title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้เจลล้างมือ
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 การใช้เจลล้างมือ กรมอนามัยส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพดี 1.ใช้ครั้งแรกควรทดสอบการแพ้ก่อน สังเกตความผิดปกติ เช่น มีผื่นแดง ปวดแสบ ปวดร้อน บวม ให้หยุดใช้ 2.เทเจลล้างมือ 2-3 ซีซี. เทลงใส่ฝ้ามือถูให้ทั่วทั้ง 2 มือ นาน 20 วินาที และปล่อยให้แห้ง 3.ควรเก็บเจลล้างมือในภาชนะปิดสนิท ไม่ถูกแสงแดดหรืออยู่บริเวณที่ร้อน เพราะจะทำให้แอลกอฮอล์ระเหยเสื่อมคุณภาพ ข้อควรระวัง 1.หลีกเสี่ยงเปลวไฟหากมือยังไม่แห้ง เพราะเจลล้างมือจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก 2.ไม่ควรใช้เจลล้างมือกับเด็กทารก 3.ไม่ควรใช้เจลล้างมือในบริเวณบอบบาง เช่น รอบดวงตา หรือผิวอักเสบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34801
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรครองแชมป์คว้ารางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม ปี 2563
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 กรมสรรพากรครองแชมป์คว้ารางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม ปี 2563 กรมสรรพากรคว้ารางวัลหน่วยงานราชการ “เลิศรัฐยอดเยี่ยม” ในปี 2563 และยังกวาดอีก 4 รางวัลเลิศรัฐ 3 สาขา ได้แก่ ด้านสาขาการบริการภาครัฐ 1 รางวัล สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม 1 รางวัล และสาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 2 รางวัล กรมสรรพากรคว้ารางวัลหน่วยงานราชการ “เลิศรัฐยอดเยี่ยม” ในปี 2563 และยังกวาดอีก 4 รางวัลเลิศรัฐ 3 สาขา ได้แก่ ด้านสาขาการบริการภาครัฐ 1 รางวัล สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม 1 รางวัล และสาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 2 รางวัล ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ได้ประกาศผลการพิจารณารางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 โดยให้กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานเดียวที่ได้รับ “รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม” ในปีนี้ ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูหน่วยงานที่ได้มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง นอกจากนั้นกรมสรรพากรยังได้คว้ารางวัลเลิศรัฐอีก 4 ประเภท ใน 3 สาขา ประกอบด้วย 1. สาขาการบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น 1 รางวัล จากผลงาน “น้องอารี” ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร เพื่อพัฒนาและยกระดับการให้บริการตอบคำถามด้านภาษีอากรแก่ประชาชน โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล (ปัญญาประดิษฐ์ : AI) นำมาสู่การออกแบบและพัฒนาให้ผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง (Taxpayer Centric) 2. สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น 1 รางวัล รางวัลประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาการบริหารราชการให้เป็นระบบราชการแบบเปิด ส่งเสริมให้ผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการให้ข้อมูล (Inform) และรับฟังความคิดเห็น (Consult) 3. สาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 2 รางวัล ได้แก่ 3.1 รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 สะท้อนความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์การที่แสดงถึงขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย โดยพัฒนาระบบการบริหารจัดการได้อย่างมีมาตรฐาน สามารถสร้างคุณค่า นวัตกรรม และทันต่อโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง และมุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 3.2 รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ในด้านความเป็นผู้นำองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการบริหารและการกำกับดูแลองค์กรของผู้นำองค์กรและการสร้างคุณูปการ ต่อสังคมที่ทำให้กรมสรรพากรบรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรได้เห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อขับเคลื่อนหน่วยงานสู่องค์กรดิจิทัลมากว่า 2 ปี และด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทุกท่าน ทำให้กรมสรรพากรได้รับรางวัลในระดับประเทศในครั้งนี้ รางวัลนี้เป็นสิ่งสะท้อนให้ผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยทั่วไป มั่นใจได้ว่ากรมสรรพากรจะมุ่งมั่นพัฒนาการบริการประชาชนด้านภาษีให้เป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงมีความโปร่งใส และเป็นธรรม ผู้เสียภาษีและภาคธุรกิจสามารถเดินหน้าตามวิถีใหม่ ( New Normal) ในทุกมิติของความเปลี่ยนแปลง” สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center)โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย ข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19 และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรีพร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย ข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19 และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีพร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย ข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19 และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้ (31 ส.ค. 63) เวลา 09.30 น. ณ ห้องเอสแคป ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา Global Compact Network Thailand และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤต ประสบการณ์จากสถานการณ์โควิด-19” โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan: NAP) เมื่อปี 2562 โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้ความสำคัญกับ 3 เสาหลัก คือ คุ้มครอง เคารพ และเยียวยา ซึ่งขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมถึงสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเคารพในศักดิ์ศรีของไทย สำหรับหัวข้อ “วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤต ประสบการณ์จากโควิด-19” วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตระดับโลกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ต้องปรับตัวทั้งในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ “New Normal” หรือ “วิถีปกติใหม่” ดังนั้น ผู้นำในทุกองค์กร รวมทั้งภาครัฐบาลจึงต้องพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่โลกใหม่ด้วย รัฐบาลเองก็จะเร่งปรับปรุงวิธีการทำงานให้เป็นแบบ New Normal ผนึกกำลัง นำทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาท เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศไทย ทุกภาคส่วนจะต้องรวมพลังกันเพื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ท่ามกลางวิกฤตนี้ “เราจะต้องรอด และวันหน้า เราต้องเข็มแข็งกว่าเดิม” พวกเราคนไทยจะฝ่าฟันไปด้วยกัน เพราะเราและโลกมีเป้าหมายที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ SDGs ซึ่งเราจะต้องบรรลุให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือปี 2573 รัฐบาลได้จัดตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ทำหน้าที่ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของประชาชนในระดับพื้นที่ และรัฐบาลจะเปิดให้มีการประเมินผลงานภาครัฐ ให้ทุกคนสามารถประเมินผล การทำงานของรัฐว่าสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เขาคาดหวังหรือไม่ รวมทั้ง การทำงานเชิงรุก กำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง และมีประสิทธิภาพสูงสุด วิกฤตการณ์โควิด-19 ตอกย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่มี “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ มี 3 ประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวจากวิกฤต 1. ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง จัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขอย่างเหมาะสม มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมทั่วถึง 2. เตรียมรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหานี้ และบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนโดยจัดเป็นปัญหาเร่งด่วน 3. เป็นโอกาสที่จะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง และวางแผนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “Bio-Circular-Green Economy” หรือ “BCG” คือเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มีแนวทางสำคัญ คือ “การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน” “สร้างความเข้มแข็งจากภายในเชื่อมไทยสู่โลก” และ “เดินหน้าไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนอย่างน้อย 5 มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วภายหลังวิกฤตโควิด-19 คือ ความร่วมแรงร่วมใจอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทุกคน ความร่วมมืออย่างดียิ่งจากมิตรประเทศ และองค์ความรู้และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินการตามมาตรการทั้งหมดของไทย ทำให้ไทยได้รับคำชื่นชมจากสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก รวมถึงได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ว่าสามารถบริหารจัดการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและฟื้นตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก จากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานการประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ให้คำมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้วิถีใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34682
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ร่วมประชุมหารือการดำเนินงานของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา กำหนดทิศทางการให้บริการประชาชน เตรียมมาตรการกระตุ้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องในยุคดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 "อนุชา" ร่วมประชุมหารือการดำเนินงานของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา กำหนดทิศทางการให้บริการประชาชน เตรียมมาตรการกระตุ้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องในยุคดิจิทัล "อนุชา" ร่วมประชุมหารือการดำเนินงานของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา กำหนดทิศทางการให้บริการประชาชน เตรียมมาตรการกระตุ้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องในยุคดิจิทัล วันนี้ (31 ส.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 501-503 ชั้น 5 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมประชุมหารือนโยบายการดำเนินงานของราชบัณฑิตยสภา ร่วมกับ ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา และคณะผู้บริหารราชบัณฑิตยสภา สำหรับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา มีพันธกิจในการค้นคว้า วิจัย และบำรุงสรรพวิชา นำผลงานที่ได้สร้างสรรค์ออกเผยแพร่ให้เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศและประชาชน ให้ความเห็น คำแนะนำ และคำปรึกษาทางวิชาการแก่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ให้บริการทางวิชาการแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญองค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันการศึกษา หน่วยงานของเอกชน และประชาชน ดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดทำพจนานุกรม สารานุกรม อักขรานุกรม อนุกรมวิธานการบัญญัติศัพท์วิชาการสาขาต่าง ๆ รวมทั้งการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วิชาการภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยและงานวิชาการอื่น ๆ รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย การอนุรักษ์ภาษาไทยมิให้แปรเปลี่ยนไปในทางที่เสื่อม การส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้จัดการศึกษาอบรมและพัฒนาทางวิชาการเกี่ยวกับภาษาไทย และภาษาไทยถิ่น โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงประกาศนียบัตร สัมฤทธิบัตร และวุฒิบัตร จากการอบรมและพัฒนาทางวิชาการ ตามข้อบังคับราชบัณฑิตยสภา โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมวันนี้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินงานกับนายกราชบัณฑิตยสภาและคณะ ซึ่งสำนักงานราชบัณฑิตยสภาเป็นองค์กรที่มีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านการเข้าสู่สังคมสูงวัย การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาทางสังคม และด้านอื่นๆ ขณะที่สำนักงานราชบัณฑิตเป็นองค์กรที่ประกอบด้วยปราชญ์หลายด้านที่เป็นคลังสมองของประเทศ ซึ่งจะผลิตองค์ความรู้ที่สามารถช่วยเหลือสังคมได้นอกเหนือจากภารกิจทางด้านภาษาไทยที่เป็นพันธกิจหลักขององค์กร นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงสถานที่ทำการใหม่ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภาว่า อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยจะใช้สถานที่อาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน ที่เป็นกรรมสิทธิของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ คิดค่าเช่าปีละ 100 บาท ระยะเวลาเช่า 30 ปี ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญและได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของความเป็นไทย และมีความเหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นสถานที่ทำงานของนักปราชญ์ของประเทศ โดยจะใช้เป็นอาคารศูนย์ประชุมหลักของราชบัณฑิตยสภาต่อไป ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34699
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดงานนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดงานนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดงานนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมี น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมขึ้น เพื่อนำกระบวนสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยมาพัฒนาศิลปวัฒนธรรมที่มีในชุมชนมาพัฒนาและต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยได้ดำเนินโครงการฯ ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต สุโขทัย และราชบุรี รวมทั้งสิ้น ๓๓ อำเภอ และ ๑ เขตการปกครองพิเศษ รวมทั้งร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ออกบูธให้ความรู้แก่ชุมชนเพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34963
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระวันรัต เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศน์มหาชาติ เฉลิมพระเกียรติฯ
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 สมเด็จพระวันรัต เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศน์มหาชาติ เฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระวันรัต เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศน์มหาชาติ เฉลิมพระเกียรติฯ วันนี้ (‪5 กันยายน 2563) เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมพุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เฝ้าสมเด็จพระวันรัต ในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงาน "เทศน์มหาชาติ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และประชาชนถวายการต้อนรับ ‬ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า งานเทศน์มหาชาตินับเป็นกิจกรรม ทางพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ และถือว่าเป็นคตินิยมที่เชื่อว่าเป็นการนำความรู้มาหล่อหลอมจิตใจ ให้ผู้สนใจได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการทำความดี ละกิเลสทั้งหลายในรูปแบบของการเล่านิทานชาดก และสอดแทรกเรื่องราวทางด้านวัฒนธรรม ประเพณีเข้าด้วยกัน การจัดงานเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้ มหาเถรสมาคมได้เห็นชอบ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยอาราธนาพระสงฆ์ ผู้ทรงภูมิรู้มีความสามารถในการเทศน์ทำนองหลวง มาเป็นองค์แสดงธรรม ซึ่งมีคณะสงฆ์ กระทรวง กรม สำนักงาน ตลอดถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนร่วมเป็นเจ้าภาพ ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงสดับพระธรรมเทศนามหาชาติ เวสสันดรชาดก “กัณฑ์มัทรี 90 พระคาถา ‪ในวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 เวลา 14.00 น.‬ ณ หอประชุมพุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม การจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือ และสนับสนุนจากคณะสงฆ์ หน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนเป็นอย่างดีขึ้น นอกจากนั้น ยังได้รับความเมตตาจากเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ให้การสนับสนุนในการจัดตั้งโรงทานอาหาร น้ำดื่มบริการผู้มาร่วมงานตลอดงาน โดยรายได้ที่เกิดจากกุศลจิตศรัทธาในการจัดงานครั้งนี้ จะได้นำเข้ากองทุนบำรุงรักษาพัฒนาพุทธมณฑลต่อไป ----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตรียมความพร้อมป้องกันข้อมูลสารสนเทศ ลดความเสี่ยงหากถูกโจมตีด้วยไวรัสผ่านไซเบอร์
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 กสร. เตรียมความพร้อมป้องกันข้อมูลสารสนเทศ ลดความเสี่ยงหากถูกโจมตีด้วยไวรัสผ่านไซเบอร์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เตรียมความพร้อมในการป้องกันข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ รับมือต่อการโจมตีด้วยไวรัสประเภท Ransomware เพื่อลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ความปลอดภัยของผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจใช้โจมตีได้ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากกรณีข่าวเหตุการณ์ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลถูกโจมตีด้วย ransomware หรือไวรัสเรียกค่าไถ่ กสร. ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์การโจมตีดังกล่าวไว้ โดยการสร้างความตระหนักรู้แก่บุคลากรให้มีความระมัดระวังในการเปิดไฟล์ที่แนบมาพร้อมกับ Email โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Email ที่ส่งมาจากผู้รับที่ไม่ระบุตัวตน หรือผู้ส่งที่ไม่รู้จัก และกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามลำดับชั้นความลับ และหน้าที่ของบุคลากรเป็นรายคน แบ่งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Zone) ตามลักษณะการให้บริการและการใช้งาน ปิดช่องทางสื่อสารคอมพิวเตอร์ที่เป็นช่องทางในการโจมตีของไวรัส พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการ Update Patch ของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แม่ข่ายเป็นอันดับสูงสุด และจัดให้มีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ รวมถึงมีมาตรการป้องปรามการติดตั้งซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับพนักงานตรวจแรงงานใช้บันทึกผลการตรวจแรงงานและส่งเสริมสวัสดิการ และการตรวจแรงงานในกิจการประมงทะเลที่ใช้งานผ่านแท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภายนอก เพื่อประเมินความเสี่ยง และระบบสั่งตรวจแก่ชุดตรวจบูรณาการ อีกทั้งสามารถสืบค้นประวัติการตรวจแรงงานเพื่อการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเคร่งครัด ดังนั้น หากระบบคอมพิวเตอร์ของกรมถูกโจมตี ย่อมส่งผลกระทบต่อทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรมจึงเตรียมการรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งให้หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศกําชับเจ้าหน้าที่ให้เพิ่มความระมัดระวังในการสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นช่องทางของไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีให้มากที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35013
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” พระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๔ พฤษภา
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” พระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๔ พฤษภา สะท้อนถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานเพื่อจะสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแนวพระราชดำริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการ ล้วนได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอดอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักและเล็งเห็นในคุณค่าของแนวพระราชดำริเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พระองค์ทรงยึดมั่นที่จะสืบสาน รักษาและต่อยอดแนวพระราชดำริต่างๆ เพื่อเป็นแสงสว่าง นำทางตามรอยพระราชปณิธานไปสู่ความผาสุกแก่ประชาชนและประเทศชาติสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจับมือศุลกากรติวเข้มนักลงทุน
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 บีโอไอจับมือศุลกากรติวเข้มนักลงทุน บีโอไอจับมือศุลกากรติวเข้มนักลงทุน เมื่อเร็วๆ นี้นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) หัวข้อ “เคล็ดลับความสำเร็จเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร สำหรับผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน” วิทยากรร่วมบรรยายประกอบด้วย นายขวัญชัย วรกัลยากุล ผู้อำนวยการกองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน บีโอไอ (ที่ 3 จากซ้าย) และนางศุทธิกานต์ กริชไกรวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์บริการศุลกากร กรมศุลกากร (ที่ 2 จากขวา) ซึ่งมีนักลงทุนสนใจเข้าร่วมรับฟัง จำนวนกว่า 400 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พร้อมจ่าย‼️ เบี้ยผู้สูงอายุ - ผู้พิการ วันนี้
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 พร้อมจ่าย‼️ เบี้ยผู้สูงอายุ - ผู้พิการ วันนี้ -- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ฮือฮา! บนดาวศุกร์อาจมีสิ่งมีชีวิต รู้ไว้..ห้ามนำ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” เข้าประเทศ ยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการ - ผู้สูงอายุ ทุ่ม 1.9 พัน ลบ. ก้าวสู่ผู้นำเกษตรอินทรีย์อาเซียน เตรียมตั้ง กก.ถาวร ลุยแก้หนี้นอกระบบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35154
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2563
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2563 เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2563 แม้ว่าจะยังคงชะลอตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2563 แม้ว่าจะยังคงชะลอตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจ การคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2563 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2563 แม้ว่าจะยังคงชะลอตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน ที่สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 31.4 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -5.8 สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.1 ต่อปี และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เริ่มปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 42.6 หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ประกอบกับผลของมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ช่วยให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อย่างไรก็ดี ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งยังคงชะลอตัว เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวร้อยละ 9.4 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -3.9 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 13.3 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -15.4 อย่างไรก็ดีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลงร้อยละ -25.8 ต่อปี เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากมูลค่า การส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 20.8 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -11.4 จากการขยายตัวต่อเนื่องในกลุ่มสินค้า 1) สินค้าอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ทูน่ากระป๋อง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และเครื่องโทรสาร เป็นต้น และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบ ไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์ เป็นต้น 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น และ 4) สินค้าเก็งกำไรและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ เช่น ทองคำ เป็นต้น อย่างไรก็ดี สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และยานยนต์ยังคงชะลอตัว ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 17.8 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน 9 ประเทศ หดตัวชะลอลงที่ร้อยละ -17.5 -16.0 และ -19.9 ต่อปีตามลำดับ สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากประเทศคู่ค้าได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีการส่งออกไปจีนกลับมาหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -2.7 ต่อปี เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 1.5 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -14.7 โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 82.5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคระบาดของภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนสามารถกลับมาดำเนินการธุรกิจได้มากขึ้น สำหรับภาคเกษตร ที่สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 1.4 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นผลผลิตในหมวดไม้ผล อาทิ ทุเรียน มังคุด และลำไย สอดคล้องกับผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะไก่เนื้อและไข่ไก่ เป็นต้น ในขณะที่สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ที่มีการระบาดทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยต่อเนื่องเป็นที่ 4 นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -1.0 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 45.8 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 274.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราคายางแผ่นพุ่งสูงสุด ในรอบ 3 ปี 60 บ./กก.
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 ราคายางแผ่นพุ่งสูงสุด ในรอบ 3 ปี 60 บ./กก. วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ราคายางพารายางแผ่นรมควันชั้น 3 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยับขึ้นมากว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และมาตรการส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลได้กำหนดแนวทาง “การตลาดนำการผลิต” เดินหน้าต่อยอดและลดข้อจำกัดผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เจาะตลาดยางเฉพาะกลุ่ม ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ สร้าง “Start Up” ช่วยเหลือแหล่งทุน และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้านวัตกรรมยางพาราครบวงจรของโลก ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้อัตโนมัติต่ออีก 3 เดือน 1 ต.ค. - 31 ธ.ค.63 พร้อมเปิดให้ผู้ประสงค์ออกจากมาตรการ เลือกแผนชำระหนี้ได้ 3 ทางเลือก
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ออมสิน ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้อัตโนมัติต่ออีก 3 เดือน 1 ต.ค. - 31 ธ.ค.63 พร้อมเปิดให้ผู้ประสงค์ออกจากมาตรการ เลือกแผนชำระหนี้ได้ 3 ทางเลือก ธนาคารออมสินเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ที่ยังได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อย่างต่อเนื่อง ขยายเวลาการเปิดให้พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติต่ออีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 ธนาคารออมสินเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ที่ยังได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อย่างต่อเนื่อง ขยายเวลาการเปิดให้พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติต่ออีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 สำหรับผู้ประสงค์จะออกจากมาตรการพักชำระหนี้ สามารถเลือกแผนการชำระหนี้ได้ 3 ทางเลือก เริ่มตั้งแต่ 9 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2563 โดยแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน MyMo นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากการที่สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมถึงธนาคารออมสินพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ โดยที่ผ่านมาธนาคารฯ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแบบอัตโนมัติเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง วันที่ 30 กันยายน 2563 แต่เนื่องจากลูกค้าและประชาชนยังคงได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ธนาคารฯ จึงพิจารณาที่จะออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องด้วยการขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้อัตโนมัติต่อไปอีก 3 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 พร้อมกับเปิดทางเลือกให้ลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะพักชำระหนี้ต่อและต้องการออกจากมาตรการ สามารถเลือกแผนการชำระหนี้ได้ 3 ทางเลือก โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์และเลือกแผนการชำระหนี้ด้วยตัวเองได้ที่แอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2563 นี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 สำหรับแผนการชำระหนี้ 3 ทางเลือก ประกอบด้วย แผนที่ 1 พักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะดอกเบี้ยทั้งจำนวน 100% จากเงินงวดต่อเดือนตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม แผนที่ 2 ชำระดอกเบี้ยปกติทั้งจำนวน 100% และเงินต้น 50% แผนที่ 3 ชำระเงินงวดต่อเดือนตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม โดยเมื่อแจ้งแผนการชำระหนี้ผ่าน MyMo แล้ว จะมีผลในวันถัดไปทันที ทั้งนี้ กรณีที่ลูกค้ามีสัญญาเงินกู้มากกว่า 1 ราย จะต้องให้ผู้กู้หลัก (มีชื่อเป็นผู้กู้ลำดับแรกในสัญญาเงินกู้) เป็นผู้มีสิทธิ์แจ้งความประสงค์ออกจากมาตรการผ่าน MyMo เท่านั้น ส่วนลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนนิติบุคคลให้ไปดำเนินการแจ้งความประสงค์ที่สาขาเจ้าของบัญชี อย่างไรก็ตาม การแจ้งความประสงค์ออกจากมาตรการพักชำระหนี้ในระยะแรก สามารถดำเนินการผ่าน MyMo เท่านั้น โดยลูกค้าที่ขอออกจากมาตรการพักชำระหนี้ต้องปรังปรุง(อัพเดท)แอปพลิเคชัน MyMo เป็นรูปแบบล่าสุด (เวอร์ชั่น 1.34.0) เพื่อให้สามารถเข้าสู่มาตรการและทางเลือกพักชำระหนี้ได้ ขณะเดียวกัน ในอนาคตธนาคารฯ จะได้ขยายไปยังช่องทางอื่นต่อไป โดยลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 และธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิถีชีวิตใหม่ New normal ง่ายๆ มีอะไรบ้างนะ
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 วิถีชีวิตใหม่ New normal ง่ายๆ มีอะไรบ้างนะ มาดูกันเลย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก วันนี้ (5 ก.ย. 63) เวลา 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (โรงเรียนนายร้อย จปร.) ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นระบบการกระจายน้ำเพื่อสนับสนุนโครงการพระราชดำริสวนผลไม้ภาคใต้ของโรงเรียนนายร้อย จปร. โดยมี พ.อ. ตรีบดินทร์ จิตรีศรีอร่าม ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน โรงเรียนนายร้อย จปร. เป็นผู้บรรยายสรุป โครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แห่งนี้ มีหอถังน้ำสูง 30 เมตร ใช้ระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่น้อยกว่า 310 วัตต์ จำนวน 32 แผง สามารถสูบน้ำได้กว่า 100 ลูกบาศก์เมตร กระจายน้ำให้พื้นที่ทางการเกษตรได้จำนวนกว่า 30 ไร่ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 6 กรมทรัพยากรน้ำ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34832
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 รมว.พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 รมว.พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 วันนี้ (8 ก.ย. 63) เวลา 14.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานรับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชน อาทิ 1.บริษัท ซูมิโตโมเคมิคอล (ไทยแลนด์) จำกัด บริจาคมุ้งกันยุงที่ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 250 หลัง รวมมูลค่า 227,375 บาท 2. บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) บริจาค ผลิตภัณฑ์สาหร่ายแปรรูป 380 ลัง รวมมูลค่า 205,385 บาท และ 3. บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มอบรถเข็นสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ จำนวน 15 คัน รวมมูลค่า 41,850 บาท รวมทั้งรับมอบเงินบริจาคจากสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โครงการจิตอาสา สธค. ร่วมกับพันธมิตรภายใต้กระทรวง พม. (CSR) เพื่อนำไปจัดซื้อรถเข็นสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค - 19) ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กทม. นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของรัฐบาลตนขอขอบคุณภาคเอกชนที่เข้ามาช่วยเหลือสังคมไทยในวันนี้ ซึ่งขณะนี้ ทุกชาติในโลกต่างยังไม่พ้นจากวิกฤติโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันกระทรวง พม. ยิ่งมีการลงพื้นที่มากเท่าไหร่ยิ่งจะเจอผู้ที่ประสบความทุกข์ยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะเด็ก คนพิการและผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งในส่วนของรถเข็นสำหรับคนพิการและผู้สูง อาหาร และมุ้งกันยุง นับเป็นประโยชน์กับผู้ที่ไม่มีเป็นอย่างมาก โดยกระทรวง พม. จะเร่งนำไปมอบให้ถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างเร็วที่สุด เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อน และอยู่ในภาวะยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคาร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. และโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ลั่น สินค้า มอก. ต้องตรวจสอบได้ แจ้งผู้รับอนุญาตกว่า 10,000 ราย แสดง QR Code คู่กับเครื่องหมายมาตรฐาน มอก.
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 สมอ. ลั่น สินค้า มอก. ต้องตรวจสอบได้ แจ้งผู้รับอนุญาตกว่า 10,000 ราย แสดง QR Code คู่กับเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. ​สมอ. แจ้งผู้รับอนุญาตกว่า 10,000 ราย ให้ใช้ QR Code แสดงรายละเอียดข้อมูลสินค้า และข้อมูลในใบอนุญาต คู่กับเครื่องหมายมาตรฐานบนสินค้า เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบสินค้าผ่านมือถือ ก่อนมีผลบังคับใช้ 21 มกราคม 2564 นี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายเน้นให้หน่วยงานในสังกัดนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล สมอ. เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการออกใบอนุญาต มอก. ได้นำระบบ e-License มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต ล่าสุดให้ สมอ. แจ้งผู้รับอนุญาตแสดง QR Code คู่กับเครื่องหมายมาตรฐาน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ การทำ วิธีแสดง และการใช้เครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2563 ที่กำหนดให้ผู้รับอนุญาตทุกราย ต้องแสดงรายละเอียดข้อมูลในใบอนุญาต และข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ได้รับใบอนุญาตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ คู่กับเครื่องหมายมาตรฐาน ที่สินค้า หรือ สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อด้วยก็ได้ โดยให้เห็นได้ง่ายและชัดเจน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้าดี มีคุณภาพ และได้มาตรฐานหรือไม่ นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. ทั้งที่เป็นผู้ทำในประเทศ และผู้นำเข้ากว่า 10,000 ราย จำนวนใบอนุญาตกว่า 80,000 ฉบับ ครอบคลุม 750 มาตรฐาน ซึ่งตาม พ.ร.บ.มาตรฐานฯ และกฎกระทรวงฉบับใหม่ กำหนดให้ผู้รับอนุญาตทุกรายจะต้องแสดงรายละเอียดข้อมูลในใบอนุญาต และข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ได้รับใบอนุญาตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ คู่กับเครื่องหมายมาตรฐานที่สินค้าด้วย สมอ. จึงได้จัดทำเป็น QR Code เพื่อให้ผู้รับอนุญาตนำไปแสดงบนสินค้าที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายละเอียดของสินค้าได้ง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ก่อนตัดสินใจซื้อ รวมทั้ง เป็นข้อมูลในการตรวจสอบหรือร้องเรียนในกรณีที่สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานตามที่ระบุไว้ สำหรับการเตรียมความพร้อมในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ก่อนถึงวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ สมอ. ได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงผู้รับอนุญาตตามกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้าส่องสว่างและไฟฟ้ากำลัง คอนกรีต วัสดุก่อสร้าง เซรามิก ยานยนต์และโภคภัณฑ์ และของเล่น เป็นต้น ตั้งแต่วันที่ 1 - 24 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุม 200 อาคาร สมอ. รวมทั้งสิ้นกว่า 30 รอบ โดยผู้รับอนุญาตสามารถดูรายละเอียด และสมัครเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงได้ที่ กองควบคุมมาตรฐาน โทร. 0 2202 3386-7, 0 2202 3398 ในวันและเวลาราชการ และ สมอ. ยังได้บันทึกเทปการประชุมชี้แจงผู้รับอนุญาต และอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ สมอ. ที่ www.tisi.go.th และ www.facebook.com/tisiofficial อีกด้วย นายวันชัยฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ลุยงานฝึกทักษะ ช่วยคนตกงาน
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 รมช.แรงงาน ลุยงานฝึกทักษะ ช่วยคนตกงาน รมช.แรงงาน ระดมกุนซือด้านวิชาการ หารือเร่งแก้ปัญหาว่างงาน พัฒนาทักษะตรงความต้องการป้อนตลาดแรงงาน เชื่อมโยงภารกิจทุกกรมในกระทรวงแรงงาน หวังช่วยแรงงานทุกกลุ่ม ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการว่างงาน การขาดแคลนแรงงานและการพัฒนาศักยภาพแรงงานให้มีทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวเป็นภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน ซึ่ทุกหน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการช่วยกันเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ในส่วนที่รับผิดชอบให้กำกับดูแลด้านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานนั้น ได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ปรับแผนงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน มีการบูรณาการความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อรับฟังและหาแนวทางร่วมกัน โดยเฉพาะความต้องการของสถานประกอบกิจการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการรับคนเข้าทำงาน และทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพื่อให้ กพร. ดำเนินการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานดังกล่าวให้ตรงกับความการอย่างแท้จริง รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า แรงงานในระบบที่ถูกเลิกจ้างกลายไปเป็นแรงงานนอกระบบจำนวนหลายแสนคน แรงงานกลุ่มนี้ขาดทักษะในการประกอบอาชีพอิสระ เนื่องจากเป็นแรงงานในระบบมาโดยตลอด เป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ต้องพัฒนาทักษะฝีมือและเพิ่มศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้น ดังนั้นในระหว่างมองหางานทำ ยังว่างงาน สามารถเข้ารับการพัฒนาทักษะกับกพร.ก่อน เพื่อให้มีทักษะ ความรู้ความสามารถที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานทำได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีหลักสูตรการฝึกหลายด้าน ทั้งที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ และหลักสูตรด้านช่างฝีมือ รวมถึงทักษะด้านภาษา พร้อมกับประสานกับกรมการจัดหางานในการหาตำแหน่งงานว่าง แจ้งข่าวสารให้กับผู้เข้าอบรมทราบ อีกด้านหนึ่งที่ดำเนินการคือ การหาแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ที่ผ่านการฝึกบอรม แล้วนำความรู้ไปประกอบอาชีพ แต่ขาดแหล่งเงินทุน ได้ประสานความร่วมมือกับธนาคารออมสิน และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อให้ความช่วยเหลือแรงงานในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพอีกด้วย การหารือในครั้งนี้ ประกอบด้วย หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา รมช.แรงงาน คณะที่ปรึกษาด้านวิชาการ ได้แก่ รองศาสตราจารย์ บุษกร วัชรศรีโรจน์ มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองศาสตราจารย์ สมบัติ กุสุมาวลี ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ รองศาสตราจารย์ สมชาย นำประเสริฐชัย ผู้อำนวยการสำนักบริการคอมพิวเตอร์/อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มีความเชี่ยวชาญด้าน Digital และรองศาสตราจารย์ ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านหารพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแรงงาน และเป็นอนุกรรมการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (กพร.ปช.) และ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service (EIS) มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กพร.เป็นหน่วยงานหลักที่มีภารกิจด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ จึงมีหลักสูตรการฝึกที่หลากหลาย สามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดแรงงานในแต่ละพื้นที่ได้ ซึ่งมีหลักสูตรการฝึกอบรมมากกว่า 1,000 หลักสูตร ทั้งหลักสูตรระยะสั้นๆ และระยะยาว ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพอิสระได้ เช่น ผู้ประกอบอาหารไทย การทำขนม การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุ ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อม เมื่อมีความรู้ในแต่ละด้านแล้ว กพร.ยังต่อยอดมีหลักสูตร การบริหารจัดการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการ บนเพจเฟซบุ๊คอีกด้วย ในปี 64 มีแผนพัฒนากำลังแรงงานกว่า 100,000 คน และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการพัฒนาทักษะแก่ลูกจ้างของตนเองอีกกว่า 3 ล้านคน ผู้สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 ------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34824
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. คว้า 2 รางวัลเลิศรัฐ คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปี2563
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 กสร. คว้า 2 รางวัลเลิศรัฐ คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปี2563 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สุดปลื้ม คว้า 2 รางวัลเลิศรัฐ สาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปี 2563จากสำนักงาน ก.พ.ร. นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ2563 นี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รับรางวัลเลิศรัฐในสาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 ณ อิมแพค เมืองทองธานี โดยกสร. ได้รับจำนวน 2 รางวัลได้แก่ หมวด 1 การนำองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม และหมวด 3 การมุ่งเน้นผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการได้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ซึ่งได้มาด้วยความเพียรพยายาม ความอดทน หลอมรวมกับความตั้งใจจริงของทุกคนในองค์กร เพื่อนำพาองค์การให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศ นายอภิญญา กล่าวต่อว่า รางวัลเลิศรัฐถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับ และที่เป็นที่น่ายินดีที่ในปีนี้กสร. ได้รับรางวัลรายหมวดทั้ง 2 หมวด เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะนำองค์กรด้วยการพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล และคำนึงถึงผลกระทบและความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนมีการพัฒนาการให้บริการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (User centric) เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงาน จนสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้รับบริการ โดยบุคลากรของกรมปฏิบัติงานตามหลักค่านิยมองค์กรคือ Fair และไปเป็นตามหลักการปฏิบัติงานของกรมที่ว่า "กสร.คุ้มครองสิทธิ พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ Kick off โครงการนำร่องยางพาราฯ มุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพารามากขึ้น
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 นายกฯ Kick off โครงการนำร่องยางพาราฯ มุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพารามากขึ้น นายกรัฐมนตรี Kick off โครงการนำร่องยางพาราฯ มุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพารามากขึ้น ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศตามนโยบาย “รวมใจ ไทยสร้างชาติ” วันนี้ (25 ส.ค. 63) เวลา 15.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนำร่องนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) ณ บริเวณโค้งศาลหินตั้ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตการติดตั้งกำแพงคอนกรีตหุ้มแผ่นยางพารา (Rubber Fender Barrier : RFB) และนิทรรศการผลิตแผ่นยางพาราครอบกำแพงคอนกรีต และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) โดยมีคณะรัฐมนตรี ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี รวมถึงประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามบันทึกข้อตกลง เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพาราเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพารามากขึ้น จนเป็นที่มาของโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) บริเวณโค้งศาลหินตั้ง ทางหลวงหมายเลข 3249 ตอน เขาไร่ยา – แพร่งขาหยั่ง ระหว่าง กม. 11+350 – กม. 11+765 อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ให้มีความปลอดภัยในการเดินทาง ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางถนน ทั้งนี้ ยังเป็นการสร้างรายได้โดยตรงแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราทั่วประเทศให้มีความมั่นคง รวมถึงจังหวัดจันทบุรีที่มียางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเป็นไปตามแนวทาง “รวมใจ ไทยสร้างชาติ” ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรี ย้ำนโยบายรัฐบาลว่า ต้องการให้ผลผลิตยางมีราคาสูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความเดือดร้อนแก่เกษตรชาวยางพารา ทั้งนโยบายประกันราคายาง การใช้ผลงานวิจัยเพื่อนำมาพัฒนาเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการใช้น้ำยางพารามาเป็นส่วนผสมในการทำถนน ซ่อมบำรุงถนน เพิ่มความปลอดภัยทางจราจร และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ทำให้การส่งออกยางพาราลดลง จึงต้องส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการหมุนเวียนในประเทศให้เกิดการจ้างงาน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีนโยบายนำต้นยางที่หมดอายุมาแปรรูปเป็นพลังงานผ่านโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งสอดรับกับเกษตร BCG ที่ใช้วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร และการส่งเสริมธุรกิจ SMEs วิสาหกิจชุมชน OTOP เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชนในพื้นที่ สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ ตามนโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์ ได้รับความชื่นชมจากต่างประเทศมากมาย เช่น รอยยิ้มที่เป็นมิตรไมตรี อาหารอร่อย ธรรมชาติสวยงาม และที่สำคัญคือความสามารถในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตอนนี้ประเทศไทยจึงต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโรค เน้นให้มีการลงทุนของชาวต่างชาติ ส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ลดความขัดแย้ง ใช้วิธีการประนีประนอมเพื่อพูดคุยหารือกัน โดยยินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ย้ำว่ากฎหมายนั้นก่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเท่าเทียม เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาส ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมการสาธิตการติดตั้งกำแพงคอนกรีตหุ้มแผ่นยางพารา (Rubber Fender Barrier : RFB) นิทรรศการผลิตแผ่นยางพาราครอบกำแพงคอนกรีต และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สำหรับนำไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัย เพื่อลดอุปทานและขยับราคายางพาราให้สูงขึ้น พร้อมพบปะเกษตรกรชาวสวนยางพาราพูดคุยให้กำลังใจด้วย ....................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขายของออนไลน์ อย่าลืมยื่นภาษีภายใน 30 ก.ย.
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 ขายของออนไลน์ อย่าลืมยื่นภาษีภายใน 30 ก.ย. -- #ไทยคู่ฟ้าเมื่อโลกออนไลน์ก้าวเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ง่ายดายเพียงใช้ปลายนิ้วมือ เหล่าพ่อค้าแม่ขายหลายคนจึงใช้ช่องทางนี้ จำหน่ายสินค้าผ่านโลกออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้จนเป็นอาชีพยอดฮิตของยุคนี้ ข้อมูลจากสำนักงาน กสทช. พบว่า คนไทยนิยมซื้อสินค้าทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นกว่า 478% เนื่องจากซื้อได้ง่าย สะดวกสบาย มีโปรโมชั่นที่ถูกใจ และราคาถูก . อย่างไรก็ตาม ผู้ค้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษี ซึ่งกรมสรรพากรได้นำระบบ Data Analytics มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ โดยปีนี้ผู้ค้าออนไลน์จะต้องนำรายได้จากการประกอบธุรกิจ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 63 ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ให้ถูกต้องครบถ้วน ตั้งแต่บัดนี้ - 30 ก.ย. 63 ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่www.rd.go.thได้ถึงวันที่ 8 ต.ค. 63 . สำหรับผู้ค้าออนไลน์ หรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจ สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอากร รวมทั้งใช้ช่องทางการยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Filing ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรwww.rd.go.thสำหรับผู้ที่มีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน...
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563 โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน... รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปีสหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิ แห่งประเทศไทยและสหภาพแรงงานเด็นโซ่ ประเทศไทย เน้นย้ำ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมทุกฝ่ายตามนโยบาย รวมไทยสร้างชาติ ส่งเสริม สนับสนุนให้นายจ้าง ลูกจ้างสมานฉันท์ปรองดอง ทำให้ วันที่ 6 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวในโอกาสได้ไปร่วมงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี สหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิ แห่งประเทศไทย ณ สนามกีฬาเทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และกล่าวร่วมงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปีสหภาพแรงงานเด็นโซ่ ประเทศไทย ณ อาคารศาลาประชาคม เทศบาลเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบก่อให้เกิดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ที่ขยายวงกว้าง รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาและการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลายลง โดยนำนโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” เข้ามาดำเนินการ มีเป้าหมายที่จะผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนมาร่วมกันวางแผน เพื่อกำหนดอนาคตประเทศไทย ซึ่งนับจากนี้ไป กระทรวงแรงงานต้องดำเนินการบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ภายใต้ศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติ ซึ่งเป็นศูนย์ขับเคลื่อนด้านแรงงานทุกมิติ เพื่อร่วมมีบทบาทในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะการเยียวยาสถานประกอบกิจการและผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบต้องว่างงานในช่วงที่ผ่านมา ได้กลับสู่ระบบการจ้างงาน ตลอดจนการสร้างความเข้มแข็งให้สถานประกอบกิจการต่าง ๆ สามารถเผชิญวิกฤตฟันฝ่าอุปสรรค ให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ในสภาวะปัจจุบัน พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด โดยยังคงสภาพการจ้างงานและสภาพการจ้างเดิมไว้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้แรงงาน นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้มาร่วมงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของทั้งสองสหภาพแรงงานในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และระหว่างลูกจ้างด้วยกัน ดังนั้น การประชุมใหญ่สามัญประจำปีในครั้งนี้ จึงเป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหารงานตามหลักประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานและรับผิดชอบร่วมกัน อันเป็นการพิสูจน์ให้องค์กรภายนอกได้เห็นถึงบทบาทที่เข้มแข็ง รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อนายจ้างให้เกิดการยอมรับ และถือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่สำคัญ อันจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ จึงถือเป็นองค์การแรงงานแห่งหนึ่งที่น่าชื่นชมยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่องค์กรแรงงานอื่น อันจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของสมาชิก และส่งต่อความสัมพันธ์อันดีให้ดำรงสืบไป “กระทรวงแรงงานจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการประชุมของสมาชิกตามวาระการประชุมแล้ว จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน ให้สังคมแรงงานมีความสมานฉันท์ปรองดอง อันก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการลงทุน และเพื่อเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงขอให้สหภาพแรงงานและสมาชิกร่วมน้อมนำ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้เกิดภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง เพื่อให้สมาชิกมีการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล รอบคอบระมัดระวัง และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถคิดตัดสินใจบนพื้นฐานของความพอประมาณ ทั้งในการดำเนินชีวิตและบริหารจัดการองค์กรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ อันจะนำไปสู่ภูมิคุ้มกันที่ดีแก่ลูกจ้างและสมาชิก ก่อให้เกิดความสงบสันติสุขในวงการแรงงานตลอดไป”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด จากนั้นรมว.แรงงานยังได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีกล่าวปิดการสัมมนา โครงการ “ผู้บริโภค ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้” ณ อาคารอเนกประสงค์ เทศบาลเมืองพนัสนิคม อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการปลูกฝังให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงสิทธิของตน สามารถนําความรู้ต่าง ๆ ไปใช้ในการปกป้องสิทธิของตนเองในการซื้อสินค้าหรือบริการได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันตนเองไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจได้อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34845
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม FAO สมัยที่ 35 ผ่านระบบ VDO Conference
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม FAO สมัยที่ 35 ผ่านระบบ VDO Conference รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม FAO สมัยที่ 35 ผ่านระบบ VDO Conference มุ่งพัฒนาระบบอาหารและการเกษตรไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนความร่วมมือกับ FAO ทุกมิติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมสมัชชา เอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (FAO Regional Conference for Asia and the Pacific) สมัยที่ 35 ระดับรัฐมนตรี (Ministerial Level Meeting) ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Meeting) ระหว่างวันที่ 3 - 4 กันยายน 2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในครั้งนี้ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นอกจากจะเข้าร่วมการประชุมฯ แล้ว ยังมีโอกาสได้กล่าวถ้อยแถลงในวาระประเด็นที่ประเทศสมาชิกและภูมิภาคให้ความสำคัญ (Prioritization of Country and Regional Needs) ซึ่งประเทศไทยได้เน้นย้ำ 6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) ผลกระทบจากโรคCOVID-19 ต่อระบบอาหาร ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการบริโภค 2) ความสำคัญของ“เทคโนโลยีดิจิทัล” ที่จะช่วยพัฒนาระบบอาหารและการเกษตร เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยประเทศไทยได้จัดตั้ง“ศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรและนวัตกรรม” 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้ผลิตกับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย ในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร 3) “โครงการยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ 4) นโยบาย “Four Quick Win” เพื่อปฏิรูปภาคเกษตรใน 4 แผนงาน 5) สนับสนุนการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ และ 6) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและดิน ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาระบบอาหารและการเกษตรอย่างยั่งยืน รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับ FAO และประเทศสมาชิก ผ่านโครงการความร่วมมือ South-South Cooperation และ Hand-in-Hand Initiative เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย “กระผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชา เอฟ เอ โอ ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 35 ในวันนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลก นอกจากความท้าทาย จากโรคระบาดแล้ว ถึงเวลาที่ทั่วโลกจะต้องปรับเปลี่ยนระบบอาหาร ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการบริโภคอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า เกษตรกรและผู้ผลิตสามารถผลิตอาหารที่ปลอดภัย มีมาตรฐาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้ ซึ่งจะนำมาซึ่งความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยได้ตระหนักดีว่า “เทคโนโลยีดิจิทัล” เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบอาหารและการเกษตร เพื่อทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ประเทศไทยได้จัดตั้ง “ศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรและนวัตกรรม” 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้ผลิต กับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย ในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรที่ตรงตามความต้องการของเกษตรกร เช่น การเกษตรแม่นยำ การทำฟาร์มอัจฉริยะสำหรับเกษตรกรรายย่อยและผู้ผลิตขนาดกลาง และในปัจจุบันภาคการเกษตรของไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงวัย เกษตรกรรุ่นใหม่จึงเป็นอนาคตของภาคเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนิน “โครงการยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ และ SME ที่ต้องการทำการเกษตรในพื้นที่ โดยจัดการฝึกอบรมให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีความรู้ในการดำเนินธุรกิจเกษตร นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้วางแผนในการผลิตและการตลาด รวมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาผสมผสานเพื่อสร้างสมดุลระหว่างระบบเกษตรเชิงนิเวศและนวัตกรรม รวมทั้ง ได้เร่งดำเนิน นโยบาย “Four Quick Win”เพื่อปฏิรูปภาคเกษตรใน 4 แผนงานหลัก ได้แก่ (1) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในหมู่บ้านประมง และฟาร์มเกษตร) (2) การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคเกษตร (3) การพัฒนาระบบ E-Commerce สำหรับสินค้าเกษตร และ(4) การพัฒนาศูนย์บริการข้อมูล Big Data ด้านการเกษตรแบบครบวงจร ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลการเกษตร ซึ่งจะช่วยทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตสามารถตัดสินใจวางแผนการเพาะปลูก การผลิต และการตลาด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสำคัญในนโยบายด้านการประมง และสนับสนุนการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ ประเทศไทยต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย IUU Fishing เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรในท้องทะเลของเราให้คงไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและดิน ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาระบบอาหารและการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรน้ำและดินได้ถูกนำไปใช้อย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ประเทศไทย ร่วมกับ FAO และ สมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (GSP) ขอเชิญชวนประเทศสมาชิก สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนใจ ส่งผลงานการจัดกิจกรรม “วันดินโลก” วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เข้าประกวดเพื่อรับ “รางวัลเหรียญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล วันดินโลก” ในโอกาสวันดินโลกประจำปี 2563 กระผมขอเรียนว่า ประเทศไทยได้น้อมนำ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อมุ่งขจัดความยากจน ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ปฏิรูปภาคเกษตร เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ และความปลอดภัยของอาหาร เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยดียิ่งขึ้น ตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทย ที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” สุดท้ายนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะพัฒนาระบบอาหารและการเกษตรไปสู่ความยั่งยืน ประเทศไทยยินดีที่จะให้การสนับสนุนความร่วมมือกับ FAO และประเทศสมาชิก ผ่านโครงการความร่วมมือ South-South Cooperation และ Hand-in-Hand Initiative เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน” รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าว. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รู้ไว้..ห้ามนำ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” เข้าประเทศ
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 รู้ไว้..ห้ามนำ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” เข้าประเทศ -- #ไทยคู่ฟ้าเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2563 เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 63 เป็นต้นไป . “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” คืออะไรบ้าง? > ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบ ได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ > สวิทซ์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทำงาน > เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาสอื่น ๆ > ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล . อ่านประกาศฉบับเต็มและรายชื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/209/T_0012.PDF
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" กำชับ สปสช.ดูแลรักษาสิทธิประชาชน หลังยกเลิกสัญญา "คลินิกชุมชนอบอุ่น" ที่พบการทุจริต
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 "อนุทิน" กำชับ สปสช.ดูแลรักษาสิทธิประชาชน หลังยกเลิกสัญญา "คลินิกชุมชนอบอุ่น" ที่พบการทุจริต รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับ สปสช.ยกเลิกสัญญา "คลินิกชุมชนอบอุ่น"ที่พบการทุจริต ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ให้ใช้สิทธิอุบัติเหตุและฉุกเฉินแทนช่วงโอนย้ายสิทธิโรงพยาบาล ระบุมีโรงพยาบาลสังกัด สธ.และ กทม.มารองรับแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับ สปสช.ยกเลิกสัญญา "คลินิกชุมชนอบอุ่น"ที่พบการทุจริต ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ให้ใช้สิทธิอุบัติเหตุและฉุกเฉินแทนช่วงโอนย้ายสิทธิโรงพยาบาล ระบุมีโรงพยาบาลสังกัด สธ.และ กทม.มารองรับแล้ว พร้อมเปิดรับคลินิกเข้าร่วมบัตรทองเพิ่ม คาด 2 สัปดาห์สรุปผลทุจริตได้ วันนี้ (1 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้เชิญผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กรมการแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มาหารือถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับคลินิกชุมชนอบอุ่นที่มีการปลอมแปลงเอกสารการเบิกจ่ายค่าบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ได้รายงานความคืบหน้าว่า การสอบสวนใกล้จะสมบูรณ์แล้ว คาดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์จะสรุปผลได้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการยกเลิกสัญญาคลินิกชุมชนอบอุ่น จำนวน 18 แห่ง ในการเป็นหน่วยบริการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 63 แห่ง เนื่องจากเข้าข่ายผิดสัญญาจากการเบิกเงินเท็จ นายอนุทินกล่าวต่อว่า การยกเลิกสัญญาคลินิกเป็นหน่วยบริการ ทำให้ต้องมีการโอนสิทธิการรักษาไปหน่วยบริการอื่น ซึ่งตนได้กำชับว่า เรื่องนี้ต้องให้เกิดผลกระทบในการบริการประชาชนให้น้อยที่สุด ขณะนี้ได้มีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานครมารองรับแล้ว นอกจากนี้ สปสช.ได้เปิดโอกาสให้คลินิกต่าง ๆ ที่มีความประสงค์ให้บริการในการตรวจคนไข้ตามนโยบายคลินิกชุมชนอบอุ่นเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น จึงขอให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเร่งรัดการตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นคลินิก และใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ เพื่อช่วยลดผลกระทบด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างโอนย้ายสิทธิ หากประชาชนมีเหตุจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา เบื้องต้นให้ใช้สิทธิอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (Accident & Emergency : A&E) โดยไปใช้สิทธิก่อนที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ และจะมีการตามเบิกจ่ายกับทาง สปสช. "ผมเชื่อมั่นในการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตอนนี้ต้องมองไปข้างหน้า ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ต้องเรียกค่าเสียหายที่เป็นเม็ดเงินคืนมาให้มากที่สุด และยกเลิกสัญญาคนที่คิดไม่ดี ซึ่งการปลอมแปลงเอกสาร มีความผิดทางอาญาเราก็ดำเนินการด้วยเช่นกัน" นายอนุทินกล่าว ***************************** 1 กันยายน 2563 *****************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงไทย
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงไทย ธ.ก.ส. เตรียมวงเงิน 5,300 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่มีเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลอุดหนุนดอกเบี้ยส่วนที่เหลือ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ชำระคืน ธ.ก.ส. เตรียมวงเงิน 5,300 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่มีเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลอุดหนุนดอกเบี้ยส่วนที่เหลือ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ชำระคืนไม่เกิน 7 ปี ติดต่อขอรับสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 25 พฤษภาคม 2564 นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการปฏิรูปภาคการประมงไทยควบคู่กับการอนุรักษ์ การบริหารจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการประมงมีทุนในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทำการประมง รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานและมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ได้มีมติให้ ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทำการประมง โดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่มีเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อรวม 5,300 ล้านบาท ซึ่งผู้กู้ชำระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 4 ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท ระยะการชำระคืนเงินแล้วเสร็จไม่เกิน 7 ปี นับจากวันกู้ ระยะเวลาขอรับการสนับสนุนสินเชื่อตั้งแต่บัดนี้ถึง 25 พฤษภาคม 2564 สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการประมงที่เข้าร่วมโครงการ เป็นบุคคลธรรมดาอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่มีทะเบียนเรือไทย และมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพประมงมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี กรณีเป็นผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ต้องมีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ตามที่ธนาคารกำหนด ในส่วนของหลักประกันการกู้เงินสำหรับผู้กู้รายใหม่ สามารถใช้ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิ เรือประมง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) บุคคลค้ำประกัน และ/หรือหลักประกันอื่น ๆ ตามที่ธนาคารประกาศกำหนด พื้นที่ดำเนินโครงการ 22 จังหวัด ติดชายฝั่งทะเล ได้แก่ จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล ตรัง ภูเก็ต พังงา กระบี่ และระนอง ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ในพื้นที่ 22 จังหวัดข้างต้นหรือสอบถามที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34707
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แถลงเตรียมจัดพิธีมอบรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award 2020
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 ก.แรงงาน แถลงเตรียมจัดพิธีมอบรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award 2020 กระทรวงแรงงาน แถลงข่าว พิธีมอบรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award 2020 เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม เตรียมเข้ารับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานการแถลงข่าวการจัดพิธีมอบรางวัลสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 (Thailand Labour Management Excellence Award 2020) ว่า กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน รวมถึงการส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้างได้ร่วมกันพัฒนาระบบบริหารจัดการด้านแรงงานในสถานประกอบกิจการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายและมาตรฐานแรงงานมีระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีระบบบริหารแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการที่เหมาะสม การดำเนินการดังกล่าวจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้าง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของสถานประกอบกิจการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่ดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐาน กระทรวงแรงงาน จึงได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัล ครบทุกด้านและสามารถธำรงรักษามาตรฐานได้อย่างยาวนาน โดยได้ขอพระราชทานถ้วยรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับในปี 2563 นี้ สถานประกอบกิจการที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทาน จำนวน 3 รางวัล แบ่งเป็น สถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ (ลูกจ้างตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป) ได้แก่ บริษัท ไทสัน โพลทรี (ไทยแลนด์) จำกัด (โรงงาน 5) สถานประกอบกิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 300 ถึง 999 คน) ได้แก่ บริษัท แกมม่า อินดัสตรี้ส์ จำกัด และสถานประกอบกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 ถึง 299 คน) ได้แก่ บริษัท เซอร์คิตอินดัสตรีส์ จำกัด โดยสถานประกอบกิจการทั้ง 3 แห่ง จะเข้ารับรางวัลพระราชทานฯ ในงานมอบรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award 2020 ที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา นอกจากนี้ภายในงานยังมีการมอบรางวัลให้แก่สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานดีเด่นในแต่ละด้าน อาทิ รางวัลเกียรติยศสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ปีที่ 15 และปีที่ 20 รางวัลเกียรติยศสูงสุดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 15 ปี ติดต่อกัน และรางวัลเกียรติยศสถานประกอบกิจการที่ธำรงรักษาระบบมาตรฐานแรงงานไทยต่อเนื่อง 10 ปีติดต่อกัน เป็นต้น ปลัดแรงงาน กล่าวต่อไปว่า รางวัลสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม (Thailand Labour Management Excellence Award) นอกจากจะเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจร่วมกันของนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการแล้ว สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลจะเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้แรงงาน และสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานให้เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างยั่งยืนด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนแผนปฎิบัติราชการระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563 - 2565) ของกระทรวงอุตสาหกรรม และการจัดทำแผนปฎิบัติราชการรายปีของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนแผนปฎิบัติราชการระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563 - 2565) ของกระทรวงอุตสาหกรรม และการจัดทำแผนปฎิบัติราชการรายปีของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนแผนปฎิบัติราชการระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563 - 2565) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก. 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนแผนปฎิบัติราชการระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563 - 2565) ของกระทรวงอุตสาหกรรม และการจัดทำแผนปฎิบัติราชการรายปีของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดสัมมนา ณ ห้องประชุม อก. 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวง อุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการพัฒนาแผน ปฏิบัติราชการและการผลักดันแผนระดับที่ 3 ของกระทรวงอุตสาหกรรม และบูรณาการ นโยบายเชิงพื้นที่ตามแนวทางที่สำนักงาน พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดเพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสัมมนาในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม จะ ได้รับทราบข้อมูลภาพรวมของแผนฯ และงบประมาณของกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับเป็น กรอบแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงาน และเตรียมความพร้อมในการจัดทำคำของบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อ นำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ แผนระดับที่ 3 ของกระทรวงอุตสาหกรรม มี ความสอดคล้องกับแผนระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ภายใต้ประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ ชาติหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การพัฒนา อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต พัฒนา เศรษฐกิจฐานราก การพัฒนาผู้ประกอบการ และ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ การ พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การเติบโตอย่าง ยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาค อุตสาหกรรมรวมถึงนโยบายรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34660
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. - สสว. วางแผนเงินออมช่วย SMEs
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 กอช. - สสว. วางแผนเงินออมช่วย SMEs -- #ไทยคู่ฟ้าถือเป็นโอกาสดี ๆ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เมื่อกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมมือกันวางแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มีเงินออมไว้ใช้รายเดือนหลังเกษียณ โดยมีเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก กอช. แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว. กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิก สสว. แล้ว แต่ยังไม่ได้ออมเงินกับ กอช. กลุ่มที่ 3 ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกทั้ง สสว. และ กอช. . สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นสมาชิก สสว. 3,000 ท่านแรกที่สมัคร และส่งเงินออมสะสมกับ กอช. จำนวน 13,200 บาท จะได้รับของที่ระลึกเป็นกระเป๋าเดินทางพับได้พร้อมจัดส่งให้ถึงบ้าน นอกจากนี้ยังจะได้สิทธิเป็นผู้โชคดีที่จะรับรางวัลในเดือนธ.ค. นี้ รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ OSS ของ สสว. ทั้ง 77 จังหวัด สายด่วน 1301 หรือสายด่วนเงินออม โทร. 0 2049 9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ขานรับวิถีปกติใหม่ หรือนิวนอร์มอล คลอดมาตรฐาน “หน้ากากผ้า”
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 สมอ. ขานรับวิถีปกติใหม่ หรือนิวนอร์มอล คลอดมาตรฐาน “หน้ากากผ้า” สมอ. ขานรับวิถีปกติใหม่ หรือนิวนอร์มอล คลอดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) “หน้ากากผ้า” ชวนผู้ผลิตชุมชนยื่นขอการรับรองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายรัฐบาลตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้มอบหมายให้ สมอ. จัดทำมาตรฐานที่สอดคล้องกับวิถีปกติใหม่หรือนิวนอร์มอลออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน และมีความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งก่อนหน้านี้ สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 และมีผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานดังกล่าวจาก สมอ. ได้แก่ ดีดีดี แอลกอฮอล์เจล ของนางสาวเรณู แก้วตา ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดลำพูน และนางสาววรรณภัสสร สันติธรรมสุททิ์ ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดชุมพร ได้รับการรับรองเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนหน้ากากผ้า มผช. 1555/2563 เพื่อให้ผู้ผลิตชุมชนนำไปใช้เป็นแนวทางในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ “แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จะคลี่คลาย แต่ประชาชนก็ยังต้องป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ จึงขอฝากถึงประชาชนให้ใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว” นายสุริยะฯ กล่าว นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนหน้ากากผ้า ครอบคลุมหน้ากากผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าทอและผ้าทัก ที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เส้นใยประดิษฐ์ (เส้นใยสังเคราะห์) หรือเส้นใยผสม สำหรับสวมใส่เพื่อปิดจมูกและปากในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย จากการพูด ไอหรือจาม หน้ากากผ้าที่ได้มาตรฐาน จะต้องมีคุณลักษณะทั่วไปอยู่ในสภาพเรียบร้อย สะอาด มีรูปทรงที่เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่มีข้อบกพร่อง เช่น รอยขาด รอยแยก รู ด้ายขาด และไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ สายคล้องต้องยึดแน่นกับตัวหน้ากาก ไม่หลุดออกได้โดยง่าย ต้องไม่บาดหรือทำให้ใบหูเจ็บ การเย็บต้องเรียบร้อย ฝีเข็มสม่ำเสมอ ระยะห่างไม่น้อยกว่าที่มาตรฐานกำหนด การใช้งานต้องสามารถคลุมได้ทั้งจมูกและปาก นอกจากนี้ ยังต้องมีการทดสอบปริมาณสารฟอร์แมลดีไฮด์ สารเคมีในสีย้อม ความคงทนของสีต่อการซัก การสะท้อนน้ำ และการผ่านได้ของอากาศ ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า หน้ากากผ้าที่ใช้จะมีความปลอดภัย และมีคุณภาพตามมาตรฐาน ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรฐานได้ที่ www.tisi.go.th และยื่นขอรับการรับรองได้ที่กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สมอ. หมายเลขโทรศัพท์ 0 2202 3345-46 หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น “มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ประกอบการ SMEs หรือผู้ผลิตชุมชนเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่ต้องการยกระดับผู้ผลิตชุมชน ให้สามารถทำสินค้าได้มาตรฐานมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน และพร้อมที่จะยกระดับตนเองสู่มาตรฐานระดับสากล ทั้งนี้ สมอ. ได้ประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้วกว่า 1,500 มาตรฐาน และได้รับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ผลิตชุมชนตามมาตรฐานดังกล่าวกว่า 13,000 ราย โดย สมอ. มีแผนจัดทำมาตรฐานใหม่ และทบทวนมาตรฐานเดิมให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันอย่างต่อเนื่องอีกจำนวน 15 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานสมุนไพรทอด น้ำต้มยำ ครีมเนื้อทุเรียน ทุเรียนอัดขึ้นรูป ขนมปังกรอบ เนื้อปลาร้าผัดแห้ง มะพร้าวข้นหวาน เป็นต้น ทั้งนี้ จึงขอฝากถึงประชาชนให้อุดหนุนสินค้าไทยที่มีตราสัญลักษณ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ มผช. เพื่อส่งเสริมสินค้าไทย และภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ตลอดจนกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนอีกด้วย” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34798
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน จับมือ สถาบันฯ จิตรลดา อัพสกิลนักเรียน นักศึกษาก้าวสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 แรงงาน จับมือ สถาบันฯ จิตรลดา อัพสกิลนักเรียน นักศึกษาก้าวสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เยี่ยมชมสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ส่งเสริมโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา พัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงานเพื่อก้าวสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ วันที่ 27 สิงหาคม 2563 เวลา 15.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าพบ รองศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา เพื่อเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ขับเคลื่อนการทดสอบมาตรฐานฝีมือให้แก่นักเรียน นักศึกษา ป้อนตลาดแรงงานคุณภาพ ณ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา อาคาร 60 พรรษาราชสุดาสมภพ (604) สำนักพระราชวัง สนามเสือป่า กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ให้ความร่วมมือกับสถาบันฯ จิตรลดา ดำเนินการประสานงานการฝึกอบรมวิชาชีพและเตรียมความพร้อมกับโรงเรียนจิตรลดา (สายวิชาชีพ) ในรูปแบบชมรมวิชาชีพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เรื่อยมา จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2560 ได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ในสาขา ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ระดับ 1 และ สาขาผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1 กับวิทยาลัยเทคโนโลยีจิตรลดา โดยในวันที่ 3 มิถุนายน 2563 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ได้จัดประชุมโครงการมาตรฐานแม่ครัวไทยร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้แม่ครัวไทยมีศักยภาพสูงขึ้น และเตรียมความพร้อมของบุคลากรของศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สาขา ผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1 หลังจากผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 นายสุชาติ กล่าวว่า สถาบันฯ จิตรลดา เป็นสถาบันพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงานที่ดีให้กับนักเรียน นักศึกษา ที่จะได้มีทักษะในการทำงานที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลกปัจจุบัน รวมทั้งมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 27 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลักดันไทยเป็นฮับ “ถุงมือยาง” ของโลก
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 ผลักดันไทยเป็นฮับ “ถุงมือยาง” ของโลก -- #ไทยคู่ฟ้า กระแสความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 พบว่ามีความต้องการใช้ถุงมือยางกว่า 3.6 แสนล้านชิ้น มูลค่าไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงมีแนวคิดผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นฮับ “ถุงมือยาง” ของโลกภายใต้โมเดล “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 25,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อ สามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ - 31 ธ.ค. 63 หรือติดต่อสอบถามได้ที่ การยางแห่งประเทศไทย 0 2579 1576 ต่อ 303
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แข่งขันในตลาดโลก
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 คกก. นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แข่งขันในตลาดโลก คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก และยกระดับ 14 เมืองสมุนไพรให้เข้มแข็ง ส่งเสริมการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวรองรับความต้องการภายในประเทศ คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก และยกระดับ 14 เมืองสมุนไพรให้เข้มแข็ง ส่งเสริมการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวรองรับความต้องการภายในประเทศ วันนี้ (17 กันยายน 2563) ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายแพทย์ มรุต จิรเศรษฐสิริอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุม ดร.สาธิตกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก จึงได้มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดการพัฒนาวิจัย ผลิตสมุนไพรไทยให้เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยา เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน รวมถึงส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรให้ตรงกับความต้องการของตลาด ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศเกิดการพัฒนาอย่างมั่นคง ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เครือข่ายนักวิชาการ เร่งพิสูจน์ความปลอดภัย คุณภาพ ประสิทธิภาพและประกาศเป็นรายการผลิตภัณฑ์สมุนไพรอ้างอิงเพื่อให้การอนุมัติผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีความรวดเร็วลดความยุ่งยากในการเตรียมเอกสารขออนุญาตของผู้ประกอบการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีระบบการให้คำปรึกษาผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่อยู่ระหว่างการวิจัย และส่งเสริมอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพร และพัฒนาระบบการรับรองสารสกัดสมุนไพรที่ใช้สำหรับใช้อ้างอิงในการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เพื่อใช้เป็นเอกสารรับรองการส่งออก เป็นการส่งเสริมการตลาด เพิ่มมูลค่าการส่งออก รวมทั้งได้ตั้งศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร เพื่อให้คำปรึกษาผู้ประกอบการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีการจัดอบรมยกระดับผู้ประกอบการ ส่งเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาด และให้ข้อมูลผู้ประกอบการสมุนไพรแบบครบวงจร (One Stop Service) พร้อมสนับสนุนสมุนไพรเป็น Product Champions ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ ยังมีมติเห็นชอบให้ยกระดับเมืองสมุนไพรทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ การเกษตรวัตถุดิบสมุนไพร (อำนาจเจริญ, สุรินทร์, มหาสารคาม, อุทัยธานี, สกลนคร) อุตสาหกรรมสมุนไพร (นครปฐม, สระบุรี, ปราจีนบุรี, จันทบุรี) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม (เชียงราย, พิษณุโลก, อุดรธานี, สุราษฎร์ธานี, สงขลา) ************************ 17 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ลุยปราบ-ยึด-ทำลาย สินค้าไม่ได้มาตรฐานเพียบ 10 เดือน อายัดกว่าพันล้าน เตรียมทำลายวันนี้กว่า 3 แสนชิ้น มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 สมอ. ลุยปราบ-ยึด-ทำลาย สินค้าไม่ได้มาตรฐานเพียบ 10 เดือน อายัดกว่าพันล้าน เตรียมทำลายวันนี้กว่า 3 แสนชิ้น มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท สมอ. ชูนโยบาย “ประชาชนต้องปลอดภัย และได้ใช้สินค้าที่มีมาตรฐาน” ลุยจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง 10 เดือน อายัดแล้วกว่า 1,000 ลบ. จับมือ ปคบ. และ SCG เตรียมทำลายวันนี้อีกกว่า 3 แสนชิ้น มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท ยันสินค้าไม่ได้มาตรฐานต้องโดนทำลาย นายจุลพงษ์ ทวีศรี ประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการตรวจควบคุม และกำกับติดตามสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที ซึ่งพบว่าในแต่ละปี สมอ. ได้อายัดสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเป็นจำนวนมาก จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 31 กรกฎาคม 2563 ได้อายัดสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทั้งที่จำหน่ายในท้องตลาด และทางออนไลน์แล้ว เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้า 7 ประเภท คือ 1) เหล็กและวัสดุก่อสร้าง 2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไดร์เป่าผม เตารีด เต้ารับเต้าเสียบ พัดลม เตาปิ้ง เตาย่าง กระติกน้้าร้อน หม้อหุงข้าว หลอดไฟ และกระทะ 3) ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ ยางล้อ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ 4) ปิโตรเลียม เคมี และพอลิเมอร์ เช่น หมวกกันน็อค ถังน้ำพลาสติก ท่อพีวีซี และฟิล์มหุ้มอาหาร 5) ผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์ ได้แก่ ของเล่น 6) ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น น้ำดื่ม วุ้นเส้น และ 7) ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ได้แก่ ถุงมือทางการแพทย์ สินค้าเหล่านี้เมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการทำลายที่ได้มาตรฐาน เหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานในวันนี้ เป็นสินค้าที่ สมอ. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ลงพื้นที่ตรวจจับและยึดอายัดไว้ จำนวนกว่า 350,000 ชิ้น มูลค่ารวม 33,760,000 บาท ประกอบด้วยสินค้าหลายชนิด เช่น กระทะไฟฟ้า ก๊อกน้ำ ของเล่น ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ หมวกนิรภัย เตารีด พัดลม เตาปิ้งย่าง และสวิตซ์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการทำลายให้สิ้นสภาพด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าเหล่านี้กลับไปหมุนเวียนในท้องตลาดหรือนำกลับมาใช้ได้อีก เพราะสินค้าบางรายการอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค สำหรับกระบวนการทำลาย สมอ. ได้ร่วมกับบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด โรงไฟฟ้ามาบตาพุด อีโค่-เอ็นเนอร์ยี แพลนท์ ซึ่งเป็นโรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ สามารถรองรับขยะอุตสาหกรรมได้หลากหลายประเภทและขนาด ทั้งอันตรายและไม่เป็นอันตราย โดยกระบวนการดำเนินงานทุกขั้นตอนเป็นแบบระบบปิด มีระบบการควบคุมมลพิษ และของเสียตามมาตรฐานสากล ตั้งแต่การรับขยะอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการ การขนส่งไปยังจุดคัดแยกประเภทเพื่อเตรียมกำจัด การเข้าสู่กระบวนการกำจัดด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชั่น ร่วมกับแอชเมลติ้ง (Gasification with Ash Melting) ซึ่งเศษวัสดุที่ได้จากการเผาไหม้ เช่น อะลูมิเนียม เหล็ก เถ้าลอย ยังนำกลับไปใช้ใหม่ได้ ส่วนวัสดุเผาไหม้ไม่ได้ (Incombustible) สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบแทนการก่อสร้างถนนได้ โดยกระบวนการนี้ทำให้ไม่เหลือขยะอุตสาหกรรมที่ต้องกำจัดเพิ่ม นอกจากวัสดุที่เป็นผลพลอยได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน “การดำเนินการดังกล่าวของ สมอ. เป็นไปตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม โดย รมต.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภค ที่จะต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยที่มีมาตรฐานอย่างถูกต้องครอบคลุม และเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งหากสินค้ามีมาตรฐานก็จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่จะสามารถขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และขอฝากเตือนไปยังผู้ทำ ผู้นำเข้า ผู้ขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยว่า อย่าได้พยายามฝ่าฝืนกฎหมาย มิฉะนั้น นอกจากจะโดนดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว สินค้าของท่านจะต้องพบจุดจบที่เตาเผาแบบนี้ และท่านยังจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจากการทำลายสินค้าอีกด้วย สำหรับประชาชนผู้ซื้อสินค้า ขอให้ซื้อสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. ที่ตัวสินค้าเท่านั้น” นายวันชัยฯ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19 วิธีการง่ายๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34534
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงไม่หยุดกับพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. - 2 1 ชั่วโมงแรก มียอดจำหน่ายสูงถึง 1,500 ล้านบาท
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 แรงไม่หยุดกับพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. - 2 1 ชั่วโมงแรก มียอดจำหน่ายสูงถึง 1,500 ล้านบาท การกลับมาอีกครั้งกับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี โดยมียอดจำหน่ายสูงถึง 1,500 ล้านบาท ใน 1 ชั่วโมงแรก จากวงเงินจำหน่ายรวม 5,000 ล้านบาท การกลับมาอีกครั้งกับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.70 ต่อปี โดยมียอดจำหน่ายสูงถึง 1,500 ล้านบาท ใน 1 ชั่วโมงแรก จากวงเงินจำหน่ายรวม 5,000 ล้านบาท สบน. ขอประชาสัมพันธ์ว่า เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการลงทุนครั้งนี้ ท่านสามารถ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง และโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ได้จากทุกธนาคารด้วยพร้อมเพย์ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กห.จับมือ สวทช.ดึงเยาวชนร่วมแข่งขันหุ่นยนต์อัตโนมัติ หวังต่อยอดอุตสาหกรรมและงานความมั่นคง
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563 กห.จับมือ สวทช.ดึงเยาวชนร่วมแข่งขันหุ่นยนต์อัตโนมัติ หวังต่อยอดอุตสาหกรรมและงานความมั่นคง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหม โดยกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ร่วมกับ สวทช. โดย Software Park ร่วมกันจัดการแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2020 ระหว่าง 5-6 ก.ย.63 ณ ม.ธุรกิจบัณฑิต กทม. โดยมีเยาวชนจากหลายสถาบันการศึกษาเกือบ 200 คนเข้าร่วมการแข่งขัน การแข่งขันครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความรู้ ความสามารถ ด้านระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยไปสู่ Smart Industry และต่อยอดงานด้านความมั่นคง โดยร่วมกันค้นหาผู้มีความสามารถพิเศษด้านหุ่นยนต์และปัญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาส่งเสริมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญของประเทศต่อไป การแข่งขัน ดำเนินการในรูปแบบ Self Driving เพื่องาน Logistic โดยเป็นหุ่นยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้การบังคับจากมนุษย์ หลบหลีกอุปสรรคกีดขวางและนำส่งของไปยังจุดที่กำหนดได้ถูกต้อง ทันเวลา มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของงานและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ด้วย ภูมิปัญญาไทยอย่างแท้จริง ผลจากการแข่งขัน จะเป็นส่วนสำคัญให้เยาวชนจากหลายสถาบันการศึกษา ได้รู้จักกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์กันและกัน สามารถต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริงทั้งด้านอุตสาหกรรมและการประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ สั่งการด่วน เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยสุโขทัยด้านแรงงานในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ‘จับกัง1’ สั่งการด่วน เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยสุโขทัยด้านแรงงานในทุกมิติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการด่วน ให้ 5 เสือแรงงานในพื้นที่สุโขทัยเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่จังหวัดสุโขทัยตามภารกิจด้านแรงงานในทุกมิติ โดยการสำรวจนายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น และภายหล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยม บริเวณจังหวัดสุโขทัย จากรายงานของสำนักงานแรงงานจังหวัดสุโขทัยว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมาสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยม บริเวณจังหวัดสุโขทัยมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกระแสน้ำในแม่น้ำยมได้กัดเซาะถนนริมแม่น้ำยม ซึ่งเป็นพื้นที่กำลังก่อสร้างผนังกั้นแม่น้ำยม ระยะทางประมาณ 1,300 เมตร พังเสียหาย น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่หมู่ 1 บ้านวังหิน และพื้นที่หมู่ 7 บ้านบางสรงค์ ต.ปากแคว ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกันพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกอุทกภัย จำนวน 3 อำเภอ 14 ตำบล 36 หมู่บ้าน ราษฎรประสบภัย 4,534 คน 1,587 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย เป็นพืชไร่ 111 ไร่ ข้าวโพด 50 ไร่ พริก 30 ไร่ เมลอน 1 ไร่ นาข้าว 7,185 ไร่ โกโก้ 10 ไร่ ถนนในอำเภอเมืองสุโขทัย 2 สาย และอำเภอสวรรคโลก 3 สาย และประปาหมู่บ้าน 1 แห่ง นายสุชาติกล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นได้กำชับให้สำนักงานแรงงานจังหวัดสุโขทัย ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเตรียมความพร้อมเพื่อจะให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ มีการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดในการให้ความช่วยเหลือตามภารกิจหน้าที่ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานประจำตำบลเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์ให้ทราบอีกทางหนึ่ง “กระทรวงแรงงาน เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้างทุกคนหากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมดังกล่าว โดยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ หรือติดต่อได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 หรือเพจเฟสบุ๊คของผม “ Heng Team – ทีมเฮ้ง”ได้โดยตรง”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34497
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ปลัดดีอีเอส” เยือนดีป้าเหนือบน เร่งส่งเสริมภาคเอกชนในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 “ปลัดดีอีเอส” เยือนดีป้าเหนือบน เร่งส่งเสริมภาคเอกชนในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล “ปลัดดีอีเอส” เยือนดีป้าเหนือบน เร่งส่งเสริมภาคเอกชนในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 15 กันยายน 2563, Oon It Valley - กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส โดยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส ให้เกียรติลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการในการช่วยเหลือภาคเอกชนในพื้นที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมี นายศราวุธ เลาหะวิสุทธิ์ ผู้จัดการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคเหนือตอนบน พร้อมทีมงานสาขาภาคเหนือตอนบน และส่วนราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมให้การต้อนรับ โดย ปลัดกระทรวงดีอีเอส ได้ประชุมชี้แจงแนวทางและการดำเนินงาน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการส่งเสริมช่วยเหลือ และสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชน ในพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการเพื่อสังคมอย่าง Oon IT Valley ให้เป็นพื้นที่แห่งการสร้างโอกาส การเรียนรู้ สร้างเกษตรกรสมัยใหม่( Smart Farm) เน้นพื้นที่ทดลอง ให้แรงบันดาลใจ รวมถึงเน้นย้ำการส่งเสริม Startup มากยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมในด้านการสร้าง Ecosystem ให้เกิดการทำงาน เพิ่มการใช้ประโยชน์จากโครงการพื้นฐานของกระทรวงฯ อาทิ high speed internet ให้ใช้ประโยชน์จาก internetในชุมชน เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสนับสนุนชุมชนและประชาชนทุกพื้นที่ให้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้าถึงบริการภาครัฐ และใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และปรับวิถีการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) Oon It Valley ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ดีป้า สาขาภาคเหนือตอนบน อย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะกลุ่ม AgTech Startup และ กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ ผ่านมาตรการของสำนักงาน โดยเน้นเป็นพื้นที่เกษตรอัจฉริยะต้นแบบ ทั้งระบบให้น้ำอัจฉริยะแบบแห้งสลับเปียกในนาข้าว ระบบ Weather Station ระบบ ปั้มน้ำ Solar Cell รวมถึงเป็นศูนย์การเรียนรู้การทดสอบการบินโดรน ของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35122
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เปิดประชุมทบทวนแผนบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ 'สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ'
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 ‘ปลัดแรงงาน’ เปิดประชุมทบทวนแผนบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ 'สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ' ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2563 - 2565 สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 11.00 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2563 - 2565 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย นายสุทธิ กล่าวว่า “แรงงานนอกระบบเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ ที่มีส่วนสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ได้รับการคุ้มครอง และการส่งเสริมระบบสวัสดิการทางสังคมต่างๆ ไม่ทัดเทียมแรงงานในระบบ ทั้งนี้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID- 19) ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแรงงานนอกระบบเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ได้รับผลกระทบต่ออาชีพ รายได้ การดําเนินชีวิต อีกทั้งแรงงานในระบบก็มีแนวโน้มที่จะมาทํางาน เป็นแรงงาน นอกระบบมากขึ้นซึ่งจะเห็นได้จากการลดลงของจํานวนผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยปัจจุบันการดูแลส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาแรงงานนอกระบบ อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานหลายหน่วยงาน รวมท้ังองค์กรภาคประชาสังคม หลายองค์กรก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลแรงงานนอกระบบร่วมกับภาครัฐ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ คือ แรงงานนอกระบบมีความมั่นคงทางรายได้ ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง นําไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” “ขณะนี้ กระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างดําเนินการรับฟังความคิดเห็น ร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... ในระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2563 ผ่านทาง web site ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งหลักการสําคัญของร่าง พรบ. ดังกล่าว คือ การทําให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ มีความปลอดภัยในการทํางาน มีหลักประกันทางสังคม สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริม คุ้มครอง และ พัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมลํ้าในสังคม และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการพื้นฐานทางสังคมของภาครัฐเพื่อนําไปสู่การดําเนินการให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม” นายสุทธิ กล่าวในท้ายที่สุด โดยกลุ่มเป้าหมายของการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงแรงงานที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับงานแรงงานนอกระบบ ผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาคประชาชน และ เครือข่ายแรงงานนอกระบบ จํานวนทั้งสิ้น 80 คน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 2 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นฤมล’ ถกทีมงานวิชาการ เดินหน้ายกระดับฝีมือแรงงานไทย รับ S-Curve New S-curve
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 ‘นฤมล’ ถกทีมงานวิชาการ เดินหน้ายกระดับฝีมือแรงงานไทย รับ S-Curve New S-curve - - รมช. แรงงาน นัดประชุมคณะทำงานด้านวิชาการ เพื่อหารือขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย ป้อนตลาดแรงงานในประเทศและต่างประเทศ รองรับอุตสาหกรรม S-Curve และNew S-curve ฝ่าวิกฤติโควิด – 19 ย้ำ! แรงงานไทยต้องมีอาชีพ มีรายได้ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดี วันที่ 26 สิงหาคม 2563 เวลา 11.00 น. ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะทำงานด้านวิชาการ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และทีมงานที่เกี่ยวข้องจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ร่วมประชุมและให้ข้อมูลภารกิจของกพร. เพื่อหารือการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย ป้อนตลาดแรงงานในประเทศและต่างประเทศ รองรับอุตสาหกรรม S-Curve New S-curve ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ โดยกลุ่มแรงงานในระบบ จะให้ความสำคัญกับการ Up skill ให้แก่แรงงาน ด้วยการยกระดับทักษะฝีมือรองรับเทคโนโลยี 4.0 สำหรับแรงงานที่ขาดทักษะ ที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างจะเร่งให้มี Re-Skill ให้มีทักษะตรงกับความต้องการ หรือสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรมอื่นได้ ด้านการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานนอกระบบนั้น ประกอบด้วย กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทหารก่อนปลดประจำการ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะกลุ่มสตรี นอกจากนี้ยังเน้นย้ำการพัฒนาทักษะให้แก่บัณฑิตจบใหม่ มีทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อเข้าสู่การจ้างงาน ลดปัญหาอัตราการว่างงานด้วย โดยแต่ละกลุ่มมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของตลาด อาทิ การพัฒนาทักษะให้กับผู้สูงอายุ ให้มีความรู้ด้าน IT สามารถประกอบอาชีพการเป็นแคชเชียร์ได้ หรือทักษะที่สามารถรวมกลุ่มเพื่อประกอบอาชีพ เช่น งานศิลปหัตถกรรม การแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าสินค้า รวมถึงการฝึกหลักสูตร การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งตลาดแรงงานมีความต้องการสูงมากทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งอัตราค่าจ้างค่อนข้างสูง ซึ่งทักษะขั้นพื้นฐานที่แรงงานต้องมีคือ ดิจิทัลและภาษา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้เสนอโครงการเพื่อยกระดับทักษะแรงงาน การส่งเสริมด้านมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อให้แรงงานได้รับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ และการฝึกทักษะให้แก่แรงงานนอกระบบ นอกเหนือจาการฝึกอบรมแล้ว กพร.ยังมีการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบที่ปฏิบัติภายใต้ พ.ร.บ. ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนในแต่ละกรณี รวมถึงการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย ซึ่งภารกิจเหล่านี้ต้องมีการขับเคลื่อนและดำเนินการอย่างเข้มข้น สำหรับคณะทำงานด้านวิชาการที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วย หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน สามารถให้คำแนะนำการเชื่อมโยงภารกิจภาพรวมของกระทรวงแรงงาน และเคยเป็นอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงสามารถให้คำแนะนำการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในเชิงลึก ท่านที่สองที่ คือ รองศาสตราจารย์ ดร.บุษกร วัชรศรีโรจน์ เป็นอาจารย์ประจำคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันพัฒนาบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สามารถให้คำแนะนำการพัฒนาทักษะแก่แรงงาน สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน นำเสนอโครงการพิเศษที่โดดเด่นต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะแรงงานที่ส่งผลให้เกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ท่านที่สาม คือ รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย นำประเสริฐชัย ผู้อำนวยการสำนักบริการคอมพิวเตอร์/อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้คำแนะนำการวางระบบฐานข้อมูลด้านแรงงาน และท่านที่สี่ คือ คุณพิรัส ศิริขวัญชัย จากภาคเอกชน สามารถวางกลยุทธ์ การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานที่สอดรับกับความต้องการภาคเอกชน “ดังนั้น การขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ต้องเริ่มต้นด้วยยกระดับฝีมือแรงงาน สร้างแรงงานที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ และให้แรงงานที่ขาดโอกาส สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงาน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคต” รมช.แรงงาน กล่าว -------------------------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีการใส่หน้ากากอนามัยอย่างปลอดภัย
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 วิธีการใส่หน้ากากอนามัยอย่างปลอดภัย มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามความก้าวหน้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน จังหวัดพังงา
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 ติดตามความก้าวหน้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน จังหวัดพังงา รมช.มนัญญา ติดตามความก้าวหน้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน จังหวัดพังงา สร้างคนรุ่นใหม่สานต่ออาชีพเกษตรกรสู่ความยั่งยืน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามความก้าวหน้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตรจังหวัดพังงา ร่วมกับ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ วันที่ 4 กันายน 2563 ณ พื้นที่ทำการเกษตรของ นายพันธรักษ์ เตี๋ยวบำรุง หมู่ 2 ตำบลท่านา อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ว่าโครงการฯ ดังกล่าวเป็นโครงการที่บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักอาชีพเกษตรกรและต้องการกลับคืนสู่บ้านเกิดเพื่อสานต่ออาชีพของครอบครัว และมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้น สำหรับเกษตรกรที่กลับมาทำการเกษตรที่บ้านเกิดในจังหวัดพังงา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 21 ราย สหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 9 แห่ง นายพันธรักษ์ เตี๋ยวบำรุง อายุ 49 ปี หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ในพื้นที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการกลับมาทำการเกษตรที่ภูมิลำเนา ว่าได้ลาออกจากงานประจำในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการโรงงานจังหวัดชลบุรี เพื่อดูแลบิดา มารดา และผันตัวมาประกอบอาชีพเกษตรกรอย่างเต็มตัว โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในสวนปาล์มที่บิดามารดามอบให้ ทำการขุดสระน้ำเพื่อให้มีแหล่งน้ำในการทำเกษตรและเลี้ยงปลา ศึกษาสายพันธุ์ไก่สวยงามจากต่างประเทศที่สามารถนำมาเลี้ยงได้ในพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัวและผลไม้ ทำปุ๋ยผสมใช้เองเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และได้สมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรกะปง จำกัด เพื่อศึกษาเรื่องการรวมกลุ่ม ความรู้เกี่ยวกับสหกรณ์ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ สร้างการมีส่วนร่วมกับสถาบันเกษตรกรในชุมชน รมช.มนัญญา กล่าวว่า โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ช่วยผลักดันให้ลูกหลานเกษตรกรได้กลับมาช่วยพัฒนาการเกษตรของครอบครัว เกษตรกรมีการพัฒนาตัวเอง มองหาโอกาสและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ สหกรณ์มีการยกระดับการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ โดยเฉพาะธุรกิจในด้านการเกษตร เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำเรื่องการเกษตร การผลิตอาหาร ให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก หากทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาระบบสหกรณ์ และยกระดับสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถของสหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ก็จะหลุดพ้นจากความยากจน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หน่วยงานภาครัฐ สถาบันเกษตรกรในพื้นที่ และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร จะสามารถช่วยกันขับเคลื่อนให้การดำเนินกิจกรรมเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มอบพันธ์ุปลาหมอชุมพรแก่เกษตรกร และเยี่ยมชมบูธนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กลุ่มวิสาหกิจจักสานหมวกใบร่มข้าว สหกรณ์การเกษตรกะปง จำกัด ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพังงา กรมวิชาการเกษตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิยุควิถีชีวิตใหม่แนะ “สุขภาพดี เริ่มต้นที่บ้าน”
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 ดร.สาธิต ขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิยุควิถีชีวิตใหม่แนะ “สุขภาพดี เริ่มต้นที่บ้าน” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนบริการปฐมภูมิยุควิถีชีวิตใหม่ สุขภาพดี เริ่มต้นที่บ้านเน้นการดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ดูแลสุขภาพจิตที่มีผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้ระบบบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนบริการปฐมภูมิยุควิถีชีวิตใหม่สุขภาพดี เริ่มต้นที่บ้านเน้นการดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ดูแลสุขภาพจิตที่มีผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้ระบบบริการไร้รอยต่อ วันนี้ (10 กันยายน 2563) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ โครงการพัฒนางานบริการปฐมภูมิในยุควิถีชีวิตใหม่ ปี 2563 จัดโดยโรงพยาบาลขอนแก่น ร่วมกับสมาคมเวชกรรมสังคมแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการพัฒนางานบริการปฐมภูมิในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน นวัตกรรมการพัฒนางานปฐมภูมิ โดยมีคณะกรรมการพัฒนางานปฐมภูมิ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาล นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป เข้าประชุม 250 คน พร้อมมอบรางวัลคนดีศรีปฐมภูมิ เป็นขวัญกำลังใจแก่แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข ที่เป็นต้นแบบการทำงานในพื้นที่ ทั้งเขตเมืองและชนบท จำนวน 12 คน ดร.สาธิตกล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบการดูแลสุขภาพที่เข้มแข็งครอบคลุมถึงระดับครอบครัว ตามนโยบายรัฐบาลในด้านการสร้างเสริมสุขภาพประชาชนตลอดช่วงวัย พัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ เน้นความเข้มแข็งของระบบบริการปฐมภูมิ ให้ประชาชนได้รับบริการใกล้บ้าน ทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน คือ หมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ปรับระบบบริการให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในยุค New Normal ใช้แนวคิดสุขภาพดี เริ่มต้นที่บ้านโดยมีทีมสุขภาพปฐมภูมิร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1,040,000 คน ดูแลทุกครัวเรือนใกล้ชิด โดยทีมหมอครอบครัวใช้ระบบการปรึกษาทางไกล (Telemedicine) ปรึกษากับแพทย์ในโรงพยาบาล รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน หรือมี อสม.ส่งยาให้ถึงบ้าน ประชาชนมีหน่วยบริการปฐมภูมิใกล้บ้าน เข้าถึงง่าย ประหยัดเวลา ลดรอคอย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าเดินทางไปโรงพยาบาล 1,655 บาทต่อคน ลดรอคอยเหลือ 44 นาทีจากเดิมใช้เวลา 3 ชั่วโมง สำหรับการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิจะส่งเสริมให้ประชาชนและครอบครัวมีศักยภาพในการจัดการสุขภาพของตนเอง ป้องกันโรคที่ป้องกันได้เพื่อลดการเจ็บป่วย โดยมีประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนบริการปฐมภูมิ เน้นการดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต การดูแลสุขภาพจิตที่มีผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้การดูแลสุขภาพมีความต่อเนื่อง ไร้รอยต่อ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ********************************** 10 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีใส่หน้ากากอนามัยให้ปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 วิธีใส่หน้ากากอนามัยให้ปลอดภัย มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน กระทุ้ง ต่างด้าว ขอใบอนุญาตทำงาน
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน กระทุ้ง ต่างด้าว ขอใบอนุญาตทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำ แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำ แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ให้แรงงานต่างด้าว 4 กลุ่ม ที่เคยมีใบอนุญาตทำงาน แต่การอนุญาตสิ้นสุด และยังอยู่ในราชอาณาจักร ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราว และให้ทำงานได้เป็นการเฉพาะ เพื่อติดต่อขอใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางาน ซึ่งขณะนี้ ได้ลงนามในประกาศกระทรวง 2 ฉบับ เพื่อรองรับการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะแล้ว พร้อมกำชับให้ ดำเนินการตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เนื่องจากอาจเชื่อมโยงถึงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศได้ คณะรัฐมนตรีจึงได้เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งขณะนี้ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน เพื่อรองรับการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 2 ฉบับ และมีผลใช้บังคับแล้ว “ กระทรวงแรงงาน ขอย้ำ เตือนให้ นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีแรงงานต่างด้าวตามมติเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ได้แก่ กลุ่มที่ 1) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ซึ่งครบวาระการจ้างงาน 4 ปี กลุ่มที่ 2) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ถือเอกสารประจำตัวได้แก่ หนังสือเดินทาง (Passport : PP) เอกสารเดินทาง (TD) เอกสารรับรองบุคคล (CI) ที่ใบอนุญาตทำงานและการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดในช่วงตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 แต่ไม่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 กลุ่มที่ 3) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 50 มาตรา 53 หรือมาตรา 55 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น ออกจากนายจ้างรายเดิม แต่หานายจ้างรายใหม่ไม่ได้ภายใน 30 วัน เป็นต้น กลุ่มที่ 4) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาล โดยใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน ตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ซึ่งครบวาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด นั้น รีบมาดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางาน ” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึง ขั้นตอนการดำเนินการ ว่า คนต่างด้าวกลุ่มที่ 1-3 สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 - วันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 มีนาคม 2565 หลังจากนั้นคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลของรัฐที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (กรณีไม่มีประกันสังคม) และยื่นขอรับการตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป (Visa) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 และขั้นตอนสุดท้ายคือ การจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานด้านหลังบัตร กับกรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 - 31 มีนาคม 2564 โดยแรงงานต่างด้าวสามารถทำงานกับนายจ้างได้ทุกประเภทงานที่มิได้มีประกาศห้ามคนต่างด้าวทำ เช่น เดียวกับคนต่างด้าว MOU และไม่อนุญาตให้เปลี่ยนนายจ้าง เว้นแต่การออกจากงานเป็นเพราะความผิดของนายจ้างหรือได้ชำระค่าใช้จ่ายให้นายจ้างรายเดิมแล้ว ส่วน คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาลบริเวณชายแดน ที่ถือบัตรบัตรผ่านแดน (Border Pass) สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 - วันที่ 31 ตุลาคม 2563 และคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพ (กรณีไม่มีประกันสังคม) ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 โดยใบอนุญาตทำงานมีอายุครั้งละ 3 เดือน แต่สามารถขอต่อเนื่องได้ไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2565 และแรงงานต่างด้าวไม่สามารถเปลี่ยนนายจ้างได้ เว้นแต่การออกจากงานเป็นเพราะความผิดของนายจ้าง หรือได้ชำระค่าใช้จ่ายให้นายจ้างรายเดิมแล้ว โดยสามารถทำงานในตำแหน่งกรรมกร และงานรับใช้ในบ้าน และทำงานได้เฉพาะในท้องที่ที่ได้รับอนุญาตอยู่เดิมเท่านั้น “ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ตระหนักถึงความจำเป็นของแรงงานต่างด้าวในประเทศ ซึ่งเป็นกลไกหลักสนับสนุนภาคการผลิตของภาคธุรกิจ และ เป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ จึงเร่งดำเนินการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาล ที่ได้ผ่อนคลายมาตรการในประเทศที่ให้กิจการและกิจกรรมต่างๆ สามารถดำเนินการได้มากขึ้น ซึ่งนายจ้างหรือสถานประกอบการที่จ้างงานแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0% โดย 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายซ่อมแซมบ้าน-ที่พักอาศัย ให้กู้ 500,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0%
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 ออมสินช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0% โดย 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายซ่อมแซมบ้าน-ที่พักอาศัย ให้กู้ 500,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0% ธนาคารออมสินลงพื้นที่สำรวจภัยน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมให้กู้ “ซ่อมแซมที่พักอาศัย” สูงสุด 500,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0% ขณะที่เงินกู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนเฉพาะหน้า รายละ 50,000 บาท ธนาคารออมสินลงพื้นที่สำรวจภัยน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมให้กู้ “ซ่อมแซมที่พักอาศัย” สูงสุด 500,000 บาท ดอกเบี้ยปีแรก 0% ขณะที่เงินกู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนเฉพาะหน้า รายละ 50,000 บาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% ใน 3 เดือนแรก ไม่ต้องจ่ายเงินงวด นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุอุทกภัยในหลายพื้นที่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชนทั่วไป ธนาคารออมสินจึงมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนช่วยเหลือเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โดยให้กู้ “สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ” ทั้งลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ประสบภัยพิบัติเพื่อนำไปซ่อมแซมหรือต่อเติมส่วนที่เสียหาย โดยให้กู้ได้ 100% ของราคาประเมินเฉพาะที่จะซ่อมแซมต่อเติม แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ผ่อนชำระได้ไม่เกิน 40 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 คงที่ 0% ปีที่ 2-3 อัตราดกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารฯ ปัจจุบัน = 6.245% ต่อปี) นอกจากนี้ ผู้ประสบภัยสามารถติดต่อยื่นกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วมขัง/อุทกภัย/ภัยพิบัติ ให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ชำระเงินคืนเป็นรายเดือน ผ่อนชำระได้ 3-5 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ต่อเดือน โดยที่ 3 เดือนแรกไม่ต้องชำระ หลังจากนั้น ปีที่ 2-5 คิดอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน (Flat Rate) ทั้งนี้ ธนาคารฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอสินเชื่อด้วย ใช้บุคคลค้ำประกันได้ไม่เกิน 2 คน มีอาชีพและรายได้แน่นอนตั้งแต่ 9,000 บาทขึ้นไปไม่น้อยกว่า 1 คน หรือใช้บัญชีเงินฝาก/สลากออมสินพิเศษ/อสังหาริมทรัพย์ หรือใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ค้ำประกัน ซึ่งธนาคารออมสินจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2% ต่อปีของภาระค้ำประกันให้แก่ผู้กู้ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปจนครบสัญญา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 หรือสามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทำความสะอาดหน้ากากผ้า
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 การทำความสะอาดหน้ากากผ้า เก็บไว้ใช้ซ้ำ ลดขยะ ป้องกันโรค - ใช้น้ำสบู่อ่อน หรือน้ำยาซักผ้าเด็ก ไม่ควรใช้น้ำยาขจัดคราบหรือน้ำยาฟอกผ้าขาว - ขยี้ให้ทั่วทั้งผืนทั้งด้านนอกและด้านใน -ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าและบิดให้หมาด -ควรตากพึ่งไว้ในที่ๆมีอากาศถ่ายเท หรือมีลมโกรก -ไม่ควรรีดหน้ากากผ้าหลังซัก หรือถ้าต้องการรีด ไม่ควรรีดหน้ากากโดยตรงควรใช้ผ้ารองรีดแทน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบายเรือนจำท่องเที่ยว พร้อมเปิดโครงการ​ "เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม" ณ​ เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และทัณฑสถานเปิดห้ว
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 รมว.ยุติธรรม​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบายเรือนจำท่องเที่ยว พร้อมเปิดโครงการ​ "เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม" ณ​ เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และทัณฑสถานเปิดห้ว รมว.ยุติธรรม​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบายเรือนจำท่องเที่ยว พร้อมเปิดโครงการ​ "เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม" ณ​ เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง จังหวัดระยอง ในวัน​จันทร์​ที่​ 24​ สิงหาคม​ 2563​ เวลา​ 10.00​ น.​ นายสมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์​ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ และผู้บริหารของหน่วยงาน​ในสังกัด​กระทรวง​ยุติธรรม​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบายเรือนจำท่องเที่ยว พร้อมเปิดโครงการ​ "เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม" ณ​ เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง จังหวัดระยอง​ โดยได้เยี่ยมชมตลาดนัดเรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และเปิดป้าย "เรือนจำท่องเที่ยวเชิงเกษตร เที่ยวสุขใจ ให้โอกาสผู้ก้าวพลาด สู่สังคม" รวมทั้งได้มอบรถเข็นทุนประอาชีพให้กับผู้ต้องขัง และการบริหารจัดการพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว พร้อมชมกิจการ "ร้านกาแฟเขาไม้แก้ว" และก๋วยเตี๋ยวแพอ่างแก้ว โดยมีผู้ต้องขังที่ผ่านการอบรมภาษาต่างประเทศ​ให้บริการ จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง เพื่อเปิดโครงการ "เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม" และเปิดการแข่งขันประกอบอาหาร "เชฟลูกกรงเหล็ก" ระหว่างเรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้วและทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง พร้อมทั้งเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้กิจกรรมต่าง​ ๆ อาทิ โครงการ​ 1 ไร่​ 1 แสน​ และกิจกรรมอาชาบำบัด​ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการ “เที่ยวสุขใจ ให้โอกาส ผู้ก้าวพลาดสู่สังคม” นอกจากจะมีประโยชน์ในการบริหารจัดการด้านสาธารณูปโภค ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความคุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการช่วยกล่อมเกลาจิตใจและพัฒนาองค์ความรู้ของผู้ต้องขัง ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ภายหลังพ้นโทษและไม่หวนมากระทำความผิดซ้ำ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง เพื่อคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคมได้อย่างแท้จริง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม มีที่ไหนบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2563
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2563 ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือน ก.ย.63 ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง และสุกร แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ ปาล์มน้ำมัน และกุ้งขาวแวนนาไม แนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2563 ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ ปาล์มน้ำมัน และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกันยายน 2563 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,336-9,595 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.16-3.97 เนื่องจากขาดแคลนข้าวระดับคุณภาพ 5% ในตลาดโลก จากการที่ประเทศจีนประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างรุนแรง ขณะที่ประเทศอินเดียประสบปัญหาน้ำท่วมและ การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงที่สุดในทวีปเอเชีย ทำให้เกิดปัญหาการขนส่งข้าวเพื่อส่งออก อีกทั้งประเทศเวียดนามก็ประสบปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 จึงเกิดการกักตุนข้าวในประเทศ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,531-14,636 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.32-1.05 เนื่องจากความกังวลผลผลิตข้าวในฤดูถัดไปอาจลดลงจากภาวะฝนตกหนักในแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าปริมาณฝนรวมส่วนใหญ่จะสูงขึ้นกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 5 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.59-7.63 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-1.50 เนื่องจากมี ฝนตกชุกต่อเนื่อง เกษตรกรจึงชะลอการเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ประกอบกับมาตรการรัฐที่ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 อาทิ การบริหารจัดการการนำเข้าและการดูแลความเป็นธรรมในการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะมีส่วนสำคัญในการรักษาระดับราคาให้สูงขึ้น ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 41.50 – 42.25 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.36 – 2.18 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาครัฐ ประกอบกับ เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจึงส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางพารา อีกทั้งคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดลดลงจากภาวะฝนตกชุกซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกรีดยางพารา มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.73-1.78 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.58 – 3.49 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการลานมันเส้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูมรสุมที่มีฝนตกชุกและบางพื้นที่การผลิตประสบปัญหาอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพแป้งในหัวมันสด อาจทำให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้ปรับลดลง และสุกร ราคาอยู่ที่ 78.08–79.26 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.64–2.17 เนื่องจากประเทศที่บริโภคสุกรรายใหญ่ของโลกประสบปัญหาการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร อาทิ ประเทศจีนและประเทศเวียดนาม จึงมีคำสั่งซื้อเพื่อนำเข้าสุกรจากไทยเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 15,376-15,377 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.38-0.40 เนื่องจากผู้ประกอบการระบายผลผลิตข้าวเหนียวในสต็อกคงค้างของปีก่อนออกสู่ตลาดเพื่อรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่ น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 12.70-12.77 เซนต์/ปอนด์ (8.80-8.85 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.00 เนื่องจากคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลทางภาคกลาง-ใต้ของประเทศบราซิล ในปี 2563/64 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.26 และโรงงานน้ำตาลของประเทศบราซิลจะนำอ้อยไปผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 46.4 จากร้อยละ 34.9 จากราคาและความต้องการเอทานอลที่ลดลงประกอบกับกลุ่มกองทุนเก็งกำไร มีโอกาสที่จะขายตั๋วซื้อน้ำตาล หากภาวะน้ำตาลในตลาดโลกยังมีน้ำตาลส่วนเกินอยู่มาก ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 3.35-3.45 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 3.09 – 5.90 เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงมาตรการระบายสต็อกน้ำมันปาล์มเพื่อผลิตเป็นไฟฟ้าของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ชะลอโครงการออกไป เป็นปัจจัยกดดันราคารับซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรให้ปรับตัวลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 139.00–140.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.71–1.42 เนื่องจากสถานการณ์ราคากุ้งในตลาดโลกลดลง เป็นปัจจัยกดดันให้ราคากุ้งในประเทศลดลงด้วย โดยคาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 20,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศ ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การประกาศวันหยุดชดเชยสงกรานต์ในช่วงต้นเดือนกันยายนจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคากุ้งปรับเพิ่มขึ้นได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 เกาะและฝังตัวอยู่บนผ้าได้นานกี่วัน ??
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 เกาะและฝังตัวอยู่บนผ้าได้นานกี่วัน ?? ไวรัสโควิด-19 อยู่บนผ้าได้นานกี่วัน ?? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 เกาะและฝังตัวอยู่บนผ้าได้นานกี่วัน ?? A : 2 วัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามความก้าวหน้าโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน – อ่างเก็บน้ำประแสร์
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ติดตามความก้าวหน้าโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน – อ่างเก็บน้ำประแสร์ ​รมว.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบกลับชั่วคราวคลองสะพาน และติดตามความก้าวหน้าโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน – อ่างเก็บน้ำประแสร์ มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 30 และคาดการว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบกลับชั่วคราวคลองสะพานมาเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ ซึ่งปัจจุบันสามารถสูบน้ำได้ 170,000 ลบ.ม./วัน และได้ติดตามความคืบหน้าโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน - อ่างเก็บน้ำประแสร์ ซึ่งจะสร้างแนวท่อส่งน้ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.80 เมตร ความยาว 3.7 กิโลเมตร พร้อมสถานีสูบน้ำ อัตราการสูบน้ำ 1.375 ลบ.ม./วินาที จำนวน 5 เครื่อง สูบผันน้ำได้ปีละ 50 ล้าน ลบ.ม. โดยโครงการมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 30 และคาดการว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 หากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่อ่างเก็บน้ำประแสร์ สำหรับสนับสนุนความต้องการใช้น้ำตาม “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตอบสนองความต้องการใช้น้ำอย่างสมดุลทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการผันน้ำส่วนเกินในคลองสะพานไปเก็บกักยังแหล่งน้ำใกล้เคียง และบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดระยอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2563
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (อังกฤษ) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ร รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (อังกฤษ) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,252 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.31 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 102 ราย หรือร้อยละ 2.99 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,412 ราย สำหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เดินทางมาจากประเทศอังกฤษ 1 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติอังกฤษ อายุ 29 ปี อาชีพรับจ้าง (ครูสอนภาษา) เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2563 พร้อมสามีและบุตรสาวเข้าพักที่สถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อ ในการตรวจครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 สิงหาคม 2563 มีอาการไข้ ปวดศีรษะ นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ในต่างประเทศยังมีการระบาดเป็นวงกว้าง มีรายงานผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสม 25,384,436 ราย มีอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันกว่า 200,000 ราย สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ในประเทศไทยอยู่ระดับค่อนข้างดีต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ อินเดียและบังคลาเทศ มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันค่อนข้างมาก และพบว่ามีการระบาดมายังชายแดนประเทศเมียนมา ทำให้สถานการณ์ในเมียนมาเริ่มรุนแรงขึ้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเป็นบทเรียนให้ไทยได้ตื่นตัวและเฝ้าระมัดระวังมากขึ้น สิ่งที่น่ากังวลของประเทศไทยคือการเดินทางเข้ามาของกลุ่มแรงงานต่างด้าวตามเขตแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อม อาทิ ด้านความมั่นคงซักซ้อม รับมือและเข้มงวด ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการปอดอักเสบหรือมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อโควิด 19 ให้ได้โดยเร็ว ภาคเอกชน เช่น โรงงาน สถานประกอบการ หอพัก ไม่รับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และภาคประชาสังคม อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่อง หากพบบุคคลแปลกหน้าให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในประเทศได้ สำหรับวันหยุดยาวที่จะมาถึงในวันที่ 4 – 7 กันยายน 2563 นี้ ขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันดูแลเศรษฐกิจของประเทศ “กินของไทย ใช้ของไทย และเที่ยวไทย อย่างปลอดภัย” และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ไม่นำตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยงต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการป่วย เป็นไข้ หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ ควรพักรักษาตัวไม่ไปในสถานที่ต่าง ๆ ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และลงทะเบียนเข้า-ออก สถานที่ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการ ทั้งนี้เพื่อเศรษฐกิจและชีวิตจะเดินต่อไปได้ **************************** 31 สิงหาคม 2563 ********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 จำนวน 1.82 แสนล้านบาท และคาดเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปี”
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 จำนวน 1.82 แสนล้านบาท และคาดเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปี” ในเดือนสิงหาคม 2563 สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (กิจการฯ) จำนวน 11,512 ล้านบาท นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคม 2563 สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (กิจการฯ) จำนวน 11,512 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสมจากรัฐวิสาหกิจและกิจการฯ ในช่วง 11 เดือน (1 ตุลาคม 2562 – 31 สิงหาคม 2563) จำนวน 182,288 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมจำนวน 10,645 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของเป้าหมายทั้งปีงบประมาณ 2563 จำนวน 188,800 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 10 อันดับแรก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ได้แก่ หน่วย : ล้านบาท ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจ เงินนำส่งรายได้แผ่นดิน 1 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 42,521 2 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 29,198 3 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 28,619 4 ธนาคารออมสิน 18,000 5 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 10,500 6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) 8,890 7 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6,715 8 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 6,230 9 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 5,922 10 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 5,660 11 อื่นๆ 20,033 รวม 182,288 หมายเหตุ : ข้อมูลเงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลัง โดย สคร. จัดเก็บ ซึ่งไม่รวมเงินนำส่งรัฐประเภทอื่น เช่น ภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 - 7 ต่อ 3156
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารเพื่อติดตามงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 การประชุมผู้บริหารเพื่อติดตามงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สปอ. วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) เวลา 10.00น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้านการใช้จ่ายงบประมาณ และการดำเนินภารกิจอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2563 รวมถึงกำหนดแนวทางการจัดทำแผนการดำเนินงานปีงบประมาณ 2564 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สปอ.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันศิลปะการเต้นระดับประเทศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันศิลปะการเต้นระดับประเทศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๖๓ รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันศิลปะการเต้นระดับประเทศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๖๓ วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันศิลปะการเต้นระดับประเทศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๖๓ พร้อมทั้งรับชมและมอบประกาศนียบัตรแก่ตัวแทนผู้เข้าประกวดการแข่งขัน 7th CSTD Thailand Dance Grand Prix 2020 โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม น.ส.วัลลภา ปัจฉิมสวัสดิ์ ผู้แทนสถาบัน CSTD นักเต้นเยาวชนและระดับมืออาชีพ เข้าร่วมพิธี ณ โรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดงานสัมมนาเรื่อง “พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนภูมิภาค เพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข”
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 รมว.พม. เปิดงานสัมมนาเรื่อง “พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนภูมิภาค เพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข” รมว.พม. เปิดงานสัมมนาเรื่อง “พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนภูมิภาค เพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข” วันนี้ (4 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาเรื่อง “พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนภูมิภาคเพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข” จัดโดยคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางสาวรังสิมา รอดรัศมี ประธานคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้นำชุมชนในพื้นที่ ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เข้าร่วมงาน ณ ภัตตาคารฮวดหูฉลาม ตำบลแม่กลอง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม นายจุติ กล่าวว่า การสัมมนา“พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนภูมิภาคเพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข” เป็นเวทีสำหรับการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน สิทธิประโยชน์ และสิทธิสวัสดิการสังคม ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งสิทธิสวัสดิการสังคมเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญและเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรัฐต้องจัดให้มีระบบการจัดบริการทางสังคมเกี่ยวกับการป้องกันการแก้ไข การพัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสมเป็นธรรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งทางด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงาน การมีรายได้การนันทนาการ ตลอดจนกระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไป โดยต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ และทุกกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับสวัสดิการสังคมอย่างเป็นระบบ อันจะเป็นการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดอย่างรุนแรงส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบวงกว้าง ทำให้ประชาชนต้องมีการปรับเปลี่ยนชุดพฤติกรรมของตนเองให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เกิดเป็นวิถีใหม่ในการดำรงชีวิต ซึ่งจำต้องปฏิบัติกันให้เป็นปกติต่อเนื่องจนเกิดเป็นความพอใจ และกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในสังคม ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการระบาด มีเจ้าหน้าที่ของรัฐกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน อสม. อพม. และบุคลากรของหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือทางราชการ ในฐานะเป็นผู้แทนของรัฐ ปฏิบัติงานอยู่ในระดับใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ ดูแลทุกข์ สุข ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ความเป็นอยู่ของประชาชน อย่างเต็มความสามารถ และในขณะเดียวกันยังเป็นผู้แทนประชาชนในการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสะท้อนเสียงเรียกร้องของประชาชนในท้องที่กลับมายังภาครัฐ เพื่อขอให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและส่งเสริมพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือสังคมให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในครั้งนี้ ขอให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ตลอดทั้งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมและสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ยังประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีมีสุขต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34814
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือบิ๊กซี ขยายผลเกษตรแปลงใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือบิ๊กซี ขยายผลเกษตรแปลงใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ ขยายผลเกษตรแปลงใหญ่ ร่วมมือบิ๊กซี พัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตร สู่ตลาดนำการเกษตร นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตร สู่ตลาดนำการเกษตร ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมุ่งมั่นให้ภาคเกษตรมีความมั่นคง เกษตรกรมั่งคั่ง ทรัพยากรยั่งยืน จึงมุ่งเน้นการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จึงเกิดนโยบายตลาดนำการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 6,926 แปลง ให้เกษตรกรเกิดความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่าง ๆ เพื่อความสมดุลทั้งการผลิตและการตลาด โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรสามารถผลิตได้ตามความต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตเป็น ตลอดจนการผลิตสินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป และสินค้าหัตถกรรมต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและปลอดภัย ยกระดับเป็นสินค้าพรีเมี่ยม พร้อมเข้าสู่ทุกช่องทางการตลาดที่มีศักยภาพ ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิตอล ตอบโจทย์ตรงใจต่อความต้องการของผู้บริโภค นำไปสู่การเป็นภาคการเกษตรแบบครบวงจรที่เกษตรกรสามารถสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และจากนโยบายตลาดนำการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายร่วมกัน มีความพร้อมสนับสนุน ช่วยเหลือพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมของเกษตรกรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายปลาย ทั้งการผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่ม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต และในด้านการตลาดที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีแหล่งรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนเกษตรกรทราบความต้องการของตลาด สามารถนำมาวางแผนการผลิตให้สอดคล้องทั้งคุณภาพและปริมาณ เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาผลผลิต มีรายได้และสร้างความมั่นคงทางอาชีพแก่เกษตรกร ตลอดจนผู้บริโภคได้เข้าถึงผลผลิตทางการเกษตร ทั้งผักและผลไม้ปลอดภัยจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ผ่านบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้าคุณภาพไปทั่วประเทศไทย “นอกจากการให้ความสำคัญกับเกษตรแปลงใหญ่แล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังให้ความสำคัญกับพี่น้องเกษตรกรรายย่อยด้วย ซึ่งจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยจะได้รับการดูแลจากภาครัฐเหมือนกัน มีการให้คำแนะนำและช่วยปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้มีความยังยืนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยมุ่งหวังที่จะสร้างพื้นฐานให้กับความมั่นคงให้กับอาชีพเกษตรกรรม เพื่อนำไปสู่การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังตั้งเป้าให้ภาคการเกษตรของไทยสามารถเป็นครัวของโลก จึงต้องมีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก เราจึงต้องร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ซึ่งการลงนามในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นพันธมิตรที่จะช่วยกันพัฒนาภาคเกษตรกรรมต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินงานในระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน 413,697 ครัวเรือน พื้นที่ 6,777,454 ไร่ จำนวนแปลงใหญ่ 6,926 แปลง สินค้าเกษตรประมาณ 90 รายการ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการกลุ่ม และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพ วางแผนการผลิต ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ มีการเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตกับตลาด ตามนโยบาย “การตลาดนำการเกษตร” ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน และสร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อนความร่วมมือในการเชื่อมโยงการทำงานด้านการผลิตและการตลาดกับบิ๊กซี ซึ่งได้มีการวางแผนดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยบิ๊กซีได้รับซื้อแตงโม จากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่แตงโม ต.แร่ อ.พังโคน จ.สกลนคร จำนวน 1,800 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาทต่อปี และสับปะรดบ้านคา จากแปลงใหญ่สับปะรดผลสด ต.บ้านบึง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี จำนวน 439 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 7 ล้านบาทต่อปี และมีแผนจะดำเนินการรับซื้ออโวคาโด จากแปลงใหญ่อโวคาโด หมู่ 4 ต.รวมไทย อ.พบพระ จ.ตาก ในฤดูกาลถัดไปด้วย ซึ่งเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง และจะขยายผลต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธี​มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ​ การมอบ​ สปก.-๔๐๑​ และเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัย​ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น​ มอบนโยบายการดำเนินงาน​ พร้ รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ตรวจราชการ​ ​โครงการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ​ มอบ​ สปก.-๔๐๑​ และมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยฯ​ ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธี​มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ​ การมอบ​ สปก.-๔๐๑​ และเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัย​ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น​ มอบนโยบายการดำเนินงาน​ พร้อมพบปะกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่​ ณ​ ศาลาอนุสรณ์ราชประชาสมาสัยฯ​ กรมธนารักษ์​ ตำบลโนนสมบูรณ์​ อำเภอบ้านแฮด​จังหวัดขอนแก่น​ วันนี้ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓) เวลา ๐๙.๓๐ น.​ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับ​ พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ​ เพื่อติดตามงานและเป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ​ กรมธนารักษ์ การมอบหนังสืออนุญาตที่ดินทำกิน สปก.-๔๐๑​ และมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ​ (พื้นที่ลุ่มน้ำ​ ๓,๔,๕) ตามมาตรา​ ๑๖​ แห่ง​พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ​ พ.ศ.​๒๕๐๗ ในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน​ (คทช.)​ ซึ่งเป็นการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในลักษณะแปลงรวม​ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน​ ที่อยู่อาศัย​ ลดความเหลื่อมล้ำ​ ให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย​ ที่ทำกิน​ อย่างเป็นธรรม​ มั่นคง​และยั่งยืน​ โอกาสนี้​ รมว.ทส.​ ได้กล่าวรายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล​ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ​ (คทช.)​ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน​ และมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ​ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น​จำนวน​ ๒ พื้นที่​ เนื้อที่รวม​ ๙,๔๔๒-๒-๓๘​ ไร่ ได้แก่​ ป่าสงวนแห่งชาติ​ ป่าภูเวียง​ จำนวน​ ๘๗๒-๑-๙๑​ ไร่​ และป่าดงมูล​ จำนวน​ ๘,๕๗๐-๐-๔๗ ไร่​ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี​ (พลเอกประวิตรฯ)​ ร่วมเป็นสักขีพยาน พลเอกประวิตรฯ​ ได้กล่าวแสดงความยินดี​ กับประชาชน​ และเกษตรกร​ ผู้ที่ได้รับเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุ​ เอกสารสิทธิ​ สปก.-๔๐๑​ และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมาย​ คทช.​ ทุกคน​ และขอบคุณผู้บริหาร​ เจ้าหน้าที่​ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ ที่ร่วมกันดำเนินการจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี​ รวมทั้ง​ ได้ฝากเน้นย้ำ​ ให้ประชาชน​ เกษตรกร​ ทุกคนที่ได้รับสิทธิ​ฯ​ไปแล้ว​ ให้ช่วยกันรักษาและทำประโยชน์ในพื้นที่อย่างเต็มความสามารถ​ และให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Beef Board ทบทวนข้อเสนอยุทธศาสตร์โคเนื้อ 20 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 Beef Board ทบทวนข้อเสนอยุทธศาสตร์โคเนื้อ 20 ปี Beef Board ทบทวนข้อเสนอยุทธศาสตร์โคเนื้อ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) มุ่งหวังสร้างผู้นำการผลิตโคเนื้อ อย่างมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายสัตว์แพทย์อภัย สุทธิสังฃ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ - กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (Beef Board) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในวันนี้ได้หารือเพื่อทบทวนข้อเสนอยุทธศาสตร์โคเนื้อ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) ซึ่งมีวิสัยทัศในภาพรวมคือการเป็นผู้นำการผลิตโคเนื้อ อย่างมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยในระยะ 5 ปีแรก Beef Board ได้ทบทวนผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 1 เป็นการรักษาตลาดการบริโภคโคเนื้อไทย ยุทธศาสตร์ที่ 2 เป็นการกระตุ้นการเพิ่มประชากรโคเนื้อไทย และยุทธ์ศาสตร์ที่ 3 เป็นการบริหารจัดการพืชอาหารสัตว์และอาหารสัตว์สำหรับโคเนื้อ ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตโคเนื้อที่เพียงพอต่อการบริโภคและส่งของในภูมิภาค ในระยะ 10 ปี ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาดโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ในอาเซียน+3 ในระยะ 15 ปี ประเทศไทยจะเป็นผู้นำการตลาดมูลค่าโคเนื้อด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในระยะ 20 ปี ประเทศไทยจะเป็นผู้นำการส่งออกอาหารและผลิตภัณฑ์เนื้อโคในตลาดโลก ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อกว่า 909,324 ราย ซึ่งมีโคเนื้อทั้งหมดกว่า 6,230,140 ตัว โดยการประมาณการผลผลิตโคเนื้อในปี 2563 คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2562 กว่า 1.224 ล้านตัว เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ช่วยเหลือครูผู้ค้ำประกันนครศรีธรรมราช งดขายทอดตลาดและติดต่อผู้กู้ยืมให้รับผิดชอบชำระหนี้”
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 “กยศ. ช่วยเหลือครูผู้ค้ำประกันนครศรีธรรมราช งดขายทอดตลาดและติดต่อผู้กู้ยืมให้รับผิดชอบชำระหนี้” กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงกรณีครูผู้ค้ำประกันที่ถูกยึดทรัพย์แทนผู้กู้ยืมที่ไม่ชำระหนี้ โดยงดการขายทอดตลาด และติดต่อผู้กู้ยืมให้รับผิดชอบชำระหนี้ทั้งหมด นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากกรณีที่ คุณครูวันดี อดีตคุณครูโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน เนื่องจากถูกยึดทรัพย์บ้านและที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เนื่องจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้แก่นักศึกษาผู้กู้ยืมกองทุน แต่หลังจากผู้กู้ยืมเรียนจบกลับไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จนกระทั่งถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและถูกบังคับคดี ทำให้คุณครูที่เป็นผู้ค้ำประกันได้รับความเดือดร้อน นั้น กองทุนขอชี้แจงว่าจากการสืบทรัพย์บังคับคดี ไม่พบทรัพย์ของผู้กู้ยืม แต่พบทรัพย์ของคุณครูที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงจำเป็นต้องดำเนินการบังคับคดีที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากกองทุนทราบเรื่องดังกล่าว กองทุนได้พยายามติดต่อจนสามารถติดต่อผู้กู้ยืมได้ ซึ่งผู้กู้ยืมยินยอมที่จะชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้คุณครูผู้มีพระคุณเดือดร้อน โดยขอผ่อนชำระเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ทั้งนี้ ในส่วนทรัพย์สินของคุณครูที่ถูกยึดไว้นั้น กองทุนจะงดการขายทอดตลาด และขอยืนยันว่าจะไม่มีการขายทอดตลาดอย่างแน่นอน ซึ่งทางกองทุนได้แจ้งคุณครูวันดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กองทุนขอฝากถึงผู้กู้ยืมทุกท่านให้มีความรับผิดชอบในการชำระเงินคืนเพื่อไม่ให้เดือดร้อนถึงผู้ค้ำประกันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือครูอาจารย์ที่เคยให้ความช่วยเหลือยามยากลำบาก โดยเงินที่ชำระคืนจะนำไปหมุนเวียนสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่น้องๆ ที่ยังรอโอกาสอีกจำนวนมาก” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีผลักดันการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ พร้อมเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีผลักดันการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ พร้อมเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ นายกรัฐมนตรีผลักดันการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ พร้อมเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ วันนี้ (1 ก.ย. 63) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการเด่นกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 17 โดยกระทรวงสาธารณสุข และนิทรรศการแสดงผลงานศิลปาชีพและงานหัตถศิลป์ไทยแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัย โดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) รวมถึงร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2563 ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการเด่นกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จากงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ประกอบไปด้วย ฟ้าทะลายโจร เสริมภูมิต้านโควิด-19 ทางเลือกเพื่อเศรษฐกิจไทย การวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กัญชา ทางการแพทย์แผนไทย และผลิตภัณฑ์สมุนไพร รางวัล PMHA (Prime Minister Herbal Awards) โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจสอบถามคุณสมบัติผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยา ใช้ในการรักษาโรคได้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลสนับสนุนการวิจัยสมุนไพรไทยควบคู่ไปกับการพัฒนายาแผนปัจจุบัน เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 17 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 6 ก.ย. 63 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 10 – 1 จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลงานศิลปาชีพและงานหัตถศิลป์ไทยแบบดั้งเดิมและ แบบร่วมสมัย โดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวรายงานการจัดงาน “Craft Bangkok 2020” เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไทย ยกระดับคุณภาพการผลิต ส่งเสริมกระบวนความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไทยที่มีลวดลายสวยงาม มีความปราณีต แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทย พร้อมแนะให้มีการผลักดันสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้แก่ช่างศิลปหัตถกรรมด้วย ทั้งนี้ งาน “Craft Bangkok 2020” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 6 ก.ย. 63 ณ ฮออล์ 98 - 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 15 – 20 ก.ย. 63 เพื่อสืบสานอัตลักษณ์ของประเพณีในท้องถิ่น โดยอาหารที่ใช้ประกอบพิธีงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ เช่น กระยาสารท ข้าวต้มมัด กล้วยไข่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะขามที่เป็นเอกลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ การจัดแสดงดอกไม้ที่มีสรรพคุณทางยาถวายพระพุทธมหาธรรมราชา พร้อมรับชมการแสดงรำจากเยาวชน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมเทศกาลงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม รวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกด้วย ....................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เดินหน้าแผนพัฒนา ฟื้นฟู กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ปรับโฉมแหล่งเรียนรู้-เส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 วธ. เดินหน้าแผนพัฒนา ฟื้นฟู กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ปรับโฉมแหล่งเรียนรู้-เส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วธ.เดินหน้าแผนพัฒนา ฟื้นฟู กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ปรับโฉมแหล่งเรียนรู้-เส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ส่งเสริมนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม วธ.เดินหน้าแผนพัฒนา ฟื้นฟู กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ปรับโฉมแหล่งเรียนรู้-เส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ส่งเสริมนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ชงผลการใช้มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นพลังขับเคลื่อน เข้าครม. เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่จังหวัดระยอง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ลงพื้นที่ตรวจราชการในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ โดยได้เยี่ยมชมและติดตามความคืบหน้าโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม (4DNA) การพัฒนาศักยภาพชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเก่าริมน้ำประแส การพัฒนาแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ณ วัดลุ่มมหาชัยชุมพล และอุทยานการเรียนรู้สมเด็จพระเจ้าตาก พร้อมทั้งชมต้นตะเคียนคู่และต้นสะตือ รุกขมรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี ประจำปี ๒๕๖๐ โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมทั้งส่วนกลางและภาคตะวันออก ๑ เข้าร่วม นายอิทธิพล กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ประกอบด้วย จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย มีความโดดเด่นด้านแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม อาทิ ป้อมกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา พระตำหนักกรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ อนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดโสธรวรารามวรวิหาร แหล่งเรียนรู้บ้านเก่าริมน้ำประแส เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายจัดทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) เพื่อพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ Thailand ๔.๐ โดยมีเป้าหมายให้เกิดฐานการผลิตเทคโนโลยีใหม่ มีการพัฒนาคน ความรู้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม และยกระดับการท่องเที่ยวไปสู่ระดับโลก นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมในพื้นที่ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ โดยลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานกิจกรรมและโครงการที่สำคัญ ได้แก่ ๑.โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม (4DNA) ณ โรงแรม แพลทินั่ม โฮเทล ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC (Young Enterpreneur chamber of commerce) ของจ.ระยอง ที่นำผลการถอดรหัสอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ อ.ปลวกแดง ไปออกแบบและประกอบธุรกิจโรงแรมจนประสบความสำเร็จ ตามโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ๒.ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาศักยภาพชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลัง “บวร” บ้านเก่าริมน้ำประแส ต.ปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งชุมชนคุณธรรมดังกล่าวเป็นต้นแบบความสำเร็จของการพัฒนาชุมชนโดยเน้นการปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนา ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สืบสานวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม มีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ยึดเหนียวจิตใจ และเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยว (บวร On Tour) ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ แก่ประชาชนท้องถิ่น ๓.ติดตามการดำเนินงานพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ณ วัดลุ่ม พระอารามหลวง และอุทยานการเรียนรู้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งมีโบราณสถานและพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญ ได้แก่ โบสถ์เก่า ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานโดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้นสะตืออายุกว่า ๓๐๐ ปี เป็นรุกข มรดกของแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๐ รวมทั้งสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ตามรอยเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นอกจากนี้ วธ. มีแผนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในมิติวัฒนธรรม โดยเตรียมฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สนับสนุนการนำเสนอ “เมืองพัทยา” ให้เป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ ของ UNESCO และกำหนดจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองพัทยา ในปี ๒๕๖๔ เพื่อส่งเสริมให้พัทยาเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตและถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก นายอิทธิพล กล่าวว่า สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จ.ระยอง วธ.จะนำเสนอวีดิทัศน์มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้ที่ประชุมครม.รับทราบในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ (พ.ศ.๒๕๖๒ – ๒๕๖๔) และดำเนินงานตามแผนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในมิติวัฒนธรรม รวมทั้งเพื่อเดินหน้าฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออก ๑ ภายหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่า ๒๐๑๙ (โควิด-19) โดยจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งดึงดูดผู้ประกอบการให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มยิ่งขึ้น -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยก 5 ข้อเสนอคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย คดีนายวรยุทธฯ ย้ำหลักยุติธรรมคือหลักการสำคัญประเทศ
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี ยก 5 ข้อเสนอคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย คดีนายวรยุทธฯ ย้ำหลักยุติธรรมคือหลักการสำคัญประเทศ นายกรัฐมนตรี ยก 5 ข้อเสนอคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย คดีนายวรยุทธฯ ย้ำหลักยุติธรรมคือหลักการสำคัญประเทศ วันนี้ (1 ก.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายวรยุทธ อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ถึงแก่ชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ เมื่อ พ.ศ. 2555 แม้นจะดำเนินคดีในลักษณะนี้จำนวนมาก แต่เพื่อสังคมและประชาชนมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย จึงได้มอบหมาย นาย วิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งได้เสนอรายงานการทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่าไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ หรือสำนักงานอัยการสูงสุดที่เป็นองค์กรอิสระ เพียงแต่กำชับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีความรอบคอบ เพราะหลักยุติธรรมต้องเป็นหลักการสำคัญของประเทศ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ รายงานคดีดังกล่าวใช้ระยะเวลาดำเนินการมากว่า 8 ปี และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายซึ่งอาจมีการร่วมมือเป็นกระบวนการ รวมถึงมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมจำนวน 14 ครั้ง ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพื่อลดความขัดแย้งในสังคม จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจึงมีข้อเสนอ 5 ข้อ ได้แก่ 1. การยกคดีขึ้นดำเนินการใหม่ โดยเฉพาะคดีที่ยังไม่ขาดอายุความ 2. ดำเนินคดีทางวินัยและอาญาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย 3. ในเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจนว่ามีความผิดหรือไม่ จะต้องมีตรวจสอบพฤติการณ์ทางจริยธรรม 4. ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการมอบอำนาจของผู้บังคับบัญชา และ 5. การปรับแก้ไข/เพิ่มติมกฎหมาย ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าหน่วยงานที่เกี่ยวจะต้องดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ และรัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นศูนย์กลางในการติดตามข่าวสารเพื่อให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอเพิ่มระยะเวลาทำงานอีก 30 วัน หากประชาชนมีข้อเสนอหรือเบาะแสต่าง ๆ สามารถส่งให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการต่อได้ .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​‘นฤมล’ เยือนขอนแก่น เดินหน้าพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 ​‘นฤมล’ เยือนขอนแก่น เดินหน้าพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนและผู้ใช้แรงงานชาวขอนแก่นกว่า 800 คน รวมถึงรับทราบปัญหา อุปสรรค และความต้องการของคนในพื้นที่ ลั่น! พร้อมเดินหน้าพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน วันที่ 29 สิงหาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น พบปะประชาชนและผู้ใช้แรงงาน กว่า 800 คน เพื่อให้กำลังใจแก่ประชาชนผู้ใช้แรงงาน รวมถึงรับทราบปัญหา อุปสรรค และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะความต้องการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ณ ที่ว่าการอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสวัสดิการ โดยเฉพาะการให้โอกาสเข้าถึงสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ ตลอดจนโอกาสในการได้รับการพัฒนาทักษะทางอาชีพ ให้มีงานทำ มีรายได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมกำลังแรงงานทั้งแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ ตลอดจนแรงงานภาคการเกษตรที่อยู่ในช่วงรอฤดูกาลเก็บเกี่ยว ให้มีโอกาสในการประกอบอาชีพเสริมหรืออาชีพอิสระ สามารถสร้างรายได้ ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป “การพบปะประชาชนและผู้ใช้แรงงานในวันนี้ ทำให้รับทราบปัญหา อุปสรรค และความต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ ตลอดจนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการดำเนินงานของกระทรวงภายใต้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคประชาชนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด สำหรับแรงงานที่ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของตลาด รวมถึงพัฒนาทักษะเพื่อนำไปประกอบอาชีพเสริม ตลอดจนเพิ่มทักษะฝีมือทางด้านอาชีพ สามารถติดต่อสมัครฝึกอบรมได้ที่หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือติดตามในเพจเฟซบุคของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ หรือโทรสอบถามที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 ครม.เห็นชอบ จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบมาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้ยังคงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 ถึง 30 ก.ย. 64 สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้แก่ภาคเอกชนเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง อีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34678
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 14 กันยายน 2563
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 14 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 14 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่14 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย) เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,312 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.31 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย หรือร้อยละ 3.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,475 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก สหรัฐอเมริกา1 รายเป็นเพศชาย อายุ 23 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้างสอนหนังสือ เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 5 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 10 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ผลไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำวันที่ 12 กันยายน 2563 (วันที่ 7 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี กาตาร์1 รายเป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 29 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 7 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 11 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเข้มมาตรการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคในผู้เดินทางจากต่างประเทศ ซึ่งทุกรายจะต้องเข้ากักกันในสถานที่รัฐจัดให้จนครบ 14 วัน และทำการตรวจคัดกรอง เมื่อพบว่าติดเชื้อจะส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษาทันที ป้องกันการแพร่กระจายเข้าประเทศ นอกจากนี้ พื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 หน่วยงานด้านความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุขได้บูรณาการทำงานร่วมกัน เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ในผู้ที่เดินทาง และเพิ่มการเฝ้าระวังแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประชากรต่างด้าว (อสต.) สอดส่อง เฝ้าระวังแรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อโควิด 19 เข้ามาแพร่กระจายในประเทศได้ และยังได้ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่จังหวัดตะเข็บชายแดนเพื่อทำการตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงด้วย ทั้งนี้ ได้ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 8 – 9 กันยายน 2563 ที่โรงเรียนอิสลามศึกษา, โรงเรียนวังตะเคียน, อบต.แม่กะษา และเรือนจำ รวม 2,636 คน ผลการตรวจคัดกรองทั้งชาวไทยและต่างด้าวทั้งหมดไม่พบการติดเชื้อโควิด 19 สำหรับโรงงานและสถานประกอบการซึ่งมีทั้งแรงงานไทยและต่างด้าวทำงานอยู่รวมกันจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขได้ออกคำแนะนำเป็นแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของโรคโควิด 19 โดยให้เจ้าของ/ผู้ประกอบการ จัดจุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกายแรงงานและผู้เข้าสถานที่ทุกคน ล้างมือก่อนเข้าทำงาน สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา จัดให้เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดพื้นที่บ่อย ๆ จัดระบบระบายอากาศที่ถ่ายเท ถ้าพบมีไข้ให้หยุดงานและไปพบแพทย์ หากมีแรงงานที่เข้ามาใหม่ต้องมีระบบการเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพที่เคร่งครัดเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นพิเศษ รวมทั้งขอความร่วมมือชะลอการนำแรงงานจากพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เข้ามาทำงานในขณะนี้ และไม่สนับสนุนการจ้างงานแรงงานผิดกฎหมาย ในกรณีที่พบผู้ป่วยยืนยันหรือมีข้อมูลบ่งชี้ว่าสถานที่นั้นเป็นจุดแพร่เชื้อ จะต้องดำเนินการตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ เช่น ทำความสะอาดฆ่าเชื้อทันทีภายใน 24 ชั่วโมง รวมทั้งการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงที่ได้จากข้อมูลการสอบสวน ทั้งนี้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและแรงงานปฏิบัติตนตามคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันตนเอง การ์ดอย่าตก และจัดมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกในโรงงาน ซึ่งหลายพื้นที่ดำเนินการได้ดี โดยมีด่านหน้าคือ อสม. อสต. และรพ.สต.ในพื้นที่ ช่วยดูแลให้คำแนะนำ ซึ่งหากไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงจะไม่มีความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิดในทุกโรงงาน หากมีข้อสงสัยสอบถามที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ****************************** 14 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เนวินธุ์” แชร์ Best Practice ดีอีเอส หนุนบูรณาการใช้โครงสร้างไอทีลดเหลื่อมล้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 “เนวินธุ์” แชร์ Best Practice ดีอีเอส หนุนบูรณาการใช้โครงสร้างไอทีลดเหลื่อมล้ำ “เนวินธุ์” แชร์ Best Practice ดีอีเอส หนุนบูรณาการใช้โครงสร้างไอทีลดเหลื่อมล้ำ “เนวินธุ์” ผู้ช่วยรมว.ดีอีเอส ประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีร่วมกับประเทศสมาชิกไอทียู ในงาน WSIS 2020 ใช้เวทีแลกเปลี่ยนความเห็นและแนวปฏิบัติที่ดีของไทย โชว์ความสำเร็จเรื่องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศลดความเหลื่อมล้ำ ภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐ นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (8 กันยายน 2563) ได้เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ภายใต้งาน World Summit on the Information Society Forum (WSIS) 2020 ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกในกรอบสหประชาชาติสำหรับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อการพัฒนา และเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาองค์ความรู้ และแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมถึงการกำหนดแนวทางการพัฒนาและสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี เป็นการประชุมปิดที่มีผู้เข้าร่วมประชุมในระดับรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยเท่านั้น เพื่อหารือในเรื่องนโยบายที่ส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีและการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างสังคมสารสนเทศ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาศักยภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยีเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมี Mr. Houlin Zhao เลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู (ITU) เป็นผู้ดำเนินรายการ และมีรัฐมนตรีจากประเทศโดมินิกัน ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม “ในการเข้าร่วมประชุมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิก ITU ครั้งนี้ ผมได้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและแนวปฏิบัติที่ดีของไทย ในเรื่องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี ภายใต้ความสำเร็จของโครงการเน็ตประชารัฐ และประสบการณ์ของไทยในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในช่วงสถานการณ์โควิด -19” นายเนวินธุ์กล่าว สำหรับการประชุมในปีนี้ ได้จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ แทนการประชุมในรูปแบบปกติ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 กิจกรรมของ WSIS จะประกอบด้วย การประชุมระดับรัฐมนตรี การประชุม High-level Policy Sessions และ พิธีมอบรางวัล WSIS PRIZE 2020 โดยในการประชุม High Level Policy Session ซึ่งจัดไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมประชุม และนำเสนอนโยบายด้านด้านดิจิทัลของไทย ที่ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ของทุกภาคส่วน *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาเหตุใดที่ทำให้ทองแดง สามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ??
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 สาเหตุใดที่ทำให้ทองแดง สามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ?? สาเหตุใดทองแดงสามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ Q : สาเหตุใดที่ทำให้ทองแดง สามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ?? A : เป็นเพราะว่าไอออนของทองแดงจะเข้าไปทำลาย ลิพิด เมมเบรน (Lipid membrane) หรือเกราะป้องกันของไวรัส โดยผลวิจัยพบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวทองแดงได้เพียง 4 ชม. เท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บันทึกเทปกล่าวถ้อยแถลง The Online Platform on Sustainable and Resilient Recovery from COVID-19)
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 รมว.ทส.บันทึกเทปกล่าวถ้อยแถลง The Online Platform on Sustainable and Resilient Recovery from COVID-19) รมว.ทส.บันทึกเทปกล่าวถ้อยแถลง The Online Platform on Sustainable and Resilient Recovery from COVID-19) รมว.ทส.บันทึกเทปกล่าวถ้อยแถลง The Online Platform on Sustainable and Resilient Recovery from COVID-19) วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 15.00 น. ณ ห้องรับรอง ชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บันทึกเทปกล่าวถ้อยแถลงเพื่อเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ในการประชุมออนไลน์ เรื่อง การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและเข้มแข็งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (The Online Platform on Sustainable and Resilient Recovery from COVID-19) ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของ H.E. Koizumi Shinjiro รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือแนวทางการดำเนินงานรับมือและฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงเพื่อแสดงความร่วมมือร่วมใจของประเทศต่าง ๆ ในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการประชุมดังกล่าวจะกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 กันยายน 2563 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 กันยายน 2563
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 กันยายน 2563 วันนี้ (4 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจำวันที่4 กันยายน 2563 วันนี้ (4 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย (สหรัฐอเมริกา 1 ราย, สิงคโปร์ 1 ราย, ซาอุดิอาระเบีย 1 ราย) รับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด และโรงพยาบาลทางเลือก และเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย วันนี้ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,277 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.51 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 96 ราย หรือร้อยละ 2.79 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,431 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อวันนี้ ได้แก่ ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ - สหรัฐอเมริกา 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 31 ปี อาชีพว่างงาน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 1 กันยายน 2563 (วันที่ 7 ของการกักตัว) เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร - สิงคโปร์ 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 54 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 2 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร -ซาอุดิอาระเบีย1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 53 ปี อาชีพล่ามของสำนักงานแรงงาน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 2 กันยายน 2563 เข้ารักษาในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกในวันที่ 3 กันยายน 2563 มีประวัติป่วยโควิด 19 เมื่อเดือนกรกฎาคม -สิงหาคม 2563 เข้ารับการรักษาที่ซาอุดิอาระเบีย ผลตรวจก่อนเดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2563 ไม่พบเชื้อ ติดเชื้อในประเทศ1ราย เป็นผู้ต้องขังชาย สัญชาติไทย อายุ 37 ปี อาชีพดีเจ ทำงานในร้านอาหารหลายแห่ง เข้าสู่ระบบกักกันก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 พบเชื้อจากการตรวจหาเชื้อครั้ง 1 ในวันที่ 2 กันยายน 2563 (เป็นวันที่ 7 ของการกักตัว) เริ่มป่วยวันที่ 29 สิงหาคม 2563 มีเสมหะ เข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สถานการณ์ทั่วโลกวันนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสม 26,465,221 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 287,635 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 873,108 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา บราซิล และอินเดีย ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 121 ของโลก นายแพทย์โสภณกล่าวว่า สถานการณ์ระดับโลกยังมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศพบมีการระบาดระลอกสอง จึงจำเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องป้องกันตนเอง เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อในประเทศ สำหรับประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศหลังจากไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องมา 101 วัน เป็นเพศชายอายุ 37 ปี มีประวัติเป็นดีเจที่ร้านอาหารหลายแห่ง ไปขึ้นศาลวันที่ 26 สิงหาคม 2563 พบเชื้อจากการตรวจคัดกรองขณะกักกันในห้องแยกก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 จากการซักประวัติพบว่าเริ่มป่วยวันที่ 29 สิงหาคม 2563 มีเสมหะในคอ ไม่มีอาการอื่น ๆ ขณะนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ผู้สัมผัสใกล้ชิดที่ได้รับการตรวจแล้วเป็นผู้ต้องขังที่แยกกักอยู่ในห้องเดียวกันจำนวน 34 รายตรวจไม่พบเชื้อ รวมทั้งผู้สัมผัสในครอบครัว 6 คน ได้ตรวจแล้ว 5 คนไม่พบเชื้อ จากการสอบสวนโรค ซักประวัติทั้งกับผู้ติดเชื้อและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ได้ข้อมูลบางส่วนเพิ่มขึ้น โดยจะสอบสวนโรคย้อนหลังไป 14 วันนับจากวันที่ 29 สิงหาคม คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งผู้ติดเชื้ออยู่ที่บ้านและไปทำงานเป็นดีเจในร้านอาหาร จำนวน 3 แห่ง โดยอยู่ร้านที่ถนนพระราม 3 วันที่ 15, 17, 20 ,22, 24 สิงหาคม 2563 ในช่วงเวลา 24:00 - 02:00 น. ที่สาขาพระราม 5 วันที่ 16, 21 และ 23 สิงหาคม 2563 ในช่วงเวลา 22:00 - 01:00 น. และร้านที่ถนนข้าวสารวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ในช่วงเวลา 21:00 - 24:00 น. ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นคือที่ทำงาน 3 แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่จำกัดและในวันที่จำกัด ซึ่งทีมงานไทยชนะได้ตรวจสอบข้อมูลตามหมายเลขโทรศัพท์ที่เช็คอินในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะนี้ส่ง SMS และโทรติดตามทางโทรศัพท์แล้ว ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่พบกับผู้ติดเชื้อที่ศาลอาญารัชดา ในวันที่ 26 สิงหาคม 2563 จำนวนผู้สัมผัส 492 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 14 คน เสี่ยงต่ำ 478 คน ขณะนี้ได้ผลตรวจ 156 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 10 คน และสัมผัสเสี่ยงต่ำ 146 คน ไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตาม แม้ผลทางห้องปฏิบัติการตรวจไม่พบเชื้อโควิด 19 แนะนำให้กักตัวที่บ้าน และสังเกตอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ มีเสมหะ ต่อจนครบ 14 วันนับจากวันที่พบกับผู้ติดเชื้อรายนี้ *********************************** *********************************** 4 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนผู้บริโภครับประทานปลากะพงขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรไทย
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนผู้บริโภครับประทานปลากะพงขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรไทย กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนผู้บริโภครับประทานปลากะพงขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรไทย การันตีด้วยตราสัญลักษณ์ “กะพงไทย” ทดแทนการรับประทานปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าที่มีความสด สะอาด ไร้สารตกค้าง และมีความปลอดภ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ครั้งที่ 2 ภายใต้ธีม “ชาตินิยม กะพงไทย” (Sea bass Fair) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 กันยายน 2563 ณ บริเวณหน้าอาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืด กรมประมง ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตระหนักถึงปัญหาของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงขาว เนื่องจากเผชิญสภาวะปัญหาราคาตกต่ำ และมีสินค้าตกค้างรอการจำหน่ายเป็นจำนวนมาก จนเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จึงได้มอบหมายให้กรมประมงสร้างศักยภาพการแข่งขันทางด้านการตลาด โดยการยกระดับคุณภาพสินค้าสัตว์น้ำด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงที่ได้รับรองมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อจำหน่ายในตลาดให้กับประชาชนทั่วไปได้เลือกซื้อสินค้าปลากะพงขาวที่ผลิตจากเกษตรกรไทย และได้รับการรับรองจากกรมประมงว่าเป็นสินค้าที่มีความสด สะอาด ไร้สารตกค้าง และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งในรูปแบบการจำหน่ายสินค้าที่หน้าร้าน และการจำหน่ายด้วยช่องทางออนไลน์ ผ่านระบบ Fisheries shop ให้ผู้บริโภคที่แม้อยู่ต่างภูมิภาคก็สามารถมีการเข้าถึงได้สะดวก โดยการจัดงานในวันนี้ ได้มุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ให้คนไทยเกิดค่านิยมรับประทานปลากะพงขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรไทย ซึ่งได้การรับรองด้วยตราสัญลักษณ์ “กะพงไทย” ทดแทนการรับประทานปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารสูงใกล้เคียงกัน เป็นการสนับสนุนเกษตรกรให้ผลิตปลากะพงขาวป้อนสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง เกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพ เกิดรายได้และความความยั่งยืนตลอดไป ด้าน นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ครั้งที่ 2 นี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ในปี 2562 ที่ผ่านมา ได้จัดงานโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ภายใต้ธีม “ชาตินิยม กะพงไทย” (Seabass Fair) ครั้งที่ 1 ขึ้น เพื่อช่วยเหลือด้านราคาจำหน่ายปลากะพงขาวของเกษตรกรไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดี และสำหรับในปีนี้ ได้เกิดสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก กรมประมงจึงได้มีแนวคิดในการจัดงานนี้เป็นครั้งที่ 2 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) ส่งเสริมให้ประชาชนไทยได้บริโภคปลากะพงขาวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ไร้สารตกค้างที่ส่งตรงจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงขาวถึงผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง 2) เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าปลากะพงขาว และ 3) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการของกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการผลิตปลากะพงขาวที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และทราบถึงคุณค่าทางโภชนาการปลากะพงขาว สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) การจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพการผลิตปลากะพงขาว ภายใต้โลโก้ “กะพงไทย” ได้แก่ กระบวนการผลิตปลากะพงขาวคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP มกษ./CoC /GAP กรมประมง) ข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของปลากะพงขาวเปรียบเทียบกับปลาแซลมอน เป็นต้น 2) กิจกรรมการจัดจำหน่ายปลากะพงขาวคุณภาพและผลิตภัณฑ์จากปลากะพงขาวในรูปแบบต่าง ๆ 3) กิจกรรมการสาธิตประกอบอาหารจากวัตถุดิบปลากะพงขาว 4) กิจกรรมการปรุงอาหารจากปลากะพงขาว โดยผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารของกรมประมง และ 5) กิจกรรมการแข่งขันเพื่อกระตุ้นการบริโภคปลากะพงขาว ได้แก่ การแข่งขันการขอดเกล็ดปลากะพง และการแข่งขันรับประทานเมนูปลากะพง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีชุมชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (โควิด - 19)
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 พม. จับมือภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีชุมชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (โควิด - 19) พม. จับมือภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีชุมชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (โควิด - 19) วันนี้ (10 ก.ย. 63) เวลา 09.30 น.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีชุมชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (โควิด - 19) พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง มองเศรษฐกิจไทยภายหลังโควิด 19: ผลกระทบต่อสตรีในหลากหลายมิติ โดยมีคุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล ประธานเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนแห่งประเทศไทยกล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้แทนจากกลุ่มอาชีพสตรีหรือผู้ประกอบการสตรีขนาดเล็กในชุมชน รวมทั้งผู้ประกอบการสตรีและกลุ่มวิชาชีพสตรีต่างๆ รวมจำนวนทั้งสิ้น 150 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม MSC Hall โรงแรมรามาดา พลาซา กรุงเทพฯ แม่น้ำ ริเวอร์ไซด์ (Ramada Plaza Bangkok Menam Riverside) ถนนเจริญกรุง กทม. นายปรเมธีกล่าวว่า โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีชุมชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (โควิด - 19) เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) และเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียน ประเทศไทย (AWEN Thailand) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทั้งสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย รวมทั้งนักธุรกิจและผู้ประกอบธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย เพื่อมุ่งให้ความรู้เสริมสร้างทักษะด้านการเงิน การตลาด การทำธุรกิจออนไลน์ วินัยการเงิน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจ และสถานการณ์โลกด้านเศรษฐกิจต่างๆ สำหรับสร้างแนวคิด เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และหนทางในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ หรือการประกอบอาชีพเพื่อการอยู่รอดในสถานการณ์โควิด-19 นายปรเมธีกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการอบรมครั้งนี้ นับเป็นการขับเคลื่อนงานด้านสตรีที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาผู้ประกอบการสตรีอาเซียนใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) การสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ (Sustainability) 2) การส่งเสริมธุรกิจเข้าสู่ตลาดดิจิทัล (Digitalization) และ 3) การส่งเสริมวินัยการเงิน (Financial Inclusion) ที่ผู้แทนเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียน 10 ประเทศของภูมิภาคอาเซียนได้ประชุมร่วมกัน เพื่อค้นหาแนวทางพัฒนาความก้าวหน้าของผู้ประกอบการสตรี และเพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของสตรีไทย ยกระดับสุขภาวะ คุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต รวมทั้งหารือร่วมกันในการพัฒนายุทธศาสตร์ในด้านต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งการสร้างแนวคิดและหนทางปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดในภาวะวิกฤตการณ์ระบาดของไวรัสโควิด - 19 การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ และการสร้างเกราะป้องกันและแนะแนววิธีแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ JFCCT สานต่อการค้าการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ JFCCT สานต่อการค้าการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ JFCCT สานต่อการค้าการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย วันนี้ (3 ก.ย. 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องนารีสโมสร 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายสแตนลีย์ คัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับประธานหอการค้าฯ ผู้บริหาร และสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมขอบคุณ JFCCT ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้คำแนะนำและส่งเสริมการค้าการลงทุนของต่างชาติในไทย ตลอดจนให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยด้วยดีเสมอมา โดยชื่นชมการทำงานของ JFCCT ที่มีเป้าหมายในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ผ่านการบูรณาการความร่วมมือ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีการเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งทราบดีว่าขณะนี้ทุกประเทศล้วนต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 จึงถือเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายจะสามารถแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ประธานหอการค้าร่วมฯ ขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้เกียรติเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ เชื่อมั่นในศักยภาพของไทยที่ยังเป็นประเทศเป้าหมายด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ กล่าวถึงประเด็นการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs การส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาสินค้าเกษตร และการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ประธานหอการค้าร่วมฯ ชื่นชมถึงการพัฒนาสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งทางหอการค้าร่วมฯ ได้มีส่วนช่วยพัฒนาและประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการให้คำแนะนำแก่กลุ่มเยาวชนและเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งมีแนวทางที่จะนำสินค้าเกษตรของไทยส่งออกไปยังต่างประเทศให้มากขึ้น นอกจากนี้ รองประธานหอการค้าร่วมฯ กล่าวชื่นชมถึงการให้ความร่วมมือของโรงเรียน 3 แห่งในไทย ซึ่งหอการค้าร่วมฯ ได้นำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจให้คำแนะนำแก่เยาวชนในการพัฒนาสินค้าเกษตรในท้องถิ่นของตนเอง อาทิเช่น การส่งเสริมการตลาด การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ซึ่งเห็นถึงความสามารถของเยาวชนไทยและเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาการเกษตรในท้องถิ่นได้ในอนาคต ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการพัฒนาและส่งเสริมสินค้าเกษตรของไทยเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากในระดับท้องถิ่นและระดับชุมชน ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิการทางอุตสาหกรรมการเกษตร โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้เร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานบริการสาธารณสุข ดูแลประชาชนจากน้ำหลาก
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 สถานบริการสาธารณสุข ดูแลประชาชนจากน้ำหลาก กระทรวงสาธารณสุข ให้สถานพยาบาลทุกแห่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก สั่งการเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดน้ำท่วม น้ำหลากซ้ำ ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดน่านที่ถูกน้ำท่วม 5 แห่ง เปิดบริการได้ปกติ วันนี้ (24 สิงหาคม 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก จากฝนตกหนักในช่วงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 จนถึงวันนี้ มีพื้นที่ 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ออกเยี่ยมบ้านดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และติดตามสถานการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะยังคงมีฝนตกต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ โดยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เตรียมพร้อมดูแลประชาชนหากมีเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำหลากซ้ำตามแผนที่วางไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายสถานพยาบาล ไม่กระทบบริการประชาชน ขนย้ายยาเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ไว้ในที่ปลอดภัย จัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นให้เพียงพอ เตรียมแผนและระบบส่งต่อผู้ป่วย จัดหาพื้นที่ให้บริการสำรอง และเตรียมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พร้อมออกปฏิบัติการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับสถานบริการสาธารณสุข ได้รับรายงานว่ามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดน่านได้รับผลกระทบ 5 แห่ง ได้แก่ รพ.สต.ไหล่น่าน และรพ.สต.น้ำปั้ว อ.เวียงสา อาคาร สิ่งของเสียหาย, รพ.สต.ม่วงตึ๊ด และรพ.สต.บ้านดงป่าสัก อ.ภูเพียง น้ำท่วมชั้นล่างอาคาร, รพ.สต.ตำบลนาซาว อ.เมืองน่าน น้ำท่วมขังพื้นที่โดยรอบ ขณะนี้ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เปิดให้บริการได้ ส่วนที่จังหวัดสุโขทัยที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำยม น้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นตลิ่ง นั้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้การช่วยเหลือประชาชน ขณะนี้ โรงพยาบาลทั้ง 9 แห่ง และรพ.สต. 118 แห่ง ไม่ได้รับผลกระทบ เปิดบริการได้ตามปกติ ******************************** 24 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34476
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ร่วมมือ พม. ลงชลบุรี มอบกุญแจบ้านเอื้ออาทร ช่วยผู้ใช้แรงงานมีที่อยู่อาศัยสร้างไทยไปด้วยกัน
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ‘จับกัง1’ ร่วมมือ พม. ลงชลบุรี มอบกุญแจบ้านเอื้ออาทร ช่วยผู้ใช้แรงงานมีที่อยู่อาศัยสร้างไทยไปด้วยกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี ตรวจเยี่ยมและติดตามโครงการบ้านเอื้ออาทรศรีราชา 1 ต. สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี “บ้านเราก้าวไปด้วยกัน” ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตรวจเยี่ยมและติดตามโครงการบ้านเอื้ออาทรศรีราชา 1 ต. สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โอกาสนี้ได้มอบกุญแจแก่ผู้เช่าห้องตามโครงการ “บ้านถูกทั่วไทย 999” จำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเข้าร่วมโครงการ “บ้านเราก้าวไปด้วยกัน” โดยได้ดำเนินการในพื้นที่ทั้งหมด 7 จังหวัดในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระบุรี และปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 1,016 หน่วย รมว.แรงงานกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ กระทรวงแรงงานดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ใช้แรงงานจำนวนมากได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ผมจึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ไปสำรวจกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากโครงการนี้โดยตรง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้เป็นอย่างมาก ทำให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ 1,000 ยูนิต หากผู้ใช้แรงงานมีความต้องการมากกว่านี้ กระทรวงแรงงานจะได้ประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อขอรับการจัดสรรเพิ่มเติมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก พร้อมมอบทุนสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มถุงมือยาง และกลุ่มแม่บ้านสมุนไพร สนับสนุนการทำเกษตรปลอดภัยสู่การเป็นครัวโลกระดับสากล นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบปะกลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต รับฟังปัญหาและความต้องการของเกษตรกร พร้อมมอบทุนสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรจำนวน 2 กลุ่ม แก่กลุ่มถุงมือยางพารา และกลุ่มแม่บ้านสมุนไพร จากนั้นได้รับชมการสาธิตทำยาหม่องสมุนไพร การผลิตถุงมือยาง ชมผักปลอดสารพิษของกลุ่มสมาชิก ผลิตภัณฑ์จากศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มเพ้นท์ผ้าถุงลูกปัด และร่วมประกอบอาหารกับกลุ่มแม่บ้าน 2 เมนู คือ น้ำพริกปลาฉิ้งฉ้าง และผักเหมียงผัดไข่ นายวันทา ภุมรารสสุคนธ์ ประธานกลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก ได้รายงานปัญหาและความต้องการของเกษตรกรว่า จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ลูกหลานของสมาชิกหลายรายตกงาน ขาดรายได้และต้องกลับภูมิลำเนา ทำให้รายได้ในครอบครัวลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ในส่วนของกลุ่มเกษตรกรได้ช่วยเหลือสมาชิกในการจัดหาเมล็ดพันธุ์ผัก พันธุ์กล้าผลไม้ต่างๆ เพื่อให้สมาชิกสามารถสร้างรายได้ พึ่งพาตนเอง อีกทั้งยังพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสมาชิก สำหรับแผนพัฒนากลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอกในอนาคต มีแผนจะปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อเป็นศูนย์รวมผลิตผลด้านการเกษตรจากสมาชิก และศูนย์รวมสินค้าแปรรูปจากยางพาราเพื่อจำหน่าย เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับสมาชิกและสถาบันกลุ่มเกษตรกรต่อไป รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกร อาทิ กระทรวงคมนาคม ที่รับซื้อยางพาราจากสหกรณ์และเกษตรกรชาวสวนยางในการนำไปผลิตแบริเออร์ ทำให้ราคายางพาราเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องการผลักดันสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า เพื่อรองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกร และจะนำเสนอให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก ก่อตั้งมากว่า 60 ปี มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้แก่สมาชิก ดำเนินธุรกิจจำนวน 5 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย โดยจัดตั้งตลาดพอเพียง เพื่อให้สมาชิกได้นำผลผลิตทางการเกษตรมาจำหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลิตผล ธุรกิจแปรรูปน้ำยางสด รวบรวมน้ำยางดิบจากสมาชิกทุกวันพุธและวันพฤหัสบดี แล้วนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบชั้นดี และธุรกิจรับฝากเงิน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกได้รวมตัวกันดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมถึงส่งเสริมความรู้และเผยแพร่วิชาการเกษตรแก่กลุ่มเกษตรกรด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34839
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ เยียวยาชาวสวนลำไยปี ’63 สู้ภัยโควิด-19
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ครม.เห็นชอบ เยียวยาชาวสวนลำไยปี ’63 สู้ภัยโควิด-19 วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยประจำปี 2563 วงเงิน 3,400 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือชาวสวนให้สามารถฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ได้รับผลกระทบจากผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีธ.ก.ส. ของเกษตรกรโดยตรง ในอัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนส.ค. – ธ.ค. 63 ซึ่งเกษตรกรผู้มีสิทธิ์จะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกับกรมส่งเสริมการเกษตร ภายในวันที่ 15 ก.ย. 63 หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรผู้รับผิดชอบตำบล หรือเกษตรอำเภอใกล้บ้าน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34708
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหนุนไทยฐานผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ อนุมัติโครงการลงทุน 1.2 หมื่นล้าน
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 บีโอไอหนุนไทยฐานผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ อนุมัติโครงการลงทุน 1.2 หมื่นล้าน บีโอไอหนุนไทยฐานผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ อนุมัติโครงการลงทุน 1.2 หมื่นล้าน บีโอไอหนุนไทยฐานผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์อนุมัติโครงการลงทุน 1.2 หมื่นล้าน บีโอไอ สนับสนุนไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ อนุมัติลงทุนตามมาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ กว่า 40 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมไฟเขียวโครงการร่วมลงทุน ไทย-เกาหลีวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง มูลค่าลงทุนกว่า 400 ล้านบาท นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มีมาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่สิ้นสุดระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมและอยู่ในเกณฑ์ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการนี้ จำนวน 50 โครงการ โดยบีโอไอได้อนุมัติไปแล้ว 42 โครงการมีมูลค่าการลงทุนรวม 11,999.5 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริม ส่วนใหญ่เป็นกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อรองรับความต้องการทั้งในและต่างประเทศในอนาคต เช่น กิจการผลิตหน้ากากอนามัย กิจการผลิตถุงมือยาง นอกจากนี้ยังมีกิจการผลิต Non-Woven Fabric เช่น Spunbond หรือ Melt blown ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ตัวอย่างบริษัทที่น่าสนใจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการนี้ ได้แก่ บริษัท แอปสลาเจน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด (สัญชาติไทย) และบริษัท HAASE INVESTMENT (สัญชาติเยอรมัน) เพื่อวิจัยพัฒนาหรือผลิตตัวทำปฏิกิริยาชีวภาพในการตรวจวินิจฉัย (BIOLOGICAL REAGENTS) และสารละลายผสมที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัย (MASTERMIXES) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการนำไปใช้ในการตรวจวินิจฉัยระดับโมเลกุลหรือใช้ในการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส ด้วยวิธี RT – PCR โดยมีมูลค่าลงทุน 9 ล้านบาท มีที่ตั้งโครงการที่จังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้ บีโอไอยังได้อนุมัติโครงการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมการแพทย์ ของบริษัท คินเจน ไบโอเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท คินเจน โฮลดิ้งส์ จำกัด (สัญชาติไทย) กับบริษัท เจเนไซน์ อิงค์ จำกัด (สัญชาติเกาหลีใต้) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยนำจุลินทรีย์มาผลิตสารออกฤทธิ์ชีวภาพที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาชีววัตถุที่จะมาทดแทนยาเคมี มูลค่าการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการวิจัยและผลิตสารออกฤทธิ์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงจากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อพัฒนาต่อยอดกระบวนการผลิตให้กับโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (NATIONAL BIOPHARMACEUTICAL FACILITY, NBF) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยบริษัทได้เสนอแผนความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่มหาวิทยาลัยอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุ่ม 1.9 พัน ลบ. ก้าวสู่ผู้นำเกษตรอินทรีย์อาเซียน
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 ทุ่ม 1.9 พัน ลบ. ก้าวสู่ผู้นำเกษตรอินทรีย์อาเซียน -- #ไทยคู่ฟ้าสินค้าเกษตรอินทรีย์มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ โดยผ่านมาได้ส่งเสริมการบริโภคเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มโรงเรียน โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร และที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก คือ โครงการข้าวอินทรีย์ที่สามารถขยายพื้นที่ได้ปีละประมาณ 3 แสนไร่ สำหรับแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560 - 2565 ได้วางยุทธศาสตร์ไว้ 3 ด้านประกอบด้วย 1. การส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ 2. พัฒนาการผลิตผลิต และบริการเกษตรอินทรีย์ 3. พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรองรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับชุมชน ประเทศ และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งขณะนี้กลุ่มประเทศอาเซียนได้ตกลงที่จะจัดทำมาตรฐานกลางของอาเซียน หรือชื่อทางการว่า Mutual Recognition Arrangement for Organic Agriculture . สำหรับปีงบประมาณ 2564 จะมีโครงการต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งสิ้น 209 โครงการ งบประมาณ 1.9 พันล้านบาท จึงขอเชิญชวนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเกษตรอินทรีย์เพิ่มรายได้ และหากท่านใดสนใจจะพัฒนาความรู้เรื่องการผลิตและการตลาด สามารถหาข้อมูล และปรึกษาได้ที่เกษตรอำเภอใกล้บ้าน หรือศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Call Center 1170
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเดินทางโดยเครื่องบิน เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ??
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 การเดินทางโดยเครื่องบิน เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ?? โดยเครื่องบิน เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ?? Q : การเดินทางโดยเครื่องบิน เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ?? A : จากข้อมูลพบว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน ทั้งจากการนั่งใกล้กับผู้ที่พบว่าติดเชื้อโดยไม่มีอาการ และจากการหยิบจับอุปกรณ์ ที่นั่ง การใช้ห้องน้ำร่วมกันบนเครื่องบิน และความเสี่ยงในการรับเชื้อระหว่างการกินอาหารซึ่งต้องถอดหน้ากากอนามัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34530
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลทุ่มงบ 1.9 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ เกษตรกร 8 หมื่นราย ในปี 65
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 รัฐบาลทุ่มงบ 1.9 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ เกษตรกร 8 หมื่นราย ในปี 65 รัฐบาลทุ่มงบ 1.9 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ เกษตรกร 8 หมื่นราย ในปี 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวเกษตรกรและผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงเป็นสินค้าเกษตรที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกอย่างมาก ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงแสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ อัตราเติบโตปีละ 20% ตลาดที่สำคัญของโลกคือยุโรปและอเมริกาเหนือ และที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมากคือ จีน ออสเตรเลีย และอาเซียน สำหรับในประเทศไทย มีมูลค่าตลาด 3,000 ล้านบาท และส่งออก 2,000 ล้านบาท โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560 – 2565 ด้วยการบูรณาการทำงานร่วมกัน 7 กระทรวง ประกอบไปด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการมุ่งเป้าภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1) ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ 2) พัฒนาการผลิตผลิตและบริการเกษตรอินทรีย์ และ 3) พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรองรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับชุมชน ประเทศ และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งขณะนี้กลุ่มประเทศอาเซียน ได้ตกลงที่จะจัดทำมาตรฐานกลางของอาเซียน หรือชื่อทางการว่า Mutual Recognition Arrangement for Organic Agriculture โดยในปีงบประมาณ 2564 จะมีโครงการ รวมทั้งสิ้น 209 โครงการ งบประมาณรวม 1.9 พันล้านบาท นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ส่งเสริมการบริโภคเกษตรอินทรีย์ ในกลุ่มโรงเรียน โรงพยาบาล โรงแรม และร้านอาหาร และสนับสนุนการปลูกในที่ดินเกษตรกร ที่ดินภายใต้การจัดสรรที่ดินแห่งชาติ และส.ป.ก. ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากคือโครงการข้าวอินทรีย์ ที่ขยายพื้นที่ได้ปีละประมาณ 3 แสนไร่ ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจจะได้รับการสนับสนุนในเรื่องการผลิต องค์ความรู้ และการตลาด โดยสามารถหาข้อมูลได้ที่เกษตรอำเภอใกล้บ้าน “รัฐบาลขอเชิญชวนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเกษตรอินทรีย์เพราะนอกจากจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังจะเป็นช่องทางการเพิ่มรายได้อย่างมาก โดยภาครัฐมีแผนให้การสนับสนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ระดับต้นทาง เช่น การพัฒนาสารชีวภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจรับรองผลผลิตให้ได้ตามมาตรฐาน ระดับกลางทาง เช่น การแปรรูปผลผลิต ปรับระบบโลจิสติกส์สินค้า และระดับปลายทาง เชื่อมโยงตลาดตามนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ส่งเสริมผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มีการบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เน้นการขายทางออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มสากล และแพลตฟอร์มกลางให้ผู้ซื้อมั่นใจในมาตรฐาน การขายออฟไลน์ผ่านการจัดงานแสดงสินค้าระดับจังหวัด และเอ็กซ์โประดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงการจับคู่ผู้ผลิตและผู้ซื้อ” รองโฆษกฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 เพิ่มช่องทางและพัฒนาทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 พม. จัดประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 เพิ่มช่องทางและพัฒนาทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน พม. จัดประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 เพิ่มช่องทางและพัฒนาทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน วันนี้ (17 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. ทีโรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ประจำปี 2563 ภายใต้หัวข้อ “การเพิ่มช่องทางและพัฒนาทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน : Smart Youth, Smart Work” เพื่อเปิดโอกาสให้เครือข่ายผู้ทำงานด้านเด็กและเยาวชนร่วมกันวิเคราะห์ ทบทวนกลไกและกระบวนการทำงานพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และทัศนคติในการพัฒนาเด็กและเยาวชน อีกทั้งร่วมกันเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการพัฒนาช่องทาง และเพิ่มทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชนที่จะสามารถตอบโจทย์ในระดับประเทศสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดข้อเสนอสำคัญที่นำไปสู่แนวทางการพัฒนาช่องทางและทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน ตลอดจนมีกรอบแนวคิดและทิศทางการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) นายปรเมธี กล่าวว่า “สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ” มีการบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 11(4) ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน ทบทวนกลไกและกระบวนการทำงานและพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และทัศนคติในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของประเทศ โดย กดยช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ รวมถึงอำนวยการจัดสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า การประชุมฯ ประจำปี 2563 ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถา หัวข้อ “Smart Youth, Smart Work” เพื่อให้เห็นถึงสถานการณ์แนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และการเตรียมความพร้อมการทำงานเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไปสู่แนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการด้านกำลังคนของประเทศในอนาคต การเสวนา หัวข้อ “มุ่งสู่งานในอนาคตของเด็กและเยาวชน” เพื่อให้ทราบถึงทิศทางการทำงานในอนาคตในสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมและวิทยากรผู้ร่วมเสวนา การประชุมห้องย่อย ในประเด็นหลัก “การพัฒนาช่องทางและเพิ่มทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน” โดยแบ่งเป็นสายงานราชการ สายงานธุรกิจ อุตสาหกรรม การเกษตรสายงานออนไลน์ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และธุรกิจส่วนตัว “Policy by Children & Youth” และนิทรรศการ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ นิทรรศการกลาง ที่แสดงถึงสถานการณ์ แนวโน้มของการทำงานในอนาคต และทักษะการทำงานที่จำเป็นในอนาคต และนิทรรศการของหน่วยงานและองค์กรภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ในหัวข้อ งานราชการไทยยุคใหม่ : ข้าราชการยุค “ไทยแลนด์ 4.0 กับแนวคิดการทำงานแบบ Work Smart ในศตวรรษที่ 21” กรมส่งเสริมการเกษตร “Smart Farmer : เกษตรยุคใหม่” Hospitality work : งานสายสุขภาพแห่งอนาคต Start up : Start Up คืออะไร ทำไมถึงมาแรง งานด้าน Technology : อนาคตกับเทคโนโลยี พร้อมทั้งประเมิน สรุปผลการประชุม อภิปราย และลงมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ประจำปี 2563 นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ตระหนักถึงการพัฒนาช่องทางและทักษะการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน การเตรียมความพร้อมการทำงานเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไปสู่แนวทางที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการด้านกำลังคนของประเทศในอนาคต เพื่อผลักดันให้มีข้อเสนอสำคัญที่นำไปสู่แนวทางการพัฒนาช่องทางและทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคตของเด็กและเยาวชน มีกรอบแนวคิดและทิศทางการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเสนอต่อ กดยช. ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ก.แรงงาน’ จับมือ ‘ออมสิน’ ปลดหนี้นอกระบบแรงงาน
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 ‘ก.แรงงาน’ จับมือ ‘ออมสิน’ ปลดหนี้นอกระบบแรงงาน นฤมล สั่งการ กพร. ร่วมมือ ธ.ออมสิน ช่วยเหลือแรงงานปลดหนี้นอกระบบ สร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง สู่คุณภาพชีวิตที่ดี ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม เพื่อหารือโครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบชีพ ระหว่างธนาคารออมสิน กับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้อำนวยการกองแผนงานและสารสนเทศ พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และ ผู้แทนจากธนาคารออมสิน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน สำหรับโครงการฯ ที่จะจัดทำขึ้นนั้น เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือผู้ที่สนใจประกอบอาชีพอิสระ เข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือ ให้มีความรู้ ความสามารถ สามารถนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และรองรับต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต รวมไปถึง เพิ่มช่องทางในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพอิสระ โดยธนาคารออมสินจะมีการจัดอบรมความรู้ทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ทางการเงินเบื้องต้น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ รวมทั้งการสร้างทัศนคติทางการเงินที่ดี และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายให้เหมาะสมแก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมอาชีพจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน และป้องกันการเกิดปัญหาหนี้นอกระบบ ส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะส่งเสริมและสนับสนุนการฝึกอบรมฝีมือแรงงานตลอดจนการออกวุฒิบัตร เพื่อมอบให้แก่ผู้ที่ผ่านการอบรมได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ร่วมกับธนาคารออมสินอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หลักสูตรช่างเอนกประสงค์ โครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือผู้สนใจจะประกอบอาชีพอิสระ เพื่อให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าว มีเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพต่อไป รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือให้แรงงานทุกคน มีทักษะฝีมือแรงงาน มีอาชีพ มีรายได้ และเข้าถึงแหล่งบริการทางการเงิน เพื่อให้กลุ่มของแรงงานหลุดจากการเป็นหนี้นอกระบบ -----------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34747
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนา เรื่อง "Government Data Catalog for Government Data Service" หนุนหน่วยงานรัฐยึดหลักธรรมาภิบาลข้อมูล
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนา เรื่อง "Government Data Catalog for Government Data Service" หนุนหน่วยงานรัฐยึดหลักธรรมาภิบาลข้อมูล ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนา เรื่อง "Government Data Catalog for Government Data Service" หนุนหน่วยงานรัฐยึดหลักธรรมาภิบาลข้อมูล นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถา เรื่อง “Digital Ecosystem” ในงานประชุมเสวนา เรื่อง "Government Data Catalog for Government Data Service" จัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ 9 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุม ทีเค. แกรนด์คอนเวนชั่น โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ทั้งนี้ เพื่อเวทีชี้แจงแนวทางการดำเนินการ Government Data Catalog รวมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินการประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance Framework) **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35014
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​มหาดไทยสั่งด่วน ผู้ว่าฯ 10 จังหวัดชายแดนด้านเมียนมา เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ป้องกันโควิด-19 ระลอก 2
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 ​มหาดไทยสั่งด่วน ผู้ว่าฯ 10 จังหวัดชายแดนด้านเมียนมา เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ป้องกันโควิด-19 ระลอก 2 ​มหาดไทยสั่งด่วน ผู้ว่าฯ 10 จังหวัดชายแดนด้านเมียนมา เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ป้องกันโควิด-19 ระลอก 2 วันนี้ (28 ส.ค. 63) ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งนายอำเภอให้เน้นย้ำ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านของพื้นที่ที่ติดต่อกับชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีช่องทางผ่านแดนที่เป็นช่องทางธรรมชาติ ให้ระมัดระวัง ป้องกัน การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้รายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จากการระบาดระลอกที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2563 จำนวน 580 ราย ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ที่รัฐยะไข่ เมืองซิตตเว ซึ่งเป็นเมืองเอก จนทำให้มีการล็อกดาวน์เมืองซิตตเวอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำและสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านเมียนมา จำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชุมพร จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดระนอง และจังหวัดราชบุรี ให้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ 1) การเดินทางเข้ามาในประเทศผ่านช่องทางการเข้าออก ด่าน จุดผ่านแดน หรือจุดผ่อนปรนในพื้นที่รับผิดชอบ ให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางปฏิบัติของการป้องกันโรคสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรฯ ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด 2) บูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ชายแดนเพื่อเพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวัง ป้องกันการเดินทางเข้าพื้นที่ของบุคคลจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ให้มีการลักลอบเดินทางเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน ซึ่งหากพบกรณีดังกล่าว ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเข้มงวด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. วางระบบบริหารข้อมูลทรัพยากรแบบเรียลไทม์ สำรองยา อุปกรณ์ป้องกัน เวชภัณฑ์ เพียงพอรับมือโควิด 19
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 สธ. วางระบบบริหารข้อมูลทรัพยากรแบบเรียลไทม์ สำรองยา อุปกรณ์ป้องกัน เวชภัณฑ์ เพียงพอรับมือโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขเผย ได้วางระบบบริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรแบบเรียลไทม์ กระจายอุปกรณ์ป้องกัน เวชภัณฑ์ ยาไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง สำรองไว้ใช้ได้ถึง 3 เดือน และส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนทันทีหากเกิดการระบาด กระทรวงสาธารณสุขเผย ได้วางระบบบริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรแบบเรียลไทม์ กระจายอุปกรณ์ป้องกัน เวชภัณฑ์ ยาไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง สำรองไว้ใช้ได้ถึง 3 เดือน และส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนทันทีหากเกิดการระบาด วันนี้ (14 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายแพทย์วิทูรย์ อนันกุล ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน และนายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล รักษาการผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ร่วมกันแถลงข่าว “การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19” นายแพทย์สุรโชค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับโควิด 19 สถานการณ์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 โดยตั้งคณะทำงานด้านการกระจายทรัพยากรและอุปกรณ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งช่วงแรกอาจยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เนื่องจากกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในประเทศยังไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีการบริหารจัดการ และมีโรงงานที่ผลิต 45 โรงงานและมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่างๆ เพียงพอรับมือกับโรคโควิด 19 และสำรองไว้ใช้ได้นานถึง 3 เดือน โดยหน้ากาก N95 มีสำรอง 2,430,189 ชิ้น อยู่ที่ส่วนกลาง 1,916,050 ชิ้น ชุด PPE สำรองไว้ 1,471,131 ชิ้น อยู่ที่ส่วนกลาง 607,494 ชิ้น หน้ากากอนามัยสำรองไว้ 43,414,478 ชิ้น อยู่ที่ส่วนกลาง 300,000 ชิ้น กำลังการผลิต 3,418,400 ชิ้นต่อวัน ซึ่งถือว่าเพียงพอ เนื่องจากประชาชนสามารถใช้หน้ากากผ้าควบคู่ไปด้วยได้ ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ มีสำรอง 590,680 เม็ด และยาเรมเดซิเวียร์ ขนาด 50 มิลลิกรัมจำนวน 65 ขวด และขนาด 100 มิลลิกรัม จำนวน 330 ขวด รองรับผู้ป่วยได้ 33 ราย นายแพทย์สุรโชค กล่าวต่อว่า สำหรับจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดนประเทศเมียนมา จำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง มีการสำรองเวชภัณฑ์เพื่อรับมือกับโรคโควิด 19 ดังนี้ หน้ากาก N95 จำนวน 29,872 ชิ้น หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จำนวน 3,831,938 ชิ้น ชุด PPE จำนวน 28,704 ชุด และชุด Surgical Gown จำนวน 15,645 ชุด ด้านนายแพทย์วิทูรย์ อนันกุล ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีระบบติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยโรคโควิด 19 แบบเรียลไทม์ ซึ่งนำข้อมูลดังกล่าวมาบริหารจัดการทรัพยากร อุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ได้ทันที ทำให้สามารถรับมือกับโรคโควิด 19 ได้ นอกจากนี้ ในภาพรวมของประเทศมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 1-2 หมื่นคน บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนมีความพร้อม และยังคงความเข้มข้นของสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ในหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้คนไทยติดเชื้อจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ส่วนนายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล รักษาการผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขได้รับพระมากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานรถเก็บตัวอย่างตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานในการลงพื้นที่ตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก นอกจากนี้ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ให้มีผู้ติดเชื้อน้อยลงตามลำดับ ขณะนี้ได้จัดสรรทรัพยากรให้ลงถึงพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นจังหวัดตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มีการระบาดของโรค ทั้งเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อ รวมทั้งเร่งรัดเบิกจ่ายค่าเสี่ยงภัยเป็นขวัญกำลังใจบุคลากร และงบประมาณที่จำเป็นสำหรับใช้ในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 หลายช่องทาง เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 สธ.หนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 หลายช่องทาง เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความก้าวหน้าวิจัยวัคซีนโควิด 19 พร้อมสนับสนุนงบประมาณวิจัยทุกสถาบันที่มีโอกาสสำเร็จ ไม่เจาะจงเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องร่วมมือหลายช่องทาง เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงวัคซีนเป็นประเทศแรกๆ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความก้าวหน้าวิจัยวัคซีนโควิด 19 พร้อมสนับสนุนงบประมาณวิจัยทุกสถาบันที่มีโอกาสสำเร็จ ไม่เจาะจงเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องร่วมมือหลายช่องทาง เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงวัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ของโลก วันนี้ (11 กันยายน 2563) ที่อิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการประชุมติดตามความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยและแผนการสนับสนุน ว่า โรคโควิด 19 ยังคงระบาดทั่วโลก แม้ประเทศไทยจะควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่ยังต้องดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคทุกด้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมกับการทดลองวัคซีนโควิด 19 ของสถาบันหลักต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศด้วย เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เข้าถึง เกิดการผลิตวัคซีนที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก พึ่งพาตนเองได้ “การประชุมในวันนี้ เป็นการปรึกษา หารือ ระดมสมอง และให้ความคิดเห็น ติดตามความก้าวหน้าการวิจัยวัคซีน เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลสนับสนุนการวิจัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาใด ขอให้คำยืนยันว่า การวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 และการผลิตวัคซีนเป็นวาระสำคัญ ส่วนเรื่องงบประมาณสนับสนุนมีการทำบันทึกความเข้าใจและเงื่อนไขกับสถาบันต่าง ๆ ที่ทำการวิจัยซึ่งเราไม่ได้เจาะจงร่วมกับสถาบันใดเพียงแห่งเดียว แต่กระจายโอกาสออกไปในทุกสถาบันที่พิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพสูง และมีความเป็นไปได้ที่ประสบความสำเร็จ” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทแอสตราเซเนกา ที่ชะลอการทดลองวิจัยวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากพบปัญหามีผลกระทบกับผู้ทดลองวัคซีน ตามหลักการต้องศึกษาและแก้ไขปัญหาอาจทำให้ล่าช้า ส่วนที่ประเทศไทยไปร่วมมือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมานั้น ไม่ได้มีความเสียหาย เพราะเมื่อวัคซีนได้รับการยอมรับ ไทยก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตในประเทศต่อไป ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ร่วมมือกับหลายสถาบันทั่วโลก รวมถึงเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ที่อยู่ภายใต้องค์การอนามัยโลกด้วย เพื่อให้มีหลายช่องทางในการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากไม่มีอะไรรับประกันว่า การเข้าร่วมกับหน่วยงานเดียวแล้วถึงประสบความสำเร็จ ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวัคซีนฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 โดยใช้ในกิจการที่มีความเร่งด่วน 2 ส่วน คือ การวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 400 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาปรับปรุงศักยภาพวัคซีนที่เป็นการทดสอบในลิง และการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาวัคซีนของประเทศอีก 600 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากหน่วยงานใดก็ได้ที่มีความพร้อม สำหรับการสนับสนุนในส่วนอื่น ๆ การประชุมในวันนี้จะได้รับทราบความก้าวหน้า โดยสถาบันวัคซีนฯ จะรวบรวมเพื่อพิจารณาว่า แต่ละส่วนต้องการการสนับสนุนอย่างไร เพื่อทำคำขอรับงบประมาณจากเงินกู้โควิด 19 ในกรอบวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพราะต้องการสนับสนุนทุกฝ่ายที่มีความพยายามพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับกรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดการประชุมติดตามความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย โดยมีผู้วิจัยพัฒนาวัคซีนจากหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้าประชุมกว่า 200 คน *********************** 11กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงอาการป่วยล่ามไทยในซาอุฯ ประสาน กต. นำกลับมารักษาตัวที่ไทย 2 ก.ย.นี้
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ‘จับกัง1’ ห่วงอาการป่วยล่ามไทยในซาอุฯ ประสาน กต. นำกลับมารักษาตัวที่ไทย 2 ก.ย.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าอาการป่วยของล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย ล่าสุดอาการปลอดเชื้อโควิด – 19 แล้ว กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อส่งกลับล่ามไทยมารักษาตัวที่ประเทศไทยในวันที่ 2 กันยาย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าอาการป่วยของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย และการดำเนินการส่งกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ล่าสุดได้รับรายงานจากนาวาตรีวิทวัส กู้ประเสริฐ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ว่า สนร.ริยาดได้ประสานกับ สอท.ริยาด เพื่อร่วมประสานอำนวยความสะดวกในการนำตัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบียออกจากโรงพยาบาล Ad Diriyah เพื่อเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติ King Khaled และเดินทางกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยด้วยเครื่องบินนำส่งผู้ป่วย Air Ambulance ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะมีนายสธน เกษมสันต์ ณ อยุธยา อุปทูต ณ กรุงริยาด ร่วมเดินทางไปส่งตัวล่ามที่สนามบินในครั้งนี้ด้วย อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สนร.ริยาด กล่าวต่อว่า สำหรับอาการป่วยของนายหมัด มะมินล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนหน้านี้มีอาการป่วยเนื่องจากติดเชื้อโควิด – 19 และได้รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูนานกว่า 1 เดือน จนมีอาการดีขึ้นและจะกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยรมว.แรงงานได้มอบหมายให้ด่านตรวจคนหางานดอนเมือง อำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ในการเดินทางกลับของล่าม โดยในวันที่ 31 ส.ค.63 เครื่องบินนำส่งผู้ป่วย Air Ambulance
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34735
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย จัดงาน eGovernment Forum 2020
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย จัดงาน eGovernment Forum 2020 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย จัดงาน eGovernment Forum 2020 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย จัดงาน eGovernment Forum 2020 เปิดเวทีถกกระบวนทัศน์การทำงานและการให้บริการของภาครัฐ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นำประเทศไทยเข้าสู่ Digital Economy นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานและเป็นองค์ปาฐกถาพิเศษในงาน August Series 2020 ซึ่งประกอบด้วยงาน eGovernment Forum, Digtal HR Forum, Big Data & Clound โดยงาน eGovernment Forum 2020 จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก Empowering Thailand Through Trusted Digital Public Service ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 27 สิงหาคม 2563 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ห้องวายุภักษ์ 2-4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ทั้งนี้ภายในงานมีการจัดแสดงนวัตกรรมและสัมมนาวิชาการ การปาฐกถาพิเศษผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐ และเอกชน การสัมมนาวิชาการนำเสนอหัวข้อเทคโนโลยีและโชลูชั่น และการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ความก้าวหน้า และประโยชน์จากเทคโนโลยี จากผู้ประกอบการ และผู้ใช้ไอซีที ในการนี้ นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรในงานอบรมสัมมนา Big Data & Cloud Computting 2020 หัวข้อเสวนา1: Emphasizing Privacy Protection in Data Activities อีกด้วย สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงานครั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีการบริหาร การบริการ และการพัฒนาเพื่อให้พร้อมรองรับการเดินหน้าประเทศไทยเข้าสู่ Digital Economy ที่ digital technology จะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงาน หากแต่จะหลอมรวมเข้ากับทุกกระบวนการ และเป็นตัวขับเคลื่อนทุกกิจกรรมอย่างแท้จริง การปฏิรูปกระบวนทัศน์การทำงานและการให้บริการของภาครัฐ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาในระดับประเทศที่สอดคล้องกันระหว่างทุกหน่วยงาน โดยมีองค์ประกอบของยุทธศาสตร์กรอบการพัฒนา และแผนการดำเนินงาน (Roadmap) เพื่อเป็นแนวทางการยกระดับขีดความสมารถเชิงดิจิทัลของภาครัฐไทย *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นผู้แทนรับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นผู้แทนรับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นผู้แทนรับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย พร้อมเร่งรัดติดตามการดำเนินงานสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีในการรับมอบหนังสือร้องเรียนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ที่ยื่นขอให้รัฐบาลได้มีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยได้มีการพูดคุยหารือ และจะทำสรุปข้อเรียกร้องเพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเรียนได้ภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งดำเนินการเรื่องสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง กรอบวงเงิน 10,300 ล้านบาท ที่ยังติดขัดอยู่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยจะประสานงานและเร่งดำเนินการแก้ไขให้โดยเร็วต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ธารโต จ.ยะลา แก้ปัญหาโรคขาดสารอาหาร-มาลาเรียในพื้นที่
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 รพ.ธารโต จ.ยะลา แก้ปัญหาโรคขาดสารอาหาร-มาลาเรียในพื้นที่ โรงพยาบาลธารโต จังหวัดยะลา ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ประสานฟาร์มตัวอย่างให้ชาวบ้านทำการเกษตร ผลิตอาหารมีคุณภาพป้อนโรงเรียน โรงพยาบาล แก้ปัญหาเด็กขาดสารอาหาร สร้างงานสร้างอาชีพ เพาะพันธุ์ปลาขจัดแหล่งลูกน้ำยุงก้นปล่อง ลดการระบาดโรคมาลาเรีย โรงพยาบาลธารโต จังหวัดยะลา ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ประสานฟาร์มตัวอย่างให้ชาวบ้านทำการเกษตร ผลิตอาหารมีคุณภาพป้อนโรงเรียน โรงพยาบาล แก้ปัญหาเด็กขาดสารอาหาร สร้างงานสร้างอาชีพ เพาะพันธุ์ปลาขจัดแหล่งลูกน้ำยุงก้นปล่อง ลดการระบาดโรคมาลาเรีย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลธารโต อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ว่า โรงพยาบาลธารโต แม้จะเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กจำนวน 30 เตียง แต่มีการดำเนินงานในรูปแบบเฉพาะของพื้นที่ตนเอง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ถือเป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการประสานโครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทำการเกษตร ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เปิดพื้นที่ทางการตลาดให้ขายสินค้าทางการเกษตรในราคาถูก ป้อนเป็นวัตถุดิบเข้าสู่โรงครัวของโรงเรียนเด็กเล็กและโรงพยาบาล ให้เด็กและคนไข้ได้บริโภคอาหารมีคุณภาพ ช่วยแก้ไขปัญหาโรคขาดสารอาหารในพื้นที่ เด็กมีสัดส่วนสมบูรณ์แข็งแรง นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า โรงพยาบาลธารโต ยังแก้ปัญหาการระบาดของโรคมาลาเรียในพื้นที่ด้วยการเพาะพันธุ์ปลากัดและปลาหางนกยูง เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงก้นปล่อง ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียลงจากปีละ 2 พันกว่าราย เหลือเพียงหลักสิบรายเท่านั้น สำหรับปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับและไฟฟ้ากระชาก โดยเฉพาะช่วงฝนตก ทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหายบ่อยครั้ง โรงพยาบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการปั่นไฟ 5-6 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการรอการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ กระทรวงสาธารณสุขจะพยายามประสานจัดหาอุปกรณ์มาติดตั้ง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในสถานพยาบาลพื้นที่ห่างไกลตามแนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ และพื้นที่สูง ด้านนายแพทย์มัซลัน ตะเระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธารโต กล่าวว่า โรงพยาบาลธารโตทำการเกษตรในพื้นที่โรงพยาบาล เพื่อส่งวัตถุดิบเข้าสู่โรงครัวของโรงพยาบาล ให้ผู้ป่วยบริโภคอาหารที่มีคุณภาพ พบว่าเป็นโมเดลที่ได้ผลดี จึงประสานโครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อขออนุญาตใช้พื้นที่ให้ชาวบ้านในพื้นที่ทำการเกษตร คือ เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เพาะเห็ด ปลูกผักต่างๆ และส่งวัตถุดิบให้แก่โรงพยาบาลทำการตลาด โดยส่วนหนึ่งโรงพยาบาลจะรับซื้อมาทำอาหารให้แก่ผู้ป่วย และประสานโรงเรียนรับซื้อเพื่อทำให้อาหารคุณภาพให้เด็ก โดยจะมีการพรีออเดอร์วัตถุดิบทุกสัปดาห์ รวมถึงจัดหาตลาดต่างๆ ให้เกิดการซื้อขายราคาถูก ทำให้เด็กได้รับอาหารมีคุณภาพ เจริญเติบโตแข็งแรง มีพัฒนาการสมวัยมากขึ้น ทำให้แก้ปัญหาโรคขาดสารอาหารในพื้นที่ได้ อัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กอำเภอธารโตก็ไม่อยู่อันดับสุดท้ายของเขตสุขภาพที่ 12 อีก นอกจากนี้ ยังทำให้กว่า 150 ครอบครัวมีรายได้ ซึ่งเริ่มต้นมียอดขายวันละ 500 บาท ปัจจุบันมียอดขายวันละเป็นแสนบาท สร้างรายได้ให้ครอบครัวละประมาณ 800-1,000 บาทต่อครอบครัวต่อวัน นายแพทย์มัซลัน กล่าวต่อว่า สำหรับการแก้ปัญหาโรคมาลาเรีย เราสำรวจหาแหล่งเพาะพันธุ์ยุงก้นปล่องในป่า แต่ไม่พบชัดเจน แต่จากการสังเกตพบว่า การระบาดมักเกิดในหมู่บ้านที่น้ำประปาเข้าไม่ถึง จนค้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการตั้งแท็งก์น้ำไว้รองน้ำฝนที่หน้าบ้าน และต่อน้ำภูเขาน้ำป่ามาใช้ ทำให้มีลูกน้ำยุงก้นปล่องในแท็งก์น้ำหน้าบ้าน ที่ผ่านมาได้ประสานประมงอำเภอเพาะพันธุ์ปลากัดและปลาหางนกยูง เอามาปล่อยในแท็งก์น้ำ ก็ช่วยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ ทำให้โรคมาลาเรียลดลงจาก 2 พันรายต่อปี เหลือหลักร้อย แต่ปลามีอายุสั้น ทำให้ต้องมีการเพาะพันธุ์ปลาเรื่อยๆ โรงพยาบาลจึงเพาะพันธุ์ปลาเองบริเวณด้านหลังของโรงพยาบาล โดยมีจำนวน 6 บ่อ เมื่อปลาโตเต็มที่ จะมีการย้ายมาปล่อยบริเวณบ่อหน้าโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนตักนำไปปล่อยในแท็งก์น้ำก็ช่วยลดการระบาดของโรคมาลาเรียลงได้จนเหลือหลักสิบเท่านั้น *************************** 7 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34857
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์" ส่งเสริมศักยภาพเด็กพิการให้เป็นกำลังสำคัญของสังคมและประเทศชาติสู่อนาคต
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 "ค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์" ส่งเสริมศักยภาพเด็กพิการให้เป็นกำลังสำคัญของสังคมและประเทศชาติสู่อนาคต เป็นกิจกรรมที่รวมบุคคลทุกประเภทร่วมกับผู้พิการ มาใช้ชีวิตร่วมกัน เรียนรู้ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมกัน ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 24 ปี ทำให้เชื่อมั่นว่า คนเราทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาได้ เด็กพิการก็มีความสามารถเรียนรู้ได้ ปรับตัวได้เช่นกัน กิจกรรมศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ จึงเป็นเวทีหนึ่งที่จะให้เยาวชนได้แสดงออก ช่วยให้ได้มีโอกาส มีคนเข้าใจและร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สังคมไทย ที่มีการสนับสนุนคนพิการให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เด็กพิการสามารถเป็นกำลังสำคัญที่มีค่ายิ่ง ต่อสังคมและประเทศชาติในอนาคตได้ต่อไป โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้มอบหมายให้ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. เป็นประธานในพิธีลงเสาเอก อาคารเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กพิการ "โครงการค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์" ณ Art for All Village ถนนประชาร่วมใจ 31 เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34838
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ รง. เตรียมที่อยู่อาศัยให้เช่าเริ่มต้น 999 บาทต่อเดือน เพื่อผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ EEC และเขตอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 พม. จับมือ รง. เตรียมที่อยู่อาศัยให้เช่าเริ่มต้น 999 บาทต่อเดือน เพื่อผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ EEC และเขตอุตสาหกรรม พม. จับมือ รง. เตรียมที่อยู่อาศัยให้เช่าเริ่มต้น 999 บาทต่อเดือน เพื่อผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ EEC และเขตอุตสาหกรรม วันนี้ (24 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี เพื่อประชุมหารือร่วมกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับ ความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อย และผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพื้นที่อุตสาหกรรม ณ โครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดชลบุรี (ศรีราชา) ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายจุติกล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องว่างงาน ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลง และการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงแรงงาน (รง.) จึงมีความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ ภายใต้โครงการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ECC) และเขตพื้นที่อุตสาหกรรม ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อเป็นการลดรายจ่ายภาคครัวเรือนและบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจฐานรากทันที นายจุติกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ซึ่งขณะนี้ มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย ตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559 - 2568) ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้ กคช. ขับเคลื่อนโครงการความร่วมมือด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ร่วมกับ กระทรวงแรงงาน เพื่อจัดหาที่พักอาศัยราคาถูกให้กับผู้มีรายได้น้อย และผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ECC) และเขตพื้นที่อุตสาหกรรม ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) การเช่า โดยเริ่มต้น 999 บาทต่อเดือน 2) การเช่าซื้อ ด้วยดอกเบี้ย ร้อยละ 0 ในปีแรก และ 3) Shock Price ด้วยราคาขายเริ่มต้น 3.9 แสนบาท ทั้งนี้ มีโครงการที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ECC) ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จำนวนทั้งสิ้น 11 โครงการ รวม 686 หน่วย และ โครงการที่อยู่อาศัยเขตพื้นที่เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสระบุรี จำนวนทั้งสิ้น 11 โครงการ รวม 330 หน่วย นายจุติกล่าวต่อไปอีกว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวง พม. และกระทรวง รง. ร่วมกันจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่เป็นผู้ใช้แรงงานและผู้มีอาชีพอิสระ เพื่อให้สามารถหาที่อยู่อาศัยในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลกำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้วยการลดค่าใช้จ่ายประจำเดือนของผู้อยู่อาศัยจากเดือนละหลายพันบาท ให้เหลือเดือนละ 999 บาท ซึ่งกระทรวง พม. โดย กคช. จะดำเนินการหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ตนได้มอบกุญแจบ้านให้กับตัวแทนผู้เข้าร่วมโครงการบ้านเช่าราคาถูกในโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดชลบุรี (ศรีราชา) ซึ่งจัดสร้างเป็นอาคารชุด 3 ชั้น จำนวน 122 หน่วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการบ้านราคาถูกของ กคช. โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1615 หรือสำนักงานของการเคหะแห่งชาติทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง. นรม. นายจุรินทร์ฯ เน้นพัฒนา SE ส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ จับคู่ธุรกิจผลิตสินค้าตรงความต้องการของตลาด
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 รอง. นรม. นายจุรินทร์ฯ เน้นพัฒนา SE ส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ จับคู่ธุรกิจผลิตสินค้าตรงความต้องการของตลาด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เน้นพัฒนา SE ส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ จับคู่ธุรกิจผลิตสินค้าตรงความต้องการของตลาด วันนี้ (28 ส.ค. 63) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ครั้งที่ 3/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ระหว่างเดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนกันยายน 2564 ได้แก่ 1) การจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 2) การจัดทำกฎหมายลำดับรอง 3) ระบบฐานข้อมูลวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม 4) การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 5) การจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม/การจดแจ้งกิจการเพื่อสังคม และ 6) การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม โอกาศนี้ รองนายกรัฐมนตรีย้ำถึงการพัฒนา SE ให้ส่งเสริมพัฒนาทางด้านการตลาดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ทั้งทางด้านออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจ หรือ business matching ผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ในอนาคตหากกระทรวงพาณิชย์จัดกิจกรรม road show ในต่างประเทศ ก็จะมีการจัดพื้นที่กิจกรรมออกบูทพิเศษให้กับ SE ด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาข้อเสนอของธุรกิจ SE จากการประชุม “ติดปีกให้ (SE) วิสาหกิจเพื่อสังคม” โดยมีรองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน (26 สิงหาคม 2563) เพื่อขอสนับสนุนการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ดังนี้ 1. ด้านแหล่งเงินทุนในการสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมฯ สนับสนุนและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม แก้ไขปัญหาพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม และสถาบันการเงิน โดยความร่วมมือของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมหารือแนวทางกำหนดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคมต่อไป 2. ด้านสิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย เช่น สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากร สิทธิประโยชน์ตามมาตรการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 3. ด้านการสร้างเครือข่าย เช่น การสร้างความร่วมมือด้านเครือข่ายวิสาหกิจเพื่อสังคมต่าง ๆ อาทิ เครือข่ายวิสาหกิจเพื่อสังคม 130 กิจการ กลุ่มธุรกิจที่ประกอบกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม สมาคมการค้าดิจิทัลไทย/สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม/สมาคมการค้าวิสาหกิจเพื่อสังคมและกิจการชุมชน ฯลฯ ตลอดจนการจัดทำระบบข้อมูลวิสาหกิจเพื่อสังคม 4. ด้านการส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัย โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม จะประสานความร่วมมือกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... พร้อมเห็นชอบการจัดทำระบบฐานข้อมูลเครือข่ายวิสาหกิจเพื่อสังคม ภายในวงเงิน 4,000,000 บาท จากงบประมาณปี 2563 ของสำนักงานวิสาหกิจเพื่อสังคม ----------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์นวัตกรรม เปิดตัวโครงการ GHB Creative Innovation Contest ชิงทุนการศึกษา 1 แสนบาท
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ธอส. เปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์นวัตกรรม เปิดตัวโครงการ GHB Creative Innovation Contest ชิงทุนการศึกษา 1 แสนบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์แถลงข่าวเปิดตัว “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” โครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แถลงข่าวเปิดตัว “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” โครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ในการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งใหม่ ๆ ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ หรืออื่น ๆ ได้แบบไม่มีข้อจำกัด และสามารถดำเนินการต่อได้จริง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าประชาชนผู้ใช้บริการ และการเข้าถึงบริการธนาคารได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เหมาะสมกับยุค New Normal ชิงรางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ส่งผลงานในรูปแบบ Clip VDO ความยาวไม่เกิน 3 นาที ระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 9 ตุลาคม 2563 โดย 10 ทีม ที่เข้ารอบได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop ก่อนนำเสนอผลงานอีกครั้งในรอบตัดสินในวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ทีมที่ชนะเลิศอันดับที่ 1 รับทุนการศึกษาจำนวน 50,000 บาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตอันใกล้ได้มีส่วนร่วมกับ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย ในการสนับสนุนให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นสอดคล้องกับพันธกิจ “ทำให้คนไทย มีบ้าน” ตามนโยบายของคณะกรรมการธนาคารนำโดย นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. วันนี้(1 กันยายน 2563) ธนาคารจึงได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” โครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางให้นิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ในการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งใหม่ ๆ ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ หรืออื่น ๆ ได้แบบไม่มีข้อจำกัด และสามารถดำเนินการต่อได้จริงเพื่อสื่อให้เห็นถึงนวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าประชาชนผู้ใช้ บริการ และการเข้าถึงบริการธนาคารได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เหมาะสมกับยุค New Normal และมีเป้าหมายสู่การทำให้ประชาชนคนไทยทั่วไปมีบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสุขและความมั่นคงในชีวิตของสถาบันครอบครัวอย่างยั่งยืน ชิงรางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท โดยผู้ที่ส่งผลงานเข้าประกวดต้องเป็นนักศึกษาระดับชั้นปีที่ 3 และ 4 ของสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยรวมตัวกันเป็นทีมจำนวนไม่เกินทีมละ 5 คน ส่งผลงานในรูปแบบ Clip VDO ความยาวไม่เกิน 3 นาที Upload Clip ผลงานผ่านทาง www.ghbcreativeinnovationcontest.com ได้ระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 9 ตุลาคม 2563 จากนั้นคณะกรรมการตัดสินจะคัดเลือกผลงานที่ดีที่สุดเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 10 ทีม เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมที่เข้ารอบได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop ที่ธนาคารจัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเปิดให้ทั้ง 10 ทีมได้นำเสนอผลงานอีกครั้งในรอบตัดสินซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยทีมที่ชนะเลิศอันดับที่ 1 จะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับทุนการศึกษาจำนวน 30,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับทุนการศึกษา จำนวน 20,000 บาท และอีก 7 ทีมรับรางวัลปลอบใจ ทุนการศึกษาจำนวน 5,000 บาท/ทีม โดยหลังจากนี้ธนาคารกำหนดให้มีกิจกรรม Roadshow เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดทำโครงการในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศรวม 32 สถาบันต่อไป ด้านนายนิสิต อุ่นวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล ธอส. กล่าวว่า นอกจาก “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” จะช่วยให้คน รุ่นใหม่ได้มีโอกาสสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้นแล้ว ยังถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยเปิดโอกาสให้ ธอส. สามารถเฟ้นหาบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (High Potential) ให้เข้ามาร่วมงานกับธนาคารในอนาคตได้ต่อไปอีกด้วย โดยสร้างแรงจูงใจให้กับกลุ่มเป้าหมายที่อยากทำงานร่วมกับ ธอส. โดยเฉพาะนิสิต/นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปี 3-4 ซึ่งฝ่ายทรัพยากรบุคคลยังมีความประสงค์ที่จะเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาที่ใกล้จะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ได้มีโอกาสสัมผัสกับธนาคารมากขึ้นผ่านทางโครงการประกวด GHB Creative Innovation Contest ในครั้งนี้ และทุกความคิดสร้างสรรค์ ธนาคารจะให้ความสำคัญโดยนำมาพิจารณาเพื่อพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของธนาคารต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อมอบบริการที่ดี และเหมาะสมต่อยุคสมัยให้แก่ลูกค้าของธนาคาร และนำไปสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุด สำหรับการมีบ้านตามวิสัยทัศน์ของธนาคารต่อไป ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลของการประกวดโครงการ GHB Creative Innovation Contest เพิ่มเติมได้ที่ www.ghbcreativeinnovationcontest.com และ facebook.com/GHBCreativeInnovationContest
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ให้พยาบาลใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรมดูแลผู้ป่วยแบบวิถีชีวิตใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 ดร.สาธิต ให้พยาบาลใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรมดูแลผู้ป่วยแบบวิถีชีวิตใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายพยาบาลยุค Disruption และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัล 5.0 ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรมดูแลผู้ป่วยแบบวิถีชีวิตใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมวิชาการนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณภาพการพยาบาลในยุค Disruption และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัล 5.0 ที่โรงแรมปริ๊นซพาเลซ กรุงเทพมหานคร จัดโดยคณะกรรมการชมรมผู้บริหารการพยาบาลโรงพยาบาลชุมชน ร่วมกับกองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มคุณภาพการพยาบาล และสร้างนวัตกรรม ต่อยอดงานวิจัยเพื่อพัฒนางานการพยาบาล โดยมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลร่วมประชุม 285 คน ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลในสังกัดนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ จัดบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ทันสมัย ให้ประชาชนมีความสะดวก รวดเร็ว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็น Smart Hospital และในสถานการณ์โรคโควิด 19 ซึ่งโรงพยาบาลทุกระดับได้ปรับระบบบริการเป็นการแพทย์วิถีชีวิตใหม่ หรือ new normal medical service นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อให้ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการปลอดภัยจากการติดเชื้อ และควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ โดยเฉพาะพยาบาลที่เป็นด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วย จะต้องปรับกระบวนการทำงานเพื่อลดการสัมผัส ลดความแออัด ลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 รวมทั้งรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างสะดวก ทำให้พยาบาลต้องทันต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มคุณภาพการพยาบาลในยุค Disruption และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัล 5.0 “งานการพยาบาลเป็นงานที่ต้องเสียสละ ดูแลใกล้ชิดกับผู้ป่วยและญาติ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการเฝ้าระวัง สังเกตการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วย เพื่อวางแผนประสานงานให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ทุเลาอาการเจ็บป่วย ขอให้นำเทคโนโลยีมาใช้ออกแบบระบบงาน สร้างนวัตกรรมทางการพยาบาลให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ให้เกิดความคล่องตัว แบ่งเบาภาระงานที่มีมากเกินกว่าอัตรากำลังพยาบาลที่มีอย่างจำกัด” ดร.สาธิตกล่าว ******************************** 27 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34599
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอภาคธุรกิจการบิน พร้อมขอความร่วมมือภาคธุรกิจการบินให้คงสภาพการดำเนินงาน ไม่ลดการจ้างพนักงาน ย้ำรัฐบาลจะหามาตรการเสริมช่วยโดยเร็ว
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอภาคธุรกิจการบิน พร้อมขอความร่วมมือภาคธุรกิจการบินให้คงสภาพการดำเนินงาน ไม่ลดการจ้างพนักงาน ย้ำรัฐบาลจะหามาตรการเสริมช่วยโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอภาคธุรกิจการบิน พร้อมขอความร่วมมือภาคธุรกิจการบินให้คงสภาพการดำเนินงาน ไม่ลดการจ้างพนักงาน ย้ำรัฐบาลจะหามาตรการเสริมช่วยโดยเร็ว วันนี้ (28 ส.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับหนังสือขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจการบินของประเทศไทยเนื่องจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากคณะผู้บริหารระดับสูงของ 7 สายการบินในประเทศไทย ที่นำโดยนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย และคณะรวม 14 คน โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เข้าร่วมด้วย โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ธุรกิจการบินเป็นธุรกิจสำคัญที่ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เหมือนกันทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภาครัฐจะพิจารณาข้อเสนอจากภาคธุรกิจการบินและหาวิธีการช่วยเหลือ ทั้งนี้ รัฐบาลโดย ศบค. กำลังหามาตรการผ่อนปรนในหลายเรื่อง ทั้งการหาแนวทางปลดล็อคเรื่องการบิน รวมทั้งกำลังเร่งผ่อนคลายเรื่องการท่องเที่ยวในประเทศโดยต้องพิจารณาทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ภาคธุรกิจการบินร่วมมือกันให้มากขึ้น ลดการแข่งขันด้านราคาโดยให้แข่งขันกันด้านบริการ ให้จัดระเบียบการดำเนินงานให้ดี ให้คงสภาพการดำเนินงานโดยไม่ให้มีหนี้สินเพิ่ม และไม่ลดการจ้างพนักงาน โดยรัฐบาลจะหามาตรการเสริมต่าง ๆ ช่วยโดยเร็วต่อไป สำหรับคณะผู้บริหารระดับสูงของ 7 สายการบินในประเทศไทยที่เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อยื่นหนังสือฯ ในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ สายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ สายการบินไทยเวียตเจ็ท สายการบินนกแอร์ และสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ โดยได้มีข้อเสนอรวม 3 ประเด็นคือ 1. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการสายการบิน โดยขอเสนอให้พิจารณามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท แก่ผู้ประกอบการสายการบินให้เร็วที่สุด 2. ขยายระยะเวลาการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น และ 3. การยกเว้นและลดหย่อนค่าธรรมเนียมการดำเนินงานของสายการบิน เช่น การขึ้นลงของอากาศยาน (Landing fee) ที่เก็บอากาศยาน (Parking fee) โดยปลัดกระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft loan เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีผลกระทบต่อสภาพคล่อง ผ่านธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนการยกเว้นและลดหย่อนค่าธรรมเนียมการดำเนินงานของสายการบินนั้น สามารถพิจารณาขยายระยะเวลาการยกเว้นและลดหย่อนค่าธรรมเนียมฯ ขยายออกไปถึงเดือนมีนาคม 2565 ขณะที่เรื่องการขอให้คงภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินนั้น จะยังคงคงไว้ตามที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34626