title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “หลักสูตรการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” รุ่นที่ ๒
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “หลักสูตรการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” รุ่นที่ ๒ ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “หลักสูตรการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” รุ่นที่ ๒ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “หลักสูตรการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” รุ่นที่ ๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ และข้าราชการบรรจุใหม่ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมการอบรม จำนวน ๑๑๔ คน ณ โรงแรม ดิ เอ็มเมอรัล กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนเที่ยวงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17 แบบ NEW NORMAL
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 สธ.ชวนเที่ยวงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17 แบบ NEW NORMAL กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 130 องค์กร จัดมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17 “นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุข ทุกวัย” ขับเคลื่อนภูมิปัญญาไทย นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจประเทศ เชิญประชาชน ชิม ช้อป ใช้ สไตล์ NEW NORMAL กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 130 องค์กร จัดมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17“นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุข ทุกวัย”ขับเคลื่อนภูมิปัญญาไทย นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจประเทศ เชิญประชาชน ชิม ช้อป ใช้ สไตล์ NEW NORMAL ในโซนจำหน่ายสินค้าสุขภาพ อาหารสุขภาพ และอุปกรณ์ดูแลสุขภาพจากกว่า 500 ร้านค้า พร้อมชมนิทรรศการ/ บริการนวดไทย คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยครบวงจร แจกหนังสือสมุนไพร กล้าไม้ และเมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจร วันนี้ (2 กันยายน 2563) ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติและการประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 17 ภายใต้หัวข้อ “นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย (Nuad Thai & Thai Herbs towards Good Health for All) โดยร่วมมือกับองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 130 องค์กรจัดขึ้นทุกปี เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพของบุคลากรและเครือข่าย ขับเคลื่อนเชิงวัฒนธรรมภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานปีละมากกว่า 200,000 คน ในปีนี้ได้จัดงานในรูปแบบ New Normal เข้มข้นมาตรการตรวจคัดกรอง และการป้องกันโรคโควิด 19 ทั้งการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ และทำความสะอาดฆ่าเชื้อพื้นที่ จุดสัมผัสร่วม นายอนุทินกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นเวทีขับเคลื่อนและสื่อสารนโยบายระดับชาติด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพรให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ประชาชนรู้จักคุณค่า นำมาใช้ประโยชน์ และมีการวิจัยพัฒนา สร้างความเชื่อมั่น ให้เกิดการยอมรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร สามารถแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประเทศ รวมทั้งอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาไทย การนวดไทยที่ได้รับการประกาศจาก UNESCO ให้เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ มาใช้ในการรักษาและส่งเสริมสุขภาพอย่างกว้างขวาง ซึ่งได้นำการนวดไทยมาจัดแสดงนิทรรศการและให้บริการประชาชน รวมทั้งได้จัดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย และคลินิกการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานมาให้บริการครบวงจร ฟรี ด้านนพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ภายในงานมหกรรมฯ แบ่งเป็น 4 โซนกิจกรรม คือโซนวิชาการอบรมตลาดความรู้ ฟรี 18 หลักสูตรโซนภูมิปัญญาอาทิ นิทรรศการ “นวดไทย” จัดแสดงเครื่องยาสมุนไพร แจกหนังสือสมุนไพรบันทึกของแผ่นดิน 12 กัญชาและผองเพื่อน สมุนไพรเพื่อระบบประสาทและจิตใจ 200 เล่ม/วัน, กล้าไม้ 300 ต้น/วัน และเมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรโซนบริการมีบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ให้คำปรึกษา ตรวจรักษา และจ่ายยาที่มีกัญชาปรุงผสม และคลินิกการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน บริการฟรี และโซนผลิตภัณฑ์Thai Herbal Pavilion นำเสนอร้าน “การบูร” จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรระดับพรีเมียม, Business Matching Online จำหน่ายสินค้า/อาหาร/ อุปกรณ์ดูแลสุขภาพ ทั้งแบบ On Line และ On Site กว่า 500 ร้านค้า นายแพทย์มรุตกล่าวต่อว่า ในปีนี้ ได้มอบประกาศเกียรติคุณและโล่รางวัลเชิดชูเกียรติหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ. 2563 ได้แก่ นายหมวก คงศรี อายุ 84 ปี ยะโก๊ะ หมอพื้นบ้านชาวพุทธ จ.นราธิวาส ซึ่งมีความรู้ความชำนาญด้านการรักษาโรคตามภูมิปัญญาพื้นบ้านและพิธีกรรม เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนัง โรคริดสีดวงทวาร โรคพยาธิในเด็ก โรคเหงือกและฟัน โรคเริม งูสวัด ไฟลามทุ่ง อาการไข้ รวมทั้งไข้ป่า อาการกระดูกแตก พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณและโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 4 รางวัล แก่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรดีเด่นระดับชาติ (Prime Minister Herbal Awards: PMHA) พ.ศ. 2563 จำนวน 15 รางวัล พื้นที่ต้นแบบดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ.2563 จำนวน 14 รางวัล ชมรมผู้สูงอายุ จำนวน 4 รางวัล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์แผนไทยดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 2 รางวัล ขอเชิญประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 17 ได้ระหว่างวันที่ 2 – 6 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 10 – 12 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โทร. 0 2149 5696, 0 2149 5649 Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ หรือWebsite :http://natherbexpo.dtam.moph.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การวัดไข้ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิหน้าผาก ที่มีตามอาคารหรือสถานที่ต่างๆ มีความแม่นยำหรือข้อจำกัดในการใช้อย่างไรบ้าง ??
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 การวัดไข้ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิหน้าผาก ที่มีตามอาคารหรือสถานที่ต่างๆ มีความแม่นยำหรือข้อจำกัดในการใช้อย่างไรบ้าง ?? การวัดไข้ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิหน้าผากตามอาคารหรือสถานที่มีความแม่นยำหรือไม่ Q : การวัดไข้ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิหน้าผาก ที่มีตามอาคารหรือสถานที่ต่างๆ มีความแม่นยำหรือข้อจำกัดในการใช้อย่างไรบ้าง ?? A : เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายมี 2 ประเภท คือ 1. เครื่องวัดที่ต้องสัมผัสกับร่างกาย เช่น ปรอทวัดไข้ 2. เครื่องวัดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกาย เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิหน้าผาก (ปืนวัดไข้) ซึ่งเครื่องวัดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายนั้นจะมีความแม่นยำที่ลดน้อยลง แต่จะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34623
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกนำ 2 รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย-มนัญญา” Kick Off โครงการนำร่องการนำยางพารา
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 นายกนำ 2 รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย-มนัญญา” Kick Off โครงการนำร่องการนำยางพารา นายกนำ 2 รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย-มนัญญา” Kick Off โครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน หวังเพิ่มการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick Off) โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ทางหลวงหมายเลข ๓๒๔๙ ตอนเขาไร่ยา – แพร่งขาหยั่ง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตเสาหลักนำทาง และกระบวนการผลิตแผ่นหุ้มแบริเออร์ เป็นอุปกรณ์ด้านการจราจรที่พร้อมสำหรับนำไปติดตั้งบนถนน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน ภายใต้แนวคิด “ยางพาราไทย เพิ่มความปลอดภัยในทุกเส้นทาง” โดยมีการถ่ายทอดสด Live ผ่านโปรแกรม Zoom กับชาวสวนยางในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ ระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 63 ที่ผ่านมา ซึ่งการลงนามดังกล่าวจะเป็นการซื้อน้ำยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อร่วมมือในการนำอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา ได้แก่ แผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางจากยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สำหรับนำไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยในหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนน และส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง จึงมั่นใจว่าการดำเนินการร่วมกันในครั้งนี้จะสามารถสร้างความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรชาวสวนยางพาราได้อีกทางหนึ่ง และสำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ จะทำหน้าที่กำกับคุณภาพในการผลิตอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา พร้อมทั้งคัดเลือกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่กระทรวงรับรองให้เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งยังสนับสนุนจัดเตรียมเครื่องมือและวัตถุดิบให้เป็นไปตามรูปแบบ มาตรฐาน และราคาตามที่กระทรวงคมนาคมกำหนดด้วย ด้าน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความพร้อมของสถาบันเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ คือ 1) มีสหกรณ์ที่มีสมาชิกเป็นเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 807 แห่ง มีสมาชิก 223,155 ราย มีสมาชิกในครอบครัว จำนวน 900,224 ราย พื้นที่ปลูกยางพาราของสมาชิก 3,462,646 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 820,647 ตัน/ปี 2) มีสหกรณ์ทำธุรกิจยางพารา ธุรกิจรวบรวมน้ำยางสด รวบรวมยางก้อนถ้วยแปรรูปยางแผ่นรมควัน แปรรูปยางเครป แปรรูปยางแท่ง และแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง จำนวน 661 แห่ง ปริมาณธุรกิจ 475,258 ตัน/ปี มูลค่า 16,998 ล้านบาท/ปี 3) กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้จัดโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) แก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ที่จังหวัดสตูลและจังหวัดจันทบุรี 4) ปัจจุบันสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน ที่มีศักยภาพในการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (RFB) จำนวน 18 แห่ง กำลังการผลิต 1,200 กิโลเมตร/ปี หลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) จำนวน 13 แห่ง กำลังการผลิต 832,800 ต้น/ปี ทั้งนี้ จะมีการขยายผลให้สหกรณ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม คาดว่าจะได้รับการเข้าร่วมโครงการจากสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่ายางพารา จำนวน 31 แห่ง สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราได้ 5,384.09 ล้านบาท ซึ่งจากการคาดการณ์ในระยะที่ 1 นี้ จะสามารถรวบรวมน้ำยางสดจากเกษตรกรได้ 34,481 ตัน และเมื่อคิดตลอดโครงการฯ ถึงปีงบประมาณ 2565 จะรวบรวมน้ำยางสดจากเกษตรกรเพื่อใช้ในการผลิตได้ 1.007 ล้านตัน เกิดการจ้างงานในชุมชน และช่วยกระดับราคายางพาราได้ไม่น้อยกว่า 30 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินที่เกษตรกรจะได้รับ 30,018 ล้านบาท เป็นการสร้างกลไกตลาดที่ช่วยยกระดับและสร้างเสถียรภาพราคายางพารา และสร้างความเชื่อมั่นในอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราอีกด้วย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าว นอกจากจะลดความสูญเสีย ช่วยสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินบนท้องถนนที่ไม่อาจประเมินค่าได้แล้ว ยังเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศให้มีมั่นคงต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.แรงงาน ขับเคลื่อนนโยบาย สร้าง–ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ ปั้นช่างแอร์คุณภาพ รับไลเซนส์
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 ​รมช.แรงงาน ขับเคลื่อนนโยบาย สร้าง–ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ ปั้นช่างแอร์คุณภาพ รับไลเซนส์ - - วันที่ 9 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการรับรองความรู้ความสามารถ สาขาช่างเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับนางสาวจรรยาพร สุนทรวสุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีนายวิชัย ผิวสอาด รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับนายสุรชัย วงศ์สวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายเทคนิค เป็นพยานในการลงนาม ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังจากเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและเน้นย้ำการทำงานในรูปแบบประชารัฐ บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การบริการประชาชนมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และบริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงเป็นการทำงานตามแนวโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นการขับเคลื่อนการทำงานตามแนวทาง สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ เพื่อสร้างแรงงานคุณภาพ และยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานด้วย รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า จากรายงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานพบว่า ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ช่างเชื่อมแม็กและช่างเชื่อมทิก เป็นสาขาอาชีพที่ต้องดำเนินการโดยผู้มีความรู้ความสามารถที่ผ่านการประเมินและได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ (License) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นการการันตีฝีมือและยกระดับอาชีพเหล่านี้ให้เป็นอาชีพที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ และเพิ่มความปลอดภัยต่อสาธารณะ เช่นเดียวกับสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ต้องดำเนินการโดยผู้ที่ผ่านการรับรองความรู้ความสามารถที่ได้ประกาศไปแล้ว นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและสาธารณะเป็นไปตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว กพร. จึงร่วมกับบริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งบริษัท มุ่งเน้นพัฒนาช่างเครื่องปรับอากาศ ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิตกำลังคนในสาขานี้ เป็นตัวอย่างของสถานประกอบกิจการชั้นนำที่ตระหนักถึงคุณภาพการให้บริการความปลอดภัย และการพัฒนาบุคลากรในสายอาชีพช่างเครื่องปรับอากาศ โดยในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนด้านความปลอดภัย Safety Thailand ผ่านการรับรองความรู้ความสามารถช่างเครื่องปรับอากาศ ซึ่งบริษัท และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศดูแล มีบุคลากรสาขาอาชีพนี้อยู่จำนวนมาก ปัจจุบัน มีช่างจากบริษัทและเครือข่ายทั่วประเทศผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 จำนวน 669 คน เข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ ซึ่งหนังสือรับรองความรู้ความสามารถมีอายุ 5 ปี “นอกจากนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ยังร่วมกับภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานอีกหลายสาขาในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการประชาชน อีกทั้งผลักดันสาขาที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีใบอนุญาตเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น และลดอุบัติเหตุต่างๆ ลงได้” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34937
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผ้าฝ้ายมัสลินที่นิยมนำมาผลิตหน้ากากอนามัยมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ??
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 ผ้าฝ้ายมัสลินที่นิยมนำมาผลิตหน้ากากอนามัยมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?? ผ้าฝ้ายมัสลินมีคุณสมบัติอย่างไร Q : ผ้าฝ้ายมัสลินที่นิยมนำมาผลิตหน้ากากอนามัยมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?? A : 1.กันละอองน้ำได้ดีที่สุด 2.เส้นใยผ้ากันอนุภาคได้ดี 3.ซักได้มากกว่า 100 ครั้ง โดยเนื้อผ้าไม่เสื่อม 4.เป็นผ้าที่หาง่าย นิยมนำมาทำเป็นผ้าอ้อมเด็ก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่นภายในปีนี้ ขณะที่ ครม. ผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ....
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่นภายในปีนี้ ขณะที่ ครม. ผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่นภายในปีนี้ ขณะที่คณะรัฐมนตรีผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... วันนี้ (8 กันยายน 2563) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ซึ่งทั่วไปจะมีการทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง เผื่อให้รัฐสภารับรอง ซึ่งเลขาสำงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) ได้ประเมินงบประมาณทั่วไปอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท หากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านบาท อาจอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากต้องมีการกระจายสถานที่ลงคะแนนมากขึ้น เพื่อให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ประมาณ 600 – 1,000 คนในแต่ละจุดลงคะแนน รวมทั้ง กกต. จะต้องใช้งบประมาณบริหารในส่วนของเอกสาร รวมถึงรัฐสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำประชามติต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณราว 2,000 – 3,000 ล้านบาท พร้อมยืนยันว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นภายในปีนี้ แต่อาจต้องเว้นระยะประมาณ 60 วัน เนื่องจากมีขั้นตอนในการดำเนินการหลายอย่างด้วยกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับปรับปรุงกฎหมายที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ดำเนินการแล้ว อาทิ Single Window และ One Stop Service ที่พบว่ายังมีปัญหา เนื่องจากการดำเนินการใช้ระยะเวลานาน ซึ่งได้กำชับไม่ให้มีการทุจริต เรียกรับผลประโยชน์ที่ทำให้ระบบมีความล่าช้า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงกรณีการสืบหาข้อเท็จจริงคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา พร้อมเปิดเผยข้อมูล ในชั้นคณะกรรมการชั้นต้น และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบสวนทุกคน พร้อมย้ำว่านายกรัฐมนตรีไม่สามารถก้าวล่วงการทำงานของหน่วยงานยุติธรรมได้ ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 สุขอนามัย ห่างไกลโควิด-19 คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา รอบบ้านหมั่นตัดหญ้าไม่ให้รก จัดเก็บภาชนะหรือกระถางต้นไม้เปล่าที่อาจเป็นแหล่งน้ำขัง เพื่อไม่ให้ยุงมาวางไข่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34685
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 “ทุนหมุนเวียน สร้างโอกาสให้คนไทย สู่วิถีชีวิตใหม่ที่ยั่งยืน”
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 “ทุนหมุนเวียน สร้างโอกาสให้คนไทย สู่วิถีชีวิตใหม่ที่ยั่งยืน” กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทุนหมุนเวียน ในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 โดยได้รับเกียรติจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานมอบรางวัลว่า กรมบัญชีกลางในฐานะผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เล็งเห็นความสำคัญในการกำกับดูแลทุนหมุนเวียน จึงกำหนดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส โดยมีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เพื่อสร้างแรงจูงใจและขวัญกำลังใจในการพัฒนาการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์ สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในลักษณะภาคีเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริม ผลักดัน และกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการพึ่งพาตนเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกิดการกระจายรายได้ในทุกภาคส่วนของประเทศ ซึ่งในปีนี้กรมบัญชีกลางได้จัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นขึ้นเป็นปีที่ 13 แล้ว โดยจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นในวันนี้ มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลประจำปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 15 รางวัล จาก 4 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดำเนินงานโดยรวมดีเด่น ซึ่งสามารถดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ จำนวน 6 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2) กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการชลประทาน 4) เงินทุนหมุนเวียนค่าเครื่องจักรกลของกรมทางหลวง 5) กองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ 6) กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ 2. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการจัดการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน จำนวน 4 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 2) กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 3) กองทุนป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน และ 4) กองทุนภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย 3. รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น - ประเภทดีเด่น จำนวน 3 ทุน ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการชลประทาน 2) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการบริหารท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ – กองทัพเรือ และ 3) เงินทุนหมุนเวียนค่าเครื่องจักรกลของกรมทางหลวง - ประเภทชมเชย จำนวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสิ่งแวดล้อม 4. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป จำนวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ “การจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียน ในการรับทราบนโยบายด้านการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างกัน อีกทั้ง ยังเป็นขวัญกำลังใจที่จะส่งเสริม ผลักดันให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียนมีความภาคภูมิใจ อันจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการดำเนินงานต่อไปในอนาคต” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ในเขต EECi ยกระดับอุตสาหกรรมไทย
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ในเขต EECi ยกระดับอุตสาหกรรมไทย วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี 2564-2568 เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ และนักศึกษา สามารถใช้ประโยชน์จากกิจกรรมและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ โดยคาดว่าศูนย์นวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและพร้อมให้บริการแก่เอกชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งช่วยสร้างรายได้ในระยะ 10 ปี จากการพึ่งพาตนเองและลดภาระรายจ่ายของภาครัฐ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,300 ล้านบาท “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34679
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​คณะกรรมการฯ อนุมัติพัฒนาภูมิทัศน์วังหลัง ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเห็นชอบแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 4 เมือง จันทบุรี สตูล ลพบุรี บุรีรัมย์
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 ​คณะกรรมการฯ อนุมัติพัฒนาภูมิทัศน์วังหลัง ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเห็นชอบแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 4 เมือง จันทบุรี สตูล ลพบุรี บุรีรัมย์ ​คณะกรรมการฯ อนุมัติพัฒนาภูมิทัศน์วังหลัง ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเห็นชอบแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 4 เมือง จันทบุรี สตูล ลพบุรี บุรีรัมย์ วันนี้ (9 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่ 2/2563 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณวังหลัง และปรับปรุงท่าเรือโดยสารท่าเตียน และท่าช้าง ภายใต้โครงการปรับปรุงท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวตามนโยบายการส่งเสริมการเดินทางทางน้ำของรัฐบาล โดยประธานได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานโครงการให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์และคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการในการก่อสร้างอาคารปฏิบัติงานพิพิธภัณฑ์และอนุรักษ์ทรัพย์สินมีค่าของรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ของกรมธนารักษ์ และหอศิลป์เจ้าฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ โดยจะได้นำข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการไปพิจารณาในการดำเนินโครงการต่อไป และเห็นชอบในหลักการของแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 4 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าจันทบุรี เมืองเก่าสตูล เมืองเก่าลพบุรี และเมืองเก่าบุรีรัมย์ เพื่อขับเคลื่อนงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าให้มีความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ ดำรงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมสืบ ทั้งนี้ ประธานได้สั่งการให้จังหวัดพิจารณาจัดทำข้อวิเคราะห์แผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า (แผนระดับที่3) ที่แสดงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (แผนระดับที่ 1) และแผนระดับที่ 2 ก่อนเสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็น เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ---------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bankจัดโปรเด็ดร่วมงาน“Money Expo Rayong 2020” บริการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเอสเอ็มอี เริ่มต้น 2%ต่อปี ยื่นกู้ได้ทันที
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 SME D Bankจัดโปรเด็ดร่วมงาน“Money Expo Rayong 2020” บริการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเอสเอ็มอี เริ่มต้น 2%ต่อปี ยื่นกู้ได้ทันที SME D Bank จัดหนักจัดเต็มขนผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน “มหกรรมการเงินระยอง”ครั้งที่ 2 จังหวัดระยอง หรือ “Money Expo Rayong 2020”ระหว่างวันที่ 4-6กันยายน 2563ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยองบูธ G1 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จัดหนักจัดเต็มขนผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน “มหกรรมการเงินระยอง”ครั้งที่ 2 จังหวัดระยอง หรือ “Money Expo Rayong 2020”ระหว่างวันที่ 4-6กันยายน 2563ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยองบูธ G1 บริการผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครอบคลุมทุกธุรกิจ เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ นำไปใช้ฟื้นฟูธุรกิจ เช่น“สินเชื่อSMEs มีโอกาส” ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2% ต่อปี “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash”สำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลธุรกิจท่องเที่ยว วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3% ต่อปี ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.875% ต่อปี 3 ปีแรก และ “สินเชื่อ Smart Factoring”ช่วยการค้าลื่นไหล ไม่สะดุดเป็นต้น ที่สำคัญ! ภายในงานยังมีบริการวัคซีนเสริมแกร่งธุรกิจ“เติมความรู้ เพิ่มรายได้ ขยายตลาด”ผ่านระบบออนไลน์ และออฟไลน์ พิเศษ!ผู้ที่สนใจเตรียมเอกสารยื่นพิจารณาขอสินเชื่อ ภายในงานได้ทันที ได้แก่ บุคคลธรรมดา บัตรประชาชน, ใบจดทะเบียนการค้า, Statement ย้อนหลัง 6-12 เดือน, บัญชีรายรับรายจ่าย และใบอนุญาตต่าง ๆ ส่วนนิติบุคคล บัตรประชาชน, หนังสือรับรองนิติบุคคล, งบการเงินย้อนหลัง 1-3 ปี, ภ.พ. 30 และใบอนุญาตต่างๆ พร้อมรับ “SME D Gift”ฟรีทันที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัล เปิดงานสัมมนา“สานสัมพันธ์เครือข่ายภาครัฐ GCC 1111 ประจำปี 2563”
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ปลัดกระทรวงดิจิทัล เปิดงานสัมมนา“สานสัมพันธ์เครือข่ายภาครัฐ GCC 1111 ประจำปี 2563” ปลัดกระทรวงดิจิทัล เปิดงานสัมมนา“สานสัมพันธ์เครือข่ายภาครัฐ GCC 1111 ประจำปี 2563” นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สานสัมพันธ์เครือข่ายภาครัฐ GCC 1111 ประจำปี 2563” โครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ณ โรงแรมมิราเคล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยมีนางสาวจันทนา เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจคลาวด์และดิจิทัล บริษัท ทีโอที จำกัด มหาชน และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมการสัมมนาฯ ในฐานะส่วนงานผู้รับผิดชอบบริหารจัดการโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ซึ่งวัตถุประสงค์การจัดงานครั้งนี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้แทนหน่วยงานของภาครัฐกับผู้ปฏิบัติงานโครงการ GCC 1111 อันเป็นปัจจัยความสำเร็จต่อการพัฒนาคุณภาพบริการ ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้หรือผู้ที่มีเชื้อ HIV มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปใช่หรือไม่ ??
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้หรือผู้ที่มีเชื้อ HIV มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปใช่หรือไม่ ?? ผู้ที่มีเชื้อ HIV เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปใช่หรือไม่ ?? Q : ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้หรือผู้ที่มีเชื้อ HIV มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปใช่หรือไม่ ?? A : ใช่ สำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ ผู้มีเชื้อ HIV รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยแพ้ภูมิตัวเอง ผู้ป่วยถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยโรคไตขั้นที่ 3 ขึ้นไป หรือผู้สูงอายุ ทั้งหมดนี้จะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะสามารถรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการพบปะเจอผู้คนเป็นจำนวนมาก หรือไปในชุมชนที่มีกลุ่มคนพลุกพล่าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. จับมือ สพร. นำร่องใช้ Digital ID ภาครัฐ”
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 “กยศ. จับมือ สพร. นำร่องใช้ Digital ID ภาครัฐ” กยศ.จับมือ DGA ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ พร้อมร่วมแถลงข่าว “ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ (Digital ID) ก้าวสำคัญของบริการออนไลน์ภาครัฐในยุค New Normal” กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จับมือสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. หรือ DGA) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ พร้อมร่วมแถลงข่าว “ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ (Digital ID) ก้าวสำคัญของบริการออนไลน์ภาครัฐในยุค New Normal” เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในการขับเคลื่อนบริการดิจิทัลภาครัฐไทยให้พร้อมก้าวเข้าสู่โลกในยุคดิจิทัล เมื่อวันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 ณ ห้องจามจุรี 1-2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ ในการสนับสนุนการนำระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียน นักศึกษา ผู้กู้ยืม ผู้ค้ำประกัน และสถานศึกษาในการเข้าถึงบริการด้านการกู้ยืม โดยกองทุนมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริหารงาน และการให้บริการให้มีความรวดเร็วและปลอดภัย โดยแพลตฟอร์ม Digital ID จะนำมาใช้กับระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (Digital Student Loan Fund System - DSL) เพื่อตอบสนองการปฏิบัติงานของกองทุน ทั้งกระบวนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านช่องทาง Web Application และ Mobile Application ประกอบด้วย 3 ระบบงาน ได้แก่ ระบบการบริหารหนี้ (Debt Management System - DMS) และระบบการดำเนินคดีและบังคับคดี (Litigation and Enforcement Management System - LES) ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงระบบการจัดการการให้กู้ยืม (Loan Origination System - LOS) ซึ่งจะเปิดให้บริการในปีการศึกษา 2564 ปัจจุบัน ระบบของกองทุนรองรับผู้ใช้งานผ่านช่องทาง Web App จำนวนมากกว่า 5 ล้านคน และผ่าน Mobile App “กยศ. Connect” ประมาณ 1.3 ล้านคน สำหรับความร่วมมือการใช้งาน Digital ID กับ สพร. จะเริ่มทดสอบการใช้ผ่าน Web App ก่อน และขยายการใช้เพิ่มเติมในช่องทาง Mobile App ต่อไป โดยมั่นใจว่าระบบงานจะรองรับการให้บริการทุกภาคส่วนให้ได้รับความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เยี่ยมชมกิจกรรมและรับฟังบรรยายสรุปการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ก.แรงงาน เยี่ยมชมกิจกรรมและรับฟังบรรยายสรุปการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ เยี่ยมชมกิจกรรมแบะรับฟังบรรยายสรุปการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ณ อาคารมูลนิธิสถาบันพระมหาชนก จ.ระยอง วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลา 13.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เยี่ยมชมกิจกรรม และรับฟังบรรยายสรุปการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC พร้อมความเชื่อมโยงและวางแผนรองรับความเสี่ยงปัญหาการขาดแคลนน้ำ ช่วงฤดูแล้งปี 63/64 โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางจุรีพร สินธุไพร คณะทำงาน ร่วมเยี่ยมชมในครั้งนี้ด้วยณ ห้องประชุม อาคารมูลนิธิสถาบันพระมหาชนก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34480
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ เปิดการประชุม “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 วราวุธ เปิดการประชุม “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน วราวุธ เปิดการประชุม “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน วราวุธ เปิดการประชุม “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน วันนี้ (14 ก.ย. 63) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เพื่อรับฟังสรุปสถานการณ์ประเด็นปัญหา รวมทั้งกําหนดแนวทางและแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ และร่วมปลูกต้นจัน บริเวณหน้าศาลากลาง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม คณะผู้บริหาร ทส. หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพิมานปฐม ศาลากลางจังหวัดนครปฐม โดยในที่ประชุมได้รายงานสรุปถึงสถานการณ์ประเด็นปัญหาสำคัญและแนวทางแก้ไข จากผลกระทบที่ได้รับเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้ 1. ปัญหาการว่างงานและการขาดรายได้ของแรงงาน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีสถานประกอบการเลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 36 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ 678 คน ซึ่งทางจังหวัดได้ดำเนินการแก้ไขเยียวยา โดยการจัดโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพสู้วิกฤติ COVID-19 โครงการจ้างงานเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โครงการยกระดับเพื่อเพิ่มศักยภาพฝีมือและสมรรถนะแรงงาน เพื่อรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ยังทำได้ในจำนวนจำกัดตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรและจำหน่ายได้น้อย ไม่สามารถหาตลาดที่ยั่งยืนให้ผู้ฝึกอาชีพได้ จึงขอให้สนับสนุนโครงการพัฒนาอาชีพ คุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน และ SME สู่การตลาด และการตลาดยุคใหม่ 2. ปัญหาที่ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้การเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทางจังหวัดได้เสนอโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยว 3. การชดเชยและเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถส่งออกกล้วยไม้ไปยังต่างประเทศได้ 4. ข้อเสนอในการช่วยเหลือเกษตรกรด้านอื่น ๆ เช่น การขอรับความช่วยเหลือแก่ผู้เพาะเลี้ยงจระเข้ และกุ้งทะเล นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี และเรื่องการจัดการน้ำเสียชุมชน การกำจัดผักตบชวา ปัญหาการจราจร รมว.ทส. กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยได้จ้างงานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งหมด จำนวน 16,488 อัตรา ซึ่งดำเนินการจ้างโดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และสำนักงานปลัดกระทรวงฯ ซึ่งได้มีการจ้างงานในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นร่วมดำเนินการปฏิบัติงานในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ โดยส่วนหนึ่งก็ได้มีการจ้างงานในพื้นที่จังหวัดนครปฐมด้วย สำหรับเรื่องการบริหารจัดการน้ำเสีย ทางจังหวัดมีองค์การจัดการน้ำเสียในการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ทั้งนี้ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็พร้อมที่จะช่วยเหลือและบูรณาการการทำงาน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหากับทางจังหวัด และในประเด็นเรื่องการขอรับความช่วยเหลือแก่ผู้เพาะเลี้ยงจระเข้นั้น เนื่องจากมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงจะขอนำไปหารือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​114 ปี แห่งการพัฒนา “กรมพระธรรมนูญ”
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ​114 ปี แห่งการพัฒนา “กรมพระธรรมนูญ” กรมพระธรรมนูญ ได้มีการพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรอบรู้และมีความสามารถในการปฏิบัติภารกิจอยู่เสมอ รวมทั้งเป็นองค์กรหลักของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานเกี่ยวกับด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมของทหาร ที่มุ่งธำรงความยุติธรรม แก่กำลังพลและประชาชน รักษาดุลยภาพแห่งกฎหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดด้านการทหารของชาติ ในการนี้ได้รับเกียรติในการบรรยายพิเศษ โดยนายวิษณุ​ เครือ​งาม​ รองนายก​รัฐมนตรี​ เรื่อง เทคนิคการใช้กฎหมายของผู้บังคับบัญชา และท่านไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เรื่อง ศาลยุติธรรมกับความปกติใหม่ (New Normal) โดย พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมพระธรรมนูญครบรอบ 114 ปี และได้เป็นประธานมอบเข็มพระดุลยาธิปัตย์กิตติมศักดิ์ และมอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่ได้ประกอบคุณงามความดีแก่โรงเรียนเหล่าพระธรรมนูญและกรมพระธรรมนูญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35011
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แจงไม่ห้ามชุมนุม ถือเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ยืนยันพร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรี แจงไม่ห้ามชุมนุม ถือเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ยืนยันพร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี แจงไม่ห้ามชุมนุม ถือเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ยืนยันพร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้ (25 ส.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น จ.ระยอง ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการชุมนุมเคลื่อนไหวในขณะนี้ว่าเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ยืนยันไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด แต่ขอให้ดูข้อมูลทั้งสองด้านประกอบการตัดสินใจ ซึ่งหลายเรื่องรัฐบาลได้มีการดำเนินการจนเกิดผลสัมฤทธิ์แล้ว อย่างไรก็ตามทุกคนต้องช่วยกันทำงานและสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ รวมถึงสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีรองรับการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้การให้ข้อมูลต่าง ๆ ให้อยู่บนข้อเท็จจริงและความถูกต้อง และอย่าทำให้เกิดการแตกความสามัคคีขึ้นในสังคม ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ข้อ 12 ที่จะดำเนินการอยู่แล้ว โดยมีการระบุว่าสนับสนุนให้มีการศึกษา รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะในส่วนหลักเกณฑ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขณะนี้วิปรัฐบาลกำลังดำเนินการที่จะนำร่างข้อเสนอของแต่ละพรรคร่วมต่าง ๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเสนอได้ และขอให้รับฟังในขั้นตอนการพิจารณาต่อไป -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย ปี 2563 จากที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 รมว.พม. รับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย ปี 2563 จากที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล รมว.พม. รับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย ปี 2563 จากที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล วันนี้ (10 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)รับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย ประจำปี 2563 จากที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปพิจารณาแก้ไขปัญหาตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 โดยปีนี้ มีข้อเสนอแนะและแก้ไขปัญหาหลายด้าน เช่น ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เสนอทบทวนเมืองอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา การชดเชย จัดหาที่อยู่อาศัยให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากรถไฟรางคู่ที่ จ.ขอนแก่น ปัญหาโรงงานขยะอุตสากรรมในภาคตะวันออก เป็นต้น โดยมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศ รวมทั้งภาคีเครือข่าย และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานประมาณ 450 คน อีกทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน ระหว่างสภาองค์กรชุมชนกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังเป็นประธานในพิธีมอบโล่แก่องค์กรดีเด่น ประจำปี 2563 จำนวน 15 รางวัล ให้กับสภาองค์กรชุมชนตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล/เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ณ ห้องประชุมไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เขตบางกะปิ กทม. นายจุติกล่าวว่า ด้วยสภาองค์กรชุมชนจัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 โดยมีบทบาทและภารกิจสำคัญในการส่งเสริมให้ชุมชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตำบลในด้านต่างๆ ทั้งสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม การเสนอแนะปัญหา แนวทางแก้ไข และความต้องการของประชาชนที่เกี่ยวกับการจัดทําบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น โดยได้กำหนดให้มีการประชุมสภาฯ ในระดับตำบลอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง และประชุมในระดับชาติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สำหรับปี 2563 ที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลมีข้อเสนอเชิงนโยบาย ตามมาตรา 32 (2) ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย รวมทั้งจัดการบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลต่อพื้นที่มากกว่าหนึ่งจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 1. สนับสนุนตำบลเข้มแข็งและพื้นที่จัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม 2. ส่งเสริมฟื้นฟูอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ และ 3.สนับสนุนการจัดการปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และข้อเสนอเชิงนโยบาย ตามมาตรา 32 (3) สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไข เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ ได้แก่ 1. จะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต 2. เขตพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา และ 3. ผลกระทบจากโรงงานประกอบกิจการขยะ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน ระหว่างสภาองค์กรชุมชนกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนสภาองค์กรชุมชนฯ ทั่วประเทศ (ปัจจุบัน มีการจัดตั้งแล้ว 7,825 แห่ง) ให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมลงนามได้อย่างกว้างขวาง ประกอบด้วย 1. สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) 2. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) 3. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) 4. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 5. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. 6. กองดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ 7. สำนักประสานสนับสนุนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะรองรับสังคมสูงวัย (สป.สว.) 8. ศูนย์วนศาสตร์เพื่อคนกับป่า (RECOFTC) 9. มูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ และ 10. สภาเกษตรกรแห่งชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34988
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสตาร์ทอัพ Betta EV เปิดตัวโครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Beta EV Lady Taxi สร้างอาชีพใหม่ให้กับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 พม. จับมือสตาร์ทอัพ Betta EV เปิดตัวโครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Beta EV Lady Taxi สร้างอาชีพใหม่ให้กับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พม. จับมือสตาร์ทอัพ Betta EV เปิดตัวโครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Beta EV Lady Taxi สร้างอาชีพใหม่ให้กับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เมื่อวันที่2 ก.ย. 63เวลา 14.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Beta EV Lady Taxi เพื่อสร้างอาชีพใหม่ให้กับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบโรคโควิด-19 ด้วยบริการรถยนต์สาธารณะพลังงานไฟฟ้า 100% สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. สตาร์ทอัพ Betta EV และผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และเกรท วอลล์ มอเตอร์ส (Great Wall Motors) อีกทั้งยังมีแท็กซี่จิตอาสาที่ขับรถไฟฟ้าบริการฟรี ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคม ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า โครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Betta EV Lady Taxi เป็น Platform Taxi EV แนวคิดใหม่ที่จะเปลี่ยนบริการรถยนต์สาธารณะ (Taxi) ให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เพื่อยกระดับและพัฒนาภาพลักษณ์วิชาชีพแท็กซี่ให้เป็นผู้ส่งความสุข ความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารและสังคมในภาพรวม โดยได้เปิดรับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้สามารถเข้าสู่วิชาชีพใหม่ที่จะสร้างรายได้ที่เพียงพออย่างมั่นคง และที่สำคัญจะเป็นการช่วยลดปัญหามลพิษจากรถบริการสาธารณะที่วิ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 85,000 คัน นอกจากนี้ กระทรวง พม. ได้เสนอสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ คือ การเช่าที่พักอาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ด้วยอัตราเพียงเดือนละ 999 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอีกทางหนึ่งด้วย นายจุติกล่าวต่อไปว่า สำหรับการพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทางกระทรวง พม.จะมีนักสังคมสงเคราะห์ลงพื้นที่ตรวจสอบคัดกรองผู้สมัคร เพื่อให้ได้คนขับแท็กซี่รุ่นใหม่ที่มีความประพฤติดีและมีหัวใจบริการ ตลอดจนมีการพัฒนาฝึกอบรมให้ผู้ร่วมโครงการฯ มีศักยภาพในด้านต่างๆ ภายใต้แนวคิดการทำงานหลายหน้า (Multi-Task Working) เปลี่ยนผู้ขับแท็กซี่เป็นผู้ส่งความสุข และบริการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสาร เช่น บริการ Carpool รับส่งลูกหลานไปโรงเรียน รับส่งผู้สูงอายุ ผู้หญิงท้องไปโรงพยาบาล และรับส่งผู้พิการ เป็นต้น ซึ่งโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้ที่ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด- 19 โดยเฉพาะผู้หญิง ในเบื้องต้นจะเริ่มต้นที่ 200 คนแรก สู่เป้าหมาย 170,000 คน ด้วยรายได้เฉลี่ยคนละ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป โดยมีเป้าหมายภายใน 9 ปี จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ รวม 40,800 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ มีพันธมิตรทางธุรกิจหลักของโครงการฯ คือ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ BEV ในประเทศไทย และเกรท วอลล์ มอเตอร์ส (GWM) ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านรถไฟฟ้าและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับการเดินทางสมัยใหม่ของคนรุ่นใหม่ ที่จะจัดการทุกอย่างผ่าน application ทำให้สามารถมีรถส่วนตัวใช้ และสร้างรายได้จากการบริการขับรถแบบ Part-time นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการแท็กซี่ไฟฟ้า Betta EV Lady Taxi มีการเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ จากนั้น จะมีการพิจารณาคัดเลือกและฝึกอบรม โดยคาดว่า Betta EV จำนวน 100 คัน จะพร้อมให้บริการในพื้นที่ กทม. ในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป และระหว่างนี้ จะมีรถไฟฟ้าทดลองให้บริการนั่งฟรีส่งถึงบ้าน โดยอาสาสมัครจากหลากหลายอาชีพ อาทิ คุณแก้ว บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชิญชวนผู้หญิงให้มาขับรถ Taxi เพื่อผลักดัน Lady Taxi ภายใต้แนวคิด Lady drive Lady First คุณป๊อป วิศวกรไฟฟ้า ผู้ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) บิงซู เชิญชวนร่วมผลักดันนวัตกรรมรถไฟฟ้า Car-sharing และคุณไอซ์ที เภสัชกรและนักออกแบบ จิตอาสาขับรถส่งพระไปโรงพยาบาล รวมทั้งคนขับแท๊กซี่จิตอาสารับ-ส่ง คนไร้บ้านไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวของกระทรวง พม. ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ สามารถเข้าไปกรอกใบสมัคร ได้ที่ www.bettaev.org หรือที่ facebook.com/bettaevorg ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดประชุมสร้างความร่วมมือด้านเครือข่ายการผลิต
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา เปิดประชุมสร้างความร่วมมือด้านเครือข่ายการผลิต รมช.มนัญญา เปิดประชุมสร้างความร่วมมือด้านเครือข่ายการผลิต ขยายช่องทางตลาด เดินหน้ายกระดับศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ให้มีศักยภาพพร้อมกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภค รมช.มนัญญาเปิดประชุมสร้างความร่วมมือด้านเครือข่ายการผลิตขยายช่องทางตลาด เดินหน้ายกระดับศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ให้มีศักยภาพพร้อมกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภค นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความร่วมมือด้านการผลิตและการตลาดผ่านศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ พร้อมมอบโยบายให้กับผู้แทนสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์และสหกรณ์เครือข่ายเจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดรวม200คนร่วมกับนายพิเชษฐ์วิริยะพาหะอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ณโรงแรมเนวาด้าคอนเวนชั่นอำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานีจัดขึ้นระหว่างวันที่15 – 17กันยายน2563ว่าการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์เกิดการสร้างเครือข่ายการผลิตและการตลาดสินค้าสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นทั้งยังสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจระหว่างสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้ประกอบการเอกชนได้ด้วย รมช.มนัญญากล่าวว่าโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งทำหน้าที่เป็นช่องทางการตลาดสินค้าคุณภาพที่ผลิตโดยขบวนการสหกรณ์ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้ระบบสหกรณ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับชุมชนให้มีความเข้มแข็งผลิตสินค้าให้มีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อสร้างรายได้แก่สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรอย่างยั่งยืนทั้งยังมุ่งเน้นให้ใช้หลักการตลาดนำการผลิตเป็นแนวทางให้เกษตรกรวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดพัฒนาศักยภาพเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการทั้งด้านการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรอย่างมืออาชีพสามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งนี้โครงการศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์(Cooperative Distribution Center : CDC)ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี2555ปัจจุบันมีสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศจำนวน120แห่งมีปริมาณธุรกิจรวมกว่า6,000ล้านบาทซึ่งสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดได้แก่ข้าวสารและผลไม้ตามฤดูกาลรวมทั้งปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆเป็นต้น “เครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์เป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งมีความร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แลกเปลี่ยนสินค้าและเป็นกลไกหลักในการกระจายผลผลิตการเกษตรมากมายซึ่งการดำเนินงานของศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์จะสามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์ให้จำหน่ายผลผลิตได้มากขึ้นมีแหล่งหรือช่องทางการจำหน่ายที่แน่นอนโดยมีศูนย์กระจายสินค้าเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและกระจายสินค้าสู่สมาชิกและผู้บริโภคทั่วประเทศรวมทั้งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจกับผู้ประกอบการภาคเอกชนทำให้สมาชิกและเกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืนด้วย”รมช.มนัญญากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียึดหลักความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญวอนทุกฝ่ายสอดส่องดูแลการชุมนุม
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรียึดหลักความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญวอนทุกฝ่ายสอดส่องดูแลการชุมนุม นายกรัฐมนตรียึดหลักความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญวอนทุกฝ่ายสอดส่องดูแลการชุมนุม วันนี้ (15 กันยายน 2563) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า ตนเองไม่มีข้อขัดข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง การเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกระบวนการในรัฐสภา และมีการหารือในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งประกอบไปทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว รัฐบาลมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยถึงการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 ก.ย. นี้ ยืนยันทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก กำชับให้เจ้าหน้าที่ให้ดูแลความเรียบร้อย รวมถึงขอความร่วมมือจากแกนนำและผู้เข้าร่วมชุมนุมให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อให้ทุกคน และเยาวชน ซึ่งเป็นลูกหลานของเราได้รับความปลอดภัย เพราะรัฐบาลไม่ปิดกั้นการชุมนุมที่มีเจตนาบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียที่อาจมีผู้ไม่หวังดีใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมสร้างความวุ่นวาย และอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลได้ จึงขอให้ประชาชนทุกคนเข้าใจในการทำงานของรัฐบาลที่จะต้องบริหารราชการ จัดสรรงบประมาณ ตามกลไก เพื่อให้ประชาชนส่วนมากได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามบริหารจัดการสถานการณ์ในช่วงนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพื่อสร้างเสถียรภาพของในการทำงาน เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35104
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เตือนอย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างช่วยบรรจุเป็นข้าราชการรุ่นโควิด
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 อนุทิน เตือนอย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างช่วยบรรจุเป็นข้าราชการรุ่นโควิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนลูกจ้าง พนักงาน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข อย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างว่าจะช่วยเหลือให้บรรจุเป็นข้าราชการรุ่นโควิด ย้ำมีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ หากพบจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนลูกจ้าง พนักงาน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข อย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างว่าจะช่วยเหลือให้บรรจุเป็นข้าราชการรุ่นโควิด ย้ำมีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ หากพบจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด วันนี้ (1 กันยายน 2563) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับทราบข่าวว่ามีการแอบอ้างชื่อตนและผู้บริหารเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการบรรจุเป็นข้าราชการกรณีพิเศษในสถานการณ์โรคโควิด 19 จึงขอเตือนว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด หากผู้ใดพบการทุจริตให้ส่งหลักฐาน และแจ้งไปยังโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือส่วนกลาง เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดกับผู้กระทำการดังกล่าว เนื่องจากการบรรจุข้าราชการมีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ทุกกระบวนการ โดยหน่วยงานคัดเลือกตามฐานข้อมูลบุคลากรที่เสนอ ครม. อนุมัติ ซึ่งส่วนกลางจะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นตามรายชื่อที่ขอ ครม. และส่งให้หน่วยงานส่วนภูมิภาคตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครบ ก่อนส่งกลับให้ส่วนกลางออกคำสั่งบรรจุ “ขอเตือนว่า การแอบอ้างชื่อนั้นเป็นความผิดร้ายแรง หากพบเห็นให้แจ้งมาที่ตนได้ ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น ขอให้อย่าหลงเชื่อการกระทำดังกล่าว ไม่มีกระบวนที่สอดไส้รายชื่อได้” นายอนุทินกล่าว *************************** 1 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก พิจารณาให้การรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก GECC คาดปี 63 จะสามารถรับรองมาตรฐานฯ จำนวน 455 ศูนย์
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 “อนุชา” ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก พิจารณาให้การรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก GECC คาดปี 63 จะสามารถรับรองมาตรฐานฯ จำนวน 455 ศูนย์ “อนุชา” ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก พิจารณาให้การรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก GECC คาดปี 63 จะสามารถรับรองมาตรฐานฯ จำนวน 455 ศูนย์ วันนี้ (10 กันยายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 108 อรรถไกวัลวที ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 2/2563 เพื่อพิจารณาให้การรับรองมาตรฐาน GECC ประจำปี พ.ศ.2563 ซึ่งมีหน่วยงานของรัฐสมัครขอรับการรับรองมาตรฐานดังกล่าวแล้ว จำนวน 1,461 ศูนย์ คาดว่าจะได้รับการรับรองมาตรฐาน จำนวน 455 ศูนย์ โดยจำแนกเป็นการรับรองในระดับเป็นเลิศ จำนวน 5 ศูนย์ ระดับก้าวหน้า จำนวน 95 ศูนย์ และระดับพื้นฐาน จำนวน 355 ศูนย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ทุกกระทรวง กรม จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินการจัดให้มีศูนย์ราชการสะดวก หรือ Government Easy Contact Center “GECC” เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำ และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มาขอรับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนต่อการให้บริการจากหน่วยงานของรัฐ โดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวกขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางการจัดตั้งและมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (มาตรฐาน GECC) กับกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการประเมินผลและการรับรองมาตรฐาน GECC รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย คณะกรรมการฯ ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อเป็นมาตรฐานในการให้บริการประชาชน 3 ด้าน ได้แก่ เกณฑ์ด้านกายภาพ เกณฑ์ด้านคุณภาพ และเกณฑ์ด้านผลลัพธ์ ซึ่งหากผ่านหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก็จะได้รับโล่และตราสัญลักษณ์ศูนย์ราชการสะดวกที่แสดงถึงการพัฒนาการให้บริการประชาชนที่ “สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย” เบ็ดเสร็จได้ ณ จุดเดียว โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559-2562 คณะกรรมการฯ ได้ให้การรับรองมาตรฐาน GECC แก่หน่วยงานของรัฐไปแล้ว จำนวน 1,008 ศูนย์ มีทั้งหน่วยงานราชการในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค ศูนย์สาธารณสุข สำนักงานขนส่งจังหวัด ธนาคาร (ธ.ก.ส.) โรงพยาบาล สำนักงานที่ดิน ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตจังหวัด และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวจะมีอายุการรับรอง 3 ปีนับจากปีที่ได้รับการรับรองนั้น ทั้งนี้ เพื่อการให้บริการที่ดีและประโยชน์สุขแก่ประชาชน สามารถติดตามหรือสอบถามข้อมูลข่าวสารได้ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือผ่านช่องทาง Online ที่ Facebook คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ....................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรคเผย การตรวจโควิด 19 แรงงานไทย-ต่างด้าว ที่อาจไม่รัดกุมเพียงพอ
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 กรมควบคุมโรคเผย การตรวจโควิด 19 แรงงานไทย-ต่างด้าว ที่อาจไม่รัดกุมเพียงพอ กรมควบคุมโรคเผย การตรวจโควิด 19 แรงงานไทย-ต่างด้าว ที่อาจไม่รัดกุมเพียงพอ จ. 14 กันยายน 2563 นายสุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงการตรวจโควิด 19 แรงงานไทย-ต่างด้าว จากเพจหมอแล็บแพนด้า ได้โพสต์ภาพแชทของพนักงานสาวในสถานประกอบการแห่งหนึ่ง ที่เผยเรื่องราวการตรวจหาโควิด 19 ของเจ้าหน้าที่ที่ทำแบบผักชีโรยหน้าว่า "ที่ตรวจไม่เจออาจเป็นเพราะไม่ได้ตรวจอย่างจริงจัง เพราะว่าเคยมีเจ้าหน้าที่เข้ามา ตรวจคัดกรองโควิด ในสถานประกอบการที่ทำงานอยู่ และมีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คน ทำการตรวจ โดยเอาที่วัดอุณหภูมิมายิงหัว ไม่มีการตรวจน้ำลายอะไรเลย” จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดที่พื้นที่ในจังหวัดสงขลา โดยน่าจะเกิดจากปัญหาการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ จึงเป็นเหตุทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนของประชาชน โดยจากการตรวจสอบข้อมูลกับพื้นที่ พบว่าในช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม 2563 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาได้รับมอบหมายจากกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำเนินการสุ่มตรวจแรงงานต่างด้าวในจังหวัดสงขลา จำนวน 400 ตัวอย่าง โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดแล้ว ซึ่งมีการเก็บตัวอย่าง ด้งนี้ อำเภอสะเดา จำนวน 110 ตัวอย่าง อำเภอบางกล่ำ จำนวน 100 ตัวอย่าง อำเภอสิงหนคร จำนวน 103 ตัวอย่าง และ อำเภอหาดใหญ่ จำนวน 87 ตัวอย่าง ผลตรวจทั้งหมดไม่พบเชื้อ โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอร่วมดำเนินการ ทั้งนี้ ก่อนเข้าไปดำเนินการได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่พยาบาลประจำโรงงานทุกครั้ง และได้อธิบายแนวทางการสุ่มตรวจทุกขั้นตอนได้ดำเนินการตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด การสุ่มตรวจครั้งนี้ เป็นการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 ในประชากรกลุ่มเสี่ยง หรือสถานที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นการตรวจจากการเก็บตัวอย่างจากน้ำลายในประชากรกลุ่มตัวอย่าง เหมือนดังเช่นการศึกษาที่ กรมควบคุมโรคได้เคยดำเนินการสุ่มตรวจไปแล้วในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 100,000 ราย ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อประเมินความเสี่ยงในสถานประกอบการที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งผลการตรวจในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม นั้น ตรวจไม่พบการติดเชื้อ และในการดำเนินงานในครั้งนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นใจด้าน การป้องกันควบคุมโรคในระดับพื้นที่ กรมควบคุมโรค ได้มีการประสานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา เพื่อให้สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุข มีมาตรการในการดำเนินงานที่เคร่งครัด และมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงขอให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีความเข้มแข็งและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ..........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. แต่งตั้ง “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” อดีตรองปลัดฯ ขึ้นปลัดวธ.คนใหม่ รับทราบวีดิทัศน์มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ วธ.เสนอ เน้นพัฒนาแหล่งเรียนรู้-ท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 ครม. แต่งตั้ง “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” อดีตรองปลัดฯ ขึ้นปลัดวธ.คนใหม่ รับทราบวีดิทัศน์มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ วธ.เสนอ เน้นพัฒนาแหล่งเรียนรู้-ท่องเที่ยว ครม. แต่งตั้ง “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” อดีตรองปลัดฯ ขึ้นปลัดวธ.คนใหม่ รับทราบวีดิทัศน์มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ วธ.เสนอ เน้นพัฒนาแหล่งเรียนรู้-ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ยกระดับเทศกาล-ประเพณีท้องถิ่น ครม. แต่งตั้ง “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” อดีตรองปลัดฯ ขึ้นปลัดวธ.คนใหม่ รับทราบวีดิทัศน์มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ วธ.เสนอ เน้นพัฒนาแหล่งเรียนรู้-ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ยกระดับเทศกาล-ประเพณีท้องถิ่น ดันแผน “พัทยา” ศูนย์กลางถ่ายทำภาพยนตร์-เมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่ห้องประชุมสุนทรภู่ ชั้น ๒ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น ระยอง จ.ระยอง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็น ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมคนใหม่ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นำเสนอ ทั้งนี้ เพื่อทดแทนตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรมที่เกษียณอายุราชการลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งผู้บริหารในตำแหน่งดังกล่าวเป็นการแต่งตั้งผู้มีความสามารถในการบริหารงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม และเพื่อให้การบริหารงานวัฒนธรรมและการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจของกระทรวงวัฒนธรรมมีความต่อเนื่อง นายอิทธิพล กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบวีดิทัศน์ มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ วธ. นำเสนอ ทั้งนี้ วีดิทัศน์ดังกล่าวสืบเนื่องจากรัฐบาลได้จัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดฐานการผลิตเทคโนโลยีใหม่ มีการพัฒนาคน ความรู้ เพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว โดย วธ. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมในพื้นที่ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ๑. ส่งเสริมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร โดยพัฒนาชุมชนที่มีความโดดเด่นใน ๓ มิติ คือ ยึดมั่นในหลักธรรมทางศาสนา น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินชีวิตวิถีวัฒนธรรมที่ดีงามของชุมชน เช่น ชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ บ้านชากแง้ว จ.ชลบุรี ชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ บ้านเก่าริมน้ำประแส จ.ระยอง เป็นต้น โดยปัจจุบันพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ มีชุมชนคุณธรรมฯ ทั้งหมด ๕๗๗ ชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนส่งเสริมคุณธรรม ๒๘๒ แห่ง ชุมชนคุณธรรม ๑๕๖ แห่ง และชุมชนคุณธรรมต้นแบบ ๑๐๖ แห่ง ๒.พัฒนาแหล่งเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ยกระดับเทศกาลประเพณี นำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างงานสร้างอาชีพ อาทิ บูรณะโบราณสถานวัดทุ่งควายกิน อ.เมือง จ.ระยอง พัฒนาอุทยานการเรียนรู้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ตามรอยเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จัดถนนสายวัฒนธรรมในพื้นที่ ๑๑ แห่ง เช่น ถนนสายวัฒนธรรมชุมชนเกาะสีชัง ถนนสายวัฒนธรรมเดินกินถิ่นนาเกลือ ถนนสายวัฒนธรรมประแสร์ ส่งเสริมประเพณีท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เช่น ประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำ ประเพณีวันไหล ประเพณีวิ่งควาย รวมทั้งพัฒนาสินผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนและท้องถิ่น อาทิ เครื่องจักสานพนัสนิคม ผ้าฝ้ายมัดโคลนทะล เป็นต้น นอกจากนี้ จัดโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม (4DNA) โดยเข้าไปช่วยชุมชนค้นหาจุดเด่น อัตลักษณ์ของตนเองในพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ออกแบบเป็นสัญลักษณ์ โลโก้ หรือลวดลายสินค้าพิเศษเพื่อเพื่มมูลค่าให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ได้จัดทำแผนฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (วิด-19) โดยได้ดำเนินโครงการบวร ออนทัวร์ ในชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ ที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการนำวิถีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน มาสร้างแหล่งเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น ชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ บ้านซากแง้ว ชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ บ้านเก่าริมน้ำประแส เป็นต้น ขณะเดียวกันได้มีแผนศึกษาแนวทางการพัฒนาแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมระดับนานาชาติ และส่งเสริมศิลปิน ผู้ประกอบการ และผู้สร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรม เช่น ศิลปินพื้นบ้าน ลำตัด ลิเก วงดนตรีไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ โดยเฉพาะเมืองพัทยามีความพร้อมทั้งทางด้านทำเลที่ตั้งระบบคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกด้าน วธ.จึงได้เตรียมแผนพัฒนาเมืองพัทยาให้เป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ รายได้ และสร้างศักยภาพเป็นเมืองท่องเที่ยวให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่า จะสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดผู้ประกอบการ และการจัดงานภาพยนตร์ระดับนานาชาติในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งพัทยาและภาพรวมทั้งประเทศ เป็นศูนย์กลางเทศกาลและตลาดภาพยนตร์ระดับโลก มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๙.๕ เกิดการจ้างงานและการต่อยอดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ และในอนาคตเตรียมเสนอเมืองพัทยาเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ ของ UNESCO ต่อไปด้วย “พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ มีศักยภาพทางวัฒนธรรมสูงทั้งความสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย มีแหล่งโบราณคดีและแหล่งศิลปวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ จึงควรส่งเสริมให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้และการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และควรส่งเสริมให้มีเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ของ UNESCO ตนจึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สป.วธ. กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ศึกษาแนวทางการพัฒนาแหล่งศิลปวัฒนธรรมเพื่อการเรียนรู้และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่ EEC เพื่อเป็นศูนย์กลางและ Landmark ด้านศิลปวัฒนธรรมระดับนานาชาติ รองรับการเรียนรู้และการท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้สั่งการให้ สป.วธ. ประสานงานกับเมืองพัทยา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมในการผลักดันให้เมืองพัทยาสมัครเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ของ UNESCO เพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตและถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก ดึงดูดการจัดเทศกาลและบุคลากรด้านภาพยนตร์ระดับนานาชาติ ยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับโลก ส่งเสริมเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ไทยสู่สากล” รมว.วธ. กล่าว -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระตุ้นทุกจังวัดจัด "เดิน กิน ชิม เที่ยว ถนนคนเดิน" ฟื้นเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 กระตุ้นทุกจังวัดจัด "เดิน กิน ชิม เที่ยว ถนนคนเดิน" ฟื้นเศรษฐกิจ -- #ไทยคู่ฟ้า ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง และภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กระทรวงมหาดไทย สั่งการให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรม “เดิน กิน ชิม เที่ยว ถนนคนเดิน” อย่างต่อเนื่องตลอดปี อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้ให้ประชาชนในระดับจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมกำชับให้ทุกจังหวัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย WHO ชื่นชมไทยควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ผลิตคลิปเผยแพร่ทั่วโลก
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 อนุทิน เผย WHO ชื่นชมไทยควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ผลิตคลิปเผยแพร่ทั่วโลก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกผลิตสารคดีความสำเร็จของประเทศไทยในการควบคุมโรคโควิด 19 เผยแพร่ ชื่นชมระบบสาธารณสุขพื้นฐานเข้มแข็ง ใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน มี อสม.ช่วยเฝ้าระวังในชุมชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกผลิตสารคดีความสำเร็จของประเทศไทยในการควบคุมโรคโควิด 19 เผยแพร่ ชื่นชมระบบสาธารณสุขพื้นฐานเข้มแข็ง ใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน มี อสม.ช่วยเฝ้าระวังในชุมชน นักระบาดวิทยามีความชำนาญ ห้องแล็บมีศักยภาพ เข้มค้นหา แยกกัก รักษาผู้ป่วย และติดตามผู้สัมผัส นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี จนเป็นที่ยอมรับและได้รับการชื่นชมจากองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ องค์การอนามัยโลกจึงมาถ่ายทำและผลิตวิดีโอ “แบ่งปันประสบการณ์โควิด19และมุมมองการตอบสนองของประเทศไทย”เป็นคลิปสารคดีเกี่ยวกับความสำเร็จของประเทศไทยในการตอบสนองต่อโรคโควิด 19 และการป้องกันควบคุมโรค เพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันประสบการณ์แก่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือเป็นประเทศที่ 2 ถัดจากประเทศนิวซีแลนด์ โดยได้จัดทำเป็นวิดีโอ 2 ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ มีความยาวประมาณ 4.25 นาที เผยแพร่ทางช่อง Youtube ของ World Health Organization https://youtu.be/0wFuq-QdwAU หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์องค์การอนามัยโลกwww.who.int/covid-19 นายอนุทินกล่าวต่อว่า ใจความสำคัญที่ต้องการถ่ายทอดคือ หากมีระบบสาธารณสุขพื้นฐานที่เข้มแข็ง การต่อสู้กับโรคระบาดอย่างโรคโควิด 19 จะง่ายขึ้นมาก ซึ่งประเทศไทยใช้เวลาถึง 40 ปีในการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข โดยจุดเด่นของระบบสุขภาพของไทยคือ การออกแบบเพื่อปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ตอบสนองได้รวดเร็วด้วยยุทธศาสตร์ที่ให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมในการป้องกัน ค้นหา รักษา และติดตาม ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้พยายามสื่อสารกับทุกประเทศถึงความจำเป็นในการค้นหาผู้ป่วย แยกกัก รักษา และติดตามผู้สัมผัส นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกมองว่าปัจจัยความสำเร็จของประเทศไทยคือ การที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพที่มีความเข้มแข็ง ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เฝ้าระวังควบคุมการแพร่ระบาดในชุมชน มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีแรงจูงใจ ทุ่มเททำงาน มีนักระบาดวิทยาภาคสนามที่มีความชำนาญ ห้องปฏิบัติการมีศักยภาพสูง และความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ ความสำเร็จในการรับมือโรคโควิด 19 จึงเป็นบทพิสูจน์ถึงการเตรียมการและวางแผนกันมาอย่างดีของประเทศไทย ด้าน ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า การตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพของประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องซึ่งมีรากฐานจากหลายทศวรรษแห่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและความพร้อมในระดับสูงที่จะรับมือกับการระบาดของไวรัสหรือสถานการณ์สาธารณสุขฉุกเฉินอื่นๆ เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยได้เริ่มรับมืออย่างรวดเร็วเมื่อต้นเดือนมกราคมเมื่อเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่าโรคโควิด 19 จะเป็นปัญหาใหญ่ ข้าพเจ้าขอชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันของรัฐบาลในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนของสังคมเพื่อรับมือกับความท้าทายใหญ่หลวงนี้ และขอแสดงความยินดีกับบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครทุกคนที่ได้ทุ่มเทเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น ********************************* 16 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 กันยายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 กันยายน 2563 วันนี้ (3 กันยายน 2563) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 กันยายน 2563 วันนี้ (3 กันยายน 2563) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (อินโดนีเซีย 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 3 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,277 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.62 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 92 ราย หรือร้อยละ 2.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,427 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เดินทางมาจาก อินโดนีเซีย 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 22 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 20 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ. ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 1 กันยายน 2563 (เป็นวันที่ 12 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย สหรัฐอเมริกา 1รายเป็น เพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 23 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 21สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 1 กันยายน 2563 (เป็นวันที่ 11 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์ทั่วโลกวันนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสม 26,174,024 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 286,167 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 866,535 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา บราซิล และอินเดีย ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 121 ของโลก จากการประชุมกระทรวงสาธารณสุขในวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้นโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการบริหารจัดการสถานการณ์ของโรคโควิด 19 โดยเฉพาะในเรื่องการผลิตและได้มาของวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีส่วนร่วมเป็นประเทศแรกๆ ในโลกที่ได้รับวัคซีน โดยรัฐบาลได้สนับสนุนจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาวิจัยและผลิตวัคซีนในประเทศ มีการเจรจากับต่างประเทศที่มีการพัฒนาวัคซีน และร่วมมือกันรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อทำการผลิตในประเทศ คาดว่า ในต้นปี 2564 จะได้มาซึ่งวัคซีน และใช้เวลาอีก 6 เดือนในการผลิต ซึ่งจะมีกำลังในการผลิต 200 ล้านโด๊ส ต่อปี รวมถึงการจัดซื้อจัดหาวัคซีนนำมาใช้ในประเทศ โดยอยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือกับโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งมี 10 บริษัทที่มีแนวโน้มจะผลิตวัคซีนออกมาได้ หากไทยเข้าร่วมลงทุน ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามที่ผลิตวัคซีนได้ก่อน ประเทศไทยจะมีสิทธิได้ใช้ด้วย สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย โดยในวันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 76 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม 995 ราย โดยรัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือ รัฐกะเหรี่ยง และย่างกุ้ง ส่วน รัฐยะไข่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างชัดเจน โดยใน 1 เดือน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จาก 16 ราย เป็น 413 ราย ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ ประเทศไทยจึงได้เพิ่มการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น ในแถบพื้นที่แนวชายแดน โดยได้มีความร่วมมือกับฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น ความมั่นคง และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการดูแลประชาชนในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้มีรายงานการลักลอบเข้าประเทศอยู่บ้าง แต่จากการตรวจจับผู้ลักลอบเข้าเมือง ทำการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั้งหมดยังไม่พบการติดเชื้อ ขอความร่วมมือ อสม. และประชาชนในพื้นที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐในการดูแลพื้นที่แถบชายแดน ส่วนผู้ที่รับแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะแรงงานผิดกฎหมายเข้าทำงานในระยะนี้ ขอให้งดเว้นไปก่อน เพื่อป้องกันการนำเชื้อเช้าสู่ประเทศซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปในอนาคต นอกจากนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ทำการสำรวจพฤติกรรมของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในแบบสอบถามออนไลน์เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับมาตรการของภาครัฐ โดยได้ทำการสำรวจทุก 2 สัปดาห์ ครั้งนี้สำรวจระหว่างวันที่ 14-31 สิงหาคม 2563 จำนวน 55,799 ตัวอย่าง พบว่าประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลงอย่างชัดเจนในทุกด้าน ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย, การระวังไม่นำมือสัมผัสใบหน้า ตา จมูกปาก, การล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่าง จากเดิมภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 87.2 ลดลงเหลือ ร้อยละ 73.6 ส่วนมาตรการของภาครัฐที่ประชาชนมั่นใจที่สุดคือในด้านการรักษาพยาบาล และการให้ขอมูลที่ถูกต้องรวดเร็ว และประชาชนยังเห็นด้วยกับการมีสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) สำหรับวันหยุดยาวที่จะมาถึงในวันที่ 4 – 7 กันยายน 2563 นี้ขอความร่วมมือของประชาชนทุกคนท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่อยู่ในสถานที่สาธารณะ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการป่วย เป็นไข้ หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ ควรพักรักษาตัวอยู่บ้าน ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และลงทะเบียนเข้า-ออก สถานที่ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการ ********************* 3 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34807
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2563
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,242 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.05 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 111 ราย หรือร้อยละ 3.25 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,411 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นเพศหญิง อายุ 30 ปี สัญชาติไทย อาชีพ รับจ้าง เดินทางมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ถึงประเทศไทยวันที่ 15 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่ จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 26 สิงหาคม 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์การของโรคโควิด 19 ทั่วโลกขณะนี้ยังคงพบการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง มีรายงานผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสม 24,906,503 ราย มีอัตราการการเพิ่มของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันกว่า 200,000 ราย ซึ่งประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา, บราซิล และอินเดีย นอกจากนี้มีหลายประเทศกลับมาพบการระบาดในระลอกที่ 2 เช่น ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เวียดนาม เมียนมาร์ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยได้จัดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 รองรับในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกราย โดยมีระบบเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) , สถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) หรือโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) นอกจากนี้บริเวณด่านพรมแดนต่างๆ มีด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังกลุ่มแรงงาน และผู้ที่เดินทาง เพื่อป้องกันการนำเชื้อโควิด 19 เข้าสู่ประเทศ อย่างไรก็ตามแม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะไม่พบการติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว แต่เพื่อเป็นการป้องกันการระบาดระลอก 2 เช่นเดียวในหลายประเทศ ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่ตระหนักและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ได้ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ไม่นำตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยงต่างๆ เลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัดคนรวมกันจำนวนมาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ รับประทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว ที่สำคัญคือเมื่อป่วยเป็นไข้ มีอาการระบบเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก ต้องอยู่บ้านพักรักษาตัวไม่ไปในสถานที่ต่างๆ ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และลงทะเบียนเข้า-ออก สถานที่ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ เพราะเมื่อหากพบผู้ติดเชื้อ จะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคต่อไป ********************* 29 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพบกมุ่งพัฒนาข้าราชการในสังกัดผ่านการบริหารจัดการทางการเงินแบบครบวงจร
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 กองทัพบกมุ่งพัฒนาข้าราชการในสังกัดผ่านการบริหารจัดการทางการเงินแบบครบวงจร ผบ.ทบ. และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงการให้บริการจัดการทางการเงินและบริการด้านสิทธิกำลังพลการให้สินเชื่อโครงการเงินกู้เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการกองทัพบก และการให้บริการโครงการพัฒนาระบบการดำเนินงานของกองทัพบก วันที่ 9 กันยายน 2563 ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงการให้บริการจัดการทางการเงินและบริการด้านสิทธิกำลังพลการให้สินเชื่อโครงการเงินกู้เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการกองทัพบก และการให้บริการโครงการพัฒนาระบบการดำเนินงานของกองทัพบก (กิจการออมทรัพย์ข้าราชการกองทัพบก รวมสวัสดิการทหารบกอทบ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงินของกองทัพบก พร้อมทั้งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตข้าราชการในสังกัด โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศปลัดกระทรวงการคลังและประธานกรรมการ ธนาคารกรุงไทยเป็นสักขีพยานการลงนามในครั้งนี้ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ เปิดเผยว่า ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ข้าราชการกองทัพบก มีหลักประกันชีวิตด้วยการออมเงินตั้งแต่เริ่มต้นรับราชการ เพื่อให้มีเงินเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตภายหลังจากที่พ้นสภาพจากข้าราชการ ซื้อที่อยู่อาศัย หรือการดำรงชีวิตอื่นๆ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงได้คิดริเริ่มดำเนินโครงการนี้ขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐที่มีศักยภาพ มั่นคง และโปร่งใส มาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้เพื่อเป็นการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในสังกัด โครงการนี้มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่กำลังพลของกองทัพบกเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้านนายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นหนึ่งในธนาคารที่มุ่งให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรแก่ทุกกลุ่มบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้มีรายได้น้อย ผู้อยู่ในวัยเกษียณ นักศึกษา ข้าราชการพนักงานทั่วไป หรือเจ้าของกิจการ โดยในครั้งนี้ธนาคารให้บริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจรกับกองทัพบก เช่น บริการบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และสินเชื่อสวัสดิการสำหรับข้าราชการและกำลังพลที่ใช้บริการบัญชีเพื่อรองรับการจ่ายตรงเงินเดือนจากกรมบัญชีกลางผ่านธนาคารกรุงไทย นอกจากนี้ยังมีบริการครอบคลุมด้านอื่นๆเช่น Smart Healthcare andWellness สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลในสังกัด รวมถึง Smart RTA Academy สำหรับสถานศึกษาในสังกัด เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด19 สนามบินอู่ตะเภา
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด19 สนามบินอู่ตะเภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค สนามบินนานาชาติ อู่ตะเภา สร้างความเชื่อมั่นมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค บ่ายวันนี้ (24 สิงหาคม 2563) ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยอง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานพร้อมเยี่ยมชมมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมจุดคัดกรอง ช่องทางด่านเข้าออกระหว่างประเทศ ทั้งนี้ผู้เดินทางทุกคนจะถูกคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกายและตรวจสุขภาพตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด หากพบผู้เดินทางที่ไม่ผ่านการคัดกรอง คือมีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.3 องศาเซลเซียสหรือมีอาการตามนิยามผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค(PUI) จะถูกสอบสวนโรคที่ห้องแยกกัก และรายงานข้อมูลไปที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ชลบุรี กรมควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง เพื่อส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ และผู้เดินทางที่ผ่านการคัดกรองอุณหภูมิและเอกสารทางราชการแล้วจะต้องลงทะเบียนเช็คอิน รับสัมภาระที่ทำลายเชื้อแล้ว และขึ้นรถขนส่งไปยังสถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด (State quarantine) หรือสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State quarantine) ครบ 14 วัน โดยจะมีการตรวจหาเชื้อผู้เข้าพักทุกคน ระหว่างอยู่ในสถานที่กักตัวอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อเพื่อความปลอดภัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยอง มีภารกิจคัดกรองคนไทยที่เดินทางกลับประเทศ ก่อนเข้าสู่สถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด โดยศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อม ทั้งมาตรการควบคุมป้องกัน บุคลากรและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และการท่าอากาศยาน ที่ผ่านมาได้คัดกรองผู้เดินทางและลูกเรือ อาทิ คนไทยกลับบ้านที่เดินทางจากเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน, กลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยน (AFS) ชาวไทย จากประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มทหารอียิปต์ จากประเทศอียิปต์ จากข้อมูลผู้เดินทางและได้รับการคัดกรอง ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 19 สิงหาคม 2563 มีจำนวน 665 เที่ยวบิน รวม 120,329 ราย ส่งตรวจหาเชื้อทั้งหมด 580 ราย พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จำนวน 269 ราย ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 6 ราย ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นในจังหวัดระยอง และยังคงมาตรการเข้มข้นตรวจคัดกรองผู้เดินทางทุกคน เมื่อพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคจะนำส่งเข้าสู่ระบบต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมเสนอโครงการยกระดับระบบบริการสุขภาพรองรับโรคอุบัติใหม่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออก 1 และพื้นที่ใกล้เคียงแก่คณะรัฐมนตรี เพื่อรองรับและเพิ่มศักยภาพการดูแลรักษาโรคอุบัติใหม่และโรคที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีการขยายตัวรวดเร็วจากการเติบโตของภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้มีประชาชนโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อประกอบอาชีพ ส่งผลให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีศักยภาพ คุณภาพดียิ่งขึ้น ลดความแออัดในการเข้ารับบริการ และเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุข ************************ 24 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพบนักฟุตบอล ติดเชื้อโควิด 19 จากการตรวจคัดกรองก่อนแข่งขันไทยลีก
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ไทยพบนักฟุตบอล ติดเชื้อโควิด 19 จากการตรวจคัดกรองก่อนแข่งขันไทยลีก ไทยพบนักฟุตบอล ติดเชื้อโควิด 19 จากการตรวจคัดกรองก่อนแข่งขันไทยลีก กระทรวงสาธารณสุข ตรวจพบนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ชาวอุซเบกิสถาน ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 1 รายก่อนการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก ส่วนเพื่อนร่วมทีมไม่พบเชื้อ ขณะนี้ได้นำผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเข้ากักกัน ติดตามผู้สัมผัสที่เหลือเข้ารับการตรวจหาเชื้อ พร้อมปรับการตรวจหาเชื้อเพิ่ม เป็นก่อนการแข่งขัน ระหว่างฤดูกาล และปิดฤดูกาล เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชน วันนี้ (11 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รองประธานบริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด ร่วมแถลงข่าวกรณีพบนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ชาวอุซเบกิสถาน ติดเชื้อโควิด 19 จากการตรวจคัดกรองก่อนการแข่งขันไทยลีก โดยนพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม 1 ราย เป็นนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเร่งติดตามผู้สัมผัส เก็บตัวอย่างจากผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งหมด 43 ราย ประกอบด้วยนักฟุตบอลและสตาฟในทีม ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ลงนามความร่วมมือคัดกรองนักกีฬาฟุตบอลไทยลีกและผู้เกี่ยวข้อง ตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด 19 ก่อนเปิดสนาม 12 กันยายน 2563 ได้ตรวจนักฟุตบอลและผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 1,115 คนจาก 28 ทีม ทั้งไทยลีก 1 และ 2 พบเชื้อ 1 คนเป็นนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ซึ่งทีมนี้ได้รับการตรวจจำนวน 42 ราย อีก 41 รายไม่พบเชื้อ และหลังจากนี้จะปรับการตรวจตามความเหมาะสมและยืดหยุ่น คือ ก่อนเริ่มแข่งขัน ระหว่างการแข่งขัน และปิดฤดูกาล เพื่อสร้างความมั่นใจ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล หลังจากตรวจพบผู้แข่งขันติดเชื้อได้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อควบคุมและแจ้งไปที่กรมควบคุมโรคและแจ้งผู้เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการต่อไป นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อรายนี้ เป็นนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ชาวอุซเบกิสถาน อายุ 29 ปี ตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมงผลไม่พบเชื้อ เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้รับการตรวจคัดกรองที่สนามบิน ไม่มีไข้ เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ในกทม. ตั้งแต่วันที่ 13 - 27 สิงหาคม 2563 ได้ทำการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ผลไม่พบเชื้อ เมื่อครบกำหนดได้เดินทางไป จ.บุรีรัมย์ โดยรถตู้สโมสรพร้อมคนขับ 1 คน ไม่ได้แวะพักที่ใด ทั้งสองคนสวมหน้ากากอนามัย, วันที่ 28 สิงหาคม -9 กันยายน 2563 เป็นการเก็บตัวที่บ้านพักที่สโมสรจัดให้ มีกิจวัตรประจำวันคือ อยู่บ้าน รับประทานอาหารร่วมกับกลุ่มเพื่อนใกล้ชิด 3 คน ฝึกซ้อมฟุตบอลที่สนามโดยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวของเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดิม ระหว่างนี้ได้เตะอุ่นเครื่อง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2563 กับทีมราชบุรีมิตรผล และวันที่ 5 กันยายน 2563 กับทีมขอนแก่นยูไนเต็ด ที่สนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์, วันที่ 8 กันยายน 2563 ได้รับการตรวจหาเชื้อตามมาตรการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นผู้ดำเนินการ และวันที่ 10 กันยายน 2563 เดินทางมาเข้าแคมป์ ที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยสายการบินแอร์เอเชีย FD 3521 เวลา 13.50 น. ผู้โดยสารทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง และเดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งเป็นพื้นที่ปิด ด้วยรถบัสของสโมสร 2 คัน พักคนเดียว เมื่อทราบผลตรวจพบเชื้อ SARS-CoV-2 ได้รับการแยกกักตัว และอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน ทีมสอบสวนและควบคุมโรค กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ เก็บตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อ และเก็บตัวอย่างจากผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งหมด 43 ราย ประกอบด้วย นักฟุตบอล 22 ราย สตาฟในทีม 16 ราย และทีมสนับสนุน 5 ราย เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 และภูมิคุ้มกันต่อไป ทั้งนี้กำลังสอบสวนและค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติม ได้แก่ ผู้สัมผัสบนเครื่องบิน ผู้สัมผัสในแคมป์เก็บตัวก่อนแข่งขัน รวมถึงผู้สัมผัสในสถานที่และร้านอาหารที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ นักฟุตบอลทีมราชบุรีมิตรผลและทีมขอนแก่นยูไนเต็ด ผู้โดยสารร่วมเที่ยวบิน ผู้ใช้บริการสนามบินในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ด้านศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากดูตามระยะเวลาของนักฟุตบอลรายนี้ มีโอกาสติดเชื้อมาจากต่างประเทศมากกว่าการติดเชื้อภายในประเทศ เนื่องจากไทยควบคุมโรคได้ดี ในรายนี้อาจมีระยะฟักตัวของโรคที่ยาวนาน แม้ว่าส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 95 ระยะฟักตัวจะไม่เกิน 14 วัน มีส่วนน้อยที่ตรวจพบหลัง 14 วัน และน้อยกว่าร้อยละ 1 ที่พบหลัง 21 วัน จากการสอบสวนโรคจะทำให้ทราบต้นตอว่าติดเชื้อจากที่ใดหรือจากใคร แต่รายนี้อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีผู้สัมผัสในวงจำกัด หากเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ปริมาณไวรัสจะน้อยกว่าคนที่มีอาการ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รองประธานบริษัทไทยลีก จำกัด กล่าวว่า การแข่งขันฟุตบอลเว้นมาตั้งแต่มีนาคม2563 ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีแผนกลับมาแข่งนัดแรกสุดสัปดาห์นี้ ในวันที่ 12-13 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นไปตามมาตรการที่รัฐบาลกำหนด มีการตรวจคัดกรองนักกีฬาฟุตบอลทุกคน ตั้งแต่ 8-9 กันยายน 2563 เพื่อให้ทราบผลการตรวจก่อนเริ่มการแข่งขันนัดแรก เมื่อตรวจพบนักฟุตบอลติดเชื้อรายนี้ สมาคมฯ จึงได้เลื่อนการแข่งขันออกไปจำนวน 3 คู่ (บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ขอนแก่นยูไนเต็ด ราชบุรีมิตรผล) และตรวจนักฟุตบอลเพื่อหาเชื้อซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัยกล่าวในตอนท้ายว่า ขอสื่อสารประชาชนที่อยู่ตามไทม์ไลน์ หากมีความกังวลสามารถโทรปรึกษาที่สายด่วน 1422 หรือติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อขอรับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อในชุมชน ไม่ว่ามาจากการติดเชื้อในประเทศหรือต่างประเทศ การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคยังคงมีความจำเป็นและต้องทำต่อไป หากมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อก็จะดำเนินการควบคุมป้องกัน เพื่อให้อยู่ในวงจำกัด ****************************** 11 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้ทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมติดตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและนอกงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้ทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมติดตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและนอกงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้ทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมติดตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและนอกงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้ (17 สิงหาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 มอบกำลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ที่สะท้อนความสำคัญของทุนหมุนเวียนในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง ร่วมภายในงาน ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการมอบรางวัลฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเบิกจ่ายงบประมาณว่า เป็นภารกิจสำคัญที่จะดำเนินการให้เกิดความรวดเร็ว ทันต่อเวลา เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งได้ติดตามความก้าวหน้าทั้งในส่วนของเงินในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณมาโดยตลอด ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศตามหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สนับสนุนให้ประชาชนมีความพร้อมในการดำเนินชีวิตในศตรวรรษที่ 21 ทั้งด้านนวัตกรรม แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรและคนยากจน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าสู่การบริการขั้นพื้นฐานที่จำเป็น พร้อมๆ ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ต่อยอดไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และที่สำคัญ คือ การสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมในเชิงโอกาสให้กับประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ด้วยการใช้นโยบายทางการเงินการคลัง ทั้งเงินจากงบประมาณและเงินนอกงบประมาณที่มาจากกองทุนต่าง ๆ รวมถึงทุนหมุนเวียนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว นายกรัฐมนตรียังพร้อมให้กำลังใจหน่วยงานที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญในการดำเนินการกองทุนหมุนเวียน ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น พร้อมย้ำให้ผู้บริหารทุกระดับชั้นให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม ดูแล ประเมินผล ในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนพัฒนารูปแบบในการทำงานให้เกิดความทันสมัยในโลกยุคเทคโนโลยีดิจิทัล เกิดการพัฒนาที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งเกิดความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีให้เกียรติมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2563 ประกอบด้วย 4 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น สำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลงานโดยรวมดีเด่น สามารถดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ 2. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น สำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน 3. รางวัลการพัฒนาดีเด่น สำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดำเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น รางวัลยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป ………………………………………….. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน​ 2.5​ ไมครอน​ (PM​ 2.5) จากภาคอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 การประชุมคณะกรรมการบริหารการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน​ 2.5​ ไมครอน​ (PM​ 2.5) จากภาคอุตสาหกรรม รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน​ 2.5​ ไมครอน​ (PM​ 2.5) จากภาคอุตสาหกรรม วันนี้ (3 กันยายน 2563) นายภานุวัฒน์​ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน​ 2.5​ ​ไมครอน ​(PM​ 2.5) จากภาคอุตสาหกรรม โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมเป็นกรรมการในการประชุมด้วย ณ ห้องประชุม​ อก.1 ชั้น​ 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม การประชุมในครั้งนี้ เพื่อรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการตามแผนงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหา​ฝุ่น PM 2.5​ ทั้งนี้เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก​ ซึ่งคาดว่าจะกลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แนะไทยดึงศักยภาพ ปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก เน้น “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี แนะไทยดึงศักยภาพ ปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก เน้น “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า นายกรัฐมนตรี แนะไทยดึงศักยภาพ ปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก เน้น “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า วันนี้ (10 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น. ณ หอประชุม ชั้น 2 อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานรับฟังการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 62 วิทยาลัยเสนาธิการทหาร และวิทยาลัยการทัพของทั้งสามเหล่าทัพ ประจำปีการศึกษา 2563 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา เข้าร่วมรับฟัง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ชื่นชมผลการศึกษาและข้อเสนอของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 62 วิทยาลัยเสนาธิการทหาร และวิทยาลัยการทัพของทั้งสามเหล่าทัพ ประจำปีการศึกษา 2563 ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ดำเนินการอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมการรองรับบริทบของโลก ทั้งสงครามการค้า (Trade war) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศของโลก รวมทั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่จะส่งผลต่อความมั่นคงด้านต่างๆ ในอนาคตได้ ดังนั้นการดำเนินการต้องนำทุกอย่างมาวิเคราะห์ประมวลทั้งหมดให้ครอบคลุมทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะเหล่านี้คือความมั่นคงของชาติและความมั่งของประชาชนด้วย รวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชนต้องมาร่วมกัน “รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้าด้วยกัน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำให้ทุกคนปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น โดยบริหารจัดการอย่างเป็นระบบคือ “ร่วมกันทำ รวดเร็ว และร่วมมือ” ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางความร่วมมือในมิติที่กว้างขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้เกิดความสมดุลในมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนต้องดึงศักยภาพที่ประเทศไทยมีอยู่ออกมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่ทั้งอัธยาศัยไมตรีและรอยยิ้มที่เป็นมิตรของคนไทย ความรักสามัคคี ความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ อาหารอร่อยที่หลากหลายและมีราคาถูก อัตลักษณ์ของความเป็นไทย การมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามทั้งทางบก ทางทะเล และภูเขา เป็นต้น ซึ่งต้องหาแนวทางสร้างมูลค่าจากวัฒนธรรมอัตลักษณ์ของไทย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมผ่านการท่องเทียวเชิงวัฒนธรรม ควบคู่การสร้างสตอรีให้น่าสนใจมากขึ้นเหมือนต่างประเทศทำ อาทิ สอดแทรกผ่านละครหรือการแสดง เพื่อดึงดูดคนให้มาเที่ยว สร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม นายกรัฐมนตรียังย้ำการปรับรูปแบบด้านเกษตร ปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณน้ำ และผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค จำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น และพัฒนาแรงงานให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบให้คนตกงาน ขณะเดียวกันต้องเตรียมการเรื่อง cyber Security โดยการพัฒนาและจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านไซต์เบอร์รองรับและป้องกันภัยคุกคามทางไซต์เบอร์ เพื่อคงไว้ซึ่งอธิปไตยทางไซต์เบอร์ของประเทศ โดยภาครัฐและเอกชนมือกันด้วย สำหรับการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีประเด็นสำคัญ คือ คณะนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 62 มีแนวคิดในการจัดทำข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในหัวข้อ Thailand : BEST for the best มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชากร ส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี และมีการกระจายรายได้ที่ยุติธรรม โดยอาศัยพลังขับเคลื่อนหลัก 5 ประการ ภายใต้ตัวย่อ "BEST" ได้แก่ 1) Blue energy & EV Transformation อาทิ เสนอรัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ 2) E-market platform การส่งเสริม (Enabler) การทำธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาด เพิ่มรายได้ และพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยข้อมูล (data driven economy) 3) Sustainable food & agriculture ใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายหลัก คือเพิ่มรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรจาก 98,000บาท/ปี เป็น 236,000บาท/ปี ภายในระเวลา 5 ปี ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มรายได้ประชาชาติ (GDP) ให้ประเทศไทยได้ประมาณ 20% ผ่านแนวทางการขับเคลื่อน (1) ส่งเสริมการทำ smart & Precision Farming (2) เปลี่ยนแนวทางจากการอุดหนุนโดยรัฐ มาเป็นการให้ผลตอบแทนเพื่อจูงใจ (3) ส่งเสริมการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการผลิตและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าการเกษตรของไทย 4) Tourism ใช้เงินทุนประมาณ 200,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มรายได้ประชาชาติ (GDP)ให้กับประเทศได้ประมาณ 30% ผ่านการขับเคลื่อน เช่น จัดตั้งองค์กรร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อดำเนินกิจการด้านศูนย์สุขภาพ (Medical Center) ส่งเสริการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และ5) cyber Security คือการมีหลักประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซต์เบอร์ และข้อมูลส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพเพื่อคงไว้ซึ่งอธิปไตยทางไซต์เบอร์ของประเทศ ผ่านการขับเคลื่อนโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และแพลตฟอร์มที่คนไทยเป็นเจ้าของ เป็นต้น ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2563
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (อินเดีย 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ผู้ป่วยกลับบ้าน 1 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,222 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 117 ราย หรือร้อยละ 3.44 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,397 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เดินทางมาจาก อินเดีย 1 ราย เป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 35 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 8 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ในกทม. พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 3 วันที่ 21 สิงหาคม 2563 ให้ประวัติว่าเคยมีอาการป่วย แต่ไม่ทราบผลการตรวจหาเชื้อ โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 20 ราย กาตาร์ 1 ราย เป็นเพศชาย สัญชาติกาตาร์ อายุ 71 ปี เดินทางมาพร้อมกับลูกชาย พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 22 สิงหาคม 2563 ผลการตรวจก่อนเดินทางไม่พบเชื้อ อยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย ซึ่ง 1 รายเป็นผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมารักษาต่อเนื่อง กักตัวอยู่ใน Alternative hospital Quarantine ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศไทยยังดีต่อเนื่อง ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศเกือบ 3 เดือน แต่การระบาดในต่างประเทศยังคงรุนแรงหลายประเทศ โดยประเทศอินเดียผู้ติดเชื้อรายใหม่มากที่สุด วานนี้ (23 สิงหาคม 2563) พบ 61,749 ราย รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกาวันละ 32,718 รายแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ อันดับ 3-5 อยู่ในโซนอเมริกาใต้ คือ บราซิล 23,085 ราย เปรู 9,090 ราย โคลัมเบีย 8,044 ราย ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยต่อวันไม่มากแต่อัตราป่วยสูงเนื่องจากมีประชากรน้อย สำหรับประเทศอังกฤษและสวีเดน ซึ่งมีนโยบายผ่อนปรนเรื่องการปิดประเทศ ให้ใช้ชีวิตตามปกติ เศรษฐกิจเดินต่อได้ จำนวนและอัตราป่วยลดลงตามลำดับแม้จะไม่ได้ล็อกดาวน์แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการล็อกดาวน์จะช่วยหยุดการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แต่หากไม่ต้องการล็อกดาวน์ ประชาชนจะต้องร่วมมือกันป้องกันการติดเชื้อทั้งปัจเจกบุคคล สถานประกอบการ ร้านค้า สถานที่ทำงาน ซึ่งจะช่วยชะลอการระบาดได้เป็นอย่างดี สำหรับในอาเซียน อัตราป่วยสะสมสูงสุดคือสิงคโปร์ แต่แนวโน้มค่อนข้างดี ส่วนฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว ส่วนเวียดนามพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกระลอกหนึ่ง และเริ่มชะลอตัวแล้ว นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวต่อว่า ในเดือนกันยายนจะมีวันหยุดยาว 4 วัน มีคำแนะนำสำหรับการท่องเที่ยวให้ปลอดภัย โดยสถานประกอบการ/ผู้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ขอให้ศึกษาข้อมูลสถานการณ์โรคจากกระทรวงสาธารณสุขและ ศบค. คัดกรอง วัดไข้ผู้รับบริการ หากพนักงานมีไข้ ไอ เจ็บคอให้หยุดพัก จัดให้มีการบันทึกประวัติการเข้าออกสถานที่ กำหนดให้ผู้รับบริการและพนักงานสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า กำหนดจำนวนผู้รับบริการ 10 ตรม./คน รักษาระยะห่าง 2 เมตร จัดระบบคิว ลดแออัด ที่สำคัญคือการล้างมือควรจัดหาอ่างล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ เพิ่มความถี่การทำความสะอาด จัดระบบระบายอากาศให้อากาศถ่ายเท ซึ่งพบว่าสถานที่ปิด ห้องปรับอากาศ มีโอกาสติดเชื้อมากกว่าสวนสาธารณะ 19 เท่า ส่วนนักท่องเที่ยวนนักท่องเที่ยวขอให้เลือกบริษัทนำเที่ยว รถนำเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้าที่มีมาตรการป้องกันโรคได้มาตรฐาน โดยตรวจสอบได้จากร้านค้า หรือบริการที่มีสัญลักษณ์ SHA ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว วัดไข้และสังเกตสุขภาพตนเองทุกวัน หากมีไข้ 37.5 องศาขึ้นไปงดเที่ยวและหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด บันทึกประวัติการเข้าออกด้วยแอปพลิเคชัน หมอชนะ หรือไทยชนะ สวมหน้ากาก ล้างมือ หลีกเลี่ยงนำมือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก กินอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงในการท่องเที่ยว เช่น จองสถานที่ล่วงหน้า สำหรับการจัดการในสถานการณ์ขณะนี้ สิ่งสำคัญคือการจัดการความเสี่ยงทั้งของตนเอง สถานที่ทำงาน สถานที่ที่เดินทางไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสถานที่กักตัวทั้งสถานที่รัฐจัดให้ สถานกักตัวทางเลือก แยกผู้เดินทางจากต่างประเทศจากประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ดูแลจัดการสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น การประกอบศาสนกิจขนาดใหญ่ โรงเรียน และควบคุมดูแลพิเศษในโรงพยาบาล “ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสติ เศรษฐกิจและชีวิตจะเดินต่อไปได้ ถ้าพวกเราร่วมมือร่วมใจกัน กินของไทย ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันควบคุมโรค” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ******************************** 24 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนสิงหาคม 2563
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนสิงหาคม 2563 ดัชนี RSI เดือนสิงหาคม 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในหลายภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการ จากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 “ดัชนี RSI เดือนสิงหาคม 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในหลายภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการ จากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีแนวโน้มรายภาคการลงทุนของภาคตะวันตก และภาคบริการของ กทม. และปริมณฑล ยังชะลอตัว” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม 2563 ที่เป็นการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนสิงหาคม 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นในหลายภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการ จากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีแนวโน้มรายภาคการลงทุนของภาคตะวันตก และภาคบริการของ กทม. และปริมณฑล ยังชะลอตัว” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 61.8 แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว โดยมีภาคเกษตรและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญ เช่น ข้าวนาปี และอ้อยโรงงาน รวมทั้งมีนโยบายจากภาครัฐช่วยสนับสนุนฟื้นฟูการพัฒนาอาชีพและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลายลง ทำให้คาดว่าประชาชนจะเริ่มมีการใช้จ่ายที่มากขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 58.9 สะท้อนถึงการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เนื่องจากแนวโน้มภาคเกษตรในระยะ 6 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น มีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น และมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับความคาดหวังที่มาตรการของภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 55.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน โดยมีภาคการเกษตรและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐและปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะมีมากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนปรนให้กิจการกลับมาเปิดให้บริการได้ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ 54.6 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ขยายตัว โดยมีภาคเกษตรและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก เนื่องจากเป็นช่วงที่พืชผลทางการเกษตรหลายชนิดออกสู่ตลาด เช่น ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ชา และกาแฟ เป็นต้น รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับหลายจังหวัดในภูมิภาคมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้อยู่ที่ 52.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากยางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมของภาคใต้ รวมถึงเศรษฐกิจไทมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยอนุญาตให้จัดกิจกรรมและเปิดสถานประกอบการได้เพิ่มขึ้นภายใต้แนวทาง Social Distancing ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.3 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ประชาชนเริ่มออกมาท่องเที่ยวและใช้บริการโรงแรมและภัตตาคารมากขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 45.9 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีภาคบริการยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ต่อเนื่องลุยเขต EEC ยกระดับแรงงาน ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ต่อเนื่องลุยเขต EEC ยกระดับแรงงาน ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ต่อเนื่องลุยเขต EEC เดินทางร่วมกับคณะพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับฟังสถานการณ์แรงงานภาคตะวันออก เตรียมความพร้อมด้านแรงงานรองรับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เวลา 14.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางจุรีพร สินธุไพร คณะทำงาน และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เตรียมความพร้อมด้านแรงงานรองรับชีวิตวิธีใหม่ (New Normal) รับฟังรายงานสถานการณ์ด้านแรงงานภาคตะวันออก ทั้ง 5 จังหวัด (ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรีและตราด) ณ ห้องประชุม ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาคตะวันออก และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูร่างกาย ณ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 2 ตำบลมะขามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จากรายงานพบว่าจังหวัดในพื้นที่ EEC ทั้ง 5 จังหวัด มีสถานประกอบกิจการ รวมทั้งสิ้น 37,420 แห่ง ครอบคลุมลูกจ้าง 1,576,828 คน มีแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ จำนวน 258,697 คน (ลาว พม่า กัมพูชา) อยู่ในกิจการประมงทะเล จำนวน 6,835 คน และยังมีความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลอีกจำนวน 3,580 คน ส่วนข้อมูลด้านประกันสังคมพบว่า ทั้ง 5 จังหวัดมีผู้ประกันตนรวม 1,785,6231 คน ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการมีงานทำ สามารถบรรจุงานให้แก่ผู้หางานได้จำนวน 15,411คน คิดเป็นร้อยละ 75.62 จากผู้สมัครงานทั้งหมด 20,379 คน และมีตำแหน่งงานว่างรองรับ 23,930 อัตรา มีแรงงานได้รับการพัฒนาและยกระดับฝีมือรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 678,690 คน พัฒนาทักษะให้กับแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จังหวัดจันทบุรีและตราด รวมจำนวน 13,574 คน ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง ให้มีอาชีพ มีรายได้ มีหลักประกันทางสังคมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น มีผลการดำเนินการ จำนวน 345,510 คน สถานการณ์แรงงานช่วงโควิด-19 นั้น มีสถานประกอบกิจการ (สปก.) ปิดกิจการ 32 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลการทบถูกเลิกจ้าง 6,881 คน หยุดกิจการชั่วคราว 1,412 แห่ง ลูกจ้างหยุดงานชั่วคราว 554,995 คน ผลการให้ความช่วยเหลือ ให้ลูกจ้างได้รับเงินตามกฎหมาย มีสปก.จ่ายค่าจ้างถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 2,984 คน วงเงินทั้งสิ้น 27.11 ล้านบาท การขับเคลื่อนป้องกันและแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และสถานการณ์ด้านแรงงานช่วงโควิด-19 มีการจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน มีศูนย์บริหารจัดการแรงงานประมง และจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมงจังหวัด โดยมีการออกตรวจเรือประมง 24,121 ลำ แรงงานประมงผ่านการตรวจแล้ว 244,511 คน มาตรการช่วยเหลือที่กระทรวงแรงงานกำหนด ในการป้องกันและผ่อนปรน ได้แก่ การผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรทำงานต่อ ให้บริการผ่านระบบออนไลน์ จัดทำหน้ากากผ้า รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่แรงงาน ด้านมาตรการเยียวยานั้น ได้แก่ ลดหย่อนอัตราเงินสมทบ และขยายเวลา/เพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ จัดสรรเงินจ้างเหมาพนักงานบริการบุคคล จัดโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ให้กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน และการให้เงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่ไม่ได้รับเงินตามกฎหมาย การเตรียมความพร้อมด้านแรงงานรองรับชีวิตวิธีใหม่ (New Normal) ได้แก่ การปรับหลักสูตรการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน (ขั้นพื้นฐาน) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ยกระดับทักษะฝีมือเพื่อให้แรงงานมีอาชีพหลัก อาชีพเสริม ปรับทักษะฝีมือทั้ง Up skill และ Re skill ให้บริการด้านแรงงานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อลดการเดินทางมาติดต่อที่สำนักงาน และนำระบบ Platform หรือ Digital Labor Marketplace มาใช้วิเคราะห์ผลการจับคู่ตำแหน่งที่เหมาะสม (Fit to Role) ตามทักษะหรือความสามารถของแรงงาน หลังจากรับฟังบรรยายสรุปแล้ว พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและทิศทางการดำเนินงานแก่หัวหน้าส่วนราชการ 6 ประเด็น ประกอบด้วย 1. ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะปัญหาแรงงานประมง 2.ให้ยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ สามารถจับคู่กับงานได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพของแรงงาน และรองรับกับเทคโนโลยีชั้นสูงในสถานประกอบกิจการได้ 3. บูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในภูมิภาค ในการประชาสัมพันธ์เชิงรุก การให้ความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง เช่น จ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงาน ประชาสัมพันธ์สิทธิตามกฎหมาย สนับสนุนสินเชื่อของสถาบันต่างๆ รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาทักษะฝีมือ เป็นต้น 4. เร่งรัดการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อให้มีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีพ 5. การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว และเตรียมความพร้อมตามแนวทางการบริหารจัดการ การทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ และ6. ขอให้ตระหนักและใสใจถึงความปลอดภัย และดูแลแรงงานให้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย หากแรงงานได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพ ให้เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือเพื่อให้มีกำลับใจต่อสู้และกลับมาทำงานได้อย่างเต็มภาคภูมิ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.พาณิชย์จี้เอกชนเร่งปรับตัวรับการค้ายุค NEW NORMAL
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 รมช.พาณิชย์จี้เอกชนเร่งปรับตัวรับการค้ายุค NEW NORMAL รมช.พาณิชย์เปิดสัมมนาทิศทางและแนวโน้มตลาดเมียนมา จากเหตุการณ์ COVID-19 จี้เอกชนเร่งปรับตัวรับการค้ายุค NEW NORMAL พร้อมดึงกูรูแนะรูปแบบธุรกิจในอนาคต เผย COVID-19 จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจมากขึ้น นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ทิศทางและแนวโน้มตลาดเมียนมา...จากเหตุการณ์ COVID-19” ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ในวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี โดยนายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกัน เพื่อปรับตัวเพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงภาครัฐ โดยภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการทำงาน จากวิถีเดิมไปสู่วิถีการดำรงชีวิตใหม่ หรือ นิวนอร์มัล โดยทุกฝ่ายควรจะต้องเข้าใจสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้อย่างลึกซึ้ง และร่วมมือปรับตัวไปด้วยกัน กล่าวคือ มีความเป็นไปได้ที่การเดินทางระหว่างประเทศของผู้คนทั่วโลกจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวอาจก่อให้เกิด กระแสความนิยมการบริโภคอุปโภคสินค้าและบริการท้องถิ่น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวหาแหล่งวัตถุดิบ หรือฐานการผลิตให้มีระยะทางที่ใกล้กับผู้บริโภคมากที่สุดเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการค้า โดยปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องมีคือ “ภูมิคุ้มกันต่อปัจจัยเสี่ยง” หรือความสามารถที่จะยืดหยุ่น เรียนรู้ และปรับตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และที่สำคัญที่สุดคือจะต้องทำได้ดีกว่า เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว และในอนาคต ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคม และมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสเป็นธรรม ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ใหม่ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของโลกในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไร้การสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ด้าน ได้แก่ การค้าออนไลน์ การแพทย์ออนไลน์ และระบบอัตโนมัติต่างๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มรูปแบบธุรกิจในอนาคต คือ การลดการติดต่อสัมผัสระหว่างผู้คนให้น้อยที่สุด โดยแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ในเรื่องความสะอาด สุขอนามัยของสินค้าสำคัญมาก ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะใช้ระบบเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อลดการติดต่อสัมผัสทางกายภาพ อาทิ การขาย ไลฟ์-สตรีมมิ่ง การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ไม่ใช้การรูดบัตร ไม่ต้องมีการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน ฯลฯ นอกจากนี้ การแพร่ระบาดครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดการแทรกแซงทางเศรษฐกิจในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลทั่วโลกได้เร่งประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแผนดังกล่าวโดยส่วนใหญ่จะเน้นการดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่ การช่วยเหลือประชาชนในความต้องการขั้นพื้นฐาน การจ้างงาน และการช่วยเหลือธุรกิจประเภทต่าง ๆ ให้อยู่รอด โดยผู้นำธุรกิจจะต้องปรับตัวสู่วิถีปกติใหม่ที่มาพร้อมกับการแทรกแซงจากภาครัฐที่มากขึ้น เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติและภาครัฐตัดสินใจจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคธุรกิจจะต้องติดตามการปรับเปลี่ยนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม เมื่อภาครัฐได้นำภาษีจากประชาชนจำนวนมากไปใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นความท้าทายที่เกิดขึ้นในยุคนิวนอร์มัลคือจะทำให้การตรวจสอบรูปแบบต่างๆ จะต้องยกระดับความเข้มงวดให้มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภาคธุรกิจจำเป็นจะต้องก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเช่นเดียวกับภาครัฐ ในการรับผิดชอบช่วยเหลือสังคมให้ปรับตัวเข้าสู่นิวนอร์มัลในระยะยาวด้วย ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน สำหรับในบริบทประเทศไทย นายวีรศักดิ์ เห็นว่าจุดแข็งของเศรษฐกิจไทยเพื่อก้าวต่อไปในยุคนิวนอร์มัล ได้แก่ - เป็นศูนย์กลางด้านการบริการสุขภาพ และการให้บริการด้านสุขภาพอย่างรอบด้านและครบวงจร - ด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content) และการขายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) ผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ - สินค้าอาหาร และเกษตรแปรรูปจากชุมชน มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน - อุตสาหกรรมการให้บริการรูปแบบต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล การค้าออนไลน์ - อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวท้องถิ่น เน้นสนุก สะอาด ได้ประสบการณ์วัฒนธรรมชุมชน เป็นต้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในทุกวิกฤติยังมีโอกาสอยู่เสมอ หากผู้ประกอบการเข้าใจสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน ก็จะสามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้น และยังมีโอกาสจะเติบโตได้ท่ามกลางวิกฤติอย่างชัดเจน โดยในงานสัมมนาในครั้งนี้ก็ได้มีผู้แทนจากทั้งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มาให้ความรู้ถึงรายละเอียดของมาตรการช่วยเหลือต่างๆ และโอกาสต่างๆ ที่มีในเชิงลึกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ย้ำระบบสาธารณสุขไทยคุมโรคระบาดได้ดีหนุนไทยเที่ยวไทย จัดประชุม กระตุ้นเศรษฐกิจ
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 "อนุทิน" ย้ำระบบสาธารณสุขไทยคุมโรคระบาดได้ดีหนุนไทยเที่ยวไทย จัดประชุม กระตุ้นเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดี มีประสบการณ์ ทำให้คุมโควิด 19 ได้ดี ขอให้ประชาชนมั่นใจ ให้คนไทยช่วยคนไทยดำเนินการจัดประชุม สัมมนา จัดกิจกรรม หนุนไทยเที่ยวไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดี มีประสบการณ์ ทำให้คุมโควิด 19 ได้ดี ขอให้ประชาชนมั่นใจ ให้คนไทยช่วยคนไทยดำเนินการจัดประชุม สัมมนา จัดกิจกรรม หนุนไทยเที่ยวไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้ (2 กันยายน 2563) ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าพารากอน กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธาน "จัดงานทั่วไทย ภูมิใจช่วยชาติ" ว่า รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดี เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีนโยบายเร่งผลักดัน ส่งเสริมให้เกิดการประชุม การจัดนิทรรศการในประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้จะหวังพึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติไม่ได้ ต้องให้คนไทยช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติ ไทยเที่ยวไทย ขอให้มั่นใจเรื่องสุขอนามัย และการควบคุมโรคของไทย ด้วยระบบการตรวจเฝ้าระวัง ระบบการกักกันโรค และการรักษาที่ดีเยี่ยม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบเป็นขั้นตอนอย่างละเอียด ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยไม่พบผู้ป่วยโควิด 19 ในประเทศ มาแล้วเป็นเวลา 100 วัน ขอให้ผู้ที่ต้องการจะท่องเที่ยว จัดกิจกรรม จัดสัมมนามีความมั่นใจ "ดีใจทุกครั้งที่เห็นคนไทยเริ่มท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีวิว ทิวทัศน์ ภูเขา ทะเล สวยงาม อยากให้คนไทยมาเที่ยวไทย และขอให้มั่นใจ ในเรื่องของระบบสาธารณสุขไทยและการควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19" นายอนุทินกล่าว ************************** 2 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เฝ้าระวัง ติดตาม ค้นหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เฝ้าระวัง ติดตาม ค้นหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19 มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เฝ้าระวัง ติดตาม ค้นหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19 วันนี้ (9 ก.ย. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยปรากฏสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศเพื่อนบ้านทางด้านตะวันตกของประเทศไทย และอาจมีการแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย โดยผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมิได้ผ่านมาตรการคัดกรองโรคตามที่ประเทศไทยกำหนด เพื่อป้องกันและสกัดกั้นมิให้เกิดการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการ 3 มาตรการเข้มข้น ได้แก่ 1) ให้จังหวัดชายแดนที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเมียนมา เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระมัดระวังไม่ให้มีการลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมายและไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรค 2) ให้จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนซึ่งมีเส้นทางคมนาคมทั้งสายหลัก สายรอง ต่อเนื่องกัน จัดตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ตรวจตรา เฝ้าระวัง และสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย หากพบ ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายและมาตรการทางด้านสาธารณสุข 3) ให้ทุกจังหวัดบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ติดตามค้นหาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบกลับเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ทั้งในสถานประกอบการและสถานที่ทำงานที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว หากพบให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายและมาตรการทางด้านสาธารณสุข รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน ช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่อง หากพบหรือมีบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบกลับเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ให้แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ หรือศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ทางสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เที่ยวช่วงโควิด
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 เที่ยวช่วงโควิด ควรพกอะไรไปบ้าง - หน้ากากสำรอง เปลี่ยนเมื่อเกิดความชื้น - กระบอกน้ำส่วนตัว - เจล / สเปรย์แอลกอฮอลล์ - ทิ่ชชู - ถุงซิปล็อคใช้เก็บหน้ากากที่ใช้แล้ว - ของใช้ส่วนตัวต่างๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35053
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.สุโขทัย
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 อนุทิน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.สุโขทัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย พร้อมมอบถุงยังชีพ ยาสามัญประจำบ้าน จัดงบซ่อมแซมสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ตามปกติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย พร้อมมอบถุงยังชีพ ยาสามัญประจำบ้าน จัดงบซ่อมแซมสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ตามปกติ วันนี้ (27 สิงหาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย พร้อมมอบยาสามัญประจำบ้านและเครื่องอุปโภคบริโภค ที่ศาลาอเนกประสงค์ ต.ท่าทอง วัดคลองกระจง วัดคุ้งยาง และวัดคลองวังทอง อ.สวรรคโลก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม ได้กำชับสถานบริการทุกแห่งให้การดูแลประชาชน เฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น จัดเตรียมพื้นที่สำรองในกรณีที่สถานบริการได้รับผลกระทบไม่สามารถให้บริการได้ เตรียมสำรอง ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนพื้นที่น้ำท่วม ให้ความรู้ในการป้องกันโรค เช่นโรคฉี่หนู ไข้หวัด โรคระบบทางเดินอาหาร อันตรายจากไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต และสัตว์มีพิษที่มากับน้ำท่วม และจัดทีมเยี่ยมบ้าน ส่งอาสาสมัครสาธารณสุขเคาะประตูบ้านดูแลกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ไม่ให้ขาดยา ผู้สูงอายุต้องระมัดระวังระวังอาจมีอาการหน้ามืด ล้มคว่ำในน้ำ อาจเสียชีวิตได้ “ขอชื่นชมประชาชนที่แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วม ยังการ์ดไม่ตก มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา การมีวินัยที่ดีนี้จะช่วยให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำ ขอให้กำลังใจ เข้มแข็ง ดูแลสุขภาพ” นายอนุทินกล่าว สำหรับจังหวัดสุโขทัย มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ศรีสัชนาลัย อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง และอ.เมือง มีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่ากุมเกาะและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองกระจง ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมพื้นอาคาร บ้านพัก รั้ว ยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ได้สนับสนุนงบประมาณซ่อมแซมจำนวน 602,250 บาท และกำชับให้ผู้บริหารในพื้นที่ดูแลเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วย ทั้งนี้ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้จัดทีมแพทย์ออกเยี่ยมบ้านที่ได้รับผลกระทบ และจัดหน่วยบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่หมู่ 1 ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก, วัดโสภาราม อ.ศรีสำโรง และหมู่ 1 ต.ปากแคว อ.เมือง พร้อมสนับสนุนยาชุดสามัญประจำบ้าน 3,000 ชุด ยาน้ำกัดเท้า 3,000 หลอด ถุงยังชีพกว่า 3,000 ถุง ****************************** 27 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34616
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรลดค่าปรับให้ผู้ประกอบการที่ยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านอินเทอร์เน็ตเกินกำหนดเวลา
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 สรรพากรลดค่าปรับให้ผู้ประกอบการที่ยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านอินเทอร์เน็ตเกินกำหนดเวลา กรมสรรพากรลดค่าปรับให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยื่นแบบรายงาน Disclosure Form เกินกำหนดเวลาจาก 200,000 บาท เหลือเพียง 5,000 บาท โดยต้องยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing) ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ตามที่กรมสรรพากรได้กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีความสัมพันธ์กันและมีรายได้ทั้งหมดตามงบการเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2562 ต้องยื่นแบบรายงาน Disclosure Form เป็นครั้งแรก ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีหรือภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (กรณีได้รับการขยายเวลาการยื่นแบบฯ) ซึ่งเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายงาน Disclosure Form มีภาระที่ต้องชำระค่าปรับไม่เกิน 200,000 บาท อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบการ อันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมสรรพากรได้พิจารณาปรับลดอัตราค่าปรับ โดยชำระค่าปรับเป็นจำนวน 5,000 บาท และต้องยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing) ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นี้เท่านั้น” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรได้เพิ่มช่องทางการยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของการ Upload เป็น Excel File เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้เสียภาษีสามารถ Download ไฟล์ Excel ต้นแบบ Disclosure Form ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หัวข้อ e-Filing” สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า เพชรบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 สธ.ดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า เพชรบุรี กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี โชคดีโรงพยาบาลมีระบบบริหารจัดการสถานการณ์ได้ดี ขณะเกิดเหตุสามารถให้บริการผู้ป่วยอื่นได้ตามปกติ บุคลากร ผู้ป่วย ญาติปลอดภัย อุปกรณ์ เ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี โชคดีโรงพยาบาลมีระบบบริหารจัดการสถานการณ์ได้ดี ขณะเกิดเหตุสามารถให้บริการผู้ป่วยอื่นได้ตามปกติ บุคลากร ผู้ป่วย ญาติปลอดภัย อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ไม่ได้รับความเสียหาย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขตสุขภาพที่ 5 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ชุมพล เดชะอำไพ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี กรณีมีผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันบริเวณด้านหน้าจุดคัดกรอง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 เวลา 00.35 น. โดยมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทบริเวณหน้าร้านหมูกระทะ มารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน จำนวน 2 ราย มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณหน้าอกด้านซ้าย 1 ราย และอีก 1 ราย มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณแขนขวา กลุ่มเพื่อนของผู้บาดเจ็บทั้งสองรายติดตามมาประมาณ 20 คน คาดว่าจะเกิดเหตุรุนแรง พยาบาลวิชาชีพหัวหน้าเวรห้องฉุกเฉิน ได้รีบแจ้งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้มาช่วยระงับเหตุทะเลาะวิวาทบริเวณหน้าจุดคัดกรองและห้องโถงพักคอย รวมทั้งปิดล็อคประตูอัตโนมัติห้องฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน และประสานขอกำลังสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมอีก จึงทำให้สามารถระงับเหตุการณ์รุนแรงได้ นอกจากนี้ ระหว่างการรักษาผู้บาดเจ็บ ได้แยกผู้บาดเจ็บที่เป็นคู่กรณีไว้คนละที่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำซ้อน ในส่วนผู้ป่วยที่รอตรวจ และรอเข้านอนพักรักษาในโรงพยาบาล พยาบาลหัวหน้าเวรห้องฉุกเฉินได้บริหารจัดการโดยใช้ประตูด้านหลังห้องฉุกเฉินเป็นช่องทางในการรับผู้ป่วยหนักที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลชุมชน ส่งผู้ป่วยเข้าหอผู้ป่วย และส่งผู้ป่วยที่ตรวจเรียบร้อยแล้วกลับบ้าน “ต้องชื่นชมพยาบาลเวรหัวหน้าห้องฉุกเฉิน ที่ประสานสั่งการได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ ทำให้ผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วยอื่นๆ ปลอดภัย อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงเครื่องมือแพทย์ไม่ได้รับความเสียหาย ที่สำคัญระหว่างเกิดเหตุยังสามารถบริการผู้ป่วยได้ตามระบบ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ทางโรงพยาบาลแจ้งความดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทให้ถึงที่สุด” แพทย์หญิงอัมพรกล่าว ******************************* 10 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนบริจาคผ้าอ้อมสำเร็จรูป แผ่นรองซึมซับ สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 พม. เชิญชวนบริจาคผ้าอ้อมสำเร็จรูป แผ่นรองซึมซับ สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พม. เชิญชวนบริจาคผ้าอ้อมสำเร็จรูป แผ่นรองซึมซับ สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 วันนี้ (5 ก.ย. 63) เวลา 10.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคสิ่งของและเครื่องใช้ที่จำเป็น โดยเฉพาะผ้าอ้อมสำเร็จรูป แผ่นรองซึมซับ สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุจำนวนมากทั่วประเทศที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อบริจาคได้ที่ 1) ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม. โทรศัพท์ 0 2306 8874 รับบริจาคในวันและเวลาราชการ 2) สถานสงเคราะห์ใกล้บ้านท่านทั่วประเทศ รับบริจาคทุกวันในเวลาราชการ และ 3) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34828
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบหน้ากากอนามัย และเครื่องอบฆ่าเชื้อ UVC จากเครือข่ายโครงการบริจาคเพื่อช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล “SOS to Medical Staff in COVID-19 Fight”
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 พม. รับมอบหน้ากากอนามัย และเครื่องอบฆ่าเชื้อ UVC จากเครือข่ายโครงการบริจาคเพื่อช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล “SOS to Medical Staff in COVID-19 Fight” พม. รับมอบหน้ากากอนามัย และเครื่องอบฆ่าเชื้อ UVC จากเครือข่ายโครงการบริจาคเพื่อช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล “SOS to Medical Staff in COVID-19 Fight” ร่วมกับเทใจ.คอม และเครือข่ายหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) วันนี้ (16 ก.ย. 63) เวลา 09.15 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 2,300 ชิ้น และเครื่องอบฆ่าเชื้อ UVC จำนวน 10 เครื่อง จากเครือข่ายโครงการบริจาคเพื่อช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล “SOS to Medical Staff in COVID-19 Fight” ร่วมกับเทใจ.คอม และเครือข่ายหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ซึ่งนำโดยร.อ.นพ.นิมิต ประสิทธิ์ดำรง ประธานกรรมการบริหารบริษัท เดอะ ซีนิเซนส์ จำกัด และคณะ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้โครงการ พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35131
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-17 ผลงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 63
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 17 ผลงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 63 17 ผลงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 63 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในสังกัด รับรางวัลเลิศรัฐ ปี 2563 ระดับดีเด่นและระดับดี 17 ผลงาน จากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับรางวัลเลิศรัฐประจำปี พ.ศ.2563 จากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล ว่า ในปีนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานในสังกัด ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับส่วนราชการที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จ ทั้งระดับดีเด่นและระดับดี17 ผลงาน ใน 3 สาขา ดังนี้ 1.สาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐด้านการมุ่งเน้นผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.) 2.สาขาบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดีเด่น 4 ผลงานได้แก่ โรงพยาบาลเบตง จ.ยะลาเรื่อง “ระบบการให้บริการผู้ป่วยนอกโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Betong Smart Hospital), โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เรื่อง “นวัตกรรมระบบการบริหารจัดการรถพยาบาลแบบรวมศูนย์ (Ambulance Operation Center), โรงพยาบาลระยองเรื่อง “Network Management For Better Service" และโรงพยาบาลลำปาง เรื่อง “หัวใจดูแลด้วยใจ” ประเภทนวัตกรรมการบริการระดับดี 6 ผลงานได้แก่ โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เรื่อง “การฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกึ่งเฉียบพลันด้วยศาสตร์การแพทย์ผสมผสานรูปแบบนครชัยศรีโมเดล, โรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์ จ.พังงา เรื่อง “CPU เกาะยาว : การส่งต่อที่ไร้รอยต่อ, โรงพยาบาลเขื่องใน จ.อุบลราชธานี เรื่อง “การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยคลินิกเบาหวานใกล้บ้าน “เขื่องในโมเดล”, โรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูลเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา เรื่อง “อำเภอรอยต่อ ไร้รอยต่อ ชวนกันมาเลิกฝิ่น/เฮโรอีน (การพัฒนาคลินิกเมทาโดนสู่รพ.สต.), โรงพยาบาลรามัน จ.ยะลา เรื่อง “โครงการเข้าสุนัตหมู่ภาคฤดูร้อน และศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง “การบริหารจัดการสุขภาพของผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ (ฮุจญาต) ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาราเบีย เขตสุขภาพที่ 12 ประเภทนวัตกรรมการบริการ ระดับดี 3 ผลงานได้แก่ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สป. เรื่อง “MOPH Connect นวัตกรรมเพื่อให้การบริการสุขภาพเป็นเรื่องง่าย”, กลุ่มตรวจสอบภายใน สป. เรื่อง “การตรวจสอบภายในด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Internal Audit : EIA) โรงพยาบาลหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ เรื่อง “ชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับได้ 3.สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมโรงพยาบาลเวียงหนองล่อง จ.ลำพูนได้รับรางวัลระดับดีเด่น ทั้งประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วมและประเภทผู้นำหุ้นส่วนความร่วมมือเรื่อง “หมู่บ้านสีขาวชุมชนบำบัดยาเสพติด ครอบครัว ร่วมรักษ์ ฮักเวียงหนองล่องอย่างยั่งยืน และโรงพยาบาลบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เรื่อง “ฮอมบุญ & ฮอมเฮลท์ (Health)ได้รับรางวัลประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วมระดับดี ทั้งนี้ รางวัลเลิศรัฐ เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มอบให้หน่วยงานภาครัฐ แบ่งเป็น 3 สาขา ได้แก่ สาขาบริการภาครัฐ สาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และสาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม โดยปี 2563 มีผลงานระดับดีเด่น 51 ผลงาน และระดับดี 144 ผลงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 3 – 10 กันยายน 2563
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 3 – 10 กันยายน 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 3 – 10 กันยายน 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 444 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.68 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 3-10 กันยายน 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 444 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.68 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 249 คดี ค่าปรับ 2.33 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 145 คดี ค่าปรับ 3.09 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 0.42 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 0.29 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 1 คดี ค่าปรับ จำนวน 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 19 คดี ค่าปรับ จำนวน 0.30 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 6 คดี ค่าปรับ 0.24 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 2,902.850 ลิตร ยาสูบ จำนวน 5,488 ซอง ไพ่ จำนวน 1,778 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 9,045.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 2,880 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 22 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 10 กันยายน 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 26,720 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 464.68 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 15,255 คดี ค่าปรับ 152.71 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 7,908 คดี ค่าปรับ 182.59 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 579 คดี ค่าปรับ 8.39 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,169 คดี ค่าปรับ 55.75 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 69 คดี ค่าปรับ 1.80 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,183 คดี ค่าปรับ จำนวน 29.68 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 557 คดี ค่าปรับ 33.76 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,803,937.669 ลิตร ยาสูบ จำนวน 482,435 ซอง ไพ่ จำนวน 68,894 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 2,979,843.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 49,596 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,352 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35012
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2563
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2563 วันนี้ (2 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2563 วันนี้ (2 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา 6 ราย, ออสเตรเลีย 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย) และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้และสถานกักตัวที่รัฐกำหนด ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,274 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 93 ราย หรือร้อยละ 2.72 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,425 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก สหรัฐอเมริกา 6 ราย สัญชาติอเมริกัน 4 ราย เป็น เพศชาย 2 ราย อายุ 48 ปี อาชีพ ครูโรงเรียนเอกชน และ 15 ปี เพศหญิง 2 ราย อายุ 49 และ 13 ปี ทุกรายเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 19 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ที่ จ.สมุทรปราการ พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 31 สิงหาคม 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในจ.สมุทรปราการ สัญชาติไทย 2 ราย เป็น เพศชาย อายุ 34 ปี และ เพศหญิง อายุ 36 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 27 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 31 สิงหาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี ออสเตรเลีย 1 รายเป็นเพศชาย อายุ 27 ปี สัญชาติไทย อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 24สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 27 สิงหาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ใน จ.ชลบุรี ญี่ปุ่น 1 รายเป็นเพศหญิง อายุ 29 ปี (ว่างงาน) สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 28 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 31 สิงหาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ใน จ.ชลบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่น่าจับตามองขณะนี้คือประเทศเมียนมา ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมามีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 2 เท่า ของผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง ต้นเดือนสิงหาคม ทำให้ขณะนี้เมียนมามีผู้ติดเชื้อ 787 ราย สำหรับประเทศไทยมีความเสี่ยงโดยเฉพาะ 10 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวเข้าทำงาน ดังนั้น การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครอง ความมั่นคง สาธารณสุข ภาคเอกชนประชาสังคม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว จึงมีความสำคัญในการจัดระบบเฝ้าระวัง ตรวจจับ ช่วยสอดส่องชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ รวมถึงการเคลื่อนที่ของประชากรตามแนวชายแดน ซึ่งจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างอย่างเข้มข้น ป้องกันการลักลอบเข้าประเทศและนำเชื้อโควิด 19 เข้ามาในประเทศไทย สำหรับภาคเอกชนที่รับแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานมีส่วนสำคัญที่จะช่วยจัดการกับปัญหาด้วยการให้ความรู้พนักงาน ไม่นำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าทำงานในระยะนี้ ขอความร่วมมือ พนักงาน แรงงานในบริษัทช่วยสอดส่องและไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย หากเกิดผลกระทบขึ้นมาไม่เพียงแค่เกิดโรคระบาด แต่จะรวมไปถึงภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมและโรงงานด้วย เช่น การกำหนดพื้นที่เสี่ยง การสั่งปิดสถานประกอบการ การกักกันบุคลากร กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในเรื่องแรงงานต่างด้าว การจัดการพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น การประกอบศาสนกิจขนาดใหญ่ การป้องกันโรคภายในโรงเรียนอย่างเหมาะสม และการเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการในโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยง มีผู้ป่วย โรคเรื้อรังและผู้สูงอายุเข้าใช้บริการ “ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุข ทุกหน่วยงานมีการทำงานร่วมกัน เพื่อเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค หากทุกฝ่ายยังเข้มในมาตรการจะทำให้ประเทศไทยปลอดการติดเชื้อไปได้อีก และหากเจอผู้ติดเชื้อเราจะสามารถควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ และระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุด” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว สำหรับในช่วงวันหยุดยาว 4 -7 กันยายน 2563 นี้ อยู่ในช่วงที่สถานการณ์ประเทศไทยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ อยากเห็นคนไทยออกมาใช้ชีวิตกันในวิถีชีวิตปกติใหม่ เดินทางท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ด้วยการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ หมั่นล้างมือ รับประทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว และลงทะเบียนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ********************* 2 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีเซลส์จับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพยุค NEW NORMAL
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 ทีเซลส์จับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพยุค NEW NORMAL ทีเซลส์จับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพยุค NEW NORMAL กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) ฝ่ายโปรแกรมบริหารผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเสริมอาหาร จับมือร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานสัมมนา “เสริมแกร่งอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เกี่ยวข้อง ในยุค New Normal” วันที่ 27 – 28 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และ รศ.ดร.สุวัฒนา จุฬาวัฒนทล คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า "ทีเซลส์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เกี่ยวข้อง มีโอกาสทบทวนความเข้าใจและองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวมถึงการนำวิธีการทดสอบตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานสากล และการนำผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบการยื่นขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับวิธีใช้ผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคในช่วงโควิด-19 การตรวจสอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ การวิเคราะห์และตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีคุณภาพ มาตรฐานและปลอดภัย ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมปรับตัวธุรกิจในยุค New Normal" วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 พบกับการสัมมนา : >> พระราชบัญญติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 (ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง การกล่าวอ้างสรรพคุณ การประเมินความปลอดภัย และการจดแจ้งสารใหม่ที่ใช้ทาง เครื่องสำอาง) โดย ภญ. นฤภา วงศ์ปิยะรัตนกุล ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ด้านเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย >> พระราชบัญญติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 (นิยามศัพท์ การขออนุญาต การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ และการโฆษณา) โดย ภญ. จิรารัตน์ เพิ่มภูศรี เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มประเมินวิชาการ กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา >> การทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดย ผศ.ดร. วีรวัฒน์ ตีรณะชัยดีกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล >> การประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดย ภญ. อรวรีย์ ยาวุฒิ บริษัท เดิร์มสแกนเอเซีย จำกัด วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 พบกับการสัมมนา : >> น้ำยาฆ่าเชื้อกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดย รศ.ดร. มัลลิกา ชมนาวัง ภาควิชาเภสัชจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ผศ.ดร. กฤษณ์ ถิรพันธุ์เมธี หัวหน้าฝ่ายจุลชีววิทยา ศูนย์วิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบกับการเสวนาหัวข้อ “ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อจากแอลกอฮอล์ : ห่วงโซ่การผลิต การวิเคราะห์และประสิทธิภาพ” โดย รศ.ดร. มัลลิกา ชมนาวัง ภาควิชาเภสัชจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ.ดร. กฤษณ์ ถิรพันธุ์เมธี หัวหน้าฝ่ายจุลชีววิทยา ศูนย์วิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ดร. สุวรรณา เธียรอังกูร สำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, คุณสมควร จารุสมบัติ รองผู้อำนวยการ องค์การสุรา กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร. วีรวัฒน์ ตีรณะชัยดีกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ช่วงบ่ายรับฟังการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ : การตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์” โดย รศ.ดร. มัลลิกา ชมนาวัง ภาควิชาเภสัชจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, รศ.ดร. ปิยะนุช โรจน์สง่า หัวหน้าฝ่ายเคมี ศูนย์วิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ.ดร. กฤษณ์ ถิรพันธุ์เมธี หัวหน้าฝ่ายจุลชีววิทยา ศูนย์วิเคราะห์คุณภาพ ผลิตภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ.ดร. วีรวัฒน์ ตีรณะชยดีกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร. สุวรรณา เธียรอังกูร สำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยรพ.สระบุรีให้บริการได้ตามปกติ หลังถูกไวรัสโจมตีระบบคอมพิวเตอร์
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 สธ. เผยรพ.สระบุรีให้บริการได้ตามปกติ หลังถูกไวรัสโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนเซิร์ฟเวอร์ ซอฟแวร์ที่จำเป็น ให้โรงพยาบาลสระบุรีได้สร้างระบบสำหรับบริการประชาชนโดยเร็ว ร่วมกับการใช้ระบบ manualให้บริการผู้ป่วยตามปกติ ให้หน่วยงานบริหารจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ผู้รับบริการขอให้นำบัตรแสดงสิทธิการรักษา บัตร กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนเซิร์ฟเวอร์ ซอฟแวร์ที่จำเป็น ให้โรงพยาบาลสระบุรีได้สร้างระบบสำหรับบริการประชาชนโดยเร็ว ร่วมกับการใช้ระบบ manualให้บริการผู้ป่วยตามปกติ ให้หน่วยงานบริหารจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ผู้รับบริการขอให้นำบัตรแสดงสิทธิการรักษา บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมยาเดิมมาด้วยเพื่อความสะดวกในการรับบริการ บ่ายวันนี้ (9 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 พร้อมด้วยนพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโรงพยาบาลสระบุรีถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2563 โดยไวรัส (Ransomware)โจมตีในหลายระบบ รวมถึงฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ นพ.สุระกล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงต่อการให้บริการประชาชนต้องใช้เวลามากกว่าเดิม ได้สั่งการให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนอุปกรณ์เบื้องต้น เช่น เซิร์ฟเวอร์ ซอฟแวร์ที่จำเป็น เพื่อให้โรงพยาบาลสระบุรีได้สร้างระบบสำหรับให้บริการประชาชนโดยเร็ว ร่วมกับการใช้ระบบ manualให้บริการผู้ป่วยตามปกติ โดยไวรัสเรียกค่าไถ่ที่โจมตีระบบเป็นการเข้ารหัสล็อกไว้ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถเข้าไปใช้ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ได้ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพจะไม่ถูกดึงออกไปจากระบบสู่ภายนอก แต่อาจเกิดความล่าช้าในการรับบริการ เนื่องจากไม่สามารถเปิดระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ภายในโรงพยาบาลเพราะอาจทำให้ไวรัสระบาดไปสู่ฐานข้อมูลอื่นที่ยังไม่ถูกโจมตีได้ขณะนี้ได้ประสานผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและมอบให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เร่งให้ความรู้ วิธีการและการป้องกันให้กับหน่วยงานและโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง “ประชาชนที่ไปรับบริการที่โรงพยาบาลสระบุรี ขอให้นำบัตรแสดงสิทธิการรักษา สำเนาใบส่งตัว บัตรประจำตัวประชาชน บัตรแพ้ยา และใบรายการยาครั้งสุดท้ายพร้อมยาเดิมมาด้วย เพื่อความสะดวกในการรับบริการ และขอให้ทุกหน่วยงานและโรงพยาบาล เข้มนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ เนื่องจากมีโอกาสถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ตลอดเวลาจะต้องมีการสำรองข้อมูลไว้เพื่อให้เรียกคืนข้อมูลกลับมาได้” นายแพทย์สุระกล่าว นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศฯ กล่าวว่า ได้ประสานไปยังศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต : ThaiCERT) ทันทีที่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลสระบุรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2563และได้สนับสนุนอุปกรณ์สำหรับจัดทำระบบข้อมูล แนะนำให้เพิ่มการบริหารจัดการภายในสร้างความตระหนักแก่ผู้ใช้งานในการป้องกันไวรัสโดยเฉพาะช่องโหว่ที่ทำให้ระบบถูกโจมตีจากภายใน ได้แก่ การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมาเชื่อมกับระบบของโรงพยาบาล การใช้แฮนดีไดรฟ์ อีเมล์ หรือการหาลิงก์จากภายนอกมาใช้ ส่วนการการโจมตีจากภายนอก โรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบ Fire Wall ป้องกันอยู่แล้ว สำหรับการดำเนินการกับผู้โจมตีนั้นได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้วโดยกระทรวงสาธารณสุข จะจัดตั้งการดูแลเฉพาะในส่วนของด้านสุขภาพ หรือ เฮลธ์เซิร์ต เพิ่มจากไทยเซิร์ต และขณะนี้ได้ออกแบบระบบระบบฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพ มีข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ เช่น โรคประจำตัว การแพ้ยา ยาประจำที่ใช้ การรับวัคซีน เป็นต้น โรงพยาบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ********************************* 9 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ปลื้ม งานตลาดนัด SME ยอดซื้อเกินเป้า ขายกว่า 30 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 ก.อุตฯ ปลื้ม งานตลาดนัด SME ยอดซื้อเกินเป้า ขายกว่า 30 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม ปลื้ม งานตลาดนัด SME ยอดซื้อเกินเป้า ขายกว่า 30 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สรุปผลการจัดงาน ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” สร้างยอดขายกว่า 30 ล้านบาท เพิ่มโอกาส สร้างรายได้พร้อมต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการ ที่นำสินค้าและบริการ มาเสนอในงาน นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า “งานตลาดนัด SME เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงวันที่ 4 - 6 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ได้ผลตอบรับเกินความคาดหมาย โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 4 หมื่นคน และจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้ประกอบการกว่า 600 ราย ที่นำสินค้าและบริการมาจำหน่าย สามารถทำยอดขายโดยรวมมากกว่า 30 ล้านบาท โดยเฉพาะในหมวด ของอาหาร เกษตรแปรรูป สินค้าแฟชั่นจำพวกสิ่งทอ เสื้อผ้า รวมถึงบริการท่องเที่ยว คิดเป็นสัดส่วนกว่า ร้อยละ 70 ของยอดขายทั้งหมดในงาน นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับสูงมากถึงร้อยละ 86 โดยเฉพาะในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่นำเสนอในงาน ซึ่งตลอดทั้ง 3 วัน ได้มีกิจกรรมที่เน้นเพิ่มความรู้ด้านการตลาดในยุค New Normal การปรับตัวของธุรกิจและกรณีศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก” “แม้ว่าตลาดนัด SME จะเป็นงานในระดับเล็ก แต่สิ่งสำคัญคือการที่ประชาชนได้ออกมาจับจ่ายใช้สอย อุดหนุนสินค้าและบริการของไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และการเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการที่นำสินค้าและบริการมาเสนอในงาน โดย SME และวิสาหกิจชุมชนต้องเรียนรู้ความต้องการผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และทำการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐาน รวมถึงรูปแบบสินค้าใหม่ ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงเร่งให้ความช่วยเหลือสนับสนุน SME และวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้าถึงแหล่งทุน และตลาดทั้งในรูปแบบ Offline และ Online ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว ------------------------------------------------- 14 ก.ย. 63
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการเราไม่ทิ้งกันจะยุติการโอนเงินในวันที่ 30 กันยายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 มาตรการเราไม่ทิ้งกันจะยุติการโอนเงินในวันที่ 30 กันยายน 2563 ตามที่ได้เคยแถลงข่าวแล้วว่ากระทรวงการคลังดำเนินมาตรการเราไม่ทิ้งกันเสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน คงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาบางส่วนที่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ เนื่องจากเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับบัญชีรับเงิน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้เคยแถลงข่าวไปแล้วว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (มาตรการเราไม่ทิ้งกัน) เสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน แต่คงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาบางส่วนที่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ เนื่องจากเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับบัญชีรับเงิน เช่น ยังไม่มีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีปิด เป็นต้น กระทรวงการคลังยังคงพยายามโอนเงินซ้ำ (Retry) อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนถึงปัจจุบัน โดยคงเหลือผู้ที่ยังโอนเงินไม่สำเร็จจำนวนประมาณ 56,000 คน ซึ่งกระทรวงการคลังจะดำเนินการโอนเงินซ้ำ (Retry) ต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ดังนั้น สำหรับผู้มีสิทธิ์แต่ยังไม่ได้รับเงิน ขอให้ตรวจสอบว่าท่านอยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิ์ที่กระทรวงการคลังโอนเงินไม่สำเร็จหรือไม่ โดยตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ปุ่มสีเขียวเข้ม “ผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สำเร็จ” ทั้งนี้ หากท่านอยู่ในกลุ่มดังกล่าว หรือท่านได้รับข้อความ SMS แจ้งว่าเป็นผู้มีสิทธิ์แต่โอนเงินไม่สำเร็จ ขอให้รีบไปติดต่อธนาคารใดก็ได้ที่ท่านมีบัญชีอยู่ และดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชนโดยเร็ว ก่อนวันที่ 28 กันยายน 2563 เพื่อให้สามารถรับเงินโอนจากกระทรวงการคลังได้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 โฆษกกระทรวงการคลังย้ำเพิ่มเติมว่า หลังจากวันที่ 30 กันยายน 2563 กระทรวงการคลังจะพิจารณาปิดโครงการและยุติการโอนเงิน ดังนั้น ขอให้ผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สำเร็จเร่งดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชนโดยเร็วที่สุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3569 3556 และ 3566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34958
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์”ร่วมหารือแนวทางพัฒนาระบบหนังสือเดินทางสุขภาพ ติดตามผู้เดินทาง-นักท่องเที่ยว ป้องกัน COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 “พุทธิพงษ์”ร่วมหารือแนวทางพัฒนาระบบหนังสือเดินทางสุขภาพ ติดตามผู้เดินทาง-นักท่องเที่ยว ป้องกัน COVID-19 “พุทธิพงษ์”ร่วมหารือแนวทางพัฒนาระบบหนังสือเดินทางสุขภาพ ติดตามผู้เดินทาง-นักท่องเที่ยว ป้องกัน COVID-19 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมแนวทางการพัฒนาระบบหนังสือเดินทางสุขภาพ Digital Health Passport Application (DHP) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นดังกล่าวร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นต่อรูปแบบการใช้งานของระบบบัตรสุขภาพ ณ ห้องประชุม 1801 วิภาวดี ชั้น 18 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ ถนนซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอความร่วมมือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) หรือ สพร. สนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชั่น Digital Health Passport Application (DHP) เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสุขภาพของผู้เดินทาง ตลอดจนการเฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ หน่อยงานและบุคลากรทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ในการประมวลผลข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงจากประวัติการเดินทางของผู้ใช้บริการ และระงับการแพร่ระบาด สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับประเทศ *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563 อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยกันนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) ต้นแบบ ที่บ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) จ.นนทบุรี
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) ต้นแบบ ที่บ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) จ.นนทบุรี รมว.พม. เปิดศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) ต้นแบบที่บ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) จ.นนทบุรี วันนี้ (5 ก.ย. 63) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) บ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ และนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ พร้อมทั้งคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และชาวชุมชนบ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์ชุมชนโครงการบ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) ตำบลบางรักน้อย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี นายจุติ กล่าวว่า โครงการบ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) จังหวัดนนทบุรี เป็นชุมชนต้นแบบที่มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการชุมชนของตนเองซึ่งได้มีการจัดโครงการ Healthy Condo เพื่อดูแลสุขภาพผู้อยู่อาศัยในชุมชนคอนโดมิเนียมอย่างเป็นระบบ และลดปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นในพื้นที่ ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 08.00 - 15.00 น. โดยมีโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเป็นผู้ริเริ่มนำร่อง และเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) เป็นหนึ่งในบริการของโครงการ Healthy Condo เพื่อให้บริการผู้สูงอายุในชุมชนได้ฟื้นฟูทำกายภาพบำบัดและดูแลสุขภาพของตนเอง โดยมีโครงการบ้านเอื้ออาทรรัตนาธิเบศร์ (ท่าอิฐ) เป็นชุมชนต้นแบบแห่งแรกในการพัฒนาและเป็นพี่เลี้ยงให้กับชุมชนอื่นๆด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ กคช. กระทรวงสาธารณสุข ชาวชุมชน นิติบุคคลอาคารชุด และภาคเอกชน ซึ่งมีการขยายศูนย์ฯ อีก 7 แห่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ 1.บ้านเอื้ออาทรนนทบุรี (วัดกู้ 2) 2.บ้านเอื้ออาทรประชานิเวศน์ 3.บ้านเอื้ออาทรบางบัวทอง 1 4.บ้านเอื้ออาทรบางบัวทอง 2 (บางกรวย - ไทรน้อย) 5.บ้านเอื้ออาทรนนทบุรี (บางใหญ่ซิตี้) 6.บ้านเอื้ออาทรนนทบุรี (แฟลต) และ 7.บ้านเอื้ออาทรนนทบุรี (กันตนา) นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ตนขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์ดังกล่าวอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้บริการด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขภาพให้กับผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชนและชุมชนข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็น สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ให้การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ นิติบุคคลแต่ละพื้นที่ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าดูแลผู้ป่วย ค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี ให้การสนับสนุนเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต และ กคช. ให้การสนับสนุนพื้นที่ศูนย์ชุมชนในโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นที่ตั้งศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ (Elderly Day Care) นับเป็นผลสำเร็จของนโยบายของรัฐบาลที่มีการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ด้วยความร่วมมือกันทำให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะจากภาคประชาชนที่เข้มแข็งและภาคราชการที่พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อเป็นสถานที่รองรับสังคมผู้สูงอายในอนาคต ดังนั้น จึงควรมีการเตรียมการในการฝึกให้ทุกภูมิภาคได้สามารถนำไปขยายผลต่อไป และหากสามารถจัดตั้งศูนย์ดูแลเด็กเล็กกลางวันในโครงการฯ จะยิ่งดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การบริการผู้สูงอายุจะช่วยลดภาระและลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดพลังบวกในสังคมและทำให้เป็นสังคมที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34829
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวปาฐกถาพิเศษ งานสัมมนา New Generation of Automotive
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวปาฐกถาพิเศษ งานสัมมนา New Generation of Automotive นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ งานสัมมนา New Generation of Automotive ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ วันนี้ (27 สิงหาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ งานสัมมนา "New Generation of Automotive" ในหัวข้อ Road Map ไทย ขับเคลื่อน EV รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายและมาตรการ ที่จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก โดยในปี 2019 มีการผลิตอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก ให้สามารถปรับตัวและต่อยอดเทคโนโลยีการผลิตเดิม เพื่อคงไว้ซึ่งขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยที่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่เป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เป็นอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันเพื่อให้เกิดการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญภายในประเทศ โดยมีมาตรการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ ตามมาตรการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ในประเทศไทย โดยการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีมาตรการครอบคลุมทุกด้าน ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน (Supply) มาตรการกระตุ้นตลาดในประเทศ (Demand) การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว และมาตรการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเมธากุล สุวรรณบุตร รองโฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายธนากร เสรีบุรี ประธานกรรมการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และนายสมชาย มีเสน รองประธานกรรมการบริหาร บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายซัยยิด เรซ่า โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 นายซัยยิด เรซ่า โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. นายซัยยิด เรซ่า โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายซัยยิด เรซ่า โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือเรื่อง ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องรับรองชั้น ๗ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฐ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนประชาชนชาวจังหวัดระยองที่มีสิทธิตรวจสอบสิทธิ พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ ในงาน Money EXPO 2020 พบกันบูธH1 วันที่ 4 – 6 ก.ย. นี้”
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 “กอช. ชวนประชาชนชาวจังหวัดระยองที่มีสิทธิตรวจสอบสิทธิ พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ ในงาน Money EXPO 2020 พบกันบูธH1 วันที่ 4 – 6 ก.ย. นี้” กอช.เชิญชวนชาว จ.ระยองที่มีสิทธิสมัครและส่งเงินออมสะสมพร้อมรับเงินสมทบจากรัฐบาล เพื่อรับเงินบำนาญใช้รายเดือนหลังอายุ 60 ปี พบกับ กอช. ได้ในงาน“Money EXPO 2020 สัญจรระยอง” วันที่ 4 – 6 ก.ย.2563 ที่บูธH1 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยอง จ.ระยอง กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดระยองที่มีสิทธิสมัครและส่งเงินออมสะสมพร้อมรับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% ตามช่วงอายุ เพื่อรับเงินบำนาญใช้รายเดือนหลังอายุ 60 ปีทั้งนี้ พบกับ กอช. ได้ในงาน“Money EXPO 2020 สัญจรระยอง”พร้อมโปรโมชันพิเศษและของที่ระลึก วันที่ 4 – 6 กันยายน 2563 ที่บูธ กอช. (บูธH1) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยอง จังหวัดระยอง นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดระยอง ที่มีสิทธิสมัครและส่งเงินออมสะสมพร้อมรับสวัสดิการเงินออมสะสมจากรัฐไว้ใช้หลังอายุ 60 ปีโดยการออมเงินกับ กอช. เป็นการวางแผนทางการเงินในระยะยาวเพื่อใช้ในอนาคตเริ่มออมขั้นต่ำเพียง50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปีรับเงินสมทบจากรัฐบาลตามช่วงอายุของสมาชิก ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้งโดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาทช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาททั้งนี้สมาชิกสามารถตรวจสอบยอดเงินออมสะสมและเงินสมทบแบบออนไลน์ได้ผ่านแอป กอช. เข้าเมนู “บัญชีเงินออมของฉัน” สมาชิกก็สามารถดูบัญชีตนเองได้ง่ายๆ สะดวกสบาย สำหรับกิจกรรม กอช. สัญจรพบชาวระยอง และพื้นที่ใกล้เคียงพบกันได้ในงาน“Money EXPO 2020 สัญจรระยอง”บูธ กอช. (บูธ H1) ระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2563ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยองซึ่งกอช. ได้จัดกิจกรรมร่วมสนุกมากมาย พร้อมโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้สมัครสมาชิกใหม่และสมาชิกที่ส่งเงินออมสะสมที่บูธ กอช. ภายในงานเท่านั้น ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด “แอป กอช.” ได้ผ่าน แอป สโตร์(App Store) สำหรับระบบไอโอเอส(IOS) และดาวน์โหลดผ่าน เพลย์ สโตร์(Play Store) สำหรับระบบแอนดรอยด์(Android) โดยพิมพ์คำค้นหาว่า “กอช.” นอกจากนี้สมาชิก กอช. หรือผู้สนใจยังสามารถใช้บริการทั้งหมดของแอป“กอช.”ผ่านระบบ E Service ในเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กอช. ได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับแผนรับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด”
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 ปรับแผนรับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (ปี 2563-2565) โดยเน้น 7 เรื่องสำคัญที่ต้องทำโดยเร็ว คือ 1) รณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงการเป็นผู้สูงอายุ 2) สังคมมีทัศนะเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ 3) จ้างงานผู้สูงอายุ 4) ส่งเสริมให้ลูกหลานกลับมาอยู่กับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุยากจน 5) ปรับเปลี่ยนโรงเรียนขนาดเล็กเป็นสถานที่พัฒนาผู้สูงอายุในชุมชน 6) ส่งเสริมการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ 7) สนับสนุนการผลิตบุคลากรด้านผู้สูงอายุในระดับวิชาชีพให้เพียงพอ ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อรองรับสังคมไทยที่จะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” ในปี 2564 และในปี 2574 สัดส่วนจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” หรือมีผู้สูงอายุเกิน 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมและให้กำลังใจสมาชิกกลุ่มทอผ้านาหมื่นศรีในหมู่บ้าน CIV บ้านควนสวรรค์ จ.ตรัง
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมและให้กำลังใจสมาชิกกลุ่มทอผ้านาหมื่นศรีในหมู่บ้าน CIV บ้านควนสวรรค์ จ.ตรัง ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมและให้กำลังใจสมาชิกกลุ่มทอผ้านาหมื่นศรีในหมู่บ้าน CIV บ้านควนสวรรค์ จ.ตรัง วันนี้ (5 กันยายน 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขานุการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมการทอผ้าของกลุ่มทอผ้านาหมื่นสี หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (CIV) บ้านควนสวรรค์ ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวบ้านและติดตามผล การดำเนินงาน รวมถึงให้คำแนะนำในการบริหารจัดการ ภายหลังได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจตกต่ำและสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ทั้งนี้ จังหวัดตรัง มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (CIV) จำนวน 3 หมู่บ้าน คือ 1) บ้านควนสวรรค์ ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง 2) บ้านเขาหลัก ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง 3) บ้านพรุจูด (บ่อหินฟาร์มสเตย์) ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ. ตรัง โดยทุกหมู่บ้านได้รับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันจน สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สำหรับหมู่บ้านควนสวรรค์มีความโดดเด่นในด้านการทำผ้าทอโดยมีผลิตภัณฑ์เด่น เช่น ผ้าหางกระรอก ผ้ายกดอก ผ้าทอลายขัด ผ้าคลุมไหล่ ผ้าขาวม้า เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34827
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ เปิดสัมมนาร่วม กมธ.แรงงาน ลั่นมาแน่ ‘จ๊อบเอ็กซ์โปร์ 2020’ ก.ย.นี้ รัฐ – เอกชน จับมือช่วยคนตกงานล้านตำแหน่งพ้นโควิด
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 ‘จับกัง1’ เปิดสัมมนาร่วม กมธ.แรงงาน ลั่นมาแน่ ‘จ๊อบเอ็กซ์โปร์ 2020’ ก.ย.นี้ รัฐ – เอกชน จับมือช่วยคนตกงานล้านตำแหน่งพ้นโควิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดสัมมนา “การส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามภารกิจขององค์กรระหว่าง คณะกรรมาธิการการแรงงานกับกระทรวงแรงงาน เพื่อการเพิ่มผลิตภาพ และสร้างภาวะสันติสุขในสังคมอุตสาหกรรมของประเทศในทุกมิติในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดสัมมนา “การส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามภารกิจขององค์กรระหว่าง คณะกรรมาธิการการแรงงานกับกระทรวงแรงงาน เพื่อการเพิ่มผลิตภาพ และสร้างภาวะสันติสุขในสังคมอุตสาหกรรมของประเทศในทุกมิติในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงและเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร” และบรรยายพิเศษหัวข้อเรื่อง“นโยบายการบริหารแรงงงานและภารกิจของกระทรวงแรงงานในภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด – 19 และผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงาน” ณ จังหวัดนครนายก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมนาเรื่อง “การส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามภารกิจขององค์กรระหว่าง คณะกรรมาธิการการแรงานกับกระทรวงแรงงาน เพื่อการเพิ่มผลิตภาพ และสร้างภาวะสันติสุขในสังคมอุตสาหกรรมของประเทศในทุกมิติในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงและเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร” และกล่าวบรรยายพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง“นโยบายการบริหารแรงงงานและภารกิจของกระทรวงแรงงานในภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด – 19 และผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงาน” ณ โรงแรมภูสักธาร รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรมว.แรงงานกล่าวว่า ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาบรรยายพิเศษ เรื่อง “นโยบายการบริหารแรงงานและภารกิจของกระทรวงแรงงานในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 และผลกระทบกับผู้ใช้แรงงาน” จากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อภาคแรงงานเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีหลายสื่อหลายสำนักได้เปิดเผยตัวเลขผู้ว่างงาน ระบุว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อแรงงาน คือ แรงงานมีความเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง โดยในปัจจุบันสิ่งที่สำคัญคือตัวเลขต่างๆทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้การวางแผนและแก้ไขนั้นถูกต้อง โดยกระทรวงแรงงานมีตัวเลขผู้ประกันตนขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ซึ่งจากฐานข้อมูลที่ชัดเจนมีตัวเลข จำนวน 933,367 คน เป็นเงิน 14,982.717 ล้านบาท (ณ วันที่ 25 ส.ค. 2563) ซึ่งในกลุ่มนี้ เราต้องช่วยกันดูแลและออกมาตรการเพื่อมาช่วยเหลือทั้งลูกจ้างและผู้ประกอบการ นายสุชาติกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงแรงงานทุกท่าน เพื่อเร่งขับเคลื่อนภารกิจสำคัญที่จะช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด – 19 ให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โดยเฉพาะประเด็นเร่งด่วนที่ต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2563 นี้ คือการจัดงาน Thailand Job Expo 2020 ที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2563 มีตำแหน่งงาน 1 ล้านตำแหน่ง จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ของทุกกระทรวงมารวมกันเพื่อ Matching ระหว่างงานกับคน โดยมี Platform ไทยมีงานทำ.com เป็นแหล่งรวบรวมตำแหน่งงานว่างงานเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ และมาตรการสนับสนุนการจ้างงานเพื่อคนว่างงานในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโควิด – 19 โดยนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องอยู่ในระบบประกันสังคม และนายจ้างต้องไม่เลิกจ้างลูกจ้างเดิม เกินกว่าร้อยละ 15 ภายใน 1 ปี มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา (COVID – 19) ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา เพื่อให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สัญชาติไทย (ส่งเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน ภายใน 15 เดือน) ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับการช่วยเหลือและเยียวยา โดยมีเป้าหมายเป็นจำนวนหลายหมื่นคน เป้าหมาย 59,776 คน มาตรการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมให้นายจ้างและผู้ประกันตน จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 2 ของค่าจ้าง ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2563 จากมาตรการนี้จะช่วยรักษาระดับการจ้างงานและเพิ่มกำลังซื้อของตลาดในประเทศรวมเป็นเงินที่ลดให้ทั้งผู้ประกันตนและนายจ้าง เป็นเงินประมาณ 23,000 ล้านบาท จาก 12.92 ล้านคน มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการที่กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยปลอดดอกเบี้ย (ดอกเบี้ย 0%) ตลอดระยะเวลา 12 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 – 31 สิงหาคม 2564 ผู้ประกอบกิจการสามารถกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการพัฒนาฝีมือแรงงาน วงเงินกู้ยืมแห่งละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยในปี 2564 มีวงเงินให้กู้กว่า 100 ล้านบาท และมาตรการเชิงรุกให้ลูกจ้างที่ว่างงานได้รับสิทธิประโยชน์โดยเร็ว โดยบูรณาการร่วมกันเฝ้าระวังสถานประกอบกิจการที่คาดว่าจะเลิกจ้าง การให้บริการเชิงรุกเพื่อให้จ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานกฎหมายประกันสังคม ถูกต้อง ครบถ้วน และรวดเร็ว “กระทรวงแรงงานจะใช้กลไกขับเคลื่อนโดยตั้งศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติ (ศอร.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำกับ ติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างรวดเร็ว ฉับไว และทันต่อสถานการณ์ รายงานผลการปฏิบัติอย่างทันท่วงที เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อความต้องการความช่วยเหลือของผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งบูรณาการการทำงานเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางการปฏิบัติราชการ และขอให้หัวหน้าส่วนราชการทุกท่านมุ่งพัฒนาด้านแรงงานเพื่อประเทศชาติต่อไป”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกรกฎาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกรกฎาคม 2563 ในเดือนกรกฎาคม 2563 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ภายในประเทศที่ได้คลี่คลาย นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคม 2563 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ภายในประเทศที่ได้คลี่คลายลงตามลำดับ ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2563 มีจำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิ 1,224 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 10 ราย ประกอบด้วย ผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ สะสมสุทธิจำนวน 1,055 ราย และผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัส สะสมสุทธิจำนวน 169 ราย และมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสสะสมรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,361 ราย ใน 76 จังหวัด (จังหวัดที่ยังไม่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้งสองประเภท ยังคงเป็นจังหวัดเดิม คือ อ่างทอง) โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (115 ราย) กรุงเทพมหานคร (109 ราย) และขอนแก่น (68 ราย) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีจำนวนนิติบุคคลที่แจ้งคืนคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมรวมทั้งสิ้น 137 ราย ใน 53 จังหวัด จึงคงเหลือจำนวนนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อ พิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสะสมสุทธิ 1,224 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสะสมสุทธิ 935 ราย ใน 74 จังหวัด (ขอคืนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์จำนวน 27 ราย และขอเปลี่ยนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เป็นประเภทพิโกพลัสจำนวน 53 ราย) ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ พิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท ที่แจ้งเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 825 ราย ใน 72 จังหวัด และมีรายละเอียด ดังนี้ (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมสุทธิทั้งสิ้น 1,055 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งเพิ่มขึ้น 6 ราย จากเดือนมิถุนายน 2563 หรือเพิ่มขึ้น 106 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2562 โดย ณ เดือนกรกฎาคม 2563 จังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (96 ราย) นครราชสีมา (94 ราย) และขอนแก่น (63 ราย) ตามลำดับ มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 844 ราย ใน 74 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 753 ราย ใน 72 จังหวัด (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมสุทธิทั้งสิ้น 169 ราย ใน 55 จังหวัด (ประกอบด้วย นิติบุคคลที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมและเปิดดำเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบคำขออนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิจำนวน 89 ราย ใน 39 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตใหม่สะสมสุทธิจำนวน 80 ราย ใน 29 จังหวัด) ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 ราย จากเดือนมิถุนายน 2563 หรือเพิ่มขึ้น 97 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2562 โดย ณ เดือนกรกฎาคม 2563 จังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (21 ราย) กรุงเทพมหานคร (13 ราย) และอุดรธานี (11 ราย) โดยมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 91 ราย ใน 32 จังหวัด (เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่) และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 72 ราย ใน 29 จังหวัด (เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่) (3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม (3.1) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดสินเชื่ออนุมัติใหม่จำนวน 279.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2563 ที่มียอดสินเชื่ออนุมัติใหม่จำนวน 208.45 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มและทิศทางที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากการคลี่คลายลงของสถานการณ์ COVID – 19 การผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ และการที่กลุ่มเกษตรกรเริ่มทำการเพาะปลูกในช่วงฤดูฝน จึงมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิตต่าง ๆ อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับยอดสินเชื่ออนุมัติใหม่ของเดือนมิถุนายน 2562 (จำนวน 344.93 ล้านบาท) พบว่ามีทิศทางที่ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจภาพรวมที่ยังคงไม่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 มีจำนวน 294,481 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 7,407.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 25,153 บาท ต่อบัญชี ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 137,971 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 3,894.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 52.57 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 156,510 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 3,512.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47.43 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม (3.2) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมจำนวนทั้งสิ้น 134,746 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,006.53 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 16,454 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 396.05 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.17 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 22,110 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 474.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.78 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับยอด NPL ของเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์มีการติดตามและเฝ้าระวังหนี้ค้างชำระของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด ประกอบกับประชาชนเริ่มกลับมาประกอบอาชีพได้มากขึ้น ทำให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับยอด NPL ของเดือนมิถุนายน 2562 (ร้อยละ 10.49) พบว่า มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID – 19 การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย ในเดือนพฤษภาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เพื่อปราบปรามและดำเนินคดีในเชิงรุกกับเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ให้ประชาชนกู้ยืมเงินโดยผิดกฎหมาย เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด การทวงถามหนี้โดยผิดกฎหมาย และการกู้ยืมเงินที่มีลักษณะฉ้อโกง โดย ณ เดือนกรกฎาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 1,011 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับยอดการจับกุมเฉลี่ยในช่วงเดือนตุลาคม 2559 - ตุลาคม 2562 ที่มีจำนวน 221 ราย ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 ผลการดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายมีจำนวนสะสม 7,013 ราย นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศปน.ตร. โทร. 0 2255 1898 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344 สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน โทร. สายด่วน 1359
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์จัดงาน 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 กรมธนารักษ์จัดงาน 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ กรมธนารักษ์ได้จัดงาน 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ผู้ทรงริเริ่มให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์และใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าได้อย่างทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ วันนี้ (17 กันยายน 2563) นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดงาน 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ผู้ทรงริเริ่มให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์และใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าได้อย่างทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ จึงได้กำหนดจัดงานในโอกาสครบรอบ 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ ขึ้นในระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2563 ณ โรงกษาปณ์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งภายในงานพบกับกิจกรรม 1. การจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกของกรมธนารักษ์ และจาก สมาคมเหรียญกษาปณ์และพดด้วง สมาคมเหรียญที่ระลึกแห่งประเทศไทย สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรฯ ชมรมคนรักษ์เหรียญ และชมรมโค้กไทยคลับ 2. การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ เกี่ยวกับเหรียญกษาปณ์ในแต่ละยุคสมัย 3. การสาธิตกระบวนการผลิต การสร้างสรรค์ศิลปกรรมอันประณีตลงบนเหรียญอย่างสวยงามทรงคุณค่า 4. การจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก โลหะสีขาวประเภทธรรมดา ชนิดราคา 20 บาท จำนวน 10 เหรียญ ชุดละ 200 บาท จำกัดท่านละ 1 ชุด และการเปิดรับจองเหรียญที่ระลึก 160 ปี โรงกษาปณ์ไทย เป็นเหรียญรูป 10 เหลี่ยม ขนาดสูง 10 ซม. ชนิดเงินรมดำพ่นทรายพิเศษ 95% และชนิดทองแดงรมดำพ่นทรายพิเศษ 95% และเหรียญชุด 5 โรงกษาปณ์ (1 ชุด มี 5 แบบ/เหรียญ) เป็นเหรียญชนิดเงินรมดำพ่นทรายพิเศษ 95% และชนิดทองแดงรมดำพ่นทรายพิเศษ 95% โดยจำกัดท่านละ 1 ชุด และสามารถรับเหรียญ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป นายยุทธนา กล่าวต่อว่า ผู้ที่มาร่วมงานจะได้รับถุงผ้าพร้อมโปสการ์ด 160 ปี โรงกระสาปน์สิทธิการ และเหรียญที่ระลึก 160 ปี โรงกษาปณ์ไทย เป็นเหรียญชนิดคิวโปรนิกเกิล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มม. ลักษณะพิเศษคือใช้รูปทรงกรอบเป็นลายดอกประจำยาม คล้ายรูปแบบเหรียญ 5 โรงกษาปณ์ ใช้วิธีปัดดวงตราให้เงาและพ่นทรายบางส่วน จำนวนวันละ 2,500 เหรียญ สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กองกษาปณ์ โทร 02-834-8300-50 นายยุทธนากล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เปิดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ยกทัพการแสดงศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ร่วมสมัย-ลิเก-ลำตัด-นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 รมว.วธ. เปิดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ยกทัพการแสดงศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ร่วมสมัย-ลิเก-ลำตัด-นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง รมว.วธ. เปิดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ยกทัพการแสดงศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ร่วมสมัย-ลิเก-ลำตัด-นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง รมว.วธ. “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ยกทัพการแสดงศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ร่วมสมัย-ลิเก-ลำตัด-นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ชมฟรี “เอกชัย-จินตรา-ต่าย อรทัย-ผ่องศรี-ชาย เมืองสิงห์-ศรราม น้ำเพชร” จำหน่ายสุดยอดอาหารหายาก-ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม ตื่นตาไฟประดับนับหมื่นดวง ๑๕ – ๒๐ ก.ย. นี้ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ ที่ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ”พร้อมทั้งชมการแสดงจากศิลปินชื่อดัง เอกชัย ศรีวิชัย และลิเก ศรราม น้ำเพชร โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ ศิลปิน ดารา นักแสดง และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วม นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับ ศิลปิน และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรมจัดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ภายใต้แนวคิด “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ระหว่างวันที่ ๑๕ – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. ณ หอประชุมใหญ่ และลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับศิลปิน ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามนโยบายของรัฐบาล และเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนงานและโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านมิติวัฒนธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงวัฒนธรรม สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานประกอบด้วย ๑.วันที่ ๑๖ ก.ย. เวลา ๑๖.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. การแสดงจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ศิลปินจากสมาคมศิลปินพื้นบ้าน และศิลปินชื่อดัง ได้แก่ วินัย พันธุรักษ์ ,ผ่องศรี วรนุช ,เพลิน พรมแดน ,จินตรา พูนลาภ ,ชาย เมืองสิงห์ การแสดงหมอลำจากสมาคมหมอลำอีสาน โดยแม่ฉวีวรรณ ดำเนิน และการแสดงศิลป์นครศรีบุรีรินทร์จากสามาคมศิลปินพื้นบ้านอีสานใต้ ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๒.วันที่ ๑๗ ก.ย. เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๗.๓๐ น. การแสดงดนตรี กวี ศิลป์ “รวมมิตรคนร่วมสมัยหัวใจรักชาติ” จากเครือข่ายศิลปินร่วมสมัยจากเทศกาลศิลปะแห่งกรุงเทพฯ ได้แก่ สะบัดลาย ,โตโต้ ธนเดช ,อลิส ธรัชลักษณ์ ,OCAC Thai Rap ,Dance Creation ,OACE young model และศรศิลป์นาฏมวยไทย ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และเวลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. การแสดงรำโนรา เทิดไท้องค์ราชัน ,การแสดงหนังตะลุง และรำโนรา เศรษฐกิจพอเพียง ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๓.วันที่ ๑๘ ก.ย. เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๗.๓๐ น. การแสดงนาฏลีลาร่วมสมัย ตอน รามายณะแห่งสยาม คณะไก่แก้วการละคร ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เวลา ๑๗.๓๐ – ๒๑.๐๐ น. การแสดงเสียงก้องกลองล้านนา เรื่อง สามเสียงมงคล ,การขับซอล้านนา ,กลองสะบัดชัย ฟ้อนเจิงหญิง ฟ้อนธง ฟ้อนดาบ ,กลองมองเซิง ฟ้อนก๋ายลาย ฟ้อนนกกริงกระหร่า เต้นโต ตี่โนง ฟ้อนเล็บ และการแสดงศิลปินชื่อดัง ต่าย อรทัย ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๔.วันที่ ๑๙ ก.ย. เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๗.๓๐ น. การแสดงหุ่นสายร่วมสมัย ตอน เจ้าเงาะ โดยนายนิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธร ,คณะหุ่นสายเสมาฯ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และเวลา ๑๘.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. การแสดงพื้นบ้านภาคกลาง ลำตัด โดยแม่ขวัญจิตร ศรีประจันต์ ,การแสดงเพลงพื้นบ้านทรงเครื่อง เรื่องนางสิบสองพระรถเมรี ,การแสดงพื้นบ้านร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ และการแสดงอุปรากรจีน ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และ๕.วันที่ ๒๐ ก.ย. เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๗.๓๐ น. การแสดงหุ่นร่วมสมัย ตอน อัคนีผีเสื้อน้ำ โดยยุวชนคนรักหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ คณะโจหลุยส์ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และเวลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. การแสดงลิเก ๑๐ ทหารเสือ พ่อขุนศรี ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ มีการจำหน่ายสุดยอดผลิตภัณฑ์งานฝีมือคนไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) จากชุมชนและผู้ประกอบการโดยตรงจากทั่วประเทศในราคาสุดพิเศษ การออกร้านจำหน่ายอาหารดี อาหารดัง อาหารหาทานยาก และอาหารอร่อยร้าน ๑๐๐ ปี ขณะเดียวกันยังมีกิจกรรมการสาธิตทำอาหารไทยแบบโบราณ พร้อมการขับเสภากาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน นวดแผนไทย เปิดหมวกจากเด็กและเยาวชน และศิลปินอิสระ นอกจากนี้ยังมีไฟประดับตระการตานับหมื่นดวงสวยงามอลังการ เพื่อให้ประชาชนได้มาถ่ายรูปที่ระลึก รวมทั้งจุดเช็คอิน : ชุมชนคุณธรรมเสน่ห์วิถีไทย “บวร on Tour” กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ที่นำมาตั้งไว้กลางกรุง มาที่เดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย วธ. ขอเชิญร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ สอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th ----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติงบ 2,300 ล้านบาท ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 อนุมัติงบ 2,300 ล้านบาท ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จำนวน 2,300 ล้านบาท สำหรับประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิงที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ราคายางพาราในตลาดโลกและในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มขยับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม จากต้องการของตลาดโลกที่ลดลงเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ โดยเน้นให้ส่วนราชการเป็นผู้ขับเคลื่อน และออกมาตรการจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน ช่วยสร้างรายได้เสริมและลดปริมาณยางพาราที่ออกสู่ตลาด “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตนเฮ! ลดจ่ายเงินสมทบเหลือ 2% นาน 3 เดือน
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 ผู้ประกันตนเฮ! ลดจ่ายเงินสมทบเหลือ 2% นาน 3 เดือน -- #ไทยคู่ฟ้านอกจากการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนหรือพี่น้องแรงงาน และการลดภาระของนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว รัฐบาลยังออกมาตรการลดหย่อนการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้กับทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน รักษาระดับการจ้างงาน และเพิ่มกำลังซื้อของตลาดในประเทศด้วย ล่าสุด ครม. ได้เห็นชอบการลดหย่อนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมต่อเนื่อง โดย >> 1) ลดหย่อนการจ่ายเงินสมทบ สำหรับนายจ้างและผู้ประกันตนตาม ม.33 (ลูกจ้างในสถานประกอบการ) งวดเดือน ก.ย. - พ.ย. 63 โดยให้จ่ายเงินสมทบฝ่ายละ 2% ของค่าจ้างของผู้ประกันตน 2) ลดหย่อนการจ่ายเงินสมทบ สำหรับผู้ประกันตนตาม ม.39 (เคยเป็นลูกจ้างแล้วลาออก) งวดเดือน ก.ย. - พ.ย. 63 โดยให้จ่ายเงินสมทบเดือนละ 96 บาท หากจ่ายเงินสมทบเกินกว่าจำนวนเงินที่กำหนดไว้ นายจ้างและผู้ประกันตน สามารถยื่นคำร้องขอรับเงินส่วนที่เกินคืนได้ที่ สำนักงานประกันสังคม กทม. พื้นที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา โดยตรวจสอบที่ตั้งและเบอร์โทรศัพท์ ได้ที่https://www.sso.go.th/eform_news/assets/sso-contacts.pdfหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วน 1506 (24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติงบกลาง 1,000 ล้าน หนุนผลิตวัคซีนต้านโควิด-19
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 อนุมัติงบกลาง 1,000 ล้าน หนุนผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบอนุมัติงบกลาง วงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ พัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีเป้าหมายระยะสั้น – ระยะกลาง โดยนำวัคซีนต้นแบบที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดสอบในประเทศ และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศผู้ผลิต เช่น จีน และยุโรป เพื่อผลิตวัคซีนด้วยตนเอง ส่วนเป้าหมายระยะกลาง – ระยะยาว คือ การพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ทันท่วงที และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศและนานาชาติอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 ชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่ กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563 กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงดังนี้ 1. รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี 2. รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง 3. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทัพเรือเตรียมชะลอซื้อเรือดำน้ำ ยืนยันรับฟังเสียงประชาชน
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 ทัพเรือเตรียมชะลอซื้อเรือดำน้ำ ยืนยันรับฟังเสียงประชาชน -- #ไทยคู่ฟ้านายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีกองทัพเรือตั้งงบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า กองทัพเรือจะพิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ออกไป โดยจะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อีกครั้ง เพื่อให้คณะกรรมาธิการฯ เป็นผู้พิจารณาตามกลไกของรัฐสภา . เมื่อชะลอเรื่องออกไปแล้ว จะได้นำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์อื่นที่เหมาะสม โดยเฉพาะการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยกระทรวงกลาโหมจะหารือกับทางการจีนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำต่อไป . โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำดำเนินการอย่างถูกต้องในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ GtoG ตั้งแต่เรือดำน้ำลำที่ 1 ที่มีการส่งมอบแล้ว ในส่วนของลำที่ 2 และลำที่ 3 จะเป็นการส่งมอบต่อเนื่องตามงบประมาณที่ตั้งไว้ 22,500 ล้านบาท โดยที่ผ่านมากองทัพเรือได้ขออนุมัติงบประมาณปี 2563 แต่ติดสถานการณ์โควิด-19 จึงได้เลื่อนมาในปี 2564 “กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงานของนายกรัฐมนตรีที่รับฟังทุกความคิดเห็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือสังคม รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านกลไกการทำงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรมและเป็นเหตุเป็นผล”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้เจลล้างมือ
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 การใช้เจลล้างมือ กรมอนามัยส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพดี 1.หากใช้ครั้งแรกควรทดสอบการแพ้ก่อน สังเกตความผิดปกติ ได้แก ผื่นแดง ปวดแสบ ปวดร้อน บวม ต้องหยุดใช้ 2.เทเจลล้างมือ 2-3 ซีซี.หรือครึ่งช้อนชา ใส่ลงในฝ่ามือถูไห้ทั่วทั้ง 2 มือ นาน 20 วินาที และปล่อยให้แห้ง 3.ควรเก็บเจลล้างมือในภาชนะ ปิดสนิท ไม่ถูกแสงแดด หรืออยู่บริเวณที่ร้อนจะทำให้แอลกอฮอล์ระเหย และความเข้มข้นแอลกอฮอล์ลดลงได้ ข้อควรระวัง 1.เจลล้างมือมีส่วนผสมของแอลกอฮอลในปริมาณมาก สามารถติดไฟได้ หากทามือแล้วยังไม่แห้งควรหลีกเลี่ยงเปลวไฟ 2.ไม่ควรใช้เจลล้างมือกับเด็กทารก และบริเวณผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา หรือผิวที่อักเสบ หากสัมผัสแอลกอฮอล์บ่อยๆ ผิวอาจกระด้างได
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ปลอดทุจริต 100%” ร่วมประกาศเจตจำนง ต่อต้านการทุจริต ภายใต้แนวคิด จับโกง โคตรง่าย แค่ปลายนิ้ว “Power of Data”
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 ไอแบงก์ปลอดทุจริต 100%” ร่วมประกาศเจตจำนง ต่อต้านการทุจริต ภายใต้แนวคิด จับโกง โคตรง่าย แค่ปลายนิ้ว “Power of Data” ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต ในวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2563 ภายใต้แนวคิด จับโกง โคตรง่าย แค่ปลายนิ้ว “Power of Data” ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเอง ต่อลูกค้าและต่อธนาคาร ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต ในวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2563 ภายใต้แนวคิด จับโกง โคตรง่าย แค่ปลายนิ้ว “Power of Data” ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเอง ต่อลูกค้าและต่อธนาคาร ไม่อดทนต่อการทุจริต (Zero Toloerance) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธนาคาร “ไอแบงก์ปลอดทุจริต 100%”ที่ได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา โดยในกิจกรรมนี้ได้รับเกียรติจากนายชัยชาญ พลานนท์ กรรมการธนาคารและประธานอนุกรรมการธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม (CG&CSR) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร นำคณะผู้บริหารและพนักงานกล่าวคำปฏิญาณ ประกาศเจตจำนงต่อต้านทุจริต เพื่อร่วมกัน รวมพลังต่อต้านการทุจริต ทุกรูปแบบ สร้างความตระหนักรู้แก่บุคลากร ณ ห้องโถง ชั้น 23 สำนักงานใหญ่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ชี้แจงแอมเนสตี้ ไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก อนุญาตให้มีการชุมนุม
วันพุธที่ 9 กันยายน 2563 รัฐบาล ชี้แจงแอมเนสตี้ ไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก อนุญาตให้มีการชุมนุม รัฐบาล ชี้แจงแอมเนสตี้ ไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก อนุญาตให้มีการชุมนุม 6 กันยายน 2563 นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงสาระสำคัญ ดังนี้ 1. รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี 2. รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง 3. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี พร้อมกันนี้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ โฆษก ตร. ชี้แจงกรณีมีการเชิญชวนนักกิจกรรมและผู้สนับสนุนส่งจดหมาย เรียกร้องทางการไทย ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชนที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยึดมั่นในหลักรัฐธรรมนูญ หลักกฎหมาย และเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ การแสดงออก และการรับฟังความคิดเห็น การดำเนินการที่ผ่านมาของการผู้ชุมนุม มีการกระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนพิจารณาพฤติการณ์การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ยุติธรรม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ จากการรวบรวมพยานหลักฐานและการพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานตามสมควรว่า การทำกิจกรรมที่ผ่านมาดังกล่าว เป็นการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา และเป็นกรณีที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ พนักงานสอบสวน จึงได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อออกหมายจับ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับให้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เว้นแต่แกนนำบางราย ซึ่งได้มีการทำผิดเงื่อนไขสัญญาประกัน ศาลจึงได้มีการเรียกไต่สวน และถอนประกัน ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า การดำเนินคดีกับแกนนำจัดกิจกรรม เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย ........................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน ชวนออกแบบตราสัญลักษณ์ 108 ปี ธนาคารออมสิน ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 บาท หมดเขต 23 กันยายนนี้
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 ธ.ออมสิน ชวนออกแบบตราสัญลักษณ์ 108 ปี ธนาคารออมสิน ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 บาท หมดเขต 23 กันยายนนี้ ในโอกาสที่ธนาคารออมสินจะครบรอบ 108 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ขอเชิญชวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ออกแบบตราสัญลักษณ์ 108 ปี ส่งเข้าประกวด “GSB Design Contest 108 ปี ธนาคารออมสิน” เพื่อใช้เป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมต่างๆ ในโอกาสที่ธนาคารออมสินจะครบรอบ 108 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ธนาคารฯ จึงขอเชิญชวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา และพี่น้องประชาชน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ธนาคารออมสิน ด้วยการออกแบบตราสัญลักษณ์ 108 ปี ส่งเข้าประกวด “GSB Design Contest 108 ปี ธนาคารออมสิน” เพื่อใช้เป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมต่างๆ ในวาระครบรอบ 108 ปี ของธนาคาร โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดจะต้องสะท้อนถึงการเป็นธนาคารเพื่อสังคม ที่เติบโตเคียงข้างประชาชนคนไทยมาอย่างมั่นคง พร้อมก้าวสู่การเป็นธนาคารดิจิทัล สามารถสื่อความหมายที่ชัดเจน แสดงถึงอัตลักษณ์ของธนาคารออมสิน ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี มีความทันสมัย น่าเชื่อถือ และง่ายต่อการจดจำ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดการประกวดและใบสมัครผ่านทาง www.gsb.or.th กำหนดส่งผลงานได้ที่ Email : [email protected] ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 23 กันยายน 2563 ประกาศผลการตัดสิน ในวันที่ 30 กันยายน 2563 ทางเว็บไซต์ www.gsb.or.th และเฟสบุ๊ค GSB Society โดยการประกวดครั้งนี้มีเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 100,000 บาท แบ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารออมสิน โทรศัพท์ 0-2299-8000 ต่อ 010253 และ 999232 ในวันและเวลาราชการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดันตลาดสิ่งทอ-แฟชั่นไทยในชายแดนใต้สู่ตลาดต่างประเทศ นำการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ชูเอกลักษณ์ประจำถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่ม
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563 ก.อุตฯ ดันตลาดสิ่งทอ-แฟชั่นไทยในชายแดนใต้สู่ตลาดต่างประเทศ นำการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ชูเอกลักษณ์ประจำถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่ม ก.อุตฯ ดันตลาดสิ่งทอ-แฟชั่นไทยในชายแดนใต้สู่ตลาดต่างประเทศ นำการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ชูเอกลักษณ์ประจำถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่ม กระทรวงอุตสาหกรรม เผย ความสำเร็จการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแฟชั่นด้วยการออกแบบเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ นำจุดเด่น เอกลักษณ์ของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายชายแดนใต้ ผสมผสานนวัตกรรม ไอเดียร่วมสมัย ผลักดันขยายตลาด ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของผู้ประกอบการท้องถิ่นของไทยส่วนใหญ่ เป็นการผลิตจำกัดอยู่ในระดับวิสาหกิจชุมชน ทำให้ผลิตได้ในจำนวนน้อย ผู้บริโภคยังไม่นิยมหรือตระหนักในคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นมากนัก ทำให้มีตลาดจำกัดเฉพาะกลุ่ม และขาดการกระตุ้นความต้องการของตลาดในประเทศ ขณะที่ชุมชนเองก็มักผลิตสินค้ารูปแบบเดิม ขาดการพัฒนาสินค้า ทำให้สินค้าไม่มีความหลากหลายและไม่มีความโดดเด่น ทำให้ส่งผลกระทบต่อการ ประกอบกิจการของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สิ่งทอและผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนใต้กว่า 500 ราย ซึ่งจากข้อมูลพบว่าร้อยละ 63 เป็นผู้ประกอบการที่ผลิตเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายมุสลิม ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 37 เป็นผู้ประกอบการที่ผลิตผ้าทอพื้นเมือง ผ้าบาติก ผ้ามัดย้อม เคหะสิ่งทอ และสินค้าแปรรูปจากสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ จัดทำโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแฟชั่นด้วยการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่ชายแดนใต้ขึ้น โดยวางพื้นที่เป้าหมายของโครงการในพื้นที่จังหวัด ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 257 คน ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาดเพื่อนำความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ ผนวกกับคุณสมบัติพิเศษของวัตถุดิบที่เป็นเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น การเลือกใช้วัสดุในการออกแบบให้เหมะสมกับการใช้งาน ตอบสนองประโยชน์การใช้งาน และมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ การสร้างสรรค์จากวัฒนธรรม หรือผสมผสานรูปแบบที่มีความร่วมสมัย ให้สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันได้ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า และสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ภายใต้แนวคิด Cross Cultural : Turn Thai Wisdom to International จำนวน 59 ผลิตภัณฑ์ 12 คอลเลคชั่น ประกอบด้วย 1) Beramas 2) The colors that nature brings 3) Fragility 4) Nang-ta-lung 5) The Banana clover design 6) Natural Embroidery Bag 7) PABAJA 8) Southern X Northern 9) Light with Shadow 10) Timeless 11) Colors- block in pattern graphic และ 12) Flower in the crack of Stone ซึ่งแต่ละคอลเลคชั่นนั้น จะมีคอนเซ็ปต์ในการออกแบบธีมสีที่ชัดเจน และการออกแบบผลิตภัณฑ์จะเน้นความคิดเชิงสร้างสรรค์และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม นำต้นทุนท้องถิ่น ผสมผสานกับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการที่ผ่านการพัฒนาเพื่อนำไปจัดแสดงและจำหน่าย ณ ห้างสรรพสินค้า Avenue K ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัด ชายแดนใต้ ทั้งนี้ ในส่วนของผลสำเร็จที่ได้จากโครงการฯ นอกจากจะเกิดการรวมกลุ่มผู้ประกอบการสิ่งทอ ที่สามารถพัฒนาและต่อยอด สร้างเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ ยังเพิ่มโอกาสในการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งจากข้อมูลยอดการจำหน่ายของร้านค้า และรายได้กลุ่มผู้ประกอบการสินค้าผ้าบาติก ผ้าปาเต๊ะ และสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์ พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 โดยในปี 2562 ผู้ประกอบการหลังจากเข้าโครงการแล้ว และมียอดรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม่น้อยกว่า 16,210,000 บาท และในปี 2563 มียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากเดิม 19,908,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วม “โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่”
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วม “โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วม “โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” ขยายเวลารับสมัคร 27 ส.ค. – 9 ก.ย. นี้ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนงานสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 โดยขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) กรอบวงเงิน 9,805.707 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน กรกฎาคม 2563 - กันยายน 2564 นั้น ทั้งนี้ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการพัฒนาพื้นที่จุดเรียนรู้ในรูปแบบหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ และเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำสำหรับทำการเกษตร ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำด้วยระบบและวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นการฟื้นฟูภาคการเกษตรภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมุ่งเน้นเกษตรกรที่มีความตั้งใจเอาใจใส่อย่างจริงจัง ต่อยอด เพิ่มรายได้ กำหนดเป้าหมายเกษตรกร 64,144 ราย (16 ราย/ตำบล) เป้าหมายการจ้างงานเกษตรกร 32,072 ราย (8 ราย/ตำบล) ครอบคลุมพื้นที่ 4,009 ตำบล 75 จังหวัด ซึ่งภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พิจารณาเห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ และการจ้างแรงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ระดับตำบล โดยกำหนดคุณสมบัติเกษตรกรและผู้รับจ้างงาน ดังต่อไปนี้ 1) คุณสมบัติเกษตรกร (1) ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือเกษตรกรทั่วไป หรือทายาทเกษตรกร หรือแรงงานคืนถิ่น หรืออาสาสมัครเกษตรกรในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2) มีอายุระหว่าง 18 – 60 ปี และมีสัญชาติไทย (3) พื้นที่ที่ใช้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นพื้นที่ที่เป็นผืนเดียวกันไม่น้อยกว่า ๓ ไร่ และเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารสิทธิต้องเป็นของผู้สมัครหรือเป็นของทายาทของผู้สมัคร (บิดากับบุตร มารดากับบุตร สามีกับภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย) และผู้สมัครต้องมีที่พักอาศัยในพื้นที่ที่ใช้สมัครเข้าร่วมโครงการ (4) เจ้าของเอกสารสิทธิตามข้อ (3) ต้องยินยอมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 ปี โดยมีการลงลายมือชื่อหรือประทับลายนิ้วมือในหนังสือยินยอม (5) ผู้สมัครและพื้นที่ที่ใช้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องไม่อยู่ในโครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ (5 ประสาน) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2) คุณสมบัติของผู้รับจ้างงาน (1) เป็นเกษตรกรทั่วไป หรือทายาทเกษตรกร หรือแรงงานคืนถิ่น หรืออาสาสมัครเกษตรกรในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2) อายุระหว่าง 18 - 60 ปีบริบูรณ์ และมีสัญชาติไทย (3) วุฒิการศึกษา ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า (4) มีที่พักอาศัยอยู่ในตำบลที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ (5) ต้องมีอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ (smartphone) ฯลฯ (6) ไม่เป็นข้าราชการประจำ หรือข้าราชการบำนาญ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของกระทรวง กรมที่มีฐานะเทียบเท่าพนักงานส่วนท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และไม่เป็นลูกจ้างเอกชน (7) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (8) ต้องไม่เป็นเกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมปรับปรุงแปลงตามโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ (9) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นใบสมัครด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ http://ntag.moac.go.th หรือยื่นใบสมัครกับเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ตั้งแต่ 27 สิงหาคม – 9 กันยายน 2563 “จากการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ รวม 192,432 ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ มีพื้นที่กักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2,100 ลูกบาศก์เมตร/ราย เกษตรกรได้รับการพัฒนาให้มีความมั่นคงในอาชีพทำเกษตรกรรมยั่งยืน และมีแปลงต้นแบบเพื่อการเรียนรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ 64,144 คน รวมทั้งเกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในพื้นที่จำนวน 32,072 รายอีกด้วย” นายอนันต์ กล่าว. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34531
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติงบ 24 ล้านบาท ดูแลเรื่องนมโรงเรียนเอกชน
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 อนุมัติงบ 24 ล้านบาท ดูแลเรื่องนมโรงเรียนเอกชน วันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 24 ล้านบาท ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เพื่อจัดหานมโรงเรียนสำหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชน ให้เพียงพอกับจำนวนนักเรียนที่มีอยู่จริง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้โรงเรียนของรัฐและเอกชน จัดหานมให้กับเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อพัฒนาร่างกายของนักเรียนให้สมบูรณ์แข็งแรง เติบโตตามวัยอย่างเหมาะสมและมีภูมิคุ้มกันโรค ควบคู่ไปกับการพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อให้มั่นใจได้ว่า นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทุกคน จะได้รับสิทธิตามโครงการของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องและครบถ้วน ตอบสนองแนวทางการพัฒนาคนทุกช่วงวัย และลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนทุกกลุ่ม “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอ ครม.เคาะ 3 พัน 15 ล้านสิทธิ์ ช่วยผู้มีรายได้น้อย
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 รอ ครม.เคาะ 3 พัน 15 ล้านสิทธิ์ ช่วยผู้มีรายได้น้อย -- #ไทยคู่ฟ้านายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายประชาชนที่มีสิทธิ์จำนวน 15 ล้านคน ในวงเงินคนละ 3,000 บาทนั้น เป็นเพียงข้อเสนอในหลักการเบื้องต้น จากที่ประชุม ศบศ ซึ่งอยู่ระหว่างกระทรวงการคลังจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม และเตรียมเสนอที่ประชุม ครม. ให้ความเห็นชอบ รัฐบาลจะดำเนินการด้วยความรอบคอบ และให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเงินช่วยเหลือดังกล่าว ตั้งใจที่จะมอบให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายได้ที่ร้านค้าทั่วไป เช่น ร้านหาบเร่แผงลอย ร้านโชห่วยต่าง ๆ และซื้อสินค้าในตลาดสดและตลาดนัด เพื่อให้ผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้า สามารถเข้าร่วมโครงการให้ได้มากที่สุด และเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลได้อย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระวโรกาสให้ รมต.อนุชา เข้าเฝ้า
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2563 สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระวโรกาสให้ รมต.อนุชา เข้าเฝ้า สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระวโรกาสให้ รมต.อนุชา เข้าเฝ้า วานนี้ (11 กันยายน 2563) เวลา 15.00 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จออกตำหนักอรุณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าเฝ้า ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น ที่ได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงสละเวลาให้เข้าเฝ้าร่วม 1 ชั่วโมง โดยได้ถวายเครื่องสักการะ และกราบถวายรายงานการดำเนินงานตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงพระเมตตาเล่าถึงประวัติของพระองค์ท่านในการปฏิบัติศาสนกิจในอดีต และทรงสอนเรื่องหลักปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งล้วนนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้จริง ขณะที่พระองค์ทรงเน้นย้ำให้ประชาชนชาวพุทธต้องศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ต้องมีปัญญาด้วย หากมีแต่ศรัทธา ไม่มีปัญญาก็จะทำให้เกิดความลุ่มหลง ฝักใฝ่ในทางที่ผิดได้ จึงต้องใช้คู่กันทั้งศรัทธาและปัญญา -------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35022
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สอบวินัยร้ายแรงและแจ้งความดำเนินคดีผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอเรียกรับเงินบรรจุโควิด 19
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563 สธ.สอบวินัยร้ายแรงและแจ้งความดำเนินคดีผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอเรียกรับเงินบรรจุโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสอบข้อเท็จจริง ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอแอบอ้างชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกรับเงินบรรจุข้าราชการด่านหน้าสู้โควิด19 เตรียมตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงพร้อมแจ้งความดำเนินคดี กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสอบข้อเท็จจริง ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอแอบอ้างชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกรับเงินบรรจุข้าราชการด่านหน้าสู้โควิด19 เตรียมตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงพร้อมแจ้งความดำเนินคดี นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9ให้สัมภาษณ์ว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง หลังจากได้รับร้องเรียนมีการแอบอ้างว่าสามารถช่วยเรื่องบรรจุข้าราชการด่านหน้าสู้โควิด 19 ในสำนักงานสาธารณสุขแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นโควต้ารัฐมนตรี เพื่อให้มีการบรรจุข้าราชการทันในรอบที่ 3 ผลการสอบพบว่า ผู้แอบอ้างคือ นักวิชาการสาธารณสุข ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยได้มีการยื่นเสนอว่าสามารถช่วยให้พี่สาวของพยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ พร้อมกับข้าราชการที่บรรจุกรณีโควิด 19 ประมาณเดือนกันยายน 2563 และจะให้ปฏิบัติราชการที่กลุ่มงานยาเสพติด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา โดยอ้างว่าเป็นโควตาของรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการโยงเอาเหตุการณ์สองเหตุการณ์มารวมกัน ได้แก่ การบรรจุเป็นข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ และการเปิดรับสมัครนักวิชาการสาธารณสุขของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง พร้อมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กรณีถูกแอบอ้างว่าสามารถให้บุคคลมาทำงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาได้ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแอบอ้างนี้ โดยจะย้ายออกนอกพื้นที่ระหว่างการสอบสวน ส่วนผู้ให้ข้อมูลจะย้ายออกไปปฏิบัติราชการที่อื่น เพื่อความปลอดภัย ************************************** 6 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34842
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.แรงงาน ยกระดับเกษตรกรยุคใหม่ ฝึกบินโดรน สู่เกษตรกร 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 ​รมช.แรงงาน ยกระดับเกษตรกรยุคใหม่ ฝึกบินโดรน สู่เกษตรกร 4.0 - - วันที่ 3 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เยี่ยมชมและมอบวุฒิบัตรแก่ผู้เข้ารับการฝึกหลักสูตรการควบคุมอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อการเกษตร ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนคลอง 2 อ.ไทยน้อย จ.นนทบุรี รมช.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบัน ไม่เว้นแม้กระทั่งภาคการเกษตร ที่มีการนำอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน มาใช้ ในการทำการเกษตรอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต สามารถใช้เวลาและทรัพยากรลดลง เช่น การหว่านปุ๋ย การฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช การรดน้ำ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรรูปแบบใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในต่างประเทศมีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างแพร่หลาย แต่ในประเทศไทยยังรู้จักในวงแคบ การฝึกอบรมดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจการใช้โดรนเพื่อการเกษตรมากขึ้น ช่วยให้ภาคการเกษตรสามารถทำงานได้เร็วขึ้น แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานคาดหวังว่า จะได้เห็นการใช้โครนเพื่อการเกษตรเพิ่มมากขึ้น และมีการพัฒนาทักษะฝีมือจนสามารถพัฒนาเป็นอาชีพใหม่ได้ นายวิชัย ผิวสอาด รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรการควบคุมอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อการเกษตร เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับบริษัท แอโร กรุ๊ป (1992) จำกัด เพื่ออบรมฝีมือแรงงานให้แก่กลุ่มแรงงานนอกระบบที่อยู่ในภาคการเกษตร และกลุ่มผู้ว่างงานหรือผู้ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สนใจเป็นผู้บังคับอากาศไร้คนขับเพื่อการเกษตร ให้มีความรู้และทักษะสามารถประกอบอาชีพผู้บังคับอากาศยานไร้คนขับให้บริการเกษตรกรและสนับสนุนภาคการเกษตร แผนการฝึกเดิมนำร่องฝึกอบรม 3 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่ จึงขยายการฝึกไปยังจังหวัดระยอง และพิษณุโลก ดร.กฤษดา อัครพัทธยากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท แอโร กรุ๊ป (1992) จำกัด กล่าวเสริมว่า หลักสูตรที่ดำเนินการฝึกนั้น เป็นการตรียมความพร้อมทั้งความรู้และทักษะการเป็นนักบินโดรนเพื่อการเกษตรก่อนยื่นขอรับใบอนุญาต ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญ ประกอบด้วย ส่วนประกอบของโดรน การเปลี่ยนชิ้นส่วน การขนย้าย การใช้เครื่องบังคับ การผสมสารที่ใช้ในการพ่น การปฏิบัติระบบการบินแบบอัตโนมัติ การบำรุงรักษา ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน รวมถึงการทำใบอนุญาตและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาการฝึกอบรม 18 ชั่วโมง ซึ่งการฝึกอบรมในครั้งนี้ สำนักพัฒนาฝีมือแรงงานนนทบุรี คัดเลือกผู้สมัครที่มีความสนใจและตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการเข้าอบรม รวม 20 คน และจะมีการฝึกที่จังหวัดนครปฐม ระหว่างวันที่ 9-11 กันยายน 2563 จังหวัดระยองและพิษณุโลก จะดำเนินการฝึกในเดือนกันยายน 2563 นี้เช่นกัน “ การใช้ Drone เพื่อการเกษตร จะช่วยเกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ ลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสโดยตรงกับสารเคมีที่เป็นอันตราย มีความปลอดภัยต่อชีวิตมากขึ้น ช่วยยกระดับเกษตรกรไทยสู่การเป็นเกษตรกรยุคใหม่ ปัจจุบัน มีคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในการทำการเกษตรแนวใหม่ และนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น การใช้ Drone เพื่อการเกษตร จึงเป็นการเริ่มต้นที่ดีต่อเกษตรกรไทย เพื่อก้าวสู่เกษตรกร 4.0 ” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กำชับ รพ.ประเมินความเสี่ยง ป้องกันน้ำท่วมจากพายุ "โนอึล"
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 สธ.กำชับ รพ.ประเมินความเสี่ยง ป้องกันน้ำท่วมจากพายุ "โนอึล" กระทรวงสาธารณสุข กำชับโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงจากพายุ “โนอึล” ติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วม จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ สำรวจและวางแผนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุข กำชับโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงจากพายุ “โนอึล” ติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วม จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ สำรวจและวางแผนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ วันนี้ (17 กันยายน 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศแจ้งเตือน ในช่วงวันที่ 18-20 กันยายน 2563 ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากจากผลกระทบพายุโซนร้อนโนอึล ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลในพื้นที่ที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมินความเสี่ยง สำรวจและวางแผนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ เพื่อให้การดูแลต่อเนื่องหากเกิดน้ำท่วม เตรียมจัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และดำเนินการตามแผนรับมือป้องกันน้ำท่วมสถานบริการและเตรียมจุดบริการสำรองนอกโรงพยาบาล สำรวจเส้นทางการขนย้ายเพื่อไม่ให้กระทบกับการบริการประชาชนหากเกิดน้ำท่วมโรงพยาบาลหรือน้ำท่วมเส้นทางเข้าออก สำรองยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และออกซิเจนให้เพียงพอ พร้อมขนย้ายไปไว้ในที่ปลอดภัย และตรวจสอบระบบระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ สำรองน้ำมัน ระบบสำรองไฟฟ้า เครื่องปั่นไฟ ให้พร้อมใช้งาน ทั้งนี้ หากประสบปัญหาสามารถแจ้งขอรับการสนับสนุนที่กองสาธารณสุขฉุกเฉินได้ ประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินแจ้งขอความช่วยเหลือ ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ***************************** 17 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 กันยายน 2563
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 กันยายน 2563 วันนี้ (16 กันยายน 2563) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อ 10 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 กันยายน 2563 วันนี้ (16 กันยายน 2563) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อ 10 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ (อินเดีย 2 ราย, อินโดนีเซีย 2 ราย, พม่า 1 ราย, เอธิโอเปีย 1 ราย, เยเมน 4 ราย) เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้หรือสถานกักตัวทางเลือก มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,316 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.01 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 116 ราย หรือร้อยละ 3.32 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,490 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก อินเดีย 2 ราย เป็นหญิง ไทย อายุ 1 ปี และ 27 ปี (มารดาและบุตร) เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการ ได้รับการตรวจหาเชื้อในครั้งที่ 2 วันที่ 12 กันยายน 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว) ผลไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำในวันที่ 14 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย อินโดนีเชีย 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 37 ปี และ 47 ปี อาชีพพนักงานบริษัท โดยทั้ง 2 ราย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในวันที่ 14 กันยายน 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว ) ไม่มีอาการ พม่า 1 ราย เป็นหญิง สัญชาติพม่า อายุ 42 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 9 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือกที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 13 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) เคยเข้ารับการตรวจ โควิด 19 3 ครั้ง ผลไม่พบเชื้อ ทั้ง 3 ครั้ง ตรวจครั้งสุดท้ายวันที่ 7 กันยายน 2563 ก่อนเดินทางกลับไทย เอธิโอเปีย 1 ราย เป็นหญิง สัญชาติเอธิโอเปีย อายุ 19 ปี อาชีพลูกเรือของสายการบินแห่งหนึ่งของเอธิโอเปีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 11 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือกที่จังหวัดสมุทรปราการ พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 14 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว)ไม่มีอาการ โดยรายนี้ได้เดินทางกลับก่อนทราบผลการตรวจ เยเมน 4 ราย เป็นชาย อายุ 24 , 25 และ 31 ปี และ หญิงอายุ 26 ปี ทั้งหมดมีสัญชาติไทย เป็นนักศึกษาเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 11 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรกวันที่ 14 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของประทศไทยขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ ซึ่งมาตรการของประเทศไทยยังคงให้ผู้เดินทางทุกคนต้องเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน และหากพบว่าป่วย จะอยู่ในการดูแลของแพทย์ ไม่น้อยว่า 14 วันเช่นกัน เพื่อความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจว่าเชื้อจะไม่สามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้ จากการศึกษาการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ด้วยวิธี PCR พบว่า สามารถตรวจพบสารพันธุกรรมจากทางเดินหายใจส่วนบน ได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนมีอาการ และสามารถตรวจพบเชื้อในลำคอได้โดยเฉลี่ยประมาณ 17 วัน หลังเริ่มมีอาการ อย่างไรก็ดี การตรวจเจอสารพันธุกรรมด้วยวิธี PCR ไม่สามารถบอกได้ว่าเชื้อยังคงมีชีวิตอยู่ (สามารถแพร่จากผู้ป่วยไปยังผู้อื่นได้) หรือเป็นเชื้อที่ตายแล้ว ส่วนการตรวจหาเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ในกลุ่มคนที่มีอาการน้อยๆ พบว่า มักจะสามารถตรวจพบเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนเริ่มมีอาการเช่นกัน แต่จะสามารถตรวจพบเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินวันที่ 9 หลังวันที่เริ่มมมีอาการ นั่นคือ ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการน่าจะสามารถแพร่เชื้อได้ประมาณ 10 วันหลังจากที่เริ่มแสดงอาการ และการตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 หลังจากวันที่ 10 ไปแล้ว น่าจะเป็นสารพันธุกรรมของเชื้อที่ตายแล้วมากกว่าสารพันธุกรรมของเชื้อที่ยังมีชีวิต สำหรับสถานการณ์ของประเทศเมียนมาที่พบการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 อย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบได้เช่นกัน ซึ่งภาครัฐได้วางมาตรการป้องกันในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มที่ มอบให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการเข้มงวดในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ส่วนด้านสาธารณสุขได้สั่งการให้จังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดน รวมถึงจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจจับ เฝ้าระวังโรคในกลุ่มแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประชากรต่างด้าว (อสต.) มีส่วนร่วมสอดส่อง และยังขอความร่วมมือจากภาคเอกชน โรงงาน สถานประกอบการ หอพัก งดรับแรงงานผิดกฎหมายในช่วงนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่อาจนำเชื้อโควิด 19 มาแพร่สู่ผู้อื่นได้ หากพบความผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว "สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ อาจพบการติดเชื้อและระบาดในประเทศได้อีก การเตรียมความพร้อมอยู่เสมอจึงมีความสำคัญ เราควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ป้องกันตนเอง ครอบครัว ชุมชน อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้ใช้ชีวิตและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ อย่างมั่นคง" นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ********************* 16 กันยายน 2563 *************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล’ รับข้อเสนอ ‘สมาคมประมง’ พัฒนาฝีมือแรงงานไทยลงเรือประมงทะเล
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2563 “นฤมล’ รับข้อเสนอ ‘สมาคมประมง’ พัฒนาฝีมือแรงงานไทยลงเรือประมงทะเล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมสมาคมประมงฯ เผย พร้อมเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานด้านประมง ช่วยผู้ว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 พัฒนาทักษะป้อนเรือประมง วันที่ 26 สิงหาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับคณะจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ที่ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีในโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและนำเสนอปัญหาต่าง ๆ ด้านแรงงานประมงทะเล โดยมี ดร.ภาคิน สมมิตรธนกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในครั้งนี้ด้วย รมช. แรงงาน กล่าวว่า สมาคมประมงเสนอให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานไทยที่ว่างงาน หรือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด -19 ที่ต้องการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการประมง โดยจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานด้านการประมง เช่น ฝึกอบรมให้ความรู้ด้านซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้บนเรือประมง ทักษะด้านภาษา อาทิ ภาษาพม่า กัมพูชา เป็นต้น เพื่อจ้างแรงงานไทยให้ทำงานบนเรือหรือจุดท่าเรือ ให้สามารถทำหน้าที่สื่อสารระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างแรงงานต่างด้าวได้ ช่วยให้การสั่งงานหรือสื่อสารอื่นๆ ที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบัน ยังมีความต้องการแรงงานประมงกว่า 50,000 อัตรา ค่าจ้างกว่า 10,000 บาทต่อเดือน “ขอให้สมาคมประมงสบายใจ และมั่นใจในการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการกระทรวงแรงงาน เพราะเรามีความจริงใจที่จะช่วยแก้ปัญหาด้านแรงงงานประมง แต่ขอให้เข้าใจว่าภาครัฐต้องดำเนินการภายใต้ของกฎหมายในหลายมิติ ซึ่งต้องมีการดำเนินงานอย่างละเอียด รอบคอบ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาแรงงานประมงทะเลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้กระทรวงแรงงาน ร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้งการขาดแคลนแรงงานภาคประมงทะเล การบูรณาการการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะปัญหาแรงงานต่างด้าวในภาคประมงทะเล เพื่อเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน ” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด -------------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงาน “เทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติ ฯ
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 รัฐบาลขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงาน “เทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติ ฯ รัฐบาลขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงาน “เทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วันนี้(4สิงหาคม2563)นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า“รัฐบาลได้เห็นชอบให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยสานักงานพุทธมณฑลจัดงานเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์เนื่องในวโรกาสต่างๆตั้งแต่พุทธศักราช2533เป็นต้นมาในปีพุทธศักราช2563ถือเป็นครั้งที่31มหาเถรสมาคมได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยสำนักงานพุทธมณฑลจัดงานเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงและยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามทางพระพุทธศาสนาอีกทั้งเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีพระองค์ทรงสนพระทัยในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีมาโดยตลอดโดยเฉพาะประเพณีการเทศน์มหาชาติซึ่งได้เสด็จฯมาสดับพระธรรมเทศนาเทศน์มหาชาติณพุทธมณฑลเป็นจำนวนถึง14ครั้งด้วยกันโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตลอดจนประชาชนทั่วไปร่วมรับฟังและรับเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์มหาชาติในแต่ละกัณฑ์พร้อมทั้งได้กราบอาราธนาพระภิกษุที่มีความสามารถในการเทศน์มหาชาติมาเป็นองค์แสดงในแต่ละกัณฑ์อีกด้วย” ทั้งนี้การจัดงานเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงกาหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่5-8กันยายน2563ณหอประชุมพุทธมณฑลอำเภอพุทธมณฑลจังหวัดนครปฐมจึงขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์มหาชาติและร่วมฟังเทศน์มหาชาติ“มหาเวสสันดรชาดก” 13กัณฑ์ซึ่งในวันเสาร์ที่5กันยายน2563เวลา10.00น.ขอเชิญเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกในโอกาสเสด็จเป็นองค์ประธานพิธีเปิดงานเทศน์มหาชาติฯและในวันจันทร์ที่7กันยายน2563เวลา14.00น.ขอเชิญเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดาเนินมาทรงสดับพระธรรมเทศนามหาชาติเวสสันดรชาดกและทรงเป็นประธานกัณฑ์เทศน์มหาชาติ“กัณฑ์มัทรี”ณหอประชุมพุทธมณฑลจังหวัดนครปฐม ----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34816
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานภาคเกษตรเฮ เร่งเดินทางกลับไปทำงานอิสราเอล หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 แรงงานภาคเกษตรเฮ เร่งเดินทางกลับไปทำงานอิสราเอล หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย อิสราเอลอนุญาตให้แรงงานไทย99คน เดินทางกลับไปทำงานภาคเกษตร ตามโครงการความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) หลังเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวด้วย Re-entry Visa แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถกลับไปทำงานได้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ทางการอิสราเอลได้อนุญาตให้แรงงานไทย จำนวน 99 ราย ที่เดินทางไปทำงานภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) เดินทางกลับไปทำงานภาคเกษตร ตามความต้องการของนายจ้างในรัฐอิสราเอล โดย PIBA ได้ออกหนังสือรับรองการอนุญาตให้แก่แรงงานในการเดินทางเข้ารัฐอิสราเอลเป็นรายบุคคลแทนการตรวจลงตรา (Visa) ณ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย “สำหรับแรงงานกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เคยเดินทางไปทำงาน และต้องเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นายจ้างในรัฐอิสราเอลจึงต้องการให้แรงงานไทย เดินทางกลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ทั้งนี้เพราะแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับ “ รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า แรงงานไทยที่จะเดินทางกลับไปทำงานในประเทศอิสราเอล ต้องแจ้งการเดินทางกลับไปทำงานตามกฎหมาย ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1–10 หรือ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ก่อนวันออกเดินทาง พร้อมซื้อประกันสุขภาพ และเมื่อเดินทางถึงอิสราเอลจะได้รับการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ของประเทศอิสราเอล พร้อมเน้นย้ำให้แรงงานตระหนักถึงความสำคัญของการเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอลจะได้รับการอำนวยความสะดวก คุ้มครองสิทธิ ตลอดระยะเวลาจ้างงาน และยังสามารถนำความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรจากอิสราเอลมาปรับใช้ที่ประเทศไทยได้ โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส รุกต่อยอดเน็ตสาธารณะครอบคลุมชนบท-ชุมชนเมือง
วันอังคารที่ 1 กันยายน 2563 ดีอีเอส รุกต่อยอดเน็ตสาธารณะครอบคลุมชนบท-ชุมชนเมือง ดีอีเอส รุกต่อยอดเน็ตสาธารณะครอบคลุมชนบท-ชุมชนเมือง กระทรวงดิจิทัลฯ เพิ่มโอกาสประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี มอบหมาย กสท โทรคมนาคม นำร่องเปิดจุดให้บริการไวไฟฟรีชุมชนเมือง 10 แห่งทั่วประเทศภายในเดือน ก.ย. นี้ พร้อมขยายศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศ 250 แห่งสิ้นปีนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนชุมชนและประชาชนทุกพื้นที่ให้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้าถึงบริการภาครัฐ และใช้ประโยชน์ในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และปรับวิถีการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) ตลอดจนเป็นการต่อยอดโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะของประเทศ ล่าสุดมอบหมายให้ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) ทำโครงการนำร่อง “ขยายจุดให้บริการ Free Wi-Fi ในชุมชนเมือง” จำนวน 10 แห่ง ภายในเดือนกันยายนนี้ สำหรับโครงการนี้จะแตกต่างจากศูนย์ดิจิทัลชุมชน ในโครงการเน็ตประชารัฐซึ่งมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ห่างไกล โดยมองเป้าหมายจุดติดตั้งในชุมชนเมือง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ต/ไวไฟ และคัดเลือกจากพื้นที่ซึ่ง กสท โทรคมนาคม มีโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) อยู่แล้ว เพื่อประหยัดต้นทุนการลากสาย เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นชุมชนเมืองในกรุงเทพ 5 จุด และในต่างจังหวัด 5 จุด รวมทั้ง จะกำหนดระยะเวลาการใช้บริการสำหรับผู้ที่ log-in เข้าใช้งานฟรีแต่ละครั้งไม่เกิน 30-45 นาที ถ้าจะใช้งานนานกว่านั้นต้องทำการ log-in ใหม่ รวมทั้งจะมีการกำหนดให้ใช้รหัสผ่านในการเข้าใช้งาน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้มีการเข้าถึงและใช้ออนไลน์อย่างเหมาะสม “โครงการนำร่องดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสนับสนุนชุมชนและประชาชนทุกพื้นที่ให้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้าถึงบริการภาครัฐ และใช้ประโยชน์ในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และปรับวิถีการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ยิ่งต้องใช้ไวไฟผ่านมือถือในการทำกิจกรรม/ธุรกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการเดินทาง ลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ” นายพุทธิพงษ์กล่าว นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปีนี้เตรียมเพิ่มจำนวนศูนย์ดิจิทัลชุมชนให้ครอบคลุม 250 แห่งทั่วประเทศ โดยมีทั้งจุดเดิม และพื้นที่ใหม่ มุ่งเน้นพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชุมชน ได้แก่ วัด มัสยิด นอกเหนือจากการติดตั้งตามโรงเรียน หรือบ้านผู้นำชุมชนอย่างที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายหลัก ที่มุ่งสร้างศูนย์ดิจิทัลชุมชน ให้เยาวชนและคนทั่วไปเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ทุกวัน รวมทั้งเวลาหลักเลิกเรียน โดยปีนี้ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้กว่า 147 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้จะไม่มีการใช้เป็นงบก่อสร้างแน่นอน เนื่องจากเป็นพื้นที่ตั้งจะเน้นจุดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ทุกคนเข้ามาใช้งานได้สะดวก โดยจะจัดเตรียมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่ายไวไฟพร้อมใช้งาน มีเจ้าหน้าที่ดูแล รวมถึงมีการจัดอบรมให้ความรู้และการขายสินค้าออนไลน์ วิธีนำเสนอสินค้าบนออนไลน์ให้น่าสนใจ การตั้งราคาที่เหมาะสมกับตลาด เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบันที่การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของคนส่วนใหญ่ ขยายจากความบันเทิง เข้ามาสู่เรื่องการทำธุรกิจการค้าขายมากขึ้น “ในปีต่อไปเราก็มีเป้าหมายขยายเพิ่มต่อเนื่อง ศูนย์ดิจิทัลชุมชนเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้ทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่าย สามารถพัฒนาทักษะของตัวเอง เพราะวันนี้ทุกอย่างจำเป็นต้องพึ่งพาดิจิทัล และจากนี้ไปจะไม่ใช่แค่ห้องที่มีคอมพิวเตอร์วางอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนในการเรียนรู้ ต่อยอดทำมาหากิน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และมีหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ มาสนับสนุนอย่างเต็มที่” นายพุทธิพงษ์กล่าว ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมคณะรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวจังหวัดระยอง
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 รมว.ทส. ร่วมคณะรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวจังหวัดระยอง รมว.ทส. ร่วมคณะรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวจังหวัดระยอง รมว.ทส. ร่วมคณะรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวจังหวัดระยอง วันที่ 24 สิงหาคม​ 2563​ เวลาประมาณ 16.45 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับคณะรัฐมนตรี นำโดย พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบปะประชาชนจังหวัดระยอง เยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน-แกลง 1 ชมการพัฒนาอาชีพกลุ่มประมงจังหวัดระยอง การสาธิตการแปรรูปอาหารทะเล ตลาดประมงพื้นบ้าน และโครงการธนาคารปู โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าสู่ทะเล จากนั้น พบปะพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการร้านค้าบริเวณชายหาดสวนสนในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับแผนรับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด”
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 ปรับแผนรับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” -- #ไทยคู่ฟ้า สังคมไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” ในปี 2564 ที่คาดการณ์ว่า จะมีคนไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และในปี 2574 สัดส่วนจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” หรือมีผู้สูงอายุเกิน 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด . ล่าสุดรัฐบาลเตรียมปรับแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2563-2565) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เน้น 7 เรื่องสำคัญที่ต้องทำโดยเร็ว คือ 1) รณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงการเป็นผู้สูงอายุ 2) สังคมมีทัศนะเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ 3) จ้างงานผู้สูงอายุ 4) ส่งเสริมให้ลูกหลานกลับมาอยู่กับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุยากจน 5) ปรับเปลี่ยนโรงเรียนขนาดเล็กเป็นสถานที่พัฒนาผู้สูงอายุในชุมชน 6) ส่งเสริมการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ 7) สนับสนุนการผลิตบุคลากรด้านผู้สูงอายุในระดับวิชาชีพให้เพียงพอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคกก.อนามัยโลกภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตอบโต้โควิด 19 ระดับภูมิภาค
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2563 สธ.ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคกก.อนามัยโลกภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตอบโต้โควิด 19 ระดับภูมิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานประชุมทางไกลคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 73 ร่วม 11 ประเทศ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตอบโต้โรคโควิด 19 พร้อมหารือการบริหารจัดการบริการสุขภาพให้กับผู้ป่วยระห รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานประชุมทางไกลคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 73 ร่วม 11 ประเทศ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตอบโต้โรคโควิด 19 พร้อมหารือการบริหารจัดการบริการสุขภาพให้กับผู้ป่วยระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เตรียมเข้าสู่ความปกติใหม่ วันนี้ (10 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การ อนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Regional Committee (RC)) ครั้งที่ 73 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 กันยายน 2563 โดยมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารระดับสูงจากประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 11 ประเทศ และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุม ภายใต้หัวข้อ “COVID-19” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การตอบโต้โรคโควิด 19 และเตรียมความพร้อมสู่ความปรกติใหม่ (New normal) พร้อมหารือเรื่องการบริหารจัดการบริการสุขภาพให้กับผู้ป่วยระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 นายอนุทิน กล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดประชุมฯ ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถือเป็นวิกฤตของประเทศไทยและทั่วโลก ขณะเดียวกันถือเป็นโอกาสในการดำเนินงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาด เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและเข้าถึงการให้บริการ โดยประเทศไทยได้ให้ความสำคัญของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ทำให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็น และพร้อมสนับสนุนข้อริเริ่มขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการเข้าถึงเครื่องมือในการตอบโต้กับโรคโควิด 19 (Access to COVID-19 Tools (ACT) Accelerator) ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาวัคซีนยารักษาโรคและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ รวมทั้งการสร้างเสริมความเข้มแข็งของระบบสุขภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องมือดังกล่าว อย่างไรก็ตามต้องดำเนินงานพร้อมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ ด้าน Dr. Poonam Khetrapal Singh ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กล่าวชื่นชมระบบสุขภาพและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยที่มีความเข้มแข็งและสามารถตอบสนอง ต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศแนวหน้าของโลกและภูมิภาคในด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ ด้วยศักยภาพดังกล่าวทำให้ไทยสามารถจัดการกับโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่าด้วยเรื่องการตอบโต้โรคโควิด19 (South-East Asia Region Member States’ Declaration on “Collective response to COVID-19) โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งของการป้องกันและควบคุมโรคตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 (International Health Regulations, 2005) สำหรับการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นประจำทุกปี โดยมีประเทศสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน เมียนมา เนปาล อินเดีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา และผู้บริหารระดับสูงจาก เกาหลีเหนือ ติมอร์-เลสเต และมัลดีฟส์ เวียนกันเป็นเจ้าภาพตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยในปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมฯ ผ่านระบบทางไกลเป็นครั้งแรก *********************** 10 กันยายน 2563 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางแจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า ตามที่ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย.2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่นายชัชวาลย์ วงศ์สวรรค์ ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เปิดเผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย. 2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563 ว่า หากกรมบัญชีกลางไม่มีความพร้อมในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวก็ไม่ควรโยนความผิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเสนอให้โอนหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการกลับมาที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกรมบัญชีกลางไม่โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการให้ผู้มีสิทธิ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ กรมบัญชีกลางเคยระบุว่าหากงบประมาณไม่เพียงพอ จะนำเงินทดรองราชการฯ ที่มีวงเงิน 1,500 ล้านบาท มาสำรองจ่ายเบี้ยยังชีพทั้ง 2 ส่วนได้ทันที จากนั้นจึงไปเรียกเก็บคืนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้มีคำถามว่าเงินทดรองราชการ 1,500 ล้านบาท หายไปไหน นั้น "กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า กรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้กำหนดปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันในแต่ละเดือน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิตามวันที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการโอนเงินให้ผู้มีสิทธิแต่ละเดือนนั้น จะจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล จำนวน 7,774 แห่ง (ไม่รวม อบจ.) ตามจำนวนที่ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิครบทุกแห่ง ในการเบิกเงินแต่ละครั้ง ตามปฏิทินการทำงานข้างต้น ซึ่งตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย และเมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนกันยายน 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของ สถ. ต้องดำเนินการตามกระบวนการบริหารงบประมาณ ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินการทำงาน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีวงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้มีการใช้ เนื่องจาก สถ.ได้ดำเนินกระบวนการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพียงพอเเล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทดรองราชการ สำหรับแนวทางการแก้ไขกรณีดังกล่าว ขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้มีความครอบคลุม เพื่อจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ อย่างถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 นักฟุตบอลไทยลีก กว่า 6,100 คน
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 สธ.-สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 นักฟุตบอลไทยลีก กว่า 6,100 คน กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ลงนามความร่วมมือ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 นักกีฬาฟุตบอลและบุคลากรในการแข่งขันไทยลีกกว่า 6,100 คน ตรวจ 4 ครั้งทั้งก่อนและระหว่างแข่งขัน กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ลงนามความร่วมมือ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 นักกีฬาฟุตบอลและบุคลากรในการแข่งขันไทยลีกกว่า 6,100 คน ตรวจ 4 ครั้งทั้งก่อนและระหว่างแข่งขัน วันนี้ (3 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด 19 นักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลอาชีพ ระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ลงนาม นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อดำเนินการตรวจหาเชื้อก่อโรคโควิด 19 ในนักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลอาชีพในการแข่งขันไทยลีก ระยะเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 หลังจากรัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนปรนกิจการต่างๆ รวมถึงการจัดแข่งขันกีฬาแบบมีผู้ชม ที่ต้องจัดภายใต้มาตรการป้องกันควบคุมโรค โดยการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกที่จะเริ่มแข่งขันในวันที่ 12 กันยายน 2563 ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ก็ต้องดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมด้านการกีฬา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่กำหนดให้นักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลอาชีพทุกคนในทีม ต้องผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการหาเชื้อไวรัสโควิด 19 ด้วยวิธี RT-PCR ทั้งก่อนและระหว่างแข่งขัน รวม 4 ครั้ง “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีชุดตรวจและวิธีการตรวจที่ได้มาตรฐาน อยากให้แฟนฟุตบอลมีความมั่นใจว่า การจัดแข่งขันกีฬาฟุตบอลไทยลีกมีความปลอดภัยทั้งกับผู้เล่นและผู้ชม และหากจัดการแข่งขันในรูปแบบของ New Normal อย่างต่อเนื่องแล้วไม่มีการติดเชื้อโควิด 19 ก็จะช่วยลดความเกรงกลัว กล้าออกมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น ถือเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย” นายอนุทินกล่าว นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะอบรมวิธีการเก็บตัวอย่างทั้งแบบจากโพรงจมูกและน้ำลายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของแต่ละทีมเพื่อให้สามารถเก็บตัวอย่างได้เองในอนาคต ส่งตรวจได้ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีศักยภาพในการตรวจวันละ 1,000 ตัวอย่าง และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่ง ตรวจได้วันละ 400 ตัวอย่าง กรณีผลตรวจเป็นบวก ต้องเข้าสู่กระบวนการตามรูปแบบของกรมควบคุมโรค โดยจะเก็บตัวอย่าง 4 ครั้ง ทั้งในช่วงก่อนแข่งหรือระหว่างการแข่งขัน ครั้งแรกในวันที่ 8-10 กันยายน 2563 จากนั้นจะเก็บตัวอย่างส่งตรวจทุก 1 เดือนจนถึงธันวาคม 2563 ด้านพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า นักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลทั้งหมด เช่น ผู้ตัดสิน สตาฟฟ์ เป็นต้น จะต้องขึ้นทะเบียนกับบริษัทไทยลีก จำกัด ภายในวันที่ 7 กันยายน 2563 จากนั้นบริษัทจะส่งรายชื่อให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด 19 ภายในวันที่ 8-9 กันยายน 2563 และเมื่อได้รับผลการตรวจในวันที่ 10-11 กันยายน 2563 จะส่งผลการตรวจให้แก่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทราบด้วย โดยจำนวนนักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลสำหรับการแข่งขันไทยลีก แบ่งเป็น ไทยลีก 1 จำนวน 16 ทีม ไทยลีก 2 จำนวน 18 ทีม และไทยลีก 3 ที่แข่งขันตามภูมิภาค รวมประมาณ 6,100 คน โดยไทยลีก 1-2 จะมีจำนวนที่ต้องตรวจประมาณ 1,500 คน สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ******************************* 3 กันยายน 2563 **********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เปิดงาน “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จ.เพชรบูรณ์ ประจำปี ๒๕๖๓” หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 รมว.วธ. เปิดงาน “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จ.เพชรบูรณ์ ประจำปี ๒๕๖๓” หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น รมว.วธ. เปิดงาน “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จ.เพชรบูรณ์ ประจำปี ๒๕๖๓” หนุนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น ร่วมสืบสานประเพณีโบราณหนึ่งเดียวในโลก วันที่ ๑๕ - ๒๐ ก.ย. นี้ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๓ ที่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (ทางน้ำ) โดยในเวลา ๐๗.๐๐ น. ร่วมพิธีบวงสรวงพระพุทธมหาธรรมราชา พ่อขุนผาเมือง เวลา ๐๘.๐๐ น. อัญเชิญพระรูปหล่อเหมือนพ่อขุนผาเมือง และเครื่องบูชา ประดิษฐานขบวนรถไปยังท่าน้ำวัดไตรภูมิ เวลา ๐๙.๐๐ น. ลงเรืออัญเชิญพระรูปหล่อเหมือนพ่อขุนผาเมืองและเครื่องบูชา และขบวนอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา จากบริเวณท่าน้ำวัดไตรภูมิไปยังท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม และประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าร่วมพิธี นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้สนับสนุนนโยบายการพัฒนาสู่ประเทศไทย ๔.๐ ของรัฐบาล โดยการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูงโดยเฉพาะใน ๕ ด้าน ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น มวยไทยและเทศกาล ประเพณี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้สู่ประชาชน ชุมชนและประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการจัดงานประเพณีและเทศกาลศิลปวัฒนธรรมของไทย ซึ่งวธ. มุ่งเน้นให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมภาคภูมิใจในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยที่ผ่านมา วธ. ได้ร่วมกับจังหวัดเพชรบูรณ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานรัฐ เอกชนและภาคประชาชน จัดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำจังหวัดเพชรบูรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้กำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ ๑๕ – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ณ บริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ วัดไตรภูมิ และวัดโบสถ์ชนะมาร อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ ในปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “สีขาว” ซึ่งหมายถึงศรัทธาอันบริสุทธิ์ต่อพระพุทธมหาธรรมราชาและพระพุทธศาสนา มีกิจกรรมสำคัญประกอบด้วย ๑.พิธีรำถวายพระพุทธมหาธรรมราชา ณ บริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ เมื่อวันที่ ๑๕ ก.ย.๖๓ ๒.พิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีพุทธาภิเษกเหรียญพระพุทธมหาธรรมราชา พิธีบวงสรวงเทพยดา ณ วัดไตรภูมิ การประกวดโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธมหาธรรมราชา ณ สวนสาธารณเพชบุระ พิธีอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาแห่รอบเมือง โดยความพิเศษในปีนี้เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ได้จัดเตรียมโขนหัวเรือ “กาญจนาคา” เพื่อใช้อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาไปประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ และมีพิธีเปิดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (ทางบก) ณ บริเวณหน้าหอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย เมื่อวันที่ ๑๖ ก.ย.๖๓ ๓.พิธีเจริญมงคลคาถาถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พิธีเปิดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (ทางน้ำ) การประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ (วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐) ณ บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร และพิธีเปิดการแสดงแสงเสียงตำนานอุ้มพระดำน้ำ ในวันที่ ๑๗ ก.ย.๖๓ ณ พุทธอุทยานเพชบุระ ๔.การแข่งขันพายเรือทวนน้ำ ในวันที่ ๑๘ - ๑๙ ก.ย.๖๓ ณ ท่าน้ำวัดไตรภูมิ และ๕.พิธีถวายผ้าป่าสามัคคี ในวันที่ ๒๐ ก.ย.๖๓ ณ วัดไตรภูมิ และวัดโบสถ์ชนะมาร นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมการประกวดวาดภาพ ณ หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ การแสดงของสภาวัฒนธรรมเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ณ วัดไตรภูมิ และงานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย ณ พุทธอุทยานเพชบุระ วธ. และ จ.เพชรบูรณ์ ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำของชาวเพชรบูรณ์ เพื่อสืบทอดโบราณประเพณีเก่าแก่ที่มีมาอย่างยาวนาน และความเชื่อตามตำนานศักดิ์สิทธิ์วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวในโลก สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ โทร. ๐๕๖ ๗๒๙ ๗๗๙ - ๘๐ ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ 3 มาตรการ กระตุ้นการใช้จ่าย - จ้างงานเด็กจบใหม่
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 เคาะ 3 มาตรการ กระตุ้นการใช้จ่าย - จ้างงานเด็กจบใหม่ -- #ไทยคู่ฟ้าการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ. วันนี้ เห็นชอบ 3 มาตรการสำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนจากวิกฤตโควิด-19 >> . 1. มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ 1) เพิ่มสิทธิให้ผู้ลงทะเบียน "เราเที่ยวด้วยกัน" • เพิ่มส่วนลดค่าที่พัก 40% จำนวน 10 คืน/คน • เพิ่มคูปองอาหารต่อการท่องเที่ยวสูงสุด 900 บ./วัน (วันจันทร์ – พฤหัสบดี 900 บ. และวันศุกร์ – อาทิตย์ 600 บ.) • ให้เงินคืนค่าตั๋วเครื่องบิน จำนวน 2,000 บ./ที่นั่ง เริ่ม 1 ก.ย. 63 2) ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ลงทะเบียนและใช้สิทธิในแพ็กเกจเราเที่ยวด้วยกัน ไปพักผ่อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา . 2. มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย สนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% สำหรับการจ่ายผ่าน G-Wallet ณ ร้านค้ารายย่อย ร้านหาบเร่แผงลอยทั่วประเทศ กลุ่มเป้าหมาย คือ คนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป ราว 15 ล้านคน โดยจะเร่งดำเนินการภายในเดือน ต.ค. 63 . 3. มาตรการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับผู้เรียนจบใหม่ สนับสนุนการจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ 3 กลุ่ม (ป.ตรี ปวส. และ ปวช.) ทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม 260,000 อัตรา ตามอัตราค่าจ้าง ดังนี้ • ป.ตรี 15,000 บาท/เดือน • ปวส. 11,500 บาท/เดือน • ปวช. 9,400 บาท/เดือน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเงินค่าจ้าง 50% ของเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา เป็นเวลา 12 เดือน (1 ต.ค. 63 – 30 ก.ย. 64) . **เงื่อนไข >> ลูกจ้างต้องมีสัญชาติไทย และจบการศึกษาในปี 2562 - 2563 ส่วนนายจ้างต้องอยู่ในระบบประกันสังคม ยืนยันตัวตนผ่านกระทรวงแรงงาน และต้องมีสถิติการเลิกจ้างลูกจ้างเดิมไม่เกิน 15% ภายใน 1 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดทั่วโลก ??
วันพุธที่ 16 กันยายน 2563 ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดทั่วโลก ?? ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ?? A : 1.ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมศึกษาข้อมูลการเดินทาง/ประกาศแจ้งเตือนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศปลายทาง 2.ตรวจสอบมาตรการการเดินทางเข้าประเทศปลายทาง เช่น การตรวจวีซ่าที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้า กับสถานเอกอัครราชทูตประเทศปลายทางเพื่อป้องการถูกปฏิเสธการเข้าเมือง 3.ตรวจสอบเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น เอกสารการตรวจสุขภาพ ใบตรวจโรคโควิด-19 และใบรับรองแพทย์ เป็นต้น 4.หากถูกปฏิเสธการเข้าเมือง ท่านจะถูกส่งกลับ และถูกกักตัวใน State Quarantine ไม่น้อยกว่า 14 วัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35120
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 และ 7 ก.ย. 63
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 และ 7 ก.ย. 63 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเห็นชอบอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 และ 7 กันยายน 2563 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 4 และ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดราชการ เพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี พ.ศ.2563 ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กำหนดให้วันเสนอราคาในการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นวันทำการ ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวต่อไปได้ คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จึงอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ และซ้อมความเข้าใจในการจัดซื้อซื้อจัดจ้าง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการ ดังนี้ (1) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ซึ่งได้กำหนดวัน เวลาการเสนอราคาในเอกสารซื้อหรือจ้าง ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 34 วรรคสาม ข้อ 43 วรรคสาม และข้อ 53 (2) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การนำร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการตามข้อ 45 ให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการนำร่างเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานของรัฐอื่น เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นไปยังหน่วยงานของรัฐที่จัดซื้อจัดจ้างโดยตรงและโดยเปิดเผย ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อ 46 และข้อ 47 (3) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกวดราคานานาชาติ โดยต้องเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างให้เผยแพร่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วันทำการ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 60 (3) “กรณีหน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกหรือวิธีเฉพาะเจาะจง ให้จัดทำหนังสือแจ้งเลื่อนวัน เวลา และสถานที่เสนอราคาตามระเบียบฯ ออกไปก่อน ถึงกำหนดวันยื่นข้อเสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงวันดังกล่าวได้อย่างสะดวก ถูกต้อง รวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34797
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับความรู้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 ยกระดับความรู้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติงบกลาง วงเงิน 883 ล้านบาท เพื่อจัดทําพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ หรือ state quarantine ในพื้นที่ของเอกชน ครอบคลุมค่าใช้จ่ายประกอบด้วย ค่าตอบแทนบุคลากร ค่าเช่าที่พักและค่าอาหารของเจ้าหน้าที่ และผู้ถูกกักกันโรค ค่าวัสดุการแพทย์ ค่าใช้จ่ายยานพาหนะในภารกิจโรคโควิด-19 เป็นต้น สำหรับใช้ประโยชน์ในการสังเกตอาการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ที่กำหนดให้คนไทยทุกคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศจะต้องเข้าพัก ณ พื้นที่ กักกันโรคแห่งรัฐทันทีเป็นเวลา 14 วัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีคนไทยในต่างประเทศที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย กว่า 41,500 คน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34868