title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ร่วมพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) จ.สตูล | วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563
รมช.มนัญญา ร่วมพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) จ.สตูล
รมช.มนัญญา ร่วมพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) จ.สตูล ส่งเสริมสนับสนุนรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรผ่านสหกรณ์การเกษตร ทุบสถิติราคายางพุ่ง 60 บาทต่อกิโลกรัม
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานพิธีเปิด และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมพิธีเปิด ณ จังหวัดสตูล ว่าโครงการฯ ดังกล่าวเป็นการส่งเสริม สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางโดยรับซื้อน้ำยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อร่วมมือในการนำอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา ได้แก่ แผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางจากยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สำหรับนำไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัย จึงมั่นใจว่าการดำเนินการร่วมกันในครั้งนี้จะสามารถสร้างความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรชาวสวนยางพาราได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ จะทำหน้าที่กำกับคุณภาพในการผลิตอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา พร้อมทั้งคัดเลือกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ที่กระทรวงรับรองให้เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งยังสนับสนุนจัดเตรียมเครื่องมือและวัตถุดิบให้เป็นไปตามรูปแบบ มาตรฐาน และราคาตามที่กระทรวงคมนาคมกำหนด
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความพร้อมของสถาบันเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ คือ 1) มีสหกรณ์ที่มีสมาชิกเป็นเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 807 แห่ง มีสมาชิก 223,155 ราย มีสมาชิกในครอบครัว จำนวน 900,224 ราย พื้นที่ปลูกยางพาราของสมาชิก 3,462,646 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 820,647 ตัน/ปี 2) มีสหกรณ์ทำธุรกิจยางพารา ธุรกิจรวบรวมน้ำยางสด รวบรวมยางก้อนถ้วยแปรรูปยางแผ่นรมควัน แปรรูปยางเครป แปรรูปยางแท่ง และแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง จำนวน 661 แห่ง ปริมาณธุรกิจ 475,258 ตัน/ปี มูลค่า 16,998 ล้านบาท/ปี 3) กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้จัดโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) แก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ที่จังหวัดสตูลและจังหวัดจันทบุรี 4) ปัจจุบันสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน ที่มีศักยภาพในการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (RFB) จำนวน 18 แห่ง กำลังการผลิต 1,200 กิโลเมตร/ปี หลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) จำนวน 13 แห่ง กำลังการผลิต 832,800 ต้น/ปี
ทั้งนี้ จะมีการขยายผลให้สหกรณ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม คาดว่าจะได้รับการเข้าร่วมโครงการจากสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่ายางพารา จำนวน 31 แห่ง สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราได้ 5,384.09 ล้านบาท ซึ่งจากการคาดการณ์ในระยะที่ 1 นี้ จะสามารถรวบรวมน้ำยางสดจากเกษตรกรได้ 34,481 ตัน และเมื่อคิดตลอดโครงการฯ ถึงปีงบประมาณ 2565 จะรวบรวมน้ำยางสดจากเกษตรกรเพื่อใช้ในการผลิตได้ 1.007 ล้านตัน เกิดการจ้างงานในชุมชน และช่วยกระดับราคายางพาราได้ไม่น้อยกว่า 30 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินที่เกษตรกรจะได้รับ 30,018 ล้านบาท เป็นการสร้างกลไกตลาดที่ช่วยยกระดับและสร้างเสถียรภาพราคายางพารา และสร้างความเชื่อมั่นในอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราอีกด้วย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าว นอกจากจะลดความสูญเสีย ช่วยสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินบนท้องถนนที่ไม่อาจประเมินค่าได้แล้ว ยังเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศให้มีมั่นคงต่อไป
รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงคมนาคม ในเรื่องการผลิต “แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต” และ “หลักนำทางยางธรรมชาติ” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ปรากฏว่า ราคายางพาราทำลายสถิติเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ราคายางพาราสูงถึง 60 กว่าบาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางพารา จึงเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดเสถียรภาพของราคายางพาราในประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บันทึกเทปเนื่องในวันสถาปนากรมป่าไม้ 124 ปี | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
รมว.ทส.บันทึกเทปเนื่องในวันสถาปนากรมป่าไม้ 124 ปี
รมว.ทส.บันทึกเทปเนื่องในวันสถาปนากรมป่าไม้ 124 ปี
รมว.ทส.บันทึกเทปเนื่องในวันสถาปนากรมป่าไม้ 124 ปี
วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและแนวนโยบายที่จะมอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการในอนาคต รวมถึงกล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมป่าไม้ 124 ปี 18 กันยายน 2563 ณ ห้องรับรอง ชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34775 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร ลงพื้นที่ติดตามแนวทางพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
พลเอก ประวิตร ลงพื้นที่ติดตามแนวทางพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ
พลเอก ประวิตร ลงพื้นที่ติดตามแนวทางพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ
พลเอก ประวิตร ลงพื้นที่ติดตามแนวทางพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ
วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่ติดตามแนวทางการพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ แนวทางการบริหารจัดการน้ำ การลดความสกปรกของคลองแสนแสบ การจัดคุณภาพน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม มาตรการและความปลอดภัยในการจัดการสัญจรทางน้ำ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างเครือข่ายชุมชนริมคลอง โดยมี พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับ ณ สำนักงานเขตบางกะปิ และบริเวณท่าเรือบางกะปิ กรุงเทพฯ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้กล่าวมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรการและแก้ไขปัญหาทุกด้านให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ดังนี้
1.ให้กรมธนารักษ์ พิจารณาส่งมอบการดูแลคลองแสนแสบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนาและการบริหารจัดการ
2.ให้กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมเจ้าท่า ร่วมพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบในระยะเร่งด่วนให้เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ เช่น การขุดลอกดินเลนในคลองที่ตื้นเขิน การควบคุมคุณภาพน้ำทิ้ง การตรวจจับความเร็วของการเดินเรือโดยสารขนาดเล็ก และการจัดการปัญหาการรุกล้ำริมคลอง เป็นต้น
3.ให้กรมชลประทานและกรุงเทพมหานคร ร่วมกันบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4.ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เร่งรัดขับเคลื่อนโครงการสำคัญของกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง และโครงการบำบัดน้ำเสียตลอดแนวคลองแสนแสบและคลองสาขา
5.ให้กรมเจ้าท่า จัดการจราจรทางน้ำให้ปลอดภัย ไร้มลพิษทางเสียงและกลิ่น
ทั้งนี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานอย่างจริงจังเพื่อเป็นต้นแบบให้คลองอื่นๆ ที่มีปัญหาลักษณะเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้ให้ทุกภาคส่วนทราบและร่วมมือตามแนวทางจิตอาสา เพื่อคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยที่ดีของประชาชนทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34761 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์ดึงจีนลงทุนในประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์ดึงจีนลงทุนในประเทศไทย
บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์ดึงจีนลงทุนในประเทศไทย
บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์ดึงจีนลงทุนในประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดงานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทย ในหัวข้อ “Think Resilience, Think Thailand” โดยมีนางสาวดวงใจอัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 3 จากขวา) พร้อมทั้งวิทยากรประกอบด้วยนางลัษมณ อรรถาพิช รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) (ที่ 2 จากขวา) นายเจนกฤษณ์คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (ที่ 1 จากขวา) นายณพงส์ อาริยวัฒน์ ผู้อำนวยการกองการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) (ที่ 1 จากซ้าย) และ นายอาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่ 3 จากซ้าย) โดยมีนักลงทุนจีนและไทยให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 930 คน เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35161 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” มอบถ้วยพระราชทานการประกวดโค-แพะ ในงานมหกรรมประกวดสัตว์ปากน้ำโพ 2563 | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
“รมช.ประภัตร” มอบถ้วยพระราชทานการประกวดโค-แพะ ในงานมหกรรมประกวดสัตว์ปากน้ำโพ 2563
“รมช.ประภัตร” มอบถ้วยพระราชทานการประกวดโค-แพะ ในงานมหกรรมประกวดสัตว์ปากน้ำโพ 2563
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานพิธีมอบถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีให้กับผู้ชนะการประกวดโคเนื้อลูกผสมสายเลือดยุโรปและการประกวดแพะเนื้อในงาน“มหกรรมประกวดสัตว์ปากน้ำโพปี2563”ณสนามด้านหน้าแผนกอาหารสัตว์กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่3กรมการสัตว์ทหารบก(กองเสบียงสัตว์)อ.เมืองจ.นครสวรรค์
ทั้งนี้งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่28 - 30สิงหาคม2563ซึ่งวันที่29สิงหาคมจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจัดโดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์สัตว์ให้มีผลผลิตสูงตรงตามความต้องการของตลาดสร้างรายได้จากการขายผลผลิตรวมทั้งเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเกษตรกรผู้ประกอบการและปรับตัวในการแข่งขันกับตลาดโลกตลอดจนเพื่อขับเคลื่อนให้จังหวัดนครสวรรค์เป็นจุดศูนย์กลางของการผลิตสินค้าปศุสัตว์และเป็นศูนย์กลางการประกวดสัตว์ที่มีมาตรฐานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34656 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19 | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19
คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
ใช้เวลาแปรงฟันอย่างน้อย 2 นาที เพราะการแปรงฟันจะต้องแปรงให้สะอาดทุกซี่ ทุกด้าน และทำให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันได้ทำงานนานขึ้นด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34562 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถุงผ้าพระราชทาน | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ถุงผ้าพระราชทาน
#กลาโหมเทิดราชา
#รักษ์ราษฎร์
#ชาติมั่นคง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35100 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและโครงการยุวชนอาสา | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและโครงการยุวชนอาสา
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ณ โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ
วันนี้ (16 กันยายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและโครงการยุวชนอาสา ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย นายสรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35134 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำท่วม | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำท่วม
รมว.เกษตรฯ ติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำท่วม และให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำท่วม แจกสิ่งของ และให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งติดตามการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ พื้นที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่จังหวัดสุโขทัยประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) จำนวน 6 อำเภอ 32 ตำบล 208 หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอเมืองสุโขทัย (7 ตำบล 56 หมู่บ้าน) อำเภอสวรรคโลก (10 ตำบล 71 หมู่บ้าน) อำเภอศรีสัชนาลัย (7 ตำบล 31 หมู่บ้าน) อำเภอศรีสำโรง (9 ตำบล 44 หมู่บ้าน) อำเภอกงไกรลาศ (2 ตำบล 4 หมู่บ้าน) อำเภอคีรีมาศ (2 ตำบล 4 หมู่บ้าน) กระทรวงเกษตรฯ ได้ประเมินผลกระทบด้านการเกษตร (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 63) ด้านพืช เกษตรกร 11,491 ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 110,598 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 81,509 ไร่ พืชไร่ 16,239 ไร่ พืชสวนและอื่น ๆ 12,850 ไร่ ด้านประมง เกษตรกร 748 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบ 627 ไร่ (บ่อปลา) และด้านปศุสัตว์ เกษตรกร 2,330 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 62,623 ตัว ได้แก่ โค-กระบือ 1,674 ตัว สุกร 1,653 ตัว แพะ-แกะ 106 ตัว และสัตว์ปีก 59,190 ตัว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ได้แก่ 1) โครงการชลประทานสุโขทัยได้ดำเนินการใช้เครื่องจักรเครื่องมือกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ และขุดลอกเปิดทางน้ำ เป็นต้น 2) สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสุโขทัย ได้แจกจ่ายอาหารสัตว์อื่น ๆ 944 กิโลกรัม อพยพสัตว์ 18,208 ตัว และสร้างเสริมสุขภาพสัตว์ จำนวน 2,686 ตัว 3) สำนักงานประมงจังหวัดสุโขทัย สนับสนุนเรือประมง จำนวน 1 ลำ พร้อมเจ้าหน้าที่ 5 นาย และ 4) สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย สำนักงานประมงจังหวัดสุโขทัย สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสุโขทัย ดำเนินการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบฯ ต่อไป
สำหรับความก้าวหน้าการช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามนโยบายรัฐบาลพื้นที่จังหวัดสุโขทัย (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ส.ค. 63) ซึ่งจังหวัดสุโขทัยโดยหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดำเนินงานโครงการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และโครงการตามนโยบายรัฐบาลอื่น ๆ โดยมีผลการดำเนินงาน ได้แก่ 1) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน จำนวน 63,095 ครัวเรือน พื้นที่ 1,092,323 ไร่ ธ.ก.ส. มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว จำนวน 62,918 ราย2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวนาสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/63 มีเกษตรกรชาวสวนปาล์มขึ้นทะเบียน จำนวน 419 ครัวเรือน พื้นที่ 5,166 ไร่ ธ.ก.ส. มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้วจำนวน 425 ราย3) โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ปี 2562/2563 มีพื้นที่ปลูกยาง 42,536.58 ไร่ มีเกษตรกรชาวสวนยางขึ้นทะเบียนมีเอกสารสิทธิ์ 1,036 ราย ไม่มีเอกสารสิทธิ์ 1,700 ราย ธ.ก.ส. จ่ายเงินแล้ว แบ่งเป็น เจ้าของสวน จำนวน 1,481 ราย คนกรีด จำนวน 245 ราย
4) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2562/2563 มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง ในพื้นที่ 9 อำเภอ จำนวน 5,277 ครัวเรือน พื้นที่ 73,370 ไร่ มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้วจำนวน 211 ราย5) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน จำนวน 63,095 ครัวเรือน พื้นที่ 1,092,323 ไร่ มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว จำนวน 52,704 ราย6) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว 2562/63 มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว จำนวน 62,849 ราย7) โครงการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน จำนวน 5,369 ครัวเรือน พื้นที่ 70,085 ไร่ มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว จำนวน 2,501 รายและ8) โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน จำนวน 93,009 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 จำนวน 79,412 ราย กลุ่มที่ 2 จำนวน 12,634 ราย และกลุ่มที่ 3 จำนวน 963 ราย มีการจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว จำนวน 91,427 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34774 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและกา | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและกา
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ เป็นประธานร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ
วันนี้ (31 สิงหาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ เป็นประธานร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์: มาตรการทดแทนปูนเม็ด โดยมีนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วม ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ
สำหรับการบูรณาการความร่วมมือฯ นี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่า 300,000 ตันในปี พ.ศ. 2565 ส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่ได้แสดงเจตจำนง รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) ร่วมกับประชาคมโลกอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34712 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสว. - ธพว. กดปุ่มสตาร์ท “SMEs One” รอบ 2 ดูแลรายย่อย พาถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยรักษาการจ้างงาน 1.2 หมื่นราย | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
สสว. - ธพว. กดปุ่มสตาร์ท “SMEs One” รอบ 2 ดูแลรายย่อย พาถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยรักษาการจ้างงาน 1.2 หมื่นราย
สสว. และ ธพว. เปิดรับยื่นขอสินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 ผ่านออนไลน์ มุ่งช่วยเหลือดูแลรายย่อยโดยเฉพาะ วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี กู้สูงสุด 5 แสนบาทต่อราย คาดพารายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 2,400 ราย รักษาการจ้างกว่า 12,000 ราย
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการ สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากที่ สสว. ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดแจ้งความประสงค์ยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบแรก วงเงินรวม 4,890 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยหลังจากตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นขอสินเชื่อทั้งหมดแล้ว มีวงเงินเหลือประมาณ 1,200 ล้านบาท สสว. และ ธพว. จึงดำเนินการเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงิน 1,200 ล้านบาท ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 24 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป โดยจะปิดรับคำขอ เมื่อวงเงินยื่นขอกู้เต็มจำนวน
สำหรับการเปิดครั้งนี้ สสว.มุ่งมั่นที่จะช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้กลับมาเข้มแข็ง ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้แนวทาง สสว. CONNEXT “เชื่อมคน เชื่อมเอสเอ็มอี เชื่อมโลก” ซึ่งประกอบไปด้วย 1.การเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน 2. การลดค่าใช้จ่ายเพิ่มประสิทธิภาพ และ 3. การเพิ่มช่องทางการตลาด ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้กระจายความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายย่อย จึงกำหนดเป้าหมายเพื่อกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเท่านั้น เพื่อให้มีเงินทุนไปหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง และฟื้นฟูธุรกิจให้กลับคืนมาดำเนินการได้ดีอีกครั้ง ซึ่งการสนับสนุนสินเชื่อครั้งนี้ คาดจะช่วยเอสเอ็มอีรายย่อยได้ประมาณ 2,400 ราย รักษาการจ้างกว่า 12,000 ราย ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินเชื่อ SMEs One คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี กำหนดระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ เปิดโอกาสทั้งบุคคลธรรมดา และกลุ่มนิติบุคคล สิ่งสำคัญต้องเป็นกลุ่มวิสาหกิจขนาดย่อย (MICRO) ตามนิยามของ สสว. คือ รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานไม่เกิน 5 คน ซึ่งในวันที่ยื่นกู้ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับ สสว. อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ, โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม, โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยผู้ขออนุมัติสินเชื่อต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย และต้องมีหลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดาต้องมีบุคคลที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน ส่วนนิติบุคคล ค้ำประกันโดยกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวเสริมว่า ผู้สนใจยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 สามารถดำเนินการด้วยขั้นตอนดังนี้
1.แจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สแกน QR Code ในโปสเตอร์, LINE Official Account: SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android
2.กรอกข้อมูลเบื้องต้น ได้แก่ ประเภทผู้ขอสินเชื่อ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) และเลขบัตรประชาชน เพื่อตรวจสอบการเป็นสมาชิก สสว. (กรณียังไม่เป็นสมาชิก สสว. จะไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ ต้องออกจากระบบ เพื่อไปสมัครสมาชิก สสว.เสียก่อน)
3.กรอกข้อมูลรายละเอียดกิจการเพิ่มเติมให้ครบถ้วน เช่น รายละเอียดกิจการ, ที่อยู่กิจการ, ผลประกอบการ, เลือกบริการ (สินเชื่อ/คำปรึกษา/ฝึกอบรม) เป็นต้น จากนั้น กด “บันทึกข้อมูล”
และ 4.ผู้ลงทะเบียนจะได้ SMS ตอบกลับว่า “ธพว.ได้รับคำขอสินเชื่อ SMEs One รอบ 2 ของท่านแล้ว และจะติดต่อกลับโดยเร็ว” หมายถึงขั้นตอนแจ้งความประสงค์ยื่นกู้เสร็จสมบูรณ์
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยไม่มีเลขสมาชิก สสว. สามารถเข้าไปสมัครได้ที่ https://members.sme.go.th/newportal/ และเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง ส่วนขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจะเป็นไปตามกระบวนการของ ธพว. ต่อไป กรณีไม่ผ่านเกณฑ์ ทาง ธพว. จะมีกระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อให้คำปรึกษา และแนะนำการพัฒนาธุรกิจ ช่วยให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อที่เหมาะสมต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สาขา ธพว. ทั่วประเทศ และ Call Center ธพว. 1357 หรือ Call Center สสว. 1301
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยกำลังหารือถึงมาตรการที่เหมาะสมในการเปิดการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เผยกำลังหารือถึงมาตรการที่เหมาะสมในการเปิดการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี เผยกำลังหารือถึงมาตรการที่เหมาะสมในการเปิดการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย โดยมีการเตรียมระบบมาตรการทางด้านสาธารณสุขรองรับให้ประชาชนเกิดความมั่นใจศักยภาพด้านสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19
วันนี้ (26 ส.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการเปิดการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยว่าขณะนี้กำลังมีการหารือและพิจารณาถึงมาตรการที่เหมาะสมที่จะสามารถดำเนินการได้ว่าเป็นพื้นที่ใด โดยเฉพาะจังหวัดที่ได้รับผลกระทบที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว โดยระยะแรกอาจดำเนินการในจำนวนน้อยก่อนเพื่อทดสอบระบบที่มีการเตรียมมาตรการต่าง ๆ รองรับ ทั้งการตรวจคัดกรอง การสวมหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างที่เหมาะสม หรือ Social Distancing การใช้แอพพลิเคชั่นติดตามตัว และแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ไทยชนะ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจศักยภาพด้านสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันก็ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ สิ่งสำคัญคนในพื้นที่ต้องมีส่วนร่วมด้วย ทั้งนี้หากไม่ทำอะไรเลยสถานการณ์เศรษฐกิจจะหนักกว่านี้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะสถานประกอบการต่าง ๆ ต้องปิดลงส่งผลให้ลูกจ้างตกงาน ซึ่งอะไรที่สามารถผ่อนคลายได้รัฐบาลก็พยายามอย่างมากที่จะดำเนินการมาตรการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34569 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล หนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ย้ำ อยู่ในขั้นพิจารณาเปิดรับชาวต่างชาติ ยืนยัน ไทยมีมาตรการป้องกันโรคเข้มแข็ง | วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
รัฐบาล หนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ย้ำ อยู่ในขั้นพิจารณาเปิดรับชาวต่างชาติ ยืนยัน ไทยมีมาตรการป้องกันโรคเข้มแข็ง
รัฐบาล หนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ย้ำ อยู่ในขั้นพิจารณาเปิดรับชาวต่างชาติ ยืนยัน ไทยมีมาตรการป้องกันโรคเข้มแข็ง
วันที่ 13 กันยายน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงที่ยังไม่มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เดินหน้าสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ได้ออกหลายแคมเปญเพื่อกระตุ้นให้คนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยรัฐบาลขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมขอให้ผู้ประกอบการได้สร้างความมั่นใจต่อประชาชนในมาตรฐานการดูแลรักษาความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น ยังอยู่ในขั้นของการศึกษาพิจารณาถึงแนวทาง โดยต้องมีการหารือกับหลายภาคส่วนเพื่อเห็นชอบร่วมกัน ที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ว่าเมื่อเปิดรับชาวต่างชาติแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า ขณะนี้ระบบการป้องกันโรคของไทยมีความเข้มแข็ง ระบบเฝ้าระวังมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อเปิดรับชาวต่างชาติ ก็จะต้องมีมาตรการคัดกรองที่สามารถสร้างความมั่นใจต่อประชาชนได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 กระทบต่อภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกและของไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ตรงตามเป้าที่ตั้งไว้ ที่สำคัญคือกระทบต่อการจ้างงานอีกจำนวนมาก โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หวังว่า เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายแล้ว การท่องเที่ยวจะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศได้ โดยช่วยให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้าไปเติมส่วนที่ขาดหาย ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาการว่างงาน บรรเทาผลกระทบที่มีต่อประชาชน
.............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมฝ่ายปกครอง ความมั่นคง เข้มมาตรการชายแดน ยกระดับการสกัดกั้นเชื้อโควิด 19 จากแรงงานลักลอบเข้าเมือง | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
สธ. ร่วมฝ่ายปกครอง ความมั่นคง เข้มมาตรการชายแดน ยกระดับการสกัดกั้นเชื้อโควิด 19 จากแรงงานลักลอบเข้าเมือง
กระทรวงสาธารณสุข บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เข้มมาตรการเฝ้าระวังแรงงานลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน พร้อมยกระดับการสกัดกั้นเชื้อโควิด 19 เข้าสู่ประเทศไทย จัดรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่ชายแดนตรวจหาเชื้อ เฉพา
กระทรวงสาธารณสุข บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เข้มมาตรการเฝ้าระวังแรงงานลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน พร้อมยกระดับการสกัดกั้นเชื้อโควิด 19 เข้าสู่ประเทศไทย จัดรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่ชายแดนตรวจหาเชื้อ เฉพาะที่จังหวัดตากเก็บตัวอย่างแล้ว 2,635 ราย
วันนี้ (9 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง แถลงข่าวในประเด็นมาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าประเทศ โดยนายธนิตพลกล่าวว่า จากกรณีที่พบแรงงานต่างชาติลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านบริเวณพรมแดนธรรมชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยว่าอาจเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่ชายแดน ได้กำชับให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ด่านควบคุมโรค บูรณาการความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคง ยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันโรคในแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจนำเชื้อมาแพร่สู่ประเทศไทยได้ อย่างไรก็ตามเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันโรค และจัดชุดเคลื่อนที่เร็วสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลที่อยู่ในเขตพื้นที่ชายแดน หากพบการระบาดในพื้นที่
นายธนิตพลกล่าวต่อว่า จังหวัดตาก มี 5 อำเภอเป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ได้มีมาตรการมาตรการสกัดกั้นแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย ดังนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดมีคำสั่งให้ปิดด่านถาวรทั้ง 2 ด่าน และด่านธรรมชาติ, ให้หน่วยงานในแต่ละพื้นที่ตรวจลาดตะเวนในช่องทางธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง, ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลร่วมกับ อสม. และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ค้นหาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบผ่านช่องทางชายแดน นอกจากนี้ได้มีมาตรการยับยั้งและป้องกันที่สำคัญคือ การให้ความรู้ อสต. เรื่องการตรวจคัดกรอง การป้องกันตนเอง รวมทั้งการเฝ้าระวัง ร่วมกับการค้นหาผู้ติดเชื้อและประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เชิงรุกแก่ประชาชนในพื้นที่ และจัดสถานที่กักกัน local quarantine สำหรับกักตัว ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้ากักตัวจำนวน 18 ราย สะสม 265 ราย
“ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ามาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 เป็นวงกว้างได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือความร่วมมือของประชาชน ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ยังจำเป็น หากทุกภาคส่วนร่วมกัน ประเทศไทยและคนไทยจะปลอดภัย” นายธนิตพลกล่าว
ด้านนพ.เอนกกล่าวว่า สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และหน่วยงานในพื้นที่ นำรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่ชายแดนตรวจหาเชื้อเชิงรุก จำนวน 5 คัน เพื่อคัดกรองในเขตพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก พร้อมจัดทีมเคลื่อนที่เร็วกว่า 300 คน สนับสนุนการทำงานในพื้นที่ ลงตรวจหาเชื้อในเขตตะเข็บชายแดนเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการในระหว่างวันที่ 8-9กันยายน 2563 ไปแล้ว 2,635 ราย ในจำนวนนี้ เป็นคนไทย 1,641 ราย ต่างชาติ 994 ราย ซึ่งผลการตรวจเชื้อจะทราบภายใน 48 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังพบว่าประชาชนในเขตชายแดนทั้งฝั่งไทยและเมียนมามีการตื่นตัวในการป้องกันโรคเพิ่มขึ้น มีการสวมหน้ากากอนามัย/ผ้ามากกว่าร้อยละ 95
“การสวมหน้ากากอนามัย/ผ้ามีความสำคัญมาก ช่วยจำกัดตัดตอนการแพร่เชื้อ ส่วนการล้างมือจะช่วยทำลายเชื้อไม่ให้แพร่สู่ผู้อื่นได้” นายแพทย์อเนกกล่าว
สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและเข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือก มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,286 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.33 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 103 ราย หรือร้อยละ 2.99 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,447 ราย
*******************************9 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34942 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงานใหญ่ “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ปี 2563 | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงานใหญ่ “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ปี 2563
กระทรวงเกษตรฯ สืบสานพระราชปณิธานอนุรักษ์ไหมไทยเตรียมจัดงานใหญ่ “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ปี 2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมหม่อนไหมเตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ประจำปี 2563 อย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แนวคิด “1 ทศวรรษกรมหม่อนไหม (10 ปีกรมหม่อนไหม) การอนุรักษ์และพัฒนาที่ยั่งยืน”ระหว่างวันที่ 23 – 27 กันยายน 2563 ณอาคาร 6 - 7 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานีพบกับนิทรรศการผลงาน 10 ปีกรมหม่อนไหมผลงานประกวดผ้าไหมเส้นไหมผลงานวิจัยและผลงานบูรณาการกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตลอดจนการออกร้านจำหน่ายผ้าไหมรวมถึงผลิตภัณฑ์หม่อนและไหมจากทั่วประเทศ
นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ประจำปี 2563 ณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยพระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงมุ่งมั่นสืบสานวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้คงอยู่กับปวงชนชาวไทยและเพื่อให้ผ้าไหมเป็นที่เลื่องลือสู่สากลไหมไทยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของชาวต่างชาติพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องหมายตรานกยูงเพื่อรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่เน้นแหล่งที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตและที่สำคัญผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้นดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมหม่อนไหมจึงจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทย”ขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงให้ความสำคัญกับอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทรงมีพระราชปณิธานในการอนุรักษ์งานด้านหม่อนไหมให้คงอยู่กับประเทศไทยนอกจากนี้ยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์ “ตรานกยูงพระราชทาน”เครื่องหมายรับรองมาตรฐานผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
สำหรับงานตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15ประจำปี 2563 กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “1 ทศวรรษ ... กรมหม่อนไหม (10 ปีกรมหม่อนไหม) การอนุรักษ์และพัฒนาที่ยั่งยืน”ระหว่างวันที่ 23-27 กันยายน 2563 ณฮอลล์ 6 - 7 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานีซึ่งปีนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดงานในวันที่ 25 กันยายน 2563 เวลา 17.30 น.
“การจัดงานตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยเป็นการประชาสัมพันธ์ตรานกยูงพระราชทานสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศในสินค้าผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานตรานกยูงพระราชทานว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพได้รับการตรวจสอบจากกรมหม่อนไหมมีกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและที่สำคัญต้องผลิตจากเส้นไหมที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้นทั้งยังเป็นงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งกับเกษตรกรผู้ผลิตผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปการใช้หรือการสวมใส่ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานนอกจากจะให้ความรู้สึกสง่างามด้วยความที่ผ้าไหมที่มีความแวววาวเงางามมีลวดลายวิจิตรบรรจงเป็นเอกลักษณ์แล้วยังทำให้ผู้ใส่เกิดความภาคภูมิใจในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้สืบสานอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอันดีงามของชาติอีกด้วย”ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าว
ด้านนายวสันต์นุ้ยภิรมย์อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15” ประจำปี 2563 มีนิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจเช่นนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับตรานกยูงพระราชทานผลงานการประกวดเส้นไหมสิ่งประดิษฐ์จากรังไหม (พานพุ่ม) และการประกวดผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานที่รวมสุดยอดผ้าไหมเอกลักษณ์ประเภทต่างๆที่สวยงามวิจิตรบรรจงมาจัดแสดงปราชญ์หม่อนไหมที่กรมหม่อนไหมได้คัดเลือกขึ้นมาจำนวน 88 ท่านเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทรงภูมิปัญญาด้านหม่อนไหมซึ่งเป็นผู้มีคุณความดีมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์สมควรเป็นปราชญ์หม่อนไหมให้ได้รับการประกาศเกียรติคุณและสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ประสบการณ์และความสามารถสู่สังคมเพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานองค์ความรู้ภูมิปัญญาด้านหม่อนไหมให้คงอยู่ต่อไป
ทั้งนี้กรมหม่อนไหมยังได้แสดงผลงานที่บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆเช่นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการผลิตเวชสำอางจากหม่อนและดอกดาหลาซึ่งจะเป็นการนำดอกดาหลาไปใช้ในการเลี้ยงไหมดาหลาและไหมดาหลานี้จะให้เส้นใยที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกทั้งยังมีการแสดงผลงานจากหน่วยงานอื่นๆอาทิบริษัทจุลไหมไทย : การพัฒนาเครื่องสาวไหมเด่นชัยประยุกต์ให้การสาวไหมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ : การส่งเสริมภูมิปัญญาผ้าทอกะเหรี่ยงโปว์ผ้าทอมือบ้านดอนขุนห้วยกะเหรี่ยงปาเกอะญอ, กรมราชทัณฑ์ : การส่งเสริมอาชีพหม่อนไหมในทัณฑสถานในโครงการคืนคนดีสู่สังคมเพื่อให้ผู้ต้องขังมีความรู้ความสามารถด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสามารถนำไปประกอบอาชีพโดยสุจริตสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวหลังพ้นโทษ
นอกจากนี้ยังมีการออกร้านจำหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมไทยเป็นการรวบรวมผ้าไหมคุณภาพจากทั่วประเทศซึ่งในปีนี้มีผู้ประกอบการและเกษตรกรมาร่วมออกร้านกว่า 240 ร้านเป็นร้านค้าจากผู้ประกอบการกลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนจากทุกภาคของประเทศไทยถือเป็นการรวมสุดยอดผ้าไหมมาไว้ในงานนี้รวมถึงได้นำผ้าไหมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพเข้าร่วมจำหน่ายด้วยและพิเศษการจัดหาร้านตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษและสตรีมาประจำอยู่ในงานวันละ 4 ร้านโดยกรมหม่อนไหมได้จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างเข้มงวด
“กรมหม่อนไหมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมชมงานตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยครั้งที่ 15 และเพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงและร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนางานหม่อนไหมของไทยให้คงอยู่เพื่อเสริมสร้างรายได้ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ยั่งยืนสืบไป”อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนสหกรณ์เข้มแข็ง มอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนสหกรณ์เข้มแข็ง มอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน
รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนสหกรณ์เข้มแข็ง มอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินแก่สมาชิกสหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จ.ระยอง ผลักดันภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างการรับรู้นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ สหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จำกัด อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ทั้งนี้ รมช. มนัญญา พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เป็นเกียรติมอบเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน กสน.3, กสน.5 แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ จำนวน 60 ราย และมอบใบรับรองแหล่งผลิตพืช GAP ให้กับเกษตรกร จำนวน 5 ราย เพื่อให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินในการทำการเกษตรได้
รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ ของสหกรณ์ จะเป็นการพัฒนาศักยภาพของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ช่วยเหลือการประกอบอาชีพทางการเกษตรของสมาชิก เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงสินค้าสหกรณ์มากขึ้น ได้บริโภคผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ในราคายุติธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วย
"จังหวัดระยองเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร ผลไม้ และปศุสัตว์ และอยู่ในเขตโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จึงต้องการผลักดันให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง สหกรณ์เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยกระจายสินค้าไปทุกภูมิภาค ซึ่งจะแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ กระตุ้นการซื้อสินค้า ทำให้ราคายางพารา ทุเรียน เงาะ และสินค้าเกษตรของจังหวัดระยองไม่ตกต่ำ" รมช.มนัญญากล่าว
ทั้งนี้ สหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จำกัด จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2521 มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 2,233 ราย ปัจจุบันสหกรณ์ดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจด้านสินเชื่อ ธุรกิจด้านการรวบรวมผลผลิต ธุรกิจรับฝากเงิน และธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย โดยผลผลิตหลักของสมาชิกสหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ ได้แก่ ยางพารา ผลไม้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34502 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นฤมล’ ลั่นนโยบายเชิงรุก ‘สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ’ ยกระดับ ก.แรงงาน สู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจ | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
‘นฤมล’ ลั่นนโยบายเชิงรุก ‘สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ’ ยกระดับ ก.แรงงาน สู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ชูแนวคิด ยกระดับกระทรวงแรงงานสู่การเป็น “กระทรวงด้านเศรษฐกิจ” ด้วยหลัก 3 ประการ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ” พร้อมส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ตามหลักการบริหารราชการของรัฐบาลโดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นา
วันที่ 28 สิงหาคม 2563 เวลา 10.00 น. ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการกระทรวงแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ ห้องประชุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน ซึ่งได้นำเสนอนโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงานและการส่งเสริมความปลอดภัยด้านชีวอนามัย โดยกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการบริหารราชการมีนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นกระทรวงที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างฉับไว ตรงกับความต้องการของแรงงาน และสามารถต่อยอดให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวนโยบายที่มอบในครั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวของแรงงานและครอบครัว ให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง เป็นแรงงานคุณภาพ และมีความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งต้องมีมาตรการการดำเนินงานเชิงรุกอย่างเข้มข้น เพื่อยกระดับกระทรวงแรงงาน จาก “กระทรวงด้านสังคม” ไปสู่ “การเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ”
สำหรับนโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด 3 ประการ คือ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ” เน้นการทำงานแบบนิว นอร์มอล ทำงานแนวใหม่ ฟังความคิดเห็นและความต้องการของทุกภาคส่วน ผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในกระทรวงที่มีภารกิจเชื่อมโยงกันและบูรณาการกับภาครัฐและภาคอเอกชน ด้วยหลัก 3 ประการดังกล่าว คือ 1. สร้างแรงงานคุณภาพ ด้วยการเตรียมความพร้อมทักษะฝีมือแรงงานรองรับ EEC เขตเศรษฐกิจพิเศษ และอุตสาหกรรม S-Curve และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง 2.การยกระดับแรงงานเศรษฐกิจคุณภาพ คือ การยกระดับแรงงานให้มีความรู้และทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนผ่านเกณฑ์มาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อให้ได้รับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นตามมาตรฐานฝีมือ นำไปสู่การรับรองความรู้ความสามารถในสาขาอาชีพที่เป็นอันตรายต่อสาธารณะ และ3. การให้ คือให้แรงงานกลุ่มเปราะบางทางสังคม เข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วยการเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพื่อให้อยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวของแรงงานและครอบครัว
“การดำเนินการดังกล่าวนี้ จะสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต้องอาศัยความร่วมมือและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่ง กพร.ได้มีการบูรณาการการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สภา/สมาคม และองค์กรอาชีพ รวมถึงสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) เพื่อปรับการดำเนินงานและอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตรงกับความต้องการของทิศทางอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอนาคตต่อไป พร้อมเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงานของแรงงาน” ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวในท้ายสุด
-----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34621 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-ภาคีเครือข่าย พัฒนาสุขศาลาพระราชทานสนองพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
สธ.-ภาคีเครือข่าย พัฒนาสุขศาลาพระราชทานสนองพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ถอดบทเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาสุขศาลาพระราชทาน เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร สนองพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราช
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ถอดบทเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาสุขศาลาพระราชทาน เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร สนองพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
วันนี้ (9 กันยายน 2563) ที่โรงแรมรอยัล พลาคลิฟบีช รีสอร์ท อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มอบนโยบายการขับเคลื่อนและพัฒนาสุขศาลาพระราชทาน ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การต่อยอดการพัฒนาสุขศาลาพระราชทาน โดยมีผู้ปฏิบัติงานในสุขศาลาพระราชทาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พี่เลี้ยงจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลแม่ข่าย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และบุคลากรกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ร่วมนำเสนอผลการดำเนินงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้และประสบการณ์ เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพสุขศาลาพระราชทาน
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการ มีสุขภาพดี โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาการดำเนินงานสุขศาลาพระราชทานในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จำนวน 9 แห่ง ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทั้งการจัดสรรงบประมาณ การบริหารจัดการ การประสานความร่วมมือภาคีเครือข่าย พัฒนาสุขศาลาพระราชทานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพแก่นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร พื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่พิเศษด้านความมั่นคง ปัจจุบันมีสุขศาลาพระราชทาน เพิ่มเป็น 22 แห่ง ทั้งในโรงเรียน/ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ศูนย์การเรียนรู้ชาวไทยภูเขา และองค์การบริหารส่วนตำบล กระจายอยู่ในพื้นที่ห่างไกลใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ยะลา และนราธิวาส
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายและกลไกการพัฒนาสุขศาลาพระราชทาน ประกอบด้วยพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการของสุขศาลาพระราชทานแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายมุ่งเน้นให้เกิดการบริหารจัดการสุขศาลาพระราชทานโดยคณะกรรมการพัฒนาสุขศาลาพระราชทานทุกระดับส่งเสริมและพัฒนาสุขศาลาพระราชทานให้เป็นเครือข่ายบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ และพัฒนาระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) และระบบการส่งต่อพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่ดี พัฒนาภาคีเครือข่ายและศักยภาพกำลังคนภาคประชาชน อาทิ ปราชญ์ชาวบ้าน อสม. อสม.น้อย แกนนำสุขภาพนักเรียน เพื่อร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชนพัฒนาศักยภาพบุคลากรและกำลังคนด้านสุขภาพเจ้าหน้าที่เครือข่าย และ อสม.ผู้ปฏิบัติงานในสุขศาลาพระราชทานให้มีศักยภาพด้านบริหารจัดการและการรักษาพยาบาล เพิ่มวุฒิการศึกษาบุคลากร และสร้างความเข้มแข็งทีมพี่เลี้ยง
“กระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่าย ได้ทุ่มเทสรรพกำลังสนองงานตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พัฒนาสุขศาลาพระราชทานให้เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพเพื่อนักเรียนและประชาชนในถิ่นทุรกันดารห่างไกล เพิ่มการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ” ดร.สาธิตกล่าว
**************************************
************************************ 9 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34921 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” นำทีมรับฟังข้อเสนอปัญหาของกลุ่มผู้ประกอบการรังนกนางแอ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
“วราวุธ” นำทีมรับฟังข้อเสนอปัญหาของกลุ่มผู้ประกอบการรังนกนางแอ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช
“วราวุธ” นำทีมรับฟังข้อเสนอปัญหาของกลุ่มผู้ประกอบการรังนกนางแอ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช
“วราวุธ” นำทีมรับฟังข้อเสนอปัญหาของกลุ่มผู้ประกอบการรังนกนางแอ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช วันนี้ (10 กันยายน 2563) เวลาประมาณ 15.00 น. ณ ห้องประชุม 301 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล และคณะผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงฯ ร่วมพูดคุยและรับฟังข้อเสนอปัญหาของการประกอบกิจการบ้านนกนางแอ่นในประเทศไทย และแนวทางการจัดทำร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนกนางแอ่น จากกลุ่มผู้ประกอบการรังนกนางแอ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ในเบื้องต้นในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการ อีกทั้งจะได้มีการพิจารณากฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อจะได้ร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34990 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 กันยายน 2563 | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 กันยายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (8 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง
และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
6. เรื่อง การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้าน
ยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
7. เรื่อง การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/48
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค ปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล 2 กรณี
9. เรื่อง การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service)
10. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 (กนป.)
11. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563
12. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 17
13. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
14. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2563
ต่างประเทศ
15. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
16. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง – สหรัฐฯ ครั้งที่1
แต่งตั้ง
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
23. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการประปานครหลวง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
26. เรื่อง การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย
27. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
29. เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (เพิ่มเติม)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป และให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติและควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้
1. กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจวางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการออกเสียง รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการอื่นใดที่จำเป็นได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งหรือที่มิได้มีบัญญัติไว้แล้วเป็นการเฉพาะ
2. กำหนดให้คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใด ที่ไม่ใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ และให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษา โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องในการจัดทำประชามติหรือเพื่อให้มีข้อยุติโดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี
กรณีที่แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้ ให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมายประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษา โดยมีรายละเอียดตามวรรคหนึ่ง และหากไม่มีผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจออกประกาศให้มีการออกเสียงตามกฎหมายนั้น ให้รัฐอุดหนุนหรือจัดสรรค่าใช้จ่ายอย่างเพียงพอแก่คณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องที่จะจัดทำประชามติที่ต้องดำเนินการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะจัดทำประชามติแก่ผู้มีสิทธิออกเสียง
3. กำหนดให้คณะกรรมการประกาศกำหนดวันออกเสียงในราชกิจจานุเบกษาภายในระยะเวลาที่กำหนด วันออกเสียงต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทุกเขตออกเสียง และต้องกำหนดวันออกเสียงภายในระยะเวลาตามที่กำหนด ผู้ออกเสียงอาจเสนอคำฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีคำวินิจฉัยว่าการให้มีการออกเสียงไม่เป็นไปตามกฎหมาย
4. กำหนดให้การออกเสียง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ และให้การออกเสียงถือว่ามีข้อยุติต้องมีผู้ออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมาก และมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียง ในกรณีการออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี ให้ถือเสียงข้างมาก ส่วนการออกเสียงตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้ถือจำนวนคะแนนเสียงตามที่กฎหมายบัญญัติ
5. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องที่จะจัดทำประชามติต้องดำเนินการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะจัดทำประชามติแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงได้รับทราบอย่างเพียงพอโดยมีรายละเอียดตามที่กำหนด และต้องนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา จัดทำเอกสารส่งให้เจ้าบ้านทราบ รวมทั้งให้มีการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อประชาสัมพันธ์อื่น ตลอดจนให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเผยแพร่กระบวนการและขั้นตอนการออกเสียงให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทราบ และการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องการจัดทำประชามติด้วย และในกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบัญญัติและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป
6. กำหนดให้การออกเสียงกรณีที่คณะรัฐมนตรีขอให้มีการออกเสียงให้ใช้เขตที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดเป็นเขตออกเสียง สำหรับการออกเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตออกเสียง และก่อนวันออกเสียงตามระยะเวลาที่กำหนด ให้คณะกรรมการออกเสียงประจำเขตออกเสียงกำหนดหน่วยออกเสียงที่จะพึงมีในเขตออกเสียง และที่ออกเสียงของแต่ละหน่วยออกเสียงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น การเขตหมู่บ้าน เป็นเขตของหน่วยออกเสียง หรือให้ถือเกณฑ์จำนวนผู้มีสิทธิอกเสียงหน่วยละหนึ่งพันคนเป็นประมาณ
7. กำหนดให้ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น มีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีในวันออกเสียง และกำหนดลักษณะต้องห้ามข้องผู้มีสิทธิออกเสียง เช่น ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
8. กำหนดให้เมื่อประกาศกำหนดวันออกเสียง ให้คณะกรรมการการออกเสียงประจำเขตออกเสียงหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมาย จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงของแต่ละหน่วยออกเสียงและปิดประกาศไว้ ณ ที่ออกเสียงหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่ออกเสียง หรือสถานที่ประชาชนสะดวกในการตรวจสอบ และแจ้งรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงในทะเบียนบ้านไปยังเจ้าบ้านให้ทราบตามระยะเวลาที่กำหนด และให้เจ้าบ้านมีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อหรือถอนชื่อต่อคณะกรรมการฯ ถ้าหากมีการยกคำร้อง ผู้ยื่นมีสิทธิคำร้องขอต่อศาลยุติธรรมที่ตนมีภูมิลำเนาและ ให้คำสั่งศาลเป็นที่สุด
9. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการออกเสียงในการออกเสียงแต่ละครั้งตามที่กำหนด โดยให้อำนาจหน้าที่คณะกรรมการและกรรมการเป็นไปตามที่กำหนด และให้กรรมการ เลขาธิการ ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการออกเสียง เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
10. กำหนดให้คณะกรรมการจัดให้มีหีบบัตรออกเสียงและบัตรออกเสียง โดยมีลักษณะที่เหมาะสมและอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิออกเสียง ลักษณะและขนาดของหีบบัตรออกเสียง บัตรออกเสียงและวิธีการลงคะแนนในบัตรออกเสียงให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด และกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการลงคะแนนออกเสียงและการนับคะแนน และกำหนดเวลาเปิดการลงคะแนนออกเสียง การอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุในการลงคะแนนออกเสียง
11. กำหนดให้เปิดหีบบัตรออกเสียงต่อหน้าประชาชน ณ ที่ออกเสียงแล้วดำเนินการนับคะแนนโดยเปิดเผย ณ ที่ออกเสียงจนเสร็จ โดยมิให้เลื่อนหรือประวิงการนับคะแนนกำหนดลักษณะของบัตรเสีย เช่น บัตรปลอม บัตรที่ทำเครื่องหมายเป็นที่สังเกต และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนับคะแนนใหม่หรือการลงคะแนนออกเสียงใหม่ หรือการที่ไม่สามารถนับคะแนนได้อันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย และการประกาศผลการออกเสียง
12. กำหนดให้ผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยออกเสียงใด เห็นว่าการออกเสียงในหน่วยออกเสียงนั้นเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มีสิทธิยื่นคำคัดค้านโดยมีรายละเอียดแห่งพฤติการณ์หรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการออกเสียงนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อคณะกรรมการตามระยะเวลาที่กำหนด
13. กำหนดความผิดและบทกำหนดโทษจำคุก ปรับ หรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง กรณีการฝ่าฝืน หรือการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ และในกรณีศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดตามฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และผู้นั้นเป็นผู้กระทำให้การออกเสียงไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นเหตุให้ต้องมีการออกเสียงใหม่ในหน่วยออกเสียงใด ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการออกเสียงในหน่วยออกเสียงที่เป็นเหตุให้คณะกรรมการสั่งให้ต้องมีการออกเสียงใหม่นั้นด้วย
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2077 เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค รวมทั้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ. 3009 ในการขนส่งสินค้า ลดอุบัติเหตุและแบ่งเบาปริมาณการจราจรของถนนสายหลัก เพื่อเป็นการรองรับความเจริญเติบโตของจังหวัดชลบุรีในอนาคต และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2560 ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง
1. สำนักงานเลขาธิการ
2. กองความร่วมมือการลงทุนต่างประเทศ
3. – 7. กองบริหารการลงทุน 1 - 5
8. กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน
9. กองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน
10. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน
11. กองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
12. กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ
13. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
14. ศูนย์บริการลงทุน
15. – 21. ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 – 7
22. สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ
1. สำนักงานเลขาธิการ (คงเดิม)
2. กองความร่วมมือการลงทุนต่างประเทศ (คงเดิม)
3. – 4. กองติดตามและประเมินผลการลงทุน 1. – 2. [จัดตั้งใหม่]
5. กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน (คงเดิม) 6. กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย [จัดตั้งใหม่โดยยุบรวมกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศกับกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุนเข้าด้วยกัน]
7. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน [คงเดิม]
8. – 11. กองส่งเสริมการลงทุน 1 – 4 [เปลี่ยนชื่อจากกองบริหารการลงทุน 1 – 5]
12. กองส่งเสริมการลงทุนไทยจากต่างประเทศ (คงเดิม)
13. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (คงเดิม)
14. ศูนย์บริการลงทุน (คงเดิม)
15. – 21. ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 – 7 (คงเดิม)
22. สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ (คงเดิม)
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการดังกล่าว ไม่เป็นการเพิ่มจำนวนกองหรือจำนวนหน่วยงานและอัตรากำลังในภาพรวมของส่วนราชการ และยังคงตำแหน่งประเภทผู้อำนวยการตามจำนวนและตำแหน่งที่มีอยู่เดิม รวมทั้งไม่เป็นการเพิ่มงบประมาณแต่อย่างใด
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 โดยเป็นการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดที่ออกสู่ท้องตลาดให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ สร้างความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 683 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5710 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในรถจักรยานยนต์ และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปด ลงวันที่ 10 มีนาคม 2563
เศรษฐกิจ - สังคม
6. เรื่อง การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในอัตราไม่เกิน 10,700 อัตรา โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ดังนี้
1. ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระดับดีเด่นไม่เกินร้อยละ 2.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน 292,506 อัตรา คิดเป็นอัตราไม่เกิน 7,313 อัตรา
2. ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระดับดีเด่นไม่เกินร้อยละ 1.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน 225,822 อัตรา คิดเป็นอัตราไม่เกิน 3,387 อัตรา
3. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเป็นลำดับต่อไป
7. เรื่อง การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/48
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. โอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ซึ่งถืออยู่ทั้งหมดในอัตราร้อยละ 10 ตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 แปลงสำรวจในทะลอ่าวไทย G1/48 ให้แก่บริษัท เอ็มพี จี1 (ประเทศไทย) จำกัด โดยอาศัยความตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว พน. จะออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 ตามแบบ ชธ/ป3/1 ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. 2555 ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/48 อยู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนห่างจากชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ประมาณ 65 กิโลเมตร มีพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม จำนวน 2 พื้นที่ คือ พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมกระเหนือ ขนาด 161.14 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมกระเหนือส่วนขยาย ขนาด 10.75 ตารางกิโลเมตร รวมพื้นที่ 171.89 ตารางกิโลเมตร และมีพื้นที่สงวนคงเหลือ (พื้นที่ที่บริษัทผู้ถือสัมปทานยังไม่ได้เข้าสำรวจ) จำนวน 56.96 ตารางกิโลเมตร
ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (14 พฤศจิกายน 2549) อนุมัติให้สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/48 ต่อมาได้มีการโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะในสัมปทานปิโตรเลียมระหว่างภาคเอกชนหลายครั้ง ซึ่งในครั้งนี้บริษัท Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ได้ขอโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ในสัมปทานดังกล่าว ซึ่งถืออยู่ทั้งหมดในอัตราร้อยละ 10 ให้กับบริษัท เอ็มพี จี1 (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
วันที่
เหตุการณ์
ผู้ถือสิทธิ ประโยชน์ และพันธะในสัมปทาน
สัดส่วน (ร้อยละ)
ภายหลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2552 จนถึงปัจจุบัน
มีการแจ้งโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ให้กับบริษัทในเครือเดียวกัน1
บริษัท เอ็มพี จี1 (ประเทศไทย) จำกัด
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมแม่บ้านมหาดไทย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 แถลงผลงาน พร้อมมอบรางวัล "เพชรดอกแก้ว" แก่ผู้อุทิศตน บำบัดทุกข์บำรุงสุข และเป็นแบบอย่างที่ดี | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
สมาคมแม่บ้านมหาดไทย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 แถลงผลงาน พร้อมมอบรางวัล "เพชรดอกแก้ว" แก่ผู้อุทิศตน บำบัดทุกข์บำรุงสุข และเป็นแบบอย่างที่ดี
สมาคมแม่บ้านมหาดไทย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 แถลงผลงาน พร้อมมอบรางวัล "เพชรดอกแก้ว" แก่ผู้อุทิศตน บำบัดทุกข์บำรุงสุข และเป็นแบบอย่างที่ดี
วันนี้ (16 กันยายน 2563) เวลา 09.30 น. ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2563 โดยมี ดร.ปฤถา พรหมเลิศ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยเป็นประธานการประชุม และมีประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด 76 จังหวัดพร้อมด้วยสมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เข้าร่วมการประชุม สำหรับการประชุมในวันนี้ เป็นการสรุปผลการดำเนินงานของสมาคม ในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งในส่วนกลาง และในส่วนของแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งมีการจัดเสวนา ในหัวข้อเรื่อง "จากพี่สู่น้อง” เพื่อถ่ายทอดและส่งต่อประสบการณ์อันมีคุณค่าต่อการปฏิบัติหน้าที่ประธานแม่บ้านมหาดไทย และเป็นแบบอย่างที่ดีในการอุทิศตนเพื่อขับเคลื่อนการทำงานในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนในพื้นที่ และในโอกาสนี้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมามอบมุมมองและแนวคิดในการปฏิบัติงานสำหรับประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด เพื่อนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย
ดร.ปฤถา พรหมเลิศ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับทุกท่านในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ครั้งที่ 1/2563 ในวันนี้ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินงานของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยที่ทุกท่านได้ร่วมกันทุ่มเทเสียสละเวลาความสุขส่วนตัวรวมถึงกำลังกายกำลังใจเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศโดยถือเป็นปณิธานที่เราจะต้องสนับสนุนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และในวันนี้สมาคม ฯ ได้มอบเข็มกลัด "เพชรดอกแก้ว" ให้แก่อุปนายกสมาคมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งตามคู่สมรสที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นผู้อุทิศตนในการบำบัดทุกข์บำรุงสุข และเป็นแบบอย่างที่ดีประจําปี 2563 จำนวน 4 ท่าน ได้แก่ 1) นางมลสุดา ชำนิประศาสน์อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย 2) นางพักตร์พิมล สุดประเสริฐอุปนายก ฯ ประธานชมรมแม่บ้านกรมโยธาธิการและผังเมือง 3) นางปรานต์ทิพย์ ธิติศักดิ์ อุปนายก ฯ ประธานชมรมแม่บ้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 4) นางสาวสุภาภรณ์ ภักดีจรัส อุปนายก ฯ ประธานชมรมแม่บ้านการประปานครหลวง และนอกจากนี้ สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ยังได้มอบรางวัล "เพชรดอกแก้ว" และเกียรติบัตรให้กับประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ผู้อุทิศตนเพื่อขับเคลื่อนภารกิจของแม่บ้านมหาดไทยในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 10 ท่าน ได้แก่ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี พิจิตร ระยอง สุพรรณบุรี ตาก ยโสธร ปัตตานี ลำพูน พะเยา และ นครราชสีมา
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาพบปะกับสมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยทุกท่าน และได้ขอบคุณประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดทุกจังหวัด และยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล "เพชรดอกแก้ว" ทุกท่าน ที่สนับสนุนภารกิจของผู้ว่าฯ เพื่อให้การปฏิบัติงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จากนั้นได้มอบแนวทางปฏิบัติและการทำงานที่ "คนมหาดไทย" เราต้องยึดมั่น 2 ประการ คือ ประการแรก ต้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย ความเป็นข้าราชการ ซึ่งแตกต่างจากภาคเอกชน ในส่วนภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัดมีฐานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของระดับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ต้องรองรับภารกิจหน้าที่ที่มีความหลากหลายในปัจจุบัน ประการที่ 2 การบริหารความคาดหวัง/ความรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสาธารณชน ที่พึงจะได้รับจากส่วนราชการ โดยให้ยึดมั่นประโยชน์ของประชาชน เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตนพร้อมให้การสนับสนุนโอกาส ความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35136 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นฤมล’ จับมือ ‘หัวเว่ย’ มุ่งพัฒนาแรงงานยุคดิจิทัล ป้อนตลาดแรงงาน | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
‘นฤมล’ จับมือ ‘หัวเว่ย’ มุ่งพัฒนาแรงงานยุคดิจิทัล ป้อนตลาดแรงงาน
รมช. แรงงาน หารือ ผู้บริหาร บ.หัวเว่ย พร้อมเดินหน้าความร่วมมือพัฒนาแรงงานยุคดิจิทัล เพื่อป้อนสู่ตลาดแรงงานในอนาคต สร้างโอกาสในการทำงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับคณะจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย มร.อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร มร.เหยา ลู่ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร คุณธริศรา ธนจิราดลสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล และคุณนันทิยา มานิช ผู้จัดการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร ที่ได้เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน รวมถึงหารือความร่วมมือด้านแรงงานในอนาคต และแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อแรงงาน โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
รมช.แรงงาน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลเป็นความท้าทายด้านแรงงานที่ต้องได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะบุคลากรด้านไอซีทีที่มีทักษะสูง เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดและถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น ระบบ Cloud Computing, Big Data, Internet Opting, AI, 5G เป็นต้น ทำให้ขาดแรงงานที่มีทักษะความรู้ด้านไอซีที ทั้งนี้ หัวเว่ยฯ เป็นองค์กรชั้นนำด้านบริการโซลูชันไอซีทีระดับโลก มีความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านไอซีที จึงได้วางแผนการพัฒนาอีโคซิสเต็มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านแรงงานดิจิทัลที่มีทักษะสูง ทั้งการฝึกอบรม ตลอดจนการออกใบรับรองมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรสู่ตลาดแรงงาน
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะสามารถป้อนแรงงานคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
-----------------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34764 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม
ถังขยะนั่นเอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34993 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. รุกสถานศึกษา จับมือ สพฐ. ร่วมส่งเสริมวินัยการออม สร้างความมั่นคงในชีวิต แก่นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา” | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
“กอช. รุกสถานศึกษา จับมือ สพฐ. ร่วมส่งเสริมวินัยการออม สร้างความมั่นคงในชีวิต แก่นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา”
กอช.ร่วมกับ สพฐ.นำร่องโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช.จัดอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนและบุคลากรในสถานศึกษา โดยความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. นำร่องโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. จัดอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนและบุคลากรในสถานศึกษา โดยความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชุม โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. มุ่งเน้นส่งเสริมการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตหลังอายุ 60 ปี กับกลุ่มนักออมหน้าใหม่ ในสถานศึกษาที่เป็นนักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ที่ยังไม่มีสวัสดิการบำนาญใดๆ จากรัฐ โดย กอช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการปลูกฝังเรื่องวินัยการออมอย่างยั่งยืนที่จะช่วยให้เยาวชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในวัยเกษียณ จึงได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” โครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนและบุคลากรในสถานศึกษาขึ้น ซึ่งเป็นการอบรมและสร้างเครือข่ายจากบุคลากรในโรงเรียน ให้เป็นต้นแบบการออมแบบกระจายทวีคูณ และส่งเสริมให้เป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีบำนาญใช้ในวัยเกษียณ
นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า สำหรับการอบรมครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการขับเคลื่อนการสร้างวินัยการออม ระหว่างกองทุนการออมแห่งชาติ กับสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ. ให้ความสำคัญกับการออมเงินกับ กอช. มาตลอด โดยส่งเสริมให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และครอบครัวที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผู้ประกันตนกองทุนประกันสังคม ได้ใช้สิทธิเป็นสมาชิก กอช. รวมถึงสนับสนุนให้นักเรียนสามารถวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานได้
ทั้งนี้ สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. ดำเนินการนำร่องส่งเสริมการให้ความรู้กับสถานศึกษาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 119 โรงเรียน โดยให้แต่ละโรงเรียนส่งเสริมการออมในสถานศึกษากับนักเรียน อย่างน้อย 100 คน เพื่อให้เด็กนักเรียนเริ่มออมเงินกับ กอช. ได้ทั่วถึงครอบคลุม เริ่มออมก่อน ก็จะมีโอกาสทางการเงินมากกว่าคนอื่น และมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การออมเงินกับ กอช. เป็นการวางแผนทางการเงินในระยะยาวเพื่อใช้ในอนาคต เริ่มออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รับเงินสมทบจากรัฐบาลตามช่วงอายุของสมาชิก ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิก กอช. เพียงมีอายุ 15 – 60 ปี โดยไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, มาตรา 39, มาตรา 40 ทางเลือก 2, มาตรา 40 ทางเลือก 3, ไม่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และไม่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยสามารถตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช” เว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th หรือธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ที่ว่าการอำเภอ ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน เครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000”
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34709 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีแสดงกตเวทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
พิธีแสดงกตเวทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีแสดงกตเวทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีแสดงกตเวทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 โดยมีนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญยา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
งานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้ทุ่มเทกำลังสติปัญญาร่วมกันพัฒนากระทรวงอุตสาหกรรมให้มีความเจริญก้าวหน้าและเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศชาติ ซึ่งมีผู้บริหาร จำนวน 5 ท่าน เกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย นายกรณ์ภัฐวีญ์ ม่วงน้อย รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายอิทธิชัย ยศศรี รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสุวัฒนา กมลวัทนนิศา นางสาวกฤตยาพร ทัพภะทัต นายวิฑูรย์ อยู่ทิม รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ที่เป็นกำลังสำคัญและอุทิศตนในการพัฒนาอุตสาหกรรม ของประเทศจนครบวาระเกษียณ รวมทั้งสิ้น 171 ท่าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34650 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เราเที่ยวด้วยกัน" ปรับเกณฑ์ใหม่ เพิ่มวันพัก - ค่าตั๋วเครื่องบิน | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
"เราเที่ยวด้วยกัน" ปรับเกณฑ์ใหม่ เพิ่มวันพัก - ค่าตั๋วเครื่องบิน
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนเพิ่มสิทธิตามโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" โดยเพิ่มสิทธิสำหรับการเข้าพักในโรงแรมและโฮมสเตย์ที่ร่วมโครงการ เป็นไม่เกิน 10 คืน ต่อคน จากเดิม 5 คืน ต่อคน นอกจากนี้ ยังเพิ่มวงเงินสนับสนุนค่าบัตรโดยสารเครื่องบินในลักษณะการจ่ายคืน ในอัตรา ร้อยละ 40 ของค่าบัตรโดยสาร เป็นไม่เกิน 2,000 บาทต่อที่นั่ง จากเดิม 1,000 บาทต่อที่นั่ง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com และใช้สิทธิได้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 63 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการใช้จ่ายของภาคประชาชนผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนการสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
โฆษกรัฐบาลยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
วันนี้ (14 ก.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงการจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ยืนยันว่า ทั้งกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้มีการปรับปรุงตัวเลขจากเดิมที่ตั้งเบิกจ่ายไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 พบว่า จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 184,538 ราย จำนวนผู้พิการเพิ่มขึ้น 265,608 ราย ประกอบกับการพัฒนาการโอนตรงด้วยระบบ E-Payment เพื่อเป็นการจ่ายเบี้ยสู่บัญชีธนาคารของคนพิการและผู้สูงอายุโดยตรง ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 20 ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำหน้าที่จ่ายเบี้ยเป็นเงินสด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า หลังจากการการปรับปรุงระบบจากนี้ไป การชำระเงินให้กับผู้มีสิทธิจะมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้ขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปทันทีโดยไม่ต้องรอการประกาศสิทธิ์เหมือนในอดีต สำหรับงวดเดือนกันยายน นี้ ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้อนุมัติงบเหลือจ่าย เพื่อนำไปจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที จำนวน 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยคนพิการ 700 ล้านบาทและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,700 ล้านบาทที่มีการแบ่งจ่ายแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจมีความล่าช้าไม่เกิน 1 อาทิตย์ และสำนักงบประมาณจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เนื่องจากต้องมีการใช้งบประมาณประจำปี 2563 ไปพลางก่อน
ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงผลการวิจัยว่าจะมีจำนวนผู้ตกงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการทำวิจัยตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดและเป็นเพียงการนำตัวเลขจากสถิติมาคาดคะเนสถานการณ์เศรษฐกิจ หากนำมาอ้างอิงอาจคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบิน มาตรการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. กว่า 260,000 ตำแหน่ง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการจ่ายเงินเดือนร้อยละ 50 รวมถึง ศบศ. จะมีการพิจารณามาตรการต่าง ๆ ในอนาคต อาทิ สนับสนุน Soft Loan หรือกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าปลีกขนาดย่อย เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
.............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมผู้บริหาร | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมผู้บริหาร
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมผู้บริหารระดับสูง ย้ำบรรจุข้าราชการรุ่นโควิดเสร็จสิ้นในกันยายนนี้ หากพบคนแสวงผลประโยชน์เอาผิดถึงที่สุด ระบุ อสม.ได้ค่าตอบแทน 3,500 บาทในวันที่ 21 กันยายน
พร้อมเร่งเดินหน้าจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ประเทศไทยทั้ง 3 รูปแบบ ล่าสุดเตรียมร่วมมือโครงการโคแวกซ์ องค์การอนามัยโลก
วันนี้ (3 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสรุปผลการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบของที่ระลึกแก่ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2563 พร้อมมอบนโยบายเรื่องการบรรจุข้าราชการใหม่จำนวน 45,684 อัตรา จะต้องบรรจุเสร็จสิ้นภายในกันยายนนี้ ด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ จากที่มีข่าวอ้างว่าช่วยบรรจุเป็นข้าราชการรุ่นโควิดได้ ขอย้ำว่าไม่เป็นความจริง อย่าหลงเชื่อ หากพบให้ดำเนินการถึงที่สุด ไม่มีการละเว้นโทษ
นอกจากนี้ ได้มอบนโยบายการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2564 เรื่องสำคัญคือ การดำเนินการให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกได้รับวัคซีนที่ต่างประเทศผลิตได้ และการพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ, การขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิให้คนไทยมีหมอประจำตัว 3 คน คือ หมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข หมอครอบครัว เพื่อลดความแออัดโรงพยาบาลและสร้างเสริมระบบสุขภาพคนไทย การสร้างระบบธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความคุ้มค่า หากมีการทุจริตจะดำเนินการอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกับกรณีคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้ยกเลิกสัญญาคลินิกที่พบการทุจริต พร้อมจัดหาหน่วยบริการรองรับ รับสมัครคลินิกชุมชนอบอุ่นเพิ่ม และเรื่องสุดท้ายคือการคุ้มครองประชาชนจากสารเคมีและสินค้าที่ทำลายสุขภาพ
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจในการประชุม คือบทบาทของ อสม.ในการดำเนินการต้านภัยโควิด 19 ที่เป็นด่านหน้า ออกเคาะประตูบ้านเฝ้าระวัง ดูแล สอดส่อง ป้องกันโรคโควิด 19 ในชุมชน ซึ่งรัฐบาลเห็นความสำคัญและมอบค่าตอบแทน อสม. ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกับกรมบัญชีกลางแล้ว โดยจะเบิกจ่ายค่าป่วยการ อสม. จำนวน 7 เดือน ตั้งแต่มีนาคมถึงกันยายน 2563 เป็นเงิน 3,500 บาท และจะส่งเข้าบัญชีของ อสม. ในวันที่ 21 กันยายนนี้ หากสถานการณ์เกิดขึ้นอีก รัฐบาลก็จะดูแลต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีบทบาทในการร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์โควิด 19 โดยดำเนินการ 2 เรื่อง คือ การขับเคลื่อนสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมฟ้าทะลายโจร เพื่อผลิตยาสมุนไพร และการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพวิถีใหม่ โดยพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเมืองสมุนไพร 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา
กันยายน 1/5 *********************************** 3 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34806 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การกลับมาพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศอีกครั้ง ถือเป็นการแพร่ระบาดระลอกใหม่แล้วหรือไม่ ?? | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
การกลับมาพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศอีกครั้ง ถือเป็นการแพร่ระบาดระลอกใหม่แล้วหรือไม่ ??
การพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกครั้ง ถือเป็นการระบาดระลอกใหม่แล้วหรือไม่ ??
Q : การกลับมาพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศอีกครั้ง ถือเป็นการแพร่ระบาดระลอกใหม่แล้วหรือไม่ ??
A : ไม่ นับเป็นการพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศรายใหม่ โดยนับเป็นผู้ป่วย 1 ราย แต่ยังไม่นับว่าเป็นการแพร่ระบาด โดยหากเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และไม่ให้เกิดผู้ป่วยรายที่ 2 3 และรายอื่นๆ ต่อไป ก็ถือว่ายังควบคุมสถานการณ์ได้ และไม่นับว่าเป็นการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ในระลอกใหม่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34885 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการจัดการน้ำเสียคลองแม่ข่า | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการจัดการน้ำเสียคลองแม่ข่า
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการจัดการน้ำเสียคลองแม่ข่า
วันนี้ (28 ส.ค. 63) เวลา 14.30 น. ที่ประตูน้ำท่าแพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และผู้แทนองค์การจัดการน้ำเสีย ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป
"คลองแม่ข่า" หรือที่คนเชียงใหม่ เรียกว่า น้ำแม่ข่า ไหลผ่านในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ อำเภอแม่ริม อำเภอเมืองเชียงใหม่ และอำเภอหางดง มีช่วงต้นน้ำอยู่ในพื้นที่เขตตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม ระยะทางประมาณ 8.190 กิโลเมตร ช่วงกลางน้ำอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่หมู่บ้านสุขิโต ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ไปจนสุดเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ บริเวณถนนมหิดลก่อนถึงเขตเทศบาลตำบลป่าแดด ระยะทางประมาณ 10.200 กิโลเมตร และช่วงท้ายน้ำเริ่มตั้งแต่เขตเทศบาลตำบลป่าแดดไปจนถึงจุดที่น้ำแม่ข่าไหลลงสู่แม่น้ำปิงที่ตำบลสบแม่ข่า อำเภอหางดง มีระยะทางทั้งหมดประมาณ 12 กิโลเมตร แต่เนื่องด้วยความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองเชียงใหม่ ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมามีชุมชนแออัดผุดขึ้น รวมทั้งมีการบุกรุกคลองแม่ข่าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีการทิ้งน้ำเสียจากทางสถานประกอบการต่าง ๆ และครัวเรือนซึ่งขาดระบบบำบัดน้ำเสีย ส่งผลทำให้คลองแม่ข่าเกิดการเน่าเสีย
โดยจังหวัดเชียงใหม่ ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน กำหนดให้การพัฒนาคลองแม่ข่าจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนในระดับพื้นที่ ซึ่งได้มอบหมายทุกภาคส่วนรับผิดชอบในการพัฒนาคลองแม่ข่าในเขตพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งคลองแม่ข่าให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคลองแม่ข่า โดยมีมาตรการในการแก้ไขปัญหา 8 มาตรการ ได้แก่ มาตรการการปรับปรุงคุณภาพน้ำ การแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ดิน การจัดหาน้ำต้นทุน การปรับปรุงภูมิทัศน์ การปรับปรุงและฟื้นฟูสิ่งปลูกสร้างเดิม การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ การสร้างจิตสำนึกชุมชน และการปรับปรุงและพัฒนาลำน้ำสาขา
นอกจากนี้ ในด้านระบบบำบัดน้ำเสีย เทศบาลนครเชียงใหม่มีระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน (รวมน้ำเสียและน้ำฝนในท่อเดียวกัน) จำนวน 1 แห่ง เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อเติมอากาศ ประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสีย 55,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน สามารถรวบรวมน้ำเสียได้ประมาณ 20,000-30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยการรับน้ำเสียในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่พื้นที่ฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำปิง 20 ตารางกิโลเมตร และบางส่วนจากเทศบาลตำบลช้างเผือกที่ไหลมาตามท่อระบายน้ำ โดยได้ร่วมกับองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ดำเนินการดูแลและบำรุงรักษา
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ ลงเรือตรวจสภาพคลองแม่ข่าจากประตูน้ำท่าแพไปยังสวนสัตตะมังคละศรีดอนไชย และเดินทางตรวจสภาพประตูระบายน้ำและการบริหารจัดการน้ำคลองแม่ข่าลงสู่แม่น้ำปิง ณ บริเวณประตูระบายน้ำดอนชัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34647 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน สั่ง ติดตาม คุมเข้มแรงงานต่างด้าว หลังเพื่อนบ้าน มีการระบาดของโรคหนัก หวั่นแรงงาน ลักลอบเข้าประเทศ | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน สั่ง ติดตาม คุมเข้มแรงงานต่างด้าว หลังเพื่อนบ้าน มีการระบาดของโรคหนัก หวั่นแรงงาน ลักลอบเข้าประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กำชับ กรมการจัดหางาน ติดตาม คุมเข้มการทำงานของแรงงานต่างด้าว หลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา มีการระบาดของโรคโควิด-19 หนักระลอกที่ 2 หวั่นแรงงาน หนีโรค ลักลอบเข้าทำงานในประเทศ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุ รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับ ปัญหาแรงงานต่างด้าว และการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศ หลังจากที่ทางการเมียนมาพบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีคำสั่งล็อกดาวน์ มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังคุมเข้ม
“ทันทีที่รับทราบเรื่อง ตนไม่นิ่งนอนใจ ได้กำชับให้ กรมการจัดหางาน ติดตาม ตรวจสอบ พร้อมเพิ่มความเข้มการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าวอย่างรัดกุมในทุกพื้นที่ อย่างเร่งด่วนทันที โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หวั่นแรงงาน หนีโรคโควิด-19 ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทย และอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการระบาดซ้ำ แม้สถานการณ์แรงงานต่างด้าวในประเทศไทย จะยังไม่พบความผิดปกติ อย่างไรก็ดี หากมีผู้ที่พบคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมาย หรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียน กับ เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน เพื่อให้เข้าตรวจสอบได้ โดย โทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือผ่านทางกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด” นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าว
ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย กรมการจัดหางานจะเร่งขับเคลื่อนนโยบายตรวจสอบติดตาม กวดขัน การทำงานของแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ ได้ออกหนังสือด่วนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้กำชับสำนักงานจัดหางานจังหวัดดำเนินการตามมาตรการดูแล ป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
“กรมการจัดหางานเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการป้องกันแรงงานต่างด้าว ลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่สอง ในประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยอย่างประเทศเมียนมา และอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการเกิดการระบาดซ้ำในประเทศไทยได้ จึงกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่ ตรวจเอกสาร หลักฐานของคนต่างด้าวอย่างละเอียดก่อนที่จะพิจารณาอนุญาตทำงาน และ บังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวและสถานประกอบการอย่างเคร่งครัด โดย บูรณาการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ
และขอย้ำเตือนนายจ้าง ให้จ้างแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงานและทำงานตรงกับประเภทงาน และกับนายจ้าง หรือเงื่อนไขในการทำงานตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตทำงาน ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวต้องมีใบอนุญาตทำงาน และทำงานตรงกับที่ระบุไว้ในใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งห้ามทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และถูกผลักดันกลับประเทศ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงาน 3 ปี ” นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34740 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่
คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
ราวตากผ้า
ผ้าเช็ดมือและผ้าเช็ดตัว แขวนตากแยกราวส่วนตัว ไม่ปะปนกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฮือฮา! บนดาวศุกร์อาจมีสิ่งมีชีวิต | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
ฮือฮา! บนดาวศุกร์อาจมีสิ่งมีชีวิต
--
#ไทยคู่ฟ้าวงการดาราศาสตร์ตื่นตัวกับการค้นพบ “ฟอสฟีน” (Phosphine) บนดาวศุกร์ เพราะบนโลกนั้นฟอสฟีนมีแหล่งกำเนิดเพียง 2 แหล่ง คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรม หรือเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจน ทำให้เกิดสมมติฐานว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวศุกร์
.
การค้นพบฟอสฟีนนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก แต่การจะยืนยันว่าดาวศุกร์นั้นมีสิ่งมีชีวิตยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลอีกมาก เพราะแม้ว่าชั้นบรรยากาศตอนบนของดาวศุกร์ที่มีอุณหภูมิเพียง 30 องศา แต่ก็มีกรดกำมะถันกว่า 90% ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่น่าจะอยู่รอดในสภาวะเช่นนั้นได้ และหากมีสิ่งมีชีวิตจริงก็เป็นไปได้ว่าจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับสิ่งมีชีวิตบนโลก หลังจากนี้ทีมนักวิจัยนี้จะศึกษากันต่อ เพื่อค้นหาว่าฟอสฟีนมีอยู่ในบริเวณอื่นบนเมฆของดาวศุกร์หรือไม่ และจะมีโมเลกุลอะไรอีกที่จะช่วยยืนยันถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์
.
“ฟอสฟีน” เป็นโมเลกุลที่เป็นสารประกอบระหว่างธาตุฟอสฟอรัสและไฮโดรเจน มีสูตรทางเคมี PH3 คล้ายกับโมเลกุลของแอมโมเนียที่ถูกแทนที่ด้วยฟอสฟอรัสบนโลก และมีสถานะเป็นแก๊สที่ไม่มีสี ไวไฟ และเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างมาก
.
อ่านรายละเอียดเพิ่ม ได้ที่https://www.facebook.com/148300028566953/posts/3495937540469835/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่ | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่
คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
ราวตากผ้า
- วางอยู่ในตำแหน่งที่มีลมโกรกและแสงแดดส่องถึง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย- U.S. CDC. ร่วมสร้างความเข้มแข็งระบบสอบสวนโรค | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
สธ.ไทย- U.S. CDC. ร่วมสร้างความเข้มแข็งระบบสอบสวนโรค
กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริการ่วมสร้างความเข้มแข็งระบบสอบสวนป้องกันควบคุมโรคไทยนานกว่า 40 ปี มีนักระบาดวิทยาเชี่ยวชาญ ควบคุมโควิด 19 อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไทยเป็นผู้นำด้านความมั่นคงสุขภาพโลก
กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริการ่วมสร้างความเข้มแข็งระบบสอบสวนป้องกันควบคุมโรคไทยนานกว่า 40 ปี มีนักระบาดวิทยาเชี่ยวชาญ ควบคุมโควิด 19 อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไทยเป็นผู้นำด้านความมั่นคงสุขภาพโลก
วันนี้ (26 สิงหาคม 2563) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดการประชุมวิชาการความสำเร็จของความร่วมมือในการแก้ปัญหาสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) ภายใต้คำขวัญไทย-สหรัฐรวมพลังสร้างสุขภาพ หรือ 2Nations 2gether 4Health จัดโดยสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข (TUC) เพื่อฉลองวาระครบรอบ 40 ปีความร่วมมือ รวบรวมและถ่ายทอดผลงานความสำเร็จด้านการป้องกันควบคุมโรคที่ได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณจาก US.CDC และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดโลโก้ ฉลองครบ 40 ปี ความร่วมมือ รางวัลการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืนสำหรับแพทย์ FETP รุ่นที่ 1 รางวัลการดำเนินความร่วมมือต่อเนื่องยาวนาน และรางวัลหน่วยงานที่มีความร่วมมือในการดำเนินงานรายแผนงาน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย และ U.S. CDC ที่มีมาอย่างยาวนาน ส่งผลสำคัญต่อการวางรากฐานความมั่นคงของระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการป้องกันควบคุมโรคในประเทศไทย ร่วมกันก่อตั้งโครงการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาภาคสนาม (FETP : Field Epidemiology Training Program) นอกทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ทำให้ไทยมีแพทย์/สัตวแพทย์ ระบาดวิทยาภาคสนาม ที่สามารถดำเนินการด้านการสืบสวนและสอบสวนโรคในการตอบโต้ต่อเหตุการณ์โรคระบาดต่าง ๆ มีความพร้อมทั้งบุคลากร ระบบเฝ้าระวัง การป้องกันควบคุมโรค ระบบห้องปฏิบัติการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ซึ่งในสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้สนับสนุน พัฒนา แลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยา ช่วยดำเนินการเรื่องการติดตามผู้สัมผัส/ ผู้ป่วยร่วมกับกรมควบคุมโรค และส่งทีมเจ้าหน้าที่ U.S. CDC ทำงานร่วมกับสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง พัฒนาระบบข้อมูล การติดตามผู้ป่วยและผู้สัมผัส และห้องปฏิบัติการ ร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และ กทม. พัฒนาระบบเฝ้าระวังและการรับมือสถานการณ์โควิด 19 รวมทั้งผู้ที่สำเร็จการฝึกอบรม FETP และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายไทย ศูนย์ความร่วมมือไทย- สหรัฐ ด้านสาธารณสุขหลายท่าน ได้มีส่วนสำคัญในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้สามารถรับมือการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไทยเป็นผู้นำด้านความมั่นคงสุขภาพโลก
นอกจากนี้ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากโครงการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยาภาคสนามแล้ว ยังมีความร่วมมือทางด้านการวิจัยและกิจกรรมความร่วมมือมากมาย เช่น เอชไอวี/เอดส์ โรคอุบัติใหม่ ไข้หวัดใหญ่ และโรคไม่ติดต่อ การปรับปรุงระบบการป้องกันและควบคุมโรคในประเทศไทย ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และ องค์ความรู้ซึ่งได้ถูกแปลไปเป็นนวัตกรรม และนำไปปรับใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลกในอนาคตจะสานต่อความร่วมมือทางวิชาการ แลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศ เพื่อความมั่นคงความปลอดภัย และความมีสุขภาพดีของประชาชนทั้งสองประเทศ เสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นผู้นำ ด้านสาธารณสุขในภูมิภาคนี้
ด้านนายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (US CDC) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ของประเทศไทยได้ร่วมดำเนินงานเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน โดยระดมนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากทั้งสองประเทศมาปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้ประชาชนชาวไทย ชาวอเมริกัน และประชากรของโลกมีความปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดจากการแบ่งปันความรู้และวิธีการต่างๆ ซึ่งช่วยปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกัน ตรวจจับ และรักษาโรค การตอบโต้และรับมือการระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทย ขณะนี้เป็นตัวอย่างอันเด่นชัดที่แสดงให้เห็นว่าความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศของเราทั้งสองนั้นมีความสำคัญอย่างไรในการสร้างศักยภาพและเครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นในการรับมือและตอบโต้การระบาดใหญ่ทั่วโลกในครั้งนี้ให้ประสบผลสำเร็จ
************************************* 26 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34564 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จับมือ จ.เพชรบูรณ์ เชิญชวนนายกรัฐมนตรี-ครม. ชมกิจกรรมรณรงค์ “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ปี ๖๓” หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
วธ. จับมือ จ.เพชรบูรณ์ เชิญชวนนายกรัฐมนตรี-ครม. ชมกิจกรรมรณรงค์ “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ปี ๖๓” หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น
วธ. จับมือ จ.เพชรบูรณ์ เชิญชวนนายกรัฐมนตรี-ครม. ชมกิจกรรมรณรงค์ “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ปี ๖๓”
หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น
ร่วมสืบสานประเพณีโบราณหนึ่งเดียวในโลก วันที่ ๑๕ - ๒๐ ก.ย. นี้
วธ. จับมือ จ.เพชรบูรณ์ เชิญชวนนายกรัฐมนตรี-ครม. ชมกิจกรรมรณรงค์ “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ปี ๖๓”
หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น
ร่วมสืบสานประเพณีโบราณหนึ่งเดียวในโลก วันที่ ๑๕ - ๒๐ ก.ย. นี้
เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓ ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) พร้อมด้วย นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายนิเวศน์ หาญสมุทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสื่อมวลชน พร้อมทั้งนำชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้แก่ นิทรรศการประเพณีอุ้มพระดำน้ำ การแสดงรำถวายพระพุทธมหาธรรมราชา การจัดแสดงอาหารและดอกไม้ที่มีสรรพคุณทางยาถวายพระพุทธมหาธรรมราชา ผลิตภัณฑ์มะขามแปรรูปเอกลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้สนับสนุนนโยบายการพัฒนาสู่ประเทศไทย ๔.๐ ของรัฐบาล โดยการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูงโดยเฉพาะใน ๕ ด้าน ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น มวยไทยและเทศกาล ประเพณี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้สู่ประชาชน ชุมชนและประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการจัดงานประเพณีและเทศกาลศิลปวัฒนธรรมของไทย ซึ่งวธ. มุ่งเน้นให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมภาคภูมิใจในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยที่ผ่านมา วธ.ได้ร่วมกับจังหวัดเพชรบูรณ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานรัฐ เอกชนและภาคประชาชน จัดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำจังหวัดเพชรบูรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้กำหนดจัดงาน ระหว่างวันที่ ๑๕ – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ณ บริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ วัดไตรภูมิ และวัดโบสถ์ชนะมาร อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์
นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ ในปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิดสีขาว ซึ่งหมายถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์ต่อพระพุทธมหาธรรมราชาและพระพุทธศาสนา มีกิจกรรมสำคัญประกอบด้วย ๑.วันที่ ๑๕ ก.ย.๖๓ พิธีรำถวายพระพุทธมหาธรรมราชา ณ บริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ ๒.วันที่ ๑๖ ก.ย.๖๓ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีพุทธาภิเษกเหรียญพระพุทธมหาธรรมราชา พิธีบวงสรวงเทพยดา ณ วัดไตรภูมิ การประกวดโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธมหาธรรมราชา ณ สวนสาธารณเพชบุระ พิธีอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาแห่รอบเมือง โดยความพิเศษในปีนี้เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ได้จัดเตรียมโขนหัวเรือ “กาญจนาคา” เพื่อใช้อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาไปประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำด้วย ขณะเดียวกัน เวลา ๑๘.๓๐ น. มีพิธีเปิดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ บริเวณหน้าหอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
๓.วันที่ ๑๗ ก.ย.๖๓ พิธีเจริญมงคลคาถาถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว การประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ (วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐) ณ บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร และพิธีเปิดการแสดงแสงเสียงตำนานอุ้มพระดำน้ำ ณ พุทธอุทยานเพชบุระ ๔.วันที่ ๑๘ - ๑๙ ก.ย.๖๓ การแข่งขันพายเรือทวนน้ำ ณ ท่าน้ำวัดไตรภูมิ และ๕.วันที่ ๒๐ ก.ย.๖๓ พิธีถวายผ้าป่าสามัคคี ณ วัดไตรภูมิ และวัดโบสถ์ชนะมาร นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมการประกวดวาดภาพ ณ หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ การแสดงของสภาวัฒนธรรมเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ณ วัดไตรภูมิ และงานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย ณ พุทธอุทยานเพชบุระ
วธ. และ จ.เพชรบูรณ์ ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำของชาวเพชรบูรณ์ เพื่อสืบทอดโบราณประเพณีเก่าแก่ที่มีมาอย่างยาวนาน และความเชื่อตามตำนานศักดิ์สิทธิ์วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวในโลก สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ โทร. ๐๕๖ ๗๒๙ ๗๗๙ - ๘๐
------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นฤมล" ขานรับนโยบายรัฐบาลเขต EEC เร่งยกระดับทักษะแรงงานรับดิจิทัล | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
"นฤมล" ขานรับนโยบายรัฐบาลเขต EEC เร่งยกระดับทักษะแรงงานรับดิจิทัล
- -
วันที่ 25 สิงหาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางจุรีพร สินธุไพร คณะทำงาน เดินทางถึงโรงแรมสตาร์ ตอนเวนซัน เพื่อเตรียมเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ช่วงเวลาก่อนการประชุม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ ต่างๆ ได้แก่ ชมผลิตภัณฑ์ กศน. พรีเมียม ภายใต้แบรนด์ ONE (จ.ระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี) ผลงานนวัตกรรม : แอปพลิเคชัน depa 2.5 ในโครงการพัฒนาระบบเรืออัจฉริยะ ณ ท่าเรือ
แหลมฉบัง โครงการพัฒนาการจัดการคลังสินค้าวิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่าง เป็นผลิตภัณฑ์
ยางพารา โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นิทรรศการประโยชน์อีอีซีส่งตรงคนพื้นที่ โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นิทรรศการโครงการ Circular Living โดยกลุ่มบริษัท ปตท. นิทรรศการระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือ iSEE 2.0 เพื่อรายงานสถานการณ์
นักเรียนยากจนที่เพิ่มขึ้นหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่
อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ
หลังจากเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ เรียบร้อยแล้ว รมช.แรงงาน ร่วมถ่ายภาพกับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) พร้อมร่วม
เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง)ณ ห้องประชุมสุนทรภู่ ชั้น 2 และในเวลา 10.30 น. เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุมสุนทรภู่ ชั้น 2 โรงแรมสตาร์ คอนเวนชัน
รมช.แรงงาน เผยว่า ในส่วนที่กระทรวงแรงงานรับผิดชอบ โดยเฉพาะการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานป้อน EEC ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความพร้อม ทั้งการฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงาน การส่งเสริมด้านมาตรฐานฝีมือแรงงาน ให้ได้รับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัล เป็นทักษะที่สถานประกอบกิจการมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะในด้านดังกล่าว ซึ่งเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานในการคัดเลือกเข้าทำงาน การกำหนดสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ต้องผ่านการรับรองความรู้ความสามารถ โดยเพิ่มจำนวนสาขาอาชีพนอกเหนือจากสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคาร รวมถึงการส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับพนักงานของตนเองมากยิ่งขึ้น มีมาตรการจูงใจการลดหย่อนภาษีและมาตรการจูงใจในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นอีก ซึ่งจะได้วางแผนร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการความช่วยเหลือแก่แรงงานและสถานประกอบกิจการ ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานและเขต EEC ต่อไป
-----------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ในฐานะรองประธานกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ คนที่ ๑ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
รมว.วธ.ในฐานะรองประธานกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ คนที่ ๑ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
รมว.วธ.ในฐานะรองประธานกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ คนที่ ๑ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ คนที่ ๑ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34756 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ. | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ.
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (15 กันยายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ นายสุระ เพชรพิรุณ นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเสน่ห์ นิยมไทย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกรระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35117 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข แห่งแรกของ จ. ชลบุรี ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองทำงานกลางคืน | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข แห่งแรกของ จ. ชลบุรี ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองทำงานกลางคืน
รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข แห่งแรกของ จ. ชลบุรี ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองทำงานกลางคืน
วันนี้ (24 ส.ค. 63) เวลา 11.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ดูแลเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข แห่งแรกของจังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการช่วยเหลือ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่มีอาชีพในสถานประกอบการภาคกลางคืน ที่ประสบปัญหาในการเลี้ยงดูบุตร ด้วยสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสมและปลอดภัยตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ภายในโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดชลบุรี (เนินพลับหวาน) ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นอกจากนี้ มีการมอบเงินสงเคราะห์ให้กับกลุ่มคนเปราะบางในพื้นที่จำนวน 50 ราย และมอบถุงยังชีพให้กับผู้อยู่อาศัยของโครงการฯ จำนวน 15 ราย
นายจุติกล่าวว่า ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสถาบันครอบครัว จากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว ที่มีเพียงพ่อ แม่ ลูก และต้องเลี้ยงดูลูกโดยลำพัง ซึ่งการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ช่วงอายุระหว่าง 3 เดือน - 6 ปีเป็นปีทองของการพัฒนาทางด้านสติปัญญา สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่สมวัย อันเป็นรากฐานในการพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคต แต่ด้วยขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนเพิ่มมากขึ้น ทำให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ได้รับความเดือดร้อนอย่างมากในการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว รวมทั้งการเลี้ยงดูบุตรหลานระหว่างการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะการทำงานในเวลากลางคืน ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จึงได้จัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข ภายในบริเวณโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดชลบุรี (เนินพลับหวาน) เพื่อเป็นการช่วยเหลือ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่มีอาชีพในสถานประกอบการภาคกลางคืนที่ประสบปัญหาในการเลี้ยงดูบุตรหลาน ด้วยสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสมและปลอดภัยตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ซึ่งศูนย์แห่งนี้ เป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก Night Care บ้านเปี่ยมสุข แรกของจังหวัดชลบุรี และเป็นแห่งที่ 2 ของประเทศไทย โดยจัดตั้งขึ้นภายใต้แนวคิดการใช้ชุมชนเป็นฐานและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ ได้แก่ 1) ทีม One Home พม. จังหวัดชลบุรี 2) โครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดชลบุรี (เนินพลับหวาน) สนับสนุนสถานที่ 3) นายกเทศมนตรีเมืองหนองปรือ (นายมาย ไชยนิตย์) สนับสนุนการปรับปรุงตกแต่งอาคารสถานที่ และ 3) บริษัท ETK EMS ASIA PRODUCTION สนับสนุนกล้องวงจรปิด นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากคณะบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สนับสนุนการจัดอบรมหลักสูตรการดูแลเด็กปฐมวัยให้กับพี่เลี้ยง ทีม One Home พม. จังหวัดชลบุรี และผู้ดูแลเด็ก ซึ่งวันนี้ มีเด็กเข้ามารับบริการ จำนวน 9 ราย แบ่งเป็นเด็กชาย 6 ราย และเด็กหญิง 3 ราย
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ดูแลเด็ก Night Care แห่งนี้ เกิดจากที่ทุกคนร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ วันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดศูนย์ดูแลเด็กสำหรับผู้ปกครองที่มีอาชีพทำงานในเวลากลางคืน ซึ่งกระทรวง พม. จะทำศูนย์แบบครบวงจร เพื่อดูแลเด็กเล็กในเวลากลางคืนเท่านั้น พร้อมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำสำหรับพ่อเลี้ยงเดี่ยวและแม่เลี้ยงเดี่ยว พร้อมทั้ง กระทรวง พม. จะทำงานบูรณาการร่วมกับอีกหลายกระทรวง ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมที่จะช่วยพัฒนาทุนมนุษย์และสร้างสังคมให้เข้มแข็ง ด้วยศูนย์แห่งนี้จะสร้างเยาวชนให้มีความเข้มแข็งในอนาคต โดยคำนึงถึงเด็กทุกคนต้องมีความปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน เตรียมตัวเป็น "ผู้สอบบัญชีภาษีอากร" กับกรมสรรพากร | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
ด่วน เตรียมตัวเป็น "ผู้สอบบัญชีภาษีอากร" กับกรมสรรพากร
กรมสรรพากรขอเชิญชวนผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) โดยสามารถสมัครผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2563
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 51 (2/2563) โดยผู้ประสงค์เข้ารับการทดสอบต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองบัญชีงบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นคำขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2563 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 29 กันยายน 2563 และดำเนินการทดสอบในวันที่ 3 - 4 ตุลาคม 2563 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เขตดุสิต กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรจะประกาศที่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34653 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เห็นชอบให้ ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที. | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เห็นชอบให้ ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที.
คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เห็นชอบให้ อ.ส.ค. สุโขทัย สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที. ไปยังกลุ่มพื้นที่อื่นกว่า 4,680,000 กล่อง
นางอุมาพร พิมลบุตร รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการหารือดังกล่าวพบว่าปริมาณน้ำนมสดจากเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมในพื้นที่ภาคเหนือมีปริมาณเกินความต้องการ ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค. ภาคเหนือ รับซื้อเกินถึงวันละ 16 ตัน คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนจึงร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ โดยให้ทาง อ.ส.ค. ภาคเหนือต้องรับซื้อน้ำนมสดจากเกษตรกรไว้ในราคามาตรฐาน ส่งผลให้นม ยู.เอส.ที จากโรงงาน อ.ส.ค. สุโขทัย มีปริมาณมากกว่าที่จะส่งมอบในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องส่งไปยังกลุ่มพื้นที่อื่น รวมถึงทางคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนพิจารณาแล้วเห็นว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ส่งนมให้โรงงานในกลุ่มพื้นที่อื่นและผู้รับเหมารายอื่นไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ จึงเห็นชอบให้ อ.ส.ค. ภาคเหนือ สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที ข้ามกลุ่มพื้นที่ได้
ทั้งนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้มีการขอส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที. โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปีการศึกษา 2563 ข้ามกลุ่มพื้นที่จากโรงงาน อ.ส.ค. สุโขทัย กลุ่มพื้นที่ 4 กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ คือ กลุ่มพื้นที่ 1 สำนักงานภาคกลาง (มวลเหล็ก) จำนวน 50,000 หีบ (1,800,000 กล่อง) กลุ่มพื้นที่ 3 สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น) จำนวน 40,000 หีบ (1,440,000 กล่อง) และกลุ่มพื้นที่ 5 สำนักงานภาคใต้ (ปราณบุรี) จำนวน 40,000 หีบ (1,440,000 กล่อง) รวมทั้งสิน 130,000 หีบ (4,680,000 กล่อง)
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนจะแจ้งไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ให้มีการแบ่งกลุ่มพื้นที่ในการทำ MOU โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปีการศึกษา 2564 เป็นรายกลุ่ม และยังได้เน้นย้ำในเรื่องของการควบคุมคุณภาพในการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนชนิด ยู.เอส.ที. ต้องผ่านมาตราฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทุกครั้งก่อนส่งมอบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-9 เดือน 9 วันดี ต้องมีบ้าน!! ธอส. ขนบ้านมือสอง 99 รายการ เปิดประมูลออนไลน์ ลดราคาสูงสุด 40% พิเศษ!! ลดเพิ่มอีก 10% แค่ทำนิติกรรมภายใน 31 ธ.ค. 63 | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
9 เดือน 9 วันดี ต้องมีบ้าน!! ธอส. ขนบ้านมือสอง 99 รายการ เปิดประมูลออนไลน์ ลดราคาสูงสุด 40% พิเศษ!! ลดเพิ่มอีก 10% แค่ทำนิติกรรมภายใน 31 ธ.ค. 63
วันที่ 9 เดือน 9 ธอส.จัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ ประจำเดือน ก.ย.2563 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดีทำเลเด่นรวมถึงเดินทางสะดวกอาทิ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สถานศึกษา และแหล่งช้อปปิ้ง รวม 99 รายการ ทั้งในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
วันที่ 9 เดือน 9 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ ประจำเดือนกันยายน 2563 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดีทำเลเด่นรวมถึงเดินทางสะดวกอาทิ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สถานศึกษา และแหล่งช้อปปิ้ง รวม 99 รายการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาต่ำสุดเพียง 370,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0%นานสูงสุด 60 เดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี และพิเศษสุดๆ กว่าทุกครั้ง ผู้ชนะประมูลรับส่วนลดเพิ่มอีก 10% ถ้าทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 เริ่มประมูลพร้อมกันทั้ง 99 รายการ ในวันที่ 9 กันยายน 2563 ระหว่างเวลา 11.00-13.30 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากการจัดประมูลบ้านมือสองออนไลน์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2563 มีลูกค้าแสดงความสนใจลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมประมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มีนโยบายให้ธนาคารจัดประมูลบ้าน มือสองออนไลน์อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่ต้องการมีบ้านในยุค New Normal โดยการประมูลครั้งที่ 3 ในเดือนกันยายน 2563 ธอส. ได้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ “9 เดือน 9” โดย คัดทรัพย์สภาพดีในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 99 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ และพิเศษกว่าทุกครั้ง!! สำหรับลูกค้าที่ชนะประมูลในครั้งนี้ยังได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 โดยการประมูลในครั้งนี้แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 50 รายการ มีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด 800,000 บาท ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น 18 ตารางวา โครงการพรธิสาร 5 ตั้งอยู่ใน อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี และทรัพย์ที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีสนามเป้าเพียง 400 เมตร ได้แก่ ห้องชุดขนาด 53.80 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ในโครงการ เดอะเทมโปพหลโยธิน ซอยพหลโยธิน 2 เขตพญาไท กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 4,310,000 บาท ลด 20% จากราคาจำหน่ายปกติ 5,380,000 บาท และทรัพย์รายการที่ตั้งอยู่ในทำเลดีย่านถนนพระราม 9 การเดินทางสะดวก เข้า-ออกได้หลายเส้นทาง คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 19.90 ตารางวา โครงการบ้านกลางเมืองพระราม 9 อ.สวนหลวง กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูล 4,560,000 บาท ลด 20% จากราคาจำหน่ายปกติที่5,700,000 บาท
ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นำออกประมูลมีจำนวน 49 รายการ แบ่งเป็นรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด 370,000 บาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 78 ตารางวา ใน อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ ส่วนทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 40% จากราคาปกติ โดยมีราคาเหลือเพียง 750,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ขนาด 16 ตารางวา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ส่วนรายการที่ตั้งอยู่ในทำเลดี อาทิ รายการทรัพย์ประเภท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 58.40 ตารางวา ในโครงการแกรนด์วิสต้า อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษาถึง 2 แห่ง ราคาเริ่มต้นประมูลที่ 2,850,000 บาท ลด 25% จากราคาจำหน่ายปกติที่ 3,800,000 บาท และทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 63.60 ตารางวา ในโครงการดีพร้อมวิลล์ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งช้อปปิ้งและสถานศึกษา ราคาเริ่มต้นประมูล 2,665,000 บาท ลด 25% จากราคาจำหน่ายปกติที่ 3,550,000 บาท
ทั้งนี้ การประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในวันที่ 9 กันยายน 2563 ทั้ง 99 รายการ จะเริ่มเปิดประมูลพร้อมกันตั้งแต่เวลา 11.00 – 13.30 น. ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 9 กันยายน 2563 เวลา 13.00 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ส่วนผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code สำหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชำระเงินและทำสัญญาตามที่ธนาคารกำหนดภายใน 3 วันทำการนับถัดจากวันที่ประมูลได้ และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 60 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกำหนด) สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34882 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดประชุมวิชาการ ปี 63 “ฝ่าวิกฤติ โควิด 19 ด้วยวิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน” | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
สธ.จัดประชุมวิชาการ ปี 63 “ฝ่าวิกฤติ โควิด 19 ด้วยวิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน”
กระทรวงสาธารณสุข จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2563 ประเด็นการเปลี่ยนแปลง สู่ยุค New Normal “ฝ่าวิกฤติ โควิด 19 ด้วยวิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน” ให้บุคลากรสาธารณสุข ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลงานวิชาการ นวัตกรรม
กระทรวงสาธารณสุข จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2563 ประเด็นการเปลี่ยนแปลง สู่ยุค New Normal “ฝ่าวิกฤติ โควิด 19 ด้วยวิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน” ให้บุคลากรสาธารณสุข ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลงานวิชาการ นวัตกรรม เพื่อวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงรองรับรูปแบบวิถีชีวิตใหม่
วันนี้ (8 กันยายน 2563) ที่ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุข ประจำปี 2563 กับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค New Normal ในหัวข้อ “ฝ่าวิกฤต โควิด 19 ด้วยวิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาระบบ สาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน” โดยมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร และบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้จัดตามรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ แบ่งเป็น ผู้เข้าร่วมประชุม Onsite จำนวน 550 คน และรูปแบบออนไลน์ที่ลงทะเบียนไว้กว่า 2,000 คน
ดร.สาธิต กล่าวว่า จากปัญหาวิกฤตการณ์โควิด 19 ทำให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องปรับตัว นำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า วิถีชีวิตใหม่(New Normal) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์หากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ยึดหลักการ “ตรวจเร็ว คุมเร็ว รักษาเร็ว” ให้สามารถจำกัดวงการระบาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเตรียมความพร้อมระบบการรักษา สำรองยา เวชภัณฑ์ เครื่องช่วยหายใจ สถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วย นอกจากนี้ได้เร่งพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาล ให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะเรื่อง“สุขภาพของประชาชน เป็นเรื่องที่รอไม่ได้” ซึ่งประชาชนทุกคนต้องได้รับการดูแลอย่างดี มีสิทธิเข้าถึงการรักษา โดยไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ “ทั่วถึง ทั่วหน้า เข้าถึงทุกที่ ทุกเวลา ไม่แบ่งแยก ไม่มีข้อยกเว้น”
ด้านนายแพทย์สุขุม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดการประชุมวิชาการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นช่องทางให้บุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการสู่เวทีสาธารณะ รวมทั้งได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ นวัตกรรมที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเครือข่ายทางวิชาการ และนำไปประยุกต์ในการปฏิบัติงานจริง โดย กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการบรรยาย/อภิปรายหมู่ทางวิชาการโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น ในหัวข้อ “การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน จากบทเรียน โควิด 19” และ “การปฏิรูประบบสุขภาพให้มีความยืดหยุ่น สำหรับภาวะหลัง โควิด 19 อย่างยั่งยืน” เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนการนำเสนอถอดบทเรียนการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินในการรับมือโรคโควิด 19 และ นิทรรศการให้ความรู้จากกรมวิชาการและเขตสุขภาพ รวม 21 หน่วยงาน นอกจากนี้ ได้มีการการมอบรางวัลประกวดผลงานวิชาการยอดเยี่ยมจำนวน 6 รางวัล รางวัลผลงาน R2R ดีเด่นจำนวน 55 รางวัล และมอบโล่รางวัลนวัตกรรม Green & Clean Hospital ระดับประเทศ จำนวน 11 รางวัลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่หน่วยงานและบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนต่อไป
สำหรับผลงานวิชาการยอดเยี่ยม ประจำปี 2562 จำนวน 6 รางวัลประกอบด้วย
1. การสกัดกั้นเส้นประสาทในช่อง adductor ด้วยการฉีดยาชาเพียงครั้งเดียว โดยใช้คลื่นความถี่สูงนำทางร่วมกับการใส่ยามอร์ฟีนในช่องไขสันหลังสำหรับการระงับปวดหลังผ่าตัดเปลี่ยน ข้อเข่าเทียม
โดย แพทย์หญิงโสภิต เหล่าชัย โรงพยาบาลกำแพงเพชร
2. การพัฒนาระบบบริการดูแลผู้ป่วยจิตเวชแบบไร้รอยต่อ เขตบริการจังหวัดยโสธร
โดย นางสุภาพร จันทร์สาม โรงพยาบาลยโสธร
3. ผลของการให้ความรู้ผ่านข้อความอิเล็คโทรนิค (line@) ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนนำไปสู่การลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลชัยภูมิ
โดย นพ.ธนิศศักดิ์ ทวีโคตร โรงพยาบาลชัยภูมิ
4. การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ป้องกันภาวะอุณหภูมิกายต่ำในทารกเกิดก่อนกำหนด
โดย นางปาริชาติ สองเมือง โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์
5. “Desoxy-D2PM” จากการตรวจพบสู่มาตรการควบคุมทางกฎหมาย
โดย เภสัชกรหญิงภณิดา รัตนานุกูลศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ ๑๐ อุบลราชธานี
6. ผลการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลผู้ป่วยกระดูกต้นขาหักที่ได้รับการดึงถ่วงน้ำหนักต่อเนื่องที่บ้าน
โดย ดร.วรนุช วงค์เจริญ โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา
************************* 9 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34899 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ
รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมมอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 เวลา 10.00 น. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะอุปนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน นางพัฒนา พันธุฟัก ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นางต้องใจ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน คณะกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงแรงงาน มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคให้แก่ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ใน พระราชูปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 199/2 หมู่ 2 ซอยเทศบาลบางปู 66 ถนนสุขุมวิทสายเก่า ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งกระทรวงแรงงานร่วมกับสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน นำสิ่งของสำหรับบริจาคให้แก่ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบด้วย ตู้ทำความเย็น นมกล่อง ขนม ของเล่น เป็นต้น
สำหรับศูนย์ดังกล่าวเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการและแบ่งเบาภาระแก่ผู้ใช้แรงงานให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีความกังวลห่วงใยบุตรหลาน ซึ่งกระทรวงแรงงานและสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงานได้มุ่งหวังที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์เด็กเล็กฯ ให้เป็นไปด้วยดีต่อไป
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
15 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35102 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ และคณะลงพื้นที่เชียงใหม่เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการผู้ผลิตชา กาแฟ อาหารเสริมจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค ต้นแบบสถานประกอบการที่นำผลการวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ และคณะลงพื้นที่เชียงใหม่เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการผู้ผลิตชา กาแฟ อาหารเสริมจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค ต้นแบบสถานประกอบการที่นำผลการวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
ปลัดกอบชัยฯ และคณะลงพื้นที่เชียงใหม่เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการผู้ผลิตชา กาแฟ อาหารเสริมจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค ต้นแบบสถานประกอบการที่นำผลการวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
จังหวัดเชียงใหม่ : วันนี้ (12 กันยายน 2563) เวลา 9.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท นราห์อินดัสตรี จำกัด อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ผลิตชา กาแฟ อาหารเสริมจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค 100% และจำหน่ายวัตถุดิบ รวมถึงคิดค้นและพัฒนาสูตรตำรับเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า
ภายใต้แนวคิด“อาหารที่ดีที่สุด ต้องมาจากธรรมชาติ” มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Original Equipment Manufacturer หรือ OEM
โดยมี นายธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล CEO&FOUNDER บริษัท นราห์อินดัสตรี จำกัด ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมโรงงานฯ
ทั้งนี้ บริษัท นราห์ อินดัสตรี จำกัด ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อซื้ออาคารโรงงานพร้อมที่ดิน (จากเดิมเช่าโรงงานเพื่อทำการผลิต) และเข้าร่วมโครงการยกระดับการประกอบการ SME ภาคเหนือตอนบนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ของกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
ซึ่งจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 นั้น บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อของลูกค้าแต่กลับมียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากปกติอีกด้วย #กระทรวงอุตสาหกรรม #กองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ #พืชสมุนไพรออร์แกนิค #prindustry
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
วธ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน”
วธ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม
สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน”
เสริมสร้างความรู้-ความเข้าใจ พร้อมขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในมิติวัฒนธรรม
วธ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม
สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน”
เสริมสร้างความรู้-ความเข้าใจ พร้อมขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในมิติวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ที่โรงแรม รามาดา บาย วินแดม แบงคอก เจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” และบรรยายพิเศษ “การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในมิติวัฒนธรรม” โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ๗๖ จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน กว่า ๓๐๐ คน เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี เพื่อพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมมาภิบาล โดยใช้เป็นกรอบจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่การปฏิบัติให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” วธ. จึงจัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” ระหว่างวันที่ ๑๕ – ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น ๒ โรงแรม รามาดา บาย วินแดม แบงคอก เจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาประเทศในมิติวัฒนธรรมการจัดทำแผนงาน โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงเพื่อถ่ายทอดนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในพื้นที่ของส่วนราชการและองค์การมหาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า ๓๐๐ คน ประกอบด้วย วัฒนธรรมจังหวัด อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมหรือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านการจัดทำแผน และผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน หัวหน้ากลุ่มพิธี การศพที่ได้รับพระราชทาน โดยมี วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้บริหาร และผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม มาบรรยายให้ความรู้ นอกจากนี้ ยังมีการถอดบทเรียนการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตามพระบรมราโชบาย ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานด้วย
“การจัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติวัฒนธรรม สู่การสร้างคุณค่า สร้างมูลค่า และสร้างชาติเข้มแข็งอย่างยั่งยืนในครั้งนี้ จะทำให้การขับเคลื่อนงานในมิติวัฒนธรรม ทั้งด้านการสืบสานงานวัฒนธรรมของชาติ การรักษาและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรม การต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ด้วยการนำคุณค่าของวัฒนธรรม สร้างสรรค์สินค้าและบริการมาสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม และการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมาภิบาลในพื้นที่ มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม ตอบตัวชี้วัดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่ เพื่อถอดบทเรียนไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และประเทศชาติต่อไป” รมว.วธ. กล่าว
-------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ร่วมประชุม Kick off วันดินโลก | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
รมช.ธรรมนัส ร่วมประชุม Kick off วันดินโลก
รมช.ธรรมนัส ร่วมประชุม Kick off วันดินโลก “รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการ และสร้างความรับรู้ ความเข้าใจถึงความสำคัญของวันดินโลก
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน การประชุม Kick off วันดินโลก “รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน มีนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรดิน โดยมีการจัดทำแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ในเรื่องทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งร่วมผลักดันเรื่องวันดินโลก ร่วมกับสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย สมาคมอนุรักษ์ดินและน้ำ สมาคมดินโลก และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยได้มีการจัดงานวันดินโลกในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี สำหรับในปี 2563 สมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership : GSP) ได้กำหนดหัวข้อการจัดงานวันดินโลก “Keep Soil Alive, Protect Soil Biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ระหว่างวันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งเอเชีย (CESRA) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นหัวข้อที่ให้ความสำคัญของนิเวศวิทยา และความหลากหลายทางชีวภาพในดินของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ระดับจุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
“การประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเป็นการระดมความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการ ให้นำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพในดิน รวมถึงสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการดูแลรักษาทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความตระหนัก การรับรู้ และความเข้าใจถึงความสำคัญของวันดินโลกด้วย” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล ประกาศนียบัตรและประกาศยกย่องสดุดีพระเกียรติคุณ “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” (The Humanitarian Soil Scientist) แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาทรัพยากรดินที่ประสบผลสำเร็จ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นที่ยอมรับในประเทศและนานาประเทศ พร้อมทั้งกราบบังคมทูลเชิญให้ดำรงตำแหน่งสมาชิก A Life Membership รวมทั้งขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันพระราชสมภพ ของพระองค์ให้เป็นวันดินโลก (World Soil Day) เพื่อเผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรดิน ความสำคัญของดิน การสร้างความหลากหลายชีวภาพในดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำที่มีผลดีต่อการพัฒนาด้านการเกษตร
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรดินในด้านต่าง ๆ ที่เสื่อมโทรมขาดความอุดมสมบูรณ์ให้กลับมาเอื้อประโยชน์และดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนให้รับรู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไป เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเกิดความตระหนักรู้มากขึ้นและเกิดจิตสำนึกในการเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน และมีส่วนร่วมในกลยุทธ์ที่จะฟื้นฟูรักษาทรัพยากรดิน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34969 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ลงระยอง สั่งการ 5 เสือแรงงาน บูรณาการขับเคลื่อนแรงงานภาคตะวันออกทุกมิติ | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
‘บิ๊กป้อม’ลงระยอง สั่งการ 5 เสือแรงงาน บูรณาการขับเคลื่อนแรงงานภาคตะวันออกทุกมิติ
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดระยองมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน 5 จังหวัดภาคตะวันออก เร่งขับเคลื่อนยกระดับฝีมือแรงงานให้มีทักษะที่สูงขึ้น ส่งเสริมการมีงานทำ เร่งรัดการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายและทิศทางการดำเนินงานให้แก่หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราดโดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวต้อนรับ และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 2 จังหวัดระยอง โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน อาสาสมัครแรงงาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่และประเทศ ซึ่งแรงงานเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งแรงงานในระบบ นอกระบบ และแรงงานต่างด้าว สำหรับจังหวัดระยองที่เป็นพื้นที่ในเขต EEC ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อยกระดับการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีลักษณะ Multi skill ขอให้ทุกส่วนราชการร่วมกันส่งเสริมการมีงานทำที่เหมาะสมกับศักยภาพของแรงงาน
พล.อ.ประวิตร ยังได้มอบนโยบายโดยเน้นย้ำถึงการทำงานเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) ให้บูรณาการการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะปัญหาแรงงานประมง เพื่อยกระดับสู่ Tier1 2) ยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน Up-skill และ Re-skill เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ให้สามารถจับคู่กับงาน (Matching) ที่เหมาะสมกับศักยภาพของแรงงานและรองรับกับเทคโนโลยีชั้นสูงในสถานประกอบการได้ 3) ให้บูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในภูมิภาค ในการประชาสัมพันธ์เชิงรุกมาตรการให้ความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง 4) เร่งรัดการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบให้รวดเร็ว ครบถ้วน 5) เฝ้าระวังและการป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว และเตรียมความพร้อมตามแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 จำนวน 741,636 คน 6) ให้ตระหนักและใส่ใจถึงความปลอดภัย และดูแลแรงงานให้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย หากแรงงานได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพ ให้เร่งดูแลความช่วยเหลือและฟื้นฟูเพื่อให้มีกำลังใจต่อสู้และกลับมาทำงานได้อย่างเต็มภาคภูมิ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กสิทธิตั๋วเครื่องบิน “เราเที่ยวด้วยกัน” จ่ายคืน 40% | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
เช็กสิทธิตั๋วเครื่องบิน “เราเที่ยวด้วยกัน” จ่ายคืน 40%
--
#ไทยคู่ฟ้า มติ ครม. ล่าสุด เพิ่มวงเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินแบบจ่ายคืน (Redeem) ในอัตรา 40% ของค่าตั๋ว เป็นไม่เกิน 2,000 บาท/ที่นั่ง จากเดิมไม่เกิน 1,000 บาท/ที่นั่ง โดยจะจ่ายผ่าน G-Wallet และเพิ่มสิทธิการเข้าพักในโรงแรมและโฮมสเตย์ที่ร่วมโครงการเป็นไม่เกิน 10 คืน/คน จากเดิมแค่ 5 คืน/คน แอดมินขอนำเสนอข้อมูลเงื่อนไขการขอรับเงินค่าตั๋วเครื่องบินคืน ดังนี้ >>
.
1. สนามบินปลายทางต้องอยู่ในกลุ่มจังหวัดเดียวกับโรงแรมที่จอง (ตรวจสอบกลุ่มจังหวัดได้ที่ https://bit.ly/34YWyin)
2. เดินทางตามเที่ยวบินที่จอง โดยบินไปก่อน check-in ได้ไม่เกิน 5 วัน และบินกลับหลัง check-out ได้ไม่เกิน 5 วัน
3. ต้อง check-out จากที่พักแล้ว จึงจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินได้
4. ผู้กรอกข้อมูลขอรับสิทธิตั๋วเครื่องบินต้องเป็นผู้จองโรงแรมในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และเป็นผู้จองตั๋วเครื่องบินเท่านั้น
5. เริ่มลงทะเบียนขอรับเงินสนับสนุนตั้งแต่ 1 ส.ค. 63 เป็นต้นไป
.
สำหรับสายการบินที่ร่วมโครงการ ประกอบด้วย
1. การบินไทย
2. ไทยสมายล์
3. บางกอกแอร์เวยส์
4. ไทย ไลอ้อน แอร์
5. ไทยแอร์เอเชีย
6. นกแอร์
7. เวียตเจ็ท
.
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน .com โดยสามารถใช้สิทธิได้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 63 (หรือจนกว่าจำนวนสิทธิจะหมด) หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center เราเที่ยวด้วยกัน โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34874 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน ไม่ทิ้งแรงงานต่างด้าวประมง สั่งติดตามปัญหาการขาดแคลนแรงงาน | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน ไม่ทิ้งแรงงานต่างด้าวประมง สั่งติดตามปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดี กกจ. และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ จ.ระยอง ติดตามปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคกิจการประมง จะนำปัญหาที่ได้รับไปแก้ไขเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและลดผลกระทบ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย รัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานทั้งแรงงานไทยและต่างด้าว เพราะเป็นทรัพยากรบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความเจริญเติบโตของประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล ที่ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาการขาดแรงงานในภาคประมง พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 สร้างความเชื่อมั่นรองรับการฟื้นฟูและขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย
“กระทรวงแรงงาน ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมง รวมทั้ง ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเร่งวางมาตรการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานประมงทะเล เพื่อให้การค้ามนุษย์หมดไปจากประเทศไทย รวมทั้ง ให้ความสำคัญกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวด้วย ซึ่งถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยจะเริ่มเบาบางลง แต่กระทรวงแรงงานจะยังคงคุมเข้มในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในกิจการประมงทะเลอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะตรวจสอบแรงงาน ทั้งก่อนออกไปทำการประมงหรือหลังจากกลับจากการทำการประมง ณ ท่าเทียบเรือ ภายใต้การดำเนินการของ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า – ออกเรือประมง (PIPO) จำนวน 30 แห่ง ใน 22 จังหวัดชายทะเล รวมทั้ง จัดเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบคัดกรอง เฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคโควิด – 19 เพื่อให้มีความรู้ และปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยเจ้าหน้าที่จะคัดกรองเชื้อก่อนทำการตรวจใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าว เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น ซึ่งจากการตรวจสอบ ยังไม่พบการกระทำความผิด คนต่างด้าวมีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง และยังไม่พบ แรงงานที่มีภาวะเสี่ยง
และขอชื่นชม ที่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานช่วงที่ผ่านมาอย่างได้ผล และขอให้กำลังใจการปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ที่มีความทุ่มเท ตั้งใจ เสียสละ และขอให้คงเข้มการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเชิงรุกต่อไป เพื่อให้ทุกคนมีความปลอดภัยตามนโยบายของรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดระยองเป็นจังหวัดที่มีคนต่างด้าวเข้ามาทำงานมากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในจังหวัดระยอง ทั้งสิ้น 67,895 คน (นายจ้าง 12,024 ราย) โดยเป็น 1.แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ จำนวน 55,431 คน (กัมพูชา 39,582 คน เมียนมา 12,178 คน ลาว 3,671 คน) คิดเป็น ร้อยละ 81.64 จำแนกเป็น เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย (ตาม MOU) จำนวน 30,672 คน และ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 จำนวน 24,759 คน 2. คนต่างด้าวระดับฝีมือชำนาญการ จำนวน 11,109 คน คิดเป็นร้อยละ 16.36 และ3. กลุ่มบุคคลพื้นที่สูง จำนวน 1,355 คน คิดเป็นร้อยละ 2.00 ขณะที่มีแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล จำนวน 6,835 คน มีความต้องการแรงงานประมง 3,580 คน
โดยประเภทกิจการที่คนต่างด้าวทำงานมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. กิจการก่อสร้าง 10,728 คน 2. กิจการเกษตรและปศุสัตว์ 10,724 คน 3. กิจการต่อเนื่องการเกษตร 6,985 คน 4. กิจการต่อเนื่องประมง 5,305 คน 5. กิจการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม 4,077 คน สัญชาติที่เข้ามาทำงานมากที่สุด คือ กัมพูชา เมียนมา และลาว
ส่วนการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานตามระบบ MOU ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 กรมการจัดหางานได้สั่งการให้ทุกจังหวัดงดการยื่นเรื่องนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ทุกขั้นตอน จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สงบลง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34522 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 เทคนิคการเงินในยุคโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
5 เทคนิคการเงินในยุคโควิด-19
มีเทคนิคอะไรบ้างนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34785 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ในสถานศึกษา ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
พม. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ในสถานศึกษา ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม
พม. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ในสถานศึกษา ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม
วันนี้ (14 ก.ย. 63) เวลา 09.30 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ในสถานศึกษาได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม และแถลงนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกระทรวงศึกษาธิการ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพฯ
นายสากลกล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พุทธศักราช 2559 ในมาตรา 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้มีการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดย 1) ส่งเสริมสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ สร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนในพื้นที่เพื่อเป็นแกนนำป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 2) ส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานของเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ประสานงานเฝ้าระวัง และให้ความช่วยเหลือแก่วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์และครอบครัว 3) จัดให้มีการฝึกอาชีพตามความสนใจและความถนัดแก่วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ก่อนและหลังคลอด ที่ประสงค์จะเข้ารับฝึกอาชีพ และประสานงานเพื่อจัดหางาน ให้ได้ประกอบอาชีพตามความเหมาะสม 4) จัดหาครอบครัวทดแทนในกรณีที่วัยรุ่นไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเองได้ และ 5) การจัดสวัสดิการสังคมในด้านอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
นายสากลกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มาตรา 6 มีส่วนที่เชื่อมต่อและบูรณาการระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง พม. เพื่อจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ ให้ได้รับการศึกษา ด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง รวมทั้งจัดให้มีระบบการส่งต่อให้ได้รับบริการอนามัยการเจริญพันธุ์และการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสม ซึ่งกระทรวง พม. ได้ดำเนินการจัดสวัสดิการให้กับแม่วัยรุ่นที่ประสบปัญหาและยังอยู่ในสถานศึกษาให้ได้รับสวัสดิการต่างๆ ที่จำเป็น ให้สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ รวมทั้งได้รับการศึกษาตามความต้องการความพยายามที่จะแก้ไขข้อจำกัด เพื่อช่วยให้เด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ได้เรียนต่อ นับเป็นการสร้างโอกาสในอนาคตสำหรับเด็กและเยาวชน ให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเมื่อได้เรียนต่อ ก็จะมีโอกาสที่จะมีงานทำ มีรายได้ เพื่อเลี้ยงดูตนเอง และลูกต่อไป ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำแนวคิดที่ว่า ทางออกมีมากมายสำหรับเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ ทุกคนผิดพลาดได้ และทุกคนก็มีโอกาสที่จะปรับปรุง แก้ไข สร้างชีวิตใหม่ได้เช่นกัน เชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะยื่นโอกาสเหล่านั้น และพร้อมให้ความช่วยเหลือกับเด็กและเยาวชนทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35059 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เร่งช่วยประมงพาณิชย์ไทย ให้เงินกู้เสริมสภาพคล่องสูงสุด 10 ล้านบาท | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
ออมสิน เร่งช่วยประมงพาณิชย์ไทย ให้เงินกู้เสริมสภาพคล่องสูงสุด 10 ล้านบาท
ธนาคารออมสินช่วยเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ไทยที่มีเรือประมง 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท ให้กู้วงเงินสูงสุดรายละไม่เกิน 10 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 4% ต่อปี ชำระคืนไม่เกิน 7 ปี ติดต่อได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 25 พฤษภาคม 2564
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายปฏิรูปภาคการประมงไทยควบคู่กับการอนุรักษ์ การบริหารจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการประมงมีทุนในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทำการประมง รวมทั้งมีเงินใช้จ่ายในการจ้างแรงงานและเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินเช่นกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ธนาคารออมสินจึงจัดทำ “โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง” มอบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารฯ ให้วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 10 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้ 4% ต่อปี กำหนดชำระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 ปี ทั้งนี้ สามารถติดต่อยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2564
สำหรับผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ กรณีเป็นบุคคลธรรมดาต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือ เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายไทยที่มีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ และเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป รวมถึงมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยสามารถใช้หลักประกันในการขอสินเชื่อ เช่น เรือประมง ที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิ์ หรือใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันร่วมกับหลักทรัพย์อื่นตามที่ธนาคารฯ กำหนด
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติและความจำเป็นในการกู้เงินจากกรมประมง โดยสามารถยื่นเรื่องผ่านประมงจังหวัดในพื้นที่ดำเนินโครงการจำนวน 22 จังหวัด ที่ติดชายฝั่งทะเล ได้แก่ จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล ตรัง ภูเก็ต พังงา กระบี่ และระนอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34886 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ หารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน กำหนดมาตรการช่วยนักศึกษาจบใหม่ มีงานทำ | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
‘จับกัง1’ หารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน กำหนดมาตรการช่วยนักศึกษาจบใหม่ มีงานทำ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมหารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน กำหนดมาตรการส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้เพิ่งจบการศึกษาใหม่ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด – 19
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมซักซ้อมเพื่อหารือ เรื่องมาตรการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรมว.แรงงานกล่าวว่า การประชุมในวันนี้ ผมได้นัดประชุมหารือกับผู้แทนสองฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ ผู้แทนธนาคารกรุงไทย และผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันกำหนดมาตรการในการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ ควบคู่ไปกับการรักษาการจ้างงานภายในประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยให้นายจ้างหรือสถานประกอบการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ระดับปริญญาตรี ปวส.และ ปวช.
นายสุชาติกล่าวต่อว่า จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า ในปี พ.ศ.2563 มีผู้สำเร็จการศึกษาจำนวน 3.92 แสนคน เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตนเองและตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงานจะบูรณาการทำงานร่วมกับนายจ้าง และสถานประกอบการ ในการแก้ไขปัญหาการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่
อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานจะได้นำมาตรการส่งเสริมการมีงานทำแก่นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่จากการหารือร่วมกับภาคเอกชนในครั้งนี้ ไปเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ จากนั้นจะมีการประชาสัมพันธ์รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการรับสมัครงานในลำดับต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34723 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เร่งจัดทำบิ๊กดาต้า | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เร่งจัดทำบิ๊กดาต้า
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เร่งจัดทำบิ๊กดาต้า พร้อมผนึก ปตท. และ UniconX หนุนเกษตรกรจำหน่ายสินค้าออร์กานิคทั้งออฟไลน์และออนไลน์
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(9ก.ย.63)ณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนโดยมุ่งเน้นการสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนทั้ง5รูปแบบได้แก่เกษตรอินทรีย์เกษตรทฤษฎีใหม่เกษตรผสมผสานเกษตรธรรมชาติและวนเกษตรโดยที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงกลไกในการทำงานเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งมีดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานรวมถึงติดตามการทำงานและผลักดันให้เกิดพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบต่างๆอย่างใกล้ชิดตลอดจนแต่งตั้งคณะทำงาน3คณะได้แก่คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานคณะทำงานขับเคลื่อนวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติและคณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์
นายอลงกรณ์กล่าวว่าสำหรับคณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ได้รายงานความก้าวหน้าล่าสุด(8ก.ย.63)ต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนครั้งที่8/2563โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
1.จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) “สกอช.”เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสนอให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนพิจารณาภายในเดือนนี้
2.กำหนดหลักเกณฑ์กลางระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วมสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ได้จัดสัมมนาระดมความเห็นต่อร่างหลักเกณฑ์กลางสำหรับระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม(PGS)เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาประกอบการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้แทนหน่วยงานกลุ่มเกษตรกรที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
3.ผนึกความร่วมมือกับบริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด(มหาชน) (OR)มีนโยบายLiving Communityในสถานีบริการน้ำมันปตท.และพร้อมให้การสนับสนุนและจัดสรรพื้นที่ให้กับกลุ่มเกษตรกรเข้ามาจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ในสถานีบริการ
และ4.จัดทำบิ๊กเดต้าฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์โดยมอบกรมพัฒนาที่ดินดำเนินการทั้งในส่วนของเกษตรกรที่อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนและเกษตรกรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แล้วให้เป็นฐานเดียวกันของข้อมูลพืชสัตว์และประมงอินทรีย์รวมทั้งการเชื่อมโยงเข้าสู่ฐานข้อมูลเกษตรกรรมยั่งยืนที่กระทรวงเกษตรฯดำเนินการ
นายอลงกรณ์กล่าวว่าได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซของกระทรวงเกษตรฯสนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการเกษตรออร์กานิคออนไลน์เพื่อขยายตลาดเกษตรอินทรีย์สู่ผู้บริโภคในยุคnew normalร่วมกับผู้ให้บริการจัดส่งประเภทfood deliveryภายใต้โครงการ“ช่วยเกษตร.คอม” (www.ช่วยเกษตร.com)และโครงการยูนิคอนเอ็กซ์(UniconX)
สำหรับโครงการ"ยูนิคอนเอกซ์UniconX"มีวัตถุประสงค์คือ1.สร้างผู้ประกอบเกษตรและเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ต้นน้ำภาคการผลิตถึงภาคการตลาด2.สร้างงานใหม่ๆสร้างรายได้ให้กับประชาชนนักศึกษาและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19ในการพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตร3.สร้างผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตรสู่ระดับสากลโดยเชื่อมโยงงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาสู่Startupนวัตกรรมและเป็นบริษัทUnicornในอนาคตเพื่อเสริมสร้างการพัฒนานวัตกรในสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจเกษตรและ4.พัฒนาPlateformสู่การเชื่อมโยงนักลงทุนกับผู้ประกอบการเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพแต่ขาดเงินทุนเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาผู้ประกอบการภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34918 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนแม่บทเฉพาะกิจ ฟื้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
แผนแม่บทเฉพาะกิจ ฟื้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเตรียมจัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ช่วงระหว่างปี 2564-2565 ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้คนไทยมีงานทำ สามารถยังชีพอยู่ได้ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นไปตาม 3 มิติหลักของการพัฒนา คือ การพร้อมรับ การปรับตัว และการเปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน โดยหลังจากนี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการจัดทำร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจดังกล่าว ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้สูบบุหรี่ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อฯ ได้มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ?? | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
ผู้สูบบุหรี่ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อฯ ได้มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ??
ผู้สูบบุหรี่ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่เชื้อฯ มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ??
Q : ผู้สูบบุหรี่ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อฯ ได้มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ??
A : มากกว่า เพราะการสูบบุหรี่มีการเป่าควันบุหรี่ออกจากปาก ซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรงดการสูบบุหรี่ในช่วงเวลานี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. ลุยต่อมาตรการเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว-จ้างงาน-SMEs-กระตุ้นใช้จ่าย | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ศบศ. ลุยต่อมาตรการเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว-จ้างงาน-SMEs-กระตุ้นใช้จ่าย
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 กำหนดกรอบแนวทางดำเนินมาตรการเศรษฐกิจ โดยยังคงมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนต่อไปถึงปี 2564 ผ่านกลไกระดับประเทศและระดับพื้นที่ ครอบคลุมทั้งระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่ การจ้างงาน สนับสนุนการท่องเที่ยว สนับสนุนภาคธุรกิจ/SMEs และกระตุ้นการใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเรื่องมาตรการคัดกรองและควบคุมโรคโควิด-19 จากการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่วนภาคเอกชนเสนอให้ดำเนินมาตรการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ต่อไป เพื่อให้ประชาชนยอมรับและมั่นใจ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34532 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- บีโอไอหารือร่วมกับผู้บริหาร สกพอ. | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
บีโอไอหารือร่วมกับผู้บริหาร สกพอ.
บีโอไอหารือร่วมกับผู้บริหาร สกพอ.
บีโอไอหารือร่วมกับผู้บริหาร สกพอ.
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ (กลาง) รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นำโดย นางลัษมณ อรรถาพิช รองเลขาธิการสายงานการลงทุนและการต่างประเทศ (ที่ 4 จากซ้าย) นางมุกด์ สีบุญเรือง ผู้ช่วยเลขาธิการด้านยุทธศาสตร์การลงทุน (ที่ 4 จากขวา) พร้อมทีมงาน เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างบีโอไอ และ สกพอ. ในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34486 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือชายชาวเชียงราย เครียดหางานทำไม่ได้ นอนขวางรางให้รถไฟทับร่างหวังฆ่าตัวตาย ที่ จ.สระบุรี | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
พม. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือชายชาวเชียงราย เครียดหางานทำไม่ได้ นอนขวางรางให้รถไฟทับร่างหวังฆ่าตัวตาย ที่ จ.สระบุรี
พม. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือชายชาวเชียงราย เครียดหางานทำไม่ได้ นอนขวางรางให้รถไฟทับร่างหวังฆ่าตัวตาย ที่ จ.สระบุรี
วันที่ 28 ส.ค. 63เวลา 16.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล รองปลัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)และโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยว่า จากกรณีชายชาวจังหวัดเชียงราย อายุ 35 ปี รายหนึ่ง อาศัยนอนอยู่ตามป้ายรถประจำทาง และออกหาสมัครงาน แต่ไม่มีคนรับเข้าทำงาน ไม่มีเงินจะไปซื้อข้าวกิน คิดน้อยใจว่าไม่มีคนรัก และตัดสินใจมานอนบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับร่างหวังฆ่าตัวตาย ที่ อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระบุรี ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสระบุรี และจัดหางานจังหวัดสระบุรี ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าชายดังกล่าวเดินทางมาจากจังหวัดเชียงราย เพื่อหางานทำในกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้ทำงาน จึงขับรถจักรยานยนต์มาเรื่อยๆ จนถึงเขตจังหวัดสระบุรี อีกทั้งไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ และเกิดความเครียดจึงคิดทำร้ายร่างกายตนเอง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวง พม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงให้คำปรึกษาและร่วมหาแนวทางดำเนินชีวิตร่วมกัน โดยผู้ประสบปัญหาต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา
นางพัชรีกล่าวว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือกรณีดังกล่าวนั้น ได้ประสานติดตามครอบครัว พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพ และมอบเงินสงเคราะห์คนไทยที่ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา และขนส่งรถจักรยานยนต์ พร้อมนำส่งขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา อีกทั้งประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกระทรวง พม. จะทำหน้าที่ในการประสาน ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาสังคมดังกล่าว และครอบครัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นอกจากนี้ สำนักงานจัดหางานจังหวัดสระบุรี ได้ให้คำแนะนำเรื่องการประสานติดต่อและการมีงานทำ พร้อมทั้งจะประสานจัดหางานในจังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามให้การช่วยเหลือด้านการมีอาชีพและรายได้ต่อไป
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งมาที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชม. ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34695 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – สหรัฐฯ เห็นพ้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังโควิด-19 คลี่คลาย | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
ไทย – สหรัฐฯ เห็นพ้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังโควิด-19 คลี่คลาย
ไทย – สหรัฐฯ เห็นพ้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังโควิด-19 คลี่คลาย
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับ และยินดีที่ได้พบเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ผู้ซึ่งมีบทบาทอย่างแข็งขันในการกระชับความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐให้แน่นแฟ้น มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกมิติ รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ เพื่อสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เป็นอย่างดีเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่มีมาอย่างยาวนานให้ก้าวหน้าต่อไป เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทราบว่า เอกอัครราชทูต เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่มาจากเอกชนคนแรกในรอบ 45 ปี
ด้านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ขอบคุณที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับไทยโดยการมาปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ ยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน และส่งเสริมโอกาสและความร่วมมือในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าและนักลงทุนอันดับต้นๆ ของไทย
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนของทุกประเทศทั่วโลกคลี่คลายลง และหวังที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ซึ่งสหรัฐฯ ยินดีที่ไทยเป็นฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ รายสำคัญ มีการลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างงานให้ชาวอเมริกันกว่า 70,000 ตำแหน่ง โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทที่แข็งขันของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในการหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อความร่วมมือใน
การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
ในตอนท้าย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณความช่วยเหลือ รวมถึงความร่วมมือที่สหรัฐฯ มีให้ไทยมาโดยตลอด ไทยพร้อมดูแล และอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนสหรัฐฯ และพร้อมส่งเสริมการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นฤมล’ ชี้ ‘นโยบายพัฒนาอาชีพสตรี’ ต้องเร่งดำเนินการ | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
‘นฤมล’ ชี้ ‘นโยบายพัฒนาอาชีพสตรี’ ต้องเร่งดำเนินการ
รมช.แรงงาน ถกประเด็นการคุ้มครองช่วยเหลือแรงงานสตรีและครอบครัว สร้างความมั่นใจในอาชีพ รายได้ และคุณภาพชีวิตแม่และเด็กจากผลกระทบก่อนและหลังโควิด-19 สู่การขับเคลื่อนนโยบายเพื่อพัฒนาอาชีพสตรีอย่างยั่งยืน
วันที่ 11 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับคุณธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบายสตรี นำเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้าพบ ประกอบด้วย คุณบัณทิต แป้นวิเศษ จากมูลนิธิเพื่อนหญิง คุณพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ จากมูลนิธิรักษ์ไทย คุณชลีรัตน์ แสงสุวรรณ จากมูลนิธิพิทักษ์สตรี และเครือข่ายผู้หญิงในสถานบริการ คุณบุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ นักวิชาการอิสระด้านแรงงานไทยและข้ามชาติ คุณสุจิน รุ่งสว่าง จากศูนย์เครือข่ายแรงงานนอกระบบ คุณบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ นักวิชาการด้านแรงงาน และผู้ช่วยศาสตราจารย์ทรงพันธ์ ตันตระกูล จากโครงการสุขภาวะแรงงานหญิง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องของกระทรวงแรงงาน ร่วมหารือในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำหนดนโยบายบทบาทของสตรีเพื่อสร้างความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน ทางสังคมเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการพัฒนาศักยภาพ ความเป็นผู้นำแก่สตรีในสังคมเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากขึ้น
กระทรวงแรงงาน มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะฝีมือ การจ้างงาน และการให้ความคุ้มครองดูแลกำลังแรงงานของประเทศ รวมถึงกลุ่มสตรีด้วยนั้น ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น การส่งเสริมการจ้างงาน การประกอบอาชีพ ที่สอดคล้องกับศักยภาพ และความต้องการในการทำงาน เช่น การทำงานแบบเต็มเวลา (Full-time) การทำงาน ระยะสั้น หรือบางช่วงเวลา (Part-time) ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1 – 10 ไปพบปะเจ้าของสถานประกอบการ เพื่อขอความร่วมมือในการ Update ตำแหน่งงานว่างที่มี เพื่อนำมาบันทึกข้อมูลใน Platform www.ไทยมีงานทำ.com จำนวน 1,000,000 ตำแหน่ง เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่ต้องการหางานทำ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ด้านการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับกลุ่มแรงงานสตรีนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในปีงบประมาณ 2563 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ แรงงานสตรีในระบบนอกระบบ นักศึกษา ผู้ว่างงาน หลักสูตรในการฝึกอบรม เช่น การใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลขั้นสูง การทำศิลปะ ประดิษฐ์ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน การสร้างแอพพลิเคชั่นโมบายระบบแอนดรอยด์การบริการที่เป็นเลิศ การพัฒนาบุคลิกภาพสำหรับงานบริการ และเนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ได้รับกระทบจาการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมเป็นแรงงานสตรีจำนวน 26,720 คน ผู้ผ่านการฝึก จำนวน 24,807 คน หลักสูตรที่ดำเนินการ เช่น การทำศิลปะประดิษฐ์การแปรรูปอาหาร ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี การตลาดออนไลน์ ด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น เป็นต้น
ในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ได้ดำเนินการส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานหญิงและครอบครัว อาทิ สวัสดิการด้านการเงินและบริการ เช่น เงินโบนัส เงินช่วยเหลือ เงินรางวัล การประกันชีวิต ชุดทำงาน ที่พักอาศัย รถรับส่ง เป็นต้น ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลของบุคคลในครอบครัวของลูกจ้าง ค่าคลอดบุตร ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเล่าเรียนบุตร การจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการ การพัฒนาความรู้และศักยภาพในการทำงานของแรงงานหญิง เช่น การส่งเสริมการศึกษานอกเวลาทำงาน การส่งเสริมความรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในสถานประกอบกิจการ และส่งเสริมการเล่นกีฬา การตรวจสุขภาพ และการประกันสุขภาพ
ข้อเสนอของกลุ่มเครือข่ายแรงงานสตรีในวันนี้ ได้เสนอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ดังนี้ ประเด็นแรก คือต้องการให้ช่วยเหลือแรงงานสตรีที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวและผู้หญิงตกงาน ให้ช่วยเหลือทางด้านการหางาน การฝึกทักษะและร่วมรณรงค์ช่วยเหลือกลุ่มแรงงานสตรีในโอกาสสำคัญต่างๆ รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือแรงงานสตรีที่ไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้ รมช.แรงงาน กล่าวว่า ได้ประสานกับ กระทรวงการต่างประเทศเพื่อรับช่วงให้ความช่วยเหลือเมื่อแรงงานกลับเข้ามาประเทศไทย ทั้งการหาตำแหน่งงานว่าง การฝึกอาชีพอิสระ และร่วมกับหน่วยงานต่างๆให้ความช่วยเหลือตามความประสงค์ ความปลอดภัยของแรงงานสตรีในสถานที่ทำงาน ปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมของแรงงานสตรีทั้งแรงงานไทยและต่างด้าว เช่น การคลอดบุตร การรักษาพยาบาล การชดเชย นายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบ จะมีมาตรการแก้ปัญหาและช่วยเหลืออย่างไร ปัญหาความไม่มั่นคงทางรายได้ของแรงงานสตรีนอกระบบและแรงงานสูงอายุ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ ม.40 การชดเชยการขาดรายได้
“การหารือกันในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะนำข้อเสนอที่ได้รับไปดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือให้แก่แรงงานสตรี ทั้งการจ้างงาน การฝึกอบรมทักษะฝีมือ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ การคุ้มครองดูแลให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งป็นนโยบายที่ต้องขับเคลื่อน ขอให้เชื่อมั่นว่ากระทรวงแรงงานจะให้การดูแลและช่วยเหลือแรงงานสตรีอย่างเต็มกำลัง” รมช.แรงงานกล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง 1’ ห่วงความเป็นอยู่ภาคแรงงานภูเก็ต มอบ ‘รองปลัด’ ลงพื้นที่เร่งฟื้นฟูอาชีพให้มีงานทำ ก้าวข้ามโควิด -19 | วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
‘จับกัง 1’ ห่วงความเป็นอยู่ภาคแรงงานภูเก็ต มอบ ‘รองปลัด’ ลงพื้นที่เร่งฟื้นฟูอาชีพให้มีงานทำ ก้าวข้ามโควิด -19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องภาคแรงงานจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 มอบหมาย ‘รองปลัดแรงงาน’ ลงพื้นที่เร่งฟื้นฟูอาชีพ ส่งเสริมการมีงานทำ ก้าวข้ามโควิด -19
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยพี่น้องภาคแรงงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยเร่งฟื้นฟูอาชีพและส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ในวันนี้ผมจึงได้มอบหมายให้นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดและให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผบกระทบจากโควิด -19 ตามโครงการเพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ ของสำนักงานจัดหางาน จังหวัดภูเก็ต
ด้านนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้เป็นการฝึกอบรมหลักสูตร” ปักผ้าด้นมือ สไตล์ญี่ปุ่นซาซิโกะ” ให้กับกลุ่มชาวบ้านเกาะนาคา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มีผู้เข้าร่วม ทั้งสิ้น 20 คน ซึ่งปัจจุบันประชาชนกลุ่มนี้ช่วงเช้าจะออกไปทำการประมงเพื่อหาปู ในช่วงบ่ายเมื่อมีเวลาว่างจึงใช้ประโยชน์จากตรงนี้มารวมกลุ่มกันฝึกอาชีพปักผ้าด้นมือ สไตล์ญี่ปุ่นซาซิโกะ เพื่อให้มีสินค้าไว้จำหน่ายนักท่องเที่ยว เป็นการสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวนอกจากนี้ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ตยังได้ เปิดการฝึกอบรมอาชีพเสริมให้กับกลุ่มมัคคุเทศก์ และ พนักงานโรงแรม สาขา การเพ้นท์ผ้าปาเต๊ะ การชงกาแฟและเบเกอรี่ ขนมไทย อาหารว่าง เครื่องดื่มยอดนิยม จำนวนกว่า 400 คน เพื่อให้ประชาชนได้รับความรู้ทักษะในการประกอบอาชีพ ต่อไป
สำหรับสถานการณ์ของจังหวัดภูเก็ตในขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงการฟื้นฟูภายหลังโควิด -19 เริ่มคลี่คลาย ในส่วนของกระทรวงแรงงานเองก่อนหน้านี้ได้วินิจฉัยและอนุมัติจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโควิด – 19 จำนวน 145,721 ราย อนุมัติสั่งจ่าย 126,307 ราย คิดเป็นเงินมูลค่า 1,466,138,301.45 บาท และมาตรการช่วยคนตกงาน ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตได้มีการจัดงานนัดพบแรงงานย่อยไปเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้มาสมัครงานกว่า 3,000 คน ขณะนี้ได้บรรจุงานไปแล้วเกือบ 500 คน และจะทยอยบรรจุที่เหลือต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะกำหนดให้มีการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง จำนวนทั้งสิ้น 1,000,000 อัตรา โดย แบ่งออกเป็นตำแหน่งงานว่างกรมการจัดหางานจำนวน 106,312 อัตรา ตำแหน่งงานต่างประเทศ 112,242 อัตราตำแหน่งงานพาร์ทไทม์ จำนวน 66,881 อัตรา การจ้างงานโดยภาครัฐจำนวน 410,415 อัตรา การจ้างงานตามมาตรการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ จำนวน 260,000 อัตรา และตำแหน่งงานที่คาดว่าจะจ้างแรงงานไทยแทนแรงงานต่างด้าว จำนวน 44,150 คน ภายในงานแบ่งเป็นโซนนิทรรศการพระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย โซนหน่วยงานภาครัฐ โซนรัฐวิสาหกิจ โซนภาคเอกชน โซนเวที และโซนนิทรรศการ การสาธิต และแนะแนวอาชีพ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35045 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- MOC Biz Club ได้เฮ! จุรินทร์ จับมือตั้งร่วมเป็นทีมเซลล์แมนจังหวัด ลุยพัฒนาธุรกิจการค้า ขยายตลาด | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
MOC Biz Club ได้เฮ! จุรินทร์ จับมือตั้งร่วมเป็นทีมเซลล์แมนจังหวัด ลุยพัฒนาธุรกิจการค้า ขยายตลาด
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมหารือและมอบนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจให้กับ ผู้ประกอบการสมาชิกเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั่วประเทศ
ซึ่งมีสมาชิกกว่า 12,000 ราย เป็นผู้ประกอบการระดับไมรโครเอสเอ็มอี โดยมี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อำนวยการจัดการประชุม ที่กระทรวงพาณิชย์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ต้องการให้เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ซึ่งเป็นผู้ประกอบการระดับไมรโครเอสเอ็มอีในทุกจังหวัดเข้ามาช่วยกระทรวงมากขึ้น เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานรากพิเศษ ฐานที่สำคัญที่สุดคือเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยท้องถิ่น( Micro SMEs ) นโยบายตนคือมีคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์ ) ต้องให้ความสำคัญกับ Biz Club หรือ ไมโครเอสเอ็มอีและเอสเอ็มอีในพื้นที่ของจังหวัดของตัวเอง โดยไมโครเอสเอ็มอีทำหน้าที่ผลิตส่วนพาณิชย์จังหวัดก็ทำหน้าที่การตลาด จับมือกับกระทรวงเกษตร กระทรวงอุตสากรรม กับภาคการผลิตอื่นๆ ต่อไปให้พาณิชย์จังหวัดตั้งทีมเซลล์แมนจังหวัด ประกอบด้วยพาณิชย์จังหวัด หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด YEC (Young Entrepreneur chamber of commerce) และที่สำคัญต้องมี Biz Club เข้าไปอยู่ในนั้นจับมือทำงานด้วยกันอย่างเข้มแข็ง ใช้ช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ทุกอย่างมีแต่จะมาท้าทายเราเข้มข้นขึ้นดังนั้นต้องฟันฝ่าสิ่งนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ และหลังโควิดต้องเดินหน้าต่อไปได้ เข้าสู่ยุค New Normal โดยอีคอมเมิร์ซจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมาก ที่พวกเราต้องเร่งปรับตัวและเรียนรู้ เพิ่มแนวคิดมุมมองจากวิทยากรที่มีส่วนช่วยเสริมพวกเราให้เกิดขึ้น และการจับคู่ธุรกิจนั้นเปลี่ยนไปเจอกันบนจอ (Online )ซึ่งเป็นไปได้ตอนนี้ยอดขายดี ซื้อขายได้จริง ส่งออกได้จริง ตัวเลขอาจจะตกบ้างแต่ไม่ถึงกับตกมาก ซึ่งยังทำได้โดยใช้ระบบอีคอมเมิร์ซเข้ามาช่วย
" ต่อไปเมื่อพ้นโควิด เราควรได้รับโอกาสในการที่จะไปแสดงสินค้าของพวกเราเอาที่มีศักยภาพพอสมควร เช่น ที่ตลาด CLMV เพื่อนบ้านรอบชายแดนประเทศก่อนโดยไม่ต้องเรียงลำดับศักยภาพทั้งหมด เปิดโอกาสให้พวกเรามีมุมหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปร่วม ทั้งเอสเอ็มอี หรือไมโครเอสเอ็มอี ที่มีศักยภาพไปขายต่างประเทศได้ต้องเปิดพื้นที่ให้ อาจมีการอบรมให้ความรู้โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีหลักสูตร มอบเป็นนโยบายไปแล้วให้พวกเราได้มีโอกาส" นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับการประชุมวันนี้ได้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นความต้องการของผู้ประกอบการอย่างคึกคัก ซึ่งมีตัวแทนผู้ประกอบการเครือข่ายธุรกิจ Moc Biz Club ระดับประธานและกรรมการทุกจังหวัด โดยมีนายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการนุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะที่ปรึกษาเข้าร่วมการประชุม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 4 ปี | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 4 ปี
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 4 ปี
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีจุดธูป เทียน ถวายเครื่องราชสักการะองค์ท้าวมหาพรหม ณ บริเวณศาลพระพรหม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครบรอบ 4 ปี โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บริหารกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นได้เดินทางไปในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ร่วมถวายจตุปัจจัยเครื่องไทยธรรมและถวายภัตตาหารเพล (ถวายปิ่นโต) แด่พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป ซึ่งพระสงฆ์ได้อนุโมทนาและให้พร ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล ณ ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปล่อยกู้สินเชื่อเสริมพลังฐานราก รายละไม่เกิน 5 หมื่น ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ประคอง “คนมีรายได้ประจำ-อาชีพอิสระ” | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
ออมสิน ปล่อยกู้สินเชื่อเสริมพลังฐานราก รายละไม่เกิน 5 หมื่น ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ประคอง “คนมีรายได้ประจำ-อาชีพอิสระ”
ธ.ออมสินเปิดตัว “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” ตามติครม. ลุยปล่อยกู้เติมสภาพคล่องพ่อค้าแม่ค้า-ผู้มีอาชีพอิสระ-คนมีรายได้ประจำ ถูกกระทบจากCovid-19 ให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บ. พร้อมคลายเงื่อนไข ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันและปลอดชำระหนี้ 6 งวดแรก
ธนาคารออมสินเปิดตัว “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” ตามติครม. ลุยปล่อยกู้เติมสภาพคล่องพ่อค้าแม่ค้า-ผู้มีอาชีพอิสระ-คนมีรายได้ประจำ ถูกกระทบจากCovid-19 ให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท พร้อมคลายเงื่อนไข ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน และปลอดชำระหนี้ 6 งวดแรก ลงทะเบียนยื่นกู้ได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่บัดนี้
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (Covid-19) วงเงิน 20,000 ล้านบาท ที่ธนาคารออมสินได้ดำเนินการปล่อยกู้ไปเมื่อเดือนเมษายน 2563 ซึ่งธนาคารอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 1,012 ล้านบาท และยังมีวงเงินสินเชื่อคงเหลืออยู่อีกจำนวน 18,988 ล้านบาท จึงให้ปรับปรุงแนวทางช่วยเหลือแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและครอบคลุมประชาชนผู้ประกอบอาชีพทุกกลุ่ม เห็นควรปรับปรุงการดำเนินโครงการด้วยการจัดสรรวงเงิน 10,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิมที่เหลืออยู่ นำมาปล่อยกู้ผ่าน “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
สำหรับสินเชื่อประเภทนี้ต้องการช่วยเหลือบุคคลที่มีอาชีพค้าขาย ประกอบอาชีพอิสระ และผู้มีรายได้ประจำรวมถึงบุคคลในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของCovid-19 ทำให้รายได้ลดลงหรือขาดรายได้ ด้วย เป็นสินเชื่อเพื่อการดำรงชีพ เพื่อการลงทุน/หมุนเวียนในกิจการ ให้วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี ที่สำคัญไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันเงินกู้ อีกทั้งยังปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือไม่ต้องชำระเงินงวดใน 6 เดือนแรกอีกด้วย
“การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา (Covid-19) ยังคงส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่มีอาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำ ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสินเชื่อเสริมพลังฐานรากที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าว จะเป็นการบรรเทาสถานการณ์ที่เดือดร้อนลงได้ไม่มากก็น้อย” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแผน แก้น้ำท่วมลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
เคาะแผน แก้น้ำท่วมลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง
--
#ไทยคู่ฟ้าปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง เป็น 1 ใน 66 พื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ที่ต้องได้รับการแก้ไขเชิงบูรณาการ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)
ล่าสุด ครม.อนุมัติหลักการให้กรมชลประทาน เตรียมความพร้อมโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบุรี เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 219,681 ไร่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพการใช้พื้นที่การเกษตรประมาณ 10,000 ไร่ และเป็นแหล่งน้ำต้นทุนในการอุปโภคบริโภค
โดยกรมชลประทาน จะดำเนินการปรับปรุงคลองระบายน้ำสายที่ 1 (D1) และคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา 1 (RMC1) พร้อมอาคารประกอบ ให้สามารถระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยรวมทั้งสิ้น 550 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที
ในส่วนงานเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บเก็บน้ำ โดยเพิ่มความจุเขื่อนแก่งกระจาน 53 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมท่อส่งน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากเขื่อน และเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ประจันต์
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ ทำความเข้าใจกับประชาชน และรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน และเสนอต่อครม. เพื่ออนุมัติวงเงินงบประมาณในการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34871 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความร่วมมือกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 พร้อมพัฒนาวัคซีนให้เข้าถึงประชาชน | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
นายกฯ ย้ำความร่วมมือกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 พร้อมพัฒนาวัคซีนให้เข้าถึงประชาชน
นายกฯ ย้ำความร่วมมือกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 พร้อมพัฒนาวัคซีนให้เข้าถึงประชาชน
วันนี้ (24 ส.ค.63) เวลา 8.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นำ 6 ประเทศสมาชิก เข้าร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
ในช่วงแรกของการประชุม นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีลาว ในฐานะประธานร่วม ได้กล่าวเปิด มีใจความสำคัญโดยสรุปดังนี้ นายกรัฐมนตรีลาวรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานร่วมในการประชุมนี้ ขอบคุณความช่วยเหลือระหว่างกันในช่วง โควิด-19 ชื่นชมมาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมโรคของทุกประเทศ เชื่อมั่นว่า กรอบ MLC จะช่วยส่งเสริมความรุ่งเรืองในอนุภูมิภาค พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ท่ามกลางความท้าทาย และร่วมกันปรับตัวเพื่อฟื้นฟูภายหลังช่วง โควิด-19
ต่อจากนั้นนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนในฐานะประธานร่วมอีกท่าน ได้กล่าวเปิด มีใจความสำคัญโดยสรุปดังนี้ ขอบคุณความร่วมมือของผู้นำทุกประเทศ ความร่วมมือ MLC เกิดจากความช่วยเหลือ ร่วมมือกันผ่านแหล่งน้ำ อนุภูมิภาคนี้จึงควรร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเชื่อมโยงทางการค้า แม้จะประสบกับความท้าทาย โควิด-19 ความร่วมมือยังดำเนินต่อเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
ลำดับต่อมาเป็นการกล่าวถ้อยแถลงของผู้นำประเทศที่เข้าร่วม ซึ่งในนามผู้นำประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีและชื่นชมที่กรอบ MLC มีพัฒนาการและมีความร่วมมือเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้การประชุมครั้งนี้จะเป็นการหารือผ่านระบบทางไกล แต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในภาวะที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 และถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่จะร่วมกันพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน พร้อมเชื่อมั่นว่าปฏิญญาเวียงจันทน์จะสามารถย้ำเจตนารมณ์ร่วมของประเทศสมาชิก ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกองทุนพิเศษในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซี่งไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการในปีนี้
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงสาขาความร่วมมือที่ไทยให้ความสำคัญและมีความพร้อมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่
1. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มในการติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขยายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง พัฒนาร่วมกับประสบการณ์และรูปแบบการดำเนินการที่ดีของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission - MRC) และสนับสนุนให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ความร่วมมือก้าวหน้าเห็นผลโดยเร็ว
2. ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไทยได้รับการยอมรับว่าจัดการ และควบคุมสถานการณ์โควิด - 19 เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ตลอดจนความพร้อมเมื่อเจอภาวะวิกฤต ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติภายใต้กรอบ WHO โดยจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จประชาชนทุกภาคส่วนควรจะสามารถเข้าถึงได้
3. ยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งกายภาพ กฎระเบียบ และประชาชน ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ พลังงาน ดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากระเบียงเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น อาเซียน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) เป็นต้น
4. การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนคือการสร้าง ความยืดหยุ่น (Resilience) ให้ภาคเอกชน ผ่านการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก และสนับสนุนให้ประเทศใน MLC ร่วมกันกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ของประชาชน โดยคำนึงถึงความสมดุลกับความมั่นคงด้านสาธารณสุข
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมแสดงเจตจำนง และความแน่วแน่ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ โดยเปลี่ยนวิกฤตที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นโอกาสในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต เสถียรภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเพื่อการพัฒนาและความมั่งคั่งของพลเมือง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อนึ่ง ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาเวียงจันทน์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 และในโอกาสนี้ จีนและลาวในฐานะประธานร่วม ได้รับรองถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง กับระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34466 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
บีโอไอจัดสัมมนาออนไลน์มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) หัวข้อ “พลังขับเคลื่อน SMART Human Resource Development” จัดโดยบีโอไอ ซึ่งมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปราย ได้แก่ ผศ.ดร.อาทิตย์ คูณศรีสุข ผู้อำนวยการศูนย์สหกิจศึกษาและพัฒนาอาชีพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ที่ 2 จากซ้าย) ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟประเทศไทย บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากขวา) เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35138 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน พัฒนาเด็กจบใหม่ พร้อมป้อนตลาดโลจิสติกส์ | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
ก.แรงงาน พัฒนาเด็กจบใหม่ พร้อมป้อนตลาดโลจิสติกส์
รมช.แรงงาน มอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมด้านโลจิสติกส์ 332 คน ยัน!! พร้อมส่งมอบแรงงาน ป.ตรี มีคุณภาพให้แก่สถานประกอบกิจการ การันตรีฝึกจบมีงานรองรับ 100 เปอร์เซ็นต์
วันที่ 10 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทิศทางการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์และส่งมอบแรงงานคุณภาพระดับปริญญาตรีในอุตสาหกรรมธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ และมอบวุฒิบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรม จำนวน 322 คน โดยมีนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้ประกอบกิจการด้านโลจิสติกส์ สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถานประกอบกิจการด้านโลจิสติกส์. และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมในพิธีมอบวุฒิบัตร ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก ดินแดง กรุงเทพมหานคร
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า รัฐบาลโดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นกลไกที่ส่งผ่านมูลค่าของสินค้าและบริการจากผู้ผลิตไปยังผู้รับหรือผู้บริโภค ดังนั้น ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ต้องอาศัยการดำเนินการลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานใหม่ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีงานทำและมีรายได้ที่มั่นคง
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า บัณฑิตที่จบการศึกษาใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้จะมีการพัฒนาสมรรถนะให้สอดคล้องกับการทำงานจริง สามารถทำงานได้ทันที และการันตีการมีงานทำ ผู้ประกอบกิจการได้รับประโยชน์จากการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และยกระดับฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสถานประกอบกิจการอย่างเป็นรูปธรรม โมเดลความร่วมมือนี้ จะมีส่วนทำให้ผู้ที่จบปริญญาตรีที่ผ่านการฝึกอบรมจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีงานทำ มีรายได้ สามารถแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาผู้จบปริญญาตรีตกงานได้เป็นอย่างดี และใช้เป็นต้นแบบในการนำไปปฏิบัติด้านการพัฒนาทักษะฝีมือที่ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบกิจการ และส่งผลถึงภาพรวมการผลิตแรงงานคุณภาพป้อนอุตสาหกรรมของประเทศต่อไป
นายธวัช เบญจาทิกุล กล่าวเสริมว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ร่วมมือกับสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) ดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตร ธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ ให้กับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ว่างงานและมีความประสงค์ต้องการทำงานด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนาทักษะและคุณลักษณะให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการแก้ไขปัญหาบัณฑิตตกงาน และส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมมีงานทำภายหลังจบการฝึกอบรม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้า การบริการ และการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งในปี 2563 มีผู้ผ่านการอบรมรวม 332 คน โดยบริษัทในเครือของสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) รับเข้าทำงานแล้ว 57 คน อีก 47 คนอยู่ระหว่างการสัมภาษณ์รับเข้าทำงานเพื่อให้ตรงกับความรู้ความสามารถ และอีก 218 คนส่งมอบให้แก่สถานประกอบกิจการรับเข้าฝึกงาน(ฝึกภาคปฏิบัติ) ระยะเวลา 2 เดือน และจากสถิติที่ผ่านมา ผู้ที่ผ่านการฝึกทุกคนมีงานทำ 100 เปอร์เซ็นต์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-50 ล้านบาทสุดท้ายกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
50 ล้านบาทสุดท้ายกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์
ขณะนี้พันธบัตรออมทรัพย์รุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง จำหน่ายครบวงเงินแล้ว คงเหลือเฉพาะรุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี ประมาณ 50 ล้านบาท
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ขณะนี้พันธบัตรออมทรัพย์รุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง จำหน่ายครบวงเงินแล้วคงเหลือเฉพาะรุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี ประมาณ50 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถลงทุนผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34928 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า จ.ระยอง | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า จ.ระยอง
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า ณ วัดเภตราสุขารมย์ จ.ระยอง
จ.ระยอง : วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลา 13.30 น. นายสุระ เพชรพิรุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า จ.ระยอง โดยมีนางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทีมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมด้วย ทั้งนี้พร้อมนำเรียนชี้แจงเรื่องร้องเรียนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ณ วัดเภตราสุขารมย์ จ.ระยอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตชี้แจงการปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้น | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
สรรพสามิตชี้แจงการปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้น
ตามที่เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจะนำชาวไร่ยาสูบร้อง ป.ป.ช.เอาผิดกระทรวงการคลังเอื้อประโยชน์ให้บริษัทบุหรี่นอก สามารถมีระยะเวลาในการปรับตัวเพื่อการแสวงหากำไรจากประกาศกระทรวงการคลัง
นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำชาวไร่ยาสูบร้อง ป.ป.ช.เอาผิดกระทรวงการคลังเอื้อประโยชน์ให้บริษัทบุหรี่นอก สามารถมีระยะเวลาในการปรับตัวเพื่อการแสวงหากำไรจากประกาศกระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิตขอเรียนชี้แจงว่าจาก พ.ร.บ. ภาษียาสูบ พ.ศ. 2509 จนถึง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีการปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้นเพียงหนึ่งครั้งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2555 จากอัตราที่ 0.001 บาทต่อกรัม เป็น 0.01 บาทต่อกรัม นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้ปรับลดอัตราภาษีตามปริมาณเป็น 0.005 บาทต่อกรัม เพื่อการขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมถึงยาเส้นพันธุ์พื้นเมือง เพื่อเป็นการนำยาเส้นเข้าสู่ระบบสร้างความเท่าเทียมและเยียวยาให้แก่ผู้เสียภาษีรายใหม่ที่ต้องเข้าสู่ระบบ ดังนั้นการขึ้นอัตราภาษียาเส้นตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ถือเป็นการขึ้นภาษีครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 50 ปี ในขณะที่ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตอย่างเดียวรวม 16 ครั้ง อย่างไรก็ตาม บุหรี่ซิกาแรตยังคงมีภาระภาษีมากกว่ายาเส้นถึง 18 เท่า กล่าวคือ บุหรี่ซิกาแรตมีภาระภาษี 1.75 บาทต่อกรัม ในขณะที่ยาเส้นมีภาระภาษีเพียง0.10 บาทต่อกรัม ทั้งที่สินค้าทั้งสองประเภทต่างมีผลเสียต่อสุขภาพเหมือนกัน
สำหรับการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2563 นั้น กรมสรรพสามิต ยังคงยึดหลักความเท่าเทียมระหว่างสินค้ายาสูบ ทั้งบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้น กล่าวคือ ด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและทั่วโลก กระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ การจ้างงาน ภาคการเกษตร และภาคการส่งออก กรมสรรพสามิตจึงมีนโยบายเพื่อการเยียวยาสินค้ายาสูบ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบและยาเส้น และเกษตรกรได้รับการเยียวยาจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ตลอดจนเพื่อให้การยาสูบแห่งประเทศไทยได้มีการปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้และยังคงมีการรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรต่อไป โดยเสนอขยายเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีปัจจุบันของบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ของบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไป โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. เลื่อนเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีบุหรี่ซิกาแรตตามมูลค่าแบบอัตราเดียวที่ร้อยละ 40 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 1.20 บาทต่อหนึ่งมวน จากเดิมที่จะมีการบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
2. เลื่อนเวลาการบังคับใช้อัตราภาษียาเส้นตามมูลค่าที่ร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 0.10 บาทต่อหนึ่งกรัม จากเดิมที่จะมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
โฆษกกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้ายว่า ดังนั้น การขยายเวลาบังคับใช้อัตราภาษีบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไป จึงเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้ปลูกใบยาทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34919 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ไทยเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสาธารณสุข ครั้งที่ 15 | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
สธ. ไทยเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสาธารณสุข ครั้งที่ 15
กระทรวงสาธารณสุขไทย ประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุข ครั้งที่ 15 เสนอความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม ที่ไทยเป็นผู้ริเริ่มและได้รับความร่วมมือจาก 10 ประเทศอาเซียน เพื่อเป็นศูนย์ความร
กระทรวงสาธารณสุขไทย ประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุข ครั้งที่ 15 เสนอความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม ที่ไทยเป็นผู้ริเริ่มและได้รับความร่วมมือจาก 10 ประเทศอาเซียน เพื่อเป็นศูนย์ความรู้ของภูมิภาคอาเซียนในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุข ครั้งที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 10 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-จีน ครั้งที่ 10 และการหารือระหว่างอาเซียนกับเกาหลี ระหว่างวันที่ 24-28 สิงหาคม 2563 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง โดยได้เสนอความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ASEAN Center for Active Ageing and Innovation : ACAI) ที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่ม ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาค และเปิดตัวในที่ประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ขณะนี้ได้จัดตั้งสำนักงานชั่วคราวในประเทศไทย ที่อาคาร DMS6 กรมการแพทย์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 สำหรับแผนการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการ ACAI จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการบริหารงาน การแต่งตั้งผู้อำนวยการชั่วคราว โดยในปี 2563 จะจัดทำเว็บไซด์ ACAI เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-learning ) จัดทำหนังสือการดูแลผู้สูงอายุระหว่างการระบาดของโรคโควิด 19 (E-book) ในปี 2564 จะมีการสรรหาผู้อำนวยการ ACAI และเจ้าหน้าที่ของศูนย์ และเตรียมการจัดประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 1 ต่อไป
“ขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนที่ลงนามความตกลงการจัดตั้ง ACAI ครบทั้ง 10 ประเทศ สนับสนุนกิจกรรมของศูนย์ฯ ร่วมมือกันวิจัยพัฒนาออกแบบกลยุทธ์และแนวทางสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเป็นศูนย์ความรู้ของอาเซียน เตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ” นายแพทย์ศุภกิจกล่าว
นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า ไทยได้นำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินงานในด้านการจัดการภัยพิบัติ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความร่วมมือด้านวัคซีน เครือข่ายระบาดวิทยา และการแพทย์แผนดั้งเดิม ซึ่งไทยเป็นประเทศผู้รับผิดชอบหลัก นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการทำงาน 4 แผนงาน ภายใต้ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ได้แก่ การส่งเสริมวิถีชีวิตที่สร้างเสริมสุขภาพ การตอบโต้ต่อภัยคุกคามด้านสุขภาพ การสร้างเสริมระบบสุขภาพและการเข้าถึงบริการสุขภาพ และการส่งเสริมอาหารปลอดภัย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแผนงานและการดำเนินงานความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขอาเซียน และการตอบโต้โรคโควิด 19 ของภูมิภาค
ทั้งนี้ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุขจัดเป็นประจำทุกปี โดยประเทศสมาชิกหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพและประธานการประชุม มีวาระครั้งละ 2 ปี โดยในปี 2563 ประเทศอินโดนีเซียทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมฯ และลาวเป็นรองประธาน สำหรับประเทศไทยเป็นประธานของแผนงานที่ 3 เรื่องการเสริมสร้างระบบสุขภาพและการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ ระหว่างปี 2563 – 2564
******************************** 28 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
โครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติหลักการโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบุรี เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี ประมาณ 219,000 ไร่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพการใช้พื้นที่การเกษตรประมาณ 10,000 ไร่ และใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคประมาณ 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ ทำความเข้าใจกับประชาชน และรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน และเสนอต่อครม. เพื่ออนุมัติวงเงินงบประมาณในการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2565
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34864 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'จับกัง 1' ติดตามอาการป่วยล่ามไทย สนร.ริยาด มอบ 'รองปลัด' เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัว | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
'จับกัง 1' ติดตามอาการป่วยล่ามไทย สนร.ริยาด มอบ 'รองปลัด' เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตามอาการป่วยล่ามไทย ของ สนร.ริยาด มอบหมาย 'รองปลัดแรงงาน' นำกระเช้าเข้าเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัว
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 เวลา 13.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยอาการป่วยของล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่กลับมาพักรักษาตัวที่ประเทศไทยมาตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ในวันนี้ผมจึงได้มอบหมายให้ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นำแจกันดอกไม้เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจครอบครัวของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย ณ อาคารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี โดยมีภรรยาของนายหมัด มะมิน เป็นผู้รับมอบแจกันดอกไม้ โอกาสเดียวกันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับภรรยาของนายหมัด เพื่อติดตามอาการและให้กำลังใจครอบครัว เพื่อให้นายหมัดหายป่วยโดยเร็ววัน
สำหรับนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย อายุ 54 ปี เป็นคนไทยมุสลิม มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีบุตรชายสองคนอยู่ที่กรุงริยาด ก่อนหน้านี้มีอาการป่วย เนื่องจากติดเชื้อโควิด – 19 และได้รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูนานกว่า 1 เดือน จนมีอาการดีขึ้นจนแพทย์ระบุว่าตรวจไม่พบเชื้อโควิด – 19 แล้ว และได้กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา พบว่า ภาพรวมอาการป่วยยังคงทรงตัว ซึ่งล่ามได้ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานแรงงานฯ มากว่า 22 ปี มีผลงานได้ช่วยแรงงานไทยทั้งใน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต บาห์เรน เลบานอน มามากมาย
“ล่ามไทยในซาอุดีอาระเบียรายนี้ เขาได้ออกไปทำงานเพื่อช่วยให้คนไทยที่เจ็บป่วยได้เดินทางกลับบ้าน และได้ดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง จนทำให้ตัวเองต้องล้มป่วย จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันส่งพลังใจให้เขามีอาการดีขึ้นและหายป่วยในเร็ววัน”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก 17 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก 17 กันยายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์เรื่องการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในโลก ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ
วันนี้ ผมขอพูดกับทุกท่านเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก ซึ่งไม่ค่อยจะดีนัก และอาจจะส่งผลต่อประเทศไทยเราด้วย ในช่วงเวลาข้างหน้านี้
ตอนนี้ กำลังเกิดการระบาดของโควิดครั้งใหญ่ ระลอกใหม่ ทั้งในยุโรป และที่อื่น ๆ หลายที่ ตัวอย่างเช่น
ที่ประเทศสเปน มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 30,000 คน และปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 12,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนการเพิ่มต่อวัน ที่มากกว่า เมื่อตอนสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ในเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา
ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เกือบ 10,000 คนต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนการเพิ่มต่อวัน ที่มากกว่าในช่วงที่สถานการณ์แย่ที่สุดเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบัน ฝรั่งเศสมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 30,000 คน
ส่วนที่ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในหนึ่งสัปดาห์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 42,000 คน
และที่อื่น ๆ ในโลกก็ด้วย อย่างที่ประเทศอินเดีย ตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ภายในแค่วันเดียว กว่า 90,000 คน หรือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 30,000 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 200,000 คน
โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งใหญ่ ระลอก 2 อย่างชัดเจน
เมื่อช่วงเริ่มต้นที่เกิดการแพร่ระบาดโควิดบนโลก ประเทศไทยเริ่มรับมือและพยายามระงับการแพร่ระบาดในประเทศ อย่างเด็ดขาด และรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลที่วันนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ถึง 10 คนต่อวัน เมื่อเราเทียบกับประเทศอื่น หลายประเทศที่ลังเลการปิดประเทศ และไม่ได้ดำเนินมาตรการ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทำให้วันนี้ ประเทศเหล่านั้นมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน มากกว่าประเทศไทยเป็นพัน ๆ เท่า
การที่ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์แบบปัจจุบันนี้ได้ ถือเป็นความสำเร็จของแพทย์ทุกท่าน อาสาสมัครสาธารณสุขที่น่าทึ่งทุกคน พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่บุคลากรด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกคน ซึ่งเป็นผู้กล้าหาญที่อยู่แนวหน้า ช่วยยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศไทย รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพใน ศบค.
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือคนไทยทั้งประเทศ ที่ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศไทย ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม
ตอนนี้ เมื่อในโลก โควิดกำลังกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง ผมจึงอยากจะขอพี่น้องประชาชนทุกคน ให้ลุกขึ้นมาตั้งการ์ดของตัวเองให้สูงขึ้นอีกครั้ง เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น รักษาวินัยที่ดีไว้ อย่างที่เราเคยทำกันมา เพราะสงครามกับโควิด จะยังอยู่ไปอีกนาน
ผมขอใช้โอกาสนี้ พูดกับคนกลุ่มต่าง ๆ ที่อยากจะออกมารวมตัวกันประท้วงด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของท่าน
เมื่อเวลาที่ท่านมารวมตัวกัน ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาล ที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ในประเทศไทย และขณะเดียวกัน ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยง ที่จะทำลายการทำมาหากินของคนไทยด้วยกัน อีกสิบ ๆ ล้านคน
การจุดชนวนการแพร่ระบาดโควิด ให้เสี่ยงที่จะลุกโชนขึ้นมาอีก นั่นจะส่งผลกระทบที่เลวร้าย และทวีคูณปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ไปสู่ระดับที่เรายังไม่เคยเจอมาก่อน
ผม ขอให้ทุกท่านคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก
ในประเทศอื่น การรวมตัวกัน และการไม่รักษาวินัยในการป้องกันโรคระบาด ได้สร้างปัญหาให้กับประชาชนคนอื่น ๆ ในประเทศของตัวเองมาแล้ว
ตอนนี้ รัฐมนตรีสาธารณสุข ของประเทศอังกฤษ และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป กำลังเริ่มพูดถึงการกลับมาเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง หรืออย่างในรัฐใหญ่รัฐหนึ่ง ของประเทศออสเตรเลีย ตอนนี้ การเปิดร้านค้าและออฟฟิศ หรือแค่การจะออกจากบ้าน ก็ยังมีข้อบังคับและข้อจำกัดมากมาย
ส่วนในบ้านเรา แม้ว่าการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ จะสร้างความเจ็บปวดให้เราอย่างมาก แต่อย่างน้อย ร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ ยังเปิดได้อยู่ โรงเรียน ไซต์งานก่อสร้าง โรงงาน และสำนักงาน ยังเปิดได้ และการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยด้วยกันเอง ก็ยังคงทำได้อยู่ ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำอะไรก็ตาม ที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศไทยต้องกลับไปล็อกดาวน์อีกครั้ง เหมือนเมื่อเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา แบบนั้นจะยิ่งเพิ่มความเดือดร้อนและเจ็บปวดให้กับทุกคน
ผมขอบอกทุกคนที่อยากจะออกมาชุมนุม ชัดๆ ว่า ผมได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ผมรับทราบความคับข้องใจของพวกท่านในเรื่องการเมือง และความไม่พอใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
ผม เคารพ ความคิดเห็น และความรู้สึกของท่าน แต่วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดเร่งด่วน ที่เราจำเป็นต้องจัดการก่อน นั่นคือการบรรเทาความเสียหายทางเศรษฐกิจที่โควิดได้ก่อให้เกิดขึ้นไปทั่วโลก เราไม่ควรทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้
การชุมนุมจะทำให้การฟื้นเศรษฐกิจเกิดการล่าช้า เพราะจะทำลายความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ และสร้างความลังเลใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะมาเมืองไทย เมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง การชุมนุมจะสร้างความวุ่นวายในประเทศ และทำลายสมาธิการทำงานของภาครัฐในการจัดการกับโควิด และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน
ผมจึงอยากขอให้เราเอาชนะโควิดและผ่านวิกฤตโลกครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ก่อน หลังจากนั้น เราค่อยกลับมาที่เรื่องการเมือง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลายประเทศ ใช้ความเด็ดขาดในการยุติการประท้วง ด้วยเหตุผลที่ไม่ยอมให้เกิดการกระทำที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด โดยหลายประเทศ ห้ามไม่ให้มีการรวมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในประเทศเยอรมัน เมื่อมีการประท้วงของคนจำนวนกว่า 38,000 คน มีผู้ถูกจับดำเนินคดีมากกว่า 300 คน ในคดีทำลายโอกาสของประเทศ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมสั่งการไปคือ ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติกับผู้ชุมนุมด้วยความนิ่มนวล เพราะผมยังเชื่อว่า ผู้ที่จะออกมาประท้วง จะมีความตระหนักรู้ ถึงสิ่งที่ควรต้องระมัดระวัง และอยู่ในขอบเขต แต่ผมก็ขอฝากไปถึงทุกคนที่จะออกมารวมตัวกันว่า ขอให้นึกถึงพี่น้องคนไทยด้วยกันให้มาก ๆ คนไทยอีกเป็นสิบ ๆ ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบ จากการที่ท่านกำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากโควิด และเพิ่มความเสี่ยงให้เราต้องกลับไปล็อกดาวน์อีกครั้ง
ภารกิจของผมชัดเจน คือ ผมต้องปกป้องคนไทยไม่ให้เกิดการสูญเสียในชีวิต เป็นหมื่น ๆ ชีวิต เหมือนในประเทศอื่น และป้องกันหายนะทางเศรษฐกิจที่จะตามมาจากการเสียชีวิตของผู้คน และหายนะที่จะตามมาจากการล็อกดาวน์
เพราะฉะนั้น เรายังต้องระมัดระวัง ในการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา เพราะมีความเสี่ยงในการนำเชื้อโควิดเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับเราทุกคน แต่ในขณะที่ทำอย่างนั้น ผมก็รู้ถึงความเจ็บปวดของทุกคนที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว
ผมรู้สึกจริง ๆ ครับว่าทุกคนเจ็บปวด หลายครั้งผมนอนไม่หลับนะครับ เมื่อคิดถึงจำนวนคนที่ต้องตกงาน และจำนวนธุรกิจที่ต้องปิดกิจการลง
เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก ซึ่งไม่มีทางออกไหนที่ไม่มีความเจ็บปวดรออยู่ การเปิดประตูประเทศ อาจจะทำให้มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในระดับหนึ่ง แต่เราก็รู้ว่า จะมีโควิดเข้าประเทศมาด้วยแน่นอน แม้จะมีการตรวจเช็คขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ผมกังวลคือ หากเกิดการระบาดใหญ่เป็นวงกว้างในประเทศ เราอาจจะไม่สามารถรับมือได้ และถ้ามันเกิดขึ้นแบบนั้น ความเดือดร้อนในเรื่องของเศรษฐกิจปากท้องจะยิ่งรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับภาคการท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่จะส่งผลกับทุกภาคส่วนในสังคม
พี่น้องครับ เรากำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะยิ่งยากลำบากมากขึ้น เราจึงควรวางเรื่องการเมืองเอาไว้ก่อน แล้วจับมือร่วมแรงร่วมใจกัน ผ่านพ้นความยากลำบากที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์โลกไปให้ได้ ผมขอให้ทุกคนยกการ์ดของตัวเองให้สูงอีกครั้ง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม และโชว์สปิริตของความเป็นไทยต่อไป ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิดไปให้ได้
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำจุดยืนแบน 3 สารเคมีอันตรายทางการเกษตร เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
สธ. ย้ำจุดยืนแบน 3 สารเคมีอันตรายทางการเกษตร เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย
กระทรวงสาธารณสุขย้ำจุดยืน แบนการใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อปกป้องเกษตรกร ประชาชน ไม่ให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากสารเคมีอันตราย เผยปี 2563 พบผู้ป่วยโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 4,933 คน เสียชีวิต 1 ร
กระทรวงสาธารณสุขย้ำจุดยืน แบนการใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อปกป้องเกษตรกร ประชาชน ไม่ให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากสารเคมีอันตราย เผยปี 2563 พบผู้ป่วยโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 4,933 คน เสียชีวิต 1 ราย
วันนี้ (31 สิงหาคม 2563) ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี เลขาธิการอย. และรองอธิบดีทุกกรม ร่วมแถลงข่าว “สธ.ย้ำจุดยืน แบน 3 สารเคมีอันตราย” โดยนายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชน ขอแสดงจุดยืนในการแบนสารพิษทั้ง 3 ชนิด ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ให้หยุดการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อปกป้อง คุ้มครองเกษตรกร และประชาชน ไม่ให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากสารเคมีอันตรายดังกล่าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นจากใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด
“กระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่าจะคัดค้านอย่างเต็มที่และจะคุ้มครองประชาชนให้มีความปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ขอให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาทบทวนมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย คิดถึงสุขภาพของพี่น้องประชาชน ความปลอดภัยของประเทศ และความมั่นคงยั่งยืนของระบบเกษตรกรรมในประเทศไทยเป็นสำคัญ ไม่เอาสารเคมีอันตรายกลับมาทำร้ายคนไทยอีกต่อไป แม้ว่าตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขมี 2 คนในคณะกรรมการวัตถุอันตราย แต่จะขอยืนหยัดแบนการใช้ 3 สารเคมีอันตรายถึงที่สุด ” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นองค์กรหลักด้านสุขภาพ คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายรณรงค์ให้ยุติการใช้สารเคมีอันตราย และให้ความรู้แก่ประชาชน เกษตรกร ผ่านคณะกรรมการจังหวัด เกี่ยวกับอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตร เพื่อให้คนไทยได้บริโภคอาหารที่มีความปลอดภัย ลดการปนเปื้อนสารเคมีในสิ่งแวดล้อม และเกษตรกรปลอดภัยจากสารพิษในการทำงาน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขมี นโยบายชัดเจนว่าในปี 2563 เป็น “ปีแห่งเกษตรอินทรีย์ปลอดโรคประชาชนปลอดภัย” ให้ทุกโรงพยาบาลและหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปรุงอาหารจากวัตถุดิบเกษตรอินทรีย์ให้คนไข้ได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายขยายใน 5 ร. คือ โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม โรงอาหาร และเรือนจำ เพื่อให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัยจากโรค
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค มีการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวังสุขภาพเกษตรกร และประชาชนที่เจ็บป่วย และเสียชีวิต จากสาเหตุการใช้ หรือสัมผัสสารเคมีทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการให้บริการในหน่วยบริการสาธารณสุข ฐานข้อมูล 43 แฟ้ม พบว่ามีผู้ป่วยจากโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 41,941 ราย โดย ปี 2560 มีผู้ป่วยสูงสุด จำนวน 10,686 ราย ส่วนปี 2562 พบผู้ป่วยจำนวน 6,008 ราย ซึ่งจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงนั้น สอดคล้องกับปริมาณการนำเข้าสารเคมีที่ลดลงในปี 2562สำหรับในปี 2563 (1 มกราคม – 29 สิงหาคม 2563) พบผู้ป่วยโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 4,933 ราย โดยพบผู้ป่วยจากกลุ่มสารกำจัดแมลง รวมถึงสารคลอร์ไพริฟอส จำนวน 2,951 ราย กลุ่มสารกำจัดวัชพืช รวมถึงสารพาราควอต และไกลโฟเซต มีจำนวน 889 ราย
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ทำงานเชิงรุก สำรวจข้อมูลสถานการณ์การใช้สารเคมีทางการเกษตรและอาการผิดปกติในครัวเรือนที่มีการใช้สารเคมีทางการเกษตร ผ่านการสำรวจโดย application อสม. ออนไลน์ และจาก อสม. และหน่วยงานเครือข่าย ในปี 2563 ทั้งสิ้น 2,646,260 ครัวเรือน พบมีครัวเรือนที่ยังคงใช้สารเคมีทางการเกษตรจนถึงปัจจุบันจำนวน 677,522 ครัวเรือน (ร้อยละ 25.60) ซึ่งมีสมาชิกที่มีอาการผิดปกติ ได้แก่ มือสั่นร่วมกับเดินเซ (โรคพาร์กินสัน) 12,554 คน , ชาปลายมือ ปลายเท้า 79,645 คน, ผิวหนังอักเสบ 22,569 คน, เนื้อเน่า 641 คน ไตเสื่อม (ต้องทำการฟอกไตเป็นประจำ) 2,349 คน, มะเร็งเม็ดเลือดขาว 370 คน, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง 922 คน และปัญญาอ่อน 1,132 คน นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตจากพาราควอต จำนวน 1 ราย ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเกิดจากการหกรดระหว่างฉีดพ่นสารดังกล่าว ทำให้สารพาราควอต ดูดซึมผ่านทางผิวหนัง และร่างกาย ก่อให้เกิดอาการ
ทางระบบหายใจ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากสารเคมีกําจัดศัตรูพืชทุกชนิดมากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี ซึ่งผู้ที่ได้ผลกระทบอันดับแรก คือเกษตรกรประมาณร้อยละ 43.2 รองลงมาคือรับจ้างทั่วไปร้อยละ 21.1 โดยพาราควอต มักส่งผลกระทบต่อปอด ผิวหนัง ไกลโฟเซต ส่งผลกระทบต่อ ต่อมน้ำเหลือง สำหรับคลอร์ไพริฟอส ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท และพัฒนาการในเด็ก และจากข้อมูล 4 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตจาก 3 สารเคมี ดังกล่าว ประมาณ 2,000 ราย
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการตรวจวิเคราะห์สารเคมีอันตรายตกค้างในผักและอาหารในการเฝ้าระวังและตรวจสอบสารตกค้างในผักและผลไม้สด จากตลาดในเครือข่าย 41 จังหวัด จำนวน 154 ตัวอย่าง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม ปี 2563 ตรวจวิเคราะห์ 3 สาร พบคลอร์ไพริฟอส ตกค้างอยู่ร้อยละ 13 ไกลโฟเซต ตกค้างร้อยละ 4 ซึ่งสารเคมีเหล่านี้จะตกค้างในสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเข้าไปในร่างกายมนุษย์เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานหลักในการคุ้มครองความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค โดยยึดหลัก “ความปลอดภัย ไม่มีการต่อรอง” เฝ้าระวังความปลอดภัยของอาหารทั้งในประเทศและการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำงานร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และภาคเอกชน ในปี 2563 ได้ดำเนินการเฝ้าระวังเก็บผัก ผลไม้ ในประเทศ ส่งตรวจหาสารพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส กว่า 770 ตัวอย่าง โดยในภูมิภาค เก็บตัวอย่างส่งตรวจ 692 ตัวอย่างจากแปลงปลูก สถานที่ คัดบรรจุ ตลาดสด/นัด ห้างสรรพสินค้า พบคลอร์ไพริฟอส 14 ตัวอย่าง โดยเฉพาะกะเพราพบ คลอร์ไพริฟอสสูงเกินค่ามาตรฐาน 2 ตัวอย่าง ในกรุงเทพมหานคร เก็บตัวอย่างจากห้างสรรพสินค้า 80 ตัวอย่าง พบพาราควอต 8 ตัวอย่าง โดยเฉพาะ คื่นช่าย พบเกินค่ามาตรฐาน 1 ตัวอย่าง สำหรับการเฝ้าระวังผัก ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศ 496 ตัวอย่าง ในจำนวนนี้ เป็นผัก 240 ตัวอย่าง พบคลอร์ไพรีฟอสตกมาตรฐาน จำนวน 21 ตัวอย่าง เช่น ปวยเล้ง คะน้า คื่นช่าย ถั่วลันเตา ผักชี เป็นต้น ส่วนผลไม้ 256 ตัวอย่าง พบคลอร์ไพริฟอสตกมาตรฐาน จ้านวน 5 ตัวอย่าง ทับทิม องุ่น ลูกแพร/สาลี่ และยังพบพาราควอตตกมาตรฐาน 2 ตัวอย่าง องุ่น บลูเบอร์รี่ เป็นต้น ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ. ศ. 2563 ได้กำหนดให้สารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ซึ่ง อย. ในฐานะเลขานุการ ของคณะกรรมการอาหารได้ดำเนินการต่อเนื่อง ในการเตรียมออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องอาหารที่มีสารพิษตกค้าง โดยร่วมหารือ กับทุกภาคส่วน ยึดหลักการคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านสุขภาพ และความเท่าเทียมทางการค้า ซึ่งคณะกรรมการอาหาร ได้เห็นชอบ กำหนดค่าสารตกค้างเป็นค่าต่ำสุดที่ห้องปฏิบัติการสามารถตรวจได้ หรือค่า LOD ขอให้ประชาชนมั่นใจ อย. ยึดมั่นเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทำงานร่วมกับ อสม. ทั้งประเทศโดย อสม. 1 คน ดูแลประชาชน 15 ครัวเรือน สิ่งที่ได้ดำเนินการคือ 1. ชมรมอสม. ทุกจังหวัดยืนยันจุดยืนแบน 3 สาร เช่นเดียวกับสถานพยาบาลทั่วประเทศ 2. อสม. จะเป็นผู้นำในด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เป็นตัวอย่างเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อลดละเลิกการใช้ 3 สาร 3. อสม.ทำการสำรวจการใช้สารเคมีในครัวเรือนร่วมกับกรมควบคุมโรค เฝ้าระวัง และให้ความรู้กับประชาชน สำหรับทิศทางขับเคลื่อนต่อไปคือ อสม.จะมีบทบาทสำคัญในตำบลปรับเปลี่ยนสุขภาพ โดยจะบรรจุเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์และการต่อต้านสารพิษ เพื่อจะทำให้เป็นพลังในการขับเคลื่อน ร่วมกับประชาชน
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิต เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ตกค้างทำให้สมองในเด็กไม่พัฒนาเท่าที่ควร การที่จะระงับการใช้สารพิษต่างๆ จึงมีความจำเป็น นอกจากนี้ยังพบการนำสารเคมีมาใช้เพื่อฆ่าตัวตาย หลังจากการควบคุมการใช้ ข้อมูลในต่างประเทศ พบว่า อัตราการใช้สารพิษเพื่อฆ่าตัวตายลดลงเกือบร้อยละ 20
“ขอยืนยันว่า จะดำเนินนโยบายเรื่องการแบน 3 สาร ต่อจากท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่ให้เป็นปัญหาด้านสุขภาพเพราะเป็นสารพิษที่มีอันตราย เรื่องของสุขภาพของประชาชนต้องมาก่อนกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้มีหน้าที่รักษาโรคอย่างเดียว แต่มีหน้าที่ควบคุม ระงับยับยั้งปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพ ให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยให้น้อยที่สุด”
นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่ากรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกขอยืนยันว่ายาแผนไทยหรือยาพัฒนาจากสมุนไพรรวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เช่นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง ควรเป็นวัตถุดิบที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ป่วย ได้ใช้ยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน นอกจากนี้สามารถนำผลิตภัณฑ์ ส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เนื่องจากตลาดทั้งในและต่างประเทศมีความต้องการสมุนไพรที่เป็นเกษตรอินทรีย์เป็นหลัก
นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีบทบาทสำคัญในการดูแลการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก มีรายงานว่า สารเคมีอันตรายเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กที่ล่าช้า จากการพบสารเคมีตกค้างในน้ำนมแม่ และในขี้เทาของเด็ก เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงปัจจัยเสี่ยงในการเจริญเติบโตของเด็กและเยาวชนในอนาคต เพราะปัจจุบันเด็กเกิดใหม่ มีเพียงปีละ 6 แสนคน เท่านั้น และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จึงจำเป็นที่จะต้องตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อให้เด็กที่เกิดน้อยเหล่านี้ อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ลดปัจจัยเสี่ยงทุกด้านรวมถึงสารเคมีอันตรายเหล่านี้ด้วย
********************************* 31 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34704 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจงให้ 3 พัน 15 ล้านสิทธิ์ ประชาชนได้ประโยชน์ | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
แจงให้ 3 พัน 15 ล้านสิทธิ์ ประชาชนได้ประโยชน์
--
#ไทยคู่ฟ้า น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีที่มีสื่อออนไลน์บางสำนักรายงานข่าวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประชาชน 15 ล้านสิทธิ์ รับ 3,000 บาท จะเป็นการเอื้อทุนใหญ่ทำให้เงินเข้ากระเป๋าห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อนั้น ที่จริงโครงการดังกล่าวเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่ต่อยอดจากโครงการชิมชอปใช้ โดยร้านค้าที่เข้ามาร่วมโครงการจะยังเหมือนเดิม
วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ เพื่อขยายร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ร้านค้าหาบเร่แผงลอย ร้านโชห่วย ร้านขายข้าวแกง ร้านขายอาหาร และร้านเครื่องมือตามตลาด หรือตลาดนัด ช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจให้ลงไปสู่ผู้ค้ารายเล็กรายน้อย หลังจากที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยไม่ได้ตั้งเป้าให้เงินเข้ากระเป๋าทุนใหญ่แต่อย่างใด เพราะหากพิจารณาหลักเกณฑ์การใช้จ่าย จะพบว่าเป็นการกระตุ้นให้มีการซื้อของกับผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยจริง ๆ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34873 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ "กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย 3,100 ชุด | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
ก.อุตฯ ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ "กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย 3,100 ชุด
นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ "กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย 3,100 ชุด
วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุโขทัย จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร กองทัพภาคที่ 3 กองกำลังช่วยรบที่ 3 ซึ่งท่านรอง กอ.รมน. พอ.เสมา เป็นผู้ประสานการช่วยเหลือและหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ นำขบวนรถถุงยังชีพ "กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย จำนวน 3,100 ชุด แบ่งเป็น 5 จุดได้แก่ วัดปากพระ จำนวน 500 ชุด วัดปากแคว จำนวน 500 ชุด วัดท่าทอง จำนวน 700 ชุด โรงเรียนหนองปลาหมอวิทยาคม จำนวน 900 ชุด วัดเกาะ จำนวน 500 ชุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.ยุติธรรม’ ควง ‘รมช.เกษตรฯ’ ลุยน้ำท่วมสุโขทัย | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
‘รมว.ยุติธรรม’ ควง ‘รมช.เกษตรฯ’ ลุยน้ำท่วมสุโขทัย
‘รมว.ยุติธรรม’ ควง ‘รมช.เกษตรฯ’ ลุยสุโขทัย ระดมข้าราชการช่วยเกษตรกรประสบภัยน้ำท่วม เร่งหน่วยงานสำรวจความเสียหาย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเร่งด่วน
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายสมศักดิ์เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดน้ำท่วมและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จ.สุโขทัยโดยมีนายสัตวแพทย์สรวิศธานีโตอธิบดีกรมปศุสัตว์นายสุดสาครภัทรกุลนิษฐ์อธิบดีกรมการข้าวนายยอาชว์ชัยชาญเลี้ยงประยูรรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโดยช่วงเช้าเดินทางไปยังศาลาอเนกประสงค์หมู่1ต.ปากพระอ.เมืองสุโขทัยจากนั้นเดินทางไปยังวัดคลองโป่งต.สามเรือนอ.ศรีสำโรงตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบลคลองกระจงต.คลองกระจงอ.สวรรคโลกเพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์และความเสียหายในพื้นที่ต่างๆพร้อมกันนี้ได้มอบข้าวสารหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานตลอดจนชุดเวชภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพสัตว์ให้กับเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้กำลังใจเกษตรกรและพบปะรับฟังปัญหาของเกษตรกร
นายประภัตรกล่าวว่าจากการเกิดพายุฮีโกสทำให้มีฝนตกหนักภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่งผลให้เกิดวาตภัยน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากและน้ำเอ่อล้นตลิ่งในช่วงวันที่21ส.ค.63 -ปัจจุบันรวม15จังหวัดได้แก่จังหวัดเชียงรายเชียงใหม่แม่ฮ่องสอนลำปางลำพูนน่านพะเยาแพร่สุโขทัยอุตรดิตถ์ตากบึงกาฬร้อยเอ็ดอุดรธานีและจังหวัดยโสธรปัจจุบันเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว13จังหวัดยังคงมีสถานการณ์2จังหวัดได้แก่จ.สุโขทัยและจ.น่านสำหรับจ.สุโขทัยช่วงที่ผ่านมาเกิดคันตลิ่งแม่น้ำยมขาดทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ปัจจุบันบริเวณคันขาดระดับลดลงส่วนน้ำที่ล้นคันตลิ่งแม่น้ำยมในอ.สวรรคโลกและอ.ศรีสำโรงกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
ทั้งนี้ได้รับรายงานความเสียหายเบื้องต้นจ.สุโขทัย(ข้อมูลณวันที่27ส.ค.63)ด้านพืชประสบภัย6อำเภอ30ตำบล174หมู่บ้านได้แก่อ.เมืองอ.ศรีสำโรงอ.สวรรคโลกอ.กงไกรลาศอ.ศรีสัชนาลัยและอ.ศรีนครมีจำนวนครัวเรือนที่สบประภัย11,491ครัวเรือนเบื้องต้นด้านการเกษตรมีพื้นที่ได้รับผลกระทบแยกเป็นด้านพืชเสียหาย110,598ไร่6อำเภอด้านประมง627ไร่ด้านปศุสัตว์ได้รับผลกระทบแต่ยังไม่พบความเสียหายอย่างไรก็ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นจนสถานการณ์คลี่คลายแล้วจากนั้นจะเข้าไปเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯต่อไป
รมช.เกษตรฯกล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น1.ด้านพืชรัฐบาลจ่ายเป็นเงินค่าชดเชยกรณีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรโดยข้าวชดเชย1,114 /ไร่พืชไร่ชดเชย1,148บาท/ไร่และพืชสวนไม้ผลอื่นๆชดเชย1,690บาท/ไร่ชดเชยไม่เกินครัวเรือนละ30ไร่สำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูกรมการข้าวจะเยียวยาค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว15กิโลกรัม/ไร่ครัวเรือนละไม่เกิน10ไร่คิดเป็นเงิน4,050บาทเพื่อให้เกษตรกรได้เป็นค่าเมล็ดพันธุ์ข้าวในฤดูปลูกถัดไป2.ด้านปศุสัตว์กรมปศุสัตว์เตรียมเสบียงอาหารสัตว์5,615.56ตันหญ้าแห้ง335ตันยานพาหนะ201คันถุงยังชีพ3,000ชุดทีมแพทย์119ทีมหน่วยอพยพสัตว์/เคลื่อนที่เร็ว119หน่วย357คนและเวชภัณฑ์ดูแลสุขภาพสัตว์โดยได้แจกจ่ายเสบียงสัตว์ไปแล้ว20.40ตันอาหารสัตว์อื่น944กิโลกรัมอพยพสัตว์18,908ตัวรักษาสัตว์และเสริมสร้างสุขภาพสัตว์2,206ตัวและ3.ด้านประมงชดเชย4,225บาท/ไร่ไม่เกินรายละ5ไร่และสนับสนุนพันธุ์ปลา
“นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจึงได้มอบหมายให้ตนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและฟื้นฟูอาชีพให้กับเกษตกรเบื้องต้นได้มอบหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานชุดเวชภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพสัตว์โดยกรมปศุสัตว์ตลอดจนข้าวสารจำนวน3ตันโดยศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุโขทัยกรมการข้าวนอกจากนี้ได้ชี้แจงแนวทางการช่วยเหลือด้านพืชปศุสัตว์และประมงรวมทั้งให้เกษตรกรเร่งไปขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรระหว่างดำเนินการสำรวจความเสียหายเพื่อรับเงินชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไปอย่างไรก็ตามความเสียหายยังอยู่ระหว่างการสำรวจจึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจให้แล้วเสร็จภายใน15วันเพื่อเยียวยาเกษตรกรโดยเร็วที่สุด”นายประภัตรกล่าว
นายประภัตรกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังมีโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มจดทะเบียนวิสาหกิจไม่ต่ำกว่า7คนโดยธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อกลุ่มละไม่เกิน10ล้านบาท ดอกเบี้ย100บาท/ปี(ร้อยละ0.01)และมีประกันหากสัตว์เสียชีวิตเพื่อเป็นการฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34631 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุม การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐ | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุม การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐ
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ของรัฐ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (15 กันยายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ของรัฐ โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับการประชุมดังกล่าว เป็นแผนการบริหารเพื่อเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤติ โดยมุ่งเน้นการนำระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและให้บริการประชาชน ทั้งนี้ การพัฒนาระบบราชการจำเป็นต้องเร่งรัดปรับเปลี่ยนการทำงานของภาครัฐ ให้มีความพร้อมเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35096 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ทปษ.รมว.แรงงาน’ ลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงแรงงาน นำพากระทรวงแรงงานสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
‘ทปษ.รมว.แรงงาน’ ลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงแรงงาน นำพากระทรวงแรงงานสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างยั่งยืน
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงาน มอบนโยบาย เพื่อเร่งขับเคลื่อนภารกิจสำคัญที่จะช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด – 19
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 เวลา 13.00 น. นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดเพชรบุรี พร้อมมอบนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแก่หัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งกระทรวงแรงงานเป็นผู้ดูแลผู้ใช้แรงงานกว่า 38 ล้านคน มีภารกิจสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อ Up-skill, Re-skill ให้แรงงานมีทักษะฝีมือแรงงานที่สามารถรองรับกับสถานการณ์โควิด-19 โดย MOU ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ แลกเปลี่ยนข้อมูลความต้องการหลักสูตวิชาชีพที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อยกระดับสู่ Tier 1 เพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยส่งเสริมให้ลูกจ้างตระหนักปลอดภัยและใส่ใจสุขภาพ ดูแลและป้องกันโรคที่อาจเกิดจากการทำงาน รวมถึงพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big-Data ด้านเทคโนโลยีให้บริการประชาชนที่ถูกต้อง ฉับไว ทันต่อความต้องการ และขยายการบูรณาการเครือข่ายในการส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานนอกระบบหรือแรงงานอิสระ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเร่งด่วนช่วงโควิด-19 โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำเรื่องการส่งเสริมการจ้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง คุ้มครองแรงงานตามสิทธิกฎหมายแรงงาน เร่งรัดให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่มีรายได้น้อย และสร้างความรู้ความเข้าใจระบบแรงงานสัมพันธ์เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาคนว่างงานเชิงรุก บริหารจัดการแรงงานทั้งระบบและครอบคลุมทุกมิติ
ทั้งนี้ นางธิวัลรัตน์ฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดเพชรบุรี และให้กำลังใจในการปฏิบัติงานแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34759 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. โดย ศลช. และ มจธ. รวมพลังหน่วยงานด้านสาธารณสุขภาครัฐและเอกชน ผลักดันอุตสาหกรรมยาชีววัตถุของไทย | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
อว. โดย ศลช. และ มจธ. รวมพลังหน่วยงานด้านสาธารณสุขภาครัฐและเอกชน ผลักดันอุตสาหกรรมยาชีววัตถุของไทย
อว. โดย ศลช. และ มจธ. รวมพลังหน่วยงานด้านสาธารณสุขภาครัฐและเอกชน
ผลักดันอุตสาหกรรมยาชีววัตถุของไทย
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงานและร่วมการแถลงข่าว “ความก้าวหน้าโครงการพัฒนายาชีววัตถุของประเทศ” โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) ร่วมกับ คณะผู้วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.), โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility, NBF), ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน), บริษัทคินเจน ไบโอเทค จำกัด, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ฟาร์มา นูวา จำกัด ร่วมจัดงานแถลงข่าว วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 เวลา 13.00- 16.00 น. ณ ห้องประชุม Genome ศูนย์เป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)
สืบเนื่องจากการลงนามความร่วมมือ “โครงการพัฒนายา ชีววัตถุและวัคซีน เพื่อลดการนำเข้า และเพิ่มโอกาสส่งออก” เมื่อ 6 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นโครงการระยะที่ 1 กำหนดเวลา 5 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตยาและวัคซีนใช้เองและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงยาที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม เป็นการลดการนำเข้าและลดการพึ่งพายาชีววัตถุจากต่างประเทศ
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ได้ร่วมแถลงข่าวถึงความก้าวหน้าโครงการพัฒนายาชีววัตถุ จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระยะเวลา 3 ปีแรก ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณปี 2561 ถึงปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาชีววัตถุจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับต้นแบบกึ่งอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน GMP มีการพัฒนาบุคลากรตั้งแต่ระดับอุดมศึกษา และเจ้าหน้าที่ในสายงานให้มีทักษะความรู้ ความชำนาญที่จำเพาะต่ออุตสาหกรรมยาชีววัตถุ ทั้งในด้านกระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพ อันจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยาชีววัตถุสู่เชิงพาณิชย์ระยะต่อไป โดยภายใต้โครงการระยะที่ 1 มียาชีววัตถุต้นแบบที่อยู่ระหว่างกระบวนการศึกษาพัฒนา ได้แก่ โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) สำหรับรักษาภาวะขาดฮอร์โมน ทำให้มีการเจริญเติบโตผิดปกติ ยาอีริโทรโพอิติน (Erythropoietin) สำหรับรักษาภาวะโลหิตจาง ยาอิมมูโนโกลบูลิน สำหรับโรคมือเท้าปาก (IVIG EV71) และยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab)
สำหรับมะเร็งเต้านม นอกจากนั้นมีการพัฒนากลยุทธ์แผนที่นำทางการพัฒนายา วัคซีน และชีววัตถุเพื่อใช้เองในประเทศขึ้นเป็นแนวทางในการดำเนินงานตลอดทั้งโครงการ นอกจากนี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งตลอดห่วงโซ่คุณค่าของการพัฒนายาชีววัตถุ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศตามโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Economy Model) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงจตุรภาคี (Quadruple helix) ของเครือข่ายนักวิจัย ภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ในด้านต่างๆ คือกระบวนการค้นคว้าวิจัยยาชนิดใหม่ การยกมาตรฐานการวิจัยในสัตว์ทดลองและทางคลินิก และการพัฒนาห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบคุณลักษณะและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เป้าหมายหลักด้วย
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า "จากการลงนามความร่วมมือ 8 ฝ่ายภายใต้ “โครงการพัฒนายา ชีววัตถุและวัคซีน เพื่อลดการนำเข้า และเพิ่มโอกาสส่งออก” เมื่อ 6 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นโครงการระยะที่ 1 กำหนดเวลา 5 ปี การดำเนินงานโครงการในระยะ 3 ปีแรก แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จเบื้องต้นในการสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ที่ร่วมมือกันส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัยและเทคโนโลยี ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ ด้วยความแข็งแกร่งของเครือข่ายนี้ ยังส่งผลให้เกิดองค์ความรู้ในกระบวนการผลิตต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่คาดว่า จะมีศักยภาพในระดับที่สามารถผลักดันออกสู่ตลาดได้ นำไปสู่ประโยชน์ต่อประชาชน ที่จะสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เหมาะสมได้เพิ่มขึ้น ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งภาวะปกติ และสภาวะฉุกเฉินที่ต้องการผลิตยาขึ้นอย่างเร่งด่วน เช่น สถานการณ์โรคโควิด-19 เป็นต้น"
ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “ทีเซลส์ (TCELS) มีภารกิจในการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ประเทศ ด้วยกระบวนการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม ที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่สามารถใช้งานได้จริง ทำให้เกิด ecosystem ที่พร้อมต่อการลงทุนและผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร การสนับสนุน “โครงการพัฒนายา ชีววัตถุและวัคซีน เพื่อลดการนำเข้า และเพิ่มโอกาสส่งออก” หรือ Biopharma นั้น ทีเซลส์ให้การสนับสนุนโครงการมาโดยตลอด เพื่อส่งเสริมให้กระบวนการพัฒนายาชีววัตถุตลอดเส้นทางมีความเข้มแข็ง ตั้งแต่การค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนายาใหม่ จากการทำงานร่วมกันของทีเซลส์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประเทศไทยได้เป็นภาคีเครือข่ายองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เป็นหน่วยตรวจสอบการขึ้นทะเบียนแห่งชาติ ควบคุมและกำกับมาตราฐานห้องปฏิบัติการตามหลัก GLP ดังนั้น สินค้าใดๆ ที่ผ่านการรับรอง OECD GLP จะเป็นที่น่าเชื่อถือและยอมรับจากกลุ่มประเทศสมาชิก OECD ซึ่งในปัจจุบันมี 37 ประเทศ สำหรับภารกิจของทีเซลส์ ในช่วงสองปีที่เหลือของโครงการระยะที่ 1 จะเน้นไปที่การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การเชื่อมโยงการลงทุน และการเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้โครงการนี้เป็นต้นแบบการเรียนรู้สำหรับการพัฒนายาชีววัตถุอื่นๆ ของประเทศต่อไป”
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่ายความร่วมมือของภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่ลงนามบันทึกข้อตกลงกัน 8 ฝ่าย ภายใต้ “โครงการพัฒนายา ชีววัตถุและวัคซีน เพื่อลดการนำเข้า และเพิ่มโอกาสส่งออก” โดยได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) ตั้งแต่ปีงบประมาณปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ผลของการดำเนินโครงการ 3 ปีแรกของ มจธ. โดยโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility, NBF) ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุที่มีศักยภาพในระดับที่สามารถผลักดันออกสู่ตลาดได้ในอนาคตอันใกล้ ประกอบไปด้วย ยา Erythropoietin ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการควบคุมคุณภาพจากบริษัท Biosidus ประเทศอาร์เจนติน่า และได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว สำหรับยาต้านมะเร็ง Trastuzumab ที่ มจธ. ได้ร่วมพัฒนากระบวนการผลิตและส่งมอบเทคโนโลยีการผลิตให้กับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เพื่อขยายขนาดการผลิตและการทดสอบทางคลินิก ส่วนยา Growth hormone และยา Immunoglobulin สำหรับโรคมือเท้าปาก (IVIG EV71) ซึ่ง มจธ. มีส่วนร่วมในการพัฒนากระบวนการผลิต ยังอยู่ในช่วงของการทดสอบขยายขนาดการผลิตเพื่อให้พร้อมสำหรับการทดสอบความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนในการต่อยอดให้เกิดการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีน หรือ Biopharmaceutical Characterization Laboratory ซึ่งถือเป็นห่วงโซ่กระบวนการพัฒนายาชีววัตถุที่สำคัญ ที่ทำให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมยาชีววัตถุในไทยมีความพร้อมต่อการลงทุน เป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนายาชีววัตถุและวัคซีนขึ้นใช้เองในประเทศ”
ภายในงานได้จัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “ความพร้อมของอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ และความมั่นคงทางยาของประเทศ” ดำเนินรายการโดย ดร.นเรศ ดำรงชัย Co-chair of APAC LSIF ร่วมกับคณะวิทยากร ศ.ดร.
นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ที่ปรึกษาโปรแกรมชีวเภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ สวทช. คุณธีรนารถ จิวะไพศาลพงศ์ ที่ปรึกษาโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ และคุณมารุต บูรณะเศรษฐกุล บริษัท KINGEN BIOTECH จำกัด กล่าวถึงความสำคัญของโครงการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต หรือ New S-curve ความร่วมมือกันของนักวิจัยสหวิชาชีพจากแต่ละสถาบัน นอกจากเป็นการผลักดันองค์ความรู้จากห้องปฏิบัติการขึ้นสู่ระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้ใช้งานได้จริงแล้ว ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ควบคู่กันไปให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นการสร้างมาตรฐานการผลิตระดับ GMP ในโรงงงานต้นแบบฯ การพัฒนาหน่วยวิเคราะห์ทดสอบ การต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล ทั้งนี้เพื่อให้การวิจัยพัฒนายาสามารถขึ้นสู่ระดับอุตสาหกรรมได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม สร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางยาให้กับประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนอย่างครบวงจรเพื่อผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน Medical Hub ของอาเซียนและก้าวสู่ระดับเอเชียในอนาคต
***************************************************
...ขอขอบพระคุณท่านสื่อมวลชนที่กรุณาอนุเคราะห์ลงข่าวประชาสัมพันธ์...
ติดต่อสอบถามรายละเอียด : เจนนี่ เจ้าหน้าที่อาวุโส งานสื่อสารองค์กร โทร. มือถือ : 097 123 9595
เผยแพร่ : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สำนักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
e-mail :[email protected]
Facebook : @MHESIThailand
Twiiter : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีการล้างมือที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ?? | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
วิธีการล้างมือที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ??
การล้างมือที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19
Q : วิธีการล้างมือที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ??
A : ขั้นตอนที่ 1: ล้างมือให้เปียกด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อก
ขั้นตอนที่ 2: ถูมือด้วยสบู่ในปริมาณที่มากเพียงพอ
ขั้นตอนที่ 3: ถูมือให้ทั่ว รวมทั้งหลังมือ ซอกนิ้ว และใต้เล็บ เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
ขั้นตอนที่ 4: ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อก
ขั้นตอนที่ 5: เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหรือกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34463 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ดีเด่น ปี2563 | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
กสร. รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ดีเด่น ปี2563
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2563 ประเภทองค์รภาครัฐส่วนกลาง ระดับดีเด่น จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม.
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รับคัดเลือกจากคณะกรรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยให้เป็นองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2563 ระดับดีเด่น ซึ่งรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่ได้จัดทำโครงการองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้องค์กรภาคส่วนต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นสิทธิมนุษยชน เคารพในหลักการสิทธิมนุษยชนโดยได้ดำเนินการคัดเลือกองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อเป็นองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนที่สามารถถ่ายทอดการเป็นแบบอย่างที่ดีด้านสิทธิมนุษยชนและขยายผลต่อยอดไปยังองค์กรอื่น ๆ โดยได้เข้ารับรางวัลจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อการนำเสนอองค์กรต้นแบบที่ดี (Best Practice) ด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
อธิบดี กสร.กล่าวต่อไปว่า รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่ทรงคุณค่ายิ่ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยถือเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติงานภายใต้ค่านิยม FAIR ที่ปลูกฝังให้บุคลากรกรมปฏิบัติงาน และให้บริการด้วยความเป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียม กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ผู้รับบริการทุกกลุ่มได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิจากการจ้างงาน และมีความเชื่อมั่นว่างานที่มีคุณค่าจะยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานให้ดีขึ้น และส่งเสริมให้มีการพัฒนาแรงงานที่ยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35442 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ประชุมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนการใช้ที่ดินตำบล 16 ตำบล ในจังหวัดพะเยา | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
รมช.ธรรมนัส ประชุมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนการใช้ที่ดินตำบล 16 ตำบล ในจังหวัดพะเยา
รมช.ธรรมนัส ประชุมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนการใช้ที่ดินตำบล 16 ตำบล ในจังหวัดพะเยา เพื่อให้มีการใช้ที่ดินของประเทศไทยให้เหมาะสม และได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนแผนการใช้ที่ดินตำบล 16 ตำบลในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำอิงตอนบน พร้อมมอบนโยบาย แนวทางการทำงาน และแผนการใช้ที่ดินตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบล ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา จ.พะเยา ว่า จากภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 72 (1) ได้กำหนดให้มีการวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศไทยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และศักยภาพของที่ดิน ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และต่อมาทางสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศ เรื่อง แผนการปฏิรูปประเทศ ลงวันที่6 เมษายน 2561 มีแผนการปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดให้มีการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของชาติทั้งระบบ ให้สอดคล้องและเหมาะสม กับศักยภาพของพื้นที่ มีพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปรับปรุงแผนการใช้ที่ดินตำบล จำนวน 7,225 ตำบล ให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน จึงได้จัดทำแผนการใช้ที่ดินตำบล รวม 16 ตำบล ในท้องที่อำเภอเมืองพะเยา และอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำอิงตอนบน ให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดต่อหน่วยเนื้อที่และเป็นไปอย่างยั่งยืน
“แผนการใช้ที่ดินตำบล 16 ตำบลในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำอิงตอนบนนั้น ทางกรมพัฒนาที่ดินได้มีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 แต่เนื่องด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัลโควิด - 19 จึงทำให้เกิดความล่าช้าไปบ้าง ปัจจุบันได้ดำเนินงานสานต่อแล้ว โดยแผนทั้งหมดจะมีการพัฒนาดินและน้ำร่วมกัน เพราะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการเกษตรกรรม ซึ่งแผนทั้ง 16 ตำบลนั้น จะมีความแตกต่างกันออกไปบ้าง ตามสภาพภูมิลำเนา ทางเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน จะทำการสำรวจไปยังผู้นำหมู่บ้าน และพี่น้องเกษตรกร ถึงความต้องการที่แท้จริง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และอย่างยั่งยืน” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ ได้จัดทำแผนการใช้ที่ดินตำบลทั้ง 16 ตำบล โดยมีการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ตามความต้องการของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ 1. การก่อสร้างสระน้ำในไร่นาขนาด 1,260 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 23 บ่อ ในตำบลแม่ปืม ตำบลบ้านใหม่ ตำบลบ้านเหล่า และตำบลเจริญราษฎร์ 2. การพัฒนาแหล่งน้ำ 11 โครงการ ในพื้นที่ตำบลแม่นาเรือ ตำบลบ้านต๊ำ ตำบลบ้านใหม่ และตำบลท่าจำปี ซึ่งบางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับแบบการก่อสร้างจากสถานีพัฒนาที่ดินพะเยาไปแล้ว 3. การจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำโดยสถานีพัฒนาที่ดินพะเยา ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ และตำบลบ้านสาง 4. การขยายอ่างเก็บน้ำห้วยบง ตำบลแม่ปืม ในเขตปฏิรูปที่ดินให้สามารถเก็บกักน้ำได้มากขึ้นเป็น 3 ล้านลูกบาศก์เมตร 5. อยู่ในระหว่างการจัดทำโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำ ในพื้นที่จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าแม่ปืมและป่าแม่พุง” ตำบลบ้านเหล่า เพื่อเสนอต่อ คทช. จังหวัด อีกทั้งสามารถที่จะใช้ใน การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อให้มีการเพิ่มรายได้จากภาคนอกการเกษตรแก่เกษตรกร ทั้งนี้โดยใช้ “ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ” มาสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก. | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก. เพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทำกิน ได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการพร้อมเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)และมอบฝายชะลอน้ำชั่วคราวบ่อจิ๋วและบัตรดินดินแก่เกษตรกรณเทศบาลตำบลงิมอำเภอปงจังหวัดพะเยา ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีนโยบายช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพพร้อมปัจจัยการผลิตการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของเกษตรกรจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ
"ในวันนี้ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)ให้แก่เกษตรจำนวน135ราย160แปลงเนื้อที่745-0-22ไร่อีกทั้งยังได้มอบฝายชะลอน้ำชั่วคราวจำนวน10แห่งซึ่งในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเกษตรกรจะได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมมีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกทั้งการที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนำหนังสืออนุญาตส.ป.ก. 4 - 01มามอบให้เกษตรกรเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากการบริการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการอีกด้วย”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
นายวุฒิพงศ์เนียมหอมรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพะเยา(ส.ป.ก.พะเยา)มีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินประมาณ459,254ไร่จัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน42,099ราย60,013แปลง322,988ไร่โดยในวันนี้มีเกษตรกรที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินอยู่ในพื้นที่อำเภอปงจังหวัดพะเยารวมทั้งสิ้น135ราย160แปลงเนื้อที่745-0-22ไร่แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยจำนวน12ราย12แปลงเนื้อที่4-1-03ไร่และที่ดินแปลงเกษตรกรรมจำนวน123ราย148แปลงเนื้อที่740-3-19ไร่
ต่อมาได้เดินทางไปยังแปลงเกษตรของนางศรีนวลนามเมืองและนายบุญโฮมนามเมืองหมู่ที่12บ้านใหม่น้ำเงินตำบลงิมอำเภอปงจังหวัดพะเยาซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินเดิมมีการทำนาข้าวเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนการเพาะเห็ดและปลูกยางพาราภายหลังได้เข้าร่วมอบรมโครงการพัฒนาระบบกสิกรรมด้วยศาสตร์พระราชาที่ชุมชนต้นน้ำน่านตำบลศรีภูมิอำเภอท่าวังผาจังหวัดน่านกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพะเยาจึงมีความสนใจและได้เริ่มจากพื้นที่เล็กๆข้างหลังแปลงนาขุดคลองไส้ไก่และหลุมขนมครกเพื่อกักเก็บน้ำไว้ในดินแล้วปลูกผักสวนครัวเอาไว้บริโภคในครัวเรือนต่อมาได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็นลักษณะขุดคลองล้อมรอบพื้นที่และเชื่อมต่อสระน้ำใหญ่ภายในแปลงและเลี้ยงปลากับกบในกระชังปลูกพืชผักสวนครัวเลี้ยงปลาในนาข้าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ห่วงใยผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถทัวร์ชนรถบรรทุก 18 ล้อ ที่ จ.นครราชสีมา กำชับให้โรงพยาบาลดูแลเต็มที่ | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
“อนุทิน” ห่วงใยผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถทัวร์ชนรถบรรทุก 18 ล้อ ที่ จ.นครราชสีมา กำชับให้โรงพยาบาลดูแลเต็มที่
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถนำเที่ยวชนรถบรรทุก 18 ล้อ ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อคืนก่อนรุ่งเช้าวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา
ได้กำชับทีมแพทย์และสาธารณสุข และโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง ให้การดูแลรักษาอย่างเต็มที่
นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยผู้ที่ได้รับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต กรณีอุบัติเหตุรถทัวร์นำเที่ยวจาก จ.ร้อยเอ็ด ชนรถบรรทุกมันสำปะหลัง 18 ล้อ ที่ จ.นครราชสีมา ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ผู้อำนวยการและทีมแพทย์โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอาการทางสมองและหลอดเลือด ทั้งนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดจำนวน 49 ราย แบ่งเป็นผู้ที่มีอาการหนัก 3 ราย อาการกึ่งหนัก 5 ราย บาดเจ็บปานกลาง 20 ราย โดยรักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชน ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงพยาบาลค่ายสุรนารีและโรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้ทำการรักษาและส่งกลับบ้านแล้ว จำนวน 21 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ จำนวน 7 ราย
ทั้งนี้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการเดินทางท่องเที่ยว ของประชาชนคนไทยเองเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย กระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้ทีมแพทย์ ให้การดูแลผู้บาดเจ็บทั้งหมดอย่างเต็มที่ อนึ่งโครงการเที่ยวปันสุข “กำลังใจ” ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) น้ำใส ได้ดำเนินการไปแล้วและกลับมาโดยสวัสดิภาพตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 15 กันยายนที่ผ่านมา
************************** 27 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรี เปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมต.แรงงาน พร้อมด้วย ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน และนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางานร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้
วันที่ 26 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 พร้อมด้วย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้ ณ บริเวณเวทีกลาง ฮอลล์ 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ในโอกาสนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานนี้ เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ด้วยการให้บริการจัดหางานแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้มีงานทำที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และความถนัด มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การรักษาการจ้างงานเดิมโดยเน้นในสาขาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ กิจกรรมการจัดทำฐานช่องทางรวบรวมข้อมูลการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วย แพลทฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ด้วยการนำตำแหน่งงานกว่า 1 ล้านอัตรา จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตำแหน่งงานว่างจากกรมการจัดหางาน จำนวน 475,725 อัตรา, ตำแหน่งการจ้างงานโดยภาครัฐ จำนวน 101,716 อัตรา, ตำแหน่งงานต่างประเทศ จำนวน 114,433 อัตรา, ตำแหน่งงานโครงการเงินกู้(รออนุมัติ) 287,147 ตำแหน่ง, การจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ จำนวน 260,000 ตำแหน่ง (Co-payment) รวมกว่า 1,239,091 อัตรา มารองรับเพื่อให้คนไทยมีงานทำ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ใจความว่า “การจัดงานในครั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการจัดกิจกรรมต่างๆ ตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคนในทุกมิติ ทำให้วัยแรงงานได้รับยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก” พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินเยี่ยมชมโซนต่างๆภายในงาน อาทิ โซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย โครงการจิตอาสา 904 โซนประกันสังคม กับการเปิดตัวกิจกรรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี สำหรับผู้ประกันตนกลุ่มผู้สูงอายุ โซนไทยมีงานทำ ที่จะประชาสัมพันธ์และแสดงศักยภาพความสามารถของแพลทฟอร์มไทยมีงานทำ และโซนนวัตกรรม นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-curve และโซนกิจกรรมรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะให้ก้าวสู่การเป็น Start up เจ้าของของกิจการ และอีกหนึ่งโซน คือ Franchise & Food truck รวมธุรกิจร้านอาหารชื่อดังทั่วไทย มาให้ผู้เข้าชมงานได้เลือกซื้อเลือกชิมและเลือกเจรจาธุรกิจกันได้อีกด้วย
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะ คนหางาน นายจ้าง/สถานประกอบการ ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.com ล่วงหน้า เพื่อความรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอหน้างาน โดยสามารถลงทะเบียนด้วยตนเองตามขั้นตอนดังนี้ 1.ลงทะเบียนเข้าใช้งานครั้งแรก ให้กรอก ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน และตั้งรหัสผ่าน 6 หลัก 2. กรอกข้อมูลส่วนตัว การศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และความสามารถพิเศษ เพื่อเพิ่มโอกาสได้งานทำ 3. ระบบจะทำการค้นหาตำแหน่งงาน ที่ผู้สมัครงานมีคุณสมบัติตรงหรือใกล้เคียงที่สุด โดยแสดงค่าร้อยละของงานที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้สมัครงาน เรียงลำดับจากมากไปน้อย 4. ผู้สมัครงานนำข้อมูลที่กรอกในเว็บไซต์ ยื่นต่อนายจ้างภายในงาน พร้อมสัมภาษณ์งานได้ทันที หรือหากไม่สะดวกในการเดินทาง สามารถส่งข้อมูลการสมัครผ่านเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.com เพื่อสถานประกอบการนัดหมายในการสัมภาษณ์งานต่อไป
สำหรับกิจกรรมเด่นๆ ภายในงาน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น. ที่มีตลอด 3 วันงานนี้
วันที่ 26 กันยายน 2563
รับฟัง การเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางแรงงานไทยในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก”
การอบรม หัวข้อ “ภาษาอังกฤษกับการพัฒนาศักยภาพแรงงานไทย” โดยคุณคริสโตเฟอร์ ไรท์”
กิจกรรมโซนรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ Workshop ทำหมูกรอบ, ซาลาเปา, การดัดลวด, การทำน้ำหอม ลิปสติก
มินิคอนเสิร์ตจาก เบิ้ล ปทุมราช (18.00 น.)
วันที่ 27 กันยายน 2563
การเสวนาในหัวข้อ “ตลาดแรงงานไทยหลังยุค COVID-19 การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและยั่งยืน”การอบรม หัวข้อ “Digital marketing อีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดีย โดยคุณประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช” และ หัวข้อ “อีสปอร์ต (eSports) เปลี่ยนคนติดเกมสู่เส้นทางอาชีพ”
กิจกรรม Workshop สร้างอาชีพ การทำวุ้น 3 มิติ, การถักเชือก, การบิดลูกโป่ง
มินิคอนเสิร์ตจากวง MUSKETEERS (16.30 น.)
วันที่ 28 กันยายน 2563
การเสวนาในหัวข้อ “แรงงานไทย ก้าวไกล สู่ตลาดแรงงานโลก โดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ”
การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพและเตรียมความพร้อม หัวข้อ“อาชีพดีไซน์เนอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก โดยคุณสุทธิรัตน์ แก้วอาภรณ์” และ หัวข้อ “Startup รุ่งหรือร่วง มีคำตอบ”
กิจกรรมแรงบันดาลใจสร้างอาชีพ Workshop การทำกาแฟ, การทำเป็ดกีตาร์, การทำบูมเมอแรง
มินิคอนเสิร์ตจาก GUNGUN เจ้าของเพลง ปลาวาฬเกยตื้น (16.30 น.)
โครงการดีๆ จากรัฐบาล จัดงานโดยกระทรวงแรงงาน
“Job Expo Thailand 2020 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ
วันที่ 26-28 กันยายนนี้ ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 98-99”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35451 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 27 กันยายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 27 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา 1 ราย) เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย
ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,367 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.57 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 97 ราย หรือร้อยละ 2.75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,523 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 24 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) จ.ชลบุรี ตรวจครั้งแรกวันที่ 25 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่าสำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก รายงานวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 294,650 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 33,053,144 ราย โดยประเทศที่มีการติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก ยังคงเป็น สหรัฐอเมริกา 7,287,561 ราย อินเดีย 5,990,581 ราย และบราซิล 4,718,115 ราย จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มระบาดต่อเนื่อง
สำหรับในแถบเอเชีย ประเทศเมียนมาซึ่งเป็นประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยทางตะวันตก ยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลวันที่ 26 กันยายน 2563 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวน 880 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 9,991 ราย ซึ่งรัฐบาลเมียนมาได้ประกาศให้ประชาชนในเมืองอย่างน้อย 11 รัฐและภูมิภาค เข้าสู่มาตรการ “อยู่บ้าน” หรืองดออกจากบ้านหากไม่มีกิจจำเป็น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งพรมแดนของประเทศไทยที่ติดกับประเทศเมียนมานั้น มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศและมีเครือข่ายหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานด้านความมั่นคง ป้องกันแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หากสงสัยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และขอความร่วมมือร้านจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน หากสังเกตพบจำนวนแรงงานต่างด้าวไม่สบายมาซื้อยาแก้ไข้หวัดรักษาตนเองในจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ขอให้สอบถามข้อมูลและแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังการแพร่เชื้อโควิด 19 ในชุมชน
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง เน้นย้ำสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอย่างถูกวิธี ตลอดเวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ เลี่ยงการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สถานที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่ทำได้ และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง หากป่วยขอให้อยู่บ้านและรักษาตัวให้หายป้องกันการนำเชื้อแพร่สู่ผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยของตนเอง คนในครอบครัว ชุมชน สังคม
************************** 27 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย มอบนโยบายขับเคลื่อนงานอาสาสมัครเกษตรในพื้นที่ จัดงานเวทีพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
รมว.เฉลิมชัย มอบนโยบายขับเคลื่อนงานอาสาสมัครเกษตรในพื้นที่ จัดงานเวทีพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน
รมว.เฉลิมชัย มอบนโยบายขับเคลื่อนงานอาสาสมัครเกษตรในพื้นที่ จัดงานเวทีพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน เพื่อสนับสนุนงานของกระทรวงเกษตรฯ อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมชงค่าป่วยการอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน เข้าครม.
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานกล่าวมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครเกษตรในพื้นที่ พร้อมจัดเวทีพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพอาสาสมัครเกษตรระดับเขต “อกม. เข้มแข็ง พร้อมใจสู้ภัยศัตรูพืช” ณ โรงแรมประจวบแกรนด์ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน ถือเป็นนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมาอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้านได้ปฏิบัติงานจัดเก็บรวบรวม และรายงานข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตร ประสานงานในการถ่ายทอดความรู้และการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในหมู่บ้าน รวมทั้งติดตามสถานการณ์การเกษตรในหมู่บ้านพร้อมรายงานเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน ลงพื้นที่เคียงข้างกับเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรในการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อมูลโครงการเยียวยาเกษตรกรฯ ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร เก็บรวบรวมใบสมัครนำส่งสำนักงานเกษตรอำเภอ เพื่อดำเนินการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ส่งข้อมูลให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องเกษตรกรด้วยความเรียบร้อย ทั่วถึง และรวดเร็ว จนสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ถ่ายทอดแผนการขับเคลื่อนงานไปสู่อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน ดังนี้ 1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามบทบาทหน้าที่ ในฐานะเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้สามารถสนับสนุนงานส่งเสริมการเกษตรและงานตามภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2. สนับสนุนให้อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) มีระบบการทำงานเป็นกลไกและมีส่วนร่วมในการพัฒนางานส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ เชื่อมโยงเครือข่าย การปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่และพัฒนาให้เป็นต้นแบบแก่เกษตรกรทั่วไป 3. การสร้างขวัญกำลังใจ สร้างการรับรู้ให้สาธารณชน พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานของอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) และยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่อาสาสมัครเกษตร ในฐานะเกษตรกรผู้มีจิตอาสา ให้โอกาสในการแสดงความเป็นผู้นำและเป็นที่เชื่อถือยอมรับของเกษตรกร
สำหรับการเร่งรัดดำเนินการเสนอค่าตอบแทน(ค่าป่วยการ)ให้กับอกม. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการดำเนินงานอาสาสมัครเกษตร เสนอค่าตอบแทน (ค่าป่วยการ) ขณะนี้ได้มีประกาศระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยการบริหารงานอาสาสมัครเกษตร เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 และได้เตรียมเสนอ ครม. เพื่อสนับสนุนค่าตอบแทน (ค่าป่วยการ) ให้กับอาสาสมัครหมูบ้าน โดยคาดจะเร่งจ่ายเงินงวดแรกภายในเดือนตุลาคมนี้
นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่1.มะพร้าว ได้มีการควบคุมดูแลเรื่องโรคระบาด และการปรับปรุงพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและต้นทุนในการดูแลต่ำ 2.ยางพารา กระทรวงเกษตรฯมีมาตราดูแลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพราคายาง การสนับสนุนการใช้ยางพาราในภาครัฐ เชื่อว่ามาตราการต่างๆเหล่านี้จะสามารถยกระดับราคายางพาราให้สูงขึ้น" นายเฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35449 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกวดขันจัดการจริงจังเว็บไซต์พนันออนไลน์ | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีกวดขันจัดการจริงจังเว็บไซต์พนันออนไลน์
นายกรัฐมนตรีกวดขันจัดการจริงจังเว็บไซต์พนันออนไลน์
วันนี้ (27ก.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นห่วงเรื่องการเข้าถึงเว็บไซต์พนันออนไลน์ในปัจจุบันว่า สามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและจากหลากหลายช่องทาง เป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำกับดูแลการโฆษณาการพนัน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันที่มีเป้าหมายหลักไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชนจะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเข้าถึงการเล่นพนันบนอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2563 ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ติดตามขอความร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์) ทุกราย ให้เร่งระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ ภายหลังได้ส่งคำสั่งศาลไปแล้ว 982คำสั่ง และเพิ่มเติมอีก 220เว็บไซต์ รวมเป็น 1,202 เว็บไซต์ ที่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การพนัน ซึ่งหากเลยกำหนดระยะเวลา 15วัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะดำเนินการเอาผิดกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต(ไอเอสพี) และโอเปอร์เรเตอร์นั้น ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 27 ทันที
ทั้งนี้ มีผลการวิจัยพบว่า คนเล่นออนไลน์มีแนวโน้มติดการพนันง่ายและเสี่ยงสูญเสียเงินมากกว่าการพนันออฟไลน์ เพราะความยับยั้งชั่งใจต่ำ ยิ่งคนที่ใช้มือถือเล่นพนันออนไลน์ยิ่งมีโอกาสเสียพนันมากขึ้น ดังนั้นจึงขอให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันจัดการเว็บไซต์พนันออนไลน์อย่างเข้มงวดและจริงจังต่อไป
____________
สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลใช้การต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน มองยาวหลังโควิด19 ขยายวงไกลกว่าเอเซีย เล็งฟื้นFTAไทย-อียู | วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
รัฐบาลใช้การต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน มองยาวหลังโควิด19 ขยายวงไกลกว่าเอเซีย เล็งฟื้นFTAไทย-อียู
รัฐบาลใช้การต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน มองยาวหลังโควิด19 ขยายวงไกลกว่าเอเซีย เล็งฟื้นFTAไทย-อียู
วันนี้ (27ก.ย.63) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาคโดยเฉพาะเรื่องการค้าการลงทุนเพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกประกอบด้วยสมาชิก 16 ประเทศ คือ สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศและคู่เจรจาอีก 6 ประเทศได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย (ยังไม่ร่วมลงนาม) มีประชากรรวมกัน 3.6 พันล้านคน คิดเป็น 48.1% ของประชากรโลก โดยในปีที่แล้ว ประเทศสมาชิกมีมูลค่าจีดีพีกว่า 28.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 32.7% ของจีดีพีโลก ทั้งนี้ การลงนาม RCEP จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและส่งเสริมระบบกฎเกณฑ์การค้าแบบพหุภาคี และมั่นใจว่าจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด19 รวมทั้งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของประเทศอินเดียแม้ยังไม่ได้ร่วมลงนาม RCEP ก็ไม่เป็นไรเพราะประเทศสมาชิกยังเปิดโอกาสให้อินเดียเมื่อพร้อมเสมอ อีกทั้งอาเซียนได้มีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน–อินเดีย (AITIGA) ตั้งแต่ 2553 ซึ่งจะมีการทบทวนความตกลงให้ทันสมัย และเอื้อต่อการค้าและการลงทุน รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องการเปิดตลาด การลดอุปสรรคในมาตรการที่มิใช่ภาษี การลดความล่าช้าและยุ่งยากในพิธีการศุลกากร และอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะช่วยผลักดันการค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้บรรลุเป้าหมายที่ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2565 มากไปกว่านั้น อาเซียนยังได้มีการขยายความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แคนนาดา สหภาพยุโรป และสหภาพยูเรเซีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์เมเนีย และรัสเซีย) ถึงจะยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นที่ดี ที่ได้มีการลงนามเห็นชอบร่วมกันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องแผนงานส่งเสริมการค้าการลงทุน และการหารือเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ เท่ากับว่า อาเซียนได้ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกว้างไกลกว่าภูมิภาคเอเซียแล้ว
ยังมีเรื่อง การฟื้นการเจรจาการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) 27 ประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสสำคัญเพราะจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เป็นการขยายโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ในปี 2562 อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ การค้าระหว่างไทย-อียู มีมูลค่ากว่า 4.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการค้า 9.2% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 2.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเจ้าภาพหลัก ได้ทำการศึกษาและระดมความคิดเห็นต่อความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ที่ครอบคลุมเรื่อง การค้า สินค้า บริการ และการลงทุน ซึ่งหากมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการ ทั้งของไทยและอียูในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ถึง 1.28% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.05 แสนล้านบาท สินค้าส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัว เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก เป็นต้น ในส่วนข้อกังวลจากภาคประชาสังคมเรื่องการเข้าถึงยาและการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่สืบเนื่องจากมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกด้าน เตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจาอย่างรัดกุมต่อไป โดยผลของการศึกษาและการฟื้นการเจรจาค้าเสรีฯ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ครม.พิจารณาในอีกไม่นานนี้
“เมื่อสถานการณ์โควิด19ทั่วโลกคลี่คลาย การบริโภคและความต้องการสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น การค้าเสรีจะทำให้สินค้าส่งออกไทยไม่ต้องต้องแบกรับอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม การค้าเสรีจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภาคเอกชนไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องคุณภาพ และการผลิตได้ตามความต้องการของตลาด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีการจัดทัพให้ทูตพาณิชย์เป็นเซลแมนประเทศ หาตลาดและจับคู่ธุรกิจการค้า ส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และหน่วยงานรัฐต่างๆมีโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ทั้งเรื่องแหล่งเงินกู้ การอบรมการใช้เทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร การส่งเสริมมาตรฐานสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นต้น รัฐบาลพร้อมดูแลและเยียวยาอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นพิจารณาว่าจะไปเจรจาหรือไม่ เช่น ไทย-อียู จะไม่มีการเร่งรีบแต่ศึกษาอย่างรอบคอบ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดท่าทีเจรจา และการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” นางสาวรัชดา กล่าว
————————-
สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันที่ 24 กันยายน วันมหิดล | วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563
วันที่ 24 กันยายน วันมหิดล
เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรอ. หนุนแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ “BCG โมเดล” ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 | วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563
กรอ. หนุนแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ “BCG โมเดล” ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0
กรอ. หนุนแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ “BCG โมเดล” ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0
กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) หนุนแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ “BCG โมเดล” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ผ่านการต่อยอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม จับมือ “อินฟอร์มา มาร์เก็ต” จัดงานสัมมนาวิชาการ “อนาคตอุตสาหกรรมไทย...ก้าวไกลสู่ BCG” บูรณาการความรู้ ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่สากล ผ่านการสร้างความเชื่อมั่น ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างปลอดภัยทั้งต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “อนาคตอุตสาหกรรมไทย...ก้าวไกลสู่ BCG” ซึ่งจัดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ ส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขับเคลื่อนและพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรงงานฉบับใหม่ จำนวน 70,180 โรงงาน และเพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบการเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวให้เพิ่มขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ขับเคลื่อนระบบอุตสาหกรรมสีเขียว ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) และนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (GCIP)
ทั้งนี้ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) นั้น เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่จะพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) ไปพร้อมกัน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เน้นการพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว ที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไปเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ผ่านการกำหนดทิศทางการดำเนินงานในการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยกำหนดยุทธศาสตร์หลัก 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1. การเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตและเข้มแข็ง ผ่านการส่งเสริม พัฒนาและต่อยอดงานวิจัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และพัฒนาผู้ประกอบการให้มีสมรรถนะสูงในทุกด้าน ยุทธศาสตร์ที่ 2. การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรม ผ่านการปรับปรุงข้อกฎหมาย กฎระเบียบและกระบวนการต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการลงทุนและประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมมากขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 3. การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม ผ่านการพัฒนากลไกในการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยตั้งแต่ปี 2551 ถึงปัจจุบัน มีโรงงานอุตสาหกรรมได้รับโล่รางวัลแล้ว 999 ราย และมีโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง (CSR-DIW Continuous) มากกว่า 400 ราย และยุทธศาสตร์ที่ 4. การพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อให้บริการอย่างมีคุณภาพ ผ่านการส่งเสริมจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
"เป้าหมายสุดท้ายของหลักการ BCG โมเดล (Bio Circular Green) เพื่อนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงพัฒนาด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งมั่นในการพัฒนาให้ประเทศไทยมีเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรม หรือ Eco Industrial Town ไม่น้อยกว่า 40 พื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่นำเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไปเหนี่ยวนำเศรษฐกิจชุมชนตามแนวทาง BCG โมเดล ให้เติบโตไปด้วยกันภายใต้สภาวะแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กายภาพและการบริหารจัดการในพื้นที่ให้เกิดความสมดุลทุกมิติ" นายภานุวัฒน์ กล่าว
นายศุภกิจ บุญศิริ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า การสัมมนาวิชาการ เรื่อง “อนาคตอุตสาหกรรมไทย...ก้าวไกลสู่ BCG” ได้จัดขึ้นในวันที่ 23 – 25 กันยายน 2563 โดยเป็นการจัดงานภายใต้งาน Boilex Asia และ Pumps and Valves Asia 2020 ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ให้การสนับสนุนการจัดงานร่วมกับ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต จำกัด มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง และปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 7 โดยมีหัวข้อสัมมนาทั้งหมด 16 หัวข้อ และมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมการสัมมนาล่วงหน้าประมาณ 1,400 คน โดยการจัดงานได้มีมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานสัมมนา
โดยการจัดสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่ Factory 4.0 และการใช้แนวคิดเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG โมเดล” อันได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการสัมมนา และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม วัตถุอันตราย และความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการโรงงาน บุคลากรในโรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ อาทิ Safety Application การตรวจประเมินตนเองด้านความปลอดภัย ระบบดิจิทัลเพื่อประชาชนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เกี่ยวข้องกับโรงงานที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างครบมิติ ทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด (Clean Technology) และ Eco Industrial Town เครื่องมือการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและเขตอุตสาหกรรมสู่ BCG
นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการแสดงผลสำเร็จตามภารกิจของกรมโรงงานอุตสาหกรรมในการส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีการผลิต สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย วัตถุอันตราย พลังงาน และความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนนโยบายสำคัญ ๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น ระบบดิจิทัลเพื่อการรับการบริการของประชาชนและภาคอุตสาหกรรม บริการรับคำขอประกอบกิจการโรงงานผ่านระบบดิจิทัล บริการใบอนุญาต ใบรับรองแบบดิจิทัล รายงานผลการปฏิบัติการตามกฎหมาย (Self - Declaration) อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เมืองอุตสาหกรรมนิเวศ (Eco Industrial Town) รวมทั้งการบริหารจัดการวัตถุอันตรายและความปลอดภัย เป็นต้น
"กรมโรงงานอุตสาหกรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การสัมมนาวิชาการในครั้งนี้ จะเป็นการสื่อสารข้อมูลและองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้นำไปสู่การบูรณาการการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม วัตถุอันตราย สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เกิดความปลอดภัยต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคประชาชน ลดความขัดแย้ง และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายศุภกิจ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35368 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คําปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” | วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563
คําปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด”
คําปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด”
คําปาฐกถาพิเศษ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในการประชุมประจำปี 2563
ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด”
ในจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เวลา 08.45 น.
ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นนทบุรี
.........................................................
ท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี
ประธานสภาและกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในหัวข้อเรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของคนไทยทุกคนในปัจจุบันนี้ เพราะทุกท่านทราบดีแล้วว่า ขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด –19 ที่ส่งผลต่อชีวิตของคนทั้งโลกและสั่นคลอนสภาวะเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชากรทั่วโลกอย่างรุนแรง
แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นตามลำดับ แต่ผมอยากเรียนย้ำว่าเรายังจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัดและประมาทไม่ได้ เพราะอนาคตข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราทุกคนต้องเตรียมตัว ปรับตัว และพร้อมเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของไวรัสโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ อีกด้วย
การประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติในวันนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์มากต่อการที่ประเทศไทยจะตั้งหลักและวางแนวทางรับมือกับชีวิตวิถีใหม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นี้ การพัฒนาประเทศคงจะต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ อีกมาก และคงจะต้องมีการเตรียมการ และพลิกโฉมการพัฒนาในบางด้านอย่างมากด้วย
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 นั้น นับเป็นแผนฯ ที่มีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ตามเกณฑ์มาตรฐานนานาประเทศ และเป็นสังคมที่คนไทยมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สังคมมีความปรองดองสมานฉันท์ ทุกคนมีที่ยืนสมศักดิ์ศรี
ของความเป็นมนุษย์ แผนฯ 12 เป็นก้าวย่างแรกของการเดินทาง ซึ่งต้องเน้นที่การวางรากฐานที่แข็งแกร่งของประเทศ โดยต้องเร่งกำจัดจุดอ่อนสำคัญโดยเฉพาะจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง พร้อมทั้งเร่งเสริมจุดแข็งเดิม และพัฒนาจุดแข็งใหม่สำหรับอนาคต
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเห็นว่าการประชุมเพื่อนำเสนอผลการพัฒนาในระยะครึ่งทางของแผนฯ 12 ของสภาพัฒน์ในวันนี้จึงมีความสำคัญมาก และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
ของการ กำหนดจังหวะก้าวต่อๆ ไปของประเทศให้เป็นก้าวที่หนักแน่น มั่นคง และเป็นก้าวที่เป็นเสมือนแรงส่งให้เราก้าวผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นไปได้เป็นอย่างดี โดยรายละเอียดจะเป็น
เช่นไรนั้น ก็คงจะได้รับทราบและร่วมกันแสดงความเห็นกันในช่วงต่อไปของการประชุมครับ
รัฐบาลกับการขับเคลื่อนการพัฒนาในยุค New Normal
รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยยึดโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 มาโดยตลอด โดยในช่วงที่ผ่านมา สามารถผลักดันให้เกิดการพัฒนาผ่านการดำเนินนโยบายสำคัญในหลายด้าน อาทิ(1) การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งช่วยในการลดค่าครองชีพ ทั้งการซื้อสินค้า และการเดินทาง (2) การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการประกันรายได้ให้กับผู้ปลูกพืชเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรผู้ปลูกพืชทั้ง 5 ชนิดไปแล้วกว่า 3.4 ล้านครัวเรือนหรือเป็นจำนวนเงินกว่า 54,762 ล้านบาท (3) โครงการ "ชิมช้อปใช้" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ (4) การอนุมัติงบบัตรทอง ปี 2563 จำนวน 1.91 แสนล้านบาท (5) การเพิ่มเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกว่า 6.5 พันล้านบาท (6) การแก้ปัญหาภัยแล้ง และ (7) โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินการรับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่สามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี พร้อมกับการเยียวยาประชาชน โดยรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าวให้แก่ประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย อาทิ การจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินกู้ฉุกเฉิน มาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา การยืดเวลาการชำระภาษีเงินได้ ตลอดจนการยืดระยะเวลาชำระหนี้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี รัฐบาลเห็นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างต่อเนื่องในวงกว้างต่อไปอีก รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้พระราชกำหนด 3 ฉบับ (มีผลบังคับใช้วันที่ 19 เมษายน 2563) วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจ เพื่อเยียวยาประชาชน และฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ (1) พ.ร.ก. Soft Loan ช่วยเหลือ SMEs วงเงิน 5 แสนล้านบาท(2) พ.ร.ก. BSF ดูแลตลาดตราสารหนี้ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการให้อำนาจ ธปท. เข้าไปบริหารจัดการสภาพคล่องในภาคธุรกิจและตลาดเงินตลาดทุนได้อย่างตรงจุด และ (3) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท
สำหรับการดำเนินการตาม พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท ปัจจุบัน ครม. อนุมัติโครงการภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้ว รวมวงเงิน 388,061.2856 ลบ. โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายแผนงาน/โครงการภายใต้แผนงานเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาประชาชน เกษตรกรและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ (550,000 ลบ.) วงเงินรวม 344,734.9490 โดยมีประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว รวมประมาณ 30.455 ล้านราย แบ่งเป็น ประชาชน 15.302 ล้านราย เกษตรกร 7.486 ล้านราย และกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส 7.675 ล้านราย
รองลงมาเป็นการใช้จ่ายแผนงาน/โครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (400,000 ล้านบาท) ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบกรอบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (รอบที่ 1) วงเงิน 92,400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการอัดฉีดเม็ดเงินโดยภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนเริ่มปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 ในเดือนตุลาคม 2563 และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในขั้นต้นที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2563 โดยแผนงาน/โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (รอบที่ 1) จะมุ่งตอบโจทย์เป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก (2) เน้นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (3) เน้นกระตุ้นอุปสงค์ และการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ประมาณ 400,000 ราย เกษตรกรมีความมั่นคงทางอาชีพ 95,000 ราย ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5,450 แปลง เพิ่มพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มขึ้น 2.4 แสนไร่ พื้นที่เกษตรสมัยใหม่เพิ่มขึ้น 5 ล้านไร่ พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น 1.7 แสนไร่ และสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการสำคัญ (ภายใต้กรอบวงเงินรอบที่ 1) แล้ว 13 โครงการ วงเงิน 43,082 ล้านบาท อาทิ โครงการ 1 ตำบลกลุ่ม 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ (โคก หนอง นา โมเดล) โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ โครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โครงการพัฒนาป่าไม้ สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน โครงการเฝ้าระวังสร้างแนวกันไฟสร้างรายได้ชุมชน โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านสัตว์ป่า โครงการกำลังใจ และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน นอกจากนั้นยังได้อนุมัติโครงการระดับจังหวัดที่มุ่งตอบสนองความต้องการในระดับพื้นที่ไปแล้ว 210 โครงการ วงเงิน 1,027 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผมอยากเรียนทุกท่านว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นวิกฤตระดับโลก เราไม่เคยประสบวิกฤตการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง เราต้องปรับตัวทั้งในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ “New Normal” หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ชีวิตวิถีใหม่” ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่โลกภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ด้วย เพราะเราไม่อาจทำงานในรูปแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป
ชีวิตวิถีใหม่ภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ท่านผู้มีเกียรติครับ วิกฤตการณ์โควิด-19 ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งจากภายในและฐานราก เพื่อให้ทุกคนในชาติมีภูมิต้านทานต่อความผันผวนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือการมุ่งพัฒนาไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อวางรากฐานประเทศในระยะยาวและมีแผนแม่บท 23 แผน เป็นตัวขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ แต่การก้าวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการที่เราต้องเผชิญกับแนวโน้มสำคัญของโลก (Mega Trends) อีกนานัปการ การพัฒนาประเทศตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาทบทวนให้มีความสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาใหม่ของประเทศยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงได้จัดทำ “แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564-2565” ซึ่งจะเป็นการระบุแนวทางการพัฒนาที่ต้องเน้นให้ความสำคัญเป็นพิเศษ (Top Priorities) และประเด็นการพัฒนาเพิ่มเติม (Emerging Issues) ที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้สามารถรับมือและเตรียมความพร้อมในการเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งนำเงื่อนไขของบริบทการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาเป็น “จุดเปลี่ยน” ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่หมุดหมายใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต
การกำหนดทิศทางการพัฒนาเพื่อให้ประเทศไทยมีความเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถรับและลดความเสี่ยง ขณะเดียวกันยังมีศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศให้สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) โดยการสร้างความสามารถ 3 ประการ ได้แก่1) การพร้อมรับ (Cope) หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะวิกฤติ ให้สามารถยืนหยัดและต้านทานความยากลำบาก รวมถึงฟื้นคืนกลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว2) การปรับตัว (Adapt) หมายถึง การปรับทิศทาง รูปแบบ และแนวทางการพัฒนา ให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง พร้อมกระจายความเสี่ยงและปรับตัวอย่างเท่าทันเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น3) การเปลี่ยนแปลง เพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน (Transform) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาประเทศต่อไป
ทั้งนี้ แนวคิด “ล้มแล้ว ลุกไว” ดังกล่าว มีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาประเทศของเรามาตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 จนถึงปัจจุบัน
แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ มีเป้าหมายสำคัญ คือ“คนสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และมีการวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่” โดยได้ระบุ 4 ประเด็นการพัฒนาที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในระยะ 2 ปีข้างหน้า เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศให้สามารถ “ล้มแล้ว ลุกไว หรือ Resilience” ประกอบด้วย
1. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) โดยการมุ่งเน้นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจไปยังระดับท้องถิ่น ผ่านการส่งเสริมการจ้างงานโดยเฉพาะในระดับพื้นที่และชุมชน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้สามารถปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มและโอกาสทางตลาดที่ดีในอนาคต ตลอดจนดำเนินงานด้านการกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจไปยังเมืองหลักและเมืองรองที่มีขีดความสามารถและมีความพร้อม เพื่อให้การเติบโตของพื้นที่และเมืองในภูมิภาคเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงความเจริญ เป็นแหล่งจ้างงาน สร้างอาชีพ และกระจายรายได้ไปยังภาคส่วนและชุมชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง2. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) โดยมุ่งเน้นด้านการเตรียมความพร้อมและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลัก (Growth Engines) ที่ประเทศไทยมีโอกาสและมีการวิเคราะห์แล้วว่ามีศักยภาพภายใต้ภูมิทัศน์ของเศรษฐกิจโลกแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนไป ได้แก่
2.1 อุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ครบวงจร ด้วยการขยายช่องทางการตลาดทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย
2.2 การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และเน้นคุณภาพ ด้วยการเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวทั้งระบบ ให้มุ่งเน้นที่เชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ
2.3 การเกษตรมูลค่าสูง ด้วยการสร้าง Market Platform ให้กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน
2.4 อุตสาหกรรมอาหาร ด้วยการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและการจ้างงาน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
2.5 อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ด้วยการสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและแรงงาน รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งระเบียบ กฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน และอุปสงค์ของผู้บริโภคในประเทศให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
3. การพัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของคน (Human Capital) โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะ (Upskill) ปรับทักษะ (Reskill) และส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อรองรับอุตสาหกรรมและบริการที่จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลักในระยะยาว ร่วมกับการขยายและพัฒนาระบบประกันสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรทุกสาขาอาชีพและทุกช่วงวัย ตลอดจนการส่งเสริมความมั่นคงทางสุขภาพ เพื่อให้คนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน
4.การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ขีดความสามารถในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนตามที่กล่าวมาให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนา ประกอบด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้โครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับทิศทางการการพัฒนาประเทศ
4.1 การปรับปรุงกฎหมายและส่งเสริมภาครัฐดิจิทัล ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ
4.2การพัฒนาองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ
4.3การเสริมสร้างความมั่นคงและบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อรองรับสาธารณภัยและภาวะวิกฤตทุกรูปแบบ
4.4 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีการพัฒนา เพื่อให้การฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศมีประสิทธิภาพสามารถบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนอื่นๆ ในสังคม
สรุป :ความสำเร็จจากการมีส่วนร่วม
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในยุคชีวิตวิถีใหม่
ไปสู่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ทุกภาคส่วนจะต้องรวมพลังกันเพื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ทุกฝ่ายต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในการดำเนินการให้ประสบผลเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาสังคม ที่ต้องร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นที่จะสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ไม่ใช่เป็นการพัฒนาที่หวังเพียงความสำเร็จในระยะสั้นๆ หรือขาดการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตระยะยาวเลย และผมปรารถนาที่จะเห็นพี่น้องประชาชนสามารถปรับตัวให้เรียนรู้ ตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา เรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เรียนรู้เพื่อนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และเรียนรู้ในการที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา ตลอดจนตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และมีจิตสาธารณะ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนของประเทศ ต้องพัฒนาตนเองเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกันในทุกระดับ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ดังนั้น ผมขอฝากให้ทุกท่านร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเกี่ยวกับผลการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ในการประชุมครั้งนี้อย่างเต็มที่ รวมถึงช่วยกันนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนต่างๆ ที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ มีความสมดุลของการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้นำผลไปประมวลและนำไปใช้ในการกำหนดทิศทางและดำเนินการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญต่างๆ เพื่อผลักดันการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนฯ 12 ที่ตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคีพัฒนาต่อไป
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” และขออวยพรให้การจัดงานประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทุกประการ
.................................................
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับมือภาคเอกชน ดำเนินโครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID-19 | วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563
จับมือภาคเอกชน ดำเนินโครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID-19
ก.เกษตรฯ จับมือภาคเอกชน ดำเนินโครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID-19 อย่างเต็มรูปแบบ หลังได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 63 นี้ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะครบจำนวน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวโครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID-19 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรและประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ทั้งภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ภาคธุรกิจ รวมถึงภาคการเกษตรของประเทศ ซึ่งไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เกิดภาวะการว่างงาน และทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้จัดทำ “โครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID-19” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด เป็นการนำร่องเพื่อสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวที่มีลักษณะเติบโตเร็ว อายุสั้นถึงอายุปานกลาง ให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่สนใจทำการเกษตรในการปลูกพืชผักสวนครัวและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยเปิดลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 10,000 ชุด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สนใจลงทะเบียนครบตามเป้าหมายภายในเวลาอันรวดเร็ว และมีผู้ประสงค์ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ กว่า 103,656 ราย
และจากกระแสตอบรับที่ดีของการนำร่องโครงการฯ ระยะแรก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ร่วมดำเนินโครงการฯ นี้อย่างเต็มรูปแบบพร้อมขยายผลโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวเพิ่มเติมให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ที่สนใจทำการเกษตรปลูกพืชผักสวนครัวและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ให้มีพืชผักสวนครัวไว้ใช้เป็นแหล่งอาหารบริโภคภายในครัวเรือน โดยการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวที่จำเป็นภายในครัวเรือนให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไป จำนวน 200,000 ชุด จากภาคเอกชน 2 แห่ง คือ บริษัท เจียไต๋ จำกัด และบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด
สำหรับผู้สนใจเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวสามารถลงทะเบียนโดยสแกน QR Code ได้โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2563 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะครบจำนวน เพื่อแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่สนใจทำการเกษตรในการปลูกพืชผักสวนครัว และเป็นการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบในภาวะวิกฤต ให้มีพืชอาหารบริโภคสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้ออกแบบเว็บไซต์และช่องทางการสื่อสารสำหรับให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากนี้ยังร่วมกับ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ บริษัท เจียไต๋ จำกัด จัดทำข้อมูลองค์ความรู้ตามชนิดพันธุ์ผักสวนครัวที่สนับสนุนเพื่อเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์หรือช่องทางการสื่อสารของกรมส่งเสริมการเกษตร
ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า เกษตรกรและผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://app.doae-gov.org/landing หรือสแกน QR code ทุกช่องทางสื่อสารของกรมส่งเสริมการเกษตร เช่น หน้าเว็บไซต์กรมส่งเสริมการเกษตร www.doae.go.th, Facebook Fanpage ประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร, ไลน์แอด “ข่าวส่งเสริมการเกษตร” โดย 1 ครัวเรือน (ทะเบียนบ้าน) จะได้รับจำนวน 1 สิทธิ์ คือ เมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว 1 ชุด ประกอบด้วย เมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว จำนวน 4 - 5 ชนิด ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ผักกาดกวางตุ้งต้น แตงกวา คะน้ายอด กะเพรา และพริกขี้หนู สำหรับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สำเร็จ หากมีพื้นที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร บริษัท เจียไต๋ จำกัด และ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด จะเป็นผู้จัดส่งซองบรรจุเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวตามโครงการฯ ให้แก่ผู้ลงทะเบียน ส่วนผู้มีพื้นที่อยู่ต่างจังหวัด ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 1 – 10 ของกรมส่งเสริมการเกษตร จะดำเนินการส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวพร้อมรายชื่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้สำนักงานเกษตรจังหวัดและมอบหมายให้เกษตรตำบลในแต่ละพื้นที่ทำการส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวให้แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สำหรับองค์ความรู้และข้อมูลทางด้านการเกษตร เช่น เรื่องการปลูก การดูแลรักษา การผลิตและขยายพันธุ์พืชผักตามชนิดพืชในโครงการฯ เกษตรกรและประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้ผ่านทางเว็บไซต์หรือช่องทางการสื่อสารของกรมส่งเสริมการเกษตร หรือเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานเกษตรอำเภอ ซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาและแนะนำความรู้ พร้อมเข้าติดตามประเมินผลควบคู่อีกทางหนึ่งด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35371 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.ส่งมอบพันธกิจอนาคตสาธารณสุขไทยปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563
ปลัดสธ.ส่งมอบพันธกิจอนาคตสาธารณสุขไทยปี 2564
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่งมอบพันธกิจอนาคตสาธารณสุขไทยปี 2564 ว่าที่ปลัดกระทรวงคนใหม่ ด้วยหลัก H-SMILE ให้ความสำคัญโครงการตามพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ระลอกใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่งมอบพันธกิจอนาคตสาธารณสุขไทยปี 2564 ว่าที่ปลัดกระทรวงคนใหม่ ด้วยหลัก H-SMILE ให้ความสำคัญโครงการตามพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ระลอกใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและกัญชาทางการแพทย์
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนงานรองรับนโยบายสำคัญด้านสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2564 ถึง “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต การขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทย” ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ว่า ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนโครงการสำคัญ อาทิโครงการในพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์โครงการจิตอาสา 904 เราทำความดีด้วยหัวใจ การปราบลูกน้ำยุงลายและการบริหารจัดการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ร่วมเป็นจิตอาสาสร้างขวัญกำลังใจบุคลากรให้มีความก้าวหน้า บรรจุข้าราชการรุ่นโควิด 19ขับเคลื่อนสมุนไพรและกัญชาทางการแพทย์โดยปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับนโยบาย เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ 297 แห่ง มีผู้ใช้บริการกว่า 2 แสนราย
การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนลดความแออัด ลดการรอคอยและค่าใช้จ่าย โดยพัฒนาโรงพยาบาลจตุรทิศ การจัดส่งยาใกล้บ้านในชุมชน ทางไปรษณีย์ การรักษาทางไกล (Telemedicine) ผู้ป่วยและบุคลากรการแพทย์ปรึกษาแบบเรียลไทม์ Telemedicniกรรปราบลูกน้ำยุงลายและ 24 dyopkขยายการผ่าตัดวันเดียวกลับเพิ่มเป็น 24 กลุ่มโรคระบบบริการปฐมภูมิมีหมอครอบครัวกระจายครอบคลุมมากขึ้น มีคลินิกหมอครอบครัว 830 ทีม ครอบคลุมประชากร 8 ล้านคน พัฒนา อสม. 1.04 ล้านคนให้เป็น อสม. 4.0 และเป็นหมอประจำบ้านในอนาคตรณรงค์ขับเคลื่อนยุติหรือแบนการใช้สารเคมีอันตรายและการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ นายแพทย์สุขุม ได้ส่งมอบพันธกิจอนาคตสาธารณสุขไทยปี 2564 ให้แก่นายแพทย์เกียรติภูมิ ว่าที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนต่อไป ด้วยหลัก "H-SMILE" ได้แก่Health บุคลากรเป็น health Model ที่ดี ใส่ใจสุขภาพประชาชน,Seamless ทำงานไร้รอยต่อทุกพื้นที่ทุกมิติ,Mate มีเพื่อน มีทีม มีเครือข่าย,Integrate คิดและทำอย่างบูรณาการด้วยเป้าหมายเดียวกัน,Life เป็นองค์กรคุณภาพ สร้างคน สร้างงาน ด้วยใจและปัญญา และEncourage เสริมพลังเพื่อก้าวผ่านความท้าทาย เพื่อนำไปสู่คนไทยแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง
ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จะสานต่อนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำไปสู่การปฏิบัติ และจะสานต่อโครงการที่เป็นผลดีและเป็นประโยชน์กับประชาชน สิ่งสำคัญคือ การสร้างความรักและความสามัคคีภายในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานเพื่อประชาชน
********************************* 24 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35377 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.