษ
11. กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. โดยที่การสำรวจเขตที่ดินเพื่อเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. 2559 เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นั้น กทม. ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคการจัดกรรมสิทธิ์ทำให้การเข้าสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นไม่มีความคืบหน้า โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไม่ให้ความร่วมมือ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ได้สิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับแล้ว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อเนื่อง
2. ปัญหาและอุปสรรคในการจัดกรรมสิทธิ์ไม่มีความสืบหน้า สืบเนื่องจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไม่ให้ความร่วมมือเพราะแนวเขตของถนนตามโครงการเดิมมีความกว้าง 10 เมตร จึงมีจำนวนผู้ถูกเวนคืนที่ดิน จำนวน 23 แปลง แต่หากปรับลดแนวเขตถนนเหลือความกว้าง 6 เมตร ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ให้ใช้บังคับแผนผังปรับปรุงเขตเพลิงไหม้ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 2 มีนาคม 2547 จะเหลือผู้ถูกเวนคืน จำนวน 1 ราย
3. สำนักงบประมาณได้พิจารณาการจัดสรรงบประมาณที่ต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 แล้ว เห็นว่า โครงการนี้ใช้จ่ายเงินจากงบประมาณของ กทม. ทั้งจำนวน ไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณของประเทศ
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องได้มาโดยแน่ชัด
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
คค. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 42/1 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549 บัญญัติให้ผู้อำนวยการทางหลวงหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจเคลื่อนย้ายยานพาหนะที่หยุดหรือจอดอยู่ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ยานพาหนะอื่นหรือผู้ใช้ทางหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยทางหลวง โดยผู้ขับขี่หรือเจ้าของยานพาหนะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ ตลอดจนค่าดูแลรักษายานพาหนะระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของผู้อำนวยการทางหลวง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว คค. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ขึ้น
2. กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทได้นำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ www.doh.go.th และ www.drr.go.th เพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นด้วยแล้ว ซึ่งไม่มีประชาชนแสดงความคิดเห็น จึงไม่มีประเด็นที่จะนำมาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของยานพาหนะต้องชำระค่าใช้จ่ายในกรณีที่ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทานและผู้อำนวยการทางหลวงชนบท หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงดังกล่าวได้เคลื่อนย้ายยานพาหนะของตน ตามอัตราดังนี้
ประเภท
คันละ/บาท
1. รถจักรยานยนต์
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'JOB EXPO' เปรี้ยง!! ผลตอบรับดีเกินคาด เด็กจบใหม่ขอรัฐจัดทุกปี | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
'JOB EXPO' เปรี้ยง!! ผลตอบรับดีเกินคาด เด็กจบใหม่ขอรัฐจัดทุกปี
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ผลการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 วันที่ 26-28 กันยายน 2563 ผลตอบรับการสมัครงานและรอบรรจุงานเกินคาด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ผลการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 วันที่ 26-28 กันยายน 2563 สมัครงานและรอบรรจุงาน 243,566 ครั้ง สมัครผ่านบูธนายจ้าง/สถานประกอบการที่เปิดรับสมัครงาน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค 143,066 ครั้ง สมัครผ่านเว็บไซต์ไทยมีงานทำ 81,412 ครั้ง ผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ 3,351 คน โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ (Co Payment) คงเหลือ 181,145 อัตรา งานด้านการผลิต มีความต้องการจ้างงานสูงสุด 192,291 อัตรา
นายสุชาติ กล่าวว่า ภาพรวมงานน่าพอใจมาก จากการพูดคุยรับฟังความคิดเห็นของผู้มาร่วมงาน ส่วนใหญ่รู้สึกได้ประโยชน์ สะดวกสบายประหยัดเวลา มีหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนมาจัดบูธรับสมัครเป็นจำนวนมาก สามารถยื่นเอกสารและสัมภาษณ์งานได้เลย ด้านนายจ้าง/สถานประกอบการ ชื่นชมการจัดงานของกระทรวงแรงงานต้องการให้มีการจัดเป็นประจำทุกปี เพราะนอกจากรับสมัครงานแล้ว ยังมีโอกาสได้แนะนำองค์กร ให้ผู้ต้องการหางาน รู้จักและเข้าใจมากขึ้น โดย 3 วันที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศถึง 125,383 คน ในที่นี้เป็นผู้เดินทางมาร่วมงาน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา 104,933 คน ร่วมงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด 20,450 คน โดยกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา เป็นกลุ่มที่เยี่ยมชมงานมากที่สุด ซึ่งขณะนี้ในโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ (Co Payment) จำนวน 260,000 อัตรา มีการรับแจ้งจากนายจ้างแล้ว 78,855 อัตรา จากนายจ้าง 1,048 ราย ยังคงมีอัตราว่างรอผู้สนใจอีก 181,145 อัตรา ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.การผลิต 192,291 อัตรา 2. การตลาด/ประชาสัมพันธ์ 60,890 อัตรา 3. เสื้อผ้า/สิ่งทอ/ช่างแพทเทิร์น 32,625 อัตรา 4. กราฟฟิค/ออกแบบ/เขียนแบบ 32,024 อัตรา 5. ก่อสร้าง 30,307 อัตรา และอาชีพอื่นๆ 345,470 อัตรา ส่วนตำแหน่งที่มีผู้สมัครงานสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.ธุรการ/จัดการงานทั่วไป 10,709 ราย 2. การตลาด/ประชาสัมพันธ์ 10,074 ราย 3. บริการ/ผู้จัดการ 9,294 ราย 4. วิศวกร 7,242 ราย 5.การผลิต 6,968 ราย และอื่นๆ 37,125 ราย ซึ่งจะสังเกตได้ว่า งานด้านการผลิต ยังมีความต้องการแรงงานอีกมาก
ซึ่งจากการสำรวจความเห็นผู้มาร่วมงานพบว่า ผู้เข้าร่วมงานทราบข่าวการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 จากการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุด ร้อยละ 55 รองลงมาเป็นการทราบข่าวจากเพื่อน/ญาติพี่น้องและสื่อประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ ทั้งนี้ จากการพูดคุยสอบถามกับนักศึกษาและประชาชนที่มาร่วมงาน พบว่า ต้องการให้รัฐบาลและกระทรวงแรงงานจัดงานนี้ขึ้นในทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนซึ่งมีนักศึกษาจบใหม่ และต้องการให้จัดเป็นเวลา 5 วัน เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้นักศึกษาและประชาชนได้มีเวลาในการเลือกสมัครงานเพิ่มมากขึ้น
“โดยขอเน้นย้ำว่า กระทรวงแรงงานมุ่งมั่นปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ไว้ ณ พิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND เรื่องให้ความสำคัญกับการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งทุกอย่างต้องทำอย่างต่อเนื่อง ตามแผนแม่บท สู่เป้าหมาย ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง” รมว.แรงงาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35505 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การปรับสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นโยบายเร่งด่วน การปรับสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน หลายด้าน ทั้งการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปรับเพิ่มเบี้ยความพิการ จาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท รวมถึงดูแลผู้ประกันตนภายใต้กฎหมายประกันสังคม โดยลดอัตราเงินสมทบทุกประเภทออกไปอีก 3 เดือน (ส.ค. – ต.ค. 63) และเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน นอกจากนี้ ยังเร่งรัดพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพิ่มเงินรายได้ให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จาก 600 บาทเป็น 1,000 บาท เพิ่มการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลโดยจัดตั้งหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายบริการปฐมภูมิแล้ว 1,112 แห่ง ทั่วประเทศ ครอบคลุมการดูแลประชาชนกว่า 12 ล้านคน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการสร้างการรับรู้ การตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผม เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการสร้างการรับรู้ การตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผม เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการสร้างการรับรู้ การตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผม เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการ สร้างการรับรู้ การตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผม
และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การตรวจสารเสพติดในเส้นผม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม
โดยมี ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม
ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ เพื่อสร้างการรับรู้การตรวจสารเสพติดในเส้นผม
และเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับความรู้ ความเข้าใจ
ในการเก็บเส้นผม และตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผม
โครงการในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงการให้บริการต่อภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในอนาคต
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
โดยถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
โดยมุ่งลดปริมาณยาเสพติดในภูมิภาค ด้วยการสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ มิให้ถูกลักลอบนำเข้าไปยังแหล่งผลิต
และสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดแพร่กระจายออกไปทั้งในและนอกภูมิภาค
รวมถึงตัดวงจรการค้ายาเสพติดโดยเน้นการสืบสวนสอบสวนทางการเงิน ขยายผลสู่การยึดทรัพย์
เพื่อให้ปัญหายาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย
นิติวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการพิสูจน์ ความจริงประกอบการพิจารณาการกระทำความผิด
เพื่อสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่แค่ใช้สนับสนุนการสืบสวนสอบสวนทางคดีอาญา
แต่นิติวิทยาศาสตร์ยังสามารถนำมาใช้ในมิติเชิงแก้ไขปัญหาทางสังคมได้
เช่น การนำการตรวจสารเสพติดในเส้นผมมาใช้เป็นเครื่องมือในการติดตาม เฝ้าระวังการใช้ยาเสพติดของเด็กและเยาวชน
ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ผมเชื่อว่าในอนาคต การตรวจสารเสพติดในเส้นผมจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งในรูปแบบที่เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ช่วยพิสูจน์ยืนยันการกระทำความผิดของบุคคล
รวมถึงการนำมาใช้แก้ไขปัญหาสังคมในเชิงป้องปราม เฝ้าระวังอันตรายแก่สังคม อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าปัจจุบันการตรวจสารเสพติดในเส้นผมจะมีต้นทุนที่สูงราคาแพงกว่าการตรวจจากปัสสาวะ หรือเลือด
แต่ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเนื่องจากวิธีการตรวจหาสารเสพติดในเส้นผมสามารถตรวจหาสารได้มากกว่า ๒๖ ชนิดในคราวเดียวกัน
และยังสามารถตรวจสอบประวัติการใช้ยาเสพติดที่ผ่านมาได้
ในช่วงระยะเวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี ตามความยาวของเส้นผม โดยไม่เสื่อมสภาพ นอกจากนี้ ยังจัดเก็บได้ง่าย ตรวจซ้ำได้
ซึ่งแตกต่างจากการตรวจจากเลือด หรือปัสสาวะ
ซึ่งตัวอย่างมักเสื่อมสภาพได้ง่าย และยังต้องเก็บรักษาตัวอย่างไว้ในตู้เย็น สามารถช่วยอำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ
และแก้ปัญหาในเชิงสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35526 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำ พร้อมตรวจดูความก้าวหน้าหนองเล็งทราย จ.พะเยา | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำ พร้อมตรวจดูความก้าวหน้าหนองเล็งทราย จ.พะเยา
รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำ พร้อมตรวจดูความก้าวหน้าหนองเล็งทราย จ.พะเยา
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงตรวจเยี่ยมโครงการขุดอ่างเก็บน้ำห้วยเหยี่ยน อ.เมืองพะเยา โครงการขุดลอกลำน้ำอิงตอนบน อ.แม่ใจ และโครงการพัฒนาหนองเล็งทราย อ.แม่ใจ จ.พะเยา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร และประชาชนทั่วไป จากสถานการณ์ภัยแล้ง และน้ำท่วมให้ช่วงน้ำหลาก เพราะน้ำนั้น เป็นปัจจัยสำคัญในการอุปโภค - บริโภค และการทำการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกร
จากนั้น ยังได้เดินทางไปพบปะพี่น้องเกษตรกร เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำหนองเล็งทราย และโครงการปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ซึ่งหนองเล็งทราย เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำโขง และเป็นพื้นที่ต้นลำน้ำอิงก่อนไหลลงสู่กว๊านพะเยา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ ก่อสร้างฝายพับได้ ปรับปรุงและฟื้นฟูร่องน้ำเดิมให้มีขนาดกว้างขึ้น เพื่อพัฒนาพื้นที่ในการกักเก็บน้ำไว้ใช้อุปโภค - บริโภค และผลิตน้ำประปา ใช้ในการเกษตรโดยรอบในช่วงฤดูแล้ง และยังจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทั้งยังได้เปิดครัวหนองเล็งทราย ซึ่งเป็นร้านอาหารที่จะนำพืชผัก ผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรโดยรอบมาประกอบอาหารจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มา เพื่อเป็นการสร้างรายได้แก่พี่น้องเกษตรกร และประชาชนโดยรอบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อค้า – แม่ค้าออนไลน์ อย่าลืมยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ปี 2563 | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
พ่อค้า – แม่ค้าออนไลน์ อย่าลืมยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ปี 2563
กรมสรรพากรแจ้งพ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 หรือยื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ได้ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ยื่นภายในกำหนดเวลาลดภาระเงินเพิ่ม
กรมสรรพากรแจ้งพ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 หรือยื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ได้ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ยื่นภายในกำหนดเวลาลดภาระเงินเพิ่ม และค่าปรับ
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “30 กันยายน 2563 เป็นวันที่สิ้นสุดเวลาการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ปี 2563 ซึ่งพ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ เป็นผู้มีรายได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำรายได้จากการขายสินค้าบนระบบออนไลน์ที่ได้รับระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 มารวมคำนวณยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) หากใช้ช่องทางการยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ได้ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 และชำระภาษี (ถ้ามี) ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรักษามาตรฐานการเว้นระยะห่างทางสังคม ร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับผู้เสียภาษีที่มีภาษีต้องชำระ ตั้งแต่ 3,000 บาท ขึ้นไป สามารถแบ่งผ่อนชำระได้ 3 งวดๆ ละเท่าๆ กัน โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มใดๆ และติดต่อขอผ่อนชำระได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ทั้งนี้ การยื่นแบบฯ เกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ผู้เสียภาษีมีภาระต้องชำระค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35502 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวัดท่าข้ามศรีดอนชัย จังหวัดเชียงราย | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวัดท่าข้ามศรีดอนชัย จังหวัดเชียงราย
ผู้ช่วยรมว.วธ.ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวัดท่าข้ามศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวัดท่าข้ามศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยรับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ประจำปี ๒๕๖๓ และแผนการดำเนินการฯ ประจำปี ๒๕๖๔ พร้อมทั้งมอบนโยบายการดำเนินงานชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง “บวร” ให้แก่ประธาน และคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัย โดยมี นายสุรเชษฐ์ ตุ้ยน้อย ปลัดอำเภออาวุโส พระครูสุจินวรคุณ ประธานชุมชนคุณธรรมฯ คณะกรรมการบริหารชุมชนคุณธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัย วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย คณะผู้นำ เครือข่ายทางวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วม ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35534 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน ด้านการยกระดับศักยภาพของแรงงาน | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นโยบายเร่งด่วน ด้านการยกระดับศักยภาพของแรงงาน
วันอังคารทัี่ 30 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
นโยบายเร่งด่วนด้านการยกระดับศักยภาพของแรงงานของรัฐบาล ที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วย การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ เช่น ตรวจเรือประมงและแรงงานในภาคประมง ปรับปรุงข้อมูลและหนังสือคนประจำเรือสำหรับแรงงานต่างด้าว รวมถึงการปรับอัตราค่าจ้างที่สอดคล้องกับสมรรถนะแรงงาน และค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือทั้ง 83 สาขาอาชีพ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และมีความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงส่งเสริมให้แรงงานอิสระเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 เพื่อความมั่นคงในชีวิต นอกจากนี้ ยังพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการวิชาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีปรับพฤติกรรมเพื่อสุขอนามัยที่ดี | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
วิธีปรับพฤติกรรมเพื่อสุขอนามัยที่ดี
มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมฯ
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ได้คะแนนประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
EXIM BANK ได้คะแนนประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA)
EXIM BANK ได้คะแนนประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) สูงขึ้นถึงระดับสูงสุด (AA) ครอง “อันดับ 4” ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
EXIM BANK ได้คะแนนประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) สูงขึ้นถึงระดับสูงสุด (AA) ครอง “อันดับ 4” ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้รับการประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นอันดับ 4
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้คะแนน ITA สูงขึ้น โดยเฉพาะหมวดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก เป็นผลจากความมุ่งมั่นพัฒนาด้านคุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสารและการปรับปรุงการทำงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้คะแนนของ ITA ของ EXIM BANK เพิ่มสูงขึ้นจาก 89.76 คะแนนในปี 2562 เป็น 95.86 คะแนน ในปี 2563 อยู่ในระดับ AA อันดับที่ 4 จาก 53 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมหาดใหญ่ซิกเนเจอร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระดับพื้นที่ โดยมีนางสาวพัชรศรี ศรีเมือง ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน พร้อมด้วย นางสาววันรพี ขาวสะอาด หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
และผู้แทนจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรมส่วนกลาง และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภายในงานมีการสรุปผลการดำเนินงานตามแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมทั้งการบรรยายเรื่อง "แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรม" และ "ความสอดคล้องการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรมกับแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไชปัญหาความไม่สงบในจังหสัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕" นอกจากนี้ ยังมีการระดมความคิดเห็นเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมระดับพื้นที่
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35532 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มอบหนังสือมีค่าให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มอบหนังสือมีค่าให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มอบหนังสือมีค่าให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ
วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มอบหนังสือมีค่าให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสครบ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งนี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำหนังสือมีค่าของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมบริจาค โดยมอบให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35509 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สรุปผลการดำเนินงานเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2563 เพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มคุณภาพชีวิต | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
สธ.สรุปผลการดำเนินงานเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2563 เพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มคุณภาพชีวิต
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปผลการดำเนินงานเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2563 ในโครงการสำคัญ อาทิ โครงการพระราชดำริ กัญชาทางการแพทย์และสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดรอคอย อาทิ การรับยาใกล้บ้าน
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปผลการดำเนินงานเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2563 ในโครงการสำคัญ อาทิ โครงการพระราชดำริ กัญชาทางการแพทย์และสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดรอคอย อาทิ การรับยาใกล้บ้าน และแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในพื้นที่ ได้ผลดี ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต
วันนี้ (29 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายด้านสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2563 ในโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการพระราชดำริ กัญชาทางการแพทย์และสมุนไพร เพื่อเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพทุกกลุ่มวัย การเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดรอคอย และปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในพื้นที่ รวมทั้ง 10 ประเด็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ (Performance Agreement : PA) ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการใกล้บ้าน สะดวก รวดเร็ว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า ทั้ง 12 เขตสุขภาพครอบคลุมทั่วประเทศ ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล โดยการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ผ่านเกณฑ์ทุกเขตสุขภาพ, มีการจัดตั้งคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลทุกระดับ 311 แห่ง, โครงการอาหารปลอดภัย ผักปลอดสารพิษ ดำเนินการสุ่มตรวจวิเคราะห์สารกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส ในผักสด ผลไม้ ในโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย 27 แห่ง ไม่พบสารตกค้างร้อยละ 69.6, การคัดกรองพัฒนาการเด็ก 0-5 ปีได้มากกว่าร้อยละ 90 พบมีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 91 ผู้สูงอายุได้รับการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมร้อยละ 78.5 พบมีภาวะเสี่ยงร้อยละ 1.4 และพลัดตกหกล้มร้อยละ 79 มีภาวะเสี่ยงร้อยละ 4.7 และมีตำบลที่ผ่านเกณฑ์ระบบส่งเสริมสุขภาพการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ร้อยละ 91.55
สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดรอคอย โดยพัฒนาศักยภาพระบบปฐมภูมิมี อสม.ได้รับการอบรมเป็น อสม.หมอประจำบ้าน 84,793 คน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิครอบคลุมประชากรร้อยละ 36.3 สำหรับการบริหารจัดการโรงพยาบาล พัฒนาโรงพยาบาลให้เป็น Smart Hospital และโรงพยาบาล 118 แห่งมีบริการรับยาร้านยาใกล้บ้าน และเพิ่มทางเลือก เช่น จัดส่งยาทางไปรษณีย์, รับยาที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน, อสม.ส่งยา รวมทั้งโรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่งผ่านเกณฑ์ห้องฉุกเฉินคุณภาพ มีระบบทางด่วนอุบัติเหตุที่มีระบบบริหารจัดการ สามารถผ่าตัดได้ภายใน 60 นาที มีห้องฉุกเฉินความดันลบรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อ, ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีอาการไม่เกิน 72 ชั่วโมงได้รับการรักษาใน Stroke unit มากกว่าร้อยละ 50 ส่วนใหญ่ทำได้ตามเป้าหมาย ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย สำหรับการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับทุกเขตทำได้ดี โดยรพ.พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี มีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จในจุดเดียว และการจัดหอผู้ป่วยดูแลผู้ป่วยพ้นวิกฤตก่อนกลับบ้านในโรงพยาบาลชุมชน ทำได้เกือบทุกเขตสุขภาพ
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ผลงานที่ผ่านเป็นสิ่งที่พิสูจน์การทำงานของผู้บริหารและบุคลากร ที่รวมกันเป็นครอบครัว เป็นทีมงาน เป็นพี่น้อง ทุ่มเททำงาน เช่นความสำเร็จการควบคุมโรคโควิด 19 ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ขอให้ใช้ข้อมูลจากกรมวิชาการมาสนับสนุนการทำงานทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติในพื้นที่ต่อไป
********************************* 29 กันยายน 2563
*********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35506 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “โครงการประกวดศาลทหารต้นแบบดีเด่น” รักษาดุลยภาพแห่งกฎหมาย มุ่งธำรงความยุติธรรมแก่กำลังพลและประชาชน | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
“โครงการประกวดศาลทหารต้นแบบดีเด่น” รักษาดุลยภาพแห่งกฎหมาย มุ่งธำรงความยุติธรรมแก่กำลังพลและประชาชน
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการประกวดศาลทหารต้นแบบดีเด่น กองทัพภาคที่ ๑ ถึงกองทัพภาคที่ ๔ ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกลาโหม
โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และกำลังพลร่วมแสดงความยินดี และปลัดกระทรวงกลาโหมยังได้กล่าวชื่นชมกำลังพลทุกคน ที่ร่วมใจกัน พัฒนา หน่วยงาน ใส่ใจปรับปรุงทิวทัศน์ การดูแลกำลังพล นักโทษ ผู้คุมขังและญาติ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอีกก้าวหนึ่ง เพื่อยกระดับศาลทหารให้มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ให้เป็นศาลทหารต้นแบบในครั้งนี้ (29 ก.ย.63)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35507 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 29 กันยายน 2563 | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 29 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ซูดานใต้ 7 ราย, ตุรกี 1 ราย, เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 3 ราย, อินเดีย 3 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 29 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ซูดานใต้ 7 ราย, ตุรกี 1 ราย, เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 3 ราย, อินเดีย 3 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,370 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.69 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 130 ราย หรือร้อยละ 3.65 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,559 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ซูดานใต้ 7 รายทุกรายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุระหว่าง 29 - 53 ปี อาชีพรับราชการทหาร (ปฏิบัติภารกิจทางทหาร) เดินทางถึงประเทศไทยโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อผลไม่ชัดเจนจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ทุกรายไม่มีอาการ รอตรวจซ้ำ จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารที่กรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 16 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
ตุรกี 1 รายเป็นเพศหญิง อายุ 44 ปี สัญชาติไทย อาชีพว่างงาน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร
เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 3 รายทุกรายเป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร
รายแรก อายุ 28 ปี เริ่มป่วยวันที่ 19 กันยายน 2563 ด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว มีน้ำมูก และอาเจียน ไม่ได้ไปพบแพทย์ ซื้อยาลดไข้มารับประทานเอง
รายที่ 2 อายุ 28 ปี เริ่มป่วยวันที่ 26 กันยายน 2563 ด้วยอาการเจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว
รายที่ 3 อายุ 50 ปี ไม่มีอาการ
อินเดีย 3 รายทุกรายมีสัญชาติอินเดีย เป็นหญิง อายุ 31 ปี และทารก 9 เดือน เป็นมารดาและบุตร และชาย อายุ 34 ปี อาชีพผู้จัดการบริษัท มีใบอนุญาตทำงาน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 3 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ส่วนค่ารักษาพยาบาลเก็บจากประกันโควิด 19
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรค โควิด 19 ประเทศไทยขณะนี้นับว่ายังคงมีความเสี่ยง ทั้งปัจจัยภายในประเทศที่อาจมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในสังคม และสถานการณ์ในพื้นที่แนวชายแดนที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานผิดกฎหมายที่ไม่ได้รับการคัดกรอง เฝ้าระวังโรคตามมาตรการ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจนำเชื้อเข้ามาแพร่ให้กับคนในประเทศไทยได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยง เปรียบเสมือนวัคซีน ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ คือการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น เลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และเลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก และล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำและสบู่ เมื่อเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียนเข้า-ออกผ่าน “ไทยชนะ” จะทำให้ลดความเสี่ยงที่จะติดชื้อโควิด 19 และป้องกันการแพร่ระบาดครั้งใหม่
นอกจากการขอความร่วมมือให้ทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคแล้ว อีกสิ่งสำคัญคือขอให้ทุกคนช่วยกันสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในชุมชนหากพบจำนวนแรงงานต่างด้าวไม่สบายมาซื้อยาแก้ไข้หวัดรักษาตนเองในจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ขอให้สอบถามข้อมูลและแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังการแพร่เชื้อโควิด 19 ในชุมชน
*************** 29 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35510 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มอบนโยบายในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 48 ปี | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รมช.มนัญญา มอบนโยบายในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 48 ปี
รมช.มนัญญา มอบนโยบายในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 48 ปี
เดินหน้าพัฒนาระบบสหกรณ์เข้มแข็ง กระจายรายได้สู่ชุมชน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวมอบนโยบายพร้อมให้โอวาทแก่ข้าราชการและบุคลากรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 48 ปี วันที่ 29 กันยายน 2563 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาสหกรณ์ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมส่งเสริมสหกรณ์สามารถสนองงานเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องสำคัญๆ ได้หลายเรื่อง ได้รับการยอมรับในระดับกระทรวงและระดับรัฐบาล ซึ่งนับเป็นเรื่องดีที่มีการนำสหกรณ์มาเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ และเป็นกลไกพัฒนาภาคการเกษตรไทย พร้อมสนับสนุนให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง สามารถเป็นองค์กรหลักในการช่วยเหลือ ดูแลบรรเทาปัญหาต่างๆ และคอยให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการแก่สมาชิก
“ขอให้ทุกท่าน ช่วยกันทำงานต่อไป เพื่อยกระดับสหกรณ์ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น ให้มีความเข้มแข็ง ทั้งการทำงานเชิงการพัฒนา การส่งเสริม และงานตรวจการ และขอให้เน้นย้ำเรื่องการดำเนินการของสหกรณ์ให้มุ่งเน้นเรื่องกำไรคือการแบ่งปัน เนื่องจากสหกรณ์เป็นของสมาชิกทุกคน เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่เกิดจากการดำเนินงานของสหกรณ์ควรจะต้องย้อนกลับไปหาสมาชิกสหกรณ์ให้มากที่สุด และการทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยและมีคุณภาพช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดีมีสุข อย่างมั่นคงและยั่งยืน” รมช.มนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ถือเป็นหน่วยงานที่ทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกรมากที่สุดหน่วยงานหนึ่ง สหกรณ์ถือเป็นองค์กรหลักของภาคการเกษตรในระดับพื้นที่ และเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในปี 2563 ได้เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้มีนโยบายที่จะบรรเทาปัญหาต่างๆ โดยได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินโครงการสำคัญ เช่น “โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร" สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่จากนอกภาคการเกษตรคืนสู่ภาคการเกษตร "โครงการจัดตั้งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์" จัดจำหน่าย และกระจายสินค้าทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ในราคาที่เป็นธรรม ภายใต้สโลแกน Fresh From Farm by Co-op เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วนช่วยขับเคลื่อนให้นโยบายต่างๆ ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓
กระทรวงยุติธรรม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรววงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
เพื่อทราบสรุปผลการจัดแถลงข่าวผลการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม รอบ ๑ ปี
ภายใต้ “โครงการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน”
ผลการจัดพิธีมอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง และเกียรติบัตร ประจำปี ๒๕๖๓
การเข้าร่วมจัดกิจกรรมภายในงาน JOB EXPO THAILAND 2020
การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปพลางก่อน
และการขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบ e-Service ของหน่วยงานภาครัฐ และการเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ของ สำนักงานปลัดกระทรวงยตุิธรรม
****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35531 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
กระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ในพิธีมอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง และเกียรติบัตร ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมกว่า ๑๒๐ คน
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง และเกียรติบัตร ให้แก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวมตลอดถึงผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกและมีมติเห็นชอบบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตามระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้เป็นผู้มีสิทธิประดับเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ประจำปี ๒๕๖๓ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๗๒ คน ประกอบด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๔๔ คน และบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง จำนวน ๒๘ คน โดยแบ่งตาม ชั้นเข็มได้ ดังนี้
เข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ชั้นที่ ๒ อันเป็นเกียรติยิ่ง จำนวน ๒ คน
เข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ชั้นที่ ๓ อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง จำนวน ๑ คน
เข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ชั้นที่ ๔ อันเป็นที่ชมเชยยิ่ง จำนวน ๖๙ คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง เปรียบเสมือนเป็นเครื่องหมายของผู้ที่อุทิศตนเพื่อความยุติธรรม การได้รับในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคม เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีคุณงามความดีทั้งกายและใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรงนี้ จะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการปฏิบัติราชการ และเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตลอดจนเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติหน้าที่ ทำคุณประโยชน์แก่สังคม ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เพื่อนร่วมงานและบุคคลทั่วไปในสังคม ในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ให้มีความก้าวหน้า และยั่งยืนสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35529 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ EEC ครม. เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง 1.3 พันไร่ มูลค่า 2.3 พันล้านบาท | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ EEC ครม. เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง 1.3 พันไร่ มูลค่า 2.3 พันล้านบาท
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ EEC คณะรัฐมนตรี เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง 1.3 พันไร่ มูลค่า 2.3 พันล้านบาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ว่า ครม. เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง พื้นที่รวม 1,383 ไร่ มูลค่าประมาณ 2,370 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลสำหรับการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park ตั้งอยู่ในตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีระยะทางห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 7 กิโลเมตร สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 17 กิโลเมตร ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ 29 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง 53 กิโลเมตร และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 150 กิโลเมตร เนื้อที่โครงการทั้งหมด 1,383 ไร่
2.แบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 1) พื้นที่อุตสาหกรรม จำนวน 621.55 ไร่ 2) พื้นที่พาณิชยกรรม จำนวน 150.54 ไร่ 3) พื้นที่สาธารณูปโภค เช่น พื้นที่จอดรถส่วนกลาง ระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย สถานีไฟฟ้าย่อย และถนน จำนวน 373.35 ไร่ และ4)พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน จำนวน 238.32 ไร่
3.เป้าหมายของโครงการจะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์
4.ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐกิจของโครงการระยะเวลา 30 ปี มีความคุ้มทุนในทางการเงินและมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 585.74 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของโครงการ (IRR) ร้อยละ 8.91 ซึ่งมากกว่าต้นทุนถัวเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (WACC) ของ กนอ. (ร้อยละ 7.25) และมีระยะเวลาคืนทุน 14 ปี
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ประมาณ 3 ปี และจะจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายใน 4 ปี หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องยึดหลักการดูแลสิ่งแวดล้อมและหลักสิทธิมนุษยชน ทุกส่วนราชการจะต้องเข้มงวดในเรื่องการติดตามและประเมินผล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน
........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35519 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ ณ ห้องประชุมจูปีเตอร์ ชั้น ๓ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คอนแวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานการมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฟังบรรยายในโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการรับมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ โดยมี พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้การต้อนรับและร่วมรับฟังนโยบาย พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการ อาทิ สถิติคดีพิเศษ การลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เทคโนโลยีที่ใช้ในการสอบสวน และรางวัลการทำงาน/ผลงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35533 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ได้รับ 93.51 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ระดับ A จากการประเมินคุณธรรมความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ ปี 63 โดย ป.ป.ช. | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
SME D Bank ได้รับ 93.51 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ระดับ A จากการประเมินคุณธรรมความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ ปี 63 โดย ป.ป.ช.
ป.ป.ช. ประกาศผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปี 2563 โดย ธพว. ได้รับ 93.51 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ประเมินระดับ A นับเป็นลำดับ 9 จาก 53 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึง เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บ่งบอกถึงการมีพัฒนาการ และการรักษาคุณธรรม
ป.ป.ช. ประกาศผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปี 2563 โดย ธพว. ได้รับ 93.51 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ประเมินระดับ A นับเป็นลำดับ 9 จาก 53 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึง เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บ่งบอกถึงการมีพัฒนาการ และการรักษาคุณธรรมความโปร่งใสต่อเนื่อง อันเกิดจากคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานรวมพลังยึดธรรมาภิบาลขับเคลื่อนองค์กร
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment หรือ ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรส่วนท้องถิ่น และองค์การมหาชน เข้าร่วมการประเมินทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน ผลปรากฏว่า ธพว. ได้รับ 93.51 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ประเมินระดับ A และอยู่ในลำดับที่ 9 จาก 53 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยคะแนนดังกล่าว เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว (2562) ซึ่ง ธพว. ได้รับ 91.92 คะแนน และเป็นลำดับที่ 14 จาก 54 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ บ่งบอกว่า ธพว. มีพัฒนาการด้านคุณธรรมและความโปร่งใสเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อธนาคาร สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสียในด้านคุณธรรมและความโปร่งใส
ทั้งนี้ ธพว. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบธรรมาภิบาล (Corporate Governance : CG) ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมให้ธนาคารเป็นสถาบันการเงินชั้นนำทางด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นเลิศ มีคุณธรรมในการดำเนินงาน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่กิจการในระยะยาว คุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสีย และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจให้บรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่ ธพว. จะนำไปใช้และถือปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดกลไกและระบบการบริหารจัดการที่ดีในธนาคาร นำไปสู่การเป็นสถาบันการเงินหลักของรัฐที่มีความโปร่งใส มีความน่าเชื่อถือ สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
นางสาวนารถนารี กล่าวเสริมว่า ผลการประเมินที่เพิ่มขึ้น เกิดจากคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ธพว. ร่วมใจกันประกาศเจตจำนงสุจริต พร้อมแจ้งเรื่องการยึดหลักธรรมาภิบาลให้หน่วยงานที่ทำธุรกรรมกับ ธพว. ได้ทราบและยึดถือปฏิบัติโดยทั่วกัน นอกจากนี้ ผู้บริหารและพนักงาน ธพว. ทุกระดับร่วมมือกันตอบแบบรายงานความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เพื่อเน้นย้ำบทบาทการเป็นธนาคารที่ดำเนินงานอย่างโปร่งใส และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมหรือการกระทำที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ได้
ทั้งนี้ ธพว. จะยึดมั่นพันธกิจเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา และเป็นหนึ่งในเครื่องมือของรัฐบาล เพื่อยกระดับเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ก้าวสู่การเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบรฟท. จัดตั้งบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์ พร้อมกู้เงิน 200 ล้านบาทเป็นทุนจดทะเบียน | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ครม.เห็นชอบรฟท. จัดตั้งบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์ พร้อมกู้เงิน 200 ล้านบาทเป็นทุนจดทะเบียน
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการรถไฟแห่งประเทศไทย จัดตั้งบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์ พร้อมกู้เงิน 200 ล้านบาทเป็นทุนจดทะเบียน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของรฟท. โดยใช้ชื่อว่า บริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยเห็นชอบให้รฟท. กู้ยืมเงินจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียนด้วย โดยที่รฟท.รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันการกู้เงินรวมถึงพิจารณาวิธีการรกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามคความเหมาะสม
ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมรายงานถึงความจำเป็นในการจัดตั้งบริษัทลูกในครั้งนี้ว่า รฟท. มีที่ดินที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถจำนวน 38,469 ไร่ มูลค่าประมาณ 300,000 ล้านบาท แต่มีรายได้ผลตอบแทนจากการบริหารสินทรัพย์ประมาณปีละ 2,400 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1ของมูลค่าสินทรัพย์ เนื่องจากการบริหารสินทรัพย์ไม่ใช่กิจกรรมหลักที่รฟท.มีความชำนาญเฉพาะด้าน ทำให้ไม่สามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาบริหารจัดการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่เพื่อบริหารสินทรัพย์เป็นกิจกรรมหลัก
สำหรับรายได้ของบริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด จะมาจาก 3 ส่วนคือ 1.รายได้จากค่ารับจ้างบริหารสัญญาเช่าเดิมจำนวน 15,270 สัญญา โดยสินทรัพย์ทั้งหมดยังคงเป็นของรฟท. 2.รายได้จากการให้เช่าช่วง ร่วมทุน หรือพัฒนาที่ดินเดิมที่หมดอายุสัญญา 3.รายได้จากโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนและการพัฒนาพื้นที่ดินเปล่าแปลงอื่นๆ และในอนาคตอาจมีรายได้จากการขายกระแสเงินสดในอนาคตให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
ส่วนผลประโยชน์ที่รฟท.จะได้รับนั้น รฟท.จะมีรายได้จากบริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด มาลดภารระหนี้สิน โดยประมาณการผลตอบแทนที่รฟท.จะได้รับในระยะเวลา 30 ปี จะอยู่ที่ 631,628 ล้านบาท เพียงพอที่จะนำมาแก้ไขปัญหาหนี้สินในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2562 มีภาระหนี้สินรวม 177,611 ล้านบาท
......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหาย จากการซื้อขายชุดนอนออนไลน์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่าสิบล้านบาท | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหาย จากการซื้อขายชุดนอนออนไลน์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่าสิบล้านบาท
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหาย จากการซื้อขายชุดนอนออนไลน์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่าสิบล้านบาท
ในวันจันทร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ บริเวณหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้ได้รับความเสียหาย จากเพจที่ทำขึ้นมาเพื่อซื้อขายชุดนอนออนไลน์ ในชื่อเพจ "ชุดนอน by Shopping" โดยมี หัวหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
จากกรณีดังกล่าวทางเพจ ได้ทำการแพร่ภาพสดหลอกลวงประชาชน เพื่อให้ผู้เสียหายต้องการสั่งซื้อสินค้าในจำนวนมากขึ้น มีการโอนเงินให้กับทางร้านค้า แต่ลูกค้าไม่ได้รับสินค้าดังกล่าว และมีลูกค้าหรือตัวแทน จำนวนหนึ่งได้ขอเงินคืนแต่กลับถูกปฏิเสธ แล้วทางเพจได้ทำการเปลี่ยนชื่อเพจเป็นชื่อ "ชุดนอนราคาส่ง" เพื่อหลอกลวงลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะนี้มีผู้ที่ได้รับความเสียหายประมาณ ๑๐๗ คน รวมยอดเงินความเสียหายประมาณ ๑๐,๖๐๐,๐๐ ล้านบาท
ทั้งนี้ ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ได้รับเรื่องที่ผู้เสียหายนำมายื่นเพิ่มเติม และ ส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35525 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ ร่วมประชุมหารือศึกษาข้อมูลด้านการทดสอบยานยนต์และยานยนต์อนาคต | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รองปลัดฯ วรวรรณ ร่วมประชุมหารือศึกษาข้อมูลด้านการทดสอบยานยนต์และยานยนต์อนาคต
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมหารือศึกษาข้อมูลด้านการทดสอบยานยนต์และยานยนต์อนาคต ณ สถาบันยานยนต์ สำนักงานกล้วยน้ำไท กรุงเทพ
วันที่ 28 กันยายน 2563 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมหารือและศึกษาข้อมูลด้านการทดสอบยานยนต์และยานยนต์อนาคต โดยมีนายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ให้การต้อนรับ พลโทเอกชัย หาญพูนวิทยา เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และคณะผู้บริหารจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ร่วมประชุมหารือ ณ สถาบันยานยนต์ สำนักงานกล้วยน้ำไท กรุงเทพ
#ศูนย์ทดสอบวิจัยและพัฒนายานยนต์
#ยานยนต์อนาคต
#สถาบันยานยนต์
#กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35513 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขนทัพกูรู ปั้นกลุ่มเกษตรกร ‘นนทบุรีการันตี’ สู่ ‘ผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ’ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ขนทัพกูรู ปั้นกลุ่มเกษตรกร ‘นนทบุรีการันตี’ สู่ ‘ผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ’
เกษตรฯ - ลาซาด้า ขนทัพกูรู ปั้นกลุ่มเกษตรกร ‘นนทบุรีการันตี’ สู่ ‘ผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ’เตรียมรุกแผนขยายผลอีกหลายจังหวัด หลังกระแสตอบรับดีเยี่ยม
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เขตตรวจราชการที่ 2 และส่วนกลาง เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมในพิธีเปิดการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี (ดร.สุจินต์ ไชยชุมศักดิ์) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ชั้น 10 อาคารคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือว่า จากที่กระทรวงเกษตรฯ ได้ร่วมมือกับ บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด จัดแคมเปญโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ และดำเนินการฝึกอบรมแก่เกษตรกรทั้งกลุ่มแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ได้มีกลุ่มเกษตรกรให้การตอบรับ และปัจจุบันมีหลายจังหวัด ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ให้ความสนใจมากขึ้น และต้องการให้เกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
สำหรับการอบรมครั้งนี้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนากลุ่มเกษตรกรในการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรของจังหวัดให้ก้าวไกลไปอีกขั้น จึงได้ประสานเข้าร่วมโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ กับกระทรวงเกษตรฯ โดยคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน “นนทบุรีการันตี” จำนวน 50 ราย เข้ารับการอบรมกับทีมบริษัทลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ และยังมีแผนขยายการอบรมไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ในเร็วๆนี้ และจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม ตามที่ได้แจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการฯ
“กระทรวงเกษตรฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทางจังหวัดนนทบุรี โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนให้เกษตรกรมีช่องการทางจำหน่ายสินค้าด้วยตนเองที่กว้างขึ้น และร่วมกันพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรให้ก้าวสู่การเป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ ซึ่งกลุ่มเกษตรกรที่เข้ารับการอบรม นับว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน ‘นนทบุรีการันตี’ จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า สินค้าจากเกษตรกรที่ขึ้นแพลตฟอร์มของลาซาด้า การันตีด้วยคุณภาพ มาตรฐานผลผลิตแน่นอน และในนามของกระทรวงเกษตรฯ ต้องขอขอบคุณทีมลาซาด้า คุณกรณษา ปานสุวรรณ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายพัฒนาและฝึกอบรมผู้ประกอบการ ที่ได้นำทีมเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้แก่เกษตรกรจังหวัดนนทบุรีครั้งนี้ จึงเชื่อมั่นได้ว่า ผู้บริโภคจะมีโอกาสและช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าจากเกษตรกรจังหวัดนนทบุรีที่หลากหลายชนิดได้มากขึ้น ผ่านทางออนไลน์ที่พร้อมส่งตรง จัดส่งถึงบ้านอีกด้วย” นายฉันทานนท์ กล่าว
ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินโครงการฯ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีกลุ่มเกษตรกรสนใจเข้าร่วมอบรมกว่า 1,000 คน เกษตรกรสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มได้แล้วมากกว่า 350 ร้านค้า สินค้าเกือบ 600 รายการ เกษตรกรสามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในระยะเวลา 6 เดือน (โดยในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรฯ และ ลาซาด้า จะยังคงประสานความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ โดยเฉพาะเทคนิคการโปรโมทสินค้าให้ทันต่อยุคสมัยปัจจุบัน การส่งเสริมและบริการหลังการขาย และที่สำคัญคือการออกแบบ Packaging Design ซึ่งให้ความสำคัญกับการขนส่งเพื่อให้สินค้ายังคงสดใหม่และคงคุณภาพ ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่เข้ารับการอบรมแล้ว หากมีข้อติดขัดในการนำสินค้าขึ้นจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม ทางกระทรวงเกษตรฯ และลาซาด้า ได้มีการจัดตั้ง กลุ่ม Line “ติดตามอบรมกับลาซาด้า” เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างกัน ในการให้คำแนะนำ ติดตาม และแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรที่นำสินค้าจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม ซึ่งยังคงทำให้แผนการดำเนินโครงการประสบความสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีวางมาตรการเข้มด้านสาธารณสุข กักกัน ติดตาม ตรวจสอบ ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก ย้ำต้องถามความสมัครใจของประชาชนในพื้นที่ด้วย | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีวางมาตรการเข้มด้านสาธารณสุข กักกัน ติดตาม ตรวจสอบ ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก ย้ำต้องถามความสมัครใจของประชาชนในพื้นที่ด้วย
นายกรัฐมนตรีวางมาตรการเข้มด้านสาธารณสุข กักกัน ติดตาม ตรวจสอบ ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก ย้ำต้องถามความสมัครใจของประชาชนในพื้นที่ด้วย
วันนี้ (29 ก.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยวันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หารือและอนุมัติโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือ ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันเรียนรู้เทคโนโลยีผ่านระบบสมาร์ทโฟนต่างๆ ด้วย เพื่อจะได้รับการช่วยเหลือจากทางรัฐได้สะดวกมากขึ้น
นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงมาตรการผ่อนคลายเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษกลุ่มแรกเพื่อนำร่องนั้น ว่า รัฐบาลต้องการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ก่อน เพราะการเดินหน้ามาตรการต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการช่วยกันปฏิบัติ ทั้งนี้ รัฐบาลต้องหามาตรการที่เหมาะสม เพื่อดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นการเปิดประเทศ แต่ให้มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว โดยจำกัดจำนวนผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเข้มงวด มีการจำกัดพื้นที่ เข้าสู่การกักตัวใน State Quarantine สามารถติดตาม ควบคุม ดูแลได้ ผ่านแอปพลิเคชัน หรือการใส่ริสแบนด์ ทั้งนี้ ยังต้องติดตามประเมินผลเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง เช่นเดียวกับการผ่อนคลายมาตรการของสถานประกอบการ ร้านค้า การแข่งขันกีฬา หากกิจการ/กิจกรรรม ใดไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างครบถ้วน ก็จะถูกปิดให้บริการชั่วคราวทันที เพื่อปรับปรุงแก้ไข
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลทำได้เพียงขอความร่วมมือสายการบินต่างประเทศ ให้ขยายระยะเวลาเลื่อนตั๋วเดินทางระหว่างประเทศได้ถึง 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งปัจจุบันมีเที่ยวบินที่รับคนไทยเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ชาวต่างชาติที่มี Work Permit เอกอัครราชทูต และการขนส่งสินค้า ยังไม่มีการให้เดินทางท่องเที่ยว เพราะต้องดูจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศและต่างประเทศก่อน กรณีทหารที่กลับปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพในนามสหประชาชาติ ณ เซาท์ซูดาน ได้เข้าสู่กระบวนการกักตัวเพื่อสังเกตอาการเรียบร้อยแล้ว รวมถึงเตรียมการด้านสาธารณสุขสำหรับทหารที่จะไปเข้ารับการฝึกหรือปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศตามพันธะสัญญาในอนาคตด้วย พร้อมแนะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการแพร่ระบาด ในประเทศที่ไปปฏิบัติภารกิจ
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35512 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงผลงานการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน "๑ ปี ของการสร้างสุข ก้าวขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชน" | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
รมว.ยุติธรรม แถลงผลงานการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน "๑ ปี ของการสร้างสุข ก้าวขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชน"
รมว.ยุติธรรม แถลงผลงานการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน "๑ ปี ของการสร้างสุข ก้าวขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชน"
ในวันพุธที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลงานการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน "๑ ปี ของการสร้างสุข ก้าวขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชน"
นายสมศักดิ์ฯ แถลงว่า นโยบายการลดความแออัดในเรือนจำ ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ ๘๐% เป็นนักโทษยาเสพติด และเรือนจำ โดยเฉพาะเรือนนอนมีพื้นที่น้อย ผู้ต้องขัง ๑ คน ต้องมีพื้นที่ ๑.๒ ตารางเมตร ซึ่งจะรองรับได้ ๒.๒ แสนคน แต่ขณะนี้ในเรือนจำมีผู้ต้องขังมากถึง ๓.๗ แสนคน เกินมากกว่า ๑.๕ แสนคน ตนได้กำหนดว่า สามารถสร้างเตียงนอน ๒ ชั้น หากทำได้ประมาณ ๘ หมื่นเตียง จะรับผู้ต้องขังได้ถึง ๓ แสนคน ซึ่งวันนี้เพิ่มได้แล้ว ๕ หมื่นเตียง ต้องทำอีก ๓ หมื่นเตียง แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ส่วนการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การลดจำนวนผู้ต้องขัง เช่น การแก้กฎหมายประมวลกฎหมายยาเสพติด และการใช้กำไล EM เข้ามาเสริม การพักโทษโดยเฉพาะโทษเบา หรือผู้ต้องขังที่ใกล้จะพ้นโทษ หลักการ คือ ต้องจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ หรือเกินครึ่งหนึ่ง โดยให้คณะกรรมการพิจารณา โดยที่ผ่านมาพฤติกรรมของผู้ใช้กำไล EM มีการเคารพกฎ ระเบียบสังคมมากขึ้น และกลับบ้านตรงเวลา การขับขี่รถดีขึ้น พฤติกรรมหลายๆอย่างดีขึ้น ทำให้ครอบครัวมีความสุข และสามารถติดตามได้ตลอดเวลา
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า ส่วนกรณีนักโทษรุนแรง ได้แก้ปัญหากันมาพอสมควร ตั้งแต่กรณีนายสมคิด พุ่มพวง ฆาตรกรต่อเนื่อง คดีแบบนี้ต้องเริ่มก่อนที่จะฟ้องคดีพวกเขาต้องมีการบันทึก หรือยื่นคำฟ้องในพวกคดีต่อเนื่องแบบนี้ไว้ ที่ผ่านมาหากจำคุกครบแล้วจะไปฟ้องไม่ได้ เราได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด และหวังจะแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม แต่หากจะไปแก้กฎหมายจะใช้เวลานานเกินไป ต้องหาแนวทางอื่นก่อน โดยขณะนี้ได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน หรือ JSOC โดยเฝ้าดูผู้ต้องขังคดีที่อุกฉกรรจ์ หากนักโทษพ้นโทษแล้ว จะต้องติดตามให้ติดกำไล EM และให้สังคมช่วยตรวจสอบ ในช่วงกฎหมายที่ยังดำเนินการไม่เรียบร้อย
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ ต้องมีนโยบายลดความแออัดในระยะยาว ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังออกจากเรือนจำแล้วยังกลับมาอีกจำนวนมาก สาเหตุ คือ ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ครอบครัวมีปัญหา จึงต้องสร้างงาน สร้างอาชีพ อย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ คือ นำคนที่พ้นโทษมาทำงานฝึกอาชีพ และการส่งแรงงานไปต่างประเทศ เพราะตนทราบมาว่าหากภาษาอังกฤษดีจะได้เงินมากกว่าเดิม ๒ เท่า จึงส่งเสริมเรื่องภาษา รวมถึงคณิตศาสตร์ ทำบัญชีเบื้องต้นได้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการเชฟลูกกรงเหล็ก
นายสมศักดิ์ฯ ยังกล่าวถึง นโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ว่า ที่ผ่านมามีการฆ่าตัดตอนและปราบปรามอย่างหนัก แต่ยาเสพติดยังไม่หมดไป UNODC มีการประเมินมูลค่ายาเสพติดที่สามเหลี่ยมทองคำมีมูลค่ามากถึง ๑.๘ ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาตนตั้งได้คณะกรรมการฯ ขึ้น ๒ - ๓ ชุด เพื่อช่วยงานศูนย์อำนวยการป้องกันยาเสพติดแห่งชาติ มาดำเนินการเพิ่มจากเดิม จากการปราบปราม มาใช้เรื่องการจัดการธุรกรรมทางการเงิน โดยความร่วมมือของสำนักงาน ป.ป.ง. ก่อนหน้านี้การยึดทรัพย์จากยาเสพติดได้ปีละ ๖๐๐ ล้านบาท แต่จากการใช้การดำเนินการทางธุรกรรมทางการเงินในห้วงที่ผ่านมาสามารถยึดทรัพย์ได้ ๓ เท่าครึ่ง คือจำนวน ๒ พันกว่าล้านบาท และในปี พ.ศ.๒๕๖๔ ตั้งเป้าต้องยึดให้ได้ ๑๐ เท่า หรือจำนวน ๖ พันล้านบาท หากไม่ได้ถือว่าเป็นมวยล้ม อีกเรื่องคือ การตรวจสารเสพติดในเส้นผม กฎหมายเก่า การตรวจสารเสพติด คือ การตรวจปัสสาวะ และเมื่อผู้เสพที่เสพเกิน ๓ วัน จะตรวจไม่พบ จากสถิติเด็กในสถานพินิจฯ ที่เข้ารับการอบรมแล้ว จะมีการได้พักกลับบ้านและมีการกลับไปเสพยา จากปี พ.ศ.๒๕๖๑ ที่พบ ๒๗ - ๒๘ % และปี พ.ศ.๒๕๖๒ อยู่ที่ ๑๑% และปี พ.ศ.๒๕๖๓ ได้ให้ความรู้เรื่องการตรวจเส้นผม ทำให้เหลือแค่ ๗% เท่านั้น แสดงว่าเรื่องนี้สามารถช่วยลดผู้เเสพยาลดลงได้
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า การตรวจจากเส้นผมสามารถตรวจสอบคนเสพยาเสพติดย้อนหลังได้ถึง ๖ เดือน - ๑ ปี โดยตรวจเส้นผมยาว ๓๐ ซม. ขึ้นไป มีความแม่นยำมาก ตรวจแยกสารเสพติดได้ ๒๖ ชนิด เมื่อก่อนใช้น้ำยาไปทำปฏิกิริยาให้เส้นผมละลาย ใช้เวลานานถึง ๑๙ วัน แต่ตอนนี้ใช้นวัตกรรมใหม่เอาเส้นผมมาบด ใช้เวลาเพียง ๕๐ นาทีเท่านั้น หากสงสัยว่าเสพยาหรือไม่ สามารถส่งเส้นผมมาตรวจได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายขณะนี้ถูกลงมาก เหลือเพียงครั้งละประมาณ ๒ พันบาท อีกเรื่อง คือการปลดล็อกกระท่อม การแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ปลดกระท่อมออกยาเสพติดประเภทที่ ๕ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาฯ ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติดกำลังแปรญัตติ และเมื่อปลดเสร็จ ต้องมีกฎหมายพืชกระท่อม ซึ่งกระทรวงยุติธรรมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี การที่มีกฎหมายควบคุม เพราะกลัวว่าคนจะปลูกมากเกินไป และต้องมีการควบคุมการใช้ ไม่ให้นำไปผสมเป็น ๔x๑๐๐ กระท่อมมีสรรพคุณเหมือนมอร์ฟีน แต่แก้ปวดได้มากกว่าหลายเท่า และไม่กระทบระบบหายใจ นำไปเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ปวดท้อง และเป็นยาชูกำลังได้
"งานต่างๆ ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมต่อไปนี้เราตั้งใจจะให้งานเดินหน้า ทำงานเชิงรุก ตนตั้งใจว่าเราต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำทุกอย่างให้สำเร็จโดยเร็ว บริการประชาชนให้เข้าถึงได้ทุกคน ทำงานบูรณาการร่วมกับภาคประชาชนมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งกรมคุ้มครองสิทธิฯ กรมบังคับคดี เราจำทำให้เป็นงานหลักขึ้นมา อาจจะเริ่มที่พื้นที่ใกล้กระทรวงฯ แล้วขยายวงไป จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จะทำให้เป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันใกล้ให้ได้" รมว.ยุติธรรม กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 21/2563 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง 2 โครงการ
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 21/2563 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง 2 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (2) โครงการคนละครึ่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มผู้มีบัตรฯ ประมาณ 14 ล้านคน ในช่วงที่มีสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งทำให้กลุ่มผู้มีบัตรฯ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ มีรายได้ลดลงและไม่สามารถหารายได้จากแหล่งอื่นมาทดแทนได้ โดยโครงการฯ จะเป็นการช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 เป็นวงเงินรวม 21,000 ล้านบาท อันจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้มีบัตรฯ สามารถดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานในช่วงที่มีสถานการณ์ COVID-19 ได้ และส่งผลต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และมีความเปราะบางทางด้านทรัพย์สินและหนี้สิน อีกทั้ง โครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญ
2. โครงการคนละครึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะกลุ่มหาบเร่ แผงลอย เพื่อให้มีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยภาครัฐร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไปผ่านฝ่ายของผู้ซื้อร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาท ต่อคนตลอดระยะเวลาโครงการ เป็นวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมจ่ายคนละครึ่งนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและจะช่วยเติมกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียนไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างต่อเนื่องเป็นเงิน 60,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จะเริ่มให้ประชาชนผู้ที่มีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีบัตรประจำตัวประชาชน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00 น. – 23.00 น. จำกัดจำนวนไม่เกิน 10 ล้านคน โดยผู้ได้รับสิทธิต้องยืนยันตัวตนผ่าน g-Wallet แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” อีกขั้นตอนหนึ่งด้วย จึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับสิทธิได้ ซึ่งการใช้จ่ายจะมีช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563 ในเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิหรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก โดยสิทธิที่ถูกตัดจะนำไปเปิดให้ลงทะเบียนใหม่
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00 น. – 23.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขาธนาคารกรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยจะช่วยติดตั้งแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” เพื่อใช้ในการรับชำระเงินจากการขายสินค้า
กระทรวงการคลังคาดว่า โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย และช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ จากการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 81,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชน 24 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2563 และส่งแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องไปยังปี 2564
โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3514, 3513
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697, 3527, 3548, 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35517 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ลงพื้นที่สร้างการรับรู้ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาข้อกฎหมายแก่ประชาชน ณ ชุมชนวัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ลงพื้นที่สร้างการรับรู้ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาข้อกฎหมายแก่ประชาชน ณ ชุมชนวัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ลงพื้นที่สร้างการรับรู้ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาข้อกฎหมายแก่ประชาชน ณ ชุมชนวัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓
ณ ชุมชนวัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
นายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ หัวหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข
ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่
ลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชน พร้อมทั้งให้คำปรึกษาข้อกฎหมาย
ในโครงการศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรมเคลื่อนที่
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รอบที่ ๓
โดยมีผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ และขอรับคำปรึกษาด้านกฎหมาย
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมงานมหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า ๑ ล้านอัตรา ภายในงาน Job Expo Thailand ๒๐๒๐ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม ร่วมงานมหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า ๑ ล้านอัตรา ภายในงาน Job Expo Thailand ๒๐๒๐
กระทรวงยุติธรรม ร่วมงานมหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า ๑ ล้านอัตรา ภายในงาน Job Expo Thailand ๒๐๒๐
ในวันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ บริเวณเวทีกลาง ฮอลล์ ๙๘- ๙๙ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand ๒๐๒๐ โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีเปิดงานฯ
สำหรับงานดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ โดยภาครัฐ วิสาหกิจและเอกชน ส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มเติมเพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ใจความว่า “การจัดงานในครั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการจัดกิจกรรมต่างๆ ตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคนในทุกมิติ ทำให้วัยแรงงานได้รับยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก”
โอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมบูธกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งได้ให้คำแนะนำในการพัฒนาและจัดเก็บระบบการติดตามการว่างงานของผู้ที่ได้ลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสารตำแหน่งงานว่างในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์ ๙๘ - ๙๙”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ผ่าน “โครงการคนละครึ่ง” “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน และช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีก 3 เดือน | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ครม.ผ่าน “โครงการคนละครึ่ง” “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน และช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีก 3 เดือน
คณะรัฐมนตรีผ่าน “โครงการคนละครึ่ง” “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน และช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีก 3 เดือน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยคณะรัฐมนตรีทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชน โดยหวังให้สภาวะการบริโภคและการลวงทุนกลับเข้าสู่ระดับปกติโดยเร็ว มีโครงการต่างๆ ดังนี้
1. “โครงการคนละครึ่ง” ในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-pay) ระหว่างประชาชนที่เข้าร่วมโครงการและรัฐบาล โดยจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการเป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 10 ล้านคน ภาครัฐจะสนับสนุนโยร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าทั่วไป ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบและบริการต่าง ๆ ร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันหรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ผ่าน g-wallet (“เป๋าตัง” สำหรับประชาชน และ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า) ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม- 31ธันวาคม 2563 โดยมีวงเงินจำนวน 30,000.0000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน 10 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างน้อย 100,000 ร้านค้า เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ GDP ขยายตัวร้อยละ 0.18
2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้า) จำนวน 500 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13,948,518 คน วงเงิน 20,922.7770 ล้านบาท รวมระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม - ธันวาคม 2563 เนื่องจากกลุ่มผู้มีบัตรฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้มีรายได้ลดลงและไม่สามารถหารายได้จากแหล่งอื่นมาทดแทนได้ โครงการ ฯ จะทำให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้ง 13,948,518 คนได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา เพิ่มกำลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น รวมทั้งยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นผ่านร้านธงฟ้าฯ อีกด้วย
3 ปรับปรุงคุณสมบัติผู้จบการศึกษาใหม่ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการ ฯ จากเดิม “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม” เป็น “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม ยกเว้นกรณีผู้จบการศึกษาใหม่ที่อยู่ในระบบประกันสังคม เนื่องจากการทำงานนอกเวลาเรียน (Part time) ในระหว่างที่กำลังศึกษา” ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้นักศึกษาที่มีฐานะยากจน ยังไม่จบการศึกษาและต้องหารายได้พิเศษโดยทำงานนอกเวลาเรียนหรือ Part time ที่มีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมสามารถเข้าร่วมโครงการได้ เกิดการจ้างงานตามเป้าหมายที่กำหนด
4 โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563) อนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงินรวม 878.20 ล้านบาท
......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35522 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ ก.แถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวลาว จัดการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน “โขงบ่กั้น โควิดบ่ใกล้ ๗๐ ปี ไทย – ลาว ฮักแพง แบ่งปัน และมั่นคง” | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
วธ. ร่วมกับ ก.แถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวลาว จัดการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน “โขงบ่กั้น โควิดบ่ใกล้ ๗๐ ปี ไทย – ลาว ฮักแพง แบ่งปัน และมั่นคง”
วธ. ร่วมกับ ก.แถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวลาว จัดการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน
“โขงบ่กั้น โควิดบ่ใกล้ ๗๐ ปี ไทย – ลาว ฮักแพง แบ่งปัน และมั่นคง”
เพื่อฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ ช่วงโควิด-19
วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานฝ่ายไทย ในกิจกรรมการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน “โขงบ่กั้น โควิดบ่ใกล้ ๗๐ ปี ไทย – ลาว ฮักแพง แบ่งปัน และมั่นคง” เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมทั้งชมการแสดงผ่านการถ่ายทอดสัญญาณระบบอินเทอร์เน็ต โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.กิแก้ว ไขคำพิทูน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมเป็นประธานฝ่ายลาว และมีนายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย คณะผู้บริหาร คณะทูตานุทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี ณ โรงละครแห่งชาติ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
นายอิทธิพล กล่าวว่า ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพรมแดนติดต่อกันทั้งทางน้ำและทางบก มีประเพณีและวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งมีแม่น้ำโขง หรือ “แม่น้ำของ” ของชาวลาว ซึ่งเป็นสายน้ำ แห่งชีวิตที่หลอมรวมให้ประชาชนชาวไทยและประชาชนชาวลาวได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาช้านาน โดยเมื่อ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๙๓ ทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งเป็นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ราบรื่น ใกล้ชิดจนถึงปัจจุบัน และมีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือในทุกระดับทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ดังกล่าว วธ. ร่วมกับ กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ และสถานเอกอัครรราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน “โขงบ่กั้น โควิดบ่ใกล้ ๗๐ ปี ไทย – ลาว ฮักแพง แบ่งปัน และมั่นคง” เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมต่างๆ ไปทั่วโลก วธ. จึงได้ริเริ่มและพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเป็นการแสดงกึ่งออนไลน์ โดยผสมผสานทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ มีการถ่ายทอดสดการแสดงของทั้งสองประเทศ ณ โรงละครแห่งชาติ โดยมีการแสดงของประเทศไทยและคลิปวีดิโอการแสดงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งได้ถ่ายทำขึ้นเฉพาะในวาระพิเศษนี้ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อาทิ การบรรเลงวงแคน การแสดงชุดฟ้อนเผ่าลาวสัมพันธ์ การแสดงสี่ภาคร่วมสมัย การบรรเลงวงโปงลาง เป็นต้น โดยผู้ชมสามารถรับชมการแสดงสดผ่านโปรแกรมและช่องทางอินเทอร์เน็ตต่างๆ พร้อมกันทั่วโลก ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. จากช่องทาง ๑. Facebook Live ของกระทรวงวัฒนธรรม และ ๒. YouTube Live ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
“การแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19) ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถข้ามผ่านข้อจำกัดต่างๆ ไปได้ สอดคล้องกับแผนการส่งเสริมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ รวมถึงการนำวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการสร้างเข้าใจระหว่างประชาชน อันจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านอื่นๆ ต่อไป ซึ่งการไปมาหาสู่ระหว่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สองประเทศจะได้พบปะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกันได้อย่างใกล้ชิดเช่นเดิมอีกครั้ง” รมว.วธ. กล่าว
------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35508 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นโยบายเร่งด่วน การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม กำหนดเป้าหมายให้เกษตรกรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ เช่น จัดหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคสร้างความมั่นคงระดับชุมชน /วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้วัตถุดิบจากอ้อยและน้ำตาลทราย นำมาผลิตเอทานอล และส่งเสริมให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ /ส่งเสริมการใช้ยางพาราสร้างความปลอดภัยทางถนน /เร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการใช้กัญชา กัญชง และพืชสมุนไพรทางการแพทย์ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีโครงการประกันรายได้พืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นหลักประกันในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับสถานศึกษาระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน การรับน้อง ไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือกลั่นแกล้งโดยเด็ดขาด | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีกำชับสถานศึกษาระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน การรับน้อง ไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือกลั่นแกล้งโดยเด็ดขาด
นายกรัฐมนตรีกำชับสถานศึกษาระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน การรับน้อง ไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือกลั่นแกล้งโดยเด็ดขาด
วันนี้ (29 ก.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมว่า ขอให้อยู่ภายใต้กฎหมายและไม่ทำลายทรัพย์สินทางราชการ พร้อมกำชับให้หน่วยงานภาครัฐระมัดระวังในการปฏิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ประชาชนให้แสดงความคิดเห็น แต่ขอความร่วมมือไม่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ เพื่อลดแรงกดดันและความรุนแรงในสังคม พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเวลา 30 วัน เพื่อให้เกิดการพิจารณาร่วมกันของ 2 สภา ซึ่งต้องติดตามความคิดเห็นของ กมธ. ต่อไป โดยนายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีอำนาจในการกำกับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะสมาชิกรัฐสภาทุกท่านมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น เพียงขอให้ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีฝากถึงบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งสถาบันการศึกษาทุกระดับ ให้ระมัดระวังการลงโทษเด็กนักเรียน และการรับน้อง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงหรือออกกำลังกายอย่างหักโหมโดยเด็ดขาด รวมถึงไม่ให้กลั่นแกล้งกัน (bully) ในสถานศึกษา โดยได้กำชับกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ให้ดูแลความเรียบร้อย แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะปัจจุบัน โซเชียลมีเดียช่วยเผยแพร่ข้อมูล ทำให้สื่อสารออกไปอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่การรวมกลุ่มของผู้ที่ไม่พอใจและเกิดการเรียกร้องได้
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. เพิ่มโอกาสทางการศึกษา พร้อมให้กู้ยืม 4 ลักษณะ ในปีการศึกษา 2564 | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กยศ. เพิ่มโอกาสทางการศึกษา พร้อมให้กู้ยืม 4 ลักษณะ ในปีการศึกษา 2564
กยศ.เตรียมพร้อมให้กู้ยืมครบ 4 ลักษณะ ในปีการศึกษา 2564 ลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อส่งเสริมให้เรียนสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก สาขาวิชาขาดแคลน และให้กู้ยืมในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตและปริญญาโท สำหรับผู้กู้ที่เรียนดี
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เตรียมพร้อมให้กู้ยืมครบ 4 ลักษณะ ในปีการศึกษา 2564 ลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อส่งเสริมให้เรียนสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก สาขาวิชาขาดแคลน และให้กู้ยืมในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตและปริญญาโท สำหรับผู้กู้ที่เรียนดี โดยพัฒนาระบบการจัดการการให้กู้ยืมแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการยื่นกู้ยืมเงิน ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าถึงโอกาสทางการศึกษามากขึ้น
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า “คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เห็นชอบแนวทางการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2564 ทั้ง 4 ลักษณะ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน คุณสมบัติเฉพาะของนักเรียน นักศึกษา อัตราดอกเบี้ย ขอบเขตการให้เงินกู้ยืม ประเภทวิชา สถานศึกษาหรือระดับชั้นการศึกษา และหลักสูตรที่จะให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาทั้ง 4 ลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นผู้กู้ยืมที่มีรายได้ครอบครัวต่อปีไม่เกิน 360,000 บาท ให้กู้ยืมเงินเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ค่าครองชีพ ในระดับมัธยมปลาย ปวช. ปวท./ปวส. และอนุปริญญา/ปริญญาตรี โดยกำหนดชำระเงินคืนภายใน 15 ปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี ภายหลังสำเร็จการศึกษา อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี
ลักษณะที่ 2 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ ให้เงินกู้ยืมเงินเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ระดับปวช. ปวท./ปวส. และอนุปริญญา/ปริญญาตรี โดยกำหนดชำระเงินคืนภายใน 15 ปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี ภายหลังสำเร็จการศึกษา อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี หากเป็นผู้ที่มีรายได้ครอบครัวต่อปีไม่เกิน 360,000 บาท จะสามารถกู้ยืมค่าครองชีพได้และได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.75% ต่อปี
ลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ ให้กู้ยืมเงินเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ระดับประกาศนียบัตรบัณทิตและปริญญาโท เพื่อสร้างความเป็นเลิศด้านการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศไทย ผู้กู้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีมีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 โดยกำหนดชำระเงินคืนภายใน 10 ปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 1 ปี ภายหลังสำเร็จการศึกษา อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี หากเป็นผู้ที่มีรายได้ครอบครัวต่อปีไม่เกิน 360,000 บาท จะสามารถกู้ยืมค่าครองชีพได้และได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ กองทุนอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบจัดการการให้กู้ยืมแบบดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ สนับสนุนการดำเนินการให้กู้ยืมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การยื่นกู้ พิจารณาอนุมัติ การจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการพร้อมกับการให้กู้ยืมทั้ง 4 ลักษณะดังกล่าวในปีการศึกษา 2564 สถานศึกษาและผู้กู้ยืมจะได้รับความสะดวกรวดเร็วในการกู้ยืมมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.studentloan.or.th” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35518 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมคณะรัฐมนตรี ร่วมมอบหนังสือมีค่าแก่โรงเรียนในสังกัดตำรวจตระเวนชายแดนและถิ่นทุรกันดาร | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นายกฯ พร้อมคณะรัฐมนตรี ร่วมมอบหนังสือมีค่าแก่โรงเรียนในสังกัดตำรวจตระเวนชายแดนและถิ่นทุรกันดาร
นายกฯ พร้อมคณะรัฐมนตรี ร่วมมอบหนังสือมีค่าแก่โรงเรียนในสังกัดตำรวจตระเวนชายแดนและถิ่นทุรกันดาร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมมอบหนังสือมีค่าของคณะรัฐมนตรี ภายใต้กิจกรรมรับบริจาคหนังสือมีค่าของคณะรัฐมนตรี เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชน เนื่องในโอกาสครบ 120 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 21 ตุลาคม 2563 โดยมีน้องๆนักเรียนและผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนเป็นผู้รับมอบ ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35515 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓ ในระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบสถิติภาพรวมและการดำเนินการเชิงรุกแจ้งสิทธิไปยังพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ประจำปี ๒๕๖๓ รายงานผลการติดตามให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายคดีความผิดเกี่ยวกับเพศตามข้อสั่งการของคณะกรรมการ พร้อมทั้งพิจารณาให้ความช่วยเหลือจำนวน ๖๙ เรื่อง โดยแบ่งเป็นเรื่องสืบเนื่อง จำนวน ๒ เรื่อง กรณีผู้เสียหายอุทธรณ์คำวินิจฉัยคณะอนุกรรมการ จำนวน ๓๐ เรื่อง และกรณีจำเลย จำนวน ๓๗ เรื่อง
ทั้งนี้ เป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาตามหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35530 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการฯ | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการฯ
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายราชการประจํา โดยนำเครื่องมือการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA มาใช้เสริมสร้างระบบบริหารงานที่มีธรรมาภิบาลในภาครัฐ /พร้อมจัดให้มีหลักสูตรพัฒนาเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต. หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “ยุวชนคนดี จังหวัดชายแดนภาคใต้” และข้าราชการจิตสาธารณะ เสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ภาคสังคม ภาคเอกชน และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ประพฤติมิชอบ อีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนพัฒนากระบวนงานทั้งระบบ สู่องค์กรคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
สรรพากรเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนพัฒนากระบวนงานทั้งระบบ สู่องค์กรคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0
สรรพากรยกระดับคุณภาพองค์กร มุ่งสู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 เพิ่มขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย โดยพัฒนาระบบการบริหารจัดการได้อย่างมีมาตรฐาน สามารถสร้างคุณค่าและสร้างนวัตกรรมให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก สนับสนุนข้อมูลให้ภาครัฐทุกภาคส่วน เชื่อมโยงข้อมูลกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าผลิตโดยคนไทยจากรถโดยสาร ขสมก. ยกระดับความก้าวหน้ายานยนต์ไฟฟ้าไทย | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีชมรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าผลิตโดยคนไทยจากรถโดยสาร ขสมก. ยกระดับความก้าวหน้ายานยนต์ไฟฟ้าไทย
นายกรัฐมนตรีชมรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าผลิตโดยคนไทยจากรถโดยสาร ขสมก. ยกระดับความก้าวหน้ายานยนต์ไฟฟ้าไทย
วันนี้ (29 ก.ย. 63) ณ บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มอบหนังสือมีค่าให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสครบ 120 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งหนังสือมีค่าเหล่านี้จะได้นำไปบริจาคให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และห้องสมุดประชาชน ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรีได้ร่วมพูดคุยกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนถึงความสำคัญของการอ่านว่า “หนังสือ” เป็นสิ่งมีชีวิต การอ่านจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการหาประสบการณ์ เพราะเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียนไปให้ผู้อ่าน ช่วยสร้างแรงบันดาลแตกต่างจากการข้อมูลในโลกออนไลน์ หนังสือทุกประเภทมีความสำคัญทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความรู้รอบตัว ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการศึกษาด้วย โดยชุดหนังสือ ที่นายกรัฐมนตรีร่วมมอบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ได้แก่ ผจญภัยในอวกาศ What? & Why ? วิทยาศาสตร์น่าทึ่ง 100 เรื่อง เรียน รู้ ก่อนโต ประวัติศาสตร์ และชุดทดสอบ (Quiz)วิทยาศาสตร์ ฉลาดรู้ เป็นต้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมตัวอย่างรถโดยสารจาก “การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และภาคเอกชน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท พานทอง กลการ จำกัด บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด บริษัท รถไฟฟ้า ประเทศไทย จำกัด และ บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดยพัฒนารถประจำทางที่หมดอายุการใช้งานมาดัดแปลง เป็นรถโดยสารไฟฟ้าต้นแบบ ขนาด 12 เมตร จำนวน 4 คัน มีความเร็วสูงสุดต่อเนื่อง 80 – 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งานจริง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชม การพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสาร ขสมก. ที่สามารถใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมภายในประเทศเกือบทั้งหมดช่วยสนับสนุนระบบ Supply Chain สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งรถโดยสารสาธารณะและรถโดยสารส่วนตัว นายกรัฐมนตรียังได้แนะนำการปรับปรุงระบบเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับน้ำมันมาตรฐานยุโรป ยูโร 5 และยูโร 6 ระบบการซ่อมบำรุง และชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องยนต์ หากในอนาคตสามารถพัฒนารถโดยสารทั้งหมดเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าได้ก็จะจัดหางบประมาณเพื่อจัดซื้อ จัดจ้าง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นประโยชน์
นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายเปรียบเทียบการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน มีความก้าวหน้าในหลายด้าน รัฐบาลให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมๆไปกับการดูแลประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการเดินหน้าประเทศร่วมกัน
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวต่างชาติ 6 กลุ่ม ที่ ศบค.อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ มีประเภทใดบ้าง ?? | วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
ชาวต่างชาติ 6 กลุ่ม ที่ ศบค.อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ มีประเภทใดบ้าง ??
ชาวต่างชาติ 6 กลุ่ม ที่ ศบค.อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย ??
Q : ชาวต่างชาติ 6 กลุ่ม ที่ ศบค.อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ มีประเภทใดบ้าง ??
A : 1. นักกีฬาต่างชาติที่จะเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ช่วงวันที่ 6-16 ต.ค. 2563
2. นักบินและลูกเรือบริษัท การบินไทย ในเที่ยวบินรับส่งบุคคลกลับไทย
3.ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (NonImmigrant) ประเภทต่างๆ
4. ผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับกลุ่ม Long Stay ตามที่ ครม.เห็นชอบหลักการ เมื่อ 15 ก.ย.2563 อยู่ได้ 90 วัน ต่อได้ 2 ครั้ง รวม 270 วัน
5. ผู้ถือบัตร APEC Card โดยจะเลือกประเทศที่เสี่ยงน้อย อาทิ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง
6. ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะเวลาสั้นและระยะยาว โดยอยู่ได้ 60 วัน สามารถขอต่อได้อีก 30 วัน ต้องมีบัญชีฝากย้อนหลัง 6 เดือน เทียบเป็นเงินไทยไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท โดย ก.ต่างประเทศ จะเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35504 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ห่วงลูกจ้างถูกเครื่องสกรีนผ้าหนีบมือ บาดเจ็บที่ชลบุรี สั่งเร่งตรวจสอบช่วยเหลือในทันที | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
‘สุชาติ’ ห่วงลูกจ้างถูกเครื่องสกรีนผ้าหนีบมือ บาดเจ็บที่ชลบุรี สั่งเร่งตรวจสอบช่วยเหลือในทันที
รมว.แรงงาน สั่งหน่วยงานในสังกัดตรวจสอบสถานะลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเนื่องจากถูกเครื่องสกรีนผ้าหนีบมือได้รับบาดเจ็บที่จังหวัดชลบุรี ถึงความเป็นผู้ประกันตน เพื่อเยียวยาช่วยเหลือแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าตนมีความห่วงใยกรณีที่ลูกจ้างประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเนื่องจากถูกเครื่องสกรีนผ้าหนีบมือได้รับบาดเจ็บ ที่ชลบุรีว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าว นายทศพล พรมดี ทำงานในตำแหน่งพนักงานทั่วไปของโรงงานที่นอนโซฟาแบบพิงผนังผ้านาโน ถูกเครื่องสกรีนผ้านาโนหนีบมือข้างซ้ายขณะใช้มือดึงและกดกระดาษเข้าเครื่องสกรีนดังกล่าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ขณะที่ก้มดึงกระดาษที่ยับ มือซ้ายของลูกจ้างถูกเครื่องสกรีนดึงเข้าไปยังตัวเครื่องจักรทำให้มือซ้ายได้รับบาดเจ็บ ต่อมาได้นำส่งโรงพยาบาลสมเด็จบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 เดือนเศษ โดยแพทย์แจ้งว่ามีแผลไหม้บริเวณข้อนิ้วโป้ง นิ้วชี้นิ้วกลางและนิ้วนาง รับการผ่าตัด 4 ครั้ง และต้องทำกายภาพบำบัด
นายสุชาติกล่าวต่อว่า การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชาตรวจสอบข้อมูลแล้วไม่พบการขึ้นทะเบียนนายจ้างและการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนและได้ดำเนินการติดตามนายจ้างเพื่อมาขึ้นทะเบียน ทั้งนี้สิทธิตามกฎหมายที่ลูกจ้างจะได้รับ ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนกรณีหยุดงาน 70% ของค่าจ้าง และค่าสูญเสียอวัยวะ นอกจากนี้ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดฯ ได้นัดหมาย พนักงานตรวจความปลอดภัย ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงนายจ้างเพิ่มเติมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35199 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ล้อมคอก “เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง” ต้องเป็นสินค้าควบคุม หลังไฟรั่ว ดูดคนตาย | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
สมอ. ล้อมคอก “เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง” ต้องเป็นสินค้าควบคุม หลังไฟรั่ว ดูดคนตาย
“สุริยะ” กำชับ สมอ. เร่งประกาศให้ “เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง” ต้องเป็นสินค้าควบคุม หลังมีข่าวเกิดไฟฟ้ารั่ว ดูดคนตาย เตือนประชาชนเลือกใช้สินค้าดี มีมาตรฐาน มิฉะนั้น อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ สมอ. เร่งดำเนินการประกาศให้ “เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง” ต้องเป็นสินค้าควบคุม หลังจากมีผู้ใช้สินค้าดังกล่าวถูกไฟดูดถึงแก่ความตายเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า โดยใช้มาตรฐานเป็นเครื่องมือในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศ จึงสั่งให้ สมอ. กำหนดเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้ทำ และผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว จะต้องขออนุญาตจาก สมอ. เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าก่อน หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานจะไม่สามารถนำมาจำหน่ายในท้องตลาดได้
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “เดิม สมอ. มีมาตรฐานเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงอยู่แล้ว ซึ่งได้ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2552 แต่เป็นมาตรฐานภาคสมัครใจ ไม่ได้มีการควบคุมการนำเข้าสินค้าดังกล่าวแต่อย่างใด แต่มาระยะหลังมีผู้ใช้สินค้าถูกไฟดูดถึงแก่ความตาย สมอ. จึงได้ทบทวนมาตรฐานให้มีความทันสมัย ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน และเร่งผลักดันให้สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าควบคุม โดยบอร์ด สมอ. ได้เห็นชอบร่างมาตรฐานเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้”
มาตรฐานเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง หรือ เครื่องทำความสะอาดใช้ความดันสูง มอก. 60335 เล่ม 2 (79) -2563 เป็นมาตรฐานที่จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ หรือมาตรฐาน IEC ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ ครอบคลุมถึงเครื่องฉีดน้ำที่มีแรงดันน้ำระหว่าง 25-350 บาร์ และเครื่องทำความสะอาดใช้ไอน้ำที่มีความจุน้ำไม่เกิน 100 ลิตร และมีแรงดันน้ำไม่เกิน 25 บาร์ โดยเครื่องทำความสะอาดทั้ง 2 ชนิด จะมีการควบคุมด้านความปลอดภัยในการใช้งานในด้านต่างๆ อาทิ การป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว การเดินสายไฟภายใน ความต้านทานต่อความชื้น การเข้าถึงส่วนมีไฟฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วขณะใช้งาน ความทนทาน ความต้านทานต่อความร้อนและไฟไหม้ และความต้านทานต่อการเป็นสนิม เป็นต้น
“ในระหว่างที่กฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ ขอฝากเตือนไปยังประชาชนให้เลือกใช้สินค้าด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะสินค้าเกรดต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน หากเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐานอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตดังเช่นที่เป็นข่าวได้” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย
---- 17 กันยายน 2563 ----
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35203 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก 17 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก 17 กันยายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ
วันนี้ ผมขอพูดกับทุกท่านเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก ซึ่งไม่ค่อยจะดีนัก และอาจจะส่งผลต่อประเทศไทยเราด้วย ในช่วงเวลาข้างหน้านี้
ตอนนี้ กำลังเกิดการระบาดของโควิดครั้งใหญ่ ระลอกใหม่ ทั้งในยุโรป และที่อื่น ๆ หลายที่ ตัวอย่างเช่น
ที่ประเทศสเปน มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 30,000 คน และปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 12,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนการเพิ่มต่อวัน ที่มากกว่า เมื่อตอนสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ในเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา
ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เกือบ 10,000 คนต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนการเพิ่มต่อวัน ที่มากกว่าในช่วงที่สถานการณ์แย่ที่สุดเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบัน ฝรั่งเศสมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 30,000 คน
ส่วนที่ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในหนึ่งสัปดาห์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 42,000 คน
และที่อื่น ๆ ในโลกก็ด้วย อย่างที่ประเทศอินเดีย ตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ภายในแค่วันเดียว กว่า 90,000 คน หรือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 30,000 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 200,000 คน
โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งใหญ่ ระลอก 2 อย่างชัดเจน
เมื่อช่วงเริ่มต้นที่เกิดการแพร่ระบาดโควิดบนโลก ประเทศไทยเริ่มรับมือและพยายามระงับการแพร่ระบาดในประเทศ อย่างเด็ดขาด และรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลที่วันนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ถึง 10 คนต่อวัน เมื่อเราเทียบกับประเทศอื่น หลายประเทศที่ลังเลการปิดประเทศ และไม่ได้ดำเนินมาตรการ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทำให้วันนี้ ประเทศเหล่านั้นมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน มากกว่าประเทศไทยเป็นพัน ๆ เท่า
การที่ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์แบบปัจจุบันนี้ได้ ถือเป็นความสำเร็จของแพทย์ทุกท่าน อาสาสมัครสาธารณสุขที่น่าทึ่งทุกคน พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่บุคลากรด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกคน ซึ่งเป็นผู้กล้าหาญที่อยู่แนวหน้า ช่วยยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศไทย รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพใน ศบค.
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือคนไทยทั้งประเทศ ที่ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศไทย ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม
ตอนนี้ เมื่อในโลก โควิดกำลังกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง ผมจึงอยากจะขอพี่น้องประชาชนทุกคน ให้ลุกขึ้นมาตั้งการ์ดของตัวเองให้สูงขึ้นอีกครั้ง เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น รักษาวินัยที่ดีไว้ อย่างที่เราเคยทำกันมา เพราะสงครามกับโควิด จะยังอยู่ไปอีกนาน
ผมขอใช้โอกาสนี้ พูดกับคนกลุ่มต่าง ๆ ที่อยากจะออกมารวมตัวกันประท้วงด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของท่าน
เมื่อเวลาที่ท่านมารวมตัวกัน ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาล ที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ในประเทศไทย และขณะเดียวกัน ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยง ที่จะทำลายการทำมาหากินของคนไทยด้วยกัน อีกสิบ ๆ ล้านคน
การจุดชนวนการแพร่ระบาดโควิด ให้เสี่ยงที่จะลุกโชนขึ้นมาอีก นั่นจะส่งผลกระทบที่เลวร้าย และทวีคูณปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ไปสู่ระดับที่เรายังไม่เคยเจอมาก่อน
ผม ขอให้ทุกท่านคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก
ในประเทศอื่น การรวมตัวกัน และการไม่รักษาวินัยในการป้องกันโรคระบาด ได้สร้างปัญหาให้กับประชาชนคนอื่น ๆ ในประเทศของตัวเองมาแล้ว
ตอนนี้ รัฐมนตรีสาธารณสุข ของประเทศอังกฤษ และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป กำลังเริ่มพูดถึงการกลับมาเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง หรืออย่างในรัฐใหญ่รัฐหนึ่ง ของประเทศออสเตรเลีย ตอนนี้ การเปิดร้านค้าและออฟฟิศ หรือแค่การจะออกจากบ้าน ก็ยังมีข้อบังคับและข้อจำกัดมากมาย
ส่วนในบ้านเรา แม้ว่าการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ จะสร้างความเจ็บปวดให้เราอย่างมาก แต่อย่างน้อย ร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ ยังเปิดได้อยู่ โรงเรียน ไซต์งานก่อสร้าง โรงงาน และสำนักงาน ยังเปิดได้ และการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยด้วยกันเอง ก็ยังคงทำได้อยู่ ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำอะไรก็ตาม ที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศไทยต้องกลับไปล็อกดาวน์อีกครั้ง เหมือนเมื่อเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา แบบนั้นจะยิ่งเพิ่มความเดือดร้อนและเจ็บปวดให้กับทุกคน
ผมขอบอกทุกคนที่อยากจะออกมาชุมนุม ชัดๆ ว่า ผมได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ผมรับทราบความคับข้องใจของพวกท่านในเรื่องการเมือง และความไม่พอใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
ผม เคารพ ความคิดเห็น และความรู้สึกของท่าน แต่วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดเร่งด่วน ที่เราจำเป็นต้องจัดการก่อน นั่นคือการบรรเทาความเสียหายทางเศรษฐกิจที่โควิดได้ก่อให้เกิดขึ้นไปทั่วโลก เราไม่ควรทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้
การชุมนุมจะทำให้การฟื้นเศรษฐกิจเกิดการล่าช้า เพราะจะทำลายความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ และสร้างความลังเลใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะมาเมืองไทย เมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง การชุมนุมจะสร้างความวุ่นวายในประเทศ และทำลายสมาธิการทำงานของภาครัฐในการจัดการกับโควิด และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน
ผมจึงอยากขอให้เราเอาชนะโควิดและผ่านวิกฤตโลกครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ก่อน หลังจากนั้น เราค่อยกลับมาที่เรื่องการเมือง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลายประเทศ ใช้ความเด็ดขาดในการยุติการประท้วง ด้วยเหตุผลที่ไม่ยอมให้เกิดการกระทำที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด โดยหลายประเทศ ห้ามไม่ให้มีการรวมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในประเทศเยอรมัน เมื่อมีการประท้วงของคนจำนวนกว่า 38,000 คน มีผู้ถูกจับดำเนินคดีมากกว่า 300 คน ในคดีทำลายโอกาสของประเทศ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมสั่งการไปคือ ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติกับผู้ชุมนุมด้วยความนิ่มนวล เพราะผมยังเชื่อว่า ผู้ที่จะออกมาประท้วง จะมีความตระหนักรู้ ถึงสิ่งที่ควรต้องระมัดระวัง และอยู่ในขอบเขต แต่ผมก็ขอฝากไปถึงทุกคนที่จะออกมารวมตัวกันว่า ขอให้นึกถึงพี่น้องคนไทยด้วยกันให้มาก ๆ คนไทยอีกเป็นสิบ ๆ ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบ จากการที่ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากโควิด และเพิ่มความเสี่ยงให้เราต้องกลับไปล็อกดาวน์อีกครั้ง
ภารกิจของผมชัดเจน คือ ผมต้องปกป้องคนไทยไม่ให้เกิดการสูญเสียในชีวิต เป็นหมื่น ๆ ชีวิต เหมือนในประเทศอื่น และป้องกันหายนะทางเศรษฐกิจที่จะตามมาจากการเสียชีวิตของผู้คน และหายนะที่จะตามมาจากการล็อกดาวน์
เพราะฉะนั้น เรายังต้องระมัดระวัง ในการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา เพราะมีความเสี่ยงในการนำเชื้อโควิดเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับเราทุกคน แต่ในขณะที่ทำอย่างนั้น ผมก็รู้ถึงความเจ็บปวดของทุกคนที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว
ผมรู้สึกจริง ๆ ครับว่าทุกคนเจ็บปวด หลายครั้งผมนอนไม่หลับนะครับ เมื่อคิดถึงจำนวนคนที่ต้องตกงาน และจำนวนธุรกิจที่ต้องปิดกิจการลง
เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก ซึ่งไม่มีทางออกไหนที่ไม่มีความเจ็บปวดรออยู่ การเปิดประตูประเทศ อาจจะทำให้มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในระดับหนึ่ง แต่เราก็รู้ว่า จะมีโควิดเข้าประเทศมาด้วยแน่นอน แม้จะมีการตรวจเช็คขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ผมกังวลคือ หากเกิดการระบาดใหญ่เป็นวงกว้างในประเทศ เราอาจจะไม่สามารถรับมือได้ และถ้ามันเกิดขึ้นแบบนั้น ความเดือดร้อนในเรื่องของเศรษฐกิจปากท้องจะยิ่งรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับภาคการท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่จะส่งผลกับทุกภาคส่วนในสังคม
พี่น้องครับ เรากำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะยิ่งยากลำบากมากขึ้น เราจึงควรวางเรื่องการเมืองเอาไว้ก่อน แล้วจับมือร่วมแรงร่วมใจกัน ผ่านพ้นความยากลำบากที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์โลกไปให้ได้ ผมขอให้ทุกคนยกการ์ดของตัวเองให้สูงอีกครั้ง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม และโชว์สปิริตของความเป็นไทยต่อไป ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิดไปให้ได้
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์”เผยโครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาลใน 3 จังหวัดภาคใต้ | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
“อลงกรณ์”เผยโครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาลใน 3 จังหวัดภาคใต้
“อลงกรณ์”เผยโครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาลใน 3 จังหวัดภาคใต้ คืบหน้าเตรียมสรุปเสนอ”รัฐมนตรีเฉลิมชัย” หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลเจาะตลาดโลก2พันล้านคนตอบโจทย์ยุคโควิดพร้อมเปิดตัวระเบียงเศรษฐกิจลิมอร์ดาซาร์เวอร์ชั่นใหม่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 5/2563 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันนี้(18 ก.ย.)ว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ที่วางเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลก รวมทั้งเป็นฮับของสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาลมีคณะอนุกรรมการ 4 คณะเพื่อขับเคลื่อนได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 3. คณะอนุกรรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และ 4. คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล”
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ซึ่งการประชุมในวันนี้คณะอนุกรรมการได้รายงานผลการดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างมากโดยเฉพาะโครงการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาลซึ่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนฯแจ้งว่ารูปแบบโครงการและแนวทางการลงทุนเสร็จแล้วกำลังคัดเลือกพื้นที่ของโครงการ3แห่งที่เสนอมาใน3จังหวัดภาคใต้โดยตนจะลงไปดูพื้นที่ด้วยตัวเองในต้นเดือนหน้าก่อนสรุปเสนอรายงานต่อ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีเกษตรฯเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นโครงการที่เชื่อมโยงกับชุมชนเกษตรในพื้นที่ทั้งการผลิตพืชปศุสัตว์และประมงเพื่อสร้างงานสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจใน3จังหวัดภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นฮับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลมุ่งเจาะตลาดมุสลิมกว่า 2พันล้านคนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง อาเซียนและจีน
นอกจากนี้ยังมีความก้าวหน้าในการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล”และกรอบแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมเช่นกัน ทุกคณะอนุกรรมการฯพยายามเร่งรัดดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรและการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ภาคใต้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังให้เริ่มขับเคลื่อนโครงการระเบียงเศรษฐกิจลิมอร์ดาซาร์ (Limor Dasar)เวอร์ชั่นใหม่5-5-5บนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของ5จังหวัดใต้สุดของไทย(ปัตตานี-นราธิวาส-ยะลา-สตูล-สงขลา)กับ5รัฐทางเหนือของมาเลเซีย(กลันตัน-เคดะห์-เปรัค-เปอร์ลิส-ปีนัง)ในความร่วมมือ5สาขาคือการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลเป็นการรื้อฟื้นโครงการนี้ที่เคยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง3ปีในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ระหว่างปี2551–2554ซึ่งในการขับเคลื่อนครั้งนี้จะผนึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย สถาบันฮาลาล (Halal Institute)ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือศูนย์AIC หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาพันธ์โลจิสติกส์ สมาพันธ์เอสเอ็มอี สมาคมท่องเที่ยว วิสาหกิจชุมชน อปท. จังหวัดและศอบต.
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอมว่าปัญหาได้คลี่คลายลงจนน่าพอใจแต่ยังให้สืบสวนสอบสวนและเฝ้าระวังการค้าออนไลน์หลังจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือ10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมปศุสัตว์ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมการค้าธุรกิจไทยมุสลิมเดินหน้า5มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ 1) มาตรการสื่อสารเตือนภัยผู้บริโภค 2) มาตรการป้องปรามผู้ค้า 3) มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิด โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าตรวจสอบสถานที่ต้องสงสัยกว่า 13 แห่ง และศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอำนวยความสะดวกให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 4) มาตรการส่งเสริมมาตรฐานฮาลาล และ 5) มาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Tracebility) จากโรงฆ่าสัตว์ถึงผู้บริโภค ดำเนินการตามเป้าหมาย 300 แห่งทั่วประเทศแล้ว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35210 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เผย คกก.กลั่นกรองเงินกู้ไฟเขียวจัดหาเครื่องฉายรังสีให้ 7 รพ.รองรับผู้ป่วยทั่วประเทศ | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
"อนุทิน" เผย คกก.กลั่นกรองเงินกู้ไฟเขียวจัดหาเครื่องฉายรังสีให้ 7 รพ.รองรับผู้ป่วยทั่วประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ เห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องฉายรังสีวงเงิน 878.2 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ช่วยผู้ป่วยมะเร็งทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้นในสถานการณ์โควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ เห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องฉายรังสีวงเงิน 878.2 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ช่วยผู้ป่วยมะเร็งทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้นในสถานการณ์โควิด 19 ลดความเสี่ยงการติดเชื้อขณะผ่าตัดและพักฟื้น บุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงน้อยลง พร้อมลดเวลารอคอยและความแออัด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้พิจารณาผ่านโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี (Linac) สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 878.2 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลสุรินทร์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ทั้งนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ถัดไป
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องเสนอโครงการดังกล่าวเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ผู้ป่วยมะเร็งยังต้องได้รับการรักษา หากเลื่อนการรักษาจะส่งผลให้โรคลุกลามรุนแรงมากขึ้น ไม่สามารถหายขาดได้ ขณะเดียวกันสถานพยาบาลต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการผู้ป่วยรูปแบบใหม่หรือ New Normal ด้วยการฉายรังสีเทคนิคชั้นสูงทดแทนการผ่าตัดได้ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งที่มีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนทั่วไป การฉายรังสีจึงเป็นทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัย ใช้เวลาครั้งละไม่เกิน 10 นาที จากการผ่าตัดที่ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง จึงช่วยลดความเสี่ยงของผู้ป่วยจากการอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ไม่ต้องพักฟื้นในหอผู้ป่วยระหว่างและหลังรักษา ลดความแออัดในโรงพยาบาล สร้างความปลอดภัยของบุคลากรต่อการสัมผัสเชื้อโควิด 19 อย่างไรก็ตาม เครื่องฉายรังสียังมีไม่เพียงพอ แม้ในสถานการณ์ปกติก็เกิดการสะสมของผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีระยะเวลารอคอยการรักษามากกว่า 4 เดือน จึงจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพการให้บริการ
“โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีให้แก่โรงพยาบาลทั้ง 7 แห่งนี้ ช่วยเพิ่มความสามารถการให้บริการแก่ผู้ป่วยมะเร็งได้ดียิ่งขึ้น รักษาคนไข้ได้ปีละ 500-700 ราย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง ทำให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษาได้กับทุกอวัยวะ ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 จากการที่อยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ผู้ป่วยสามารถมารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หรือในเขตภูมิภาค สามารถลดระยะเวลารอคอยการรักษามะเร็ง โดยใช้การฉายรังสีด้วยเทคนิคที่ทันสมัยทดแทนการผ่าตัด ลดการเสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศไทย เนื่องจากได้รับการรักษาในระยะเวลาที่เหมาะสม และลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ในการสัมผัสเชื้อโควิด 19 ในระยะประชิดจากกระบวนการผ่าตัด และลดปัญหาการติดเชื้อโควิด 19 ของผู้ป่วยที่ต้องเดินทาง” นายอนุทินกล่าว
************************************* 18กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดเน้นย้ำประชาชนรักษาวินัยในการป้องกันโรคโควิด-19 และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดเน้นย้ำประชาชนรักษาวินัยในการป้องกันโรคโควิด-19 และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดเน้นย้ำประชาชนรักษาวินัยในการป้องกันโรคโควิด-19 และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
วันนี้ (18 ก.ย. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทวีความรุนแรงและมีจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มสูงขึ้น โดยได้ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันตนเองและรักษาวินัยในการป้องกันโรค
เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ำให้ประชาชนรักษาวินัยในการป้องกันโรค ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างทางสังคม รวมทั้งให้หลีกเลี่ยงการพบปะ สัมผัสกับบุคคล และการเข้าร่วมกิจกรรมทุกประเภทที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโดยไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ระบบการสาธารณสุข และเศรษฐกิจของประเทศ
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35200 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” สั่งทุกหน่วยงานเดินหน้า 4 แผน 5 มาตรการ รับมือ ‘พายุโนอึล’ | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
“เฉลิมชัย” สั่งทุกหน่วยงานเดินหน้า 4 แผน 5 มาตรการ รับมือ ‘พายุโนอึล’
“เฉลิมชัย” ห่วงใยเกษตรกร สั่งทุกหน่วยงานเดินหน้า 4 แผน 5 มาตรการ รับมือ ‘พายุโนอึล’
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดหมายลักษณะอากาศช่วงวันที่ 16 – 20 กันยายน 2563 เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกจะเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลาง และคาดว่าจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันในระยะต่อไป โดยในช่วงวันที่ 18 – 20 กันยายนนี้ จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวตังเกี๋ยและชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2- 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 3 – 5 เมตร และอ่าวไทยคลื่นสูง 1- 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แสดงความห่วงใยไปถึงพี่น้องเกษตรกรในบริเวณภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน ที่จะได้รับอิทธิพลจากพายุดังกล่าว รวมทั้งได้สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย 5 มาตรการ คือ 1) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรให้ทราบสถานการณ์ 2) ระดมคน เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ทุกหน่วยงาน 3) ป้องกันพื้นที่เสี่ยงทางการเกษตร 4) เตรียมพร้อมแผนอพยพในพื้นที่เสี่ยงภัย และ 5) เตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหลังภัยพิบัติ รวมทั้ง 4 แผน คือ 1. การป้องกันและเตรียมความพร้อมเพื่อลดผลกระทบ 2) การเผชิญเหตุ 3) การหยุดยั้งความเสียหาย และ 4) การฟื้นฟู
อย่างไรก็ตาม ขอให้พี่น้องเกษตรกรติดตามประกาศเตือนภัย และข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้ว ตลอดจนเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอดเวลา
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35209 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงแรงงานไทยเส้นเลือดในสมองแตกที่เกาหลี มอบ 'รัฐมนตรีสุชาติ' ช่วยเหลือส่งกลับมารักษาตัวที่ไทยแล้ว | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
นายกฯ ห่วงแรงงานไทยเส้นเลือดในสมองแตกที่เกาหลี มอบ 'รัฐมนตรีสุชาติ' ช่วยเหลือส่งกลับมารักษาตัวที่ไทยแล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกฯ ห่วงใยแรงงานไทยในเกาหลีที่ญาติร้องขอความช่วยเหลือให้ส่งกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย หลังเจ็บป่วยด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตก
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลีแล้วเจ็บป่วยด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งญาติได้ร้องขอความช่วยเหลือให้รัฐบาลไทยช่วยค่ารักษาพยาบาลและขอเดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่ประเทศไทย โดยแรงงานไทยรายดังกล่าวชื่อนางสาวแจ่มจันทร์ ไชยเมือง ล่าสุดได้เดินทางจากเกาหลีเมื่อเย็นวานนี้ (17 ก.ย.63) ด้วยเที่ยวบินที่ ke651 และมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วในเวลาประมาณ 22.00 น. จากนั้น รมว.แรงงาน ได้ให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ เข้าไปดูแล อำนวยความสะดวก ตรวจสอบขั้นตอนการส่งตัวไปยังสถานที่กักตัวที่รัฐบาลจัดให้ (State Quarantine)ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของนางสาวพินยุดา แจ่มจันทร์ศรี อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงาน ณ กรุงโชล รายงานว่า นางสาวแจ่มจันทร์ ไชยเมือง อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 12/8 ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้เดินทางไปทำงานร้านคาราโอเกะในประเทศเกาหลีเป็นเวลาประมาณ 1 ปี 11 เดือน และเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้เข้ารับการรักษาอาการปวดศีรษะรุนแรงด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ที่โรงพยาบาล Cheonan Donkook Univerity Hospital โดยแพทย์ได้ผ่าตัดรักษาเบื้องต้นแล้ว และแจ้งว่าสามารถเดินทางกลับได้ปกติ ทั้งนี้ในส่วนของค่าใช้จ่าย นายจ้างได้ช่วยเหลือบางส่วน แต่เนื่องจากนางสาวแจ่มจันทร์ฯ ไม่มีประกันสุขภาพ จึงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาทั้งหมดได้ สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้น กระทรวงแรงงานได้อำนวยความสะดวกส่งแรงงานไทยไปยังสถานที่กักตัว 14 วัน ที่รัฐบาลจัดให้ (State Quarantine)โดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนด พร้อมประสานโรงพยาบาลเพื่อนำตัวเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35204 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ผลักดันโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รองรับพื้นที่ EEC | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ผลักดันโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รองรับพื้นที่ EEC
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รองรับพื้นที่ EEC
วันนี้ (18 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่โครงการสำคัญ ครั้งที่ 3/2563 ติดตามการดำเนินการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้ง 6 ด้าน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ โดยมุ่งเน้นให้มีการดูแลประชาชนให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งอุทกภัยและภัยแล้ง ที่สำคัญคือต้องมีทรัพยากรน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค การทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรม รวมถึงการดูแลระบบนิเวศ การกักเก็บแหล่งน้ำต้นทุน และต้องใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
โอกาสนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบแผนการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ 557 โครงการ ได้รับงบประมาณดำเนินการแล้ว 31 โครงการ ยังเหลือ 526 โครงการที่ต้องเร่งรัดให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 เป็นต้นไป แบ่งการขับเคลื่อนเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน 182 โครงการ กลุ่ม 2 โครงการที่เตรียมเสนอ กนช. รายโครงการ จำนวน 131 โครงการ และ กลุ่ม 3 โครงการที่ต้องรายงานความก้าวหน้าต่อ กนช. จำนวน 244 โครงการ ซึ่งได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการผ่านแอปพลิเคชัน Application Thai Water Plan เพื่อให้เป็นการรวมศูนย์ของฐานข้อมูล
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการคณะทำงานทางเทคนิคการพัฒนาโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี โดยได้ศึกษาวิธีการผลิตน้ำจากจากน้ำทะเลด้วยเทคโนโลยี 3 รูปแบบด้วยกัน รูปแบบที่ 1 คือ การบำบัดขั้นต้น (Pre-Treatment) ประกอบไปด้วย Multimedia Filtration (MF) Ultrafiltration (UF) และ Ceramic Filtration รูปแบบที่ 2 คือ การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) ได้แก่ Thermal Desalination และ Membrane Desalination หรือ Reverse Osmosis (RO) และ รูปแบบที่ 3 คือ การจัดการของเหลวจากระบบ (Brine Management) ได้แก่ การเจือจางของเหลว (Dilution) Membrane Brine และ กำจัดของเหลวให้เหลือศูนย์ (Zero Liquid Discharge : ZLD) เพื่อรองรับการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ EEC ในอนาคต โดยรองนายกรัฐมนตรีย้ำให้มีการศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อม และเร่งรัดให้มีการจัดทำ Road Map เพื่อให้มีการพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หรือ PPP รวมถึงการลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนในการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วย
สำหรับพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเสนอขอตั้งงบประมาณ ปี 2565 ของหน่วยงาน ทั้งหมด 6 โครงการ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง จังหวัดเชียงราย และโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง และเห็นชอบในหลักการสถานีสูบน้ำดิบพร้อมระบบท่อส่งน้ำเพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จังหวัดปัตตานี สำหรับโครงการอื่นๆ ให้นำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต่อไป
โดยที่ประชุมยังได้มติแต่งตั้งศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ด้วย
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35208 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดและปิด SAREX 2563 ย้ำความสามัคคีของทุกคนจะช่วยนำพาประเทศเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดและปิด SAREX 2563 ย้ำความสามัคคีของทุกคนจะช่วยนำพาประเทศเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดและปิด SAREX 2563 ย้ำความสามัคคีของทุกคนจะช่วยนำพาประเทศเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
วันนี้ (18 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ค่ายพระรามหก จังหวัดเพชรบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะรับฟังบรรยายสรุปการฝึกซ้อมค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2563 ในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยหลักบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้กำหนดสถานการณ์ให้มีอากาศยานประสบภัยในเขตพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี โดยฝึกซ้อมและปฏิบัติเสมือนจริง ให้เกิดความพร้อมเพรียงและสัมฤทธิ์ผลสูงสุดเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งทบทวน ทดสอบแผนการปฏิบัติและการประสานงานบูรณาการการดำเนินงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้เพิ่มขีดความสามารถและสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบินนานาชาติของประเทศไทย ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการและชมการสาธิตการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากอากาศยานประสบภัยและการส่งต่อทางการแพทย์
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบโอวาทและปิดการฝึกซ้อม ฯ ว่า วันนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สอดประสานกันอย่างชัดเจนตามแผนและแนวปฏิบัติ ช่วยป้องกันความสับสนเมื่อเกิดสถานการณ์จริง นอกจากจะเป็นดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศแล้ว ยังเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างหน่วยงาน ร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ ศักยภาพตลอดจนขีดความสามารถในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย ให้สามารถปฏิบัติงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเกิดกรณีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความจำเป็นที่ต้องมีการทบทวนฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำทุกปี
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า การเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ต้องประกอบกันหลายด้าน ทั้งความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองรัฐบาลมี ขอเพียงให้ทุกคนตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญในหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน และปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย รวมทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความรัก ความสามัคคีของทุกคนเพื่อนำประเทศเดินหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35206 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เหมาะแก่ใคร ?? | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
มาตรการนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เหมาะแก่ใคร ??
มาตรการนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (STV) เหมาะแก่ใคร ??
Q : มาตรการนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เหมาะแก่ใคร ??
A : เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเดินทางมาพำนักในระยะยาวภายในประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35207 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'รัฐมนตรีสุชาติ' ห่วงใยครอบครัว กรณีล่าม สนร.ริยาด เสียชีวิตจากปอดติดเชื้อ ขอพระราชทานดินฝังศพประกอบพิธีทางศาสนา | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
'รัฐมนตรีสุชาติ' ห่วงใยครอบครัว กรณีล่าม สนร.ริยาด เสียชีวิตจากปอดติดเชื้อ ขอพระราชทานดินฝังศพประกอบพิธีทางศาสนา
รมว.แรงงานแสดงความเสียใจและห่วงใยครอบครัวกรณีการเสียชีวิตของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) เนื่องจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา และเสียชีวิตเมื่อเวลา 12.00 น.ที่ผ่านมาขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวกรณีการเสียชีวิตของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยติดเชื้อโควิด -19 เพราะไปช่วยคนงานกลับประเทศ แต่รักษาจนหายแล้ว มีเพียงอาการจากระบบทางเดินหายใจ โดยได้กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 2 กันยายนทีผ่านมา และเสียชีวิตวันนี้ (18 ก.ย.63) เวลา 12.00 น. ที่โรงพยาบาลราชวิถี โดยญาติจะนำศพไปทำพิธีตามศาสนาอิสลาม ในวันพรุ่งนี้ ณ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการขอดินพระราชทานจากสำนักพระราชวังเพื่อนำไปให้ญาติประกอบพิธีฝังศพตามศาสนาอิสลามต่อไป
สำหรับนายหมัด มะมิน มีอายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17/1 หมู่ที่ 13 ตำบาลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา สำเร็จการศึกษาสาขาศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอัล - อัชฮัร กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ นายหมัดฯ สมรสกับนางอนุรักษ์ มะมิน มีบุตรด้วยกัน 2 คน ได้แก่ นายไรย์ฮาน มะมิน อายุ 17 ปี และนายไซย์ฟาน มะมินอายุ 14 ปี
นายหมัดฯ มีประสบการณ์ทำงานเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอาหรับในโรงเรียนอิสลาม บูรณศาสน์ แขวงคลองสิบ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เข้าบรรจุในตำแหน่งล่ามประจำสำนักงานที่ปรึกษาการประชาสัมพันธ์ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าทำงานในตำแหน่งล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ในอัตราลูกจ้างชั่วคราวในต่างประเทศ สามารถสื่อสารภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ ได้ในระดับดี มีหน้าที่หลักในการประสานงานกับหน่วยงานราชการของซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน เลบานอน คูเวต และลิเบีย ในการติดตามสิทธิประโยชน์ของแรงงานไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย อาทิ การติดตามค่าจ้างค้างจ่าย การติดตามเงินประกันสังคมซาอุดีอาระเบีย (GOSI) การประสานงานให้กับแรงงานไทยที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย โดยนายหมัดได้ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานแรงงานฯ มากว่า 22 ปี มีผลงานได้ช่วยแรงงานไทยทั้งใน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต บาห์เรน เลบานอน มามากมาย โดยได้ออกไปทำงานเพื่อช่วยให้คนไทยที่เจ็บป่วยได้เดินทางกลับบ้าน และได้ดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง จนทำให้ตัวเองต้องล้มป่วยจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา และเสียชีวิตในเวลาต่อมาขณะที่กลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35214 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด
รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด เปิดโรงอบลดความชื้นข้าวเปลือก ขนาด 500 ตัน/วัน เพิ่มศักยภาพการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโรงอบลดความชื้นข้าวเปลือก ขนาด 500 ตันต่อวัน และเยี่ยมชมการสาธิตการใช้เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกของสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด ณ ต.หอกลอง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ว่าในปี 2561 กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างเครื่องอบลดความชื้น ขนาด 500 ตัน/วัน จากโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรจัดเก็บผลผลิตทางการเกษตร (แก้มลิง) ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อช่วยเสริมศักยภาพสหกรณ์ให้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์การตลาด สามารถดำเนินการรวบรวมรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปได้อย่างทั่วถึง โดยมีปริมาณผลการรวบรวมรับซื้อผลผลิตข้าวเปลือกและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวม 30,490.92 ตัน มูลค่า 226,249,166.50 บาท (ข้อมูล ณ พ.ย.62 - ส.ค.63) สหกรณ์สามารถใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์การตลาดที่ได้รับ โดยนำผลผลิตข้าวเปลือกและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้าเครื่องอบลดปริมาณความชื้นลงตามเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อเก็บรักษาผลผลิตไว้รอการจำหน่าย ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร ทำให้เกษตรกรสมาชิกมีความเชื่อมั่นในระบบบริหารจัดการการผลิตและการตลาดของสหกรณ์ ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีแหล่งจำหน่ายผลผลิตที่แน่นอน ในราคาที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นกลไกขับเคลื่อนงานนโยบายของรัฐ สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบเงินอุดหนุนอุปกรณ์การตลาดแก่สหกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนตามโครงการปรับโครงสร้างการผลิต การรวบรวม และการแปรรูปของสถาบันเกษตรกรรองรับผลผลิตทางการเกษตร จำนวน 5 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด สหกรณ์การเกษตรนิคมฯ บางระกํา จํากัด สหกรณ์วัดจันทร์ จำกัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านตะแบกงาม จำกัด และสหกรณ์ผู้ใช้น้ำชลประทานวัดพริก จำกัด งบประมาณ 80 ล้านบาทเศษ จากนั้นได้พบปะเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตรของจังหวัดพิษณุโลก ทั้งนี้จังหวัดพิษณุโลกมีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านทั้งสิ้น 83 ราย ขณะนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 7,500 รายทั่วประเทศ และกล่าวมอบนโยบายกับสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรผ่านกลไกสหกรณ์ และมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่ผู้แทนสหกรณ์ จำนวน 600 ถุง
สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2517 ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลา 46 ปี เป็นสหกรณ์หลักระดับอำเภอที่ให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม การแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิก และเป็นศูนย์กลางรวบรวมรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร โดยยึดแนวนโยบายของรัฐ “ตลาดนำการผลิต” มาปรับใช้ในการวางแผนธุรกิจ และแผนการส่งเสริมอาชีพของสมาชิกให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิก จำนวน 3,674 คน มีทุนดำเนินงาน 925,914,435.18 บาท มีกำไรสุทธิประจำปี จำนวน 26,811,175.06 บาท สหกรณ์ดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจแปรรูปผลิตผลการเกษตรและการผลิตสินค้าแบบครบวงจร ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35217 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชน “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
“สาธิต” ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชน “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชนมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัวและชุมชน ช่วยคนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีสุขภาพดี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชนมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัวและชุมชน ช่วยคนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีสุขภาพดี
วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่โรงแรมทีเคพาเลซ แจ้งวัฒนะ กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดงานเวทีวิชาการ “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” พร้อมมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและรางวัลโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติแห่งชาติ รวมถึงเครือข่ายที่มุ่งมั่นดำเนินงานพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพดีเด่น โดยมีเครือข่ายสุขศึกษาระดับเขต จังหวัด และระดับพื้นที่ ร่วมงานกว่า 280 คน
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งเสริมความรอบรู้ พัฒนาพฤติกรรมสุขภาพประชาชน ด้วยหลักสุขบัญญัติ สร้างเครือข่ายในระดับหมู่บ้าน โรงเรียน และการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ดำเนินงานใน 2 รูปแบบคือ “หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” และ “โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ” เป็นต้นแบบที่ดีในการดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้นลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และลดการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงาน “หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” ส่งเสริมให้คนในพื้นที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3-5 วัน ครั้งละ 30 นาที ร่วมกับรับประทานผัก ผลไม้สด อย่างน้อยวันละครึ่งกิโลกรัม ลดอาหารไขมัน และจัดการ/ควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ ส่วน “โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ” ปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็ก เยาวชน สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อให้มีพัฒนาการสมวัย เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรง ปัจจุบันมีหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพถึง 15,308 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 20.40 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด และโรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ จำนวน 6,092 แห่ง โดยมีเป้าหมายในปี 2564 มีหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติร้อยละ 50
ทั้งนี้ การจัดเวทีวิชาการ “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” มีการมอบโล่เชิดชูเกียรติ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพื้นที่ปฏิบัติงาน ได้แก่ หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ชนะเลิศระดับเขตและระดับจังหวัดปี 2561 และ 2562 และโรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ ชนะเลิศระดับเขตและระดับจังหวัด ปี 2561 และ 2562 รวม 182 รางวัล และโล่เชิดชูเกียรติเครือข่ายที่มีความมุ่งมั่นดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพดีเด่นปี 2563 รวม 7 รางวัล
************************ 18 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมกทม. คัดกรองผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง ป้องกันโควิด 19 | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
สธ.ร่วมกทม. คัดกรองผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง ป้องกันโควิด 19
สธ.ร่วมกทม. คัดกรองผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง ป้องกันโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกรุงเทพมหานคร คัดกรองผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข แนะผู้เข้าร่วมชุมนุม สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19
วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่โรงแรมทีเคพาเลซ แจ้งวัฒนะ กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้จัดตั้งทีมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) เพื่อติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวในภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข ในกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการรวมตัวจำนวนมาก โดยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมดูแลประชาชน โดยจัดทีมบุคลากรเชิงรุก ออกคัดกรอง ให้คำแนะนำ แจกหน้ากากผ้า/อนามัยและเจลแอลกอฮอล์เข้มข้นมาตรการจุดคัดกรอง จุดล้างมือ การสวมหน้ากากผ้า/อนามัย การเว้นระยะห่าง สำหรับการชุมนุมอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีทีมจากกรุงเทพมหานครเป็นหลักในการดูแล หากมีกรณีฉุกเฉินกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะมีการประสานกับโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่เข้าไปช่วยดำเนินการทันที ในส่วนภูมิภาคได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่มีการชุมนุม จัดทีมเข้าไปดูแลเช่นเดียวกัน
“ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางไปในสถานที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เราต้องไม่ประมาท สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ ไม่นำมือสัมผัสบริเวณ ใบหน้า ตา จมูก ปาก และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1- 2 เมตร กรณีที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ ให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือตะโกน” ดร.สาธิตกล่าว
**********************18 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35221 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบโล่เชิดชูเกียรติ ๑๐๐ สุดยอด ชุมชนคุณธรรมฯ พลัง บวร ต้นแบบ และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคล ที่สนับสนุน “บวร” | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
วธ.มอบโล่เชิดชูเกียรติ ๑๐๐ สุดยอด ชุมชนคุณธรรมฯ พลัง บวร ต้นแบบ และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคล ที่สนับสนุน “บวร”
วธ.มอบโล่เชิดชูเกียรติ ๑๐๐ สุดยอด ชุมชนคุณธรรมฯ พลัง บวร ต้นแบบ และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคล ที่สนับสนุน “บวร”ในการพัฒนาชุมชนด้วยมิติทางวัฒนธรรมประจำปี ๒๕๖๓
วธ.มอบโล่เชิดชูเกียรติ ๑๐๐ สุดยอด ชุมชนคุณธรรมฯ พลัง บวร ต้นแบบ และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคล ที่สนับสนุน “บวร” ในการพัฒนาชุมชนด้วยมิติทางวัฒนธรรมประจำปี ๒๕๖๓ หนุนต่อยอด ขยายความร่วมมือไปสู่สังคมมากยิ่งขึ้น นำสังคมไทยก้าวสู่สังคมคุณธรรมที่มีความมันคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ ๑๐๐ สุดยอด ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบและ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคล ที่สนับสนุนการขับเคลื่อน “บวร” ในการพัฒนาชุมชนด้วยมิติทางวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด เครือข่ายวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี มีเป้าหมายพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมดุลทั้งทางวัตถุและจิตใจ สอดคล้องกับแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๔) ที่เน้นพัฒนาคนทุกช่วงวัยทุกมิติให้เป็น คนดี คนเก่ง มีคุณธรรม และพลเมืองดีมีคุณภาพ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ศรัทธายึดมั่นในศาสนาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำพลัง “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ ” มาขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง พัฒนาจิตใจ จิตสำนึกด้านจริยธรรม และกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนทุกระดับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า วธ. จึงได้บูรณาการทุกภาคส่วน ขับเคลื่อน “ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร” จำนวน ๒๒,๕๔๐ แห่ง ทั่วประเทศ สร้างชุมชนเข้มแข็ง รายได้เพิ่มขึ้น ปัญหาต่างๆ ลดลง และดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม ส่งผลให้คนในชุมชนมีความสุข พึ่งพาตนเอง และเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และขวัญกำลังใจแก่ชุมชนคุณธรรมฯและผู้เกี่ยวข้อง จึงได้คัดเลือก ๑๐๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร ต้นแบบ และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคลที่สนับสนุนการขับเคลื่อนพลัง “บวร” ประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช. ๒๕๖๓ ซึ่งสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ชุมชน บุคคล และหน่วยงานอื่นๆ เข้ารับโล่รางวัลของนายกรัฐมนตรี
“การมอบโล่รางวัลครั้งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในการผนึกกำลังขับเคลื่อนพลัง “บวร” จากทุกภาคส่วนที่ควรได้รับการชื่นชมยินดี และเป็นเครือข่ายที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาดูงาน เป็นพลังของแผ่นดินในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง สร้างสังคมไทยก้าวสู่สังคมคุณธรรม จึงขอให้ทุกท่านภาคภูมิใจ รักษาความดี เป็นแบบอย่างที่ดี นำพาประเทศสู่ความมั่นคง อย่างมั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
ทั้งนี้ ๑๐๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ ที่ได้รับโล่ อาทิ ชุมชนคุณธรรมฯ เทศบาลเมืองไร่ขิง (เกาะลัดอีแท่น) จังหวัดนครปฐม ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านก๋ง จังหวัดน่าน ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเก่าริมน้ำประแส จังหวัดระยอง ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเกาะกลาง จังหวัดกระบี่ และชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเกาะเรียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ ๑๕๐ หน่วยงานหรือบุคคลที่สนับสนุนการขับเคลื่อนพลัง “บวร” อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พระพรหมบัณฑิต รักษาการเจ้าคณะหนกลาง กรุงเทพมหานคร พระพรหมโมลี รักษาการเจ้าคณะภาค ๕ กรุงเทพมหานคร พระพรหมเสนาบดี รักษาการเจ้าคณะภาค ๗ กรุงเทพมหานคร พระวิสุทธาธิบดี รักษาการเจ้าคณะภาค ๔ กรุงเทพมหานคร พระพรหมกวี รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๓ กรุงเทพมหานคร พระพรหมเวที รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๕ จังหวัดนครปฐม พระธรรมวิมลโมลี รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๖
...............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35226 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 รวม 8 รางวัล | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
พม. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 รวม 8 รางวัล
พม. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 รวม 8 รางวัล
วันนี้ (18 ก.ย. 63) เวลา 11.00 น. ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้จัดพิธีรับมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 โดยมี นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ ห้องรอยัล จิบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งพิธีรับมอบรางวัลเลิศรัฐมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายใน และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม โดยรางวัลเลิศรัฐเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) มอบให้หน่วยงานภาครัฐเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูหน่วยงานที่ได้มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. มีผลงานที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 8 รางวัล ดังนี้
1. รางวัลบริการภาครัฐ เป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพื่อประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นที่พึงพอใจ
1.1 รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทนวัตกรรมการบริการ ได้แก่ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จำนวน 1 รางวัล
1.2 รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทพัฒนาการบริการ ได้แก่ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งประจวบคีรีขันธ์ สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จำนวน 1 รางวัล
1.3 รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทพัฒนาการบริการ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง พม. จำนวน 1 รางวัล
2. รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม เป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการบนพื้นฐานความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
2.1 รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม (Effective Change) ได้แก่ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จำนวน 2 รางวัล สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา จำนวน 1 รางวัล และ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 1 รางวัล
3. รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ เป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการได้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ซึ่งได้มาด้วยความเพียรพยายาม ความอดทน หลอมรวมกับความตั้งใจจริงของทุกคนในองค์การ เพื่อนำพาองค์การให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศ
3.1 รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 2 ด้านการวางแผนยุทธศาสตร์และการสื่อสาร เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จำนวน 1 รางวัล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35211 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล” เล็ง ช่วยเหลือคนพิการเพิ่มทักษะ สร้างอาชีพ มีรายได้ เสริมเศรษฐกิจประเทศ | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
“นฤมล” เล็ง ช่วยเหลือคนพิการเพิ่มทักษะ สร้างอาชีพ มีรายได้ เสริมเศรษฐกิจประเทศ
รมช.แรงงาน เล็ง พัฒนาทักษะฝีมือให้คนพิการ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เสริมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
วันที่ 18 กันยายน 2563 เวลา 13.30 น.ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานร่วมหารือกับนายประหยัด ทรงคำ ผู้อำนวยการมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ นายณรงค์ศักดิ์ อัจฉรานุวัฒน์ อธิบดีศาลแรงงานภาค 1 สระบุรี และนางพวงทอง ศรีวิลัย ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีสังวาลเชียงใหม่ โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องแสงสิงห์แก้ว กระทรวงแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวว่า การพัฒนาทักษะฝีมือให้กับคนพิการ เป็นภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และตนเองมีนโยบายการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่กำลังแรงงานของประเทศทุกกลุ่มเป้าหมาย ตามแนวทาง สร้าง ยก ให้ ซึ่งการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับคนพิการ จะอยู่ในส่วนของการให้ คือการให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบาง ให้ได้รับความช่วยเหลือและเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างทั่วถึง ทั้งคนพิการ ผู้สูงอายุ แรงงานกลุ่มสตรี ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตและการทำงานของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญมาโดยตลอด จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่การเพิ่มทักษะและส่งเสริมการจ้างงานคนพิการที่อยู่ในวัยทำงานอายุระหว่าง 15 – 60 ปี มีจำนวน 819,550 คน ประกอบอาชีพ จำนวน 271,916 คน คนพิการในวัยทำงานที่สามารถประกอบอาชีพได้ แต่ยังไม่ได้ประกอบอาชีพ จำนวน 330,339 คน และมีคนพิการในวัยทำงานที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ จำนวน 217,295 คน นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าการประกอบอาชีพของคนพิการจะอยู่ในอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างคิดเป็นร้อยละ 78 ซึ่งคนพิการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชนบท (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2560)
นายประหยัด ทรงคำ ผอ.มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่า ระหว่างปี 2560 -2561 มีครอบครัวคนพิการที่ผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียนไปแล้ว 4 รุ่น จำนวน 547 ครอบครัว นำความรู้ไปประกอบอาชีพในเขตภาคเหนือและภาคกลาง หลักสูตรที่ดำเนินการจัดฝึกอบรม เช่น การเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐาน การเลี้ยงจิ้งหรีด การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ การเกษตรอินทรีย์ การแปรรูปการตลาด การบัญชีและการจัดการ เป็นต้น โดยในแต่ละหลักสูตรจะเป็นการฝึกในภาคทฤษฎี 93 ชั่วโมงและมีการฝึกปฏิบัติ 507 ชั่วโมง รวม 600 ชั่วโมง (100 วัน) หลักสูตรดังกล่าวได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ในปี 2561 มีคนพิการและผู้ดูแลคนพิการมากกว่า 500 คน ยื่นขอรับความช่วยเหลือจากมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ขอรับการอบรมอาชีพอิสระหรือได้รับการจ้างงาน การเข้าพบรมช.แรงงานในวันนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากกระทรวงแรงงาน ผลักดันและประสานกับสถานประกอบกิจการให้ความร่วมมือรับคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการเข้าทำงาน โดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในเชิงนโยบาย ขอให้กระทรวงแรงงานช่วยผลักดันและประสานงานกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เงินกองทุนดังกล่าว เพื่อฝึกอบรมและจ้างงานให้มากขึ้น
“หากคนพิการได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ที่เหมาะสม จะช่วยให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในสังคมโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น ต้องส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำอย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป เพื่อจะสามารถเป็นพลังที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไปได้ ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่”รมช.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35216 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 18 กันยายน 2563 | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 18 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซาอุดิอาระเบีย 4 ราย, บังคลาเทศ 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย, ปากีสถาน 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวทางเลือก มีผู้ป่
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 18 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซาอุดิอาระเบีย 4 ราย, บังคลาเทศ 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย, ปากีสถาน 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวทางเลือก มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 3 ราย จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,328 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.17 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 111 ราย หรือร้อยละ 3.17 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,497 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ซาอุดิอาระเบีย 4 ราย ทุกรายมีสัญชาติไทย เป็นเพศหญิง 2 ราย อายุ 9 และ 14 ปี อาชีพนักเรียน เพศชาย 2 ราย อายุ 61 ปี อาชีพพนักงานบริษัท และ อายุ 50 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 5 กันยายน 2563 และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 16 กันยายน 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 8 ราย ซึ่งทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
สำหรับชายอายุ 50 ปี เคยมีประวัติติดเชื้อเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 มีอาการไข้ ไอ ลิ้นไม่รับรส
ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยได้ตรวจ วันที่ 1 กันยายน 2563 ผลไม่พบเชื้อ
บังกลาเทศ 1 รายเป็นชาย อายุ 42 ปี สัญชาติบังกลาเทศ อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 2 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือกที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 13 กันยายน 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ส่วนค่ารักษาพยาบาลเก็บจากประกันโควิด 19
กาตาร์ 1 รายเป็นชายไทย อายุ 41 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 13 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ซึ่งทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษา
ที่โรงพยาบาล
ปากีสถาน 1 รายเป็นชาย อายุ 10 ปี สัญชาติปากีสถาน เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 13 กันยายน 2563 พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การแพร่ระบาด ของโรคโควิด 19 ในประเทศเมียนมา เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างก้าวกระโดด และประเทศไทยซึ่งมี 10 จังหวัด ติดกับประเทศเมียนมา ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง มีช่องทางธรรมชาติที่อาจเกิดการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายได้ แม้ว่าภาครัฐจะเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังในด่านทางบก โดยมอบให้อำนาจแก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนในด้านสาธารณสุขได้มีการตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามในพื้นที่แนวชายแดน เพิ่มความเข้มงวดในจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมโดยใช้กลไก อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขประชากรต่างด้าว (อสต.) มีส่วนร่วมสอดส่อง และเฝ้าระวังโรคในพื้นที่
อีกประเด็นสำคัญคือ จากรายงานผู้ติดเชื้อของประเทศไทยพบว่า กว่าร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อเป็นผู้ที่อยู่ในวัยเรียน วัยทำงาน หากป่วยกลุ่มนี้มักไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย อาจทำให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว จึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวอย่าประมาท ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก หากมีการรวมกลุ่มชุมนุม มาตรการสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ไม่ตะโกน และหลีกเลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และสัมผัสเชื้อได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35215 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมงานสถาปนากรมป่าไม้ สานต่อ 5 ภารกิจสู่ปีที่ 125 | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
ทส.ร่วมงานสถาปนากรมป่าไม้ สานต่อ 5 ภารกิจสู่ปีที่ 125
ทส.ร่วมงานสถาปนากรมป่าไม้ สานต่อ 5 ภารกิจสู่ปีที่ 125
ทส.ร่วมงานสถาปนากรมป่าไม้ สานต่อ 5 ภารกิจสู่ปีที่ 125
วันนี้ (18 ก.ย. 63) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหาร ทส. ข้าราชการ และพนักงานกรมป่าไม้ ร่วมกันทำพิธีถวายเครื่องราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 และวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ เพื่อรำลึกถึงคุณความดีของบรรพชนและวีรชนป่าไม้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 124 ปี วันสถาปนากรมป่าไม้ ประกาศสานต่อ 5 ภารกิจ ก้าวสู่ปีที่ 125 เดินหน้าพัฒนาระบบปฏิบัติการ “พิทักษ์ไพร” ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมไล่ต้อนแก๊งรุกป่า ส่งเสริมปลูกไม้มีค่า ขยายผลป่าชุมชน 15,000 แห่ง เร่งจัดสรรที่ดิน 5 ลุ่มน้ำ และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ รวมถึงขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วนช่วยคนไทยสู้ภัย “โควิด-19” ลุยจ้างงาน 30,000 อัตรา ทั่วประเทศ
นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ได้เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัล เกียรติบัตร หนังสือชมเชยแก่ผู้ช่วยเหลือกรมป่าไม้ และรางวัลอื่นๆ พร้อมกล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานของกรมป่าไม้ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการดูแลทรัพยากรป่าไม้มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยได้พัฒนาและปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติด้วยการสร้างเครือข่าย และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าไม้ในท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนและถูกเพิกถอนสิทธิในการอยู่อาศัยและการทำกินในพื้นที่เดิม และไม่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อยู่ภายใต้มาตรการอนุรักษ์ดิน น้ำ และป่าไม้ ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดสำหรับนายทุนและกลุ่มชนที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35223 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมครม. ชั้น ๒ ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35218 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดระบบรองรับนักท่องเที่ยวระยะยาว สร้างความปลอดภัย ป้องกันโรคโควิด 19 | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
สธ.จัดระบบรองรับนักท่องเที่ยวระยะยาว สร้างความปลอดภัย ป้องกันโรคโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข จัดระบบรองรับนักท่องเที่ยวระยะยาว 270 วัน สร้างความปลอดภัย ป้องกันโรคโควิด 19 วางเงื่อนไขกักกัน 14 วัน ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ได้ พร้อมสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการ ประชาชน และชุมชน
กระทรวงสาธารณสุข จัดระบบรองรับนักท่องเที่ยวระยะยาว 270 วัน สร้างความปลอดภัย ป้องกันโรคโควิด 19 วางเงื่อนไขกักกัน 14 วัน ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ได้ พร้อมสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการ ประชาชน และชุมชน
วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พร้อมด้วยนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวการเตรียมความพร้อม State Quarantine, Alternative State Quarantine และ Alternative Hospital Quarantine เพื่อรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาพักระยะยาว 270 วัน
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า หลังจากประเทศไทยควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี จึงมีการผ่อนคลายให้ชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ มีการตั้งสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) และสถานกักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine) นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาลเห็นชอบ Medical and Wellness Program จึงมีการดำเนินการตั้งสถานกักกันโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) รองรับผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาในประเทศ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหลักมนุษยธรรม โดยมีการกักกัน 14 วัน ตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง มีระบบการส่งตัวผู้ป่วยที่ปลอดภัย แยกจากประชาชนทั่วไป เข้าสู่ห้องความดันลบ นอกจากนี้ กำลังดำเนินการจัดตั้งสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพ (Wellness Quarantine) รองรับการนำชาวต่างชาติที่สุขภาพแข็งแรงและปลอดเชื้อโควิด 19 เข้ามาใช้บริการกิจการสปาและการส่งเสริมสุขภาพ โดยยืนยันว่าระบบที่ดำเนินการมีความปลอดภัย
นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า จากข้อมูลถึงวันที่ 18 กันยายน 2563 มีผู้ป่วยชาวต่างชาติเดินทางมารักษาจำนวน 568 ราย เป็นผู้ป่วย 321 ราย และผู้ติดตาม 247 ราย พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพียง 5 ราย เป็นผู้ป่วย
2 ราย และผู้ติดตาม 3 ราย อยู่ระหว่างการขออนุมัติ 1,629 ราย อนุมัติแล้ว 878 ราย สามารถสร้างรายได้ 25.4 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดระบบให้ผู้ป่วยและญาติได้ซื้อสินค้าและเรียนออนไลน์ แต่หากเข้ามารักษาทั้งหมดตามที่ขออนุมัติ ประมาณการสร้างรายได้ 141.2 ล้านบาท เมื่อรวมกับการเปิดสถานกักกันในกิจการสุขภาพ และการท่องเที่ยวหลังกักตัวครบ 14 วัน ประมาณการรายได้ไม่ต่ำกว่า 605 ล้านบาท
สำหรับกรณีคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa : STV) เข้ามาพำนักในไทย 270 วัน หรือสามารถต่อวีซ่า 90 วันได้อีก 2 ครั้ง คุณสมบัติของผู้ที่จะเดินทางมาจะต้องเป็นการมาพำนักระยะยาว (Long Stay) ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขและตกลงยินยอมกักตัวในห้องพัก 14 วันใน Alternative State Quarantine หรือ Alternative Local Quarantine ดังนั้นผู้เข้ามาจึงเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ บางส่วนเป็นนักธุรกิจที่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ด้านนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ จะเริ่มจากผู้เดินทางที่ได้รับอนุญาตตามมาตรการป้องกันโรคที่ ศบค.กำหนด โดยเน้นจากประเทศเสี่ยงต่ำ เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพและนักธุรกิจที่มากระตุ้นรายได้ในประเทศ เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคงไว้อย่างน้อย 1 ปี หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้การพำนักในประเทศได้ด้วย ส่วนการจัดระบบรองรับเพื่อความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ในช่วงก่อนเดินทางผู้เดินทางต้องมี Fit to fly ผลตรวจปลอดโควิด 19 ใน 72 ชั่วโมง มีกรมธรรม์ 1 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อหากติดเชื้อจะไม่เป็นการเพิ่มภาระภาครัฐในการบริการคนไทย หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนของประเทศต้นทาง เมื่อเดินทางมาถึงเข้าสู่ระบบการกักตัวที่ปลอดภัย ดำเนินการตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง มีการใช้แอปพลิเคชันในการติดตามตัว อย่างไรก็ตาม การมาอยู่ระยะยาว 270 วัน จะมีการหารือว่าต้องนับรวมช่วงกักตัว 14 วันด้วยหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และหลีกเลี่ยงเข้าที่ชุมชน และหากคนไทยยังร่วมกันคงมาตรการป้องกันโรคก็จะยิ่งเพิ่มความปลอดภัย
นอกจากนี้ ต้องมีการอบรมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเพื่อให้ดำเนินการตามมาตรการ จัดระบบกำกับติดตามการปฏิบัติตัวป้องกันโรคโควิด 19 สื่อสารให้ประชาชนและชุมชนเข้าใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางเข้าออก เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ และสถานที่กักกันทั้ง ASQ และ ALQ ให้เพียงพอ
**************************************18 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชี้แจงกรณีล่ามชาวไทยประจำกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย เสียชีวิต | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
สธ.ชี้แจงกรณีล่ามชาวไทยประจำกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย เสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขแสดงความเสียใจกรณีล่ามชาวไทยประจำกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย เสียชีวิต นับเป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 59 ของประเทศไทยจากโรคโควิด 19 ในทางระบาดวิทยา แต่ทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตด้วยอาการปอดอักเสบจากแบคทีเรียดื้อยา เตรียมเสนอคณะกรรมการวิชาก
กระทรวงสาธารณสุขแสดงความเสียใจกรณีล่ามชาวไทยประจำกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย เสียชีวิต นับเป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 59 ของประเทศไทยจากโรคโควิด 19 ในทางระบาดวิทยา แต่ทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตด้วยอาการปอดอักเสบจากแบคทีเรียดื้อยา เตรียมเสนอคณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พิจารณาให้ความเห็นเพิ่มเติม
วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย ผศ.นายแพทย์พจน์ อินทลาภาพร แพทย์โรงพยาบาลราชวิถี และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการเสียชีวิตของล่ามชาวไทยที่ประจำกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่โรงพยาบาลราชวิถี
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของล่ามชาวไทยผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นชายไทยอายุ 54 ปี อาชีพล่ามของสำนักงานแรงงานประจำกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบียเริ่มไม่สบายเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2563 มีอาการเล็กน้อย ตรวจพบเชื้อโควิด 19 ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 แต่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยรายนี้อยู่ในไลน์กลุ่มสำหรับให้คำปรึกษาดูแลสุขภาพคนไทยในต่างประเทศของกรมการแพทย์ ได้ให้คำแนะนำว่า หากมีอาการมากขึ้นให้ไปโรงพยาบาล กระทั่งวันที่ 26 กรกฎาคม 2563 ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลคิง ฟาฮัด เมดิคัล ซิตี้ และย้ายไปแผนกไอซียูในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผลการตรวจเชื้อโควิด 19 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ยังเป็นบวก ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ป่วยหยุดหายใจ ต้องทำการกู้ชีพและใส่ท่อช่วยหายใจ
จากนั้นวันที่ 25 และ 30 สิงหาคม 2563 ผลการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เป็นลบทั้งสองครั้งก่อนเดินทางกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินพยาบาล (Air Ambulance) ตามความต้องการของผู้ป่วยและญาติ โดยออกจากกรุงริยาด เวลา 20.30 น. ของวันที่ 1 กันยายน 2563 พร้อมทีมแพทย์และพยาบาลอินโดนีเซีย ระหว่างเดินทางได้ถอดท่อช่วยหายใจ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงถึงประเทศไทยเวลา 01.36 น.ของวันที่ 2 กันยายน 2563 และรับผู้ป่วยไปโรงพยาบาลราชวิถีโดยใช้เตียงแคปซูลเคลื่อนที่เพื่อป้องกันการสัมผัส วันที่ 3 กันยายน ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ทำการเพาะเชื้อทางแบคทีเรีย และให้ยาฆ่าเชื้อทางหลอดเลือดดำ ช่วงระหว่างรักษามีอาการทรงๆ และทรุดตัวลงในช่วงหลัง
ด้าน ผศ.นายแพทย์พจน์ อินทลาภาพร แพทย์โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า จากการตรวจประเมินผู้ป่วยพบปัญหาปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา จึงให้ยารักษาปอดอักเสบจากแบคทีเรียต่อเนื่อง โดยปอดด้านขวามีเงาทึบเป็นผลมาจากภาวะการอักเสบของปอดอย่างรุนแรงจากโรคโควิด 19 ก่อนหน้านี้ มีภาวะพังผืดในปอด ทำให้การหายใจค่อนข้างลำบาก ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ คลื่นหัวใจมีความผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการที่หัวใจหยุดเต้น 1 ครั้งระหว่างอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีการบาดเจ็บ โดยคลื่นหัวใจผิดปกติต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง โดยระดับน้ำตาลในเลือดไม่ค่อยดี ส่งผลให้การดูแลรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยามีความยุ่งยากขึ้น ต้องเพิ่มยาควบคุมความดัน3 ชนิด ขณะที่สภาพร่างกายโดยรวมทรุดลงอย่างรวดเร็ว อวัยวะอื่นในร่างกายล้มเหลว ทั้งระบบเลือด ไตวายจากการติดเชื้อ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เสียชีวิตในวันที่ 18 กันยายน 2563
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยโควิด 19 ลำดับที่ 3,430 ของไทย จากการสอบสวนโรคพบประวัติชัดเจนว่า ติดเชื้อโควิด 19 ที่ซาอุดิอาระเบียตั้งแต่กรกฎาคม 2563 การนำผู้ป่วยกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินพยาบาลมีระบบป้องกันการติดเชื้อ เมื่อถึงประเทศไทยอยู่ในระบบการดูแลรักษาที่มีมาตรฐาน ไม่พบผู้สัมผัสเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้นับเป็นผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 เป็นรายที่ 59 ของประเทศไทยในทางระบาดวิทยาและทางสถิติ เนื่องจากยังเป็นการรักษาต่อเนื่องจากการรักษาโรคโควิด 19 ในครั้งแรก แต่ในทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตจากแบคทีเรียดื้อยา โดยจะเสนอให้คณะกรรมการวิชาการภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 พิจารณาให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงการเสียชีวิตของผู้ป่วยรายนี้
************************************** 18 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชน “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
“สาธิต” ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชน “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชนมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัวและชุมชน ช่วยคนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีสุขภาพดี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมหมู่บ้านและโรงเรียนต้นแบบ ชวนประชาชนมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัวและชุมชน ช่วยคนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีสุขภาพดี
วันนี้ (18 กันยายน 2563) ที่โรงแรมทีเคพาเลซ แจ้งวัฒนะ กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดงานเวทีวิชาการ “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” พร้อมมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและรางวัลโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติแห่งชาติ รวมถึงเครือข่ายที่มุ่งมั่นดำเนินงานพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพดีเด่น โดยมีเครือข่ายสุขศึกษาระดับเขต จังหวัด และระดับพื้นที่ ร่วมงานกว่า 280 คน
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งเสริมความรอบรู้ พัฒนาพฤติกรรมสุขภาพประชาชน ด้วยหลักสุขบัญญัติ สร้างเครือข่ายในระดับหมู่บ้าน โรงเรียน และการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ดำเนินงานใน 2 รูปแบบคือ “หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” และ “โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ” เป็นต้นแบบที่ดีในการดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้นลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และลดการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงาน “หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” ส่งเสริมให้คนในพื้นที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3-5 วัน ครั้งละ 30 นาที ร่วมกับรับประทานผัก ผลไม้สด อย่างน้อยวันละครึ่งกิโลกรัม ลดอาหารไขมัน และจัดการ/ควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ ส่วน “โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ” ปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็ก เยาวชน สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อให้มีพัฒนาการสมวัย เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรง ปัจจุบันมีหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพถึง 15,308 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 20.40 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด และโรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ จำนวน 6,092 แห่ง โดยมีเป้าหมายในปี 2564 มีหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติร้อยละ 50
ทั้งนี้ การจัดเวทีวิชาการ “ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนไทย” มีการมอบโล่เชิดชูเกียรติ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพื้นที่ปฏิบัติงาน ได้แก่ หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ชนะเลิศระดับเขตและระดับจังหวัดปี 2561 และ 2562 และโรงเรียนสุขบัญญัติแห่งชาติ ชนะเลิศระดับเขตและระดับจังหวัด ปี 2561 และ 2562 รวม 182 รางวัล และโล่เชิดชูเกียรติเครือข่ายที่มีความมุ่งมั่นดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพดีเด่นปี 2563 รวม 7 รางวัล
************************ 18 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35219 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลทุ่มหมื่นล้าน ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5ล้านไร่ เพิ่มอำนาจต่อรองเกษตรกร อัพเกรดมาตรฐานคุณภาพ ลดต้นทุน | วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
รัฐบาลทุ่มหมื่นล้าน ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5ล้านไร่ เพิ่มอำนาจต่อรองเกษตรกร อัพเกรดมาตรฐานคุณภาพ ลดต้นทุน
รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลทุ่มหมื่นล้าน ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5ล้านไร่ เพิ่มอำนาจต่อรองเกษตรกร อัพเกรดมาตรฐานคุณภาพ ลดต้นทุน
วันนี้ (18 ก.ย.63) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของไวรัสโควิด19 กรอบวงเงิน 1.39 หมื่นล้าน สำหรับโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นการต่อยอดการดำเนินการเกษตรแปลงใหญ่ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการซื้อปัจจัยการผลิตและการขายสินค้า อีกทั้งภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนองค์ความรู้และการใช้เทคโนโลยีได้ตรงกลุ่มอย่างเต็มที่ สำหรับโครงการยกระดับแปลงใหญ่นี้มีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ 2.6 แสนราย เป็นจำนวนแปลง 5.25 พันแปลง คิดเป็นเป็นพื้นที่รวม 5 ล้านไร่ โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมรวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆในการร่วมบริหารจัดการการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ เป้าหมายปลายทางคือการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และยาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
ในเรื่องการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยี นางสาวรัชดากล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯมีศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) ภายในมหาวิทยาลัยหรือสถาบัน การศึกษาในพื้นที่จังหวัดทั้ง 77 จังหวัด เพื่อเป็นกลไก
ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร และจัดอบรมเกษตรกร แหล่งเรียนรู้ และสนับสนุน Smart Farmer และ Young Smart Farmer มากไปกว่านั้น การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่จะดำเนินการควบคู่ไปกับหลายหน่วยงาน เช่น ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตและกาตลาดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูแลเรื่องการจำหน่ายสินค้าเกษตรตามนโยบาย “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ช่วยสนับสนุนแหล่งน้ำให้กับเกษตรกรแปลงใหญ่ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลให้การสนับสนุนในส่วนของน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำสนับสนุนด้านการวางระบบน้ำ
รองโฆษก กล่าวด้วยว่า ณ ปัจจุบัน มีการทำเกษตรแปลงใหญ่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP จำนวน 2.8 พันแปลง เกษตรกรแปลงใหญ่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP จำนวน 1.33 แสนราย และแน่นอนว่าโครงการยกระดับแปลงใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณครั้งนี้ จะนำไปสู่จำนวนเกษตรกรและจำนวนแปลงที่ได้รับรองมาตรฐานเพิ่มขึ้นอีกมาก ที่สำคัญ ประเมินว่าสามารถเพิ่มรายได้และลดต้นทุน คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท จากการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ มีคุณภาพและมาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และยาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35213 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยืนยัน ถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ให้ อบจ. ยึดถูกต้องตามกฎหมายและสองฝ่ายมีความพร้อม | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
สธ. ยืนยัน ถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ให้ อบจ. ยึดถูกต้องตามกฎหมายและสองฝ่ายมีความพร้อม
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน การถ่ายโอนภารกิจ สอน./รพ.สต. ไป อบจ. ต้องเป็นไปถูกต้องตามกฎหมาย และทั้งสองฝ่ายต้องมีความพร้อม ชี้การถ่ายโอนรอบปี 2567 บุคลากรยึดตามคู่มือการถ่ายโอนฯ และความเห็น ก.พ. ส่วนงบประมาณ UC สสจ.และ อบจ.ต้องหารือให้ได้ข้อตกลง
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน การถ่ายโอนภารกิจ สอน./รพ.สต. ไป อบจ. ต้องเป็นไปถูกต้องตามกฎหมายและทั้งสองฝ่ายต้องมีความพร้อม ชี้การถ่ายโอนรอบปี 2567 บุคลากรยึดตามคู่มือการถ่ายโอนฯ และความเห็น ก.พ.ส่วนงบประมาณUC สสจ.และ อบจ.ต้องหารือให้ได้ข้อตกลงร่วมกัน ล่าสุดเหลืออีก 9 จังหวัด รวม 331 แห่ง
นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความก้าวหน้าการถ่ายโอนภารกิจ สอน.และ รพ.สต.ให้แก่ อบจ. ว่า ได้กำชับและสื่อสารกับผู้บริหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตามนโยบายของท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและให้มีการเตรียมความพร้อมทั้งฝ่ายรับและฝ่ายโอนในพื้นที่ ทั้งนี้ ในส่วนกลางระดับอนุกรรมการถ่ายโอนฯ ได้ทำความชัดเจนในหลักการและหลักเกณฑ์การถ่ายโอนในรอบที่ 2 ปี 2567 โดย ประการที่ 1 บุคลากรที่จะถ่ายโอนตามภารกิจ เป็นไปตามคู่มือการถ่ายโอนฯ และการยืนยันของผู้แทนสำนักงาน ก.พ. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ ประการที่ 2 งบประมาณ ซึ่งมี 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นfix costของรพ.สต. ตามขนาดS, M, L ซึ่งสำนักงบประมาณเป็นหน่วยดำเนินการ และส่วนที่สอง งบประมาณหลักประกันสุขภาพหรือ งบ UC ซึ่งเป็นงบที่ รพ.สต.เคยได้รับนั้น หน่วยงานในระดับพื้นที่ คือ สสจ. และ อบจ. ต้องเจรจาหารือตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงบในส่วนผู้ป่วยนอก (OP) และงบในส่วนรายการส่งเสริมป้องกันสุขภาพ (PP) ให้เกิดข้อตกลงทั้งสองฝ่าย
นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าวต่อว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้มอบอำนาจให้แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(นพ.สสจ.) เป็นผู้ลงนามการส่งมอบและบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ นายก อบจ. ซึ่งแต่ละพื้นที่ สสจ.และ อบจ. ต้องมีการประสานหารือ ติดตามตรวจสอบ ทบทวนประเด็นต่างๆ ที่อาจยังมีความไม่ชัดเจนหรือยังเป็นข้อกังวลใจอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ และลดผลกระทบทั้งต่อการให้บริการประชาชน หน่วยงานและบุคลากรที่ต้องถ่ายโอน จึงอาจทำให้บางจังหวัดมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่ขณะนี้ถือว่าคืบหน้าไปอย่างมาก มีการถ่ายโอนไปแล้ว 40 จังหวัด รวม 2,932 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 9 จังหวัด รวม 331 แห่ง ทางพื้นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หากทั้งสองฝ่ายเห็นว่าสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนหรือยังเป็นข้อกังวลใจในการถ่ายโอน สามารถแก้ปัญหาได้ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริการประชาชน หรือบุคลากรที่ต้องถ่ายโอน ก็สามารถลงนามการส่งมอบและMOU ได้ทันที
“กระทรวงสาธารณสุข เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับช่วงที่อาจจะมีการระบาดของโรคโควิด 19 เพิ่มขึ้น รวมถึงไวรัสอุบัติใหม่ตัวอื่นของโรคทางเดินหายใจที่เริ่มมีรายงาน และโรคติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ที่อาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและผลกระทบตามมา เนื่องจากระบบเดิมที่ดำเนินการอยู่ทางระบาดวิทยา คือการเฝ้าระวังโรค การควบคุมและป้องกันโรค การส่งต่อ ตลอดจนการรายงานข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการสั่งการตามระดับถึงในพื้นที่ ซึ่งอาจมีปัญหาเนื่องจากไม่สามารถสั่งการตรงได้ แต่เป็นการประสานงานแทน ทำให้อาจรับมือได้ไม่ทันท่วงที” นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าว
*********************************** 10 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เดินหน้าลุยกวาดล้างยาเสพติด ตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล ย้ำประชาชนทุกคนเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วไปประเทศ | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
มหาดไทย เดินหน้าลุยกวาดล้างยาเสพติด ตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล ย้ำประชาชนทุกคนเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วไปประเทศ
มหาดไทย เดินหน้าลุยกวาดล้างยาเสพติด ตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล ย้ำประชาชนทุกคนเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วไปประเทศ
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศทำสงครามกับยาเสพติดซึ่งได้รับรายงานผลการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง สำหรับในด้านการขับเคลื่อนมาตรการลด Demand และ Supply ด้านยาเสพติด คือการป้องกัน การปราบปรามและการจับกุมผู้ค้าผู้เสพมาดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งรัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภัยจากยาเสพติด และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เร่งบูรณาการความร่วมมือ รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญ เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือขจัดปัญหายาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย และเพิ่มระดับความเข้มข้น พร้อมเดินหน้าทำสงครามกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยในวันนี้ได้นำตัวอย่างมานำเสนอ เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) จังหวัดหนองคาย นำโดยนายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย พร้อมด้วย นายณัฐวัสส์ วิริยานภาภรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย นายกิตติคุณ บุตรคุณ ปลัดจังหวัดหนองคาย นายนนทพัฒน์ กิจรักษา ป้องกันจังหวัดหนองคาย สั่งการให้เจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดหนองคาย ร่วมกับ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดหนองคาย ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเมืองหนองคาย และกอ.รมน.จังหวัดหนองคาย ปฏิบัติการค้นหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด โดยการสุ่มตรวจปัสสาวะลูกจ้างในสถานประกอบกิจการด้วยความสมัครใจ ณ บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (สาขาหนองคาย) ซึ่งการปฏิบัติการมีเป้าหมายเป็นลูกจ้างและพนักงานของบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 120 ราย จากการสุ่มตรวจปัสสาวะ มีผู้เข้ารับการตรวจ จำนวน 114 ราย หลบหนีระหว่างการตรวจ 3 ราย ผลการตรวจปัสสาวะพบสารเสพติด 2 ราย ซึ่งพนักงานทั้งสองรายยินยอมสมัครใจเข้ารับการบำบัด Matrix Program ณ โรงพยาบาลหนองคาย จังหวัดหนองคาย
2) จังหวัดศรีสะเกษ นำโดยนายพรชัย วงศ์งาม นายอำเภอขุนหาญ สั่งการให้นายจุติเพชร บุญเนตร ปลัดอำเภอ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำขุนหาญที่ 6 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน 224 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรขุนหาญ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการข่าวกองกำลังสุรนารี ร่วมกันขยายผลกวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามแผน "ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน" ณ อำเภอ ขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายประวิทย์ อายุ 36 ปี พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด รถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการติดต่อชื้อขายยาบ้า ผลการตรวจปัจสาวะพบสารเสพติด จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรขุนหาญ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
3) จังหวัดร้อยเอ็ด นำโดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด สั่งการให้ นายสันติ โอฆะพนม นายอำเภอเมยวดี พันตำรวจเอกณัฏฐชัย พุดหล้า ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมยวดี ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานฝ่ายปกครองอำเภอเมยวดี ลงพื้นที่ร่วมกันจับกุม นายประหยัด อายุ 42 ปี พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 17,200 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในยานพาหนะรถยนต์ ณ บริเวณอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา มาสอบสวนเพื่อขยายผลหาเครือข่ายและที่มาของยาเสพติด ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมยวดี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
4. จังหวัดขอนแก่น นำโดยนายประจวบ รักแพทย์ นายอำเภอเมืองขอนแก่น พันตำรวจเอกปรีชา เก่งสาริกิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สารวัตรทหาร จากมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 4 เข้าตรวจค้นภายในสถานบันเทิงยูบาร์ขอนแก่น เขตเทศบาลนครขอนแก่น พบซองพลาสติกที่มียาเสพติดชนิดยาอีและยาเค ตกอยู่ที่พื้น จำนวน 4 ซอง และอุปกรณ์การเสพอีก 1 ชิ้น ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 4 ได้เก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับเก็บตัวอย่าง เพื่อจะได้ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น นอกจากนี้ ยังพบนักท่องเที่ยว 2 ราย มีอุปกรณ์การเสพยาเค ก่อนที่ตำรวจจะควบคุมตัวไปตรวจปัสสาวะที่สถานีตำรวจ ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะพบสารเสพติด โดยการตรวจค้นในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปราบปรามและป้องกันยาเสพติด ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายและลงโทษต่อไป
5) จังหวัดสุพรรณบุรี นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี เรื่องการระบาดของยาเสพติดในพื้นที่สุพรรณบุรี จึงสั่งการให้นายธรรศ ศรีดุษฎี ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดสุพรรณบุรี นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดสุพรรณบุรี ออกลาดตระเวนและตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันอาชญากรรมและป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด จากนั้นได้จับกุมนายกนก อายุ 48 ปี ณ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด เงินล่อซื้อจำนวน 16,000 บาท รถจักรยานยนต์ 1 คัน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนขยายผลและตัวให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสระแก้วดำเนินคดีต่อไป
“การเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด โดยการ Re X-Ray ในทุกพื้นที่ มีส่วนสำคัญต่อมาตรการเชิงรุกเข้ากวาดล้างและขจัดยาเสพติดให้หมดไป เนื่องจากชุดข้อมูลผู้ค้าผู้เสพ อาจมีการเปลี่ยนแปลง หรือสำรวจตกหล่น ดังนั้น ฝ่ายปกครองและพี่น้องประชาชน ต้องเร่งสร้างการรับรู้ไม่ให้บุตรหลาน หรือกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เข้าไปตกเป็นเหยื่ออยู่ในกระบวนการของยาเสพติดเพิ่มขึ้น ประการสำคัญ คือ ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยให้การสนับสนุนแจ้งเบาะแสมายังเจ้าหน้ารัฐ ซึ่งจำเป็นจะต้องช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแล และเฝ้าระวัง ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งการแจ้งเบาะแสหรือชุดข้อมูลสำคัญนี้ สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น หรือ สามารถแจ้งความประสงค์ส่งตัวผู้ป่วยยาเสพติด เข้ารับการบำบัด รักษา และฟื้นฟู ในสถานที่บำบัดรักษาที่อำเภอแต่ละแห่งจัดเตรียมไว้ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีบุตรหลาน หรือคนในครอบครัวติดยาเสพติด เป็นการคืนคนดีสู่สังคม สามารถเดินทางไปร้องเรียน หรือขอคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์ดำรงธรรมทุกแห่งทั่วประเทศ ทั้งจังหวัดและอำเภอ หรือที่สายด่วน โทร 1567” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวทิ้งท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 612/2565 วันที่ 9 ธ.ค. 65
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศไทย ได้อับดับ 41 จาก 161 ประเทศ ถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยได้คะแนนการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ 100 % | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศไทย ได้อับดับ 41 จาก 161 ประเทศ ถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยได้คะแนนการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ 100 %
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศไทย ได้อับดับ 41 จาก 161 ประเทศ ถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยได้คะแนนการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ 100 %
วันนี้ (10 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบว่า National Cyber Security Index หรือ NCIS ได้จัดอันดับความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศไทย อยู่อันดับที่ 41 จากทั้งหมด 161 ประเทศ และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยพิจารณาจาก ตัวชี้วัด ความสามารถในการจัดการภัยคุกคามทางไซเบอร์, การจัดการอุบัติเหตุทางไซเบอร์ และ การพัฒนาความปลอดภัยทั่วไปทางไซเบอร์ โดยพิจารณาร่วมกับ ข้อมูลจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ข้อมูลจากองค์กรและผู้เชี่ยวชาญ และ ข้อมูลของ NCIS เอง
ประเทศไทยได้รับคะแนนการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล คะแนนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางไซเบอร์ และ คะแนนการวิเคราะห์ภัยทางไซเบอร์และข้อมูล 100 % คะแนนการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ 89 % คะแนนความมั่นคงดัชนีทางไซเบอร์ที่ 64.94 % และคะแนนการจัดการวิกฤตทางไซเบอร์อยู่ที่ 60 %
“นายกรัฐมนตรีกำชับการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตระหนักถึงการพัฒนาทางไซเบอร์มาตลอด โดยวางแนวนโยบายที่ครอบคลุมประเด็นทางไซเบอร์ ได้แก่ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย และเป็นระเบียบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผลจากการดำเนินงานนโยบายที่ผ่านมานั้นจึงได้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากการจัดอันดับทางไซเบอร์ของประเทศไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คะแนนหลายส่วนน่าภาคภูมิใจ ประเทศไทยมีความปลอดภัยด้านการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล 100% แสดงถึงความเข้มแข็งของ ระบบการจัดการทางไซเบอร์ของประเทศไทย” นายอนุชาฯกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ยกอานิสสงส์เอเปคปังไม่หยุด ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มปีหน้า 20-24ล้านคน สร้างรายได้ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท สะท้อนวิสัยทัศน์ “พล.อ.ประยุทธ์” ดึงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
"ทิพานัน" ยกอานิสสงส์เอเปคปังไม่หยุด ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มปีหน้า 20-24ล้านคน สร้างรายได้ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท สะท้อนวิสัยทัศน์ “พล.อ.ประยุทธ์” ดึงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
"ทิพานัน" ยกอานิสสงส์เอเปคปังไม่หยุด ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มปีหน้า 20-24ล้านคน สร้างรายได้ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท สะท้อนวิสัยทัศน์ “พล.อ.ประยุทธ์” ดึงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับรายได้ประชาชนเป็นรูปธรรม
วันที่ 10 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ว่าในปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะมีจำนวนประมาณ 20-24 ล้านคน โดยกลับมาคิดเป็นสัดส่วน 50-60% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2562 ขณะที่การใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทย จะสร้างรายได้สู่ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จะมีมูลค่าประมาณ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 42,000 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 2565
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยที่สนับสนุนการท่องเที่ยว นอกจากการทำแคมเปญการตลาดกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศ รวมถึงมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ได้แก่ มาตรการขยายระยะเวลาพำนักของชาวต่างชาติ ทั้งกลุ่มประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน และกลุ่ม Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน (เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม2565-31 มีนาคม2566) แล้ว อีกหนึ่งปัจจัย คือการจัดงานเอเปค 2022 ที่เผยแพร่ในสังคมออนไลน์ของผู้นำประเทศ ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติมากขึ้น
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการวิเคราะห์ดังกล่าว สะท้อนถึงประสิทธิภาพและผลสำเร็จของการจัดประชุมเอเปค 2022 ที่ช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อนำไปสู้การสร้างงาน สร้างรายได้ในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นเมืองสำหรับการจัดการประชุม ซึ่งนอกจากกรุงเทพฯจะเป็นเมืองที่ติดอันดับ 1 ในเมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบมากที่สุด (Best City) ในการท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิค จากการเปิดเผยของนิตยสาร DestinAsian และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ยังจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลก
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลที่แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกเลือกกรุงเทพฯเป็นอันดับ 1 คือ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม วัฒนธรรมและอาหารที่มากมายหลากหลายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและพี่น้องประชาชน ที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี
“จะเห็นได้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ มีความเข้าใจและใช้ศักยภาพของซอฟต์พาวเวอร์ ทุนทางวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีพลังสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”น.ส.ทิพานัน ระบุ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62544 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ติดตามสถานการณ์น้ำภาคใต้ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
นายกฯ ติดตามสถานการณ์น้ำภาคใต้ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี
นายกฯ ติดตามสถานการณ์น้ำภาคใต้ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี
วันที่ 10 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งพบว่าในช่วงวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2565 นี้ จะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและบริหารจัดการสถานการณ์น้ำให้เหมาะสม สอดคล้องกับพื้นที่ในแต่ละจังหวัดด้วย
โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ รายงานสภาพอากาศใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักมากบริเวณสงขลา นราธิวาส และปัตตานี และออกประกาศฉบับที่ 56/2565 แจ้งพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวัง ดังนี้
1.เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก น้ำท่วมขัง บริเวณ จ.ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
2. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำลันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำชุมพร คลองหลังสวน แม่น้ำตาปี แม่น้ำพุมดวง แม่น้ำตะกั่วป่า แม่น้ำปากพนัง แม่น้ำตรัง คลองชะอวด แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก
นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำของอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการเก็บกักน้ำสูงสุด และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปริมาตรน้ำมากกว่า 80% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้นที่จะกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ โดยศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ได้พิจารณาปรับลดการระบายน้ำอยู่ที่ 5 ล้าน ลบ.ม. (จากเดิม 6.05 ลบ.ม.) โดยเริ่มลดการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2565 เพื่อลดผลกระทบบริเวณท้ายเขื่อนให้น้อยที่สุด
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าเพื่อรองรับสถานการณ์ ทั้งการเร่งระบายน้ำและพร่องน้ำ ลงพื้นที่ตรวจสอบและซ่อมแซมตามแนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมไปถึงการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องมือให้ประจำในพื้นที่จุดเสี่ยงภัยให้เพียงพอเพื่อให้ทันต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชน” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว แรงงาน เร่งขับเคลื่อนพลิกโฉมแรงงานภาคเกษตร สู่เกษตรอัจฉริยะ | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
รมว แรงงาน เร่งขับเคลื่อนพลิกโฉมแรงงานภาคเกษตร สู่เกษตรอัจฉริยะ
รมว.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เทรนแรงงานภาคการเกษตรให้ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการผลิต ลดต้นทุน ลดเวลา เพิ่มผลผลิต มอบโรงเรือนต้นแบบเกษตรอัจริยะเพื่อเรียนรู้ 95 แห่งทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันรัฐธรรมนูญ ๑๐ ธันวาคม | วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565
วันรัฐธรรมนูญ ๑๐ ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM meets with Lord Powell of Bayswater KCMG of United Kingdom | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
PM meets with Lord Powell of Bayswater KCMG of United Kingdom
PM meets with Lord Powell of Bayswater KCMG of United Kingdom
December 8, 2022, at 11.00 hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Lord Powell of Bayswater KCMG, member of the House of Lords, United Kingdom, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to meet with Lord Powell of Bayswater, whom he has earlier met in several occasions, and commended long-standing and cordial relations between Thailand and United Kingdom. He also conveyed felicitations toward King Charles III, and expressed profound condolences over the passing of Queen Elizabeth II, who was deeply revered by the Thai people.
Lord Powell of Bayswater thanked the Prime Minister for the warm welcome as always, and congratulated the success of Thailand’s hosting of the 29th APEC Economic Leaders’ Meeting. The Prime Minister was praised for the capability to liaise, manage, and administer the meeting in an efficient manner despite the current tensions and challenges. He also recognized the Thai Government’s effective response to COVID-19 pandemic which has boosted confidence of and drawn an increasing number of UK travelers to Thailand.
Both parties came to terms that there are potentials for Thailand and UK to further tighten economic cooperation. The Prime Minister underscored the Thai Government’s policy to promote digital economy and sustainable economic recovery and growth to becoming a low-carbon society driven by the BCG economic model, which is in line with UK’s Ten Point Plan for Green Industrial Revolution. Thailand and UK may also exchange knowledge and good practices for sustainable economic recovery. The Prime Minister took the opportunity to extend his invitation for UK businessmen to invest in the Eastern Economic Corridor (EEC) in the fields of their expertise, which include EV production, and consider Thailand as their production base.
The Prime Minister also called on the UK to consider reduction of import duties for Thailand’s eco-friendly goods, and tangible development of FTA between the two countries through existing bilateral cooperation mechanisms, i.e., Strategic Dialogue Meeting, and JETCO. He also encouraged UK investors to take most advantage of Thailand’s reduction of tariff rates for environmental goods implemented under the APEC framework.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62541 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" เผยกองทุนยุติธรรม อนุมัติช่วย ปชช.ไปแล้วกว่า 47 ล้านบาท ชม จนท.ตั้งใจทำงานชาวบ้านพอใจมาก ขอช่วยประชาสัมพันธ์อีกเยอะๆ ชวนผู้เดือดร้อนมาใช้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
"สมศักดิ์" เผยกองทุนยุติธรรม อนุมัติช่วย ปชช.ไปแล้วกว่า 47 ล้านบาท ชม จนท.ตั้งใจทำงานชาวบ้านพอใจมาก ขอช่วยประชาสัมพันธ์อีกเยอะๆ ชวนผู้เดือดร้อนมาใช้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
"สมศักดิ์" เผยกองทุนยุติธรรม อนุมัติช่วย ปชช.ไปแล้วกว่า 47 ล้านบาท ชม จนท.ตั้งใจทำงานชาวบ้านพอใจมาก ขอช่วยประชาสัมพันธ์อีกเยอะๆ ชวนผู้เดือดร้อนมาใช้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานกองทุนยุติธรรมในปีงบประมาณ 2566 หลังจากผ่านมาแล้ว 2 เดือนเศษ มีผู้เข้ารับบริการทั้งหมด 823 ราย แบ่งเป็นผู้มาขอรับคำปรึกษากฎหมาย 48 ราย และผู้มาขอรับความช่วยเหลือตามภารกิจของกองทุนยุติธรรม 775 ราย เช่น การช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การจัดหาทนาย การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา หรือการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิด และการสนับสนุนในการให้ความรู้ทางกฎหมาย ขณะนี้ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือประชาชนแล้ว 47,991,540 บาท โดยจ่ายเงินไปแล้ว 2,884,670 บาท สำหรับงบประมาณของกองทุนยุติธรรมในปี 2566 มีวงเงินช่วยเหลือประชาชน 152,750,000 บาท
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เรายังได้มีการสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อการให้บริการของกองทุนยุติธรรม เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาบริการ ทั้งในด้านกระบวนการให้บริการ การให้บริการของเจ้าหน้าที่ ความสะดวกในการรับบริการ และการแจ้งข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าผู้มารับบริการมีความพึงพอใจมาก ตรงนี้ตนต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ตั้งใจทำงานช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อน และขอให้พัฒนาให้ดีขึ้นไปอื่น รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้คนทราบและเข้ามาใช้บริการกันเยอะๆ
"ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชานที่ได้รับความเดือดร้อน หรือมีปัญหาเข้ามาขอความช่วยเหลือกับกองทุนยุติธรรมได้เลย เรามีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาทางด้านกฎมาย หรือหากต้องขึ้นศาลเรามีทนายความให้การช่วยเหลือฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถเข้ามาติดต่อที่กระทรวงยุติธรรม สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ หรือโทร 1111 กด 77 เรายินดีที่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่" นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62546 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวเข้าไทยครบ 10 ล้านคน ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ยืนยันรัฐบาลเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นตอนและยั่งยืน ชูความงดงามทางธรรมชาติ อาหาร ศิลปวัฒนธรรม | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวเข้าไทยครบ 10 ล้านคน ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ยืนยันรัฐบาลเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นตอนและยั่งยืน ชูความงดงามทางธรรมชาติ อาหาร ศิลปวัฒนธรรม
นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวเข้าไทยครบ 10 ล้านคน ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ยืนยันรัฐบาลเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นตอนและยั่งยืน ชูความงดงามทางธรรมชาติ อาหาร ศิลปวัฒนธรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ย้ำทุกฝ่ายอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (10 ธันวาคม 2565) เวลา 16.10 น. ณ อาคารผู้โดยสารขาเข้า ชั้น 2 ประตู 10 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวครบ 10 ล้านคน “Amazing Thailand 10 Million Celebrations” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมรอต้อนรับ เพื่อขอบคุณนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการเดินทางท่องเที่ยว จนทำให้ภาคการท่องเที่ยวบรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคนในปี 2565 รวมทั้งเป็นการขอบคุณความร่วมมือและความทุ่มเทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่น และคนไทยทุกคนที่ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี จนสามารถพลิกฟื้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมาเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในใจนักท่องเที่ยวอีกครั้ง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนักท่องเที่ยวพร้อมแสดงความยินดีในโอกาสร่วมเฉลิมฉลองการต้อนรับนักท่องเที่ยวครบ 10 ล้านคน ว่า ในช่วงที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางของคนทั่วโลกต้องสะดุดลง เพราะถูกจำกัดด้วยมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นอันเป็นผลมาจากคนไทยทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าอุปสรรคพร้อม ๆ กับชาวโลกจนสามารถเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและยั่งยืน ได้พบกับบรรยากาศฟ้าหลังฝนที่สดใส โดยรัฐบาลมีมาตรการและแผนการปฏิบัติที่รัดกุมเป็นที่ยอมรับของนานาชาติเพื่อรองรับการมาเยือนของทุก ๆ คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน นับเป็นหนึ่งความสำเร็จและยังคงมีความมุ่งมั่นในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายการเดินทางของคนทั่วโลก มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อรองรับการมาเยือนของชาวต่างชาติ นอกจากความสวยงามของธรรมชาติที่ผ่านการพักฟื้นสู่ความอุดมสมบูรณ์ อาหาร และศิลปวัฒนธรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าประทับใจแล้ว ประเทศไทยยังมีการอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยในการเดินทาง ซึ่งได้กำชับให้ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเคร่งครัด เช่น บนเรือต้องมีชูชีพที่ครบและสมบูรณ์ ความคับคั่งของคนในสถานที่ท่องเที่ยวต้องไม่เกินขีดจำกัดและอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความเอาใจใส่และความจริงใจในการดูแลผู้มาเยือนเหมือนคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มสยามที่แสดงถึงความรักความโอบอ้อมอารีทำทุกอย่างให้แก่ผู้มาเยือนมีความสุข
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้การดูแลนักท่องเที่ยวทุกคนที่ถือเป็นแขกของคนไทยทั้งประเทศ และร่วมแสดงความยินดีกับนักท่องเที่ยวผู้โชคดี พร้อมอวยพรให้ทุกคนมีความสุขได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ มีสวัสดิภาพตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทยอันเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม และหวังว่าจะได้ต้อนรับการกลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต
จากนั้น นายกรัฐมนตรีมอบตุ๊กตา Mascot “น้องสุขใจ” มัคคุเทศก์ตัวน้อยที่แสดงถึงความสุขในการที่ได้ไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย พร้อมผ้าพันคอ ผ้าขาวม้า และหมวกเป็นของที่ระลึกแก่ Mrs. Njood Alkhuwaiter Mr.Hetham Almdlj นักท่องเที่ยวผู้โชคดี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ (Saudi Arabian Airlines : Saudia) เที่ยวบินที่ SV 846
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมขั้นตอนการรับนักท่องเที่ยว การเตรียมความพร้อมขั้นตอนอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง และบริเวณสายพานรับกระเป๋าสัมภาระด้วย พร้อมต้อนรับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ สายการบิน TG917 ที่เดินทางมาจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยบรรยากาศการต้อนรับเป็นไปด้วยความอบอุ่น รวมทั้งได้ทักทายนักท่องเที่ยวจากไฟลท์บินอื่น ๆ ด้วย และนายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ขอบคุณที่ช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และเป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วยรอยยิ้ม มิตรภาพและเอกลักษณ์ความเป็นคนไทยที่น่าประทับใจ ก่อนเดินทางกลับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม 12-15 ธันวาคมนี้ เพื่อหารือในประเด็นด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านสีเขียว พร้อมผลักดันการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม 12-15 ธันวาคมนี้ เพื่อหารือในประเด็นด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านสีเขียว พร้อมผลักดันการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน
นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม 12-15 ธันวาคมนี้ เพื่อหารือในประเด็นด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านสีเขียว พร้อมผลักดันการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล
วันนี้ (10 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ระหว่างวันที่ 12 - 15 ธันวาคม 2565 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในกรอบอาเซียนที่มีการประชุมระหว่างผู้นำหรือผู้แทนอาเซียน 9 ประเทศ กับผู้นำหรือผู้แทนประเทศในสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ แม้จะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ แต่ก็เป็นเพียงการพบกันระหว่างผู้นำอาเซียนกับประธานคณะมนตรียุโรป และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เท่านั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้นำทั้งสองภูมิภาคทั้งอาเซียนกับสหภาพยุโรป จะได้พบปะแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายด้านความมั่นคง การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล
โดยนายกรัฐมนตรีมีภารกิจสำคัญในการเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงในช่วงอาหารกลางวัน (C-Suite Roundtable Luncheon) จัดโดยสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน (EU-ASEAN Business Council: EU-ABC) ณ โรงแรมโซฟิเทล บรัสเซลส์ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับภาคเอกชนยุโรปในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน โดยจะมีคณะของสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนเข้าร่วมด้วย
รวมทั้ง ภารกิจในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามร่างกรอบความตกลงความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกกับราชอาณาจักรไทย (Thai-EU Partnership and Cooperation Agreement: Thai-EU PCA)
สำหรับประเด็นสำคัญที่ไทยจะผลักดันในการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงในช่วงอาหารกลางวัน (C-Suite Roundtable Luncheon) ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน จะมีการเน้นย้ำประเด็นความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ครอบคลุม สมดุล และยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องกับข้อริเริ่ม Global Gateway ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการระดมทุน มูลค่า 3 แสนล้านยูโร ที่จะนำไปลงทุนใน 5 ด้าน ได้แก่ พลังงานสะอาด ดิจิทัล คมนาคม สุขภาพ และการศึกษา-วิจัย
ในส่วนของการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ นายกรัฐมนตรีจะสนับสนุนให้สหภาพยุโรปมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาค เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และสร้างบรรยากาศแห่งสันติภพ ที่เอื้อต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งยึดมั่นต่อความเป็นแกนกลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมในภูมิภาค พร้อมผลักดันให้ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อาเซียน-สหภาพยุโรป เป็นพลังเชิงบวกที่สร้างสรรค์แก่ทั้งสองภูมิภาคและประชาคมโลก รวมทั้งผลักดันความเป็นหุ้นส่วนสีเขียวระหว่างอาเซียนกับอียู (ASEAN-EU Green Partnership) เพื่อยกระดับความร่วมมือในเรื่องนี้ ซึ่งไทยเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักและมีบทบาทนำในอาเซียน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62540 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบข่าวปลอมกรมสรรพากรเรียกจ่ายหนี้ค้าง ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง ขณะที่ข่าวปลอมจากกลุ่มนโยบายภาครัฐมากที่สุด ด้านข่าวปลอมโควิด-19 มี 7 เรื่อง | วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส พบข่าวปลอมกรมสรรพากรเรียกจ่ายหนี้ค้าง ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง ขณะที่ข่าวปลอมจากกลุ่มนโยบายภาครัฐมากที่สุด ด้านข่าวปลอมโควิด-19 มี 7 เรื่อง
ดีอีเอส พบข่าวปลอมกรมสรรพากรเรียกจ่ายหนี้ค้าง ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง ขณะที่ข่าวปลอมจากกลุ่มนโยบายภาครัฐมากที่สุด ด้านข่าวปลอมโควิด-19 มี 7 เรื่อง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมสัปดาห์ล่าสุดพบว่าข่าวปลอมกรมสรรพากรโทรศัพท์เรียกจ่ายหนี้ภาษีอากรค้างชำระมาอันดับหนึ่งขณะที่กระแสโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนระบาดและทำให้การติดโควิด-19ง่ายขึ้นส่งผลมีข่าวปลอม7เรื่อง
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่2-8ธันวาคม2565โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบข้อความที่เข้ามาจำนวน5,131,164ข้อความโดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ(Verify)ทั้งสิ้น222ข้อความแบ่งเป็นข้อความที่มาจากSocial listeningจำนวน184ข้อความและข้อความที่มาจากLine Officialจำนวน38ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ103เรื่อง
ทั้งนี้ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น4กลุ่มประกอบด้วย
กลุ่มที่1ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาลข่าวสารทางราชการความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดีและความมั่นคงภายในประเทศจำนวน49เรื่อง
กลุ่มที่2ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพวัตถุอันตรายเครื่องสำอางรวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน39เรื่อง
กลุ่มที่3 ข่าวปลอมเศรษฐกิจจำนวน11เรื่อง
กลุ่มที่4ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติจำนวน4เรื่อง
สำหรับข่าวปลอมทั้ง4กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิค-19จำนวน7เรื่อง
นางสาวนพวรรณกล่าวต่อว่าเมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจสูงสุด10อันดับระหว่างวันที่2-8ธันวาคมดังนี้
อันดับที่1เรื่องกรมสรรพากรโทรศัพท์เรียกจ่ายหนี้ภาษีอากรค้างชำระ
อันดับ2เรื่องห้ามสแกนจ่ายเงินค่าปรับผ่านใบสั่งเจ้าหน้าที่พนักงานเด็ดขาด
อันดับที่3เรื่องคลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นWiFiเป็นสาเหตุหลักๆของการก่อมะเร็ง
อันดับที่4เรื่อง37จังหวัดเตรียมรับมือพายุกระหน่ำไทยแรงที่สุดในปี2565ความแรง160 km.hr
อันดับที่5เรื่องกัญชาช่วยบรรเทาอาการลมชักเฉียบพลันได้
อันดับที่6เรื่องกรมการจัดหางานรับสมัครงานออนไลน์และงานพาร์ทไทม์ผ่านเพจBLOODHUNTER
อันดับที่7เรื่องตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดรับนักลงทุนหน้าใหม่
อันดับที่8เรื่องรักษาโรคหวัดด้วยการดื่มน้ำผสมเบคกิ้งโซดา
อันดับที่9เรื่องเกาหลีเปิดรับแรงงานไทยทำไร่ส้ม
อันดับที่10เรื่องเดินไขว้เท้าช่วยให้หัวใจแข็งเเรง
“ดีอีเอสตระหนักถึงผลกระทบของข่าวปลอมที่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างมากขอให้ประชาชนอย่างหลงเชื่อข่าวปลอมที่มีการแพร่ระบาดในทุกช่องทางทั้งจากโชเชียลมีเดียโทรศัพท์และเอสเอ็มเอสหากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปรกติผ่านโชเชียลมีเดียเอสเอ็มเอสหรือทางโทรศัพท์เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นท่านสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenterเว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ”นางสาวนพวรรณกล่าว
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62545 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.