title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวธ. จัดพิธีประกาศและมอบรางวัล การประกวดทำคลิป "สัญจรดี วิถีไทย" และการเขียนเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
สวธ. จัดพิธีประกาศและมอบรางวัล การประกวดทำคลิป "สัญจรดี วิถีไทย" และการเขียนเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม”
สวธ. จัดพิธีประกาศและมอบรางวัล การประกวดทำคลิป "สัญจรดี วิถีไทย" และการเขียนเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม”
(วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๓) ณ หอประชุมเล็ก สวธ. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล โครงการประกวดทำคลิปเผยแพร่มารยาทไทยแก้ไขปัญหาจราจร ภายใต้หัวข้อ "สัญจรดี วิถีไทย" และโครงการประกวดการเขียนเรื่องสั้น หัวข้อ “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของมารยาทไทยและมารยาทในสังคม รวมถึงการสร้างวินัยการจราจรโดยเฉพาะ การใช้สื่อโซเซียลเผยแพร่ความไม่เหมาะสมต่าง ๆ
นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า โครงการจัดการประกวดการเขียนเรื่องสั้น หัวข้อ “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” และการประกวดทำคลิปเผยแพร่ “มารยาทไทย แก้ไขปัญหาจราจร” ในหัวข้อ “สัญจรดี วิถีไทย” เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในการใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย มีจิตสำนึก รับผิดชอบ มีน้ำใจ และ เอื้ออาทรให้แก่กันบนท้องถนน มีมารยาทที่ดีในการขับขี่ยานพาหนะ กระตุ้นจิตสำนึก โดยใช้มารยาทไทยควบคู่กับวินัยจราจร มีน้ำใจไมตรี และการไหว้ขอบคุณและขอโทษ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและการตระหนักรู้ ให้แก่เด็ก เยาวชนและประชาชนทั่วไป
โดยการประกวดทำคลิปเผยแพร่มารยาทไทยแก้ไขปัญหาจราจร ภายใต้หัวข้อ "สัญจรดี วิถีไทย" แบ่งออกเป็น ๒ ระดับ ดังนี้ ระดับมัธยมศึกษา (ม.๑-ม.๖) ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า ระดับอุดมศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยรางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล ๑๐๐,๐๐๐ บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ได้รับเงินรางวัล ๕๐,๐๐๐ บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ได้รับเงินรางวัล ๓๐,๐๐๐ บาท และรางวัลชมเชย ๕ รางวัล ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลและเกียรติบัตร สำหรับรายชื่อผู้เข้าประกวดที่ได้รับรางวัล ดังนี้
ระดับมัธยมศึกษา (ม.๑ - ม.๖), ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า
รางวัลชนะเลิศ ทีม เด็กสร้างภาพ ชื่อผลงาน แง้น แง้น
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ทีม SJ Production ชื่อผลงาน ค่าปรับของพ่อ Daddy driver
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ทีม ลอยฟ้าสตูดิโอ ชื่อผลงาน รักแรกพบ
และรางวัลชมเชย ๕ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
ระดับอุดมศึกษา, ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า
รางวัลชนะเลิศ ทีม WHO DO ชื่อผลงาน ซื้อชิฟไหมครับ?
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ทีม 100 โล Moment ชื่อผลงาน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ทีม มุมคันนา The Project ชื่อผลงาน สัญจรออนอีสาน
และรางวัลชมเชย ๕ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
สำหรับการประกวดการเขียนเรื่องสั้น หัวข้อ “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ คือ มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๑-ม.๓ หรือเทียบเท่า) มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๔-ม.๖) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อุดมศึกษา และประชาชนทั่วไป (ไม่จำกัดอายุและวุฒิการศึกษา) โดย รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล ๒๐,๐๐๐ บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ได้รับเงินรางวัล ๑๕,๐๐๐ บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท และรางวัลชมเชย ๑๐ รางวัล ได้รับเงินรางวัล ๓,๐๐๐ บาท พร้อมโล่เกียรติยศ สำหรับรายชื่อผู้เข้าประกวดที่ได้รับรางวัล ดังนี้
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ หรือเทียบเท่า)
รางวัลชนะเลิศ เด็กหญิงเติมศิริ มีพร ชื่อผลงาน แผลเป็นคำพูด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ เด็กหญิงวชิรา ประลังการ ชื่อผลงาน ชมพอกับพ่อ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ นางสาววานุ ชื่อผลงาน อยู่ในนิทรา
และรางวัลชมเชย ๑๐ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
รางวัลชนะเลิศ นางสาวญดาวรรณ พืชพิสุทธิ์ ชื่อผลงาน เคารพเขา
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ เด็กหญิงวชิรา ประลังการ ชื่อผลงาน ชมพอกับพ่อ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ นางสาวสุรัตนา ใจงาม ชื่อผลงาน นางสาวหยาดน้ำตา
และรางวัลชมเชย ๑๐ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับอุดมศึกษา
รางวัลชนะเลิศ นายทักษิณ ทุนเกิด ชื่อผลงาน ประทับใจแรกพบ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ นายพงศ์ระพี จิตตรง ชื่อผลงาน จังหวะสำคัญ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ นางสาวชนากานต์ โกมาสังข์ ชื่อผลงาน ปาก
และรางวัลชมเชย ๑๐ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
ระดับประชาชนทั่วไป
รางวัลชนะเลิศ นางสาวรมณ กมลนาวิน ชื่อผลงาน ช่างทาสีจากพระตะบอง
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ นายไพรัตน์ ยิ้มวิลัย ชื่อผลงาน ไอซ์พิงก์
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ นายพิณพิพัฒน ศรีทวี ชื่อผลงาน ไม่เป็นไร
และรางวัลชมเชย ๑๐ รางวัล (ตามประกาศที่แนบ)
ในการนี้สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้ทางเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.th สวธ. ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแสดงความยินกับผู้เข้ารับรางวัลการประกวดทำคลิป "สัญจรดี วิถีไทย" และการเขียนเรื่องสั้น “มารยาทไทย และมารยาทในสังคม” สามารถเข้าดูได้ที่ www.facebook.com/DCP.culture/ หรือ www.facebook.com/twtvdo/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม วิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน – แกลง 1 ปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าลงสู่ทะเล ขอคนไทยช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม วิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน – แกลง 1 ปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าลงสู่ทะเล ขอคนไทยช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน – แกลง 1 ปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าลงสู่ทะเล ขอคนไทยช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
วันนี้ (24 สิงหาคม 2563) เวลา 17.00 น. ณ หาดสวนสน ตำบลแกลง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรี อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน – แกลง 1 โดยมีนายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดระยอง ชาวประมงและประชาชนในพื้นที่มารอให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมการปรุงอาหารจากวัตถุดิบจากท้องถิ่นโดยเชฟที่ผ่านการคัดเลือกจากชุมชน โดยทำเมนูยำสัมพันธ์ 5 สหาย และนำแจกจ่ายให้กับผู้ร่วมงานได้ชิม จากนั้น เยี่ยมชมวิสาหกิจผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน อาทิ หอยแมลงภู่ปรุงรส ปลาเห็ดโคนแดดเดียวทอดกรอบ เยี่ยมชมการพัฒนาอาชีพกลุ่มประมง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กรมประมงและภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองร่วมส่งเสริมและสนับสนุน พร้อมเยี่ยมชมการโชว์แบบจำลองการเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่เป็นแบบแพเชือกแขวนมาจัดแสดงแบบย่อส่วนในตู้กระจก การทำธนาคารสัตว์น้ำ การทำซั้งเชือก ซั้งกอ การทำธนาคารปูโรงเรือน โครงการธนาคารน้ำมันเครื่องมือสอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์ให้ชาวประมงไม่ทิ้งน้ำมันเครื่องลงสู่ทะเล พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้า จำนวน 300 ตัว ลงสู่ทะเล บริเวณชายหาดสวนสน เพื่อเป็นการเพิ่มประชากรปูม้าให้มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารให้ชุมชนต่อไป
ภายหลังรับฟังการบรรยาย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการมาลงพื้นที่พบปะพี่น้องชาวประมงจังหวัดระยองว่า การลงพื้นที่วันนี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการแก้ปัญหาการประมงพื้นบ้าน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีปัญหาเช่นกัน รัฐบาลพร้อมที่จะแก้ไขและหาทางออกให้ได้ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แม้แต่เรื่องการทำประมงพาณิชย์ที่จะไม่สร้างผลกระทบซึ่งกันและกัน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมโครงการธนาคารน้ำมันเครื่องมือสองที่จะสามารถลดต้นทุนและส่งเสริมให้กลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านจังหวัดระยองจัดการน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการจัดการที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันรณรงค์และส่งเสริมให้ชาวประมงไม่ทิ้งขยะสู่ท้องทะเล และขอให้คนไทยได้ช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทะเล ป่า ภูเขา การเกษตร การท่องเที่ยวและธรรมชาติที่สวยงาม และรอยยิ้มสยามของคนไทยที่ต้องรักษาไว้ รวมทั้งขอฝากให้ศิลปะต่าง ๆ คงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางไปตรวจถนนเลียบหาดแสงจันทร์ – สุชาดา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาออกแบบถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ระยะที่ 2 โดยมีระยะทาง 5 กิโลเมตร ที่ได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ปรับปรุงถนน ขยายช่องจราจร พัฒนาเส้นทางจักรยาน สร้างจุดพักรถ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเพื่อความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง รวมทั้งสร้างรายให้แก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
****************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
ในวันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๕ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายประสาร มหาลี้ตระกูล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร
และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓
โดยที่ประชุมรับทราบ การให้ความช่วยเหลือประชาชนของกรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๓
สำนักงานกองทุนยุติธรรมรับคำขอรับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น ๓๗๓ ราย
แยกเป็นคำขอรับความช่วยเหลือปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย จำนวน ๒๘๐ ราย
และคำขอรับความช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี จำนวน ๙๓ ราย
ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วจำนวนทั้งหมด ๓๐๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๙๗
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือกรณีเร่งด่วนที่ไม่สามารถ
เสนอคำขอรับความช่วยเหลือให้คณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร
และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ พิจารณาได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือ
ประจำกรุงเทพมหานครฯ คณะที่ ๑ จำนวน ๘ ราย จำนวน๑๑ เรื่อง
ประกอบด้วย คำขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย จำนวน ๕ ราย ๕ เรื่อง
คำขอรับความช่วยเหลือในการดำเนินคดี จำนวน ๓ ราย ๖ เรื่องเป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย และบริษัทไอทีเซค (ไทยแลนด์) จำกัด | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย และบริษัทไอทีเซค (ไทยแลนด์) จำกัด
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเชีย และบริษัทไอทีเซค (ไทยแลนด์) จำกัด ณ โรงแรม เดอะเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ
วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเชีย และบริษัทไอทีเซค (ไทยแลนด์) จำกัด โดยมี นายมารุต ศิริโก (กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด) และ นายวารินทร์ แคร่า (CEO บริษัท ITSEC ASIA Co.,LTD) ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม เดอะเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ
พิธีลงนามฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ในเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางยุทธศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม ในด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมผู้ประกอบการ ให้มีทักษะการผลิต การบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดสมรรถนะสูงสุด รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้เท่าเทียมกับระดับนานาชาติ และสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ปัจจัยการผลิตภายในประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในการเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ให้เป็นไปตามความต้องการในภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง และตามมาตรฐานสากล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34661 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย”สั่ง “การยางฯ”เร่งเครื่องดันไทยเป็นฮับถุงมือยางโลก | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
“เฉลิมชัย”สั่ง “การยางฯ”เร่งเครื่องดันไทยเป็นฮับถุงมือยางโลก
“เฉลิมชัย”สั่ง “การยางฯ”เร่งเครื่องดันไทยเป็นฮับถุงมือยางโลก จับมือ “พาณิชย์” ชิงตลาด4 หมื่นล้านชิ้น
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(2ก.ย.) ว่าดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้การยางแห่งประเทศไทย(กยท.)เร่งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นฮับถุงมือยางของโลกโดยใช้โมเดล “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”รุกตลาดถุงมือยางซึ่งคาดการณ์ภาวะตลาดในปี 2563 ว่าจะมีความต้องการใช้กว่า 3.6 แสนล้านชิ้น มูลค่าไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการส่งออกถุงมือยางของไทย ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของโลกและมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 8–15% จึงเป็นข้อได้เปรียบและโอกาสที่ดีของชาวสวนยางและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมถุงมือยางของไทยทั้งตลาดเดิมและการเปิดตลาดในกลุ่มประเทศผู้ใช้ถุงมือยางรายใหม่ที่มีความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มมากขึ้น จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยการใช้น้ำยางพาราของไทย ซึ่งถือเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในการส่งออกน้ำยางเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางพาราแท้ 100 %
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ในวันพุธหน้า(9 ก.ย.)คณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางจะมีการประชุมครั้งที่ 5/2563ซึ่งตนในฐานะประธานจะมอบนโยบายให้ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC: Agritech and InnovationCenter)สนับสนุนกยท.ในการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากยางพาราธรรมชาติด้วยการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับรายได้ชาวสวนยางสร้างเสถียรภาพราคายางและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างยั่งยืน
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มของอุตสาหกรรมแปรรูปยางของไทยเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะถุงมือยาง ทั้งนี้ กยท. ได้ออกมาตรการโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 25,000 ล้านบาท เพื่อให้กับผู้ประกอบกิจการยางขั้นปลายน้ำ ในการขยายกำลังการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ซึ่งต้องเป็นผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ยางจากน้ำยางข้น และยางแห้ง เป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยางของประเทศไทยมีความเข้มแข็งในการเป็นผู้นำการผลิตและการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางของโลก โดยการผลักดันให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลกตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายณกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กยท. ได้ร่วมมือและบูรณาการกับหลายภาคส่วน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยางทั้งระบบอย่างยั่งยืน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)เร่งส่งเสริมการลงทุนในกิจการยางพารา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบกิจการยาง และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งด้านการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ด้านการลงทุน และด้านการบริการผ่านมาตรการต่างๆ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการผลักดันเรื่องการตลาด การลงทุน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลิตภัณฑ์ยางของไทย จัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ค้าและผู้ซื้อถุงมือยาง รวมไปถึงการบูรณาการร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กรมวิทยาศาสตร์บริการ มหาวิทยาลัยต่างๆ และผู้ประกอบการถุงมือยาง เรื่องงานวิจัย พัฒนาด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีถุงมือยาง การลดปริมาณโปรตีนในถุงมือยางธรรมชาติ ซึ่งการวิจัยดังกล่าวได้คืบหน้าเป็นรูปธรรม ทำให้เชื่อได้ว่าถุงมือยางของประเทศไทยมีความปลอดภัยและสามารถส่งออกไปทั่วโลก
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบสาธารณสุขไทย พร้อมรับระลอกใหม่ | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
ระบบสาธารณสุขไทย พร้อมรับระลอกใหม่
ระบบสาธารณสุขไทย พร้อมรับระลอกใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกรมการแพทย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (Uhosnet) กลาโหม ตำรวจ กรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมระบบบริหารจัดการพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19” รองรับระลอกใหม่
วันนี้ (11 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วยรศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และนายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี เลขาธิการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ร่วมกันแถลงข่าว “การบริหารจัดการการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19” รองรับระลอกใหม่
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้ทำงานเชิงรุก ล่วงหน้ามากกว่าสถานการณ์จริงไปอีกหนึ่งขั้น เช่นหากพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย ให้เตรียมสำหรับ 10 ราย, 100 ราย กรมการแพทย์ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (Uhosnet) กลาโหม ตำรวจ กรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมระบบบริหารจัดการในภาพรวม เฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เตรียมสถานพยาบาล จัดทำแนวทางการรักษา ยาและเวชภัณฑ์ ระบบบริหารเตียง และให้บริการผู้ป่วยโรคอื่น ๆ
ในการบริหารจัดการเตียง มีโรงพยาบาลราชวิถีเป็นผู้ดูแลระบบในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเตียงทั้งภาครัฐและเอกชน 2,532 เตียง รองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้ 230 รายต่อวันส่วนสถานพยาบาลทั่วประเทศรองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้วันละ 1,000 ราย มีการเฝ้าระวังการติดเชื้อของบุคลากรในโรงพยาบาล คัดกรอง แยกผู้ป่วยไข้หวัดไม่ปะปนกับผู้ป่วยอื่น จัดตั้ง ARI clinic จัดเตรียมห้องแยกความดันลบ หอผู้ป่วยสามัญเฉพาะผู้ป่วยโควิด (Cohort ward) นอกจากนี้ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่นำโรงแรมมาเป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ขณะนี้ได้ปิดกิจการไปเนื่องจากไม่มีผู้ป่วย ขยายหอผู้ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน จัดระบบป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล ทั้งห้องตรวจ/ ห้องทันตกรรมความดันลบ ได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และการจัดการยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกัน ชุด PPE. องค์การเภสัชกรรม อย. และสปสช. ส่งให้บริหารจัดการโดยเขตสุขภาพ สำหรับ กทม. บริหารจัดการรองรับ 4 มุมเมือง โดยรพ.จุฬาฯ, รามาธิบดี, ศิริราช และกรมการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสถานที่แยกพระสงฆ์ที่มีความเสี่ยงอย่างถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ในการบริหารจัดการหากเกิดการระบาดและรอบ 2 จะไม่กระทบการดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ด้วยระบบบริการการแพทย์วิถีชีวิตใหม่ (New Normal medical service) อาทิ ระบบการแพทย์ทางไกล การรับยาที่บ้าน/รับยาร้านยาใกล้บ้าน รวมทั้งการให้ยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่บ้าน มีแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ในการให้บริการที่บ้าน ป้องกันการติดเชื้อในทุกแผนกบริการ เช่น การใช้ห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทันตกรรม ทำฟัน ผู้ป่วยนอก/ใน ผู้ป่วยกายภาพบำบัด
“ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกได้กล่าวว่า การต่อสู้กับการระบาดนั้น ขอให้สู้ด้วยความจริงไม่ใช่ความกลัว คือต้องมีสติ ใช้วิทยาศาสตร์อย่าฟังข่าวลือ การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน และสุดท้ายคือ ต้องสามัคคี อย่ากล่าวโทษกัน จึงขอความร่วมมือประชาชนตั้งการ์ดป้องกันโรค ปฏิบัติตนเช่นที่เคยทำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ไทยพบผู้ป่วยจำนวนน้อยกว่าที่คาดการณ์” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว
ด้านรองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนแพทย์ 23 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกแห่งทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ต่อสู้กับโรคโควิด 19 ด้วยการเพิ่มศักยภาพการตรวจโรครักษาผู้ป่วย โดยทำงานร่วมกับวิชาชีพอื่นๆ อาทิ วิศวกร ภาคเอกชน พัฒนาห้องความดันลบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยโควิดที่ยุ่งยากซับซ้อน ร่วมกับกรมการแพทย์เตรียมสำรองห้องสำหรับผู้ป่วยวิกฤติ ในโรงเรียนแพทย์ 4 มุมเมือง ได้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลสูงอายุบางขุนเทียน, โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กว่า 100 ยูนิต รวมถึงระดมสมองจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด อาทิ การทำลายเชื้อเพื่อนำหน้ากาก N95 มาใช้ซ้ำ หน้ากาก silicone mask N99 หน้ากากแรงดันบวก ชุด PPE. รถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสื่อสาร เพิ่มความสะดวกในการดูแลรักษาผู้ป่วย และความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร
นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี เลขาธิการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า หลังจากที่มีเคสแรกเมื่อเดือนมีนาคม ได้ปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยน และเตรียมการด้านต่างๆ เพื่อรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 โดยสามารถรองรับในเขตกรุงเทพและปริมณฑลได้ถึงร้อยละ 43 แม้ในช่วงแรกมีอุปกรณ์จำกัดต้องดำเนินการด้วยตนเอง แต่ภายหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น ห้องแยกโรคความดันลบ ห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อทางอากาศ และห้องไอซียู รวมถึงห้องปฏิบัติการทั่วประเทศที่มี 224 แห่ง ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการภาคเอกชนจำนวน 71 แห่งครอบคลุมทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนยังได้ดำเนินการร่วมกับสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ในการดูแลด้านผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้หากมีการระบาดระลอก 2 โรงพยาบาลเอกชนมีความพร้อมเพราะมีประสบการณ์ และหากประชาชนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเองเช่นที่ผ่านมา จะทำให้มีความเสี่ยงต่ำในการแพร่กระจายของโรคส่งผลให้ ทรัพยากรมีเพียงพอสำหรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อได้
*********************************** 11 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยพบผู้ต้องขังชายไทยที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าเรือนจำติดเชื้อโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
สธ. เผยพบผู้ต้องขังชายไทยที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าเรือนจำติดเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ต้องขังชายไทยที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าเรือนจำ ตรวจเชื้อพบโควิด 19 ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก 34 รายที่กักตัวในห้องเดียวกัน ผลตรวจทั้งหมดไม่พบเชื้อ ทั้งหมดย้ายไปกักกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัว 6
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ต้องขังชายไทยที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าเรือนจำ ตรวจเชื้อพบโควิด 19 ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก 34 รายที่กักตัวในห้องเดียวกัน ผลตรวจทั้งหมดไม่พบเชื้อ ทั้งหมดย้ายไปกักกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัว 6 รายแยกตัวกักเช่นกัน
วันนี้ (3 กันยายน 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และนายแพทย์เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อ สำนักอนามัย กทม. แถลงข่าวกรณีที่มีรายงานข่าวพบผู้ต้องขังชายไทยที่อยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าเรือนจำ ตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด 19 ว่า กรมควบคุมโรคได้รับแจ้งจากกรมราชทัณฑ์ว่ามีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 1 ราย เป็นผู้ต้องขังชายไทยอายุ 37 ปี เข้าเรือนจำทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โทษระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2563 และได้รับการกักกันตัวในห้องแยกก่อนเข้าเรือนจำตามนโยบายของกรมราชทัณฑ์ โดยกักรวมกับผู้ต้องขังรายอื่นอีก 34 ราย ผลตรวจคัดกรองโควิด 19 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 โดยคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นบวก และผลตรวจซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลพบสารพันธุกรรมโควิด 19 ส่วนอีก 34 รายที่แยกกักในห้องขังเดียวกันทั้งหมดผลตรวจไม่พบเชื้อ
ด้านนายแพทย์เมธิพจน์กล่าวว่า หลังจากทราบผลการตรวจ ได้ย้ายผู้ป่วยไปรักษาในห้องแยกที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และผู้ที่อยู่ร่วมห้องเดียวกัน 34 ราย และอาสาสมัครนักโทษอีก 2 ราย ซึ่งถือที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ระหว่างนำไปกักกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทีมสอบสวนโรคได้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัว 7 ราย
อยู่ระหว่างติดตามตัว 2 ราย ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจและให้แยกตัวกักที่บ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์บริการสาธารณสุขและสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานครติดตามอาการใกล้ชิดทุกวันจนครบ 14 วัน แนะนำการปฏิบัติตัวหากมีอาการผิดปกติ ให้แจ้งที่ 094-3860-051 ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำประมาณ 37 ราย อยู่ในการดูแลของ
กรมราชทัณฑ์ร่วมกับกรมควบคุมโรค แนะนำให้แยกกักตัวเอง 14 วันเช่นกัน
นายแพทย์วีระกิตติ์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อรายนี้ เป็นรายที่ 2 ที่ตรวจพบจากมาตรการที่กรมราชทัณฑ์กำหนด ซึ่งให้ผู้ต้องขังรายใหม่ หรือผู้ต้องขังที่ออกไปข้างนอกต้องแยกกัก 14 วัน โดยมีพื้นที่แยกกักชัดเจน ยืนยันว่าการพบผู้ติดเชื้อครั้งนี้ไม่ได้กระทบไปถึงผู้ต้องขังรายอื่นอีก 8,000 กว่าคนในเรือนจำ ซึ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินการในเรือนจำทั่วประเทศ ขอให้ญาติผู้ต้องขัง ผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ในเรือนจำได้มั่นใจ ขณะนี้ผู้ติดเชื้อได้ย้ายกักกันในห้องเดี่ยว ที่ตึกแยกเฉพาะไม่ปะปนกับผู้ป่วยอื่น ส่วนอีก 34 ราย ได้แยกไปเฝ้าดูแลเป็นพิเศษจนครบ 14 วัน
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ข่าวสารแก่ประชาชนให้ครบถ้วน ไม่ปกปิด ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ในช่วงวันหยุดยาวนี้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ แต่ต้องเพิ่มการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทั้งการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆเว้นระยะห่าง แยกอาหารรับประทาน แยกของใช้ส่วนตัว และขอให้มั่นใจในมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยที่มีระบบเข้มแข็ง หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
*********************************** 3 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34808 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำภายใต้ภาวะวิกฤติลุ่มน้ำประแสร์ | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำภายใต้ภาวะวิกฤติลุ่มน้ำประแสร์
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำภายใต้ภาวะวิกฤติลุ่มน้ำประแสร์ เตรียมแนวทางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเร่งด่วนและระยะยาว หวังแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำภายใต้ภาวะวิกฤติลุ่มน้ำประแสร์ ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ ว่า โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ สามารถส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทาน ทั้งสิ้น 175,000 ไร่ โดยอ่างเก็บน้ำประแสร์ มีปริมาณน้ำที่ระดับน้ำเก็บกัก 295 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ส.ค. 63) มีจำนวน 92.65 ล้าน ลบ.ม. (31.41 %) ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน มีการจัดสรรน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ (ในช่วงเดือน พ.ย. 63 – มิ.ย. 64) คาดว่าจะมีน้ำต้นทุน 248 ล้าน ลบ.ม. โดยจะมีการผันน้ำไปอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลและคลองใหญ่ การใช้น้ำเพื่อการเกษตรพื้นที่ชลประทานฝั่งซ้าย การใช้น้ำเพื่อการเกษตรพื้นที่ชลประทานฝั่งขวา การใช้น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ การใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค รวมถึงการระเหยและรั่วซึมของเขื่อนประแสร์ ซึ่งคาดว่าจะเหลือปริมาณน้ำใช้การถึงวันที่ 1 ก.ค. 64 จำนวน 98 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเร่งด่วน ได้มีการก่อสร้างระบบสูบกลับชั่วคราวคลองสะพานมาเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ ปัจจุบันต่อเชื่อมท่อลงอ่างฯ ประแสร์ แล้วเสร็จสามารถสูบน้ำได้ 170,000 ลบ.ม./วัน ดำเนินการสูบน้ำแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 63 – 23 ส.ค. 63 มีปริมาณน้ำ 7.11 ล้าน ลบ.ม. และงานขุดลอกแหล่งน้ำในพื้นที่บริเวณขอบอ่างเก็บน้ำประแสร์ เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ขอบอ่างและบริเวณใกล้เคียงสามารถใช้น้ำในอ่างได้กรณีระดับน้ำในอ่างมีระดับต่ำลง
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระยะยาว มีการดำเนินโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ ตำบลชุมแสง อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยโครงการดังกล่าว มีระยะเวลาในการดำเนินการในปี 2562 – 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่อ่างเก็บน้ำประแสร์ สำหรับสนับสนุนความต้องการใช้น้ำตาม “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตอบสนองความต้องการใช้น้ำอย่างสมดุลทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการผันน้ำส่วนเกินในคลองสะพานไปเก็บกักยังแหล่งน้ำใกล้เคียง และเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดระยอง อีกทั้งยังมีแผนดำเนินโครงการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-หนองค้อ-บางพระ จังหวัดชลบุรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 มีพื้นที่เป้าหมายหลักประกอบด้วยจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยคาดว่าแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภคจะมีการขยายตัวและเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น พบว่า ในระยะ 10 ปี ข้างหน้าจะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. และเป็นความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ชลบุรีมากถึงประมาณ 80 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาแหล่งน้ำเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำดังกล่าว ซึ่งวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการฯ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำบางพระ ปีละประมาณ 80 ล้าน ลบ.ม. สำหรับการอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นการสร้างเสถียรภาพทางด้านการจัดการน้ำให้แก่พื้นที่เศรษฐกิจในจังหวัดชลบุรี มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (2564 – 2566) หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำให้อ่างเก็บน้ำบางพระจังหวัดชลบุรี ปีละประมาณ 80 ล้าน ลบ.ม. ช่วยในเรื่องการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรี จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 240,000 ครัวเรือน หรือคิดเป็น 1.20 ล้านคน
และยังมีโครงการก่อสร้างะบบท่อส่งน้ำบ้านยางงาม ซึ่งจะก่อสร้างระบบแพร่กระจายน้ำด้วยท่อเหล็กเหนียวความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในการทำสวนผลไม้ช่วงฤดูแล้ง และเพื่อกระจายน้ำให้กับเกษตรกรที่ต้องใช้น้ำในการเพราะปลูกประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการพิจารณาความเหมาะสมแล้ว และสำหรับโครงการสุดท้ายของแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระยะยาว คือโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านแก่งหวาย ที่ตำบลชุมแสง อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยก่อสร้างประตูระบายน้ำ 1 แห่ง บานระบายขนาด กว้าง 6 เมตร สูง 4.5 เมตร จำนวน 5 บาน เพื่อยกระดับน้ำในคลองสะพานให้สูงขึ้น และเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บในคลองสะพาน รวมถึงใช้ในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูแล้งสำหรับเกษตรกรผู้ใช้น้ำกว่า 900 ไร่ และยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ สำหรับสนับสนุนความต้องการใช้น้ำตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยคาดว่าจะสามารถสูบผันน้ำจากคลองสะพานได้ถึงปีละ 50 ล้านลบ.ม. เเละมีพื้นที่การเกษตรได้รับประโยชน์ถึง 900 ไร่ โดยโครงการดังกล่าวได้รับการพิจารณาความเหมาะสมแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34475 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 12 กันยายน 2563 | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 12 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ทั้งหมด เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (อุซเบกิสถาน 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย, อินเดีย 2 ราย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วย
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 12 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ทั้งหมด เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (อุซเบกิสถาน 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย, อินเดีย 2 ราย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,312 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.56 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 96 ราย หรือร้อยละ 2.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,466 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 5 รายวันนี้เดินทางมาจาก
อุซเบกิสถาน 1 ราย เป็นชาย อายุ 29 ปี สัญชาติอุซเบกิสถาน อาชีพนักฟุตบอล เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 13 สิงหาคม 2563 เข้าพักสถานที่กักกันทางเลือก (ASQ) ครบ 14 วัน ผลไม่พบเชื้อ ต่อมาตรวจหาเชื้อก่อนเริ่มฤดูการแข่งขัน ในวันที่ 8 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ
ญี่ปุ่น 1 รายเป็นนักเรียนชาย อายุ 9 ปี สัญชาติญี่ปุ่น เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 4 กันยายน 2563 (เที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 1 ราย) เข้าพักสถานที่กักกันทางเลือก (ASQ) ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 10 กันยายน 2563 (วันที่ 6 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ
อินเดีย 2 ราย ทั้งสองราย เป็นนักเรียนชาย สัญชาติไทย อายุ 24 และ 34 ปี เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 6 กันยายน 2563 (เที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 5 ราย) เข้าพักสถานที่กักกันใน จ.ชลบุรี (SQ) ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 วันที่ 9 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์1 ราย เป็นหญิง อายุ 31 ปี สัญชาติไทย อาชีพลูกเรือ เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 9 กันยายน 2563 ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านกรมควบคุมโรค พบอาการเจ็บคอ จึงตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ผลพบเชื้อ
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ สถานที่กักตัวทางเลือกและโรงพยาบาลทางเลือกแล้วนั้น ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ผ่านการเข้ารับการเฝ้าระวังอาการมาแล้ว 14 วัน แม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการคัดกรองป้องกันควบคุมโรค ในผู้ที่เดินทางกลับเข้าประเทศทุกคนอย่างเคร่งครัด แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอาจยังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในชุมชน
จึงขอให้ประชาชนอย่าประมาทการป้องกันตนเองจากโรคโควิด 19 เน้นย้ำการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นยังมีความจำเป็นและต้องทำให้เป็นนิสัยกรณีที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ ให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยและหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก ไม่นำตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยง และเมื่อไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ควรลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ ในแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะได้ใช้ข้อมูลติดตามผู้สัมผัสมาเฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัย เพื่อการป้องกัน ควบคุมโรคและช่วยกันรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป
และขอความร่วมมือให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เมื่อกักตัวครบ 14 วัน และกลับสู่ภูมิลำเนาแล้ว ให้ยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยแยกตัวจากผู้อื่นต่อจนครบ 30 วันและสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อลดโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นต่อไป
****************************** 12 กันยายน 2563
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานต่อต้านการทุจริตในสังกัด เน้นย้ำส่งเสริมจริยธรรมควบคู่กับการป้องกันการทุจริต | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
มท. จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานต่อต้านการทุจริตในสังกัด เน้นย้ำส่งเสริมจริยธรรมควบคู่กับการป้องกันการทุจริต
มท. จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานต่อต้านการทุจริตในสังกัด เน้นย้ำส่งเสริมจริยธรรมควบคู่กับการป้องกันการทุจริต
วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมเอสดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านทุจริตจังหวัด และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 3 กันยายน 2563 ซึ่งได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก สำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ก.พ. มาให้ความรู้ในการสัมมนาครั้งนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาทั้งสิ้น จำนวน 200 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านทุจริตจากสำนักงานปลัดกระทรวง กรม และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตจาก 76 จังหวัด
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านทุจริต กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่หลักที่สำคัญด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การส่งเสริมและคุ้มครองจริยธรรม และประการที่สอง คือ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล แผนงาน โครงการไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ จึงได้เน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการต่อต้านการทุจริตในพื้นที่ให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อลดโอกาสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามทุจริตทุกหน่วยงาน ทั้งกรม รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหน่วยงานในส่วนภูมิภาค จะต้องติดตามเฝ้าระวังการทุจริตแผนงาน หรือ โครงการต่าง ๆ ในการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในเรื่องการแจ้งเบาะเเสโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการแจ้งข้อมูล การป้องกันและลดโอกาสการทุจริต โดยการประเมินและจัดทำแผนงานบริหารความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการจัดทำประมวลจริยธรรมและกำหนดแนวทาง หรือ มาตรการในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และขยายผลไปยังหน่วยงานในพื้นที่ทุกระดับ ซึ่งโครงการสัมมนาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ ความเข้าใจ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในมิติต่าง ๆ และการเสริมสร้างกระบวนทัศน์ ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมทั้งนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาใช้ เพื่อมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ของการทำงานและการต่อต้านการทุจริตของจังหวัด และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พี่น้องประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34757 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ เปิดเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดนครปฐม” ในหัวข้อ การจัดการน้ำเสียชุมชน โดยชุมชน | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
วราวุธ เปิดเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดนครปฐม” ในหัวข้อ การจัดการน้ำเสียชุมชน โดยชุมชน
วราวุธ เปิดเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดนครปฐม” ในหัวข้อ การจัดการน้ำเสียชุมชน โดยชุมชน
วราวุธ เปิดเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดนครปฐม” ในหัวข้อ การจัดการน้ำเสียชุมชน โดยชุมชน
วันนี้ (14 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ เดินทางไปยังชุมชนบ้านศาลาดิน อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อเยี่ยมชมต้นแบบการจัดการน้ำเสียชุมชน พร้อมทั้งร่วมเสวนา “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดนครปฐม” ภายใต้หัวข้อ “การจัดการน้ำเสียชุมชน โดยชุมชน” โดยในการเสวนาครั้งนี้มีเครือข่าย ทสม. ชุมชนในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานหอการค้า และผู้ประกอบการแพแม่น้ำท่าจีน เข้าร่วมเสวนา ซึ่งโอกาสนี้ รมว.ทส.
ได้กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ทำให้เห็นว่า ความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนในชุมชนบ้านศาลาดินที่ได้มีการบริหารจัดการน้ำเสียในคลองของชุมชม จนกระทั่งทำให้มีชุมชนมีตลาดเกิดขึ้น เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ อีกทั้งผักตบชวาก็สามารถนำกลับมาเพิ่มคุณประโยชน์ จนเกิดเป็นรายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ ถ้าหากได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างเช่นบ้านศาลาดินที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ดังนั้น ในนามกระทรวงฯ ก็ขอเป็นกำลังใจและขอขอบคุณบ้านศาลาดินที่ได้ทำให้เห็นว่าภารกิจของกระทรวงฯ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เริ่มประสบความสำเร็จ และทางกระทรวงฯ ก็จะนำแนวทางต้นแบบการจัดการน้ำเสียชุมชน ไปเผยแพร่ให้ครบทุกพื้นที่ในประเทศไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดสัมมนาขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ด้านเศรษฐกิจฯ (ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน) มุ่งสะท้อนความต้องการในพื้นที่ผ่านกลไก กรอ. | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
มหาดไทย จัดสัมมนาขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ด้านเศรษฐกิจฯ (ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน) มุ่งสะท้อนความต้องการในพื้นที่ผ่านกลไก กรอ.
มหาดไทย จัดสัมมนาขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ด้านเศรษฐกิจฯ (ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน) มุ่งสะท้อนความต้องการในพื้นที่ผ่านกลไก กรอ.
วันนี้ (1 ก.ย. 2563) เวลา 09.30 น. ณ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีนายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดการสัมมนา“โครงการขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการเสริมศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจภาค/กลุ่มจังหวัดและจังหวัดในส่วนภูมิภาค (ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน)”จัดโดย สำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด (กรอ.) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือ ร่วมกันคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจของพื้นที่ในสถานการณ์ New Normal โดยผ่านเครือข่ายความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการสัมมนาฯ ในครั้งนี้ มีขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2563 ผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้บริหารและภาคเอกชนส่วนกลาง ผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน 3 กลุ่ม 14 จังหวัด รวมจำนวนทั้งสิ้น 99 คน
โอกาสนี้นายสมคิดจันทมฤกรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบแนวทางการทำงานให้กับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในการร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) โดยกล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้ากลุ่มจังหวัด เป็นประธานนั้น ได้จัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เพื่อทำหน้าที่ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในระดับจังหวัด ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการแข่งขันของพื้นที่ตามศักยภาพที่มีอยู่ และประสานความร่วมมือหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดในการแก้ไขปัญหา ลดอุปสรรคทางด้านการค้า การลงทุน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวให้สามารถสร้างรายได้ และกระจายความเจริญสู่ชุมชนท้องถิ่นให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของกลไกดังกล่าว จึงได้มีหนังสือเน้นย้ำให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด จัดการประชุม กรอ. อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนและผู้ประกอบการทั่วโลก รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟู ภายใต้กรอบวงเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบและเยียวยาให้ความช่วยเหลือทุกภาคส่วน ผ่านกลไกการเสนอขอรับงบประมาณเร่งด่วน ทั้งในระดับจังหวัด ระดับกระทรวง และกรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ ก่อนเสนอสำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณ และเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้น โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมคิด ร่วมแลกเปลี่ยน เพื่อหาแนวทางแก้ไขผลกระทบจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว โดยใช้เวทีการสัมมนาแห่งนี้สะท้อนความต้องการในพื้นที่ผ่านกลไก กรอ. ทั้งนี้ เมื่อดำเนินโครงการครบทั่วทุกภาคแล้ว กระทรวงมหาดไทยจะได้รวบรวมข้อเสนอ ความต้องการ และแนวทางการแก้ไขปัญหา เพื่อนำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับทราบ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาดำเนินการตามภารกิจต่อไป
ท้ายนี้นายสมคิด จันทมฤกได้เน้นย้ำว่าการสัมมนาฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีที่จะนำไปสู่การสร้างความร่วมมือ และสร้างแรงผลักดันเชิงบวกที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนของประชาชนในพื้นที่ และคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งเกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการ กรอ. จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้สามารถเป็นกลไกหลักในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจระดับพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34729 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
วันนี้ (14 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น. ณ ตำบลพรหมนิมิต อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พลตำรวจโทณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว โดยมีนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายชัยโรจน์ มุ่งธัญญา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้แทน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 31 ผู้แทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ นายสมเกียรติ คงทิม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานทุกหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต ที่ร่วมกันในการพัฒนาสระบ่อดินขาวเพื่อเป็นแหล่งน้ำให้กับชุมชนในการทำมาหากิน โดยยึดแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งน้ำที่จะเข้ามาเติมในสระบ่อดินขาวจากเเหล่งน้ำ 3 แหล่ง ได้แก่ 1. แหล่งน้ำธรรมชาติจากเขาวงปริมาณน้ำที่สามารถเก็บกักได้จำนวน 300,000 ลบ.ม./ปี ซึ่งจำเป็นจะต้องทำฝายชะลอน้ำ เพื่อให้สามารถใช้น้ำได้ตลอดทั้งปี 2. บ่อบาดาล และ 3.คลองชัยนาท - ป่าสัก ถึงจะทำให้มีปริมาณน้ำที่พอเพียงต่อการใช้งาน ซึ่งแนวทางในการพัฒนาแหล่งพื้นที่สระบ่อดินขาวจะต้องพัฒนาเป็นพื้นที่แก้มลิง ทำคลองไส้ไก่ ระบบเสริมน้ำสำรองพร้อมจ่าย และบ่อหน่วงน้ำ พร้อมพัฒนาพื้นที่รอบสระบ่อดินขาวทั้งการปลูกพืชป้องกันการทลายของตลิ่ง ปลูกผักสวนครัว ไม้กินได้ และใช้ระบบสูบน้ำด้วยโซล่าเซลล์มาเป็นพลังงานทดแทนในการกักเก็บน้ำเข้าถังและการจ่ายน้ำให้กับชุมชน ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ทำการเกษตร เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มเเข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งในวันนี้มาติดตามความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรค และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนความช่วยเหลือตามความต้องการ
นายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า สระบ่อดินขาวเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของชุมชนที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่ออุปโภคบริโภคและทำการเกษตร โดยเก็บน้ำจากทั้งน้ำฝนและน้ำที่ไหลจากทางธรรมชาติในช่วงเวลาน้ำหลาก ซึ่งในปัจจุบันน้ำไม่สามารถไหลเข้าสระบ่อดินขาวได้ เนื่องจากปริมาณน้ำถูกกั้นกลางด้วยถนนและทางรถไฟสายเหนือ ซึ่งจะเเบ่งการดำเนินการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนงานแรก ได้แก่ ฟื้นฟูป่าต้นน้ำเขาวง โดยการ สร้างฝายชะลอน้ำ อนุรักษ์ฟื้นฟูสระน้ำในพื้นที่ด้านบนเขาวง เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บน้ำ การดันท่อลอดทางรถไฟรางคู่ ขุดร่องน้ำเข้าสระบ่อดินขาว ปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมในหมู่บ้านและรวบรวมสู่ร่องน้ำข้างถนนลาดยาง และการปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง และส่วนที่ 2 คือ การพัฒนาเป็นพื้นที่แก้มลิง ทำคลองไส้ไก่ บ่อหน่วงน้ำ ระบบถังสำรองน้ำพร้อมจ่าย ระบบสูบน้ำด้วยโซล่าเซลล์ และระบบไฟฟ้าสำรอง ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ และขุดบ่อบาดาลน้ำตื้น เพื่อเป็นระบบเสริมในการบริหารจัดการน้ำ
จากนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ได้นำเสนอปัญหา และอุปสรรคและพิจารณาข้อเสนอ แนวทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน
สำหรับโครงการสระบ่อดินขาว เป็นพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 766-0-75 ไร่ โดยเป็นสระกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ หรือ บ่อดินขาว ซึ่งมีพื้นที่บ่อประมาณ 23 ไร่ จัดสรรให้พี่น้องประชาชนเช่าเพื่ออยู่อาศัย และทำการเกษตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จำนวน 200 ไร่ และพื้นที่เพาะปลูก จำนวน 276 ไร่รวมจำนวน 476 ไร่ โดยสภาพในปัจจุบันมีสภาพแห้ง เนื่องจากมีการขยายเขตเส้นทางรถไฟ ทำให้น้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาวงษ์ไม่สามารถลงสระบ่อดินขาวได้ ประกอบกับการสูบน้ำจากคลองชัยนาท - ป่าสัก ท่อส่งมีขนาดเล็กเพียง 3 นิ้วทำให้ปริมาณน้ำในสระไม่เพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หากโครงการฯ นี้ ดำเนินการเสร็จสิ้นตามแผนงาน จะเป็นต้นแบบตัวอย่าง (Model) ในการจัดทำ “ทางให้น้ำไหล” “จัดทำที่ให้น้ำอยู่” หรือ “แก้มลิง” นำไปสู่การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำในการอุปโภค - บริโภค และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร เพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม และสร้างรายได้ให้เกษตรกร | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร เพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม และสร้างรายได้ให้เกษตรกร
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร เพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม และสร้างรายได้ให้เกษตรกร
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)และบัตรดินดีแก่เกษตรกรณโรงเรียนบ้านปากแพรกต.ละหารอ.ปลวกแดงจ.ระยองว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีนโยบายในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมปรับปรุงระบบที่ดินทำกินและลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินโดยจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนที่ยากไร้และกระจายสิทธิการถือครองที่ดินพร้อมพัฒนาด้านการเกษตรซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ในวันนี้ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)ให้แก่เกษตรกรจำนวน80ราย991ไร่และมอบบัตรดินดีจำนวน20รายเพื่อต้องการให้เกษตรกรมีเอกสารสิทธิ์ในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมมีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมพร้อมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากการบริการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดระยอง
เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการอีกด้วย”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดระยอง(ส.ป.ก.ระยอง)มีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินประมาณ105,430ไร่และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน4,621ราย5,448แปลง81,253ไร่โดยแยกเป็นพื้นที่เกษตรกรรมจำนวน4,416ราย5,200แปลงเนื้อที่81,108ไร่และพื้นที่ที่อยู่อาศัยจำนวน205ราย248แปลงเนื้อที่145ไร่ และได้ร่วมปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำเฉลิมพระเกียรติฯพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา68พรรษาอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34477 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้าง รวมทั้งประเด็นปัญหาหนี้เสีย (NPLs) ของสถาบันการเงิน | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
ชี้แจงประเด็นการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้าง รวมทั้งประเด็นปัญหาหนี้เสีย (NPLs) ของสถาบันการเงิน
กระทรวงการคลังชี้แจงประเด็นการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ และเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างรวมทั้งประเด็นปัญหาหนี้เสีย (Non-Performing Loans: NPLs) ของสถาบันการเงิน
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ และเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างรวมทั้งประเด็นปัญหาหนี้เสีย (Non-Performing Loans: NPLs) ของสถาบันการเงินดังนี้
ประเด็นการงดจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการเดือนกันยายน 2563 และกระทรวงการคลังจะสามารถจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างได้อีกเพียง 3 เดือนนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด กรณีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการไม่ได้มีการงดจ่าย แต่เป็นเพียงการเลื่อนจ่ายเนื่องจากมีการปรับปรุงยอดงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ในเดือนกันยายนซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการจ่ายเงินดังกล่าวในปีงบประมาณ2563โดยขณะนี้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อมาจ่ายเงินดังกล่าวแล้วและกรมบัญชีกลางจะได้ดำเนินการจ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิ์ต่อไปโดยจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2563 นี้
สำหรับกรณีเงินเดือนข้าราชการนั้นรัฐบาลได้จัดสรรค่าใช้จ่ายเงินเดือนและค่าจ้างของบุคลากรภาครัฐไว้อย่างเพียงพอแล้วตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปี และขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564 อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ทั้งนี้เงินคงคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง เพียงพอเพื่อรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐซึ่งรวมถึงเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรหรือรายได้อื่นๆ เพื่อนำมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศได้ตามปกติ และโฆษกกระทรวงการคลังได้ยืนยันว่า กระทรวงการคลังยังมีแหล่งเงินที่เพียงพอ เพื่อรองรับการใช้จ่ายของหน่วยงานภาครัฐและดำเนินนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงประเด็นปัญหา NPLsของสถาบันการเงินว่า รัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงิน ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวและได้ดำเนินการโครงการเพื่อแก้ไขปัญหา NPLs ของผู้ประกอบการและประชาชนโดยเน้นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (Preemptive Debt Restructuring) และรวมหนี้ (Debt Consolidation) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาNPLsโดยกลไกดังกล่าวจะเป็นการลดภาระหนี้ของลูกหนี้ อันจะเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายตลอดระยะเวลาสัญญาจะไม่เพิ่มขึ้นแต่จะทำให้ลูกหนี้มีภาระที่ต้องจ่ายต่องวดลดลงซึ่งแตกต่างจากการขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้ที่ลูกหนี้ยังคงต้องชำระหนี้ในช่วงที่มีการพักชำระหนี้ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายตลอดสัญญาสูงขึ้นทั้งนี้มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และรวมหนี้มีรายละเอียดดังนี้
1. โครงการDR BIZ กำหนดให้มีกลไกบรรเทาและจัดการหนี้ธุรกิจของลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายราย (Multi-Creditors) ซึ่งเป็นการลดภาระหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพแต่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อันจะเป็นการรักษาการจ้างงานและส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เต็มศักยภาพ
2. โครงการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) กำหนดแนวทางให้ลูกหนี้รายย่อยสามารถรวมหนี้ประเภทต่างๆที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเช่นบัตรเครดิตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อที่เกิดจากการให้เช่าซื้อเป็นต้นมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้รวมกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อให้ลูกหนี้มีภาระหนี้ลดลงโดยการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเช่นสินเชื่อบัตรเครดิตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับทำให้ลูกหนี้มีภาระในการผ่อนชำระหนี้ลดลงนอกจากนี้การขยายระยะเวลาการชำระหนี้หรือการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นการลดภาระหนี้ของลูกหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยโดยไม่ทำให้ลูกหนี้เสียประวัติข้อมูลเครดิตรวมทั้งยังสามารถใช้วงเงินบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่เหลือได้
กระทรวงการคลังคาดว่าธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างดีเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโครงการดังกล่าวจะช่วยรักษาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้และป้องกันปัญหาNPLs ในระบบสถาบันการเงินนอกจากนี้ภาครัฐยังได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเช่นโครงการเราเที่ยวด้วยกันเป็นต้นและมีแผนที่จะดำเนินนโยบายเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ
สำหรับประเด็นการกันสำรองของสถาบันการเงินกรณีที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีสถานะเป็นNPLs นั้นในทางปฏิบัติเมื่อสถาบันการเงินมีการกันสำรองเมื่อลูกหนี้เป็นNPLs สถาบันการเงินจะเป็นผู้เก็บเงินไว้เองโดยไม่ต้องส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่อย่างใดโดยการกันสำรองของสถาบันการเงินเป็นการดำเนินการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นหากไม่สามารถติดตามหนี้ได้ซึ่งเป็นกลไกบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฐานะทางการเงินและกระทบต่อเงินฝากของประชาชน
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3586 และ 3219
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สามารถนำน้ำส้มสายชู 5% มาเจือจาง แล้วนำไปใช้ทำความสะอาดเพื่อกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
สามารถนำน้ำส้มสายชู 5% มาเจือจาง แล้วนำไปใช้ทำความสะอาดเพื่อกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
น้ำส้มสายชูกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่
Q : สามารถนำน้ำส้มสายชู 5% มาเจือจาง แล้วนำไปใช้ทำความสะอาดเพื่อกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
A : น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และไม่สามารถใช้ทำความสะอาดเพื่อทำลายเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมหมอครอบครัวดูแลประชาชน เฝ้าระวังโรคช่วงน้ำท่วม | วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563
สธ.ส่งทีมหมอครอบครัวดูแลประชาชน เฝ้าระวังโรคช่วงน้ำท่วม
กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมหมอครอบครัว อสม. เยี่ยมบ้าน จุดพักพิง ให้คำแนะนำประชาชนป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มีผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อุจจาระร่วง พร้อมส่งยา เวชภัณฑ์ช่วยเหลือน้ำท่วมแล้วกว่า 40,000
กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมหมอครอบครัว อสม. เยี่ยมบ้าน จุดพักพิง ให้คำแนะนำประชาชนป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มีผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อุจจาระร่วง พร้อมส่งยา เวชภัณฑ์ช่วยเหลือน้ำท่วมแล้วกว่า 40,000 ชุด
วันนี้ (30 สิงหาคม 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม ได้กำชับสถานบริการทุกแห่งให้การดูแลประชาชน เฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้การดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม น้ำหลาก น้ำล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนัก ได้รับผลกระทบ 15 จังหวัด ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 14 จังหวัด ยังคงมีน้ำท่วมขังที่จังหวัดพิษณุโลก จึงได้ให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มีผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อุจจาระร่วง หากมีรายงานให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ควบคุมไม่ให้มีการแพร่กระจายในวงกว้าง และส่งเจ้าหน้าที่ ทีมหมอครอบครัว อสม. เยี่ยมบ้าน จุดพักพิง แนะนำให้ความรู้ในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการจมน้ำ ไฟดูด โรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขได้ส่ง ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 43,850 ชุด ยารักษาน้ำกัดเท้า 8,450 หลอด และยาสามัญประจำบ้าน 1,000 ชุด ให้แก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ
“ในช่วงน้ำท่วม ขอให้ประชาชนดูแลตนเองให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ หลังจากเดินลุยน้ำให้ล้างทำความสะอาด และเช็ดให้แห้ง ป้องกันโรคน้ำกัดเท้า หากมีไข้สูง ปวดเมื่อย กินยาลดไข้พาราเซตามอลแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคฉี่หนู ให้ไปรับการรักษาที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้าน หรือแจ้งอสม. เพื่อประสานทีมหมอครอบครัว ส่งรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป” นายแพทย์สุขุมกล่าว
************************************* 30 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 กันยายน 2563 | วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 7 กันยายน2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียและเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,281 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.24 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 106 ราย หรือร้อยละ 3.08 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,445 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้เดินมาจากประเทศอินเดีย เป็นเพศชาย อายุ 27 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 1 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกในวันที่ 5 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยรายล่าสุดเป็นผู้ต้องขังแรกรับ ขอให้ทุกคนอย่าตระหนก แต่เพิ่มความตระหนักถึงการป้องกันโรค ยังสามารถท่องเที่ยว หรือสังสรรค์ได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท ทั้งในส่วนผู้ประกอบการที่ต้องดูแลไม่ให้เกิดความเสี่ยงแพร่เชื้อ ต้องมีการคัดกรองอุณหภูมิผู้เข้าใช้บริการและพนักงานทุกคนอย่างเคร่งครัด จัดพื้นที่เว้นระยะห่าง จัดจุดลงทะเบียน “ไทยชนะ” ส่วนนักเที่ยว/ผู้ใช้บริการ อย่าละเลยการสวมหน้ากากอนามัย, แยกจาน แก้ว ช้อน ไม่ดื่มกินร่วมภาชนะเดียวกัน ที่สำคัญคือต้องลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ผ่านแอปพลิเคชั่นไทยชนะทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรค
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 วันนี้ มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกจำนวน 235,260 ราย ทำให้ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 27,288,586 ราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา 6,460,250 ราย อินเดีย 4,202,562 ราย และบราซิล 4,137,606 ราย โดยประเทศที่น่าจับตามองขณะนี้คือ อินเดีย เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มภายในวันเดียวเกือบ 92,000 ราย และผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศในไทยวันนี้ เดินทางมาจากประเทศอินเดีย
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในประเทศ พบผู้ติดเชื้อในประเทศเพียง 1 ราย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งติดตามผู้สัมผัส เร่งรัดการสอบสวนโรค เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ย้ำอยู่เสมอว่า การไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อปะปนอยู่ในสังคม อาจเป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการก็เป็นได้ สิ่งสำคัญที่ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนคือ ป้องกันตัวเองให้เป็นนิสัย ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และไปในที่สาธารณะ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก และเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด คนรวมกันจำนวนมาก รับประทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
“ภารกิจในการป้องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศไทยสามารถฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ ซึ่งการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นได้ แต่ต้องมีจำนวนน้อยราย และสามารถควบคุมในวงจำกัดได้ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้” นายแพทย์โสภณกล่าว
*********************************** 7 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34859 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด คปภ. เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
บอร์ด คปภ. เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย
บอร์ด คปภ. เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยไทย
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 มีมติเห็นชอบหลักการร่างประกาศ คปภ. เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันชีวิต/วินาศภัย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ตามที่สำนักงาน คปภ. เสนอเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการกำหนดค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สำนักงาน คปภ. จึงได้ประชุมร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อหารือมาตรการเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะยืดเยื้ออีกนานเท่าไร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง ใน 2 ประเด็น คือ 1. การคำนวนเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุน ในกรณีที่บริษัทมีการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (hedging instruments) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผันผวนของมูลค่าพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนที่บริษัทมีอยู่ เนื่องจากประกาศ คปภ. เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2562 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้เงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เท่ากับผลคูณระหว่างมูลค่าตราสารทุน (Total Exposure) กับค่าความเสี่ยง 25% โดยไม่มีการรับรู้ผลจากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง และ 2. การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย เพื่อปรับ diversification factor ในการจัดทำรายงานการดำรงเงินกองทุน เนื่องจาก diversification factor ที่ใช้ในปัจจุบัน กำหนดโดยใช้ดุลพินิจบนพื้นฐานของความระมัดระวัง (conservative) เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลประกอบการคำนวณค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยจากภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ดี จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดทุนมีความผันผวน อาจทำให้บริษัทประกันภัยเกิดผลขาดทุนจากการลงทุน หากบริษัทไม่สามารถใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัย ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้บริษัทใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม สำนักงาน คปภ. จึงได้ศึกษาแนวทางดำเนินการพิจารณาทบทวนเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง โดยพิจารณาด้วยความรอบคอบ ภายใต้หลักการเงินกองทุนที่บริษัทดำรงไว้ต้องสะท้อนความเสี่ยงอย่างเหมาะสม มีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนในระดับสากลและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยปรับปรุงสูตรการคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็น (Net exposure x 25%) + Over-hedged position เพื่อให้เงินกองทุนที่คำนวณได้สะท้อนถึงผลจากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารทุน และส่งเสริมให้บริษัทนำเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมาใช้บริหารความเสี่ยงด้านตลาด เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดการเงินภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน
รวมถึงปรับปรุงค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยที่ร้อยละ 25 โดยเปรียบเทียบแนวทางการดำเนินงานจากประเทศต่าง ๆ อาทิ สหภาพยุโรป สิงค์โปร ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น และให้สอดคล้องกับผลการคำนวณค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยของธุรกิจในประเทศ โดยกำหนดให้สำนักงาน คปภ. พิจารณาทบทวนการกำหนดค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยภายในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ประกาศมีผลใช้บังคับ นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้ให้บริษัทประกันภัยมีการทดสอบผลกระทบเชิงปริมาณตามหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้ทราบถึงผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยผลการทดสอบพบว่า หากบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม จะส่งผลให้มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ด คปภ. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการปรับปรุงค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ ที่สำนักงาน คปภ.นำเสนอ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นทั้งทาง website คือ www.oic.or.th รวมทั้งจะมีหนังสือขอรับฟังความคิดเห็นจากผู้สอบบัญชี บริษัทประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย ฯลฯ ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 11 กันยายน 2563 โดยจะประมวลข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงร่างประกาศ และจะนำเสนอต่อบอร์ด คปภ. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
“สำหรับการปรับปรุงตามหลักเกณฑ์ใหม่ จะส่งผลดีต่อธุรกิจประกันภัยและประชาชน เนื่องจากเงินกองทุนที่คำนวณได้จะสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงที่บริษัทประกันภัยเผชิญอยู่ได้อย่างเหมาะสม โดยกรอบการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของสำนักงาน คปภ. จะมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนในระดับสากลมากยิ่งขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยมีการพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงภายในบริษัทให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของอุตสาหกรรมประกันภัยในระยะยาว และช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนในฐานะผู้เอาประกันภัยต่อระบบประกันภัยในประเทศ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34714 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” กระตุ้นทุกภาคส่วนร่วมกันปลุกจิตสำนึกต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัน ชื่นชมราชบัณฑิตยสภาอุดมไปด้วยปราชญ์ เปรียบเสมือนมันสมองของชาติ | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
“อนุชา” กระตุ้นทุกภาคส่วนร่วมกันปลุกจิตสำนึกต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัน ชื่นชมราชบัณฑิตยสภาอุดมไปด้วยปราชญ์ เปรียบเสมือนมันสมองของชาติ
“อนุชา” กระตุ้นทุกภาคส่วนร่วมกันปลุกจิตสำนึกต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัน ชื่นชมราชบัณฑิตยสภาอุดมไปด้วยปราชญ์ เปรียบเสมือนมันสมองของชาติ
วันนี้ (11 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องแซฟไฟร์ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการเนื่องในวันสหวิทยาการ ครั้งที่ 10 เรื่อง ธรรมาภิบาลกับการป้องกันการทุจริตในสังคมไทย จัดโดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เพื่อเป็นเวทีที่ช่วยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยการนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการแก้ไขปัญหา ควบคู่กับหลักการค้นคว้าวิจัย ให้ได้นวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ซึ่งทุกภาคส่วน จะได้ระดมความรู้ ความสามารถนำมาร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นปัญหาระดับต้น ๆ ของประเทศ การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากภายในและภายนอกหน่วยงานของรัฐ ที่สำคัญต้องทำงานเชิงรุกผ่านการบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยต้องมองปัญหาและแนวทางแก้ไขไปข้างหน้า นอกจากการปราบปรามแล้ว ต้องวางมาตรการสร้างความเข้าใจคู่ขนานกันไปด้วย
ในส่วนของราชบัณฑิตยสภานั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประกอบด้วยปราชญ์ผู้มีความรู้ ที่หลากหลายสาขาวิชา เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ ซึ่งการเสนอแนะองค์ความรู้จากการประชุมจะเป็นประโยชน์ต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐบาลในการกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศต่อไป
สำหรับการประชุมวิชาการในวันนี้ ในภาคเช้า นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ธรรมาภิบาลกับการป้องกันและปรับรามการทุจริตในสังคมไทย" และมีการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "การป้องกันและปรับรามการทุจริตรในประเทศไทย" โดยวิทยากร ประกอบด้วย พลเอก จรัญ กุลละวณิชย์ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.จุรี วิจิตรวาทการ รองศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และนายธปไตร แสละวงศ์ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย ส่วนภาคบ่าย เป็นการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "ข้อเสนอในการขจัดคอรัปชันในสังคมไทย" โดยวิทยากรประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร ราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ราชบัณฑิต และนายวรวิทย์ สุขบุญ โดยมี พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
-----------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อความมั่นคงของประเทศ กับ สวทช. | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อความมั่นคงของประเทศ กับ สวทช.
เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านความมั่นคงของทุกเหล่าทัพ ในการขับเคลื่อนและขยายผลงานวิจัยไปประยุกต์สู่การใช้งานจริง และสร้างความเข้มแข็งให้เกิดการพัฒนาอุตสากรรมด้านนวัตกรรมความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34904 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงาน บริษัท วู๊ดเวอร์คฟาร์ม จำกัด จ.ตรัง | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงาน บริษัท วู๊ดเวอร์คฟาร์ม จำกัด จ.ตรัง
ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงาน บริษัท วู๊ดเวอร์คฟาร์ม จำกัด จ.ตรัง
วันนี้ (5 กันยายน 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานผลิตก้อนเชื้อเห็ดของบริษัท วู้ดเวอร์คฟาร์ม จำกัด โดยมี นายวิถี สุพิทักษ์ ประธานกรรมการบริษัท วู้ดเวอร์ค จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปไม้ยางพารา ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมโรงงานฯ
บริษัท วู้ดเวอร์คฟาร์ม จำกัด ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการผลิตก้อนเชื้อเห็ด การเพาะเห็ด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากการนำขี้เลื่อยซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการผลิตไม้ยางพาราแปรรูปของโรงงานมาเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าและผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงเรือนปลูกผักในดินผักปลอดภัย โดยตระหนักถึงความสดสะอาด ปลอดภัย เป็นหลัก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีการป้องกันไม่ให้เสื้อผ้า เป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ?? | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
วิธีการป้องกันไม่ให้เสื้อผ้า เป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
วิธีการป้องกันไม่ให้เสื้อผ้า เป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ??
Q : วิธีการป้องกันไม่ให้เสื้อผ้า เป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
A : ต้องซักเสื้อผ้าด้วยผงซักฟอก หรือหากใช้สบู่ต้องซักในน้ำร้อน 60-90 องศาฯ อาจผสมน้ำยาฟอกขาว อบผ้าให้แห้งด้วยเครื่องอบอุณหภูมิสูง หรือตากแดดให้แห้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35098 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ยืนยันบรรจุข้าราชการรุ่นโควิด 19 ส่วนที่เหลือ ภายใน 30 กันยายน นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
รมช.สาธิต ยืนยันบรรจุข้าราชการรุ่นโควิด 19 ส่วนที่เหลือ ภายใน 30 กันยายน นี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันข้าราชการรุ่นโควิด 19 ทั้ง 24 สายงานตามมติ ครม.ส่วนที่เหลือจะได้รับการบรรจุภายในเดือนกันยายนนี้ หากมีตำแหน่งเหลือ จะหารือกับกพ. เพื่อขอใช้ตำแหน่งบรรจุทดแทนให้บุคลากรในกลุ่มสายงานอื่นที่ปฏิบัติงานด่านหน้า
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันข้าราชการรุ่นโควิด 19 ทั้ง 24 สายงานตามมติ ครม.ส่วนที่เหลือจะได้รับการบรรจุภายในเดือนกันยายนนี้ หากมีตำแหน่งเหลือ จะหารือกับกพ. เพื่อขอใช้ตำแหน่งบรรจุทดแทนให้บุคลากรในกลุ่มสายงานอื่นที่ปฏิบัติงานด่านหน้าและสนับสนุนในช่วงโควิด
วันนี้ (10 กันยายน 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หลักการของการบรรจุข้าราชการรุ่นโควิด 19 นั้น ต้องเป็นไปตามมติครม. ซึ่งจะต้องอยู่ใน 24 สายงาน จำนวน 45,684 อัตรา โดยขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว 2 รอบ และยังคงเหลือผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าและฝ่ายสนับสนุนที่อยู่ใน 24 สายงานบางส่วนที่มีปัญหา เช่น อัตราเดิมลาออกแต่ไม่ได้บันทึกหรือลงข้อมูลไม่ถูกต้อง และผู้ที่ตกหล่นจากการไม่ได้ลงข้อมูล ประมาณ 1,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะนำเข้าสู่ที่ประชุม อกพ.สธ. ในวันพรุ่งนี้ (11 กันยายน 2563) เพื่อพิจารณาและเยียวยา และจะส่งผลที่ได้จากการประชุมไปที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ซึ่งได้ประสานไว้แล้ว เพื่อบรรจุในส่วนที่เหลือให้ครบให้ทันภายใน 30 กันยายน 2563
ในส่วนสายงานที่ปฏิบัติงานด่านหน้าและสนับสนุนในช่วงโควิด 19 ที่ไม่ได้อยู่ใน 24 สายงาน หากมีตำแหน่งเหลือจากการบรรจุทั้ง 24 สายงานแล้ว จะหารือกับกพ.ว่าจะสามารถนำมาใช้บรรจุทดแทนได้หรือไม่ หากทำได้จะเร่งรัดดำเนินการทันที โดยใช้ระบบอาวุโสและประสบการณ์ทำงานมาพิจารณา
“ขอยืนยันบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าที่เหลือจะได้รับการเยียวยา ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่าเราทำเต็มที่เพื่อให้บรรจุครบ 45,684 อัตรา ด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส เป็นไปขั้นตอนกฎหมาย ตามมติครม.และผ่านการพิจารณาจาก อ.ก.พ.สธ.” ดร.สาธิตกล่าว
*********************** 10 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” มอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงฯ ระหว่างเยี่ยมชมโครงการเด่นในพื้นที่ EEC | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
“พุทธิพงษ์” มอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงฯ ระหว่างเยี่ยมชมโครงการเด่นในพื้นที่ EEC
“พุทธิพงษ์” มอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงฯ ระหว่างเยี่ยมชมโครงการเด่นในพื้นที่ EEC
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีอส) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายผู้บริหาร ในระหว่างนำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เยี่ยมชมโครงการเด่นในพื้นที่ EEC ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าโครงการศูนย์ทดสอบเทคโนโลยี 5G ที่ ม. เกษตรศาสตร์ ศรีราชา ห้องฝึกอบรมสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่ออีอีซี (DAT) โครงการ ASEAN Digital Hub และโครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ ช่วงวันที่ 10-11 กันยายน 2563 ณ ห้องออคิด บอลรูม โรงแรมรอยัลคลิฟ โอเต็ลล์ กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรี โดยมีางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บริหารกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ร่วมประชุม ทั้งนี้โครงการเด่นของดีอีเอส มีความคืบหน้าในการจัดตั้งละก่อสร้างแล้วในเขตพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดหวังให้เป็นการนำร่องสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้าสู่ประเทศไทย
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดเสวนาฯ “ถอดรหัส : การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และจับดีกรีคดีทุจริตคอร์รัปชัน” เสริมสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอ | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
มหาดไทย จัดเสวนาฯ “ถอดรหัส : การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และจับดีกรีคดีทุจริตคอร์รัปชัน” เสริมสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอ
มหาดไทย จัดเสวนาฯ “ถอดรหัส : การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และจับดีกรีคดีทุจริตคอร์รัปชัน” เสริมสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
วันนี้ (2 ก.ย. 2563) เวลา 13.15 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายสมคิด จันทมฤกรองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs) ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 6 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในหัวข้อ“ถอดรหัส : การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และจับดีกรีคดีทุจริตคอร์รัปชัน”จัดโดย สถาบันดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ รวมทั้งส่งเสริมปลูกฝังสร้างจิตสำนึกในด้านคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติงาน เพื่อให้นำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้ในการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เข้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด ทั้ง 76 แห่งทั่วประเทศ ผ่านระบบ Video Streaming และผ่านระบบสถานีโทรทัศน์กรมการปกครอง (DOPA Channel) ไปยังทุกอำเภอด้วย
โอกาสนี้นายสมคิดจันทมฤกรองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่าปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการนับเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการทุจริตมีรูปแบบที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนี้เกิดขึ้นจากการขาดจิตสำนึกในการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม โดยปัญหาดังกล่าวทำให้รัฐและประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง มีการสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตที่อาจมีความยากและซับซ้อนต่อการตรวจสอบของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทุกภาคส่วนในสังคมจะมีความตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามบทบาทและภาระหน้าที่ของตนเองเพิ่มมากขึ้นก็ตาม ทว่าการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา พร้อมรับทราบแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวแบบบูรณาการ โดยยึดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยให้ความสำคัญกับการปรับและหล่อหลอมพฤติกรรม “คน” ทุกกลุ่มในสังคมให้มีจิตสำนึกและพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสมกับบริบท สภาพปัญหา และพลวัตการทุจริตของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกระบวนการและกลไกที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้ครอบคลุมในมิติต่าง ๆ ด้วย
ท้ายนี้นายสมคิด จันทมฤก ได้เน้นย้ำว่าการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตลอดจนส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงาน ให้รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่การงาน และสร้างจิตสำนึกและค่านิยมของบุคลากรในการต่อต้านการทุจริต และด้วยเหตุนี้เราทุกคนจึงต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนการปลูกฝังวิธีคิดสร้างจิตสำนึกในความซื่อสัตย์สุจริต และการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการที่ทุกคนจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้มีผลเป็นรูปธรรมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34781 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อดีของการใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าคืออะไร ?? | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
ข้อดีของการใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าคืออะไร ??
ข้อดีของหน้ากากอนามัยแบบผ้า ??
Q : ข้อดีของการใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าคืออะไร ??
A : 1.สามารถนำไปซักและนำกลับมาใช้งานใหม่ได้
2.ลดการปนเปื้อนละอองฝอยจากการไอ จาม
3.ช่วยประหยัดเงิน
4.ไม่เพิ่มปริมาณขยะ
5.กรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่ได้
6.ลดการขาดแคลนหน้ากากอนามัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34791 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบรางวัล PM Award 2020 ชื่นชมผู้ประกอบการมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาส่งออกสินค้าและบริการ ย้ำรัฐบาลพร้อมส่งเสริมสินค้าแบรนด์ไทยไปต่างประเทศให้มากขึ้น | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี มอบรางวัล PM Award 2020 ชื่นชมผู้ประกอบการมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาส่งออกสินค้าและบริการ ย้ำรัฐบาลพร้อมส่งเสริมสินค้าแบรนด์ไทยไปต่างประเทศให้มากขึ้น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบรางวัล PM Award 2020 ชื่นชมผู้ประกอบการมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาส่งออกสินค้าและบริการ ย้ำรัฐบาลพร้อมส่งเสริมสินค้าแบรนด์ไทยไปต่างประเทศให้มากขึ้น
วันนี้ (26 ส.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2563 (Prime Minister’s Export Award 2020) ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดของรัฐบาลที่มอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจของประเทศและเป็นขวัญกำลังใจผู้ประกอบธุรกิจส่งออก โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลในประเภทต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการรวมทั้งสิ้น 37 รางวัลจาก 34 บริษัท ประกอบด้วย 1) รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) จำนวน 9 รางวัล 2) รางวัลสินค้านวัตกรรมยอดเยี่ยม (Best Innovation) จำนวน 3 รางวัล 3) รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม (Best Thai Brand) จำนวน 7 รางวัล 4) รางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) จำนวน 7 รางวัล 5) รางวัลสินค้าธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise Award) จำนวน 5 รางวัล ในสาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟต์แวร์ ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์การค้า 6) รางวัลสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณท์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) จำนวน 2 รางวัล และ7) รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) จำนวน 4 รางวัล
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงที่ผ่านมา แต่ผู้ประกอบการทุกสาขาก็สามารถปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับการดำเนินวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ (New normal) ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ขอให้รักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย สมกับที่ได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจดีเด่น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาของผู้ประกอบธุรกิจส่งออกสินค้าและบริการ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในการพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สินค้าและบริการของตนเองมีคุณภาพและมีมาตรฐาน สามารถส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศว่า ต้องเร่งส่งเสริมผลิตสินค้าแบรนด์ไทยไปต่างประเทศให้มากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ พร้อมกับการดูแลพนักงานอย่างเหมาะสมให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ สิ่งสำคัญทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน หรือ New Normal และนำวิกฤติมาเป็นโอกาสของตนเองและประเทศไทยซึ่งมีทรัพยากรที่มากเพียงพอในการนำมาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และสิ้นค้าในทุกมิติ ทั้งเรื่องเกษตรกรรรม อาหาร เครื่องสำอาง รวมทั้งนำงานวิจัยที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องของ BCG ผลิตภัณฑ์ที่มาจากวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ เช่น จากการเกษตรอื่น ๆ ขณะเดียวกันพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม สร้าง Story เรื่องราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะเน้นพัฒนาที่สินค้าที่มีความจำเป็นและใช้ในชีวิตประจำวันจะทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ผลประกอบการของผู้ประกอบธุรกิจมีความสิ่งสำคัญในการนำรายได้จากการเก็บภาษีมาพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาการลดความเลื่อมล้ำต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้ให้กำลังใจผู้ประกอบการทุกคนมุ่งมั่นสร้างสรรค์ พัฒนา และขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ PM Export Award ทั้ง 7 ประเภทที่ได้รับรางวัล และยังได้ให้กำลังใจกับผู้ประกอบการ ในการต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เพื่อร่วมกันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาภาคการส่งออกของไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' มอบโล่และประกาศนียบัตร | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' มอบโล่และประกาศนียบัตร
รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่เกษตรกรดีเด่นในสาขาต่าง ๆ พร้อมชูอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่มีเกียรติและสง่างาม
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ ให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ ภายในงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 และสัมมนารวมพลคนสร้างชาติ” ที่จัดขึ้น ณ ฮอลล์ 9 - 10 อิมแพคเมืองทองธานี ดังนี้ 1) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเกษตรกรแปลงใหญ่ดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 12 คน 2) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพทำสวน และสาขาอาชีพทำไร่ ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 14 คน 3) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกรดีเด่น สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรดีเด่น และกลุ่มยุวเกษตรกรดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 23 คน 4) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพไร่นาสวนผสม ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 8 คน และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 8 คน 5) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติวิสาหกิจชุมชนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 6 คน และ 6) มอบโล่และประกาศนียบัตรเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติคณะกรรมการอาสาสมัครเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 21 คน
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า จากการที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ประเทศไทยมีมาตรการที่จะควบคุมป้องกันสถานการณ์นี้ได้ ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือจากพี่น้องคนไทยทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องมีมาตรการป้องกันและข้อความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับในภาคการเกษตร ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส มีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ต้องพัฒนาสินค้า พร้อมกับลดต้นทุนการผลิต ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย มาเพิ่มมูลค่า ซึ่งจะทำให้ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีความพร้อมในการผลิต การแปรรูป ทางด้านการผลิต จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วันนี้เกษตรกรมีการปรับตัวและพัฒนาที่มากขึ้น มีการรวมกลุ่ม มีการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น ต้นทุนต่ำลง มีการพัฒนาบุคคลากร นอกจากนี้ ยังมีการขายในตลาดออนไลน์ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะช่วยประสานให้สินค้าของพี่น้องเกษตรกรได้สามารถไปขายได้หลากหลายช่องทางเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกสินค้าที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ในด้านการผลิตสินค้าเกษตรจึงต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับ ส่วนราชการต้องเข้าไปพัฒนา อบรมบุคลากรเพื่อจะได้มาช่วยภาคการเกษตรให้พัฒนายิ่งขึ้นไป จึงอยากให้พี่น้องเกษตรกร มีความภาคภูมิใจ และเชื่อมั่นในอาชีพเกษตรกรรมว่าเป็นอาชีพที่อยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและสง่างาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ กระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ "เศรษฐกิจยุค Digital" ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการเศรษฐกิจการเกษตร ระดับกลาง" รุ่นที่ 1 | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ผู้ตรวจฯ กระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ "เศรษฐกิจยุค Digital" ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการเศรษฐกิจการเกษตร ระดับกลาง" รุ่นที่ 1
ผู้ตรวจฯ กระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ "เศรษฐกิจยุค Digital" ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการเศรษฐกิจการเกษตร ระดับกลาง" รุ่นที่ 1
นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดีอีเอส ให้เกียรติบรรยายพิเศษหัวข้อ "เศรษฐกิจยุค Digital" " ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการเศรษฐกิจการเกษตร ระดับกลาง" รุ่นที่ 1 ณ อาคารนวัตกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยหลักสูตรดังกล่าว เป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาข้าราชการให้เป็นผู้นำยุคใหม่ บริหารการเปลี่ยนแปลงและบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถนำองค์กรสู่ความสำเร็จ เพิ่มขีดความสามารถในการนำภารกิจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากล ทั้งนี้ การฝึกอบรมฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม – 19 กันยายน 2563
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34526 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 6 กันยายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 6 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 6 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจำวันที่6 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศทั้งหมด (สหรัฐอเมริกา 2 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, สิงคโปร์ 3 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้และสถานกักตัวทางเลือก มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,281 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.27 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย หรือร้อยละ 3.05 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,444 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
สหรัฐอเมริกา2 รายเป็นเพศหญิง อายุ 46 ปี และ 83 ปี สัญชาติไทย อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 31 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร ผลพบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 4 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ทั้ง 2 รายไม่มีอาการ ส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร
สหราชอาณาจักร1 รายเป็นเพศชาย อายุ 46 ปี สัญชาติฝรั่งเศส อาชีพครูสอนภาษาในโรงเรียนเอกชนเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 1 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 4 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว)ไม่มีอาการ ส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร
สิงคโปร์3 ราย เป็นเพศชาย อายุ 43 และ 56 ปี อาชีพรับจ้าง และ อายุ 53 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ทุกรายมีสัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 4 กันยายน 2563 ได้รับคัดกรองอาการ ที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ พบว่ามีประวัติเคยป่วยด้วยโรคโควิด 19 ก่อนเดินทางกลับมาประเทศไทย จึงเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลพบสารพันธุกรรมโควิด 19 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดฉะเชิงเทรา 2 ราย และ จังหวัดสมุทรปราการ 1 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2563 ทีมสอบสวนโรคได้ติดตามและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด 19 ทั้งที่พักอาศัยและร้านอาหาร 3 แห่ง ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ได้แนะนำให้ทุกคน กักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วันนับจากวันที่พบผู้ต้องขังรายนี้ครั้งสุดท้าย และหากป่วย มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบไปโรงพยาบาลของรัฐเพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำ และเข้าสู่ระบบการรักษาทันที
แม้ว่าขณะนี้ยังไม่พบรายงานการติดเชื้อในกลุ่มผู้สัมผัส แต่ขอให้ประชาชนยังคงรักษามาตรการป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด คนรวมกันจำนวนมาก รับประทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญคือลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ที่ใช้บริการผ่าน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังอาการ และควบคุมโรค ต่อไป
************************************* 6 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมฉลอง 10 ปี ความร่วมมือด้านแรงงาน ไทย-อิสราเอล ‘ยืนยันการส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอล มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม’ | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมฉลอง 10 ปี ความร่วมมือด้านแรงงาน ไทย-อิสราเอล ‘ยืนยันการส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอล มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม’
ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ของความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทยและอิสราเอล ยืนยันการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอลในโครงการ TIC Project จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม
วันนี้ (9 ก.ย. 63) เวลา 12.00 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุลอธิบดีกรมการจัดหางาน ร่วมเป็นเกียรติในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ของความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทยและอิสราเอล พร้อมหารือข้อราชการกับ นายเมเอียร์ ชโลโม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท โดย นายสุทธิ กล่าวว่า “ภายใต้บันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ที่มีกรมการจัดหางานเข้ามาดำเนินการจัดส่งแรงงานแทน IOM นั้น ผมมั่นใจว่าการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอลในโครงการ TIC Project จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม เช่นเดียวกับการดำเนินการของ IOM และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”
โดยเมื่อปี 2553 ได้มีการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลโดยมีหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมการจัดหางานของไทย และหน่วยงานด้านประชาการและตรวจคนเข้าเมืองของอิสราเอล (Population and Immigration Authority : PIBA) และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration : IOM) ร่วมดำเนินโครงการ TIC Project ภายใต้กรอบข้อตกลงฯ ดังกล่าว ซึ่งเป็นการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอลแบบรัฐต่อรัฐ ทำให้กระบวนการจัดส่งแรงงานไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานให้กับแรงงานไทย และทำให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของอิสราเอล ซึ่งได้ดำเนินงานมาอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ต่อมาในปี 2563 หน่วยงาน IOM ได้ขอยุติบทบาทในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอล อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งฝ่ายไทยและอิสราเอลก็ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินโครงการ TIC Project ต่อไป โดย กรมการจัดหางาน และ PIBA ได้หารือร่วมกันในการปรับปรุงข้อตกลงฯ ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการจัดส่งแรงงานที่กรมการจัดหางานจะเข้ามาดำเนินการแทน IOM และด้วยความพยายามของรัฐบาลไทยและอิสราเอลทำให้บันทึกความตกลงฉบับใหม่ได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 63 ที่อิสราเอล และ Implementation Arrangement to the Agreement ได้ลงนามเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 63 ที่ประเทศไทย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
9 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34936 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันเดินทางเข้าไทย ต้องพำนักในสถานกักกัน 14 วัน ย้ำ “การ์ดไม่ตกและไม่ลดความเข้มงวด” | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันเดินทางเข้าไทย ต้องพำนักในสถานกักกัน 14 วัน ย้ำ “การ์ดไม่ตกและไม่ลดความเข้มงวด”
นายกรัฐมนตรียืนยันเดินทางเข้าไทย ต้องพำนักในสถานกักกัน 14 วัน ย้ำ “การ์ดไม่ตกและไม่ลดความเข้มงวด”
วันนี้ (15 กันยายน 2563) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อาจทำให้มีข้อติดขัดบ้าง ซึ่งรัฐบาลทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหา อุปสรรค ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของประชาชนในทุกมิติ รวมทั้งจัดทำวิธีการ กลไก ใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมทั้งไม่ขัดข้องหากจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อสำหรับจัดทำการลงประชาประชามติ
นายกรัฐมนตรียืนยันการจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ล่าช้าออกไปว่า เนื่องจากระบบการจ่ายเงิน ขอให้มั่นใจงบประมาณมีเพียงพอและจะเร่งรัดให้เร็วที่สุดตามกำหนดวันที่ 22 ก.ย. นี้ นอกจากนี้รัฐบาลได้เดินหน้ามาตรการจ้างงานนิสิต/นักศึกษาจบใหม่ กว่า 2.6 แสน ตำแหน่ง รวมถึงมาตรการจ้างงานสำหรับผู้ที่ยังว่างงานอีก 1 ล้านตำแหน่งด้วย
ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังมีการหารือเกี่ยวกับการออกวีซ่านักท่องเที่ยวแบบใหม่ Special Tourism Visa ว่า จำต้องหารือเพิ่มเติมในที่ประชุม ศบค. รวมถึงรับฟังความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งนี้ ยืนยันว่าแม้จะมีวีซ่าแบบใหม่แต่ทุกคนจะต้องเข้าสู่ State Quarantine / Alternative State Quarantine เป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สามารถใช้วิธี Hospital Quarantine ได้เช่นกัน นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยนั้นอยู่ในอันดับต้นของโลก แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในการตรวจสอบ ติดตาม คัดกรองโรค โดยเฉพาะกิจการ/กิจกรรม ที่ได้รับการผ่อนคลายมาตรการแล้ว การ์ดต้องไม่ตกและไม่ลดความเข้มงวด
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเผยถึงวันหยุดเพิ่มเติมพิเศษนั้น จะมีการประกาศล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนท่องเที่ยวได้
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยกองทัพเรือเตรียมชี้แจงต่อคณะกรรมธิการฯ ยืนยันรัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนในการบริหารประเทศทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
โฆษกรัฐบาลเผยกองทัพเรือเตรียมชี้แจงต่อคณะกรรมธิการฯ ยืนยันรัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนในการบริหารประเทศทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
โฆษกรัฐบาลเผยกองทัพเรือเตรียมชี้แจงต่อคณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ยืนยันรัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนในการบริหารประเทศทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
วันนี้ (31 ส.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กำลังพิจาณางบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเรือดำน้ำตามที่กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม ได้มีการขออนุมัติงบประมาณวงเงิน 3,375 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำเพิ่ม 2 ลำ ตั้งแต่ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้มีการชะลอการดำเนินการออกไปเป็นเวลา 1 ปี และได้มีการเสนอเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นครั้งที่ 2 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกับกระทรวงกลาโหม โดยกองทัพเรือจะพิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ซึ่งจะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ อีกครั้ง เพื่อให้คณะธรรมธิการฯ เป็นผู้พิจารณาตามกลไกของรัฐสภา ทั้งนี้ จะได้นำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์อื่นที่เหมาะสม โดยเฉพาะดูแลปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยกระทรวงกลาโหมจะเจรจาหารือกับประเทศจีนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลมีความตั้งใจดูแลพี่น้องประชาชนให้ครบทุกภาคส่วน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เช่นเดียวกับกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำยังได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงานของนายกรัฐมนตรี ด้วยการรับฟังทุกความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนในทุกประเด็นทั้งเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านกลไกการทำงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรมและเป็นเหตุเป็นผล
โอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำว่า มีการดำเนินการอย่างถูกต้องในรูปแบบ G2G ตั้งแต่เรือดำน้ำลำที่ 1 ที่มีการส่งมอบแล้ว ในส่วนของลำที่ 2 และลำที่ 3 จะเป็นการส่งมอบต่อเนื่องตามงบประมาณที่จัดตั้งไว้เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำเป็นจำนวน 36,000 ล้านบาท สำหรับเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 จำนวน 22,500 ล้านบาท และจากเดิมที่มีการขออนุมัติงบวงเงิน 3,375 ล้านบาทในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้เลื่อนมาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ วันนี้จะมีการประชุมสภากลาโหมเพื่อให้กองทัพเรือชะลอการจัดซื้อหากเป็นไปได้ และขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ
.......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่ใช้สนามบินอู่ตะเภา ในมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่มีมาตรฐานสากล | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่ใช้สนามบินอู่ตะเภา ในมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่มีมาตรฐานสากล
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการตรวจคัดกรองผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้าทุกเที่ยวบินอย่างเข้มงวด สร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสารที่ใช้สนามบินฯ ถึงมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่มีมาตรฐานสากล
วันนี้ (24 ส.ค. 63) เวลา 13.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังอาคารที่พักผู้โดยสาร แห่งที่ 2 การท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยมี พลเรือโท กฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการบูรณาการและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงท่าอากาศยาน ให้การสนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ผ่านเข้ามาคัดกรองตามระบบ ตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงสาธารณสุข วางแผนระบบควบคุม ติดตาม การเคลื่อนย้าย การระวังป้องกัน การรวบรวมและคัดแยกผู้เดินทางขึ้นยานพาหนะไปส่งยังสถานที่ควบคุมเพื่อสังเกตอาการ รวมถึงการประสานงานและประชาสัมพันธ์ ทําความเข้าใจกับผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ พร้อมได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการตรวจคัดกรองผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้าทุกเที่ยวบินอย่างเข้มงวด ตรวจวัดอุณหภูมินักท่องเที่ยวทุกคน เพื่อความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่ใช้สนามบินอู่ตะเภาถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีมาตรฐานสากล และมีประสิทธิภาพสูง พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วย
.............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34472 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เข้าร่วม FCCT panel discussion on “A green & resilient ‘new normal’ for Thailand : Planning for a post-Pandemic sustainable economy” | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
รมว.ทส. เข้าร่วม FCCT panel discussion on “A green & resilient ‘new normal’ for Thailand : Planning for a post-Pandemic sustainable economy”
รมว.ทส. เข้าร่วม FCCT panel discussion on “A green & resilient ‘new normal’ for Thailand : Planning for a post-Pandemic sustainable economy”
รมว.ทส. เข้าร่วม FCCT panel discussion on “A green & resilient ‘new normal’ for Thailand :
Planning for a post-Pandemic sustainable economy”
วันที่ 8 กันยายน 2563 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลง Thailand’s Post-Covid view of environmental issues and sustainability และร่วมการเสวนาในงาน A green & resilient ‘new normal’ for Thailand: Planning for a post-Pandemic sustainable economy ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียาเซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34901 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน เตรียมจัดงานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มช่องทางจำหน่ายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน เตรียมจัดงานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มช่องทางจำหน่ายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน เตรียมจัดงานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มช่องทางจำหน่ายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
31 สิงหาคม 2563 – กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เตรียมความพร้อมรองรับยุคเศรษฐกิจตามวิถี New Normal ดึงทุกภาคส่วนร่วมผลักดันและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เสริมสร้างโอกาสทางการตลาดและการเงินแก่ธุรกิจเอสเอ็มอี มีกำหนดจัดงานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน”ระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5-7 จังหวัดนนทบุรี โดยร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จํากัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เสริมทัพสร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งอย่างครบวงจรแบบ 360 องศา
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยถึงที่มาของการจัดงานกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในหน่วยงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ให้การส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย แก้ไขปัญหาการว่างงานจากการชะลอธุรกิจหรือหยุดกิจการกะทันหัน ได้จัดงาน ตลาดนัด SME เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางการตลาดและการเงินแก่ธุรกิจ SMEs ไทย ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมได้แล้ว เป็นการช่วยผู้ประกอบการ SME ให้มีพื้นที่และช่องทางในการจำหน่ายสินค้า เพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจให้เกิดขึ้น โดยภายในงานพบกับร้านค้าที่มาร่วมออกงานจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME ทั่วไทยที่รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และวิสาหกิจชุมชนกว่า 600 บูธ ประกอบด้วย สินค้าจำพวกอาหารและเกษตรแปรรูป เสื้อผ้า อัญมณี เครื่องประดับ ของใช้และของตกแต่งบ้าน บริการท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ในราคาพิเศษ รวมถึงกิจกรรมมากมายบนเวทีที่จะมาสนับสนุนต่อยอดธุรกิจทางการตลาด อาทิ สัมมนาและเวิร์คช็อปเพิ่มพูนความรู้ให้ผู้ประกอบการและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้สามารถปรับตัวและปรับเปลี่ยนธุรกิจในรูปแบบ New Normal พร้อมเพิ่มรายได้และเป็นอาชีพสำรองในอนาคต อาทิ SME ต้องรู้ การตลาดบน TikTok โดย TikTok (Thailand) การตลาดออนไลน์ สไตล์ SME โดย Shopee (Thailand) จัดสวนเสริมทิศ พิชิตทางรวย ด้วยฮวงจุ้ย โดย ซินแส เป็นหนึ่ง เป็นต้น อีกทั้งยังมีบูธให้คำปรึกษา
จากสถาบันการเงินชั้นนำ ที่จะมาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการฟื้นฟูธุรกิจ แนวทางการปรับตัวให้อยู่รอด ในภาวะปัจจุบัน” “ภายในงานยังมี กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาออกบูธเพื่อให้บริการ ให้คำปรึกษาแนะนำ สนับสนุนด้านเงินทุนและสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ ตลอดจนช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการผลงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งในช่วงก่อนและหลังโควิด-19 และนิทรรศการของกองทุน ฯ ที่นำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อ มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ครบองค์ความรู้ เพื่อผู้ร่วมงานตลอด 3 วันเต็ม” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook กระทรวงอุตสาหกรรม www.facebook.com/industryprmoi/ งาน ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 4-6 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5-7
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดเทศกาลยลเมืองศิลป์ กินของหรอย จังหวัดกระบี่ | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดเทศกาลยลเมืองศิลป์ กินของหรอย จังหวัดกระบี่
ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดเทศกาลยลเมืองศิลป์ กินของหรอย จังหวัดกระบี่
วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดเทศกาลยลเมืองศิลป์ กินของหรอย จังหวัดกระบี่ โดยมีนายสมควร ขันเงิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ณ ลานปูดำจังหวัดกระบี่
ทั้งนี้ งานดังกล่าว ททท. ได้ร่วมบูรณาการความร่วมมือกับจังหวัดกระบี่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกระบี่ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกระบี่ หอการค้าจังหวัดกระบี่ ภาคส่วนต่างๆ จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านงานศิลปะ การแสดงร่วมสมัย สตรีท อาร์ต นิทรรศการศิลปะมีชีวิต งานบวร On Tour และอาหารทะเล อาหารพื้นถิ่น ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ ลานปูดำ อ.เมือง จ.กระบี่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา “กรมศิลปากรกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมเนื่องในศาสนาอิสลาม” ในงานสัปดาห์วิชาการพิพิธภัณฑ์เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา “กรมศิลปากรกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมเนื่องในศาสนาอิสลาม” ในงานสัปดาห์วิชาการพิพิธภัณฑ์เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา “กรมศิลปากรกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมเนื่องในศาสนาอิสลาม” ในงานสัปดาห์วิชาการพิพิธภัณฑ์เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย
วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา “กรมศิลปากรกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมเนื่องในศาสนาอิสลาม” ในงานสัปดาห์วิชาการพิพิธภัณฑ์เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย "ความเสมอภาคบนความหลากหลายของพิพิธภัณฑ์ไทย ๒๐๒๐" โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร และประชาชนที่สนใจเข้าร่วม ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
สำหรับกิจกรรมงานสัปดาห์วิชาการพิพิธภัณฑ์เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่จัดเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ในโอกาสครบรอบ “๑๔๖ ปี กิจการพิพิธภัณฑ์ไทย” ภายใต้แนวคิด “พิพิธภัณฑ์ เข้าถึงได้ สนุก และทันสมัย “ (Learning by Playing)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35177 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ตรวจราชการพื้นที่จังหวัดระยอง | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ตรวจราชการพื้นที่จังหวัดระยอง
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ตรวจราชการพื้นที่จังหวัดระยอง
เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 63 เวลา 14.00 น. ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางอู่ตะเภา ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประกอบพิธี โดยมี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนชาวจังหวัดระยองให้การต้อนรับ
นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ กล่าวว่า จังหวัดระยองเป็นจังหวัดที่มีแหล่งเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ที่สำคัญและมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดสูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจังหวัดระยองได้รับการสนับสนุนการพัฒนาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ เป็นพื้นที่เป้าหมายของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC จังหวัดระยองเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่รวมถึงจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา ที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่ครบวงจรทั้งทางน้ำ ทางบก ทางราง และทางอากาศ
ซึ่งโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด ถือเป็นโครงการสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งในภาคตะวันออกให้สมบูรณ์มากขึ้นและถือเป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในจังหวัดระยองจังหวัดข้างเคียงก่อให้เกิดความสมดุลของการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนที่จะนำไปสู่การกระจายผลประโยชน์ให้กับชุมชนได้อย่างมากมายมหาศาลอีกด้วย
จากนั้นในเวลา 15.20 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ลงพื้นที่ตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) ร่วมพบปะประชาชนชาวจังหวัดระยอง และผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง พร้อมทั้งเยี่ยมชมกิจกรรมการดำเนินการของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะทำทุกอย่างในการขับเคลื่อนความต้องการของประเทศชาติเเละของพี่น้องประชาชน ไปสู่ความร่วมมือกันในทุกด้าน โดยในขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเเก้ไขปัญหาสถานการณ์การลดการจ้างงานที่เกิดขึ้น เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็ง และต่อยอดไปสู่การเเข่งขันในระดับสากล
และในเวลา 16.45 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ เยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน-แกลง 1 พร้อมติดตามการพัฒนาอาชีพกลุ่มประมงจังหวัดระยอง การสาธิตการแปรรูปอาหารทะเล ตลาดประมงพื้นบ้าน และธนาคารปู และร่วมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าสู่ทะเล นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงการดูเเล SMEs จำนวนกว่า 3 ล้านราย นอกจากนี้ ในเรื่อง E-commerce หรือ ธุรกิจออนไลน์ รัฐบาลมีกฎหมาย มีเเพลตฟอร์ม ที่ช่วยส่งเสริมให้มีพื้นที่การตลาดเพิ่มขึ้น พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการ และผู้ค้าขายมาร่วมลงทะเบียนกับภาครัฐ เพื่อจะสามารถเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ รวมถึงเงินอุดหนุนของรัฐในระยะยาวได้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34525 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบเสบียงอาหารสัตว์ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุตรดิตถ์-แพร่ | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
มอบเสบียงอาหารสัตว์ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุตรดิตถ์-แพร่
“ประภัตร” รมช.เกษตรฯ มอบเสบียงอาหารสัตว์ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุตรดิตถ์-แพร่
วันนี้(27ส.ค.63)นายประภัตรโพธสุธนรัฐนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำคณะลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จ.อุตรดิตถ์และจ.แพร่โดยช่วงเช้าเดินทางไปยังวัดน้ำหมันต.น้ำหมันอ.ท่าปลาจ.อุตรดิตถ์จากนั้นเดินทางไปยังวัดสัมฤทธิบุญบ้านสบป้ากอ.วังชิ้นจ.แพร่เพื่อมอบถุงยังชีพข้าวสารหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานตลอดจนชุดเวชภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพสัตว์ให้กับเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้กำลังใจเกษตรกรพร้อมกันนี้ได้รับฟังรายงานความเสียหายในจังหวัดและรับฟังปัญหาจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
นายประภัตรเปิดเผยว่าตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศแจ้งพายุระดับ4 (โซนร้อนกำลังแรง) ‘ฮีโกส’ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณมณฑลกวางตุ้งประเทศจีนตอนใต้ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนระหว่างวันที่20 - 24ส.ค.ที่ผ่านมาจนทำให้เกิดอุทกภัยน้ำป่าไหลหลากส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จึงได้เตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านพืชปี2562โดยจะจ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรไว้ก่อนเกิดภัยและจ่ายเงินช่วยเหลือตามพื้นที่ความเสียหายจริงไม่เกินครัวเรือนละ30ไร่ดังนี้นาข้าว1,113บาท/ไร่พืชไร่1,148บาท/ไร่และพืชสวนและอื่นๆ1,690บาท/ไร่ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินพ.ศ. 2562โดยกำชับให้เร่งจ่ายภายในเดือนกันยายน2563นี้
“อย่างไรตามได้กำชับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจและรายงานความเสียหายเกษตรกรให้ครบทุกรายและรายงานไปยังส่วนกลางเพื่อจะได้เตรียมหาแนวทางเยียวยาและเร่งฟื้นฟูอาชีพหลังต่อไปซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะด้านปศุสัตว์ซึ่งจากการรับฟังมีแปลงหญ้าเสียหายทำให้วัวควายไม่มีอาหารวันนี้จึงได้มามอบหญ้าฟ่อนรวมจำนวนกว่า40กิโลกรัมเพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้นพร้อมทั้งมีสัตวแพทย์คอยให้บริการประชาชนในพื้นที่อีกทั้งสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรที่ต้องการเพาะปลูก”นายประภัตรกล่าว
นอกจากนี้ได้รับรายงานว่าจ.อุตรดิตถ์ได้มีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังฯแล้วใน2อำเภอได้แก่อ.เมืองอุตรดิตถ์และอ.ท่าปลาโดยสำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายด้านการเกษตรที่ได้รับผลกระทบระหว่างวันที่21 - 23ส.ค.63ในพื้นที่6อำเภอได้แก่อ.เมืองอ.พิชัยอ.ท่าปลาอ.น้ำปาดอ.ฟากท่าและอ.ทองแสนขันเบื้องต้นพบว่ามีเกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งหมด1,855รายพื้นที่ประสบภัย6,921ไร่พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย4,244ไร่ความเสียหายด้านปศุสัตว์อาทิสัตว์ปีก1,858ตัวโค958ตัวควาย78ตัวแปลงหญ้าอาหารสัตว์41ไร่
สำหรับจ.แพร่ไม่มีพื้นที่ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังฯสำนักงานเกษตรจังหวัดแพร่ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายด้านการเกษตรที่ได้รับผลกระทบระหว่างวันที่20 - 24ส.ค.63พบความเสียหาย8อำเภอได้แก่อ.เมืองอ.ร้องกวางอ.สูงเม่นอ.สองอ.ลองอ.หนองม่วงไข่อ.วังชิ้นและอ.เด่นชัยเบื้องต้นพบว่ามีเกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งหมด7,405รายความเสียหายด้านพืช49,605ไร่ด้านประมง430ไร่และด้านปศุสัตว์ไก่พื้นเมือง(ตาย) 118ตัวรวมทั้งได้รับผลกระทบด้านพืชอาหารสัตว์
ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นจากนั้นจะเข้าไปเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34605 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพระที่ผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะพระที่ถูกจับต้องลาสิกขาบท จะกลับมาห่มผ้าเหลืองใหม่ ต้องผ่านกระบวนการบรรพชาอุปสมบท | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพระที่ผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะพระที่ถูกจับต้องลาสิกขาบท จะกลับมาห่มผ้าเหลืองใหม่ ต้องผ่านกระบวนการบรรพชาอุปสมบท
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพระที่ผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะพระที่ถูกจับต้องลาสิกขาบท จะกลับมาห่มผ้าเหลืองใหม่ ต้องผ่านกระบวนการบรรพชาอุปสมบท
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงประเด็นการอภิปรายฯ กรณี นายนิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคเพื่อไทย อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนาระบุว่ามีพระเถระจำนวน 7 รูป ถูกดำเนินคดี แล้วศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด มีการคืนยศให้พระเถระดังกล่าวนั้นว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามทุจริตเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์สินใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งศาลว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 36 เดือน และปรับ 27,000 บาท แต่ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ไม่เคยกระทำความผิดทางวินัย จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษกำหนด 2 ปี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพระเถระผู้ใหญ่ได้ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อถูกตัดสินลงโทษแล้ว จะกลับมาห่มผ้าเหลืองอีกนั้น จะต้องผ่านกระบวนการบรรพชาอุปสมบท ถึงจะมีสิทธิ์ห่มผ้าเหลืองได้ ถ้าหากห่มผ้าเหลืองโดยไม่ได้อุปสมบทจะมีความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบพระ ตามมาตรา 208 ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับศาสนา พร้อมกับกล่าวย้ำว่า พระที่ผิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่ถูกจับแล้วต้องลาสิกขาบท มีพระธรรมวินัยระบุไว้ชัดเจนว่าต้องบรรพชาใหม่ ไม่สามารถกลับมาห่มผ้าเหลืองได้ และไม่ได้อยู่ที่จิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการสึกโดยเต็มหรือไม่เต็มใจก็ตาม ซึ่งจากที่นายนิยม เวชกามา ระบุว่ามีพระจำนวน 3 แสนรูป หายไปจำนวน 8 หมื่นรูป เหลือเพียง 220,000 รูปนั้น ไม่ตรงกับข้อมูลความเป็นจริง ปัจจุบันประเทศไทยมีวัดอยู่ทั้งหมดประมาณ 42,000 กว่าวัด ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีจำนวนพระไม่เกิน 250,000 รูป ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่าในคำอภิปรายหรือคำเสนอแนะในการอภิปรายนายกรัฐมนตรีนั้น บางครั้งอาจจะฟังได้ บางครั้งอาจจะฟังไม่ได้
................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34953 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ อนุชา กระตุ้นคนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาหลักประจำชาติ | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
รัฐมนตรีฯ อนุชา กระตุ้นคนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาหลักประจำชาติ
รัฐมนตรีฯ อนุชา กระตุ้นคนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาหลักประจำชาติ
วันนี้ (3 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานเสวนาทางวิชาการเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำพุทธศักราช 2563 "รู้ทันสีสันภาษาสื่อ" โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เปิดเผยว่า สำนักงานราชบัณฑิตยสภามีหน้าที่หลักในการอนุรักษ์ภาษาไทย ขณะเดียวกันก็ได้รับมอบหมายให้สร้างจิตสำนึก และกระตุ้นให้ประชาชนคนไทยใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาหลักประจำชาติ ตลอดจนส่งเสริม ทำนุ บำรุง ให้ภาษาไทยอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป การจัดกิจกรรมในวันนี้จึงมีความสำคัญต่อการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภาษาไทยร่วมกันของคนในชาติ โดยปลูกฝังตั้งแต่ในระดับเยาวชนที่จะเป็นกำลังหลักของประเทศชาติในอนาคตต่อไป
สำหรับการจัดงานครั้งนี้เป็นไปตามภารกิจหลักของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ในการจัดอบรมศึกษาและพัฒนาทางวิชาการเกี่ยวกับภาษาไทย ภาษาถิ่น และการอนุรักษ์ภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติ โดยกำหนดหัวข้อหลักของงาน คือ "รู้ทันสีสันภาษาสื่อ" ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งภายใต้โครงการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ภายในงานประกอบด้วย การประกวดเล่าเรื่องหัวข้อ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ของกิน ของเล่น ของใช้” และพิธีมอบเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนที่ชนะการประกวดเล่าเรื่องหัวข้อ “ภูมิปัญญา ท้องถิ่น : ของกิน ของเล่น ของใช้” นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาทางวิชาการหัวข้อ “รู้ทันสีสันภาษาสื่อ” โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาษาไทยอีกด้วย
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ลดพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีแนะไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ลดพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีแนะไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ลดพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น
วันนี้ (8 กันยายน 2563) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่ารัฐบาลได้ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนงานโครงการต่าง ๆ ตามพ.ร.ก. เงินกู้ฯ พร้อมปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พบปะภาคเอกชน 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ เพื่อรับทราบข้อคิดเห็นและดูว่ารัฐบาลจะสนับสนุนส่วนไหนได้บ้าง เป็นการทำงานร่วมกัน โดยจุดมุ่งหมายสำคัญคือ ลดการเลิกจ้างงานพนักงานให้มากที่สุด โดยรัฐบาลจะจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดูแลลูกจ้าง พนักงาน ในห่วงโซ่ผู้ประกอบการรายใหญ่
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงเศรษฐกิจโดยรวมว่า มีการปรับตัวดีขึ้นตามลำดับจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน รวมถึงราคาอาหารสดดีขึ้นตามลำดับ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐดีขึ้น อยู่ที่ 31.34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แม้พบผู้ติดเชื้อแต่ระบบของสาธารณสุข ก็สามารถติดตามกลุ่มเสี่ยงเพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรอง ซึ่งยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มกำลังตามพื้นที่แนวชายแดนเพื่อป้องกันผู้ที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยนายกรัฐมนตรีเผยว่า เตรียมหารือกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเพิ่มวันหยุดให้มากขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมทั้งการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของไทยที่มีอยู่ ให้มีการใช้งานได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น วันนี้รัฐบาลมุ่งเน้นปรับปรุงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากเดิมที่ต้องพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว แต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลง อาจต้องจัดทำโครงการขนาดใหญ่เพื่อส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมจากแผนงาน EEC ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเชื่อมการขนส่งระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตก ท่าเรือต่าง ๆ ระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ด้วยการศึกษา Land Bridge เพื่อสร้างรากฐานแก่เศรษฐกิจระยะยาว
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันประเทศไทยได้เข้าร่วมการพัฒนาวัคซีนร่วมกับต่างประเทศ โดยมีงบประมาณ 1,000 ล้านบาทจากกองทุนวัคซีนแห่งชาติ สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศต่างๆ อาทิ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากประเทศไทย ซึ่งทุกประเทศมีมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมจ้างงาน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเช่นเดียวกัน
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34893 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ยืนยัน “ไม่เลือกปฏิบัติ” แจ้งเตือนโซเชียล/ออนไลน์ ปิดกั้นเนื้อหาผิดกม. | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
ดีอีเอส ยืนยัน “ไม่เลือกปฏิบัติ” แจ้งเตือนโซเชียล/ออนไลน์ ปิดกั้นเนื้อหาผิดกม.
ดีอีเอส ยืนยัน “ไม่เลือกปฏิบัติ” แจ้งเตือนโซเชียล/ออนไลน์ ปิดกั้นเนื้อหาผิดกม.
กระทรวงดิจิทัลฯ เผยทุกแพลตฟอร์มโซเชียลลบข้อมูลผิดกฎหมายตามคำสั่งศาลแล้วชุดแรกแล้วครบ 1,276 ยูอาร์แอล และวันนี้ส่งหนังสือแจ้งเตือนการติดตามการปิดกั้นตามคำสั่งศาล ไปยังสื่อสังคมออนไลน์/เว็บไซต์ เพื่อระงับการแพร่หลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมายอีก 1,024 ยูอาร์แอล ย้ำไม่มีการเลือกปฏิบัติ เผยแนวโน้มเว็บ-โซเชียลผิดกฎหมายลดลง หลังเปิดให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์”
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยในการแถลงข่าวการระงับการแพร่หลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ วันนี้ (26 สิงหาคม 2563) ว่า กระทรวงฯ จะมีหนังสือแจ้งเตือนการติดตามการปิดกั้นตามคำสั่งศาลอีก จำนวน 1,024 รายการ (ยูอาร์แอล) ไปยังสื่อสังคมออนไลน์/เว็บไซต์ต่างๆ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก จำนวน 661 รายการ, ยูทูบ 289 รายการ, ทวิตเตอร์ 69 รายการ และเว็บอื่นๆ จำนวน 5 รายการ โดยให้ความมั่นใจว่า มีการติดตามให้ทุกแพลตฟอร์มต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล กระทรวงฯ ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด
ที่ผ่านมา กระทรวงฯ มีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการบนแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ เป็นจำนวน 1,276 ยูอาร์แอล โดยจากการติดตามความคืบหน้าเมื่อครบกำหนด 15 วัน เมื่อวานนี้ (25 สิงหาคม 2563) พบว่าทุกรายรวมถึงเฟซบุ๊ก ยูทูบ และ TikTok ให้ความร่วมมือดำเนินการลบยูอาร์แอลผิดกฎหมายตามคำสั่งศาลครบทั้ง 100% โดยในจำนวนนี้เป็นรายการที่อยู่บนเฟซบุ๊ก จำนวน 1,129 ยูอาร์แอล
“กระทรวงฯ ขอย้ำว่าการดำเนินการในครั้งนี้ เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีคำสั่งศาลอย่างถูกต้อง มิได้เป็นการข่มขู่ใดหรือกลั่นแกล้งอย่างใด” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ เพจรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ซึ่งเฟซบุ๊กสั่งปิดไปตามคำสั่งศาลตามกฎหมายประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในจำนวนดังกล่าว และยืนยันว่าการดำเนินการในเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเด็นทางการเมือง แต่ในอีกหลายยูอาร์แอลที่มีคำสั่งศาลออกมา ยังครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ที่เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วว่าเข้าข่ายการกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
“กระทรวงฯ ไม่ได้คิดเอง หรือจะไปรังแกใคร เราทำตามกฎหมายประเทศไทย ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป อธิปไตยของแต่ละประเทศไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่เขตแดนอีกต่อไป เราต้องพูดถึงอธิปไตยไซเบอร์ เพราะไซเบอร์มาเร็ว ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องให้กับประเทศไทย” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ส่วนกรณีที่มีข้อวิตกกังวลจากบางกลุ่มว่า เฟซบุ๊ก อาจมีการฟ้องร้องไทยสำหรับกรณีการสั่งปิดกั้นเนื้อหาหรือเพจผิดกฎหมาย รวมทั้งอาจทำให้เฟซบุ๊ก ตัดสินใจยกเลิกการลงทุนในประเทศไทยนั้น โดยส่วนตัวมองในทางกลับกัน เนื่องจากการดำเนินการในเรื่องนี้ของประเทศไทย เป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมายของประเทศไทย จดหมายแจ้งเตือนและขอความร่วมมือทุกฉบับที่ส่งไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อลบหรือปิดกั้นยูอาร์แอลผิดกฎหมาย จะมีการแนบคำสั่งศาลไปด้วย เพื่อเป็นข้อมูลและหลักฐานช่วยให้เจ้าของแพลตฟอร์มทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ถูกโจมตีว่าไปละเมิดสิทธิ์ผู้ใช้งาน อีกทั้งเป็นการตอกย้ำความศักดิ์ของกฎหมายประเทศไทย ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนของบริษัทต่างๆ ว่าจะได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
นายพุทธิพงษ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” หลังเปิดตัวเป็นช่องทางให้ประชาชนส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์/เว็บผิดกฎหมาย เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายว่า ตลอดกว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดแจ้งเบาะแสเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพบว่าข้อความที่ตรวจสอบแล้วเข้าข่ายผิดกฎหมาย เริ่มมีแนวโน้มลดลง
ทั้งนี้ สถิติระหว่างวันที่ 15-24 สิงหาคม 2563 มีผู้ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์/เว็บผิดกฎหมาย เข้ามาจำนวน 2,931 รายการ (ยูอาร์แอล) ในจำนวนนี้พบว่าเป็นรายการที่ซ้ำซ้อน/ไม่เข้าข้อกฏหมาย จำนวน 1,891 รายการ โดยตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย จำนวน 680 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก จำนวน 434 รายการ ยูทูบ 63 รายการ ทวิตเตอร์ 50 รายการ และเว็บไซต์/อื่นๆ จำนวน 133 รายการ
หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบ ศาลมีคำสั่งแล้วทั้งสิ้น จำนวน 354 รายการ (ยูอาร์แอล) และอยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอศาล 326 รายการ ขณะที่ คงเหลือข้อมูลที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ จำนวน 360 รายการ
สำหรับตัวเลขรวมที่ได้รับการรับแจ้งเบาะแสจากประชาชน นับตั้งแต่วันเปิดตัวเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม -24 สิงหาคม 2563 มีผู้ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์/เว็บผิดกฎหมาย เข้ามาทั้งสิ้น 5,943 รายการ ในจำนวนนี้พบว่าเป็นรายการซ้ำซ้อน/ไม่เข้าข้อกฏหมาย 3,232 รายการ และตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย 2,260 รายการ โดยศาลมีคำสั่งแล้ว จำนวน 1,781 รายการ (เตรีนมส่งจนท.ตร./เจ้าของแพลตฟอร์ม), อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอศาล 479 รายการ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ 451 รายการ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า น่าชื่นชมที่ประชาชนตื่นตัวให้ความร่วมมือช่วยกันดูแลสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดจำนวนเนื้อหา/ข้อมูลที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมบนเครือข่ายโซเชียล/ออนไลน์ โดยมีข้อน่าสังเกตว่า แม้จะมีการแจ้งเบาะแสเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังการตรวจสอบแล้ว พบว่าแนวโน้มของรายการที่เข้าข้อกฎหมาย และต้องเข้าสู่กระบวนการดำเนินการตามกฎหมาย การลบ หรือการสั่งปิด มีสัดส่วนที่ลดลง เนื่องจากหลายรายการเป็นการรับแจ้งเบาะแสที่ซ้ำซ้อนกัน หรือไม่เข้าข้อกฎหมาย ถือเป็นความสำเร็จของการกระตุ้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมสาธารณะในการดูแลสังคมออนไลน์
ทั้งนี้ หากดูจากสถิติย้อนหลัง พบว่าช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” ได้รับแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์/เว็บผิดกฎหมาย จำนวน 1,050 รายการ (ยูอาร์แอล) ตรวจสอบพบว่าเข้าข่ายซึ่งเป็นการดำเนินการกระทำความผิดตามกฎหมาย จำนวน 317 รายการ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของข้อมูลที่ได้รับแจ้ง
จากนั้นในวันที่ 7-17 สิงหาคม 2563 มีผู้ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแส จำนวน 3,083 รายการ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมาย คือมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น 1,395 รายการ หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของข้อมูลที่มีการแจ้งเบาะแส
“ขณะที่ สัปดาห์ล่าสุดมีข้อมูลที่ผู้แจ้งเบาะแสเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีรายการที่เข้าข่ายผิดกฎหมายไม่ถึง 1 ใน 4 เพราะส่วนใหญ่เป็นรายการซ้ำซ้อน และไม่เข้าข่าย แสดงว่ามีประชาชนจำนวนมากตื่นตัวที่จะแจ้งเบาะแสมาที่เพจเรา (อาสา จับตา ออนไลน์) เมื่อพบเห็นสื่อสังคมออนไลน์/เว็บไซต์ที่อาจผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม จึงพบรายการซ้ำซ้อนจำนวนมาก และสัดส่วนของเนื้อหา/เว็บที่ผิดกฎหมายก็ลดลง ทั้งนี้นับเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการมีส่วนร่วมช่วยกันดูแลสังคมออนไลน์” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ขณะเดียวกัน กระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ให้ความสำคัญกับการเร่งดำเนินการสืบหา และเก็บหลักฐานการกระทำผิดในสื่อออนไลน์ โดยตั้งกฎเหล็กไว้ว่าการปิดกั้น จะต้องเสร็จสิ้นภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อส่งให้ศาลอนุมัติคำสั่ง และปิดเว็บ ลบเนื้อหา หรือส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี รวมถึงให้มีการจัดนิติกรเวร เป็นผู้แจ้งความในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
“ประชาชนสามารถช่วยกันแจ้งข้อมูลเบาะแส ร้องเรียน รวมทั้งขอคำปรึกษาเมื่อพบเห็นเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายได้ที่เพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” ทาง inbox m.me/DESMonitor จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมง พิจารณาข้อมูลร้องเรียนตามข้อกฎหมายและตอบกลับโดยเร็ว” นายพุทธิพงษ์กล่าว
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34576 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับสมัครงาน 14,510 อัตรา ทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
เปิดรับสมัครงาน 14,510 อัตรา ทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเตรียมจ้างงานประชาชนผ่านโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ ทุกตำบล อำเภอทั่วประเทศ จำนวน 14,510 อัตรา ตำบลละ 2 คน มีระยะเวลาจ้าง 12 เดือน อัตราค่าตอบแทนจ้างเหมา 15,000 บาท/เดือน เพื่อส่งเสริมกระตุ้นการบริโภคและสร้างรายได้ภาคครัวเรือน โดยปฏิบัติงานจัดเก็บข้อมูลในระดับพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อจัดทำฐานข้อมูล สำหรับการวางแผนพัฒนาพื้นที่ เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะยาว ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดหรือขอรับและยื่นใบสมัครด้วยตนเอง ณ ที่ว่าการอำเภอ ตามทะเบียนบ้าน ตั้งแต่บัดนี้ - 15 ก.ย. 63
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34782 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-HR มท. ติวเข้มผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลมุ่งสู่ | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
HR มท. ติวเข้มผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลมุ่งสู่
HR มท. ติวเข้มผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลมุ่งสู่ "การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์" สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ทุกมิติ
วันนี้ (31 ส.ค. 63) เวลา 13.00 น. ที่โรงแรมเอสดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรบุคคลของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งจัดขึ้นโดยกองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรบุคคลของสำนักงานจังหวัดให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคลของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 100 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานจังหวัด 76 จังหวัด จำนวน 76 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคลในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน 24 คน
นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป กล่าวว่า สำนักงานจังหวัดเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นหน่วยงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เปรียบเสมือนข้อต่อสำคัญในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล ในฐานะ HR Unit เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเกี่ยวกับการกลั่นกรองและเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของผู้ว่าราชการจังหวัด งานฝ่ายเลขานุการ อ.ก.พ.จังหวัด งานส่งเสริมธรรมาภิบาล การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ งานพัฒนาระบบราชการ รวมถึงงานพัฒนาบุคลากรภาครัฐในจังหวัด ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินของสำนักงานจังหวัดในฐานะ "หน่วยงานเสนาธิการ" ของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการพัฒนาพื้นที่ในเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งมิติทางด้านความั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคลจึงมีความจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทโดยการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับองค์กร หรือ HR Strategic Partner สามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนของผู้บริหารและยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการฯ นี้ เป็นโอกาสทำให้ผู้ปฏิบัติงานการบริหารทรัพยากรบุคคลของจังหวัดได้รับทราบนโยบายและทิศทางการบริหารทรัพยากรบุคคลที่เปลี่ยนแปลงและมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานมากขึ้น และเป็นเวทีในการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน ซึ่งจะทำให้สามารถช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนงานของจังหวัดและกระทรวงมหาดไทยมีการพัฒนาและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 มาตรการหลักในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสถานศึกษา | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
6 มาตรการหลักในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสถานศึกษา
มีอะไรบ้างนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินรายได้ท่องเที่ยวปีหน้ายังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 59% คาดใช้เวลาฟื้นอีก 3-4 ปี แนะจับตลาดนักท่องเที่ยวไทยใน New Normal | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
กรุงไทยประเมินรายได้ท่องเที่ยวปีหน้ายังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 59% คาดใช้เวลาฟื้นอีก 3-4 ปี แนะจับตลาดนักท่องเที่ยวไทยใน New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหดตัวถึง 70% เหลือเพียง 9.1 แสนล้านบาท จาก 3.02 ล้านล้านบาท ในช่วงก่อนโควิด-19 ส่วนปีหน้าคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาท
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหดตัวถึง 70% เหลือเพียง 9.1 แสนล้านบาท จาก 3.02 ล้านล้านบาท ในช่วงก่อนโควิด-19 ส่วนปีหน้าคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาท ชี้แม้วัคซีนจะค้นพบในต้นปี 2564 แต่จะผลิตและกระจายทั่วถึง คงเป็นช่วงปลายปี ทำให้ไทยอาจรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบจำกัดคนและเฉพาะกลุ่ม เผยใน New Normal รายได้ท่องเที่ยวกว่า 64% จะมาจากนักท่องเที่ยวไทย ที่เลือกเที่ยวไทย เที่ยวใกล้ และเที่ยวปลอดภัย
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยเกี่ยวกับรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ว่า มีแนวโน้มหดตัวถึง 2.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 70% เหลือเพียง 9.1 แสนล้านบาท เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวจาก 39 ล้านคน เหลือเพียง 6.8 ล้านคน ส่วนในปี 2564 ประเมินว่าการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจอยู่ที่ 7.6 ล้านคน และรายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาท ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดถึง 59%
“โควิด-19 ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 27 ล้านคนทั่วโลก ส่งผลให้การท่องเที่ยวระหว่างประเทศหยุดชะงัก และแม้ว่าจะมีวัคซีนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ในทันที เนื่องจากผู้ได้รับวัคซีนยังอาจติดโรคและเป็นพาหะได้ดังนั้น ธุรกิจท่องเที่ยวจำเป็นต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก และต้องตีโจทย์ใหม่ในยุค New Normal ให้ได้ โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยในช่วงก่อนโควิด ที่เคยมีเพียง 36% จะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 70% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงค์จากคนไทยที่เคยเที่ยวนอกกว่า 12 ล้านทริป ที่อาจกลับมาเที่ยวไทยได้ถึงประมาณ 14 ล้านทริปในปีหน้า เนื่องจากการเที่ยวในประเทศ สามารถเที่ยวได้บ่อยกว่าและใช้วันน้อยกว่า”
ดร. กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ใน New Normal พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยเปลี่ยนไป โดยมีแนวโน้มเลือกเที่ยวในประเทศก่อน เพราะความเสี่ยงในการติดเชื้อในต่างประเทศยังสูงกว่าเที่ยวในประเทศ โดยเที่ยวใกล้ๆ สั้นๆ ขับรถไป ซึ่งอัตราการเข้าพัก (OR) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าจังหวัดที่มีค่า OR กลับมาสูงกว่า 50% ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่น เพชรบุรี และกาญจนบุรี นอกจากนี้คนไทยมีแนวโน้มเลือกเที่ยวสถานที่ Unseen เช่น แหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์และธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวผจญภัย แหล่งท่องเที่ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แหล่งท่องเที่ยวประเพณีวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิต ซึ่งคนไม่พลุกพล่าน ทำให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่
“อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ประกอบการบางรายสามารถปรับตัวรับ New Normal ของนักท่องเที่ยวในประเทศได้ แต่ในภาพใหญ่ หากยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ รายได้ท่องเที่ยวไทยยากที่จะกลับมาสู่จุดเดิม ในปีหน้าไทยอาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 9 แสนคน หรือมากถึง 14.9 ล้านคน ขึ้นอยู่กับแนวทางการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในขณะนี้ก็มีหลายแนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่ การเลือกเปิด Travel Bubble กับกลุ่มประเทศแถบเอเชียที่มีอัตราผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำ อย่าง จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม ไต้หวัน หรือการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวประเภทเกาะที่มีสนามบิน เช่น ภูเก็ต สมุย ที่ในภาวะปกติมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวถึง 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวที่มาไทยทั้งหมด หรือการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Medical ที่มารักษาตัวหรือทำศัลยกรรม ตลอดจนกลุ่มที่มาตีกอล์ฟ หรือกลุ่มที่มาเที่ยวระยะยาว ซึ่งมีการใช้จ่ายต่อทริปสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 2 เท่า”
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด ธนาคารกรุงไทย
โทร. 0 2208 4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34974 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศลช. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
ศลช. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี
ศลช. รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 สาขาบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี
นายชัยรัตน์ แสงจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์และบริหารองค์กรและรักษาการแทนผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และนางสาวรัตนา วรปัสสุ ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ เข้ารับรางวัลจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในงานพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 สาขาบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี จากผลงาน "โครงการสร้างและพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ กรณี โครงการรากฟันเทียมสำหรับผู้สูงอายุของประเทศไทย" ในวันพุธที่ 16 กันยายน 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สำนักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Twitter : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35171 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการเจาะกลุ่มฟื้นฟูกิจการลูกค้า “ส่งเสริม-ผ่อนปรน-ขยายระยะเวลา-ประคับประคอง” ให้มีสภาพคล่องและเติบโตต่อไปได้ | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
EXIM BANK ออกมาตรการเจาะกลุ่มฟื้นฟูกิจการลูกค้า “ส่งเสริม-ผ่อนปรน-ขยายระยะเวลา-ประคับประคอง” ให้มีสภาพคล่องและเติบโตต่อไปได้
EXIM BANK ออก “มาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19” เพื่อเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุนลูกค้าที่จำแนกได้เป็น 4 กลุ่ม ตามความต้องการของกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
EXIM BANK ออกมาตรการเจาะกลุ่มฟื้นฟูกิจการลูกค้า “ส่งเสริม-ผ่อนปรน-ขยายระยะเวลา-ประคับประคอง” ให้มีสภาพคล่องและเติบโตต่อไปได้
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อและลุกลามไปทั่วโลกส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบทุกภาคส่วนหยุดชะงักลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกคาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2563 จะหดตัว 4.9% และ 5.2% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบกว่า 90 ปี สำหรับประเทศไทยเศรษฐกิจโลกที่หดตัวอย่างรุนแรงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งอ่อนไหวต่อวิกฤตและความไม่แน่นอนสูง สะท้อนได้จากมูลค่าส่งออกของ SMEs ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 หดตัว 17.9% มากกว่ามูลค่าส่งออกรวมของประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกันที่หดตัว 7.1%
EXIM BANK จึงออก “มาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19” เพื่อเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุนลูกค้าที่จำแนกได้เป็น 4 กลุ่ม ตามความต้องการของกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนี้
1. ผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้ EXIM BANK จะ “ส่งเสริม” ให้มีสภาพคล่องเพียงพอและมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
2. ผู้ประกอบการที่มีรายได้ลดลง แต่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง EXIM BANK จะ “ผ่อนปรน” เงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการชำระเงินต้นได้หมด รวมทั้งสามารถขอสินเชื่อเพิ่มได้
3. ผู้ประกอบการที่ต้องการการ “ขยายระยะเวลา” การชำระคืนหนี้ เพื่อรอให้กิจการผ่านพ้นวิกฤต หรือต้องการการปรับปรุงโครงสร้างการผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยบางส่วน
4. ผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ EXIM BANK จะเข้าไปช่วยเหลือ “ประคับประคอง” เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงการชำระหนี้ ช่วยชะลอการเกิดหนี้ NPLs
ภายใต้ “มาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19” ลูกค้า EXIM BANK สามารถขอขยายระยะเวลา เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงินกู้ให้สอดคล้องกับธุรกิจ และขอรับวงเงินสินเชื่อเพิ่มได้ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2564
“EXIM BANK ได้ติดตามสถานการณ์ผลกระทบของโควิด-19 อย่างใกล้ชิดและพบว่า ลูกค้าที่ได้รับการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 6 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 จำนวนกว่า 20% ยังไม่สามารถผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ และต้องการให้ธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ ขณะที่บางกิจการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้แต่ต้องการเงินทุนเพิ่ม และบางรายอาจยังขาดสภาพคล่อง EXIM BANK จึงพร้อมสนับสนุนสภาพคล่องและเข้าไปดูแลปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจส่งออกของไทย โดยเฉพาะ SMEs ค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติและเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคง นำไปสู่การจ้างงานและการพัฒนาประเทศของไทย” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches Business Rehabilitation Scheme for Specific Clients Using “Support-Relax-Extend-Sustain” Approach for Their Liquidity Adequacy and Continued Growth
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that the persisting COVID-19 spread across the world had hindered economic activities in almost all sectors. The International Monetary Fund (IMF) and World Bank have predicted global GDP contraction of 4.9% and 5.2% in 2020 respectively, the highest contraction in more than 90 years. Such drastic global economic contraction has dampened Thai export, particularly that of SMEs which are normally vulnerable to surrounding uncertainties and crises, as reflected in SMEs’ export value shrinkage of 17.9% in the first 6 months of 2020, which was higher than a 7.1% shrinkage in total Thai export value in the same period of the previous year.
EXIM Thailand has issued “Post COVID-19 Business Rehabilitation for Entrepreneurs Scheme” to assist, support and take care of four groups of clients based on their post COVID-19 requirements as follows:
1. Entrepreneurs with growth prospects: EXIM Thailand will “support” them to ensure their liquidity adequacy and consistent loan repayment capability.
2. Entrepreneurs with decline in revenues but continuity in business operation: EXIM Thailand will “relax” loan conditions to enable them to fully settle debts or request new credit facilities.
3. Entrepreneurs requiring extension of loan repayment period: EXIM Thailand will “extend” loan repayment period or partially restructure principal and interest payment for them pending their post-crisis recovery.
4. Entrepreneurs with shortage of liquidity for business operation: EXIM Thailand will “sustain” their businesses by way of debt restructuring for them, which will help slow down NPL incurrence.
Under the “Post COVID-19 Business Rehabilitation for Entrepreneurs Scheme,” EXIM Thailand’s clients may apply for extension of loan repayment period, change in loan conditions to suit their business operation, and additional credit lines from today until December 31, 2021.
“EXIM Thailand has kept abreast of the COVID-19 situation and found that over 20% of our clients earlier granted suspension of principal and interest payment for up to 6 months since February 2020 have yet to be able to make installment payment of principal and interest. They would like the Bank to relax loan conditions and extend loan repayment period. Some of them can further operate their businesses but additional capital is needed, while others still lack liquidity for their continued operation. EXIM Thailand is ready to fulfill their liquidity requirement and carry out debt restructuring for them as required. This aims to assist Thai exporters, SMEs in particular, in recovering to normalcy and further growth with stability, which will contribute to greater labor employment and national development as a whole,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34790 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุชา ติดตามการดำเนินงานสำนักงานไนท์ซาฟารี ชูเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สัมผัสได้ใกล้ชิด ชื่นชมการบริหารจัดการที่ดี | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
อนุชา ติดตามการดำเนินงานสำนักงานไนท์ซาฟารี ชูเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สัมผัสได้ใกล้ชิด ชื่นชมการบริหารจัดการที่ดี
อนุชา ติดตามการดำเนินงานสำนักงานไนท์ซาฟารี ชูเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สัมผัสได้ใกล้ชิด ชื่นชมการบริหารจัดการที่ดี
วันนี้ (12 กันยายน 2563) เวลา 15.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานการให้บริการห้องพักและจุดบริการต่างๆ ของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยมีนายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และคณะให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีรีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่ใจกลางเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในพื้นที่กว่า 819 ไร่ โดยคณะได้เดินทางเยี่ยมชมที่พัก จำนวน 3 โซน คือ โซนบ้านพักหัสดิน โซนบ้านพักซาฟารีดอย และโซนบ้านพักพวงชมพู ซึ่งปกติให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวในราคา 1,800-3,000 บาท ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดแล้ว ยังได้สัมผัสบรรยากาศสดชื่นท่ามกลางพื้นที่สีเขียวอีกด้วย
ภายหลังการตรวจเยี่ยมรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าการลงพื้นที่ในวันนี้ ได้เห็นถึงการบริหารจัดการภายในสวนสัตว์พบว่ามีการบริหารจัดการที่ดี และแม้ว่าจะประสบปัญหากับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงวันหยุด ซึ่งสามารถสร้างรายได้ มีกำไรมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี ยังไม่ได้ขอให้รัฐบาลสนับสนุนในเรื่องใด แต่ขณะนี้สวนสัตว์อยู่ระหว่างการดำเนินการโอนย้ายจากสำนักงานพัฒนาพิงค์นครซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีถูกยุบจำเป็นต้องโอนย้ายไปยังหน่วยงานอื่น จึงเป็นห่วงว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งเรื่องนี้จะต้อมเข้ามาดูในฐานะภาครัฐที่อยากเห็นสิ่งที่ดีๆยังคงดีอยู่ต่อไปและดียิ่งขึ้น
จากนั้นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ โดยบริเวณรอบอาคารมีสัตว์นานาชนิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมและศึกษา
สำหรับการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงค์นคร (องค์การมหาชน) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวนนักท่องเที่ยว ให้มาเยี่ยมชมสัตว์นานาชนิดไนท์ซาฟารี แนะนำให้นอนพักค้างคืน ซึ่งจะสามารถสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด
......
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวโครงการเวทีรางวัลเชิดชูเกียรติสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเฝ้าระวังและการประเมินสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
รมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวโครงการเวทีรางวัลเชิดชูเกียรติสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเฝ้าระวังและการประเมินสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์
รมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวโครงการเวทีรางวัลเชิดชูเกียรติสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเฝ้าระวังและการประเมินสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานแถลงข่าวโครงการเวทีรางวัลเชิดชูเกียรติสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเฝ้าระวังและการประเมินสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ และการประชุมเพื่อสร้างความร่วมมือการเฝ้าระวัง และการประเมินสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อ “การเชิดชูเกียรติสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ.๒๕๖๓” โดยร่วมเป็นภาคีเครือข่ายคัดเลือกสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ในการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ ๑๐ ประเภทสื่อ รวม ๓๗ สาขารางวัล โดยมี ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ นางสาวลัดดา ตั้งสุภาชัย ประธานอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อไม่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ และผู้แทนมหาวิทยาลัย ๒๔ แห่งจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ร่วมลงนามและเข้าร่วมงาน ณ โรงแรมบันยันทรี ถนนสาทรใต้ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1,000 ล้านบาทสุดท้ายกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “วอลเล็ต สบม.” และเตรียมพร้อมกับการซื้อแบบไม่จำกัดวงเงินรุ่น “ก้าวไปด้วยกัน” | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
1,000 ล้านบาทสุดท้ายกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “วอลเล็ต สบม.” และเตรียมพร้อมกับการซื้อแบบไม่จำกัดวงเงินรุ่น “ก้าวไปด้วยกัน”
ขณะนี้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี มียอดจำหน่ายคงเหลือเพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะนี้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี มียอดจำหน่ายคงเหลือเพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้น ผู้สนใจลงทุนง่ายๆ กับวอลเล็ต สบม. สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง ลงทะเบียน เติมเงินเข้าวอลเล็ตผ่านพร้อมเพย์ ด้วย Mobile Banking ของทุกธนาคารตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวอลเล็ต สบม. สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 และที่ธนาคารกรุงไทยฯทุกสาขา
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นก้าวไปด้วยกัน อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.22 ต่อปี จะเปิดจำหน่ายแบบไม่จำกัดวงเงิน เพื่อรองรับความต้องการลงทุนของผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีเงินออมสูงและนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร ในวันที่ 4 กันยายน 2563 เป็นวันแรก จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาชนผู้สนใจจะซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น 7 ปี ผ่านช่องทางการจำหน่ายของ 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย (ธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารกสิกรไทยฯ และธนาคารไทยพาณิชย์ฯ) เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนครั้งนี้
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34788 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ออก 2 มาตรการด่วนอุ้มเอสเอ็มอีประสบภัยพายุฮีโกส พักชำระหนี้ 6 เดือน คู่เติมทุนดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยฟื้นฟูธุรกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
ธพว.ออก 2 มาตรการด่วนอุ้มเอสเอ็มอีประสบภัยพายุฮีโกส พักชำระหนี้ 6 เดือน คู่เติมทุนดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยฟื้นฟูธุรกิจ
ธพว.พร้อมช่วยเหลือเคียงข้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประสบอุทกภัยพายุโซนร้อนฮีโกสออก 2 มาตรการเร่งด่วน ให้สิทธิพักชำระหนี้ 6 เดือน และเติมทุนดอกเบี้ยต่ำพิเศษ นำไปใช้หมุนเวียนฟื้นฟูธุรกิจ
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ตามที่หลายจังหวัดของประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนฮีโกส ทำให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง มีน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว ประสบปัญหาทางตรงและทางอ้อมในด้านการประกอบอาชีพ ธนาคารมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ออก 2 มาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ได้แก่
1.มาตรการพักชำระหนี้ สำหรับเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) พักชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ส่วนสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : P/N) ออกมาตรการช่วยเหลือพักชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน
และ 2.มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้ลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหาย มีเงินทุน นำไปฟื้นฟูและหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งมีระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน 1 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.99 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อราย ดังนี้ 1.ลูกหนี้ที่มีวงเงินอนุมัติรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้วงเงินกู้ไม่เกิน 5 แสนบาท 2.ลูกหนี้ที่มีวงเงินอนุมัติรวมมากกว่า 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท และ3.ลูกหนี้ที่มีวงเงินอนุมัติมากกว่า 5 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ทั้งนี้รวมวงเงินเดิมแล้วไม่เกิน 15 ล้านบาท ส่วนหลักประกันให้พิจารณาหลักประกันเดิมก่อน และสามารถใช้หลักประกัน บสย. ค้ำประกัน เฉพาะมาตรการที่เพิ่มไม่เกิน 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธพว. กำหนดพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และดินสไลด์ 15 จังหวัด ได้แก่ น่าน, เชียงใหม่, แพร่, อุตรดิตถ์, ลำพูน, ลำปาง, เลย, หนองบัวลำภู, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, อุดรธานี, สุโขทัย, เชียงราย, นครพนม และตาก และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย 8 จังหวัด ได้แก่ อำนาจเจริญ, สุรินทร์, สุราษฎร์ธานี, พังงา, ระนอง, นครศรีธรรมราช, ชุมพร และภูเก็ต
นอกจากนั้น สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการเงินทุนเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจหลังภัยพิบัติผ่านไปแล้ว ธนาคารได้เตรียมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษไว้รองรับ สำหรับใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ และหมุนเวียน เช่น สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ บุคคลธรรมดา ปีที่ 1-3 เพียง 4.875% ต่อปี และนิติบุคคล จะมีอัตราดอกเบี้ยถูกลงไปอีก ปีที่ 1-3 เพียง 2.875% ต่อปี และ สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash อัตราดอกเบี้ยต่ำ 2 ปีแรก 3% ต่อปี และปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR+1% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการรับบริการ ติดต่อได้ที่สาขาของ ธพว. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกล่าวเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี วิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกล่าวเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี วิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกล่าวเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี วิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก
นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกล่าวเฉลิมฉลอง งานครบรอบ 50 ปี วิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก (The 50th Anniversary of Asian-Pacific Postal College : APPU) ทางออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ในฐานะที่ประเทศไทยร่วมก่อตั้ง APPC ในการนี้ได้มีหน่วยงานพันธมิตรและผู้เกี่ยวข้องร่วมกล่าวเฉลิมฉลองในกิจกรรมครั้งนี้ ท่านละ 5 นาที ประกอบด้วย ผู้แทนสมาชิก APPC GB ผู้แทนวิยากรประจำ ผู้แทนวิทยากรรับเชิญ และผู้แทนเข้าร่วมอบรม ณ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ปาฐกถาพิเศษ "รวมไทยสร้างชาติ" เน้นย้ำ อปท. เป็นหัวใจของการบริการสาธารณะเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชน | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
มท.1 ปาฐกถาพิเศษ "รวมไทยสร้างชาติ" เน้นย้ำ อปท. เป็นหัวใจของการบริการสาธารณะเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชน
มท.1 ปาฐกถาพิเศษ "รวมไทยสร้างชาติ" เน้นย้ำ อปท. เป็นหัวใจของการบริการสาธารณะเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชน
วันนี้ (28 ส.ค.63) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การบริหารราชการของรัฐบาล "รวมไทยสร้างชาติ" ในงานสัมมนาวิชาการบริบทของท้องถิ่นกับการพัฒนาประเทศ จัดโดย สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย รองแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด ผู้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ข้าราชการ และผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 1,300 คน ร่วมรับฟัง
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ภายหลังวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รัฐบาลได้มีแนวคิดในการดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบใหม่ (New Normal) ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการ ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการประชาชน แต่ต้องทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้ได้ ทั้งเรื่องการทำมาหากิน และภัยสังคม โดยทุกภาคส่วนและทุกระดับในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทในการช่วยกำหนดอนาคตของประเทศ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถือเป็นหัวใจของการบริการสาธารณะ เป็นหน่วยการปกครองที่ดูแลพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นตามอำนาจหน้าที่ถือเป็นกลไกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองประชาชน
สำหรับแนวทางการดำเนินงาน "รวมไทยสร้างชาติ" เป็นแนวทางที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำริแนวคิดนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นแนวคิดที่รัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลกใช้อย่างเป็นสากล คือ "หลักการมีส่วนร่วม" ซึ่งในปัจจุบันประชาชนคนไทยทุกระดับ ทุกช่วงวัย ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยแนวคิดไทยสร้างชาติ มีหลักการดำเนินงานสำคัญ 3 ประการ คือ 1) รับฟังความคิดเห็นของประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ 2) ต้องมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ (Outcome) ว่าเมื่อดำเนินงานแล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือเกิดประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake Holder) อย่างไร และ 3) ต้องทำงานเชิงรุก ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานโดยจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานให้ตอบสนองประชาชนอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีกลไกการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ผ่านการออกข้อบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีแผนพัฒนาท้องถิ่นที่ยึดโยงสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนชาติ ดังนั้น จึงต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่าสำหรับแนวคิดขับเคลื่อน "ไทยไปด้วยกัน" เป็นแนวคิดในการติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 242/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มีกลไกการดำเนินงาน แบ่งเป็น 1) ระดับอำนวยการ โดยคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และมอบหมายรัฐมนตรีคนหนึ่งรับผิดชอบในระดับพื้นที่จังหวัด และ 2) ระดับพื้นที่ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทำหน้าที่ติดตามรับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนในระดับจังหวัด ตอบสนองความต้องการของประชาชนในจังหวัดให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้เห็นความจำเป็นในการร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เป็นต้น
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ด้วยกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกองค์กร ด้วยการรณรงค์ลดการใกล้ชิดกัน ลดการสัมผัสกัน และเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และกิจกรรมที่มีความสำคัญยิ่ง คือ การอบรมการทำหน้ากากผ้าเพื่อแจกจ่ายพี่น้องประชาชนกว่า 50 ล้านชิ้น ทำให้คนไทยทุกคนสามารถใช้ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดการติดเชื้อ รวมทั้งการดำเนินงาน Local Quarantine ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานสาธารณสุข จึงขอให้ดำเนินการต่อไป เพื่อให้ประชาชนและประเทศไทยปลอดการติดเชื้อโควิด-19
ทั้งนี้ ในช่วงสุดท้าย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดบริการสาธารณะให้เกิดประโยชน์กับประชาชน
http://https://youtu.be/mkCGMfb-4o4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา รุกเดินหน้าเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ โคนมนครปฐม จำกัด | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
รมช.มนัญญา รุกเดินหน้าเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ โคนมนครปฐม จำกัด
รมช.มนัญญา รุกเดินหน้าเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ โคนมนครปฐม จำกัด หนุนรองรับและกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานเปิดโครงการประชาสัมพันธ์ซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ณ สหกรณ์โคนมนครปฐม จำกัด อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของสหกรณ์มากขึ้น เกษตรกรในหลายพื้นที่ประสบปัญหาไม่สามารถขายผลผลิตได้ ขบวนการสหกรณ์ได้เข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกร ช่วยกันระบายผลผลิต ทั้งพืชผัก ผลไม้ สินค้าประมง สินค้าแปรรูป จากสหกรณ์ต้นทาง สู่สหกรณ์ผู้บริโภคปลายทาง ทำให้มีการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่กระจุกตัวหรือเกิดความเสียหาย เกษตรกรไม่ถูกกดราคา เกิดการจำหน่ายผลผลิตได้อย่างเป็นธรรม จากการดำเนินโครงการต่างๆ ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการทําอาชีพ การเกษตร จึงได้ดําเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ในการกําจัดวัชพืชหรือศัตรูพืช ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบ การทําเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมถึงความสำคัญของขบวนการสหกรณ์ที่เป็นองค์การหลักในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ทั้งการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ การส่งเสริมให้ลูกหลานเกษตรกรได้กลับมาพัฒนาอาชีพทางการเกษตรของครอบครัว อยากให้เกษตรกรมีการพัฒนาตัวเอง เป็น Smart Farmer ได้แสวงหาโอกาส ใช้การเปลี่ยนแปลงหรือนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ และการร่วมมือกันเป็นเครือข่ายสหกรณ์จะช่วยเหลือกระจายสินค้าของสมาชิกสหกรณ์ และหากทุกฝ่ายมาร่วมกันพัฒนาระบบสหกรณ์ และยกระดับสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง สหกรณ์ก็จะมีพลัง สมาชิกสหกรณ์ก็จะหลุดพ้นจากความจน ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ สหกรณ์โคนมนครปฐม จำกัด ได้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ โครงการศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ โครงการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน ตามแผนปฏิบัติงาน สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างคลังสินค้า สร้างรายได้พอเพียงสำหรับการบริโภคในครัวเรือน สู้ภัยโควิด – 19 โครงการไมซ์เพื่อชุมชน รวมทั้งโครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาปรับรูปแบบร้านค้าสหกรณ์ให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรของสหกรณ์ เครือข่ายสหกรณ์ กลุ่มอาชีพ และผู้ประกอบการ OTOP ที่มีสินค้าคุณภาพจากจังหวัดต่าง ๆ
"เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ที่ได้รับการพัฒนาจากร้านค้าสหกรณ์รูปแบบเดิม มีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่กลายเป็นรูปแบบซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ มีความทันสมัย สะอาด ภายใต้เพื่อเป็นจุดจำหน่ายสินค้าการเกษตรของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพและผู้ประกอบการสินค้าชุมชนจากจังหวัดต่าง ๆ เน้นสินค้าคุณภาพปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค อาทิ ผลิตภัณฑ์นม ข้าวสาร น้ำดื่ม อาหารแปรรูป และอื่น ๆ โดยมีการเชื่อมโยงธุรกิจกับสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าจากทั่วประเทศ เพื่อให้ซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์เป็นจุดรวบรวมและจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพ ราคายุติธรรม และช่วยขยายโอกาสให้สินค้าของสหกรณ์เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปมากขึ้น" รมช.มนัญญากล่าว
จากนั้นรมช.มนัญญา ได้เยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลผลิตการเกษตรของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพเกษตร ในจังหวัดนครปฐม และเยี่ยมชมสินค้าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พบปะกับพี่น้องเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ รวมกว่า20 ร้านค้าโดยมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ สินค้า OTOP ขนมเปี๊ยะเหมือนดาว บางเลน กล้วยเบรคแตก น้ำมะม่วงมะนาวโห่ สินค้าจากโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร อาทิ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ เนื้อไก่ จากแทนคุณฟาร์ม นมแพะพาสเจอไรส์ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งเพิ่มความเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มั่นใจสาธารณสุขไทยสามารถรองรับได้ | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งเพิ่มความเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มั่นใจสาธารณสุขไทยสามารถรองรับได้
นายกรัฐมนตรีสั่งเพิ่มความเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มั่นใจสาธารณสุขไทยสามารถรองรับได้
วันนี้ (1 ก.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศที่ชายแดนติดกับประเทศไทย ซึ่งพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายโรงเรียนในจังหวัดที่มีพื้นที่ตามแนวชายแดน ต้องหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเข้าสู่นักเรียน อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กรณีพบชาวบ้านที่มีอาการไข้สูง 2 ราย ขณะนี้อยู่ภายใต้ความดูแลของโรงพยาบาลแล้ว
ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดในพื้นที่ตามแนวชายแดน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ รวมถึงกำชับการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังกรณีกระบวนการลักลอบพาชาวต่างด้าวเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ตามช่องทางธรรมชาติ เช่น ผู้ที่ว่ายน้ำลักลอบเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งต้องถูกนำเข้าสู่การตรวจคัดกรองโรค พร้อมสั่งการให้ติดตามผู้ที่กระทำผิดเพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำประชาชนต้องไม่ประมาท แม้ว่าประเทศไทยจะไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นเวลาหลายเดือน แต่หากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง ไทยมีความพร้อมทั้งด้านงบประมาณ อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาวิจัยวัคซีนที่ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า มุ่งเน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งเสริมให้มีการเดินทางมากขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของธุรกิจสายการบินไม่ให้มีการลดลูกจ้างพนักงาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องจัดหางบประมาณเพื่อนำมาผลักดันการจ้างงานเพิ่มขึ้น และส่งเสริมสภาพคล่องของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่มีการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิตยาเสพติด ทำให้มีจำนวนยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น ก็ได้จับกุมดำเนินคดีผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณ ตามพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2564 ในการพิจารณาโครงการต่าง ๆ ว่าจะนำงบประมาณไปใช้ในส่วนใดบ้าง ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันว่าการใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพเรือนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในสถานการณ์ระหว่างประเทศและในภูมิภาคขณะนี้ รวมทั้งยังเป็นการดูแลและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศด้วย
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ รับมอบเจลแอลกอฮอล์ จากโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบให้ ครม. และหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ใช้ดูแลสุขอนามัย ป้องกันโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ รับมอบเจลแอลกอฮอล์ จากโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบให้ ครม. และหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ใช้ดูแลสุขอนามัย ป้องกันโควิด-19
รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ รับมอบเจลแอลกอฮอล์ จากโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบให้ ครม. และหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ใช้ดูแลสุขอนามัย ป้องกันโควิด-19
วันนี้ (27 ส.ค.63) เวลา 12.55 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับมอบเจลแอลกอฮอล์ “ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ” ขนาด 50 มิลลิลิตร จำนวน 1,000 หลอดและสติ๊กเกอร์ “ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ” จำนวน 400 ชิ้น จากนางแก้วเก้า เผอิญโชค ประธานมูลนิธิ คิดดี ทำดี พูดดี นางชัยลดา ตันติเวชกุล และ ผศ.ดร.กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้แทนโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบต่อให้กับคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ในการใช้ดูแลสุขอนามัยและป้องกันโรคโควิด-19
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบเจลแอลกอฮอล์และสติ๊กเกอร์พร้อมกล่าวว่า ในนามของรัฐบาลขอขอบคุณมูลนิธิคิดดี ทำดี พูดดี โครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมทั้งเครือสหพัฒน์ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนโครงการฯ ที่ได้นำเจลแอลกอฮอล์และสติ๊กเกอร์มามอบให้ในวันนี้ โดยจะได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแจกจ่ายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีภารกิจในการติดต่อกับประชาชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เจลแอลกอฮอล์ ส่วนสติ๊กเกอร์ก็สามารถนำไปติดที่รถและสถานที่ทั่วไปได้ ซึ่งจะได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์และตามกุศลเจตนาต่อไป
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34606 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลลุยสางปัญหาหนี้นอกระบบ ครอบคลุมทุกมิติ | วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
รัฐบาลลุยสางปัญหาหนี้นอกระบบ ครอบคลุมทุกมิติ
รัฐบาลลุยสางปัญหาหนี้นอกระบบ ครอบคลุมทุกมิติ
นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกเปิดเผยว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชามีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนโดยมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องครอบคลุม5ด้านคือ
1.การจัดการเจ้าหนี้นอกระบบมี“พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ. 2560”ซึ่งเพิ่มโทษกับเจ้าหนี้นอกระบบและเปิดช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถจดทะเบียนเป็นผู้ให้สินเชื่อในระบบได้
2.การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ลูกหนี้สามารถร้องทุกข์และขอคำปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบได้ที่“จุดให้คำปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบ”ที่ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ทุกสาขาซึ่งจะช่วยประสาน“คณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบในทุกจังหวัด”เพื่อช่วยเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้
3.การจัดหาแหล่งเงินในระบบให้เมื่อไกล่เกลี่ยจนมูลหนี้เป็นธรรมแล้วซึ่งลูกหนี้สามารถที่จะขอสินเชื่อในระบบได้โดยรัฐบาลได้สนับสนุนให้มีสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์(PICO Finance)ซึ่งเป็นสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง
4.ฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้สําหรับลูกหนี้ที่ยังมีความสามารถในการชําระหนี้ตํ่าเกินไป“คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบในทุกจังหวัด”จะช่วยฟื้นฟูอาชีพปลูกฝังความรู้และวินัยทางการเงินฝคำอบรมอาชีพหรือพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน
5.สร้างภูมิคุ้มกันภาครัฐจะพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชนให้ทําหน้าที่ทดแทนเจ้าหนี้นอกระบบหน่วยงานต่างๆร่วมกันให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนรวมทั้งจัดทํา“ฐานข้อมูลหนี้นอกระบบ”เพื่อใช้กําหนดนโยบายที่เหมาะสมและตรงเป้าหมายต่อไป
ผลการดำเนินงานช่วงเดือนสิงหาคม2561ถึงเดือนกุมภาพันธ์2563มีการช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับทรัพย์สินคืนแล้ว25,044รายคิดเป็นโฉนดจำนวน21,304ฉบับจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายจำนวน6,002รายและการให้แหล่งเงินในระบบพิโกไฟแนนซ์มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน269,880บัญชีรวมเป็นจำนวนเงิน7,018.34ล้านบาท
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่าในปีงบประมาณ2564รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการพิเศษที่มีลักษณะเป็นการถาวรเพื่อรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนทั่วประเทศตั้งเป้าไว้ว่าข้อร้องเรียนต่างๆจะใช้เวลาแก้ปัญหาไม่เกิน1สัปดาห์และในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะคือศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ(ศปน.ตร.)มีภารกิจในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลหรือบุคคที่ให้ประชาชนกู้ยืมเงินโดยผิดกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบประชาชนนับจากเริ่มดำเนินการเมื่อ8มิถุนายน2563จนถึงปัจจุบันได้รับแจ้งจำนวนทั้งสิ้น1,947เรื่องดำเนินการเสร็จสิ้น1,548เรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ399เรื่องเป็นผู้ต้องหา1,090รายของกลางรถยนต์รถจักรยานยนต์245คันโฉนดที่ดิน87ฉบับเงินสดกว่า1,300ล้านบาทบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง1,373คดีไก่เกลียประนีประนอมจำนวน105เรื่องสำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถร้องทุกข์ได้ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอัชญากรรมทางเศรษฐกิจโทร02-2341068หรือแจ้งร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจทุกแห่งโทรสายด่วน191และ1599ได้ตลอด24ชั่วโมง
“รัฐบาลตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาหนี้นอกระบบโดยเฉพาะช่วงของการระบาดของโควิด19การขูดรีดดอกเบี้ยจากเจ้าหนี้ถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้หนักหนาขึ้นไปอีกจึงได้วางแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและครอบคลุมหลายด้านทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและเน้นย้ำให้การรับเรื่องร้องเรียนต่างๆต้องมีคำตอบให้ประชาชนถึงความคืบหน้าโดยรัฐบาลกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้หลุดพ้นจากปัญหาของหนี้นอกระบบส่งเสริมการเข้าถึงหนี้ในระบบและพัฒนาความสามารถในการบริการจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างยั่งยืน”รองโฆษกฯกล่าว
......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดห้องสมุดในพิพิธภัณฑ์พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดห้องสมุดในพิพิธภัณฑ์พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดห้องสมุดในพิพิธภัณฑ์พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดห้องสมุดในพิพิธภัณฑ์พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาระบบหนังสือ ระบบบริหารจัดการห้องสมุด และหนังสือที่มีคุณภาพให้ประชาชนในพื้นที่และท้องถิ่นอื่นได้มีพื้นที่ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ นอกจากนี้ เป็นประธานแถลงข่าว “เปิดรับสมัครเข้าประกวดฝีมือช่างไม้อนุรักษ์ระดับชาติ และกิจกรรมโรงเรียนอนุรักษ์อาคารไม้” เพื่อส่งเสริม และรักษาศิลปวัฒนธรมอันทรงคุณค่า และสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนถึงคุณค่าของแหล่งมรดกทางวัฒนรรมของชาติ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร พล.ต.ท. วิชิต ปักษา ประธานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ฯ นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายชิเกรุ อาโอยากิ ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน เยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รมช.แรงงาน เยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC
รมช.แรงงาน เยี่ยมชมอ่างเก็บน้ำดอกกราย ในโครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ พร้อมปล่อยปลา และถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลา 11.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำดอกกราย ในโครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง พร้อมเยี่ยมอ่างเก็บน้ำบนหอคอย ชั้น 11 และรับฟังการบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำดอกกราย โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางจุรีพร สินธุไพร คณะทำงาน ร่วมเยี่ยมชมในครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมสันเขื่อน ปล่อยปลา พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34478 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับแผนฯ รับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” อีกสิบปีข้างหน้า ผู้สูงอายุเกินหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด | วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563
รัฐบาลปรับแผนฯ รับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” อีกสิบปีข้างหน้า ผู้สูงอายุเกินหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด
รัฐบาลปรับแผนฯ รับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” อีกสิบปีข้างหน้า ผู้สูงอายุเกินหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้ “สังคมสูงอายุ” เป็นวาระแห่งชาติ และได้สานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2545 - 2565) เตรียมพร้อมสังคมไทยเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” ในปีหน้า ที่คาดการณ์ว่า จะมีประชากรไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และในปี 2574 สัดส่วนจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” จากการประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ พบว่า การดำเนินงานยังมีบางด้านที่ต้องปรับปรุง เช่น การเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ การส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ และการคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ
เพื่อให้ประเทศมีสังคมสูงอายุที่มีคุณภาพ และผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นพลังของสังคม คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ปรับแผนปฏิบัติการฯ (พ.ศ. 2563 - 2565) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน โดยให้ความสำคัญกับ ประเด็นหลัก คือ
1) การรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการเตรียมการเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุ คนวัยทำงานมีความเข้าใจถึงการเตรียมตัวด้านต่าง ๆ เช่น รายได้ สุขภาพ ที่อยู่อาศัย
2) สังคมมีทัศนะเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ ไม่มองว่าผู้สูงอายุเป็นภาระต่อสังคม โดยมุ่งเน้นการสร้างทัศนคติกับกลุ่มประชากรอายุ 18 - 59 ปี จำนวน 40 ล้านคน
3) การจ้างงานผู้สูงอายุเพื่อให้รู้สึกว่าตนมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีรายได้ และสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคม ตั้งเป้าไว้ปี2564 ผู้สูงอายุจำนวน 1.95 แสนคนมีงานทำ
4) กลุ่มผู้สูงอายุที่ครอบครัวยากจน จะเน้นให้ลูกหลานกลับมาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นโดยท้องถิ่นเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญและให้การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ ส่วนกลางต้องจัดงบประมาณเข้าไปเสริมการทำงานของท้องถิ่น
5) การปรับเปลี่ยนโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นสถานที่พัฒนาผู้สูงอายุในชุมชน เพราะทุกวันนี้จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยกว่าจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
6) การส่งเสริมการออมทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ คนวัยทำงานต้องออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณ
7) การส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการผลิตหรือฝึกอบรมบุคลากรด้านผู้สูงอายุในระดับวิชาชีพอย่างเพียงพอและมีมาตรฐาน
“รัฐบาลได้เตรียมการเพื่อรองรับสังคมสูงวัย รวมถึงเตรียมความพร้อมให้คนไทยมีความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ มีการกำหนดแนวทางและเป้าหมายร่วมกันระหว่างกระทรวง และการขับเคลื่อนเรื่องนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชน สังคมสูงวัยไม่ใช่เพียงเรื่องของคนสูงวัย แต่เป็นเรื่องของคนทุกวัย ประเด็นเร่งด่วน คือต้องสร้างความตระหนักในกลุ่มคนวัยทำงานถึงความสำคัญของการออมเงิน และการเตรียมตัวเองสู่การเป็นผู้สูงอายุและอยู่ในสังคมสูงอายุ อีกทั้ง สร้างทัศนคติของคนในสังคมให้มองผู้สูงอายุเป็นทุนทางสังคม เป็นผู้มีศักยภาพหากได้รับการส่งเสริมโอกาส” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า
อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า
จ. 14 กันยายน 2563 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลา งกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่ากรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้กำหนดปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันในแต่ละเดือน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิตามวันที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการโอนเงินให้ผู้มีสิทธิแต่ละเดือนนั้น จะจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล จำนวน 7,774 แห่ง (ไม่รวม อบจ.) ตามจำนวนที่ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิครบทุกแห่ง ในการเบิกเงินแต่ละครั้ง ตามปฏิทินการทำงานข้างต้น ซึ่งตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย และเมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนกันยายน 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของ สถ. ต้องดำเนินการตามกระบวนการบริหารงบประมาณ ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินการทำงาน สำหรับแนวทางการแก้ไขกรณีดังกล่าว ขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้มีความครอบคลุมเพื่อจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ อย่างถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้
............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35185 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ ปี 2560 – 2565 | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ ปี 2560 – 2565
วันพุธที่ 15 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ปัจจุบันการทำเกษตรอินทรีย์มีโอกาสสร้างรายได้ในตลาดโลกอย่างมาก โดยเติบโตร้อยละ 20 ต่อปี ล่าสุดรัฐบาลเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ ปี 2560 – 2565 เพื่อบูรณาการระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมการวิจัย สร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ พัฒนาการผลิตและบริการเกษตรอินทรีย์ และ พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับชุมชน ประเทศ และภูมิภาคอาเซียน โดยในปีนี้จะมีโครงการเพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ทั้งสิ้น 209 โครงการ งบประมาณรวม 1,900 ล้านบาท
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35095 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- 31 สิงหาคม 2563 โค้งสุดท้ายสิ้นสุดขยายเวลาการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
31 สิงหาคม 2563 โค้งสุดท้ายสิ้นสุดขยายเวลาการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
กรมสรรพากรแจ้ง 31 สิงหาคม 2563 สิ้นสุดการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.55 แนะนำให้ยื่นแบบฯ และชำระภาษี ในกำหนดเวลาเพื่อลดภาระการเสียค่าปรับ และเงินเพิ่ม
กรมสรรพากรแจ้ง 31 สิงหาคม 2563 สิ้นสุดการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.55 แนะนำให้ยื่นแบบฯ และชำระภาษี ในกำหนดเวลาเพื่อลดภาระการเสียค่าปรับ และเงินเพิ่ม
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “31 สิงหาคม 2563 เป็นวันที่สิ้นสุดการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.55 สำหรับเงินได้ในปี 2562 ซึ่งกรมสรรพากรมีมาตรการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีอากร เพื่อเสริม สภาพคล่องทางการเงินให้ประชาชนและผู้ประกอบการ บุคคลธรรมดาหากมีภาษีต้องชำระตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ขอผ่อนชำระภาษีได้ 3 งวด โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ต้องมีภาษีที่ชำระไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท สำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคล กรมสรรพากรสนับสนุนผู้เสียภาษีที่ดีได้ต่อยอดธุรกิจอย่างมั่นคงเติบโตต่อไป สามารถติดต่อธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้ออกแคมเปญ “สินเชื่อ SME เพื่อชำระภาษี” หรือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ออกแคมเปญ “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” โดยธนาคารดังกล่าวได้สนับสนุนสินเชื่อ เพื่อชำระภาษี เพิ่มโอกาสต่อยอดธุรกิจ และเสริมสภาพคล่องทางการเงินผู้ประกอบธุรกิจ SME ให้แข็งแกร่ง ส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไปในอนาคต ทั้งนี้ มีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนวงเงินค้ำประกันพิเศษในครั้งนี้”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และผู้ประกอบการยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยใช้ช่องทางการยื่นแบบผ่านออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th และชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรักษามาตรฐานการเว้นระยะห่างทางสังคม ร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ทั้งนี้ การยื่นแบบฯ เกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จะทำให้ผู้เสียภาษีมีภาระต้องรับผิดชำระค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากมีภาษีต้องชำระ ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนด้วย”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34642 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ | วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ จุดจำหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพ ปลอดภัย ราคาเป็นธรรม ยกระดับสหกรณ์เข้มแข็ง สร้างรายได้ให้สมาชิกและชุมชน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมประชาสัมพันธ์เปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ภายใต้โครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ วันที่ 4 กันยายน 2563 ณ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.พังงา จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดพังงา ว่าโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เป็นนโยบายที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ริเริ่ม และได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อเป็นจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรของสหกรณ์ที่มีคุณภาพจากจังหวัดต่าง ๆ เช่น ข้าวสาร เนื้อโคขุน นม ไข่ไก่ ผักผลไม้ สินค้าประมง และอาหารแปรรูป เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันให้สหกรณ์เป็นศูนย์รวบรวมและจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยแก่ประชาชนในราคาที่เป็นธรรม
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการทำอาชีพการเกษตร จึงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ส่งเสริมการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน GAP เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชน ในการรวบรวมผลผลิต ทางการเกษตรในพื้นที่ จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของขบวนการสหกรณ์ที่เป็นองค์กรหลักในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่และส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิก จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาระบบสหกรณ์และยกระดับสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง และมีพลังในการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ไปสู่สมาชิก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาในเรื่องการประกอบอาชีพ เรื่องหนี้สิน และหลุดพ้นจากความยากจนในที่สุด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่สหกรณ์ดีเด่นระดับจังหวัด จำนวน 2 แห่ง แบ่งเป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรท้ายเหมือง จำกัด และสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพังงา จำกัด จากนั้นเดินเยี่ยมชมซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจของสหกรณ์ เพื่อให้สมาชิกของสหกรณ์และชาวบ้านในพื้นที่ ได้มีส่วนร่วมในการเข้ามาใช้บริการและเลือกซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.พังงา จำกัด อยู่ในระดับดีเลิศ ดำเนินงานมาแล้ว 28 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 23,684 คน มีทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 17 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย และรวบรวมผลผลิตจากสมาชิก ซึ่งสหกรณ์ได้เข้าร่วมโครงการตามนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2563 ได้เข้าร่วมโครงการสำคัญซึ่งเป็นนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ โครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ที่ได้ขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผลการดำเนินงานการจำหน่ายสินค้า ตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ (ตุลาคม 2562 – กรกฎาคม 2563) มีมูลค่า 22 ล้านบาท เป็นการจำหน่ายสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์และกระจายสินค้าในเครือข่ายสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ร้านค้าปลีกและออกร้านธงฟ้าประชารัฐ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย.- อภ. ยืนยันไทยสำรองชุด PPE หน้ากาก N95 ยา พร้อมรับสถานการณ์โควิด 19 | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
อย.- อภ. ยืนยันไทยสำรองชุด PPE หน้ากาก N95 ยา พร้อมรับสถานการณ์โควิด 19
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและองค์การเภสัชกรรม สำรองหน้ากากทางการแพทย์กว่า 45 ล้านชิ้น ชุด PPE กว่า 1 ล้านชุด หน้ากาก N95 จำนวน 2.3 ล้านชิ้น พร้อมยา เวชภัณฑ์ สนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพียงพอรับสถานการณ์ระบาดระลอก 2
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและองค์การเภสัชกรรม สำรองหน้ากากทางการแพทย์กว่า 45 ล้านชิ้น ชุด PPE กว่า 1 ล้านชุด หน้ากาก N95 จำนวน 2.3 ล้านชิ้น พร้อมยา เวชภัณฑ์ สนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพียงพอรับสถานการณ์ระบาดระลอก 2
วันนี้ (31 สิงหาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วยดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม แถลงข่าว ความพร้อมด้านยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกัน และวัคซีน รองรับโควิด 19 ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้สำรองอุปกรณ์ป้องกัน ชุด PPE หน้ากาก N95 และยาอย่างเพียงพอ สำรองไว้ทั้งในส่วนกลางที่องค์การเภสัชกรรมและส่วนภูมิภาคในโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยหน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีจำนวนกว่า 45 ล้านชิ้น เพียงพอใช้ 100 วัน มีกำลังการผลิต 3.4 ล้านชิ้นต่อวันจาก 45 โรงงาน ชุด PPE ทั้งที่เป็นชุดคลุม/เสื้อกาวน์ กว่า 1 ล้านชุด หน้ากาก N95 จำนวน 2.3 ล้านชิ้น ยาฟาวิพิราเวียร์เพียงพอรักษาผู้ป่วย 8,900 ราย ยาเรมเดซิเวียร์สำหรับผู้ป่วย 33 ราย ส่วนด้านวัคซีนนั้น อย.พร้อมให้การสนับสนุนให้มีการขึ้นทะเบียนโดยเร็ว ทั้งวัคซีนที่วิจัยและผลิตขึ้นเองในประเทศ และวัคซีนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ไทยมีการผลิตหน้ากากทางการแพทย์ ชุด PPE และเป็นฐานการผลิตถุงมือ จึงมีอุปกรณ์ป้องกันเพียงพอรับมือหากมีการแพร่ระบาดระลอก 2
ด้าน ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า องค์การเภสัชกรรมในฐานะองค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศ ได้สำรองยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในการรักษา จำนวน 590,200 เม็ด หน้ากาก N95 จำนวน 1,765,010 ชิ้น ชุด PPE แบบ COVERALL จำนวน 445,746 ชุด แบบ ISOLATION GOWN จำนวน 287,759 ชุด นอกจากนั้น ได้สร้างกลไกการสนับสนุน ยา อุปกรณ์ป้องกันโควิด 19 ให้กับระบบสาธารณสุขไทยเป็นอย่างต่อเนื่อง มั่นคง และการพึ่งพาตนเองของประเทศ โดยได้ศึกษาพัฒนาสูตรตำรับ ยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับผลิตเองในประเทศ คาดว่าจะสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนในเดือนตุลาคม 2564 และได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำการวิจัยพัฒนาการสังเคราะห์วัตถุดิบสารเคมีตั้งต้นยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่ค่อนข้างยาก แต่ต้องดำเนินการเพื่อความมั่นคงด้านยาของประเทศ
ดร.ภญ.นันทกาญจน์กล่าวต่อว่า ด้านชุด PPE ได้ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ผลิตชุด PPE รุ่นเราสู้ จากฝีมือคนไทย ที่สามารถซักใช้ซ้ำได้ 20 ครั้ง และได้ส่งมอบไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ จำนวนกว่า 44,000 ชุด พร้อมกันนั้น ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมชุด PPE จากเส้นใยรีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เป็น “PPE Innovation Platform นวัตกรรมชุด PPE ฝีมือคนไทย มาตรฐานสากล” ที่สามารถป้องกันเชื้อและการซึมผ่านของน้ำที่มีแรงดัน Level 3 ซักใช้ซ้ำได้มากกว่า 50 ครั้ง โดยถ้าสถานการณ์ที่จำเป็น Platform นี้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิต ชุดPPE ได้ใช้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันภาคเอกชนได้ผลิตชุด PPE Level 3 ออกจำหน่ายให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้ประสานผู้ประกอบการภายในประเทศ ผลิต PPE Level 4 สามารถป้องกันได้ในระดับสูงขึ้น จำนวน 60,000 ชุด จะจัดส่งภายในเดือนกันยายนนี้
สำหรับด้านวัคซีน ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบในหลายรูปแบบ อาทิ ชนิดวัคซีนอนุภาคเหมือนไวรัส (Virus-like particle) พัฒนาโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และชนิดวัคซีนโปรตีนซับยูนิต (Subunit vaccine) พัฒนาโดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ ใช้เทคโนโลยีการใช้เซลล์เพาะเลี้ยง และได้ร่วมมือกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) เพื่อวิจัยพัฒนาวัคซีนชนิดเชื้อตายจากการตัดต่อยีนของไวรัสโควิด 19 เข้าไปในยีนของไวรัสไข้หวัดใหญ่ เพื่อเป็นเชื้อไวรัสตั้งต้น หากสำเร็จจะนำเชื้อไวรัสตั้งต้นนี้ ไปผลิตเป็นวัคซีนโดยเทคโนโลยีการใช้ไข่ไก่ต่อไป คาดว่าการวิจัยพัฒนาวัคซีนทั้ง 3 ชนิด จะทราบผลเบื้องต้นในปลายปี 2563 การที่องค์การเภสัชกรรมมีโรงงานผลิต (วัคซีน) ชีววัตถุ ที่ใช้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในระดับอุตสาหกรรมอยู่แล้ว นับเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีศักยภาพและความพร้อมในระดับอุตสาหกรรม ที่สามารถใช้ต่อยอดประยุกต์สำหรับใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ได้เร็วขึ้น
**************************** 31 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการ พบ ‘เลขาฯ รมว.แรงงาน’ หารือ ‘สถานการณ์แรงงานคนพิการไทย’ | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
สมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการ พบ ‘เลขาฯ รมว.แรงงาน’ หารือ ‘สถานการณ์แรงงานคนพิการไทย’
สมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการ เข้าพบเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือเรื่อง "สถานการณ์แรงงานคนพิการไทย" พร้อมเสนอ "โครงการนำร่อง 1 ตำบล 1 คนพิการ”
วันที่ 14 กันยายน 2563 เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับนายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการ และคณะขอเข้าพบหารือประเด็น "สถานการณ์แรงงานคนพิการไทย" ณ ห้องมิตรไมตรี 1 ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พร้อมเสนอประเด็นสนับสนุนการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการ และ "โครงการนำร่อง 1 ตำบล 1 คนพิการ” ซึ่งประเทศไทยมีตำบลมากกว่า 9,652 แห่ง ทั่วประเทศ และหากภาครัฐส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานคนพิการจะสามารถเพิ่มแรงงานให้คนพิการได้กว่า 9,652 อัตรา ทั้งนี้ การที่สมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการ และคณะมาขอเข้าพบในวันนี้ ทำให้ทางกระทรวงแรงงานได้รับทราบสภาพปัญหาและร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย อีกทั้งได้ให้ความช่วยเหลือตามเป้าหมาย โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อคนพิการไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35060 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2563 พร้อมมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
พม. จัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2563 พร้อมมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น
พม. จัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2563 พร้อมมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น
วันนี้ (3 ก.ย. 63) เวลา 09.30 น. ณ ห้องปริ้นบอลรูม 2-3 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจำปี 2563 พร้อมมอบรางวัลผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยมี นางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ผู้ทรงคุณวุฒิ นักศึกษา นักวิจัย และสื่อมวลชน
นายปรเมธี กล่าวว่า การประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจำปี 2563 เป็นครั้งที่ 3 นับจากการประชุมครั้งแรกเมื่อปี 2559 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศให้สังคมได้รับทราบและเข้าใจ ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยมีการคัดเลือกผลงานวิจัยในประเด็นที่มีความสำคัญเชิงนโยบายและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานด้านการส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสังคมที่น่าสนใจ เพื่อนำมาศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อเพิ่มฐานองค์ความรู้ที่จำเป็นและสื่อสาร เผยแพร่ให้สาธารณชนทั่วไปได้รับรู้และเข้าใจคู่ขนานกันไป
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า สำหรับการประชุมประจำปี 2563 มีการประกวดผลงานทางวิชาการด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ ในระดับวิทยานิพนธ์ปริญญาโทและปริญญาเอก และระดับงานวิจัย พบว่า มีนักศึกษา นักวิจัยให้ความสนใจเข้าร่วมส่งผลงานเป็นจำนวนมาก และทางคณะกรรมการได้คัดเลือกผลงานที่มีประโยชน์ต่อการทำงานด้านสังคม จำนวน 5 ผลงาน ประกอบด้วย 1) วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก รางวัลประเภทดีเด่น จำนวน 1 รางวัล คือ เรื่องความรุนแรงในครอบครัวกับการต่อรองตัวตนและความทุกข์ทนของผู้หญิงในเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ของนางสาวสาลาม๊ะ หลงสะเตียะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท รางวัลประเภทดี จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ 2.1) เรื่องประสบการณ์การถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวของเด็กหญิง : แนวคิดอำนาจชายเป็นใหญ่ ของนางสาวพรพิรินทร์ อินโส มหาวิทยาลัยมหิดล 2.2) เรื่องเพศภาวะ เพศวิถี ประสบการณ์ชีวิตของกะเทยในคุก ของนางสาวจารุวรรณ คงยศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 2.3) เรื่องครอบครัวเควียร์ : พหุอัตลักษณ์ ความสัมพันธ์และยุทธศาสตร์ ครอบครัว เลสเบี้ยนชนชั้นแรงงาน ของนางสาวอาทิตยา อาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 3) วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท รางวัลประเภทชมเชย จำนวน 1 รางวัล คือ เรื่องบทสำรวจการบูรณาการประเด็น เพศภาวะเข้าสู่กระแสหลักในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยในอำเภอแม่สอด : จากหลักการสู่แนวทางปฏิบัติ ของนายติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ การประชุมครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอผลการวิจัยจากผู้ได้รับรางวัล และได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลากรศาลรัฐธรรมนูญ มาบรรยายให้ความรู้เชิงวิชาการในหัวข้อ “ความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุมมองทางกฎหมาย”
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความชื่นชมยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นด้านความเท่าเทียมระเหว่างเพศ ทั้ง 5 ผลงาน และหวังว่าการประชุมวิชาการระดับชาติด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศ ครั้งนี้ จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่นำเสนออย่างกว้างขวางและสร้างสรรค์ อันจะนำมาซึ่งองค์ความรู้ที่จะใช้เป็นประโยชน์เกิดการพัฒนาสังคมไทยให้ยั่งยืนสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34805 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการเด่น “ดีอีเอส” ในพื้นที่ EEC | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการเด่น “ดีอีเอส” ในพื้นที่ EEC
“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการเด่น “ดีอีเอส” ในพื้นที่ EEC
“พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดีอีเอส นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เยี่ยมชมโครงการเด่นในพื้นที่ EEC ทั้งความคืบหน้าโครงการเด่นศูนย์ทดสอบเทคโนโลยี 5G ที่ ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา ห้องฝึกอบรมสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่ออีอีซี (DAT) โครงการ ASEAN Digital Hub และโครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วานนี้ (10 ก.ย. 63) ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ รวมถึงหน่วยงานในสังกัด เยี่ยมชมโครงการเด่นของดีอีเอส ที่เริ่มมีความคืบหน้าในการจัดตั้งและก่อสร้างแล้วในเขตพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดหวังให้เป็นการนำร่องสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้าสู่ประเทศไทย
โดยเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบเทคโนโลยี 5G (5G Testbed) พร้อมเข้าร่วมพิธีเปิด DAT Co-Working Space และห้องฝึกอบรมสถาบันพัฒนาศักยภาพด้าน Digital เพื่อ EEC หรือ Digital Academy Thailand (DAT) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพแรงงานดิจิทัลรองรับพื้นที่อีอีซี
สำหรับ 5G Testbed แห่งนี้ จัดตั้งขึ้นบนหลักการการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อสร้างความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการนำคลื่นความถี่ 5G มาประยุกต์ใช้งานจริงในรูปแบบต่างๆ (Use cases) ให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จาก 5G ทันและเทียบได้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ปัจจุบันได้รับใบอนุญาตใน 3 คลื่นความถี่ ได้แก่ 2.4 GHz, 26 GHz และ 28 GHz โดยศูนย์แห่งนี้ ยังเป็นแหล่งศึกษานอกห้องเรียนของคณาจารย์ และนิสิต และสามารถต่อยอดสู่การพัฒนากำลังคนในพื้นที่อีอีซีอีกด้วย
ทางด้าน Use Case ที่มหาวิทยาลัยฯ ได้ดำเนินการ ครอบคลุม 1.ด้านเกษตรและอาหาร โดยการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการเกษตรตั้งแต่การผลิตจนถึงการแปรรูป นำเทคโนโลยี 5G มาใช้พัฒนา Use Case ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืชและสัตว์ อาทิ ระบบตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์
2.อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการขนส่ง ที่นำ 5G มาใช้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การพัฒนาระบบการผลิตอัจฉริยะ การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการผลิตควบคุมได้จากระยะไกล การจัดการของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม การจัดการระบบขนส่งอัตโนมัติในคลังสินค้า และ 3. การศึกษา พัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยในการเรียนการสอน เช่นการใช้ AR/VR เป็นเครื่องมือประกอบการสอน หรือหลักสูตรออนไลน์ต่าง ๆ ในรูปแบบ 4K หรือ 8K
ปัจจุบันศูนย์ทดสอบ 5G ซึ่งดีอีเอส ริเริ่มจัดตั้งขึ้นแห่งนี้ ได้มีการสร้างความร่วมมือและขอทุนวิจัยจากหน่วยงานภายนอก เช่น จาก กสทช. เพื่อจัดทำห้องอบรม 5G VR โดยร่วมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และยังมีงานวิจัยจากนักวิจัยที่กำลังดำเนินการเพื่อทำการทดลองทดสอบในพื้นที่ Sand box
นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมโครงการ ASEAN Digital Hub ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการ EECd (Digital Park Thailand) โดยเป็นโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ขยายโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างประเทศของไทยกับต่างประเทศให้มีความจุเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานดิจิทัล ของประชาชน ภาครัฐ และภาคธุรกิจ และรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจของอาเซียนในยุคดิจิทัล
และเยี่ยมชมโครงการ Thailand Digital Valley ซึ่งเป็นการขยายผลจากแนวคิดการจัดตั้งสถาบันไอโอที (IoT Institute) เดิม บนพื้นที่ 30 ไร่ ใน EECd (Digital Park Thailand) เพื่อดึงดูด สร้างแรงจูงใจ สร้างความเชื่อมั่น ให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EECd โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังความร่วมมือดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาคเอกชน ภาคการศึกษา สถาบัน และภาครัฐ สร้าง Digital Ecosystem และ Open Platform สำหรับ Startups ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริม สนับสนุนการออกแบบสินค้าและบริการดิจิทัลของธุรกิจชั้นนำ และ Startups รวมทั้งฃพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต (New S-curve Digital Industry) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมไอโอที หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบอัจฉริยะ และระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาจากทางไหนของร่างกายได้มากที่สุด ?? | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาจากทางไหนของร่างกายได้มากที่สุด ??
ไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาจากทางไหนมากที่สุด ??
Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาจากทางไหนของร่างกายได้มากที่สุด ??
A : เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ในน้ำมูกมากที่สุด ประมาณ 97.9 %
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามความคืบหน้า 4 โครงการหลัก ด้านการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลอย่างยั่งยืน-งานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ-ดิจิทัลเพื่อเกษตรสมัยใหม่ -ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ของ 3 หน่วย | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามความคืบหน้า 4 โครงการหลัก ด้านการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลอย่างยั่งยืน-งานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ-ดิจิทัลเพื่อเกษตรสมัยใหม่ -ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ของ 3 หน่วย
ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามความคืบหน้า 4 โครงการหลัก ด้านการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลอย่างยั่งยืน-งานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ-ดิจิทัลเพื่อเกษตรสมัยใหม่ -ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ของ 3 หน่วย
นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานแผนงาน/โครงการตามแผนการตรวจราชการ กระทรวงฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 (รอบ 12 เดือน) โดยที่ประชุมพิจารณา 4 โครงการ จาก 3 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(สศด.) และ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ซึ่งมีโครงการสำคัญคือ 1) โครงการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน (Thailand e-Commerce Sustainability) 2) โครงการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเกษตรสมัยใหม่ 3) แผนงานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) มีโครงการย่อย คือ โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้านการจราจรและขนส่งตะเข็บชายแดนภาคอีกสาน (หนองคาย นครพนม มุกดาหาร) โครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันให้มีคุณภาพระดับโลก (กระบี่ เชื่อมต่อภูเก็ต) โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้พื้นที่ระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และ 4) โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุม 803 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม - รมช.ศึกษาธิการ ร่วมเปิดโครงการพัฒนาโปรแกรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัว ยกโมเดล บำบัดผู้ติดยาเสพติดด้วยครอบครัว | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
รมว.ยุติธรรม - รมช.ศึกษาธิการ ร่วมเปิดโครงการพัฒนาโปรแกรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัว ยกโมเดล บำบัดผู้ติดยาเสพติดด้วยครอบครัว
รมว.ยุติธรรม - รมช.ศึกษาธิการ ร่วมเปิดโครงการพัฒนาโปรแกรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัว ยกโมเดล บำบัดผู้ติดยาเสพติดด้วยครอบครัว
ในวันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ บ้านหมอรีสอร์ท จังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเปิดโครงการพัฒนาโปรแกรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัว : กิจกรรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัว โดยมี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับฟังปัญหาจากบุคคลในครอบครัวของผู้ถูกคุมความประพฤติเรื่องยาเสพติดที่เข้าร่วมค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดิน นอกจากนี้ ยังได้ติดตามดูกิจกรรมฐานการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรม โดยมีเจ้าหน้าที่จากกองพัฒนาการคุมประพฤติ สำนักงานคุมประพฤติสุโขทัย ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ลาดหลุมแก้ว และสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ และผู้แทนจากมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ เป็นวิทยากร และพี่เลี้ยงประจำฐานการเรียนรู้
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า จากที่รับฟังเข้าใจว่ามีความอึดอัดในครอบครัว เมื่อพบว่า ลูก ภรรยา สามี ติดยาเสพติด แต่การฟื้นฟูบำบัดให้เลิกยาเสพติดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหากบำบัดไม่ถูกวิธี การสื่อสารพูดคุยห้ามใช้อารมณ์ ต้องชำระจิตใจด้วยความรัก
"ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณหญิงกัลยา จึงเห็นแนวคิดของท่านในเรื่องนี้ เลยคิดว่าหากลงมือทำจะสามารถช่วยเหลือคนได้มากขึ้น ครอบครัวจะสามารถกลับมามีความสุขได้ เยาวชนที่ติดยาเสพติดก็จะสามารถกลับมาเรียนหนังสือ และมีอนาคตที่ดีจึงมอบหมายให้กรมคุมประพฤติเดินหน้า และเริ่ม "คุณหญิงกัลยา โมเดล" บำบัดยาเสพติดด้วยความรักในครอบครัว" รมว.ยุติธรรม กล่าว
ด้านคุณหญิงกัลยาฯ กล่าวว่า ยาเสพติดเป็นตัวบ่อนทำลายชาติมาช้านาน รัฐบาลพยายามทำทุกทาง ตนอยากเห็นเยาวชนห่างไกลเรื่องแบบนี้ หรือหากติดแล้วสามารถเลิกได้ แต่สิ่งสำคัญจะทำให้คนในครอบครัวเลิกยาเสพติดได้ ก็คือครอบครัว คนเสพ ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เขาเพียงแค่ไม่สบาย กิจกรรมค่ายสานสัมพันธ์ครอบครัวนี้ คือ "ค่ายยาวิเศษ" ที่สามารถจะช่วยผู้เสพด้วยวิธีครอบครัวบำบัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนทุกภาคส่วนที่จะเพิ่มช่องทางการระบายสินค้า | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนทุกภาคส่วนที่จะเพิ่มช่องทางการระบายสินค้า
รัฐมนตรีเกษตรฯ สนับสนุนทุกภาคส่วนที่จะเพิ่มช่องทางการระบายสินค้าของเกษตรกรส่งตรงถึงมือผู้บริโภค
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าเกษตรร่วมกันระหว่างสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก กับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพัฒนาระบบบริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิและรถขนส่งที่สามารถรักษาอุณหภูมิภายใน โดยสามารถควบคุมอุณหภูมิอย่างมีเสถียรภาพได้ 2 แบบ ในตู้เดียวกัน คือ 0-5 องศา สำหรับคงความสดของผักผลไม้ และ -18 องศา สำหรับผลิตภัณฑ์แช่แข็ง จึงเป็นการยกระดับการขนส่งสินค้าทางการเกษตรให้สดใหม่ ตั้งแต่ต้นทางผู้ผลิตจนถึงมือผู้บริโภค ทำให้มีการควบคุมอุณหภูมิในทุกขั้นตอน ตั้งแต่รับสินค้าเข้าคลังจนถึงมือผู้รับทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับผลผลิตที่สดใหม่เหมือนกับซื้อจากผู้ผลิตโดยตรง และสามารถอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า ที่สั่งซื้อทางระบบออนไลน์ของ Ohlala Shopping ตามแนวทางการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำ Platform Online และ Website เพื่อเชื่อมโยงการนำสินค้าจากเกษตรกรส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีราคาถูก รวมถึงจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะมีช่องทางในการระบายผลผลิตทางการเกษตรได้มากขึ้นอีกทางหนึ่งตามนโยบายของรัฐบาลด้วย
"การลงนามในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรและผู้บริโภคที่จะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพมีการการันตีจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ จึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ซึ่งจากการสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ภาคการเกษตรต้องมีการปรับปรุงตัวตามสถานการณ์ด้วย ทำให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ และจากการลงนามในวันนี้จะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของตลาด และกระจายสินค้าไปได้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ มีความปลอดภัย จึงถือเป็นการส่งเสริมสินค้าเกษตรได้ดีที่สุดอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศเข้มแข้ม จึงต้องทำให้พี่น้องเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย จึงพร้อมที่จะดำเนินการร่วมกันกับทุกภาคส่วน ที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และช่วยกันพัฒนาเกษตรกรรมให้เข้าสู้วิถีใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่เป็นครัวของโลกต่อไป" นายเฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34577 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรชู 9 ระบบ Easy Tax ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจ สร้างวิถีภาษีใหม่ ให้ยิ่งง่ายและเป็นธรรม | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
สรรพากรชู 9 ระบบ Easy Tax ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจ สร้างวิถีภาษีใหม่ ให้ยิ่งง่ายและเป็นธรรม
กรมสรรพากรชูบริการเทคโนโลยีด้านภาษีที่ทันสมัย ภายใต้ 9 ระบบดิจิทัล ในงานเสวนา “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” (Easy Tax Transforms Your Life) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม อิมแพค เมืองทองธานี
กรมสรรพากรชูบริการเทคโนโลยีด้านภาษีที่ทันสมัย ภายใต้ 9 ระบบดิจิทัล เพื่อช่วยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีจัดการเรื่องภาษีได้ง่าย สะดวกสบายยิ่งขึ้น ช่วยลดต้นทุนและลดความยุ่งยาก ในการจัดเก็บเอกสาร รวมทั้งจัด RD Tax Advisor ให้คำปรึกษาเรื่องภาษีกับผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษีและประชาชนที่สนใจ ในงานเสวนา “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” (Easy Tax Transforms Your Life) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม อิมแพค เมืองทองธานี
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวในพิธีเปิดงานสัมมนา “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” (Easy Tax Transforms Your Life) ว่า “ด้วยนโยบายของกรมสรรพากรที่ต้องการจัดเก็บภาษีตรงเป้านโยบายตรงกลุ่ม และบริการตรงใจ ที่มีการขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ D2RIVE ซึ่ง Digital Transformation เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดำเนินการตามนโยบายของกรมสรรพากรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนงานต่าง ๆ และการสร้างนวัตกรรมที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการและชำระภาษีที่มีความทันสมัยมากขึ้น ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมภาษีได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้ดียิ่งขึ้น และตอกย้ำความเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างแท้จริง
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการและชำระภาษีของกรมสรรพากรเกิดขึ้นภายใต้ 9 ระบบดิจิทัล (9 Digital Transformation) แบ่งออกเป็นด้านอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ดังนี้
1. Tax from Home มาตรการที่กรมสรรพากรตั้งใจช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงการทำธุรกรรมภาษีในทุกมิติได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ใด ๆ ก็ตาม ประกอบด้วย
1.1 e-Registration การลงทะเบียนขอยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ต และนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e–mail ได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาอีกต่อไป
1.2 e-Filing การยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางอินเทอร์เน็ต ได้สิทธิขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีออกไปอีก ช่วยให้ภาคเอกชนมีเวลาในการบริหารกระแสเงินสดได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
1.3 e-Payment การชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ (ธนาคารเกือบทั้งหมดยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการสำหรับการยื่นแบบและชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2563)
1.4 e-Refund การคืนเงินภาษี สำหรับผู้เสียภาษีที่ชำระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดำเนินการคืนภาษีผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
2. My Tax Account บัญชีรายการค่าลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาที่กรมสรรพากรพัฒนาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษี เข้ามาตรวจสอบสิทธิค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เช่น ข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการบริจาคผ่านระบบ e–Donation ข้อมูลเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ข้อมูลเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ซึ่งจะช่วยลดภาระในการเก็บเอกสาร ช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการคืนภาษีสะดวกรวดเร็วขึ้น
3. e-Donation ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับข้อมูลการรับบริจาคของหน่วยรับบริจาค ทั้งยังอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาค สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้โดยไม่ต้องเก็บหลักฐาน โดยเข้าตรวจสอบข้อมูลการบริจาคด้วยตนเองได้ที่ ระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
4. Open API การเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้ามามีส่วนร่วม โดยเชื่อมโยงระบบกับกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบออนไลน์ของประชาชนผู้เสียภาษีมากขึ้น ช่วยให้การยื่นแบบและเสียภาษีเป็นเรื่องง่ายแม้ไม่รู้เรื่องภาษีเลย โดยขณะนี้เปิดให้บริการแล้วผ่านแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า iTAX และ noon
5. RD Smart Tax Application นวัตกรรมใหม่ในการจัดการด้านภาษีช่วยให้ภาษีเป็นเรื่องง่ายช่วยให้ชีวิตดีขึ้น มิติใหม่ของการให้บริการธุรกรรมของภาครัฐผ่าน Application ทั้งข่าวสารสรรพากร สาระความรู้ภาษี ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ และแผนที่หน่วยงานสรรพากรทั่วประเทศ สามารถ Download ใช้งานได้ทั้ง App Store และ Google play
6. VRT on Blockchain ระบบการคืนเงินภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านโมบายล์แอปพลิเคชันที่ใช้ระบบเทคโนโลยีบล็อกเชนในการเชื่อมต่อข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นที่แรกของโลก เพื่อให้บริการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับนักท่องเที่ยวไวขึ้น ง่ายขึ้น และไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป
7. e-Tax Invoice & e-Receipt ใบกำกับภาษี รวมถึงใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบรับ ที่จัดทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายและเวลาให้กับผู้ประกอบการในการจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีในรูปแบบใหม่
8. e-Withholding Tax ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อมีการจ่ายเงินได้ให้แก่ผู้รับเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยนำส่งข้อมูลและภาษีพร้อมการชำระเงินผ่านธนาคารที่เป็นผู้ให้บริการระบบ e-Withholding Tax แทนการยื่นด้วยแบบกระดาษ ช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน ลดภาษี ทั้งยังสามารถตรวจสอบหลักฐานได้ตลอดเวลาที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
9. e-Stamp Duty การชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยเพิ่มความสะดวกและเป็นการสนับสนุนนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเสียภาษี เป็นการส่งเสริมธุรกิจในรูปแบบ e-Business ให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “บริการทั้ง 9 ด้านนี้ จะถูกผลักดัน และสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน รวมถึงการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการบริการที่ดีขึ้น ภายใต้กรอบความคิดที่มองผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลางที่ต้องได้รับบริการที่สะดวกบนความพึงพอใจสูงสุด และกรมสรรพากรมุ่งหวังที่จะผลักดันให้เกิดการสร้างบริการต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงมายังระบบภาษี (Tax Ecosystem) ผ่าน Platform ต่าง ๆ และตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้ใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรเป็นจำนวนร้อยละ 100 ในทุกด้านภายใน 3 ปี
ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม 2563 ใกล้ถึงกำหนดยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับรอบปีภาษี 2562 จึงขอเชิญชวนผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) 1161 หรือที่สานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ”
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพากร
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34479 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศผลภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ ๖ นำภาพยนตร์กระชับความสัมพันธ์ไทย-อาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
วธ. ประกาศผลภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ ๖ นำภาพยนตร์กระชับความสัมพันธ์ไทย-อาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น
วธ. ประกาศผลภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ ๖ นำภาพยนตร์กระชับความสัมพันธ์ไทย-อาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น สร้างงาน สร้างรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๓ ที่โรงภาพยนตร์ CAT FIRST CLASS ชั้น ๘ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.)มอบหมายให้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีปิดเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ๒๕๖๓ (Bangkok ASEAN Film Festival 2020) ครั้งที่ ๖ พร้อมทั้งมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) และมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดโครงการภาพยนตร์อาเซียน (SEA PITCH) : SOUTHEAST ASIAN PROJECT PITCH) โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ผู้บริหารสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ คณะกรรมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ฯ คณะผู้แทนหน่วยงานส่งเสริมภาพยนตร์อาเซียน ดารา ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยและต่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วม
นางยุพา กล่าวว่า รัฐบาลโดย กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ หน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ๒๕๖๓ (Bangkok ASEAN Film festival 2020) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๓ – ๖ ก.ย. ๒๕๖๓ ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิล์ด ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) และเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ โดยจัดกิจกรรมด้านภาพยนตร์ ประกอบด้วย ๑.จัดฉายภาพยนตร์คุณภาพจากชาติอาเซียน รวมทั้งประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวม ๕ เรื่อง ๒.จัดฉายภาพยนตร์อาเซียนทรงคุณค่า (ASEAN Classic) จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ น้ำผึ้งพระจันทร์ ๓.จัดฉายภาพยนตร์ของสายการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) จำนวน ๑๕ เรื่อง ๔.จัดสัมมนาด้านภาพยนตร์ในหัวข้อ ทิศทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยภายหลังสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19) ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม และ๕.มอบรางวัลบุคคลเกียรติยศ (Life Time Achievement Award) ให้กับ นางสาวเพชรา เชาวราษฎร์ นักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติของประเทศไทย คณะกรรมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) โดยในปีนี้มีผู้ชนะการประกวด จำนวน ๓ รางวัล ได้แก่ ๑.รางวัล BEST ASEAN SHORT FILM ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๒,๐๐๐ USD คือ HERE IS NOT THERE กำกับภาพยนตร์โดย Nelson Yeo จากประเทศสิงคโปร์ ๒.รางวัล JURY PRIZE ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๑,๐๐๐ USD คือ THE UNSEEN RIVER กำกับภาพยนตร์โดย Phạm Ngọc Lan จากประเทศ เวียดนาม ๓.รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๕๐๐ USD คือ TO CALM THE PIG INSIDE กำกับภาพยนตร์โดย Joanna Vasquez Arong จากประเทศฟิลิปปินส์
ขณะเดียวกัน ได้ริเริ่มกิจกรรมประกวดโครงการภาพยนตร์อาเซียน (SEA PITCH) : SOUTHEAST ASIAN PROJECT PITCH) เป็นปีแรก คัดเลือกโครงการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว ๘ โครงการ โดยคนทำหนังจากภูมิภาค อาเซียนที่มีไอเดียในการผลิตภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโครงการที่ผ่านการคัดเลือกผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะเข้าร่วมอบรมพิเศษออนไลน์ด้านการนำเสนอโปรเจกต์ (Pitching) กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ๒ ครั้ง เพื่อเตรียมตัวนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ โดยผู้ชนะการประกวด จำนวน ๓ รางวัล ประกอบด้วย ๑.รางวัล SEAPITCH Award ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๕,๐๐๐ USD ได้แก่ Causeway กำกับภาพยนตร์โดย Aw See Wee จากประเทศมาเลเซีย ๒.รางวัล Runner-Up Prize ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๓,๐๐๐ USD ได้แก่ A Useful Ghost กำกับภาพยนตร์โดย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค จากประเทศไทย และ๓. รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะได้รับโล่รางวัลและเงินสด ๒,๐๐๐ USD ได้แก่ Skin กำกับภาพยนตร์โดย ต้องปอง จันทรางกูร จากประเทศไทย ทั้งนี้ งานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนฯ ในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ ๖ ติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย และประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และก่อให้เกิดความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมและภาพยนตร์ระหว่างกันด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34914 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ครม.เห็นชอบให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี
ครม.มีมติเห็นชอบให้คงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563 ถึง 30 ก.ย.2564 สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน
นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “วันนี้ (25 สิงหาคม 2563) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ สำหรับรายการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564”
นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก โดยยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน อันจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีการฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) คลี่คลายลง”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมแผนฟื้นฟู ขสมก. จัดเก็บค่าโดยสารอัตราเดียว จ่อชง ครม.อนุมัติเช่ารถ EV 2,511 คัน จ้างเอกชนเดินรถ | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
เตรียมแผนฟื้นฟู ขสมก. จัดเก็บค่าโดยสารอัตราเดียว จ่อชง ครม.อนุมัติเช่ารถ EV 2,511 คัน จ้างเอกชนเดินรถ
เตรียมแผนฟื้นฟู ขสมก. จัดเก็บค่าโดยสารอัตราเดียว จ่อชง ครม.อนุมัติเช่ารถ EV 2,511 คัน จ้างเอกชนเดินรถ
เวลา 09.30 น. วันที่ 14 ก.ย. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณา รายละเอียดแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับปรับปรุงใหม่)
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยกรมการขนส่งทางบก จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ 1.แนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง โดยมีโครงข่ายหลัก จำนวน 162 เส้นทาง และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพบริหารจัดการเดินรถตามแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ทั้งนี้ ให้กรมการขนส่งทางบก พิจารณาปรับปรุงเส้นทางให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ให้ครอบคลุมพื้นที่และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งในอนาคตต่อไป
2.ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีสิทธิ์ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งในเส้นทางที่มีการกำหนดใหม่ หรือเส้นทางเดินรถที่มีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ก่อนผู้ประกอบการขนส่งรายอื่น ในกรณีที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพไม่ประสงค์เดินรถในเส้นทางดังกล่าว ให้กรมการขนส่งทางบกโดยอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ประกาศรับคำขอเป็นการทั่วไป
3.นโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดเก็บเป็นอัตราเดียว (Single price)ในอัตรา 30 บาท / คน / วัน / ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว โดยในอนาคตอาจปรับเพิ่มหรือลดอัตราค่าโดยสารเพื่อให้เหมาะสม กับสถานการณ์และภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขณะที่ ขสมก. จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ 1.การเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 ที่เห็นชอบในหลักการของแผน ฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับเดิม) เป็นเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับปรับปรุงใหม่) โดยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่ารถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 2,511 คัน และจ้างเอกชน เดินรถให้บริการ (รถโดยสารไฟฟ้า (EV) หรือรถโดยสาร NGV] จำนวน 1,500 คัน
2.อนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 สำหรับโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด
3.อนุมัติในหลักการให้รัฐบาลรับภาระหนี้สินของ ขสมก. โดยจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ของ ขสมก. เมื่อ Ebitda เป็นบวก (ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 เป็นต้นมา รัฐบาลรับภาระชำระดอกเบี้ยของ ขสมก. แล้ว) ทั้งนี้ ยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลรับภาระจะเป็นยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 30 กันยายน 2564
กรณี Ebitda เป็นบวกแค่ 1 หรือ 2ปี แล้วกลับมาเป็นลบ ในหลักการปีถัดไป รัฐจะไม่ชำระหนี้เงินต้นให้
4.อนุมัติหลักการเพื่อขอสนับสนุนเงินอุดหนุนจากภาครัฐ จำนวน 7 ปี โดยเป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มติที่ประชุมดังกล่าว ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติต่อไป
................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-10 ความเป็นที่สุดของประเทศไทย | วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563
10 ความเป็นที่สุดของประเทศไทย
การรับมือวิกฤติโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง พร้อมจ่าย!! เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ 17 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
กรมบัญชีกลาง พร้อมจ่าย!! เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ 17 กันยายน 2563
กรมบัญชีกลางได้โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือนกันยายน 2563 เข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ให้ผู้มีสิทธิ ในวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือนกันยายน 2563 เข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ให้ผู้มีสิทธิ ในวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินในบัญชีได้ (ตามระยะเวลาของการดำเนินการของแต่ละธนาคาร) กรณีผู้มีสิทธิที่ไม่มีบัญชีธนาคาร กรมบัญชีกลางจะโอนเงินไปยัง อปท.เพื่อจ่ายเป็นเงินสดให้แก่ผู้มีสิทธิต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยไทยมีระบบคัดกรองผู้ป่วยโควิด 19 ดีมาก | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
“อนุทิน” เผยไทยมีระบบคัดกรองผู้ป่วยโควิด 19 ดีมาก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยไทยมีระบบคัดกรองผู้ป่วยโควิด 19 ในระดับดีมาก ขอให้ประชาชนมั่นใจและช่วยกันเฝ้าระวังผู้ที่ลักลอบเข้าเมือง หากพบให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยไทยมีระบบคัดกรองผู้ป่วยโควิด 19 ในระดับดีมาก ขอให้ประชาชนมั่นใจและช่วยกันเฝ้าระวังผู้ที่ลักลอบเข้าเมือง หากพบให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
วันนี้ (27 สิงหาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า ขณะนี้ระบบตรวจคัดกรองของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ดีมาก มีการตรวจเชื้อต้นทางก่อนขึ้นเครื่อง ตรวจเชื้อปลายทางเมื่อมาถึงประเทศไทย และมีระบบกักกันโรค 14 วันใน State Quarantine มีการตรวจเชื้อซ้ำ และเพิ่มการตรวจหาภูมิคุ้มกันสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในไทย ด้วยวิธีการที่รวดเร็วและแม่นยำ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทุกคนเข้าสู่ State Quarantine เพื่อเฝ้าระวัง หากพบผู้มีการเชื้อก็ทำการรักษาทันที กรณีที่พบซากเชื้อแม้นทางการแพทย์จะระบุว่าแพร่เชื้อต่อไม่ได้ แต่ทางกระทรวงจะส่งทีมสอบสวนโรคติดตามผู้ใกล้ชิด นำเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือการลักลอบเข้าประเทศไทยของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านการคัดกรองควบคุมโรค ต้องขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังเรื่องดังกล่าว และขอให้ประชาชนอย่าสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกให้กลุ่มลักลอบเข้าเมือง หากพบให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อเข้าควบคุมเฝ้าระวังโรค
“กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการรับมือหากพบผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ ทั้งเรื่องบุคลากร ยา อุปกรณ์ป้องกัน การรักษา มีความรู้และประสบการณ์ เมื่อประชาชนช่วยกันอย่างเต็มที่ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ โอกาสจะเกิดการติดเชื้อและซูเปอร์สเปรดเดอร์จะน้อยมาก มีความเสี่ยงต่ำ ขอให้ประชาชนอยู่กับสถานการณ์โรคด้วยความเข้าใจ” นายอนุทินกล่าว
*********************** 27 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ 'ไทย-เยอรมนี' ร่วมมือด้านการเกษตร | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
เกษตรฯ 'ไทย-เยอรมนี' ร่วมมือด้านการเกษตร
เกษตรฯ 'ไทย-เยอรมนี' ร่วมมือด้านการเกษตร สร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ระบบการผลิต แปรรูป กระจายสินค้า การตลาด จนถึงผู้บริโภค
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนง (Joint Declaration of Intent : JDI) ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงอาหารและเกษตรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การจัดงานในครั้ง เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุม Global Forum for Food and Agriculture หรือ GFFA ครั้งที่ 12 ณ กรุงเบอร์ลิน และได้มีการหารือระดับสูงระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับผู้บริหารของกระทรวงอาหารและเกษตรฯ เยอรมนี ทำให้ได้รายละเอียดโครงการความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงาน GFA Consulting Group ซึ่งเป็นเอกสารที่เรียกว่า Implementation Agreement โครงการดังกล่าวจึงถือเป็นกลไกที่จะทำให้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายเกิดประโยชน์กับเกษตรกรในพื้นที่แปลงใหญ่และเกษตรกรรายย่อย ทำให้สามารถเรียนรู้การบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหาร และสามารถนำเอาระบบบริการส่งเสริมการเกษตรไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของไทยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงเกษตรฯ ด้านการต่างประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
"การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอาหารและเกษตรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จะเริ่มดำเนินความร่วมมือแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม และขอชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและเยอรมนีที่ทำงานกันอย่างหนัก ที่ร่วมกันประชุมหารือ และสำรวจพื้นที่เพื่อดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรในระยะแรก โดยเฉพาะในพื้นที่แปลงใหญ่ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในด้านการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน การลดต้นทุนการผลิต และการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรไทย ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงาน GFA พร้อมที่จะเริ่มดำเนินโครงการความร่วมมือภายในเดือนกันยายนนี้ และหวังว่าไทยและเยอรมนี จะใช้กรอบนี้ในการขยายความร่วมมือด้านการเกษตรในสาขาอื่น ๆ ที่สนใจร่วมกันในอนาคตต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการทำความร่วมมือในครั้งนี้ คือ 1) เกิดประโยชน์ต่อการสนับสนุนโครงการความร่วมมือทวิภาคีเพื่อส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในประเทศไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร โดย JDI จะเป็นกรอบในการดำเนินความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่อาจมีความร่วมมือขึ้นในอนาคต โดยทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ 2) ประโยชน์ของการจัดทำความร่วมมือภายใต้ความตกลง IA – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กับ GFA Consulting Group GmbH สามารถพัฒนาบุคลากรด้านการต่างประเทศในลักษณะ On the Job Training (OJT) ในประเทศไทยเอง เป็นการสร้างโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่ที่สนใจทำการเกษตร
นอกจากนี้ การทำความร่วมมือดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐสามารถร่วมกันคิดวิเคราะห์ ให้ข้อเสนอ รวมถึงสามารถสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างหน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบบริการส่งเสริมการเกษตร ระบบการเงิน ระบบการสนับสนุนความช่วยเหลือ ตลอดจนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาพื้นที่เกษตรกรจากพื้นที่แปลงใหญ่ นอกจากนี้ เกษตรกรรายย่อย ยังสามารถเรียนรู้การบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ระบบการผลิต แปรรูป กระจายสินค้า การตลาด จนถึงผู้บริโภค โดยมีการนำเอาระบบบริการส่งเสริมการเกษตรเข้ามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกษตรกรรายย่อยสามารถนำเอา (Apply) ระบบการผลิตที่ทันสมัยและการทำธุรกิจที่ดี (modern production and business practices) มาใช้ในการทำการเกษตรได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34579 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมรับฟัง “การแถลงแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี” | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
รมว.วธ.ร่วมรับฟัง “การแถลงแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี”
รมว.วธ.ร่วมรับฟัง “การแถลงแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี”
วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการรับฟัง “การแถลงแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี” ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๖๒ วิทยาลัยเสนาธิการทหาร และวิทยาลัยการทัพของทั้งสามเหล่าทัพ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม ชั้น ๒ อาคารเอนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35002 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ พื้นที่จังหวัดระยอง | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ พื้นที่จังหวัดระยอง
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ พื้นที่จังหวัดระยอง
ในวันจันทร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๓๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมพื้นที่จังหวัดระยอง ได้แก่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดระยอง สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดระยอง สำนักงานบังคับคดีจังหวัดระยอง และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รวมทั้งติดตามความคืบหน้าการสร้างอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดระยอง
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ติดตามการดำเนินงาน สอบถามถึงประเด็นปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการให้บริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัด เพื่อพัฒนาระบบการทำงานและการให้บริการประชาชนให้มีความรวดเร็ว และรอบด้าน พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34541 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การกินกระเทียมสามารถป้องกัน การติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
การกินกระเทียมสามารถป้องกัน การติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
การกินกระเทียมสามารถป้องกันการติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่
Q : การกินกระเทียมสามารถป้องกัน การติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
A : แม้กระเทียมจะมีคุณสมบัติบางอย่างในการต้านเชื้อจุลชีพ แต่ยังไม่ปรากฎหลักฐานในปัจจุบัน ว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเรียกเก็บและการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
การเรียกเก็บและการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
กระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียกเก็บและการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับปีภาษี 2563 เพื่อลดความกังวลของประชาชนว่าจะถูกเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหากไม่มาชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2563
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียกเก็บและการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับปีภาษี 2563 เพื่อลดความกังวลของประชาชนว่าจะถูกเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหากไม่มาชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 โดยมีประเด็นสำคัญคือ
การเรียกเก็บและการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ การส่งใบประเมินเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปยังเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในกรณีที่ตรวจสอบใบประเมินดังกล่าวแล้วพบว่าถูกต้อง ผู้เสียภาษีค่อยไปชำระภาษี ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายช่องทาง เช่น สำหรับกรุงเทพมหานครสามารถชำระที่เคาน์เตอร์ธนาคาร หรือผ่าน QR code ของระบบ Online Banking ในท้ายใบประเมิน หรือที่สำนักงานเขตทั้ง 50 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัดสามารถชำระได้ที่สำนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือตามช่องทางอื่นที่กำหนด
อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ประชาชนไม่ได้รับใบประเมินเรียกเก็บภาษี หรือท้องถิ่นขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาในการชำระภาษีออกไป ประชาชนก็จะไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งในขณะนี้ มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งได้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษีออกไปจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 แล้ว และยังมีอีกหลายแห่งรวมทั้งกรุงเทพมหานครอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายกำหนดเวลาชำระภาษีดังกล่าว
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวในตอนท้ายว่า ประชาชนในกรุงเทพมหานครสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารในเรื่องการขยายระยะเวลาชำระภาษีได้ที่กองรายได้ กรุงเทพมหานคร โทร. 02-221-2141 ถึง 69 และในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสอบถามได้ที่กองคลังในแต่ละเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล
สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02-273-9020 ต่อ 3511
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน เคารพกระบวนการรัฐสภา พร้อมทำงานเพื่อคนไทยทั้ง 66 ล้านคน | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน เคารพกระบวนการรัฐสภา พร้อมทำงานเพื่อคนไทยทั้ง 66 ล้านคน
นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน เคารพกระบวนการรัฐสภา พร้อมทำงานเพื่อคนไทยทั้ง 66 ล้านคน
วันที่ 9 กันยายน 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาญัตติเปิดอภิปราย เพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ในประเด็นวิกฤติทางเศรษฐกิจ และวิกฤติทางการเมือง โดยไม่มีการลงมติ ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพร้อมทำงานดูแลประชาชนคนไทยทั้ง 66 ล้านคน และจะทำหน้าที่ดีที่สุดเพื่อเดินหน้าประเทศฝ่าวิกฤตสุขภาพและเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำ ขอยืนยันว่าในการทำงานของรัฐบาลยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณ ทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทยทั้งประเทศ 66,533,533 คน ทุกมาตรการที่มีมุ่งสอดคล้องกับการดูแลคนไทยทั้งหมด ยอมรับว่าการจะทำให้ทุกคนมีความสุขพอใจนั้น ค่อนข้างจะทำได้ยาก แต่จะไม่เกินความพยายามของรัฐบาลเพราะพยายามทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับความต้องการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมยืนยันว่า ตนเองเคารพกระบวนการของรัฐสภามาโดยตลอด จะทำทุกอย่างให้เกิดความชอบธรรม โปร่งใส ป้องกันการทุจริตให้ได้มากที่สุด หลายปัญหาที่สมาชิกฯ จะอภิปรายฯ ในวันนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน เมื่อรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ก็ต้องแก้ปัญหา โดยได้เตรียมการแก้ปัญหามาแล้วหลายปี ทั้งเรื่องกฎหมาย กระบวนการ กลไกต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้าที่รัฐบาลนี้จะเข้ามานั้นปัญหาหลายปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้ยืนยันว่าจะรับผิดชอบแก้ไขทุกปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
วันนี้ รัฐบาลห่วงใยต่อสถานการณ์ภายในประเทศ ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ด้านเศรษฐกิจ และอื่น ๆ ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อดูแลแก้ไขให้ทุกอย่างกลับฟื้นคืนสู่ปกติโดยเร็ว ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังข้อกฎหมาย ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด การกู้เงินจะทำต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องกู้ หากไม่มีเหตุการณ์ก็ไม่ต้องกู้ สำหรับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 รัฐบาลได้แก้ปัญหาได้เป็นที่น่าพอใจในระดับโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายมากยิ่งขึ้น สำหรับเศรษฐกิจไทยกับต่างประเทศนั้น รองนายกรัฐมนตรีจะได้ชี้แจงต่อไปทั้งในส่วนอาเซียน ประชาคมโลก องค์กรต่าง ๆ ก็ได้จัดอันดับแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลกำลังเริ่มดำเนินการปฏิรูปจากที่ผ่านมาไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเลย รัฐบาลนี้ได้ตั้งคณะทำงานศึกษา เพื่อหาแนวทางปรับลดจำนวนข้าราชการลง ขณะเดียวกันก็ต้องมีหน่วยงานขึ้นใหม่เพื่อทดแทนโดยไม่เพิ่มอัตรากำลังมากนัก หลายอย่างได้มีการปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์และโทรศัพท์ที่ใช้สั่งการติดตามได้ ซึ่งกระบวนการปฏิรูปในระบบประชาธิปไตยมีความยุ่งยากพอสมควร ขอเพียงต่างคนต่างฟังกันบ้างก็จะนำไปสู่ความสำเร็จในการปฏิรูปทั้งทางการเมืองหรือทางประชาธิปไตย พร้อมย้ำว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีปัญหากับเด็ก ๆ มีแต่คนที่ทำให้เด็ก ๆ มีปัญหากับตน ซึ่งไม่ต้องการให้ลุกลามบานปลาย ประเทศไทยต้องมีความสงบให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังยืนยันได้ผ่านการตรวจสอบในฐานะนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่เป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จากกลไกต่าง ๆ ซึ่งพร้อมรับฟังคำชี้แจงและข้อทักท้วงของทุกฝ่ายเสมอ และยังฝากว่า ขอให้อย่ารังเกียจทหาร ขอให้ทหารได้มีความภาคภูมิใจในการทำงาน ทหารทำงานด้วยความเสียสละอดทน ขอให้อย่าแยกทหารออกจากประชาชน เพราะวันนี้ทหารทำหน้าที่หลายอย่างมากมายทั้งป้องกันประเทศ พัฒนาประเทศ ป้องกันภัยพิบัติ ป้องกันโควิด-19 ทหารคือลูกหลาน ฉะนั้น ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน อย่าสร้างความเกลียดชังกันต่อไป
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34925 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กร ที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2563 | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กร ที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2563
รองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กร ที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2563
วันนี้(26สิงหาคม2563)เวลา14.00น.ณห้องมัฆวานรังสรรค์สโมสรทหารบกถนนวิภาวดีรังสิตกรุงเทพฯพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบหมายนายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจำปี2563เพื่อเชิดชูเกียรติบุคคลและองค์กรที่ทุ่มเทเสียสละและอุทิศตนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยมีนายสมศักดิ์เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยนายนิยมเติมศรีสุขเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนายกลินท์สารสินประธานมูลนิธิพล.ต.อ.เภาสารสินผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบุคคลและองค์กรทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาชนที่ได้รับโล่ฯเข้าร่วมในพิธี
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจำปี2563รวมทั้งสิ้น150รายแบ่งเป็นประเภทบุคคล133รายและ17องค์กรในจำนวนดังกล่าวเป็นโล่ประกาศเกียรติคุณประเภทต่างๆได้แก่โล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดพร้อมรับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิพล.ต.อ.เภาสารสินโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโล่เชิดชูเกียรติให้กับทายาทของผู้สูญเสียชีวิตผู้ที่ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่โล่ประกาศเกียรติคุณฯขอบคุณผู้มีชื่อเสียงที่ร่วมรณรงค์สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันยาเสพติดและโล่ประกาศเกียรติคุณฯระดับดีเด่นให้แก่ผู้ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านต่างๆได้แก่ด้านการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้านการปราบปรามยาเสพติดด้านการบำบัดฟื้นฟูและพัฒนาผู้ติดยาเสพติดด้านการป้องกันยาเสพติดและด้านการส่งเสริมการแก้ไขปัญหายาเสพติด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณฯว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณและให้กำลังใจแก่บรรดาบุคคลและองค์กรซึ่งได้ทำประโยชน์ในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาวาระสำคัญในระดับประเทศและระดับโลกซึ่งมีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทำให้การดำเนินการดังกล่าวนั้นประสบความสำเร็จซึ่งการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่าปัญหาอื่นๆนอกจากจะต้องอาศัยนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐให้สอดคล้องในด้านสาธารณสุขและสิทธิมนุษยชนแล้วยังต้องมีมาตรการที่ใช้ในการป้องกันแก้ไขปราบปรามบำบัดฟื้นฟูและพัฒนาจากอีกหลายองค์กรรวมถึงความอดทนและกล้าหาญของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประสบความสำเร็จและเกิดความก้าวหน้าทั้งนี้รัฐบาลหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากบุคคลหน่วยงานตลอดจนองค์กรอื่นๆเพื่อทำให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเกิดผลสำเร็จยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34587 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมผลสำเร็จศูนย์ดิจิทัลชุมชน จ.ระยอง ระหว่างร่วม ครม.สัญจร เร่งชุมชนพัฒนาต่อยอดการใช้ประโยชน์จากศูนย์ฯ | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมผลสำเร็จศูนย์ดิจิทัลชุมชน จ.ระยอง ระหว่างร่วม ครม.สัญจร เร่งชุมชนพัฒนาต่อยอดการใช้ประโยชน์จากศูนย์ฯ
“พุทธิพงษ์” เยี่ยมชมผลสำเร็จศูนย์ดิจิทัลชุมชน จ.ระยอง ระหว่างร่วม ครม.สัญจร เร่งชุมชนพัฒนาต่อยอดการใช้ประโยชน์จากศูนย์ฯ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ตรวจราชการ และเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ จ.ระยอง ระหว่างวันที่ 24-25 สิงหาคม 2563 ในโอกาสนี้ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เยี่ยมชมตัวอย่างความสำเร็จของโครงการเน็ตประชารัฐ และศูนย์ดิจิทัลชุมชนใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ศูนย์ดิจิทัลชุมชน อบต.กะเฉด อ.เมือง จ.ระยอง, วิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่าง หมู่ที่ 6 ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง และจุดติดตั้งเน็ตประชารัฐ ในพื้นที่หมู่ 5 บ้านเกษตรศิริ ต.สำนักทอง อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ให้ความมั่นใจเดินหน้าสนับสนุนการขยายจำนวนศูนย์ดิจิทัลชุมชนครอบคลุม 250 แห่งในปีนี้ และตั้งเป้าเพิ่มต่อเนื่องปีต่อไป หวังเป็นพื้นที่การเรียนรู้ของเยาวชนและคนในพื้นที่ เข้าถึงความรู้ใหม่ๆ และประยุกต์ใช้ในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจชุมชน
ในการนี้ รัฐมนตรีฯ ได้มีข้อสั่งการให้ดำเนินการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากศูนย์ดิจิทัลชุมชน ที่นอกเหนือจากการอบรมให้ความรู้และการชายสินค้าออนไลน์ ควรเพิ่มในเรื่องของการท่องเที่ยว การสาธารณสุข และความรู้ในท้องถิ่น การค้นคว้าหาความรู้ โดยมุ่งเน้นความเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป อีกทั้ง เร่งรัดพัฒนาเชิงรุกให้ชุมชนการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐ ได้สะดวกและง่ายขึ้น
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ประชุมขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำ "ใช้ศาสตร์และศิลป์ ใช้ความรู้คู่ประสบการณ์ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน" | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
มท. ประชุมขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำ "ใช้ศาสตร์และศิลป์ ใช้ความรู้คู่ประสบการณ์ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน"
มท. ประชุมขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำ "ใช้ศาสตร์และศิลป์ ใช้ความรู้คู่ประสบการณ์ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน"
วันนี้ (16 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. ที่ห้องวายุภักดิ์ 3-4 โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดและมอบนโยบายในการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหาระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมรับฟัง
.
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ที่ต้องดูแลและขับเคลื่อนทุกภารกิจและนโยบายรัฐบาลในส่วนภูมิภาค โดยต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ความรู้คู่ประสบการณ์ ในการวางแผน ยุทธศาสตร์จังหวัด และกำหนดแนวทางขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกคนอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งที่ประจักษ์ชัดที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คือ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สามารถบูรณาการหน่วยงานสาธารณสุขและทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการสกัดกั้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์กับต่างประเทศ เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดียิ่ง
.
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวต่อว่า จากผลการบริหารจัดการสถานการณ์การแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นแนวทางที่สามารถประยุกต์ใช้และถอดบทเรียนเพื่อเป็นแนวทางรับมือสถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งปัญหายาเสพติดและสาธารณภัยต่าง ๆ และเน้นย้ำนโยบายสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งอุบัติเหตุถือเป็นภัยคุกคามชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดเป็นภารกิจและยุทธศาสตร์สำคัญของจังหวัดที่ต้องดำเนินการ โดยใช้กลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มากำหนดแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าหมายให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุลดลงร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ตามปฏิญญาสต็อกโฮล์ม รวมทั้งกำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดงบประมาณสนับสนุนดูแลความปลอดภัยทางถนน ทั้งสัญญาจราจร เครื่องหมายจราจร และไฟส่องสว่าง เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนถนนในความดูแลของ อปท. 2) การจัดที่ดินทำกินให้ประชาชน ถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นของประชาชน เพื่อประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินในการสร้างรายได้ให้ครอบครัวและชุมชน จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับเจ้าหน้าที่เร่งเดินสำรวจแปลงที่ดิน และใช้กลไกทางกฎหมายมาแก้ปัญหาให้ประชาชน เพื่อสามารถมีรายได้จากการใช้ประโยชน์ที่ดิน นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และเศรษฐกิจปากท้องของคนในชุมชน 3) การเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ซึ่งในปัจจุบันเข้าสู่หน้ามรสุม และจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าในช่วง 2-3 วันนี้ จะเกิดฝนตกหนัก คลื่นลมแรง และคลื่นสูงในหลายจังหวัด จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเตรียมการรับมือโดยปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ และแผนการบริหารจัดการน้ำในการ "สร้างที่ให้น้ำอยู่ ทำทางให้น้ำไหล" รวมทั้งใช้หอกระจายข่าวหมู่บ้าน/ชุมชน ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนและสร้างการรับรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสียชีวิตและทรัพย์สิน
.
จากนั้น ในเวลา 10:50 น. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยกล่าวถึงนโยบายสำคัญ ได้แก่ 1) การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยนำการท่องเที่ยวมาเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งหัวใจของการท่องเที่ยว คือ การบริหารข่าวและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจ เพราะการท่องเที่ยวเป็นความรู้สึก ถ้าคนรู้สึกมั่นใจ ก็จะไปเที่ยว และเกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชน 2) การขับเคลื่อน "ไทยไปด้วยกัน" เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาในระดับพื้นที่ให้เกิดความสำเร็จ มีหัวใจสำคัญ คือ "การบูรณาการ" โดยต้องนำความรู้และลงไปดูว่าสภาพปัญหาคืออะไร จะแก้ปัญหาร่วมกันอย่างไรเพื่อให้งานสำเร็จเรียบร้อย 3) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ) ต้องทำให้คนในพื้นที่มีความสุข มีเศรษฐกิจดี มีรายได้ มีงานทำ สร้างชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งนี้ การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนต้องตรงกับความต้องการและปัจจัยในพื้นที่ รวมทั้งต้องมีตลาดรองรับผลผลิต 4) โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ขอให้กรมการพัฒนาชุมชนและผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นพี่เลี้ยงในการขับเคลื่อนให้เกิดผลสำเร็จในทุกมิติ 5) โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ขอให้ลงไปส่งเสริมและแนะนำองค์ความรู้ในการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนผ่าน OTOP นวัตวิถี 6) การวางและจัดทำผังเมือง ต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาผ่านการจัดทำผังเมืองในพื้นที่ 7) การดำเนินการของการประปาส่วนภูมิภาค ขอให้บูรณาการร่วมกันในการจัดหาน้ำต้นทุนและบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอกับการอุปโภค บริโภค พื้นที่การเกษตร 8) การดำเนินการขององค์การตลาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมสนับสนุนการระบายผลผลิตและช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้นผ่านโครงการความร่วมมือขององค์การตลาดกับหน่วยงานต่าง ๆ และสุดท้าย ได้เน้นย้ำว่า กลไกกระทรวงมหาดไทยทุกระดับ เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนงานและมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างมีศักยภาพเพื่อให้นโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดกับประชาชน
.
จากนั้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ได้มอบนโยบายและซักซ้อมแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ตามระเบียบ กฎหมาย หลักเกณฑ์ และแนวทางที่กำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและทางราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35139 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยจับมือกลุ่มประเทศอาเซียนจัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 6 คัดสุดยอดหนังอาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น 21 เรื่อง 13 ประเทศ จัดฉายให้ชมฟรี วันที่ 3 - 6 ก.ย. นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
ไทยจับมือกลุ่มประเทศอาเซียนจัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 6 คัดสุดยอดหนังอาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น 21 เรื่อง 13 ประเทศ จัดฉายให้ชมฟรี วันที่ 3 - 6 ก.ย. นี้
ไทยจับมือกลุ่มประเทศอาเซียนจัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 6
คัดสุดยอดหนังอาเซียน จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น 21 เรื่อง 13 ประเทศ จัดฉายให้ชมฟรี วันที่ 3 - 6 ก.ย. นี้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ณ บริเวณห้องโถง ชั้น1 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2563 (Bangkok ASEAN Film Festival 2020) ครั้งที่ 6 โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ผู้บริหารสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560-2564) ที่มุ่งใช้มิติวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทย และผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน โดยในปีนี้ รัฐบาลโดย วธ. ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ หน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2563 (Bangkok ASEAN Film festival 2020) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-6 ก.ย.2563 ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิล์ด ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไปทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส และ งานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์นานาชาติฮ่องกง ประจำปี 2563 โดยได้มีการปรับรูปแบบการจัดงานเป็นแบบออนไลน์ อย่างไรก็ตามจากการประเมินสถานการณ์ในประเทศไทย รัฐบาลมีการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี มีการป้องกันและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนในการปฏิบัติตนเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคอย่างเข้มแข็ง ดังนั้น เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ และแสดงถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมของภาพยนตร์ไทยที่จะเป็น 1 ในอาเซียน วธ.และภาคีเครือข่ายจึงร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ โดยการจัดงานดังกล่าวได้มีการปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางในการเฝ้าระวัง และป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมภายงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนในปีนี้ มีการจัดฉายภาพยนตร์คุณภาพ 21 เรื่อง จาก 13 ประเทศ โดยเป็นภาพยนตร์จากประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และภาพยนตร์จากกลุ่มเอเชียตะวันออก 3 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลี และญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็นภาพยนตร์จัดฉาย ประกอบด้วย
1. ภาพยนตร์อาเซียนฉายโชว์ (SHOWCASE : ASEAN PLUS) ภาพยนตร์จากประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนและจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวม 5 เรื่อง จัดฉายเรื่องละ 1 รอบ ประกอบด้วย (1) ภาพยนตร์เรื่อง Balloon สาธารณรัฐประชาชนจีน กำกับภาพยนตร์โดย Pema Tseden (2) ภาพยนตร์เรื่อง A Girl Missing กำกับภาพยนตร์โดย Koji Fukada จากประเทศญี่ปุ่น (3) ภาพยนตร์เรื่อง The Long Walk กำกับภาพยนตร์โดย Mattie Do จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (4) ภาพยนตร์เรื่อง Rom กำกับภาพยนตร์โดย Tran Thanh Huy จากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (5) ภาพยนตร์เรื่อง The Science of Fictions กำกับภาพยนตร์โดย Yosep Anggi Noen สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
2. การฉายภาพยนตร์ของสายการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) 15 เรื่อง พิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งไทยและต่างประเทศ 3 ท่าน โดยมีรางวัลดังนี้
1. BEST ASEAN SHORT FILM ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD
2. JURY PRIZE ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 1,000 USD
3. SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 500 USD
และภาพยนตร์อาเซียนทรงคุณค่า (ASEAN Classic) เข้าฉาย 1 เรื่อง ได้แก่ น้ำผึ้งพระจันทร์ นำแสดงโดย นายสมบัติ เมทะนี นางสาวเพชรา เชาวราษฎร์ กำกับภาพยนตร์โดย นายชรินทร์ นันทนาคร
นอกจากภาพยนตร์คุณภาพที่นำมาจัดฉายแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกนั้น คือ การประกวดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขนาดยาวอาเซียน (SEA PITCH) : SOUTHEAST ASIAN PROJECT PITCH) คัดเลือกโครงการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว 8 โครงการ โดยคนทำหนังจากภูมิภาคอาเซียนที่มีไอเดียในการผลิตภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโครงการที่ผ่านการคัดเลือกผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะเข้าร่วมอบรมพิเศษออนไลน์ด้านการนำเสนอโปรเจกต์ (Pitching) กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติสองครั้ง เพื่อเตรียมตัวนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะจำนวน 3 รางวัล ได้แก่
1. SEAPITCH Award ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 5,000 USD
2. Runner-Up Prize ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 3,000 USD
3. SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD
และการจัดสัมมนาด้านภาพยนตร์ในหัวข้อ ทิศทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยภายหลังสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม นอกจากนี้จะมีพิธีมอบรางวัลบุคคลเกียรติยศ (Life Time Achievement Award) ให้กับ นางสาวเพชรา เชาวราษฎร์ นักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติของประเทศไทย โดยจะมีพิธีเปิดงานเทศกาลภาพยนตร์ฯ ในวันที่ 3 ก.ย. 2563 ณ โรงภาพยนตร์ MASTER CARD ชั้น 9 SF WORLD CINEMA CENTRAL WORLD และพิธีประกาศรางวัลและปิดเทศกาลในวันที่ 6 ก.ย. 2563 ณ โรงภาพยนตร์ CAT FIRST CLASS ชั้น 8 SF WORLD CINEMA CENTRAL WORLD อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดฉายภาพยนตร์ในงานเทศกาลฯ ครั้งนี้ จะมีบทบรรยายภาษาไทย-อังกฤษ เข้าชมฟรีทุกเรื่องทุกรอบ
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนจองบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้ที่ www.baff.go.th และ www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival ตั้งแต่วันที่ 1ก.ย.นี้ เป็นต้นไป และรับบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่จุดประชาสัมพันธ์เทศกาลฯ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ก่อนรอบฉาย 30 นาที โดยรับบัตร 1 คนต่อ 1 ที่นั่ง ตรวจสอบรอบฉาย และสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call Center 02 2093519 www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival
-----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเพิ่มช่องให้การยื่นแบบรายงาน Disclosure form เป็นเรื่องง่าย upload เป็น Excel File ได้ | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
สรรพากรเพิ่มช่องให้การยื่นแบบรายงาน Disclosure form เป็นเรื่องง่าย upload เป็น Excel File ได้
กรมสรรพากรแนะนำช่องทางใหม่สำหรับการยื่น Disclosure form เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และง่ายกว่าเดิม โดยการ Upload เป็น Excel File
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้มีการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายงาน Disclosure Form สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์) ที่มีวันครบกำหนดการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ในเดือนเมษายน – สิงหาคม 2563 และเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันที่มีรายได้ทั้งหมดตามงบการเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทในรอบระยะเวลาบัญชีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ออกไปเป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้เพิ่มช่องทางการยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของการ Upload เป็น Excel File เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้เสียภาษีสามารถ Download ไฟล์ Excel ต้นแบบ Disclosure Form ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หัวข้อ e-filing”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “TAX from Home ทำให้สามารถประกอบธุรกิจได้ง่ายขึ้น และเป็นการทำธุรกรรมภาษีแบบ Social Distancing ไม่จำเป็นต้องเจอหน้า ไม่มีการรับส่งเอกสาร ไม่มีการจับธนบัตรหรือเช็ค ไม่มีการสัมผัสใดๆซึ่งกันและกัน จึงขอเชิญชวนคนไทยร่วมมือร่วมใจใช้ TAX from Home เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยปลอดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตลอดไป”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคฝ.เผยสถิติผู้ฝาก 6 เดือนแรก รวม 80 ล.ราย ย้ำมาตรการคุ้มครองเงินฝากมั่นคงสูง พร้อมเปิดศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก 1158 และช่องทางออนไลน์ให้ข้อมูลการคุ้มครองแก่ประชาชน | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
สคฝ.เผยสถิติผู้ฝาก 6 เดือนแรก รวม 80 ล.ราย ย้ำมาตรการคุ้มครองเงินฝากมั่นคงสูง พร้อมเปิดศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก 1158 และช่องทางออนไลน์ให้ข้อมูลการคุ้มครองแก่ประชาชน
สคฝ. เผยสถิติผู้ฝาก 6 เดือนแรก รวม 80 ล้านราย ย้ำมาตรการคุ้มครองเงินฝากมั่นคงสูง พร้อมเปิดศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก 1158 และช่องทางออนไลน์ให้ข้อมูลการคุ้มครองแก่ประชาชน
#DPA #สถาบันคุ้มครองเงินฝาก #คุ้มครองทุกจังหวะชีวิต
กรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2563 – สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA เสริมความมั่นใจการคุ้มครองเงินฝากในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ย้ำมาตรการการคุ้มครองเงินฝากที่เป็นบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทภายในประเทศ ครอบคลุมบัญชีของผู้ฝากที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองทั้ง 35 แห่ง ซึ่งหากสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองถูกปิดกิจการ สคฝ. จะคืนเงินฝากภายใน 30 วัน โดยข้อมูลในช่วงครึ่งปี 2563 ระหว่างเดือน มกราคม ถึง มิถุนายน พบว่า ประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง มีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูล ณ สิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อยมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มเติมได้ที่ www.dpa.or.th ศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนทั่วทุกมุมโลก โดย สคฝ. มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝาก ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินภายใต้กฎหมาย ว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากทั้ง 35 แห่ง ซึ่งจะคุ้มครองทันทีในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน ในบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 1. เงินฝากกระแสรายวัน 2. เงินฝากออมทรัพย์ 3. เงินฝากประจำ 4. บัตรเงินฝาก และ 5. ใบรับฝากเงิน อย่างไรก็ตาม ในกรณีสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองดังกล่าว สามารถครอบคลุมการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนของผู้ฝาก 80.51 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.63 ของผู้ฝากทั้งระบบ สำหรับเงินฝากที่เกินวงเงินการคุ้มครอง ผู้ฝากมีโอกาสได้รับเงินฝากคืนเพิ่มเติม จากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการภายหลัง
จากข้อมูลสถิติการฝากเงินในสถาบันการเงิน ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเงินฝากย้อนหลัง 3 ปี พบแนวโน้มจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองของระบบสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2560 – 2562 มีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง จำนวน 12.54 ล้านล้านบาท 13.02 ล้านล้านบาท และ 13.56 ล้านล้านบาท ตามลำดับ และจากข้อมูลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน พบว่าประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และมีจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูลเมื่อสิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อยที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท
จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันปริมาณเงินฝากมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ฝากเกือบทุกกลุ่ม โดยปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่ม “ผู้ฝากบุคคลธรรมดา” และ “ผู้ฝากภาคธุรกิจ องค์กรภาครัฐ และกองทุนต่าง ๆ” อีกทั้งมีการขยายตัวในทุกระดับวงเงินฝาก โดยเกือบครึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในระดับเงินฝากวงเงินสูงกว่า 25 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จากปริมาณเงินฝากที่ขยายตัวในอัตราสูง เป็นผลมาจากความผันผวนในตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนมาเข้าเงินฝากมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเงินฝากมีความปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นในตลาดเงินที่ผลตอบแทนลดลง และยังมีแนวโน้มการออมเพื่อสำรองการใช้จ่ายในอนาคต
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลผลตอบแทนตามประเภทสินทรัพย์เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่าง 2553 – 2562 พบว่า ผลตอบแทนการฝากเงินประเภทออมทรัพย์อยู่ที่ร้อยละ 0.72 ประเภทฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ร้อยละ 1.88 ประเภทพันธบัตร 3 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.41 ทองคำอยู่ที่ร้อยละ 2.31 JUMBO25 (หุ้น) อยู่ที่ร้อยละ 10.01 ทั้งนี้ แม้ว่าการฝากเงินยังเป็นช่องทางที่มั่นคงและมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ฝากยังสามารถพิจารณาการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง โดยต้องพิจารณาและศึกษาการจัดสรรสินทรัพย์อย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยในการบริหารการเงินอย่างยั่งยืน ขณะนี้ สคฝ. อยู่ระหว่างการศึกษาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพิจารณาขยายการคุ้มครองในอนาคต นายทรงพล กล่าวทิ้งท้าย
ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ สามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ www.dpa.or.th ศูนย์บริหารให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนติดต่อ
เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ – JC&CO PUBLIC COMMUNICATIONS –
ชิดชนก ทองดี / +6698-494-9351 / [email protected]
ปัณณทัต กิตติพงศ์ยิ่งยง / 6662-445-9966 / [email protected]
** MEDIA HOTLINE: 063-641-9549 (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์) **
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 15 กันยายน 2563 | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 15 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 15 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 15 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อ 5 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่3 ราย และเคยมีประวัติป่วยโควิดมาแล้ว 2 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ (ญี่ปุ่น 1 ราย, ปากีสถาน 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย, บาห์เรน 1 ราย, ซาอุดิอาระเบีย 1 ราย) ได้รับการคัดกรองที่ด่านท่าอากาศยาน, เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวทางเลือก หรือโรงพยาบาลรัฐ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 3 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,315 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.26 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 107 ราย หรือร้อยละ 3.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,480 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ญี่ปุ่น 1 รายเป็นหญิงไทย อายุ 33 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 9 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 12 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว)ไม่มีอาการ
ปากีสถาน 1 รายเป็นชายไทย อายุ 19 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 13 กันยายน 2563 ได้รับการคัดกรองที่ด่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบเริ่มป่วยวันที่ 6 กันยายน 2563 มีน้ำมูก อาเจียน และทำการตรวจหาเชื้อในวันที่ 13 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อ ส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ
กาตาร์ 1 รายเป็นชาย สัญชาติอิหร่าน อายุ 35 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางถึงประเทศไทยวันที่
13 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในโรงพยาบาลทางเลือก ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกในวันที่ 13 กันยายน 2563 ไม่มีอาการตรวจเชื้อครั้งที่ 1 วันที่ 30 สิงหาคม 2563 เนื่องจากให้ประวัติติดเชื้อเมื่อเดือนมิถุนายน ผลไม่พบเชื้อ และได้รับการ
บาห์เรน 1 รายเป็นชายไทย อายุ 63 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ในจังหวัดชลบุรี ได้รับการตรวจหาเชื้อในครั้งที่ 2 วันที่ 11 กันยายน 2563
ผลไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำในวันที่ 14 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย
ซาอุดีอาระเบีย 1 รายเป็นเพศชาย อายุ 40 ปี สัญชาติอังกฤษ อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 1 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือกในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 13 กันยายน 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว) เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร ไม่มีอาการ รายนี้มีประวัติการป่วยตรวจพบเชื้อโควิด ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การที่ประเทศไทยสามารถติดตามผู้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วทำให้จำกัดวงการแพร่ระบาดได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประชาชนร่วมมือลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ผ่านแอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ซึ่งขณะนี้มีผู้ใช้บริการแล้ว 44,884,100 คน โดยมีกิจการร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วม จำนวน 288,824 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือของประชาชนที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น นอกจากจะช่วยป้องกันโรคโควิด 19 ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่นๆ และโรคติดต่อทางเดินอาหารด้วย จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ตั้งแต่ เดือนมกราคม – สิงหาคม 2562 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ จำนวน 250,886 ราย เสียชีวิต 17 ราย ซึ่งในช่วงเดียวกันของปี 2563 มีผู้ป่วยจำนวน 108,833 ราย เสียชีวิต 3 ราย ส่วนผู้ป่วยโรคท้องร่วง ในปี 2562 มีจำนวน 743,934 ราย เสียชีวิต 5 ราย ในปี 2563 มีจำนวน 569,664 ราย เสียชีวิต 2 ราย จากข้อมูลจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่ามาตรการป้องกันตนเองสามารถช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคทั้ง 2 กลุ่ม กระทรวงสาธารณสุขจึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่องเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี และลดอัตราการป่วยจากโรคดังกล่าว
จากมาตรการป้องกันตนเองที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคโควิด 19 จนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติแล้ว ยังสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ระบุไว้ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ว่า “การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหะสถานนั้น เป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ในการลดความเสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเดินหายใจ โดยยังต้องรักษาสุขอนามัยร่วมกับการล้างมือให้ถูกวิธี และการรักษาระยะห่างจากผู้อื่นให้เป็นปกติสม่ำเสมอ” ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศนำมาตรการนี้ไปบังคับใช้กับประชากรในประเทศให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิดในชุมชน
********************* 15 กันยายน 2563
*********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35107 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดให้ ไฟเขียว ธพว.ขยายเกณฑ์สินเชื่อ “Extra Cash” เปิดกว้าง ‘บุคคลธรรมดา-นิติบุคคล’ คาดพา SMEs ถึงแหล่งทุนกว่า 5 พันราย | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
รัฐบาลจัดให้ ไฟเขียว ธพว.ขยายเกณฑ์สินเชื่อ “Extra Cash” เปิดกว้าง ‘บุคคลธรรมดา-นิติบุคคล’ คาดพา SMEs ถึงแหล่งทุนกว่า 5 พันราย
รัฐบาลไฟเขียว ธพว. ขยายกลุ่มเป้าหมายช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายใต้โครงการ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” เปิดกว้างบุคคลธรรมดา นิติบุคคลเข้าถึงแหล่งทุน วงเงินกู้สูงสุดถึง 3 ลบ.ทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี
รัฐบาลไฟเขียว ธพว. ขยายกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายใต้โครงการ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” เปิดกว้างบุคคลธรรมดา นิติบุคคลเข้าถึงแหล่งทุน วงเงินกู้สูงสุดถึง 3 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน คาดจะพาเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนได้ไม่น้อยกว่า 5,000 ราย
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ที่เห็นชอบปรับปรุงขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ผ่านโครงการ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” วงเงิน 9,600 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ กำหนดคุณสมบัติกู้ สำหรับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ในภาคการผลิตที่มีการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี ภาคการค้าและบริการ ที่มีการจ้างงานไม่เกิน 30 คน หรือรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้นำไปใช้เสริมสภาพคล่อง และ/หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ มีจุดเด่นคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ กลุ่มบุคคลธรรมดา คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR+2% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท (บุคคลธรรมดาจด VAT สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท) กลุ่มนิติบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR+1% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยทั้งสองกลุ่ม เมื่อรวมกับสินเชื่อทุกประเภทที่มีอยู่กับ ธพว. แล้วต้องไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน และที่สำคัญไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยจะเปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินโครงการ แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน
“สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างรุนแรง ทำให้แทบทุกธุรกิจเกิดการสะดุด หรือบางรายถึงขั้นหยุดชะงัก รัฐบาลจึงอนุมัติให้ ธพว. ขยายกลุ่มเป้าหมายการช่วยเหลือครอบคลุมทุกธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียน ช่วยเสริมสภาพคล่อง ช่วยให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ คาดจะพาเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนได้ไม่น้อยกว่า 5,000 ราย” นางสาวนารถนารี กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อจะให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ได้ง่ายและกว้างขวาง ธพว. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมลงพื้นที่เดินตลาดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการพาเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก รวดเร็ว ครบถ้วนในจุดเดียว รูปแบบ One stop service หากเอกสารพร้อมรู้ผลอนุมัติใน 15 วัน
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจใช้บริการสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น รวมถึง สาขาของ ธพว. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34931 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ลุยด่านพรมแดนสระแก้ว เช็คมาตรการคุมเข้มต่างด้าว ช่วยเร่งธุรกิจฟื้นตัวจากโควิด | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ลุยด่านพรมแดนสระแก้ว เช็คมาตรการคุมเข้มต่างด้าว ช่วยเร่งธุรกิจฟื้นตัวจากโควิด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ด่านศุลกากรคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ประชุมหารือผู้ประกอบการในพื้นที่เกี่ยวกับมาตรการการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดนภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย ป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด - 19
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อประชุมหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ เรื่อง การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวภายหลังการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาด และยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19) ณ ห้องประชุมด่านศุลกากรคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย มีนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ให้การต้อนรับ โดยรมว.แรงงานกล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้มาประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบคุมเข้มการลักลอบเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยของแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ในระลอก 2 ซึ่งในวันนี้ผมจึงได้ลงพื้นที่มาประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาและกำหนดมาตรการในการกำชับให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจตราตามแนวชายแดน และตั้งจุดตรวจสกัดกั้นการลักลอบเข้ามาในประเทศไทย
นายสุชาติกล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อมารับฟังสภาพปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ในประเด็นต่างๆ อาทิ การเปิดตลาดโรงเกลือ การขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวภายหลังการผ่อนคลาย การบังคับใช้มาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาด และยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ตามแนวตะเข็บชายแดน ว่าจะมีวิธีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาอย่างไร รวมทั้งการกำหนดสถานที่กักตัว 14 วัน การตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ว่าจะมีสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ที่ใดบ้าง โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจะรับสมัครผู้สนใจเสนอสถานที่กักกัน (Alternative Local Quarantine : ALQ) เพื่อกักกันแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาที่จะเข้ามาทำงานตามระบบเอ็มโอยู ปัจจุบันอยู่ระหว่างตรวจสอบมาตรฐานของสถานที่ และการกำหนดวิธีการดำเนินการอย่างไรบ้าง
รมว.แรงงานยังกล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อทำงานในภาคเกษตรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการทำงานในไร่อ้อย นายมนตรี ดำพล นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา แจ้งความต้องการแรงงานเพื่อมาทำงานตัดอ้อย ประมาณ 10,000 คน หากไม่สามารถหาแรงงานมาดำเนินการตัดอ้อยได้จะเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ ชาวสวนลำไย ซึ่งมีพื้นที่ทำสวน ประมาณ 58,000 ไร่ ก็มีความต้องการแรงงาน ประมาณ 1,000 คนเช่นกัน แต่จะขอใช้แรงงานกัมพูชาจากจังหวัดจันทบุรีซึ่งมีความชำนาญในการเก็บลำไย มาเก็บลำไยในพื้นที่จังหวัดสระแก้วส่วนการเฝ้าระวังการลักลอบเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์และตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวอย่างสม่ำเสมอ หากตรวจพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ กองกำลังบูรพา จัดชุดตรวจ ลาดตระเวน แนวชายแดนไทย – กัมพูชา อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันมิให้แรงงานกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศ ส่วนการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว สำนักงานจัดหางานจังหวัดสระแก้วได้บูรณาการร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้วในการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดทำหน้าที่คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานเป็นช่างฝีมือ ผู้ชำนาญสระแก้ว เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วหลายครั้งรวมแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการตรวจมากกว่า 1,000 คน ซึ่งปรากฎว่าไม่พบผู้ติดเชื้อแต่อย่างใด
“จังหวัดสระแก้ว มีพื้นที่ติดชายแดนกัมพูชา มีการใช้แรงงานต่างด้าวอยู่ที่ประมาณ 12,000 – 22,000 คน เป็นแรงงานที่นำเข้ามาทำงานตามเอ็มโอการ ครูสอนภาษา และแรงงานภาคเกษตร ซึ่งเป็นแรงงานจำนวนมากที่สุด แบ่งเป็น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ก่อนสถานการณ์โควิด –19 จำนวน 21,205 คน และในปัจจุบันเดือนกันยายน 2563 จำนวน 2,746 คน ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้จะทำให้รับทราบสภาพปัญหาจากผู้ประกอบการภาคเอกชนโดยตรงเกี่ยวกับความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว รวมทั้งขั้นตอนการกักตัวและสถานที่กักตัวตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวจากโควิดโดยเร็ว”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ผลักดันศูนย์บริการทางการกีฬาพร้อมกัน 4 ภาคทั่วประเทศ กำชับป้องกันการใช้สารต้องห้ามอย่างเคร่งครัด | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ผลักดันศูนย์บริการทางการกีฬาพร้อมกัน 4 ภาคทั่วประเทศ กำชับป้องกันการใช้สารต้องห้ามอย่างเคร่งครัด
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ผลักดันศูนย์บริการทางการกีฬาพร้อมกัน 4 ภาคทั่วประเทศ กำชับป้องกันการใช้สารต้องห้ามอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (26 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬา แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 9/2563 โดยที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ การทบทวนแผนยุทธศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2564-2570) พร้อมแผนยุทธศาสตร์ด้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลูกค้าการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2564-2570 และแผนแม่บทด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของ กกท. พ.ศ. 2564-2570 ผลการศึกษาโครงการยกระดับการให้บริการของกกท. (SMART NATIONAL SPORT PARK) และแนวทางการป้องกันการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา เป็นต้น
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมเร่งรัดให้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารการจัดการศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาโดยเฉพาะความพร้อมของบุคลากรที่เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลนักกีฬาในภาพรวมได้ โดยให้จัดทำโปรแกรมการวิเคราะห์การฝึกซ้อมของนักกีฬาและนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ในการแก้ปัญหา เพื่อให้นักกีฬามีความพร้อมในการแข่งขัน รวมทั้งกำกับและติดตามโครงการการก่อสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยรองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการจัดตั้งศูนย์บริการทางการกีฬา 4 ภาคทั่วประเทศ พร้อมกัน เน้นดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎระเบียบตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมกำชับป้องกันการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาอย่างรูปธรรมทั้ง เนื่องจากการใช้สารต้องห้ามเป็นประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวโยงถึงความเชื่อมั่นของประเทศ จึงต้องมีการอบรมให้ความรู้ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการป้องกัน ต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในระดับภูมิภาคต่อไป
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ เยือนเมืองสามอ่าว มอบการบ้าน หน.ส่วนสังกัด ก.แรงงาน | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ เยือนเมืองสามอ่าว มอบการบ้าน หน.ส่วนสังกัด ก.แรงงาน
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมมอบนโยบายกระทรวงแรงงาน ปี 2564 แก้ปัญหาด้านแรงงานในทุกมิติ
วันนี้(11ก.ย. 63)นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ณสํานักงานแรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยนางธิวัลรัตน์กล่าวว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการกระทรวงแรงงานประจำปีงบประมาณ2564โดยมีนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรมภายใน3เดือนได้แก่1)มาตรการเยียวยาโดยการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาเพื่อให้ผู้ประกันตนตามมาตรา33สัญชาติไทยที่ส่งเงินสบทบไม่ครบ6เดือนภายใน15เดือนมาตราการลดอัตราเงินเดือนเงินสบทบกองทุนประกันสังคมให้นายจ้างและผู้ประกันตนจากเดิมฝ่ายละร้อยละ5เหลือร้อยละ2ของค่าจ้างเป็นระยะเวลา3เดือนตั้งแต่เดือนกันยายน–พฤศจิกายน2563มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการที่กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานโดยปลอดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา12เดือนและมาตรการเชิงรุกให้ลูกจ้างที่ว่างงานได้รับสิทธิประโยชน์โดยเร็วโดยบูรณาการร่วมกันเฝ้าระวังสถานประกอบกิจการที่คาดว่าจะเลิกจ้างเพื่อให้จ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานกฎหมายประกันสังคม2)การแก้ปัญหาในแนวทางที่ยั่งยืนโดยการสนับสนุนการจ้างงานออกกฎหมายการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์3)สร้างแรงจูงใจในการจ้างงานโดยการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานสากลมีมาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานและการส่งเสริมด้านความปลอดภัยในการทำงาน4)หน่วยงานของรัฐมีการจ้างงานคนรุ่นใหม่และผู้ไม่เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยในวันที่26 – 28กันยายนนี้จะมีการจัดงานJOB EXPO THAILAND 2020ภายในงานพบกับนิทรรศการต่างๆเกี่ยวกับการฝึกอาชีพตำแหน่งว่างงานมากกว่า1ล้านตำแหน่งนอกจากนี้มีการจัดทำPlatformไทยมีงานทำ.comด้วย
โดยในระดับจังหวัดขอให้ร่วมกันทำงานติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะจำนวนแรงงานและสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนาเพื่อที่จะได้เข้าช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนอกจากนี้ขอให้แรงงานจังหวัดในฐานะผู้แทนกระทรวงในภูมิภาคทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในทุกด้านทั้งการจัดทำแผนปฏิบัติการการจัดทำข้อมูลแรงงานในระดับจังหวัดการร่วมมือทำงานกับหน่วยงานในจังหวัดและภาคีเครือข่ายรวมทั้งอาสาสมัครแรงงานและบัณฑิตแรงงานซึ่งเป็นตัวเชื่อมประสานการให้บริการของกระทรวงแรงงานสู่ชุมชนแม้ว่าในสถานการณ์ขณะนี้จัดหางานจังหวัดจะต้องเร่งประสานนายจ้างเพื่อหาตำแหน่งงานว่างก็ขอให้หัวหน้าส่วนราชการทุกคนร่วมสนับสนุนการทำงานของจัดหางานจังหวัดด้วย”
หลังจากนั้นนางธิวัลรัตน์ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสํานักงานแรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สํานักงานจัดหางานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สํานักงานประกันสังคมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานประจวบคีรีขันธ์อีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
11กันยายน2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35017 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.