title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สูงสุด 4 ปีซ้อน!! ธอส. คว้า ITA อันดับ 1 ด้วยผลประเมิน 99.60 คะแนน ในการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประจำปี 63
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 สูงสุด 4 ปีซ้อน!! ธอส. คว้า ITA อันดับ 1 ด้วยผลประเมิน 99.60 คะแนน ในการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประจำปี 63 ป.ป.ช. ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดย ธอส. ทำได้ 99.60 คะแนนอยู่ในระดับ AA และถือเป็นหน่วยงานที่ได้คะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน วันนี้ (28 กันยายน 2563) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารบ้านของคนไทยทำได้ 99.60 คะแนนอยู่ในระดับ AA และถือเป็นหน่วยงานที่ได้คะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันจากหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน และเป็นคะแนนที่สูงที่สุดของ ธอส. นับตั้งแต่เข้าร่วมประเมิน ITA นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน และผลคะแนนปรากฏว่า ธอส. ได้รับคะแนนสูงสุดที่ 99.60 คะแนน อยู่ในระดับ AA และถือเป็นคะแนนประเมินที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยมีจำนวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนผู้รับบริการหรือติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐได้เข้ามามีส่วนร่วมประเมินหรือแสดงความคิดเห็นผ่านการประเมิน ITA จำนวนถึง 1,301,665 คน ซึ่งคะแนนที่ ธอส. ได้รับในครั้งนี้เป็นผลจากการดำเนินงานภายใต้หลักการของ ธอส. ที่เชื่อว่า “Good Result Come From Good Process” หรือผลลัพธ์ที่ดีเกิดจากกระบวนการที่ดี โดยธนาคารยังคงใช้ 6 Key Success Factors ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบมาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย 1.Leadership ผู้นำมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีการบริหารงานอย่างมีธรรมมาภิบาล เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ 2.Employee Awareness & Engagement สร้างการรับรู้ สร้างขวัญ กำลังใจ ยกย่องเชิดชู เพื่อให้พนักงานเกิดความตระหนักถึงการปฏิบัติงานด้วยความรักและผูกพันต่อองค์กร ทุ่มเท และรับผิดชอบ พร้อมที่จะสร้างผลงานให้องค์กรเจริญก้าวหน้าจนกลายเป็นวัฒธรรมองค์กร 3.Digitized Communication มีการสื่อสารแบบดิจิทัลปรับให้เข้ากับการสื่อสารยุคใหม่ที่รวดเร็ว โดยมีการสื่อสารนโยบายต่างๆ ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของธนาคารทั้งภายในและภายนอกได้รับทราบและปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน เป็นการสื่อสารแบบสองทาง โดยมีทั้งการสื่อสารแบบ offline และ online ที่มีข้อมูลถูกต้องครบถ้วน ชัดเจน และทันกาล 4.Paticipation พนักงานและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มของธนาคารมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธนาคาร เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.Technology พนักงานทั้งองค์กรปรับตัวเองในการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงานเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว คล่องตัว รวมถึงลดขั้นตอนการทำงาน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในยุค New Normal 6.Learning การเรียนรู้จากผลการประเมินในปีที่ผ่านมา โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ทบทวน เพื่อพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการทำงาน ให้มีความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วนและทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน อีกทั้งธนาคารยังนำหลักการ 3 Lines of Defense มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงาน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารในทุกมิติมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมาย เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน (Sustainability) “ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากคณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหารทุกระดับให้ความสำคัญในกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีนโยบายที่ชัดเจน มีการสื่อสารถ่ายทอดนโยบายอย่างทั่วถึงทั่วทั้งองค์กร ทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้รับทราบและถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วทั้งธนาคาร สนับสนุนส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของธนาคาร พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดตามรายงานผล และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การมีทีมเวิร์คที่ดี มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจนเป็นระบบ การมีส่วนร่วมของทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกคนทั่วทั้งองค์กร ทำให้เกิดความรักความผูกพันในองค์กร พร้อมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงให้กับองค์กร รวมถึงได้รับความร่วมมืออย่างดีจากลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ คู่ความร่วมมือ ผู้ให้บริการภายนอก สังคมและชุมชน สื่อมวลชน และหน่วยงานกำกับฯ จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่า ธอส. ดำเนินงานอย่างมีคุณธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้ ธอส. ยังคงรักษาอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน เพราะเราเป็น ธอส. หนึ่งเดียว หรือ GHB 1 Team เพื่อร่วมมือกันบรรลุพันธกิจทำให้คนไทยมีบ้านต่อไป”นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ การประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ทบทวนการประเมิน ITA ในหลายด้าน เพื่อพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยยังคงเป็นการประเมินทางระบบ Online (ITAS) และให้ความสำคัญในการพัฒนาเกณฑ์การประเมินให้เกิดการสนับสนุนต่อการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เกณฑ์การประเมินมีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้าน เกี่ยวข้องกับคุณธรรม ความโปร่งใส และการทุจริต ทั้งที่มีลักษณะการทุจริตทางตรงและการทุจริตทางอ้อม รวมไปถึงบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยจำแนกออกเป็น 10 ตัวชี้วัด ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ การใช้งบประมาณ การใช้อำนาจ การใช้ทรัพย์สินของราชการ การแก้ไขปัญหาการทุจริต คุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงระบบการทำงาน การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้เข้าร่วมการประเมินตั้งแต่ปี 2557 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3 (2560-2564) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันการทุจริตและยกระดับคุณธรรมในการดำเนินงานของธนาคารให้มีการบริหารงานที่โปร่งใสและเป็นธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รัฐมนตรีสุชาติ’ ปลื้ม งาน Job expo 3 วัน รอบรรจุงานกว่า 2.4 แสนคน
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ‘รัฐมนตรีสุชาติ’ ปลื้ม งาน Job expo 3 วัน รอบรรจุงานกว่า 2.4 แสนคน รมว.แรงงาน เผย ผลการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 รวม 3 วัน มีหน่วยงานร่วมรับสมัครงาน 570 หน่วย นักศึกษาจบใหม่และประชาชนแห่ร่วมงานคึกคักกว่า 1.2 แสนคน ยอดสมัครงานและรอบรรจุกว่า 2.4 แสนคน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงผลการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการจ้างงานจากผลกระทบของโควิด – 19 ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ เพื่อเยียวยาช่วยเหลือนักศึกษาจบใหม่ให้มีงานทำ รวมทั้งให้ประชาชนสามารถฟื้นตัว สร้างรายได้ให้แก่ภาคครัวเรือน เพื่อนำพาประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานเปิดงาน ที่ฮอลล์ 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมานั้น นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผลการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก มีหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนมาเปิดรับสมัครงานเป็นจำนวนมากถึง 570 หน่วยงาน มีตำแหน่งงานว่าง 1,355,187 อัตรา มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 125,383 คน ทั้งนี้ มีการสมัครงานและรอบรรจุงานจำนวน 243,566 คน สำหรับโครงการส่งเสริมการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ (Co-payment) มีนายจ้างเข้าร่วมโครงการจำนวน 1,048 ราย แจ้งความประสงค์รับสมัครงาน จำนวน 78,855 อัตรา และนักศึกษาจบใหม่ จำนวน 15,737 คน การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีงานทำ โดยการ Matching ตำแหน่งงานว่างให้ผู้สมัครงานและนายจ้างมาเจอกัน ซึ่งการดำเนินการต่อจากนี้ นายจ้างจะทยอยการบรรจุงาน โดยใช้ฐานข้อมูลการสมัครงานจากแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ.com ที่ผู้สมัครได้กรอกข้อมูลไว้ ซึ่งธรรมชาติของการสมัครงานแต่ละองค์กรจะมีขั้นตอนในการคัดเลือกพนักงานให้เหมาะสมตามตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งจากการพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจบใหม่ที่มาสมัครงานด้วยตนเอง พบว่า แต่ละคนมีความสุขที่ได้มาในงานนี้ เนื่องจากสามารถเลือกสมัครงานในตำแหน่งที่ชอบ และมีสิทธิ์เลือกและยื่นสมัครได้หลายสถานประกอบการในวันเดียวกัน ที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและสะดวกในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีกด้วย “ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน ผู้ประกอบการ ที่ให้ความสนใจและร่วมมือในการมาออกบูธรับสมัครงาน ตลอดจนน้องๆ นักศึกษาจบใหม่และประชาชนที่สนใจมาสมัครงานเป็นจำนวนมาก ทำให้การจัดงานในครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ ถือเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในภาพรวมและยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35453
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะดันแผนขับเคลื่อนอุตฯ เครื่องมือแพทย์เต็มสูบ เร่งประกาศให้ทันปี 2564 ตั้งเป้าไทยเป็นฐานผลิตใหญ่ในอาเซียน ปี 2570
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 สุริยะดันแผนขับเคลื่อนอุตฯ เครื่องมือแพทย์เต็มสูบ เร่งประกาศให้ทันปี 2564 ตั้งเป้าไทยเป็นฐานผลิตใหญ่ในอาเซียน ปี 2570 อก.) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้ทันปี 2564 หลังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ต่างประเทศยังไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้มีความต้องการเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้ทันปี 2564 หลังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ต่างประเทศยังไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้มีความต้องการเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2570) พร้อมตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ในอาเซียนภายในปี 2570 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ 1 ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ให้ทันภายในปี 2564 หลังอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558-2562) โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 4.09 จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปีหน้า อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้สินค้าและเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภทขาดแคลน จึงเป็นโอกาสที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2570) พร้อมตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ในอาเซียนภายในปี 2570 “จากการที่ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2564 และเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2574 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร รวมถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทำให้ความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างมากบางสินค้า เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยางความต้องการสูงมากกว่าการผลิตที่มีอยู่และความต้องการยังมีแนวโน้มสูงไปอีกนาน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคในประเทศต่าง ๆ ยังไม่สามารถควบคุมได้ จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะสามารถหยุดการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อลงได้ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ประกอบกับประเทศไทยเป็นที่นิยมและเป็นประเทศที่มีศักยภาพสามารถรองรับการเข้ามารักษาตัวของชาวต่างชาติ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญ กำหนดเป็นเป้าหมายในการพัฒนาและผลักดันสู่การเป็นฮับทางสุขภาพ” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ร่างแผนปฏิบัติการจะมุ่งแก้ปัญหาอุปสรรคและยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยตลอดห่วงโซ่มูลค่าให้มีการพัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นแผนปฏิบัติการที่เริ่มปฏิบัติได้ทันที โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1. การส่งเสริมการผลิตและการลงทุนในเครื่องมือแพทย์ ให้สิทธิประโยชน์กระตุ้นให้มีการผลิตและการลงทุนเครื่องมือแพทย์ ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ไทยให้มีการผลิตเครื่องมือแพทย์ในระดับที่สูงขึ้น กำนหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ให้มีความเชื่อมั่นในสินค้าเครื่องมือแพทย์ รวมถึงการสร้างตราสินค้าเครื่องมือแพทย์ของไทย 2. การส่งเสริมช่องทางการเข้าสู่ตลาด ให้มีการใช้เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น โดยกำหนดสิทธิประโยชน์หรือแรงจูงใจเพิ่มเติมในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับโรงพยาบาลของรัฐ ส่งเสริมให้โรงเรียนแพทย์มีการใช้เครื่องมือแพทย์ของไทยเพื่อให้แพทย์มีความเชื่อมั่นในการใช้เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทย การส่งเสริมตลาดต่างประเทศโดยการจัดงานหรือการเข้าร่วมการประชุมวิชาการทางการแพทย์นานาชาติและงานแสดงสินค้าเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะเพิ่มประโยชน์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ในระดับสากลและส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ของไทยกับนานาชาติ 3. การส่งเสริม/เตรียมความพร้อมด้านปัจจัยสนับสนุน มีการสร้างปัจจัยสนับสนุนในการยกระดับการผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการต่อยอดงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ พัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ สร้างผู้เชี่ยวชาญด้านกลไกควบคุมกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ (Regulatory expert) และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเชิงเทคนิค (Technical expert) เพื่อให้คำปรึกษานักวิจัยและผู้ประกอบการในการประเมินเอกสารการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ การสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศ ระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อาทิ ข้อมูลบัญชีผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลห้องปฏิบัติการทดสอบ ข้อมูลหน่วยงานทดสอบหรือวิจัยทางคลินิก ข้อมูลเอกสารและผลการทดสอบประกอบการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ งานวิจัย และผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35455
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา (HALL EH 98-99) ท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน ในวันนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคแรงงานของประเทศ โดยได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 เพื่อวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และการมุ่งสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 โดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตและการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคต โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาภาคแรงงานในหลายมิติ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในขณะนี้เราต้องร่วมมือกันในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ไม่ให้เกิดขึ้นผมมีความเห็นใจพี่น้องประชาชนภาคแรงงานทุกคนเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ต้องดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบากในการประกอบอาชีพ และบางส่วนต้องตกงาน รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใย พร้อมดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยได้เห็นชอบกรอบข้อเสนอมาตรการเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ให้มีการส่งเสริมการจ้างงาน โดยเฉพาะผู้จบการศึกษาใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาการ จ้างงานภายในประเทศ ด้วยการให้บริการจัดหางานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่องตลอดวัยทำงาน เพื่อให้ประชาชนได้มีงานทำที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และความถนัด มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ได้อนุมัติโครงการสำคัญต่างๆ ทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งเสริมอาชีพ ช่วยเหลือแรงงาน ช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อย นักศึกษาจบใหม่ ผ่านโครงการสำคัญต่างๆ ทั้งในส่วนของการจ้างงาน ผ่านโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ โครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง มาตรการชดเชยการขาดรายได้ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ และการจ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตน การลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การส่งเสริมให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งการพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้พี่น้องประชาชน ทุกคน สามารถผ่านพ้นวิกฤต และพร้อมที่จะเริ่มต้นเดินหน้าต่อไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงต่อไป นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในมิติเศรษฐกิจที่โครงสร้างเศรษฐกิจยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยนวัตกรรมอย่างเต็มที่ ผลิตภาพการผลิตของภาคบริการและภาคเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำคุณภาพและสมรรถนะของแรงงานที่ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ มิติทางสังคมที่การยกระดับรายได้ของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาด้านความยากจนและความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการและการขยายโอกาสในการเข้าถึงระบบบริการสาธารณะ ยังคงมีช่องว่างที่สามารถพัฒนาต่อไปได้ มิติของการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ยังขาดการทำงานแบบบูรณาการและความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น รัฐบาลจึงตระหนักและมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานทุกคน ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน ในระบบ แรงงานนอกระบบ หรือแรงงานคนพิการ และมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานให้มีรายได้สูงขึ้น ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม มีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงรวมทั้งมีความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานที่ดีตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ การดำเนินงาน มีความก้าวหน้าในหลายเรื่อง ได้แก่ การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในทุกจังหวัด การเพิ่มสิทธิประโยชน์ ด้านการประกันสังคมและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ในวันนี้ จะเห็นได้ว่า มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และตอบสนองกับการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคบริการและท่องเที่ยว ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถทำงานได้ในภูมิลำเนาของตนเอง ตลอดจนยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกต่อการทำงานและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทำให้วัยแรงงานได้รับการยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยีและข่าวสารข้อมูลได้สะดวก มีความรู้การบริหารจัดการทางการเงิน ทำให้ประชาชนทุกช่วงวัยและทุกคนมีทักษะ ในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง ในขณะเดียวกันภาครัฐภาคเอกชนก็พร้อมที่จะร่วมมือกันทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ช่วยให้เกิดการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา และร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดี พวกเราทุกคนต้องจับมือก้าวเดินไปด้วยกัน เป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วน นั่นคือภารกิจ“รวมไทย สร้างชาติโดยทุกคนไม่ทิ้งกัน” สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มให้ได้รับบริการจัดหางานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคง บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ณ บัดนี้ และขออวยพรให้การจัดงานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และบรรลุวัตถุประสงค์ทุกประการ ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เกษียณ 132 คน! จุรินทร์ "เชิดชู" ทุกคนที่เสียสละ ทุ่มเท มีโอกาสรับใช้บ้านเมืองในบทบาทข้าราชการ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 พาณิชย์เกษียณ 132 คน! จุรินทร์ "เชิดชู" ทุกคนที่เสียสละ ทุ่มเท มีโอกาสรับใช้บ้านเมืองในบทบาทข้าราชการ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และข้าราชการระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ร่วมงานวันเกษียณอายุ กระทรวงพาณิชย์ ประจำปี 2563 132 คน ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ กล่าวขอบคุณข้าราชการทุกคนทั้งที่ปฎิบัติหน้าที่ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ไม่ว่าจะอยู่ระดับใดก็ตามที่มีส่วนทำให้นโยบายของรัฐบาล นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ที่สำคัญสำหรับเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ต้องเกษียณอายุราชการไปในปีนี้ ผมมั่นใจว่าทุกท่านจะตั้งใจปฏิบัติภารกิจจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่จะเกษียณอายุราชการ และแสดงความชื่นชมกับพวกเราทุกคน นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า วาระของตนมีจำกัด เป็นได้แค่ข้าราชการการเมืองแต่ไม่มีโอกาสเป็นข้าราชการประจำที่มีโอกาสรับใช้บ้านเมืองจนกระทั่งถึงอายุเกษียณราชการ ขอแสดงความชื่นชมทุกคนที่ได้ทุ่มเท เสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังความสามารถตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รู้ว่าตลอดการปฏิบัติภาระหน้าที่ของพวกเรา ไม่มีใครสมหวังทุกเรื่อง ไม่มีใครเสียใจในทุกช่วงชีวิต ไม่มีใครล้มเหลวทั้งหมดและไม่มีใครสำเร็จทั้งหมด แต่ท่านอยู่ได้จนถึงวันเกษียณอายุราชการก็เพราะความเสียสละและภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการที่ได้มีโอกาสรับใช้บ้านเมือง ได้มีโอกาสรับใช้ราชการและได้มีโอกาสรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนมีความภาคภูมิใจเช่นเดียวกับผม ขอแสดงความชื่นชมกับทุกท่านในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ทุกท่านมีความสำคัญกับกระทรวงพาณิชย์เช่นเดียวกันและที่สำคัญสิ่งที่ทำได้ทำไม่ว่าจะในฐานะตำแหน่งใดสิ่งที่ท่านได้ทุ่มเทมาตลอดระยะเวลาได้ถูกร้อยเรียงรวบรวมมาเป็นผลงานของกระทรวงพาณิชย์ และผมมั่นใจว่าสิ่งที่ทุกท่านได้ทำมาแม้ท่านจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักของประเทศเป็นที่รู้จักของคนทุกคน แต่ผมมั่นใจสิ่งที่ท่านได้ทำนั้นได้จารึกไว้ในความทรงจำของประชาชนตลอดไปอย่างแน่นอน ขอให้มีความสุขหลังชีวิตราชการและท่านใดที่ยังมีกำลังความสามารถมีกำลังกายกำลังใจ ก็ยังสามารถรับใช้บ้านเมืองโดยวิธีใดวิธีหนึ่งได้ต่อไป" นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ตัวแทนข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ กล่าวว่า วันที่ 30 กันยายน ของทุกปีสำหรับท่านที่อายุครบ 60 ปีถือว่าเป็นวันที่ต้องอำลาจากหน่วยงาน จากเจ้านาย จากลูกน้อง จากเพื่อนร่วมงาน ที่เรารักและผูกพันกันมายาวนานในฐานะตัวแทนของข้าราชการที่จะเกษียณในกรมต่างๆของกระทรวงพาณิชย์ ขอขอบคุณท่านจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ที่ให้เกียรติมาร่วมงานอำลาพวกเราในวันนี้ ขอเป็นตัวแทนของข้าราชการที่เกษียณอายุทั้ง 132 คน และขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคนที่เคยร่วมงานด้วยกันทั้งที่อยู่ในสายงานและนอกสายงาน ที่ได้ช่วยเหลือร่วมแรงร่วมใจ สามารถทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ แม้ในปีนี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคครั้งยิ่งใหญ่นั่นคือการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายโครงการต้องหยุดชะงักชะลอตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นการปรับตัว ปรับวิธีคิดอย่างมีสติและคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันทำให้เราฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปได้ด้วยดี " ความรู้สึกส่วนตัวเหนื่อยกับกระทรวงพาณิชย์ เราทำงานอย่างทุ่มเทและเหนื่อย ผมเคยตั้งคำถาม คำตอบที่ผมมีความสุขที่สุดและภาคภูมิใจที่สุด คือ เหนื่อยแต่มีความสุข เราทำงานแล้วเห็นชัดว่าพี่น้องประชาชนได้อะไรจากการทำงานของพวกเรา ซึ่งผมประทับใจตั้งแต่ผมเริ่มรับราชการจนถึงวันสุดท้าย จะทำงานรับใช้ประชาชนและประเทศชาติไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของอายุราชการ และพวกเราทั้ง 132 คนพร้อมที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยย้ำทุกจังหวัดใช้งบภัยแล้งและน้ำท่วมต้องโปร่งใส หากพบมีการทุจริตหรือแอบอ้าง ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ดึงภาคประชาชน สถานศึกษาร่วมตรวจสอบ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 มหาดไทยย้ำทุกจังหวัดใช้งบภัยแล้งและน้ำท่วมต้องโปร่งใส หากพบมีการทุจริตหรือแอบอ้าง ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ดึงภาคประชาชน สถานศึกษาร่วมตรวจสอบ มหาดไทยย้ำทุกจังหวัดใช้งบภัยแล้งและน้ำท่วมต้องโปร่งใส หากพบมีการทุจริตหรือแอบอ้าง ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ดึงภาคประชาชน สถานศึกษาร่วมตรวจสอบ วันนี้ (28 ก.ย. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 และวันที่ 15 กันยายน 2563 อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายและกำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้กำกับติดตามการดำเนินงานในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งน่ำท่วมให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบและเป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดผลในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีหนังสือแจ้งแนวทางปฏิบัติไปยังทุกจังหวัดจังหวัด โดยเน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในพื้นที่ ทั้งหน่วยงานในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ส่วนราชการส่วนกลางที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามภารกิจ ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน โดยให้ภาคประชาชนและสถาบันการศึกษาหรือกลไกของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำชับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หากกรณีพบการกระทำอันเป็นการทุจริต ผิดระเบียบ กฎหมาย หรือมีการแอบอ้าง ฉ้อฉล หรือทำให้เชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยวิธีการต่าง ๆ ให้แจ้งความดำเนินคดีหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยเคร่งครัดทุกกรณี และให้รายงานกระทรวงมหาดไทยทราบ โดยด่วน และหากมีการกระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบ กฎหมาย ให้ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญในการตรวจสอบการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนที่มีเบาะแสการกระทำผิด การแอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์ หรือกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 กันยายน 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ปากีสถาน 1 ราย, ซูดานใต้ 16 ราย, ฟิลิปปินส์ 1 ราย, อินเดีย 4 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด) มีผู้ป่วยก รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ปากีสถาน 1 ราย, ซูดานใต้ 16 ราย, ฟิลิปปินส์ 1 ราย, อินเดีย 4 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,369 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.04 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 117 ราย หรือร้อยละ 3.3 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,545 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ปากีสถาน 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 13 ปี อาชีพนักเรียน เดินทางมากับครอบครัวเดินทางถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้(State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล ซูดานใต้ 16 รายทุกรายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุระหว่าง 27 - 54 ปี อาชีพรับราชการทหาร (ปฏิบัติภารกิจทางทหาร) เดินทางถึงประเทศไทยโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ทุกรายไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารที่กรุงเทพมหานคร ฟิลิปปินส์ 1 รายเป็นชาย สัญชาติไทย อายุ 24 ปี อาชีพรับราชการทหาร (ไปศึกษาวิชาทหาร) เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี อินเดีย 4 รายทุกรายมีสัญชาติอินเดีย 3 ราย เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เป็นเพศหญิง อายุ 35 และ 7 ปี เป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน (มารดาและบุตร มาพร้อมบิดามาทำงาน) และเพศชาย อายุ 38 ปี เป็นกรรมการบริษัท มีใบอนุญาตทำงาน ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร 1 ราย เป็นเพศชาย อายุ 30 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) พบเชื้อจากตรวจครั้งแรก วันที่ 25 กันยายน 2563 (วันแรกของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร **การกักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ส่วนค่ารักษาพยาบาลเก็บจากประกันโควิด 19 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกรายงานวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 251,915 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 33,304,666 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 1,002,389 ราย ส่วนในภูมิภาคเอเชีย ประเทศที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รายงานวันนี้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย 82,767 ราย อินโดนีเซีย 3,874 ราย, ฟิลิปปินส์ 2,995 ราย, บังคลาเทศ 1,275 ราย และเมียนมา 743 ราย สำหรับประเทศไทยได้เพิ่มความเข้มข้นตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่แนวชายแดน โดยบูรณาการทำงานทุกภาคส่วนทั้ง ฝ่ายความมั่นคง ปกครอง สาธารณสุข ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ร่วมกันเฝ้าระวังแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ในพื้นที่ชายแดน และในจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าสู่ระบบการคัดกรอง ควบคุมโรคตามมาตรการที่กำหนด จึงอาจนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในชุมชนได้ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่สนับสนุนการจ้างงานแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายเข้าทำงาน ในขณะที่สถานการณ์ของประเทศไทยยังมีความเสี่ยงอยู่ เครื่องมือในการป้องกันโรคที่ดีที่สุด (เปรียบเสมือนวัคซีน) และมีราคาถูกคือการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เนื่องจากเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หากทำร่วมกับการล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น เลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และเลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก และเมื่อเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียนเข้า-ออกผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคต่อไป หากทุกคนช่วยกันจะทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดครั้งใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35480
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสารเคมีรั่ว ที่บางพลี สมุทรปราการ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 สธ.ดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสารเคมีรั่ว ที่บางพลี สมุทรปราการ กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลผู้สัมผัสสารเคมีรั่วจากร้านรับซื้อของเก่า 8 ราย ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สำหรับผู้สัมผัสที่เป็นเด็กชายอายุ 12 ปี ส่งต่อรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี คาดว่าเป็นสารคลอรีน กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลผู้สัมผัสสารเคมีรั่วจากร้านรับซื้อของเก่า 8 ราย ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สำหรับผู้สัมผัสที่เป็นเด็กชายอายุ 12 ปี ส่งต่อรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี คาดว่าเป็นสารคลอรีน วันนี้ (28 กันยายน 2563) นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ให้สัมภาษณ์กรณีเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหล จากร้านรับซื้อของเก่า ใน ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สาเหตุจากการใช้เครื่องมือเจาะถังเหล็ก มีสารเคมีรั่วไหล ทำให้ผู้สัมผัสมีอาการแสบจมูก แสบตา แสบคอ หายใจติดขัด สำลักควัน โดยเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย ได้ฉีดพ่นน้ำบริเวณที่เกิดเหตุและพื้นที่โดยรอบ พร้อมกั้นพื้นที่ และนำผู้สัมผัสสารเคมี ส่งโรงพยาบาลบางพลี จำนวน 8 ราย และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ค้นหาผู้สัมผัสสารเคมีเพิ่มและแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนในชุมชน นายแพทย์สุเทพกล่าวว่า สำหรับผู้สัมผัส สารเคมี 8 ราย ประกอบด้วย รายแรกเป็นชายอายุ 46 ปี ผู้ตัดถังเหล็ก ส่งต่อโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 ตามสิทธิ์ประกันสังคม อีก 7 ราย เป็นหญิง 3 ราย ชาย 2 ราย และเด็ก2 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่บ้านติดกับร้านขายของเก่าที่เกิดเหตุ ทั้งหมดรู้สึกตัวดี มีอาการแสบจมูก แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก แพทย์ให้ออกซิเจนและรับไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาลบางพลี สำหรับเด็ก 2 ราย เป็นเด็กชาย อายุ 12 ปี มีอาการหายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก เจ็บคอ ไอ แรกรับผู้ป่วยรู้สึกตัวดี แพทย์ใส่ท่อหายใจ และส่งตัวไปรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และเด็กหญิงเป็นเด็กเล็กอายุ 2 ปี แรกรับรู้ตัวดี แพทย์ให้ออกซิเจน ล้างตัวและรับตัวไว้สังเกตอาการ นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า จากการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น พบว่ามีความเสี่ยงระดับสูง เนื่องจากสารเคมีที่รั่วไหล มีการฟุ้งกระจายบริเวณกว้าง มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยได้ประสานงานกับศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี ซึ่งได้ให้คำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาผู้สัมผัสสารเคมี และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เก็บตัวอย่างสารพิษในสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่และอสม. ลงพื้นที่แนะนำประชาชนรอบ ๆ พื้นที่เกิดเหตุ ให้สวมหน้ากากอนามัยและสังเกตอาการผิดทางระบบทางเดินหายใจ คาดว่าจะเป็นสารคลอรีน อย่างไรก็ตามจะได้ลงพื้นที่เฝ้าระวังประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง **************************28 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35491
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทของประชาชนยังอยู่
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ​สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทของประชาชนยังอยู่ ​สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทของประชาชนยังอยู่ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 นายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ย้ำว่า สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทของประชาชนกลุ่มดังกล่าวยังคงอยู่ สปสช.จัดหามาตรการรองรับไว้แล้ว หลัง สปสช. บอกยกเลิกสัญญาการให้บริการสาธารณสุขของคลินิกชุมชนอบอุ่นและโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 64 แห่ง จากเหตุทุจริตเงินบัตรทอง ซึ่งมีประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 8 แสนราย และการยกเลิกสัญญาเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ กทม.เท่านั้น ต่างจังหวัดไม่ได้รับผลกระทบ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผย.สปสช. อยู่ระหว่างดำเนินการ 3 ส่วน ดูแลประชาชนกลุ่มนี้คือ กลุ่มผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนัดผ่าตัด ผู้ป่วยล้างไต หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ สปสช.มีฐานข้อมูลที่ชัดเจนและได้มีการโทรประสานไปยังผู้ป่วยโดยตรงแล้ว เพื่อให้สามารถเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรับการดูแลต่อเนื่อง อาทิ เบาหวาน ความดันสูง เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ สปสช.ได้ประชุมร่วมกับสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ในระยะสั้นก่อนระหว่างรอหน่วยบริการใหม่ เบื้องต้นผู้ป่วยเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 37 แห่ง ของกรุงเทพมหานครได้ และกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป ขณะนี้กำหนดสถานะเป็นสิทธิว่างที่เหมือนเป็นวีซ่าพิเศษ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้เข้ารับบริการที่หน่วยบริการบัตรทองที่ใดก็ได้ เป็นการอำนวยความสะดวนในการรับบริการผู้ป่วยนอก หน่วยบริการจะเรียกเก็บค่าบริการมาที่ สปสช. โดยได้ทำการแจ้งยังหน่วยบริการเครือข่ายแล้ว///
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่ คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา เก็บของให้เป็นระเบียบ ช่วยให้ทำความสะอาดและรักษาความสะอาดง่าย ลดการสะสมของเชื้อโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day 2020)
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day 2020) กระทรวงเกษตรฯ จัดกิจกรรมวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day 2020) กระตุ้นจิตสำนึกของประชาชนให้ป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า และสร้างความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงานวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก ปี พ.ศ. 2563 (World Rabies Day 2020) ณ ห้องประชุม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day 2020) ภายใต้หัวข้อ “END RABIES COLLABORATE VACCINATE” “สังคมร่วมใจ ประเทศไทยปลอดพิษสุนัขบ้า ร่วมกันพาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกของประชาชนให้ป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า และสร้างความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง ซึ่งโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทุกชนิด การกระตุ้นจิตสำนึกประชาชนในการพาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และการควบคุมปริมาณสุนัขและแมวถือเป็นเรื่องที่สำคัญในการจำกัดปริมาณสัตว์ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อในพื้นที่ เป็นส่วนหนึ่งในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทย และการดำเนินงานตามโครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานฯ นั้น พบว่า สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าลดลงเป็นอย่างมาก การจัดกิจกรรมวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่ประชาชนทั่วไปให้รู้ถึงภัยอันตรายของโรคพิษสุนัขบ้า และการป้องกันตนเองและสัตว์เลี้ยงจากการติดโรค และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรณรงค์การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งองค์กรเพื่อการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า (Global Alliance for Rabies Control) ได้ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมพร้อมกันทั่วโลก ทั้งนี้ การดำเนินงานของกรมปศุสัตว์จะมุ่งเน้นการควบคุม ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ ซึ่งในปี 2563 พบโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์จำนวน 179 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 2.90 ของตัวอย่างทั้งหมด 6,176 ตัวอย่าง และจากข้อมูล Thairabies.net พบว่าสถานการณ์การเกิดโรคในสัตว์ย้อนหลังสามปีพบว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมปศุสัตว์มีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้าทั่วประเทศ ปัจจุบันมีจังหวัดที่สามารถสร้างพื้นที่ปลอดโรคได้ทั้งหมด 23 จังหวัด "ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day) ผ่านระบบออนไลน์ เชิญชวนร่วมชมการถ่ายทอดสดออนไลน์ Live Streaming ภายใต้แนวคิด “End Rabies: Collaborate Vaccinate" “ร่วมกันกำจัดพิษสุนัขบ้า ด้วยการพาสัตว์เลี้ยงมาทำวัคซีน” ในวันนี้ (28 ก.ย. 63) ตั้งแต่เวลา 09.30 - 17.00 น. ผ่าน 3 ช่องทาง คือ แฟนเพจ : วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก : World Rabies Day 2020 Youtube : WRDThai2020 และ Website : www.WRD2020Thailand.com นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ร่วมกับสัตวแพทยสภา สมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำคู่มือเวชปฏิบัติเรื่องโรคพิษสุนัขบ้าสำหรับคลินิกและโรงพยาบาลสัตว์ด้วย" นายเฉลิมชัย กล่าว ด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ยังได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า อาทิ โครงการปศุสัตว์ร่วมใจกำจัดภัยโรคพิษสุนัขบ้า เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โดยโครงการนี้จะช่วยลดจำนวนประชากรสุนัข-แมวที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของในประเทศไทย โครงการสัตวแพทย์ไทยมุ่งมั่นร่วมใจป้องกันภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า เนื่องใน World Rabies Day 2020 เป็นโครงการที่ร่วมมือกับสถานพยาบาลสัตว์เอกชน เพื่อให้ความรู้และให้บริการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแก่สัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในการสร้างความสัมพันธ์ ความร่วมมือกันระหว่างเครือข่ายโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งภาครัฐ องค์กรต่าง ๆ และประชาชน อีกทั้งในส่วนของภูมิภาคยังได้ประสานความร่วมมือให้แต่ละจังหวัดจัดกิจกรรมออกหน่วยทำหมันและฉีดวัคซีนในพื้นที่ขึ้นในเดือนกันยายน 2563 เพื่อให้บริการประชาชนตามความเหมาะสมและประชาสัมพันธ์ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจากโรคพิษสุนัขบ้า ความสำคัญในการควบคุม ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในทุกพื้นที่ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35476
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมยกระดับ รพ.ปากช่องนานา เป็นศูนย์เชี่ยวชาญอุบัติเหตุฉุกเฉิน
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 สธ.เตรียมยกระดับ รพ.ปากช่องนานา เป็นศูนย์เชี่ยวชาญอุบัติเหตุฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข เตรียมยกระดับโรงพยาบาลปากช่องนานา จ.นครราชสีมา เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ปรับสถานะจากโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็กเป็นขนาดใหญ่ เตรียมรับการขยายตัวของเมือง งานอุบัติเหตุ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ผ่าตัดผ่าน กระทรวงสาธารณสุข เตรียมยกระดับโรงพยาบาลปากช่องนานา จ.นครราชสีมา เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ปรับสถานะจากโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็กเป็นขนาดใหญ่ เตรียมรับการขยายตัวของเมือง งานอุบัติเหตุ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ผ่าตัดผ่านกล้องแบบแผลเล็ก ลดรอคอย ลดแออัด นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้เขตสุขภาพพัฒนาระบบบริการ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการ อำนวยความสะดวกประชาชน ลดการรอคอย ลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยเขตสุขภาพที่ 9 ได้มีแผนพัฒนาโรงพยาบาลปากช่องนานา จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญทางด้านอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เตรียมแผนรองรับทั้งเรื่องอุบัติเหตุและโรคที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายตัวของประชากรและโรคติดต่อที่มากับประชากรต่างถิ่น เนื่องจากการเติบโตของเมืองและมีมอเตอร์เวย์ผ่านอำเภอปากช่อง โดยจะยกระดับจากโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็กที่มีจำนวนเตียง 300 เตียง เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ เพื่อดูแลประชากรในพื้นที่กว่า 2 แสนคนและประชากรแฝงประมาณ 1 แสนคน มีเป้าหมายหลัก คือ ลดการส่งต่อ ลดการรอคอย ลดความแออัด และลดการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Stemi) และอุบัติเหตุ ด้านนายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ บำรุงถิ่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปากช่องนานา จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า โรงพยาบาลปากช่องนานา ได้เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชน และลดแออัดในโรงพยาบาล อาทิ พัฒนาคลินิกหมอครอบครัว (PCC) ให้เป็น Super PCC โดยร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า Big C เปิดพื้นที่ให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและผู้ป่วยจิตเวชมารับยา โดยไม่คิดค่าเช่าสถานที่ ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2563, ขยายบริการตรวจวัดความดันโลหิตที่ร้านขายยา กระจายผู้ป่วยไปรับบริการนอกหน่วยบริการแล้วร้อยละ 60 จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ร้อยละ 70, การจัดทำแอปพลิเคชันนัดหมายผู้ป่วยล่วงหน้า, เพิ่มจุดเจาะเลือดในคลินิกเบาหวาน และการเจาะเลือดในคลินิกหมอครอบครัว ช่วยลดเวลารอคอยเหลือไม่เกิน 100 - 120 นาที, มีแผนพัฒนาโรงพยาบาลมกุฏคีรีวันรองรับผู้ป่วยพ้นระยะวิกฤตและการดูแลผู้สูงอายุครบวงจร นอกจากนี้ ยังจัดบริการรูปแบบใหม่ (New Normal) จากสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีเขียว คือ ผู้ป่วยที่ดูแลตัวเองได้ พบแพทย์ปีละ 2-3 ครั้ง กลุ่มสีเหลือง คือ ผู้ป่วยที่มีปัญหาเล็กน้อย มี อสม.ลงไปเยี่ยม หากพบปัญหาปรึกษาผ่านระบบการดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) ทั้งด้านการพยาบาล ยา และกายภาพบำบัด และกลุ่มสีแดง คือผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องมาโรงพยาบาลจะจัดคิวให้ไม่ต้องรอนาน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 เน้นรักษาระยะห่าง จัดส่งยาให้ผู้ป่วยผ่านไปรษณีย์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมทั้ง เตรียมการรองรับโรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และอุบัติเหตุ และจะเปิดบริการผ่าตัดผ่านกล้องแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery : MIS) สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ร่วมตรวจรักษาคนไข้ในอนาคต ************************** 28 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35456
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ รมช.แรงงาน ชี้ แรงงานสตรี เป็นพลังสร้างเศรษฐกิจและสังคม
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ​ รมช.แรงงาน ชี้ แรงงานสตรี เป็นพลังสร้างเศรษฐกิจและสังคม รมช.แรงงาน เผย ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในแง่ของการกำหนดนโยบายบทบาทของสตรีเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม รวมถึงการกำหนดรูปแบบการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำของสตรีในสังคมเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากขึ้น อีกทั้ง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังให้ความสำคัญกับแรงงานสตรี ด้านการปกป้อง ช่วยเหลือ สร้างความมั่นคงและรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานสตรี รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ให้มีความรู้ความสามารถและมีทักษะที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงาน มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงแรงงานมีบทบาทสำคัญในการปกป้อง ช่วยเหลือ สร้างความมั่นคงและรายได้ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานสตรีเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เป็นการ “ให้” คือให้โอกาสสตรีมีความก้าวหน้าและได้รับการพัฒนาในหลายด้าน โดยผ่านการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อีกส่วนหนึ่งที่ดำเนินการคือ การเพิ่มขีดความสามารถของสตรี ด้วยการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่แรงงานสตรี ได้รับการฝึกอบรม โดยเน้นอาชีพที่มีการจ้างงานผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เช่น พัฒนาทักษะด้านการท่องเที่ยวและการบริการ อาทิ โรงแรม นวด สปา และร้านอาหาร จัดอบรมให้ความรู้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการที่เป็นสตรี ให้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ เพิ่มทักษะ STEM (วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพื่อรณรงค์สนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้หญิง สามารถสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งขับ เพื่อเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้าและสร้างสรรค์ รวมทั้งพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น “โดยในวันนี้ ทีมงานจาก UN Women ได้มาหารือและชี้แจงรายละเอียดการจัดงานวันที่ 30 กันยายน 2563 ที่ได้กำหนดจัดพิธีลงนามขึ้น ระหว่าง UN Women กับผู้นำทางธุรกิจของไทย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะช่วยสนับสนุนและผลักดันการเพิ่มขีดความสามารถของสตรี ให้ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสตรีและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย ------------------------------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีมอบโล่และประกาศนียบัตรแก่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปี 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 “พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีมอบโล่และประกาศนียบัตรแก่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปี 2563 “พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีมอบโล่และประกาศนียบัตรแก่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการมอบโล่และประกาศนียบัตร แก่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปี 2563 ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวง กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานสถิติแห่งชาติ บมจ.ทีโอที บมจ. กสท โทรคมนาคม บจ. ปณท. สำหรับผู้เกษียณอายุราชการของสำนักงานปลัดกระทรวง ประกอบด้วย นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ อดีตรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา) นางอังคณา วงษ์ประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร และนางสาวกอบสิริ เอี่ยมสุรีย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ณ ห้องประชุม ชั้น 2 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แจ้งวัฒนะ **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35464
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ประภัตร เห็นชอบ 3 ร่างมาตรฐานใหม่ “พืชสมุนไพรแห้ง-ก้อนเชื้อเห็ด-ปางช้าง”
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ​“ประภัตร เห็นชอบ 3 ร่างมาตรฐานใหม่ “พืชสมุนไพรแห้ง-ก้อนเชื้อเห็ด-ปางช้าง” รมช.ประภัตร นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร เห็นชอบ 3 ร่างมาตรฐานใหม่ “พืชสมุนไพรแห้ง-ก้อนเชื้อเห็ด-ปางช้าง” วันนี้ (28 ก.ย.63) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2563 ณ ณ ห้องประชุม 351 อาคาร 3 ชั้น 4 สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อดำเนินการประกาศเป็นมาตรฐานทั่วไป 2 เรื่อง และมาตรฐานบังคับใช้ 1 เรื่อง รวม 3 เรื่อง ได้แก่ 1. พืชสมุนไพรแห้ง จำนวน 5 เล่ม คือ เล่ม 1 หัว เหง้า และราก เล่ม 2 ใบ ส่วนเหนือดิน และทั้งต้น เล่ม 3 ดอก เล่ม 4 ผลและเมล็ด และเล่ม 5 เปลือกและเนื้อไม้ 2. การปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตก้อนเชื้อเห็ด และ 3. การปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง สำหรับ ร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบเป็นมาตรฐานบังคับ โดยจะบังคับใช้กับปางช้างทุกขนาด ระยะเวลาบังคับใช้ จะมีผลนับแต่วันประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ต่อไป เพื่อเป็นการปรับปรุงการปฏิบัติที่ดีในการจัดการเลี้ยงช้างที่ถูกต้องและเหมาะสม ให้เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ รวมทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานปางช้างไทย โดยขอบข่ายของมาตรฐานนี้ กำหนดการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง ครอบคลุมองค์ประกอบปางช้าง การจัดการปางช้าง บุคลากร สุขภาพช้าง สวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม การจัดการด้านความปลอดภัย การบันทึกข้อมูล เพื่อให้ช้างมีสุขภาพที่ดี โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพและความปลอดภัย และสวัสดิภาพของบุคลากรและความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการ ซึ่งมาตรฐานนี้ไม่ครอบคลุม 1) การเลี้ยงช้างในครัวเรือน โดยไม่มีการประกอบกิจการเกี่ยวกับช้างเพื่อการท่องเที่ยวหรือการแสดง 2) การเลี้ยงช้างไว้ใช้แรงงาน เช่นการชักลาก และ 3) ศูนย์อนุรักษ์ เพื่อการอนุรักษ์และบริบาลช้าง โดยเป็นกิจการที่ไม่แสวงหากำไร “ประเทศไทยมีปางช้างจำนวนมากที่ทำธุรกิจบริการ เช่น การแสดงช้าง หรือกิจการท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับช้าง ซึ่งปางช้างส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติที่ดีในการจัดการควบคุมดูแลและเลี้ยงช้างที่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพช้าง รวมทั้งเกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเพื่อเป็นการปรับปรุงการปฏิบัติในการจัดการควบคุมดูแลและเลี้ยงช้างให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่องการปฏิบัติการที่ดีสำหรับปางช้าง เป็นมาตรฐานบังคับใช้ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานปางช้างไทย” นายประภัตร กล่าว ทั้งนี้ ปางช้างแต่ละขนาดมีความพร้อมที่แตกต่างกันในการเข้าสู่ระบบมาตรฐาน โดยจำนวนปางช้างในประเทศไทยมี 250 แห่ง แบ่งเป็น 1. ปางช้างขนาดเล็ก (ไม่เกิน 10 เชือก) จำนวน 200 ปาง 2. ปางช้างขนาดกลาง (11 - 30 เชือก) จำนวน 40 ปาง และ 3. ปางช้างขนาดใหญ่ (31 เชือกขึ้นไป) จำนวน 10 ปาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35477
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (คราวที่ 6) ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (คราวที่ 6) ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563 ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (คราวที่ 6) ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563 ย้ำขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันสวมใส่หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่องให้มากกว่าร้อยละ 90 จึงจะลดการติดเชื้อได้ วันนี้ (28 ก.ย. 63) เวลา 11.45 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22 รายทั้งหมดอยู่ใน State Quarantine รวมผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,545 ราย มีผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,369 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงอยู่ที่ 59 ราย ผู้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 117 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22 รายนั้น 1 รายมาจากปากีสถาน เป็นนักเรียนชายไทยรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี 16 รายมาจากซูดานใต้ เป็นเพศชายสัญชาติไทย อาชีพทหารช่างเฉพาะกิจกลับจากการไปปฏิบัติภารกิจด้านการทหาร รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 1 รายเป็นชายไทย เดินทางมาจากประเทศฟิลิปปินส์ รักษาตัวที่โรงพยาบาลแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี อีก 4 รายมาจากอินเดีย โดย 2 รายเป็นมารดาและบุตรเพศหญิงสัญชาติอินเดีย อีก 2 รายเป็นชายสัญชาติอินเดีย ด้านสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบว่าวันนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 1,002,389 ราย เป็นการแตะหลัก 1 ล้านคนเป็นวันแรก ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมเพิ่มขึ้น 251,915 ราย รวมตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมทั่วโลก 33,300,000 กว่าคน ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 138 ของโลก สำหรับตัวเลขผู้ป่วยรวมของโลกขณะนี้อยู่ที่ 2.9 แสนคนถึง 3 แสนคนต่อวัน เฉลี่ย 3-4 วันทั่วโลกมีผู้ป่วย 1 ล้านคน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่น่าไว้วางใจ โฆษก ศบค. เผยถึงสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของเมียนมา ว่า วันนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 743 ราย ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยรวมของเมียนมาอยู่ที่ 10,734 ราย ซึ่งเป็นการแตะหลักหมื่นเป็นวันแรก โดยสถานการณ์ของเมียนมาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อที่อยู่ตามขอบของประเทศในส่วนที่ติดกับบังคลาเทศและอินเดีย ต่อมาต้นเดือนถึงกลางเดือนกันยายนเริ่มผู้ติดเชื้อที่ใจกลางของประเทศ และช่วงกลางเดือนกันยายนถึงปลายเดือนกันยายน มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นและมีผู้เสียชีวิตที่กรุงย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจของเมียนมา ทั้งนี้ ขอบแนวชายแดนของเมียนมามีพื้นที่ติดต่อกับประเทศไทยรวม 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง ดังนั้น จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่อยู่ใน 10 จังหวัดดังกล่าวได้ร่วมมือกันดูแลขอบของประเทศไทยและให้ความร่วมมือด้านสาธารณสุขด้วย เพราะจากสถานการณ์การของเมียนมา มีการติดเชื้อเริ่มต้นมาจากขอบของประเทศที่ติดกับอินเดียและบังคลาเทศ แล้วไหลเข้ามาจนถึงใจกลางประเทศ และขอเน้นย้ำให้คนไทยใส่หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และรักษาระยะห่างและความสะอาดของพื้นผิว เพื่อช่วยป้องกันก่อนที่จะมีวัคซีนโควิด-19 โฆษก ศบค. เผยถึงผลการดำเนินงานโครงการตรวจคัดกรองหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2563 ณ พื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน ได้ทำการตรวจแล้ว 2,642 ราย ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ ขณะที่ห้องปฏิบัติการเครือข่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจ SARS-CoV-2 (COVID-19) ประเทศไทย ตอนนี้มีจำนวน 229 แห่ง และมีจำนวนตัวอย่างที่ได้รับการตรวจ COVID-19 RT-PCR ตั้งแต่เริ่มเปิดบริการ - 25 กันยายน 63 จำนวน 977,854 ตัวอย่าง ด้านรายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการ มีผู้ใช้งาน 45,822,362 คน ร้านค้าลงทะเบียน 290,241 ร้าน โดยสัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 93.3 ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะร้อยละ 6.7 และจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 958,515 คน โฆษก ศบค. กล่าวว่า การเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรนาผ่านทางห้องปฏิบัติการเพื่อสร้างความมั่นใจจะต้องมีการตั้งกลุ่มเป้าหมายในการตรวจห้องปฏิบัติการให้มากขึ้น โดยมี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 1. การตรวจสำหรับการเฝ้าระวัง ดังนี้ (1) การเฝ้าระวังในระบบปกติ ดำเนินการเป็นประจำ (2) การเฝ้าระวังในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะหรือพื้นที่เฉพาะ (3) การเฝ้าระวังพิเศษในกลุ่มอื่น ๆ ตามสถานการณ์ (Special Surveillance) 2. การตรวจสำหรับการสอบสวนระบาดวิทยา กรณีผู้ป่วยยืนยัน อย่างน้อย 1 รายขึ้นไป ดังนี้ (1) การติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด (Close contact tracing) (2) การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active case finding) (3) การค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน กรณีพบผู้ป่วยต่อเนื่องเกิน 28 วัน และ 3. การตรวจเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ได้แก่ (1) ผู้ป่วยต้องการตรวจเอง และ (2) การตรวจในสถานประกอบการ ที่ต้องการเปิดกิจการ โฆษก ศบค. เน้นย้ำให้ประชาชนป้องกันตนเองโดยสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลสำรวจพบว่าการป้องกันตนเองของประชาชนมีแนวโน้มที่ลดลง ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้ทุกคนช่วยกันสวมใส่หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 จึงจะสามารถลดการติดเชื้อได้ สำหรับความพร้อมของเวชภัณฑ์ขณะนี้มีหน้ากาก N-95 จำนวน 2,797,365 ชิ้น ชุด Cover all (PPE) จำนวน 1,186,614 ชุด Surgical Gown 431,875 ชุด และยา Favipiravir จำนวน 590,680 เม็ด ซึ่งจะสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ 8,438 คน โดยความพร้อมในการรับมือกับโควิด-19 นั้นจะต้องทำให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นกับระบบสาธารณสุขไทย แต่ไม่ได้อยู่ที่ความพร้อมของภาครัฐเพียงอย่างเดียว ประชาชนจะต้องร่วมมือกันใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ โฆษก ศบค. เผยรายงานความคืบหน้าการอนุญาตให้บุคคลเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยอาศัยอำนาจตามข้อ 3 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 (ฉบับที่ 13) ดังนี้ 1. การอนุญาตให้นักกีฬาต่างชาติเดินทางเข้ามาร่วมการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ 6 - 16 ตุลาคม 2563 ซึ่งจะจัดการแข่งขันในพื้นที่จังหวัด สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี โดยจะกักตัว 14 วันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ 2. แนวทางการปฏิบัติในการกักตัวนักบินและลูกเรือบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใน Repatriation Flight 3. การอนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) ประเภทต่าง ๆ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อเอื้อประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ โดยจะต้องมีสำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนติดต่อกันในจำนวนเงินเป็นเงินไทยไม่น้อยกว่า 500,000 บาท 4. การกำหนดเงื่อนไขผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับกลุ่ม Long Stay ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 5. การอนุญาตให้ผู้ถือบัตร APEC Card เดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย โดยเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง และจะต้องมีการควบคุมโรคเป็นอย่างดี 6. การอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะสั้นและระยะยาวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โฆษก ศบค. เผยด้วยว่า ที่ประชุม ศบค. ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไทย (คราวที่ 6) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และพิจารณาขออนุญาตให้สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยเสนอการจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ หรือ BWF World Tour ในประเทศไทย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดและมีการประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ชู "อาหาร" เป็นทิศทางสินค้าไทย ก้าวไกลในตลาดโลก เน้นเกษตรกรรมเป็นจุดแข็งของประเทศในภาวะวิกฤติ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 จุรินทร์ ชู "อาหาร" เป็นทิศทางสินค้าไทย ก้าวไกลในตลาดโลก เน้นเกษตรกรรมเป็นจุดแข็งของประเทศในภาวะวิกฤติ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ทิศทางสินค้าไทย ก้าวไกลในตลาดโลก” พร้อมเป็นประธานการมอบรางวัลดีเด่นแต่ละสาขาในการประชุมใหญ่ สามัญประจําปี 2563 ของสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่ง ประเทศไทย ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัล ถนน รัชดาภิเษก นายจุรินทร์ แสดงความยินดีกับสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทยที่ครบรอบ 55 ปี จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บรรยายว่า ทิศทางสินค้าไทยในตลาดโลกเจอสถานการณ์ โควิด-สงครามการค้าสหรัฐกับจีน-เศรษฐกิจโลกหดตัวและที่สำคัญเทคโนโลยี disruption การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันของเทคโนโลยีกระทบทั้งการค้า การลงทุนทุกฝ่าย สิ่งที่ประเทศไทยของเราต้องทำคือเมื่อโลกเปลี่ยนเราก็ต้องปรับเพื่อให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทิศทางสินค้าไทยที่ควรจะก้าวไปให้ไกลในตลาดโลกต้องปรับรูปแบบกลยุทธ์ โดย 1.เปลี่ยนยุทธศาสตร์เป็นใช้การตลาดนำการผลิต 2.เปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้ตรงตลาดและต้องเพิ่มนวัตกรรม และไม่ทิ้งจุดแข็งของประเทศไทยที่เป็นเมืองเกษตรกรรมและมีความหลากหลาย ซึ่งอาหารเป็นจุดแข็งและเป็นอนาคต เราต้องเดินหน้าไปสู่การทำให้"อาหารไทยเป็นอาหารโลก" จะต้องทำให้ประเทศไทยเป็น"ศูนย์กลางอาหารคุณภาพมาตรฐานของโลกให้ได้ " นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่กี่วันมานี้ ตนนำกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ทำข้อตดลงร่วมกันโดยมีต่างชาติประเทศผู้นำเข้าสินค้าอาหารสังเกตการณ์ โดยเราจะควบคุมกำกับดูแลการผลิตร่วมกับเอกชนในเรื่องของอาหารให้มีความปลอดภัยและยอมรับได้ว่าเป็น COVID FREE คือไม่มีโควิดและมีการออกใบรับรองคุณภาพจากราชการเพื่อผู้ส่งออกจะได้นำไปแสดงกับผู้นำเข้าในแต่ละประเทศได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศต้นๆของโลกที่ทำแบบนี้ จะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สินค้าและอาหารไทยก้าวไกลในตลาดโลก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า รูปแบบการตลาดเรานำเปลี่ยนเป็นใช้ระบบออนไลน์ก็สามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าได้นอกจากนั้นยังใช้ระบบไฮบริด คือเป็นการจัดแสดงสินค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ผสมกันเป็นระบบผสมผสาน โดยเมื่อ 24 กย.ที่ผ่านมาเพิ่งไปเปิดงานแสดงสินค้าเครื่องดื่มและอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA2020 ที่เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบไฮบริดครั้งแรกในโลกและจะเป็นต้นแบบให้ทุกประเทศในโลกทำตามต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ประธาน กนช. เห็นชอบผลักดัน 3 โครงการน้ำสำคัญ เร่งแก้ไขปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ประธาน กนช. เห็นชอบผลักดัน 3 โครงการน้ำสำคัญ เร่งแก้ไขปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วม รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ประธาน กนช. เห็นชอบผลักดัน 3 โครงการน้ำสำคัญ เร่งแก้ไขปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วม วันนี้ (28 กันยายน 2563) เวลา 10.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุป ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการบูรณาการหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาด้านน้ำ การเตรียมการรองรับฤดูฝน รวมทั้งพิจารณากรอบแผนงาน/โครงการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมของหน่วยงานที่จะเสนอขอตั้งงบประมาณในปี 2565 โดยมีมติเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ 2. โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง จ.เชียงราย ของกรมชลประทาน และ 3. โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า จ.นครราชสีมา ของเทศบาลนครราชสีมา นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกำหนดขอบเขต บทบาท ภารกิจ หน้าที่และอำนาจของหน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ หลักเกณฑ์การมอบหมายคณะกรรมการลุ่มน้ำปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการลุ่มน้ำตามมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง ให้เป็นพื้นที่ชะลอและรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝนและสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ในฤดูแล้ง โดยเร่งดำเนินการใน 3 แห่งนำร่อง ได้แก่ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หนองหาร จังหวัดสกลนคร และคลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ประธานฯ ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการ บริหารจัดการน้ำทั้งด้านอุปโภคบริโภค ด้านการเกษตร และด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือในช่วงฤดูแล้งที่จะถึงนี้ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอ ................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะข้าราชการต้องปรับหลักคิด (Mindset) ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลของโลกและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการบริหารราชการโดยมี “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีแนะข้าราชการต้องปรับหลักคิด (Mindset) ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลของโลกและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการบริหารราชการโดยมี “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง ​นายกรัฐมนตรีแนะข้าราชการต้องปรับหลักคิด (Mindset) ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการบริหารราชการโดยมี “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง วันนี้ (28 กันยายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ "ยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ : ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐ เพื่อประชาชน พร้อมด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรียังได้รับฟังการเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อการปฏิรูปประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ประเทศมีความก้าวหน้า มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย เตรียมพร้อมเปลี่ยนไทยสู่โลกหลังโควิด -19 ด้วย New normal สิ่งสำคัญวันนี้ คือ รัฐบาลทำงานอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนด นโยบาย โดยรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ที่เสนอมา ส่วนขับเคลื่อนคือ คณะรัฐมนตรี ขณะที่ รัฐมนตรีและส่วนราชการเป็นผู้ปฏิบัติที่สำคัญ ให้ร้อยเรียงยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปที่ 12 นโยบายรัฐบาล และการจัดสรรงบประมาณให้มีความสอดคล้องกัน หน่วยราชการก็ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ให้เกิดประโยชน์ จัดลำดับความสำคัญแผนงาน/โครงการ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ปรับหลักคิด (Mindset) ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนองคาพยพ ซึ่งตนก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย รวมทั้งการดูแลกลุ่มเปราะบาง ดูแลแรงงานทั้งในประเทศ แรงงานไทยในต่างประเทศ รวมทั้งแรงงานต่างด้าว แม้ปัจจุบัน มีการใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีในมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมมี แรงงานคนยังคงอยู่ในสายการผลิตด้วย ซึ่งรัฐบาลนี้เน้นให้คนมีงานทำ ขณะที่การศึกษาต้องส่งเสริมทั้งด้านวิชาการและสร้างความรัก ความปรองดอง ความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงแนวคิดในการเพิ่มช่องทางสื่อสาร อาทิ การเผยแพร่ข้อมูลผ่านระบบมือถือ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งสร้างการรับรู้อย่างตรงไปตรงมา เพิ่มเติมจากการรับข้อมูลทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินความถูกต้องจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายว่าว่า สิ่งสำคัญคือ การเมืองประเทศไทย ยังคงต้องเดินหน้าปฏิรูปการเมืองกันต่อไป แต่ขอให้ทุกคนทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าให้การทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้อย่างเด็ดขาด เพราะมีกลไกการตรวจสอบมากมายและได้ผู้ทำความผิดหลายคนถูกดำเนินคดี จำคุก วันนี้ ข้าราชการ ประชาชนและนักการเมือง ล้วนเป็นบุคคลสำคัญที่จะร่วมกันการเดินหน้าประเทศ สร้างความเข้มแข็งและคำนึงถึงศักดิ์ศรี เพราะยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้านนั้นมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ขอให้เข้าใจว่าในการที่จะเดินหน้าต้องมีก้าวแรกเสมอ ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาและความเข้าใจ โอกาสนี้ ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการพัฒนาและบริหารระดับสูง : ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง นำเสนอการออกแบบโครงการ/แผนงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี และ แผนการบริหารงานภาครัฐ ตลอดจนบริบทที่เปลี่ยนแปลง อาทิ หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล เลขาธิการ ก.พ. ได้เสนอ โครงการ Digital Garage “โรงซ่อม เสริม สร้าง” กำลังคนภาครัฐตั้งแต่การประเมินองค์การ (ซ่อม) การปรับคุณภาพด้วยทักษะด้านดิจิทัล (เสริม) และบูรณาการคน สร้างเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง ให้เกิดคลังคนคุณภาพในระบบราชการ ลดการพึ่งพากำลังคน สู่การสร้างคุณภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ขณะที่นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นำเสนอ “โครงการพัฒนาระบบ e-Service เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแล แรงงานไทยในต่างประเทศที่มีมากกว่า 400,000 คน สร้างรายได้กลับเข้าประเทศถึง 140,000 ล้านบาท โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาเป็น e-Self Service เพื่อให้แรงงานสามารถดำเนินธุรกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยตนเองได้อีกด้วย นอกจากนี้ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำเสนอ โครงการ I Connect เป็น แพลทฟอร์ม จัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data เชื่อมโยงข้อมูลอุตสาหกรรม ข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรมและ 20 หน่วยงานในกำกับของกระทรวง รวมถึงฐานข้อมูลการผลิต การซื้อขาย และสินค้าที่ได้รับเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( มอก.) เป็นฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) นำไปสู่การขยายผล เพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ การค้า การตลาด การลงทุนของประเทศ รองศาสตราจารย์ สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง อว. กล่าวถึงโครงการ Digital Transcript โดยเป็นการแปลงประกาศนียบัตร วุฒิบัตร ใบประกาศด้านการศึกษา ฝึกอบรบส่วนบุคคลไว้ในเว็บไซท์กลาง ในลักษณะ Thailand Skill Portal เพื่อให้ภาครัฐรวมทั้งผู้ประกอบการสามารถรับรู้ภาพรวมศักยภาพ สมรรถนะกำลังคนของประเทศ ได้ ภายใต้ระบบป้องกันความมั่นคงทางไซเบอร์เพื่อมิให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ///
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกันยายน 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกันยายน 2563 ดัชนี RSI เดือนกันยายน 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกในภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐและสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 “ดัชนีRSI เดือนกันยายน2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกในภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตามดัชนีแนวโน้มด้านการลงทุนและการจ้างงานของ กทม. และปริมณฑลยังชะลอตัว” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุลที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนกันยายน 2563 ที่เป็นการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่า “ดัชนีRSI เดือนกันยายน2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในทุกภูมิภาคโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคเหนือและภาคตะวันออกในภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมจากมาตรการต่างๆของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลงอย่างไรก็ตามดัชนีแนวโน้มด้านการลงทุนและการจ้างงานของกทม. และปริมณฑลยังชะลอตัว” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ62.7แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วโดยมีภาคเกษตรและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุนเนื่องจากปริมาณผลผลิตการเกษตรมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอาทิ ข้าวยางพาราและสับปะรดเป็นต้น นอกจากนี้ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลาย ร้านค้าเริ่มทยอยเปิดกิจการและเริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 60.3สะท้อนถึงการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นช่วงที่พืชผลทางการเกษตรหลายชนิดออกสู่ตลาดเช่นข้าวนาปีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชาและกาแฟเป็นต้นและทำให้มีวัตถุดิบป้อนโรงงานมากขึ้นด้วยสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ60.0แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าเช่นกันโดยมีภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก เนื่องจากปริมาณน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นทำให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวเพิ่มขึ้นและมีการลงทุนในการผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลายจึงคาดว่าจะมีความต้องการซื้อสินค้าที่สูงขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 57.6แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ขยายตัวโดยมีภาคเกษตรและภาคการจ้างงานเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก เนื่องจากคาดว่าปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะส่งออกอาหารทะเลได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการจ้างงานภาพรวม 6 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ดีตามการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจต่างๆทั้งการช่วยเหลือด้านเงินทุนและกระตุ้นการใช้จ่ายทำให้เกิดความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้อยู่ที่ 57.2แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากยางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกรวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมของภาคใต้อีกทั้งเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยอนุญาตให้จัดกิจกรรมและเปิดสถานประกอบการได้เพิ่มขึ้นภายใต้แนวทาง Social Distancing ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ระดับ 56.2ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ประชาชนเริ่มออกมาท่องเที่ยวและใช้บริการโรงแรมและภัตตาคารมากขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ 49.9ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการ อย่างไรก็ดี ภาคการลงทุนและการจ้างงานยังชะลอตัว ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนกันยายน 2563) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 49.9 60.0 62.7 57.2 56.2 60.3 57.6 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 54.1 71.4 71.3 60.8 49.7 67.7 73.4 2) ภาคอุตสาหกรรม 53.1 62.9 45.5 65.0 62.2 72.5 52.9 3) ภาคบริการ 54.6 58.0 71.1 51.0 60.7 51.7 55.2 4) ภาคการจ้างงาน 44.5 53.8 61.9 57.8 49.3 60.9 57.1 5) ภาคการลงทุน 43.3 54.1 60.2 51.3 59.2 48.4 49.3 สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020ต่อ 3254 หรือ 3223
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม 2563 สถานการณ์เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก เป็นต้น สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก เป็นต้น สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม2563ว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้น ในหลายภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก เป็นต้น สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19)”โดยมีรายละเอียดดังนี้ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนหลายตัวปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ และรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 28.9 10.4 และ 3.5 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ต่อปีนอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ53.7 และ 73.0 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -32.3 และ -46.7 ต่อปี ตามลำดับแต่ชะลอตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ -44.1 และ -51.4 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ-0.4 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี เศรษฐกิจภาคกลางดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และรายได้เกษตรกร ขยายตัวถึงร้อยละ 17.0 และ 15.4 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 3.0 ต่อปี และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวได้ร้อยละ 166.8 ต่อปี ด้วยเงินทุนจำนวน 1,583 ล้านบาทสำหรับวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ในจังหวัดชัยนาทและจากโรงงานรับจ้างสีข้าวและขัดข้าวในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่รอบบริเวณโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 49.5 และ 85.3 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -54.2 และ -66.6 ต่อปี ตามลำดับแต่ชะลอตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ-62.8 และ -70.2 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.9 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -1.7ต่อปี เศรษฐกิจภาคเหนือดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนหลายตัว เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ และรายได้เกษตรกรขยายตัวได้ที่ร้อยละ 0.6 4.2 และ 14.2 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 52.4 และ 66.5 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัว อยู่ที่ร้อยละ -35.2 และ -59.3 ต่อปี ตามลำดับจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ -35.9 และ -55.6 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.7 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ-0.9ต่อปี เศรษฐกิจภาคตะวันออกดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวได้ถึงร้อยละ 22.6 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 79.4 ต่อปี ด้วยเงินทุนจำนวน 2,854ล้านบาท จากโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์รับส่งสัญญาณภาพและเสียงในจังหวัดชลบุรีเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งสองดัชนี เป็นเดือนที่ 4อยู่ที่ระดับ 53.8 และ 103.2 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -44.4 และ-74.8 ต่อปี ตามลำดับแต่ชะลอตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ -51.5 และ -75.7 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.8ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -1.6ต่อปี เศรษฐกิจภาคตะวันตกดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวร้อยละ 36.3 ต่อปี เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ที่กลับมาขยายตัวได้โดยขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 49.5และ 85.3 ตามลำดับส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้มีการดำเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -21.3 และ -45.9 ต่อปี ตามลำดับจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ -21.6 และ -41.6 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.8 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -1.7 ต่อปี เศรษฐกิจ กทม.และปริมณฑลดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของรายได้เกษตรกร โดยขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ15.7 ต่อปี จากราคาพืชผล อาทิ ข้าว พืชผัก และกล้วย ที่เพิ่มขึ้น สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 21.3 ต่อปี และเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการที่ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 45.1 ต่อปี ด้วยเงินทุนจำนวน6,308ล้านบาท จากโรงงาน ทำถุงพลาสติกในจังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 50.4 และ 85.3ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -65.7 และ -84.7 ต่อปี ตามลำดับแต่ชะลอตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ -79.8 และ -90.0 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -1.0 ต่อปี เศรษฐกิจภาคใต้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าโดยในเดือนสิงหาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการขยายตัวของรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 16.8 ต่อปี และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 47.5 และ 81.9 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังชะลอตัวโดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -67.8 และ -87.5 ต่อปี ตามลำดับจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวอยู่ที่ร้อยละ-68.0 และ -87.1 ต่อปี ตามลำดับสำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -1.1 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -1.8 ต่อปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จับมือ DUGA จัดเวทีสัมมนาโครงการ September Series 2020 หนุนการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนงาน การแพทย์-สาธารณสุข-การศึกษา
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ดีอีเอส จับมือ DUGA จัดเวทีสัมมนาโครงการ September Series 2020 หนุนการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนงาน การแพทย์-สาธารณสุข-การศึกษา ดีอีเอส จับมือ DUGA จัดเวทีสัมมนาโครงการ September Series 2020 หนุนการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนงาน การแพทย์-สาธารณสุข-การศึกษา เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ September Series 2020 และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ A Game-Changer that shifts Thailand Landscape โดยได้รับเกียรติจากพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ประธานคณะกรรมาธิการ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา ร่วมงาน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 กันยายนนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) จัดงานในรูปแบบอบรมสัมมนาภายใต้หัวข้อต่างๆ อาทิ Education ICT Forum 2020, Healthcare Technology Summit 2020, AI&IoT Summit 2020, และ Smart City Summit 2020 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ 2-4 ชั้น 4 และ 5-7 ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในระบบบริการสุขภาพแก่ประชาชน ตลอดจนส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการศึกษา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน และด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI&IoT ที่เข้ามามีบทบาทด้านเทคโนโลยี และเป็นตัวช่วยในเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบายของมนุษย์มากขึ้น รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมก็จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำในด้านการผลิต เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35485
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แจงปรับการบริหารจัดการ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในไทย ให้เข้าสู่กลไกตลาดปกติ โดยยังคงเป็นสินค้าควบคุม หากพบขายเกินราคา ให้แจ้งเบาะแสที่สายด่วน 1111
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 โฆษก ศบค. แจงปรับการบริหารจัดการ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในไทย ให้เข้าสู่กลไกตลาดปกติ โดยยังคงเป็นสินค้าควบคุม หากพบขายเกินราคา ให้แจ้งเบาะแสที่สายด่วน 1111 โฆษก ศบค. แจงปรับการบริหารจัดการ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในไทย ให้เข้าสู่กลไกตลาดปกติ โดยยังคงเป็นสินค้าควบคุม หากพบขายเกินราคา ให้แจ้งเบาะแสที่สายด่วน 1111 วันนี้ (28 ก.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชน ช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. เผยถึงกรณีประเทศเมียนมามีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงจำนวนหลักหมื่น จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือกันเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งปกติประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านนั้นร่วมมือกันในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออื่น ๆ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พูดคุยหารือเพิ่มเติมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการหาทางช่วยเหลือประเทศเมียนมาที่เป็นต้นทางการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา 10 จังหวัด ก็ได้มีการตรวจคัดกรองโรคอย่างเข้มงวด เพื่อการดูแลพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โฆษก ศบค. ชี้แจงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทย ให้เข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ เนื่องจากภาคเอกชนมีศักยภาพในการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานมากขึ้น ทำให้มีสินค้าในตลาดมากขึ้น และกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตจำหน่ายให้รัฐได้ทันที เมื่อภาครัฐมีความจำเป็นหรือเกิดวิกฤตเร่งด่วน และให้จำหน่ายปลีกในราคาไม่สูงกว่าชิ้นละ 2.50 บาท อย่างไรก็ตาม หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ยังคงเป็นสินค้าควบคุมอยู่ แต่สามารถจัดหาได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบการขายหน้ากากอนามัยที่สูงเกินราคา สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วน 1111 หรือทางกระทรวงพาณิชย์ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อหน้ากากอนามัยราคาถูก สามารถช่วยป้องกันการติดโรคได้ ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวว่าประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากหลายประเทศที่มีความสามารถในการป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งมาจากความร่วมมือของประชาชนทุกคน แต่ยังคงต้องใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าประเทศจะผ่อนคลาย แต่ประชาชนต้องเข้มงวด เพื่อให้สามารถปลดล็อคกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้นและทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35466
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ชื่นชม ‘ก.แรงงาน’ เสนอ ‘ระบบรับเรื่องร้องทุกข์และติดตามสิทธิประโยชน์แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ’
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 นายก ชื่นชม ‘ก.แรงงาน’ เสนอ ‘ระบบรับเรื่องร้องทุกข์และติดตามสิทธิประโยชน์แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ’ ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมงานสัมมนาบุคลากรภาครัฐยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน นำเสนอ ระบบรับเรื่องร้องทุกข์และติดตามสิทธิประโยชน์แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศต่อนายกรัฐมนตรี วันนี้ (28 ก.ย. 63) เวลา 13.30 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางสาวภัทรพร สมันตรัฐ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมงานสัมมนาบุคลากรภาครัฐยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน (National Strategy in Action: Integrated Implementation for THAIS) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดย นายสุทธิ ได้นำเสนอระบบรับเรื่องร้องทุกข์และติดตามสิทธิประโยชน์แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศต่อ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transformation of Public Service ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ แผนปฏิรูปประเทศค้นการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านที่ 1 บริการภาครัฐ สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ชีวิตประชาชน และแผนปฏิบัติการดิจิทัลของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ระยะ 5 ปี ด้านพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานไทยในต่างประเทศในการติดตามคุ้มครองสิทธิประโยชน์แก่แรงงานและครอบครัว โดยมีแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 400,000 คน มายื่นคำร้องเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ประมาณ 6,000 เรื่อง/ปี เช่น เงินคืนภาษี เงินประกันการทำงานครบสัญญาจ้าง เงินบำเหน็จ บำนาญชราภาพ และเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต เป็นต้น ส่วนอุปสรรคและปัญหาของกระบวนการปัจจุบัน Paper-Based การพิจารณาเรื่องจะมีความล่าช้าเนื่องจากเป็นการรับส่งเอกสารระหว่างหน่วยงานและถุงเมล์ของสถานทูต แรงงานไทยไม่สามารถติดตามผลความคืบหน้าได้ ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการให้บริการของกระทรวงแรงงาน และหลักฐานไม่ครบถ้วน เนื่องจากความหลากหลายของเอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นขอรับสิทธิในแต่ละประเภทของประเทศ โดยจุดเด่นของระบบใหม่ ได้ลดระยะเวลาการดำเนินงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากเดิม 3-6 เดือน เหลือ 1-2 เดือน ให้บริการภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ประชาชน โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้แทนการรับส่งกระดาษ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งผู้ยื่นสามารถติดตามสถานะความเคลื่อนไหวได้ทันทีผ่าน QR Code โดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมการจัดเก็บเอกสารและรับส่งต่อ แบบ e-Documents อีกด้วย สำหรับในส่วนของกระทรวงแรงงาน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการดูแลแรงงานไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยด้วย และเน้นย้ำให้กระทรวงแรงงานติดตามสิทธิประโยชน์ของแรงงานไทยในต่างประเทศให้ได้ครบถ้วน รวดเร็วตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 28 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ประชุมติดตามการดำเนินงานแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดพะเยา
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รมช.ธรรมนัส ประชุมติดตามการดำเนินงานแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดพะเยา รมช.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประชุมติดตามการดำเนินงานแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดพะเยา ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน การประชุมติดตามการดำเนินงานแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดพะเยา ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ อาคาร 99 ปี มหาวิทยาลัยพะเยา ว่า ที่ประชุมได้รายงานสถานการณ์และแนวทางการแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ ทั้งสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ในช่วงการเกิดพายุซินลากู ระหว่างวันที่ 2 - 7 สิงหาคม 2563 ประสบภัยอุทกภัย 3 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเมือง ปง และอําเภอเชียงคํา ทำให้ทางด้านการเกษตรกรได้รับผลประทบ 47 ราย ด้านประมง สํารวจพบความเสียหายแล้ว เกษตรกร 13 ราย ด้านปศุสัตว์ สํารวจพบความเสียหายแล้ว เกษตรกร 17 ราย และภัยจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เกิดภัยวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ประสบภัยอุทกภัย 1 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเชียงม่วน ทำให้ด้านการเกษตรกรได้รับผลประทบ 105 ราย นอกจากนี้ ยังได้รับภัยจากการระบาดของศัตรูพืช ได้แก่ 1) โรคไหม้ข้าว พบการระบาดในอําเภอ ดอกคําใต้ พื้นที่การระบาด 263 ไร่ 2) หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (Fall armyworm) ในข้าวโพด พบการระบาดในอําเภอจุน พื้นที่ระบาด 140 ไร่ และ 3) ไรแดงในมันสําปะหลัง พบการระบาดในอําเภอจุน พื้นที่การระบาด 112 ไร่ ได้การดําเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดศัตรูพืชและโรคระบาด โดยจัดทีมเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์การระบาดในพื้นที่อย่างใกล้ชิดประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ หอกระจายข่าว และแจ้งเตือนเฝ้าระวังการระบาด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรนําเชื้อราไตรโคเดอร์มา และเชื้อราบิวเวอเรีย นําไปควบคุมศัตรูข้าวในทุกพื้นที่ และส่งเสริมให้เกษตรกรสํารวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ จังหวัดพะเยามี สินค้าเด่น/สินค้า GI ได้แก่ 1. ลิ้นจี่ ลักษณะเด่น เนื้อผลแห้งกรอบ สีขาวขุ่น ไมแฉะน้ํา รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม 2. ข้าวหอมมะลิพะเยา คือข้าวเปลือก และข้าวขาว พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 เมล็ดข้าวสารมี รูปร่างเรียงยาว เมล็ดใส ท้องไข่น้อย เมื่อหุงแล้วนุ่มมีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย แม้ทิ้งไว้นานก็ยังคงสภาพ กลิ่นหอม ปลูกในพื้นที่แอ่งเทือกเขาซึ่งรองรับด้วยส่วนที่หินแข็งอายุตั้งแต่ 286 ล้านปี ที่ทับถมด้วยตะกอนแม่น้ําในพื้นที่ จังหวัดพะเยา 3. สินค้า OTOP 10 อันดับแรกของจังหวัด ขนมจีนยายหม่อน เฮือนปฏิมาเซรามิกส์ กระเป๋าผักตบชวา กลุ่มสหกรณ์บริการพัฒนาอาชีพสตรีเมืองพะเยา ผ้าทอไทลื้อ กลุ่มทอผ้าไทลือบ้านทุ่งมอก ครีมมะขาม กลุ่มแปรรูปครีมมะขาม ปลาส้มไร้ก้างพร้อมทอด กลุ่มสตรีสหกรณ์ผู้ผลิตปลาส้มบ้านสันเวียงใหม่ ข้าวอินทรีย์บ้านดอกบัว สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินบ้านดอกบัว จํากัด ข้าวมะลิ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนตําบลจุน กล้วยหอมทองยัดเยียด วิสาหกิจกล้วยหอมทอดยัดเยียด และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาละแมโบราณ “เนื่องด้วยท่านนายกรัฐมนตรีได้เล็งเห็นถึงปัญหาของพี่น้องประชาชน จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ และเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดพะเยานั้น คือการทำเกษตรกรรม โดยจะน้อมนำศาสตร์พระราชา ในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ 1 ตำบล 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 บรรเทาปัญหาการว่างงาน พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่น และเกิดความมั่นคงที่ยั่งยืน พร้อมผลักดันคุณภาพชีวิตของพี่น้องจังหวัดพะเยา ในทุกๆอำเภอ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมอาชีพในทุกๆอาชีพ การช่วยเหลือในเรื่องภัยแล้ง หรือน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตแก่พี่น้องประชาชน “ ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35473
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- จุรินทร์ เดินเครื่องฟื้นท่องเที่ยว-คมนาคม จ.พังงา ลุยประชุมติดตามงานต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 จุรินทร์ เดินเครื่องฟื้นท่องเที่ยว-คมนาคม จ.พังงา ลุยประชุมติดตามงานต่อเนื่อง จุรินทร์ เดินเครื่องฟื้นท่องเที่ยว-คมนาคม จ.พังงา ลุยประชุมติดตามงานต่อเนื่อง วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 เวลา 14:00-16:00 น. ที่หอประชุมภูผา ศาลากลางจังหวัดพังงา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะลงพื้นที่กำกับติดตามการปฎิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในพื้นที่จังหวัดพังงา โดยวาระการประชุม ประกอบไปด้วยการติดตามผลการดำเนินงานและข้อสั่งการเร่งรัดการก่อสร้างสนามบินนานาชาติจังหวัดพังงา เรื่องระยะเวลาการปิด-เปิดเกาะต่างๆ และการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อรับรองนักท่องเที่ยว งานด้านผังเมืองเรื่องการจัดพื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆเนื่องจากมีพื้นที่สีม่วงสำหรับรองรับอุตสาหกรรมไม่เพียงพอ นอกจากนั้นยังติดตามงานด้านคมนาคม ได้แก่ การเชื่อมโยงถนนและรางรถไฟ การสร้างอ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ อำเภอท้ายเหมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ รวมถึงปัญหาการอนุญาตในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ การสร้างความเชื่อมั่นในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่จังหวัดพังงา การก่อสร้างเรือนจำแห่งใหม่ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการกำหนดพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดพังงาด้วย โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นางกันตวรรณ ตันเถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพังงา นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และมีภาคเอกชน เช่น ประธานหอการค้าจังหวัด สภาอุตสากรรมจังหวัด สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว สภาเกษตรกร สภาประมง หัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ นำโดยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและคณะเป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35489
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุชา หวัง กทบ. เป็นที่พึ่งชุมชน ช่วยยกระดับภาคการเกษตรซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศสู่ภาคธุรกิจ เสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ เพื่อความยั่งยืนของประเทศ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 อนุชา หวัง กทบ. เป็นที่พึ่งชุมชน ช่วยยกระดับภาคการเกษตรซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศสู่ภาคธุรกิจ เสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ เพื่อความยั่งยืนของประเทศ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หวัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นที่พึ่งชุมชน ช่วยยกระดับภาคการเกษตรซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศสู่ภาคธุรกิจ เสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ เพื่อความยั่งยืนของประเทศ วันนี้ (28 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบนโยบาย เรื่อง “ทิศทางการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ” แก่คณะผู้บริหารสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) โดยมี ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุรุจน์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะเข้าร่วม สำหรับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองปัจจุบันมีจำนวน 79,604 แห่งทั่วประเทศ เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนของชุมชนเพื่อการลงทุน สร้างอาชีพ สร้างงาน และสร้างรายได้ของประชาชนในชุมชน มีเงินทุนหมุนเวียนในกองทุนกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนการขับเคลื่อนกองทุนคนในชุมชนจะเป็นผู้บริหารจัดการ รวมถึงเป็นผู้กำหนดทิศทางและบริหารจัดการภายใต้ปรัชญา 5 ประการ คือ 1) เสริมสร้างสำนึกความเป็นชุมชนและท้องถิ่น 2) ชุมชนเป็นผู้กำหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้านและชุมชนด้วยคุณค่า และภูมิปัญหาของตนเอง 3) เกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาส 4) เชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ราชการ เอกชน และประชาสังคม และ 5) กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น และพัฒนาประชาธิปไตยพื้นฐาน โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายว่า ชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนสำคัญ และเป็นเสาหลักของประเทศ จากผลสำรวจพบว่าเฉลี่ยร้อยละ 74 % ในหมู่บ้านทำอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุน คอยผลักดันให้ความช่วยเหลือทั้งด้านวิชาการและด้านการตลาด รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาในด้านต่าง ๆ ดังนั้น กทบ. จึงเป็นหน่วยงานสำคัญในการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจฐานราก และเป็นกลไกสนองนโยบายของรัฐบาล รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ต้องทำให้ภาคเกษตรเข้มแข็งขยับขึ้นมาสู่ภาคธุรกิจ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถยืนหยัดด้วยตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกองทุนฯ ทั่วประเทศกว่า 13 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงพลังสำคัญที่จะช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ กำลังซื้อของเกษตรกรและชาวบ้านจะเป็นกำลังสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจชุมชนฟื้นตัว และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศต่อไป --------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35481
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมฯ “คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่” จัดทำแผนส่งเสริม สนับสนุน ดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับนานาชาติ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 วธ. จัดประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมฯ “คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่” จัดทำแผนส่งเสริม สนับสนุน ดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับนานาชาติ วธ. จัดประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมฯ “คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่” จัดทำแผนส่งเสริม สนับสนุน ดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับนานาชาติ เปิดเว็บไซต์ฐานข้อมูลภาพยนตร์-อบรมพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่-สร้างภาพยนตร์เสริมสร้างภาพลักษณ์ไทย ช่วงโควิด-19 วธ. จัดประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมฯ “คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่” จัดทำแผนส่งเสริม สนับสนุน ดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับนานาชาติ เปิดเว็บไซต์ฐานข้อมูลภาพยนตร์-อบรมพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่-สร้างภาพยนตร์เสริมสร้างภาพลักษณ์ไทย ช่วงโควิด-19 วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวการประกวดบทภาพยนตร์ในโครงการประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๖๓ : คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่ และแผนการส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์ กราฟิกส์ไทย ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถง ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยให้เป็นอุตสาหกรรมหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้แนวคิด “Content Thailand” หรือ “ทีมประเทศไทย” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยเติบโตขึ้น และมีความเข้มแข็งก้าวสู่ความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียน และเป็นหนึ่งใน ๕ ชาติชั้นนำของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงของเอเชีย ได้แก่ จีน เกาหลี อินเดีย ญี่ปุ่น และไทย ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ เพิ่มขึ้น ๒๒๙,๑๖๙.๖๔ ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในระดับนานาชาติ วธ. จึงจัดทำ “โครงการประกวดบทภาพยนตร์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ : คนไทยชีวิตปกติ วิถีใหม่” โดยจัดอบรมเขียนบทภาพยนตร์ เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเขียนบทภาพยนตร์ไทยในช่วงสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19) โดยต่อยอดการผลิตเป็นผลงานสื่อสร้างสรรค์ เข้ากับเหตุการณ์ สถานการณ์ปัจจุบัน แสดงถึงความสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ ซึ่งมีผู้สมัครเข้าร่วมอบรมกว่า ๗๐ คน และผ่านการคัดเลือก ๑๗ คน และเหลือผลงานรอบสุดท้าย ๑๒ บทภาพยนตร์ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเกียรติบัตรและเงินรางวัล ๒๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ บทภาพยนตร์ที่ชนะเลิศจะได้ต่อยอดผลิตร่วมกับสตูดิโอเป็นผลงานจริงเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศต่อไป นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดและพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น วธ.ได้จัดทำแผนการส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๑.จัดทำ Website ฐานข้อมูลอุตสาหกรรมwww.contentthailand.com เพื่อเป็นฐานข้อมูลภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และบุคลากรในอุตสาหกรรมฯ ให้ผู้สนใจเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศได้คัดเลือกผลงานและบุคลากรมาร่วมทำงาน โดยปีนี้จัดทำเป็น ๒ ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และในปีหน้าจะเพิ่มภาษาจีน และภาษาอื่นๆ รวมทั้งจะพัฒนาให้เป็นพื้นที่นำเสนอผลงานและสร้างรายได้สำหรับบุคลากรรุ่นใหม่ที่ขาดพื้นที่การนำเสนอต่อไป ๒.โครงการสถาบันพัฒนาบุคลการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Content Thailand Academy) โดยจัดอบรมบุคลากรรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการ หรือบุคลากรมืออาชีพที่ต้องการเพิ่มพูนองค์ความรู้ มีการประกวด แข่งขัน เปิดโอกาสนำเสนอต่อนักลงทุน โดยเป็นโครงการต่อเนื่องตลอดทั้งปี และ ๓.โครงการสร้างภาพยนตร์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ในบริบทของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19) โดยร่วมมือกับทีมผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงกว่า ๑๐ คน มาพัฒนาฝีมือบุคลากรไทยที่ผลิตผลงานภาพยนตร์สั้น แอนิเมชันสั้น ให้เป็นผลงานที่มีคุณภาพ รวมทั้งเตรียมคัดเลือกผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของไทยร่วมผลิตผลงานภาพยนตร์สั้น ร่วมกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของ ๕ ชาติในเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อทำเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเผยแพร่ในระดับนานาชาติอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีโครงการตามแผนปฏิบัติการประจำปี อาทิ การนำศิลปิน ผู้ประกอบการไปนำเสนอภาพยนตร์ โครงการสร้างภาพยนตร์กับนักลงทุนและผู้ซื้อในต่างประเทศ (Roadshow) การจัดเทศกาลภาพยนตร์ และนิทรรศการด้านความคิดสร้างสรรค์ การสนับสนุนบุคลกรเข้าร่วมงานในต่างประเทศ ฯลฯ --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตราชอาราจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตราชอาราจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตราชอาราจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 กันยายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายเกส ปีเตอร์ ราเดอ (H.E. Mr. Kees Pieter Rade) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบ เพื่อเยี่ยมคารวะ หารือความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อวางมาตรการด้านความปลอดภัยในโรงเรียนอย่างเข้มงวด
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ​สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อวางมาตรการด้านความปลอดภัยในโรงเรียนอย่างเข้มงวด ​สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อวางมาตรการด้านความปลอดภัยในโรงเรียนอย่างเข้มงวด เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2563 นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) ชี้แจงกรณีที่คลิปวิดีโอขณะที่ครูประจำชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี กำลังทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียน ทำให้สังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ว่า ครูจุ๋ม ที่ก่อเหตุ จบ ม.6 ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ซึ่งก็สามารถสมัครเป็นครูพี่เลี้ยงได้ เพราะครูพี่เลี้ยงก็เท่ากับพี่เลี้ยงเด็ก แต่ที่โรงเรียนต้องคัดกรอง และดูพฤติกรรมก่อนรับทำงาน เพราะหน้าที่ของครูพี่เลี้ยง คือ มีหน้าที่ช่วยเหลือครู ไม่สามารถทำเกินหน้าที่ได้ หากพี่เลี้ยงทำเกินหน้าที่ โรงเรียนต้องรับผิดชอบด้วย เพราะครูเป็นวิชาชีพควบคุม และเมื่อได้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ในวันพรุ่งนี้ หากจำเป็นต้องกล่าวโทษใครบ้าง จะเสนอต่อคุรุภาต่อไป เพื่อมาดูเรื่องใบประกอบวิชาชีพครู ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะหาแนวทาง และวางมาตรการเข้ม เพราะอาจเกิดขึ้นกับโรงเรียนอื่นๆได้ ทั้งนี้ในรอบปีนี้ยังไม่ได้รับรายงานการทำร้ายร่างกายในโรงเรียนเอกชนอื่น ๆ มีเพียงการร้องเรียนเรื่องบูลลี่ ซึ่งสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ได้ทำหนังสือกำชับทุกโรงเรียนแล้ว ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส”เปิดเวทีระดมความคิดเห็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 “ดีอีเอส”เปิดเวทีระดมความคิดเห็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) “ดีอีเอส”เปิดเวทีระดมความคิดเห็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็น เรื่อง การปรับปรุงตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ การดำเนินการตามพันธกรณีของประเทศไทย ในการปรับปรุงข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้ WTO ที่จะได้ร่วมกันรับฟังข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะ รวมทั้งเสนอแนวทาง การใช้ประโยชน์จาก WTO ณ ห้องแสตมป์ทอง ชั้น 1 หอประชุมไปรษณีย์ไทย บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (แจ้งวัฒนะ) ทั้งนี้ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บรรยาย หัวข้อ “บทบาทของไทยกับองค์การการค้าโลก” พร้อมเวทีเสวนา ระดมความคิดเห็น เรื่อง “ข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้ WTO ประโยชน์และผลกระทบต่อประเทศไทย” โดยมีนางสาวพริ้วแพร ชุมรุม ผู้อำนวยการสำนักเจรจาการค้าบริการและการลงทุน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นางสาวทศวรรณ เสมอวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานองค์การระหว่างประเทศ กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายนทชาติ จินตกานนท์ ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ร่วมเวทีเสวนาฯ ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35486
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯย้ำแนวทางการดำเนินการของไทย เง้มงวด และไม่ตระหนก ทั้งนี้ พร้อมแบ่งปันแนวทางการดำเนินการที่สำเร็จของไทย
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 นายกฯย้ำแนวทางการดำเนินการของไทย เง้มงวด และไม่ตระหนก ทั้งนี้ พร้อมแบ่งปันแนวทางการดำเนินการที่สำเร็จของไทย นายกฯย้ำแนวทางการดำเนินการของไทย เง้มงวด และไม่ตระหนก ทั้งนี้ พร้อมแบ่งปันแนวทางการดำเนินการที่สำเร็จของไทย วันนี้ (28 กันยายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการดำเนินการว่า เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และรักษาสุขภาพของประชาชนควบคู่กันไป การดำเนินธุรกิจจึงต้องมีความเหมาะสม ฉะนั้นต้องมีมาตรการสำหรับดูแลทุกกลุ่มอย่างเหมาะสม ให้มีมาตรการแยกรายละเอียด และมีการติดตามการดำเนินการอย่างเหมาะสม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์สถานการณ์การติดเชื้อทั้งในประเทศและสถานการณ์ทั่วโลกแก่ที่ประชุม โดยประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 138 อย่างไรก็ดี ประเทศเมียนมามีสถานการณ์ที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ประเทศเมียนมากำหนดมาตรการที่เข้มงวดขึ้น โดยได้ประกาศขยายระยะเวลาระงับการเข้าและออกของ เที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ อีกอย่างน้อย 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2563 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยอาจพิจารณาดูแลกลุ่มคนที่เดินทางเข้าประเทศมาจากประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อสูงเป็นกรณีพิเศษ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลในส่วนท้องถิ่นตามแนวชายแดนเข้มงวดเป็นพิเศษ รวมทั้งฝ่ายไทยยินดีให้ความช่วยเหลือ พิจารณาแบ่งปันแนวทางมาตรการการดำเนินการที่ไทยใช้แล้วได้ผลให้แก่เมียนมา ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรตรวจคัดกรองโรค COVID-19 โดยรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2563 ณ พื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งตรวจสอบทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั้งสิ้น 2,642 ตัวอย่าง และทุกตัวอย่างเป็นลบ นายกรัฐมนตรีย้ำการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนไทยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตัวตามมาตรฐานสุขอนามัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เนื่องจากต่อไปการปลดล็อกการดำเนินธุรกิจจะมีมากขึ้น การท่องเที่ยวเปิดมากขึ้น แต่ในส่วนของการดูแลสุขภาพนั้นจะละเลยไม่ได้ นายกรัฐมนตรีชี้แนะการดำเนินการเมื่อยกตัวอย่างถึงการผ่อนปรนข้อปฏิบัติของต่างประเทศว่า ประเทศไทยดำเนินการอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นโอกาสของการแพร่เชื้อ จึงทำให้ควบคุมได้เร็วกว่าประเทศอื่น จึงขอให้ทุกหน่วยงาน สร้างการรับรู้ ย้ำความสำเร็จ ในการดำเนินงานของรัฐบาลไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ รายงานความคืบหน้าการอนุญาตให้บุคคลเดินทางเข้า ภายในราชอาณาจักร โดยอาศัย อำนาจตามข้อ 3 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 (ฉบับที่ 13) 1. การอนุญาตให้นักกีฬาต่างชาติเดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 2. แนวทางการปฏิบัติในการกักตัวนักบินและลูกเรือบริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน) ใน Repatriation Flight 3. การอนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non- Immigrant) ประเภทต่าง ๆ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 4. การกำหนดเงื่อนไขผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวสาหรับกลุ่ม long stay ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 5. การอนุญาตให้ผู้ถือบัตร APEC Card เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 6. การอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะสั้น และระยะยาวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาอย่างรอบครอบ และแบ่งแยกเป็นประเภทตามข้อจำกัด โดยต้องมีการออกกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม คัดกรอง ติดตาม และตรวจสอบ อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอให้พิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้ทุกฝ่ายพิจารณาทุกปัจจัยในการดูแลคนไทยร่วมกัน โดยมองข้ามปัจจัยทางการเมือง วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อดูแลคนไทยทุกคน ที่ประชุมจึงมีมติ เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2563 เศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2563 ยังคงชะลอตัว แต่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดี “เศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2563 ยังคงชะลอตัว แต่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังมาตรการผ่อนคลายการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19)” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2563 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2563 ยังคงชะลอตัว แต่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังมาตรการผ่อนคลายการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19)” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 4.3 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -3.8 สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน ที่สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 14.8 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -35.5 เช่นเดียวกันกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่หดตัวในอัตราชะลอลงที่ร้อยละ -2.5 ต่อปี ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ร้อยละ 9.2 ต่อปี และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 51.0 หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการผ่อนคลายฯ) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ประกอบกับผลของมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วงก่อนหน้า ช่วยให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนและปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 1.5 และ 13.1 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -11.5 และ -0.5 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนในหมวดการก่อสร้างทรงตัวจากเดือนก่อน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อปี ในขณะที่การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์กลับมาลดลงร้อยละ -6.9 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -14.1 เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -7.9 จากการขยายตัวต่อเนื่องในกลุ่มสินค้า 1) สินค้าอาหาร เช่น ข้าวพรีเมียม ข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ทูน่ากระป๋อง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เครื่องโทรสาร เป็นต้น และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้าโซลาร์เซลล์ เป็นต้น 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น และ 4) สินค้าเก็งกำไรและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ เช่น ทองคำ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การส่งออกยานยนต์ อัญมณีและเครื่องมือ (ไม่รวมทองคำ) ยังคงชะลอตัว ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 15.2 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปญี่ปุ่น และอาเซียน 9 ประเทศ หดตัวชะลอลงที่ร้อยละ -16.6 และ -13.5 ต่อปีตามลำดับ สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากประเทศคู่ค้าได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 84.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการผ่อนคลายฯ ทำให้ภาคเอกชนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ สำหรับภาคเกษตร ที่สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้น ของผลผลิตในหมวดปศุสัตว์อาทิ ไก่เนื้อ ไข่ไก่ เป็นต้น ในขณะที่สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ที่มีการระบาดทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยต่อเนื่องเป็นที่ 5 นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยหดตัวในอัตราชะลอลงที่ร้อยละ -32.4 ต่อปี เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 อยู่ที่ร้อยละ 47.0 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 254.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35474
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” กระชับความสัมพันธ์สื่อมวลชนสายเทคโนโลยีสารสนเทศและสมาคมนักข่าวฯ จัดงาน ITCP Cyber Night Party ภายใต้ธีม " COVID วิบวับ ปาร์ตี้" ชื่นมื่น
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 “ดีอีเอส” กระชับความสัมพันธ์สื่อมวลชนสายเทคโนโลยีสารสนเทศและสมาคมนักข่าวฯ จัดงาน ITCP Cyber Night Party ภายใต้ธีม " COVID วิบวับ ปาร์ตี้" ชื่นมื่น “ดีอีเอส” กระชับความสัมพันธ์สื่อมวลชนสายเทคโนโลยีสารสนเทศและสมาคมนักข่าวฯ จัดงาน ITCP Cyber Night Party ภายใต้ธีม " COVID วิบวับ ปาร์ตี้" ชื่นมื่น เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดงาน ITCP Cyber Night Party ภายใต้ธีม " COVID วิบวับ ปาร์ตี้" ซึ่งชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีการจัดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์แสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวไอทีในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม โดยมีนายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานด้วย ณ แหล่งสมาคมนายทหาร กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (BTS สนามเป้า) ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาพรวมรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย สคร. เตรียมความพร้อมงบลงทุนปี 2564
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ภาพรวมรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย สคร. เตรียมความพร้อมงบลงทุนปี 2564 สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแล โดยณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจำนวน 160,498 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 82 ของแผนการเบิกจ่ายสะสมและในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแล โดยณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจำนวน 160,498 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 82 ของแผนการเบิกจ่ายสะสมและในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการล่าช้ามาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมคิดเป็นร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม อย่างไรก็ตาม สคร. ยังคงติดตามดูแลโครงการลงทุนที่เบิกจ่ายล่าช้าอย่างใกล้ชิด ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจปี 2563ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายจริงสะสม (ล้านบาท) ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/ แผนเบิกจ่ายสะสม ปีงบประมาณ (ต.ค. 62–ก.ย. 63) จำนวน 34 แห่ง 84,792 69% ปีปฏิทิน (ม.ค. 63–ธ.ค. 63) จำนวน 10แห่ง 75,706 104% รวม 44 แห่ง 160,498 82% นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจาที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 44แห่งแบ่งเป็นการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 34 แห่ง จำนวน 84,792 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 69 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม11เดือน (ตั้งแต่เดือนตุลาคม2562 – สิงหาคม 2563) และการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 10 แห่ง จำนวน 75,706 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 104 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม8 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคม 2563) นอกจากนี้ในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ติดประเด็นทางเทคนิคและดำเนินการล่าช้ามาอย่างต่อเนื่อง 3 โครงการได้แก่โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีนระยะที่1ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) และโครงการทางพิเศษสายพระราม3–ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอกตะวันตกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 87 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งปีงบประมาณและปีปฏิทินส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีมากโดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้เกินกว่าเป้าหมายเช่นโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคใต้ตอนล่างและภาคตะวันตกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม– มีนบุรีและโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต– สะพานใหม่– คูคตของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นายประภาศคงเอียด ผู้อำนวยการ สคร.กล่าวสรุปว่าสำหรับงบลงทุนปี 2564 ที่กำลังจะเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ สคร. ได้เตรียมความพร้อมในการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2564 อย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศและจะกำกับดูแลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีความสอดคล้องกับมาตรการการบริหารเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาวของศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. นายวิษณุฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “พัฒนาภาวะผู้นำศาสนายุคใหม่” รุ่นที่ 4 และหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพอิหม่าม” รุ่นที่ 2 ประจำปี 2563
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 รอง นรม. นายวิษณุฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “พัฒนาภาวะผู้นำศาสนายุคใหม่” รุ่นที่ 4 และหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพอิหม่าม” รุ่นที่ 2 ประจำปี 2563 รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “พัฒนาภาวะผู้นำศาสนายุคใหม่” รุ่นที่ 4 และหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพอิหม่าม” รุ่นที่ 2 ประจำปี 2563 รัฐบาลเน้นพัฒนาบุคลากรเพิ่มศักยภาพในการทำงตอบสนองความต้องการประชาชน วันนี้ (28 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนให้การต้อนรับสำนักจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการสถาบันพัฒนาผู้นำอิสลาม พร้อมเป็นประธานพิธีมอบประกาศนียบัตรกิตติมศักดิ์ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสถาบันฯ ได้แก่ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา และมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “พัฒนาภาวะผู้นำศาสนายุคใหม่” รุ่นที่ 4 และหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพอิหม่าม” รุ่นที่ 2 ประจำปี 2563 โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีถ่ายภาพร่วมกับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร จำนวนทั้งหมด 50 คน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีแก่อธิบดีกรมการศาสนา และผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตร ซึ่งต้องขอขอบคุณสถาบันพัฒนาผู้นำอิสลามที่จัดทำหลักสูตรพัฒนาผู้นำศาสนายุคใหม่ และหลักสูตรพัฒนาศักยภาพอิหม่าม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีนโยบายที่มุ่งเน้นให้บุคลากรทุกภาคส่วน ผ่านการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น เพราะการพัฒนาความรู้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนไป กฎหมายต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกคนต้องจึงต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา รัฐบาลเองจะจัดหางบประมาณเพื่อจัดหลักสูตรเพิ่มเติมในการพัฒนาศักยภาพเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง เช่น ปัจจุบันที่ทุกประเทศในโลกประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตรฐานอาหารฮาลาล ที่ต้องได้รับการรับรองจากทางด้านศาสนาก็ต้องควบคู่ไปกับด้านสาธารณสุขด้วย รัฐบาลยังเชื่อมั่นว่า ศาสนาอิสลามมีหลักในการต่อสู้วิกฤตที่สามารถนำไปเผยแพร่และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหายป่วยแล้ว จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เมื่อไร อย่างไร ??
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหายป่วยแล้ว จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เมื่อไร อย่างไร ?? ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซึ่งหายป่วยแล้ว จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เมื่อไร ?? Q : ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหายป่วยแล้ว จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เมื่อไร อย่างไร ?? A : ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และหายป่วยแล้ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เมื่อมีการดำเนินการ ดังนี้ 1.ตรวจไม่พบไข้ และไม่ต้องใช้ยาลดไข้ 3 วัน 2.ไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอ หรือจาม เป็นระยะเวลา 7 วัน 3.ผลตรวจยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี Swab Test เป็นลบติดต่อกัน 2 ครั้ง *Swab Test คือการตรวจด้วยการใช้ไม้พันสำลีกวาดสารคัดหลั่งของผู้ป่วยตามคำวินิจฉัยของแพทย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกรพัทลุง สร้างรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแว
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกรพัทลุง สร้างรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแว รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกรพัทลุง สร้างรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ณ หอประชุมจังหวัดพัทลุง อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นงานจัดที่ดินทั้งในที่ดินของรัฐและเอกชน การเพิ่มรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยเกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจะได้รับที่ดิน 4 – 5 ไร่โดยเฉลี่ย ดังนั้นเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน ทาง ส.ป.ก. พัทลุงจึงวางแนวทางในการพัฒนาไว้ 3 ประการ คือ 1. การพัฒนาคน 2. การพัฒนาสถาบันครอบครัว และ3. การพัฒนากลุ่มหรือสถาบันเกษตรกร ด้วยโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) 2. โครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร 3. โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ และ4. โครงการเกษตรกรรมยั่งยืน รมช.ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกรจำนวน 100 ราย พร้อมมอบแนวทางการพัฒนาเพื่อต่อยอดและขยายพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในการทำเกษตรกรรม โดยประสานความร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่นและส่วนราชการในทุกระดับในการดำเนินงานแบบบูรณาการ ทั้งนี้จังหวัดพัทลุงมีพื้นที่ประกาศเขตปฏิรูปที่ดินรวม 11 อำเภอ พื้นที่ประมาณ 234,132 ไร่ พื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินประมาณ 232,068 ไร่ และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรไปแล้ว จำนวน 28,078 ราย จำนวน 40,548 แปลง เนื้อที่ประมาณ 211,221 ไร่ ประกอบด้วย ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 27,468 ราย 39,584 แปลง 210,574 ไร่ และที่ดินเพื่ออยู่อาศัย จำนวน 610 ราย 964 แปลง 647 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35417
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ชูผลงาน ปั้นแรงงานคุณภาพทะลุ 4.7 ล้านคน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 นฤมล ชูผลงาน ปั้นแรงงานคุณภาพทะลุ 4.7 ล้านคน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยตัวเลขแรงงานที่ผ่านการพัฒนาทักษะฝีมือในรอบ 1 ปี เกินเป้าหมาย ลั่น! เดินหน้าเต็มสูบ ยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 25 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจำปีงบประมาณ 2563 ตั้งเป้าหมายดำเนินการ 3,827,200 คน ผลการดำเนินงานพัฒนาทักษะฝีมือให้กับกำลังแรงงานของประเทศรวม 4,728,485 คน ประกอบด้วย ดำเนินการเอง จำนวน 136,882 คน ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 จำนวน 4,591,603 คน ซึ่งในส่วนที่ดำเนินการเองนั้น มีหลายโครงการที่น่าสนใจ อาทิ โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ ด้วยความร่วมมือกับสมาคมขนส่งด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) รับนักศึกษาจบใหม่ระดับปริญญาตรีเข้าฝึกอบรมและป้อนเข้าสู่ตลาดด้านโลจิสติกส์ จำนวน 323 คน โครงการเพิ่มทักษะกำลังแรงงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จำนวน 12,462 คน โครงการศูนย์ฝึกอบรมความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีขั้นสูง จำนวน 10,710 คน โครงการฝึกอบรมแรงงานกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ จำนวน 11,518 คน ประกอบด้วย ผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด ผู้ต้องขังและเยาวชนในสถานพินิจ คนพิการและผู้ดูแลคนพิการ แรงงานนอกระบบ ทหารเกณฑ์ก่อนปลดประจำการ แรงงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการเพิ่มผลิตภาพมีผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 40.09 ลดการสูญเสียในวงจรการผลิตหรือบริการเฉลี่ยร้อยละ 40.38 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็นเงินมากกว่า 433 ล้านบาท และสามารถพัฒนาทักษะพนักงานในสถานประกอบกิจการให้มีศักยภาพแรงงานสูงขึ้น จำนวน 15,879 คน สร้างนักพัฒนาผลิตภาพแรงงาน ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 258 คน นอกจากนี้ ยังดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อรองรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันมีประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแล้วจำนวน 83 สาขาอาชีพ โดยผู้ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานในแต่ละระดับจะได้รับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือดังกล่าว สูงสุดอยู่ที่ 900 บาท คือสาขานักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม สปาตะวันตก (โภชนบำบัด) ระดับ 2 ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการรับรองความรู้ความสามารถนั้น ปัจจุบันมีผู้ผ่านการรับรองความรู้ความสามารถจำนวน 140,330 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ย. 63) ประกอบด้วย ช่างไฟฟ้าภายในอาคารจำนวน 136,466 คน ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็กจำนวน 3,286 คน กลุ่มช่างเชื่อมรวมจำนวน 578 คน ซึ่ง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลางทุกจังหวัด "กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ดำเนินงานการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ในการสร้างแรงงานคุณภาพให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม ยกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ มีระดับฝีมือที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อให้ได้รับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้น สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและมีความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ ตลอดจนการให้แรงงานกลุ่มเปราะบาง ได้เข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสทางอาชีพให้ทุกคนสามารถมีงานทำ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ" รมช.แรงงาน กล่าวท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. จับมือศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ส่งมอบปริมาณโลหิตแล้วกว่า 43 ล้านซีซี
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 กยศ. จับมือศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ส่งมอบปริมาณโลหิตแล้วกว่า 43 ล้านซีซี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเป็นหน่วยงานสนับสนุนจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ได้มีโอกาสทำความดีและช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเป็นหน่วยงานสนับสนุนจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ได้มีโอกาสทำความดีและช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง โดย รศ.พญ. ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงฯ พร้อมส่งมอบปริมาณโลหิต 43,565,900 ซีซี จากกิจกรรม “กยศ. รวมใจปันโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์” เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการคลัง นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเป็นหน่วยงานสนับสนุนจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อช่วยจัดหาโลหิตสำรอง ใช้ในภาวะปกติและภาวะโลหิตขาดแคลนให้กับโรงพยาบาลสาขา โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมได้มีโอกาสทำความดี มีจิตสาธารณะและช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อกิจกรรม “กยศ. รวมใจปันโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์” โดยตลอด 7 ปีที่ผ่านมากองทุนได้รับความร่วมมือจากหน่วยรับบริจาคโลหิตทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงเครือข่ายสถานศึกษาทั่วประเทศ ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ประสงค์เข้าร่วมการบริจาคโลหิต ส่งผลให้ได้รับปริมาณโลหิตสะสมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 43,565,900 ซีซี ในปีงบประมาณ 2563 กองทุนได้จัดกิจกรรม “กยศ. รวมใจปันโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์” ปีที่ 7 โดยมีนักเรียน นักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมบริจาคโลหิตจำนวน 19,032 คน จากสถานศึกษาทั่วประเทศมากกว่า 100 แห่ง ได้รับปริมาณโลหิตจำนวนทั้งสิ้น 4,764,800 ซีซี ซึ่งกองทุนได้มอบให้แก่สภากาชาดไทยและโรงพยาบาลทั่วประเทศนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาพยาบาล หรือจัดเก็บสำรองไว้ใช้ในยามภาวะขาดแคลนต่อไป ทั้งนี้ การร่วมบริจาคโลหิตดังกล่าวสามารถนับเป็นชั่วโมงจิตสาธารณะสำหรับผู้กู้ยืม เพื่อนำไปสะสมจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะให้ครบตามที่กองทุนกำหนดในเงื่อนไขการกู้ยืมได้อีกด้วย” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35390
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการทางรังสีวิทยา ให้สอดรับกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการทางรังสีวิทยา ให้สอดรับกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน กรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้กำหนดรายการ อัตรา และเงื่อนไขการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ ให้ส่วนราชการและสถานพยาบาลของทางราชการทราบและถือปฏิบัติ นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้กำหนดรายการ อัตรา และเงื่อนไขการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ ให้ส่วนราชการและสถานพยาบาลของทางราชการทราบและถือปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการสาธารณสุขฯ หมวดที่ 8 ค่าตรวจวินิจฉัยและรักษาทางรังสีวิทยา ให้ส่วนราชการและสถานพยาบาลของทางราชการถือปฏิบัติ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับปัจจุบัน สอดรับกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ และครอบคลุมการรักษาพยาบาล ที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. แก้ไขรายการเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนในปัจจุบัน จำนวน 55 รายการ เช่น รายการ US Doppler: Eyes ราคาเดิม 1,000 บาท ปรับเพิ่มเป็น 4,000 บาท และรายการ Intraoperative cholangiogram ราคาเดิม 450 บาท ปรับเพิ่มเป็น 1,500 บาท เป็นต้น 2. ยกเลิกรายการเดิม จำนวน 80 รายการ เนื่องจากปัจจุบันมีรายการอื่นซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่ามาใช้ทดแทนรายการเดิมแล้ว 3. กำหนดเพิ่มรายการใหม่ จำนวน 195 รายการ เช่น รายการ CT Colonography และ MRA Brain+neck (or carotid) เป็นต้น 4. ปรับรายการเดิมจากหมวดที่ 9 ค่าตรวจวินิจฉัยโดยวิธีพิเศษอื่น ๆ มาไว้ในหมวด 8 ค่าตรวจวินิจฉัยและรักษาทางรังสีวิทยา ด้านค่าบริการรังสีวินิจฉัย จำนวน 2 รายการ (เปลี่ยนรหัสรายการจาก 51440 Transcranial Doppler Ultrasound เป็น 43103 Transcranial Doppler Ultrasound และ เปลี่ยนรหัสและชื่อรายการจาก 51441 Carotid Duplex Scan เป็น 43250 US Doppler: Carotid artery (bilateral)) “การปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการสาธารณสุขฯ ดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป และขอเรียนว่า กรมบัญชีกลางได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างสะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง ปลอดภัยและเป็นธรรม ดังนั้น หากสถานพยาบาลใดประสงค์ที่จะเสนอรายการอัตราค่าบริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นรายการที่มีความจำเป็นในการรักษาพยาบาลและไม่มีรายการอื่นสามารถใช้ทดแทนได้เพิ่มเติม ให้เสนอรายการดังกล่าวมายังกรมบัญชีกลางเพื่อจะได้รวบรวมและพิจารณาประกาศต่อไป ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดรายการอัตราค่าบริการสาธารณสุขฯ ได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th ภารกิจการควบคุมงบบุคลากรของบุคลากรภาครัฐหัวข้อ ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล กฎหมายระเบียบและหนังสือเวียน (สวัสดิการรักษาพยาบาล)” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35392
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​"ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร อำลาและรับมอบนโยบายจาก นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม"
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ​"ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร อำลาและรับมอบนโยบายจาก นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม" นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นโยบายคณะนายทหารที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ต่างประเทศ โดยขอให้ใช้ความรู้ความสามารถ ในการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในพิธีอำลาของคณะนายทหาร ที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ต่างประเทศ ในตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเหล่าทัพ และรองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเหล่าทัพ หลังจากที่ได้รับการคัดเลือก ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนทหารของ กองทัพไทย ในต่างประเทศ โดยได้กล่าวแสดงความยินดี กับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกครั้งนี้ พร้อมขอให้คิดเสมอว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ถือเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ และกองทัพไทย ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ และพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างไทยกับมิตรประเทศ ให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งมิตรภาพอันแน่นแฟ้น และความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างกัน จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ในเวทีระดับนานาชาติในอนาคต เพราะฉะนั้นขอให้ใช้ความรู้ความสามารถ ที่มีอย่างเต็มที่ ในการทำภารกิจครั้งนี้ เพื่อทำให้การปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนของกองทัพ สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35421
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” จัดอบรมวิทยุคมนาคมระบบ DTRS ตามแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ รับมือความเสี่ยงภัยคุกคามด้านต่างๆ ที่ประเทศต้องเผชิญ
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 “ดีอีเอส” จัดอบรมวิทยุคมนาคมระบบ DTRS ตามแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ รับมือความเสี่ยงภัยคุกคามด้านต่างๆ ที่ประเทศต้องเผชิญ “ดีอีเอส” จัดอบรมวิทยุคมนาคมระบบ DTRS ตามแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ รับมือความเสี่ยงภัยคุกคามด้านต่างๆ ที่ประเทศต้องเผชิญ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดีอีเอส เป็นประธานกล่าวเปิดการฝึกอบรมการใช้งานวิทยุคมนาคมระบบ Digital Trunked Radio System (DTRS) ในรูปแบบ Video Conference ให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนงานระบบการสื่อสารในสังกัดกระทรวงฯ ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการอบรมครั้งนี้ เพื่อพัฒนาศักยภาพระบบการสื่อสาร ภายใต้แผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 – 2564) ตามยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561 - 2580) โดยให้ความสำคัญกับ ปัญหา ผลกระทบ และแนวโน้มของภัยคุกคามที่เชื่อมโยงกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศและเกี่ยวข้องกับระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ 1. ด้านสาธารณภัย โดยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) 2. ด้านภัยที่เกิดจากการสู้รบ และ 3. ด้านวิกฤตการณ์ความมั่นคงกระทรวงฯ จึงพัฒนาระบบการสื่อสารกลางของประเทศ ทั้งระบบการสื่อสารหลักและสื่อสารสำรองให้สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะสำหรับผู้บริหารประเทศและหัวหน้าหน่วยงานระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการประสานสั่งการได้ ตามยุทธศาสตร์การเตรียมพร้อมแห่งชาติ ดังนั้นกระทรวงฯ จึงจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร และการประสานงานระบบสื่อสารโดยใช้งานวิทยุคมนาคมระบบ Digital Trunked Radio System (DTRS) ดังกล่าว ภัยทั้ง ๓ ด้านดังกล่าว นับเป็นความเสี่ยงที่ประเทศต้องเผชิญ ทั้งนี้หากขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างกันจะทำให้การบริหารจัดการไม่สามารถทำได้อย่างเป็นระบบ **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35420
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เล็งต่อยอดร่วมมือสำนักข่าว หนุนสกัดการแพร่ข่าวปลอม
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ดีอีเอส เล็งต่อยอดร่วมมือสำนักข่าว หนุนสกัดการแพร่ข่าวปลอม ดีอีเอส เล็งต่อยอดร่วมมือสำนักข่าว หนุนสกัดการแพร่ข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ ลุยนโยบายสกัดกั้นการแพร่ข่าวปลอม เล็งขยายเครือข่ายความร่วมมือกับสำนักข่าว จับจุดเด่นเป็นช่องทางที่มีอิทธิพลกับผู้บริโภคสื่อ เร่งเครื่องสร้างสังคมรู้เท่าทันข่าวปลอม เผยผลการดำเนินงานถึงปัจจุบันมีข้อความที่ต้องรวจสอบ 6,411 เรื่อง กว่า 50% อยู่ในหมวดกลุ่มข่าวสุขภาพ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีนโยบายที่มอบให้กระทรวงดิจิทัลฯ มุ่งเป้าหมายสร้างการรับรู้เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้เท่าทันข่าวปลอม โดยจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) เป็นช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งขัอมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยกันป้องกันการแชร์เนื้อหาข่าวที่ไม่ถูกต้อง ล่าสุดมีแผนขยายการสร้างความมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในแผนงานดังกล่าว คือการขอความร่วมมือจากสำนักข่าว เนื่องจากเป็นช่องทางที่ใกล้ชิดกับ “ผู้บริโภคสื่อ” และได้รับความเชื่อถือจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่แล้ว สามารถเป็นช่องทางและเครือข่ายที่มีพลังในการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการจัดอบรมให้กับผู้ประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากร พัฒนาระบบในการตรวจสอบข่าวปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี่ และพัฒนาช่องทางการติดต่อประสานงานระหว่างประชาชนกับศูนย์ฯ และผู้ประสานงานกับศูนย์ฯ ให้มีขั้นตอนที่สะดวกมากขึ้น เป็นต้น นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงถึงผลการดำเนินงานการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่า จาการรับแจ้งข้อมูลข่าวผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ฯ ตั้งแต่เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 62 - 23 ก.ย. 63 มีจำนวนข้อความที่เข้ามา 17,255,640 ข้อความ โดยมีข้อความที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ด้าน จำนวน 18,479 ข้อความ ทั้งนี้ จากการคัดกรองพบว่ามีข้อความที่ต้องตรวจสอบ 6,411 เรื่อง แบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้ กลุ่มข่าวสุขภาพ 3,539 เรื่อง กลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาล 2,499 เรื่อง กลุ่มข่าวภัยพิบัติ 125 เรื่อง และกลุ่มข่าวเศรษฐกิจการเงิน 248 เรื่อง ตามลำดับ ปัจจุบัน ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีช่องทางสื่อสารและรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนทั่วไป ครอบคลุมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ 6 ช่องทาง ได้แก่ 1. เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com มียอดผู้เข้าชม 3,475,136 ครั้ง 2. เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center มีผู้ติดตาม 65,232 ราย 3. ทวิตเตอร์ @AfncThailand มียอดผู้ติดตาม 6,988 รายชื่อ 4. บัญชีไลน์ทางการ Line@antifakenewscenter มีจำนวนผู้ติดตาม 1,408,159 ราย 5. ศูนย์รับแจ้งข่าวปลอม (สป.ดศ.) และ 6. สายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายผู้ประสานงานภาครัฐ องค์กรอิสระ เพื่อดำเนินงานภายใต้กรอบการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม จำนวนไม่น้อยกว่า 400 คน ในการตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอม “การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้มีการนำเอาระบบสารสนเทศ เทคโนโลยี AI / Cloud / Big Data มาช่วยในการรวบรวม คัดแยก วิเคราะห์ ข้อมูลที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากข้อมูลที่เกิดขึ้นและถูกส่งต่อบนโลกอินเทอร์เน็ต มีปริมาณมาก การใช้กำลังคนเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำได้” นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว โดยการทำงานของระบบ ของ ศูนย์ฯ จะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอน ดังนี้ 1.การรวบรวมเนื้อหา ข้อมูลที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตจาก เว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือ Social Network ที่เป็นกลุ่มเปิด รวมถึงข้อมูลจากช่องทางติดต่อของศูนย์ฯ ได้แก่ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ หรือสายด่วน GCC1111 2. ระบบ AI จะทำการจำแนกข้อความ กลั่นกรอง จัดหมวดหมู่ และจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหา วิเคราะห์ ประเมินผลกระทบ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว 3. เมื่อคัดกรองข่าวสารที่เข้าข่ายใน 4 กลุ่มที่กำหนด จะส่งข้อมูลข่าวไปยังเครือข่ายผู้ประสานงาน ตามช่องทางผ่านระบบที่ตกลงร่วมกันไว้ เพื่อให้ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูลซึ่งหน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องยืนยันความถูกต้องของข่าวกลับมาที่ศูนย์ฯ ภายใน 2 ชั่วโมง 4. เมื่อได้รับการยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปจัดทำสื่อเพื่อเผยแพร่ต่อไป ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงานของศูนย์ฯ ระบบจะมีการแสดงสถานะของงาน เพื่อใช้ในการติดตามการดำเนินงานแบบตามเวลาจริง (Real time) **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35422
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.แรงงาน’ เยือนเมืองลุง เปิดมหกรรมคนสามวัยใส่ใจสุขภาพ ต้าน โควิด-19
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ‘รมว.แรงงาน’ เยือนเมืองลุง เปิดมหกรรมคนสามวัยใส่ใจสุขภาพ ต้าน โควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการมหกรรมคนสามวัยใส่ใจสุขภาพจังหวัดพัทลุง สร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพของประชาชน ส่งเสริมการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีปราศจากโควิด-19 วันนี้(25 ก.ย. 63)เวลา16.00น.พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการมหกรรมคนสามวัยใส่ใจสุขภาพจังหวัดพัทลุงพร้อมมอบเกียรติบัตรสุขภาพดีให้แก่ผู้สูงอายุ11อําเภอและเทศบาลเมืองพัทลุงณสนามกีฬากลางจังหวัดพัทลุงโดยนายสุชาติกล่าวว่า“ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2563จนถึงปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ทำให้ผู้คนเกิดความวิตกกังวลไปทั่วโลกมีการปิดเมืองปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคหลายธุรกิจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจนต้องลดพนักงานเลิกจ้างหรือปิดตัวลงแต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19ในประเทศไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นภายใต้การบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้เร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19โดยนำนโยบาย“รวมไทยสร้างชาติ”มาเป็นหลักในการขับเคลื่อน การที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้จัดโครงการมหกรรมคนสามวัยใส่ใจสุขภาพจังหวัดพัทลุงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพของประชาชนส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพซึ่งการดูแลสุขภาพถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนเมื่อประชาชนสุขภาพดีปราศจากโรคภัยไข้เจ็บส่งผลให้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขอีกทั้งโครงการนี้ยังสร้างความรักความสามัคคีของประชาชนในจังหวัดพัทลุงถือเป็นโครงการที่ดียิ่ง” การจัดโครงการในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมความร่วมมือขององค์กรภาครัฐภาคเอกชนและภาคเครือข่ายประชาชนในการดูแลสุขภาพของประชาชนสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพของประชาชนให้ประชาชนคนสามวัยได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้ประชาชนคนสามวัยจังหวัดพัทลุงได้รับการบริการด้านสาธารณสุขเบื้องต้นอย่างถูกวิธีและเป็นการสร้างความรักความสามัคคีของประชาชนในจังหวัดพัทลุงโดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการประกอบด้วยกลุ่มเด็กและเยาวชนจำนวน2,500คนกลุ่มคนวัยทำงานจำนวน2,000คนกลุ่มผู้สูงอายุจำนวน2,000คนรวมพลคนสามวัยจำนวน6,500คน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 25กันยายน2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นย้ำ ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อเกิดผลประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 มท.1 มอบนโยบายการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นย้ำ ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อเกิดผลประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน มท.1 มอบนโยบายการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นย้ำ ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อเกิดผลประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน วันนี้ (25 ก.ย. 63) เวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมขุนลุมประพาส ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย นายสุวพงศ์ กิตติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้แทนผู้ประกอบการ และภาคประชาชน รวมจำนวน 150 คน ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมอบหมายให้รับผิดชอบกำกับติดตามคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด และทุกส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งในวันนี้ เป็นการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะได้ติดตามการขับเคลื่อนงานของทุกส่วนราชการในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และความต้องการของประชาชนและทุกภาคส่วนเพื่อนำเสนอรัฐบาลแก้ไขปัญหาต่อไป นายอัครเดช วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ถนนเชื่อมตำบล/หมู่บ้าน สาธารณูปโภคพื้นบ้าน (ไฟฟ้า) ปัญหาด้านการเกษตร เอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย ปัญหาสังคมบางประการ และการเดินทางทั้งทางบก ทางอากาศ ปัญหาด้านสาธารณสุข โดยได้นำเสนอข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การแก้ไขในบริบทพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 5 ด้าน คือ 1) ถอดบทเรียนการทำงานทั้งโครงการ คทช. และแม่ฮ่องสอนโมเดล เพื่อปรับปรุงการทำงาน เพิ่มผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายรัฐบาล ลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจน 2) จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการโครงการที่ต้องดำเนินการในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าในโครงการแม่ฮ่องสอนโมเดลและโครงการจัดการที่ดินแห่งชาติ 3) ขอให้กำหนดให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่เป้าหมายในการออกเอกสารสิทธิ์ 4) ผลักดันในเรื่ององระบบการคมนาคมขนส่ง 5) ผลักดันกระเทียมเป็นพืชประกันรายได้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ได้แก่ 1) ด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะแม่ฮ่องสอนมีสภาพทางกายภาพ มีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็ต้องดูแลรักษา และป้องกันปัญหาน้ำเสียและขยะในแหล่งน้ำ ซึ่งจะได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลเรื่องนี้ร่วมกับ อปท. 2) การจัดการที่ดินทำกิน ซึ่งประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังประสบกับปัญหาดังกล่าวจำนวนมาก จะได้เร่งหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องในการนำเสนอเข้าสู่อนุกรรมการฯ ต่อไป 3) พืชผลทางการเกษตร "กระเทียม" จะต้องหาแนวทางในการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ จะได้หาแนวทางขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาแต่ละเรื่องอย่างเร่งด่วน เพื่อจะให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน https://youtu.be/eZX62x5Pj6M .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35424
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มุ่งผลักดันทีมลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา มุ่งผลักดันทีมลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ​รมช.มนัญญา มุ่งผลักดันทีมลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร จ.นครพนม นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการ”นำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” ณ ต.ธาตุพนมเหนือ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม (ในวันที่ 25 กันยายน 2563) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาประกอบอาชีพทำการเกษตร และกลับสู่ถิ่นฐานร่วมกันพัฒนาบ้านเกิดและใกล้ชิดครอบครัวมากยิ่งขึ้น โดยการดำเนินการจากหน่วยงานทุกภาคส่วนซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มีการดำเนินงานเปิดรับสมัครมาก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCovid-19 เริ่มตั้งแต่การกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ จัดอบรมส่งเสริมความรู้และความสามารถทั้งด้านการผลิต และการตลาด "โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” ปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีผู้สมัครเข้าร่วม 127 ราย โดยมีตัวอย่างผลผลิตและผลิตภัณฑ์ จากตัวแทนเกษตรกรรุ่นใหม่ นายสันติ สุนีย์ จบการศึกษาสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ได้เพาะพันธุ์ลูกอ๊อด นายทรงวุฒิ พลหาญ จบระดับปวช. ทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งทำนาปลูกข้าว ปลูกฝักทอง เลี้ยงไก่ เลี้ยงวัวและสุกรซึ่งต้องการความรู้เกี่ยวกับการผลิตและการขอรับรองมาตรฐานสินค้าปลอดภัยและ GAP นอกจากนี้มีผลิตผลที่โดดเด่นอื่นๆจากผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ส้มโอทองสยาม ฝรั่งหงเป่าสือ เห็ดเจอินทรีย์ และจิ้งหรีดแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่มีบทบาทในการสนับสนุนกิจกรรมของเกษตรกรรุ่นใหม่ทั้งด้านส่งเสริมการผลิต การรวบรวม การแปรรูปและการตลาด เพื่อให้เกษตรกรรุ่นใหม่ได้การประกอบอาชีพทางการเกษตรอย่างมั่นคง การส่งเสริมกิจกรรมแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ภายในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย กิจกรรมเกษตรทฤษฎีใหม่ กิจกรรมโคกหนองนาโมเดล การเลี้ยงผึ้งแบบธรรมชาติ และเทคนิคการเพาะพันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร จังหวัดนครพนม ร่วมกันจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรให้คนรุ่นใหม่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ เยี่ยมชมนิทรรศการการดำเนินกิจกรรมของสหกรณ์การเกษตรธาตุพนม จำกัด และสหกรณ์การเกษตรเรณูนคร จำกัด พร้อมชมผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์และกลุ่มอาชีพ อาทิ ข้าวสาร เครื่องจักรสาน ผ้าทอพื้นเมือง ของกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองตำบลโคกกินแฮ่ ผลิตภัณฑ์การแปรรูปพริกของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรนางามเหนือ ซึ่งสหกรณ์ทั้ง 2 แห่ง ได้สมัครเข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ของโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร จังหวัดนครพนม โดยได้เข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ หลักการ วิธีการสหกรณ์ และการรวมกลุ่มกันซื้อ – ขาย ส่งเสริม การจัดตั้งกลุ่มอาชีพ สนับสนุนด้านเงินทุนในการประกอบอาชีพ และรวมทั้งเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายในการหาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ และมีความพร้อมที่จะเชื่อมโยงการตลาดให้ลูกหลานเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35412
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ จ. ยโสธร จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ ยกทัพศิลปินพื้นบ้านอีสาน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทย
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 วธ. ร่วมกับ จ. ยโสธร จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ ยกทัพศิลปินพื้นบ้านอีสาน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทย วธ. ร่วมกับ จ. ยโสธร จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ ยกทัพศิลปินพื้นบ้านอีสาน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัย วธ. ร่วมกับ จ. ยโสธร จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ยกทัพศิลปินพื้นบ้านอีสาน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัยหนุนสร้างงาน สร้างรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่ท้องถิ่น ๒๘ ก.ย. - ๒ ต.ค.นี้ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมี ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ศิลปิน และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ นายพิกิฏ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับจังหวัดยโสธร อำเภอเมืองยโสธร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน – ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับศิลปิน ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม รวมทั้งสร้างขวัญ กำลังใจแก่ประชาชน ผู้ประกอบการในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และดำเนินงานตามแผนงานและโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านมิติวัฒนธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวเป็นการบูรณาการการจัดงานร่วมกับประเพณีตูมกาในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมและดนตรีพื้นบ้านอีสาน โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง และกลุ่มศิลปินพื้นบ้านของจังหวัดยโสธร อาทิ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา(หม่ำ จ๊กมก) นักแสดงตลกชื่อดัง , ดาว บ้านดอน และนันทิยา ศรีอุบล(อั้ม นันทิยา) ศิลปินเพลงลูกทุ่ง เป็นต้น กิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” อาทิ สีสันวัฒนธรรมการอยู่การกิน สีสันภูมิทัศน์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ สีสันศิลปินท้องถิ่นต้นแบบ เป็นต้น การจัดสัมมนาในหัวข้อ “สินค้าวัฒนธรรมก้าวไกล ด้วยมิติใหม่ตลาดออนไลน์” การจัดแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตชุมชนคนยโสธรนิทรรศการวิถีชีวิตชุมชนคนยโสธร การประกวดการแสดงทางด้านศิลปวัฒธรรมท้องถิ่น การจำหน่ายอาหารพื้นเมืองสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomic Tourism) และถ่ายทอดวัฒนธรรมการกินอาหารท้องถิ่นของจังหวัด การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม การจัดแสดงแฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัยร่วมกับนางแบบมืออาชีพ การแสดงแฟชั่นโชว์ ชุด “เด็กยโสร่วมสมัย ฮักผ้าไทย อิสาน” นอกจากนี้ มีการจัดแสดงลิเก และการแสดงของศิลปินแห่งชาติ (แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปะการแสดงระหว่างภูมิภาคด้วย ทั้งนี้ มีพิธีเปิดงานในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน วธ. และ จ.ยโสธร ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อร่วมสืบสาน ส่งเสริม ต่อยอด ศิลปวัฒนธรรม เทศกาล ประเพณีของไทย และสร้างงาน สร้างรายได้จากทุนทางวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่น สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยโสธร โทร. ๐๔๕ ๗๑๕ ๑๓๗ --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2563
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ผู้ติดเชื้อรายใหม่จากสหรัฐเอมริกา 1 ราย แล รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ผู้ติดเชื้อรายใหม่จากสหรัฐเอมริกา 1 ราย และผู้ติดเชื้อรายเก่าจากสิงคโปร์ และคูเวต ประเทศละ 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,360 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.48 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 100 ราย หรือร้อยละ 2.84 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,519 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก สหรัฐอเมริกา 1 รายเป็นหญิง อายุ 39 ปี สัญชาติไทย อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 19 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 23 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี สิงคโปร์1 รายเป็นชาย อายุ 42 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 21 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี มีประวัติเคยติดเชื้อโควิด 19 ขณะอยู่ที่สิงคโปร์ แต่มีเอกสารจากสิงคโปร์ระบุว่าพ้นระยะแพร่เชื้อแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 คูเวต1 รายเป็นชาย อายุ 58 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้างทั่วไป เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 22 กันยายน 2563 (วันแรกของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี มีประวัติเคยติดเชื้อโควิด จากคูเวต พักรักษาตัวอยู่ที่รพ.และแคมป์คนงาน ก่อนเดินทางกลับไทย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกรายงานวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 314,855 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 32,408,504 ราย โดย ประเทศที่มีการติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 7,185,471 ราย อินเดีย 5,816,103 ราย บราซิล 4,659,909 ราย สำหรับการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคตามพื้นที่แนวชายแดน รัฐบาลไทยได้ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ร่วมกันเฝ้าระวังป้องกันโรคในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น รวมถึงในจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม เฝ้าระวัง ป้องกัน แรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้เข้าสู่ระบบการคัดกรอง ควบคุมโรคตามมาตรการอาจนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในชุมชนได้ จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่สนับสนุนการจ้างงานแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายเข้าทำงาน โดยไม่ผ่านมาตรการเฝ้าระวังโรค อาจจะเป็นเหตุให้เกิดการแพร่เชื้อได้ อีกหนึ่งประเด็นน็นที่น่าสนใจนที่น่าสนใจ กรณีพบการแพร่ระบาดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีสาเหตุจากการปาร์ตี้ของนักศึกษา ทำให้นักศึกษา 2,500 คน ต้องอยู่ภายใต้มาตรการกักกันโรค และทางการท้องถิ่นได้ออกคำสั่งปิดสถานบันเทิงทุกแห่งในแคว้นโวด์และบังคับสวมหน้ากากในทุกสถานที่สาธารณะ ซึ่งประเทศไทยเพิ่งเกิดการรวมกลุ่มชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา ถือว่ามีความเสี่ยงที่อาจเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ โดยสัดส่วนผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศไทยตั้งแต่เริ่มมีรายงานโควิด 19 พบว่ากลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน ช่วงอายุ 20-39 ปี มีการติดเชื้อรวมกันมากกว่าร้อยละ 50 และส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการ กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใย ขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมในวันดังกล่าวเฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองจนครบ 14 วัน หากมีอาการ ไข้ ไอเจ็บคอ น้ำมูก การรับรส/ กลิ่นลดลง อย่าปล่อยไว้ให้รีบไปรับการตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื่องจากกลุ่มนี้หากป่วยจะมีอาการรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้ และขอให้ผู้ที่จัดการประชุม สัมมนา หรือจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคน ให้เข้มงวดมาตรการ โดยทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดสถานที่เว้นระยะห่าง จัดจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ส่วนผู้ร่วมงาน ขอให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัย เลี่ยงการตะโกนเนื่องจากอาจเกิดฝอยละอองน้ำลาย น้ำมูกกระจายและสัมผัสสู่ผู้อื่นได้ และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคต่อไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง สมาชิกในครอบครัว คนรอบข้าง ชุมชน สังคม และคนในประเทศไทย **************************************** 25 กันยายน 2563 ***********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​‘นฤมล’ สั่งปั้นช่างเมืองคอน’ รับประกันฝีมือ
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ​‘นฤมล’ สั่งปั้นช่างเมืองคอน’ รับประกันฝีมือ - - วันที่ 25 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยกว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดโครงการเตรียมความพร้อมช่างมืออาชีพ เพื่อก้าวสู่การรับรองความรู้ความสามารถ จัดโดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช ณ ห้องประชุมแก้วกัลยา แกรนด์บอลรูม โรงแรมเมืองลิกอร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ขานรับนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงที่มีภารกิจสำคัญในการสร้างแรงงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยอาศัยความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับโครงการเตรียมความพร้อมช่างมืออาชีพเพื่อก้าวสู่การรับรองความรู้ความสามารถใน 12 จังหวัดนำร่อง และครั้งนี้จัดขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช เพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกอบอาชีพ ประชาชน และผู้บริโภค ตระหนักถึงความสำคัญของการรับรองความรู้ความสามารถ ทำให้ได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ และได้รับความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดอันตรายจากการทำงาน จังหวัดนครศรีธรรมราช มุ่งเน้นส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดังนั้นการดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาทักษะที่ สพร.22 นครศรีธรรมราชดำเนินการ จึงมีเป้าหมายดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับแรงงานภาคการท่องเที่ยวและการบริการด้วย เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ภาษาจีนกลางเพื่อการบริการในโรงแรม การนวดลูกประคบด้วยน้ำมันร้อน เทคนิคการแต่งหน้า เพื่อส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานนอกระบบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เช่น การฝึกอบรมให้แก่ผู้สูงอายุ หลักสูตรที่จัดอบรม อาทิ การเพ้นท์ผ้าปาเต๊ะ การทำผลิตภัณฑ์จักสานจากเส้นใยสังเคราะห์ และการทำผ้ามัดย้อม หลักสูตรดังกล่าวเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอาชีพของทุกกลุ่มตั้งแต่ระบบฐานราก ตามแนวทางการให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบางของรมช.แรงงานอีกด้วย กิจกรรมภายในงานวันนี้ มีการจัดเสวนา หัวข้อ “การเตรียมความพร้อมช่างมืออาชีพเพื่อก้าวสู่การรับรองความรู้ความสามารถ” โดยผู้แทนสำนักพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน สำนักงานรับรองความรู้ความสามารถ ประธานอุตสาหกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช และประธานหอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช การจัดนิทรรศการและกิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ นิทรรศการจากบริษัท อินเตอร์ฟาร์อีส วินด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด การแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ผ่านการฝึกอบรมจาก สนพ.นครราชสีมา ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์จักสานจากย่านลิเพา ผลิตภัณฑ์ผ้าบาติก ผลิตภัณฑ์เพ้นท์ผ้าปาเต๊ะ ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม และผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว รวมถึงการเผยแพร่ภารกิจการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35405
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับวิถีใหม่
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับวิถีใหม่ เตรียมพร้อมบ้านวิถีใหม่ ทำอย่างไรให้เหมาะสม การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับวิถีใหม่ -ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภายนอกบ้าน สำหรับห้องพักหรืออพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่น้อย ใช้พื้นที่บริเวณระเบียงหรือหน้าต่างที่แสงแดดส่องถึง ก็สามารถปลูกผักง่ายๆ ในกระถางได้เหมือนกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพท.ให้ความมั่นใจมาตรการบริการ ทั้งสนามบินและปฏิบัติการบิน ป้องกันโควิด 19
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 กพท.ให้ความมั่นใจมาตรการบริการ ทั้งสนามบินและปฏิบัติการบิน ป้องกันโควิด 19 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความมั่นใจมาตรการการให้บริการด้านการบินยังเข้มงวด ทั้งสนามบิน การปฏิบัติการบินเส้นทางทั้งในและระหว่างประเทศ ระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กพท.ให้ความมั่นใจมาตรการบริการ ทั้งสนามบินและปฏิบัติการบิน ป้องกันโควิด19 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความมั่นใจมาตรการการให้บริการด้านการบินยังเข้มงวด ทั้งสนามบิน การปฏิบัติการบินเส้นทางทั้งในและระหว่างประเทศ ระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันนี้ (25 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายกลศ เสนาลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายมาตรฐานผู้ประจำหน้าที่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แถลงข่าวมาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมโควิด 19 สำหรับการเดินทางทางอากาศ ว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 มีผลตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2563 โดยได้หารือร่วมกับสายการบิน และการท่าอากาศยาน อ้างอิงจากมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข นโยบายของทางรัฐบาล มาตรการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO กำหนดเป็นมาตรฐานสำหรับทุกประเทศ รวมทั้ง Best Practice ในต่างประเทศ โดยเฉพาะ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดย กพท. ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติการบินของสายการบิน การบริการผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานทุกแห่งในประเทศไทย ทั้งสายการบินของประเทศไทยและสายการบินต่างชาติที่บินเข้าสู่ประเทศไทย ให้เป็นไปตามมาตรการตามประกาศที่ กพท.กำหนด ทั้งนี้ ผู้เดินทางเข้าประเทศไทย ต้องมีเอกสารที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น หนังสือรับรองจากสถานทูตไทยหรือกงสุลไทยประจำประเทศต้นทาง ใบรับรองการตรวจโควิด 19 ด้วยวิธี RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ประกันภัยครอบคลุมการรักษาโควิด 19 ไม่น้อยกว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อถึงประเทศไทย จะต้องตรวจคัดกรองอาการ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อใช้ติดตามอาการ และเข้ารับการกักตัว 14 วัน นายกลศกล่าวต่อว่า ระหว่างทำการบิน กำหนดให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากตลอดการเดินทาง กำหนดมาตรการรักษาระยะห่าง จัดแอลกอฮอล์ให้เพียงพอ พนักงานสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลและถุงมือยาง งดบริการหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับโฆษณา งดจำหน่ายสินค้า ให้ลูกเรือติดต่อสื่อสารนักบินผ่านอินเตอร์โฟนเป็นหลัก ลดการเดินเข้าออกห้องนักบิน หากชั่วโมงบินน้อยกว่า 120 นาที งดให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม หากบินนานเกิน 120 นาที ให้เสิร์ฟอาหารที่บรรจุในภาชนะปิด ในกรณีที่เที่ยวบินมีระยะเวลาการบินมากกว่า 240 นาที ต้องสำรองที่นั่ง 3 แถวหลังไว้สำหรับแยกกักผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทำความสะอาดอุปกรณ์ในห้องโดยสารด้วยยาฆ่าเชื้อ และฆ่าเชื้อโรคในห้องโดยสารตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขทุกครั้งหลังจากการปฏิบัติการบิน รวมทั้งเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA) ระบบแอร์คอนดิชันของเครื่องบินตามกำหนด ซึ่งระบบการหมุนเวียนอากาศภายในเครื่องบินจะแลกเปลี่ยนอากาศกับภายนอกในระดับความสูง เป็นอากาศแห้ง มีเชื้อโรคค่อนข้างต่ำ และจะผ่านแผ่นกรอง HEPA ก่อนเข้าสู่ห้องโดยสาร ทำให้อากาศมีความสะอาดสูง ส่วนมาตรการสำหรับผู้ดำเนินการสนามบิน ได้แก่ การจัดสถานที่เว้นระยะห่าง มีการป้องกันสำหรับผู้ปฏิบัติงาน เช่น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล มีโปรแกรมการคัดกรองสุขภาพ จัดตารางเวลาทำงานเพื่อลดแออัดในสนามบิน จัดเตรียมแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้สายการบินพิจารณานำเครื่องมือบริการตนเองมาใช้เพื่อลดการสัมผัส เช่น เครื่องออกบัตรและป้ายติดสัมภาระอัตโนมัติ เครื่องโหลดสัมภาระอัตโนมัติ ใช้เครื่องตรวจจับโลหะแบบเดินผ่านลดการตรวจค้นด้วยมือ, เข้มงวดอากาศยานที่ลงจอดทางเทคนิค ไม่ให้ผู้โดยสารออกจากเครื่อง ทั้งนี้ กพท.จะสุ่มตรวจติดตามการปฏิบัติตามมาตรการของสายการบินและท่าอากาศยาน และปรับปรุงมาตรการเป็นระยะตามสถานการณ์และนโยบายของประเทศ ประชาชนติดตามข่าวสารและให้คำแนะนำได้ที่ 025688800 หรือwww.caat.or.th ***************************** 25 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตแถลงผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 สรรพสามิตแถลงผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมสรรพสามิตแถลงผลการดำเนินงานการจัดเก็บรายได้ในรอบกว่า 11 เดือน (1 ต.ค.2562 – 24 ก.ย.2563) จัดเก็บได้รวม 543,067.08 ล้านบาท และผลการปราบปรามทั่วประเทศ (1 ต.ค.2562 – 24 ก.ย.2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 27,642 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 481.66 ล้านบาท กรมสรรพสามิตแถลงผลการดำเนินงานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สามารถจัดเก็บรายได้ในรอบกว่า 11 เดือน (1 ตุลาคม 2562 – 24 กันยายน 2563) จัดเก็บได้รวม 543,067.08 ล้านบาท และผลการปราบปรามทั่วประเทศ (1 ตุลาคม 2562 – 24 กันยายน 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 27,642 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 481.66 ล้านบาท นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้ ในรอบกว่า 11 เดือน (1 ตุลาคม 2562 – 24 กันยายน 2563) จัดเก็บได้รวม 543,067.08 ล้านบาท (คาดการณ์ 546,644.65 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการต่ำกว่า 95,955.35 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.93) และรายได้ภาษีที่สามารถจัดเก็บได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 221,140.28 ล้านบาท 2) ภาษีรถยนต์ จำนวน 84,347.28 ล้านบาท 3) ภาษีเบียร์ จำนวน 80,012.64 ล้านบาท 4) ภาษีสุรา จำนวน 61,205.39 ล้านบาท 5) ภาษียาสูบ จำนวน 62,761.24 ล้านบาท โดยในเดือนกันยายน 2563 (1 – 24 กันยายน 2563) จัดเก็บได้รวม 39,184.78 ล้านบาท (คาดการณ์ 42,762.35 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการต่ำกว่า 8,065.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.87) อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่า ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 24 กันยายน 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 27,642 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 481.66 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 15,821 คดี ค่าปรับ 157.21 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 8,136 คดี ค่าปรับ 188.54 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 592 คดี ค่าปรับ 8.49 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,211 คดี ค่าปรับ 59.20 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 72 คดี ค่าปรับ 1.84 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,228 คดี ค่าปรับ จำนวน 30.94 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 582 คดี ค่าปรับ 35.44 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,816,955.434 ลิตร ยาสูบ จำนวน 495,716 ซอง ไพ่ จำนวน 69,602 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 3,083,518.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 49,756 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,405 คัน และสำหรับผลการปราบปราม (ระหว่างวันที่ 18 - 24 กันยายน 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 402 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.48 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 232 คดี ค่าปรับ 1.91 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 109 คดี ค่าปรับ 2.62 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 6 คดี ค่าปรับ 0.07 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 22 คดี ค่าปรับ 1.69 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.46 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.73 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 8,928.050 ลิตร ยาสูบ จำนวน 8,265 ซอง ไพ่ จำนวน 578 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 51,033.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จำนวน 23 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th หรือแจ้งที่ตู้ ป.ณ. 10 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35414
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกบริการ “สินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบธุรกิจส่งออกไซส์ M
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 EXIM BANK ออกบริการ “สินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบธุรกิจส่งออกไซส์ M ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกบริการสินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง (EXIM Amazing M Credit) เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางที่มีรายได้จากการขายตั้งแต่ 300-500 ล้านบาท EXIM BANK ออกบริการ “สินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบธุรกิจส่งออกไซส์ M ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกบริการสินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง (EXIM Amazing M Credit) เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางที่มีรายได้จากการขายตั้งแต่ 300-500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อสูงสุด 80 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.75% ต่อปี (Prime Rate -2.00% ต่อปี) แถมวงเงิน Forward Contract ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน สูงสุด 3 เท่าของวงเงินสินเชื่อ ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Launches “EXIM Amazing M Credit” Enhancing Liquidity of Medium Entrepreneurs Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) recently launched EXIM Amazing M Credit, a revolving credit facility to enhance liquidity of medium entrepreneurs with sales income ranging from 300-500 million baht with a maximum credit line of 80 million baht per entrepreneur and a minimum interest rate of 3.75% per annum (prime rate -2.00% per annum), in conjunction with a foreign exchange forward contract facility of up to 3 times the credit facility. Approval period from today until July 31, 2021. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการเก็บเงินไว้ใช้จ่ายหลังสิ้นปีงบประมาณของส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการเก็บเงินไว้ใช้จ่ายหลังสิ้นปีงบประมาณของส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ เนื่องจากขณะนี้ใกล้สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรากฏว่าส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศหลายแห่งไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563 และยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณนั้นต่อไป นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้ใกล้สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรากฏว่าส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศหลายแห่งไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563 และยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณนั้นต่อไป โดยระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ข้อ 33 กำหนดว่า เงินที่จัดส่งให้สำนักงานในต่างประเทศใช้จ่ายเมื่อสิ้นปีงบประมาณแล้ว หากมีเงินเหลือให้นำส่งคืนส่วนราชการเจ้าของงบประมาณภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปี ในกรณีที่สำนักงานในต่างประเทศมีหนี้ผูกพัน และไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันสิ้นปีงบประมาณ เมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ให้เก็บเงินไว้ เพื่อจ่ายสำหรับการนั้นต่อไปได้อีกไม่เกิน 6 เดือน เว้นแต่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินภายหลังเวลาดังกล่าว ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อขอขยายเวลาออกไปได้อีกไม่เกิน 6 เดือน หากมีเงินคงเหลือให้นำเงินส่งคืนส่วนราชการเจ้าของงบประมาณภายใน 30 วัน นับแต่ครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติไว้ โดยให้ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณดำเนินการเบิกหักผลักส่ง “ขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศและได้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563 สามารถเก็บเงินไว้ใช้จ่ายได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2564 สำหรับงบประมาณที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพัน ให้สำนักงานในต่างประเทศนำเงินส่งคืนส่วนราชการเจ้าของงบประมาณภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินประเภทเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ข้อ 103 โดยให้ส่วนราชการจัดทำหนังสือแจ้งรายละเอียดการเก็บงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้ใช้จ่ายหลังสิ้นปี ส่งให้กรมบัญชีกลาง ภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศสามารถใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่องจนบรรลุวัตถุประสงค์” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2563
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 402 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.48 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 18 - 24 กันยายน 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 402 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.48 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 232 คดี ค่าปรับ 1.91 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 109 คดี ค่าปรับ 2.62 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 6 คดี ค่าปรับ 0.07 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 22 คดี ค่าปรับ 1.69 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.46 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.73 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 8,928.050 ลิตร ยาสูบ จำนวน 8,265 ซอง ไพ่ จำนวน 578 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 51,033.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จำนวน 23 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 24 กันยายน 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 27,642 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 481.66 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 15,821 คดี ค่าปรับ 157.21 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 8,136 คดี ค่าปรับ 188.54 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 592 คดี ค่าปรับ 8.49 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,211 คดี ค่าปรับ 59.20 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 72 คดี ค่าปรับ 1.84 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,228 คดี ค่าปรับ จำนวน 30.94 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 582 คดี ค่าปรับ 35.44 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,816,955.434 ลิตร ยาสูบ จำนวน 495,716 ซอง ไพ่ จำนวน 69,602 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 3,083,518.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 49,756 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,405 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนฯ (คทช.) เน้นย้ำ
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 มท.1 ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนฯ (คทช.) เน้นย้ำ มท.1 ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนฯ (คทช.) เน้นย้ำ "ต้องใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกับป่าได้" วันนี้ (25 ก.ย.63) เวลา 10.00 น. ที่อาคารสนามกีฬากลาง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ต.ผาบ่อง อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยให้ชุมชน (คทช.) และมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมพิธี และมี นายสุวพงศ์ กิตติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมกว่า 1,000 คน ให้การต้อนรับ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ในตัว เป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางมาเยือนอย่างต่อเนื่อง และเมืองแม่ฮ่องสอนเป็นเมืองแห่งความสุข แต่ปัญหาสำคัญที่ชาวแม่ฮ่องสอนประสบมาอย่างยาวนาน คือ การใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่ง รัฐบาล โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญในการจัดที่ดินทำกินให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านคณะกรรมการจัดรูปที่ดิน (คทช.) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบอาชีพ ทำมาหากิน และอยู่อาศัยกับครอบครัว ซึ่งรัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการออกเอกสารอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ทำกินในที่ดินฯ (คทช.) ให้ได้ตามเป้าหมายอย่างเร็วที่สุด เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น และได้เน้นย้ำให้พี่น้องประชาชนเรียนรู้และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับป่าได้ ถ้าเราทำตามกฎกติกา ช่วยกันดูแลป่าที่เหลือให้ดี อนาคตข้างหน้าพี่น้องประชาชนคนอื่นจะได้ใช้ประโยชน์ที่ดินต่อไป นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ทั้งหมด 7,987,860.50 ไร่ จำแนกเป็น พื้นที่ป่าสมบูรณ์ จำนวน 6,958,612 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 87.11 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด พื้นที่ไม่มีสภาพป่า จำนวน 1,029,248.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.13 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด โดยพื้นที่ไม่มีสภาพป่า แบ่งเป็น พื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 105,319 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.23 พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) 25,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.43 พื้นที่ที่ขอใช้ประโยชน์ 45,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 4.37 พื้นที่ที่ราษฎรถือครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 853,929.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 82.97 ซึ่งการจัดโครงการในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เกี่ยวกับกระบวนการจัดที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล และมอบสมุดประจำตัวแก่ผู้ได้รับอนุญาตให้ทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1,300 เล่ม 1,012 ราย รวมเนื้อที่โดยประมาณ 1,388-1-31 ไร่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย”ในท้องที่ รวม 3 ตำบล 8 หมู่บ้าน https://youtu.be/0kUPJhIn69k
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดกิจกรรม “คืนกุ้งสู่ทะเลบางขุนเทียน”
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ จัดกิจกรรม “คืนกุ้งสู่ทะเลบางขุนเทียน” กระทรวงเกษตรฯ จัดกิจกรรม “คืนกุ้งสู่ทะเลบางขุนเทียน” เนื่องในวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2563 ปล่อยพันธุ์กุ้งทะเล 20 ล้านตัว และปล่อยปลากะพง 60,000 ตัว เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูและเพิ่มผลผลิตทรัพยากรสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงานวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2563 พื้นที่กรุงเทพมหานคร “คืนกุ้งสู่ทะเลบางขุนเทียน” ณ โรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์ แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ 21 กันยายนของทุกปี เป็นวันประมงแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและปลูกฝังให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ รวมทั้งเยาวชน ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ และฟื้นฟูสัตว์น้ำให้มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน ทำให้การจัดงานวันประมงแห่งชาติในปีนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้ร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เชิญชวนประชาชนในพื้นที่ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ และสำหรับกิจกรรมในวันนี้ ได้มีการปล่อยพันธุ์กุ้งทะเล ณ หลักเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 ล้านตัว และการปล่อยปลากะพง จำนวน 60,000 ตัว บริเวณท่าน้ำแพขวัญใจ นอกจากนี้ ยังได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวประมงทั่วประเทศ งดทำการประมงเป็นเวลา 1 วัน ในวันที่ 21 กันยายน 2563 ที่ผ่านมาด้วย "ในวันนี้ได้มีโอกาสมาร่วมพบปะและร่วมพูดคุยกับพี่น้องชาวบางขุนเทียน ซึ่งการนำพันธุ์สัตว์น้ำมาปล่อยในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ที่จะได้มีแหล่งอาหาร ประหยัดรายได้ และเป็นการสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายให้กรมประมงปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำทุกจังหวัด โดยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีการตั้งคณะกรรมการมาดูแลอยากเป็นระบบ ปัจจุบันสามารถจับกุ้งมาขายได้แล้ว ทำให้สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับประชาชนในพื้นที่ และสำหรับการจัดงานในวันนี้ก็จะสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องบางขุนเทียนด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พื้นที่บางขุนเทียนมีความพร้อมที่จะให้สัตว์น้ำเจริญเติบโต จึงอยากฝากให้ช่วยกันรักษาระบบนิเวศน์ รักษาป่าชายเลน ให้มีความอุดมสมบูรณ์ต่อไปในอนาคต" นายเฉลิมชัย กล่าว ด้านนายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานวันประมงแห่งชาติในวันนี้ สำเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยการสนับสนุนและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขตบางขุนเทียน หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ครู นักเรียน ประชาชน เกษตรกรชาวบางขุนเทียน และองค์กรต่าง ๆ ที่ได้มาร่วมกันอนุรักษ์ฟื้นฟูและเพิ่มผลผลิตทรัพยากรสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืนต่อไป สำหรับทะเลบางขุนเทียนถือว่าเป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่เป็นระบบนิเวศน์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนบางขุนเทียน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงกุ้งแบบธรรมชาติ ซึ่งการเลี้ยงกุ้งแบบธรรมชาติ หมายถึง การเลี้ยงกุ้งโดยใช้ลูกกุ้งธรรมชาติตามบริเวณชายฝั่งที่มีน้ำขึ้น-ลง แต่เดิมเป็นการเลี้ยงกุ้งบริเวณนาข้าว โดยเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำทะเลท่วมบริเวณนาข้าว พร้อมทั้งนำเอาลูกพันธุ์กุ้งและปลาเข้ามาด้วย เมื่อน้ำลดกุ้งปลาที่ตกค้างอยู่ในนาก็เจริญเติบโต เจ้าของสามารถนำมาบริโภคและจับขายได้ แต่ในปัจจุบันวิถีชีวิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอดีตกำลังจะหายลงไป เพราะการลดลงของพื้นที่ป่าชายเลนซึ่งเปรียบเสมือนที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ทำให้สิ่งมีชีวิตรวมถึงสัตว์น้ำต่าง ๆ ลดลงไปด้วย การจัดกิจกรรม “คืนกุ้งสู่ทะเลบางขุนเทียน” ในวันนี้ จึงเป็นกิจกรรมคืนความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติกลับคืนมา โดยเป็นความร่วมมือร่วมใจจากหน่วยงานหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ซึ่งจะเป็นการรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติให้แก่ชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกให้เห็นถึงความสำคัญต่อการใช้ประโยชน์ทรัพยากรด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ ก.ศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย จัดการแสดงนาฏศิลป์ออนไลน์ “รามายณะ สองแผ่นดิน ๗๐ ปี ไทย – อินโดนีเซีย” ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 วธ. ร่วมกับ ก.ศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย จัดการแสดงนาฏศิลป์ออนไลน์ “รามายณะ สองแผ่นดิน ๗๐ ปี ไทย – อินโดนีเซีย” ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ วธ. ร่วมกับ ก.ศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย จัดการแสดงนาฏศิลป์ออนไลน์ “รามายณะ สองแผ่นดิน ๗๐ ปี ไทย – อินโดนีเซีย” ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ ช่วงโควิด-19 วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมการแสดงนาฏศิลป์ออนไลน์ “รามายณะ สองแผ่นดิน ๗๐ ปี ไทย – อินโดนีเซีย” เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย พร้อมทั้งชมการแสดงผ่านการถ่ายทอดสัญญาณระบบอินเทอร์เน็ต โดยมี นายนาดิม อันวาร์ มาการิม (H.E. Mr. Nadiem Anwar Makarim) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ร่วมเป็นประธานเปิดงาน ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีนายดิกกี้ โคมาร์ อุปทูตรักษาการ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี ณ โรงละครแห่งชาติ เขตพระนคร กรุงเทพฯ นายอิทธิพล กล่าวว่า ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๙๓ โดยทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แน่นแฟ้น ผ่านประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ ๒๐ – ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย (วธ.) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้เคยจัดกิจกรรมการแสดงรามายณะไทย-อินโดนีเซีย ณ เวทีกลางแจ้งปรัมบานัน เมืองยอกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวประสบความสำเร็จและสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมทั้งสองประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถานปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย วธ. ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รวมถึงสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมการแสดงนาฏศิลป์ออนไลน์ “รามายณะ สองแผ่นดิน ๗๐ ปี ไทย – อินโดนีเซีย” ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ ณ โรงละครแห่งชาติ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมต่างๆ ไปทั่วโลก วธ. จึงได้ปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมเป็นการแสดงกึ่งออนไลน์ โดยผสมผสานทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ มีการถ่ายทอดสดการแสดงรามายณะของทั้งสองประเทศ ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ โดยสลับสับเปลี่ยนกับคลิปวิดีโอการแสดงของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งได้ถ่ายทำขึ้นเฉพาะในวาระพิเศษนี้ โดยผู้ชมสามารถรับชมการแสดงสดผ่านโปรแกรมและช่องทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ ได้แก่ ๑.Facebook Live ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ๒.You Tube Live ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และ ๓.เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th “การแสดงรามายณะสองแผ่นดินในครั้งนี้ เป็นการแสดงทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และหลายประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถเสริมสร้างความเข้าใจและมิตรไมตรีที่ดีต่อกันผ่านวรรณกรรมและการแสดง โดยมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามข้อจำกัดของการเดินทางระหว่างสองประเทศ ซึ่งถือเป็นช่องทางในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีกช่องทางหนึ่งด้วย” รมว.วธ. กล่าว -------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35393
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” เปิดงาน ‘มหกรรมเปิดบ้านสุรินทร์’ เร่งผลักดันส่งออกสินค้าปศุสัตว์ผ่านชายแดนเพิ่มมูลค่าการค้าพร้อมหนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 “รมช.ประภัตร” เปิดงาน ‘มหกรรมเปิดบ้านสุรินทร์’ เร่งผลักดันส่งออกสินค้าปศุสัตว์ผ่านชายแดนเพิ่มมูลค่าการค้าพร้อมหนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน “รมช.ประภัตร” เปิดงาน ‘มหกรรมเปิดบ้านสุรินทร์’ เร่งผลักดันส่งออกสินค้าปศุสัตว์ผ่านชายแดนเพิ่มมูลค่าการค้าพร้อมหนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมเปิดบ้านสุรินทร์“Surin Open Up”จัดขึ้นระหว่างวันที่24 - 27กันยายน2563ณตลาดอาเซียนตำบลด่านอำเภอกาบเชิงจังหวัดสุรินทร์โดยมีนายไกรสรกองฉลาดผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ตลอดจนคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆให้การต้อนรับว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่พี่น้องเกษตรกรตามนโยบายรัฐบาลโดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวเป็นกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็งและเชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ในทุกระดับโดยเฉพาะด้านการตลาดนอกจากนี้ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เพื่อการส่งออกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วยเพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการและผู้สนใจในอาชีพได้รับรู้เกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านต่างๆเพื่อเข้าสู่มาตรฐานในอนาคตรวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการผลิตการแปรรูปและการตลาดตลอดจนแหล่งเงินทุนเพื่อให้มีความยั่งยืนสามารถประกอบเป็นอาชีพหลักเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรต่อไป “จ.สุรินทร์มีเนื้อที่ประมาณ5ล้านไร่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม3.5ล้านไร่ซึ่งประสบปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงดังนั้นจึงต้องนำภาคปศุสัตว์เข้ามาช่วย รัฐบาลนำโดยนายกรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้ธ.ก.ส.สนับสนุนให้ชุมชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยหรือโครงการล้านละร้อยวงเงิน50,000ล้านบาทอัตราดอกเบี้ย0.01%ต่อปีระยะเวลา3ปีตั้งแต่วันที่1ธันวาคม2562 – 30พฤศจิกายน2565โดยต้องมีตลาดรองรับซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ(MOU)โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯเพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย(โคขุนกู้วิกฤตCovid-19)ระหว่างกรมปศุสัตว์และธ.ก.ส.โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน1กลุ่มกู้ได้ไม่เกิน10ล้านบาทหรือกู้1ล้านบาทดอกเบี้ย100บาทโดยมีประกันราคาวัวหากเสียชีวิตสำหรับจ.สุรินทร์มีการปล่อยสินเชื่อที่เกี่ยวกับด้านปศุสัตว์ไปแล้ว6,000ล้านบาทซึ่ง90%เป็นโคเนื้อส่วนสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยปล่อยสินเชื่อไปแล้ว15ล้านบาทและเตรียมจะปล่อยอีกกว่า100ล้านบาทให้กับกลุ่มวิสหกิจชุมชนที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์โครงการ”นายประภัตรกล่าว สำหรับการจัดงานมหกรรมเปิดบ้านสุรินทร์“Surin Open Up”มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการOTOPกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนสหกรณ์องค์การต่างๆในพื้นที่จ.สุรินทร์และเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนรวมทั้งเพิ่มปริมาณการค้าสัตว์เศรษฐกิจชายแดนและภูมิภาคใกล้เคียงผ่านด่านถาวรซ่องจอมตั้งแต่เดือนตุลาคม2562 -สิงหาคม2563มีการส่งออกสุกรไก่พื้นเมืองและโคเนื้อรวมมูลค่าการส่งออกจำนวน6.8พันล้านบาทซึ่งประเทศกัมพูชามีความต้องการสูงเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ทั้งนี้ภายในงานพบกับกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ อาทิกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์:การแสดงผลงานและจัดนิทรรศการปศุสัตว์การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จการสัมมนา“แนวทางการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เพื่อการส่งออก”สาธิตการทำอาหารสัตว์TMRเป็นต้น,คณะกรรมาธิการสถาบันการเงินและตลาดการเงินสภาผู้แทนราษฎร:สัมมนา“เปิดสุรินทร์เปิดโอกาสพร้อมเงินทุน”,กรมการพัฒนาชุมชน:งาน“OTOPชายแดน”สินค้าต่างๆมากมาย,กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม:ให้คำปรึกษาแนะนำด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์,การตลาด,การดำเนินธุรกิจปรึกษาออกแบบพัฒนาตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์สาธิตการประกอบอาหารและแปรรูปอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นนอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินต่างๆอาทิธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ธนาคารออมสินSME BANKให้คำปรึกษาและแนะนำด้านการเงินการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอีกด้วย โอกาสนี้รมช.เกษตรฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการและการจำหน่ายสินค้าและผลผลิตของหน่วยงานต่างๆตลอดจนชมการแสดงนิทรรศการมีชีวิตโชว์พันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ4ชนิด(โคเนื้อไก่พื้นเมืองสุกรแพะ)พร้อมพบปะเกษตรกรและประชาชนที่มาร่วมงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35418
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนพัฒนา 'บึงหนองหาร' จัดการน้ำ 5 ด้าน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 แผนพัฒนา 'บึงหนองหาร' จัดการน้ำ 5 ด้าน วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแผนพัฒนาหนองหาร จ.สกลนคร ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2563-2572 วงเงิน 7,400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในหนองหาร เนื่องจากมีสิ่งกีดขวางทางไหลของน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และขาดระบบกระจายน้ำ โดยมีเป้าหมายของแผน 5 ด้าน ประกอบด้วย แผนด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค แผนด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต แผนจัดการอุทกภัย แผนจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และแผนด้านการบริหารจัดการ สำหรับตัวอย่างของโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำรอบหนองหาร โครงการปรับปรุงพนังกั้นน้ำ และอาคารประกอบ โครงการขุดลอกตะกอนดินในหนองหาร เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” ลุยเมืองสุรินทร์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นร่างมาตรฐานปางช้าง
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 “รมช.ประภัตร” ลุยเมืองสุรินทร์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นร่างมาตรฐานปางช้าง “รมช.ประภัตร” ลุยเมืองสุรินทร์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นร่างมาตรฐานปางช้าง สั่งปรับปรุงแก้ไขให้เป็นที่ยอมรับ-ปฏิบัติได้จริง เพื่อยกระดับมาตรฐานปางช้างไทยทั่วประเทศ เมื่อวันที่25ก.ย.63นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์คชศึกษาหมู่บ้านช้างบ้านตากลางต.กระโพอ.ท่าตูมจ.สุรินทร์ว่าปัจจุบันช้างมีบทบาทด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยและได้สร้างรายได้ที่สำคัญของประเทศแต่พบว่าปางช้างบางส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติที่ดีในการจัดการเลี้ยงช้างที่ถูกต้องและเหมาะสมโดยคำนึงถึงเรื่องสุขภาพช้างและหลักสวัสดิภาพสัตว์ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพช้างและการทารุณกรรมช้างจึงได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้และมีนโยบายที่จะยกระดับมาตรฐานปางช้างของประเทศไทย นายประภัตรกล่าวต่อไปว่าที่ผ่านมาสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ได้ดำเนินการจัดทำร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างโดยศึกษาและค้นคว้าข้อมูลข้อกำหนดต่างๆจากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องมาตรฐานปาง(แค้มป์)ช้างของประเทศไทยพ.ศ. 2545ของกรมปศุสัตว์และมาตรฐานการจัดกิจกรรมปางช้างเพื่อการท่องเที่ยวพ.ศ. 2553ของกรมการท่องเที่ยวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นแนวทางในการจัดทำร่างมาตรฐานเพื่อให้มีความชัดเจนเหมาะสมและเพื่อให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของปางช้าง/บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามหรือปรับปรุงแก้ไขกระบวนการทำงานหรือโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นไปตามการปฏิบัติที่ดีได้ตลอดจนได้จัดให้มีการสัมมนาระดมความเห็นต่อร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างเป็นมาตรฐานทั่วไปหรือมาตรฐานบังคับเพื่อนำข้อคิดเห็นมาปรับปรุงร่างมาตรฐานดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ อีกทั้งจากการประชุมคณะกรรมการวิชาการพิจารณามาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องปางช้างเมื่อวันที่29กรกฎาคม2563 นั้นได้มีการเสนอให้มาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างเป็นมาตรฐานบังคับโดยจะบังคับใช้กับปางช้างทุกขนาดอย่างไรก็ตามจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรก่อนพิจารณาให้การรับรองและประกาศเป็นมาตรฐานของประเทศต่อไป “ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยและมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากการสำรวจมีมากถึง6,000เชือกนอกจากนี้ปัญหาที่พบคือชาวต่างชาติมองว่าการเลี้ยงช้างของไทยเป็นการทรมานสัตว์ดังนั้นรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อยกระดับมารฐานปางช้างซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อหารือร่วมกับกลุ่มผู้เลี้ยงช้างจ.สุรินทร์ที่ถือเป็นจังหวัดที่มีการเลี้ยงช้างมากที่สุดโดยรับฟังความคิดเห็นต่อร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างโดยมีนายกิติเมศวร์ รุ่งธนิเกียรตินายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะด้วยอย่างไรก็ตามจากการสอบถามความคิดเห็นพบว่ายังมีบางประเด็นในร่างมาตรฐานฯที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งนี้จะนำข้อเสนอแนะต่างๆเข้าสู่คณะกรรมการมาตรฐานเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขให้เกิดการยอมรับของทุกฝ่ายปฏิบัติได้จริงเป็นที่ยอมรับของต่างชาติจึงมอบหมายให้มกอช.นำเรื่องดังกล่าวกลับไปพิจารณาอีกครั้ง”นายประภัตรกล่าว ทั้งนี้ประเทศไทยมีปางช้างจำนวนประมาณ250ปางแบ่งเป็น1.ปางช้างขนาดเล็ก(มีช้างไม่เกิน10เชือก)จำนวน200ปาง2.ปางช้างขนาดกลาง(มีช้างตั้งแต่11เชือกถึง30เชือก)จำนวน40ปางและ3.ปางช้างขนาดใหญ่(มีช้างตั้งแต่31เชือกขึ้นไป)จำนวน10ปาง ซึ่งศูนย์คชศึกษาเป็นสถานที่ดำเนินงานตามโครงการนำช้างคืนถิ่นมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนให้กลับมาอยู่ถิ่นฐานบ้านเกิดโดยจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์รวมของสมาชิกช้างทั้งในบ้านกะโพตากลางและจากหมู่บ้านอื่นๆในจังหวัดสุรินทร์มากกว่า200ตัวชาวบ้านมีความชำนาญในการฝึกหัดช้างและเลี้ยงช้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4 – 01 จังหวัดตรัง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4 – 01 จังหวัดตรัง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4 – 01 จังหวัดตรัง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) และการรับฟังประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ การจัดที่ดินและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดตรัง ณ สหกรณ์การเกษตรนาโยง ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีนโยบายในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมปรับปรุงระบบที่ดินทำกินและลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน โดยจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนที่ยากไร้ และกระจายสิทธิการถือครองที่ดิน พร้อมพัฒนาด้านการเกษตร ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รมช.ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกรจำนวน 130 ราย และมอบบัตรดินดีแก่เกษตรกรต้นแบบ จำนวน 4 ราย พร้อมทั้งมอบนโยบายการจัดที่ดิน การตรวจสอบการถือครองที่ดิน การพัฒนาแหล่งน้ำการพัฒนาอาชีพ และการช่วยเหลือด้านหนี้สินของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งนี้ จังหวัดตรังมีพื้นที่ประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน รวม 10 อำเภอ 62 ตำบล มีพื้นที่ประมาณ 586,962 ไร่ พื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินประมาณ 354,671 ไร่ ได้ดำเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรแล้ว 302,095 ไร่ และคงเหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้ดำเนินการอีก 52,576 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส แจ้งความมือโพสต์หมิ่น 5 ราย เตรียมลงดาบเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ ไม่ปิดเว็บตามคำสั่งศาล
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ดีอีเอส แจ้งความมือโพสต์หมิ่น 5 ราย เตรียมลงดาบเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ ไม่ปิดเว็บตามคำสั่งศาล ดีอีเอส แจ้งความมือโพสต์หมิ่น 5 ราย เตรียมลงดาบเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ ไม่ปิดเว็บตามคำสั่งศาล “พุทธิพงษ์” หอบหลักฐานแจ้งความ 5 มือโพสต์หมิ่นช่วงเหตุการณ์ชุมนุม 19-20 ก.ย. 63 และรุกเอาจริงบังคับใช้กฎหมายกับเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ หลังตรวจสอบพบยังไม่ดำเนินการปิดลิงค์ผิดกฎหมายตามคำสั่งศาลภายใน 15 วัน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (24 ก.ย. 63) นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกล่าวโทษร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่ผู้ชุมนุมอ้างว่าเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและสามารถทำได้ตามกฎหมาย เนื่องจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา มีการใช้ Social Media โพสต์ข้อความต่างๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือพาดพิงสถาบันหลักของประเทศ จำนวน 5 ยูอาร์แอล ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ดังนี้ เฟซบุ๊ก 4 ยูอาร์แอล และทวิตเตอร์ 1 ยูอาร์แอล ทั้งนี้ เน้นยำว่าการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีครั้งนี้ มุ่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้อมูลที่ผิดกฎหมายซึ่งไม่ใช่เป็นผู้แชร์ต่อ จึงมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปแจ้งความต่อ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดำเนินคดี เพื่อเอาผิดกับผู้นำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสม 5 ราย ดังกล่าว ทั้งนี้ที่มีจำนวนผู้กระทำผิดไม่มากเป็นเพราะกระทรวงฯ ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลแรกที่เป็นผู้นำเข้าข้อมูลเท่านั้น รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังพร้อมดำเนินคดีกับแพลทฟอร์มต่างประเทศ เพจหรือเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายที่ไม่ดำเนินการปิดภายใน 15 วัน ตามที่มีการส่งหนังสือไปแจ้งเตือนไอเอสพีเพื่อดำเนินการปิดกั้นการเข้าถึง/ปิดเว็บไซต์ผิดกฎหมายก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมา ในช่วง ส.ค. – 24 ก.ย. มียอดร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้นำเข้าข้อมูลคอมฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมฯ รวมจำนวน 13 บัญชี/รายการ และมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ตามมาตรา 27 ที่ไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งศาลฯ จำวน 2 ราย (เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์) ซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลผิดกฎหมาย/ปิดเว็บไซต์ภายใน 15 วันหลังจากได้รับคำสั่งศาล สำหรับที่ผ่านมา จากการติดตามความร่วมมือดำเนินการตามคำสั่งศาลจากแพลตฟอร์มต่างๆ ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก 661 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 225 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 289 ยูอาร์แอล (ปิดลิงค์ให้ครบแล้ว), ทวิตเตอร์ 69 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 5 ยูอาร์แอล และเว็บอื่นๆ จำนวน 5 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 4 ยูอาร์แอล โดยยังคงเหลืออีก 1 ยูอาร์แอล บนแพลตฟอร์มอินสตาแกรม (ไอจี) ซึ่งมีเฟซบุ๊กเป็นเจ้าของ ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35419
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของประชาชนหลายด้าน ทั้งแก้ปัญหาการกระจายการถือครองที่ดิน โดยจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน /แก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบและการทุจริตฉ้อโกงประชาชน ผ่านคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบทุกจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น โครงการบ้านดีมีดาวน์ /ลดข้อจำกัดในการประกอบอาชีพของคนไทย เช่น จัดระเบียบหาบเร่–แผงลอยในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม เปิดโครงการนำร่องถนนคนเดินทั่วประเทศ และจัดระเบียบการทำประมงให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35395
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูง สปอ.
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูง สปอ. รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูง สปอ. วันนี้ (25 กันยายน 63) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อติดตามผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 โดยมีผู้บริหารหน่วยงานเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สปอ. ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการติดตามผลการดำเนินงานในด้านต่างๆ อาทิ สรุปผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี 2563 รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้าง และผลการดำเนินงานด้านการประหยัดพลังงานปีงบประมาณ 2563 รวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ไม่สะดุด มองผลระยะยาวพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ประตูสู่ตลาดเอเชียใต้ ศึกษาแลนด์บริดจ์อันดามัน-อ่าวไทย
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 รัฐบาลยืนยัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ไม่สะดุด มองผลระยะยาวพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ประตูสู่ตลาดเอเชียใต้ ศึกษาแลนด์บริดจ์อันดามัน-อ่าวไทย รัฐบาลยืนยัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ไม่สะดุด มองผลระยะยาวพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ประตูสู่ตลาดเอเชียใต้ ศึกษาแลนด์บริดจ์อันดามัน-อ่าวไทย วันที่ 25 ก.ย.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ควบคู่ไปกับการเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รัฐบาลได้ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (Southern Economic Corridor: SEC) ครอบคลุม 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบน คือชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เพื่อให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่และทางออกทางทะเลของภาคใต้ตอนบน โดยยึดแนวทางการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ผสานกับเทคโนโลยี และความได้เปรียบทางกายภาพและที่ตั้งของพื้นที่ รวมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของ EEC ทั้งนี้ กรอบการพัฒนา SEC ประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 1) การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) 2) การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามัน (Royal Coast & Andaman Route) 3) การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง (Bio-Based & Processed Agricultural Products) และ 4) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรม (Green & Culture) ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เริ่มขับเคลื่อนแผนการพัฒนา SEC ระยะ 2562-2565 และยังมีแผนระยะยาวปี 2566 เป็นต้นไป รวม 111 โครงการ คิดเป็นวงเงินเฉพาะที่ต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน 102,418 ล้านบาท มีโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยาน นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ระนอง โครงการพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการตลาดของท่าเรือระนองรองรับกลุ่ม BIMSTEC ที่มีประชากรกว่า 1.5 พันล้านคน (บังคลาเทศ อินเดีย เมียนมา ศรีลังกา ภูฏาน และเนปาล) โครงการพัฒนาถนนเลียบชายทะเลภาคใต้ฝั่งอันดามันสู่พื้นที่ตอนใน โครงการขยายทางหลวงระนอง-พังงาเป็น 4 ช่องจราจร โครงการศึกษาออกแบบ/ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม รถไฟสายใหม่ระนอง-ชุมพร โครงการสนับสนุนการแปรรูปสมุนไพรแบบครบวงจร โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนใน “โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge)” คาดจะรู้ผลกลางปี 2566 ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงการขนส่งและคมนาคมอย่างครบถ้วนระหว่าง EEC (ฝั่งอ่าวไทย) และ SEC (ฝั่งอันดามัน) เพิ่มศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าจากพื้นที่ EEC เพื่อส่งออก/นำเข้าไปยังประเทศแถบมหาสมุทรอินเดียโดยตรง และเชื่อมต่อไปยังกลุ่ม BIMSTEC ประเทศตะวันออกกลาง และยุโรปได้อย่างต่อเนื่อง “แม้เศรษฐกิจประเทศจะอยู่ในภาวะหดตัวเช่นเดียวกับประเทศทั่วโลกเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าวางรากฐานเพื่อการพัฒนาประเทศและการลงทุน เพราะในระยาวเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ฟื้นตัว การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจแห่งใหม่ และการเชื่อมโยงการคมนาคมและขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศถือเป็นการวางพื้นฐานสำคัญ รัฐบาลไม่ได้อยู่นิ่งเฉยรอความหวังจะถึงวันเศรษฐกิจดีขึ้น แต่เดินหน้าสร้างโอกาสให้ประเทศด้วยแผนยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายชัดเจน โครงการ SEC จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นในการลงทุนภาคอุตสาหกรรม และสามารถยกระดับเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น/เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ SEC จะเป็นประตูเศรษฐกิจด้านตะวันตกของไทยสู่เอเชียใต้ สามารถเชื่อมโยงกับ EEC ทำให้ต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ต่ำลง และจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคที่มีศักยภาพและเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของเมืองและการท่องเที่ยวด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่ที่หนังสือหรือเอกสารต่างๆ ได้นานกี่ชั่วโมง ??
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่ที่หนังสือหรือเอกสารต่างๆ ได้นานกี่ชั่วโมง ?? ไวรัสโควิด-19 ดอยู่ที่หนังสือหรือเอกสารต่างๆ ได้กี่ชั่วโมง ?? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่ที่หนังสือหรือเอกสารต่างๆ ได้นานกี่ชั่วโมง ?? A : 3 ชม.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ลุยคลองเตย กระตุ้นสร้างแรงงานคุณภาพเสริมคนไทยมีงานทำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่อคนไทยมีงานทำ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ วันที่ 26 กันยายน 2563 ศาสตร
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 นฤมล ลุยคลองเตย กระตุ้นสร้างแรงงานคุณภาพเสริมคนไทยมีงานทำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่อคนไทยมีงานทำ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ วันที่ 26 กันยายน 2563 ศาสตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่อคนไทยมีงานทำ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ วันที่ 26 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่อคนไทยมีงานทำ ณ โดมกิจกรรมชุมชนล็อค 4-5-6 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โดยมีคุณกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีเปิด ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ดีใจที่ได้มีโอกาสมาพบปะกับแรงงานในเขตชุมชนคลองเตย ซึ่งกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญ ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพ เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยอาศัยกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน ในการพัฒนาแรงงานของประเทศไม่เพียงแต่มุ่งเน้นพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถ สมรรถนะ เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีศักยภาพสูงเท่านั้น แต่มีความจำเป็นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับแรงงานตามมาตรฐานสากล ได้แก่ การมีหลักประกันที่ดี การมีโอกาสในการทำงานที่มีคุณค่า การได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย ได้รับสวัสดิการที่เหมาะสม การมีสภาพการจ้างที่เป็นธรรมสภาพการทำงานที่ปลอดภัย ด้วยหลัก 3 ประการ คือ สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ตามแนวนโยบายที่ได้กำหนดไว้ สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ การสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า การรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 12 การรับสมัครฝึกอบรมผู้ช่วยพยาบาลโดยโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท การให้คำปรึกษาด้านการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน รับสมัครฝึกอบรม ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การรับรองความรู้ความสามารถ และการรับสมัครฝึกอบรมตามโครงการไทยมีงานทำ (Job Expo Thailand 2020) การให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อ โดยธนาคารออมสิน การให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมถึงกลุ่มบริษัทในเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงานมาร่วมจัดกิจกรรมให้บริการแก่ประชาชนในชุมชนคลองเตย ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด (มหาชน)บริษัท ยูนิลิเวอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นอกจากนี้ ยังมีบริการตัดผมสุภาพบุรุษ การฝึกอบรมการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ ซึ่ง รมช.แรงงาน ได้ร่วมสาธิตการทำอาหารจานเดียวและการขายสินค้าออนไลน์ในกิจกรรมนี้ รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ ไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงได้จัดให้มีงาน THAILAND JOB EXPO 2020 ในระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนที่ว่างงาน สามารถเข้ามาหาตำแหน่งงานว่างได้ โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านอัตรา ภายในงานมีการออกบูธ จากหน่วยงานและองค์กรชั้นนำจากทั่วประเทศ รวมถึงองค์กรที่ MOU ร่วมกับกระทรวงแรงงานมารวมตัวกันเพื่อจับคู่ งาน กับ คน โดยการลงทะเบียนผ่านแพลทฟอร์ม ไทยมีงานทำ.com อีกทั้งผู้เข้าร่วม งานสามารถสมัครพัฒนาทักษะอาชีพ ภายในโซนร่วมใจ สร้างงานพัฒนาอาชีพ “การดำเนินโครงการคลินิกพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่อคนไทยมีงานทำ ถือเป็นโครงการที่ดีของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่ให้โอกาสแก่แรงงานในพื้นที่ได้เข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม รวมถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมสานพลังสร้างชาติ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35432
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ หารือประธาน SMRJ ด้วยระบบ VDO Meeting
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ปลัดกอบชัยฯ หารือประธาน SMRJ ด้วยระบบ VDO Meeting ปลัดกอบชัยฯ หารือประธาน SMRJ ด้วยระบบ VDO Meeting 25 กันยายน 2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หารือออนไลน์ด้วยระบบ Microsoft Team กับ Mr. Atsushi Toyonaga, Chairman & CEO Mr. Yoshihiko Yamaji, Executive Vice President, Organization for Small & Medium Enterprises and Regional Innovation, JAPAN (SMRJ) ในความร่วมมือด้านเชื่อมโยงและประสานการเจรจาธุรกิจอุตสาหกรรม การอบรมแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานต่าง ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประจำกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คือ Mr. Makoto Ihara มีกำหนดครบวาระในวันที่ 30 กันยายนนี้ และมีผู้เชี่ยวชาญท่านใหม่มาประจำการแทน คือ Mr. Tetsuya Inoue โดยการหารือครั้งนี้ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม Mr. Masanobu Nii ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ด้านการตลาดและต่างประเทศ) Mr. Makoto Ihara ผู้เชี่ยวชาญ SMRJ ประจำกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม Mr. Tetsuya Inoue ผู้เชี่ยวชาญ SMRJ ประจำกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ท่านใหม่) Ms. Takahashi Sayo, Director, SME Promotion Department, JETRO นายบวร สัตยาวุฒิพงษ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกรรม) และ Ms. Yuko Sakaguchi, Director, Business Support Department, SMRJ ร่วมหารือด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35427
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัยและคณะ ลงพื้นที่เพชรบุรี เยี่ยมชมสถานประกอบการต้นแบบ SodaPrinting ตามแนว ทาง "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย"
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ปลัดฯ กอบชัยและคณะ ลงพื้นที่เพชรบุรี เยี่ยมชมสถานประกอบการต้นแบบ SodaPrinting ตามแนว ทาง "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เยี่ยมชมสถานประกอบการซึ่งเป็นผู้ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ บริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี : วันนี้ (26 กันยายน 2563) เวลา 08.45 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เยี่ยมชมสถานประกอบการซึ่งเป็นผู้ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ บริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอำนวย สุวรรณรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารจากกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ โดยมีนางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายธีรศานต์ สหัสพาศน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด ให้การต้อนรับ บริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด ประกอบกิจการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ SodaPrinting ซึ่งบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากกองทุนฯ ในการซื้อเครื่องจักรทำผ้า การจ้างทำระบบซอฟต์แวร์ ระบบออนไลน์ และการเชื่อมระบบกับทางไปรษณีย์ ซึ่งบริษัทฯ จำหน่ายสินค้าภายใต้แนวคิด "ของขวัญ" ซึ่งสามารถใช้และให้ได้ในทุกกิจกรรมตลอดทั้งปี โดยนำเทคโนโลยีและระบบตลาดออนไลน์มาปรับใช้ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ยึดหลักกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มวัยทำงาน เน้นสร้างการรับรู้ผ่าน TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นและสื่อโซเซียลมาสร้างสรรค์แนวคิดให้เกิดความน่าสนใจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดจำหน่ายที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการขยายไลน์การผลิตเน้นออกแบบลวดลายที่มีความทันสมัยให้กับผลิตภัณฑ์ อาทิ เสื้อ หน้ากากผ้า ถุงผ้า ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ มาจากความสำคัญของ 3 คำ คือ “ผลิตได้” คือ ต้องมีการใช้งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ “ขายได้” คือ ต้องมีการตลาดที่ดีทั้งออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) และ“อยู่ด้วยกันได้” คือ สินค้าและบริการ ต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" พร้อมชื่นชมบริษัทฯ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ #industryprmoi #ปลัดกอบชัย #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิถีใหม่ที่บ้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ทำอาหาร
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563 วิถีใหม่ที่บ้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ทำอาหาร มีอะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2563
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ลักเซมเบิร์ก 1 ราย, ตุรกี 1 ราย, แอลเบเนีย 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,362 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.46 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 101 ราย หรือร้อยละ 2.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,522 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ลักเซมเบิร์ก 1 ราย เป็นชาย อายุ 49 ปี สัญชาติเยอรมัน อาชีพลูกเรือเครื่องบินขนส่งสินค้า เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 20 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ที่จังหวัดสมุทรปราการ​ ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 24 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการออกภายหลังผู้กักตัวเดินทางออกจากประเทศไทยวันที่ 24 กันยายน 2563 ตุรกี 1 ราย เป็นชาย อายุ 51 ปี สัญชาติตุรกี อาชีพลูกเรือ เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 21 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ที่จังหวัดสมุทรปราการ​ ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 24 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ โดยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการออกภายหลังผู้กักตัวเดินทางออกจากประเทศไทยวันที่ 24 กันยายน 2563 *​*​ผู้เดินทาง​จาก ลักเซมเบิร์ก​ และตุรกี เป็นลูกเรือเที่ยวบินขนส่งสินค้า ซึ่งขณะถูกกักตัวไม่มีการออกนอกสถานที่ที่รัฐกำหนด และไม่ได้เดินทางไปสถานที่อื่นก่อนขึ้นเครื่องบินกลับไปประเทศต้นทาง แอลเบเนีย 1 ราย เป็นชาย อายุ 51 ปี สัญชาติแอลเบเนีย อาชีพครู เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 21 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก 24 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยค่ารักษาพยาบาลคิดจากประกันโควิดที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกรายขณะนี้ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อวันประมาณ 300,000 ราย และยังพบหลายประเทศเกิดการระบาดในระลอกที่ 2 ซึ่งสาเหตุหลักของการแพร่ระบาดมาจากการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และพฤติกรรมเสี่ยง สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ดูเหมือนว่าดีขึ้นไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อ หากคนในประเทศประมาท มีการรวมกลุ่มชุมนุมคนจำนวนมาก ปาร์ตี้สังสรรค์ หรือละเลยสุขลักษณะส่วนบุคคล ละเลยการป้องกันตนเอง อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศได้อีก เนื่องจากอาจมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในชุมชน สังคม และนำเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่นได้ กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยสุขภาพของคนในประเทศทุกคน ขอให้นำกรณีที่เกิดขึ้นจากต่างประเทศมาเป็นบทเรียน อย่าประมาท การป้องกันตนเองจากโควิด 19 ตามมาตรการที่ได้แนะนำไว้ สำคัญที่สุดคือการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ เลี่ยงการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สถานที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่ทำได้ และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง หากป่วยขอให้อยู่บ้านและรักษาตัวให้หายป้องกันการนำเชื้อแพร่สู่ผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยของตนเอง คนในครอบครัว ชุมชน สังคม รวมถึงลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศระลอกที่ 2 ************************** 26 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ประธานพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี ประธานพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา นายกรัฐมนตรี ประธานพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา ณ ไบเทค บางนา วันที่ 26 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 พร้อมด้วย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้ ณ บริเวณเวทีกลาง ฮอลล์ 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ในโอกาสนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวรายงานการจัดงานนี้เพื่อส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ โดยภาครัฐ วิสาหกิจและเอกชน ส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มเติมเพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิมโดยเน้นในสาขาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ กิจกรรมการจัดทำฐานช่องทางรวบรวมข้อมูลการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วย แพลทฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ด้วยการนำตำแหน่งงานกว่า 1 ล้านอัตรา จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตำแหน่งงานว่าง จากกรมการจัดหางานจำนวน 475,725 อัตรา, ตำแหน่งการจ้างงานโดยภาครัฐ จำนวน 101,716 อัตรา, ตำแหน่งงานต่างประเทศ จำนวน 114,433 อัตรา, ตำแหน่งงานโครงการเงินกู้(รออนุมัติ) 287,147 ตำแหน่ง, การจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ จำนวน 260,000 ตำแหน่ง (Co-payment) รวมกว่า 1,239,091 อัตรา มารองรับเพื่อให้คนไทยมีงานทำ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ใจความว่า “การจัดงานในครั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการจัดกิจกรรมต่างๆ ตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคนในทุกมิติ ทำให้วัยแรงงานได้รับยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก” พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินเยี่ยมชมโซนต่างๆภายในงาน อาทิ โซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย โครงการจิตอาสา 904 โซนประกันสังคม กับการเปิดตัวกิจกรรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี สำหรับผู้ประกันตนกลุ่มผู้สูงอายุ โซนไทยมีงานทำ ที่จะประชาสัมพันธ์และแสดงศักยภาพความสามารถของแพลทฟอร์มไทยมีงานทำ และโซนนวัตกรรม นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-curve และโซนกิจกรรมรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะให้ก้าวสู่การเป็น Start up เจ้าของของกิจการ และอีกหนึ่งโซน คือ Franchise & Food truck รวมธุรกิจร้านอาหารชื่อดังทั่วไทย มาให้ผู้เข้าชมงานได้เลือกซื้อเลือกชิมและเลือกเจรจาธุรกิจกันได้อีกด้วย สำหรับกิจกรรมเด่นๆ ภายในงาน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น.ที่มีตลอด 3 วันงานนี้ วันที่ 26 กันยายน 2563 รับฟัง การเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางแรงงานไทยในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก” การอบรม หัวข้อ “ภาษาอังกฤษกับการพัฒนาศักยภาพแรงงานไทย” โดยคุณคริสโตเฟอร์ ไรท์” กิจกรรมโซนรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ Workshop ทำหมูกรอบ, ซาลาเปา, การดัดลวด, การทำน้ำหอม ลิปสติก มินิคอนเสิร์ตจากคุณเบิ้ล ปทุมราช (18.00 น.) วันที่ 27 กันยายน 2563 การเสวนาในหัวข้อ “ตลาดแรงงานไทยหลังยุค COVID-19 การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและยั่งยืน”การอบรม หัวข้อ “Digital marketing อีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดีย โดยคุณประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช” และ หัวข้อ “อีสปอร์ต (eSports) เปลี่ยนคนติดเกมสู่เส้นทางอาชีพ” กิจกรรม Workshop สร้างอาชีพ การทำวุ้น 3 มิติ, การถักเชือก, การบิดลูกโป่ง มินิคอนเสิร์ตจากวง MUSKETEERS (16.30 น.) วันที่ 28 กันยายน 2563 การเสวนาในหัวข้อ “แรงงานไทย ก้าวไกล สู่ตลาดแรงงานโลก โดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ” การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพและเตรียมความพร้อม หัวข้อ“อาชีพดีไซน์เนอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก โดยคุณสุทธิรัตน์ แก้วอาภรณ์” และ หัวข้อ “Startup รุ่งหรือร่วง มีคำตอบ” กิจกรรมแรงบันดาลใจสร้างอาชีพ Workshop การทำกาแฟ, การทำเป็ดกีตาร์, การทำบูมเมอแรง มินิคอนเสิร์ตจาก GUNGUN เจ้าของเพลง ปลาวาฬเกยตื้น (16.30 น.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานพร้อมรับฟังปัญหา สหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ ณ โรงงานแปรรูปยางพารา ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด ตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ เพื่อหาแนวทางการแก้ไข รมช.มนัญญา ได้แนะแนวทางให้ตรวจสอบระบบบัญชี ดำเนินการอยู่บนหลักความถูกต้อง ยุติธรรม เนื่องจากผลการดำเนินงานมีการขาดทุนสะสม ปัญหาการก่อสร้างล่าช้า ปัญหาในเรื่องระบบกระแสไฟฟ้าหน่วยย่อย ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบน้ำใช้ในการผลิต โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อหาแนวทางที่จะสามารถให้ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัด บึงกาฬ จำกัด ณ ปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2562 มีสมาชิกจำนวน 12 แห่ง มีทุนดำเนินงาน 13,614,261.88 บาท ส่วนใหญ่มาจากแหล่งเงินทุนภายนอก ผลการดำเนินงานของชุมนุมสหกรณ์ฯ มีส่วนขาดแห่งทุน (5,605,613.59) บาท และมีขาดทุนสะสม (6,035,613.39) บาท สหกรณ์มีทรัพย์สินคือที่ดินเนื้อที่ 37 ไร่ และโรงงานผลิตหมอนยางพาราโดยใช้เงินทุนของสหกรณ์จำนวน 1 หลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จังหวัดบึงกาฬได้รับงบประมาณจากกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนบน 1 ในการก่อสร้างโรงงานแปรรูปยางพาราพร้อมครุภัณฑ์อุปกรณ์ จำนวน 8 หลัง งบประมาณ 193 ล้านบาท ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วในที่ดินของชุมนุมสหกรณ์ ประกอบด้วย อาคารโรงงาน 5 หลัง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว และมีอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 3 หลัง (สัญญาจ้างสิ้นสุด 29 กันยายน 2563)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35429
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกัดจากน้ำมันหอมระเหย จากสมุนไพรไทย
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ปลัดฯ กอบชัย และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกัดจากน้ำมันหอมระเหย จากสมุนไพรไทย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เพชรบุรี เยี่ยมชมให้กำลังใจพร้อมให้คำแนะนำแนวทางในการพัฒนาสถานประกอบการซึ่งเป็นผู้ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ บริษัท สยามวรดา 59 จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี : วันนี้ (26 กันยายน 2563) เวลา 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เพชรบุรี เยี่ยมชมให้กำลังใจพร้อมให้คำแนะนำแนวทางในการพัฒนาสถานประกอบการซึ่งเป็นผู้ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ บริษัท สยามวรดา 59 จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ประกอบกิจการผลิต/จำหน่ายผลิตภัณฑ์สกัดจากน้ำมันหอมระเหย ซึ่งบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการปรับปรุงอาคารและลิฟต์ส่งของ นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค ตามนโยบาย One Province One Agro-Industrial Product หรือ OPOAI ในปี 2563 ในกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอำนวย สุวรรณรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารจากกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ โดยมีนางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นางสาวศิรดา โกศัยภัทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามวรดา 59 จำกัด ให้การต้อนรับ บริษัท สยามวรดา 59 จำกัด ได้ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานภาครัฐสกัดน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และเพิ่มรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึง "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ซึ่งเป็นนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ มาจากความสำคัญของ 3 คำ คือ “ผลิตได้” คือ ต้องมีการใช้งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ “ขายได้” คือ ต้องมีการตลาดที่ดีทั้งออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) และ“อยู่ด้วยกันได้” คือ สินค้าและบริการ ต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแนะนำแนวทางการปรับใช้สารสกัดจากสมุนไพรกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ หน้ากาก หมวกในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ต่อไป #industryprmoi #ปลัดกอบชัย #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตร วางเป้าผลิตเมล็ดพันธุ์ดีเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตัน/ปี
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 รมช.เกษตร วางเป้าผลิตเมล็ดพันธุ์ดีเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตัน/ปี รมช.เกษตร วางเป้าผลิตเมล็ดพันธุ์ดีเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตัน/ปี แก้ปัญหาเมล็ดพันธุ์ไม่เพียงพอ นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบุรีรัมย์ต.ชุมเห็ดอ.เมืองจ.บุรีรัมย์และศูนย์ข้าวชุมชนบ้านบุลิ้นฟ้า ต.ทะเมนชัยอ.ลำปลายมาศว่าจ.บุรีรัมย์ มีพื้นที่ทั้งหมด6.4ล้านไร่พื้นที่ทำนา2,899,581ไร่แบ่งเป็นนาปี2,887,567ไร่นาปรัง12,014ไร่โดยศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบุรีรัมย์มีหน้าที่ผลิตและจำหน่ายพันธุ์ข้าวรวมทั้งสนับสนุนภาคเอกชนในการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีนอกจากนี้ยังได้จัดทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ฤดูฝนปี2563มีกลุ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวจำนวน4กลุ่มสมาชิก145รายพื้นที่การผลิต3,855ไร่คาดการณ์เก็บเกี่ยวกลางเดือนพ.ย. 2563รวมทั้งคาดการณ์ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีได้1,000ตันและคาดการณ์กระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้ประมาณ66,500ไร่ “จ.บุรีรัมย์มีศูนย์ข้าวชุมชน451แห่งพื้นที่5,650ไร่ในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดพายุโนอึลทำให้มีปริมาณฝนตกมากซึ่งเป็นผลดีกับนาข้าวอย่างไรก็ตามปัญหาขณะนี้คือการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ไม่พอกับความต้องการของเกษตรกรวันนี้จึงได้ประชุมหารือร่วมกับศูนย์เมล็ดพันธุ์ซึ่งทุกฝ่ายเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและพร้อมที่จะผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เพิ่มขึ้น1เท่าทั้ง28ศูนย์ฯโดยวางเป้าหมายต้องได้เมล็ดพันธุ์ปีนี้160,000ตันต่อปีจากเดิมปีที่แล้ว80,000 - 85,000ตันต่อปีนอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องบุคลากรที่ไม่เพียงพอซึ่งสัปดาห์นี้จะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับสำนักงบประมาณในการของบประมาณจ้างแรงงานเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เพียงพอกับความต้องการต่อไป”นายประภัตรกล่าว สำหรับผลการดำเนินงานการผลิตเมล็ดพันธุ์ดีของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบุรีรัมย์ดังนี้1.โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวชั้นพันธุ์ขยายและจำหน่ายปีการผลิต2562ดำเนินงานในสมาชิกกลุ่มแปลงขยายพันธุ์ในเขตอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์จำนวน3กลุ่มแปลงสมาชิก90รายพื้นที่1,930ไร่เป้าหมายการผลิตจำนวน 500ตันผลิตเมล็ดพันธุ์ดีจำนวน543.275ตันและ2.โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวปีการผลิต2563/64ดำเนินการในกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์สมาชิกของกลุ่มนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์รวมทั้งหมด16กลุ่มมีเป้าหมายการผลิตจำนวน700ตันผลิตเมล็ดพันธุ์ดี จำนวน 501.750ตัน ทั้งนี้ได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรที่ประสบภัยภายใต้โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวปี2563/64ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์รวมพื้นที่ประสบภัยพิบัติ11อำเภอพื้นที่193,613.2ไร่จำนวนเกษตรกรได้รับผลกระทบจำนวน21,532รายรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จัดส่งทั้งสิ้น1,935.63ตัน(จาก3ศูนย์ฯบุรีรัมย์สุรินทร์และอำนาจเจริญ)เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือจำนวน21,532รายพื้นที่รวม193,613.2ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35435
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด “รวมไทยสร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน” สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ พัฒนาแรงงานทุกภาคส่วน
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด “รวมไทยสร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน” สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ พัฒนาแรงงานทุกภาคส่วน นายกรัฐมนตรีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด “รวมไทยสร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน” สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ พัฒนาแรงงานทุกภาคส่วน วันที่ 26 ก.ย.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ ไม่ทิ้งกัน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา HALL EH 98-99 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารหน่วยงานภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ภาคประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ภายในงาน มีตำแหน่งงาน 1 ล้านอัตราจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มารองรับความต้องการมีงานทำของประชาชน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการจ้างงาน โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีสถานการณ์โควิด-19 โดยได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 เพื่อวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” และการมุ่งสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ที่ต้องพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง พัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ดังนั้น ทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทุกคนร่วมมือกันเดินหน้าประเทศทั้งด้านมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งส่วนราชการและภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องช่วยกันดูแลแรงงานด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตและผู้นำหลายประเทศ ยินดีที่จะรับแรงงานไทยกลับไปทำงานใหม่ ทดแทนแรงงานจากประเทศอื่น ๆ เพราะผลจากการแก้ปัญหาโควิด-19 ของไทยที่ทำให้คนไทยมีความปลอดภัยมาก รวมทั้งหลายประเทศที่จ้างงาน ยินดีที่จะเพิ่มอัตราส่วนสัดส่วนการจ้างแรงงานไทยให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของไทย จึงขอฝากให้ทุกคนช่วยกันสานต่อให้คนไทยมีงานทำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ด้วยการคุ้มครองดูแลตามหลักสากล นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คนคือส่วนสำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ ไทยจึงต้องพัฒนาคนอย่างไม่หยุด โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทุกฝ่ายต้องช่วยกันออกแบบอนาคตของประเทศ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในช่วงเวลานี้ รัฐบาลมีความห่วงใยเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สอง ไม่นิ่งนอนใจ ดำเนินการตามแผนงานที่มีอยู่ พร้อมผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีการประกอบการมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ที่ช่วยในเรื่องการจ้างงาน ไม่ยกเลิกการจ้างงาน หากใครที่ยังไม่ได้มาร่วมในงานครั้งนี้ ก็ขอเชิญให้เข้ามาร่วมกัน โดยการจัดงานพร้อมกันทั่วประเทศในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้เกิดแรงขับเคลื่อน ให้ทุกคนกระตือรือร้นในการหางานทำ และพัฒนาตัวเองในเรื่องการศึกษาให้สอดคล้องกับงานในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะงานที่ต้องพัฒนาไปสู่ประเทศไทย 4.0 ทุกคนต้องเร่งพัฒนาตัวเอง ดูความชอบของตัวเอง ก้าวตามความฝันด้วยการพัฒนาตัวเอง เพื่อหางานที่เหมาะสมกับความถนัดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีการอนุมัติโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมอาชีพ ช่วยเหลือแรงงาน นักศึกษาจบใหม่ ผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ มาตรการชดเชยการขาดรายได้ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ และการจ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตน การลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การส่งเสริมให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งการพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคน สามารถผ่านพ้นวิกฤต และพร้อมที่จะเริ่มต้นเดินหน้าต่อไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงต่อไป รวมทั้ง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานทั้งแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ แรงงานคนพิการ ผู้สูงวัย และวันหน้าคนไทยต้องกลับไปทำงานในภูมิลำเนาให้มากที่สุด ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม มีการจัดหางานอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคง โดยขอฝากให้ช่วยกันดูแลประเทศชาติ ฝากดูแลความมั่นคง ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ของประชาชน สังคมโดยรวมของประเทศด้วย และขอให้ใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะภารกิจของเราคือ “รวมไทยสร้างชาติ” โดยคนไทยทุกคนไม่ทิ้งกัน จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมโซนต่าง ๆ ภายในงาน สำหรับการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 เพื่อส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้ที่จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน การส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มเติมเพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิมโดยเน้นในสาขาที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย โครงการจิตอาสา 904 กิจกรรมขับเคลื่อนการจัดทำฐานช่องทางรวบรวมข้อมูลการจ้างงานและการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้วย Platform ไทยมีงานทำ กิจกรรมไทยไม่ทิ้งกัน ล้านงานเพื่อล้านคน คนหางาน งานหาคน Job Matching ด้วยการนำตำแหน่งงาน กว่า 1 ล้านอัตรา จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มารองรับเพื่อให้คนไทยมีงานทำ กิจกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะประชาชน ให้ก้าวไปสู่การเป็น Start Up เจ้าของกิจการ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35437
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคกลาง ภาคตะวันออก และส่วนกลางเน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคกลาง ภาคตะวันออก และส่วนกลางเน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม” ณ โรงแรมเดอะรีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี : วันนี้ (26 กันยายน 2563) เวลา 14.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม” พร้อมทั้งมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่บุคลากรสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ในคณะกรรมการส่งเสริมการดำเนินงานการพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 1 และ 2 พื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และส่วนกลาง เน้นส่งเสริมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมเดอะรีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้มีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบาย ในการดำเนินงาน ดังนี้ 1. การดำเนินงานตามนโยบาย 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ โดยใช้หลักการ “ตลาดนำการผลิต” ให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกิดความสมดุลกัน 2. แนวทางการใช้งาน I-Connect โดยการเชื่อมโยงข้อมูลกับทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันเครือข่าย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 3. ขอให้อุตสาหกรรมจังหวัดระมัดระวังและรอบคอบในการออกใบอนุมัติ อนุญาตต่างๆ 4. การมีระบบบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร #กระทรวงอุตสาหกรรม #พัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35438
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงท่องเที่ยว-สาธารณสุข พร้อมแล้ว เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ ย้ำ มาตรการรัดกุม ไม่เสี่ยงโควิด-19 ระบาดระลอก 2
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 กระทรวงท่องเที่ยว-สาธารณสุข พร้อมแล้ว เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ ย้ำ มาตรการรัดกุม ไม่เสี่ยงโควิด-19 ระบาดระลอก 2 กระทรวงท่องเที่ยว-สาธารณสุข พร้อมแล้ว เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ ย้ำ มาตรการรัดกุม ไม่เสี่ยงโควิด-19 ระบาดระลอก 2 เมื่อวันที่ 26 ก.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว คาดว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ โดยมีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรัดกุม มีข้อปฏิบัติก่อนการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง, ทำประกันสุขภาพประกันโควิด-19 ตามข้อกำหนดของรัฐบาล , แจ้งข้อมูลกับบริษัทผู้ประสานงานก่อนการเดินทาง ทั้งโปรแกรมการเดินทางและกำหนดการที่อยู่ในประเทศไทย ผลการตรวจว่าไม่พบเชื้อ ตั๋วเครื่องบินทั้งมาและกลับ ลงนามในหนังสือยินยอมยืนยันการปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐบาลไทยกำหนด ฯลฯ โดยเมื่อเดินทางถึงไทยแล้ว จะต้องมีการกักตัว 14 วัน “ส่วนที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยงและกีฬา มีแนวคิดจะให้นักท่องเที่ยวกักตัว 7 วันนั้น ขณะนี้ยังไม่เริ่ม โดยจะเริ่มจากการกักตัว 14 วันก่อน แล้วค่อยพิจารณาคลายมาตรการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ คาดว่าแนวทางเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) จะเข้าการหารือในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 อีกครั้งในวันที่ 28 ก.ย.นี้ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับรูปแบบการเดินทาง นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) จะเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำขนาดเล็ก หรือ เครื่องบินส่วนตัว ทุกเที่ยวบินจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ศปก.กต. หรือ ศปก.ศบค. ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประมาณการรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 1,200 คนต่อเดือน รายได้อยู่ที่ 1,030,732,800 บาท และคาดว่า 1 ปี จะมีนักท่องเที่ยว 14,400 คน โดยประมาณการรายได้ 12,368,793,600 บาท น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของไทย ว่าไม่เสี่ยงต่อการระบาดระลอก 2 ที่ผ่านมารัฐบาลสามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันมากกว่า 100 วัน ทำให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนี้ ชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และยังไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความประสงค์ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว และใช้ชีวิตพร้อมครอบครัว แบบพำนักระยะยาว (Long Stay) ภายในประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้น ไทยจึงจะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากได้ผลกระทบตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมเปิดงาน Job Expo Thailand 2020
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันนี้ (26 กันยายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 โดยมีนายประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน และนายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ เวทีกลาง อาคาร Event Hall 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Job Expo Thailand 2020 เป็นมหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ โดยรวบรวมตำแหน่งงานว่างทั้งภายในและภายนอกประเทศทุกสาขาอาชีพ จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดยจะมีทั้งงานสำหรับนักศึกษาจบใหม่ งานพาร์ทไทม์ งานสำหรับผู้สูงอายุ งานสำหรับผู้พิการ รวมกว่าล้านตำแหน่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ร่วมจัดบูธนิทรรศการแสดงผลงานและงานบริการต่างๆ ของกระทรวง ซึ่งภายในงานยังมีโซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชา นิทรรศการภารกิจการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน นิทรรศการสาธิตและแนะแนวอาชีพ รวมถึงการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ลงพื้นที่ จ.นครพนม ชูโมเดล “หมู่บ้านรักษาศีล 5” สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 รมต.อนุชา ลงพื้นที่ จ.นครพนม ชูโมเดล “หมู่บ้านรักษาศีล 5” สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม รมต.อนุชา ลงพื้นที่ จ.นครพนม ชูโมเดล “หมู่บ้านรักษาศีล 5” สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม วันนี้ (26 กันยายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ บ้านหนองสังข์ ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5” (ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นโครงการที่มีความสำคัญและเป็นภารกิจของคณะสงฆ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยประชาชนได้น้อมนำหลักเบญจศีล หรือศีล 5 มาประยุกต์และปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ส่งผลให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น สังคมมีความสงบร่มเย็น ประชาชนในชาติมีความสามัคคีปรองดอง สมานฉันท์ โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมคณะสงฆ์ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย และพี่น้องประชาชนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการนี้ให้ประสบผลสำเร็จ พร้อมกล่าวย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในชุมชน สังคม และประเทศชาติ โดยมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว และเชื่อมั่นว่าโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ฯ จะสามารถต่อยอดพัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ สร้างความสงบสุขอย่างแท้จริง ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้งของสังคม หากทุกคนยึดมั่นในศีลในธรรม พร้อมหวังให้หมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต ขยายครอบคลุมไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป --------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35430
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หลอดไฟยูวีสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 บนร่างกายได้หรือไม่ ??
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 หลอดไฟยูวีสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 บนร่างกายได้หรือไม่ ?? หลอดไฟยูวีฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? Q : หลอดไฟยูวีสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 บนร่างกายได้หรือไม่ ?? A : ไม่ควรใช้หลอดไฟยูวี ในการฆ่าเชื้อโรคฯ ที่มือ หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพราะรังสียูวีส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ทำให้เกิดความระคายเคืองได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35428
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุม กอปภ.ช. ติดตามสถานการณ์
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 มท.1 ประชุม กอปภ.ช. ติดตามสถานการณ์ มท.1 ประชุม กอปภ.ช. ติดตามสถานการณ์ "พายุโนอึล" ร่วมกับผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ "รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชน" วันนี้ (19 ก.ย.63) เวลา 13:30 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 5 อาคาร 3 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะองคมนตรี ได้แก่ นายพลากร สุวรรณรัฐ พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ นายอำพน กิตติอำพน พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ร่วมสังเกตการณ์การประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม โดยมี พลอากาศเอก อิทธิศักดิ์ ศรีสังข์ ผู้แทนศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ร่วมประชุม โอกาสนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ทุกจังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า รัฐบาล โดยบกปภ.ช. ได้น้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และคิดปรับแนวทาง แผนเผชิญเหตุทั้งในภาพรวมและเฉพาะเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมสำรวจ รวบรวมความเสียหาย ประมาณการ ต่อยอดเตรียมการสิ่งใหม่ ๆ และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ซึ่งได้ติดตามสภาพอากาศร่วมกับหน่วยงานด้านพยากรณ์ กรณีผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “โนอึล (NOUL)” มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการคาดการณ์พบว่าพายุดังกล่าวจะมีผลกระทบถึงวันที่ 20 กันยายน 2563 ซึ่งได้มีการสั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมรับมือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัยตลอดจนแนวทาง 4 ด้าน คือ 1) แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และกำชับให้ฝ่ายปกครอง และท้องถิ่น เครือข่ายอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา ให้ความสำคัญกับการจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยสำหรับรองรับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ 2) ให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์ของจังหวัด ติดตาม ประเมินสถานการณ์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจของผู้อำนวยการแต่ละระดับ และหากมีแนวโน้มการเกิดสถานการณ์รุนแรงในพื้นที่ ให้อพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่จัดเตรียมไว้โดยทันที 3) ให้แบ่งมอบพื้นที่ ภารกิจ หน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจนตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย โดยเตรียมความพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมเผชิญเหตุช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และเมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยในพื้นที่ ให้ระดมสรรพกำลังเร่งเข้าคลี่คลายสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับการจัดระบบดูแลประชาชนให้มีสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ 4) สำหรับจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายทะเล ให้ฝ่ายปกครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำชับสถานประกอบการ โรงแรมในพื้นที่ เร่งสื่อสารให้นักท่องเที่ยวระมัดระวัง และห้ามลงเล่นน้ำ ในช่วงที่มีคลื่นลมแรง พร้อมประสานหน่วยงานของกรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตำรวจน้ำในพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในการนำเรือเข้าที่กำบังและห้ามการเดินเรือช่วงที่มีคลื่นลมแรงโดยเคร่งครัด นายชยพล ธิติศักดิ์ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์พบว่าพายุ “โนอึล” ได้ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัยมาตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2563 โดยปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวม 18 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา มุกดาหาร ปราจีนบุรี ตาก นครราชสีมา อุดรธานี ตรัง ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ รวม 45 อำเภอ 65 ตำบล 86 หมู่บ้าน 1 เขตเทศบาล ยังไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งนี้ ปภ. ได้ประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือและดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย . จากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการพยากรณ์อากาศ ด้านการบริหารจัดการน้ำ ได้รายงานภาพรวมสถานการณ์สภาพอากาศและปริมาณน้ำภายหลังเกิดสถานการณ์ และผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด รายงานการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามแผนการเผชิญเหตุ และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บกปภ.ช. ยังคงติดตามสถานการณ์ และผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในพื้นที่ที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จะมีการเร่งสำรวจความเสียหาย ทั้งด้านชีวิต ทรัพย์สินที่เสียหาย การประกอบอาชีพ สิ่งสาธารณประโยชน์ สถานบริการของรัฐ ระบบสาธารณูปโภค และจะมีการแบ่งมอบภารกิจ แบ่งพื้นที่รับผิดชอบ ในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และกำหนดแนวทางการฟื้นฟูร่วมกัน ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว นอกจากนี้ จะได้วางแผนการกักเก็บน้ำฝนที่ได้จากสถานการณ์ฯ ในครั้งนี้ ในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ เพื่อใช้ในการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในภาวะน้ำแล้ง จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้ร่วมกับคณะทำงานจังหวัด บริหารจัดการน้ำในช่วงน้ำแล้งต่อไปด้วย และเน้นย้ำ "รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชน" กองสารนิเทศ สป.มท.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ขอนแก่น เยี่ยมชมการดำเนินงานโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และโรงงานต้นแบบเกษตรและอาหาร เน้นนำงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตามแนวทาง"ตลาดและนวัตกรรม นำอุต
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ขอนแก่น เยี่ยมชมการดำเนินงานโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และโรงงานต้นแบบเกษตรและอาหาร เน้นนำงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตามแนวทาง"ตลาดและนวัตกรรม นำอุต นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานและเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและโรงงานต้นแบบเกษตรและอาหาร (Food Pilot Plant) ณ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น : วันนี้ (19 กันยายน 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานและเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและโรงงานต้นแบบเกษตรและอาหาร (Food Pilot Plant) โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ โดยมีรองศาสตราจารย์ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้การต้อนรับ ณ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นโรงงานต้นแบบการผลิตนาโนซิลิกอนจากแกลบและเถ้าแกลบเพื่อใช้ในขั่วแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน สามารถกักเก็บพลังงานได้มากกว่าคาร์บอนถึง 12 เท่า ซึ่งมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา สามารถกักเก็บพลังงานได้สูงที่สุด เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ประจุไฟอื่นๆ นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะได้เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหาร (Food Pilot Plant) ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้กล่าวถึง นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไก การขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ มาจากความสำคัญของ 3 คำ คือ “ผลิตได้” คือ ต้องมีการใช้งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ “ขายได้” คือ ต้องมีการตลาดที่ดีทั้งออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) และ“อยู่ด้วยกันได้” คือ สินค้าและบริการ ต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้บริหาร และอุตสาหกรรมในพื้นที่ นำไปเป็นแนวทางและปรับใช้ในการดำเนินงานต่อไป #industryprmoi #ปลัดกอบชัย #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน ณ โรงแรมอวานีฯ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น : วันนี้ (19 กันยายน 63) เวลา 13.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม” พร้อมทั้งมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่บุคลากรสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ในคณะกรรมการส่งเสริมการดำเนินงานการพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 4 และ 5 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นส่งเสริมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" มี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมอวานีฯ จังหวัดขอนแก่น การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้มีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 #กระทรวงอุตสาหกรรม #พัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร #ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดระบบด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการชุมนุม
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 สธ.จัดระบบด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการชุมนุม กระทรวงสาธารณสุขจัดระบบด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการชุมนุมวันที่ 19-20 กันยายน ตั้งจุดคัดกรอง เตรียมหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์อย่างละ 1 แสนชิ้น ขอทุกคนสวมหน้ากาก เขียนโรคประจำตัวและยาจำเป็นติดกระเป๋า ร่วมกันป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขจัดระบบด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการชุมนุมวันที่ 19-20 กันยายน ตั้งจุดคัดกรอง เตรียมหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์อย่างละ 1 แสนชิ้น ขอทุกคนสวมหน้ากาก เขียนโรคประจำตัวและยาจำเป็นติดกระเป๋า ร่วมกันป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 พร้อมจัดจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นและโรงพยาบาล 20 แห่งดูแลรักษาหากมีอาการฉุกเฉินรุนแรง วันนี้ (19 กันยายน 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดวอร์รูมประชุมเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19-20 กันยายน 2563 ซึ่งมีรายงานว่า จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 2.5-5 หมื่นคน โดยเตรียมความพร้อม 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการควบคุมและป้องกันโรค ทั้งโรคโควิด 19 โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และปัญหาสุขภาพจิต ด้านการดูแลรักษาเบื้องต้นในพื้นที่ และการส่งต่อรักษาพยาบาลเมื่อมีอาการรุนแรง นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า การควบคุมและป้องกันโรคโควิด 19 เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยผู้ชุมนุมอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการมีคนมาอยู่รวมกันจำนวนมากและไม่สามารถรักษาระยะห่างกันได้ จึงขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมประเมินตนเอง หากมีอาการเจ็บป่วยเป็นไข้ขอความร่วมมือไม่เข้าร่วมการชุมนุม อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขได้จัดจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิ โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองจะได้รับเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 หลอด และหน้ากากอนามัย 1 ชิ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมไว้อย่างละ 1 แสนชิ้น และขอให้ผู้มาชุมนุมสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกคน เพื่อร่วมกันดูแลไม่ให้เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวให้เขียนติดกระเป๋าว่ามีโรคประจำตัวอะไร รับประทานยาอะไร หรือมีอาการแพ้ยาอะไร เพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือทางการแพทย์ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า การดูแลรักษาเบื้องต้นในพื้นที่ มีการจัดจุดบริการเป็นหน่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นในการดูแล เช่น อาการท้องเสีย เจ็บปวดต่างๆ เป็นลม แต่หากมีอาการมากขึ้น เกิดอาการทางหัวใจ หรืออาการที่ประเมินว่ามีความรุนแรง ขอให้ติดต่อจุดบริการเพื่อส่งทีมเข้าไปดูแลช่วยเหลือ โดยมีการจัดระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่จัดเตรียมไว้ 20 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลรัฐ 10 แห่ง เช่น โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลราชวิถี เป็นต้น และโรงพยาบาลเอกชน 10 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช โรงพยาบาลมิชชั่น โรงพยาบาลเจ้าพระยา โรงพยาบาลพญาไท 1 โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลพญาไท 3 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ และโรงพยาบาลธนบุรี โดยผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ป่วยจำนวนมากกรณีมีความรุนแรงเกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมหน่วยบริการของเขตสุขภาพที่อยู่ใกล้กรุงเทพมหานครรองรับเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งนี้ ขอให้ชุมนุมโดยสงบ สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อหรือติดเชื้อเกิดขึ้น ขอให้อยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ มีการตั้งกรุ๊ปไลน์ระหว่างกัน หากมีการติดเชื้อสามารถช่วยเหลือดูแล ติดตาม และควบคุมโรคได้ง่ายขึ้น เป็นการชุมนุมอย่างปลอดภัยกับทุกคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2563
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (บราซิล 1 ราย, เยเมน 2 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 10 ราย จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,338 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.37 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 103 ราย หรือร้อยละ 2.94 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 รายรวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,500 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก บราชิล1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 48 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 7 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวที่รัฐกำหนด ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 10 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ส่วนค่ารักษาพยาบาลเก็บจากประกันโควิด 19 เยเมน2 ราย เป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 22 และ 27 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 11กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ในกรุงเทพมหานคร ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 14 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลไม่ชัดเจน เก็บใหม่วันที่ 16 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่สถาบันประสาทวิทยา กรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 4 ราย ซึ่งทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นคนไทยที่ติดเชื้อจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม และถูกส่งกลับมารักษาที่ประเทศไทยเมื่อ 2 กันยายน 2563 เสียชีวิตวันที่ 18 กันยายน 2563 รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ภายหลังที่รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการอนุญาตให้คนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติในกลุ่มที่ได้รับสิทธิให้สามารถเดินทางเข้าประเทศไทย อาทิ คู่สมรสต่างชาติและบุตรของผู้ที่มีสัญชาติไทย, กลุ่มนักธุรกิจ, นักลงทุน, คณะทูต, คณะกงสุล, องค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งทุกรายต้องได้รับการกักตัวใน สถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine), สถานกักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) หรือ สถานพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) และรับการตรวจหาเชื้อ ตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด ตั้งแต่เปิดให้สามารถเดินทางเข้าประเทศได้จนถึงขณะนี้ มีผู้ที่เดินทาง จาก 63 ประเทศ เข้ารับการกักตัวแล้ว 94,970 ราย พบผู้ติดเชื้อ 562 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 0.59 ของผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทั้งหมด โดยประเทศที่เดินทางเข้ามามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซียผ่านด่านพรมแดน สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น และอินเดีย สำหรับสถานกักตัว ประเภท สถานกักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) หรือ สถานพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) ผู้ที่เดินทางจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง หากติดเชื้อจะคิดค่าใช้จ่ายการรักษาจากประกันโควิด 19 ที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความเป็นห่วงในสุขภาพของประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19-20 กันยายน 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่บาดของเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ อาจเกิดการแพร่และสัมผัสเชื้อระหว่างกันได้ ขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา และเปลี่ยนบ่อยๆ หรือเมื่อหน้ากากเกิดความชื้น ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก เลี่ยงการตะโกนเนื่องจากอาจเกิดฝอยละอองน้ำลาย น้ำมูกกระจายและสัมผัสสู่ผู้อื่นได้ หากเป็นไปได้ขอให้ไม่ปะปนกันในกลุ่มขนาดใหญ่ ให้รวมกลุ่มขนาดเล็กและตั้งกลุ่มไลน์ระหว่างกัน หากพบการติดเชื้อจะสามารถติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมโรคได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้ามีสมาชิกกลุ่มคนใดคนหนึ่งป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก ขอให้ไปรับการตรวจวินิจฉัยทันที หากป่วยขอให้งดการร่วมชุมนุมป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น อย่างไรตามกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งจุดคัดกรองอุณหภูมิผู้เข้าร่วมชุมนุมกระจายอยู่รอบบริเวณ เพื่อลดความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง *************** 19 กันยายน 2563 *****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานตามนโยบาย 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งเศรษฐี จ. ขอนแก่น
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานตามนโยบาย 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งเศรษฐี จ. ขอนแก่น นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบาย 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ (Startup) ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งเศรษฐีขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น : วันนี้ (19 กันยายน 2563) เวลา 11.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบาย 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ (Startup) โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ร่วมลงพื้นที่ ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งเศรษฐีขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมี นายณัฐวุฒิ ศรีอาจ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งเศรษฐีขอนแก่น กล่าวต้อนรับและนำเสนอการดำเนินงานของกลุ่มและข้อมูลการประกอบธุรกิจผลิตกระเป๋าจากป้ายไวนิลเก่าแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดขยะ สร้างมูลค่า สร้างรายได้สู่ชุมชน สร้างอาชีพให้กับชุมชนในพื้นที่ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการ 1 อุตสาหกรรมจังหวัด 1 สตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งเป็นการสนับสนุนและผลักดันสตาร์ทอัพให้มีการกระจายสินค้า ผ่านช่องทางการจำหน่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนำสินค้าไปขายโรงงานขนาดใหญ่ในทุกสิ้นเดือน และให้อุตสาหกรรมจังหวัดช่วยหาโรงงานอุตสาหกรรมที่มี Big Brother สามารถใช้เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าได้ เชื่อว่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่เป็นการช่วยพยุงผลกระทบทางเศรษฐกิจให้สามารถมีการขับเคลื่อนไปได้ในอนาคต ทั้งนี้ นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไก การขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ มาจากความสำคัญของ 3 คำ คือ “ผลิตได้” คือ ต้องมีการใช้งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ “ขายได้” คือ ต้องมีการตลาดที่ดีทั้งออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) และ“อยู่ด้วยกันได้” คือ สินค้าและบริการ ต้องมีคุณภาพและมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม #industryprmoi #ปลัดกอบชัย #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ชวนเที่ยวงานแสดงสินค้าสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี 18 – 22 กันยายนนี้
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา ชวนเที่ยวงานแสดงสินค้าสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี 18 – 22 กันยายนนี้ รมช.มนัญญา ชวนเที่ยวงานแสดงสินค้าสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี 18 – 22 กันยายนนี้ ขนสินค้าสหกรณ์คุณภาพจากทั่วประเทศจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค เพิ่มช่องทางกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี ปี 2563 โดยมีนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายอลงกต วรกี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ บริเวณหอนาฬิกา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ว่าการจัดงานแสดงสินค้าสหกรณ์ที่จังหวัดอุทัยธานีครั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าคุณภาพและผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียง ได้เลือกซื้อสินค้าดีมีคุณภาพในราคาย่อมเยาจากสหกรณ์โดยตรง และขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าสหกรณ์เพิ่มมากขึ้น มุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพ สด ใหม่และปลอดภัย จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมบูธและร่วมจำหน่ายสินค้านาทีทอง นำสินค้าอุปโภคบริโภคมาจำหน่ายลดราคา เพื่อช่วยเหลือลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งให้กำลังใจกับตัวแทนสหกรณ์และกลุ่มอาชีพที่นำสินค้ามาจำหน่ายภายในงาน และได้เชิญชวนผู้ที่สนใจสามารถอุดหนุนสินค้าสหกรณ์คุณภาพจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ณ บริเวณหอนาฬิกา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ได้ตั้งแต่วันนี้ - 22 กันยายน 2563 ทั้งนี้ งานแสดงสินค้าสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี ปี 2563 มีสินค้าและผลิตภัณฑ์มาจัดจำหน่ายหลากหลายชนิด เป็นผลิตภัณฑ์และสินค้าของสหกรณ์ กลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านจากจังหวัดต่างๆ กว่า 60 บูธ ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ ผักสด ลองกองและผลไม้อบแห้ง ขนมไทย สินค้าแปรรูป ปลาช่อนแดดเดียว กุนเชียงปลา ปลาสลิด อาหารทะเล เนื้อโคขุน นมพร้อมดื่ม ไอศกรีม ผลิตภัณฑ์จากผ้าฝ้าย ชุดผ้าไหม เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรม และสินค้าของดี 4 ภาค เป็นต้น และภายในงานยังมีกิจกรรมการเจรจาธุรกิจ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ หรือประชาชนที่สนใจมาเลือกซื้อสินค้าสหกรณ์ และผู้ประกอบการสามารถติดต่อเจรจาธุรกิจซื้อขายสินค้าร่วมกับสหกรณ์ต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสอนอาชีพ เพื่อทำผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ต่อยอดเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน"
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 "เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน" พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการผนึกกำลังกันปลูกจิตสำนึกรัก เมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ ส่วนรวม พร้อมกับเปิดตัวโครงการส่งเสริมแลัพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็ก และเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network เป็นโครงการนำร่อง การบูรณาร่วมมือกันทั้ง 4 หน่วยงานหลัก ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อเด็กและเยาวชน โดยมีสถานีวิทยุเครือข่ายสีขาวสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและสถานีวิทยุเครือข่ายวิทยุเพื่อเด็กและสังคม จำนวน 212 สถานีมาร่วมเป็นเครือข่าย ณ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (22 กันยายน 2563)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35331
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจับมือ ป.ป.ท. MOU สร้างความร่วมมือทางวิชาการ และส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางจับมือ ป.ป.ท. MOU สร้างความร่วมมือทางวิชาการ และส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต กรมบัญชีกลางลงนามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เรื่อง ความร่วมมือทางวิชาการและส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เรื่อง ความร่วมมือทางวิชาการและส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริต ภายใต้โครงการจัดทำหลักสูตรให้ความรู้แก่ภาคเอกชนในการกำหนดมาตรการป้องกันการจ่ายสินบน และการทุจริตทุกรูปแบบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ณ ห้องแซฟไฟร์ 202 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ว่ากรมบัญชีกลางให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการด้านต่าง ๆ ซึ่งพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการผลักดันและส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลในการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชนในด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น “การลงนามดังกล่าวยังเป็นการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางวิชาการ การศึกษาวิจัย และการบริการวิชาการเกี่ยวกับการเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลและการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานของเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตของสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ท. และกรมบัญชีกลาง ด้วย” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“น้องอารี” ตอบคำถามภาษีทันใจ ไม่มีวันหยุด คว้ารางวัลบริการภาครัฐดีเด่น
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 “น้องอารี” ตอบคำถามภาษีทันใจ ไม่มีวันหยุด คว้ารางวัลบริการภาครัฐดีเด่น กรมสรรพากรดัน “น้องอารี” ยกระดับการให้บริการตอบคำถามผู้เสียภาษี ใช้ AI ช่วยพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษีเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องรอ คว้ารางวัลบริการภาครัฐดีเด่น ประจำปี 2563 นำร่องหน่วยงานรัฐเข้าสู่สรรพากรดิจิทัล นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการให้บริการตอบคำถามผู้เสียภาษีมาโดยตลอด โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการติดต่อให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของผู้เสียภาษีที่เพิ่มขึ้นในทุกปี กรมสรรพากรได้พัฒนาแชทบอท (Chatbot) “น้องอารี” ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร ซึ่งเป็นก้าวแรกของหน่วยงานภาครัฐที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาช่วยตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และแก้ปัญหาให้กับผู้เสียภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สามารถให้บริการได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลความรู้ด้านภาษีอากรได้ง่าย ได้รับบริการทันทีโดยไม่ต้องรอคิว เป็นบริการที่ตอบสนองวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่นิยมค้นหาข้อมูลความรู้ด้วยตนเองด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความรู้ความเข้าใจด้านภาษีอากร สามารถดำเนินการทางภาษีได้อย่างถูกต้อง เป็นการยกระดับการให้บริการ สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และประชาชน ส่งผลให้กรมสรรพากรได้รับรางวัลบริการภาครัฐดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐ ที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพื่อประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และสร้างความพึงพอใจ จึงขอเชิญชวนผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และประชาชนที่มีข้อสงสัยด้านภาษีอากร สามารถทดลองแชทคุยสอบถามปัญหาภาษีอากรกับน้องอารีได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ “น้องอารี” มีทักษะการตอบคำถามได้ดียิ่งขึ้น สามารถตอบสนองและทำความเข้าใจกับผู้ที่มีปัญหาด้านภาษีอากรให้ได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้นต่อไป” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35334
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเป็นช่องทางให้คำปรึกษา และช่วยเหลือนายจ้าง-ลูกจ้าง
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 กสร. เปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเป็นช่องทางให้คำปรึกษา และช่วยเหลือนายจ้าง-ลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเปิด“ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โรคโควิด 19” เพื่อเป็นกลไกในการทำงานเชิงรุก ซึ่งจะเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์การเลิกจ้าง พร้อมให้คำปรึกษา ช่วยเหลือนายจ้าง-ลูกจ้างได้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทั้งในด้านการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย แต่รายได้ลดลง ทำให้ผลประกอบการขาดความสมดุล หนทางในการแก้ปัญหาของ สถานประกอบกิจการ คือการเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของกรม พบว่าในช่วงเดือนตุลาคม 2562 - กันยายน 2563 มีลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างและมายื่นคำร้องกับพนักงานตรวจแรงงานจากสถานประกอบกิจการ 1,425 แห่ง จำนวน 22,634 คน กรมฯ ได้ดำเนินการให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์แล้วรวมทั้งสิ้น จำนวน 376,997,561 บาท ดังนั้นเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศไทยโดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด 19 ให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วกรมจึงจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โรคโควิด 19” ที่ถือเป็นกลไกหนึ่งในการทำงานเชิงรุก โดยการเฝ้าระวังและติดตามรายงานสถานการณ์การเลิกจ้าง การให้คำปรึกษา และช่วยเหลือ ตลอดจนการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐ และเอกชน อันจะส่งผลให้ลูกจ้างเข้าถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดี อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โรคโควิด 19” (Prevention and Problem Solving on Termination of Employment Operation Center) หรือเรียกโดยย่อว่า ศปลค. (PSTC) มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ กองคุ้มครองแรงงาน ชั้น 10 กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน จะทำหน้าที่ในการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์การเลิกจ้าง ตลอดจนประสานงานด้านการข่าว รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นแนวทางแก้ไขหากสถานการณ์ยังไม่ยุติ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษา แนะนำในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเลิกจ้างแก่หน่วยปฏิบัติ หรือสถานประกอบกิจการ ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายภาคประชาสังคมในการให้ความช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้างต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35355
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ โดยมีนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และหัวหน้าส่วนราชการจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำผู้ประกอบการ/ ประชาชน ใช้ “ไทยชนะ” ป้องกันโควิด 19
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 สธ.ย้ำผู้ประกอบการ/ ประชาชน ใช้ “ไทยชนะ” ป้องกันโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ย้ำผู้ประกอบการกิจการ/ร้านค้า ลงทะเบียนแพลตฟอร์มไทยชนะ ประชาชนเช็คอิน- เช็คเอาท์ และประเมินมาตรการเมื่อใช้บริการ ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ระลอก 2 กระทรวงสาธารณสุข ย้ำผู้ประกอบการกิจการ/ร้านค้า ลงทะเบียนแพลตฟอร์มไทยชนะ ประชาชนเช็คอิน- เช็คเอาท์ และประเมินมาตรการเมื่อใช้บริการ ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ระลอก 2 วันนี้ (23 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พญ.ศศิธร ตั้งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองสำนักโรคไม่ติดต่อ แถลงข่าว “แพลตฟอร์มไทยชนะ” ว่า ภาครัฐได้นำแพลตฟอร์มไทยชนะมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคโควิด 19 ตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการผ่อนคลายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ร้านค้า/สถานประกอบการปฏิบัติตามมาตรการหลักในการป้องกันโรคคือ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ ดูแลความสะอาด การเว้นระยะห่าง โดยให้ประชาชนประเมินการปฏิบัติของผู้ประกอบการ โดยข้อมูลจะส่งต่อให้ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด/อำเภอ ใช้ในการวางแผนการตรวจประเมินและให้คำแนะนำร้านค้า เจ้าหน้าที่สามารถบันทึกผลออนไลน์ สะดวกในการวิเคราะห์และรายงานผล นอกจากนี้ การลงทะเบียนในแพลตฟอร์มจะมีประโยชน์ในการสอบสวนโรคเมื่อมีผู้ที่ติดเชื้อในสถานที่นั้นๆ จะสามารถตรวจสอบว่าหาผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าข่ายการสืบสวนโรคจากข้อมูลการเช็คอิน - เช็คเอาท์ จำกัดเป้าหมายให้แคบลง ทำให้การสอบสวนโรคทำได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว สำหรับผู้ประกอบกิจการ/ ร้านค้า ขอให้ลงทะเบียนเข้าร่วมประเมินตนเอง ทางwww.ไทยชนะ.comตามประเภทกิจการซึ่งมี 22 กลุ่ม และยืนยันการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กำหนด ระบุความหนาแน่น เพื่อรับคิวอาร์โค้ดของกิจการ/ ร้านค้าสำหรับประชาชนสแกนเมื่อเข้าไปใช้บริการในสถานที่นั้น สแกนคิวอาร์โค้ด และประเมินมาตรฐานเมื่อออกจากสถานที่ เป็นการควบคุมกำกับกิจการ/ร้านค้า ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งข้อมูลของผู้ใช้ไทยชนะจะถูกนำไปใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงติดเชื้อในสถานที่นั้น ต้องสอบสวนโรค โดยมีการติดตาม 2 แบบ คือ หากใช้แอปพลิเคชันไทยชนะจะแจ้งให้รับทราบข้อมูลผ่านทางแอปพลิเคชัน หากสแกนคิวอาร์โค้ดด้วยกล้องโทรศัพท์จะส่งทาง SMS “ขอให้ทุกกิจการ/ ร้านค้าช่วยกันลงทะเบียน และช่วยกันบอกกล่าวให้ประชาชนลงทะเบียนทุกครั้งที่เข้าใช้บริการและร่วมประเมินเพื่อช่วยกันปรับปรุงมาตรฐานป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การระบาดระลอก 2 จะไม่เกิดหากช่วยกันทั้งร้านค้าและประชาชน มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการลงทะเบียนติดต่อสอบถามสายด่วน 1119” แพทย์หญิงศศิธรกล่าว ********************************** 23 กันยายน 2563 **********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนแคมเปญ “PrEP in The City” ให้หญิงข้ามเพศเข้าถึงยา PrEP ป้องกันเอชไอวี
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 สธ.หนุนแคมเปญ “PrEP in The City” ให้หญิงข้ามเพศเข้าถึงยา PrEP ป้องกันเอชไอวี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการ “PrEP in The City” รณรงค์สร้างความรู้หญิงข้ามเพศ ส่งเสริมการเข้าถึง “ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี” หรือยาเพร็พ (PrEP) เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการ “PrEP in The City” รณรงค์สร้างความรู้หญิงข้ามเพศ ส่งเสริมการเข้าถึง “ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี” หรือยาเพร็พ (PrEP) เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทย บ่ายวันนี้ (23 กันยายน 2563) ที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพ ราชประสงค์ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการวิจัยและสนับสนุนนโยบาย สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี ดร.สตีเว่น จี โอลีฟ ผู้อำนวยการองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สำนักงานภาคพื้นเอเชีย และนพ.ชวินทร์ ศิรินาค ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เปิดตัวแคมเปญ “PrEP in The City” เพื่อรณรงค์และส่งเสริมการเข้าถึงยาเพร็พในประชากรหญิงข้ามเพศในประเทศไทย และส่งเสริมการสื่อสารสาธารณะเชิงบวกสร้างพลังให้หญิงข้ามเพศใส่ใจสุขภาพตนเอง เป็นพื้นฐานในการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทย ดร.สาธิตกล่าวว่า การเปิดตัวโครงการ “PrEP in The City” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการยุติการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะประชากรหญิงข้ามเพศ มีการเปิดพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมและชุมชนคนข้ามเพศ พร้อมเสนอการให้บริการสุขภาพและเอชไอวีแก่หญิงข้ามเพศด้วยการใช้ “ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี” หรือเพร็พ (Pre-Exposure Prophylaxis : PrEP) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเอชไอวี แม้ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการระบาดของเอชไอวีลดลง แต่ยังพบอัตราการติดเชื้อที่มีความชุกสูง โดยเฉพาะหญิงข้ามเพศที่มีอัตราความชุกของการติดเชื้อสูงร้อยละ 17 และพบว่าหญิงข้ามเพศเข้าถึงยาเพร็พเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงข้อมูลและสถานที่ให้บริการ ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข จะร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการนี้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนารูปแบบบริการที่เป็นมิตรและมีคุณภาพให้แก่ผู้รับบริการในประเทศไทย ตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ.2560 – 2573 บรรลุเป้าหมายหยุดยั้งการระบาดของเอชไอวีไม่ให้เป็นปัญหาสาธารณสุขภายในปี พ.ศ.2573 ตามที่ประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบต่อพันธะสัญญานานาชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และปฏิญญาการเมืองด้านเอชไอวีในการประชุมระดับสูงสหประชาชาติ ทั้งนี้ แคมเปญ “PrEP in The City” เป็นโครงการเพิ่มความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี และรณรงค์ให้หญิงข้ามเพศได้เข้าถึงยาเพร็พมากขึ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ออกแบบและจัดทำโดยหญิงข้ามเพศ ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนหญิงข้ามเพศจากทั่วประเทศ ถ่ายทอดประสบการณ์การใช้ยาเพร็พในชีวิตประจำวัน และเปิดภาพลักษณ์ของยาเพร็พว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพมากกว่าเป็นยาสำหรับคนที่มีความเสี่ยง การรณรงค์ครั้งนี้มุ่งหวังให้สร้างสภาวะแวดล้อมในสังคมสนับสนุนให้คนหันดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น รวมถึงการลดอคติ ตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนข้ามเพศในเมืองไทยอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามได้ที่ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร.0 2590 3215 หรือตรวจสอบรายชื่อสถานบริการที่ให้บริการที่เว็บไซต์http://buddystation.ddc.moph.go.th/search_store/clinic-prep/page/3/ *************************** 23 กันยายน 2563 ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน รมว.เฉลิมชัย ประชุมติดตามการดำเนินการตามแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ระดับพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามการดำเนินการตามแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีณศาลากลางจังหวัดเพชรบุรีว่าที่ประชุมได้รายงานสถานการณ์และแนวทางการแก้ปัญหาในด้านต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจด้านสังคมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและปัญหาด้านอื่นๆของจังหวัดเพชรบุรีโดยสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจได้มีการรายงานผลผลิตภาคการเกษตรตกต่ำจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Covid-19)ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคากุ้งและราคาปลากะพงตกต่ำเนื่องจากตลาดต่างประเทศไม่มีคำสั่งซื้อหรือซื้อน้อยลงจึงเกิดภาวะล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำเกษตรกรมีรายได้ลดลงจึงได้มีแนวทางในการแก้ไขโดยกรมประมงได้วางแผนร่วมกับชมรมผู้เลี้ยงกุ้งเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคากุ้งขาวและจัดทำโครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตและการตลาดกุ้งทะเลเพื่อการบริโภคภายในประเทศปี2561 - 2564โดยช่วยเหลือลูกพันธุ์กุ้งไม่เกิน40,000บาท/รายและสำหรับการดำเนินการของผลผลิตปลากะพงสำนักงานประมงจังหวัดได้ประสานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในการหาแหล่งรับซื้อผลผลิตให้กับเกษตรกรซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ยังได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร"เกลือทะเล(เกลือสมุทร)"โดยปัจจุบันมีพื้นที่ทำนาเกลือ81,485ไร่โดยจังหวัดเพชรบุรีมีพื้นที่29,000หรือร้อยละ47โดยปัญหาในขณะนี้คือมีการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศและถูกเกลือสินเธาว์ตีตลาดเนื่องจากมีราคาถูกกว่าและการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง"เกลือบริโภค"ซึ่งกระทรวงเกษตรฯมีการตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะและมีการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ข้อมูลด้านการเกษตรของจังหวัดเพชรบุรีมีพื้นที่เกษตรกรรม882,695ไร่คิดเป็นร้อยละ22.69ของพื้นที่ทั้งหมดแบ่งเป็นปลูกข้าว315,828ไร่พืชไร่236,363ไร่พืชสวน209,485ไร่และการเกษตรอื่นๆ121,019ไร่โดยมีพื้นที่ชลประทาน656,000ไร่คิดเป็นร้อยละ64.00ของพื้นที่เกษตรกรรมโดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันประมาณ264ล้านลบ.ม.หรือคิดเป็นร้อยละ32ของความจุอ่างรวมกันสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูฝนของจังหวัดเพชรบุรีปี2563/2564กระทรวงเกษตรฯโดยกรมชลประทานมีแผนการเพาะปลูกทั้งสิ้น158,320ไร่แบ่งออกเป็นในเขตพื้นที่ชลประทาน129,670ไร่และนอกเขตพื้นที่ชลประทาน28,650ไร่ปัจจุบันทำการเพาะปลูกไปแล้วประมาณ44,782ไร่ "นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนจึงมีแนวทางให้ตัวแทนของรัฐบาลมารับฟังปัญหาด้วยตัวเองเพื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุดซึ่งในวันนี้จะรับข้อเสนอทุกข้อเพื่อรวบรวมประเด็นต่างๆทั้งในส่วนของกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไปส่วนไหนที่สามารถดำเนินการแก้ไขได้จะดำเนินการแก้ไขในทันทีนอกจากนี้ได้มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดให้บูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาชนต้องรับฟังและรู้ปัญหาที่แท้จริงจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุดอีกทั้งต้องมีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ต่อประชาชนมีการส่งข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรงอย่างไรก็ตามจากสถานการณ์โควิด-19รัฐบาลมีระบบการป้องกันเป็นอันดับต้นๆของโลกซึ่งวิกฤตในครั้งนี้ต้องทำให้เป็นโอกาสให้ได้จึงได้มีมาตรการในเชิงรุกและอยากให้ทุกภาคส่วนยังคงดำเนินตามมาตรการที่เข้มงวดต่อไป"นายเฉลิมชัยกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เยี่ยมให้กำลังใจชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดสันทราย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชน ของโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (บวร On Tour)
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 ปลัดวธ.เยี่ยมให้กำลังใจชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดสันทราย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชน ของโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (บวร On Tour) ปลัดวธ.เยี่ยมให้กำลังใจชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดสันทราย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชน ของโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (บวร On Tour) นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้ากราบสักการะพระครูวรสุตตาเขตต์ เจ้าอาวาสวัดสันทราย อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดสันทราย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชน ของโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (บวร On Tour) เพื่อศึกษาความเป็นต้นแบบและเป็นตัวอย่างให้ชุมชนคุณธรรมฯในพื้นที่นำไปพัฒนาต่อยอดขยายจาก ๑๐๐ ชุมชน เป็น ๑,๐๐๐ ชุมชนทั่วประเทศ โดยมีนายเสน่ห์ สายเย็นใจ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ข้าราชการ ตัวแทนชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โครงการ บวร On Tour เป็นโครงการที่กระทรวงวัฒนธรรม ส่งเสริมชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยใช้พลังบวรในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน นำวิถีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน มาสร้างแหล่งเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงนำภูมิปัญญามาผลิตสินค้า ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนดุจญาติมิตร สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35348
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำไม❓ เราจึงเห็น "ทหาร" ออกไปช่วยเหลือประชาชน
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 ทำไม❓ เราจึงเห็น "ทหาร" ออกไปช่วยเหลือประชาชน #กระทรวงกลาโหม #ทหารช่วยเหลือประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35335