title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานใหญ่ ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” ยกขบวนสินค้าและบริการมาให้ ชิม เที่ยว ช้อป พร้อมไอเดียต่อยอดธุรกิจเอสเอ็มอี ตลอด 3 วันเต็ม | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานใหญ่ ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” ยกขบวนสินค้าและบริการมาให้ ชิม เที่ยว ช้อป พร้อมไอเดียต่อยอดธุรกิจเอสเอ็มอี ตลอด 3 วันเต็ม
กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานใหญ่ ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” ยกขบวนสินค้าและบริการมาให้ ชิม เที่ยว ช้อป พร้อมไอเดียต่อยอดธุรกิจเอสเอ็มอี ตลอด 3 วันเต็ม
กระทรวงอุตสาหกรรม และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จัดงานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” ที่คัดสรรของดีชื่อดังจากทุกภาคในประเทศไทยมาให้ประชาชน ได้ออกมาจับจ่ายสินค้าบริการระดับพรีเมี่ยมในราคาพิเศษสุด เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี พร้อมรองรับยุคเศรษฐกิจตามวิถีนิวนอร์มอล งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5-7
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รวบรวมสินค้าและบริการระดับพรีเมี่ยม มาให้ประชาชนได้เลือกช้อปปิ้งในราคาพิเศษสุดคุ้ม ซึ่งงานนี้ยังถือเป็นงานใหญ่ที่ช่วยส่งเสริมให้ทุกธุรกิจสามารถขับเคลื่อน กระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งเป็นการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้มีพื้นที่หรือช่องทางจำหน่ายสินค้าเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจให้เกิดขึ้น รวมถึงยังมีกิจกรรมสัมมนาและเวิร์คช้อปจากกูรูที่มาร่วมให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมงานและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกี่ยวกับการฟื้นฟูธุรกิจ แนวทางการปรับตัวให้อยู่รอดในภาวะปัจจุบันและแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตอีกด้วย”
ภายในงาน ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” พบกับสินค้าและบริการจากเหล่าผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ผู้ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และวิสาหกิจชุมชนเต็มพื้นที่ 6 โซนหลัก กว่า 600 บูธ ชิมอาหารขนมของอร่อย 4 ภาค สินค้าเกษตรแปรรูป เลือกซื้อเสื้อผ้า/สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อัญมณี/เครื่องประดับ ของใช้และของตกแต่งบ้าน แพ็กเกจท่องเที่ยว โรงแรม สปา ราคาพิเศษและกิจกรรมมากมาย ร่วมรับฟังสัมมนาจากวิทยากรมากความสามารถผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจที่มา แนะแนวความรู้ในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ “SME ต้องรู้ การตลาดบน TikTok” กับคุณคณากร คงประทีป New Partner TikTok Thailand ผู้บรรยาย TikTok ในรูปแบบธุรกิจเป็นคนแรกของไทย “ฝ่าวิกฤตโควิด ด้วยพลังความคิดสร้างโอกาสทอง” กับผู้ประกอบการ แบรนด์ดัง คุณสุรนาม พาณิชการ จากธุรกิจนมถั่วเหลืองแปรรูปแบรนด์ TOFUSAN คุณคมชาญ อุณหสุทธิยานนท์ จากธุรกิจโรงแรม ห้องพักและห้องจัดประชุม ประจวบ แกรนด์ โฮเทล และ คุณสรรพชัย เสริมศิริธรรม จากธุรกิจ Cafe & Restaurants B-Story Garden “How to Live (ไลฟ์สด) ขายสินค้าให้ปัง” โดย คุณณัฐพงศ์ วุฒิกร วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Online Marketing จาก A’O academy “จัดสวนเสริมทิศ พิชิตทางรวย ด้วยฮวงจุ้ย” โดย ซินแส เป็นหนึ่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงเคล็ดลับการเพิ่มยอดขายด้วยเทคนิคการถ่ายภาพ สร้างกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้าที่จะมาสนับสนุนต่อยอดธุรกิจทางการตลาด พร้อมพบกับบูธให้คำปรึกษาจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะมาออกบูธ ให้ความรู้พร้อมบริการ คำปรึกษาแนะนำ
สนับสนุนด้านเงินทุนและสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการเพื่อช่วยฟื้นฟูธุรกิจ แนวทางการปรับตัวให้อยู่รอดในภาวะปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการผลงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งในช่วงก่อนและหลังโควิด-19 และนิทรรศการของกองทุน ฯ ที่นำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อ ห้ามพลาด งานตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2563 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5-7 ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ทาง Facebook กระทรวงอุตสาหกรรม www.facebook.com/industryprmoi
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34825 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่10 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซาอุดิอาระเบีย 5 ราย, อินเดีย 2 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 24 ราย จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,310 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.83 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 86 ราย หรือร้อยละ 2.49 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,454 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ซาอุดิอาระเบีย5 รายทุกรายมีสัญชาติไทย แบ่งเป็น เพศชาย 4 ราย อายุ 37 ปี ว่างงาน และอายุ 21 ปี, 22 ปี, 35 ปี อาชีพนักศึกษา, และเพศหญิง 1 ราย อายุ 35 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันถึงประเทศไทยวันที่ 5 กันยายน 2563 ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากตรวจครั้งแรก วันที่ 8 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ
อินเดีย2 ราย สัญชาติไทย เป็นเพศหญิง อายุ 27 ปี และเพศชายอายุ 2 ปี (เป็นมารดา-บุตร) เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกัน ถึงประเทศไทยวันที่ 6 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี โดยพักห้องเดียวกัน มารดาเริ่มป่วยวันที่ 7 กันยายน 2563 ด้วยอาการเจ็บคอ มีเสมหะ จมูกไม่ได้กลิ่น หายใจเหนื่อยบางครั้ง ส่วนบุตรไม่มีอาการ ทั้ง 2 ราย พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกในวันที่ 8 กันยายน 2563 (วันที่ 2 ของการกักตัว) เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี
สถานการณ์ทั่วโลกวันนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสม 27,998,403 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 270,103 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 907,055 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และบราซิล ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 122 ของโลก
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ สถานการณ์ทั่วโลกยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนในเอเชียพบผู้ป่วยต่อเนื่องในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศอินเดียพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 95,529 ราย และประเทศเพื่อนบ้านเช่น เมียนมา พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ยังคงเข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองป้องกันโรคตามแนวชายแดน และโรงพยาบาลมีความพร้อมทั้งบุคลากร อุปกรณ์ป้องกัน ยาและเวชภัณฑ์พร้อมให้การดูแลรักษาหากพบผู้ติดเชื้อ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และผลการตรวจผู้สัมผัสผู้ต้องขังชายที่พบการติดเชื้อขณะกักกันก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำ รวม 1,004 คน พบ 570 คนผลเป็นลบ ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผล แต่ประชาชนจะต้องไม่ประมาท สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ รักษาระยะห่างไม่น้อย กว่า 1 - 2 เมตรหรือ 1 - 2 ช่วงแขน หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดหรือการระบายอากาศเป็นระบบปิด ให้สแกนคิวอาร์โค้ด “ไทย ชนะ” ทุกครั้งที่เข้า-ออกสถานที่ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น สำหรับสถานประกอบการ ขอให้จำกัดจำนวนการเข้าใช้บริการตามที่ราชการกำหนด ตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าใช้บริการ และสแกนคิวอาร์โค้ด “ไทยชนะ” เพื่อความสะดวกในการติดตามหากพบผู้ติดเชื้อในสถานที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34978 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยอดขายปัง แล้วอย่าลืมยื่นแบบแสดงรายการภาษีบุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ภายใน 30 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยอดขายปัง แล้วอย่าลืมยื่นแบบแสดงรายการภาษีบุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ภายใน 30 กันยายน 2563
กรมสรรพากรสนับสนุนให้พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ หน้าใหม่และรายเดิม ทำความเข้าใจเรื่องภาษี ได้ง่ายๆ ที่ www.rd.go.th และนำรายได้จากการขาย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ภายใน 30 ก.ย.2563
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “นับแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) พบว่าคนไทยนิยมซื้อสินค้าทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่า 478% เนื่องจากมีการซื้อที่ง่าย สะดวกสบาย มีโปรโมชั่นที่ถูกใจ และราคาถูก สร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ประกอบกับปัจจุบันกรมสรรพากรได้นำระบบ Data Analytics มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ทั้งรายใหม่และรายเดิม นำรายได้ จากการประกอบธุรกิจ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ให้ถูกต้องครบถ้วนตามสภาพความเป็นจริงของธุรกิจ ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่ www.rd.go.th ได้ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ หรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจขอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภาษีอากรรวมทั้งใช้ช่องทางการยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Filing ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ซึ่งจะได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เงื่อนไขนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) มีอะไรบ้าง ?? | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
เงื่อนไขนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) มีอะไรบ้าง ??
เงื่อนไขนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa ??
Q : เงื่อนไขนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) มีอะไรบ้าง ??
A : 1.ต้องยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย และตกลงยินยอมกักตัวในห้องพักจำนวน 14 วัน (ALSQ)
2.มีหลักฐานสถานที่พักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย
3.การตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ STV เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 2,000 บาท
4.อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรครั้งละ 90 วัน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวม 270 วัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35166 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ยกย่อง เชิดชูหน่วยงานที่มุ่งมั่น บริหารจัดการการเงินการคลังให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีความโปร่งใส | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
กรมบัญชีกลางมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ยกย่อง เชิดชูหน่วยงานที่มุ่งมั่น บริหารจัดการการเงินการคลังให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีความโปร่งใส
กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัล “รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ 20 หน่วยงาน ที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ยกย่องและเชิดชูเกียรติ
กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัล “รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ 20 หน่วยงาน ที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ยกย่องและเชิดชูเกียรติเพื่อเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นต่อไป
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันนี้ (14 กันยายน 2563) กรมบัญชีกลางได้รับเกียรติจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลให้แก่หน่วยงานที่ได้รับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล จำนวน 20 หน่วยงาน 26 รางวัล
โดยหลักเกณฑ์การประเมินตามขั้นตอนการบริหารด้านการเงินการคลัง 5 มิติ ประกอบด้วย มิติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มิติด้านการเบิกจ่าย มิติด้านการบัญชีภาครัฐ มิติด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และมิติด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด ซึ่งแต่ละมิติได้มีการปรับปรุงเกณฑ์ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยรางวัลแห่งเกียรติยศนี้ มี 8 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1. รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ ด้านการเงินการคลัง 2. ประกาศเกียรติคุณด้านการจัดซื้อจัดจ้าง 3. ประกาศเกียรติคุณด้านการเบิกจ่าย 4. ประกาศเกียรติคุณด้านการการบัญชีภาครัฐ 5. ประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ 6. ประกาศเกียรติคุณ ด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด 7. ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีการพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง และ 8. ประกาศเกียรติคุณส่งเสริมความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง
“รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจของหน่วยงาน ที่จะส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ยกย่องเชิดชูหน่วยงานให้เกิดความมุ่งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารจัดการการเงินการคลังให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีความโปร่งใส และลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ อีกทั้งเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่หน่วยงานที่ได้รับการยกย่องเชิดชูอีกด้วย” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (17 กันยายน 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการในด้านต่าง ๆ โดยที่ประชุมฯ ได้แจ้งถึงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 243/2563 เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้แจ้งกำหนดการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ณ วัดคฤหบดี แขวงบางยี่ชัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ รวมถึงตารางการจัดสรรสลากบำรุงสภากาชาดไทยกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2563 โดยมี นายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้สูงอายุเฮ สปส.ขยายอายุถึง 65 ปี | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
ผู้สูงอายุเฮ สปส.ขยายอายุถึง 65 ปี
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระรุ่นที่ 1-2 (ส่วนภูมิภาค) ณ ห้องแสนสุข โรงแรมบางแสน เฮอริเทจ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 เวลา 9.30 นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระรุ่นที่ 1-2 (ส่วนภูมิภาค) โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายสุคนธ์ สุวรรณศักดิ์สิน นายอำเภอเมืองชลบุรี นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ห้องแสนสุข โรงแรมบางแสน เฮอริเทจ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพประชาชน โดยการสร้างหลักประกันทางสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากร กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มผู้สูงวัย จำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในการนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม จากการสำรวจข้อมูลแรงงานภาคอิสระของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2562 พบว่ามีแรงงานภาคอิสระจำนวน 20.4 ล้านคนทั่วประเทศ แต่มีเพียงจำนวน 3.40 ล้านคน หรือร้อยละ 16.67 ที่เข้าถึงระบบความคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 และยังมีแรงงานภาคอิสระจำนวน 17.00 ล้านคน หรือร้อยละ 83.33 ที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบความคุ้มครอง ดังนั้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว กระทรวงแรงงาน ได้มีการส่งเสริม สนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ให้เห็นความสำคัญของการมีหลักประกันทางสังคม โดยการสมัครเข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคมอย่างทั่วถึง และเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย
นายสุเทพฯ กล่าวต่อว่า การจัดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระ มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 40 และสร้างแรงจูงใจ ให้แรงงานภาคอิสระ เข้าถึงการมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับตนเองและครอบครัวที่อยู่ในวัยแรงงานที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ด้วยการรณรงค์ ส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้และรับสมัครขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วยเครือข่ายประกันสังคม แรงงานภาคอิสระ และผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี รวม 300 คน ซึ่งภายในงานจัดให้มีนิทรรศการเกี่ยวกับความคุ้มครองประกันสังคมสำหรับแรงงาน ภาคอิสระ การรับสมัครขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 และการออกร้านผลิตภัณฑ์ของเครือข่ายประกันสังคม ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แรงงานภาคอิสระ และสมาคมผู้สูงวัยของจังหวัดชลบุรีด้วย ซึ่งคาดหมายว่าการดำเนินโครงการดังกล่าว จะมีส่วนส่งเสริม สนับสนุนให้แรงงานภาคอิสระในพื้นที่จังหวัดชลบุรีเกิดความตื่นตัว และร่วมเป็นเครือข่ายในการสนับสนุนการขยายความคุ้มครองประกันสังคมเพื่อให้แรงงานภาค อิสระได้รับความคุ้มครองประกันสังคมเพิ่มม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34927 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 กันยายน 2563 | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 กันยายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (15 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 จำนวน 12 ฉบับ
5. เรื่อง ร่างระเบียบว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์อื่นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะไม่ปกติ พ.ศ. .... และร่างหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการชดเชยค่าเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตซึ่งได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวม 2 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวง พ.ศ. ….
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
8. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบ โมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
9. เรื่อง ขอยกเว้นหลักเกณฑ์ตามข้อ 7 (2) แห่งกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำประโยชน์ในเขตป่า พ.ศ. 2558 ให้แก่บริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด
ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
10. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาเครื่องจักรกลเพื่อการเตรียมความพร้อมแก้ไขและบรรเทา อุทกภัย
11. เรื่อง การปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และการประเมินส่วนราชการ ตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
12. เรื่อง ขออนุมัติแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร
13. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 19/2563
14. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
15. เรื่อง การยกเลิกการจัดประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020 ณ ประเทศไทย
16. เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไปพลางก่อน
17. เรื่อง การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000
ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่- กาญจนบุรี ช่วง กม.4 + 100.000-กม.9 + 000.000 (ช่วง 3)
18. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบปรระมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหารถสูบส่งน้ำ ไม่น้อยกว่า 35,000 ลิตร/นาที และส่งน้ำระยะไกล ไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร พร้อมอุปกรณ์(เพิ่มเติม)
19. เรื่อง การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
20. เรื่อง แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV)
21. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพื่อเตรียมการ รับมือ บรรเทาปัญหาน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในฤดูฝนปี 2563
22. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการปฏิรูปที่ 6 : การบริหารจัดการการประมงทะเล ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์วุฒิสภา
ต่างประเทศ
23. เรื่อง องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียขอความเห็นชอบร่างสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) แปลง B -17 & C - 19 เพื่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการหักค่าใช้จ่าย ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย
24. เรื่อง องค์กรร่วมไทย - มาเลเซียขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง B - 17 C -19 และแปลง B - 17 - 01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย
25. เรื่อง การให้เงินสนับสนุนผ่านโครงการ Project - Based Programme ให้แก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน
26. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 75
27. เรื่อง ปฏิญญาการรำลึกถึงการครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ (Declaration for the Commemoration of the 75th Anniversary of the United Nations)
28. เรื่อง การเจรจาจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement: VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU)
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
32. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
33. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ
34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
40. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และ กรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบให้เป็นไปตามรูปแบบการร่างกฎหมายมาแล้ว แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป และให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และ กรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และมีประเด็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจและการพิจารณาบำเหน็จความชอบมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ในหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามมติที่ประชุมซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอให้เป็นไปตามรูปแบบการร่างกฎหมายแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 สรุปได้ดังนี้
1. หน้าที่และอำนาจของ ตช. กำหนดหน้าที่และอำนาจของ ตช. ไว้เช่นเดิม แต่มีการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของ ตช. ได้แก่ ภารกิจของกองบังคับการตำรวจรถไฟ ภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภารกิจงานจราจรเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการจราจร การกวดขันวินัยจราจร และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกในความผิดฐานจอดรถโดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไปให้แก่ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้นโดยตรงรับไปดำเนินการ และโอนอัตรากำลังนั้นไปปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นภารกิจหลักของ ตช. เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของตำรวจสอดคล้องกับหน้าที่และอำนาจอย่างแท้จริง และให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับโอนภารกิจไปดำเนินการจึงมีการกำหนดระยะเวลาในการโอนภารกิจแต่ละภารกิจที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ ก.ตร.พิจารณาทบทวนหน้าที่และอำนาจของ ตช. หรือข้าราชการตำรวจในส่วนที่มีกฎหมายกำหนดให้ ตช. หรือข้าราชการตำรวจมีหน้าที่เกี่ยวกับการอนุญาตหรือการจดทะเบียน โดยหากพิจารณาแล้วเห็นว่าที่มีความจำเป็นต้องกำหนดให้ ตช. หรือข้าราชการตำรวจมีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวไว้ ให้รายงานเหตุผลและความจำเป็นต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณา
2. การจัดระเบียบราชการใน ตช. กำหนดให้ในการแบ่งส่วนราชการของ ตช. อย่างน้อยต้องมีหน่วยงาน ดังนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค กองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัด และสถานีตำรวจ เพื่อให้ความสำคัญแก่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบริการและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยตรง และกำหนดให้ ตช. ต้องจัดอัตรากำลังให้แก่สถานีตำรวจและตำรวจภูธรจังหวัดตามลำดับให้ครบถ้วนตามกรอบอัตรากำลังก่อน รวมทั้งได้กำหนดระดับของสถานีตำรวจออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สถานีตำรวจที่มีผู้กำกับการ และสถานีตำรวจที่มีรองผู้กำกับการหรือตำแหน่งเทียบเท่า โดยคำนึงถึงปริมาณงาน ความหนาแน่นของประชากรในเขตรับผิดชอบ จำนวนอัตรากำลังและสถานที่ตั้งของสถานีตำรวจ เพื่อเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน
3. การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ กำหนดหลักการในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจเพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
3.1 แบ่งข้าราชการตำรวจออกเป็น 2 ประเภท คือ ข้าราชการตำรวจที่มียศ และข้าราชการตำรวจที่ไม่มียศ
3.2 แบ่งสายงานออกเป็น 5 กลุ่มสายงาน คือ กลุ่มสายงานบริหาร กลุ่มสายงานอำนวยการและสนับสนุน กลุ่มสายงานสอบสวน กลุ่มสายงานป้องกันและปราบปราม และกลุ่มสายงานวิชาชีพเฉพาะ เพื่อให้เกิดการสร้างความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจในแต่ละสายงานและเป็นการสร้างความก้าวหน้าในสายงานนั้น ๆ
3.3 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้งและการเลื่อนตำแหน่งไว้ให้ชัดเจนในกฎหมายว่าการจะแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดจะต้องเป็นข้าราชการตำรวจยศใด และเคยดำรงตำแหน่งใดมาแล้วจำนวนกี่ปี และในการแต่งตั้งจะต้องคำนึงถึงความอาวุโสในการดำรงตำแหน่ง ความรู้ความสามารถที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน และความพึงพอใจในบริการที่ประชาชนได้รับ และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน เพื่อเป็นการลดการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาและทำให้ข้าราชการตำรวจสามารถมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
3.4 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้งและการเลื่อนตำแหน่งของสายงานสอบสวนไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถเติบโตก้าวหน้าในสายงานตามความรู้ความสามารถได้
3.5 กำหนดให้ข้าราชการตำรวจสามารถร้องทุกข์ ต่อ ก.พ.ค.ตร. ในกรณีที่เห็นว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเรียงลำดับอาวุโสหรือในการแต่งตั้ง รวมทั้งกำหนดบทลงโทษผู้ที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดหรือแอบอ้างอำนาจของบุคคลใด หรือเรียก รับ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือกระทำการใดอันมิชอบ เพื่อให้มีการแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งผู้ใดให้ดำรงตำแหน่ง โดยระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
3.6 กำหนดห้ามมิให้สั่งให้ข้าราชการตำรวจที่สังกัดสถานีตำรวจหรือตำรวจภูธรจังหวัดไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการอื่น เว้นแต่ในคำสั่งนั้นจะสั่งให้ข้าราชการตำรวจอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจแทน เพื่อให้ความสำคัญแก่หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนโดยตรง นอกจากนี้ หากผู้บังคับบัญชาผู้ใดรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มาปฏิบัติราชการติดต่อกันเกินสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้ดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการตำรวจผู้นั้น เพื่อให้การบริหารอัตรากำลังที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทำหน้าที่ทั้งในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารราชการตำรวจและกำกับดูแล ตช. ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบแบบแผน รวมทั้งกำหนดนโยบายและมาตรฐานการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจและจัดระบบราชการตำรวจ กำกับดูแลการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจของผู้บังคับบัญชาทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และกฎ ก.ตร. โดยเคร่งครัด ตลอดจนดูแล การเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการตำรวจไปให้สถานีตำรวจให้เพียงพอต่อการปฏบัติหน้าที่และกำกับดูแลการจัดสรรงบประมาณให้แก่ส่วนราชการในหน่วยปฏิบัติให้เพียงพอ โดยมีนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เป็นประธานกรรมการ มีกรรมการที่เป็นข้าราชการตำรวจ ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ มีกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 5 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการ ก.พ. อัยการสูงสุด และเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกกรรมการ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิไว้ให้ชัดเจนในกฎหมาย รวมทั้งกำหนดห้ามผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใดสั่งการ ข่มขู่ หรือชักจูงด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เลือกหรือมิให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นหลักประกันในการได้มาซึ่งกรรมการ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นอิสระ โดยปราศจากการครอบงำหรือการแทรกแซง
5. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เพื่อเป็นที่พึ่งของข้าราชการตำรวจในการปลดเปลื้องทุกข์ของข้าราชการตำรวจที่เกิดจากผู้บังคับบัญชา โดยมีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะต่อ ก.ตร. เพื่อให้ ก.ตร. ดำเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารงานบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ และพิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรม ซึ่ง ก.พ.ค.ตร. จะประกอบด้วยกรรมการจำนวน 7 คนซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือก ก.พ.ค.ตร. และเป็นผู้ซึ่งสามารถทำงานได้เต็มเวลา เพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวมีความเป็นอิสระจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ ก.ตร.
6. คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบ หรือการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ เพื่อเป็นกลไกในการปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ประชาชนอันเกิดจากข้าราชการตำรวจ โดย ก.ร.ตร. ประกอบด้วยประธานและกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมจำนวน 9 คน และมีจเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ
7. การให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดระบบบริหารงานใน ตช. โดยกำหนดให้ ตช. จัดระบบบริหารงานให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่นและชุมชนและกำหนดให้เงินอุดหนุนที่ อปท. จัดสรรให้แก่สถานีตำรวจให้ใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจและกิจการในสถานีตำรวจนั้น โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาและการรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่นหรือชุมชน กองบัญชาการตำรวจนครบาลหรือตำรวจภูธรจังหวัดจะจัดให้มีแผนหรือมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นหรือชุมชน โดยในการจัดทำแผนหรือมาตรการดังกล่าวให้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าสถานีตำรวจ อปท. และชุมชน และเมื่อ ก.ตร. และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนหรือมาตรการดังกล่าวแล้ว ให้ สงป. และ ตช. พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนหรือมาตรการดังกล่าว
8. กองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา จัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ
9. บัญชีอัตราเงินเดือน ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในการรับเงินเดือนของข้าราชการตำรวจ โดยตัดอัตราเงินเดือนขั้นต่ำในระดับที่ไม่ได้มีการรับในอัตรานั้นออก แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนแต่อย่างใด
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (30 กรกฎาคม 2562) รับทราบแล้ว ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้
ปีที่
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" มอบรางวัลสุดยอด Vlog เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
"วราวุธ" มอบรางวัลสุดยอด Vlog เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
"วราวุธ" มอบรางวัลสุดยอด Vlog เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
"วราวุธ" มอบรางวัลสุดยอด Vlog เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
วันนี้ (10 กันยายน 2563) ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารปฏิบัติการวิทยุและโทรทัศน์ ชั้น 6 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบรางวัลการประกวดแข่งขัน “Low Carbon Contest : Vlog – The Journey” ให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน จำนวน 11 ทีม 13 รางวัล พร้อมทั้งกล่าวแสดงความยินดีและกล่าวขอบคุณผู้ได้รับรางวัลและไม่ได้รับรางวัล รวมถึงผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความตื่นตัว และมีความตั้งใจจริงในการลดปริมาณคาร์บอนฟรุตปริ้นหรือคาร์บอนไดร์ออกไซต์เวลาเดินทางท่องเที่ยวและการดำเนินชีวิตประจำวันและที่สำคัญเป็นการส่งต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำไปสู่สังคม อันจะเป็นการร่วมสร้างการมีส่วนร่วมและร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของตนเองและสังคมไทยต่อไป
กิจกรรมการประกวดแข่งขัน “Low Carbon Contest : Vlog – The Journey”
จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมมัคคเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และบริษัท วิริยะธุรกิจ จำกัด ในนามบริษัทสารคดี ได้ร่วมกันเชิญชวนให้สาธารณชนร่วมกันท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำผ่านสื่อสังคม โดยจากยอดลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมกิจกรรมการประกวดแข่งขัน “Low Carbon Contest : Vlog – The Journey” มีทั้งสิ้น 461 ทีม โดยมีผู้ส่ง Vlog เข้าประกวด จำนวนทั้งสิ้น 173 คลิป ซึ่งผลการตัดสินกิจกรรมการประกวดแข่งขัน “Low Carbon Contest : Vlog – The Journey” มีดังนี้
รางวัลดีเด่น จำนวน 3 รางวัล รางวัลละ30,000 บาท ได้แก่
1. ทีมลาเต้ ชื่อ Vlog “นครศรีธรรมชาติ”
2. ทีม SpeakUp ชื่อ Vlog “น่าน...ไง จะที่ไหนล่ะ!”
3. ทีม this footage is recycleable ชื่อ Vlog “กรีนไว้ก่อน : กรีนนะจ๊ะบุรี อีโค่ยันเงา ดูงู เข้าป่า พาล่องน้ำ ทำบ้านดินที่กาญฯ”
รางวัลชมเชย จำนวน 7 รางวัล รางวัลละ 15,000 บาท ได้แก่
1. ทีม Spoon Story ชื่อ Vlog “ลุยฟาร์มหอยแครงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สุราษฎร์ธานี เมืองหอยใหญ่ไข่น่ารัก”
2. ทีม LoCoP ชื่อ Vlog “เพชรบุรีจ๋า The LoCop มาแล้ว”
3. ทีม IKARI Lifestyle ชื่อ Vlog “เพื่อโลก...เพื่อเรา / เชียงดาว เชียงใหม่”
4. ทีม Eat around go around ชื่อ Vlog “เกาะยาวน้อย!!! Slow Life ไปกับธรรมชาติ แบบฉบับ Low Carbon”
5. ทีม we hear nature ชื่อ Vlog “Hin Lad Nai Journey / แอ่วเหนือเข้าดอยห้อยตามเขา”
6. ทีม Urban V Garden ชื่อ Vlog “เที่ยวสังขละบุรีแบบทัวร์ “ศูนย์เสีย”
7. ทีม กานต์เดินทาง ชื่อ Vlog “เที่ยวหมู่บ้านมอญ นอนแพ เท้าแช่น้ำ River Jungle Rafts”
รางวัล Popular Vote จำนวน 3 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท ได้แก่
1. ทีม อคิราห์ ยอดวิว 4,407 ครั้ง
2. ทีม IKARI Lifestyle ยอดวิว 4 ,065 ครั้ง
3. ทีม กานต์เดินทาง ยอดวิว 3,004 ครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกทีมจะได้รับบัตรประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ มูลค่าไม่เกินกว่า 2,000 บาท จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกิฟต์เซตจากบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34989 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราคายางพุ่งทะลุ 60 บาท/กิโล ครั้งแรกในรอบ 3ปี รัฐบาลมั่นใจมาถูกทาง เดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘การตลาดนำการผลิต’ บริหารอุปสงค์อุปทานในประเทศ | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
ราคายางพุ่งทะลุ 60 บาท/กิโล ครั้งแรกในรอบ 3ปี รัฐบาลมั่นใจมาถูกทาง เดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘การตลาดนำการผลิต’ บริหารอุปสงค์อุปทานในประเทศ
ราคายางพุ่งทะลุ 60 บาท/กิโล ครั้งแรกในรอบ 3ปี รัฐบาลมั่นใจมาถูกทาง เดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘การตลาดนำการผลิต’ บริหารอุปสงค์อุปทานในประเทศ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราคายางพารายางแผ่นรมควันชั้น 3 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยับเกิน 60 บาทต่อกิโลกรัม เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีการสั่งซื้อปริมาณมากหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ เพื่อให้ยางพาราไทยมีศักยภาพทางการแข่งขัน เป็นที่ต้องการมากกว่าสินค้าจากประเทศอื่น การผลิตจึงต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งด้านราคาและคุณภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์“การตลาดนำการผลิต” มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่/เพิ่มมูลค่า ต่อยอดและลดข้อจำกัดผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ เจาะตลาดผลิตภัณฑ์ยางเฉพาะกลุ่ม ขยายตลาดต่างประเทศ ลดต้นทุนการผลิต โดยจะมีโครงการสำคัญเกิดขึ้นหลายโครงการ เช่น1)โครงการสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาสินค้ายางพาราให้แก่คนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมยางพารา 2) แผนผลักดัน “สตาร์ตอัพ” เป็นการให้การช่วยเหลือแหล่งทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ และ 3) โครงการรับเบอร์วัลเล่ย์ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้านวัตกรรมยางพาราครบวงจรของโลก ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าและดึงดูดนักลงทุน กยท.คัดเลือกพื้นที่ในจังหวัด นครศรีธรรมราช คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้
สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้จะมีผลกระทบต่อความต้องการใช้ยางพาราในภาพรวมช่วงต้นปี แต่การส่งออกถุงมือยางของไทย ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากมาเลเซีย กลับมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 8-15% ด้วยโอกาสอันหน้าสนใจบวกกับศักยภาพของประเทศ รัฐบาลตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก” ที่คาดว่าในปีนี้ จะมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลัก จะบูรณาการการทำงานกับหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงพาณิชย์ผลักดันเรื่องการตลาด จัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ค้าและผู้ซื้อถุงมือยางการทำงานร่วมกันของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ มหาวิทยาลัยต่างๆ และผู้ประกอบการถุงมือยาง เรื่องงานวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีถุงมือยาง
และควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าเพื่อมุ่งเป้าตลาดต่างประเทศ นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลได้เดินหน้าในเรื่องการจัดการอุปสงค์อุปทานยางพาราในประเทศ เพราะตระหนักดีว่าจะพึ่งพิงการส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ที่ผ่านมา มีการเร่งรัดการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐไปแล้ว สำหรับปี 2563-2565 มีแผนการใช้ยางพาราของกระทรวงคมนาคม ปริมาณ 1 ล้านตัน ในโครงการอุปกรณ์ทางด้านการจราจร มากไปกว่านั้น ยังมีมาตรการลดอุปทานยาง ตั้งเป้าทำโซนนิ่งพื้นที่ 2 ล้านไร่ ที่เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนหรือปลูกพืชผสมผสาน คาดจะลดปริมาณการผลิตได้ประมาณ 5 แสนตัน เบื้องต้น ตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะทำการโซนนิ่งได้ 4 แสนไร่
“ราคายางพารามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการของตลาดโลกและประเทศจีน การใช้ “การตลาดนำการผลิต” จะทำให้ยางพาราไทยมีโอกาสส่งออกมากกว่าประเทศอื่น เพราะใช้ความต้องการของตลาดเป็นตัวตั้ง สิ่งที่สำคัญ ขอให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ ร่วมมือในการปรับตัว จะทำตามที่เคยชินโดยไม่สนใจตลาดและคู่แข่งไม่ได้ ส่วนมาตรการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศจากภาครัฐ และการลดพื้นที่ปลูกยางจะมีส่วนช่วยยกระดับราคายางในระยะยาวได้อย่างแน่นอน สำหรับโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง ได้ผ่านการเห็นชอบในหลักการของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้ว รอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ขอให้เกษตรกรมั่นใจว่ารัฐบาลมีมาตราการสร้างเสถียรภาพราคายาง และดูแลชาวสวนยางในยามที่ราคาตกต่ำ แต่ทุกอย่างจะสำเร็จได้ก็ต้องมาจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน” รองโฆษกฯ กล่าว
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34821 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าการ “บิ๊ก ภาณุพล” เดินหน้า “CHANGE” ยสท. สู่มิติใหม่ | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
ผู้ว่าการ “บิ๊ก ภาณุพล” เดินหน้า “CHANGE” ยสท. สู่มิติใหม่
การยาสูบแห่งประเทศไทยเปิดแผนและทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรเน้นการส่งเสริมพันธมิตรตั้งแต่ระดับฐานราก ส่งเสริมช่องทางการจำหน่าย สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าและชาวไร่ในสังกัด ส่งเสริมให้มีการปลูกพืชทดแทน พัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ในอนาคต
การยาสูบแห่งประเทศไทย เปิดแผนและทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรเน้นการส่งเสริมพันธมิตรตั้งแต่ระดับฐานราก ส่งเสริมช่องทางการจำหน่าย สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าและชาวไร่ในสังกัด ส่งเสริมให้มีการปลูกพืชทดแทน พัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ในอนาคตพร้อมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นและจริงจังร่วมมือรัฐบาลในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีที่ให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย พร้อมเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับองค์กร
นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารคนใหม่ที่ข้ามสังกัดจากกระทรวงมหาดไทย มาอยู่ในสังกัดของกระทรวงการคลัง ว่าสิ่งแรกที่ ยสท. ต้องดำเนินการ คือ การทำให้สาธารณชนรู้จักความเป็นตัวตนของ ยสท. ให้มากยิ่งขึ้น ประชาชนต้องทราบถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆ ของยสท. และสิ่งที่ ยสท. ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาโดยตลอด ตนมีความตั้งใจที่จะทำให้ ยสท. เป็นองค์กรที่ดีในสายตาของสาธารณชน จึงเริ่มต้นด้วยการจัดตั้งทีม Brand Ambassador หรือบุคคลที่จะทำหน้าที่สื่อสารออกไปว่า ยสท. ทำอะไรบ้าง ซึ่งภารกิจหลักของตนและทีมงาน คือการสร้างและส่งเสริมพันธมิตรในทุกระดับและทุกมิติตั้งแต่ระดับฐานรากสร้างความสัมพันธ์กับชาวไร่ผู้เพาะปลูกใบยาสูบในสังกัดกว่า 50,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ การพบปะเยี่ยมเยียนคู่ค้า Modern tradeร้านค้าส่งยาสูบทั่วประเทศ การส่งเสริมช่องทางการจำหน่าย หรือแม้กระทั่งการร่วมมือกับ Stakeholder ทุกฝ่ายสร้างประโยชน์แบบ win-win
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ยสท. ควรให้ความสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ ต้องตระหนักว่าธุรกิจยาสูบไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่มีรายได้มากมายมหาศาลเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการสื่อสารไปยังบุคคลภายนอกแล้ว ยสท. ยุคใหม่พร้อมรับฟังความคิดเห็นทั้งจากพนักงานและประชาชนทั่วไป วันนี้พนักงาน ยสท. ทุกคนมีความคิดในเชิงบวกต่อองค์กร สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีและรับฟังข้อมูลรอบด้าน360 องศาในเมื่อเราไม่สามารถจำหน่ายบุหรี่ได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีโครงสร้างภาษีที่ทำให้ ยสท. สูญเสียโอกาสในการทำกำไรเราจึงต้องหารายได้จากทุกช่องทาง การส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ทดแทนยาสูบ และใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างพอเพียงเพื่อประโยชน์สูงสุดโดยจากแผนการปรับลดค่าใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมและกันยายน2563 ยสท. สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ถึง 100 ล้านบาทซึ่งการลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนต่างๆ ในการผลิต ก็ทำให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยสท. ยังมีแผนการพัฒนาที่ดินทั้งในส่วนกลางและสำนักงานยาสูบส่วนภูมิภาคเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับองค์กรในอนาคต ภารกิจที่สำคัญอีกประการคือการปราบปรามบุหรี่เถื่อน บุหรี่ผิดกฎหมาย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่สรรพสามิต เจ้าหน้าที่ศุลกากร และร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อมิให้บุหรี่ผิดกฎหมายมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่ ยสท. ซึ่งหมายถึงการทำให้รัฐเสียประโยชน์
ผู้ว่าการ ยสท. กล่าวทิ้งท้ายว่า ยาสูบยุคใหม่ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน นโยบายที่ ยสท. ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ เรื่องธรรมาภิบาล การบริหารงานด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมกับทุกฝ่ายภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญที่สุด คือ การเสนอปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างภาษีให้เหมาะสม เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ เกษตรกร และทุกฝ่าย และเดินหน้าส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนยาสูบเช่นกัญชา-กัญชง เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนในอนาคตต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 17 กันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 17 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 9 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,325 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.27 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษา อยู่ในโรงพยาบาล 107 ราย หรือร้อยละ 3.07 ของ
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 17 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 9 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,325 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.27 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษา อยู่ในโรงพยาบาล 107 ราย หรือร้อยละ 3.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,490 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกวันนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสม 30,032,521 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 307,465 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา 6,828,301 อินเดีย 5,115,893 ราย และบราซิล 4,421,686 ราย ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือสถานการณ์ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชีย มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยในวันนี้มีจำนวนถึง 97,859 ราย ส่งผลไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีแนวตะเข็บชายแดนติดกัน เช่น บังคลาเทศ และเมียนมา เป็นต้น
สำหรับประเทศเมียนมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุด เพิ่มขึ้นถึง 307 ราย ถือเป็นสถิติสูงสุดในประเทศนับตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดครั้งแรก และพบว่านครย่างกุ้ง เมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดใหม่ เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งมีหลายจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมา หน่วยงานทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกัน เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด 19ทั้งผู้เดินทางและเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และขอความร่วมมือประชาชนเฝ้าระวังบุคคลแปลกหน้าที่เข้าในมาชุมชน ซึ่งอาจะเป็นแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย มีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อโควิด 19 เข้ามาแพร่กระจายในประเทศได้
จึงขอย้ำให้ประชาชนอย่าประมาท เนื่องจากประเทศไทยอาจยังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในชุมชน การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองจากโรคโควิด 19 ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย/ หน้ากากผ้า ทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นยังมีความจำเป็นและต้องทำให้เป็นนิสัย กรณีที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ ให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยและหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก ไม่นำตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยง และเมื่อไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง
***************************** 17 กันยายน 2563
**************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35176 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ชี้แจงกรณีผู้กู้แจ้งว่าชำระหนี้ปิดบัญชีแล้วแต่ได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้” | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
“กยศ. ชี้แจงกรณีผู้กู้แจ้งว่าชำระหนี้ปิดบัญชีแล้วแต่ได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้”
จากกรณีที่มีผู้กู้รายหนึ่งร้องเรียนผ่านสื่อว่าได้รับหนังสือแจ้งชำระหนี้เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ด้วยวิธีการหักเงินเดือน โดยระบุว่ายังคงมียอดหนี้คงเหลือ ซึ่งผู้กู้ยืนยันว่าได้ชำระหนี้ปิดบัญชีจำนวน 24,000 บาท ตั้งแต่ปี 2553 นั้น
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มี ผู้กู้รายหนึ่งได้ร้องเรียนผ่านสื่อว่าได้รับหนังสือแจ้งการชำระหนี้เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ด้วยวิธีการหักเงินเดือน โดยระบุว่ายังคงมียอดหนี้คงเหลือ ซึ่งผู้กู้ยืนยันว่าได้ชำระหนี้ปิดบัญชีจำนวน 24,000 บาท ตั้งแต่ปี 2553 นั้น
กองทุนได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่าผู้กู้รายดังกล่าวได้กู้ยืมในระดับอาชีวศึกษาตั้งแต่ปี 2541 จำนวน 41,288 บาท ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกในปี 2544 หลังจากครบกำหนดชำระหนี้ได้มีการชำระหนี้เพียง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 จำนวน 990 บาท และวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 จำนวน 990 บาท ต่อมาได้มีการดำเนินคดีในปี 2549 ศาลมีคำพิพากษาให้ชำระเงินต้นจำนวน 40,917.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยตกลงชำระหนี้เป็นรายเดือน ๆ ละ 600 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในเดือนตุลาคม 2549 และชำระงวดต่อไปทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติการชำระหนี้หลังจากศาลมีคำพิพากษา ปรากฏว่ามีการชำระหนี้ตั้งแต่ ปี 2549 - 2553 รวมจำนวน 31 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 32,930 บาท
ในส่วนที่ผู้กู้ยืมได้แจ้งว่าเมื่อปี 2553 มีการชำระหนี้ปิดบัญชี จำนวน 24,000 บาทแล้วนั้น พบว่าในปี 2553 มีรายการชำระ 2 ครั้งที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คือเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 เวลา 11.04 น. ชำระเงินจำนวน 990 บาท และวันที่ 14 ตุลาคม 2553 เวลา 15.17 น. ชำระเงินจำนวน 3,000 บาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกับระบบรับชำระหนี้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ไม่พบยอดชำระหนี้ปิดบัญชีจำนวน 24,000 บาทดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันผู้กู้ยังมียอดหนี้ค้างชำระปิดบัญชีทั้งสิ้นจำนวน 34,853.09 บาท (ยอดหนี้ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2563) อย่างไรก็ตามกองทุนได้ติดต่อกับผู้กู้ยืมรายดังกล่าวแล้ว และกองทุนจะตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในรายละเอียดต่อไป
ทั้งนี้ กองทุนขอฝากถึงผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้ทุกท่าน หากต้องการตรวจสอบสถานะการชำระหนี้ สามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ที่ Application กยศ. Connect หรือสอบถามผ่านช่องทาง Line บัญชีทางการ กยศ. หรือ กยศ. Call Center 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34581 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล” ถกเลขา EEC สร้างแรงงานคุณภาพป้อน EEC | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
“นฤมล” ถกเลขา EEC สร้างแรงงานคุณภาพป้อน EEC
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน หารือเลขาธิการ EEC สร้างแรงงานคุณภาพป้อนตลาดแรงงาน สนับสนุน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
วันที่ 16 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมกับ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกและคณะ ในประเด็น การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อสร้างแรงงานคุณภาพรองรับตลาดแรงงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะทำงานเข้าร่วมหารือในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและเน้นย้ำเสมอต่อการพัฒนาทักษะกำลังแรงงานของประเทศ ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีงานทำ ลดอัตราการว่างงานลงได้ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน จะทำงานร่วมกัน ซึ่งมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับแรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะแรงงานรองรับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ในเขต EEC และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ กพร. ได้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีทักษะที่มุ่งเน้นให้แรงงานต่อยอดความรู้ไปประกอบอาชีพอิสระได้ด้วย เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อม และผู้ประกอบอาหาร และเป็นทักษะพื้นฐานที่สถานประกอบกิจการเกี่ยวเนื่องกับภาคอุตสาหกรรมยังมีความต้องการเป็นจำนวนมาก
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการลดการว่างงานและเพิ่มศักยภาพบุคลากรในอนาคต เป็นการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC Model ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานสามารถใช้โครงการนี้เป็นตัวอย่างสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ มอบหมายให้กพร. ตรวจสอบหลักสูตรที่จัดฝึกอบรมที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ว่าตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมในเขต EEC หรือไม่ เพื่อปรับปรุงให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง และบูรณาการระหว่างภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอัตราการว่างงาน
ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก กล่าวว่า ต้องการให้กระทรวงแรงงาน ให้ความช่วยเหลือในการจัดฝึกอบรมด้านโลจิสติกส์ รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานว่าง แผนการฝึกอบรม เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าดูข้อมูลและสมัครงานหรือสมัครฝึกอบรมในระบบฐานข้อมูลนั้นได้ เป็นการอำนวยความสะดวกแก่แรงงานในการติดต่อสมัครงานหรือสมัครเข้าฝึกอบรมได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเปิดดูข้อมูลทักษะที่สถานประกอบกิจการต้องการหรือภาคอุตสาหกรรมต้องการ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการดังกล่าวได้ ซึ่งในส่วนนี้ ต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในเครือข่ายที่สามารถจัดทำระบบการบริการดังกล่าวได้ รวมถึงการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมที่รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยในเขต EEC มีสถานประกอบกิจการที่สามารถรับแรงงานที่ผ่านการอบรมจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเข้าทำงานได้ทันที ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียดกันอีกครั้ง
"การรับฟังข้อมูลและแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ EEC ในวันนี้ จะช่วยให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีแนวทางในการทำงานร่วมกัน เพื่อสอดรับความต้องการ ได้รับประโยชน์ทั้งแรงงานและภาคอุตสาหกรรม ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้" รมช.แรงงาน กล่าวท้ายที่สุด
-------------------------------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จับมือร่วมกับ สธ. จัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย" | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
อว. จับมือร่วมกับ สธ. จัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย"
อว. จับมือร่วมกับ สธ. จัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย"
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในการจัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย" วันที่ 14 ก.ย. 2563 ณ ห้องประชุมกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ชั้น 5 อาคารสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย โดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน), สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติและมหาวิทยาลัยมหิดล
โดย นายแพทย์ มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล, นายชัยรัตน์ แสงจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์และบริหารองค์กรและรักษาการแทนผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และ นางอัจฉรา เจริญสุข ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย" โดยมีผู้บริหารและคณาจารย์ทั้งสี่หน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าวด้วย และในโอกาสนี้ ผู้บริหารทั้งสี่หน่วยงานได้ร่วมพิธีเปิดป้ายและเยี่ยมชม "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย"
การจัดตั้ง "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างบุคลากร ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรไทย อีกทั้งเป็นการยกระดับการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีนวัตกรรมด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สำนักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Twitter : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะฯ เผย นิสสันมั่นใจศักยภาพฐานการผลิตของไทย เดินหน้าลงทุนต่อไป | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รมว.สุริยะฯ เผย นิสสันมั่นใจศักยภาพฐานการผลิตของไทย เดินหน้าลงทุนต่อไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผย นิสสันมั่นใจศักยภาพฐานการผลิตของไทย เดินหน้าลงทุนต่อไป
สุริยะ เผย ค่ายนิสสันเชื่อมั่นประเทศไทยปิดโรงงานรถยนต์ในอินโดนีเซียมาผลิตที่ไทยแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียน พร้อมแผนดำเนินการธุรกิจระยะยาว ส่งผลดีต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเร่งขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าผ่านคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกต่อไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังหารือกับนายราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า บริษัท นิสสันฯ ได้มีการปิดโรงงานในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อรวมฐานการผลิตเพื่อส่งออกไว้ที่ประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัว Nissan Kicks รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% โดยไม่ต้องชาร์จ ซึ่งนำเทคโนโลยีใหม่ e-Powers มาใช้ในรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นแห่งแรก ของโลก (นอกเหนือจาก การผลิตในบริษัทแม่ ณ ประเทศญี่ปุ่น) โดยรถยนต์รุ่นนี้มีการผลิตในไทย และส่งออกไปจำหน่ายยังญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้แจ้งแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาวในประเทศไทย ทั้งในโครงการผลิตรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอแล้ว อันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อทิศทางและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
“ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่า ถึงแม้วิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก แต่กระทรวงอุตสาหกรรมยังให้ความสำคัญในการรักษาฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยพร้อมที่จะให้การส่งเสริมและสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน สำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่า มาตรการด้านตลาด (Demand Side) ในด้านการจัดซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่งของผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับสำนักงบประมาณแล้ว เพื่อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเข้าไป ซึ่งจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานได้ ส่วนมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าด้านอื่นๆ เช่น สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับประชาชนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้ เป็นต้น จะได้มีการหารือและดำเนินการผลักดันภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายของการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกต่อไป” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่เชิงรุก ค้นหากลุ่มเสี่ยง | วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563
สธ.ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่เชิงรุก ค้นหากลุ่มเสี่ยง
กระทรวงสาธารณสุข เผยตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูงผู้ต้องขังชายไม่พบติดเชื้อ ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่คัดกรองกลุ่มเสี่ยง ที่ถนนข้าวสาร ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ชี้มาตรการป้องกันตนเอง
กระทรวงสาธารณสุข เผยตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูงผู้ต้องขังชายไม่พบติดเชื้อ ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่คัดกรองกลุ่มเสี่ยง ที่ถนนข้าวสาร ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ชี้มาตรการป้องกันตนเอง ทั้งการสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อได้ดี เตรียมถอดรหัสถอดพันธุกรรมพิสูจน์หาสายพันธุ์
วันนี้ (4 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนพ.สฤษดิ์เดช เจริญไชย รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินการควบคุมป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรณีพบผู้ต้องขังชายอยู่ระหว่างกักกันก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำตรวจพบติดเชื้อโควิด 19
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหาร ประกอบด้วย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ไปดูระบบการกักกันผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ผู้ต้องขังและผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องถึงมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค จากการตรวจเยี่ยมในพื้นที่พบว่าผู้ติดเชื้ออยู่ในห้องแยกโรค เป็นห้องเดี่ยว มีเสมหะเล็กน้อย ไม่มีไข้ อยู่ในการดูแลของแพทย์ รวมทั้งผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูงก็อยู่ในการดูแลที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เช่นเดียวกัน โดยกรมควบคุมโรคได้เข้าไปช่วยดูแลแล้ว ทุกคนผลการตรวจเชื้อรอบแรกเป็นลบ เมื่อวิเคราะห์ตาม Timeline ส่วนหนึ่งที่ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมาจากคนไทยส่วนใหญ่ยังให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ที่ยังเบาใจได้ระดับหนึ่งคือกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งที่บ้าน ที่ศาลอาญา และที่กักกันห้องเดียวกัน ทราบตัวบุคคลและติดตามควบคุมดูแลได้ทุกคน ผลการตรวจรอบแรกเป็นลบ
สำหรับประเด็นการติดเชื้อรายนี้ จากการสอบสวนโรคคาดว่าติดมาจากการสัมผัสคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่พบกันในช่วงเวลากลางคืนในที่ทำงาน หรืออาจติดภายในประเทศจากคนที่มีเชื้อแต่ไม่มีอาการ ที่สำคัญผู้ติดเชื้อรายนี้ มีอาการน้อย และทุกคนมีการป้องกันตัวเอง จึงคาดว่าการแพร่เชื้อจะไม่รุนแรง สำหรับกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสติดเชื้อและเกิดการระบาดหรือไม่ ขอเรียนว่ากระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ได้ช่วยกันควบคุมผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไว้ในพื้นที่กักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดการแพร่กระจายเชื้อ โดยในวันนี้ได้มอบมอบหมายให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานไปให้บริการที่ถนนข้าวสาร ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
“ขอยืนยันว่าสิ่งที่ประชาชนปฏิบัติอยู่ทำให้การแพร่เชื้ออยู่ในอัตราที่ต่ำมาก ขอให้ช่วยกันรักษาวินัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง เราต้องอยู่กับโรคโควิด 19 จนกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่อาการไม่รุนแรง ควบคุมโรคได้ ส่วนการรักษาเรามีเวชภัณฑ์ ยา บุคลากรรองรับได้ ประชาชนเป็นผู้สำคัญที่สุดในการดูแลป้องกันตัวเอง ลดการติดเชื้อ ป้องกันการแพร่เชื้อ ก้าวไปสู่การใช้ชีวิตแบบ New Normal เพื่อให้สามารถอยู่กับเชื้อนี้ได้อย่างปลอดภัยจนกว่าจะมีวัคซีน” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับมอบหมายให้นำตัวอย่างเชื้อของผู้ต้องขังที่ตรวจพบไปถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสายพันธุ์ใด เป็นสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์จีหรือไม่ ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการถอดรหัสทางพันธุกรรม และร่วมกับกรมควบคุมโรค ตรวจเชื้อเพิ่มเติมกรณีที่ประชาชนในพื้นที่สงสัย โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือสายด่วน 1422 ทราบผลตรวจได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
ด้านนายแพทย์สฤษดิ์เดช เจริญไชย รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ได้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดและประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีมติให้ดำเนินการ 4 ข้อ คือ 1.ให้ปิดร้านอาหารสาขาพระราม 5 เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 - 6 กันยายน 2563 และทำความสะอาดพื้นที่ โดยทีมบูรณาการระหว่างกระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย ท้องถิ่น และอสม. 2.ติดตามพนักงานที่มีความเสี่ยงสูงรวมถึงแขกที่มารับบริการ รวม 23 คน ขณะนี้ติดตามได้ 16 คนกักตัวอยู่ที่ที่โรงพยาบาลบางกรวย 2 ผลตรวจเชื้อจะทราบในระยะต่อไป ส่วนอีก 7 คนอยู่ระหว่างการติดตาม 3.ผู้สัมผัสใกล้ชิดร่วมบ้านของ 23 คนนี้ ให้กักตัวที่บ้าน โดยมีอสม.และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และ 4.ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สงสัยหรือมีความกังวลว่าจะสัมผัสกับดีเจคนนี้ในช่วงเวลาวันที่ 21 และ 23 สิงหาคมให้มาตรวจได้ตามสิทธิ์ฟรีที่โรงพยาบาลบางกรวย 2
**********************************************
***************************************** 4 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปรับปรุง Smart Visa และ Elite Card เชื่อมโยงท่องเที่ยวควบคู่การลงทุน | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
ศบศ. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปรับปรุง Smart Visa และ Elite Card เชื่อมโยงท่องเที่ยวควบคู่การลงทุน
ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปรับปรุง Smart Visa และ Elite Card เชื่อมโยงท่องเที่ยวควบคู่การลงทุน
วันนี้ (16 ก.ย. 63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ นางสาวกาญจนา ตั้งปกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.)) ครั้งที่ 3/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ที่ประชุมฯ วันนี้ มีมติรับทราบความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา บรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงแนวทางการเปิดรับนักธุรกิจจากต่างประเทศ โดยมอบหมายให้ ศบค. ปรับปรุงแนวทาง เงื่อนไข สำหรับกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มวิศวกรที่มีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย ที่จะขอเดินทางเข้ามาเพื่อปรับปรุงโรงงาน สายพานการผลิต ให้มีความสะดวกและมากขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีมติรับทราบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะมีการเร่งรัด มาตรการเสริมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ประชาชนได้รับผลโยชน์สูงสุด ภายใต้การดำเนินการอย่างรัดกุมรอบคอบด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบหลักการมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไป ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยแบ่งเป็น 2 โครงการ ได้แก่ “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โดยเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อการอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 500 บาท/คน ระยะเวลา 3 เดือน คน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 มีผู้ถือสิทธิจำนวน 14 ล้าน และ “โครงการคนละครึ่ง” โดยภาครัฐจะร่วมจ่าย (Co-pay) เน้นช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานราก ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 ล้านคน โดยจะเปิดลงทะเบียนช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ไม่เกินคนละ 3,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย หาบเร่ แผงลอย ที่ไม่ใช่นิติบุคคลหรือร้านสะดวกซื้อธุรกิจแฟรนไชส์
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการข้อเสนอการปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (Permanent Resident Permit) และแนวทางการปรับปรุงมาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็น กรณีพิเศษ (Smart Visa) เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน ผู้บริหาร และผู้ประกอบการวิสาหกิจ โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย พิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมแก้ไขปรับปรุง Smart Visa ให้เชื่อมโยงกับการลงทุน อาทิ การซื้ออาคารชุดและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เงินขั้นต่ำและสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับ ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้รับมอบหมายให้กลับไปพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติม Elite Card เชื่อมโยงการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการลงทุนด้วย
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบข้อเสนอแนะการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา (Credit term) ในประเทศไทย เพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SMEs ที่เป็นผู้จัดส่งสินค้าและวัตถุดิบการผลิต (Supplier) แก่ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กำหนดมาตรฐานระยะเวลา Credit term ที่เหมาะสมช่วงระยะเวลา 30 – 45 วัน ตามประเภทธุรกิจ โดยให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย พร้อมกำหนดบทลงโทษ กรณียกเว้น และกลไกการติดตามตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ได้ชี้แจ้งว่า บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ก็กำหนด Credit term ในระยะเวลา 30 วัน ด้วย
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารเศรษฐกิจภายใต้คณะกรรมการบริหาร สถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มที่ 1 คือ การเร่งรัดโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย 7 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้าง เส้นทางรถไฟ โครงการระบบขนส่งมวลชน โครงการทางพิเศษ โครงการพัฒนาท่าเรือ การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ Land bridge และโครงการศูนย์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มที่ 2 คือ การปรับปรุงโครงสร้างหรือกฎระเบียบในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน 4 มาตรการ ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติและสำนักงานเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองกับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การจัดตั้งบริษัทบริหาร สินทรัพย์เพื่อบริหารที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อการพาณิชย์ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อบริหารรถไฟ ความเร็วสูง และการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการ ดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ เพื่อการปรับปรุงบริหารเงินกองทุนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และกลุ่มที่ 4 คือ การศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น (Pre-feasibility Study) ของโครงการสะพานไทย โดยก่อสร้างสะพานจากจังหวัดชลบุรีมายังจังหวัดเพชรบุรี
ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า จะได้มีการเร่งรัดนำผลการประชุมวันนี้ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ทันภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้การดูแลพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วต่อไป
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีนพร้อมร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาลดความยากจน | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
ไทย-จีนพร้อมร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาลดความยากจน
ไทย-จีนพร้อมร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาลดความยากจน
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาราชการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีที่ได้มีโอกาสพบอุปทูตฯ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-จีนอีกครั้ง ขอใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีกับการครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้หารือกันทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะเอาใจใส่ในมิตรภาพอันดีระหว่างกัน ด้านความท้าทายโควิด-19 ครั้งใหญ่นี้ส่งผลกระทบถึงประชาคมระหว่างประเทศ ไทยและจีนต่างให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์จนทำให้ปัจจุบัน ทั้งสองประเทศสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างกันอย่างแท้จริง ส่งผลให้เห็นแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกัน ที่มีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง เพราะอยู่ในช่วงโควิด-19 แต่เห็นผลสำเร็จที่สำคัญ
อุปทูตรักษาราชการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยยินดีและเป็นเกียรติที่รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เข้าเยี่ยมคารวะ จีนให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างไทยจีนเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาที่จีนประสบกับความยากลำบาก ได้รับน้ำใจจากไทยซึ่งคนจีนไม่เคยลืม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญสิ่งของพระราชทาน ได้แก่ อุปกรณ์ป้องกันตนเองสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนจีน รัฐบาลไทยส่งความช่วยเหลือให้รัฐบาลจีน นายกรัฐมนตรีไทยได้มีคลิปให้กำลังใจ ซึ่งถือได้ว่าจีนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาส่วนหนึ่งจากน้ำใจของไทย ในโอกาสนี้ อุปทูตแจ้งว่าผู้นำจีนฝากความปรารถนาดีถึงรองนายกรัฐมนตรี
ทั้งสองฝ่ายยืนยันพร้อมมีความร่วมมือทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงการจัดหาวัคซีนในอนาคต รวมทั้งฝ่ายจีนพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพื่อช่วยตรวจหาผู้ติดเชื้อ ซึ่งฝ่ายรองนายกรัฐมนตรีชื่นชมพัฒนาการของจีน และเจตนารมณ์ของจีนที่จะจัดให้วัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะของโลก ตลอดจนทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า จะสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกัน
อุปทูตได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าระหว่างกันมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2563 นี้ มีตัวเลขการค้าระหว่างกันเพิ่มร้อยละ 6.7 สินค้าการเกษตรของไทยได้รับความนิยมมากในจีน ซึ่งประเทศไทยได้ปรับการขายเป็นแบบออนไลน์ทำให้ชาวจีนได้รับสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากไทยอย่างรวดเร็ว การลงทุนซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีโครงการจากจีนที่ขอรับการส่งเสริมจาก BOI ถึง 95 โครงการ นับเป็นเงินกว่าหนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจีนต้องขอขอบคุณความร่วมมือของไทย
รองนายกรัฐมนตรีได้หารือกับฝ่ายจีนเพื่อวางแนวทางแก่ไทยเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน ให้ประชาชนมีรายได้ เป็นความเข้มแข็งมั่นคงของประเทศต่อไป รวมทั้งได้ปรึกษาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ การบูรณาการการใช้น้ำร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝ่ายจีนรับปากที่จะให้ความร่วมมือกับไทยซึ่งเป็นมิตรประเทศสำคัญเป็นอย่างดี
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรใช้อีเมล [email protected] รับ-ส่ง หนังสือระหว่างส่วนราชการ ก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัล | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
กรมสรรพากรใช้อีเมล [email protected] รับ-ส่ง หนังสือระหว่างส่วนราชการ ก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัล
กรมสรรพากรเน้น Digital Transformation นำ email “[email protected]” มาใช้ในการรับ-ส่งหนังสือระหว่างกรมสรรพากรกับส่วนราชการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อลดการใช้กระดาษ มุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้ยกระดับการให้บริการภาครัฐในระบบดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ได้มีการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการกับกรมสรรพากรผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น เช่น การสนับสนุนให้ผู้เสียภาษีทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home การขอคัดสำเนาแบบแสดงรายการภาษีฯ การสร้าง Tax Literacy ให้ความรู้ภาษีผ่านการจัดสัมมนาออนไลน์ เป็นต้น ล่าสุดใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (email address) กลาง ในชื่อโดเมน (domain name) [email protected] ในการรับ-ส่งหนังสือระหว่างส่วนราชการ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดต่อราชการกับกรมสรรพากรด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ สอดคล้องกับแนวทางในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ทำให้การให้บริการผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และประชาชนของส่วนราชการ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอน ลดการใช้กระดาษ โดยล่าสุดกรมสรรพากรคว้ารางวัล “เลิศรัฐยอดเยี่ยม” แห่งปี 2563 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มอบให้ส่วนราชการที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสารบรรณและอำนวยการ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพากร โทรศัพท์หมายเลข 0 2272 9390 ในวันและเวลาราชการ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. ๑๑๖๑”
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง เน้นดูแลผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการเฉพาะกลุ่ม | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง เน้นดูแลผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการเฉพาะกลุ่ม
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง เน้นดูแลผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการเฉพาะกลุ่ม
วันนี้ (16 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น.ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยืนยันเศรษฐกิจไทยมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องทั้งการค้าและการลงพื้นที่ในพื้นที่ EECรวมทั้งมาตรการและแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม ตามช่วงระยะเวลาและสถานการณ์ที่เพราะ ณ วันนี้ ยังไม่สามารถประเมินว่า สถานการณ์โควิดจะจบลงเมื่อไหร่
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้เป็นการประชุม ศบศ. ครั้งที่ 3ในที่ประชุมได้มีการเสนอขออนุมัติหลักการโครงการต่างๆ เพื่อดูแลเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการ โครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจต่อเนื่องและกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นขณะเดียวกัน หลายประเทศก็ให้ความสำคัญขอเข้ามาติดตามแผนการลงทุนด้วย ซึ่งรัฐบาลมีแผนการลงทุนมาตลอดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งด้านการท่องเที่ยวและการออกวีซ่าพิเศษ ด้วย
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า แม้ในสถานการณ์โควิด ยังมีการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ สนามบิน การลงทุนดิจิตอล การลงทุน PPP รวมถึงการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเจรจาผ่านระบบทางไกลมา และมีความก้าวหน้าตามลำดับ ก็ นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยดำเนินการ 2 ส่วนคือ 1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) มาตรการเฉพาะกลุ่มวันนี้มีรวมทั้งข้อเสนอหลายอย่างจากคณะอนุกรรมการซึ่งมาจากภาคธุรกิจ ซึ่งเข้ามาช่วยคิดโครงการและงานที่จะดูแลผู้มีรายได้น้อย และเป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศ เพิ่มรายได้เงินงบประมาณของภาครัฐให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เรียกว่า โลกยุค New Normal รัฐบาลคิดให้ทันกับสถานการณ์ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการพูดคุยกับกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันชั้นนำในวันนี้ ยังมีแนวคิดสอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่อีกด้วย
**********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35143 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัยห่างไกลโควิด-19 | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
สุขอนามัยห่างไกลโควิด-19
มีวิธีการง่ายๆ อย่างไรบ้างนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34715 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” รมว.ทส. ลงพื้นที่ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี เร่งพื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดเพื่อประโยชน์บริหารจัดการน้ำรูปแบบแก้มลิง เป็นแหล่งน้ำสำรองใช้อุปโภค-บริโภค | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
“วราวุธ” รมว.ทส. ลงพื้นที่ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี เร่งพื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดเพื่อประโยชน์บริหารจัดการน้ำรูปแบบแก้มลิง เป็นแหล่งน้ำสำรองใช้อุปโภค-บริโภค
“วราวุธ” รมว.ทส. ลงพื้นที่ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี เร่งพื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดเพื่อประโยชน์บริหารจัดการน้ำรูปแบบแก้มลิง เป็นแหล่งน้ำสำรองใช้อุปโภค-บริโภค
“วราวุธ” รมว.ทส. ลงพื้นที่ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี เร่งพื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดเพื่อประโยชน์บริหารจัดการน้ำรูปแบบแก้มลิง เป็นแหล่งน้ำสำรองใช้อุปโภค-บริโภค
วันที่ 11 กันยายน 2563 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงพื้นที่กับ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เพื่อติดตามการพัฒนาฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุให้กับผู้แทนราษฎรที่อยู่อาศัยและทำการเกษตรในเขต “ให้” ของบึงบอระเพ็ด เป็นหนึ่งในโครงการเร่งด่วนตามแผนหลักฯของรัฐบาล ภายใต้โครงการ “ธนารักษ์ประชารัฐ” โดย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้กำชับให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมประมง กรมธนารักษ์ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องช่วยกันเร่งพื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดเพื่อประโยชน์บริหารจัดการน้ำรูปแบบแก้มลิง เป็นแหล่งน้ำสำรองใช้อุปโภค-บริโภค รักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในบึง เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเพื่อการเกษตรบางส่วนที่กรมส่งเสริมการเกษตรจะเข้ามากำหนดชนิดของพืชที่ควรเพาะปลูกตามความเหมาะ ภาพรวมสามารถผลักดันแผนหลักและการพัฒนาฟื้นฟูบึงบอระเพ็ดมีความก้าวหน้าตามแผน แต่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่องให้การแก้ปัญหาประสบความสำเร็จโดยเร็ว ทำให้บึงบอระเพ็ดกลับมาเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บน้ำได้เต็มพื้นที่ ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันกำหนดแนวทางเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวด้วยการขอให้ทุกหน่วยงานช่วยแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานให้บึงบอระเพ็ดกลับคืนความอุดมสมบูรณ์ มีทัศนียภาพสวยงาม และเกิดประโยชน์เพื่อเป็นตัวอย่างและขยายผลความสำเร็จไปยังบึงอื่นๆ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ปล่อยกู้ซอฟต์โลน 15,000 ล้านบาท | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
ออมสิน เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ปล่อยกู้ซอฟต์โลน 15,000 ล้านบาท
ธ.ออมสินเร่งเดินหน้าขยายผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเข้าถึงแหล่งเงินกู้ซอฟต์โลน วงเงินกู้รวม 15,000 ลบ. ตาม มติ ครม. โดยพร้อมปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหญ่จนถึงธุรกิจ SMEs หลังวิกฤติ Covid-19ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่อง
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากวิกฤติการแพร่ระบาด Covid-19 ตามที่ธนาคารออมสินเป็นผู้ดำเนินการ โดยธนาคารฯ ได้ปรับปรุงแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน (Soft Loan) วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว วงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้มีการขยายขอบเขตคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับอนุมัติสินเชื่ออีกด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น
สำหรับ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง หรือ Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากวิกฤติการแพร่ระบาท Covid-19 วงเงินกู้สูงสุดรายละ 20 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เพื่อที่สถาบันการเงินนั้นจะนำไปปล่อยสินเชื่อต่อให้กับผู้ประกอบการ ในอัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ช่วงกลางเดือนกันยายน 2563 นี้
ด้านโครงการ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว วงเงิน 5,000 ล้านบาท เน้นให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก/ขนาดย่อม ของภาคการผลิต การบริการ การพาณิชย์ และ Supply Chain ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ เช่น ร้านอาหาร สปา นวดแผนไทย รถรับจ้างนำเที่ยว บริการที่พัก เกสต์เฮาส์ โฮสเทล เป็นต้น เพื่อให้ธุรกิจได้ใช้วงเงินสินเชื่อเป็นทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง โดยผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี ให้วงเงินสูงสุดรายละไม่เกิน 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.99% ต่อปีตลอดอายุสัญญา (5 ปี) ใช้บุคคลค้ำประกัน และปลอดชำระเงินต้น 1 ปี โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ก่อนที่ SMEs Call Center โทร. 02-299-8899
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และกระทบภาคธุรกิจท่องเที่ยวแทบทั้งหมดรวมถึงธุรกิจต่อเนื่อง ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยโครงการเงินกู้ซอฟต์โลนที่รัฐบาลต้องการให้ธนาคารออมสินช่วยเหลือผ่านมาตรการดังกล่าวนี้ จะเป็นการบรรเทาผลกระทบและช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่เดือดร้อนลงได้ไม่มากก็น้อย เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีความคล่องตัวจนกลับสู่สถานะปกติได้ต่อไป” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34728 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ สานต่อความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง “ | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
“ สานต่อความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง “
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหมได้ให้การต้อนรับ ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์/กรุงเทพฯ ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐเกาหลี/กรุงเทพฯ ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐฝรั่งเศส/กรุงเทพฯ
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 เวลา 0900 ณ ศาลาว่าการกลาโหมได้ให้การต้อนรับพล.จ.Khun Nay Tun Oo(ขุ่น เหน่ ทู อู) ผชท.ทหาร เมียนมาร์/กรุงเทพฯในโอกาสเข้ารับหน้าที่
ปล.กห.ได้กล่าวแสดงความยินดีกับการรับหน้าที่ และชื่นชมความสัมพันธ์อันดีและใกล้ชิดของทั้งสองประเทศ ตลอดจนความร่วมมือในกรอบอาเซียนโดยเฉพาะทางด้านการทหารไม่ว่าจะเป็นด้านการข่าวการฝึกศึกษา การลาดตระเวนชายแดน อีกทั้งยังมีการเยือนระหว่างกันที่มีในทุกระดับ แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 ทางไทยก็พร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวให้ดีขึ้น ทาง ผชท. ทหารเมียนมาร์ได้กล่าวขอบคุณ ปล.กห.ที่ให้การต้อนรับ และจะดำรงความสัมพันธ์ที่มีมาและเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 ดีขึ้น กิจกรรมของทั้งสองประเทศในด้านต่างๆก็จะกลับมาดำเนินตามปกติรวมทั้งจะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน้นแฟ้นต่อเนื่องต่อไป
ต่อมาในเวลา0930 ได้ให้การต้อนรับ พ.อ. Kim,Kyoung Youl(คิม คยอง ยอล) ผชท.ทหาร สาธารณรัฐเกาหลี(กล.ต.)/ไทยฯในโอกาสเข้ารับหน้าที่
ปล.กห.ได้กล่าวแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่ง กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ใกล้ชิดยาวนาน ทั้งการปฏิบัติเพื่อรักษาสันติภาพ การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง โดยในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019ทางกองทัพทั้งสองประเทศจะร่วมมือขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาอย่างเต็มความสามารถเพื่อพัฒนาสถานการณ์ให้ดีขึ้น ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศนั้นถือเป็นเป้าหมายของไทยที่จะพึ่งพาตนเองก่อนและจะพัฒนาเพื่อส่งออกต่อไป ทาง ผชท.กลต./ไทย ฯได้ขอบคุณ ปล.กห. ที่ให้การต้อนรับ และชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศโดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้ที่ไทยมีให้กับเกาหลีมาตลอดตั้งแต่สงครามเกาหลี และยินดีที่จะสนับสนุนและร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย
และในเวลา1000ได้ให้การต้อนรับ พ.ท.Stefen Stefancic(สเตฟอง สเตฟองซิก) ผชท.ทหาร สาธารณรัฐฝรั่งเศส(ฝศ.)/กรุงเทพ ฯในโอกาสเข้ารับหน้าที่
ปล.กห.ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่ง ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา กล่าวขอบคุณความร่วมมือทางการทหาร ทั้งการฝึกศึกษา และยินดีที่จะขยายความร่วมมือในด้านปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ชื่นชมพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ ฝศ.และเชิญชวนให้ ฝศ.มาลงทุนกับไทยเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ผชท. ฝศ.ได้ชื่นชมไทยที่มีประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมของไทย ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ และจะใช้ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมานำมาใช้ในการทำงานกับไทย โดยปัจจุบันทั้งสองประเทศได้มีความร่วมมือระดับทวิภาคีระหว่างกระทรวงกลาโหมด้วยซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นเป็นลำดับและเชิญชวนให้ทางกลาโหมของไทยไปเยี่ยมชมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของฝรั่งเศสเพื่อเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศต่อไปและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยในครั้งนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรแนะ ใบ Pay In Slip ภ.ง.ด.90, 91 หมดอายุ ให้พิมพ์ใหม่ได้ เพื่อจ่ายภาษีภายใน 31 สิงหาคม 2563 | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
สรรพากรแนะ ใบ Pay In Slip ภ.ง.ด.90, 91 หมดอายุ ให้พิมพ์ใหม่ได้ เพื่อจ่ายภาษีภายใน 31 สิงหาคม 2563
กรมสรรพากรขอให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ผ่านทางอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ยังไม่ชำระภาษี ตรวจสอบชุดชำระเงิน (Pay In Slip) หากพ้นกำหนดเวลาชำระแล้วให้พิมพ์ชุดชำระเงินฉบับใหม่ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th
กรมสรรพากรขอให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ผ่านทางอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ยังไม่ชำระภาษี ตรวจสอบชุดชำระเงิน (Pay In Slip) หากพ้นกำหนดเวลาชำระแล้วให้พิมพ์ชุดชำระเงินฉบับใหม่ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพื่อรับสิทธิชำระภาษีได้ภายใน 31 สิงหาคม 2563
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หากมีภาษีที่ต้องชำระก็สามารถชำระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น e-Payment, Internet Banking, Mobile Banking เป็นต้น สำหรับผู้ที่พิมพ์ชุดชำระเงิน (Pay In Slip) ไว้แล้วโปรดตรวจสอบกำหนดเวลาการชำระภาษีในชุดชำระเงินของท่าน หากพ้นกำหนดเวลาแล้วและยังไม่ได้ ชำระภาษีให้เข้าระบบ e-Filing และพิมพ์ชุดชำระเงิน (Pay In Slip) ฉบับใหม่ เพื่อรับสิทธิชำระภาษีภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ร่วมมือกับ 20 ธนาคารชั้นนำ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการชำระภาษี ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34559 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังการบริหารจัดการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และเยี่ยมชมอาคารศูนย์ประสานและอำนวยความสะดวกในการเดินเรือ (VTMS) | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังการบริหารจัดการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และเยี่ยมชมอาคารศูนย์ประสานและอำนวยความสะดวกในการเดินเรือ (VTMS)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังการบริหารจัดการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และเยี่ยมชมอาคารศูนย์ประสานและอำนวยความสะดวกในการเดินเรือ (VTMS)
จ.ระยอง : วันนี้ (24 สิงหาคม 2563) เวลา 14.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังการบริหารจัดการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และเยี่ยมชมอาคารศูนย์ประสานและอำนวยความสะดวกในการเดินเรือ (VTMS) พร้อมมอบเสื้อชูชีพให้แก่ประธานวิสาหกิจชุมชนชมรมประมงเรือเล็กพื้นบ้าน อ.เมืองระยอง และ อ.บ้านฉางสามัคคี และตัวแทนกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จ.ระยอง ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีระบบบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางน้ำโดยใช้ระบบ VTMS (Vessel Traffic Monitoring System : VTSM) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลของการให้บริการจราจรทางน้ำ ซึ่งเป็นระบบเฝ้าสังเกตการณ์การเคลื่อนที่ของเรือในทะเล ระบบดังกล่าวสามารถติดตามการเคลื่อนที่ของเรือได้ตลอดเวลา ทำให้สามารถควบคุมการจราจรทางน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยและในปี 2562 กนอ.ลงนามสัญญาร่วมทุนในรูปแบบการบริหารธุรกิจในการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 กับบริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศและเป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยความคืบหน้าการก่อสร้างฯ หลังได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยองแล้ว บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด ได้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในส่วนของการขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องน้ำ และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเทียบเรือก๊าซ รองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34507 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/2563
ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/2563
ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/2563
วันนี้ (3 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/2563 เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และที่นําเข้าจากต่างประเทศ มาตรการกํากับการนําเข้าเศษพลาสติก (ร่าง) แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะพลาสติก และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า วันนี้ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการรายงานความคืบหน้าในเรื่องของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้มีการหยุดนำเข้าและกำจัดได้บางส่วน เหลือเพียงการบริหารจัดการขยะที่ยังคงค้างอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไร สำหรับเรื่องการนำเข้าขยะพลาสติกคณะอนุกรรมการฯ ได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งปริมาณการนำเข้าพลาสติก ว่ามีประเภทใดบ้างและมีจำนวนเท่าใด เพียงพอต่อผู้ประกอบการในประเทศหรือไม่ หากไม่เพียงพอจะต้องนำเข้าอีกปริมาณเท่าใด รวมถึงได้หารือถึงมาตรการในการสร้างความรับรู้ความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับการกำจัดและบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะทำให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาและร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ถึงคนรุ่นหลังต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34795 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดค่าปรับ หรือการขยายระยะเวลาทำการ มุ่งสร้างความเป็นธรรมให้แก่คู่สัญญา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
กรมบัญชีกลางออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดค่าปรับ หรือการขยายระยะเวลาทำการ มุ่งสร้างความเป็นธรรมให้แก่คู่สัญญา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ซ้อมความเข้าใจการบริหารสัญญากรณีที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ซ้อมความเข้าใจการบริหารสัญญากรณีที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ว่าเหตุดังกล่าวถือเป็นเหตุสุดวิสัย ตามมาตรา 102 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งหน่วยงานของรัฐสามารถนำเหตุดังกล่าวไปพิจารณางดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้แก่คู่สัญญาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวได้ แต่เนื่องจากในระยะเวลาที่ผ่านมาคู่สัญญาที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคโควิด 19 ได้ขอให้หน่วยงานของรัฐพิจารณางดหรือลดค่าปรับหรือขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้กับคู่สัญญา แต่หน่วยงานของรัฐก็ไม่สามารถที่จะคำนวณระยะเวลาที่คู่สัญญาได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงได้ เป็นผลให้เมื่อคู่สัญญาส่งมอบงาน หน่วยงานของรัฐก็ได้ดำเนินการคิดค่าปรับและหักค่าปรับออกจากค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะต้องชำระสำหรับการชำระเงิน ในงวดนั้น ๆ ทันทีโดยไม่ได้หักระยะเวลาที่คู่สัญญามีสิทธิที่จะได้รับการงดหรือลดค่าปรับนั้น จึงอาจเป็นเหตุให้คู่สัญญาไม่ได้รับความเป็นธรรม
เพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีการปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 182 และซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคโควิด 19 ดังนี้
1. กรณีสัญญากำหนดแบ่งการชำระเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างออกเป็นหลายงวด และสัญญาได้ครบกำหนดส่งมอบพัสดุแล้ว แต่คู่สัญญายังมิได้ส่งมอบพัสดุในงวดสุดท้าย เนื่องจากมีเหตุที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคโควิด 19 เกิดขึ้น และเป็นผลให้สัญญามีค่าปรับ ให้ดำเนินการดังนี้
1.1 หากเหตุยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ไม่อาจกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดได้แน่นอน และคู่สัญญาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวอาจไม่สามารถแจ้งเหตุภายใน 15 วัน นับถัดจากวันที่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง ดังนั้น เพื่อให้คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินตามสัญญา จึงยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 182 โดยให้คู่สัญญาแจ้งความประสงค์จะของดหรือลดค่าปรับอันเนื่องจากเหตุดังกล่าว ยังไม่สิ้นสุดต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่อาจกำหนดจำนวนวันที่จะขอแจ้งเหตุเพื่องดหรือลดค่าปรับได้ พร้อมทั้งให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างตามสัญญาโดยยังไม่หักค่าปรับออกจากคำพัสดุหรือค่าจ้างสำหรับการจ่ายเงินในงวดนั้น ๆ ทั้งนี้ เมื่อเหตุ ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรดโควิด 19 ได้สิ้นสุดลงแล้ว ให้ดำเนินการตามข้อ 2 ต่อไป
1.2 หากเหตุดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว และหน่วยงานของรัฐสามารถพิจารณาจำนวนเงินค่าปรับได้ ให้หักค่าปรับออกจากค่าพัสดุหรือค่าจ้างสำหรับการจ่ายเงินในงวดนั้น ๆ โดยให้ดำเนินการตามข้อ 2 ต่อไป
2. กรณีสัญญากำหนดแบ่งการชำระเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างเป็นงวดเดียวหรือกรณีที่คู่สัญญาส่งมอบพัสดุในงวดสุดท้าย ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณางดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง
3. จากการที่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และได้ขยายระยะเวลาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีกหรือไม่ จึงไม่อาจกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดได้แน่นอน ดังนั้น จึงให้ถือว่าวันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นวันที่คู่สัญญาได้รับผลกระทบ หรือมีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน หรือไม่สามารถปฏิบัติงานตามสัญญา และเป็นวันเริ่มต้นของการนับระยะเวลา การให้ความช่วยเหลือเป็นตันมา จนกว่าคู่สัญญาสามารถปฏิบัติงานตามสัญญาได้ตามปกติโดยไม่มีผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่อย่างใด
4. สำหรับหลักฐานหรือเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐ ให้พิจารณาจากเอกสารหรือหลักฐาน เช่น (1) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งประกาศที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ หรือประกาศจังหวัดที่เกี่ยวกับการจำกัดการเดินทาง เป็นต้น (2) หลักฐานที่แสดงว่าผู้ผลิตมีการยกเลิกสายการผลิตของสินค้านั้น (3) หนังสือที่คู่สัญญาแจ้งเหตุให้หน่วยงานของรัฐทราบพร้อมทั้งรายละเอียดการชี้แจง ข้อเท็จจริงและเอกสารที่เกี่ยวข้องจากคู่สัญญา (4) รายงานผู้ควบคุมงานกรณีงานก่อสร้าง เป็นต้น” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก. 4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.ขอนแก่น สร้างความมั่นคงและยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตาม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ณ ศาลาอนุสรณ์ราชประชาสมาสัยเฉลิมพระเกียรติ 87 พรรษา อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดขอนแก่น (ส.ป.ก.ขอนแก่น) ได้จัดพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) เพื่อให้เกษตรกรมีเอกสารสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งช่วยเหลือเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากการบริการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดขอนแก่น ทั้งเป็นการลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการ
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดขอนแก่นมีพื้นที่ประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน รวม 25 อำเภอ พื้นที่ประมาณ 1,090,300 ไร่ มีพื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินประมาณ 863,574 ไร่ และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรไปแล้ว จำนวน 70,724 ราย 83,365 แปลง เนื้อที่ประมาณ 752,602 ไร่ ประกอบด้วยที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 56,762 ราย 67,952 แปลง 745,797 ไร่ และที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย จำนวน13,962 ราย 15,413 แปลง 6,805 ไร่ เกษตรกรนั้นจะได้รับความเสมอภาคทางสังคม มีโอกาสในการพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้จากที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร ในการสร้างความมั่นคงทางรายได้และต่อยอดสู่ความยั่งยืนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ภายในงานยังมีการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่เกษตรกร จำนวน 60 ราย เนื้อที่จำนวน 600 ไร่ หลังจากนั้นยังได้เดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ณ หอประชุมโรงเรียนบ้านป่างิ้วหนองฮี อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมอบให้แก่เกษตรกร อำเภอบ้านไผ่ และอำเภอโนนศิลา จำนวน 200 ราย เนื้อที่ประมาณ 1,798 ไร่ เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพทางการเกษตรในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ยืนยันมีเงินเพียงพอให้ทุกคนอย่างแน่นอน ปรับวงเงินกู้ยืมจากเดิม 34,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 37,000 ล้านบาท” | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
“กยศ. ยืนยันมีเงินเพียงพอให้ทุกคนอย่างแน่นอน ปรับวงเงินกู้ยืมจากเดิม 34,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 37,000 ล้านบาท”
กยศ.ขยายกรอบวงเงินให้กู้ยืมปีการศึกษา 2563 จากเดิม 34,000 ล้านบาท เป็น 37,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสแก่นักเรียน นักศึกษา และบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และขอยืนยันว่ามีเงินเพียงพอให้ทุกคนได้กู้ยืมอย่างแน่นอน
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายกรอบวงเงินให้กู้ยืมปีการศึกษา 2563 จากเดิม 34,000 ล้านบาท เป็น 37,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสแก่นักเรียน นักศึกษา และบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และขอยืนยันว่ามีเงินเพียงพอให้ทุกคนได้กู้ยืมอย่างแน่นอน โดยยื่นขอกู้ยืมได้ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2563 นี้
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้มีมติอนุมัติกรอบการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2563 จากเดิมที่กองทุนได้กำหนดกรอบการให้กู้ยืม 34,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 37,000 ล้านบาท เพื่อรองรับผู้กู้ยืมจำนวนกว่า 650,000 ราย เนื่องจากขณะนี้มีผู้กู้ยืมรายใหม่ยื่นคำขอกู้ยืมมากกว่ากรอบการให้กู้ยืมที่เคยตั้งไว้เป็นจำนวนมาก และกองทุนได้มีการปรับคุณสมบัติเฉพาะรายได้ต่อครอบครัวของผู้กู้ยืมที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี เป็นไม่เกิน 360,000 บาทต่อปี รวมถึงมีครอบครัวของผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งนี้ การขยายกรอบการให้กู้ยืมดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาเพิ่มขึ้นเพียงพอสำหรับผู้กู้ยืมทั้งรายเก่าและรายใหม่ทุกคนที่มีคุณสมบัติครบตามที่กองทุนกำหนดได้กู้ยืมเรียนโดยไม่มีโควตาของแต่ละสถานศึกษาอย่างแน่นอน
สำหรับกรณีที่ผู้กู้ยืมในกลุ่มสังคมออนไลน์ได้แชร์ข้อความว่ายังไม่ได้รับเงินโอนค่าครองชีพเป็นเดือนที่ 2 และเกรงว่ากองทุนจะไม่มีเงินเพียงพอให้กู้ยืมนั้น กองทุนขอชี้แจงว่า กยศ. เป็นกองทุนหมุนเวียนที่ไม่ได้ขอรับงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา และขอยืนยันว่าปัจจุบันกองทุนมีเงินเพียงพอให้กับผู้กู้ยืมทุกคน ทั้งนี้ กองทุนขอชี้แจงเงื่อนไขในการโอนเงินการค่าครองชีพว่า หากสถานศึกษาทำการตรวจสอบเอกสารและยืนยันข้อมูลแบบลงทะเบียนผู้กู้ยืมในระบบ e-Studentloan เรียบร้อยแล้ว กองทุนจะโอนเงินค่าครองชีพในเดือนแรก เข้าบัญชีของผู้กู้ยืมในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน และเมื่อสถานศึกษาจัดส่งเอกสารการกู้ยืมที่ถูกต้องและครบถ้วนแล้วกองทุนจะทำการโอนเงินค่าครองชีพของผู้กู้ยืมในเดือนที่ 2 เป็นต้นไป
ด้านความคืบหน้าการกู้ยืมปีการศึกษา 2563 จากการที่กองทุนได้เปิดระบบการกู้ยืม e-Studentloan ให้นักเรียน นักศึกษาดำเนินการยื่นความประสงค์ขอกู้ยืมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ได้มีผู้ยื่นขอกู้ยืมแล้วจำนวนกว่า 610,000 ราย โดยกองทุนได้ขยายเวลาในการยื่นแบบคำขอกู้ยืมเงินไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.studentloan.or.th หรือสอบถามได้ที่ กยศ. Call Center 0 2610 4888 หรือ Line บัญชีทางการ กยศ.” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแจงปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญไม่ใช่เฉพาะไทย ย้ำการใช้จ่ายงบกลาง มีแผนงานโครงการชัดเจน ผ่านการตรวจสอบและมติคณะรัฐมนตรี | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีแจงปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญไม่ใช่เฉพาะไทย ย้ำการใช้จ่ายงบกลาง มีแผนงานโครงการชัดเจน ผ่านการตรวจสอบและมติคณะรัฐมนตรี
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีแจงปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญไม่ใช่เฉพาะไทย ย้ำการใช้จ่ายงบกลาง มีแผนงานโครงการชัดเจน ผ่านการตรวจสอบและมติคณะรัฐมนตรี
วันนี้ (9 ก.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาญัตติเปิดอภิปราย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ย้ำเชิญมหาเศรษฐีในประเทศไทยให้มาร่วมช่วยเหลือประเทศไทย โดยเฉพาะช่วยลูกจ้างและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยันไม่มีการร้องขอผลประโยชน์ระหว่างกันทั้งสิ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงอย่างชัดเจนถึงหมวดค่าใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 หรืองบกลาง จำนวนประมาณ 5 – 6 แสนล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 1) เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก 2) ค่าใช้จ่ายเงินชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 3) ค่าใช้จ่ายโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 4) ค่าใช้ในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนังงานของรัฐ 5) เงินชดเชยค่างานก่อสร้าง 6) เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ 7) เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ 8) เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ 9) เงินสมทบของลูกจ้างประจำ 10) เงินสำรองเงินสมทบและเงินชดเชยของข้าราชการ 11) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินที่จำเป็น มีวงเงินเพียง 96,000 ล้านบาทเท่านั้น และในวงเงินดังกล่าวทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบและเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน และต้องมีแผนงานโครงการที่ชัดเจน
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ขออย่านำเงินทุกอย่างมาปนกัน โดยเงินที่กู้มาทั้งหมดจริง ๆ คือ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน ทุกอย่าง ส่วนเงิน 9 แสนล้านบาทเป็นเงินในประเทศที่สมาคมธนาคารร่วมมือกันเพื่อนำเงินดังกล่าวมาบริหารตรงนี้ โดยเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นำไปใช้จ่ายตามกรอบที่ว่างไว้ ได้แก่ 1) เงิน 45,000 ล้านบาทใช้เรื่องด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาโควิด-19 การเตรียมการรับมือการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 2 งบวิจัยและพัฒนาที่จำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศเรื่องวัคซีนซึ่งได้ร่วมมือกับต่างประเทศในหลายมิติ โดยระยะแรกไทยต้องการวัคซีน 20 ล้านโดส รวมถึงบางส่วนก็นำไปดูแลอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย ขณะนี้ได้ใช้จ่ายเงินดังกล่าวไปน้อยมาก
2) เงิน 550,000 ล้านบาท ซึ่งสมาชิกฯ ระบุระว่าทำไมไม่จ่ายเงินคนละ 5,000 บาท 12 เดือน จากคนทั้งหมดประมาณ 33 ล้านคน นายกรัฐมนตรี แจงว่าหากทำเช่นนั้นจะได้ต้องใช้เงินถึง 1,980,000 ล้านบาท แต่ระยะเวลา 3 เดือนรัฐบาลใช้เงินดังกล่าวอยู่ในกรอบไปเพียง 550,000 ล้านบาทเท่านั้น และเหลืออีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องจ่ายให้กับคนที่ยังไม่ได้ซึ่งก็จะทยอยดำเนินการต่อไป และ3) งบประมาณใช้จ่ายในการฟื้นฟู จำนวน 400,000 ล้านบาท ซึ่งอีกหลายอย่างที่จะต้องแก้ไข ทั้งเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผู้ประกอบการรายน้อย ผู้ประการที่ไม่ได้ทำธุรกรรมผ่านธนาคาร รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการอยู่ ทุกอย่างมีการคิดอย่างรอบคอบ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยังชี้ให้เห็นตัวเลขของประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จีนขยายตัวร้อยละ 3.2 จากตัวเลขประมาณ 10.2 ลดลงมาจากก่อนหน้า -6.8 เวียดนามขยายตัวเหลือร้อยละ 0.36 สหราชอาณาจักร หดตัวที่ร้อยละ -21.7 มาเลเซีย หดตัวร้อยละ 17.1 สิงคโปร์ หดตัวร้อยละ 13.2 อินโดนีเซีย หดตัวร้อยละ 5.3 ยูโรโซน ลดลงติดลบถึง 15% สหรัฐอเมริกา หดตัว 9.5 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ญี่ปุ่นไตรมาสที่2 ปี 63 หดตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนของปีที่แล้วซึ่งหดตัวเพียงแค่ -1.8 สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญหน้ากันทั่วโลก ขณะที่ไทยมีศักยภาพโดยเฉพาะเรื่องพืชเกษตรและพันธ์ข้าว ซึ่งรัฐบาลกำลังสนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันรัฐบาลพยายามประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่เพื่อให้ฟื้นฟู และให้มีการจ้างงาน ป้องกันการเลิกจ้างงาน ยืนยันใช้เงินงบประมาณเป็นไปตามหลักการที่กำหนด รัฐบาลมีที่ปรึกษาและคณะทำงานที่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานไปสู่การปฏิบัติ
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34943 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบมาตรการจ้างงานนิสิต นักศึกษา จบใหม่ กว่า 2.6 แสนตำแหน่ง เตรียมจัดงาน Work Expo กระตุ้นการจ้างงานทุกภาคส่วน | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
ครม. รับทราบมาตรการจ้างงานนิสิต นักศึกษา จบใหม่ กว่า 2.6 แสนตำแหน่ง เตรียมจัดงาน Work Expo กระตุ้นการจ้างงานทุกภาคส่วน
คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการจ้างงานนิสิต นักศึกษา จบใหม่ กว่า 2.6 แสนตำแหน่ง เตรียมจัดงาน Work Expo กระตุ้นการจ้างงานทุกภาคส่วน
วันนี้ (8 กันยายน 2563) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดสงขลา ในพื้นที่เดิม เนื่องจากยังคงสถานการณ์ยังมีความรุนแรง และปรับลดในพื้นที่อ. ไม้แก่น โดยย้ำการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ เช่นเดียวกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่คงอยู่ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากสถานการณ์ดีขึ้นก็จะพิจารณายกเลิก ปัจจุบันยังคงมีความจำเป็นต้องบูรณาการข้อกฎหมายของหลายหน่วยงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทำงานได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกฎหมายของกระทรวงสาธาณสุขครอบคลุมเพียงด้านสุขภาพอย่างเดียว ไม่สามารถใช้ควบคุมชายแดนได้ และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม
นายกรัฐมนตรี เผยคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการในการจ้างงานนิสิต นักศึกษา จบใหม่ประมาณ 260,000 ตำแหน่ง ระยะเวลา 12 เดือน ทั้งระดับปวช. ปวส. และปริญญาตรี รวมทั้งการจ้างงานในภาคส่วนอื่นอีกรวมแล้วประมาณ 1 ล้านตำแหน่ง ซึ่งมีการจัด Work Expo โดยกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ลดค่าครองชีพ ดูแลผู้ประกอบรายย่อยโดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย พ่อค้า แม่ค้า ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดทำรายละเอียด เพื่อนำเสนอหลักการแก่คณะรัฐมนตรี ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดเตรียมระบบในการจ่ายเงินให้มีความพร้อมก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ในการใช้จ่ายซื้อสินค้ากับร้านค้าปลีกและพ่อค้า แม่ค้าหาบเร่ แผงลอย ได้
นายกรัฐมนตรียังเปิดเผย คณะรัฐมนตรีอนุมัติการปรับปรุงสหกรณ์ในวงเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาให้มีความทันสมัย มีความพร้อมในการดูแลภาคประชาชนด้วย อาทิ ผลผลิตทางการเกษตร พร้อมยังมีการอนุมัติโครงการ Chiang Mai Gastronomy Culture เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมล้านนารูปแบบใหม่ ในวงเงิน 48 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมรายได้เกษตรกร ผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นนำท่องเที่ยว Street Food ซึ่งเชียงใหม่จะเป็นจังหวัดแรกเพื่อเป็นโครงการนำร่อง และจะมีโครงการดังกล่าวในจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป รวมทั้งการดำเนินการของประกันสังคมที่อยู่ระหว่างการดูแลผู้ที่ตกค้างยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ ครบ 6 เดือน หรือผู้ที่ติดค้างในการแจ้งบัญชีธนาคาร โดยจะมีการเลื่อนจ่ายไปยังเดือนตุลาคม ประมาณ 50,000 กว่ารายด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34892 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ลดหย่อนส่งเงินสมทบประกันสังคม ลดภาระผู้ประกันตนและนายจ้าง | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
ลดหย่อนส่งเงินสมทบประกันสังคม ลดภาระผู้ประกันตนและนายจ้าง
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบลดหย่อนการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ย. - พ.ย. 63 โดยให้นายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือลูกจ้างในสถานประกอบการ ส่งเงินสมทบฝ่ายละ ร้อยละ 2 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ที่เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ ภายหลังลาออกจากงาน ให้ส่งเงินสมทบเดือนละ 96 บาท ซึ่งการออกมาตรการดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกันตนและนายจ้างมากกว่า 12 ล้านคนแล้ว ยังช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 24,000 ล้านบาท อีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน แจงสถานการณ์ ไร้งานแรงงานภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยวมีทางรับมือ ภาครัฐ เตรียมนโยบายรองรับ “3 มาตรการเร่งด่วน” | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
แรงงาน แจงสถานการณ์ ไร้งานแรงงานภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยวมีทางรับมือ ภาครัฐ เตรียมนโยบายรองรับ “3 มาตรการเร่งด่วน”
แรงงาน เผย เตรียมนโยบายรองรับการว่างงานของแรงงานในทุกภาคส่วน รวมถึงแรงงานภาคบริการ ท่องเที่ยว หลังหลายภาคส่วนคาดการณ์ว่า แรงงานภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยว มีแนวโน้มว่างงานกว่า 50,000 คน ระบุจะส่งเสริมการจ้างงาน ภาคบริการควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจ
ภาคการผลิตและบริการให้ฟื้นตัว เพื่อมิให้เกิดปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง-คนงานถูกเลิกจ้าง
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการท่องเที่ยวที่ซบเซาลง ซึ่งทำให้หลายภาคส่วนได้คาดการณ์ว่า จะมีแรงงานกลุ่มภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยว จะว่างงานถึง 50,000 คน เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เตรียมแนวทางและมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานไว้แล้ว ตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาการว่างงานของพี่น้องแรงงานเป็นอย่างมาก
" ขณะนี้ กรมการจัดหางาน ซึ่งมีภารกิจด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชนทุกช่วงวัย ได้เตรียมตำแหน่งงานว่างไว้รองรับแล้ว จำนวน 305,806 อัตรา โดยผู้ที่ต้องการหางานสามารถลงทะเบียนสมัครงานออนไลน์ได้ที่ smartjob.doe.go.th ขณะเดียวกันยังมี 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 อย่างแรงงานกลุ่มภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ที่รวบรวมตำแหน่งงานกว่า 1,000,000 อัตรา ซึ่งจะมีตำแหน่งงาน ที่รวมถึงงานด้านบริการและการท่องเที่ยว สำหรับแรงงานที่สนใจทำงานลักษณะเดิม ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในตำแหน่งใหม่ ยังมีตำแหน่งงานอื่นๆ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน รวมทั้งตำแหน่งงานในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ไว้รองรับ ซึ่งจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายนที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าจ้างร้อยละ 50 ของเงินเดือน ในลักษณะ Co-payment เป็นเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 และการจัดทำ Platform ไทยมีงานทำ.com ซึ่งเป็นการหาตำแหน่งงานเชิงรุกทั่วประเทศ โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดจะลงพื้นที่พบปะเจ้าของสถานประกอบการ เพื่อขอตำแหน่งงานว่างที่มี ซึ่งจะครอบคลุมถึงงานด้านบริการและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางาน จะหามาตรการรองรับ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมส่งเสริมการจ้างงานภาคบริการควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจ ภาคการผลิตและบริการให้ฟื้นตัว เพื่อมิให้เกิดปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง-คนงานถูกเลิกจ้าง " อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่กำลังว่างงานสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34966 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำไมเราถึงต้องป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง และมีวิธีการอย่างไรบ้าง ?? | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ทำไมเราถึงต้องป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง และมีวิธีการอย่างไรบ้าง ??
เพราะอะไรกันนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35108 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 17 นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 17 นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย
กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ภายใต้หัวข้อ “นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย”
กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ภายใต้หัวข้อ “นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย”
วันนี้ (26 สิงหาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าว การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ว่า การจัดงานสมุนไพรที่ผ่านมาได้รับความนิยมจากประชาชนเข้าชมปีละกว่า 200,000 ราย สำหรับการจัดงานในปีนี้จะแตกต่างจากปีที่ผ่านมาในรูปแบบ New Normal ซึ่งเป็นไปตามมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีจุดคัดกรอง การวัดอุณหภูมิร่างกาย พ่นมือทำความสะอาดด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์ และสแกนแอปพลิเคชันไทยชนะ ก่อนเข้างาน กำหนดเส้นทางเข้า-ออก เพื่อให้สามารถบริหารจัดการ การเว้นระยะห่าง และผู้จัดงาน เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ ผู้เข้าชมงานทุกคน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในฮอลล์จัดแสดง กำหนดจำนวนคนเข้าชมงาน และถ่ายทอดกิจกรรมที่น่าสนใจ การอบรมตลาดความรู้ สาธิตการนวด การแสดงผลงานวิชาการ ผ่านทางเฟสบุ๊คไลฟ์กรมการแพทย์แผนไทย และมีคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยให้บริการรักษาและจ่ายยาแบบวันสตอปเซอร์วิส จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กิจกรรมภายในงาน แบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่โซนวิชาการประชุมวิชาการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น การนวดไทย กัญชาทางการแพทย์ และแบบจำลองธุรกิจสมุนไพร ประกวดผลงานวิชาการการอบรมตลาดความรู้ ฟรี 18 หลักสูตรโซนภูมิปัญญา (WISDOM)อาทิ นิทรรศการ “นวดไทย”,ลานวัฒนธรรมส่งเสริมและเชิดชูภูมิปัญญาการนวดไทย, ภูมิทัศน์สวนสมุนไพรจำลอง และจัดแสดงเครื่องยาสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับการนวด, แจกหนังสือ/ กล้าไม้ /เมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรโซนบริการ (SERVICE)บริการตรวจ ปรึกษาสุขภาพฟรี และโซนผลิตภัณฑ์ (PRODUCT)ชิม ช้อป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและอาหารสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐาน กว่า 500 ร้านค้า อาทิ นวัตกรรมเซรั่มมันแกว ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง คงความเป็นหนุ่มสาว, ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ก้าวไกลสู่ตลาดอินเตอร์จากร้านการบูร พร้อมเปิดตัวการใช้แอปพลิเคชันนวดไทย(Big Data) จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกท่าน ร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 2 - 6 กันยายน 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 10 – 12
********************************* 26 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34582 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (3 กันยายน 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม โดยในที่ประชุมได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีในระบบการตรวจสอบ กำกับ ดูแลเพื่อให้การบริหารกากอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังลุยแจกเอกสารสิทธิ์ที่ราชพัสดุ จ.นครสวรรค์ 2,078 ราย คิดค่าเช่าผ่อนปรนช่วยเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563
คลังลุยแจกเอกสารสิทธิ์ที่ราชพัสดุ จ.นครสวรรค์ 2,078 ราย คิดค่าเช่าผ่อนปรนช่วยเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่อง
กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เดินหน้ามอบเอกสารสิทธิ์ที่ราชพัสดุแห่งที่ 2 จัดสรรที่ทำกินเพื่อการเกษตร 2,078 ราย ในพื้นที่ อำเภอท่าตะโก อำเภอสนามชัย จังหวัดนครสวรรค์ ช่วยเหลือเกษตร คิดอัตราเช่าที่ดินแบบผ่อนปรน เหตุพื้นที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาภัยแล้ง
กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เดินหน้ามอบเอกสารสิทธิ์ที่ราชพัสดุแห่งที่ 2 จัดสรรที่ทำกินเพื่อการเกษตร 2,078 ราย ในพื้นที่ อำเภอท่าตะโก อำเภอสนามชัย จังหวัดนครสวรรค์ ช่วยเหลือเกษตร คิดอัตราเช่าที่ดินแบบผ่อนปรน เหตุพื้นที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2563 มอบเอกสารสิทธ์ครบ 3,000 ราย คลุมพื้นที่ อำเภอตากฟ้า อำเภอไพศาลี และอำเภอท่าตะโก
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันนี้ (11 กันยายน 2563) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ได้จัดพิธีมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุตามโครงการ “ธนารักษ์ประชารัฐ” โดยได้นำที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ นว 339 มาจัดสรรที่ดินให้กับประชาชนในพื้นที่ อำเภอท่าตะโก อำเภอสนามชัย จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 2,078 ราย คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2,071 ไร่ เพื่อใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการเข้าครอบครองที่ดินในพื้นที่ราชพัสดุให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันเอกสารสิทธิ์ยังสามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อเพื่อการเกษตรกับสถาบันการเงินต่อไปได้
โดยพื้นที่ทั้งหมดของบึงบอระเพ็ดกว่า 130,000 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของบ่อเก็บน้ำที่มีพื้นที่กว่า 50,000 ไร่ พื้นที่หวงห้าม เพื่อใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ที่ห้ามประชาชนบุกรุก และอีกส่วนก็ได้จัดให้เป็นพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยสำหรับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ที่ผ่านมามีประชาชนจำนวนมากเข้าไปถือครองที่ดิน โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของกรมธนารักษ์เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้กรมธนารักษ์ได้เข้าไปดำเนินการเจรจาแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และได้ข้อยุติในปี 2562 ที่ประชาชนยอมรับเงื่อนไขในการเช่าที่ทำกินบนพื้นที่ราชพัสดุ ด้วยอัตราเช่าที่ผ่อนปรนเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวประสบกับปัญหาภัยแล้งมาอย่างต่อเนื่อง และห่างไกลจากเขตชลประทาน ทำให้เกษตรกรต้องอาศัยน้ำเพื่อทำการเกษตรในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่น้อยกว่าพื้นที่อื่น
สำหรับอัตราค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบอาชีพเกษตรในพื้นที่ดังกล่าว แบ่งเป็นอัตราเรียกเก็บตามเนื้อที่ที่ได้รับสิทธิครอบครอง โดยเนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ อัตราไร่ละ 20 บาทต่อปี เนื้อที่เกินกว่า 50 -200 ไร่ อัตราไร่ละ 30 บาทต่อปี เนื้อที่เกิน 200 -500 ไร่ อัตราไร่ละ 40 บาทต่อปี เนื้อที่เกิน 500-1,000 ไร่ อัตราไร่ละ 50 บาทต่อปี เนื้อที่เกิน 1,000 ไร่ อัตราไร่ละ 60 บาทต่อปี
อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 2563 กรมธนารักษ์มีเป้าหมายการจัดสรรที่ทำกินในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้โครงการ “ธนารักษ์ประชารัฐ” จำนวน 16,385 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอตากฟ้า อำเภอไพศาลี และอำเภอท่าตะโก โดยจะมอบให้กับประชาชนจำนวน 3,000 ราย ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดประกอบอาชีพ ทำไร่อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด และพืชอื่นๆ
นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า สำหรับบริเวณพื้นที่บึงบอระเพ็ด จำนวน 50,000 ไร่ ยังมีประชาชนบุกรุกบางส่วน ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการเข้าไปเจรจาเพื่อขอให้ออกจากพื้นที่แล้ว และได้ดำเนินการหาที่อยู่ใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ดินซึ่งเป็นแบบเช่าต่อปี เป็นพื้นที่น้ำท่วมถึงมีประชาชนจำนวน 3,000 ราย อยู่ระหว่างขอยื่นเช่าพื้นที่ ส่วนพื้นที่ปกติที่ชาวบ้านใช้เป็นที่อยู่อาศัย จำนวนกว่า 7,000 ไร่ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปบางส่วน คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปีนี้ ส่วนการแก้ปัญหาภัยแล้งก็ได้มีการบูรณาการทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา และวางมาตรการในระยะยาว เพื่อที่พื้นที่บริเวณนี้จะได้เป็นพื้นที่ทำกินของประชาชนอย่างยั่งยืน
“ที่ผ่านมามีปัญหาบ้างในหลายจังหวัดในการเข้าไปขอพื้นที่คืนเพื่อให้เป็นพื้นที่เช่าราชพัสดุโดยเฉพาะในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากเป็นการเข้าใจผิดของชาวบ้านบางกลุ่ม แต่กรมธนารักษ์ก็ได้ดำเนินการลงไปทำความเข้าใจ และอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็นก็ทำให้ชาวบ้านเข้าใจ และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี” นายยุทธนา กล่าว
สำหรับเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ ภายใต้โครงการ "ธนารักษ์ประชารัฐ" เพื่อรองรับสิทธิให้แก่ผู้ครอบครองที่ราชพัสดุให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 73,427 ราย เนื้อที่ประมาณ 1.051 ล้านไร่ โดยจะมีการดำเนินงานของโครงการเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเครื่องมือในการรังวัดพื้นที่ และการตรวจสอบสิทธิ์เป็นอย่างราบรื่น เนื่องจากประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ปัจจุบันสามารถพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินต่อแปลงให้แล้วเสร็จได้ภายใน 1-2 เดือน จากเดิมใช้เวลา 1-2 ปี
กรมธนารักษ์
โทร. 02 273 0899-903, 02 278 5641
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม สร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ กับ กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศเพื่อพัฒนาความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
กระทรวงกลาโหม สร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ กับ กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศเพื่อพัฒนาความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี
พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการประชุมสัมมนา และดูงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ/กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2563
ณ ห้องประชุม ชั้น 6 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (พื้นที่ศรีสมาน) และ จ.ลพบุรี
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงและประชาสัมพันธ์แนวคิดทางยุทธศาสตร์ในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การดูงานหน่วยงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม กับกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดี และสอดประสานการปฏิบัติงานร่วมกันกับ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ/กรุงเทพ
ทั้งนี้ การประชุมสัมมนาฯ ดังกล่าวจะทำให้ กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศมีความรู้ความเข้าใจในแนวคิดทางยุทธศาสตร์ในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และได้ทราบถึงศักยภาพของหน่วยงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม และภาคเอกชนมากขึ้น อีกทั้ง จะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคีอันจะนำไปส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกระทรวงกลาโหม กับกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ตลอดจนความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Monthly Customs Press 12/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
Monthly Customs Press 12/2563
อธิบดีกรมศุลกากรมีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่างๆ โดยมอบหมายให้คณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการ
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่าง ๆ โดยมอบหมายให้คณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการและได้กำหนดให้มีการแถลงข่าวประจำทุกเดือน สำหรับประเด็นที่น่าสนใจ ในการแถลงข่าวประจำเดือนกันยายน 2563 ได้แก่ 1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนสิงหาคม 2563 2. กรมศุลกากรชี้แจงการเปิดตรวจพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนสิงหาคม 2563
ตามที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายสำคัญในการเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาซึ่งมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการลักลอบ นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทหาร กอ.รมน. ป.ป.ส. บช.ปส. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ Interpol DEA เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน
สำหรับเดือนสิงหาคม 2563 กรมศุลกากรตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร จำนวน 1,841 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 322 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรตรวจพบการกระทำความผิดในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563 ทั้งสิ้น 22,966 คดี คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,993 ล้านบาท
ผลงานที่น่าสนใจในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 มีดังนี้
1.1 ยาเสพติดให้โทษประเภทเอ็กซ์ตาซี่
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 กรมศุลกากร ได้ตรวจพบพัสดุต้องสงสัย ต้นทางจากต่างประเทศ จำนวน 2 หีบห่อ จึงประสานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ศรภ. กองบัญชาการกองทัพไทย และพนักงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกันเปิดตรวจพัสดุดังกล่าว ผลการตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เอ็กซ์ตาซี่) เม็ดสีทอง เม็ดสีฟ้า เม็ดสีเทา เม็ดสีชมพู และเม็ดสีม่วง รวมจำนวนประมาณ 9,949 เม็ด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 4.805 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563 มีจำนวนคดี 215 คดี มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท
1.2 บุหรี่
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 กรมศุลกากรทำการตรวจสอบสินค้าประเภทอะไหล่รถยนต์ จำนวน 270 CARTONS น้ำหนัก 4,700 KGM ผลการตรวจสอบรายการสินค้าทั้ง 250 รายการถูกต้องตามสำแดง แต่พบสินค้าที่ไม่ได้สำแดงเป็นบุหรี่มวนสำหรับเครื่องสูบบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 50,000 ซอง หรือ 1 ล้านมวน จึงได้ยึดบุหรี่ทั้งหมดเป็นของกลาง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563 มีจำนวนคดี ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 789 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 197 ล้านบาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 650 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 14.8 ล้านบาท
1.3 น้ำมันดีเซล
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 กรมศุลกากร ได้นำเรือศุลกากร 1001 ขึ้นเทียบตรวจสอบเรือเหล็กสัญชาติไทย บริเวณท่าเทียบเรือ จังหวัดชลบุรี พบน้ำมันดีเซล มีเมืองกำเนิดต่างประเทศที่ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น รวมประมาณ 60,000 ลิตร บรรจุอยู่ในระวางเรือ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการจับกุมน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563 ได้แก่ น้ำมันดีเซล จำนวน 298 คดี ปริมาณ 5.6 แสนลิตร มูลค่ากว่า 12.1 ล้านบาท น้ำมันเบนซิน จำนวน 354 คดี ปริมาณ 1.5 แสนลิตร มูลค่ากว่า 3.7 ล้านบาท
1.4 หอมและกระเทียม
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2563 กรมศุลกากรตรวจสอบรถบรรทุก12 ล้อจำนวน 1 คัน บริเวณริม ถนนกาญจนวนิช ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบหอมหัวใหญ่ เมืองกำเนิดต่างประเทศไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น จำนวน 13 ตัน มูลค่ากว่า 4 แสนบาท
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2563 กรมศุลกากรได้ตรวจสอบโกดังแห่งหนึ่ง ตำบลไชยมนตรี อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พบกระเทียม มีเมืองกำเนิดต่างประเทศไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น จำนวน 8 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4 แสนบาท
ทั้งนี้ สถิติการตรวจยึดสินค้าเกษตร ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563 มีจำนวนคดี ทั้งสิ้น 593 คดี มูลค่ากว่า 43.6 ล้านบาท
2. กรมศุลกากรชี้แจงการเปิดตรวจพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ
ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการกล่าวถึงการปฏิบัติงานของกรมศุลกากรเกี่ยวกับการเปิดตรวจพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศนั้น กรมศุลกากรขอชี้แจงในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.การเปิดตรวจพัสดุ
กรณีที่มีการเปิดตรวจสิ่งของที่มีการส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ เพื่อทำการประเมินภาษีอากรของกรมศุลกากร ภายใต้ประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. 2560 นั้น เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะเปิดตรวจและประเมินค่าภาษีอากรต่อหน้าเจ้าหน้าที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมเปิดด้วยทุกครั้งและเมื่อเปิดตรวจเสร็จสิ้นแล้วจะดำเนินการปิดหีบห่อพัสดุด้วยการคาดเทปกาวพลาสติกที่มีข้อความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ “เปิดตรวจ/ปิดผนึก โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วมกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์”
2. การประเมินค่าภาษีอากร
กรมศุลกากรจะประเมินค่าภาษีอากรตามแนวของการประเมินราคาศุลกากรภายใต้ความตกลงแกตต์ขององค์การการค้าโลก ทั้งนี้โดยใช้ราคาซื้อขายได้จริงที่รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย (CIF) เป็นฐานในการประเมินค่าภาษีอากร โดยเบื้องต้นจะพิจารณาราคาจากเอกสารรายละเอียดของสินค้าและราคา (Invoice หรือ CP72:CUSTOMS DECLARATION) ที่แนบมากับหีบห่อ เว้นแต่มีข้อสงสัยว่าราคาที่ปรากฏนั้นไม่น่าจะใช่ราคาซื้อขายแท้จริง
3. การโต้แย้งการประเมินค่าภาษีอากร
ในกรณีที่ที่ทำการไปรษณีย์แจ้งให้ไปรับพัสดุไปรษณีย์และชำระค่าภาษีอากร ณ ที่ทำการไปรษณีย์ หากท่านไม่เห็นด้วยกับการประเมินค่าภาษีอากร ท่านสามารถที่จะยื่นคำร้องขอให้ประเมินภาษีใหม่ตามแบบฟอร์มที่กำหนดก่อนการชำระค่าภาษีอากร พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการโต้แย้ง ทั้งนี้ ให้แนบใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยที่ยังไม่ต้องรับสิ่งของ เพื่อให้ที่ทำการไปรษณีย์นั้น ส่งพัสดุไปรษณีย์ดังกล่าวกลับไปยังหน่วยงานศุลกากรพิจารณาทบทวนความถูกต้องของการประเมินค่าภาษีอากรต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34984 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ความเสียหายจากอุทกภัย จ.สุโขทัย ยืนยัน รัฐบาล ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลดูแลคนทุกกลุ่ม | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ความเสียหายจากอุทกภัย จ.สุโขทัย ยืนยัน รัฐบาล ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลดูแลคนทุกกลุ่ม
นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ความเสียหายจากอุทกภัย จ.สุโขทัย ยืนยัน รัฐบาล ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลดูแลคนทุกกลุ่ม
วันนี้ (2 กันยายน 2563) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณสะพานเมืองบางยม (ข้างวัดหนองโว้ง) หมู่ที่ 7 ต.ท่าทอง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบปะประชาชนผู้ประสบอุทกภัย และมอบถุงยังชีพ พร้อมตรวจพื้นที่ความเสียหายจากอุทกภัย บริเวณบ้านของนายเรือง เขียวฤทธิ์ เลขที่ 55/1 ซึ่งบ้านถูกพัดพาจากกระแสน้ำเสียหายทั้งหลัง โดยส่วนราชการและกองทัพได้เข้ามาช่วยเหลือทำการปรับหน้าดิน และออกแบบก่อสร้างบ้านใหม่ให้ คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2-3 เดือนถึงจะเสร็จสมบูรณ์
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กำลังใจเจ้าของบ้านที่ได้รับความเสียหาย และสอบถามความเป็นอยู่ โดยระบุว่า สมบัติสามารถที่จะหาได้ เพราะการทำความดีของเรา การที่น้ำมาเร็วก็นำมามาสู่ความเสียหาย ดังนั้น รัฐบาลจึงพยายามจะเน้นเรื่องของการเตือนภัย โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ริมน้ำ และขอให้ยึดพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ต้องเรียนรู้การอยู่กับน้ำ เพราะธรรมชาติห้ามไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง เพื่อทำการเกษตรต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศเกิดความขัดแย้งมายาวนาน ส่วนตัวจะไม่พยายามไปเป็นผู้ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น จึงอยากให้ทุกคนมาช่วยกัน รัฐบาลพร้อมดูแลทุกคน ทั้งนี้ ส.ส.ในพื้นที่ พรรคร่วมรัฐบาลทำงานเพื่อทุกคน และมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือทำเพื่อประชาชน โดยไม่ได้เจาะจงพื้นที่ใดเป็นพิเศษ แต่ต้องมองภาพกว้าง เพราะครอบครัวเราใหญ่ขึ้น ที่ต้องดูแลคนทุกกลุ่ม และทุกระดับ และขอให้ทุกคนยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งรัฐบาลยึดใน 3 อย่างนี้ มีประชาชนเข้าไปอยู่ด้วย ดังนั้น การลงพื้นที่ในวันนี้มาด้วยความรัก ความห่วงใย สิ่งไหนที่ช่วยแก้ปัญหาได้ ก็ขอให้ช่วยกันแก้ไปก่อน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกล่าวให้กำลังใจทหารที่มาช่วยเหลือชาวบ้านว่า ขอให้ทำงานเพื่อประชาชน ทำให้ประชาชนรักอย่างมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34777 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคเหนือเน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคเหนือเน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน
ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนา“การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร” ภาคเหนือเน้นนำแนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" ไปใช้ในการปฏิบัติงาน
lจังหวัดเชียงใหม่ : วันนี้ (12 กันยายน 63) เวลา 11.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สปอ.” พร้อมทั้งมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่บุคลากรสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ในคณะกรรมการส่งเสริมการดำเนินงานการพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 6 พื้นที่ภาคเหนือ เน้นส่งเสริมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" มี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สปอ.” เป็นกิจกรรมที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้มีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0
#กระทรวงอุตสาหกรรม #พัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย #prindustry
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2563 | วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 10 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,252 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.34 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 101 ราย หรือร้อยละ 2.96 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,411 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้มีรายงานการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและได้ลามเข้าสู่ บังคลาเทศ และเมียนมาร์ ส่งผลให้เมียนมาร์มีการเพิ่มจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่แบบก้าวกระโดด สำหรับประเทศไทยซึ่งมีหลายจังหวัดมีพรมแดนติดกับเมียนมาร์ หน่วยงานด้านความมั่นคงและสาธารณสุขในพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกับเมียนมาร์ได้เข้มงวดมาตรการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด 19 ในผู้ที่เดินทาง และแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือ ผู้ประกอบการชะลอการนำแรงงานจากพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เข้ามาทำงานในขณะนี้ และไม่สนับสนุนการจ้างงานแรงงานผิดกฎหมาย เนื่องจากกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะนำเชื้อ โควิด 19 เข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ขอความร่วมมือประชาชนกำนันผู้ใหญ่บ้านช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องคนแปลกหน้าที่เข้ามาในชุมชน หากสงสัยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกัน แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และป้องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในชุมชน
สำหรับประชาชนขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาด เคร่งครัดในมาตรการป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ที่ใช้บริการในแพลตฟอร์มไทยชนะ เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังควบคุมโรค
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินการในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ในการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ และเฝ้าระวังป้องกันในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงมีความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และที่สำคัญความร่วมมือของคนไทยทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ
************************************* 30 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางร่างกายส่วนไหนน้อยที่สุด ?? | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางร่างกายส่วนไหนน้อยที่สุด ??
เชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาทางร่างกายส่วนไหนน้อยที่สุด ??
Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางร่างกายส่วนไหนน้อยที่สุด ??
A : น้ำตา ประมาณ 1.1%
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34720 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เสริมศักยภาพเอสเอ็มอียกระดับระบบบริหารธุรกิจด้วยเทคโนโลยี เชิญสัมมนาฟรี ‘บริหารงานไม่สะดุด หยุดที่ MANA Program’ รับวิถีชีวิตใหม่ | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
ธพว. เสริมศักยภาพเอสเอ็มอียกระดับระบบบริหารธุรกิจด้วยเทคโนโลยี เชิญสัมมนาฟรี ‘บริหารงานไม่สะดุด หยุดที่ MANA Program’ รับวิถีชีวิตใหม่
SME D Bank จัดสัมมนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีไทย “บริหารงานไม่สะดุด หยุดที่ MANA Program” เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ประกอบการ ก้าวทันยุค New Normal หรือวิถีชีวิตใหม่ จัดในวันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563 เวลา 09.00-16.30 น.
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จัดสัมมนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีไทย“บริหารงานไม่สะดุด หยุดที่ MANA Program”เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ประกอบการ ก้าวทันยุค New Normal หรือวิถีชีวิตใหม่ จัดในวันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563 เวลา 09.00-16.30 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคาร SME Bank Tower (สำนักงานใหญ่) มางานนี้จะได้เรียนรู้การใช้มานะโปรแกรม จากผู้เชี่ยวชาญที่มาถ่ายทอดวิธีการใช้งานและจัดอบรม Workshop เพื่อสร้างการรับรู้ถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมที่สร้างประโยชน์ในการทำงานแบบออฟไลน์สู่ออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการทำงานแบบ Work from home ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถกำหนด ตั้งเป้าหมายและวางแผนร่วมกันอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังมอบหมายงาน หรือติดตามผลลัพธ์แบบ Real-Time ได้ด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการงานต่าง ๆ ได้เต็มประสิทธิภาพ
สิทธิพิเศษ! สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม และกำลังมองหาระบบในการลดต้นทุนพร้อมเพิ่มproductivity สามารถทดลองใช้โปรแกรมฟรี 2 เดือน (จากราคาปกติ 9,600 บาท) โดยคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมต้องเป็นองค์กรที่มีทีมงานมากกว่า 20 คนขึ้นไป นอกจากนั้น ยังได้รับคำแนะนำเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษจากธพว. ด้วย งานนี้สมัครฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด สนใจสมัครเข้าร่วมโดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 0-2265-4494
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จีบ บสย. หนุนสินเชื่อ ต่อยอดแรงงานสู่ SMEs | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
ก.แรงงาน จีบ บสย. หนุนสินเชื่อ ต่อยอดแรงงานสู่ SMEs
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จับมือ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ลั่น !! พร้อมหนุนพัฒนาฝีมือแรงงาน กู้ยืมสินเชื่อธุรกิจ SMEs
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับคุณบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมคณะ ที่ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีในโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งหารือข้อตกลงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะทำงาน ร่วมให้การต้อนรับ
สำหรับ บสย. เป็นสถาบันทางการเงินที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน หรือหลักประกันไม่เพียงพอได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ
รมช.แรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนต่อการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศ ให้มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม สำหรับผู้ผ่านการฝึกอบรมจากหลักสูตรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถหาแหล่งทุนด้วยการกู้สินเชื่อ โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกัน ดังนั้นผู้เข้าอบรมจะได้รับทั้งความรู้และเงินทุนในการประกอบอาชีพ สามารถต่อยอดเป็นธุรกิจส่วนตัวได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34804 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนาคตสาธารณสุขไทยหลังโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
อนาคตสาธารณสุขไทยหลังโควิด 19
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษอนาคตสาธารณสุขไทยหลังโควิด 19 ในพิธีปิดการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข เน้นเพิ่มศักยภาพการควบคุมป้องกันโรค ทั้งการตรวจวินิจฉัย รักษาพยาบาล จัดการความเสี่ยง ยกระดับป้องกันการติดเชื้อภายในโรงพยาบาล เพิ่มทีมสอบสวนโรค 3
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษอนาคตสาธารณสุขไทยหลังโควิด 19 ในพิธีปิดการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข เน้นเพิ่มศักยภาพการควบคุมป้องกันโรค ทั้งการตรวจวินิจฉัย รักษาพยาบาล จัดการความเสี่ยง ยกระดับป้องกันการติดเชื้อภายในโรงพยาบาล เพิ่มทีมสอบสวนโรค 3-5 เท่า แนะคงมาตรการป้องกันโรค ช่วยควบคุมการระบาดระลอก 2 ระบบสาธารณสุขไทยสามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ 50–100 รายต่อวัน
วันนี้ (10 กันยายน 2563) ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “อนาคตสาธารณสุขไทย หลังโควิด 19” ในพิธีปิดการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2563 ว่า ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคระบาดมาตั้งแต่กรณีเกิดโรคซาร์ส ทำให้เมื่อเกิดโรคโควิด 19 เราบริหารจัดการสถานการณ์ด้วยการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชน อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งคิดว่าเราปลอดภัย เพราะอาจเกิดการระบาดระลอก 2 ได้เสมอ เนื่องจากอาจมีผู้ติดเชื้ออยู่ในประเทศ และการลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดน แต่กระทรวงสาธารณสุขพร้อมจะดูแลพี่น้องคนไทยให้ปลอดภัย มีการตั้งปราการป้องกันผู้ป่วยจากต่างประเทศ มี state quarantine ดูแลผู้เข้าประเทศ ขณะที่กรมควบคุมโรคได้กระจายทีมลงไปตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อในประเทศ และผู้ป่วยจากต่างประเทศที่อาจมีการลักลอบเข้าประเทศ
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือ ยังต้องคงมาตรการด้านสาธารณสุขและชีวิตวิถีใหม่ สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความแออัด ซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมการระบาดได้ หากมีผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกินวันละ 50-100 รายศักยภาพของระบบสาธารณสุขจะสามารถรองรับได้ รวมถึงต้องมีการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้สถานการณ์กลับมาอยู่ในระดับที่ไม่มีผู้ป่วยหรือมีผู้ป่วยในวงจำกัด โดยต้องเน้นการดำเนินงานทั้งการป้องกัน ค้นหา รักษา และควบคุม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการรุนแรง เพิ่มศักยภาพให้ตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาลได้มากขึ้น เพิ่มจำนวนทีมสอบสวนโรคอีก 3-5 เท่า ซักซ้อมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน เพื่อตอบโต้ภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว พัฒนาระบบบัญชาการเหตุการณ์ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ระบบการจัดการข่าวสารและการสื่อสารความเสี่ยง ยกระดับการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล มีระบบสำรองเวชภัณฑ์อย่างเหมาะสม การใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม ออกแบบแผนกหอผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยนอก (OPD) เพื่อลดโอกาสสัมผัสเชื้อ ลดความแออัดในโรงพยาบาล นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมศักยภาพ และยกระดับห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล
ทั้งนี้ ภายในงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังได้มอบโล่รางวัลผลงานวิชาการ R2R ดีเด่น หรือการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย จำนวน 55 รางวัล มอบโล่รางวัลบูธนิทรรศการดีเด่นระดับกรมและเขตสุขภาพ 6 รางวัล มอบโล่รางวัลนวัตกรรม Green & Clean Hospital ระดับประเทศ จำนวน 11 รางวัล โดยการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่วันที่ 8-10 กันยายน 2563 มีผู้เข้าร่วมงานรวม 2,500 คน
****************************** 10 กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ ดศ. ร่วมบูรณาการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มุ่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายประสบปัญหาทางสังคม | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
พม. จับมือ ดศ. ร่วมบูรณาการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มุ่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายประสบปัญหาทางสังคม
พม. จับมือ ดศ. ร่วมบูรณาการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มุ่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายประสบปัญหาทางสังคม
วันนี้ (16 ก.ย. 63) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐเพื่อบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน การวิเคราะห์ และใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ การนำเสนอข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง การยกระดับการบริการกลุ่มเป้าหมายผู้ประสบปัญหาทางสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม
นายปรเมธี กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญเรื่องการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญของการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ ประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาศักยภาพและทักษะความรู้ของบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะความสามารถที่พร้อมจะขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อยกระดับการบริการสำหรับกลุ่มเป้าหมาย จึงมีการบูรณาการความร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับการลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการ และวิธีทำงานในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายสถิติในการแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกัน การยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทั้ง 2 กระทรวง ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของข้อมูลด้านสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไข และช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสร้างการรับรู้ไปยังหน่วยงาน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้การบูรณาการการทำงานเกิดความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมประชาสัมพันธ์ โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
ธ.ก.ส. ร่วมประชาสัมพันธ์ โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด
นายศรายุทธ ยิ้มยวน และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด
นายศรายุทธ ยิ้มยวน และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ซึ่งเป็นโครงการที่ค้นหาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้สามารถพึ่งตนเองได้ พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชุมชน โดยนำเสนอผ่านรูปแบบรายการ ภายใต้ชื่อ “New Gen Hug บ้านเกิด” ซึ่งสามารถติดตามรายการและร่วมให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันได้ ตั้งแต่วันที่ 5 - 27 กันยายน 2563 ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 10.00 - 11.00 น. ออกอากาศทางช่อง ONE 31 จำนวน 8 ตอน ณ โถงชั้น 2 อาคาร Tower ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ บางเขน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังได้มีการสนับสนุนสินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ และสินเชื่อระยะสั้นฤดูการผลิตใหม่ วงเงินรวม 170,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้านการเกษตรให้กับคนรุ่นใหม่ รวมถึงผู้ที่ทำงานในเมือง แต่สนใจที่จะนำความรู้ความสามารถกลับไปพัฒนาบ้านเกิด โดยสามารถติดต่อขอรับสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือทาง Line Official BAAC Family หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34883 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อบ่งชี้ใดที่สามารถสะท้อนได้ว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำ ?? | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
ข้อบ่งชี้ใดที่สามารถสะท้อนได้ว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำ ??
ข้อบ่งชี้ใดที่สะท้อนได้ว่ามีการติดเชื้อซ้ำ ??
Q : ข้อบ่งชี้ใดที่สามารถสะท้อนได้ว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำ ??
A : ข้อบ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำหรือไม่ ต้องพิสูจน์จากสายพันธุ์ที่ติดเชื้อในครั้งแรกกับสายพันธุ์ที่ติดเชื้อใหม่ ว่าเป็นคนละสายพันธุ์กัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เขย่า ตลาดบ้านมือสอง ... เตรียมเปิดธุรกิจตัวกลางเปลี่ยนมือบ้านมือสอง มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
ธอส. เขย่า ตลาดบ้านมือสอง ... เตรียมเปิดธุรกิจตัวกลางเปลี่ยนมือบ้านมือสอง มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง จัดทำ “โครงการ GH Bank Market Place ตลาดกลางบ้านมือสอง”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง จัดทำ “โครงการ GH Bank Market Place ตลาดกลางบ้านมือสอง” เพื่อเปิดให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ต้องการลดภาระรายจ่ายในการผ่อนชำระสินเชื่อ ให้สามารถนำที่อยู่อาศัยของตนเอง มาฝาก ธอส. จำหน่ายผ่านช่องทางของธนาคาร ระยะที่ 1 จะเริ่มเปิดให้ประชาชนส่งรายละเอียดของทรัพย์ที่ต้องการจะขายมาให้ธนาคารระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน 2563 จากนั้นธนาคาร จะนำข้อมูลเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบผ่านทาง www.ghbhomecenter.com และ Mobile Application : GHBank Smart NPA และ ธอส. จะนำทรัพย์ออกประมูลขายครั้งแรกในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะผู้ที่สนใจเลือกซื้อบ้านมือสองซึ่งมีจุดเด่นทั้งในด้านของทำเลที่ตั้งและระดับราคาที่ถูกกว่าบ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน พร้อมทั้งยังเป็นการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และต้องการลดรายจ่ายจากการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย คณะกรรมการธนาคาร โดย นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มีนโยบายให้ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย ที่มีความชำนาญในการจำหน่ายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองของธนาคาร ด้วยยอดจำหน่ายทรัพย์ NPA ที่สูงถึงปีละกว่า 4,000 ล้านบาท จัดทำ “โครงการ GH Bank Market Place ตลาดกลางบ้านมือสอง” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถนำที่อยู่อาศัยประเภทใดก็ได้ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และห้องชุด มาฝากจำหน่ายผ่านช่องทางของ ธอส. ซึ่งการดำเนินโครงการในระยะที่ 1 ธนาคารจะเริ่มเปิดให้ประชาชนสามารถส่งข้อมูลรายละเอียดของทรัพย์ที่ต้องการขายมาให้ธนาคารในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน 2563 เช่น ราคาที่ต้องการจำหน่าย ขนาด ที่ตั้ง และรูปภาพ เป็นต้น แล้วธนาคารจะนำข้อมูลเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจผ่านทาง www.ghbhomecenter.com และ Mobile Application : GHBank Smart NPA และธนาคารจะนำทรัพย์ของผู้ฝากจำหน่ายมาเปิดประมูลขายครั้งแรกร่วมกับทรัพย์ NPA ของ ธอส.ในการจัดงานประมูลขายทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 2/2563 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ผู้ที่ฝากบ้านให้ธนาคารจำหน่ายจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการจำหน่ายตามที่ธนาคารกำหนด ส่วนผู้ที่ชนะการประมูลต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์สิน พร้อมทำสัญญาจะซื้อจะขายเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของ ธอส. ที่ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี และยื่นคำกู้ตามเงื่อนไข/ระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดต่อไป
“การจัดทำโครงการ GH Bank Market Place ตลาดกลางบ้านมือสอง นอกจากจะช่วยให้ประชาชนได้มีช่องทางในการเลือกซื้อที่อยู่ที่ต้องการมากขึ้นแล้ว ยังถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์จากการซื้อขายเปลี่ยนมือที่อยู่อาศัย รวมถึงช่วยให้ผู้ที่ผ่อนชำระสินเชื่อต่อไม่ไหว และยังคงสถานะปกติและไม่เป็น NPL ที่อาจทำให้มีผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินในอนาคต ซึ่ง ธอส. ถือเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการจำหน่ายทรัพย์ NPA โดยในปี 2562 ธอส. สามารถจำหน่ายทรัพย์ได้สูงถึง 4,054.48 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการจำหน่ายได้ด้วยวิธีการประมูลถึง 2,187 รายการ คิดเป็นมูลค่า 1,647 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2563 ที่แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้ธนาคารไม่สามารถจัดงานประมูลได้ครบ 4 ครั้งตามปกติ แต่ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ก็ยังมีผู้ที่สนใจซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารแล้วกว่า 1,662 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของประชาชนต่อบ้านมือสองที่ยังอยู่ในระดับสูง และความน่าเชื่อถือในการเป็นผู้จำหน่ายทรัพย์ของธนาคาร และในอนาคต ธอส. จะขยายช่องทางการจำหน่ายบ้านมือสองที่ประชาชนฝากจำหน่ายในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมต่อไป” นายฉัตรชัย กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ฝ่ายบริหาร NPA โทร 0-2202-1016 , 0-2202-1582 , 0-2202-1583 หรือ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34920 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระตุ้นทุกจังหวัดจัด | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
กระตุ้นทุกจังหวัดจัด
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
กระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรม “เดิน กิน ชิม เที่ยว ถนนคนเดิน” อย่างต่อเนื่องตลอดปี อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้ให้ประชาชนในระดับจังหวัดทั่วประเทศ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง และภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ทุกจังหวัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35062 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.-คณะ นศ. Super วปส.รุ่นที่ 1 เปิดตัวแอป Line Chatbot เสริมเขี้ยวเล็บให้สายด่วน คปภ.1186 และแอป Insurance Regulatory Sandbox เพื่อช่วยผู้บริโภคและสนับสนุนนวัตกรรมเทคโนฯประกันภัย | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
คปภ.-คณะ นศ. Super วปส.รุ่นที่ 1 เปิดตัวแอป Line Chatbot เสริมเขี้ยวเล็บให้สายด่วน คปภ.1186 และแอป Insurance Regulatory Sandbox เพื่อช่วยผู้บริโภคและสนับสนุนนวัตกรรมเทคโนฯประกันภัย
คปภ. ร่วมกับกศึกษาหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 1 เปิดตัวนวัตกรรมด้านการประกันภัย ได้แก่ โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) และ Line Chatbot “คปภ. รอบรู้” (LINE @OICConnect)
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจหนึ่งที่จะต้องเผชิญกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับการกำกับและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสภาพแวดล้อม (ecosystem) ที่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจประกันภัยในยุคดิจิทัล เพื่อให้บริษัทประกันภัยและประชาชนสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยยังคงรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ จึงได้ร่วมกับนักศึกษาหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 1 เปิดตัวนวัตกรรมด้านการประกันภัย ได้แก่ โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) และ Line Chatbot “คปภ. รอบรู้” (LINE @OICConnect) เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การจัดทำโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) หรือ IRS มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยสามารถทดสอบนวัตกรรม โดยการให้บริการแก่ผู้บริโภคจริง ภายในสภาพแวดล้อมและการให้บริการที่จำกัด ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่พิจารณากำหนด หรือแก้ไขปรับปรุงให้ยืดหยุ่นตามความจำเป็น ซึ่งได้มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การกำกับดูแลและส่งเสริมพัฒนาสภาพแวดล้อม (ecosystem) มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สำนักงาน คปภ. จึงได้ปรับปรุงแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมให้มีความยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจทั้ง Fintech Firms และ Tech Firms สามารถเข้ามาทำการทดสอบใน Insurance Regulatory Sandbox ได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงสนับสนุนให้บริษัทมี Sandbox ของตนเอง (Own Sandbox) โดยยังคงมีกระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสมและเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยกลุ่มส่งเสริมเทคโนโลยีการประกันภัย จึงพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนโครงการ IRS เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สนใจ โดยได้ดำเนินการจัดทำระบบตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ IRS ซึ่งเป็นระบบ Self Service เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณสมบัติของโครงการและสามารถทราบผลการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่ และสามารถยื่นหลักฐานใบสมัครเข้าโครงการผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
สำหรับ Line Chatbot “คปภ. รอบรู้” (LINE @OICConnect) เป็นระบบตอบคำถามอัตโนมัติ (Chatbot) ภายใต้ชื่อ “คปภ. รอบรู้” โดยพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางในการบริการให้คำปรึกษา ให้ความรู้ด้านการประกันภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ทำให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจเรื่องการประกันภัยได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังเป็นการเสริมประสิทธิภาพการบริการของสายด่วน คปภ. 1186 เพื่อช่วยลดปริมาณคำถามที่มีความซับซ้อนน้อยและพบได้บ่อย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สายด่วน คปภ. 1186 สามารถให้คำปรึกษาและบริการแก่ประชาชนที่มีความเดือดร้อนได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนสำหรับการติดต่อกับสำนักงาน คปภ. ในเรื่องต่าง ๆ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ Chatbot “คปภ. รอบรู้” ถูกพัฒนาในรูปแบบ AI บนแพลตฟอร์ม LINE เนื่องจากประชาชนในประเทศไทยส่วนใหญ่ มีความคุ้นเคยกับการสื่อสารผ่านช่องทาง LINE มากกว่าช่องทางการสื่อสารอื่น ทำให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้โดยง่าย และให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประชาชนสามารถพิมพ์คำถามที่ต้องการทราบ และ Chatbot “คปภ. รอบรู้” จะประมวลผลคัดเลือกคำตอบในคลังข้อมูล และส่งกลับไปโดยอัตโนมัติ โดยปัจจุบัน Chatbot “คปภ. รอบรู้” มีจำนวนคำถามคำตอบในคลังความรู้มากกว่า 20,000 คำถาม/คำตอบ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้น โดย Chatbot คปภ. รอบรู้ (LINE @OICConnect) เป็นการให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยผ่าน LINE @OICConnect (ระบบ AI อัตโนมัติ) ทำให้เรื่องที่เกี่ยวกับประกันภัย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ด้วย Line Chatbot คปภ. รอบรู้ ดังนั้นหากท่านใดมีข้อสงสัย อยากรู้เรื่องประกัน เพิ่มเพื่อน ทาง LINE โดยการค้นหา @OICConnect แล้วกดเพิ่มเพื่อนได้เลยทันที หรือ ค้นหา "คปภ. รอบรู้" ในไลน์ LINE หรือ กดที่ลิ้งค์ https://lin.ee/6oJAFrS
“ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านประกันภัย เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงข้อมูลด้านการประกันภัยของประชาชน โดยสามารถใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ช่วยในการกลั่นกรองข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกทำประกันภัยได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อนำพาภาคอุตสาหกรรมประกันภัยก้าวผ่านความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและใช้ระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และส่งผลให้อุตสาหกรรมประกันภัยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35174 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุชา มอบกรมประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดฟุตบอลไทยลีกออกอากาศทาง NBT2HD กระตุ้นกระแสบอลไทย ย้ำให้เป็นกลางในการนำเสนอข่าวสาร | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
อนุชา มอบกรมประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดฟุตบอลไทยลีกออกอากาศทาง NBT2HD กระตุ้นกระแสบอลไทย ย้ำให้เป็นกลางในการนำเสนอข่าวสาร
อนุชา มอบกรมประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดฟุตบอลไทยลีกออกอากาศทาง NBT2HD กระตุ้นกระแสบอลไทย ย้ำให้เป็นกลางในการนำเสนอข่าวสาร
วันนี้ (2 กันยายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับรองสำนักงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หารือเรื่องการถ่ายทอดฟุตบอลไทยลีกผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT2HD) ร่วมกับ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และคณะผู้บริหารบริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด โดยจะมีการเผยแพร่ออกอากาศฯ นัดแรกในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2564
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยฯ ครั้งนี้ ถือเป็นบทบาทใหม่ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของหน่วยงานภาครัฐได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ในการนำออกอากาศทางทีวี แสดงให้เห็นว่าภาครัฐให้ความสำคัญ และสนับสนุนวงการฟุตบอลและกีฬาทุกประเภทอย่างจริงจังมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันวงการฟุตบอลได้รับผลกระทบอย่างหนัก ภายหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การแข่งขันฟุตบอลทุกรูปแบบถูกระงับ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้รายได้ภาพรวมทางเศรษฐกิจจากกีฬาฟุตบอลลดลงร้อยละ 20-30
พร้อมกล่าวแสดงความเป็นห่วงต่อวงการฟุตบอลไทย ที่ขาดรายได้หลักจากการจัดกิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ รวมถึงแสดงความเป็นห่วงต่อกีฬาฟุตบอลในระดับท้องถิ่น ซึ่งกำลังถูกลดความนิยมจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ ในส่วนของการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกทาง NBT2HD รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการดูฟุตบอล พร้อมกับเน้นย้ำว่าทีวีของรัฐต้องยึดถือความเป็นกลางในการนำเสนอข้อมูลผ่านรายการต่าง ๆ ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 13 กันยายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 13 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 13 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 13 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ทั้งหมด เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (บาห์เรน 1 ราย ออสเตรเลีย 2 ราย และอินเดีย 4 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,312 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.36 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 103 ราย หรือร้อยละ 2.97 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,473 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 7 รายวันนี้ เดินทางมาจาก
บาห์เรน 1 รายเป็นชาย สัญชาติไทย อายุ 49 ปี อาชีพพนักงานขับรถเครน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี ตรวจพบเชื้อครั้งแรกวันที่ 11 กันยายน 2563(เป็นวันที่ 12 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี
อินเดีย 4 รายทุกรายเดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2563 (มีผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้านี้ 7 ราย) เข้าพักในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจ.ชลบุรี 1 ราย และชาวต่างชาติ 3 ราย เข้าพักในสถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด(Alternative State Quarantine) ในกทม. โดยทุกรายตรวจพบเชื้อวันที่ 11 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ทุกรายไม่มีอาการ แบ่งเป็นชาย 3 รายและหญิง 1 ราย รายแรกเป็นชาย สัญชาติไทย อายุ 39 ปี อาชีพว่างงาน เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี ส่วนรายที่ 2 เป็นหญิง สัญชาติอินเดีย อายุ 47 ปี อาชีพแม่บ้าน เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลใน จ.นนทบุรี และรายที่3 – 4 เป็นชาย สัญชาติอินเดีย อายุ 47 ปี และ 48 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกทม.
ออสเตรเลีย 2 ราย เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกทม. เป็นหญิงอายุ 27 ปี และชาย อายุ 33 ปี สัญชาติไทย อาชีพนักศึกษา ตรวจพบเชื้อวันที่ 11 กันยายน 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารักการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกทม. ซึ่งทั้ง 2 รายเคยมีประวัติติดเชื้อโควิด 19 แล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระยะหลังซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ พบว่าเกือบทั้งหมดไม่แสดงอาการป่วย เนื่องจากเป็นนักเรียน คนวัยทำงาน ส่วนใหญ่มีร่างกายแข็งแรง แต่หากคนกลุ่มนี้ป่วยอาจเป็นผู้ที่นำเชื้อไปแพร่สู่ผู้อื่นในสังคมและคนในครอบครัวได้โดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญคือกลุ่มคนวัยนี้ต้องออกนอกบ้านเพื่อ เรียน ทำงาน และกิจกรรมต่างๆ มีโอกาสที่จะรับและแพร่เชื้อโควิด 19 สูง ขอให้ทุกคนตระหนักในการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ หรือใช้แอลกอฮอล์เจล เว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก อาทิ งานมหรสพ คอนเสิร์ตในที่ปรับอากาศ และเมื่อไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ ในแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง
ขอความร่วมมือจากผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เมื่อกักตัวครบ 14 วัน และกลับสู่ภูมิลำเนาแล้ว ให้ยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยแยกตัวจากผู้อื่นต่อจนครบ 30 วัน และสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นที่ใกล้ชิด
****************************** 13กันยายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35041 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการ - ผู้สูงอายุ | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการ - ผู้สูงอายุ
--
#ไทยคู่ฟ้านายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประจำปีงบประมาณ 2563 อย่างต่อเนื่อง หลังจากได้ปรับปรุงจำนวนผู้สูงอายุและผู้พิการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้พัฒนาระบบ E-Payment เพื่อจ่ายเบี้ยคนพิการ และผู้สูงอายุเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจ่ายเป็นเงินสด
.
หากปรับปรุงระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น เมื่อผู้สูงอายุหรือผู้พิการขึ้นทะเบียนแล้วจะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปทันที สำหรับงวดเดือน ก.ย. 63 นี้ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้อนุมัติงบเหลือจ่าย เพื่อนำไปจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที จำนวน 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยคนพิการ 700 ล้านบาท และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,700 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35094 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม ครม.สัญจร จ.ระยอง เตรียมพิจารณาข้อเสนอโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีประชุม ครม.สัญจร จ.ระยอง เตรียมพิจารณาข้อเสนอโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
นายกรัฐมนตรีประชุม ครม.สัญจร จ.ระยอง เตรียมพิจารณาข้อเสนอโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 หรือ ครม.สัญจร พร้อมทั้งเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้แทนกระทรวงด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสุนทรภู่ ชั้น ๒ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 โดยช่วงก่อนประชุม นายกรัฐมนตรีถ่ายภาพร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ ณ โรงแรมสตาร์ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยดี
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 กันยายน 2563 | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 กันยายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (อินโดนีเซีย 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 รา
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 5 กันยายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (อินโดนีเซีย 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 ราย, รัสเซีย 2 ราย, อินเดีย 2 ราย และบังคลาเทศ 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,279 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.38 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 101 ราย หรือร้อยละ 2.94 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,438 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 7 รายวันนี้เดินทางมาจาก
อินโดนีเซีย 1 ราย เป็นชาย อายุ 40 ปี สัญชาติบราซิล เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 20 สิงหาคม 2563 (เที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 1 ราย) เข้าพักในสถานกักตัวทางเลือกในกทม. ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ใน วันที่ 2 กันยายน 2563 ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
สหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นนักเรียนหญิง อายุ 16 ปี สัญชาติอเมริกัน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 27 สิงหาคม 2563 เข้าพักในสถานกักตัวทางเลือกในกทม. และตรวจหาเชื้อในวันที่ 3 กันยายน 2563 ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
รัสเซีย 2 ราย เป็นนักเรียนชาย อายุ 18 ปี และหญิงอายุ 45 ปี ทั้งสองรายสัญชาติรัสเซีย เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 31 สิงหาคม 2563 เข้าพักในสถานกักตัวทางเลือกในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 วันที่ 3 กันยายน 2563 ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
อินเดีย 2 ราย เป็นชาย อายุ 43 ปี เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และนักเรียนหญิง อายุ 14 ปี เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 1 กันยายน 2563 ทั้งสองรายสัญชาติอินเดีย เข้าพักสถานที่กักกันใน กทม.และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 กันยายน 2563 ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
บังคลาเทศ 1 ราย เป็นชาย สัญชาติบังคลาเทศ อายุ 24 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 2 กันยายน 2563 เข้าพักในสถานกักตัวทางเลือกในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 กันยายน 2563 ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองและกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานเขตทุ่งครุและสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ทำการคัดกรองเชิงรุกในแหล่งที่พักของผู้ติดเชื้อในประเทศรายล่าสุดที่คอนโดบ้านสวนธน แขวงบางมด เขตทุ่งครุ มีประชาชนมารับบริการจำนวน 137 รายจะทราบผลตรวจภายในคืนนี้ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นสมาชิกในครอบครัว 5 ราย และผู้ใกล้ชิดอีก 7 รายนั้น ผลตรวจเป็นลบทั้งหมด ด้านผู้สัมผัสที่เป็นพนักงานร้าน 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 3 และ พระราม 5 จำนวน 25 คน ผลตรวจไม่พบสารพันธุกรรมโควิด 19 และบ่ายวันนี้จะมีการลงพื้นที่ตรวจคัดกรองที่ถนนข้าวสารเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้ลงทะเบียน “ไทยชนะ” ที่ร้านอาหาร 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 3 จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ขอให้สังเกตอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ มีไข้ ภายในระยะเวลา 14 วัน นับจากวันสุดท้ายที่ไปร้านอาหารแห่งนี้ หากมีอาการป่วยให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เพื่อขอรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที และระหว่างนี้ให้สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง แยกของใช้จากผู้อื่น สอบถามเพิ่มเติมโทร.กรมควบคุมโรค 1422
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรการ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระหว่างวันที่ 14 – 27 สิงหาคม 2563 พบว่า พฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนลดลงอย่างชัดเจนในทุกพฤติกรรม โดยในภาพรวมลดลงจากร้อยละ 75.6 เป็น 73.6 ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ การระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก การระวังไม่อยู่ใกล้ผู้อื่น
ดังนั้น ยังคงขอเน้นย้ำความร่วมมือของประชาชน โดยเฉพาะในวันหยุดยาวนี้ให้เที่ยวอย่างปลอดภัยเข้มมาตรการป้องกันตนเองต่อไป ทำให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจาก บ้าน เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ กรณีที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ ให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยและหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก ไม่นำตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยง และลงทะเบียนด้วยแอพพลิเคชั่น“ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะสามารถใช้ข้อมูลติดตามผู้สัมผัส เพื่อเฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัย และป้องกันควบคุมโรคต่อไป นอกจากนี้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโดยเฉพาะร้านอาหาร ผับ บาร์ แม่ค้า ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันและช่วยกันรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป
************************************** 5 กันยายน 2563
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34834 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน ห่วง สั่ง ติดตาม “ผีน้อย” พัวพันยาเสพติดในเกาหลี | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน ห่วง สั่ง ติดตาม “ผีน้อย” พัวพันยาเสพติดในเกาหลี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีใต้ หลังมีข่าวเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สั่งการด่วน ถึงทูตแรงงาน เข้าตรวจสอบ ดูแลแรงงานไทย ทันที เตือน แรงงานไทยอย่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เหตุ เกาหลีใต้คาดโทษแรง สูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเผย ได้รับรายงานจาก อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ว่า สำนักข่าว CBS เกาหลีใต้ ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับแรงงานไทยเกี่ยวข้องกับการเสพและจำหน่ายยาเสพติดในเกาหลีใต้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงสั่งการด่วนถึงทูตแรงงาน เข้าตรวจสอบ ดูแลแรงงานไทย ทันที
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแรงงานหลบหนี ที่ไม่มีวีซ่าทำงาน ขณะที่ แรงงานถูกกฎหมาย อย่างEPS ไม่ค่อยปรากฎว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เนื่องจากให้ความสำคัญกับการทำงาน ส่งเงินกลับบ้านให้ครอบครัวมากกว่า รวมทั้งกลัวการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเกาหลีใต้ ซึ่งมีโทษแรง โดยกรณีเสพยาหรือมียาในครอบครอง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือเสียค่าปรับไม่เกิน 50 ล้านวอน กรณีค้ายาเสพติด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือเสียค่าปรับไม่เกิน 50 ล้านวอน กรณีส่งออกต่างประเทศหรือผลิตยาเสพติด มีโทษจำคุก 5 ปีขึ้นไป หรือจำคุกตลอดชีวิต
“ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานไทยลักลอบเดินทางไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเข้มงวดและจริงจัง มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้มาตรการทางกฎหมาย ซึ่งกระทรวงแรงงาน จะเร่งวางมาตรการในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่เกาหลีใต้ให้รัดกุม มากขึ้น โดยจะตรวจสารเสพติดของแรงงาน EPS ก่อนอนุญาตให้เดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันความต้องการใช้ยาเสพติดต่อเนื่อง ซึ่งหากถูกส่งกลับประเทศไทยจากสาเหตุเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาจงดการอนุญาตให้ไปทำงานต่างประเทศถาวร”นายสุชาติ ชมกลิ่นกล่าว
นายสุชาติฯกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการไปทำงานที่เกาหลีใต้ ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกหลายครั้ง รวมทั้งต้องฝึกฝนภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน ตนขอชื่นชมในความอดทนของแรงงานไทย แต่เมื่อไปทำงานแล้ว ขอให้รับผิดชอบงานให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของเกาหลี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สิ่งของมึนเมา และการพนัน ตลอดจนเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานนำกลับมาใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะการฝึกฝนด้านภาษา เพราะจะสามารถหางานทำได้ง่าย และขอให้รักษาชื่อเสียงของประเทศไทย เนื่องจากจะส่งผลต่อจำนวนแรงงานไทยที่จะได้เดินทางไปทำงานในรุ่นต่อๆไปด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-แคนาดา พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ เพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้น และเกิดผลเป็นรูปธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563
ไทย-แคนาดา พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ เพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้น และเกิดผลเป็นรูปธรรม
ไทย-แคนาดา พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ เพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้น และเกิดผลเป็นรูปธรรม
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางซาราห์ เทย์เลอร์ (H.E. Mrs. Sarah Taylor) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับแคนาดาที่ใกล้ชิดและมีพลวัตที่ดีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งในปี 2564 ไทย-แคนาดาจะครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน รองนายกรัฐมนตรีหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญดังกล่าว ตลอดจนจะเป็นโอกาสร่วมกันเพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
เอกอัครราชทูตแคนาดาฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบในวันนี้ ยินดีที่ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและแคนาดาที่มีความราบรื่นมาอย่างยาวนาน ยืนยันพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 โดยเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ ชื่นชมการดำเนินมาตรการของไทยในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ทำให้ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นเวลานาน ซึ่งแคนาดาพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข การพัฒนาวัคซีน การศึกษา รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ช่วยดูแลชาวแคนาดาในไทยเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นความตกลง CPTPP ซึ่งรัฐบาลแคนาดาสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTPP เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการค้าระหว่างกัน ประกอบกับมีภาคเอกชนแคนาดาเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยแคนาดายินดีแบ่งปันประสบการณ์กับไทยในประเด็นดังกล่าว ด้านรองนายกรัฐมนตรีขอบคุณแคนาดาที่สนับสนุนให้ไทยเข้าร่วม CPTPP อย่างไรก็ดี การเข้าร่วม CPTPP ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมถึงต้องมีการพิจารณาผลดีผลเสีย รวบทั้งรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP อย่างรอบคอบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34802 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'จับกัง 1' เสียใจแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลโดดตึก State Quarantine เสียชีวิต ขณะที่โควิดคร่าชีวิตแรงงานไทยในซาอุฯ เป็นรายที่ 5 แล้ว | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
'จับกัง 1' เสียใจแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลโดดตึก State Quarantine เสียชีวิต ขณะที่โควิดคร่าชีวิตแรงงานไทยในซาอุฯ เป็นรายที่ 5 แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยวัย 39 ปี เสียชีวิต หลังจากเข้าพักเพื่อกักตัวสังเกตอาการ เพื่อเฝ้าระวังโรคโควิด - 19 หลังกลับมาถึงไทยแล้วเข้าพักเพียงวันเดียว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยวัย 39 ปี เสียชีวิต หลังจากเข้าพักเพื่อกักตัวสังเกตอาการ เพื่อเฝ้าระวังโรคโควิด - 19 หลังกลับมาถึงไทยแล้วเข้าพักเพียงวันเดียว สั่งการแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานในสังกัดจังหวัดบุรีรัมย์ติดต่อญาติให้การช่วยเหลือ พร้อมประชุมทางไกลกับอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานฯ กรณีแรงงานไทยในซาอุฯ ติดเชื้อโควิด -19 เสียชีวิตแล้ว 5 ราย ห่วงใยแรงงานไทย สั่งเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวแสดงความเสียใจถึงกรณีที่แรงงานไทยรายหนึ่ง อายุ 39 ปี ที่เดินทางกลับจากอิสราเอล ตัดสินใจกระโดดลงมาจากระเบียงโรงแรมใน State Quarantine เสียชีวิต ระหว่างการเข้าพักเพื่อกักตัวสังเกตอาการ เพื่อเฝ้าระวังโรคโควิด – 19 หลังกลับถึงไทยแล้วเข้าพักเพียงวันเดียว จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ผู้เสียชีวิตรายนี้อายุ 39 เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล กับบริษัทนายจ้างชื่อ SHMVEL GAMMIL. สัญญาจ้าง 5 ปี 3 เดือน เริ่มปฏิบัติงานเดือน ก.ค. 2557 เพิ่งเดินทางกลับจากการประกอบอาชีพที่ประเทศอิสราเอล
นายสุชาติ กล่าวถึง การดำเนินการในเบื้องต้นสำนักงานแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์ได้โทรประสานญาติของผู้เสียชีวิตได้รับทราบข้อมูลในเบื้องต้นแล้วว่า ขณะนี้กำลังเดินทางไปรับศพผู้เสียชีวิตมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ก่อนที่แรงงานไทยรายนี้จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ได้ทำงานที่ประเทศไทยและออกจากงานตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2556 มีเงินชราภาพจำนวน 39,559.29 บาท ในส่วนของการจ่ายสิทธิประโยชน์ จะดำเนินการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบทายาทและผู้มีสิทธิอีกครั้ง เบื้องต้นทราบว่า ญาติจะได้รับค่าทำศพเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท
ขณะที่เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.63) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conferance) ไปยัง นาวาตรีวิทวัส กู้ประเสริฐ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 อย่างต่อเนื่อง และมีความห่วงใยญาติแรงงานที่เสียชีวิตจากพิษโควิด -19 ในประเทศซาอุดีอาระเบียจำนวน 5 ราย ทั้งนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานราชการในพื้นที่ติดต่อประสานญาติรับทราบ และสนับสนุนอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาตามความประสงค์ของญาติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สนร.ริยาด พบว่า จนถึงขณะนี้มีแรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศซาอุดีอาระเบียจากการติดเชื้อไวรัสโควิด -19 จำนวน 5 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นเพศชาย รายแรกอายุ 69 ปี เป็นช่างไฟฟ้า ชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายที่ 2 อายุ 59 ปี เป็นช่างเย็บเสื้อ ชาวจังหวัดราชบุรี รายที่ 3 อายุ 67 ปี เป็นช่างเจาะน้ำบาดาล ชาวจังหวัดนครราชสีมา รายที่ 4 อายุ 70 ปี เป็นช่างไฟฟ้า ชาวจังหวัดอุดรธานี และรายที่ 5 อายุ 67 ปี เป็นคนขับรถบรรทุก ชาวจังหวัดลำปาง
ส่วนการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น สำนักงานแรงงานจังหวัดได้ลงพื้นที่พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดที่ญาติผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ เพื่อให้กำลังใจและได้ประสานแจ้งข้อมูลให้ญาติแรงงานไทยที่เสียชีวิตทราบแล้ว ทั้งนี้จะได้ประสานอำนวยความสะดวกตามความประสงค์ของญาติในการจัดการศพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34627 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมประมงเข้าพบ‘จับกัง 1’หารือแนวทางแก้ปัญหาด้านแรงงานประมงทะเล | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
สมาคมประมงเข้าพบ‘จับกัง 1’หารือแนวทางแก้ปัญหาด้านแรงงานประมงทะเล
ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งฯ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและนำเสนอปัญหาต่างๆ ด้านแรงงานประมงทะเล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายกำจร มงคลตรีลักษณ์ ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งฯ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและนำเสนอปัญหาต่างๆ ด้านแรงงานประมงทะเล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไข โดยมี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับในครั้งนี้ด้วย สำหรับการหารือดังกล่าวเพื่อเป็นการรับฟังสภาพปัญหา ข้อเสนอ แนวคิด ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาแรงงานประมงทะเล ในประเด็นต่างๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคประมงทะเล การขยายระยะเวลาการดำเนินการแรงงานต่างด้าวตาม ม.83 การแก้ไขกฎระเบียบของกระทรวงแรงงาน เช่น ระเบียบการจ่ายค่าจ้างให้แรงงานเนื่องจากไม่มีความเสมอภาคกับอาชีพอื่นๆ แก้ไขกฎหมายให้แรงงานประมงทะเลทุกประเภทสามารถเพิ่มนายจ้างแทนการเปลี่ยนนายจ้างได้ การยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่าให้กับกลุ่มแรงงานที่วีซ่าหมดอายุ 30 กันยายนนี้ ให้หารือกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อในการออกบัตรประชาชนให้กับคนไทยกว่า 4,000 คน ที่ประสงค์จะทำงานบนเรือประมง แต่ไม่สามารถลงเรือไปทำการประมงได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกบัตรหมายเลข 0 เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถทำงานลงเรือประมงได้ และขอให้หน่วยเกี่ยวข้องจัดหางานแรงงานไทยเพื่อทำงานในเรือประมงจำนวน 50,000 คน ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด รวบรวมบุคคลที่ต้องการทำงานบนเรือประมง เพื่อจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานบนเรือประมงในแต่ละประเภทเครื่องมือ
นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากผมให้มาแก้ไขปัญหาแรงงานโดยเฉพาะ การที่ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและสมาชิกมาขอเข้าพบในวันนี้ นอกจากจะมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่ผมเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ยังจะได้ร่วมกันพูดคุยถึงสภาพปัญหา ข้อเสนอ แนวคิด ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาแรงงานประมงทะเล ในประเด็นต่างๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคประมงทะเล ซึ่งในเรื่องนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน โดยขอให้แต่ละส่วนราชการบูรณาการการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะปัญหาแรงงานประมง เพื่อยกระดับไปสู่ Tier 1 เสริมสร้างความมั่นใจให้กับการส่งออกสินค้าไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายลง ตามแนวทาง“รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันวางแผนกำหนดอนาคตประเทศไทยไปด้วยกัน
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
26 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34600 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัด 7 มาตรการ ช่วยลูกค้าที่เดือดร้อนจากพายุโซนร้อนฮีโกส | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
ธอส. จัด 7 มาตรการ ช่วยลูกค้าที่เดือดร้อนจากพายุโซนร้อนฮีโกส
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฮีโกสเช่นเดียวกับพายุซินลากู ด้วย “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ด้วย 7 มาตรการ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฮีโกสเช่นเดียวกับพายุซินลากู ด้วย “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ด้วย 7 มาตรการ นำโดย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชำระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และ 7) พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันภัย จ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน และกรณีกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 เพิ่มความคุ้มครองตามความเสียหายจริงแต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ติดต่อขอใช้มาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่อิทธิพลของพายุโซนร้อนฮีโกส ได้ส่งผลให้หลายจังหวัดของประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก ทำให้ที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย หรือเกิดผลกระทบต่อรายได้หรือการประกอบอาชีพด้วยนั้น นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มอบนโยบายให้ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนผ่าน “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ภายใต้รายละเอียดและกรอบวงเงินรวมเดียวกันกับการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากูในช่วงก่อนหน้านี้จำนวน 100 ล้านบาท โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) ของตนเองหรือ คู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัยสามารถขอลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ เดือนที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี เดือนที่ 17-24 อัตราดอกเบี้ย 4.15% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชำระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี)
มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคาร ที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้น กรณีลูกค้าสวัสดิการคิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี
สำหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการยื่นกู้ตามมาตรการที่ 2 ธนาคารกำหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน และยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ค่าตรวจสอบหลักประกัน ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้
มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้
มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น
มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันภัยอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ 15,000 บาท แต่หากมีภาพถ่ายความเสียหายที่ชัดเจนเกินกว่า 15,000 บาท จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่ายแต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนฮีโกสรวมถึงพายุซินลากูก่อนหน้านี้สามารถติดต่อเข้า“โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” ได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทำการสาขาของ ธอส. ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34565 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เปิดอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 'ขับเคลื่อนนโยบาย ก.แรงงาน สู่เป้าหมายที่วางไว้อย่างยั่งยืน' | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
‘ปลัดแรงงาน’ เปิดอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 'ขับเคลื่อนนโยบาย ก.แรงงาน สู่เป้าหมายที่วางไว้อย่างยั่งยืน'
ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดการอบรมตามโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขับเคลื่อนนโยบาย นำพากระทรวงแรงงานไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างยั่งยืน
วันนี้ (28 ส.ค. 63) เวลา 13.30 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดการอบรมตามโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย นายสุทธิ กล่าวว่า “สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานหลักทางด้านต่างประเทศที่มีความสำคัญต่อกระทรวงแรงงาน ภายใต้บทบาทของนโยบายความร่วมมือและข้อตกลงระหว่างประเทศในด้านแรงงาน การประชุมเจรจาระหว่างประเทศ การติดตามสิทธิประโยชน์ให้ความช่วยเหลือแก่แรงงานที่ไปทำงานในต่างประเทศ รวมถึงการขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ ซึ่งบทบาทเหล่านี้ มีความสำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถธำรงความเป็นรัฐอย่างมีเกียรติ ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ และมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศได้รับการช่วยเหลือ
ทั้งนี้ สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ มีภารกิจหน้าที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่ต้องติดต่อประสานงานและขอความร่วมมือจากกรม และสำนักงานประกันสังคม รวมถึงหน่วยงานภายนอก องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคมต่างๆ ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสดีที่สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศได้จัดอบรมตามโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประจำปี 2563 ขึ้นมา และทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานได้ส่งนักวิเทศสัมพันธ์เข้ามาร่วมอบรมด้วย รวมถึงที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่และจะเดินทางไปประจำการในต่างประเทศ เข้าร่วมการอบรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันภายในหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการจากวิทยากร”
“การอบรมครั้งนี้ ผมเห็นว่ามีหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์แก่บุคลากรหลายหัวข้อ เช่น หัวข้อพี่สอนน้องเพื่อการทำงานเป็นทีมเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ ระเบียบพิธีการทางการทูตในช่วงโควิด-19 ยุทธศาสตร์ชาติ ทฤษฎีการพัฒนาองค์กร รวมถึงการเพิ่มเติมทักษะด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงแรงงานให้มีความรู้ความเข้าใจในการทำงาน โดยคาดว่าการอบรมครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมอบรมทุกคนมีศักยภาพที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อนำพากระทรวงแรงงานไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายสุทธิ กล่าวในท้ายที่สุด
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
28 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34645 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก
รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก
รมว.ทส ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการ จุดกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนโครงการพระราชดำริ จ.นครนายก
วันนี้ (5 ก.ย. 63) เวลา 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (โรงเรียนนายร้อย จปร.) ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นระบบการกระจายน้ำเพื่อสนับสนุนโครงการพระราชดำริสวนผลไม้ภาคใต้ของโรงเรียนนายร้อย จปร. โดยมี พ.อ. ตรีบดินทร์ จิตรีศรีอร่าม ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน โรงเรียนนายร้อย จปร. เป็นผู้บรรยายสรุป
โครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แห่งนี้ มีหอถังน้ำสูง 30 เมตร ใช้ระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่น้อยกว่า 310 วัตต์ จำนวน 32 แผง สามารถสูบน้ำได้กว่า 100 ลูกบาศก์เมตร กระจายน้ำให้พื้นที่ทางการเกษตรได้จำนวนกว่า 30 ไร่ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 6 กรมทรัพยากรน้ำ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ มูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ จัดค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ (Art for All) ครั้งที่ ๒๔ ใช้มิติทางศิลปะและวัฒนธรรมพัฒนาศักยภาพเยาวชน-คนพิการ | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
วธ. ร่วมกับ มูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ จัดค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ (Art for All) ครั้งที่ ๒๔ ใช้มิติทางศิลปะและวัฒนธรรมพัฒนาศักยภาพเยาวชน-คนพิการ
วธ. ร่วมกับ มูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ จัดค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ (Art for All) ครั้งที่ ๒๔ ใช้มิติทางศิลปะและวัฒนธรรมพัฒนาศักยภาพเยาวชน-คนพิการ
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๓ ที่Art for All Villageถนนประชาร่วมใจ ๓๑ เขตคลองสามวา กรุงเทพฯนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ ประจำปี ๒๕๖๓ พร้อมทั้งเยี่ยมชมกิจกรรมโครงการฯ โดยมี ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ประธานมูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ กล่าวรายงาน และมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการมูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ คณะทำงาน จิตอาสา ศิลปิน ครู อาจารย์ เยาวชนผู้พิการและไม่พิการ เข้าร่วมงานกว่า ๓๐๐ คน
นางยุพากล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับมูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ (Art for All) โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน จัดโครงการค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์:รักษ์โลก รักศิลปะระหว่างวันที่ ๔ – ๕ กันยายน ๒๕๖๓ ณArt for All Villageซึ่งการจัดค่ายครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ ๒๔ ซึ่ง วธ.ได้ร่วมดำเนินการจัดโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา ๒๔ ปี
กิจกรรมค่ายศิลปะสำหรับเยาวชนพิการทุกประเภท ตาบอด หูหนวก แขนขาพิการ ปัญญาอ่อน และเยาวชนที่ไม่พิการ ได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการสร้างงานศิลปะจากศิลปินที่มีชื่อเสียงและผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมกันภายในค่ายศิลปะโดยจัดแบ่งเป็นฐานกิจกรรมที่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือกล่อมเกลาจิตใจและพัฒนาศักยภาพ โดยเยาวชนหมุนเวียนเข้าฐานกิจกรรมสลับสับเปลี่ยนกันไป ด้วยพลังการขับเคลื่อนของอาสาสมัครที่มีจิตอาสา โดยกิจกรรมประกอบด้วยฐานกิจกรรมทางศิลปะ ๙ ฐานกิจกรรมภายใต้หัวข้อ ต้นไม้และดอกไม้โดยศิลปินจิตอาสาที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายองค์กรสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันร่วมกิจกรรม อาทิฐานเพ้นท์ด้วยเสน่ห์สีน้ำ สอนโดยอาจารย์สมวงศ์ ทัพพรัตน์ศิลปินผู้สร้างสรรค์รูปลักษณ์ในธรรมชาติ ผ่านมิติบรรยากาศของสีจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากรฐานวาดเส้นสอนเทคนิคการวาดเส้น โดยอาจารย์ศักดา เอียว หรือที่รู้จักกันดีในนาม"เซีย ไทยรัฐ”การ์ตูนนิสต์ชื่อดังของไทยฐานภาพพิมพ์สอนโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรชัย เอกพลากรและนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฐานดนตรีเถิดชื่นใจสอนโดยรองศาสตราจารย์โกวิทย์ ขันธศิริและคณะฐานอังกะลุงอินโดนีเซียสอนโดยดร. ประภัสสร ว่องรัตนพิทักษ์หรือที่รู้จักกันดีในนาม อ.กุ้ง ดนตรีบำบัดฐานเรียนรู้โลกมืดผ่านการทำชิ้นงานศิลปะประดิษฐ์ ที่ผู้เรียนจะได้สัมผัสกับสถานการณ์เป็นผู้บกพร่องทางสายตา ปิดตาทำงานพับดอกไม้ สอนโดยอาจารย์เรณู เดือนดาวอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯฐานสื่อผสมสอนโดย ศิลปินดารา ดร.บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี คุณน้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ๒๕๕๙ และ มาร์ค-ภัทริส ณ นคร พิธีกรรายการโทรทัศน์ช่อง ๓ฐานอาศรมศิลป์เป็นการสร้างสรรค์ผลงานของเยาวชนศิษย์เก่าค่ายศิลปะArt for Allที่ได้รับการพัฒนาทักษะด้านศิลปะ และเสริมสร้างสมาธิ จนปัจจุบันสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานศิลปะได้ ทั้งนี้ตลอดทั้งงานจะขับกล่อมด้วยมนต์เสียงเพลงจากศิลปินแผ่นเสียงทองคำ วงจันทร์ ไพโรจน์และ ดร.ดาวใจ ไพจิตร สุจริตกุลนักร้องเพลงลูกกรุงที่มีชื่อเสียง
"การจัดกิจกรรมค่ายฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาส/ผู้พิการ ใช้มิติด้านศิลปะและวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการทางศิลปะ อีกทั้งเป็นการพัฒนาศักยภาพคนพิการ อันเป็นกิจกรรมที่สร้างคุณค่าทางจิตใจและสังคมอีกด้วย” รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34913 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เน็คซ์ทูบี จำกัด จัดโครงการ "วิถีไทยในยุคดิจิทัล” การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิทัล | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เน็คซ์ทูบี จำกัด จัดโครงการ "วิถีไทยในยุคดิจิทัล” การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิทัล
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เน็คซ์ทูบี จำกัด จัดโครงการ "วิถีไทยในยุคดิจิทัล” การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิทัล และร่วมเปิดตัว แอปพลิเคชั่น TreasureTrip บนระบบปฏิบัติการ ios และ android
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. ณ บริเวณโถงภายในสถานีรถไฟฟ้าMRTสนามไชย กรุงเทพมหานครนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเปิดเผยว่า การจัดโครงการ "วิถีไทยในยุคดิจิทัล”การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมภาคประชาชนให้เป็นกลไกลในการขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรมตลอดจนส่งเสริมค่านิยม ๑๒ ประการ ในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีไทย อันงดงาม และประชาชนได้ใช้ประโยชน์ โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นTreasure Tripในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิทัลตามแนวรถไฟฟ้า (MRT) และBTSในสถานที่ต่างๆ เช่น ด้านประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัด ร้านอาหาร และสถานที่อื่น ๆ ที่มีทั้งของน่ากิน น่าชม และน่าเที่ยว เป็นต้น ที่จะยกระดับทุนทางวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรมดิจิตอลให้เป็นฐานข้อมูลออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบนระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ (ios / android /website)และเพื่อให้เกิดการยกระดับ พัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมไทยและผู้ประกอบการไทยไปสู่สังคมดิจิทัล เพื่อให้สามารถเผยแพร่วัฒนธรรมไปสู่สากลได้อย่างยั่งยืน ต่อไป
ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมด้วยนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรมนายชาย นครชัยอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมนายถนอม รัตนเศรษฐผู้ช่วยผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยผู้แทนบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจํากัด (มหาชน) และนายราเมศ พรหมเย็นผู้อํานวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)BEMและคณะผู้บริหาร ได้ร่วมกิจกรรมเยี่ยมชมสถานที่ ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าสนามไชย โดยใช้แอปพลิเคชั่นTreasure Tripจำนวน ๗ สถานที่ ดังนี้ ๑. สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ๒.ท่าเรือริว่า อรุณ และโรงแรมริว่า อรุณ ๓. โรงเรียนแพทยแผนโบราณวัดพระเชตุพนวิมลมังคาราม (วัดโพธิ์) ๔.A PINK RABBIT+Bob๕.Siam Exotique๖.HORSELEGMARKING๗. วัดพระเชตุพนวิมลมังคาราม ราชวรมหาวิหาร
โอกาสนี้สวธ.ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปพร้อมกันด้วยแอปพลิเคชั่น "TreasureTrip”ด้วยการดาวน์โหลด แอปพลิเคชั่นTreasure Tripได้ฟรีทั้งในระบบ ปฏิบัติการiosและระบบปฏิบัติการAndroidและร่วมกิจกรรม"Treasure Hunter Season1”เพื่อลุ้นรับรางวัลแพคเกจที่พักโรงแรม ๕ ดาวสุดหรูใจกลางเมือง รวมมูลค่ากว่า ๑๐,๐๐๐ บาทผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่facebook.com/thaitreasuretrip,อินสตราแกรมtreasuretrip,ทวิตเตอร์@treasure_tripและไลน์@treasuretripหรือติดตามข่าวสารได้ทางเว็บไซต์www.culture.go.th,เฟซบุ๊กกรมส่งเสริมวัฒนธรรมLine @วัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34908 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายผู้ประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอม | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
ดีอีเอส จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายผู้ประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอม
ดีอีเอส จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายผู้ประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอม
ดีอีเอส จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับเครือข่ายผู้ประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอมทุกภาคส่วน เผยสาเหตุหลัก 2 ข้อของการแพร่กระจายข่าวปลอม คือ 1.เจตนาสร้างความแตกแยกในสังคม/เพื่อผลประโยชน์ และ 2.รู้เท่าไม่ถึงการณ์
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ "การใช้งานระบบสำหรับผู้ประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอม เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงาน และวิธีการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม" ภายใต้โครงการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center: AFNC) ซึ่งกระทรวงฯ จัดขึ้นวันนี้ (17 ก.ย.) เพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประสานงานเครือข่าย กลุ่มนิติกร สื่อมวลชน ตลอดจนเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าใจในกระบวนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม บทบาท ขั้นตอนของผู้ประสานศูนย์ฯ ให้สามารถตรวจสอบและการแจ้งกลับมาผ่านศูนย์ฯ ตลอดจนการเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องตรวจสอบแล้วได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันการพิจารณาคะแนนผลการประเมินการตรวจข่าวปลอม (Anti Fake News) สำหรับผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการทั้ง 151 ส่วนราชการ ยังเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยคะแนนประเมินจะพิจารณาจากการให้ความร่วมมือกับศูนย์ฯ เพื่อให้ขั้นตอนตรวจสอบความถูกต้องและจัดการแก้ไขข่าวปลอมเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด โดยมีการรายงานกลับไปยังศูนย์ฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนด (2 ชั่วโมง) หลังจากที่ได้รับแจ้งผ่านทางอีเมล์
“ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 63 พิจารณาเห็นว่าปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอมและการบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน รวมทั้งในบางกรณีกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติด้วย ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นของศูนย์ฯ บรรลุผลและสามารถดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดได้ ครม. จึงมีมติกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือแก่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” นายพุทธิพงษ์กล่าว
โดยให้ทุกส่วนราขการ/หน่วยงานของรัฐ แต่งตั้งผู้แทนเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้เสียหายหรือเป็นเจ้าของข้อมูลที่มีการนำไปบิดเบือนเป็นข่าวปลอม และเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตดังกล่าวข้างต้น
ด้านภาพรวมการประเมินการตรวจสอบข่าวปลอม จากผลการปฏิบัติงานของ 151 ส่วนราชการ (1 เม.ย – 15 ส.ค. 63) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเพื่อทำความเข้าใจและเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความมั่นคงและความไว้วางใจ ต่อการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้ง เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการตรวจสอบข่าวปลอม ที่ได้รับการ/พิสูจน์ยืนยันโดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีประเด็นข่าวที่ต้องได้รับการตรวจสอบทั้งสิ้น 773 ประเด็น โดยมีหน่วยงานที่มีการชี้ให้ตรวจสอบ มีทั้งหมด 74 หน่วยงาน ส่วนอีก 77 หน่วยงาน ยังไม่มีประเด็นชี้ให้ตรวจสอบ
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าการรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในหลายกรณี โดยมี 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1.ผู้ส่งข่าวสาร “มีเจตนา” หวังผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมหรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน 2.ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดวิจารณญาณ ในการตรวจสอบกลั่นกรองก่อนส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้ผู้อื่น
ทั้งนี้ ปัจจุบันการกระทำผิดในการใช้สื่อสังคมออนไลน์/อินเทอร์เน็ต เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมซึ่งแนวโน้มการเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมาย มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวสาร ข้อมูลอันเป็นเท็จ การตัดต่อข้อมูล เนื้อหา การนำเสนอข้อมูลข่าวสารโดยปราศจากข้อเท็จจริง เพื่อสร้างผลกระทบในทางลบต่อสังคมและประชาชนโดยรวม ศูนย์ฯ เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และได้เน้นย้ำถึงกระบวนการทำงานที่กระชับรวดเร็ว
“ขั้นตอนตรวจสอบความถูกต้องและจัดการแก้ไขข่าวปลอมจะต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด โดยจะมีทีมงานในฝ่ายต่างๆ ประกอบด้วย ฝ่ายติดตาม และคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ ฝ่ายตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่มีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม ฝ่ายดำเนินขั้นตอนการตอบโต้ข่าวสารปลอม และเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง ตลอดจนฝ่ายประสานงานตรวจสอบข้อมูลและจัดทำข้อมูลที่ถูกต้อง” นายภุชพงค์กล่าว
โดยการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ในวันนี้ (17 ก.ย. 63) เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกัน และบทบาทของผู้ประสานงานศูนย์ฯ ตลอดจนการเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้อง และมีการฝึกปฏิบัติในการจัดการข่าวปลอม พร้อมทั้งวิธีการประสาน ตรวจสอบ และการแจ้งผ่านเครื่องมือของศูนย์ฯ บูรณาการการทำงานร่วมกันให้ได้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก | วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563
รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก
รมช.มนัญญา รับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกรป่าคลอก พร้อมมอบทุนสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มถุงมือยาง และกลุ่มแม่บ้านสมุนไพร สนับสนุนการทำเกษตรปลอดภัยสู่การเป็นครัวโลกระดับสากล
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบปะกลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต รับฟังปัญหาและความต้องการของเกษตรกร พร้อมมอบทุนสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรจำนวน 2 กลุ่ม แก่กลุ่มถุงมือยางพารา และกลุ่มแม่บ้านสมุนไพร จากนั้นได้รับชมการสาธิตทำยาหม่องสมุนไพร การผลิตถุงมือยาง ชมผักปลอดสารพิษของกลุ่มสมาชิก ผลิตภัณฑ์จากศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มเพ้นท์ผ้าถุงลูกปัด และร่วมประกอบอาหารกับกลุ่มแม่บ้าน 2 เมนู คือ น้ำพริกปลาฉิ้งฉ้าง และผักเหมียงผัดไข่
นายวันทา ภุมรารสสุคนธ์ ประธานกลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก ได้รายงานปัญหาและความต้องการของเกษตรกรว่า จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ลูกหลานของสมาชิกหลายรายตกงาน ขาดรายได้และต้องกลับภูมิลำเนา ทำให้รายได้ในครอบครัวลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ในส่วนของกลุ่มเกษตรกรได้ช่วยเหลือสมาชิกในการจัดหาเมล็ดพันธุ์ผัก พันธุ์กล้าผลไม้ต่างๆ เพื่อให้สมาชิกสามารถสร้างรายได้ พึ่งพาตนเอง อีกทั้งยังพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสมาชิก
สำหรับแผนพัฒนากลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอกในอนาคต มีแผนจะปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อเป็นศูนย์รวมผลิตผลด้านการเกษตรจากสมาชิก และศูนย์รวมสินค้าแปรรูปจากยางพาราเพื่อจำหน่าย เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับสมาชิกและสถาบันกลุ่มเกษตรกรต่อไป
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกร อาทิ กระทรวงคมนาคม ที่รับซื้อยางพาราจากสหกรณ์และเกษตรกรชาวสวนยางในการนำไปผลิตแบริเออร์ ทำให้ราคายางพาราเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องการผลักดันสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า เพื่อรองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องเกษตรกร และจะนำเสนอให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรทำสวนป่าคลอก ก่อตั้งมากว่า 60 ปี มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้แก่สมาชิก ดำเนินธุรกิจจำนวน 5 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย โดยจัดตั้งตลาดพอเพียง เพื่อให้สมาชิกได้นำผลผลิตทางการเกษตรมาจำหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลิตผล ธุรกิจแปรรูปน้ำยางสด รวบรวมน้ำยางดิบจากสมาชิกทุกวันพุธและวันพฤหัสบดี แล้วนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบชั้นดี และธุรกิจรับฝากเงิน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกได้รวมตัวกันดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมถึงส่งเสริมความรู้และเผยแพร่วิชาการเกษตรแก่กลุ่มเกษตรกรด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34840 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นรม. ย้ำความจำเป็นในการจัดทำแผนงานและกระบวนการการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของภาครัฐเพื่อให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
นรม. ย้ำความจำเป็นในการจัดทำแผนงานและกระบวนการการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของภาครัฐเพื่อให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด
นรม. ย้ำความจำเป็นในการจัดทำแผนงานและกระบวนการการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของภาครัฐเพื่อให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด หวังสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและความเป็นธรรมทางกฎหมาย
วันนี้ (14 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อมอบรางวัลแก่ 20 หน่วยงาน ที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ยกย่องและเชิดชูเกียรติเพื่อเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นต่อไป โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง คณะผู้บริหารหน่วยงานที่ได้รับรางวัลเข้าร่วม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัลความตอนหนึ่งว่า รางวัลการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ถือเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน และสะท้อนถึงความมีประสิทธิภาพของหน่วยงาน ด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการบริหารจัดการการเงินการคลัง ตั้งแต่การจัดทำแผนงานและกระบวนการการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของภาครัฐที่มีความจำเป็นเพื่อให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุด ด้วยความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และถูกต้องตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า การเบิกจ่ายเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นกรมบัญชีกลางมีหน้าที่ในการทำงานคู่ขนาน แผนงบประมาณค่าใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 63 -64 ก็มีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้มีการจ่ายเงินเร็วขึ้น อาทิ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติแล้ว ก็ต้องหามาตรการที่เหมาะสมและทำงานคู่ขนานไปกับหน่วยจ่ายงบประมาณ แต่ต้องถูกกฎหมายทั้งหมด เพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับประชาชน
เนื่องจากปัจจุบันมีการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย แอพพลิเคชันต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ Big Data เป็นฐานข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลมีมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ทั้งการพัฒนาระบบการจ่ายเงินตรงให้กับประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ ประเทศไทยจะก้าวหน้าอย่างมั่นคงด้วยความร่วมมือ ความเข็มแข็งของทุกคนในการบูรณาการความคิด การบริหารจัดการที่ดีในทุก ๆ ด้าน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบนโยบายดูแลเรื่องของเศรษฐกิจในภาพรวม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยคำกล่าวของนายกรัฐมนตีภายในงานว่า ประเทศจะเดินหน้าด้วยความเชื่อใจไว้ใจซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งหมายรวมถึงความเท่าเทียมทางโอกาสและความเป็นธรรมทางกฎหมาย ด้วย
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35079 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง ตรวจดูแก้มลิงทุ่งหิน พร้อมสั่งเร่งลงเครื่องจักรขุดลอกคูคลองสุนัขหอน | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง ตรวจดูแก้มลิงทุ่งหิน พร้อมสั่งเร่งลงเครื่องจักรขุดลอกคูคลองสุนัขหอน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่โครงการขุดลอกแก้มลิงทุ่งหิน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 5 ธันวาคม 2560 ณ อ.อัมพวา จ.สมุครสงค
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่โครงการขุดลอกแก้มลิงทุ่งหิน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 5 ธันวาคม 2560 ณ อ.อัมพวา จ.สมุครสงคราม ว่า โครงการขุดลอกแก้มลิงทุ่งหิน มีเนื้อที่ 2,623 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา พื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นพื้นที่กว้างขวาง จังหวัดจึงได้พิจารณาน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ในการจัดหาทรัพยากรน้ำและบรรเทาอุทกภัยในเรื่องของแก้มดิน เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาน้ำหลากในช่วงฤดูฝน อีกทั้งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภคภายในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง อีกทั้งยังสามารถส่งเสริมในเรื่องของการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในจังหวัด
ต่อมาได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์น้ำ และพร้อม kick off ขุดลอกคลองสุนัขหอน ณ วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ว่า จากภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีนโยบาย เร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างรอบคอบ โดยขุดลอกคูคลองและสระน้ำ การกำจัดวัชพืชและโคลนตมในคลองส่งน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน คลองสุนัขหอนนั้นตื้นเขิน มีตะกอนดินตกจมปริมาณมาก เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากและการคมนาคมสัญจรทางน้ำ ทางกระทรวงเกษตรฯได้เร่งเข้ามาดูแล แก้ไขปัญหา เร่งนำเครื่องจักรกลลงขุดลอกคูคลอง ขุดตั้งแต่ต้นคลอง เป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกร ประชาชนในจังหวัด และจังหวัดใกล้เคียง ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ในเรื่องของแหล่งน้ำที่สะอาด การสัญจรที่สะดวกสบาย มีน้ำใช้ในการอุปโภค - บริโภค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ จัดมหกรรมสินค้า Fresh From Farm จ.อุบลราชธานี | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
ก.เกษตรฯ จัดมหกรรมสินค้า Fresh From Farm จ.อุบลราชธานี
ก.เกษตรฯ จัดมหกรรมสินค้า Fresh From Farm สหกรณ์คัดสรร ผลิตภัณฑ์คุณภาพ
ยกขบวนสินค้าดีมีคุณภาพจากสหกรณ์ทั่วประเทศจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า Fresh From Farm “สหกรณ์คัดสรร ผลิตภัณฑ์คุณภาพ” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) ปี 2563 พร้อมด้วย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ ณ บริเวณลานกิจกรรมถนนคนเดินไนท์มาร์เก็ต อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ว่าการจัดงานแสดงสินค้าสหกรณ์ Fresh From Farm ครั้งนี้ มุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพ สด ใหม่และปลอดภัย ที่มาจากเกษตรกรตัวจริง และได้ร่วมจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ จากนั้นเดินเยี่ยมชมและอุดหนุนสินค้าภายในงาน ซึ่งงานแสดงสินค้าสหกรณ์ จ.อุบลราชธานี จัดระหว่างวันที่ 16 – 20 กันยายน นี้
รมช.มนัญญา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า-2019 ทำให้ประชาชนรวมถึงพี่น้องเกษตรกรได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก มีเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรหลายแห่งที่เป็นผู้ผลิตสินค้าคุณภาพทั้งบริโภคและอุปโภคมากมายได้รับผลกระทบ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าต่างๆ นำผลิตภัณฑ์และผลผลิตของสมาชิกมาจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ทำให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์มีช่องทางในการจำหน่าย เป็นที่รู้จักของผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มขึ้น เกษตรกรสามารถจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งกับผู้บริโภคที่ได้เลือกซื้อสินค้าดีมีคุณภาพในราคาย่อมเยาจากสหกรณ์โดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นอกจากจะเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าและผลผลิตของสหกรณ์ที่มีคุณภาพให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของประชาชนมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสหกรณ์ได้อีกทางหนึ่งด้วย
งานแสดงและจำหน่ายสินค้า Fresh From Farm “สหกรณ์คัดสรร ผลิตภัณฑ์คุณภาพ” มีสินค้าหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อ เป็นผลิตภัณฑ์และสินค้าของสหกรณ์ กลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน จากจังหวัดต่าง ๆ จำนวน 50 บูธ มีทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ ผักสด ผลไม้ อาทิ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลำไย ส้มโอ ชมพู่ มะพร้าวน้ำหอม สินค้าเกษตรแปรรูป ทั้งปลาสลิดแดดเดียว กุ้ง เนื้อโคขุน นมพร้อมดื่ม ไอศกรีม ผลิตภัณฑ์จากผ้าฝ้าย ผ้าไหม หมอนยางพาราและสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย คัดสรรมารวมกันไว้ที่งานนี้ จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสามารถมาอุดหนุนสินค้าสหกรณ์คุณภาพ ได้ถึงวันที่ 20 กันยายน 2563 ณ ลานกิจกรรมถนนคนเดินไนท์มาร์เก็ต
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมสินค้านาทีทอง นำผลิตภัณฑ์และสินค้าของสหกรณ์มาจำหน่ายแบบลดราคา เพื่อส่งเสริมการบริโภคให้กับประชาชนภายในงาน และยังมีกิจกรรมการเจรจาธุรกิจ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ หรือประชาชนที่ต้องการติดต่อเจรจาธุรกิจสามารถร่วมกิจกรรมตลอดการจัดงานนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จะมีการจัดงานแสดงสินค้าสหกรณ์ครั้งต่อไปที่จังหวัดอุทัยธานี ณ บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 18 กันยายน นี้ จึงขอเชิญชวนทุกท่านไปร่วมอุดหนุนผลผลิตและสินค้าคุณภาพดีจากขบวนการสหกรณ์ได้ที่งานมหกรรมสินค้าสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19 | วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563
สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19
คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
กำจัดขยะอย่างถูกวิธี มีการทิ้งขยะแยกประเภท เพื่อขยะเหล่านั้นจะนำไปกำจัดหรือจัดการรีไซเคิลได้อย่างถูกวิธี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ภาคเหนือ ที่นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย | วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ภาคเหนือ ที่นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ภาคเหนือ ที่นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย บริเวณ ชั้น 1 อาคารสโมสรกระทรวงอุตสาหกรรม (อาคารนารายณ์)
วันนี้ (26 สิงหาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs จากคณะกรรมการส่งเสริมการดำเนินงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 6 ภาคเหนือนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด-19" ในระหว่างวันที่ 17-28 สิงหาคม 2563 โดยมีสินค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย เครื่องเงิน แคปหมูไร้มัน น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกุ้งเสียบ ชาอู่หลง ชากุหลาบ ฯลฯ บริเวณ ชั้น 1 อาคารสโมสรกระทรวงอุตสาหกรรม (อาคารนารายณ์)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34578 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมสตาร์ทเปิดรับสมัครเกษตรโครงการ “1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” รอบ 2 | วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563
กระทรวงเกษตรฯเตรียมสตาร์ทเปิดรับสมัครเกษตรโครงการ“1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่”รอบ2
กระทรวงเกษตรฯเตรียมสตาร์ทเปิดรับสมัครเกษตรโครงการ“1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่”รอบ2พร้อมกันทั่วประเทศ14 – 22ก.ย. 63นี้คณะกรรมการเห็นชอบปลดล็อคคุณสมบัติเกษตรกรเพื่อความยืดหยุ่น
นายอนันต์สุวรรณรัตน์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ตั้งแต่วันที่27สิงหาคม– 9กันยายน2563ผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่http://ntag.moac.go.thและยื่นใบสมัครที่เกษตรตำบลหรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการพัฒนาพื้นที่จุดเรียนรู้ในรูปแบบหลักเกษตรทฤษฎีใหม่1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่รวมทั้งฟื้นฟูภาคการเกษตรภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019โดยมุ่งเน้นเกษตรกรที่มีความตั้งใจเอาใจใส่อย่างจริงจังต่อยอดเพิ่มรายได้กำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด96,216รายแบ่งเป็นเป้าหมายเกษตรกร64,144รายเป้าหมายการจ้างงานเกษตรกร32,072รายครอบคลุมพื้นที่4,009ตำบล75จังหวัดนั้น
สำหรับผลการรับสมัครเกษตรกรและจ้างแรงงานระดับตำบลข้อมูลณวันที่10ก.ย. 63มีจำนวนผู้สมัครทั้งหมด48,699รายแบ่งเป็นเกษตรกร23,239รายและการจ้างงาน25,460รายโดยได้รับการสะท้อนปัญหาจากระดับพื้นที่ว่าคุณสมบัติเกษตรกรในบางประเด็นทำให้เกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการไม่ได้
ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับขึ้นกับพี่น้องเกษตรกรและยังคงหลักการการดำเนินงานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ขยายเวลารับสมัครรอบที่2ในช่วงวันที่14 – 22กันยายน2563ตลอดจนปรับแก้คุณสมบัติเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นใน3เรื่องที่สำคัญคือ1.จากเดิม“ต้องมีอายุระหว่าง18 - 60ปี”เป็น“มีอายุตั้งแต่18ปีขึ้นไปและมีสัญชาติไทยกรณีอายุเกิน60ปีขอให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะทำงานระดับอำเภอโดยคำนึงถึงศักยภาพของเกษตรกรในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่และประโยชน์ของโครงการโดยเฉพาะการรวมกลุ่มเกษตรกร” 2.จากเดิม“ผู้สมัครต้องมีที่พักอาศัยในพื้นที่ที่ใช้สมัครเข้าร่วมโครงการ”เป็น“ผู้สมัครต้องมีที่พักอาศัยหรือเป็นที่พักที่สามารถเข้ามาพักอาศัยเพื่อทำกิจกรรมทางการเกษตรในพื้นที่ที่ใช้สมัครเข้าร่วมโครงการหรือมีการสร้างที่พักภายหลังประกาศรายชื่อเข้าร่วมโครงการภายใน30วัน”และ3.ปรับแก้คุณสมบัติจากเดิม“เจ้าของเอกสารสิทธิต้องยินยอมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อดำเนินโครงการฯเป็นเวลาไม่น้อยกว่า7ปี”เป็น“เจ้าของเอกสารสิทธิ์ต้องยินยอมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อเป็นจุดเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่เป็นเวลาไม่น้อยกว่า7ปี”
ทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่รอบที่2สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นใบสมัครด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่http://ntag.moac.go.thหรือยื่นใบสมัครกับเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลหรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอตั้งแต่วันที่14 – 22กันยายน2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามแนวโน้มสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ปี 2563/64 | วันพุธที่ 16 กันยายน 2563
ติดตามแนวโน้มสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ปี 2563/64
รมว.เฉลิมชัย ติดตามแนวโน้มสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ปี 2563/64 มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ พร้อมยืนยันไม่ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างแน่นอน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามแนวโน้มสถานการณ์น้ำและแถลงข่าวการบริหารจัดการน้ำ ปี 2563/64 ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน ถนนสามเสน ว่า จากรายงานผลการดำเนินงานของทุกภาคส่วนกล่าว ทำให้ทราบว่าจะมีปริมาณน้ำต้นทุนน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ได้สั่งการให้บริหารตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยจะต้องคำนึงถึงการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก และในส่วนของภาคการเกษตร ที่สามารถทำการเกษตรได้ จะให้ดำเนินการ แต่ในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาเรื่องน้ำ จะให้กรมส่งเสริมการเกษตรเข้าไปช่วยดูแล ให้คำแนะในการปลูกพืชใช้น้ำน้อย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจากการคาดการว่าจะที่ปริมาณน้ำน้อย ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีน้ำใช้ เพราะจากการคำนวนจากพื้นที่เก็บกักน้ำและเทียบสถิติในปีที่ผ่านมา รวมถึงการบริหารจัดการ จึงยืนยันได้ว่าน้ำเพื่ออุปโภคไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน ส่วนน้ำในภาคการเกษตรจะดูตามความเหมาะสมต่อไป
สำหรับพายุโนอึลที่จะเข้าในประเทศไทยจะสามารถเพิ่มน้ำต้นทุนได้ โดยเฉพาะภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน โดยจะต้องมีการเฝ้าระวังทุกพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าพายุที่จะเข้านี้ได้ประโยชน์ต่อเนื่อง โดยจะทำให้มีน้ำกักเก็บ รวมถึงได้ส่งเสริมทั้งภาคเกษตรและการท่องเที่ยวอีกด้วย
ด้านนายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่า ในช่วงวันที่ 18 - 19 กันยายน 2563 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชั่น และจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวตังเกี๋ยและชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลให้บริเวณประเทศไทยตอนบน มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก จึงได้สั่งการให้โครงการชลประทานทุกแห่ง เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อพื้นที่ทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน พร้อมปฏิบัติตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำหลาก ด้วยการกำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย กำหนดคนผู้รับผิดชอบในพื้นที่ต่างๆ วิเคราะห์ ติดตาม สถานการณ์น้ำ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที กำหนดเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ รถขุด รถแทรกเตอร์ เครื่องสูบน้ำ พร้อมใช้งานเข้าประจำจุดเสี่ยงทั่วประเทศ รวมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ให้คอยติดตาม ตรวจสอบสภาพความปลอดภัยเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ประตูระบายน้ำ อาคารชลประทาน ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ตลอดจนกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ควบคู่ไปกับการเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด โดยไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯ
สำหรับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำยังคงมีปริมาณจำกัด ปัจจุบัน (16 ก.ย.63) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และกลางทั่วประเทศ มีปริมาณรวมกันประมาณ 36,764 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 48 ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 12,946 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 10,152 ล้าน ลบ.ม หรือร้อยละ 41 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 3,456 ล้าน ลบ.ม. ด้านผลการจัดสรรน้ำฤดูฝนทั้งประเทศ ปัจจุบัน (16 ก.ย. 63) มีการใช้น้ำไปแล้ว 10,363 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 87 ของแผนฯ เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการใช้น้ำไปแล้ว 3,339 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 103 ของแผนฯ ภาพรวมสถานการณ์น้ำทั้งประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ได้มีการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเติมน้ำต้นทุนในเขื่อนกักเก็บน้ำและป้องกันและแก้ไขภัยแล้ง โดยได้มีการปรับแผนร่วมกับกรมชลประทานทุกเดือน ปัจจุบันมีหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 12 หน่วย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ มีผลปฏิบัติการฝนหลวง ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ - 14 กันยายน 2563 มีวันขึ้นปฏิบัติการรวม 208 วัน มีวันฝนตกจากการปฏิบัติการ รวม 206 วัน คิดเป็นร้อยละ 99.04 จังหวัดที่มีรายงานฝนตก รวม 67 จังหวัด ทำให้มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง 196.88 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มน้ำรับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวม 214 แห่ง (เขื่อนขนาดใหญ่ 34 แห่ง ขนาดกลาง 180 แห่ง) สามารถเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวม 2,570.884 ล้าน ลบ.ม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. ชงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอยได้รับประโยชน์ เพิ่มสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เร่งจ้างงานกว่า 260,000 อัตรา | วันพุธที่ 2 กันยายน 2563
ศบศ. ชงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอยได้รับประโยชน์ เพิ่มสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เร่งจ้างงานกว่า 260,000 อัตรา
ศบศ. ชงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอยได้รับประโยชน์ เพิ่มสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เร่งจ้างงานกว่า 260,000 อัตรา
วันนี้ (2 ก.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร นายดนุชา พิชญนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงผลหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 2/2563 โดยที่ประชุมเห็นชอบการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มเติมภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1. การเพิ่มสิทธิให้ผู้ลงทะเบียนจำนวน 3 สิทธิ ได้แก่ เพิ่มส่วนลดค่าที่พักร้อยละ 40 จำนวน 10 คืนต่อคน เพิ่มคูปองอาหารต่อการท่องเที่ยว สูงสุดมูลค่า 900 บาทต่อวัน และให้เงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินจำนวน 2,000 บาทต่อที่นั่ง พร้อมทั้งเห็นชอบในหลักการเสนอให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถลาพักผ่อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเมื่อลงทะเบียนและใช้สิทธิในแพ็คเกจเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในวันธรรมดา รวมทั้งดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ อาทิ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน โดยกระทรวงแรงงาน เพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) รวมจำนวน 260,000 อัตรา และเห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย โดยกระทรวงการคลัง เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมการบริโภคและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป ผู้ประกอบการกลุ่มหาบเร่ แผงลอย ประมาณ 80,000 ร้านค้า ผ่านกลไกการดำเนินงานผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาล
รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเผยว่า แม้เดือนสิงหาคม 2563 มีสัญญาณของการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและเดบิตภายในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมทั้ง โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง ของธนาคารแห่งประเทศ ที่ออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายรายให้ได้รับการบรรเทาภาระหนี้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ ศบศ. เร่งหามาตรการเศรษฐกิจโดยมุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้า แม่ค้าหาบเร่ แผงลอย เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับเศรษฐกิจฐานราก เกิดกระจายรายได้ให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
แหล่งสะสมเชื้อโรคที่มักถูกมองข้าม
คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
เครื่องวัดอุณหภูมิ
เจ้าหน้าที่ที่วัดอุณหภูมิใช้มือจับเครื่องทุกวัน วันละหลายชั่วโมง หากมีเจ้าหน้ที่หลายคน ควรทำความสะอาดเครื่องด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำสบู่เช็ดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งก่อนนำมาใช้ใหม่ทุกครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34934 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึก กระทรวงการคลัง ดันแรงงานคุณภาพ สู่ผู้ประกอบการ | วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ก.แรงงาน ผนึก กระทรวงการคลัง ดันแรงงานคุณภาพ สู่ผู้ประกอบการ
รมช.แรงงาน ร่วมเป็นเกียรติพิธี MOU “บสย. SMEs ต้องชนะ” โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. Soft Loan พลัส ลั่น! พร้อมเดินหน้าพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานสู่การเป็นผู้ประกอบการ
วันที่ 15 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “บสย. SMEs ต้องชนะ” โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. Soft Loan พลัส ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กับ สถาบันการเงิน โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง และนายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมเป็นพยานในพิธีฯ ณ ห้องวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้หารือกับ บสย. และจะมีการลงนามความร่วมมือขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยที่ผ่านมา กพร.ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ ด้วยการเพิ่มทักษะฝีมือให้มีความรู้และทักษะฝีมือ ให้สามารถนำไปประกอบอาชีพ นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบอาชีพอิสระและกลุ่ม SMEs บสย.จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมและได้รับวุฒิบัตรจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามที่บสย.ได้จัดทำโครงการไว้ อีกทั้ง กพร.มีหน่วยงานกระจายอยู่ในภูมิภาคทั้ง 77 จังหวัด สามารถให้การช่วยเหลือได้ตั้งแต่กลุ่มรากหญ้า ปัญหาส่วนใหญ่เมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้ว ขาดเงินทุนเพื่อประกอบกิจการ ซึ่งบสย.จะเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ และกระทรวงการคลังจะทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงแรงงานที่ผ่านการพัฒนาทักษะฝีมือดังกล่าว ให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนมากยิ่งขึ้นด้วย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงาน ซึ่งเป็นเรื่องต้องรีบดำเนินการแก้ไขท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อที่ บสย. ทำหน้าที่ค้ำประกันให้กับ SMEs เป็นกลไกที่สามารถขยายผลการให้สินเชื่อได้มากกว่างบประมาณที่รัฐใช้ไปหลายเท่า ซึ่งนอกจากจะมีโครงการ Soft Loan พลัสแล้ว ยังมีโครงการค้ำประกันที่สำคัญ ได้แก่ บสย.ไทยชนะ ที่ถือว่าเป็นมาตรการสำคัญที่ บสย. ดำเนินการค้ำประกันด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มความช่วยเหลือไปครอบคลุมฐานผู้ประกอบการต่างๆ สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากการช่วยเหลือให้ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนแล้ว ยังได้จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินกับ SMEs ซึ่งเป็นการให้ความรู้ ช่วยแก้ไขปัญหาทางการเงินโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทำให้ SMEs ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ คนตกงาน ได้มีโอกาสรับการค้ำประกันและได้รับสินเชื่อในที่สุด
---------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35113 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ เปิดศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง พร้อมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ภาคตะวันออก | วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563
วราวุธ เปิดศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง พร้อมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ภาคตะวันออก
วราวุธ เปิดศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง พร้อมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ภาคตะวันออก
วราวุธ เปิดศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง พร้อมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ภาคตะวันออก
วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปเปิดศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ชมนิทรรศการและอุปกรณ์การปฏิบัติงานพร้อมรับฟังบรรยายสรุป ชมการปฏิบัติงานของหน่วยโต้ตอบเหตุฉุกเฉิน (SERT) และร่วมปลูกต้นไม้ หลังจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) รับฟังข้อเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรับฟังข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1
โดยในการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้เน้นย้ำเรื่องการดำเนินโครงการต่างๆ ให้เต็มที่ และการใช้งบประมาณในโครงการต่างๆ ขอให้มีความรวดเร็ว เมื่อได้งบประมาณมาแล้วขอให้ใช้งบประมาณด้วยความรวดเร็ว มีความพร้อมดำเนินการทันที ทั้งนี้ ขอให้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน และในการดำเนินโครงการต่างๆ ขอให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้าได้รับ SMS ALERTS จากแอพพลิเคชัน “ไทยชนะ” ต้องปฏิบัติตนเช่นไร ?? | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
ถ้าได้รับ SMS ALERTS จากแอพพลิเคชัน “ไทยชนะ” ต้องปฏิบัติตนเช่นไร ??
ได้รับ SMS ALERTS จาก “ไทยชนะ” ต้องปฏิบัติเช่นไร ??
Q : ถ้าได้รับ SMS ALERTS จากแอพพลิเคชัน “ไทยชนะ” ต้องปฏิบัติตนเช่นไร ??
A : - ให้สังเกตอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ มีไข้ ภายในระยะเวลา 14 วัน นับจากวันสุดท้ายที่ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่ได้ปรากฎใน SMS
- หากมีอาการป่วยให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เพื่อขอรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที และระหว่างนี้ให้สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง แยกของใช้จากผู้อื่น
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1422
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์ พัทยา – มาบตาพุด ส่งเสริมศักยภาพขยายการค้า การลงทุน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์ พัทยา – มาบตาพุด ส่งเสริมศักยภาพขยายการค้า การลงทุน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน
นายกรัฐมนตรีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์ พัทยา – มาบตาพุด ส่งเสริมศักยภาพขยายการค้า การลงทุน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน
วันนี้ (24 ส.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอู่ตะเภา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ส่วนต่อขยาย ช่วงพัทยา – มาบตาพุด โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมในพิธี และนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวงนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ผู้บริหารกรมทางหลวง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์ พัทยา –มาบตาพุดขาเข้า โดยได้มีการปล่อยขบวนรถยนต์จำนวน 100 คันแรกเข้ากรุงเทพมหานคร พร้อมกล่าวว่า เส้นทางสายนี้เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายประวัติศาสตร์สายแรกของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ตลอดจนเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม เขตพื้นที่ผลิตสินค้าการเกษตร และสินค้าประมงของประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่มีความสำคัญต่อระบบคมนาคมขนส่งระหว่างภาคกลางและภาคตะวันออกโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะสามารถเชื่อมโยงไปสู่ประตูการค้าระหว่างประเทศ และยังพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจของภาคตะวันออกไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการคมนาคมขนส่งของประเทศและภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยได้มีการวางแผนงบประมาณ การบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องมีการจัดระเบียบการจ่ายงบประมาณ อีกทั้งยังต้องทำต่อเนื่องเชื่อมโยง และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม และขยายโอกาสการค้าและการลงทุน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น กระตุ้นการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานสากล เพิ่มความสะดวกรวดเร็วและลดระยะเวลาการเดินทาง ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่จะเกิดได้ทุกจังหวัดเพื่อความยั่งยืน คือถนนเส้นทางในการเข้าถึงโอกาสแห่งความเข้าเท่าเทียม การดูแลผู้เดือดร้อน การดูแลผู้มีรายได้น้อย คือการสร้างความเป็นธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องช่วยกันเพื่อให้ทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันได้ พร้อมกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ ภาคธุรกิจ และประชาชนในพื้นที่ที่เสียสละที่ดิน รวมทั้งผลักดันโครงการจนกระทั่งสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในวันนี้ ตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ที่รัฐบาลมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งคาดหวังว่า ทุกคนจะมีความรัก ความหวงแหน ความสามัคคีกัน ร่วมทำเพื่อประเทศชาติ
****************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34481 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมทางไกล (Virtual Interface) ระหว่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับฝ่ายติมอร์-เลสเต | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
พม. ร่วมประชุมทางไกล (Virtual Interface) ระหว่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับฝ่ายติมอร์-เลสเต
พม. ร่วมประชุมทางไกล (Virtual Interface) ระหว่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับฝ่ายติมอร์-เลสเต
วันนี้ (8 ก.ย.63) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของประเทศไทย (SOCA Leader of Thailand) พร้อมด้วย ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และผู้อำนวยการกลุ่มความร่วมมืออาเซียน สำนักงานปลัดกระทรวง พม. ร่วมการประชุมหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual Interface) ระหว่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับฝ่ายติมอร์-เลสเต
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า การประชุมหารือกับฝ่ายติมอร์-เลสเต มีระเบียบวาระสำคัญ เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้พบปะหารือและมีปฏิสัมพันธ์กับฝ่ายติมอร์-เลสเต ตลอดจนเริ่มกระบวนการพิจารณาความพร้อมในการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต ซึ่งในส่วนของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ก่อนที่จะมีการเยือนติมอร์-เลสเต ของคณะค้นหาข้อเท็จจริงจากประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างเป็นทางการ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สิ้นสุดลง ทั้งนี้ การประชุมหารือออนไลน์ดังกล่าว ได้จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน คือ วันที่ 8 และ 10 กันยายน 2563 โดยจำแนกกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุมออกเป็น 4 กลุ่ม ตามองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา (Sectoral Body)
นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การประชุมออนไลน์ดังกล่าว จัดโดยสำนักเลขาธิการอาเซียน โดยการปรึกษาหารือกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในฐานะประธานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA Chair) และมีผู้แทนจากองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา (Sectoral Body) ภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน คณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน จากประเทศสมาชิกอาเซียน สำนักเลขาธิการอาเซียน และผู้แทนฝ่ายติมอร์-เลสเต เข้าร่วมการประชุม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ เตรียมพร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในปี ๒๕๖๔ เดินหน้าปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ เตรียมพร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในปี ๒๕๖๔ เดินหน้าปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง
รมว.ทส. 'วราวุธ' ประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ เตรียมพร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในปี ๒๕๖๔ เดินหน้าปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง
รมว.ทส. 'วราวุธ' ประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ เตรียมพร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในปี ๒๕๖๔ เดินหน้าปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓) เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง นโยบายรัฐบาลและการกำหนดทิศทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อชี้แจงนโยบายรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวางแผนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ติดตามผลการดำเนินงานสำคัญของหน่วยงาน การจัดซื้อจัดจ้าง เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการวางแผนการเบิกจ่ายงบประมาณในปี พ.ศ.๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ได้พิจารณาหารือกรอบการปรับปรุงบทบาทภารกิจและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างส่วนราชการที่จะรองรับบทบาทภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม โดยมี นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องคอนเวนชั่น ๓ โรงแรมอวานี จังหวัดขอนแก่น
รมว.ทส. ได้มอบนโยบายการดำเนินงาน โดยแนวทางในการดำเนินงานจากนี้ไป ให้ทุกหน่วยงานคำนึงถึงผลลัพธ์ว่าต้องการอะไร แล้วนำมาวางแผนการดำเนินงาน ใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และบทบาทของกระทรวงฯ จากนี้ไป จะต้องทำให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักให้ประชาชนร่วมมือในการดำเนินงาน รวมทั้ง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกคน ต้องมีความรอบคอบ ไม่ให้เกิดความผิดพลาด มีความกระตือรือร้น ตื่นตัวให้มากขึ้น ร่วมมือกันทำงาน ไม่แตกแยก และฝากให้ผู้บริหารทุกท่าน นำไปถ่ายทอดให้เจ้าหน้่าที่ทุกระดับทราบด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34657 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ห่วงพี่น้องชาวสวนลำไยมอบกรมการจัดหางาน เร่งหาแรงงาน | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ห่วงพี่น้องชาวสวนลำไยมอบกรมการจัดหางาน เร่งหาแรงงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงชาวสวนลำไย ขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิต มอบกรมการจัดหางาน แจ้งจัดหางานทั่วประเทศ ประสานมหาดไทย หาแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ เพิ่มทางเลือกให้ชาวสวนลำไย แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่ เกษตรกรปลูกลำไย ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนแรงงานเพื่อนบ้านเก็บเกี่ยวลำไยในฤดูกาล 2563-2564 จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ทำให้มีข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศมาทำงาน ภายหลังได้รับฟังข้อปัญหาจากกลุ่มสหกรณ์การเกษตรผู้ปลูกลำไยในจังหวัดจันทบุรี เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน หาแนวทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แจ้งจัดหางาน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเกษตรกรปลูกลำไย เร่งประสานมหาดไทย หาแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ มาทำงานทดแทน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับชาวสวนลำไย
“หลังจากที่ได้รับฟังข้อปัญหาจากกลุ่มสหกรณ์การเกษตรผู้ปลูกลำไยในจังหวัดจันทบุรี ในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตนไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งหาแนวทางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสั่งการให้กรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยหามาตรการที่เหมาะสมทันที โดยความคืบหน้าขณะนี้ กรมการจัดหางานได้ แจ้งจัดหางานจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเกษตรกรปลูกลำไยเป็นสินค้าส่งออก เร่งประสานข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อหาความเป็นไปได้ในการนำแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ มาทำงาน ทดแทนแรงงานเพื่อนบ้าน ที่ประสบปัญหาข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ อย่างไรก็ดี จะอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยของประชาชนจากความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค-19 เป็นสำคัญ ” นายสุชาติฯ กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการจัดหางาน ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไย ในการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เชื่อมโยงถึงการส่งออกของประเทศไทยได้ โดยขณะนี้ ได้กำชับให้จัดหางานจังหวัด ที่มีแรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตทำงานแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือตามฤดูกาล และมีเกษตรกรปลูกลำไย สำรวจความต้องการแรงงาน เพื่อหาแรงงานกลุ่มอื่นๆมาทำงานทดแทน อย่างไรก็ดี สำหรับการนำเข้าแรงงานต่างด้าวกัมพูชา ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเป็นแรงงานกลุ่มที่ขาดแคลนนั้น ขณะนี้ อยู่ในระหว่างการหามาตรการที่เหมาะสม ตามมาตรการดูแล ป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เนื่องจากขณะนี้ เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่สอง ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย อย่างไรก็ดี จะเร่งหามาตรการและแนวทางที่เหมาะสม ที่ให้ได้ผลดีและช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไทย ให้ได้มากที่สุด เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Treasure Trip ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวรถไฟฟ้า | วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563
Treasure Trip ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวรถไฟฟ้า
--
#ไทยคู่ฟ้าชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวสัมผัสวิถีไทยในยุคดิจิทัล เดินทางง่าย ๆ ด้วยแอปพลิเคชั่น “Treasure Trip” ที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาและจัดทำขึ้น เพื่อนำต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่มาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยรวบรวมแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรม ทั้งด้านวัฒนธรรมโบราณ วัฒนธรรมร่วมสมัย ด้านประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัด ร้านอาหาร และสถานที่อื่น ๆ ที่มีทั้งของน่ากิน น่าชม และน่าเที่ยว ที่ตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และ BTS ซึ่งบางสถานที่นักท่องเที่ยวยังเข้าไม่ถึง
.
ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ มีข้อมูลแสดงสถานที่ตั้ง รายละเอียดเส้นทาง อีกทั้งยังวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองในหนึ่งวัน หรือ “one day trip” เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวใช้เป็นข้อมูลในการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในระยะทางที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร
.
ผู้สนใจที่อยากท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามแนวรถไฟฟ้า สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานได้แล้ว ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ผลักดัน “กัญชง” เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ หนุนนวัตกรรมงานวิจัยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพสร้างรายได้ให้กับคนไทย | วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
อนุทิน ผลักดัน “กัญชง” เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ หนุนนวัตกรรมงานวิจัยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพสร้างรายได้ให้กับคนไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษ “กัญชงพืชเศรษฐกิจใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พร้อมผลักดันนวัตกรรม งานวิจัย ศักยภาพผู้ประกอบการให้ปลูก แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ออกสู่ท้องตลาด และส่งออก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษ “กัญชงพืชเศรษฐกิจใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พร้อมผลักดันนวัตกรรม งานวิจัย ศักยภาพผู้ประกอบการให้ปลูก แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ออกสู่ท้องตลาด และส่งออก สร้างรายได้ใหม่ให้กับคนไทย
วันนี้ (31 สิงหาคม 2563) ที่ อิมแพค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปลูก แปรรูปเฮมพ์ (กัญชง) เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “กัญชงพืชเศรษฐกิจใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยมี นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกว่า 400 คน ร่วมงาน
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารยา มีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกเว้นสารสกัดจากกัญชงและบางส่วนของพืชกัญชง โดยไม่ต้องถูกควบคุมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ ยา สมุนไพร อาหาร และเครื่องสำอาง มีการจัดทำกฎกระทรวง เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) เพื่อใช้ประโยชน์ ในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกนำรายได้เข้าสู่ประเทศ สำหรับการประชุมครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการ ภาคเกษตรกรรมอุตสาหกรรม สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ เพื่อส่งเสริมการปลูกและการแปรรูปกัญชงเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมกัญชงจากงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร(ต้นน้ำ) ผู้ประกอบธุรกิจ (กลางน้ำและปลายน้ำ) ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมองเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาดให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ตนมีนโยบายให้ทุกกรม ส่งเสริมและสนับสนุนการนำกัญชาและกัญชงไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์เนื่องจากมีสาร THC เด่น ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและทำให้เสพติด จึงต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น มีระบบติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านยาเสพติด ส่วนกัญชงนั้นสนับสนุนให้ใช้ในทางอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสาร THC ในปริมาณน้อย แทบไม่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท มีสาร CBD เด่น มีประโยชน์ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมสุขภาพ และเกือบทุกส่วนของกัญชงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งประเทศไทยมีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการปลูกกัญชง ถือเป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะสร้างรายได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
********************************31 สิงหาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ‘นฤมล’ เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มผ้าไหมสตรีชนบท จ.ขอนแก่น มุ่งพัฒนาแรงงานสตรี | วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563
‘นฤมล’ เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มผ้าไหมสตรีชนบท จ.ขอนแก่น มุ่งพัฒนาแรงงานสตรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เยือนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหมมัดหมี่บ้านหัวฝาย จ.ขอนแก่น มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เยือนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหมมัดหมี่บ้านหัวฝาย จ.ขอนแก่น มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยดร.ภาคิน สมมิตรธรกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหมมัดหมี่บ้านหัวฝาย ต.ปอแดง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นกลุ่มวิสาหกิจที่ดําเนินกิจกรรมกลุ่มเกี่ยวกับการทอผ้าไหม ปลูกหม่อน เลี้ยงไหมครบวงจร กิจกรรมปลูกผักปลอดภัย และกิจกรรมแบบผสมผสานตามแนวพระราชดําริ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม ได้มีการจัดแบ่งหน้าที่ มีการรวมหุ้นเพื่อนำทุนมาใช้ประกอบกิจการกลุ่ม นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี มีการสร้างเครือข่ายกับกลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในชุมชน ระดับตําบล ระดับอําเภอ ระดับจังหวัด และทางออนไลน์ จนสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา การทอผ้าถือเป็นหน้าที่สำคัญของผู้หญิงชาวอีสาน เพราะจะต้องทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงอีสานต้องเรียนรู้และฝึกหัดการทอผ้ามาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
ศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวว่า กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสำคัญของสตรีทำงานทุกคน เนื่องจากเป็นกำลังสำคัญต่อการสร้างสรรค์สังคมที่ดีทั้งในระดับครอบครัวตลอดไปจนถึงระดับชาติ โดยกระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานสตรีได้รับการปกป้อง คุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนรณรงค์สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมบทบาทของสตรีทำงาน และความเสมอภาคระหว่างเพศ เพื่อให้สตรีทำงานได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ได้อย่างมั่นคงต่อไป จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระทุกกลุ่มอาชีพสมัครประกันสังคม มาตรา 40 โดยจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ สามารถทำได้ง่าย เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว ยื่นเรื่องที่สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ หรือสมัครที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) เคาน์เตอร์บิ๊กซี เทสโก้โลตัส หรือเคาน์เตอร์ธนาคาร และสามารถหักผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยฟรีค่าธรรมเนียม
“การส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานสตรีได้รับการปกป้อง คุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนรณรงค์สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมบทบาทของสตรีทำงาน จะทำให้กลุ่มสตรีได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ได้อย่างมั่นคงต่อไป”รมช. แรงงานกล่าวในท้ายสุด
---------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34662 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยไม่ปิดกั้นการแสดงออก - หนุนสร้างสรรค์ | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
ไทยไม่ปิดกั้นการแสดงออก - หนุนสร้างสรรค์
--
#ไทยคู่ฟ้านายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่ กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563 กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่า>>
.
1. รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี
.
2. รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง
.
3. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34877 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยความสำเร็จของรัฐบาล มาจากควาร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน พร้อมชี้แจงต่างชาติเข้าใจคำสั่งคําสั่ง คสช. ประเด็นเหมืองแร่อัครา คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
นายกรัฐมนตรีเผยความสำเร็จของรัฐบาล มาจากควาร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน พร้อมชี้แจงต่างชาติเข้าใจคำสั่งคําสั่ง คสช. ประเด็นเหมืองแร่อัครา คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
นายกรัฐมนตรีเผยความสำเร็จของรัฐบาล มาจากควาร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน พร้อมชี้แจงต่างชาติเข้าใจคำสั่งคําสั่ง คสช. ประเด็นเหมืองแร่อัครา คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ
วันนี้ (9 ก.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาญัตติเปิดอภิปราย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา
นายกรัฐมนตรีกล่าวทบทวนความสำเร็จของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา จากความร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ภายใต้การควบคุม มีการผ่อนคลายล็อคดาวน์เข้าสู่ระยะที่ 5 แล้ว โดยประเทศไทยสามารถควบคุมได้ภายใน 2 เดือน ซึ่งรัฐบาลมีการเตรียมการรองรับ โดยได้นำมาตรการที่เตรียมไว้ออกมาใช้ขับเคลื่อนในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ต่อเนื่องเป็นเวลา 101 วันตั้งแต่ 26 พฤษภาคมถึง 2 กรกฎาคม ซึ่งปรากฏว่าไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเลยกว่า 100 วัน การตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเมื่อ 3 กันยายนที่ผ่านมา เป็นบทเรียนกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่าการ์ดไม่ตก ขอย้ำว่าความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า แม้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการควบคุมโรค แต่ก็ตระหนักถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจด้วย โดยออกมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะแรก เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การใช้งบประมาณเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาชดเชยรายได้ประชาชน 31.4 ล้านคน แยกเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ 15.30 ล้านคน เกษตรกร 7.5 ล้านคน แรงงานในระบบประกันสังคม 9.3 แสนคน กลุ่มเปราะบาง เด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ คนพิการ 6.65 ล้านคน ประชาชนที่มีบัตรสวัสดิการของรัฐ 1.02 ล้านคน รวมทั้งในเรื่องลดค่าใช้จ่าย มีมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชน สถานประกอบการ ลดภาระด้านสาธารณูปโภค เลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 90 การลดและเลื่อนการส่งเงินสมทบประกันสังคมทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง ลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่าง ๆ สำหรับการหาเงินกู้ฉุกเฉินและเงินกู้ใหม่ในอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้น รัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางเพื่อช่วยคนที่ไม่มีบัญชีธุรกรรมและไม่สามารถเข้าถึงในส่วนนี้ได้ ซึ่งการปฏิบัติต้องคำนึงข้อกฎหมายด้วย รวมทั้งแผนงานสนับสนุนการจ้างงานกว่า 1 แสนคน ช่วยเด็กเยาวชนที่ด้อยโอกาสกว่า 8 แสนคนผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งได้ใช้งบประมาณจากส่วนอื่นด้วย ไม่ได้ใช้งบจากเงินกู้เพียงอย่างเดียว ปัจจุบันสถานประกอบการทุกประเภทก็สามารถเปิดกิจการได้โดยต้องระมัดระวัง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง 3 เดือนตั้งแต่พฤษภาคมถึงกรกฎาคม สถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ดัชนีว่างงานในระบบประกันสังคมลดลง และราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีชี้แจงทั่วโลกยังมีแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ GDP ของทุกประเทศทั่วโลกลดลงร้อยละ 4.9 - 6.0 และเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2563 อาจลดลงถึงร้อยละ 7.5 รัฐบาลจึงเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบเศรษฐกิจไทยปี 2563 ทั้งการเพิ่มรายได้ โดยใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อสนับสนุนสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของไทยกว่าจำนวน 200 – 300 ผลิตภัณฑ์ การอนุมัติให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างในส่วนของสินค้าที่มาจากวิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง และเพราะไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยุติลงเมื่อไร รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ศบค. เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การตรวจคัดกรองโรค รวมถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อบูรณาการกฎหมายทุกกฎหมาย เพราะกฎหมายสาธารณสุขอำนวยการทำงานเพียงแค่บุคลากรทางด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ต้องมีการปฏิบัติงานของพลเรือน ตำรวจ ทหาร เพื่อดูแลการเดินทางข้ามพรมแดน พร้อมย้ำว่าไม่มีการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อคุกคามเยาวชนหรือผู้ใดก็ตาม
สำหรับการช่วยเหลือพี่น้องแรงงานจาการหารือไตรภาคี 3 ฝ่าย ประกอบด้วยภาครัฐ นายจ้างและลูกจ้าง ลดการส่งเงินสมทบระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเหลือร้อยละ 2 นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นการจ้างงาน โดยเตรียมจัด Work Expo เพื่อให้มีการจ้างงานในภาครัฐและเอกชนของนักศึกษาจบใหม่ ผู้ว่างงาน จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านอัตรา การจัดทำ Big Data หรือแพลตฟอร์มเพื่ออำนวยความสะดวกการหางาน รวมทั้งมาตรการรักษาการจ้างงานโดยรัฐบาลจะจ่ายค่าจ้างร่วมกับบริษัทเอกชน ส่งเสริมการจ้างงาน นิสิต นักศึกษา ที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งในระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. อีก 2.6 แสนคน เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับการสนับสนุนภาคธุรกิจ SMEs โดยมีการปลดล็อคให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อ 1 แสนล้านบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งเป็นงบประมาณจากภาครัฐ หากในอนาคตเกิด NPL รัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่ดูแล ซึ่งได้มีการเตรียมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ในกรณีที่มีเจ้าหนี้หลายราย
นายกรัฐมนตรีเผยยังมีการหารือเพิ่มเติมในมาตรการอุดหนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไปเป็นหลัก เช่น หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ตลาดสด โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 เพื่อใช้จ่ายในการซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สำหรับมาตรการท่องเที่ยวในประเทศไทยมีสถานการณ์ดีขึ้น แม้จะขาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่จะต้องสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อรักษาการจ้างงานในสถานประกอบการต่าง ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ควบคู่สุขภาพรวมทั้งความร่วมมือจากประชาชนด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนในเรื่องการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต อาทิ EEC โครงการรถไฟความร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะภาและเมืองการบินภาคตะวันออก คาดว่าจะทำให้มีรายได้สุทธิหลังหักการลงทุนของภาครัฐประมาณ 195,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1 แสนตำแหน่ง โดยเฉพาะการจ้างงานของคนในพื้นที่ให้มากที่สุด พร้อมดูแลภาคสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาขยะ น้ำเสียในพื้นที่ พัฒนาให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ พัฒนาระบบสาธารณสุข ส่งเสริมระบบการศึกษาอาชีวะที่เชื่อมโยงกับ EEC เพื่อให้เยาวชนได้รับทุนการศึกษาพร้อมเบี้ยเลี้ยงสวัสดิการ รวมทั้งส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำ เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรมูลค่าสูง อุตสาหกรรมอาหาร เกษตรชีวภาพ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และให้ความสำคัญการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรที่เป็นอาชีพสำคัญของประเทศ
นายกรัฐมนตรีเผยถึงโครงสร้างทางราง ถนน น้ำ และอากาศ โดยเร่งรัดดำเนินการรถไฟฟ้า 12 สายทาง ระยะทางเพิ่ม 226 กม. และมีรถไฟฟ้าระยะความยาวเพิ่มขึ้นรวมเป็น 425 กม. จากเดิม พร้อมเร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่ 16 โครงการ 3,157 กม. จากเดิม 359 กม. เร่งรัดการพัฒนามอเตอร์เวย์ 3 สายทาง ระยะทาง 324 กม. จากเดิม 2 สายทาง รวมถึงการพยุงราคายางพาราโดยพัฒนาเป็นแผ่นยางครอบแบริเออร์ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเทคโนโลยี 5G โดยเร่งพัฒนาการใช้ 5G ในภาคส่วนต่าง ๆ ระยะที่ 1 เช่น การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านโครงข่าย 5G ที่มีความรวดเร็วปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง เข้าถึงการบริหาร ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ วินิจฉัยโรคผ่าน Video Conference บนโทรศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันได้มีโครงการนำร่องร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช หรือในด้านการเกษตรที่มีโครงการนำร่องร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เพื่อเป็นการเริ่มต้นตามงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการพัฒนาวัคซีน ซึ่งมีหลายแนวทางด้วยกัน ได้แก่ 1) ดำเนินการเองโดยรัฐบาลร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุข โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา 2) ร่วมมือกับต่างประเทศปรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ผลิตในต่างประเทศที่มีความพร้อม และ 3) การร่วมวิจัยและพัฒนากับต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่าต้องการ 20 ล้านโดสในระยะแรก ซึ่งงบประมาณในการใช้สำหรับวิจัยและพัฒนาวัคซีนเป็นงบประมาณของสาธารณสุขจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ 45,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเผยว่าไทยเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีที่สุดอันดับ 1 ของโลกโดย GCI และยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ให้การชื่นชมความสามารถของประเทศไทยในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับมาตรการนำคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศมีสถานที่สำหรับ State Quarantine เพื่อดูแล คัดกรองโรค กักตัวสังเกตอาการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงประเด็นกรณีเหมืองแร่อัครา ตามคำสั่งคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา เนื่องจากการทำเหมืองแร่ทองคำหลายแห่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ จึงต้องมีมาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และเหมืองแร่จำนวนมากได้รับการอนุญาตต่อระยะเวลาสัมปทานแล้วหลังจากสามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ถ้าหากยังแก้ไขไม่ได้คณะกรรมการฯ จะมีมติให้หยุดชั่วคราว รวมถึงรัฐบาลปลดล็อคถลุงแร่ทองคำ นักลงทุนชาวต่างชาติทราบถึงการใช้กฎหมาย ม.44 ของประเทศไทยและภายหลังคณะกรรมนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติให้เหมืองแร่ทองคำสามารถกลับมาประกอบกิจการได้แล้ว ทั้งนี้ ยังมีการพิจารณาอยู่ในชั้นตุลาการเและยังไม่มีคำตัดสิน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำว่าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด โดยยึดถือกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุดที่เป็นองค์กรอิสระและไม่สามารถก้าวล่วงได้ รวมทั้งไม่มีอำนาจสั่งการในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34945 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วม กสทช.-ไอเอสพี –โอเปอเรเตอร์ บูรณาการเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาพนันออนไลน์ | วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วม กสทช.-ไอเอสพี –โอเปอเรเตอร์ บูรณาการเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาพนันออนไลน์
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วม กสทช.-ไอเอสพี –โอเปอเรเตอร์ บูรณาการเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาพนันออนไลน์
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงข่าวผลการประชุมหารือแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ระหว่าง กสทช. กับไอเอสพี และโอเปอเรเตอร์ทุกราย เพื่อหาแนวทางความร่วมมือแก้ปัญหานี้ที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคที่การพนันออนไลน์เข้าถึงเหยื่อได้ง่ายขึ้น และสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้นผ่านช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ณ อาคารหอประชุมชั้น 2 สำนักงาน กสทช. เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 กระทรวงดีอีเอส ตระหนักถึงปัญหาการพนันออนไลน์มีผลกระทบมากมาย ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างความเดือดร้อนแก่คนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ได้หารือกับท่าน ผบ.ตร. (พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา) และ ผอ.ศปอศ.ตร. (พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข) ในการปราบปรามและทำการสืบสวนจนนำไปสู่การจับกุม
โดยรัฐมนตรีฯ กล่าวย้ำว่า “การแก้ไขปัญหาพนันออนไลน์ ต้องมีการบูรณาการเพื่อร่วมกันออกมาตรการในการแก้ไขปัญหา ปัจจุบันการพนันออนไลน์ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ และผู้ที่ทำการโฆษณาหรือชักชวนผู้อื่นเล่นพนัน มีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (แก้ไข พ.ศ. 2560) มาตรา 20 (3) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในมาตรา 20 ไม่ได้ให้อำนาจกระทรวงในเรื่องนี้ แต่ระบุให้ต้องมีหน่วยงานอื่นต้องมาแจ้งความก่อน และบทลงโทษต้องใช้กฎหมายอื่นมาประกอบ”
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ออกแบบเงินบำนาญรายเดือนด้วยตนเองผ่านแอป กอช.” | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
“กอช. ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ออกแบบเงินบำนาญรายเดือนด้วยตนเองผ่านแอป กอช.”
กอช. ชวนสมาชิกและประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ออกแบบเงินบำนาญด้วยตนเอง โดยคำนวณบำนาญ ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) กอช. โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านสมาร์ทโฟนทุกระบบ ทั้งแอป สโตร์ (App Store) และเพลย์ สโตร์ (Play Store) เพียงพิมพ์คำค้นหาว่า กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชวนสมาชิกและประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ออกแบบเงินบำนาญด้วยตนเอง โดยคำนวณบำนาญ ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) กอช. โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านสมาร์ทโฟนทุกระบบ ทั้งแอป สโตร์ (App Store) และเพลย์ สโตร์ (Play Store) เพียงพิมพ์คำค้นหาว่า กอช.
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ชวนสมาชิก และประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ออกแบบเงินบำนาญด้วยตนเองโดย คำนวณบำนาญ ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) กอช. เพื่อวางแผนการเงินออมยามเกษียณด้วยตนเอง เมื่ออายุ 60 ปี ต้องการมีเงินบำนาญใช้รายเดือน เดือนละเท่าไร ด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยเข้าแอปพลิเคชัน (Application) กอช. เลือกเมนู “คำนวณบำนาญ” เลือกรูปแบบการคำนวณ ยอดเงินที่ต้องการส่งเงินออมสะสม หรือ ยอดเงินบำนาญที่ต้องการได้รับ กรอกอายุที่เริ่มส่งเงินออมสะสม เลือกรูปแบบการส่งเงินออมสะสมรายเดือน หรือ รายปี หลังจากนั้นกรอกตัวเลขเงินบำนาญที่ต้องการมีเงินใช้รายเดือน กดปุ่มคำนวณ ระบบแอปพลิเคชันจะแสดงจำนวนเงินที่ต้องส่งเงินออมสะสม
ทั้งนี้สมาชิกสามารถเลือกส่งเงินออมสะสมผ่านระบบแอป กอช. หรือรับรหัสไปใช้นำส่งเงินออมผ่านแอปพลิเคชัน ธนาคารได้ 13 ธนาคาร ที่สมาชิกมีบัญชีเงินฝากอยู่ และที่ตู้เอทีเอ็มหรือตู้รับฝากเงินสด ที่สำคัญสมาชิกยังสามารถเข้าแอป กอช. เพื่อดูข้อมูลบัญชีการออมกับ กอช. ของตนเองได้ ทุกที่ ทุกเวลา สำหรับผู้ที่สนใจตรวจสอบสิทธิและคุณสมบัติก่อนการสมัครสมาชิกได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์ ทั้ง 2 รุ่น จำหน่ายหมดแล้ว | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
พันธบัตรออมทรัพย์ ทั้ง 2 รุ่น จำหน่ายหมดแล้ว
ความสำเร็จในการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น 2 ช่องทาง 2 อายุ ได้แก่ รุ่นก้าวไปด้วยกันและรุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 ซึ่งจำหน่ายได้ครบวงเงินแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงความสำเร็จในการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น 2 ช่องทาง 2 อายุ ได้แก่ รุ่นก้าวไปด้วยกันและรุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 ซึ่งจำหน่ายได้ครบวงเงินแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 โดยพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นก้าวไปด้วยกันเป็นการจำหน่ายผ่าน DLT Bond Platform ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนซื้อพันธบัตรได้จากธนาคารตัวแทนจำหน่ายเพียงแห่งเดียวโดยไม่มีการจำกัดวงเงินซื้อต่อธนาคาร ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีโดยประชาชนนิยมซื้อจากสาขาธนาคารด้วยวงเงินเฉลี่ย 3.2 ล้านบาทและมีสัดส่วนการถือครองพันธบัตรของประชาชนร้อยละ 70 ของวงเงินจำหน่าย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนวัยทำงานตอนปลายจนถึงวัยหลังเกษียณที่มีอายุประมาณ 80 ปี
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 มีผู้สนใจลงทุนถึงเกือบ 20,000 รายการ โดยมีผู้ลงทุนอายุตั้งแต่ 15 ปี จนถึงอายุ 99 ปี และลงทุนเริ่มต้นตั้งแต่ 100 บาท และมีวงเงินซื้อเฉลี่ย 333,000 บาทต่อราย ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานตอนต้นจนถึงวัยก่อนเกษียณ ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ลงทุนใกล้เคียงกับการจำหน่ายรุ่นก้าวไปด้วยกันที่มีวงเงินสูงกว่าถึง 9 เท่า และมีการกระจายตัวไปยังภูมิภาคต่างๆ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยจึงนับว่าการจำหน่ายในรอบนี้มีการกระจายตัวทั้งในด้านจำนวนผู้ลงทุน อายุผู้ลงทุน วงเงินซื้อเฉลี่ยและถิ่นฐานผู้ลงทุน แสดงถึงความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับธุรกรรมทางการเงินที่ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายด้วยวงเงินที่ต่ำลง และตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์http://www.pdmo.go.thและ Facebook ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้าน หวังให้ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นกลไกสนองนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก | วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
"อนุชา" ขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้าน หวังให้ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นกลไกสนองนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้าน หวังให้ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นกลไกสนองนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากพัฒนาประเทศ ให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
วันนี้ (24 สิงหาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ร้านค้าชุมชนประชารัฐตำบลกระแสบน หมู่ที่ 14 ตำบลกระแสบน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดโครงการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพื้นที่จังหวัดระยอง โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นายอำเภอแกลง หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการร้านค้าชุมชนประชารัฐตำบลคลองปูน คณะกรรมการเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และประชาชนเข้าร่วม
ภายหลังการตรวจเยี่ยม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายว่า รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนงานกองทุนหมู่บ้านมาทุกระยะ แต่ละปีรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณ และเงินลงทุนในระดับชุมชนผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยสนับสนุนเงินทุนแก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเงินกู้ยืม เงินให้ไปพัฒนา และให้ไปประกอบธุรกิจที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมีศักยภาพในการบริหารจัดการเงินทุน จึงขอให้กองทุนหมู่บ้านตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในการที่จะเป็นกลไกการสนองนโยบายของรัฐบาล ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าภารกิจหรือกิจกรรมใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น ขอให้พิจารณาถึงความต้องการของสมาชิกและประชาชนในหมู่บ้านเป็นอันดับแรก ซึ่งความเสียสละของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุน บริหารจัดการโอกาสที่ได้มาคือปัจจัยความสำเร็จของกองทุนหมู่บ้าน และความสำเร็จอีกส่วนหนึ่งคือวินัยและการมีส่วนร่วมของสมาชิก ถ้าทั้งสองส่วนร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนจะเติบโตและเป็นที่พึ่งเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างแท้จริง
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34489 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมเป็นวิทยากรโครงการตลาดทุนพบภาครัฐครั้งที่ 3/2563 | วันพุธที่ 9 กันยายน 2563
บีโอไอร่วมเป็นวิทยากรโครงการตลาดทุนพบภาครัฐครั้งที่ 3/2563
บีโอไอร่วมเป็นวิทยากรโครงการตลาดทุนพบภาครัฐครั้งที่ 3/2563
บีโอไอร่วมเป็นวิทยากรโครงการตลาดทุนพบภาครัฐครั้งที่ 3/2563
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง)เป็นวิทยากรในงานเสวนาออนไลน์ (Webinar) หัวข้อ “โครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 3/2563:ทิศทางการลงทุนในภาคการผลิตและบริการในไทยหลังจากวิกฤต COVID-19” จัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยมีนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (ที่ 2 จากซ้าย) เป็นผู้ดำเนินรายการ และนางลัษมณ อรรถาพิช รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมเป็นวิทยากร เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34926 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง | วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพฯ - เมืองพัทยา และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และ ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางในช่วงวันหยุดยาว หลัง ครม. มีมติให้วันที่ 4 และ 7 ก.ย. 63 เป็นวันหยุดชดเชยเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 โดยมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 3 ก.ย. 63 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 8 ก.ย. 63 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงิน ช่วยประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34783 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลี้ยงเด็กทารกอย่างไรให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ?? | วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563
เลี้ยงเด็กทารกอย่างไรให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
ปฏิบัติดังนี้
A : สิ่งที่ต้องทำ คือ 1.ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
2.ล้างมือก่อนสัมผัสเด็กทุกครั้ง
3.อุ้มเด็กหันหน้าเข้าหาตัวถ้าต้องไปฉีดวัคซีน
4.หากพบมีไข้ ไอ ให้งดอยู่ใกล้ตัวเด็กทารกอย่างเด็ดขาด
5.เด็กที่เริ่มคลานต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35043 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 | วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เปิดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2
นายกรัฐมนตรี เปิดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 และสัมมนารวมพลคนสร้างชาติ” พร้อมเชิญชวนมาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนชาติและเห็นถึงพลังของพี่น้องเกษตรกรไทย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “เกษตรทางรอดของประเทศไทย” ในพิธีเปิดงานเกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 และการสัมมนารวมพลคนสร้างชาติ โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารของกระทรวงเกษตร ร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 30 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ฮอลล์ 9 - 10 อิมแพคเมืองทองธานี
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการสร้างโอกาสให้กับพี่น้องเกษตรกร โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนายกระดับสินค้าเกษตร และแสดงศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตร เพื่อเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากตลาดท้องถิ่น ตลาดภูมิภาค สู่ตลาดต่างประเทศ และตลาดออนไลน์ ให้คนเมืองได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก ทำให้มีการกระจายตัวของรายได้มากขึ้น ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้โดยตรง
จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงาน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคการเกษตร และทำความเข้าใจว่าเกษตรสร้างชาติได้อย่างไร และสินค้าเกษตรไทย พร้อมไปตลาดโลกแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อสม.หมอประจำบ้าน ร่วมขับเคลื่อนตำบลวิถีชีวิตใหม่ปลอดภัยจากโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563
อสม.หมอประจำบ้าน ร่วมขับเคลื่อนตำบลวิถีชีวิตใหม่ปลอดภัยจากโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนายกระดับ อสม. เป็นหมอประจำบ้าน แกนนำเฝ้าระวัง ควบคุมป้องกันโรคในชุมชน พร้อมเปิดเมือง เปิดพื้นที่สาธารณะ สู่ตำบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนายกระดับ อสม. เป็นหมอประจำบ้าน แกนนำเฝ้าระวัง ควบคุมป้องกันโรคในชุมชน พร้อมเปิดเมือง เปิดพื้นที่สาธารณะ สู่ตำบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19
วันนี้ (17 กันยายน 2563) ที่จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และคณะผู้บริหาร เปิดการประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการขับเคลื่อนตำบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน นำเสนอวิชาการในรูปแบบนิทรรศการมีชีวิต จัดโดยศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 9 นครราชสีมา ร่วมกับชมรม อสม. เขตบริการสุขภาพที่ 9 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 800 คน
นายอนุทินกล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นับเป็นกำลังที่สำคัญและเป็นกลไกที่เข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนมากว่า 40 ปี ซึ่งในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ผ่านมา อสม. เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตินั้นมาได้ จนเป็นที่ยอมรับจากองค์การอนามัยโลก และนานาประเทศทั่วโลกมาแล้ว ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติค่าตอบแทนการปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด 19 จำนวน 7 เดือน เป็นเงิน 3,500 บาท เพิ่มจากค่าป่วยการตามปกติ เป็นการตอบแทนที่ อสม.ทุกท่านได้ทุ่มเท ดูแล ป้องกัน ให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยจากทุกโรคไม่ใช่เฉพาะโรคโควิด 19
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั้งหมด 4 ภาค โดยเริ่มจากภาคอีสานเป็นภาคแรก เพื่อให้อสม.ได้รับความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น นำไปดูแลประชาชนในพื้นที่ เป็นการลดอัตราการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล ซึ่ง อสม.จะเป็นหมอคนแรกที่ให้การดูแล หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้ส่งต่อไปหาหมอคนที่ 2 ที่รพ.สต. และจะมีระบบส่งต่อไปยังหมอครอบครัวที่โรงพยาบาลใหญ่ซึ่งเป็นหมอคนที่ 3 คนไทยจะมีหมอถึงสามหมอที่จะดูแลสุขภาพ
“อสม.ทุกคนเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงสาธารณสุข เป็นหมอประจำครอบครัว ให้ความรู้และพัฒนาสุขภาพของประชาชน ดูแลตนเองได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 การที่จะไม่เจอผู้ป่วยในประเทศไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่เป้าหมายของเราคือหากมีผู้ติดเชื้อที่ไหน อสม.จะไปหาเจอที่นั่น” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้กับ อสม.ดีเด่นระดับชาติ จำนวน 3 รางวัล ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 9 รางวัล และพื้นที่ต้นแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประจำปี 2563 จำนวน 13 แห่ง ที่ได้เสียสละ อุทิศกำลังกาย กำลังใจ ในการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จนเกิดผลงานอันเป็นที่ประจักษ์
*********************************** 17 กันยายน 2563
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35164 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.