title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวังการระบาดโรคโควิด 19 ระลอก 2
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 สธ.เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวังการระบาดโรคโควิด 19 ระลอก 2 กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านภาคกลาง เตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด 19 ระลอก 2 ซึ่งครม.มีมติอนุมัติค่าตอบแทน เยียวยาเพิ่มอีก 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม – ธันวาคม 2563 กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านภาคกลาง เตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด 19 ระลอก 2 ซึ่งครม.มีมติอนุมัติค่าตอบแทน เยียวยาเพิ่มอีก 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม – ธันวาคม 2563 วันนี้ (24 กันยายน 2563) ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดการประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ภาคกลาง ภายใต้แนวคิด “อสม.รวมใจ พัฒนาตำบลวิถีชีวิตใหม่ ประเทศไทยแข็งแรง” โดยมีประธานชมรม อสม.ระดับอำเภอ อสม.ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น อสม.ดีเด่น ตั้งแต่ระดับจังหวัด เขต ภาค และระดับชาติ ในเขตภาคกลาง ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมรวมกว่า 600 คน นายวัชรพงศ์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้มาพบปะ อสม.ภาคกลาง และนำข่าวดีมาแจ้งให้ทราบว่า นายกรัฐมนตรี ประทับใจในการทำงานด้วยความเสียสละดูแลประชาชนทุกครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา ซึ่งมีอสม.เป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค คณะรัฐมนตรีวันที่ 22 กันยายน 2563 ได้มีมติอนุมัติเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีก 3 เดือน คือ ตุลาคม-ธันวาคม อีกเดือนละ 500 บาท เพิ่มจาก 7 เดือน (มีนาคม – กันยายน 2563) รวมเป็น 10 เดือน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ตอบแทนต่อความเสียสละของพี่น้องชาว อสม. ผู้ปิดทองหลังพระกว่า 1,050,000 คน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะพัฒนา อสม.ให้เป็น อสม.หมอประจำบ้าน เป็นหมอคนแรกที่อยู่ใกล้ชิดร่วมดูแลประชาชนกับหมออีก 2 คนคือ หมอสาธารณสุข และหมอเวชศาสตร์ครอบครัว และให้อสม. เตรียมความพร้อม เฝ้าระวัง ป้องกันการระบาดโรคโควิด 19 หากเกิดระลอกที่ 2 ช่วยสอดส่องแรงงานหรือคนต่างถิ่นที่เข้ามาในชุมชน ดูแลสุขภาพจิตเพื่อนบ้านในครัวเรือนที่รับผิดชอบ ให้คำแนะนำและทำเป็นตัวอย่างในการป้องกันและควบคุมโรคด้วยตนเอง ย้ำเตือนการมีระยะห่างในการทำกิจกรรมทางสังคม พัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ เป็นต้นแบบด้านพฤติกรรมสุขภาพ มีทักษะในการใช้แอปพลิเคชัน ร่วมสร้างตำบลวิถีชีวิตใหม่ให้ชุมชน ร่วมกันจัดระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 ต่อเนื่อง สอดส่องเป็นตาสับปะรด และพัฒนาศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) เป็นศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยและส่งยา ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า กรม สบส.ได้จัดประชุมวิชาการ อสม. ทั้ง 4 ภาค โดยการจัดประชุม อสม. ภาคกลางครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 มีการบรรยายและอภิปราย อาทิ การมอบนโยบาย ทิศทางการดำเนินงานสุขภาพภาคประชาชน ปี 2564 แนวทางการขับเคลื่อนตำบลวิถีชีวิตใหม่ การดำเนินงาน อสม.เฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 รวมทั้งมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจให้กับ อสม.ที่มีผลงานดีเด่นระดับชาติ ระดับภาค ระดับเขต และระดับจังหวัด ประจำปี 2563 และกำหนดจัดประชุมภาคเหนือ ในวันที่ 30 กันยายน 2563 ที่จังหวัดอุทัยธานี **************************** 24 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่ มีอะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดีจนเป็นนิสัย
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดีจนเป็นนิสัย คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา ล้างมือก่อนเข้าบ้าน และระหว่างใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในบ้าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหาร สธ. นำข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 ผู้บริหาร สธ. นำข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ ถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ ถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันมหิดล วันนี้ (24 กันยายน 2563) ณ บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์ฯ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้แทนหน่วยงาน มูลนิธิ สมาคม องค์กรต่างๆ วางพวงมาลาถวายราชสักการะสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บนแท่นฐานเดียวกัน และกล่าวถวายสดุดี เนื่องในวันมหิดล 24 กันยายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก นายอนุทินกล่าวว่า เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เป็นการเทิดพระเกียรติของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในฐานะ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน” และ “พระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย” ที่ทรงมีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ในด้านการแพทย์ การสาธารณสุข ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญา และทรัพย์สินส่วนพระองค์เข้าช่วยเหลือ ค้นคว้าหาแนวทางพัฒนางานด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และการพยาบาล ให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงเท่าเทียมนานาอารยประเทศ เสริมสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาราษฎร์ โดยเฉพาะผู้เจ็บป่วยและผู้ด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในนามผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุข น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมถวายพระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ พร้อมปฏิญาณตนดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท สืบสานพระราชปณิธานของทั้งสองพระองค์สืบไป **********************************24 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35364
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ขยายความร่วมมือทางด้านการศึกษาและความมั่นคง
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 ​ขยายความร่วมมือทางด้านการศึกษาและความมั่นคง ​ขยายความร่วมมือทางด้านการศึกษาและความมั่นคง ขยายความร่วมมือทางด้านการศึกษาและความมั่นคง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้มอบให้ พล.ร.อ. สมประสงค์ นิลสมัย รอง.ปล.กห. ให้การต้อนรับ พ.ท. Jean Gosselin(ซอง กอสแลง) ผชท.ทหาร แคนาดา/กรุงเทพฯ ในโอกาสที่ ผชท.ทหาร แคนาดาครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ในโอกาสนี้ รอง ปล.กห.ได้กล่าวต้อนรับและขื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ไทย-แคนาดาและชื่นชมความสัมพันธ์ทางทหารที่มีในทุกมิติอย่างใกล้ชิดรวมถึงชื่นชมภารกิจด้านการรักษาสันติภาพที่แคนาดาให้ความสำคัญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไทยก็ให้ความสำคัญเช่นเดียวกันโดยปัจจุบันไทยได้ส่งกำลังพลเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติในสาธารณรัฐท์ซูดาน และขอบคุณแคนาดาที่สนับสนุนที่นั่งทางการศึกษาในหลักสูตรต่างๆให้ จนท.ของไทย อันจะเป็นการพัฒนากำลังพลของเหล่าทัพให้มีความรู้และประสบการณ์พื่อนำมาพัฒนากองทัพต่อไป ส่วนในปัจจุบันมีสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรค covid-19 จึงขอความร่วมมือจากแคนาดาช่วยสานต่อความร่วมมือทางการศึกษาเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลายลง ในด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ไทยและแคนาดาก็ได้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารและการฝึก จึงขอให้ทั้งสองประเทศพัฒนางานด้านความมั่นคงนี้ต่อใปให้แน่นแฟ้นขึ้น ผชท.แคนาดา/กรุงเทพฯ ได้ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ รวมทั้งชื่นชมบทบาทของไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แคนาดารู้จักกลุ่มประเทศในอาเซียนในมิติต่างๆมากขึ้นและจะดำรงไว้ซึ่งความร่วมมือ ทางการทหารทั้งด้านการศึกษา ภารกิจรักษาสันติภาพ และทางแคนนาดามีความต้องการให้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเริ่มจากการมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นต่อไป ณ ศาลาว่าการกลาโหม (ณ ศาลาว่าการกลาโหม 24ก.ย.63)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยมีคำศาลสั่งปิดเว็บพนันแล้ว 1,202 เว็บไซต์
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 ดีอีเอส เผยมีคำศาลสั่งปิดเว็บพนันแล้ว 1,202 เว็บไซต์ ดีอีเอส เผยมีคำศาลสั่งปิดเว็บพนันแล้ว 1,202 เว็บไซต์ “พุทธิพงษ์” รุกต่อเนื่องนโยบายปิดเว็บพนันออนไลน์ จัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง กสทช. ไอเอสพี และผู้ให้บริการมือถือทุกราย ติดตามความคืบหน้าเรื่องการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ มีคำสั่งศาลแล้ว 1,202 เว็บไซต์ พรุ่งนี้ (24 ก.ย.63) เตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีเนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมายในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (23 กันยายน 2563) ได้มีการจัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์) ทุกราย เรื่องการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เพื่อติดตามความคืบหน้าและหาข้อสรุปแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดมีคำสั่งศาลสั่งปิดเว็บพนันออนไลน์แล้ว 1,202 เว็บไซต์ แบ่งเป็นก่อนหน้านี้ 982 เรื่อง และมีคำสั่งศาลเพิ่มมาอีกวานนี้ (22 ก.ย.63) จำนวน 220 เว็บไซต์ เป็นเว็บพนันทั้งหมด สำหรับเรื่องการจับ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของทางตำรวจ กระบวนการสอบสวน ดำเนินคดี โดยที่ผ่านมาได้มีการจับกุมเว็บพนันได้ 20 คดี “ขอความร่วมมือด้วยว่าเมื่อไอเอสพี/โอเปอเรเตอร์รายใดดำเนินการปิด/ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บพนันออนไลน์ที่มีคำสั่งศาลออกมาแล้ว ช่วยเชื่อมโยงการอัพเดทเข้าสู่หน้า Landing page และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แสดง Landing page เป็นอันเดียวกันสำหรับการร่วมกันแก้ไขปัญหาเว็บพนันออนไลน์” นายพุทธิพงษ์กล่าว พร้อมย้ำด้วยว่า หลังจากแนบคำสั่งศาลแจ้งไปยังไอเอสพี และผู้ให้บริการมือถือแล้ว ได้มีการติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหากพบว่าไอเอสพี หรือค่ายมือถือรายใดไม่ดำเนินการปิดเว็บผิดกฎหมายเหล่านั้นภายใน 15 วันหลังได้รับคำสั่งศาล อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 27 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง สำหรับการติดตามดำเนินการร่วมกับกระทรวงฯ และ กสทช. เพื่อติดตามผู้กระทำความผิดกรณีการใช้สื่อสังคมออนไลน์กระทำผิดกฎหมาย ในช่วงการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงฯ เตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในวันที่ 24 ก.ย.นี้ โดยมุ่งดำเนินการกับผู้ที่นำเข้าข้อมูลคนแรกตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่บางแพลตฟอร์ม เช่น เฟซบุ๊ก ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลในการปิดกั้น/ลบเนื้อหาผิดกฎหมาย ภายใน 15 วันหลังจากมีการแจ้งไปเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมแนบคำสั่งศาล ทางกระทรวงฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเตรียมรวบรวมข้อมูลและจำนวนยูอาร์แอลที่ยังไม่มีการลบ/ปิดกั้น จัดส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภายในวันที่ 24 ก.ย.นี้ เช่นกัน ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนถ้าประชาชนในการแจ้ง หากพบเห็นสื่อโฆษณาหรือโพสต์ชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ สามารถแคปหน้าจอ พร้อมแจ้ง link หรือยูอาร์แอลเว็บนั้นๆ ส่งมาโดยตรงที่เพจ “อาสา จับตา ออนไลน์”ทาง inbox คลิก m.me/DESMonitor จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องตลอด 24 ชม. โดยจะนำข้อมูลเบาะแสส่งให้ตำรวจพิจารณาหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป ในส่วนของ ดีอีเอส เมื่อได้รับการยืนยันความผิดจากตำรวจแล้ว ก็จะดำเนินการปิดเว็บไซต์พนันดังกล่าวต่อไป **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ให้กำลังใจบุคลากร อสมท. ย้ำทุกคนในองค์กรต้องมีความเป็นหนึ่ง มีเป้าหมายเดียวกัน ร่วมกันฝ่าวิกฤติไปให้ได้
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 "อนุชา" ให้กำลังใจบุคลากร อสมท. ย้ำทุกคนในองค์กรต้องมีความเป็นหนึ่ง มีเป้าหมายเดียวกัน ร่วมกันฝ่าวิกฤติไปให้ได้ "อนุชา" ให้กำลังใจบุคลากร อสมท. ย้ำทุกคนในองค์กรต้องมีความเป็นหนึ่ง มีเป้าหมายเดียวกัน ร่วมกันฝ่าวิกฤติไปให้ได้ วันนี้(24กันยายน2563)เวลา10.00น.ณห้องประชุมชั้น6อาคารอำนวยการ1บริษัทอสมทจำกัด(มหาชน)นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนำคณะเยี่ยมชมและติดตามการดำเนินงานของบริษัทอสมทจำกัด(มหาชน)รัฐวิสาหกิจในรูปบริษัทมหาชนจำกัดและเป็นกิจการสื่อสารมวลชนภายใต้การกำกับของรัฐบาลซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแล โอกาสนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการบมจ.อสมท.และผู้บริหารระดับสูงของบมจ.อสมท.โดยพลตำรวจเอกทวิชชาติพละศักดิ์ประธานกรรมการบมจ.อสมท. ได้นำเสนอการดำเนินงานภายใต้การบริหารงานของบมจ.อสมท.ตามวิสัยทัศน์"สร้างการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมเที่ยงตรงสร้างสรรค์ทันสถานการณ์อย่างชาญฉลาด"ว่าที่ผ่านมาบมจ.อสมท.มีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารยุคใหม่โดยมีหลากหลายช่องทางที่ตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่มแต่ปัจจุบันองค์กรประสบปัญหาด้านงบประมาณทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนงานด้านต่างๆ ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและให้กำลังใจบุคลากรบมจ.อสมท.ที่ตั้งใจทำหน้าที่ตามวิสัยทัศน์อย่างมุ่งมั่นพร้อมกล่าวย้ำให้อดทนกับวิกฤติต่างๆที่บมจ.อสมท.กำลังเผชิญทั้งการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารยุคดิจิทัลการปรับรูปแบบการนำเสนอรวมถึงการหารายได้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรโดยกำชับให้ทุกคนในองค์กรมีความเป็นหนึ่งมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อฝ่าวิกฤติไปให้ได้ พร้อมกับแนะให้มีการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมานำมาปรับปรุงและพัฒนางานรวมถึงให้ศึกษาแนวโน้มของการสื่อสารในอนาคตเพื่อกำหนดรูปแบบของการนำเสนอได้อย่างชัดเจน จากนั้นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้สักการะหลวงพ่อดำและพระพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบมจ.อสมท.และร่วมติดตามการออกอากาศรายการและการดำเนินงานของสถานีวิทยุและสำนักข่าวไทยก่อนเดินทางกลับ ............................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ ปลื้ม แผนลงทุน เกรท วอลล์ เชื่อสร้างตลาดคึกคัก หลังเตรียมปรับปรุงโรงงานใหม่ปลายปีนี้ เริ่มผลิตต้นปี 2564
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 รมว.สุริยะ ปลื้ม แผนลงทุน เกรท วอลล์ เชื่อสร้างตลาดคึกคัก หลังเตรียมปรับปรุงโรงงานใหม่ปลายปีนี้ เริ่มผลิตต้นปี 2564 รมว.สุริยะ ปลื้ม แผนลงทุน เกรท วอลล์ เชื่อสร้างตลาดคึกคัก หลังเตรียมปรับปรุงโรงงานใหม่ปลายปีนี้ เริ่มผลิตต้นปี 2564 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้ นายจาง เจียหมิง ประธานกลุ่มบริษัท เกรท วอลล์ มอร์เตอร์ส ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เข้าพบว่า ได้มีการหารือ ถึงนโยบายส่งเสริมการผลิตและสิทธิประโยชน์ของรถยนต์ xEV หรือยานยนต์ ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า มาตรการกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน การเตรียม ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานการจัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการบริหารจัดการซากรถและแบตเตอรี่ใช้แล้ว โดยที่ผ่านมาสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับการส่งเสริมลงทุนเพิ่มเติมสำหรับกิจการผลิต xEV สำหรับแผนการลงทุนของเกรท วอลล์ฯ ในประเทศไทยนั้น มีแผนการลงทุน อาทิ แผนการผลิตรถยนต์ ที่คาดว่าจะเริ่มปรับปรุงสายการผลิตเดิมในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยมีการนำระบบสมองกลเข้ามาใช้ภายในโรงงาน เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง HEV PHEV และ BEV โดยมีกำลังการผลิตรวม 8 หมื่นคันต่อปี การลงทุนติดตั้งเครื่องจักรและปรับสายการผลิตคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนคือภายในสิ้นปี 2563 นี้ และจะเริ่มทำการผลิตรถยนต์รุ่นแรก SUV และรถกระบะออกวางจำหน่าย ในต้นปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะเกิดการลงทุนกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท และเกิดการจ้างงาน 3,435 คน นอกจากนี้ยังมีแผนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ เช่น แผนการผลิตแบตเตอรี่ โดยมีการผลิตโมดูล การแพ็คแบตเตอรี่ การตรวจสอบคุณภาพ และมีแผนการผลิตชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า เพื่อรองรับสมรรถนะการใช้พลังงานและประหยัดของรถ HEV และ PHEV สำหรับแผนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศปี 2564 คาดว่าจะมีการใช้ชิ้นส่วน ในประเทศร้อยละ 45 สำหรับรถยนต์รุ่นแรก ซึ่งมีการใช้ชิ้นส่วนหลากหลายประเภท และมีแผนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเป็นร้อยละ 90 ภายในปี 2568 และยังมีแผนการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย ศูนย์ออกแบบและพัฒนา ศูนย์ตรวจสอบประสิทธิภาพการเชื่อมต่ออัจฉริยะ และศูนย์ฝึกอบรม โดยเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่รองรับการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน “ปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ 2 ล้านคัน เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และเมื่อเกรท วอลล์ฯ แสดงเจตนารมณ์จะเข้ามาลงทุนที่ไทยและมีแผนที่ชัดเจนถือเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดมาก เพราะผู้บริโภคในประเทศจะมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น และประเทศไทยมีศักยภาพ ในการผลิตชิ้นส่วนรองรับอย่างเพียงพอโดยมีมูลค่าการส่งออกสูงเทียบเท่ามูลค่าการส่งออกรถยนต์ และผู้ผลิตรถยนต์ในปัจจุบันก็มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศสูงกว่าร้อยละ 80 - ร้อยละ 90” นายสุริยะ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35369
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะชาวจังหวัดเชียงรายดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้แบบ New Normal ต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีแนะชาวจังหวัดเชียงรายดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้แบบ New Normal ต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีแนะชาวจังหวัดเชียงรายดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้แบบ New Normal ต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ยั่งยืน วันนี้ (24 กันยายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบปะพี่น้องชาวเชียงราย ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังปัญหาและข้อเสนอจาก นายพิเชษฐ กันทะวงค์ ประธานชมรม Young Smart Farmer จังหวัดเชียงราย และกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่อาศัยเทคโนโลยีการเกษตรในยุคไทยแลนด์ 4.0 การตลาดนำการผลิต ตลอดจนการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตร ตามที่รัฐบาลได้ส่งเสริมการเกษตรในทุกด้านและทุกมิติ และเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมการพัฒนาและสร้างเกษตรกรต้นแบบในจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นโมเดลในการขยายผลความรู้สู่เกษตรกรต้นแบบในท้องถิ่นแบบองค์รวมต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและเดินทางมาประชุมเตรียมการและตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในวันนี้ พร้อมทั้งมารับฟังความคิดเห็นและความต้องการของตัวแทนพี่น้องชาวเชียงรายที่นำเสนอและข้อเสนอแนะต่างๆ รวมถึง ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องปากท้องเรื่องการประกอบอาชีพของประชาชน จังหวัดเชียงรายมีความโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยว มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายที่ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้เราต้องร่วมมือกันในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 โดยเฉพาะในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษตามแนวชายแดน ขอให้ทุกคนเข้าใจถึงสถานการณ์และปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุข พร้อมทั้งขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาทำมาหากินได้อีกครั้ง ทุกคนต้องเรียนรู้ ต้องปรับตัวทั้งในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ New Normal ชีวิตวิถีใหม่ รัฐบาลมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในเรื่องกฎหมาย การทำงานของรัฐบาลทำไม่ได้ทันทีทันใดด้วยเรื่องติดขัดข้อกฏหมายต่างๆ นโยบายของรัฐบาลภายหลังยุคโควิด คือการให้ทุกกลุ่มร่วมกันทำงาน หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้าด้วยกัน สำหรับการจัดสรรที่ดินทำกิน คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เร่งรัดจัดสรรที่ดินทำกินให้กับกลุ่มชนเผ่าและชาติพันธุ์โดยเร็วที่สุด โดยให้ใช้หลักเกณฑ์ขั้นต้นของ คทช. ส่วนที่ขอเพิ่มเติมนั้น ขอให้รอให้มีการจัดที่ทำกินให้ทั่วถึงประชาชนที่ต้องการที่ดินทำกินทั้งหมดให้ทั่วถึงก่อน แล้วจะมีการพิจารณาในส่วนที่เพิ่มเติมต่อไป นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการป้องการระบาดของโควิด-19 ระลอกสองด้วยว่า ขอฝากให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้าอยู่ตามแนวชายแดน ช่วยกันเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบข้ามแดนผ่านช่องทางที่ไม่ถูกต้อง พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือกันเพื่อทำให้ประเทศปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วย สำหรับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เป็นปัญหาที่เกิดซ้ำ ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมมือกันอย่างจริงจังตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปลูกป่า เพื่อให้ป่ามีความชุ่มชื้นส่งผลให้อากาศดี คุณภาพชีวิตดีขึ้นและแนวทางที่สำคัญคือจะต้องให้คนอยู่กับป่าให้ได้ ทุกคนต้องจับมือก้าวไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อเป็นการรวมพลังของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน รวมไทยสร้างชาติ ที่มีความจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ดังนี้ การบริหารจัดการพื้นที่ การทำปุ๋ยหมัก นำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาทำปุ๋ยหมักลดการเผา การเพาะเห็ดคืนป่า การใช้พลังงานทดแทน การจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรไปใช้ประโยชน์เป็นพลังงานชีวมวล การควบคุมการเกิดไฟ การทำป่าเปียก สร้างฝาย ปลูกหญ้าแฝก การทำฝายฟื้นฟูต้นน้ำตามแนวพระราชดำริ การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าการใช้ Drone อากาศยานไร้คนขับควบคุมระยะไกล ช่วยในการดับไฟใน กรณีที่คนไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ การแก้ไขปัญหาหมอกควัน การใช้เครื่องฟอกอากาศ DIY การใช้แอปพลิเคชันยักษ์ขาว ที่จะรายงานสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 และร่วมกันปลูก “ต้นกาสะลองคำ” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพภายในเย็นวันเดียวกัน ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 กระทรวงเกษตรฯ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่ได้มีการขับเคลื่อนนโยบายเกษตร 4.0 ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เพื่อให้ปรากฎผลเป็นรูปธรรมสู่ยุคดิจิทัลทรานสฟอร์มเมชั่น (Digital Transformation) และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ 1) อนุกรรมการขับเคลื่อน Big Data และ Gov Tech ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน E-Commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 4) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร (Agribusiness) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ซึ่งที่ประชุมในวันนี้ได้มีการรายงานผลการดำเนินงานทั้ง 4 คณะ ดังนี้ 1) อนุกรรมการขับเคลื่อน Big Data และ Gov Tech มีการขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ แลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร รวมทั้งร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้ข้อมูลสำหรับการดำเนินนโยบายสนับสนุนหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว โดย ธปท. จะสามารถใช้ข้อมูลเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจการเกษตร อันนำไปสู่มาตรการทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ ในส่วนของการดำเนินงานแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางสำหรับประชาชน (Citizen Service Platform) มีแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางสำหรับประชาชน รวมทั้งสิ้น 175 บริการ ซึ่งเป็นดิจิทัล 90 บริการ 2) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติ “การจัดทำแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับสมบูรณ์)” เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมประชุม ให้ข้อคิดเห็น และจัดทำข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วย หน่วยงานหลัก 4 ด้าน คือ ด้านการวิจัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านงบประมาณ และด้านการพัฒนาเกษตรกร เป็นการวางรากฐานการเกษตรอัจฉริยะของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะของประเทศไทยต่อไป 3) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน E-Commerce เตรียมจัดทำแผนการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์อย่างยั่งยืน จัดทำโครงการ The Local Hero เพื่อสร้างกลุ่มเกษตรชุมชนให้สามารถจำหน่ายสินค้าของตนเองได้ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ทุกอำเภอมีทีมขายสินค้าจากการขายออฟไลน์สู่ออนไลน์ พร้อมผลักดันศูนย์ AIC ทั้ง 77 แห่ง เป็นแกนในการรวบรวมข้อมูลสินค้าเกษตร ข้อมูลผู้ซื้อ ข้อมูลผู้ขาย รวมถึงเพิ่มความรู้ให้พี่น้องเกษตรกร ปูทางสู่การทำ super App เป้าหมาย ตลาดทำผลิต และ 4. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร (Agribusiness) ได้ทำความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมโยงงานเข้าด้วยกัน จัดทำหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการฝึกอบรม โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ประสบปัญหาหนี้สินจำนวนมาก เกษตรกรที่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ยังขาดองค์ความรู้การเงิน และทางคณะอนุกรรมการฯ จะนำทีมธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่ดูแลภาระหนี้ครัวเรือนมาทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่ม young smart farmer หรือกลุ่ม AIC เป็นกลุ่มที่มีองค์ความรู้การประกอบธุรกิจ หรือเป็นกลุ่ม SMEs กลุ่มเหล่านี้จะเป็นการช่วยเหลือองค์ความรู้ด้านการระดมทุน การวางแผนธุรกิจ หรือการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทางศูนย์ AIC จะประสานกับคณะอนุกรรมการ เพื่อเชื่อมโยงกับทีมตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการอบรม กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่ม High end ที่สามารถมีธุรกิจขนาดใหญ่ จะเป็นเรื่ององค์ความรู้ด้านตลาดหลักทรัพย์ สำหรับความก้าวหน้าของศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานคัดเลือกศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน (Center of Excellence) เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 63 ที่ผ่านมา โดยมีนายยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็นประธาน มีหน้าที่พิจารณากำหนดสาขาของศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้านและคัดเลือกสถาบันการศึกษาที่ควรเป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน ซึ่งได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 63 มีศูนย์ความเป็นเลิศ จำนวน 35 สาขา 130 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 63) อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ประมงทะเล เกลือทะเล เป็นต้น โดยแบ่งประเภทศูนย์ความเป็นเลิศ AIC เป็น 1) แบบครบวงจร และ 2) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการดําเนินงานของ AIC ได้ที่ AIC https://aic.moac.go.th/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล เตรียมปรับปรุงแผนงาน โครงสร้างระบบ และกำหนดกรอบเวลา เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายเลขาฯ และภาคประชาชน ร่วมกันหารือเพื่อทบทวนบทบาทและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการที่เคยตั้งขึ้น รวมถึงปรับปรุงแผนงาน โครงสร้างระบบ และกำหนดกรอบเวลา เพื่อให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพ เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ประชาชนในพื้นที่
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพ เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพ เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ประชาชนในพื้นที่ วันนี้(24ก.ย.63)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด17จังหวัดภาคเหนือณห้องดอยตุงโรงแรมเดอะริเวอร์รีบายกะตะธานีจังหวัดเชียงรายโดยมีพลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนายวราวุธศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปลัดกระทรวงมหาดไทยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมการประชุม โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้รับฟังการรายงานสรุปผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี2563และแผนการดำเนินงานปี2564จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมรับฟังการนำเสนอโครงการฟื้นฟูต้นน้ำ“ฝายตามแนวพระราชดำริ”จากผู้แทนเครือข่ายเยาวชนจิตอาสาจังหวัดเชียงรายพร้อมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานสนับสนุนการดำเนินงานบูรณาการ การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าภายใต้โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในทุกมิติและพัฒนาต่อยอดมาตลอดทั้งเทคโนโลยีภาพถ่ายที่มีหน่วยทหารเข้ามาร่วมดำเนินการโดยสนับสนุนจัดหางบประมาณจัดซื้ออุปกรณ์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการที่จะทำให้ไม่มีการจุดเผาป่านั้นยากแต่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาต้องมีกฎหมายที่ใช้ควบคุมเพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งนี้ฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5)เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภาคเหนือโดยเฉพาะในปี2563ที่ผ่านมาซึ่งฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็นอันตรายกับสุขภาพของคนทุกวัยโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุจึงจำเป็นที่จะต้องลดการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กลงให้ได้มากที่สุดทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันโดยในปี2564มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยงานกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหารวมทั้งให้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขดูแลสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งนี้ต้องตั้งเป้าหมายในเชิงปริมาณและคุณภาพไปพร้อมกันโดยต้องขจัดต้นตอของการเผาป่าที่เกิดจากวิถีชีวิตของชาวบ้านหาพื้นที่ให้ชาวบ้านทำการเกษตรขณะที่ต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ทั้งนี้เป้าหมายตัวชี้วัดด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในปี2564คือต้องลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีขณะเดียวกันรัฐบาลจะส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อไปดูเรื่องการขุดแหล่งน้ำต่างๆขณะที่การมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นต้องให้เขารับรู้ว่าทำแล้วได้อะไรโดยจะต้องสร้างการรับรู้และความตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาหมอกควันและไฟป่าทั้งทางเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชนผ่านภาษาถิ่นภาษาชาวบ้านด้วย พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานที่ได้มอบหมายให้โรงเรียนจิตอาสาพระราชทานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดหลักสูตรอบรม“จิตอาสา”ตามโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าทั้ง76จังหวัดทั่วประเทศเพื่อเป็นผู้ประสานกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำในการปลูกป่าฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป้องกันไฟป่าพร้อมกับขอให้ทุกจังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลดปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าและจัดตั้งจุดเฝ้าระวังไฟป่าโดยร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่เครือข่ายจิตอาสาและประชาชนในพื้นที่ ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวแนะนำจังหวัดให้นำเทคโนโลยีแอพพลิเคชันการดับไฟป่ามาใช้ ให้หน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกันโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดบริหารงานแบบSingle Commandให้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องรวมทั้งขอบคุณทุกหน่วยงานและทุกองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกันในทุกระดับและทุกขั้นตอน ............. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ยกระดับบริการดิจิทัล เปิดตัว G H Bank New Normal Services เพิ่ม 6 บริการใหม่บน Application : GHB ALL พร้อมประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยลูกค้าที่กระทบจากโควิด-19 ถึง 31 ม.ค. 64
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 ธอส.ยกระดับบริการดิจิทัล เปิดตัว G H Bank New Normal Services เพิ่ม 6 บริการใหม่บน Application : GHB ALL พร้อมประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยลูกค้าที่กระทบจากโควิด-19 ถึง 31 ม.ค. 64 ธอส. จัดทำโครงการ “G H Bank New Normal Services” (Phase 1) ด้วยการพัฒนาฟังก์ชั่นบริการเพิ่มเติม ทั้งทางด้านการเงินและสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมของ ธอส. ได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลด้วย Mobile Application : GHB ALL นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 67 ปีของการดำเนินงานในวันที่ 24 กันยายน 2563 ธอส. สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ที่สร้างโอกาสให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว จึงได้ประกาศยกระดับการให้บริการดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ของธนาคารในรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็ว สอดคล้องกับวิถีชีวิตปกติใหม่ของสังคมไทยในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการธนาคารที่นำโดย นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการธนาคาร จึงได้มีนโยบายให้ ธอส. จัดทำโครงการ “G H Bank New Normal Services” (Phase 1) ด้วยการพัฒนาฟังก์ชั่นบริการเพิ่มเติม ทั้งทางด้านการเงินและสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมของ ธอส. ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลด้วย Mobile Application : GHB ALL ที่ลูกค้าของธนาคารหันมาใช้บริการผ่านช่องทางนี้มากขึ้นเห็นได้จาก ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ธนาคารมีจำนวนลูกค้าที่สมัครใช้บริการ Application : GHB ALL และยังใช้งานอยู่จำนวน 710,318 บัญชี เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีจำนวนลูกค้าใช้งาน 242,180 บัญชี และปัจจุบันลูกค้ามีการทำธุรกรรมการโอนเงินและชำระหนี้เงินกู้ผ่าน GHB ALL จำนวน 590,769 รายการ เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีการทำธุรกรรมจำนวน 375,981 รายการ หรือเพิ่มขึ้นถึง 57.13% สำหรับฟังก์ชั่นบริการเพิ่มเติมใน Phase 1 ที่เริ่มให้บริการได้แล้วประกอบด้วย 1.ซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ให้บริการได้ทั้งการซื้อสลากครั้งแรกหลังเปิดบัญชีสลากที่สาขา หรือลูกค้าเดิมที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม โดยหลังจากเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 มีลูกค้าซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ หน่วยละ 50,000 บาท ผ่าน GHB ALL จำนวนกว่า 5,500 หน่วย ล่าสุด ธอส. ได้จัดทำโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสลากผ่าน Application : GHB ALL ในวันที่ 24 กันยายน 2563 รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.1% ต่อปี (จากปกติอัตราดอกเบี้ย 0.90% ต่อปี) ภายใต้กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท และการเปิดรับซื้อสลาก ธอส. ชุดต่อไปจะเปิดให้ลูกค้าซื้อผ่าน GHB ALL ต่อไป 2.ขอ Statement บัญชีเงินฝาก สำหรับลูกค้าที่ต้องการนำข้อมูลบัญชีประเภทออมทรัพย์ไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในการอนุมัติธุรกรรมต่าง ๆ ตามที่ต้องการ โดยภายหลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนตามที่ธนาคารกำหนดแล้ว ระบบจะส่ง Statement บัญชีเงินฝากตามที่ระบุไปที่ E-mail ของลูกค้า 3.จองคิวใช้บริการล่วงหน้า เพื่อเลือกสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ต้องการใช้บริการ ซึ่งระบบจะแสดงรายชื่อสาขาที่เรียงลำดับจากระยะทางที่ใกล้กับจุดที่ลูกค้าอยู่มากที่สุด โดยสามารถเลือกบริการประเภทที่ต้องการพร้อมระบุวันและเวลาที่ต้องการนัดหมาย และหลังจากกดยืนยันแล้วจะสามารถไปรอรับบริการที่สาขาในวันเวลาที่นัดหมายได้ทันที 4.ใบเสร็จชำระเงินกู้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แทนรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษและจัดส่งทางไปรษณีย์ สำหรับลูกค้าที่ชำระเงินงวดผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติ หรือผ่านช่องทางตัวแทน และลูกค้าสวัสดิการที่ชำระโดยหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งจะมีข้อมูลสำคัญเช่นเดียวกับใบเสร็จแบบกระดาษ อาทิ ยอดที่ชำระเงินต้น ดอกเบี้ย และเงินต้นคงเหลือ 5.ชำระเงินดาวน์ทรัพย์ NPA เพียงเลือกบัญชีที่ต้องการชำระพร้อมด้วยรหัสทรัพย์ NPA เมื่อตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยและกดยืนยันแล้ว ธนาคารจะดำเนินการส่งใบเสร็จเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการชำระให้กับลูกค้าต่อไป 6.แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่จัดส่งเอกสาร/การติดต่อกับธนาคารโดยไม่ต้องเดินทางไปแจ้งที่สาขา เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อหรือรับข้อมูลสำคัญจากธนาคาร โดยลูกค้ายังสามารถเลือกเปลี่ยนแปลงเบอร์โทรศัพท์ และ E-Mail ซึ่งเป็นช่องทางการติดต่อที่สะดวกรวดเร็วในปัจจุบันได้อีกด้วย “การพัฒนาโครงการ G H Bank New Normal Services สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ธอส. ที่จะพัฒนาบริการดิจิทัลใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าที่เข้ากับกับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal ให้ได้มากที่สุด และหลังจากนี้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการเพิ่มเติมใน Phase 2 อาทิ เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเเงินฝาก ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเงินกู้ แจ้งความประสงค์กู้เพิ่ม ตรวจสอบข้อมูลเครดิต รับเงินของขวัญปีใหม่ของธนาคาร (Cash Back) แจ้งขอหนังสือรับรองเพื่อเบิกค่าเช่าบ้านหรือขอหนังสือรับรองตามยอดที่เบิกได้ และนัดวันรับโฉนด เป็นต้น ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ธอส. ตั้งเป้าหมายว่าในสิ้นปี 2563 จะมีจำนวนลูกค้าที่ทำธุรกรรมการโอนเงินและชำระหนี้เงินกู้ผ่าน GHB ALL เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 756,300 รายการ หรือเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบกับธุรกรรม ณ สิ้นปี 2562” นายฉัตรชัยกล่าว นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการบรรเทาผลกระทบให้แก่ลูกค้าของธนาคารจากปัญหาโควิด-19 ว่า หลังจากที่ ธอส. ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าครอบคลุมทั้งการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย, พักชำระเงินต้น หรือ ลดอัตราดอกเบี้ย ผ่าน 10 มาตรการของธนาคาร โดยมีลูกค้าเข้ามาตรการเป็นจำนวนทั้งสิ้น 511,110 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 430,439 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้ากลุ่มที่เข้ามาตรการที่ 5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน จำนวน 236,531บัญชี วงเงินสินเชื่อ 179,843 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ได้ทยอยครบกำหนดระยะเวลาการใช้มาตรการที่ 5 แล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม 2563 โดยสามารถกลับมาผ่อนชำระได้ตามปกติจำนวน 91,796 บัญชี เงินต้นประมาณ 65,000 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้าในมาตรการที่ 5 ที่ยังคงได้รับผลกระทบธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะที่ 2 ผ่านมาตรการที่ 8.5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยถึง 31 ตุลาคม 2563 โดยล่าสุด ณ วันที่ 22 กันยายน 2563 มีลูกค้าอยู่ในมาตรการที่ 8.5 จำนวน 39,546 บัญชี วงเงินต้นสินเชื่อประมาณ 27,000 ล้านบาท ส่วนลูกค้าที่เคยเข้ามาตรการที่ 5 แล้วไม่สามารถกลับมาชำระได้ตามปกติและกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีจำนวนประมาณ 9,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 8.5% ของลูกค้าที่เข้ามาตรการ 5 ทั้งหมด ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะมี NPL สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 25% ของลูกค้าที่เข้ามาตรการ 5 “สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารอยู่ระหว่างการติดต่อเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ กลุ่มที่เข้ามาตรการที่ 8 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน จำนวน 233,931 ราย วงเงินสินเชื่อ 209,863 ล้านบาท และมาตรการที่ 8.5 เนื่องจากเป็นมาตรการที่พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีความเปราะบางด้านรายได้ ธนาคารอยู่ระหว่างติดตามลูกค้าในกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะครบกำหนดการใช้มาตรการในเดือนตุลาคม 2563 อย่างไรก็ตามยืนยันว่าปัจจุบัน ธอส. ฐานะการดำเนินงานและเงินกองทุนของธนาคารยังมีความแข็งแกร่งโดยปัจจุบัน ธอส. ได้ตั้งสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้นจำนวน 3,500 ล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาของโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” นายฉัตรชัย กล่าว นายฉัตรชัย ยังกล่าวอีกว่า และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างรวมถึงปัญหาด้านรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ได้มีมติขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ภายใต้ “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ระยะที่ 2 เฉพาะลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการที่ธนาคารกำหนด และยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้ ซึ่งมีมาตรการที่ธนาคารจะเปิดให้ลูกค้าเลือกแจ้งความประสงค์จำนวน 3 มาตรการ เพื่อขยายระยะเวลาความช่วยเหลือจากเดิมที่จะสิ้นสุดการช่วยเหลือในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 จะขยายระยะเวลาสิ้นสุดไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชำระเงินต้น 3 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับผู้ที่เลือกเข้ามาตรการที่ 1 ได้ต้องเป็นลูกค้าที่ยังอยู่ระหว่างใช้ “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2” หรืออยู่ระหว่างใช้ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทยร่วมสร้างชาติ ในมาตรการที่ 1, มาตรการที่ 3 และมาตรการที่ 8” มาตรการที่ 3 พักชำระเงินต้น 6 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือ 3.9% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่เลือกเข้ามาตรการที่ 3 ได้ต้องมีสถานะบัญชีปกติ และยังอยู่ระหว่างใช้ “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2” มาตรการที่ 8 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับลูกค้าที่เลือกเข้ามาตรการที่ 8 ได้ต้องยังอยู่ระหว่างใช้ “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2” หรืออยู่ระหว่างใช้ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทยร่วมสร้างชาติ มาตรการที่ 8” ทั้งนี้ ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือในมาตรการที่ธนาคารกำหนด สามารถแจ้งความประสงค์ขอเลือกใช้มาตรการขยายระยะเวลาความช่วยเหลือได้ผ่านทาง Application : GHB ALL ระหว่างวันที่ 1-29 ตุลาคม 2563 พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่ายังมีผลกระทบทางรายได้จริงให้ธนาคารพิจารณา อาทิ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย และ Statement เป็นต้น นอกจากนี้ นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงกรณีแนวคิดที่ ธอส. จะจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Two-GEN หรือผลิตภัณฑ์ที่ เปิดโอกาสให้เลือกผ่อนชำระได้ 2 generation หรือยาวนานสูงสุดถึง 70 ปีว่า แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากคณะกรรมการธนาคารได้มีนโยบายให้ ธอส. คิดรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายหลักคือการช่วยเหลือให้ลูกค้าประชาชนสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเปิดโอกาสให้ผู้กู้สามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระได้นานขึ้นถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ โดยพิจารณาวงเงินให้กู้จากรายได้ของบิดา-มารดา ส่วนระยะเวลาการผ่อนชำระสามารถเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่สูงสุดไม่เกิน 40 ปี ขยายเป็น 70 ปี ด้วยการนำอายุของบุตรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมาเป็นผู้กู้ร่วม “แนวคิดนี้จะทำให้จำนวนเงินงวดที่ลูกค้าผ่อนชำระรายเดือนลดลง จึงทำให้กรณีที่มีรายได้สุทธิจำนวนเท่าเดิม แต่เมื่อผ่อนชำระได้นานขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รับวงเงินสินเชื่อมากขึ้นเช่นกัน อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท หากผ่อนชำระ 40 ปี เงินงวดจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/เดือน แต่หากผ่อนได้นานสูงสุดถึง 70 ปี จำนวนเงินผ่อนชำระจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 บาท/เดือนเท่านั้น และเมื่อลูกค้าได้มีบ้านเป็นของตนเองและครอบครัวแล้ว ในอนาคตหากผู้กู้มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือบุตรที่เป็นผู้กู้ร่วมมีรายได้เข้ามาเพิ่มเติมจากการประกอบอาชีพก็สามารถผ่อนชำระได้สูงกว่าจำนวนเงินงวดที่ธนาคารกำหนดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถปิดบัญชีเงินกู้ได้หมดก่อนระยะเวลา 70 ปีอย่างแน่นอน”นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธอส. ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Two-GEN เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการธนาคาร รวมถึงกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสม พร้อมยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเองได้มากขึ้น โดยลูกค้ายังคงสามารถเลือกจำนวนปีที่ต้องการผ่อนชำระ อาทิ 15 ปี 20 ปี 30 ปี หรือ 40 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้สุทธิของผู้กู้ หรือราคาที่อยู่อาศัย และวงเงินกู้ที่ต้องการได้ตามปกติเช่นเดิม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แนะ พมจ.ทั่วประเทศ ดึง One Team จังหวัด ร่วมแก้ปัญหาสังคมภายใต้ภาวะปกติใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 รมว.พม. แนะ พมจ.ทั่วประเทศ ดึง One Team จังหวัด ร่วมแก้ปัญหาสังคมภายใต้ภาวะปกติใหม่ รมว.พม. แนะ พมจ.ทั่วประเทศ ดึง One Team จังหวัด ร่วมแก้ปัญหาสังคมภายใต้ภาวะปกติใหม่ วันนี้ (24 ก.ย. 63) เวลา 11.00 น. ที่ห้องแม่น้ำแกรนด์ โรงแรมแม่น้ำ รามาดา กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพ พมจ. : Up Skill, Re Skill & New Skill เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ของผู้บริหารหน่วยงานระดับจังหวัด และเสริมสร้างศักยภาพของความรู้ และทักษะในการทำงานทางสังคมเพื่อการแก้ปัญหาในระดับพื้นที่ ตลอดจนสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ความท้าทายในการทำงานภายใต้ภาวะปกติใหม่ของ พม. 2564” โดยมีผู้บริหาร พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) 76 จังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1 – 11 จากทั่วประเทศ เข้ารับการอบรม นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีประเด็นความท้าทายการพัฒนาในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติทางสังคม อาทิ การแก้ไขปัญหาด้านความยากจนและความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และการขยายโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมของรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ สถานการณ์สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรไทยทุกช่วงวัย และทุกกลุ่มเป้าหมาย สำหรับกระทรวง พม. ในฐานะหน่วยงานภาครัฐด้านสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการจัดระบบสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ และสร้างเสริมเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส มีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีกลไกในการขับเคลื่อนงานในระดับจังหวัดผ่านสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั่วประเทศ และสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (สสว.) 11 แห่ง ทั้งนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพ พมจ. : Up Skill, Re Skill & New Skill นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ตนขอขอบคุณ พมจ. ทุกคนที่ได้ทำหน้าที่เต็มที่อย่างดีมากในการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น พมจ. สงขลา เข้าไปช่วยเหลือเด็กที่ถูกละเมิดทางเพศและจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะเป็นข่าว ซึ่งเราใช้ระบบดูแลกันในพื้นที่ ด้วย One Team ที่เป็นทีมหน่วยงานภาคีเครือข่ายในจังหวัดช่วยกันทำทุกอย่าง แต่ไม่สามารถลงข้อมูลรายละเอียดในสื่อได้ทั้งหมด ทั้งนี้ อยากให้ พมจ. มานั่งประชุมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในจังหวัด แล้วรวบรวมผลงานและความก้าวหน้าของแต่ละหน่วยงาน จากนั้นส่งแผนงานมายังกระทรวง พม. ในส่วนกลาง โดยตนอาจจะเพิ่มเติมความคิดเห็นลงไป เพื่อนำไปเป็นแผนงานในการดำเนินงานต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง พม. เราต้องเดินไปข้างหน้าและต้องเป็นผู้นำ ซึ่งตนพยายามขับเคลื่อนงานดังกล่าว โดยขอให้บูรณาการเชื่อมโยงกันระหว่างทุกกรม และในส่วนของ พมจ. ขอให้นำข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่ระบบดิจิตอลให้เรียบร้อย เมื่อเวลามีปัญหา เราจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อีกทั้งเราต้องเปลี่ยนการช่วยเหลือ การสงเคราะห์ให้เป็นสวัสดิการที่ยั่งยืน นำไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ และตนอยากให้มีการลงพื้นที่กันอย่างจริงจัง ทั้ง พมจ. และ กระทรวง พม. ในส่วนกลาง เพื่อช่วยกันทำงานในการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สิ่งที่ตนได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่ คือ ประชาชนไม่ได้ต้องการถุงยังชีพ แต่ต้องการคนที่รับฟังปัญหา และเมื่อไปลงพื้นที่แล้ว เราต้องแก้ปัญหาให้ได้ เพื่อการดูแลกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35386
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาร่วมขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวทางรวมไทย สร้างชาติ ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีแนะผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาร่วมขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวทางรวมไทย สร้างชาติ ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่ นายกรัฐมนตรีแนะผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาร่วมขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวทางรวมไทย สร้างชาติ ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่ วันนี้ (24 กันยายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 แห่งทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2563 ณ โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมชมนิทรรศการกลุ่มโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ภาคเหนือที่มีผลงานดีเด่น ด้านการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรสื่อมวลชนศึกษา โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย คณะกรรมการมูลนิธิไทยรัฐ นายมานิจ สุขสมจิตร บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานผู้บริหาร ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยาให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบโล่รางวัลชนะเลิศ Best Practice การจัดการเรียนการสอนสื่อมวลชนศึกษาแก่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา จำนวน 13 โรงเรียน และกล่าวเปิดสัมมนาฯ ความตอนหนึ่งว่า การสัมมนาในครั้งนี้เป็นการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา เป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาเพิ่มพูนความรู้ ทั้งด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมของโรงเรียน ครู กรรมการสถานศึกษาเครือข่ายต่าง ๆ ซึ่งเป็นนโยบายและแนวทางในการบริหาร และพัฒนาโรงเรียนให้มีความเข้มแข็งและเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ การจัดตั้งโรงเรียนไทยรัฐวิทยาเป็นความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนในท้องถิ่นชนบทให้สามารถเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน พัฒนาคนในทุกมิติและทุกช่วงวัยให้มีคุณภาพ เพื่อเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปีนี้ ทำให้เกิดการดำเนินชีวิตรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) ในทุก ๆ ด้าน เราต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียน การสอนใหม่ ที่เรียกว่ายุคหลัง New Normal คือศตวรรษที่ 21 ทุกคนทราบดีว่า ต้องปรับให้สอดคล้องต่อชีวิตวิถีใหม่ที่เกิดขึ้นให้ทันต่อโลกยุคดิจิทัล ต้องมีหลักคิด มีวิสัยทัศน์ มีภูมิคุ้มกันในสิ่งที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งบุคลากรทางการศึกษาจะต้องทุ่มเท ต้องมีการปฏิรูปการศึกษา การให้เด็กมีความรู้นอกจากเรื่องของวิชาการ ด้วยการยกระดับทักษะพื้นฐาน ทักษะอนาคต ทักษะการเรียนรู้เชิงรุก และทักษะชีวิต ให้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เชื่อมโยงกับสากลโลก ตลอดจนออกแบบการเรียนรู้ให้เท่าทันกับสถานการณ์โลก การนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการลดข้อจำกัดของการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้เรียน ให้มีคุณภาพและมีศักยภาพในทุกมิติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามแนวทางนโยบายของรัฐบาลที่อยากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดและขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันปรับวิธีการทำงาน มุ่งทำงานเชิงรุก และเสนอแนะความคิดเห็น เพื่อให้ทุกโอกาสการพัฒนาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35367
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Eco Innovation Forum 2020 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและใบประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2563
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Eco Innovation Forum 2020 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและใบประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Eco Innovation Forum 2020 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและใบประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2563 วันนี้ (24 กันยายน 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 Eco Innovation Forum 2020 ภายใต้แนวคิด “ปรับตัวให้อยู่รอด ทางออกอุตสาหกรรม 4.0 ในยุค New Normal” พร้อมด้วย นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยมี นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หวังวัฒนาพานิช รองประธาน ส.อ.ท. และนายไพรัตน์ ตังคเศรณี รองเลขาธิการ ส.อ.ท. เข้าร่วม ณ ห้อง GH 201-202 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพ สำหรับงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 “Eco Innovation Forum 2020” นี้ จัดโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ก้าวสู่ยุค “New Normal” โดยมี พิธีมอบโล่เกียรติยศ และประกาศเกียรติคุณให้แก่นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรืออุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองเป็นนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ซึ่งในปีนี้มีนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองในระดับ Eco-World Class จำนวน 3 แห่ง, ระดับ Eco-Excellence จำนวน 13 แห่ง, Eco-Champion จำนวน 34 แห่ง, นิคม/ท่าเรืออุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 4.0 จำนวน 3 แห่ง, โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 4.0 จำนวน 6 แห่ง, โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Factory) จำนวน 29 แห่ง และโรงงานที่สนับสนุนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำนวน 35 แห่ง นอกจากนี้ยังมีการมอบประกาศนียบัตรให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรอง Water Footprint อีก 7 แห่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35387
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" มอบรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นกองทุน นพ.กนกศักดิ์ พูลเกสร
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 "อนุทิน" มอบรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นกองทุน นพ.กนกศักดิ์ พูลเกสร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นกองทุนนายแพทย์กนกศักดิ์ พูลเกสร แก่ ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จ.หนองคาย ผอ.โรงพยาบาลบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ และสูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลโชคชัย จ.นครราชสีมา ขอให้แพทย์ทุกคนทุ่มเ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นกองทุนนายแพทย์กนกศักดิ์ พูลเกสร แก่ ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จ.หนองคาย ผอ.โรงพยาบาลบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ และสูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลโชคชัย จ.นครราชสีมา ขอให้แพทย์ทุกคนทุ่มเทเสียสละ เพื่อความถูกต้อง ประโยชน์บ้านเมือง พร้อมสนับสนุนการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน วันนี้ (24 กันยายน 2563) ที่โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการชมรมแพทย์ชนบทประจำปี 2563 “ระบบสาธารณสุขไทย ยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง” พร้อมมอบรางวัล “แพทย์ชนบทดีเด่น กองทุนนายแพทย์กนกศักดิ์ พูลเกสร พ.ศ. 2562” ให้แก่แพทย์ชนบทดีเด่น จำนวน 3 คน และทีมงานโรงพยาบาลจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ นายแพทย์วัฒนา พารีศรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย นายแพทย์ปราโมทย์ ศรีแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ และนายแพทย์แมนวัฒน์ โชคสุวัฒนสกุล แพทย์สูตินรีเวช ประจำโรงพยาบาลโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทินได้ปาฐกถาพีร์ คำทอน “ระบบสุขภาพกับการเผชิญความท้าทายแห่งอนาคต” มีใจความตอนหนึ่งว่า นายแพทย์พีร์ คำทอน ถือเป็นบุคคลตัวอย่างของแพทย์ที่มีความทุ่มเทและเสียสละ จึงขอให้ทุกคนถือเป็นแบบอย่าง เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง เหมือนนายแพทย์พีร์ คำทอน และดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ อย่าให้เกิดความเดือดร้อนในเรื่องของการรับบริการต่างๆ หากมีความจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงศักยภาพโรงพยาบาล ขอให้รายงานข้อมูลเข้ามา เพื่อที่ตนจะได้ไปดำเนินการจัดหางบประมาณมาสนับสนุน สำหรับเรื่องการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ดี เนื่องจากมีระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่เข้มแข็ง มีโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ร่วมดำเนินการ ถือเป็นความสำเร็จของทุกคนด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุขหลังโรคโควิด 19 หรือหลังจากมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ประเทศไทยจะเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุน ท่องเที่ยว ใช้ชีวิต และรักษาพยาบาล ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยนี้ประเทศไทยมีความพร้อมแล้ว **************************************** 24 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35380
รัฐบาลไทย-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 กันยายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้เดินทางจากสหรัฐเอมริกา ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้เดินทางจากสหรัฐเอมริกา ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 8 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,353 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.36 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 104 ราย หรือร้อยละ 2.96 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,516 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก สหรัฐอเมริกา 2 ราย รายที่ 1 เป็นชาย อายุ 38 ปี สัญชาติไทย อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 10 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 23 กันยายน 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร รายที่ 2 เป็นหญิง อายุ 54 ปี สัญชาติไทย อาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 17 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 21 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ของโรคโควิด 19 ทั่วโลกขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 32 ล้านราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย โคลัมเบีย สำหรับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 135 ของโลก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศไทยขณะนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังป้องกันในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ ทั้งทางด่านพรมแดนและท่าอากาศยานตามมาตรการอย่างเข้มงวด สำหรับด่านพรมแดนได้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังผู้ที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจนำเชื้อเข้ามาในประเทศไทย โดยหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารรณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และร่วมกันเฝ้าระวังป้องกันโรคในพื้นที่ชายแดน และในจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายจะไม่ได้เข้าสู่ระบบการคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคตามมาตรการอาจนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในชุมชนได้ ขอให้ช่วยกันสังเกตอาการป่วยของตนเอง และคนรอบข้างอยู่เสมอ หากมีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก การรับรสและกลิ่นลดลง ภายหลังจากไปในสถานที่ชุมชน หรือสถานที่ที่มีความแออัด ขอให้ไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือทุกคนให้เคร่งครัดในมาตรการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง อย่าประมาท เพราะเมื่อติดเชื้อมักจะไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการน้อย อาจเกิดการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย/ หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และทุกครั้งที่อยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เลี่ยงสถานที่แออัด ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ที่ใช้บริการในแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะสามารถใช้ข้อมูลติดตามผู้สัมผัส เพื่อเฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัย และป้องกันควบคุมโรคต่อไป *************************24 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Intermach and Subcon Thailand 2020
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Intermach and Subcon Thailand 2020 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Intermach and Subcon Thailand 2020 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนชั้นนำของอาเซียน หรือ Intermach and Subcon Thailand 2020 พร้อมด้วย นายชนินทร์ ขาวจันทร์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ผู้อำนวยการกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นางสาวกนกพร ดำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สำหรับงานอินเตอร์แมค 2020 เป็นงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและโลหะการและระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งจัดร่วมกับงานซับคอนไทยแลนด์ 2020 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตและกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมสนับสนุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เกี่ยวข้องโดยกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย โดยมีแนวคิดการจัดงาน คือ “เทคโนโลยีอัจฉริยะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตไทย – Driving Industry Forward with Intelligent Technology” ซึ่งภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมสนับสนุน รวมไปถึงการให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยผ่านส่วนจัดแสดง Smart Factory และงานสัมมนาต่าง ๆ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษกรัฐบาล” เผยบรรยากาศที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 14 ปลัดกระทรวง/หัวหน้าส่วนราชการที่เกษียณ เป็นไปด้วยความอบอุ่น ประทับใจ
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 “โฆษกรัฐบาล” เผยบรรยากาศที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 14 ปลัดกระทรวง/หัวหน้าส่วนราชการที่เกษียณ เป็นไปด้วยความอบอุ่น ประทับใจ “โฆษกรัฐบาล” เผยบรรยากาศที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 14 ปลัดกระทรวง/หัวหน้าส่วนราชการที่เกษียณ ได้กล่าวความในใจ เผยหากใครได้ร่วมงาน หรือเห็นการทำงานแล้ว ทุกคนจะรัก นับถือ และรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “พลเอกประยุทธ์ฯ” นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยบรรยากาศในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่ 4/2563 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563 มีหัวหน้าส่วนราชการในระดับปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการเกษียณถึง 14 กระทรวง/หน่วยงาน ซึ่งในที่ประชุม เลขาธิการ กพ. ได้เปิดโอกาสให้แต่ละท่านเผยถึงความในใจที่มีต่อนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทุกท่านกล่าวถึงความประทับใจการทำงานและตัวตนที่แท้จริง ซึ่งผู้ที่มีโอกาสทำงานใกล้ชิด หรือติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรี จะพูดเป็นเสียงเดียวกันถึง ความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน รวมทั้งน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ยกตัวอย่างผู้บริหารที่เกษียณในปีนี้ เช่น นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ได้กล่าวว่า “ท่านนายก ฯ ได้ทำคุณูปการให้กับบ้านเมืองเยอะแยะมากมาย คือการวางวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เอาไว้ให้กับประเทศไทย” ขณะที่นางบุษยา มาทแล็ง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวประทับใจในการทำงานด้านต่างประเทศของนายกฯ ว่า “ ปี 62 ที่ไทยเป็นประธานอาเซียน ท่านนายกฯ ดูแลสนับสนุนอย่างเต็มที่ ท่านเป็นประธานการประชุมที่เราภาคภูมิใจ รวมทั้งได้รับความชื่นชมจากผู้นำทุกประเทศโดยมีหนังสือชื่นชมตอบกลับมา ส่วนการทำงานกับนายกฯ ท่านนี้ก็รู้สึกสบายใจ เพราะท่านมีความตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงและมีพรหมวิหาร 4 มีเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกองค์กรต้องมี รวมทั้งไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ” ด้านนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เผยว่า “นายกฯ มีเมตตา เอาใจใส่กับลูกน้องอย่างมาก เสียดายที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้เห็น จะเห็นท่านในข่าว ในสื่อ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน” ขณะที่นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมเผยว่า “ตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ผอ. สนข. และได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ทราบว่านายกฯ ต้องการให้ผมมาขับเคลื่อนแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศไทย ซึ่งงานก่อสร้างหลายอย่างเกิดจากแผนนี้ เป็นแผนที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2558 และสิ้นสุดใน พ.ศ. 2565 เป็นแผน 8 ปี ที่มีความสำคัญทั้งถนน ราง นำ้ อากาศ ช่วงที่ผมทำหน้าที่นั้น งานทั้งหนักและเหนื่อยมาก แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นท่านนายกฯทำงานด้วยความตั้งใจ สิ่งที่เกิดความรู้สึกคือผมทำงานหนักน้อยกว่าท่านนายกฯมาก สิ่งที่เหนื่อยที่หนักนั้นกลายเป็นพลังกายพลังใจในการดำเนินงานต่อไป“ ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “การจัดการเรียนการสอนในยุคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ท่านนายกฯ เป็นผู้ช่วยเหลือในการทำให้มีช่องโทรทัศน์ DLTV Digital ถึง 17ช่อง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเคยขอมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ แต่โควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่าท่านนายกฯมาช่วยให้กระทรวงศึกษาฯจัดการเรียนการสอนในทีวีได้ นี่คือสิ่งที่ผมประทับใจว่า ท่านมีบารมี และท่านได้ช่วยเหลือกระทรวงศึกษาฯให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนถึง 10 ล้านคนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องในช่วง Lock-down” ส่วนนายอนุกูล เจิมมงคล ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า “ในวิชาชีพข้าราชการ ท่านนายกรัฐมนตรีถือเป็นแบบอย่างของการเป็นข้าราชการที่ดี มุ่งเน้นการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในช่วงที่ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นข้าราชการ และในช่วงนี้ที่ท่านเกษียณอายุราชการแล้วก็ตาม ทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นว่าข้าราชการมีบทบาทสำคัญ ที่คอยช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติในยามวิกฤต” ด้านพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงความประทับใจต่อนายกรัฐมนตรีว่า “สิ่งที่ผมประทับใจในตัวท่านนายกฯ คือ 1. มีความเป็นผู้นำสูงมาก 2. มีความเด็ดขาด 3. มีความรับผิดชอบ นี่คือความประทับใจตั้งแต่ที่ได้รู้จัก” ขณะที่ นายแพทย์ สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เล่าย้อนถึงการต่อสู้กับโควิด-19 ว่า “ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านนายกรัฐมนตรีที่ต่อสู้กับโควิด-19 ประเทศไทยต้องบอกว่าโชคดีที่มีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ ท่านเป็นคนที่มีคุณธรรม ความรู้สึกผมคือท่านเป็นคนมีบารมี มีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครอง หลายอย่าง ภัยพิบัติที่จะเกิดกับประเทศไทยต้องอาศัยบารมีท่านนายกฯช่วย บางอย่างเป็นเหมือนจะเกิดภัยพิบัติ หรือเห็นสถานการณ์ของโรคร้ายแต่มันก็หายไปได้ พ้นไปได้ ก็เพราะการนำของท่านนายกรัฐมนตรี ความเก่งของท่านคือการติดตามการทำงานทุกอย่าง ท่านเป็นผู้มีคุณธรรม มีเมตตากับลูกน้อง ในการทำงานสู้กับโควิด-19 นี้ ผมยอมรับว่าบางครั้งก็รู้สึกท้อ อยากจะร้องไห้ รู้สึกหมดหวัง แต่ก็ได้ความเมตตาจากท่านนายกฯ ติดตาม ถามไถ่ และแนวคิดเรื่อง State Quarantine ท่านนายกก็เป็นคนคิดคนทำ ตอนแรกผมคิดไม่ออกจะทำได้อย่างไร แต่ท่านใช้ความเป็นผู้นำของท่าน ทำให้เกิด State Quarantine และสุดท้ายก็สามารถปกป้องประเทศไทยได้ ซึ่งในช่วงแรกนั้นคำนวณกันไว้ว่าประเทศไทยจะมีคนป่วยถึง 300,000 คน และคาดว่าจะมีคนตาย 60,000 คน แต่วันนี้ประเทศไทยทำได้ดีกว่านั้นมาก ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะรอดได้ภายใต้การทำงานของท่านนายกรัฐมนตรีต่อไป“ ขณะที่ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวถึงงานวิจัยว่าก้าวหน้าไปมาก รัฐบาลได้สนับสนุนการก่อสร้างและอุปกรณ์ เช่น กล้องดูดาว รวมทั้งทุนการศึกษา ทุนวิทยาศาสตร์ ทุนเรียนต่อ ซึ่งปลัด อว. ย้ำถึงความสำคัญของทุนต่าง ๆ คงจะเป็นมรดกให้ลูกหลานหรือรุ่นน้อง ๆ ได้ดำเนินการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และทางด้านการศึกษาต่อไป โฆษกรัฐบาลยังเผยอีกว่า ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “คนเรามีทั้งข้อดี และข้อเสีย” ซึ่งผู้บริหารท่านหนึ่งรีบเปรยว่า “ขอให้ท่านนายกฯ อย่าเขียนหวัดมากนัก เพราะลายมือท่านไม่สามารถอ่านออกได้ เลยไม่ทราบว่าท่านสั่งการอะไร” ชึ่งนายกรัฐมนตรีอมยิ้มและยอมรับว่า เป็นข้อเสียที่แก้ไม่หาย เพราะคิดไว ทำไว สมองคิดนำไปก่อน มือตามไม่ทัน และสุดท้ายท่านนายกฯ ได้กล่าวว่า การทำงานของหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง และการทำงานของนายกรัฐมนตรีนั้น มีเป้าหมายเดียวกันคือ ร่วมกันปฎิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขของประชาชน “บรรยากาศในการประชุมซึ่งถือเป็นการอำลาปลัดกระทรวงที่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ เต็มไปด้วยความอบอุ่น สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างนายกรัฐมนตรีและข้าราชการทั้งในฐานะผู้บังคับชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้ร่วมงานมาด้วยกัน เป็นโมเม้นท์ที่เฉพาะคนในเหตุการณ์จะได้สัมผัสและเห็นถึงความตั้งใจและตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรี เสียดายที่ไม่ได้ปรากฏในสื่อ” โฆษกรัฐบาลกล่าว ......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาทางเลือดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ?
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาทางเลือดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ? ไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางเลือดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 ถูกขับออกมาทางเลือดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ?? A : 12 %
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35363
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 22 กันยายน 2563
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 22 กันยายน 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (22 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (การเพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) เศรษฐกิจ - สังคม 4. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา 5. เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา 6. เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทยขององค์การจัดการน้ำเสีย 7. เรื่อง การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคสาม และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง สำหรับงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 8. เรื่อง ขออนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขอดำเนินกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อน 9. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2522/16 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1 10. เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการปรับปรุงและเพิ่ม ประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม รวม 2 โครงการ) 11. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง) 12. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชีวิต และชุมชน 13. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว 14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 15. เรื่อง รายงานผลการชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัย 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2563 และครั้งที่ 21/2563 17. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 18. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายของรัฐบาล 19. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 4 20. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษ รายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2563) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ 21. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ระยะการระบาดระลอก 2 22. เรื่อง การขยายเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา 23. เรื่อง การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ 24. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ต่างประเทศ 25. เรื่อง การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่า ด้วยความร่วมมือทางวิชาการ 26. เรื่อง การบริจาคเงินสมทบกองทุนตั้งต้นเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Start - Up Fund for Safe, Orderly and RegularMigration) ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ 27. เรื่อง การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2564 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย 28. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 10 แต่งตั้ง 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ) 30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน) 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ(นักบริหารสูง) ทดแทนตำแหน่งที่ว่าง 35. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย 36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 37. เรื่อง การเสนอขอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช) 38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 21 39. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และ กรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดศ. เสนอว่า 1. ด้วยบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของทั้งหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน เนื่องจากเป็นบริการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Commerce โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการแอบอ้างหรือปลอมแปลงตัวตนเข้ามาทำธุรกรรม อันเป็นที่มาที่ก่อนให้บริการทางออนไลน์ ซึ่งหน่วยงานรัฐ เอกชน หรือผู้ให้บริการต้องมีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นเครื่องมือทดแทนกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางกายภาพ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและปัญหาความล่าช้าในการรับบริการจากภาครัฐหรือเอกชน 2. ดังนั้น เพื่อให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 34/3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้รองรับให้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนของบุคคลอาจกระทำผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลได้ และมาตรา 34/4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้กำหนดให้ในกรณีที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและการพาณิชย์ หรือเพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับในระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือเพื่อป้องกันความเสียหายแก่สาธารณชน ให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลใด เป็นธุรกิจบริการที่ต้องได้รับใบอนุญาตก่อน เพื่อให้มีการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบริการดังกล่าว โดยมีคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ทำหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแล และมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) สนับสนุนการกำกับดูแลธุรกิจบริการดังกล่าว เพื่อยกระดับให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลมีความเข้มแข็ง มีมาตรฐาน มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ตลอดจนดูแลให้การให้บริการสามารถรองรับการทำงานในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการเงิน สาธารณสุข หรือบริการภาครัฐ ได้อย่างครอบคลุม 3. สพธอ. ซึ่งรับผิดชอบงานเลขานุการของ คธอ. ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานหรือองค์กรกำกับดูแล และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านสาธารณสุข โทรคมนาคม การเงิน หลักทรัพย์ ประกันภัย ตลอดจนผู้ให้บริการในด้านดังกล่าว รวมจำนวน 4 ครั้ง และนำข้อมูลความคิดเห็นที่ได้รับมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ก่อนนำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอต่อ คธอ. ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 โดยที่ประชุม คธอ. มีมติเห็นชอบ และให้ สพธอ. ปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมก่อนเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป โดย สพธอ. ได้ดำเนินการปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ และที่ คธอ. หรือ สพธอ. จะประกาศกำหนด รวมทั้งเงื่อนไขอื่นที่อาจกำหนดไว้ในใบอนุญาต 2. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 3. กำหนดห้ามทำข้อตกลงหรือกระทำการอันจะเป็นการกีดกันหรือขัดขวางการให้บริการหรือก่อให้เกิดการผูกขาดในการประกอบธุรกิจ หรือทำให้เกิดความไม่สอดคล้อง หรือไม่สามารถเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือทำให้เกิดการผูกขาดในการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจาก สพธอ. 4. กำหนดลักษณะของบริการที่ต้องได้รับใบอนุญาตในการให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ดังนี้ 4.1 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Identity Provider Service) ที่ให้บริการการพิสูจน์ตัวตน หรือการออกและบริหารจัดการสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตน หรือการยืนยันตัวตน 4.2 บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital Identity Platform Service) ที่เป็นเครือข่ายหรือระบบเพื่อการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบุคคลที่เป็นสื่อกลาง 5. กำหนดบริการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาต ดังนี้ 5.1 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยผู้ให้บริการออกใบรับรองเพื่อสนับสนุนลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority: CA) 5.2 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวที่บุคคลใช้เพื่อประโยชน์ภายในกิจการของบุคคลนั้น โดยไม่ได้ให้บริการแก่บุคคลภายนอก 5.3 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของบุคคลและตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลกับข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์นั้น ตามระดับเงื่อนไขความน่าเชื่อถือ ที่ คธอ. กำหนด 5.4 บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลอื่นใดตามที่ คธอ. ประกาศกำหนด 6. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนิติบุคคลหรือกรรมการของผู้ประกอบธุรกิจที่จะขอรับใบอนุญาต ขั้นตอนการขออนุญาต เอกสารประกอบการขออนุญาต ค่าธรรมเนียมในการขออนุญาต รวมทั้งกำหนดอายุใบอนุญาต 5 ปี กำหนดเกี่ยวกับการขอต่ออายุใบอนุญาต และกำหนดให้ขอรับใบแทนในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหายหรือชำรุด 7. กำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจในการรายงานเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ 8. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจ 9. กำหนดหลักเกณฑ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการในระหว่างประกอบธุรกิจ เพื่อให้ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของผู้ประกอบธุรกิจ มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบ มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและการตรวจสอบ มาตรฐานการให้บริการ ซึ่งรวมถึงการจัดการและจัดเก็บข้อมูล การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการ การคุ้มครองผู้ใช้บริการ และมาตรการบรรเทาความเสียหายและการชดใช้หรือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการประกอบธุรกิจ 10. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ 11. กำหนดให้กรณีที่ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจ ต้องแจ้งให้ สพธอ. ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่คาดว่าจะเลิกประกอบธุรกิจ 12. กำหนดหน้าที่และอำนาจในการควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจ เช่น อำนาจของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริง อำนาจของ สพธอ. ในการสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องหรือพักใช้ใบอนุญาตอำนาจของ คธอ. ในการสั่งปรับและการเพิกถอนใบอนุญาต 13. กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดการข้อมูล และการคุ้มครองผู้ใช้บริการก่อนการเลิกประกอบธุรกิจหรือการเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งการรองรับผลของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ได้จากกระทำก่อนการเลิกประกอบธุรกิจหรือการเพิกถอนใบอนุญาต 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4110 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 403 เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (การเพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ มท. เสนอว่า โดยที่ประเทศไทยได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคให้สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากโรคนี้มีความรุนแรงของโรคสูง และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการระบาดข้ามประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 ของประเทศไทย ยังมีความเสี่ยงในการเกิดการระบาดใหญ่ได้เนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และหลายประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการในการป้องกันควบคุมโรค คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงได้เสนอให้เพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้โรคดังกล่าวเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค มท. เห็นควรกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ต้องห้ามมิให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นโรคดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยการปรับปรุงกฎกระทรวงฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ดังนี้ 1. โรคตามมาตรา 12 (4) ได้แก่ (1) โรคเรื้อน (2) วัณโรคในระยะอันตราย (3) โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (4) โรคยาเสพติดให้โทษ (5) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 (6) โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 2. โรคตามมาตรา 44 (2) ได้แก่ (1) โรคเรื้อน (2) วัณโรคในระยะอันตราย (3) โรคเท้าช้าง (4) โรคยาเสพติดให้โทษ (5) โรคพิษสุราเรื้อรัง (6) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 (7) โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เศรษฐกิจ - สังคม 4. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 และ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ โดยเมื่อหน่วยงานเจ้าของพื้นที่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว ให้ อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง อก. รายงานว่า 1. ประทานบัตรเดิมของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด จะครบกำหนดสิ้นอายุในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 บริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด จึงได้ยื่นคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ในพื้นที่ประทานบัตรเดิมเต็มทั้งแปลงและ ขอขยายพื้นที่ใหม่เพิ่มเติม รวมเนื้อที่ 104 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา มีรายละเอียด ดังนี้ รายการ รายละเอียด พื้นที่ พื้นที่ เนื้อที่ พื้นที่ประทานบัตรเดิมซึ่งมีการทำเหมืองมาก่อนและจะหมดอายุ 69 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา ขยายพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยผ่านการทำเหมืองมาก่อนโดยเคยเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตจัดตั้งสถานทีเพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวเนื่องกับการทำเหมือง ทั้งนี้ เป็นการขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตแร่ 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา ลักษณะพื้นที่ 1) พื้นที่คำขอประทานบัตรเป็นพื้นที่ป่าซึ่งได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ ป่าไม้ไว้แล้ว 2) พื้นที่อยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564 3) ไม่อยู่ในแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ 4) มีสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความคุ้มค่า โครงการมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อท้องถิ่นและประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น โดยพบว่า ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการอยู่ในระดับที่ดีมาก ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 327.60 ล้านบาท มีมูลค่าโครงการสุทธิภายหลังหักมูลค่าที่สูญไปของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการเท่ากับ 311.96 ล้านบาท การเห็นชอบ/อนุมัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน 1) คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ได้มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับคำขอประทานบัตรแล้วเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นชอบตามที่ อก. เสนอ 3) องค์การบริหารส่วนตำบลลิดลได้เห็นชอบในการขอประทานบัตรแล้ว 4) สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา ไม่พบร่องรอยหลักฐานที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี อย่างไรก็ตาม หากผู้ขอประทานบัตรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยมีการขุดเจาะลึกลงไปใต้ดินและพบหลักฐานทางโบราณคดีหรือร่องรอยผิดวิสัยและเป็นประโยชน์ในทางโบราณคดี ขอให้ชะลอการดำเนินงานดังกล่าวและโปรดแจ้งข้อมูลให้สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบต่อไป 5) การทำเหมืองที่ผ่านมาและการปิดประกาศการขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน 6) ไม่มีปัญหาการร้องเรียนคัดค้านเกี่ยวกับคำขอประทานบัตร และการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือสร้างความขัดแย้งกับราษฎรในพื้นที่ ทั้งนี้ จากแผนที่ภูมิศาสตร์พบว่า พื้นที่ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ไม่ได้อยู่ในเขตโบราณสถานภาพเขียนสีเขายะลา โดยมีพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรของห้างห้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา (ประทานบัตรที่ 2/2558) และคำขอประทานบัตรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา (ประทานบัตรที่ 3/2558) คั่นระหว่างพื้นที่คำขอประทานบัตรของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด กับเขตโบราณสถานภาพเขียนสีเขายะลา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ในพื้นที่ที่คั่นอยู่ดังกล่าวแล้ว 2. การดำเนินการในขั้นตอนนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ แต่เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี 5. เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขึ้นทะเบียน โดยมีเลขประจำตัว 13 หลัก เรียบร้อยแล้ว จำนวน 3,042 คน ซึ่งครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่ การเสริมสร้างสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง สธ. รายงานว่า 1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 สธ. ได้ดำเนินการจัดระบบลงทะเบียนสิทธิและให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่บุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์สิทธิได้ โดยพบว่า ยังมีเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ได้รับสิทธิด้านการศึกษาแต่ยังไม่ได้รับสิทธิด้านหลักประกันสุขภาพ จำนวน 3,042 คน ซึ่งจากการตรวจสอบแล้ว ไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้ง มท. ได้กำหนดเลขประจำตัว 13 หลัก เรียบร้อยแล้ว 2. สธ. เห็นว่า การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาจะทำให้เด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและช่วยแก้ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของหน่วยบริการที่ต้องให้บริการด้านสาธารณสุขที่จำเป็นตลอดจนช่วยควบคุมและป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ จำนวน 7,464,915.90 บาท (อัตรา 2,453.75 บาทต่อคน) โดยกำหนดกรอบวงเงินตามจำนวนผู้มีสิทธิในอัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเท่ากับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 6. เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย ขององค์การจัดการน้ำเสีย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย ขององค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ มท. (อจน.) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง มท. รายงานว่า 1. ปริมาณน้ำเสียชุมชนของประเทศไทยในปัจจุบันมี 9.50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยมีน้ำเสียที่ (1) ผ่านการบำบัดด้วยระบบบำบัดน้ำเสียที่ติดตั้งตามกฎหมายควบคุมอาคาร และแหล่งรองรับน้ำที่สามารถฟื้นฟูและบำบัดได้เองตามกระบวนการตามธรรมชาติ (self-purification) ปริมาณ 4.60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 48) และ (2) ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน จำนวน 105 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่และความรับผิดชอบของ 91 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใน 56 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) และมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 3.20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 34) ทำให้เหลือปริมาณน้ำเสียที่ไม่ได้รับการบำบัด จำนวน 1.70 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 18) ที่กลายเป็นปัญหามลพิษทางน้ำของประเทศส่งผลให้แหล่งน้ำมีคุณภาพเสื่อมโทรม กระทบต่อสุขอนามัยของประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาพลักษณ์การท่องเที่ยว 2. อจน. ได้ให้บริการรับบริหารหรือจัดการระบบบำบัดน้ำเสียให้แก่ อปท. ที่รับผิดชอบระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าว จำนวน 26 แห่ง (จาก 105 แห่ง) ซึ่งตั้งอยู่ทั้งในและนอกเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย จากจำนวน อปท. ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 7,852 แห่งทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยควรต้องเร่งดำเนินการวางระบบบริหารจัดการน้ำเสียในพื้นที่ อปท. อีกเป็นจำนวนมาก แต่โดยที่ผ่านมา อจน. มีข้อจำกัดในการเข้าดำเนินการจัดการน้ำเสียให้กับ อปท. เนื่องจากส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมและบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อสนับสนุน อปท. ในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียชุมชนได้อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น การกำหนดพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทยของ อจน. จะมีส่วนสำคัญในการเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างทันสถานการณ์ 7. เรื่อง การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคสาม และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า 1 ปีงบประมาณก่อนได้รับเงินประจำงวดและสำนักงานสามารถลงนามในสัญญาได้ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2563 วงเงินรวม 82,486,600 บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการต่าง ๆ จำนวน 7 รายการ ดังนี้ รายการก่อหนี้ ระยะเวลาก่อหนี้ (ปีงบประมาณ) วงเงิน (บาท) 1. ค่าเช่าอาคารที่ทำการ ททท. จำนวน 5 รายการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 สั่งกรมการจัดหางาน ผนึกกำลังให้บริการคนหางานทั่วประเทศ พร้อม JOB EXPO THAILAND 2020
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 จับกัง 1 สั่งกรมการจัดหางาน ผนึกกำลังให้บริการคนหางานทั่วประเทศ พร้อม JOB EXPO THAILAND 2020 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน มอบหมายสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด เตรียมตำแหน่งงานพร้อมให้บริการทั่วประเทศ วันที่ 26-28 กันยายนนี้ ควบคู่ JOB EXPO THAILAND 2020 หวังช่วยเหลือคนหางานในต่างจังหวัดที่ไม่สะดวกเดินทาง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การจ้างงานทั่วโลกลดลงไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย แต่จากการบริหารจัดการโรคระบาดที่ดี ทำให้สถานการณ์ภายในประเทศไทยคลี่คลายได้รวดเร็วกว่าหลายประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบาย เร่งฟื้นฟู ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวิธีส่งเสริมการมีงานทำอย่างมีประสิทธิภาพ คนหางานได้ประกอบอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตามความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ของตนเอง มีค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่กระทรวงแรงงานมุ่งมั่นดำเนินการจนเกิดเป็นงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ซึ่งเป็นมหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาเพื่อรวบรวมตำแหน่งงานว่างกว่า 1 ล้านอัตรา ไว้ในที่เดียวกัน “กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาของประชาชนทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงความไม่สะดวกในการเดินทางของคนหางานที่จะเดินทางมาร่วมงานที่กรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยให้บริการคนหางานไปพร้อมกับการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ในทุกจังหวัด รมว.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติม ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้มอบหมายสำนักงานจัดหางานจังหวัด เปิดให้บริการคนหางาน ในทุกจังหวัด ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดจะเปิดให้บริการหางานเพิ่มในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรองรับผู้ต้องการหางานที่ไม่สามารถเดินทางไปร่วมงาน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ได้ ให้สามารถเลือกสมัครงานในตำแหน่งงานว่างจากฐานข้อมูลเดียวกันกับงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ด้วยระบบ Platform “ไทยมีงานทำ” สำหรับผู้ที่ต้องการหางานทำที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง กรมการจัดหางานขอเชิญชวนร่วมงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร Hall EH 98-99 โดยสามารถกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนสมัครงานล่วงหน้า หรือหาหลักสูตรอบรมพัฒนาอาชีพของกระทรวงแรงงาน ได้ที่ www.ไทยมีงานทำ.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และในส่วนภูมิภาคสามารถไปใช้บริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ครั้งที่ 1/2563
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ครั้งที่ 1/2563 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ครั้งที่ 1/2563 วันนี้ (21 กันยายน 2563) เวลา 14.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายภัทรพล ลิ้มภักดี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมโรงงาน ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาร่างหลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว (ฉบับปรับปรุง) การเทียบระดับสถานประกอบการที่ได้รับฉลากลดคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์ กับอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) และขอบเขตการพิจารณาข้อกฎหมายอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 3 ระบบสีเขียว (Green System) ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเตือนปีภาษี 2563 ถึงเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) แล้ว
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 สรรพากรเตือนปีภาษี 2563 ถึงเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) แล้ว กรมสรรพากรขอแจ้งเตือนให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สำหรับปีภาษี 2563 ยื่นแบบพร้อมชำระภาษีได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 และผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบพร้อมชำระภาษีผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th กรมสรรพากรขอแจ้งเตือนให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สำหรับปีภาษี 2563 ยื่นแบบพร้อมชำระภาษีได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 และผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบพร้อมชำระภาษีผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 คือผู้ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) - (8) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ (แพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักกฎหมาย ฯลฯ) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ เงินได้จากการประกอบธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มา โดยมุ่งทางการค้าหรือหากำไร และการพาณิชย์อื่น ๆ รวมทั้งนักแสดงสาธารณะ เป็นต้น โดยต้องนำเงินได้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – วันที่ 30 มิถุนายน 2563 มารวมคำนวณและยื่นแบบชำระภาษีภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและยกระดับการให้บริการของกรมสรรพากรผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ กรมสรรพากรขอแนะนำให้ใช้บริการยื่นแบบหรือชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ซึ่งนอกจากผู้เสียภาษีจะได้รับความสะดวกแล้วยังได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบ ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 อีกด้วย สำหรับแบบ ภ.ง.ด.94 สามารถ Download และศึกษารายละเอียดวิธีการกรอกแบบแสดงรายการฯ ได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หัวข้อ Download > แบบแสดงรายการภาษี แบบคำร้อง/คำขอต่าง ๆ > ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือด้วยการ Scan QR Code ที่อยู่ด้านหน้าแบบแสดงรายการฯ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือซีพีเอฟ MOU รวมไทยสร้างชาติ ฟื้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ก.แรงงาน จับมือซีพีเอฟ MOU รวมไทยสร้างชาติ ฟื้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 เพิ่มศักยภาพแรงงานในสาขาตามความต้องการและสอดคล้องกับตลาดแรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ วันที่ 22 กันยายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน กับ CPF รวมใจสู้วิกฤต ณ ชั้น 30 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม กรุงเทพฯ โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงานนายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ระหว่างกระทรวงแรงงานและบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้นำนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับภาคเอกชนที่เข้มแข้งตามนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” ของรัฐบาลเข้ามาดำเนินการโดยมีเป้าหมายที่จะผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน มาร่วมกันวางแผนเพื่อกำหนดอนาคตประเทศไทยท่ามกลางสถานการณ์โควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบถึงปัญหาแรงงานจากการเลิกจ้างของหลายบริษัท เกิดการว่างงานของแรงงานจำนวนมาก ตามมาด้วยปัญหาค่าครองชีพ และแนวโน้มการไม่มีงานทำของกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานราว 4-5 แสนคน ดังนั้น การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการช่วยกันแก้ปัญหาและร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ จึงมีความสำคัญยิ่ง นับเป็นโอกาสอันดีที่เกิดความร่วมมือในวันนี้ ที่บริษัท จะเปิดรับสมัครนักศึกษาจบใหม่ถึง 28,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานจบใหม่ของไทยมีงานทำในบริษัทที่มั่นคง และสามารถประกอบอาชีพที่ดี มีรายได้สม่ำเสมอ เป็นพื้นฐานด้านเศรษฐกิจอันเข้มแข็งของชาติ นอกเหนือไปจากการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อยกระดับการเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารให้ SMEs ที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงให้ SMEs ไทยด้วย นายสุชาติกล่าวต่อว่า ภาระค่าครองชีพที่กระทบถึงแรงงาน เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ควรได้รับการแบ่งเบา การมอบคูปองส่วนลดพิเศษในการซื้ออาหารซึ่งเป็นปัจจัยสี่ของการดำรงชีพ ให้แก่ผู้ประกันตนทุกคน จึงจะเป็นอีกโครงการที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว กระทรวงแรงงานต้องขอขอบคุณ “ชีพีเอฟ” ที่ให้ความร่วมมือดำเนินโครงการ รับสมัครพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษา ยกระดับความรู้ให้ SMEs และยังมอบส่วนลดพิเศษช่วยค่าครองชีพแรงงานในระบบประกันสังคม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นโครงการที่ดีที่จะช่วยลดผลกระทบให้แรงงานไทย เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 กันยายน 2563
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อินเดีย 4 ราย, สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และสถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,343 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.22 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 109 ราย หรือร้อยละ 3.1 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,511 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก อินเดีย 4 ราย ทุกรายมีสัญชาติอินเดีย เป็นหญิงอายุ 7 เดือน และ 30 ปี และชายอายุ 36 ปี ทั้ง 3 รายเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว อีกรายเป็นชายอายุ 62 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ทุกรายเดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 16 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 19 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย เป็นหญิง สัญชาติไทย อายุ 44 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 16 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 19 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 สะสมของประเทศไทยตั้งแต่เริ่มมีรายงานผู้ติดเชื้อพบว่า กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ที่อยู่ในช่วงอายุ 20-39 ปี มีการติดเชื้อรวมกันมากกว่าร้อยละ 50 และส่วนมากจะเป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการ ที่สำคัญกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตประจำวันอยู่นอกบ้านเพื่อเรียน ทำงาน ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะนำเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่นหรือคนในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ย้ำเสมอว่าการที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อปะปนอยู่ในสังคม ขอให้ทุกคนอย่าประมาท เคร่งครัดการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรค นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังมีความห่วงใยสุขภาพของผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งนับว่ายังมีความเสี่ยงเนื่องจากเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เมื่อป่วยอาจไม่แสดงอาการ จึงขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองเป็นเวลา 14 วัน หากมีอาการ ไข้ ไอเจ็บคอ น้ำมูก การรับรส/ กลิ่นลดลง อย่าปล่อยไว้ให้รีบไปรับการตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื่องจากกลุ่มนี้หากป่วยจะมีอาการรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้ ************************* 22 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35312
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย ครม.ไฟเขียวค่าตอบแทน อสม.อีก 3 เดือน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 อนุทิน เผย ครม.ไฟเขียวค่าตอบแทน อสม.อีก 3 เดือน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วิดีโอทางไกลพบปะ อสม.ภาคใต้ ที่ จ.พัทลุง เผยข่าวดี ครม.เห็นชอบค่าตอบแทน อสม.เพิ่มอีก 3 เดือน จัดซื้อเครื่องฉายรังสี 7 เครื่องประจำทุกภาคทั่วประเทศ และค่าเสี่ยงภัยแพทย์ พยาบาล อีก 200 กว่าล้านบาท เดินหน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วิดีโอทางไกลพบปะ อสม.ภาคใต้ ที่ จ.พัทลุง เผยข่าวดี ครม.เห็นชอบค่าตอบแทน อสม.เพิ่มอีก 3 เดือน จัดซื้อเครื่องฉายรังสี 7 เครื่องประจำทุกภาคทั่วประเทศ และค่าเสี่ยงภัยแพทย์ พยาบาล อีก 200 กว่าล้านบาท เดินหน้าเพิ่มศักยภาพ อสม.ปั้นเป็นหมอประจำบ้าน 1 ตุลาคมนี้ ฝากรณรงค์สวมหน้ากากสกัดโรคโควิด 19 และโรคทางเดินหายใจ วันนี้ (22 กันยายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุง ผ่านระบบประชุมทางไกลวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอนุทิน กล่าวว่า หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มาพบปะกับ อสม.เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยทำพิธีโอนเงินค่าตอบแทน อสม.ในฐานะเป็นด่านหน้าของระบบสาธารณสุขสู้โรคโควิด 19 จำนวน 500 บาท เป็นเวลา 7 เดือน ตั้งแต่มีนาคม-กันยายน 2563 รวม 3,500 บาทนั้น นายกฯ รู้สึกประทับใจมาก หลังเดินทางกลับยังส่งภาพสวมชุด อสม.มาหาตนผ่านทางไลน์ด้วย ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 กันยายน 2563 ได้มีมติอนุมัติเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีก 3 เดือน คือ ตุลาคม-ธันวาคม อีกเดือนละ 500 บาท รวมทั้งหมดเป็น 10 เดือน ต้องขอแสดงความยินดีกับ อสม.ทุกคนด้วย "สิ่งนี้เป็นผลจากการทำงาน รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความเสียสละ ความทุ่มเท ความขยันขันแข็งของ อสม. ทั่วประเทศ ถือว่านายกฯ รักษาสัญญากับ อสม.อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หลังได้ค่าตอบแทนแล้ว ขอให้ อสม.ขยันมากขึ้น เนื่องจากเป็นงบประมาณของประเทศ แต่ถือเป็นสิ่งตอบแทนค่าป่วยการที่ อสม.ได้เสียสละความสุขส่วนตัว ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ไปดูแลประชาชน และมีผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่รับมือโรคโควิด 19 เป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยพลังของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.ทุกคน เนื่องจากเราทำงานกันเป็นทีม และไม่ใช่รับมือกับโรคโควิด 19 เท่านั้น ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ทุกเรื่อง" นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคนไทย 1 คนมีหมอประจำตัว 3 คน เพื่อลดความแออัดสถานพยาบาล ลดเวลารอคอย ลดค่าใช้จ่ายจากการรักษา ซึ่งจะขับเคลื่อนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดย อสม.ถือเป็นหมอประจำบ้านคนแรก ขอให้ อสม.มีความตื่นตัว โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะดำเนินการสร้างเสริมทักษะประสบการณ์ให้ อสม.ทุกคนมีความรู้ ความชำนาญในการดูแลสุขภาพประชาชน เป็นมิตรแท้ใกล้ตัวใกล้ใจคนไทยทุกคน อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ ขอฝากให้ อสม.ช่วยรณรงค์ประชาชนให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ซึ่งช่วยป้องกันทั้งโรคโควิด 19 และโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ไม่ให้แพร่เชื้อ ถือว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าวัคซีน ช่วยลดความเจ็บป่วยและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลง ประชาชนไปเสริมสร้างรายได้ตัวเองและครอบครัวได้มากขึ้น นายอนุทินกล่าวว่า นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดซื้อเครื่องฉายรังสีเพื่อเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายแสงขั้นสูงทดแทนการผ่าตัด จำนวน 7 เครื่อง ซึ่งจะไปประจำครบทุกภาคของประเทศ ได้แก่ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลสุรินทร์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และสถาบันมะเร็งแห่งชาติทำให้ผู้ป่วยได้รักษาในพื้นที่ ใช้เวลารักษาและพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัด รวมถึงเห็นชอบการอนุมัติจ่ายค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้แก่แพทย์และพยาบาลที่ยังค้างอยู่อีกจำนวน 200 กว่าล้านบาทด้วย ****************************** 22 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35317
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จับมือ GISTDA ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศคุ้มครองแรงงาน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 กสร. จับมือ GISTDA ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จับมือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศยกระดับความสามารถในการคุ้มครองแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยภายหลังการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาพื้นที่และสวัสดิการแรงงานอย่างยั่งยืนร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA วันที่ 22 กันยายน 2563 ว่า บันทึกความร่วมมือฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อบูรณาการ เชื่อมโยงข้อมูลด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานของกรม กับข้อมูลภูมิสารสนเทศซึ่งเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ของประเทศที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นปัจจุบันของ GISTDA ผลที่ได้จากการบูรณาการข้อมูลและการปฏิบัติงานร่วมกันนี้ จะนำมาซึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายหรือแนวทางการดำเนินงานตามภารกิจของกรมทั้งในเชิงรุกและ เชิงรับในทุกมิติ เช่น การสำรวจสถานประกอบกิจการ การสำรวจข้อมูลแรงงานนอกระบบ รวมทั้งพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีอันตรายเพื่อป้องกันอันตรายจากการทำงาน เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของสถานประกอบกิจการ จำนวนผู้ใช้แรงงาน และการใช้สารเคมีก่อน เชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การยกระดับการบริหารจัดการด้านแรงงานในระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ทางด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้เป็นการนำเทคโนโลยีจากภาพถ่ายจากดาวเทียมหรือนวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศของ GISTDA มาประกอบกับองค์ความรู้ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพื่อการพัฒนาพื้นที่และสวัสดิการแรงงาน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานและความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนวางแผนในการบริหารจัดการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ซึ่งจากความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานและประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35324
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัยเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 กรมอนามัยเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 กรมอนามัยส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพดี ย้ำแรงงานต่างด้าว 'ร้านอาหาร-ผับ-บาร์' การ์ดอย่าตก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35314
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจ.ยโสธร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสื่อมวลชน พร้อมทั้งนำชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ อาทิ การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสาน โดยศิลปินรุ่นเยาว์ และตัวแทนศิลปินอีสาน การนำเสนอของดีจังหวัดยโสธร ได้แก่ ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีแห่มาลัย และประเพณีจุดไฟตูมกา และการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม (CPOT) ของจังหวัดยโสธร อาทิ บั้งไฟจำลอง ไฟตูมกาจำลอง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับจังหวัดยโสธร อำเภอเมืองยโสธร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๘ ก.ย. – ๒ ต.ค. ๒๕๖๓ ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธร อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับศิลปิน ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม รวมทั้งสร้างขวัญ กำลังใจแก่ประชาชน ผู้ประกอบการในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ตติยภูมิหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ รพ.สรรคประชารักษ์ ประชาชนเข้าถึงบริการครบวงจร
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ศูนย์ตติยภูมิหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ รพ.สรรคประชารักษ์ ประชาชนเข้าถึงบริการครบวงจร กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตติยภูมิ โรคหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด ปลูกถ่ายอวัยวะ กระจายทุกภูมิภาค เพิ่มการเข้าถึงบริการครบวงจร ประชาชนรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปรักษาใน กทม. หรือโรงเรียนแพทย์ เตรียมก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก รพ.สวรรค์ประชาร กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตติยภูมิ โรคหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด ปลูกถ่ายอวัยวะ กระจายทุกภูมิภาค เพิ่มการเข้าถึงบริการครบวงจร ประชาชนรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปรักษาใน กทม. หรือโรงเรียนแพทย์ เตรียมก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก รพ.สวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ (เขาเขียว) รองรับบริการที่เพิ่มขึ้น นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธียกเสาเอกอาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ (เขาเขียว) ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศในโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขให้กระจายในโรงพยาบาลศูนย์ทุกภูมิภาค บริการครบวงจร ประชาชนเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลใกล้บ้าน เป็นการเพิ่มศักยภาพดูแลประชาชน อำนวยความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปรักษาโรงพยาบาลในกทม. หรือโรงเรียนแพทย์ รวมทั้งลดเหลื่อมล้ำ ลดแออัด ลดรอคอย โดยเขตสุขภาพที่ 3 ได้พัฒนาโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ ให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด และปลูกถ่ายอวัยวะ ของภาคเหนือตอนล่างภายในปี 2565 ขณะนี้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างครบวงจร ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และการฉายรังสีแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการในผู้ป่วยมะเร็งที่มีการแพร่กระจาย รวมทั้งเปิดให้บริการสวนหัวใจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดการส่งต่อนอกเขต ทำให้ประชาชนในในเขตสุขภาพที่ 3 ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และจังหวัดใกล้เคียงได้รับการรักษาสะดวก รวดเร็วขึ้น ในการก่อสร้างโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ (เขาเขียว) แห่งใหม่ ขนาด 520 เตียง ได้รับบริจาคที่ดินจำนวน 197 ไร่ จากกองทัพภาคที่ 3 มณฑลทหารบกที่ 31 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ อาคารรักษาพยาบาลได้แก่ อาคารผู้ป่วยนอก งานอุบัติเหตุ ห้องคลอด ห้องผ่าตัด ห้องปฏิบัติการ ห้องเอกซเรย์ อาคารสนับสนุนบริการ และส่วนอาคารบ้านพักเจ้าหน้าที่ โดยเริ่มให้บริการฉายรังสีแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการในผู้ป่วยมะเร็งที่มีการแพร่กระจายรายแรก เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 และให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2560 รวมทั้งวางแผนเปิดให้บริการอื่น ๆ อาทิ ทันตกรรมและกายภาพบำบัด บริการรักษามะเร็งแบบผู้ป่วยใน ผู้ป่วยในอายุรกรรมและศัลยกรรม สำหรับอาคารผู้ป่วยนอก 5 ชั้น ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารจากกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 350 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 605 วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ********************************* 22 กันยายน 2563 ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นํา ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชาสัมพันธ์งาน JOB EXPO THAILAND 2020 ณ ทำเนียบรัฐบาล
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นํา ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชาสัมพันธ์งาน JOB EXPO THAILAND 2020 ณ ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมต.แรงงาน พร้อมด้วยนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหาร เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 พร้อมเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด วันที่ 26 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า งาน JOB EXPO THAILAND 2020 ที่จะจัดขึ้น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 นี้ มีตำแหน่งงานว่างกว่า 1,000,000 อัตรา ในงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ด้วยการให้บริการจัดหางานแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่องตลอดวัยทำงาน เพื่อให้ประชาชนได้มีงานทำที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และความถนัด มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้ง เพื่อบรรเทาปัญหาของนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในสถานการณ์โควิด-19 “รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายลง โดยนำนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” เข้ามาดำเนินการ เร่งผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันวางแผนเพื่อกำหนดอนาคตประเทศไทย” นายสุชาติกล่าว ในการนี้ นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ถือโอกาสเชิญชวนผู้ต้องการหางาน ผู้ว่างงาน ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ตลอดจนนายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการเข้าร่วมงาน ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร Hall EH 98-99 พร้อมแนะนำรูปแบบการจัดงาน ซึ่งแบ่งออกเป็นกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชา ศาสตร์แห่งความพอเพียง พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย, กิจกรรม Platform “ไทยมีงานทำ”, กิจกรรมไทยไม่ทิ้งกัน ล้านงานเพื่อล้านคน คนหางาน งานหาคน Job Matchingตำแหน่งงานว่าง 1,000,000 อัตรา, กิจกรรมรวมใจ สร้างงาน พัฒนาอาชีพ ในส่วนนี้ มีการแสดงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในลักษณะแฟรนไชส์ 12 อาชีพ การฝึก/สาธิตการประกอบอาชีพอิสระ 10 อาชีพ/วัน รวมทั้งการฝึกทักษะฝีมือแรงงาน Upskill/Re-skill 5 อาชีพ, กิจกรรมด้านนวัตกรรม นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) และบริษัท ยูเรกาออโตเมชั่น จำกัด และกิจกรรมการเสวนาเพื่อพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์และมินิคอนเสิร์ตด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ได้จัดให้มีจุดลงทะเบียนแบบ New Normal โดยตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างาน บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ณ จุดลงทะเบียน และทั่วบริเวณจัดงานกว่า 50 จุด การติดตั้งฉากกั้น ณ จุดลงทะเบียนและบริเวณบูธ รวมทั้งผู้เข้าร่วมจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในบริเวณงานด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ตติยภูมิหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ รพ.สรรค์ประชารักษ์ ประชาชนเข้าถึงบริการครบวงจร
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ศูนย์ตติยภูมิหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ รพ.สรรค์ประชารักษ์ ประชาชนเข้าถึงบริการครบวงจร กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตติยภูมิ โรคหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด ปลูกถ่ายอวัยวะ กระจายทุกภูมิภาค เพิ่มการเข้าถึงบริการครบวงจร ประชาชนรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปรักษาใน กทม. หรือโรงเรียนแพทย์ เตรียมก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตติยภูมิ โรคหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด ปลูกถ่ายอวัยวะ กระจายทุกภูมิภาค เพิ่มการเข้าถึงบริการครบวงจร ประชาชนรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปรักษาใน กทม. หรือโรงเรียนแพทย์ เตรียมก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก รพ.สวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ (เขาเขียว) รองรับบริการที่เพิ่มขึ้น นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธียกเสาเอกอาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ (เขาเขียว) ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศในโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขให้กระจายในโรงพยาบาลศูนย์ทุกภูมิภาค บริการครบวงจร ประชาชนเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลใกล้บ้าน เป็นการเพิ่มศักยภาพดูแลประชาชน อำนวยความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปรักษาโรงพยาบาลในกทม. หรือโรงเรียนแพทย์ รวมทั้งลดเหลื่อมล้ำ ลดแออัด ลดรอคอย โดยเขตสุขภาพที่ 3 ได้พัฒนาโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ ให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด และปลูกถ่ายอวัยวะ ของภาคเหนือตอนล่างภายในปี 2565 ขณะนี้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างครบวงจร ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และการฉายรังสีแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการในผู้ป่วยมะเร็งที่มีการแพร่กระจาย รวมทั้งเปิดให้บริการสวนหัวใจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดการส่งต่อนอกเขต ทำให้ประชาชนในในเขตสุขภาพที่ 3 ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท พิจิตร และจังหวัดใกล้เคียงได้รับการรักษาสะดวก รวดเร็วขึ้น ในการก่อสร้างโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ (เขาเขียว) แห่งใหม่ ขนาด 520 เตียง ได้รับบริจาคที่ดินจำนวน 197 ไร่ จากกองทัพภาคที่ 3 มณฑลทหารบกที่ 31 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ อาคารรักษาพยาบาลได้แก่ อาคารผู้ป่วยนอก งานอุบัติเหตุ ห้องคลอด ห้องผ่าตัด ห้องปฏิบัติการ ห้องเอกซเรย์ อาคารสนับสนุนบริการ และส่วนอาคารบ้านพักเจ้าหน้าที่ โดยเริ่มให้บริการฉายรังสีแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการในผู้ป่วยมะเร็งที่มีการแพร่กระจายรายแรก เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 และให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2560 รวมทั้งวางแผนเปิดให้บริการอื่น ๆ อาทิ ทันตกรรมและกายภาพบำบัด บริการรักษามะเร็งแบบผู้ป่วยใน ผู้ป่วยในอายุรกรรมและศัลยกรรม สำหรับอาคารผู้ป่วยนอก 5 ชั้น ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารจากกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 350 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 605 วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ********************************* 22 กันยายน 2563 ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมแผนงานขับเคลื่อน Digital Transformation มุ่งพลิกโฉมการบริหารงานและการบริการภาครัฐ
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมแผนงานขับเคลื่อน Digital Transformation มุ่งพลิกโฉมการบริหารงานและการบริการภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมแผนงานขับเคลื่อน Digital Transformation มุ่งพลิกโฉมการบริหารงานและการบริการภาครัฐ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมร่วมประธานกรรมการฯ และอนุกรรมการในคณะกรรมการปฎิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ครั้งที่ 2 /2563 โดยที่ประชุมหารือการนำเสนอสรุปความก้าวหน้าในการขับเคลื่อน Digital Transformation และการกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกันภายใต้แผนการปฎิรูปประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิด Digital Transformation ตามกิจกรรมปฎิรูปที่ 1 พลิกโฉมการบริหารงานและการบริการภาครัฐ อีกทั้งเพื่อเป็นแพลตฟอร์มของทุกภาคส่วนสำหรับการแก้ปัญหาเยี่ยวยาประเทศภายหลัง COVID 19 โดยมีหน่วยงานร่วมหารือ อาทิ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ ห้องประชุม 802 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่มอบนโยบายการแก้ไขปัญหา “หมอกควัน ไฟป่า” แก่ 17 ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ พร้อมร่วมปลูกป่ากับชาวจังหวัดเชียงรายในวันที่ 24 ก.ย.นี้
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่มอบนโยบายการแก้ไขปัญหา “หมอกควัน ไฟป่า” แก่ 17 ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ พร้อมร่วมปลูกป่ากับชาวจังหวัดเชียงรายในวันที่ 24 ก.ย.นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่มอบนโยบายการแก้ไขปัญหา “หมอกควัน ไฟป่า” แก่ 17 ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ พร้อมร่วมปลูกป่ากับชาวจังหวัดเชียงรายในวันที่ 24 ก.ย.นี้ วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แถลงข่าว ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเตรียมลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร พร้อมประชุมมอบนโยบายการแก้ไขปัญหา “หมอกควันไฟป่า” ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ และร่วมปลูกต้นไม้กับชาวจังหวัดเชียงรายในโครงการ“ปลูกป่า-ป้องกันไฟป่า” อำเภอเมืองเชียงรายด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยกำหนดการนายกรัฐมนตรี ในการตรวจราชการ ณ จังหวัดเชียงราย โดยมีภารกิจสำคัญ ดังนี้ ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเปิดการสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ 39 ภายใต้หัวข้อ “ไทยรัฐวิทยากับวิถีชีวิตใหม่” โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานร่วมกับมูลนิธิไทยรัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา เพิ่มพูนความรู้ ทั้งด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมของโรงเรียน ครู กรรมการสถานศึกษา เครือข่ายต่างๆ ให้มีความเข้มแข็งและพัฒนาคุณภาพให้ก้าวไกล ณ โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะประชุมมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ติดตามสถานการณ์และรับทราบผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันจังหวัดภาคเหนือปี 2563 และแผนการดำเนินงานปี 2564 ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือที่ทุกหน่วยงานต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว โอกาสนี้ ผู้แทนเครือข่ายเยาวชนจิตอาสา จะนำเสนอความก้าวหน้าโครงการฟื้นฟูต้นน้ำ “ฝายตามแนวพระราชดำริ” ด้วย ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จ. เชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าตั้งแต่ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง โดยนายกรัฐมนตรีจะร่วมปลูก “ต้นกาสะลองคำ” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับชาวจังหวัดเชียงรายเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนร่วม “ปลูกต้นไม้ สู้ไฟ”และร่วมพูดคุยเพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอจากตัวแทนประชาชนจังหวัดเชียงราย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในวันเดียวกัน ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ โดยดีป้า ผนึกกำลังหัวเว่ยฯ เปิดศูนย์ “Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC)” เร่งพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ โดยดีป้า ผนึกกำลังหัวเว่ยฯ เปิดศูนย์ “Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC)” เร่งพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลฯ โดยดีป้า ผนึกกำลังหัวเว่ยฯ เปิดศูนย์ “Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC)” เร่งพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล กรุงเทพฯ, 21 กันยายน 2563 — กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดพิธีเปิดศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) เพื่อผลักดันการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ผสานความร่วมมือของทั้งระบบนิเวศ ให้ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กรุงเทพฯ ศูนย์ฯ นี้จะทําหน้าที่เป็น Sandbox ช่วยพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสําหรับแอปพลิเคชัน 5G และบริการของอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย จะสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจ ทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจสตาร์ทอัพ ตลอดจนสถาบันการศึกษา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียน ภายในพิธีเปิดศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในนามของ ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ“Incubation of 5G Ecosystem to Support the Digital Transformation of Thailand 4.0” ว่า “ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมรูปแบบใหม่ ไทยเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียนที่ได้นำเทคโนโลยี 5G มาใช้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงมอบการให้บริการรูปแบบใหม่และประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อเท่านั้น แต่ยังพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุดของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล” นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังได้กล่าวถึง “แผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G” ซึ่งเป็นกรอบแนวทางปฏิบัติสำคัญเพื่อนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในทุกๆ ด้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด “ศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) แห่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท หัวเว่ยฯ ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่พร้อมด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณบริษัท หัวเว่ยฯ สำหรับความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งนี้” นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ 5G EIC นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะจุดประกายให้เกิดการนำเทคโนโลยี 5G ไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ ให้เป็นดิจิทัล มุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการสร้างมูลค่า โอกาส และการเติบโตใหม่ ๆ พร้อมเพิ่มขีดศักยภาพของประเทศไทยในฐานะผู้นําการพัฒนาระบบดิจิทัลในภูมิภาค” ศูนย์ Thailand 5G EIC แห่งนี้ตั้งอยู่ ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) โดยมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่ทดลองการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในภาคธุรกิจและบริการต่างๆ เช่น บริการทางการแพทย์ด้วย 5G (5G Medical Care), การเกษตรอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5G (5G Smart Agriculture), ระบบท่าเรืออัจฉริยะผ่านระบบ 5G (5G Port), การศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยี 5G (5G Remote Education), ระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5G (5G Smart Security) เป็นต้น ศูนย์ฯ แห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อผลักดันระบบนิเวศ 5G อย่างครบวงจร และเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจสตาร์ทอัพด้านดิจิทัลของไทย โดยนำเทคโนโลยีอันทันสมัยอย่าง Cloud, AI และ IoT มาประยุกต์ใช้เพื่อตอบสนองยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ศูนย์ 5G EIC ยังมุ่งยกระดับทักษะดิจิทัลให้บุคลากรด้าน ICT ของไทยให้ให้พร้อมต่อยอดในระดับสากล ในระหว่างพิธี ดีป้า ได้ประกาศความร่วมมือพันธมิตร Thailand 5G Ecosystem Partnership Alliance โดย ดร. ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล “ภารกิจของดีป้าคือการผลักดันประเทศไทยให้ขับเคลื่อนสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) แห่งนี้ จะสร้างเครือข่ายพันธมิตรระดับนานาชาติเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัลของไทยในระยะยาว ดังนั้น การจัดตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้ ที่เกิดจากร่วมมือกันระหว่างดีป้าและบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างหัวเว่ยฯ จึงมีความสำคัญในการเข้ามาเติมเต็มระบบนิเวศ ผมขอขอบคุณบริษัท หัวเว่ยฯ สำหรับความร่วมมือครั้งสำคัญในวันนี้ รวมถึงการสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง” ภายในงาน หัวเว่ยได้เปิดตัวแผนการลงทุนมูลค่า 475 ล้านบาท ในการพัฒนาศูนย์ 5G EIC อันจะนำมาซึ่งโซลูชัน 5G แบบครบวงจร, พื้นที่ทดลอง และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G กับกลุ่มพันธมิตร บริษัท หัวเว่ยฯ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของไทยปีละกว่า 100 ราย โดยนำเทคโนโลยี 5G ไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมแนวดิ่งในอีก 3 ปีข้างหน้า “ศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) เป็นศูนย์ฯ แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน การจัดตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทยไปจนถึงในระดับภูมิภาค”นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริม “หัวเว่ยฯรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในการริเริ่มและเป็นพันธมิตรหลักของโครงการที่เต็มเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ หัวเว่ยมุ่งมั่นส่งเสริมระบบนิเวศ 5G และสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วยประสบการณ์และทรัพยากรด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก” ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเห็นพ้องข้อเสนอผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ใช้ภาพยนตร์เป็น Soft Power สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความรัก สามัคคี หลอมรวมจิตใจของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกัน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีเห็นพ้องข้อเสนอผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ใช้ภาพยนตร์เป็น Soft Power สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความรัก สามัคคี หลอมรวมจิตใจของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเห็นพ้องข้อเสนอผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ใช้ภาพยนตร์เป็น Soft Power สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความรัก สามัคคี หลอมรวมจิตใจของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกัน วันนี้(22ก.ย.63)เวลา15.00น.ณห้องสีม่วงตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้นางสาววทันยาวงษ์โอภาสีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐนำตัวแทนผู้ประกอบอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย อาทิ บริษัททรานส์ฟอร์มเมชั่นฟิล์มจำกัดบริษัทจีดีเอชห้าห้าเก้าจำกัดบริษัทสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดบริษัทไฟว์สตาร์โปรดักชั่นจำกัดและ บริษัทเอ็มพิคเจอร์สเอ็นเตอร์เทนเม้นท์จำกัด(มหาชน)เข้าพบเพื่อเสนอข้อคิดเห็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้มีความเข้มแข็งแข่งขันในระดับนานาชาติ สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทยอย่างยั่งยืนโดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนายทศพรศิริสัมพันธ์เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เห็นพ้องกับข้อเสนอของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่จะใช้contentเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยสอดแทรกในภาพยนตร์เพื่อเป็นSoft Powerสร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งส่งเสริมความรักความสามัคคีหลอมรวมจิตใจของประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นและพร้อมช่วยเหลือทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 และหวังว่าหลัง โควิด-19 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม สอดคล้องกับงบประมาณและกฎหมายที่มีอยู่ หวังเห็นความร่วมมือช่วยกันสร้างชาติให้มีมั่นคงยั่งยืน พร้อมเสนอแนะให้มีการจัดหมวดหมู่เนื้อหา (content)ของภาพยนตร์หรือชีรี่ย์ให้ชัดเจนน่าสนใจเหมือนต่างประเทศ ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง ด้วย โอกาสนี้ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ยกตัวอย่างการสนับสนุนของรัฐบาลในต่างประเทศ อาทิ สิทธิประโยชน์ทางภาษีการส่งเสริมวัฒนธรรมผ่านภาพยนตร์ ซึ่งเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ โดยใช้ภาพยนตร์ ซีรี่ย์ ดารา ศิลปิน เป็นกลไกสำคัญในการสร้างSoft Powerกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม สอดแทรกสาระcontentที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรม ทั้งอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ความรัก ความสามัคคี รวมทั้งศักยภาพอื่น ๆ ของไทยซึ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์นอกจากจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาล สนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ทำให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า200,000อัตราช่วยเรียกความเชื่อมั่นใจต่างประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเผชิญภาวะวิกฤติในปัจจุบันยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความรักความสามัคคีหลอมรวมจิตใจของประชาชนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกันตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เขียนหนังสือราชการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เขียนหนังสือราชการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เขียนหนังสือราชการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” ร่วมงาน ประชุมประจำปี 2563 เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” และรับฟังเสวนา"ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่” จัดโดย สศช.
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 “พุทธิพงษ์” ร่วมงาน ประชุมประจำปี 2563 เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” และรับฟังเสวนา"ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่” จัดโดย สศช. “พุทธิพงษ์” ร่วมงาน ประชุมประจำปี 2563 เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” และรับฟังเสวนา"ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่” จัดโดย สศช. เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินทางร่วมงานการประชุมประจำปี 2563 เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” จัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยได้รับเกียรติจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและแสดงปาฐกถาพิเศษ จากนั้นเป็นการเสวนาเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และประเด็นท้าทายในระยะต่อไป โดยเลขาธิการฯ สศช. นำเสนอประเด็น "ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่” มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมเสวนา ได้แก่ นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายอุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม "Ricult” เป็นต้น *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุน โครงการ X Campus Ads. Idea Contest 2020 เปิดเวทีเด็กรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลงานด้านดิจิทัล
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ดีอีเอส หนุน โครงการ X Campus Ads. Idea Contest 2020 เปิดเวทีเด็กรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลงานด้านดิจิทัล ดีอีเอส หนุน โครงการ X Campus Ads. Idea Contest 2020 เปิดเวทีเด็กรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลงานด้านดิจิทัล เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดีอีเอส ให้เกียรติร่วมงานแถลงข่าว โครงการ X Campus Ads. Idea Contest 2020 ณ ห้อง Ballroom ชั้น C โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ เทอร์มินอล 21 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย(DUGA) และมหาวิทยาลัยชั้นนำจากทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนนิสิต นักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ได้มีเวทีเพื่อแสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ ในการผลิตคลิปวีดีโอโฆษณาจากหลายหลายโจทย์อุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ และได้บ่มเพาะความรู้เชิงลึกในการทำคลิปวีดีโอโฆษณาจากกูรูผู้เชี่ยวชาญ ระยะเวลาดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนสิงหาคม - 13 ธันวาคม 2563 โดยเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องนโยบายของกระทรวงฯ เรื่องการวางรากฐานในการพัฒนาและเชื่อมต่อเทคโนโลยีดิจิทัล อินเทอร์เน็ตการสื่อสาร เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ให้กับคนเมืองและชนบท และที่สำคัญควบคู่กัน คือ การพัฒนากำลังคนให้มีความรู้ความเข้าใจดิจิทัล(Digital Literacy) ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ และให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญตามระดับมาตรฐานสากล หนึ่งในแกนหลักสำคัญในการพัฒนากำลังคน *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับติดตามบอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีกำชับติดตามบอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีกำชับติดตาม นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วันนี้ (22 กันยายน 2563) เวลา 13.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะประสานกับตำรวจสากลออกประกาศหมายแดง เพื่อติดตามตัวกลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีทางกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและขอให้ติดตามความคืบหน้าจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐด้วย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งตนได้กำชับเจ้าหน้าให้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนและเสียสละ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม ยืนยันว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมขอให้ทุกฝ่ายใช้หลักการและเหตุผลในการพูดคุยเจรจา สร้างการเรียนรู้ให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวต่อไปได้ ....................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือ สธ. สร้างระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านสาธารณสุข
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือ สธ. สร้างระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านสาธารณสุข กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือ สธ. สร้างระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านสาธารณสุข นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือ ร่วมกับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข และผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศของกระทรวงฯ สธ. เกี่ยวกับเรื่องการสร้างระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ด้านสาธารณสุข สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อต้นเดือนกันยายน 2563 ที่โรงพยาบาลสระบุรี สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศของประเทศ ถูกโจมตีก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการทำงานของโรงพยาบาลทั้งระบบ ดังนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะเลขาธิการ กมช. จึงเร่งประสานงานผู้เกี่ยวเร่งหารือแนวทางป้องกันภัยคุกคามดังกล่าว ณ ห้องประชุม 801 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาคารศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35326
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วง 25 แรงงานไทยกลับจากลิเบีย กำชับ จนท.ช่วยดูแลหลังกักตัว 14 วัน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ‘จับกัง1’ห่วง 25 แรงงานไทยกลับจากลิเบีย กำชับ จนท.ช่วยดูแลหลังกักตัว 14 วัน รมว.แรงงาน เผย ห่วงใยแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากลิเบีย 25 คน กรณีร้องขอความช่วยเหลือจากสถานทูตเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดระดับพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและช่วยเหลือแก่ครอบครัวฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่กระทรวงแรงงาน ได้รับรายงานจากนาวาตรี วิทวัส กู้ประเสริฐ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ว่ามีแรงงานไทยจำนวน 25 คน ที่ทำงานอยู่ในประเทศลิเบีย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ว่าต้องการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากกลัวจะติดเชื้อโควิด - 19 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศลิเบียนั้น นายสุชาติ ยังกล่าวถึงรายงานของ ฝ่ายแรงงาน สนร.ริยาด ว่า แรงงานไทยทั้งหมด 25 คน ได้เดินทางถึงสนามบินกรุงโดฮา ประเทศการ์ตา จากนั้นจะต่อเครื่องด้วยสายการบิน การ์ต้าแอร์เวย์ ในวันนี้ (22 ก.ย.63) โดยเที่ยวบิน QR836 เวลา 03.10 น. โดยทั้งหมดได้เดินทางถึงประเทศไทยแล้วเมื่อเวลา 14.10 น. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดูแลอำนวยความสะดวกแก่แรงงาน พร้อมทั้งให้แรงงานจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่แรงงานไทยเดินทางกลับจากประเทศลิเบียอาศัยอยู่ ซึ่งภายหลังผ่านการกักตัวภายในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ได้ลงพื้นที่ไปพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือสิทธิประโยชน์แก่ครอบครัวแรงงานไทย “ผมขอขอบคุณสถานทูต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยประสานให้แรงงานไทยเดินทางกลับมายังประเทศไทยในวันนี้ โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดูแลอำนวยความสะดวกแก่แรงงาน จากนั้นทุกคนจะต้องผ่านการกักตัวตามสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) จากนั้นผมได้กำชับให้แรงงานจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่แรงงานอาศัยอยู่ ได้ลงพื้นที่ไปพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือแก่ครอบครัวของแรงงานแต่ละคนต่อไป”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35322
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เปิดตัวหลักสูตร “สุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) รุ่นที่ 1” ผนึกกำลังสุดยอด CEO ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ-ประกันภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 คปภ.เปิดตัวหลักสูตร “สุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) รุ่นที่ 1” ผนึกกำลังสุดยอด CEO ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ-ประกันภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Thailand Insurance Super Leadership Program) หรือ Super วปส. รุ่นที่ 1 ณ ห้องประชุม สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Thailand Insurance Super Leadership Program) หรือ Super วปส. รุ่นที่ 1 ณ ห้องประชุม สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์เชิงวิเคราะห์ การบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย เทคโนโลยี การเงิน การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ การนำเสนอแนวทางและการประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสริมสร้างการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมจริยธรรม และการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยสอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก ตลอดจนบูรณาการร่วมกับสำนักงาน คปภ. ในการปฏิรูปอุตสาหกรรมและเพิ่มบทบาทของระบบประกันภัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุควิถีชีวิตใหม่ New Normal ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศกับบทบาทของประกันภัยในยุค New Normal” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับผลกระทบในหลายมิติ ในขณะที่วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายในการออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อลดผลกระทบ โดยมุ่งเน้นไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้แก่ กลุ่ม SMEs และกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงการเตรียมความพร้อมโดยการผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเร่งสร้าง Digital Infrastructure ให้เป็นกลไกสำคัญในการปรับเปลี่ยนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนที่มุ่งไปสู่ความต้องการบริการดิจิทัลและ e-Commerce อย่างก้าวกระโดด สำหรับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย นอกจากจะสามารถใช้ประโยชน์จาก Digital Infrastructure ที่ทันสมัยสำหรับการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังเป็นส่วนที่สำคัญในการร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศ ทั้งการสร้างระบบฐานข้อมูลด้านการประกันภัยที่เป็น Open Data การเชื่อมโยงข้อมูลกับ Platform ต่าง ๆ และนำข้อมูลและเทคโนโลยีไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน อาทิ การประกันภัยโควิด-19 ตลอดจนการสร้างช่องทางและนำเสนอการประกันภัยสู่ประชาชนรากหญ้า อาทิ การประกันภัยพืชผลทางการเกษตรและปศุสัตว์ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ถือได้ว่าเป็น financial backup ให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยผ่านทางผลิตภัณฑ์ประกันภัยในหลายรูปแบบ อาทิ การประกันภัยสินค้า การประกันภัยขนส่ง การประกันภัยธุรกิจหยุดชงัก อีกทั้งเป็นกลไกในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสำหรับสังคมผู้สูงอายุ (Aging society) โดยสนับสนุนให้ประชาชนมีการวางแผนการออมเพื่อรองรับวัยเกษียณอายุ รวมถึงมีบทบาทในการเป็นผู้ลงทุนสถาบันรายใหญ่ในตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุนของประเทศ เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ แม้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังติดกับดักของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 แต่ธุรกิจประกันภัยจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสถาบัน วปส.จึงได้จัดอบรมหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Thailand Insurance Super Leadership Program) หรือ หลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นรุ่น Limited edition โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่เข้ารับการศึกษาอบรมเป็นผู้บริหารระดับสูง ผู้นำองค์กรจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และเป็นศิษย์เก่าหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง รุ่นที่ 1-9 ที่มีประวัติการเรียนดีเด่น เข้าร่วมกิจกรรมหลักสูตร วปส. อย่างสม่ำเสมอ หรือทำคุณประโยชน์ต่อสำนักงานคปภ. โดยมีเลขาธิการ คปภ.เข้าร่วมศึกษาอบรมในหลักสูตรนี้ด้วย รวมทั้งสิ้น 49 คน หลักสูตร Super วปส.รุ่น 1 ได้กำหนดหมวดวิชา 6 หมวดที่สำคัญ ได้แก่ 1) มุมมองเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไปภายใต้เศรษฐกิจใหม่ของโลก 2) รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงหลัง COVID-19 3) ดิจิทัลเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อธุรกิจในรูปแบบต่างๆ 4) พฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลัง COVID-19 5) สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG – Environmental , Social , Governance กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และ 6) ทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมประกันภัย โดยได้จัดปฐมนิเทศนักศึกษา Super วปส. รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน 2563 ณ โรงแรมอวานี อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พร้อมทั้งจัดกิจกรรม Workshop Design Thinking เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และเพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมฯ มีส่วนร่วมในการออกแบบธุรกิจและร่วมกันสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการปฏิรูปอุตสาหกรรม เพิ่มบทบาทของระบบประกันภัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และการมองอนาคตเชิงกลยุทธ์ภายใต้วิธีการเรียนรู้ Strategic Foresight โดยเน้นการเข้าถึงความต้องการและตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ผนึกกำลังบูรณาการความคิด และร่วมสรุปแนวความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อนำมาสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ โดยกำหนดระยะเวลาการศึกษาอบรมตามหลักสูตร ระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2563 “ความสำเร็จของการศึกษาอบรมตามหลักสูตร Super วปส. นี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การทำความรู้จักกันหรือสร้างคอนเนคชั่นของนักศึกษา แต่อยู่ที่ผลของการหลอมรวมความรู้และประสบการณ์ที่ตกผลึกของศิษย์เก่า วปส. ทุกรุ่นที่เป็นสุดยอดผู้นำองค์กรจากภาคส่วนต่าง ๆ อันเกิดจากการสังเคราะห์ภายใต้การเรียนการสอนแบบใหม่ การวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ จากมุมมองในแต่ละมิติ ส่งผลให้เกิดข้อเสนอแนะที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและระบบประกันภัยของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวงาน “Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ ๖
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวงาน “Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ ๖ รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวงาน “Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ ๖ วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวงาน “Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ ๖ โดยมี นายสุรพล เศวตเศรนี ประธานการจัดงาน Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย นายกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรท จำกัด (มหาชน) ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วม ณ อาคารสิริภักดีธรรม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรท จำกัด (มหาชน) หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน จัดงาน“Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๖ ภายใต้แนวคิด “รื่นเริง แสงศิลป์” โดยจัดกิจกรรมทำบุญไหว้พระยามค่ำคืน ลอยประทีปบูชาสร้างสิริมงคล ช้อปของดี ชิมอาหารอร่อย และชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๒๙ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ๑๐ ท่าน้ำสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร อาทิ วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35308
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยว STV
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ​แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยว STV วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist VISA เพื่อนำนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ภายใต้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด สำหรับคุณสมบัติของนักท่องเที่ยวนั้น จะต้องมาพำนักแบบระยะยาว ยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย และยินยอมกักตัวในห้องพักเป็นเวลา 14 วัน และต้องมีเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับสถานที่พักอาศัยระยะยาวภายในประเทศไทย เช่น หลักฐานการชำระเงินค่าโรงแรมที่พัก หรือโรงพยาบาลที่พัก เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 16
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 พม. เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 16 พม. เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 16 วันนี้ (22 ก.ย. 63) เวลา 09.00 น. นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะผู้แทนหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของประเทศไทย (SOMSWD Leader of Thailand) พร้อมด้วยนางสาววิมลรัตน์ รัชชุกูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ นายอรรคพงษ์ ศรีสุบัติ รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคม และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวง พม. เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 16 (16th Senior Officials Meeting on Social Welfare and Development : SOMSWD)) และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21-22 และ 24 กันยายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน คณะผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมแบบเปิด และ ผู้แทนสำนักเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.พม. ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 16 นี้ จัดโดยกระทรวงสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในฐานะประธานการประชุม SOMSWD ประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิดหลัก “สร้างเสริมภูมิคุ้มกันและความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวท่ามกลางภาวะวิกฤติและการปรับตัวให้เข้ากับความปรกติใหม่” “Strengthening Family Resilience and Solidarity: Braving the Adversity and Adapting to the New Normal” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบความก้าวหน้าเกี่ยวกับผลการดำเนินงานแผนงาน โครงการต่างๆ ตลอดจนร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปของประเทศสมาชิกอาเซียน ภายใต้แผนงานอาเซียนสาขาสวัสดิการสังคมและการพัฒนา พ.ศ. 2559-2563 นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสนี้ ตนได้กล่าวต่อที่ประชุมในนาม SOMSWD Leader ประเทศไทย เกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้รับผิดชอบหลัก ภายใต้แผนงานอาเซียนสาขาสวัสดิการสังคมและการพัฒนา พ.ศ. 2559-2563 โดยประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลักทั้งหมด 20 โครงการ หรือคิดเป็นร้อยละ 34 ของกิจกรรมหรือโครงการทั้งหมดภายใต้แผนงานอาเซียนดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 13 โครงการ นอกจากนี้ ยังได้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการภูมิภาคว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน (พ.ศ.2564-2568) และแผนปฏิบัติการภูมิภาคว่าด้วยสิทธิเด็กในบริบทการเคลื่อนย้าย ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทย ยังได้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานของศูนย์ฝึกอบรมอาเซียนด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35321
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ 19 - 20 พฤศจิกายน กระตุ้นการท่องเที่ยวไทยปลายปี
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ครม. เคาะวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ 19 - 20 พฤศจิกายน กระตุ้นการท่องเที่ยวไทยปลายปี คณะรัฐมนตรีเคาะวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ 19 - 20 พฤศจิกายน กระตุ้นการท่องเที่ยวไทยปลายปี วันนี้ (22 กันยายน 2563) เวลา 13.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบโครงการ/แผนงานการใช้จ่ายงบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพื่อนำมาดูแลประชาชนซึ่งจะทยอยใช้ตามโครงการต่าง ๆ เป็นระยะ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อดูแลผู้มีรายได้น้อย และโครงการคนละครึ่ง ซึ่งภาครัฐจะใช้วิธีร่วมจ่าย (Co-pay) เพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่แผงลอยให้ได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยจะต้องได้รับ QR Code เพื่อที่รัฐบาลจะสนับสนุนวงเงินดังกล่าวผ่านระบบ E-Wallet ได้โดยตรง เพราะเมื่อมีคนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นก็จะเป็นการเพิ่มรายได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า ร้านค้ารายย่อยในตลาด สามารถนำไปต่อยอดและก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบมากขึ้น จากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความจำเป็นในการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เนื่องจากกฎหมายสาธารณสุขในปัจจุบัน ไม่เพียงพอที่จะบูรณาการทำงานของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะการเดินทางเข้า – ออก ประเทศไทย รวมทั้งกฎหมายหลายฉบับยังไม่ครอบคลุมให้เกิดการปฏิบัติงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในเดือนพฤศจิกายน คือวันที่ 19-20 พฤศจิกายน นี้เป็นช่วงเวลาเดียวกับการปิดเทอมของนักเรียน จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบครอบครัว และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าแม้จะเป็นช่วงวันหยุดแต่ในส่วนงานบริการของภาครัฐก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ....................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าบริษัท คาทูน นาที
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 บีโอไอเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าบริษัท คาทูน นาที บีโอไอเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าบริษัท คาทูน นาที บีโอไอเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าบริษัท คาทูน นาที นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 5 จากซ้าย)นำคณะเจ้าหน้าที่บีโอไอเยี่ยมชมกิจการศูนย์กระจายสินค้าและหารือกับผู้บริหารของบริษัท คาทูน นาทีจากประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยมากกว่า 20 ปี ณ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อเร็วๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35311
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ 3 กระทรวง บูรณาการปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน พร้อมเปิดตัวโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 พม. จับมือ 3 กระทรวง บูรณาการปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน พร้อมเปิดตัวโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network พม. จับมือ 3 กระทรวง บูรณาการปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน พร้อมเปิดตัวโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network วันนี้ (22 ก.ย. 63) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU บันทึกความเข้าใจการบูรณาการความร่วมมือในการปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชนระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network นายจุติ กล่าวว่า พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน เป็นการบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้มีความรับผิดชอบต่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมีขอบเขตความร่วมมือของหน่วยงานทั้ง 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1) กำหนดแนวทาง เป้าหมายในการประสานความร่วมมือ เพื่อให้เกิดกระบวนการในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรม ในการสร้างและปลูกจิตสำนึกสาธารณะให้กับเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม 2) ประสานงานให้เกิดความร่วมมือระหว่างเด็กและเยาวชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการหรือกิจกรรมที่ดำเนินการร่วมกันเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น 3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้ร่วมกันคิด และนำความคิดไปสู่การปฏิบัติในแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างสร้างสรรค์ และเป็นรูปธรรม นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายสถานีวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network เป็นโครงการนำร่อง การบูรณาการความร่วมมือร่วมกัน ทั้ง 4 หน่วยงาน ในการสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อเด็กและเยาวชน เป็นช่องทางในการสื่อสารร่วมกันปลูกจิตสำนึกรักเมืองไทยให้กับเด็กและเยาวชน โดยมีสถานีวิทยุสีขาวเครือข่ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสถานีวิทยุเครือข่ายวิทยุเพื่อเด็กและสังคม กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เข้าร่วมโครงการ จำนวน 212 สถานีทั่วประเทศ พร้อมเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมผลิตรายการวิทยุที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อสังคม ภายใต้ แนวคิด “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” ผ่านรายการวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย ดย. ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563 โดยร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สำนักข่าวต้นกล้านิวส์ และสถานีวิทยุเยาวชนออนไลน์ ออกอากาศทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ทางสถานีวิทยุเยาวชนออนไลน์ www.thailandonair.com ในช่วงเวลา 16.00 – 18.00 น ตามประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่กำหนดไว้ เป็นช่วงเวลาสำหรับเด็กและเยาวชน โดยวันนี้ ผู้แทน 4 กระทรวง ได้ร่วมมอบป้ายสถานีวิทยุเครือข่ายวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network ให้แก่ผู้แทนสถานีวิทยุ 4 ภาค และมอบเกียรติบัตรแก่สถานีวิทยุเครือข่ายวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์สังคม DCY Radio Network 20 สถานี และผู้ผลิตรายการ 4 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมความพร้อมจุดบริการเน็ตประชารัฐฟรี ในพื้นที่ จ.นครพนม ปัจจุบันติดตั้งแล้วกว่า 381 แห่ง ครอบคลุม 12 อำเภอ
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมความพร้อมจุดบริการเน็ตประชารัฐฟรี ในพื้นที่ จ.นครพนม ปัจจุบันติดตั้งแล้วกว่า 381 แห่ง ครอบคลุม 12 อำเภอ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมความพร้อมจุดบริการเน็ตประชารัฐฟรี ในพื้นที่ จ.นครพนม ปัจจุบันติดตั้งแล้วกว่า 381 แห่ง ครอบคลุม 12 อำเภอ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ อาทิ โทรศัพท์จังหวัดนครพนม สถิติจังหวัดนครพนม และคณะ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดให้บริการเน็ตประชารัฐ หมู่ที่ 7 บ้านดอนนางหงส์ท่า ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ สำหรับพื้นที่จังหวัดนครพนม ขณะนี้มีจุดให้บริการเน็ตประชารัฐครอบคลุมแล้ว 381แห่ง ทั้ง 12 อำเภอ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการติดตั้งฟรี เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต ณ จุดบริการฟรี เพื่อส่งเสริมให้เกิดกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเยาวชนในหมู่บ้าน สามารถใช้งานในการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสำคัญของนโยบายรัฐบาล ในการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศ คือ การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ สร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ดังนั้นต้องสร้างการรับรู้ให้ใช้ประโยชน์เน็ตประชารัฐของประชาชน มีการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องสัญญาณการใช้งานเน็ตประชารัฐในพื้นที่ให้ไกลยิ่งขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต่อยอดการใช้ประโยชน์ส่งเสริมในการค้าขายออนไลน์ ของดีชุมชนเพื่อขยายโอกาสไปได้ทั่วโลก **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ชี้แจงรายงานข่าวเกี่ยวกับธุรกรรมโอนเงินต้องสงสัย
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 EXIM BANK ชี้แจงรายงานข่าวเกี่ยวกับธุรกรรมโอนเงินต้องสงสัย จากรายงานข่าวเรื่องธนาคารของไทย 4 แห่ง รวมทั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมโอนเงินต้องสงสัย EXIM BANK จากรายงานข่าวเรื่องธนาคารของไทย 4 แห่ง รวมทั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมโอนเงินต้องสงสัย EXIM BANK ขอชี้แจงว่า ธุรกรรมดังกล่าวเป็นกระบวนการทำงานปกติ ซึ่งธนาคารได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว และไม่พบรายการต้องห้าม ทั้งยังได้ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างครบถ้วน จึงได้ดำเนินธุรกรรมตามขั้นตอนปกติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีส่งเสริมการจ้างงานนิสิต/นักศึกษา จบใหม่ ย้ำเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีส่งเสริมการจ้างงานนิสิต/นักศึกษา จบใหม่ ย้ำเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต นายกรัฐมนตรีส่งเสริมการจ้างงานนิสิต/นักศึกษา จบใหม่ ย้ำเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต วันนี้ (22 กันยายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 จัดโดยกระทรวงแรงงาน และการจัดกิจกรรมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมกลุ่มตัวแทนนิสิตนักศึกษา นำนายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ส่งเสริมการจ้างงานให้แก่นิสิต นักศึกษา จบใหม่และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ภายใต้มาตรการเพื่อช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของนายจ้างและสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ Co-Payment โดยนายกรัฐมนตรีชมการสาธิตวิธีการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหาลูกจ้าง และสำหรับผู้ว่างงานที่ต้องการสมัครงาน โอกาสนี้ นางสาวรุจิกร ศรีงาม ตัวแทนนิสิต นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 โดยเฉพาะกลุ่มนิสิต นักศึกษา จบใหม่ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. ให้เข้าถึงโอกาสในการมีงานทำ สร้างรายได้ ได้ทำงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลเล็งเห็นปัญหาการว่างงานของนิสิต นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน รวมทั้งต้องการเปิดโอกาสให้กับประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งงานด้วย ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ส่วนราชการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ให้ความร่วมมือช่วยรัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานในครั้งนี้ ทั้งนี้ งาน JOB EXPO THAILAND 2020 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 ก.ย. 63 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา (Hall EH 98 - 99) จากนั้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร นำนายกรัฐมนตรีชมกิจกรรมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อสืบสานงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของจังหวัดยโสธร และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ โอกาสนี้ ศิลปินรุ่นเยาว์ได้แสดงเครื่องดนตรี “พิณ” พร้อมกล่าว “ลุง ประยุทธ์ฯ สู้ สู้” ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการทำงานเพื่อประเทศไทย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เยาวชนและคนรุ่นใหม่ล้วนเป็นอนาคตของชาติ จะต้องช่วยกัน รักษา สืบสาน และส่งต่ออัตลักษณ์ วัฒนธรรมไทย จากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะนิสิต นักศึกษา ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ รัฐบาลก็จะต้องสนับสนุนให้มีงานทำ เพื่อร่วมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน มั่นใจประเทศไทยมีจะต้องดีและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นในอนาคต .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อใด ไม่ใช่ วิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ??
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 ข้อใด ไม่ใช่ วิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? ข้อใด ไม่ใช่ วิธีการป้องกันไวรัสโควิด-19 ?? Q : ข้อใด ไม่ใช่ วิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? A : 1. รวมตัวกับเพื่อนฝูงเพื่อดื่มแก้เครียดโดยนั่งติดกันและใช้แก้วร่วมกัน 2. ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกไปช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า 3. ล้างมือก่อนการรับประทานอาหารทุกครั้ง 4. ยืนเว้นระยะห่างจากคนรอบข้างระหว่างการต่อแถวซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อ 5. สแกนคิวอาร์โค้ดไทยชนะก่อนและหลังการใช้บริการสถานฟิตเนส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“นฤมล” ลุยงาน กพร. เดินหน้าขับเคลื่อนสู่กระทรวงเศรษฐกิจ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ​“นฤมล” ลุยงาน กพร. เดินหน้าขับเคลื่อนสู่กระทรวงเศรษฐกิจ รมช.แรงงาน พบปะข้าราชการในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ย้ำ ทุกคนต้องร่วมกันช่วยขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน ยกระดับสู่กระทรวงเศรษฐกิจ วันที่ 21 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการสัมมนา และมอบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 400 คน ณ โรงแรม รอยัล ฮิลล์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดนครนายก ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกับข้าราชการในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อรับฟังนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาฝีมือแรงงาน และร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ 2564 รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานของประเทศ กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี มุ่งที่จะให้ประเทศเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เข้าสู่กลุ่มประเทศรายได้สูง เศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง และมีความสามารถในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผลผลิตของสถาบันการศึกษายังไม่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคเอกชน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จึงเป็นข้อต่อสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ที่จะทำหน้าที่ในการฝึกทักษะของนักศึกษาหรือผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและภาคเอกชนเป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบเป็นอย่างดี จึงต้องการให้กระทรวงแรงงานยกระดับสู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ผู้ใช้แรงงานในระบบส่วนใหญ่ถูกเลิกจ้างจำนวนมาก กพร. จึงมีหน้าที่พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้กลุ่มแรงงานในระบบให้มีทักษะที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับต่อการประกอบอาชีพอิสระ รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในการขับเคลื่อนกระทรวงแรงงานสู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการหางานให้ทำ การดูแลสวัสดิการ หรือการดูแลผู้ประกันตนเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการ สร้าง ยก ให้ โดยเฉพาะการสร้างแรงงานคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสอดรับกับจุดแข็งของ กพร. ด้านการพัฒนาทักษะฝีมือช่าง ทักษะที่ต้องใช้เทคนิคชั้นสูง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นใน S-Curve ซึ่งเป็น 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งในเขตพื้นที่เหล่านี้มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะพิเศษเช่นเดียวกัน “การทุ่มเทความรู้ ความสามารถ กำลังกาย-ใจของทุกท่าน จะช่วยผลักดันนโยบายและหลักการทำงานดังที่กล่าวมา ให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ขอเป็นกำลังใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน และขอให้การจัดสัมมนาครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท นโยบายสำคัญของกระทรวงแรงงาน สร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด ---------------------------------------------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศกระทรวงพาณิชย์ห้ามนำ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ห้ามนำ วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในประเทศ พ.ศ. 2563 โดยห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีส่วนประกอบ เช่น ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ /สวิทซ์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทำงาน /ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล เป็นต้น เพื่อควบคุมการนำของเสียอันตรายเข้ามาเป็นขยะในประเทศ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 63 เป็นต้นไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ เปิดงาน “มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล” จ.ขอนแก่น
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รองปลัดฯ วรวรรณ เปิดงาน “มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล” จ.ขอนแก่น นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน “มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล” จ.ขอนแก่น ณ โรงแรมอวานี จังหวัดขอนแก่น จ.ขอนแก่น : วันนี้ (18 กันยายน 2563) เวลา 14.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานคณะทำงานติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสถาบันเครือข่าย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน “มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล” (Mud Tor Jai, Modern Heritage of Thai Textile to the Global) ภายใต้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง สู่ศูนย์กลางแฟชั่นระดับภูมิภาค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะที่ 2 พร้อมชมการแสดงแฟชั่นโชว์เสื้อผ้า New Collection 2020 ภายใต้แบรนด์ “มัดทอใจ” โดยมีนายศรัทธา คชพลายุกต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวต้อนรับ นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น และนายชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ร่วมเปิดงาน ณ โรงแรมอวานี จังหวัดขอนแก่น นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินงาน “มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล” (Mud Tor Jai, Modern Heritage of Thai Textile to the Global) ภายใต้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง สู่ศูนย์กลางแฟชั่นระดับภูมิภาค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะที่ 2 และเผยแพร่องค์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหม จากการออกแบบด้วยความคิดเชิงสร้างสรรค์ บนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย โดยใช้ต้นทุนท้องถิ่นผสมผสานกับเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดระดับบนและกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต ตลอดจนสามารถผลักดันให้เกิดการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้จริง และสร้างมูลค่าทางการตลาดได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและต้องขอชื่นชม คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกคนของสถาบันฯ รวมทั้งบุคลากรของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานร่วม ที่บูรณาการทำงานเพื่อสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผ้าไหม และผ้าทอพื้นเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา #industryprmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ #มัดทอใจมรดกผ้าไทยร่วมสมัยสู่สากล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการประชุมระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ
วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 คำกล่าวนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการประชุมระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ การประชุมระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ (High-level Meeting of the General Assembly to Commemorate the 75th Anniversary of the United Nations) วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ณ General Assembly Hall สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ท่านประธาน ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ ในวันนี้พวกเราเริ่มต้นปี 2563 ด้วยความหวังว่า จะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองแต่กลับต้องเผชิญกับโควิด-19 โดยในขณะนี้ ประเทศไทยมียอดผู้ติดจริงเพียงร้อยคนเศษ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของประเทศและความร่วมมือที่ดีจากประชาชนไม่มีประเทศใด จะปลอดจากเชื้อโควิด-19 ได้ จนกว่าทุกประเทศจะปลอดจากเชื้อดังกล่าวไปด้วยกัน สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพของโลกผ่านปฏิบัติการรักษาสันติภาพในภูมิภาคต่าง ๆ อีกทั้งส่งเสริมการปกป้องสิทธิมนุษยชนผ่านการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมถึงขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนา ซึ่งปัจจุบันมีวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 เป็นแผนที่นำทาง ประเทศไทยภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในภารกิจทั้ง 3 เสาหลักของสหประชาชาติตลอดมา ได้แก่ - ด้านสันติภาพและความมั่นคง ประเทศไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและพลเรือน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่สตรี เข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ - ด้านการพัฒนา ประเทศไทยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทาง ในการพัฒนาประเทศ โดยไทยกำลังขับเคลื่อนความร่วมมือในบริบทของ SEP for SDGs Partnership และยินดีที่จะขยายความร่วมมือไปยังประเทศอื่น ๆ ที่สนใจ - ด้านสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยได้เสนอแนวคิดสร้างสรรค์ในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน อาทิการมีบทบาทนำในการยกร่างข้อกำหนดของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำซึ่งครบรอบ 10 ปี ในปีนี้ นอกจากนั้น ไทยยังยินดีที่หน่วยงานที่สำคัญหลายหน่วยงาน เช่น คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ได้เลือกไทยให้เป็นที่ตั้งในการนี้ ไทยขอยืนยันที่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ที่ผ่านมา โลกของเราเผชิญวิกฤติมามากมาย โดยประวัติศาสตร์ได้สอนเราเสมอว่า ความสำเร็จจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อประชาคมระหว่างประเทศร่วมมือร่วมใจ และมองไกลกว่าผลประโยชน์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทวีปใดทวีปหนึ่ง ดังนั้น ประเทศไทยจึงเห็นว่า ประชาคมระหว่างประเทศและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมสหประชาชาติรวมทั้งสร้างพันธมิตรสำหรับระบบพหุภาคีใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนทุกคน สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันความพร้อมของประเทศไทยที่จะร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการที่จะทำให้โลกของเรากลับมาให้ดีกว่าเดิมและมีความยั่งยืน ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขอบคุณครับ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะฯ ดันแผนพัฒนาอุตฯ เครื่องจักรกลเต็มสูบ มุ่งสนับสนุนเกษตรแปรรูป ชี้เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปโครงสร้างศก. ลดการพึ่งพาต่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 สุริยะฯ ดันแผนพัฒนาอุตฯ เครื่องจักรกลเต็มสูบ มุ่งสนับสนุนเกษตรแปรรูป ชี้เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปโครงสร้างศก. ลดการพึ่งพาต่างประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ดันแผนพัฒนาอุตฯ เครื่องจักรกลเต็มสูบ มุ่งสนับสนุนเกษตรแปรรูป ชี้เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปโครงสร้างศก. ลดการพึ่งพาต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ผลักดันแผนอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลให้เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนเพิ่มขีดความสามารถการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจลดการพึ่งพาต่างประเทศ สร้างความเข็มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในและเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ยกระดับขีดความสามารถผู้ผลิตเครื่องจักรกลไทยโดยเฉพาะเครื่องจักรกลการเกษตรที่จะช่วยสนับสนุนภาคการเกษตรให้ขยายตัว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินไป ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ผลักดันแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลให้เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนเพิ่มขีดความสามารถการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ลดการนำเข้าจากต่างประเทศและหันมาใช้เครื่องจักรกลที่ผลิตภายในประเทศแทน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาต่างประเทศ สร้างความเข็มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในและเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ยกระดับขีดความสามารถผู้ผลิตเครื่องจักรกลไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการและยกระดับแบรนด์ไทยให้เป็นที่น่าเชื่อถือ โดยมองว่าประเทศไทยยังมีความต้องการเครื่องจักรกลอยู่มาก โดยจากข้อมูลปี 2562 ประเทศไทยมีการนำเข้าอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลคิดเป็นมูลค่ากว่า 415,776.9 ล้านบาท และขาดดุลการค้าคิดเป็นมูลค่ากว่า 223,381 ล้านบาท จึงได้ให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เร่งจัดทำแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลที่ชัดเจน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและเกษตรแปรรูปที่จะช่วยสนับสนุนภาคการเกษตรให้ขยายตัว “มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลไทย ในระยะแรกจะมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและเกษตรแปรรูป เนื่องจากปัจจุบันภาครัฐได้มีนโยบายส่งเสริมการเกษตรและแปรรูปการเกษตรเพื่อมุ่งเป็นฐานการผลิตด้านอาหาร และ Bio-based product ที่มีคุณภาพของโลก ประกอบกับผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยมีความสามารถในการผลิตเครื่องจักรกลที่มีเทคโนโลยี ที่ไม่ซับซ้อนมากนักสำหรับใช้ในประเทศและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่มีลักษณะ การเพาะปลูกพืชในเขตร้อน จึงมีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตภาคการเกษตรซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของไทยให้สามารถตอบสนองความต้องการและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรและเกษตรแปรรูปจากต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตรที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ภายในประเทศ” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า การจัดทำมาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลในระยะแรกเป็นมาตรการระยะ 5 ปี จะมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและเกษตรแปรรูป โดยมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลตามแผน คือ 1) การกระตุ้นอุปสงค์ ผลักดันให้เกิดการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจระหว่างเอกชนกับเอกชนและเอกชนกับรัฐบาล ยกระดับผู้ประกอบการในการใช้เครื่องจักรกลและบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 2) สนับสนุนอุปทาน สร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงอุตสาหกรรมสนับสนุนประเภทชิ้นส่วน ยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการออกแบบและผลิตเครื่องจักรกลผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเครื่องจักรกลสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล 3) เสริมสร้างปัจจัยแวดล้อม เช่น เพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เครื่องจักรกลและชิ้นส่วนที่เป็นเป้าหมายตามมาตรฐานสากล จัดตั้งศูนย์ทดสอบเครื่องจักรกลการเกษตรแห่งชาติหรือสร้างเครือข่ายศูนย์ทดสอบเครื่องจักรกลการเกษตรที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อการตรวจสอบและการออกหนังสือรับรองมาตรฐานสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตในประเทศให้ได้มาตรฐานเพื่อการส่งออกและการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างฐานข้อมูล (แพลตฟอร์ม) กลางที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล รวมถึงการสนับสนุนการระดมทุนรูปแบบคราวด์ฟันดิง สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจดทะเบียน การให้สิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้น รวมไปถึงการพัฒนาบุคคลากรด้านการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลเกษตรและเกษตรแปรรูปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงานมอบถ้วยพระราชทานฯ เชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ก.แรงงานมอบถ้วยพระราชทานฯ เชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม กระทรวงแรงงานจัดงาน Thailand Labour Management Excellence Award 2020 มอบถ้วยรางวัลพระราชทานฯ แก่สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้าง สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลThailand Labour Management Excellence Award 2020 ในวันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ว่ากระทรวงแรงงานมีนโยบายสำคัญในการผลักดันและยกระดับการบริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการให้มีมาตรฐาน เพื่อมุ่งสู่งานที่มีคุณค่า (Decent Work) โดยให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานตามหลักสากล ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งของเวทีการค้าโลกในปัจจุบัน อันจะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีขึ้น นำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน การมอบรางวัล Thailand Labour Management Excellence Award 2020 เป็นการมอบรางวัลให้กับสถานประกอบกิจการที่มีความมุ่งมั่นสร้างระบบบริหารจัดการด้านแรงงานอย่างยอดเยี่ยมตามมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ครบทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านแรงงานสัมพันธ์ และสวัสดิการแรงงาน ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และด้านมาตรฐานแรงงานไทย โดยได้ขอพระราชทานถ้วยรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 3 รางวัล แบ่งเป็น สถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ กลาง เล็ก เพื่อเป็นเกียรติยศ และความภาคภูมิใจร่วมกันของนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ ที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้แรงงาน และสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานให้เกิดขึ้น จนสามารถเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่น ๆ นำไปใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้นต่อไป นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2563 นี้ สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทาน จำนวน 3 รางวัล คือ สถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ (ลูกจ้างตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป) ได้แก่ บริษัท ไทสัน โพลทรี (ไทยแลนด์) จำกัด (โรงงาน 5) สถานประกอบกิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 300 ถึง 999 คน) ได้แก่ บริษัท แกมม่า อินดัสตรี้ส์ จำกัด และสถานประกอบกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 ถึง 299 คน) ได้แก่ บริษัท เซอร์คิตอินดัสตรีส์ จำกัด ซึ่งนอกจากรางวัลดังกล่าวแล้ว ยังมีการมอบรางวัล ให้กับสถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลสูงสุดในแต่ละด้าน ได้แก่ รางวัลเกียรติยศสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยฯ ปีที่ 20 และปีที่ 15 จำนวน 19 รางวัล รางวัลเกียรติยศสูงสุดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 15 ปีติดต่อกัน จำนวน 44 รางวัล และรางวัลเกียรติยศสถานประกอบกิจการที่ธำรงรักษาระบบมาตรฐานแรงงานไทยต่อเนื่อง 10 ปี จำนวน 3 รางวัล รวมอีก 66 รางวัลภายในงานครั้งนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดโครงการประชุมสัมมนาพัฒนาศักยภาพแกนนำพลัง “บวร” ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา และสนองงานตามพระบรมราโชบาย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รมว.วธ.เป็นประธานเปิดโครงการประชุมสัมมนาพัฒนาศักยภาพแกนนำพลัง “บวร” ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา และสนองงานตามพระบรมราโชบาย รมว.วธ.เป็นประธานเปิดโครงการประชุมสัมมนาพัฒนาศักยภาพแกนนำพลัง “บวร” ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา และสนองงานตามพระบรมราโชบาย วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการประชุมสัมมนาพัฒนาศักยภาพแกนนำพลัง “บวร” ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา และสนองงานตามพระบรมราโชบาย โดยการสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของ "บวร" ให้เป็นแกนนำ และเป็นวิทยากรในการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณชน และส่งเสริมการทำคุณงามความดีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สร้างจิตสำนึก และยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พัฒนาชุมชนด้วยมิติวัฒนธรรม สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และผู้นำชุมชนคุณธรรมฯ เข้าร่วมพิธี ณ โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ รัชดา กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ณ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ กระทรวงกลาโหมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคทุนทรัพย์ได้ที่ ธนาคารทหารไทย สาขากระทรวงกลาโหม บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 039-2-82349-8 ชื่อบัญชี “การถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35268
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและเกียรติบัตรแก่เด็กและเยาวชนดีเด่น และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 พม. จัดงานวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและเกียรติบัตรแก่เด็กและเยาวชนดีเด่น และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน พม. จัดงานวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2563 พร้อมมอบโล่เกียรติยศและเกียรติบัตรแก่เด็กและเยาวชนดีเด่น และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน วันที่ 20 ก.ย. 63เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี ผู้แทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันเยาวชนแห่งชาติประจำปี 2563 พร้อมมอบโล่เกียรติยศ และเกียรติบัตรแก่เด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน ประจำปี 2563 โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) มอบหนังสือวันเยาวชนแห่งชาติ เด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน พุทธศักราช 2563 แด่ผู้แทนพระองค์ พร้อมด้วย นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวรายงาน นางเทพวัลย์ ภรณวลัย รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เบิกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน ผู้แทนองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน เด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้แทนกลุ่มเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2563 เข้ารับโล่เกียรติยศและเกียรติบัตร จำนวน 11 สาขา รวมทั้งสิ้น 101 ราย ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายปรเมธี กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UNITED NATIONS) ได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากล โดยขอให้ประเทศสมาชิกร่วมเฉลิมฉลองปีเยาวชนสากล ภายใต้คำขวัญ “ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ” (Participation, Development and Peace) เพื่อมุ่งเน้นให้เยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต และสามารถช่วยสร้างเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้ง เนื่องด้วยวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์สองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 กำหนดให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เยาวชนได้มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ มีการเจริญเติบโตสมวัย ทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา และมีความเข้าใจในการดำรงชีวิตตามกฎระเบียบของสังคม จึงได้จัดงานวันเยาวชนแห่งชาติอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนมีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อีกทั้ง เป็นการกระตุ้นให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญของเยาวชน และมีส่วนร่วมส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเยาวชน นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า สำหรับการคัดเลือกเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูและสนับสนุนสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ทำคุณงามความดี มีความสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีมีสภาวะเป็นผู้นำที่เข้มแข็งที่สามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ 69 ราย 2) ประเภทกลุ่มเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ 11 กลุ่ม 3) ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน 13 ราย และ 4) ประเภทองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน 8 องค์กร โดยมีการแบ่งออกเป็น 11 สาขา ได้แก่ 1) สาขากฎหมายและการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน 2) สาขาการศึกษาและวิชาการ 3) สาขากีฬาและนันทนาการ 4) สาขาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 5) สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6) สาขานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ 7) สาขาพัฒนาเยาวชนบำเพ็ญประโยชน์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน 8) สาขาศิลปวัฒนธรรม 9) สาขาศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม 10) สาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม และ 11) สาขาอาชีพ รวมทั้งสิ้น 101 ราย สำหรับผู้ที่ได้รับคัดเลือกประจำปี 2563 อาทิ สาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประเภทเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ได้แก่ นายกรภัทร์ เกิดพันธุ์ (นนน) ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน ได้แก่ นายเกษม ศรีสมบูรณ์ (เต๋า ภูศิลป์) เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถติดตามรายชื่อผู้เข้ารับรางวัลได้ที่เว็บไซต์ www.dcy.go.th นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องด้วย วันที่ 20 กันยายน เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ขอให้เยาวชนทั่วประเทศได้แสดงพลังของตนเองเพื่อชุมชนและสังคม เนื่องจากวัยเยาวชนเป็นวัยที่มีพลัง กล้าคิด กล้าแสดงออก พร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างเข้มแข็ง ตามคำขวัญวันเยาวชนที่ว่า “ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนภัย! ระวัง Link ลวงข้อมูลส่วนตัว
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เตือนภัย! ระวัง Link ลวงข้อมูลส่วนตัว -- #ไทยคู่ฟ้าขอแจ้งเตือนเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ที่เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ระวังการแอบอ้างใช้ LINE Account ของธนาคาร เนื่องจากมีผู้ไม่หวังดีติดต่อผ่านทาง Inbox Facebook ของลูกค้าธนาคารที่มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile เพื่อจะส่ง Link ให้ลูกค้าเพิ่มเพื่อนใน LINE Account จากนั้นจะมีการพูดคุยเพื่อสอบถามข้อมูลสำคัญต่าง ๆ . ย้ำว่า ธนาคารไม่มีนโยบายส่ง Link ในลักษณะดังกล่าว จึงขออย่าหลงเชื่อ หรือส่งข้อมูลส่วนบุคคลไปให้เด็ดขาด สำหรับ LINE Official Account “BAAC Family” ของ ธ.ก.ส. นั้น จะใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญต่าง ๆ และการแจ้งความประสงค์ในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน! เตรียมรับมือฝนตกหนักทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เตือน! เตรียมรับมือฝนตกหนักทั่วประเทศ -- #ไทยคู่ฟ้ากรมอุตุนิยมวิทยาเตือนพายุโซนร้อน “โนอึล” ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 18 - 20 ก.ย. 63 โดยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมแรงบางแห่งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนคลื่นทะเลอันดามันและอ่าวไทยอาจสูง 2-3 เมตร จึงขอให้ประชาชนบนที่สูงระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติ และชาวเรือต้องระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาเตรียมตั้งวอร์รูมเพื่อร่วมติดตามสถานการณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง และรายงานผลกระทบ ให้ประชาชนทราบทันที . แอดมินขอให้พี่น้องประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดที่เว็บไซต์http://www.tmd.go.thหรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชื่นชม อสม. ทุ่มเท เสียสละดูแลคนไทย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ชื่นชม อสม. ทุ่มเท เสียสละดูแลคนไทย -- #ไทยคู่ฟ้า นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอบคุณและชื่นชมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ ว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์แห่งจิตอาสา ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นด่านหน้าสำคัญในการเฝ้าระวัง คัดกรองกลุ่มเสี่ยง ป้องกันโรคโควิด-19 จนได้รับการยอมรับยกย่องทั้งในประเทศและต่างประเทศว่ามีระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลก ในส่วนของรัฐบาลได้สนับสนุนค่าตอบแทนการเสี่ยงภัยให้กับ อสม. 1,054,729 คน เดือนละ 500 บาท เป็นเวลา 7 เดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค. - ก.ย. 63 และยังพร้อมสนับสนุนการทำงานดูแลชาว อสม. ให้ดีที่สุดต่อไป โดยหวังว่าพลังความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35285
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชุมชนสีขาวสร้างสุข ลดยาเสพติด
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ชุมชนสีขาวสร้างสุข ลดยาเสพติด -- #ไทยคู่ฟ้าการแก้ไขปัญหายาเสพติดถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน ลดพื้นที่แพร่ระบาดของยาเสพติด โดยกำหนดเป้าหมายการดำเนินการตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ให้บังเกิดผลอย่างชัดเจน โดยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดปฏิบัติการชุมชนสีขาวสร้างสุขในหมู่บ้านและชุมชน สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ 36,652 ราย ทั้งการผลิต นำเข้า/ส่งออก ยึดของกลางยาบ้า 55 ล้านเม็ด ไอซ์ 4,485 กก. กัญชาแห้ง 7,026 กก. เฮโรอีน 71 กก. น้ำต้มกระท่อม 118,503 ลิตร พืชกระท่อม 8,347 กก. คีตามีน 42 กิโลกรัม ฝิ่น 20 กิโลกรัม ต้นกัญชา 1,998 ต้น ต้นกระท่อม 594 ต้น และยาแก้ไอ 3,336 ขวด รวมถึงนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัด 4,643 คน และยังยึดอาวุธปืน กระสุนปืน และยึดอายัดทรัพย์สินได้เป็นมูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งจัดหาเครื่องฉายรังสีให้ 7 รพ.
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เร่งจัดหาเครื่องฉายรังสีให้ 7 รพ. -- #ไทยคู่ฟ้าคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ เห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องฉายรังสีโรคมะเร็ง วงเงิน 878.2 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง คือ โรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลสุรินทร์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ . โครงการนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งทั่วประเทศสามารถเข้าถึงการรักษาและช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อขณะผ่าตัด ที่สำคัญสถานพยาบาลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบเดิมเป็นแบบ New Normal ด้วยการฉายรังสีเทคนิคชั้นสูงทดแทนการผ่าตัด ซึ่งสามารถรักษาได้กับทุกอวัยวะ และไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 การเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับชีวิตวิถีใหม่ คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เร เปิดประตูหน้าต่างอย่างไรให้อากาศถ่ายเท -ห้องที่มีหน้าต่างบานเดียว ให้เปิดหน้าต่างแล้วเปิดพัดลมเป่าไปทางหน้าต่าง เพื่อช่วยระบายอากาศภายในห้อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา นำทีมกรมตรวจบัญชี หนุนยกระดับคุณภาพภาคการเกษตร "มิติทางบัญชี ตามวิถีแปลงใหญ่ในยุค New Normal"
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รมช.มนัญญา นำทีมกรมตรวจบัญชี หนุนยกระดับคุณภาพภาคการเกษตร "มิติทางบัญชี ตามวิถีแปลงใหญ่ในยุค New Normal" นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประจำปี 2563 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประจำปี 2563 เรื่อง "มิติทางบัญชี ตามวิถีแปลงใหญ่ ในยุค New Normal" พร้อมด้วย นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 ก.ย.2563 รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางการพัฒนาและการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยดำเนินตามนโยบายตลาดนำการผลิต และระบบส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มทำการผลิต การบริหารจัดการและจัดจำหน่ายร่วมกันมีตลาดรองรับที่แน่นอน ตลอดจนการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน การจัดทำแผนการผลิต แผนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และแผนการตลาด ซึ่งการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการประจำปี 2563 เรื่อง "มิติทางบัญชี ตามวิถีแปลงใหญ่ ในยุค New Normal" ถือเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเสริมสร้างศักยภาพด้านการเงินการบัญชีให้กับเกษตรกรและประชาชน ผ่านการเสริมสร้างการเรียนรู้การจัดทำบัญชีเพื่อส่งเสริมเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ ให้มีความรู้และเข้าใจศักยภาพด้านการเงิน ตลอดจนวิเคราะห์ต้นทุน แผนการผลิต และสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านนายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า โครงการสัมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว มีเป้าหมายในการส่งเสริมระบบการเกษตรแปลงใหญ่ โดยการเตรียมความพร้อมผู้ปฏิบัติงานและอาสาสมัครเกษตรด้านบัญชี ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชนที่มีศักยภาพในการปฏิบัติงาน โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมประกอบด้วยอาสาสมัครเกษตรด้านบัญชี 308 ราย บุคลากรของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ปฏิบัติงานโครงการฯ 378 ราย รวมทั้งสิ้น 686 ราย โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2563 ซึ่งมีการจัดนิทรรศการ ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดยบูรณาการเชื่อมโยงการดำเนินงานสนับสนุนโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามนโยบาย "สร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตร" หลักสูตร กระบวนการเรียนรู้บัญชี คือ ทำบัญชีได้ ใช้ข้อมูลบัญชีเป็น และใช้บัญชีอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์การยกระดับศักยภาพ ของเกษตรกรไทย 3 โครงการ ได้แก่โครงการศูนย์การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) โครงการแปลงใหญ่ และโครงการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เป็น Young Smart Farmer (YSF)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดงาน “มหกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” มอบรางวัล ประกวดแต่งเพลงปลูกจิตสำนึกความรักชาติ - คลิป “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว”
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 วธ. จัดงาน “มหกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” มอบรางวัล ประกวดแต่งเพลงปลูกจิตสำนึกความรักชาติ - คลิป “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” วธ. จัดงาน “มหกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” มอบรางวัล ประกวดแต่งเพลงปลูกจิตสำนึกความรักชาติ - คลิป “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” เปิดพื้นที่เด็ก-เยาวชน เสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ “สื่อ กับ วัฒนธรรมไทย ในยุค 4.0” วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” พร้อมทั้งมอบเงินรางวัลและโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ชนะเลิศการประกวดสื่อสร้างสรรค์ “เพลงเพื่อปลูกจิตสำนึกความรักชาติ” และสื่อสร้างสรรค์ คลิปส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ภายใต้หัวข้อ “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร คณะกรรมการฯ เด็ก และเยาวชน เข้าร่วม นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดและภาคีเครือข่ายวัฒนธรรมจัดงาน “มหกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์”ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และเพื่อปลูกจิตสำนึกให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ร่วมกันอนุรักษ์ รักษา สืบสานวัฒนธรรมไทย และสนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญ กำลังใจ ให้ผู้ผลิต สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยจัดกิจกรรมการประกวดสื่อสร้างสรรค์ “เพลงเพื่อปลูกจิตสำนึก ความรักชาติ” เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้ร่วมผลิตและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ในรูปแบบบทเพลงปลูกจิตสำนึกความรักชาติ และสร้าง แรงบันดาลใจ ในการปลูกจิตสำนึกให้เกิดความจงรักภักดีต่อชาติและสถาบัน รวมถึงเป็นการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็ก และเยาวชนได้แสดงความสามารถในการขับร้องและแต่งเพลงจนนำไปสู่การประกวดสร้างรายได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม โดยผู้ชนะเลิศการประกวดเพลงเนื้อหารักชาติดั้งเดิม ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ได้รับเงินรางวัล ๓๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ เด็กหญิงกุลกานต์ สมบูรณ์ ในบทเพลง เอกลักษณ์ไทย รางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล ๓,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ เด็กหญิงสิรภัทร ทองดีน้อย ในบทเพลง คนดีไม่มีวันตาย เด็กหญิงณัฏฐธิดา รื่นนุสาน ในบทเพลง เอกลักษณ์ไทย และเด็กหญิงพิมพ์รพี พูลทวี ในบทเพลง ไร้รักไร้ผล รางวัลขวัญใจมหาชน ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท ได้แก่ เด็กหญิงพิมพ์รพี พูลทวี ในบทเพลง ไร้รักไร้ผล ผู้ชนะเลิศการประกวดเพลงเนื้อหารักชาติดั้งเดิม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้รับเงินรางวัล ๓๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ นางสาวประภาพรรณ เพชรบูรณ์ ในบทเพลง สยามพาเหรด รางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล ๓,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ นางสาวหัสญาณี ปกนาง ในบทเพลง พระเทพของชาวไทย นายณัฐพล ราศรี ในบทเพลง ผ้าห่มผืนสุดท้าย และนางสาวมนัสวี ปู่โน๊ะ ในบทเพลง รัชกาลที่ ๑๐ ทรงพระเจริญ รางวัลขวัญใจมหาชน ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท ได้แก่ นางสาวหัสญาณี ปกนาง ในบทเพลง พระเทพของชาวไทย ผู้ชนะเลิศการประกวดเพลงเนื้อหารักชาติที่สร้างสรรค์ใหม่ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ได้รับเงินรางวัล ๕๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ เด็กหญิงปานชีวา มนต์สิริ ในบทเพลง ภูมิใจไทย รางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล ๕,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ เด็กหญิงทิพย์อัปสร ใขบุญสวัสดิ์ ในบทเพลง ร้อยดวงใจไทยทุกดวง และเด็กหญิงพอร์สภัสรา วัฒนาจิรวัฒน์ ในบทเพลง กว่าจะเป็นไทย รางวัลขวัญใจมหาชน ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท ได้แก่ เด็กหญิงปานชีวา มนต์สิริ ในบทเพลง ภูมิใจไทย ผู้ชนะเลิศการประกวดเพลงเนื้อหารักชาติที่สร้างสรรค์ใหม่ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้รับเงินรางวัล ๕๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ นางสาวพิมพ์วลัญช์ ดุษฎีปรีชา ในบทเพลง เก็บแผ่นดิน รางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล ๕,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ นายคฑาวุธ เถื่อนประยูร ในบทเพลง ตามรอยมหาราช นางสาวธัญญารัตน์ เนียมหอม ในบทเพลง ใต้ร่มไตรรงค์ และนายธรรมรัตน์ หรั่งเจริญ ในบทเพลง รักชาติไทย รางวัลขวัญใจมหาชน ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ นายคฑาวุธ เถื่อนประยูร ใบบทเพลง ตามรอยมหาราช นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันมีการประกาศผลและมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ภายใต้หัวข้อ “ทำดี...ไม่ต้องเดี๋ยว” ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จัดกิจกรรมขึ้น เพื่อให้เด็ก เยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการผลิต และเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยส่งเสริมการใช้สื่อในการปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีงามของคนในชุมชนและสังคม ซึ่งมีผู้สมัครส่งคลิปเข้าประกวดถึง ๑,๕๒๕ คลิป โดยผู้ชนะเลิศการประกวด ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ ทีมโรงเรียนบ้านตาลดำ รองชนะเลิศอันดับ ๑ ได้รับเงินรางวัล ๘,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ ทีม Nicotine รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ได้รับเงินรางวัล ๕,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ ทีมโรงเรียนบ้านคอนสา และรางวัลชมเชย ได้รับเงินรางวัล ๓,๐๐๐ บาท และโล่เชิดชูเกียรติ ได้แก่ ทีมลูกหมู ทีม Saohong film (โรงเรียนบ้านเสาหงส์) ทีมรวมพลังทำดี ทีมครูทำหนัง ทีม BT-School ทีม Check Check Film โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม นอกจากนี้ ภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และการจัดกิจกรรม การเสวนา “สื่อ กับ วัฒนธรรมไทย ในยุค 4.0” โดยมี พระครูปลัดสัมพิพัฒนธีราจารย์ พระยุค 4.0 ผู้เผยแพร่ธรรมะในโลกออนไลน์ นายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชน แห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ความรู้ “การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ วธ.หวังว่าเด็กและเยาวชน จะเป็นเครือข่ายผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งมีบทบาทในการใช้สื่อปลูกฝังค่านิยม และวัฒนธรรมที่ดี เพื่อสร้างสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม รวมถึงเป็นกำลังสำคัญในการสืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรมขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามของชาติสืบไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว -------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 กันยายน 2563
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 กันยายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,342 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.32 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย หรือร้อยละ 2.99 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,506 ราย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกในช่วงนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 300,000 รายต่อวัน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสมกว่า 31 ล้านราย และมีหลายประเทศกลับมาพบการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งแต่ละประเทศได้มีมาตรการบริหารจัดการสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป อาทิ อังกฤษ ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 4,000 รายในวันเดียว ได้ออกมาตรการเข้มการกักตัวผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสใกล้ชิด และสั่งปรับผู้ที่ฝ่าฝืน รวมถึงเอาผิดนายจ้างที่ลงโทษลูกจ้างที่ต้องกักตัว สำหรับเมียนมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จำนวน 671 รายภายในวันเดียว ได้มีมาตรการลดความแออัด ชาวเมียนมาที่เดินทางกลับเข้าประเทศจะต้องถูกกักตัว 14 วันและกักตัวที่บ้านต่ออีก 7 วัน และล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อในประเทศ สำหรับประเทศไทย การติดเชื้อในขณะนี้ส่วนใหญ่มาจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งภาครัฐได้วางมาตรการเฝ้าระวังควบคุมโรคทั้งด่านท่าอากาศยาน และด่านพรมแดน ผู้เดินทางทุกรายต้องเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) สถานกักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) หรือสถานพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) และตรวจหาเชื้อตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โดยสถานกักตัวทางเลือกไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือโรงพยาบาลผู้กักตัวจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหากพบติดเชื้อ จากประกันโควิดที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ ส่วนสถานที่รัฐจัดให้จะจัดไว้สำหรับคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศเท่านั้น โดยรัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ ส่วนคนในประเทศเองขอให้อย่าประมาท ยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่ทำได้ เลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด เมื่อป่วยขอให้อยู่บ้านหรือรักษาตัวให้หายก่อนไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ********************************* 21 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล” แจกไลเซนส์ ยกระดับมาตรฐานฝีมือ รับค่าจ้างตามความสามารถ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 “นฤมล” แจกไลเซนส์ ยกระดับมาตรฐานฝีมือ รับค่าจ้างตามความสามารถ รมช.แรงงาน มอบหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ และหนังสือผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ การันตีความสามารถ รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ย้ำ ฝีมือดี มีมาตรฐาน รับค่าจ้างสูง หนุนระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 21 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเยี่ยมชมกิจกรรมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน พร้อมมอบหนังสือแก่ผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และมอบหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ แก่ผู้ผ่านการประเมิน สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมการสาธิตการฝึกอาชีพ โดยมีนางสาวจอมขวัญ กลับบ้านเกาะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมุทรสาคร นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายชาคริตย์ เดชา รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารในจังหวัดสมุทรสาคร เยี่ยมชมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ณ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสมุทรสาคร รมช.แรงงาน กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อยกระดับจากกระทรวงด้านสังคมสู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจึงให้ความสำคัญของการยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ซึ่งเป็นนโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” และสำหรับวันนี้ มีโอกาสมามอบหนังสือให้แก่ผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และมอบหนังสือให้แก่ผู้ผ่านการประเมินรับรองความรู้ความสามารถ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ซึ่งผู้ประกอบอาชีพด้านช่างไฟฟ้าต้องเป็นผู้ที่ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำงานด้านนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับหนังสือรับรองดังกล่าว เป็นหลักฐานการันตีให้กับแรงงานไทยว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะฝีมือได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับบริการว่าจะได้รับบริการที่ดีเหมาะสมกับค่าจ้างที่ต้องจ่ายไป รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติอีกหลายสาขา ไม่เพียงสาขาช่างไฟฟ้าเท่านั้น เช่น ช่างเชื่อม ช่างเครื่องปรับอากาศภายในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก เป็นต้น ซึ่ง 2 ช่างที่กล่าวมานี้ ผู้ประกอบอาชีพต้องมีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถเช่นเดียวกับช่างไฟฟ้าด้วย การมีหนังสือรับรองดังกล่าว จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ผู้รับบริการและสาธารณะ ว่ามีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผู้ประกอบชีพช่าง ได้รับการคุ้มครอง มีความเป็นธรรม รับค่าจ้างอย่างเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ อีกทั้ง ทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความปลอดภัยต่อสาธารณะร่วมกัน นอกจากนี้ รมช.แรงงาน เป็นตัวแทนมอบเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้แก่สถานประกอบกิจการที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่ลูกจ้างของตนเองเกินกว่าร้อยละ 70 จำนวน 1 แห่ง มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการดีเด่น ที่คัดเลือกโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 8 แห่ง และมอบป้าย “มุมนมแม่” ให้แก่สถานประกอบกิจการที่จัดให้มีสวัสดิการแก่พนักงานของบริษัท อีกจำนวน 6 แห่ง พร้อมเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการการฝึกอบรม Automation การสาธิตการฝึกอาชีพ การปักผ้าสไบมอญ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้รับงานไปที่บ้าน ผ้ามัดย้อมบ้านโคกขาม การสานกระเป๋าและตะกร้าด้วยเส้นพลาสติก โดยกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการจัดสาธิต “มุมนมแม่” และการให้บริการตรวจสุขภาพแก่ประชาชนผู้มาร่วมงานในวันนี้ ---------------------------------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบเบาะแสข่าวปลอมกว่า 90% เกิดบนโซเชียล
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ดีอีเอส พบเบาะแสข่าวปลอมกว่า 90% เกิดบนโซเชียล ดีอีเอส พบเบาะแสข่าวปลอมกว่า 90% เกิดบนโซเชียล ดีอีเอส เผยสถิติข่าวปลอมรอบ 10 เดือน พบมีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรอง 12,964,044 ข้อความ ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening) 98.60% หลังคัดกรองพบข่าวที่ต้องตรวจสอบ 6,039 เรื่อง เกินครึ่งเป็นข่าวปลอมในหมวดสุขภาพ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการทำงานบูรณาการร่วมกันทั้งกับทุกหน่วยงานราชการ 151 แห่ง การรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening)เกี่ยวกับข่าวปลอม โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับมอบนโยบายจากรัฐบาลให้ดูแล กลั่นกรอง ตรวจสอบ หรือกำจัดข่าวปลอม เน้นว่าเป็นข่าวที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และจะมีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจในข่าวที่ถูกต้อง เพื่อประชาชนทุกคนให้เข้าใจ และรู้เท่าทันว่าข้อมูลที่เห็นจากสื่อออนไลน์/โซเชียล หรือได้รับการแชร์ต่อมาว่า ข่าวใดเป็นข่าวปลอม ข่าวจริง หรือข่าวบิดเบือน “ปัจจุบันมีข่าวปลอมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาบนโลกออนไลน์ ผู้เสพสื่อต้องรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร มีสติ ใช้วิจารณญาณก่อนแชร์ และขอให้ทุกส่วนราชการออกมาช่วยชี้แจง ทำความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชน ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏสู่สาธารณชนอย่างรวดเร็ว การระงับ ยับยั้ง การแพร่กระจายของข่าวปลอมเป็นภารกิจสำคัญของทุกหน่วยที่ต้องร่วมมือกับดีอีเอส เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายจากข่าวปลอมที่จะมีต่อประชาชน สังคม และเศรษฐกิจ” นายพุทธิพงษ์กล่าว นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การกำหนดให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้เสียหายหรือเป็นเจ้าของข้อมูลที่มีการนำไปบิดเบือนเป็นข่าวปลอม และเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์/ระบบอินเทอร์เน็ต ต้องมีการรายงานกลับไปยังศูนย์ฯ ภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากที่ได้รับแจ้งผ่านทางอีเมล เนื่องจากกระแสออนไลน์แพร่กระจายได้เร็วมาก และสามารถสร้างความเสียหายในเวลารวดเร็ว ดังนั้นหากมีการรายงานตอบกลับมายังศูนย์ฯ ได้ทันการณ์เท่าไร ขั้นตอนตรวจสอบความถูกต้องและจัดการแก้ไขข่าวปลอมก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบจากความเสียหายให้ได้เร็วที่สุด “ข่าวปลอมบางข่าวนอกจากสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนหรือผู้เกี่ยวข้องแล้ว บางครั้งยังสร้างผลกระทบต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจประเทศ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีการแชร์ข่าวปลอมว่ารัฐบาลถังแตก ไม่มีเงินจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ-คนพิการ ข่าวนี้ในอีกด้านหนึ่งส่งกระทบต่อการลงทุนและความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศด้วย” นายภุชพงค์กล่าว สำหรับผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 10 เดือนที่ผ่านมา (1 พ.ย.62 – 31 ส.ค.63) จากการรับแจ้งเบาะแส และติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรอง 12,964,044 ข้อความ โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากอันดับ 1 คือ ระบบติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening Tools) 98.60% หรือ 12,392,431 ข้อความ ตามมาด้วย การแจ้งเบาะแสผ่านบัญชีไลน์ทางการ 1.32% เฟซบุ๊กแฟนเพจ 0.06% และเว็บไซต์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 0.02% ทั้งนี้ จากจำนวนข้างต้นมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 17,551 ข้อความ โดยจากการคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องตรวจสอบ 6,039 เรื่อง แบ่งเป็น หมวดสุขภาพ 54% (3,267 เรื่อง), หมวดนโยบายรัฐ 40% (2,417 เรื่อง), หมวดเศรษฐกิจ 4% (237 เรื่อง) และหมวดภัยพิบัติ 2% (118 เรื่อง) ปัจจุบันมีข่าวที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับการเผยแพร่แล้ว 932 เรื่อง หมวดหมู่ที่ทำการประชาสัมพันธ์มากสุดตามลำดับ ดังนี้ หมวดสุขภาพ 70% (656 เรื่อง), หมวดนโยบายรัฐ 19% (172 เรื่อง), เศรษฐกิจ 7% (64 เรื่อง) และหมวดภัยพิบัติ 4% (40 เรื่อง) “อยากให้พวกเราช่วยกันในสังคมออนไลน์ ผมเชื่อว่าข่าวปลอมไม่ได้หมดไปจากสังคมออนไลน์ แต่การสร้างการตระหนักรู้ การสร้างการรับรู้ การช่วยกันป้องกัน และการให้สังคมช่วยตรวจสอบผู้กระทำผิดทางออนไลน์ ก็จะเป็นสิ่งที่ป้องกันที่ดีที่สุด” นายภุชพงค์กล่าว ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคน ที่ทุ่มเท และเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมไทย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี ขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคน ที่ทุ่มเท และเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมไทย นายกรัฐมนตรี ขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคน ที่ทุ่มเท และเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมไทย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอขอบคุณอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และอาสาสมัครแรงงานต่างด้าว ด้านสุขภาพ อาชีวอนามัยและ ความปลอดภัย (อสต อช.) ทั่วประเทศ และแสดงความชื่นชมว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์แห่งจิตอาสา ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นด่านหน้าสำคัญ ในการเฝ้าระวัง คัดกรองกลุ่มเสี่ยง ป้องกันโรคโควิด 19 จนเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และประเทศไทยได้รับการชื่นชมจากสังคมทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ โดยหวังว่าพลังความร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วนจะส่งผลให้ประเทศไทยก้าวผ่านภาวะวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหากรณีการออกหนังสือรับรองของหน่วยงานผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จ สำหรับหน่วยงานก่อสร้าง ครั้งที่ 1/2563
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหากรณีการออกหนังสือรับรองของหน่วยงานผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จ สำหรับหน่วยงานก่อสร้าง ครั้งที่ 1/2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหากรณีการออกหนังสือรับรองของหน่วยงานผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จ สำหรับหน่วยงานก่อสร้าง ครั้งที่ 1/2563 วันนี้ (21 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหากรณีการออกหนังสือรับรองของหน่วยงานผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จ สำหรับหน่วยงานก่อสร้าง ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพี่อพิจารณาทบทวนและตรวจสอบการออกหนังสือรับรองให้กับหน่วยงานผลิตผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จ สำหรับหน่วยงานก่อสร้างที่ยังไม่หมดอายุ จำนวน 159 ราย และหาแนวทางแก้ไขปัญหาหน่วยงานผลิตผลิตแอสฟัลต์ติคคอนกรีต/คอนกรีตผสมเสร็จสำหรับหน่วยงานก่อสร้างชั่วคราว กรณีชะลอหรือมีการยกเลิกประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงการชุมนุม และขอให้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุโนอีลต่อไป
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงการชุมนุม และขอให้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุโนอีลต่อไป นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงการชุมนุม และขอให้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุโนอีลต่อไป นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความห่วงใยจากการที่หลายจังหวัดได้รับผลกระทบจากพายุโนอีลที่เข้าสู่ประเทศไทยในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งระดมความช่วยเหลือ โดยให้กำลังพลที่เข้ามาช่วยดูแลประชาชนในช่วงการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร ให้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าวให้ดีที่สุด และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนจากทุกหน่วยงานที่ต้องทำงานหนัก ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนอย่างดียิ่ง และเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยความเต็มใจ และไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมงครบรอบวันสถาปนาปีที่ 94
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 กรมประมงครบรอบวันสถาปนาปีที่ 94 กรมประมงครบรอบวันสถาปนาปีที่ 94 มุ่งยกระดับการประมงไทย ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีครบรอบวันสถาปนากรมประมงปีที่ 94 พ.ศ. 2563 ณ กรมประมง ว่า ปัจจุบันการประมงของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากการประมงที่ต้องพึ่งพิงการจับจากธรรมชาติ เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก กลายมาเป็นอุตสาหกรรมการประมงขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ทั้งการทำประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ซึ่งการประมงเติบโตเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ และที่สำคัญผลผลิตจากการประมงของไทยได้กลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญทั้งของคนไทยและคนทั่วโลก ซึ่งในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งเน้นการส่งเสริมสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ การนำศาสตร์พระราชาและเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นนโยบายในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน การพัฒนาเครื่องจักรกล เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อทดแทนแรงงาน นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นขับเคลื่อนการใช้ระบบการตลาดนำการผลิต โดยได้มีมาตรการในการหาตลาดใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางในการขายให้กับผู้ผลิตสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสหกรณ์ เกษตรแปลงใหญ่ วิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer ที่ต้องการจะสร้างความเข้มแข็ง เพื่อนำร่องในการปฏิรูปภาคการเกษตร ตลอดจนการบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน ทั้งในส่วนของประมงพาณิชย์ที่ต้องเร่งส่งเสริมให้รักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อให้สามารถทำประมงได้ตลอดทั้งปี และในส่วนของประมงพื้นบ้าน ได้มีการขึ้นทะเบียนเรือ ซึ่งขณะนี้มีการขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 50,000 ลำ นอกจากนี้ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพด้านการประมง อาทิ 1) การจ่ายเงินช่วยเหลือ จำนวน 5,000 บาท/เดือน ให้กับเกษตรกรและชาวประมงที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมประมง 2) โครงการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภาคการเกษตรจากวิกฤต COVID-19 วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท 3) โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ กรอบวงเงินรวม 400,000 ล้านบาท โดยเป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมหลายหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมงจะส่งเสริมปัจจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ 4) การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงในที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น “ภารกิจของกรมประมงมีส่วนเกี่ยวข้องกับประชากรของประเทศ ตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงระดับเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอาชีพประมงถือเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรชาวไทยอาชีพหนึ่งที่ไม่ต่างกับอาชีพการทำเกษตรแบบอื่น ๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง จึงต้องมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งบุคลากร เทคโลยี และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ต้องมีการบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับการประมงของไทย ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน สร้างพื้นที่ฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สร้างการรับรู้ สร้างความสุข สร้างโอกาสและความหวังให้กับพี่น้องชาวประมง และเชื่อมั่นว่ากรมประมงจะอยู่เคียงข้างพี่น้องชาวประมงอย่างจริงใจตลอดไป” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ในวันที่ 21 กันยายน 2563 นอกจากเป็นวันครบรอบวันสถาปนากรมประมงปีที่ 94 แล้ว ยังเป็นวันประมงแห่งชาติ ครบรอบปีที่ 37 ด้วย ซึ่งถือเป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำคัญของการประมงไทย โดยในส่วนภูมิภาคกำหนดให้จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำทั้ง 77 จังหวัด และส่วนกลางได้จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำออนไลน์ จำนวน 1,940,000 ตัว ลงแหล่งน้ำ จำนวน 4 แห่ง คือ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ กว๊านพะเยา จ.พะเยา หนองหาร จ.สกลนคร และเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนทรัพยากรประมง นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการมอบโล่รางวัลให้แก่ เกษตรกรดีเด่น ข้าราชการดีเด่น รางวัลเลิศรัฐ งานวิจัยดีเด่นและชมเชย ข้าราชการและลูกจ้างประจำเกษียณอายุราชการ Smart PIPO เจ้าหน้าที่สืบสวนต้นแบบ ด้านการควบคุมการทำการประมงดีเด่น (Smart investigator) เรือประมงต้นแบบดีเด่น (Smart Vessel) ท่าเทียบเรือประมงต้นแบบดีเด่น (Smart Port) ชุมชนประมงดีเด่น และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำดีเด่น ตลอดจนเยี่ยมชมการจัดนิทรรศการผลงานกรมประมง ภายใต้หัวข้อ “กรมประมง ยืนหยัดพัฒนา การประมงอย่างยั่งยืน” ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน ครั้งที่ 2/2563
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน ครั้งที่ 2/2563 ตามที่กรมบัญชีกลางได้ออกประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน ครั้งที่ 1/2563 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการแล้ว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้ออกประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน ครั้งที่ 1/2563 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการแล้ว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ซึ่งมีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ประกอบด้วย 1. ผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติทั่วไป และคุณสมบัติเฉพาะ 2. ผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะและคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ โดยแยกเป็น 8 สาขา คือ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างชลประทาน สาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง สาขางานก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในทะเล สาขางานก่อสร้างขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเล และสาขางานก่อสร้างขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในประเทศ และขณะนี้ กรมบัญชีกลางได้ออกประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน เพิ่มเติม ครั้งที่ 2/2563 แล้ว ตามประกาศ ณ วันที่ 21 กันยายน 2563 “การประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียน ดังกล่าว เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 53 วรรคสาม ประกอบกับกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับผู้ที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ พ.ศ. 2560 ข้อ 5 ซึ่งจะทำให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีวงเงินงบประมาณจำนวนมาก เป็นไปอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณและเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานของรัฐและประเทศชาติสำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามประกาศดังกล่าว กรมบัญชีกลางจะประกาศรายชื่อเป็นผู้ขึ้นทะเบียนที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง ต่อไป” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว อนึ่ง ผู้ประกอบการงานก่อสร้างรายใดที่ได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ปรากฏรายชื่อตามบัญชีเอกสารแนบท้ายประกาศนี้ ขอให้ตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) หัวข้อ “ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ/ ตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ” เพื่อตรวจสอบความถูกต้องหรือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องภายใน 7 วันนับถัดจากวันที่ประกาศในเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง หากพบว่าไม่ถูกต้อง สามารถติดต่อได้ที่กลุ่มงานทะเบียนและประเมินผลผู้ประกอบการ กองระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและราคากลาง หมายเลขโทรศัพท์0-2127-7000 ต่อ 4752 6872 หรือ Call Center : 0-2270-6400 กด 3 หรือ e-mail : [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินหน้าแผนพัฒน์ 12 ฯ หวังยกระดับไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นคนไทย คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีเดินหน้าแผนพัฒน์ 12 ฯ หวังยกระดับไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นคนไทย คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเดินหน้าแผนพัฒน์ 12 ฯ หวังยกระดับไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นคนไทย คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน วันนี้ (21 กันยายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิดการประชุม ประจำปี 2563 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่าด้วยการติดตามประเมินผลในช่วงครึ่งแผนแม่บทในระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 - 2565) และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และกล่าวปาฐกถาพิเศษ "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด" โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ข้าราชการและสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษ “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ความตอนหนึ่งว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะดีขึ้น แต่ประมาทไม่ได้ ยังต้องเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีแผนฯ 12 เป็นก้าวแรกของการเดินทาง เน้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง กำจัดจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง และพัฒนาจุดแข็งในช่วงชีวิตวิถีใหม่ สำหรับอนาคต โดยผลักดันการพัฒนาสำคัญหลายด้าน อาทิ 1. การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2. การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการประกันรายได้ 3. โครงการชิมช็อปใช้ กระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ 4. การอนุมัติงบบัตรทอง 5. การเพิ่มเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 6. การแก้ปัญหาภัยแล้ง และ 7. โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งยังได้ดำเนินการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินกู้ฉุกเฉิน มาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา การยืดเวลาการชำระภาษีเงินได้ เพื่อลดภาระให้กับประชาชน ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีเผยถึงการเดินหน้าบริหารงานภายใต้การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการจัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด -19 พ.ศ. 2564 - 2565 เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. การสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก 2. เน้นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค 3. เน้นกระตุ้นอุปสงค์ และการท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล โดยนายกรัฐมนตรีได้ยกตังอย่างการอนุมัติโครงการสำคัญต่าง ๆ เช่น โครงการ 1 ตำบลกลุ่ม 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ (โคก หนอง นา โมเดล) โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำทิศทางการพัฒนาประเทศและศักยภาพที่สำคัญของไทยที่สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) ภายใต้ 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1. การพร้อมรับ 2. การปรับตัว 3. การเปลี่ยนแปลง เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยมี 4 ประเด็นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษใน 2 ปีข้างหน้า คือ1. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ 2. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 3. การพัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของคน 4. การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเผยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในยุคชีวิตวิถีใหม่ ว่า ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันพัฒนาตนเองเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะทุกคน คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกันในทุกระดับไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ............................................. กลุม่ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เข้มมาตรการสาธารณสุขป้องกันโควิด 19 สำหรับการจัดแข่งขันกีฬาแบบมีผู้ชม
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 สธ. เข้มมาตรการสาธารณสุขป้องกันโควิด 19 สำหรับการจัดแข่งขันกีฬาแบบมีผู้ชม กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือผู้จัดการแข่งขัน เจ้าหน้าที่ นักกีฬา ผู้ชม เข้มมาตรการทางสาธารณสุข ป้องกันการแพร่ระบาดระลอก 2 กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือผู้จัดการแข่งขัน เจ้าหน้าที่ นักกีฬา ผู้ชม เข้มมาตรการทางสาธารณสุข ป้องกันการแพร่ระบาดระลอก 2 วันนี้ (21 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าว มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 6 สำหรับแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขในการจัดแข่งขันกีฬาแบบมีผู้ชม ว่า แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ แต่ประชาชนไม่สามารถวางใจได้ ถือว่ามีโอกาสเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเกิดการระบาดระลอก 2 ได้ โดยเฉพาะกิจกรรม กิจการ และธุรกิจต่าง ๆ ที่มีคนรวมตัวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ เช่น การดื่มกินร่วมกัน การตะโกนพูดคุยเสียงดัง ไปในสถานที่การแออัด และมีการสัมผัสใกล้ชิดกัน เนื่องจากข้อมูลวิชาการพบว่า การติดเชื้อในครอบครัวเกิดจากการคลุกคลีใกล้ชิดสูงถึงร้อยละ 58 จึงต้องมีการป้องกันตนเองให้มากที่สุดเมื่อออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน นายแพทย์บัญชากล่าวต่อว่า ขอความร่วมมือสำหรับการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาทุกชนิดที่มีผู้เข้าชม ไม่ว่าจะเป็นระบบเปิดหรือระบบปิด ผู้จัดการแข่งขัน เจ้าหน้าที่ นักกีฬาและผู้ชม ปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและไม่เกิดการระบาดระลอก 2 คือผู้จัดการแข่งขัน แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะเตรียมการต้องเตรียมการด้านสถานที่ กำหนดจุดคัดกรอง ทางเข้าออก จุดล้างมือ/เจลแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดสถานที่และพื้นผิวสัมผัสร่วม จำกัดจำนวนผู้ชมประเภทกีฬากลางแจ้งไม่เกิน 1 ใน 4 หรือ 25% ของความจุสนามประเภทกีฬาในร่มไม่เกิน 15% ของความจุสนาม ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ ผู้ตัดสิน ผู้ประกอบการร้านค้าอาหาร ผู้ดูแลทำความสะอาด ในการป้องกันตนเอง มีระบบออนไลน์ซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าระยะเปิดการแข่งขันจัดแยกโซนนักกีฬา เจ้าหน้าที่และผู้ชม จำกัดจำนวนคนไม่ให้แออัด (1คนต่อ 4 ตารางเมตร) จัดระบบระบายอากาศที่ดี สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำการแข่งขันต้องสวมหน้าอนามัยตลอดเวลาสำหรับเจ้าหน้าที่สังเกตอาการตนเอง หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ให้หยุดงานและพบแพทย์ทันที หมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัส หยิบจับสิ่งของสำหรับนักกีฬาต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ก่อนทำการแข่งขัน สังเกตอาการตนเองสม่ำเสมอ หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ แจ้งโค้ชหรือหัวหน้าทีมให้ทราบ หยุดเข้าร่วมการแข่งขันและพบแพทย์ทันที และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัวสำหรับผู้ชมต้องผ่านจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ตลอดการรับชม เพื่อป้องกันน้ำลายหรือละอองฝอยเมื่อมีการตะโกนเชียร์/พูดคุยเสียงดัง, ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก และเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ขณะต่อแถวและนั่งชม “สิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 คือ ประชาชนทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันเข้มมาตรการป้องกันตนเอง ป้องกันครอบครัว มาตรการกิจการร้านค้า/สถานประกอบการ ต้องเข้มงวดอย่างเคร่งครัด สร้างวิถีใหม่ชีวิตใหม่ ด้วยการพร้อมใจกันคัดกรองตนเองก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ตระหนักทุกครั้งเมื่อเข้าพื้นที่เสี่ยง” นายแพทย์บัญชากล่าว ************************** 21 กันยายน 2563 ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“กระทรวงทรัพยากรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น การจัดทำนโยบายและแผ่นแม่บทด้านป่าไม้ ฉบับแรกของไทย”
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ​“กระทรวงทรัพยากรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น การจัดทำนโยบายและแผ่นแม่บทด้านป่าไม้ ฉบับแรกของไทย” ​“กระทรวงทรัพยากรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น การจัดทำนโยบายและแผ่นแม่บทด้านป่าไม้ ฉบับแรกของไทย” “กระทรวงทรัพยากรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น การจัดทำนโยบายและแผ่นแม่บทด้านป่าไม้ ฉบับแรกของไทย” วันนี้ (21 กันยายน 2563) เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ได้เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ ฉบับแรกของประเทศไทย พร้อมรับมอบต้นไม้แห่งความหวัง ที่ทุกภาคส่วนได้เขียนข้อคิดเห็นติดไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มต้นดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ณ โรงแรมรามา การ์เดนส์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมทั้ง นิสิตนักศึกษา จำนวน 168 คน จาก 47 องค์กร ร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายและแผนแม่บทดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการแสดงความคิดเห็นนั้น มีหลากหลายประเด็นที่ผู้เข้าร่วมประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะครอบคลุมใน 3 ด้าน คือ ด้านการจัดการป่าไม้ ด้านการใช้ประโยชน์ผลผลิตและการบริหารจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้ และด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับป่าไม้ นอกจากนั้น รมว.ทส. ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) ได้กล่าวว่า “สิ่งที่เราทำในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่เพียงแค่วิถีชีวิตของประชาชนอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของสรรพสัตว์ เพื่อให้ทั้งระบบเกิดดุลยภาพ ร่างแผนแม่บทนี้จะเป็นการบูรณาการหน่วยงานทุกกระทรวง เพื่อการดำเนินงานต่าง ๆ เกิดผลกระทบกับทรัพยากรป่าไม้ให้น้อยที่สุด และมุ่งเป้าหมายในการสร้างพื้นที่ผืนป่าให้ได้ 40% ของทั้งประเทศ ซึ่งป่าไม้จะเป็นต้นทุนในการดำเนินชีวิตของประชาชนที่สำคัญ ในการแก้ปัญหาปากท้อง และแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนตลอดไป” สำหรับการร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ ครั้งนี้นั้น ดำเนินการโดยมี ผศ.ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร เป็นประธานคณะอนุกรรมการจัดทำร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติและร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ ซึ่งนับเป็นร่างแผนแม่บทการพัฒนาป่าไม้ฉบับแรกของประเทศไทย จัดทำขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นด้านการดูแลทรัพยากรป่าไม้ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมถึงให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสมควบคู่กับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ให้เกิดความสมดุลอย่างยั่งยืน ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตประชาชน และระบบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในระยะยาว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแถลงข่าวศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Hemodialysis Center BENCHAKITTI-MDCU)
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 การแถลงข่าวศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Hemodialysis Center BENCHAKITTI-MDCU) การยาสูบแห่งประเทศไทยร่วมแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและความก้าวหน้าของ “ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (Hemodialysis Center BENCHAKITTI-MDCU)” เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ.2563 ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา การยาสูบแห่งประเทศไทย นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์นายแพทย์สุทธิพงษ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์หญิงพันธ์ทิพย์ เจริญวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ฝ่ายการแพทย์ การยาสูบแห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์เกรียง ตั้งสง่า ที่ปรึกษา สาขาวิชาโรคไต และ ศาสตราจารย์นายแพทย์เกื้อเกียรติ ประดิษฐ์พรศิลป์ หัวหน้าสาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและความก้าวหน้าของ “ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (Hemodialysis Center BENCHAKITTI-MDCU)” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานชื่อโรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ในปี พศ2560คณะผู้บริหารและบุคลากรขององค์กรซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและมีเจตนารมณ์ต้องการให้โรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลเพื่อสังคมที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ชุมชนภายใต้การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมของสวนเบญจกิติ สวนสาธารณะเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสวนป่าเบญจกิติซึ่งมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เช่น แคนาเสลา และกระโดน จัดสร้างในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ ในปี พ.ศ. 2559 ด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯในการนำองค์ความรู้และวิทยาการด้านการแพทย์ที่ทันสมัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากขึ้นภายใต้ระบบการบริการของโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯผู้บริหารทั้งสององค์กรจึงมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาให้โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อตอบโจทย์สุขภาวะของประชากรไทยในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคความดัน เบาหวาน ต้อกระจก ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง การดูแลผู้สูงวัย และเวชศาสตร์ฟื้นฟูเพื่อสร้างเสริมสุขภาพเป็นต้น ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา - คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Hemodialysis Center BENCHAKITTI-MDCU)ได้ถูกจัดตั้งในปี พ.ศ.2562โดยความร่วมมือระหว่าง สาขาวิชาโรคไต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯเพื่อนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่ทันสมัย ภายใต้การกำกับดูแลของคณาจารย์ในสาขาวิชาเพื่อให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่โดยบุคลากรของโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯซึ่งใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยแบบสหสาขาวิชาชีพจากแพทย์ พยาบาลเภสัชกร และนักโภชนบำบัด และบริหารจัดการให้ใช้ทรัพยากรทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์ไตเทียมที่ดำเนินการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย มาพัฒนาการบริการผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ไตเทียมโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดบริการวันจันทร์ถึงวันเสาร์ วันละ 3 รอบ รับบริการผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยสิทธิ์กรมบัญชีกลาง พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประกันสังคม สามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตามสิทธิ์การรักษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์ไตเทียมโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โทร 0-2656-4549 ต่อ 3402, 3403 นอกจากศูนย์ไตเทียมแล้ว โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯยังมีแผนงานความร่วมมือในกลุ่มโรคและกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ อาศัยจุดเด่นทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลที่อยู่ในบริเวณสวนป่าเบญจกิติมีสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ ผู้บริหารทั้งสององค์กรมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนา“ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ” เป็นแผนงานลำดับต่อไปในปี 2564ณ อาคาร 2 ซึ่งเป็นอาคารส่วนต่อด้านทิศตะวันตกของอาคารโรงพยาบาล โดยจะให้บริการแก่ผู้สูงวัยแบบไปเช้า เย็นกลับ เป็นการต่อยอดจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบพักค้างคืนซึ่งเปิดให้บริการที่ชั้น 8 ของโรงพยาบาลมาตั้งแต่ปี 2559 ให้การดูแลผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดและผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วย โรงพยาบาลสวนเบญจกิติ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา 184 ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย กรุงเทพ ติดต่อสอบถามประชาสัมพันธ์ โทร 0-2656-4500 ต่อ 3101, 3168
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ลงพื้นที่ลพบุรี เร่งติดตามการแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนอย่างเป็นรูปธรรม
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รมต.อนุชา ลงพื้นที่ลพบุรี เร่งติดตามการแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนอย่างเป็นรูปธรรม รมต.อนุชา ลงพื้นที่ลพบุรี เร่งติดตามการแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนอย่างเป็นรูปธรรม วันนี้ (22 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลโคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานและร่วมเสวนา ในหัวข้อ "อุตสาหกรรมสร้างงาน สร้างรายได้ ขยายโอกาส พัฒนาคุณภาพชีวิตในยุค New Normal" จัดโดยคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายประทวน สุทธิอำนวยเดช รองประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ลพบุรี พันเอก ดุสิต ประพฤติดีพร้อม เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 13 นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคนและสวัสดิการ นายณรงค์ สืบตระกูล รองอธิบดีกรมที่ดิน นายดนัย วิจารณ์ ผู้ตรวจราชการกรมธนารักษ์ นายจิตรพรต พัฒนสิน ผู้อำนวยการกองกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นายธวัชชัย โสตเนียม นายอำเภอเมืองลพบุรี และประชาชนเข้าร่วมกว่า 300 คน โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมเสวนา ในหัวข้อ "การแก้ไขการใช้พื้นที่ทับซ้อนระหว่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหวงห้ามเพื่อใช้ในราชการทหาร พ.ศ.2479 กับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามเพื่อใช้ในประโยชน์ในการสงเคราะห์ พ.ศ.2548" โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มีหน้าที่กำกับ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยาและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ จ. ลพบุรี จ.สิงห์บุรี และ จ.ชัยนาท การลงพื้นที่ติดตามในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ติดตามช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 เท่านั้น แต่ยังได้ร่วมหาแนวทางแก้ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนในพื้นที่เทศบาลโคกตูม ซึ่งพบว่าเกิดการทับซ้อนกันในส่วนของ 2 พระราชกฤษฎีกาทับซ้อน ทั้งนี้ผลจากการเสวนาจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะนำไปประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนผู้ยากไร้ และไม่มีที่ทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลและจัดสรรที่ดินทำกินให้ผู้ยากไร้เข้าทำประโยชน์ ดูแลการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35284
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก วธ. แจงตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี สวจ. พิจิตร ถูกร้องทุจริตเงินถุงยังชีพ พร้อมให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย และเปิดช่องทางแจ้งข้อมูลทุจริตสร้างการมีส่วนร่วม
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 โฆษก วธ. แจงตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี สวจ. พิจิตร ถูกร้องทุจริตเงินถุงยังชีพ พร้อมให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย และเปิดช่องทางแจ้งข้อมูลทุจริตสร้างการมีส่วนร่วม โฆษก วธ. แจงตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี สวจ. พิจิตร ถูกร้องทุจริตเงินถุงยังชีพ พร้อมให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย และเปิดช่องทางแจ้งข้อมูลทุจริตสร้างการมีส่วนร่วม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนต่าง ๆ ที่มีความไม่ชอบมาพากลกรณี สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดพิจิตร นำเงินงบประมาณโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน ประจำปี 2563 ไปอุดหนุนวัดทำถุงยังชีพสู้ภัยโควิด – 19 โดยโอนเงินให้วัดแล้วขอให้วัดถอนเงินมาจัดหาถุงยังชีพเอง อาจมีความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินการ ทั้งนี้ ขอเรียนว่า วธ. ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในหน่วยงาน ดังที่เห็นจาก วธ . ได้มีการรณรงค์การต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔)อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการต่อต้านการทุจริตกับมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ในการส่งเสริมและสนับสนุนจัดกิจกรรมเสริมสร้างทัศนคติค่านิยมในด้านวัฒนธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ในสถาบันการศึกษา ชุมชน และประชาชน เพื่อร่วมกันขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย นางยุพา กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรมให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จึงได้มีข้อสั่งการในเบื้องต้นให้กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน ทั้งนี้ หากมีมูลตามที่ปรากฏเป็นข่าวก็จะพิจารณาลงโทษหนักสุดตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อไป “ขอเน้นย้ำว่า วธ.ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องทุจริตและประพฤติมิชอบเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน โดยกำหนดนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมาภิบาล นอกจากนี้ ยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และเปิดช่องทางการแจ้งเบาะแส หรือแจ้งข้อมูลการทุจริต ทางสายด่วนวัฒนธรรม 1765 เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน” โฆษกกระทรวงวัฒนธรรมกล่าว .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแผนพัฒนา 'บึงหนองหาร' จัดการน้ำ 5 ด้าน
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เคาะแผนพัฒนา 'บึงหนองหาร' จัดการน้ำ 5 ด้าน -- #ไทยคู่ฟ้าครม. อนุมัติแผนพัฒนาหนองหาร จ.สกลนคร ระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี (พ.ศ.2563 - 2572) วงเงิน 7,445 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในหนองหาร เนื่องจากมีสิ่งกีดขวางทางไหลของน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และขาดระบบกระจายน้ำ โดยมีเป้าหมายของแผน 5 ด้าน รวม 62 โครงการ ประกอบด้วย แผนด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค แผนด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต แผนจัดการอุทกภัย แผนจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และแผนด้านการบริหารจัดการ . สำหรับตัวอย่างของโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค จ.สกลนคร โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำรอบหนองหาร โครงการปรับปรุงพนังกั้นน้ำ อาคารประกอบ และก่อสร้างแก้มลิง โครงการขุดลอกตะกอนดินในหนองหาร การวิจัยผลกระทบของการขุดลอกต่อระบบนิเวศในหนองหาร การสำรวจและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำทิ้งลงหนองหาร เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับสมัคร “1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” รอบ 2
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เปิดรับสมัคร “1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” รอบ 2 วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลขยายเวลารับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที่ 2 ที่จะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้การผลิตและปรับปรุงแปลงเกษตร การตลาด มาแปรรูป สร้างแบรนด์จำหน่ายร่วมกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อส่งเสริมแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่เน้นการพึ่งพาตนเองลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อวิกฤติต่าง ๆ และสร้างความมั่นคงทางอาหารในตำบลต่อไปได้ สำหรับเกษตรกรที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นใบสมัครด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือยื่นใบสมัครกับเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ตั้งแต่บัดนี้ – 22 ก.ย. 2563 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบนโยบายขับเคลื่อนงาน พส. ปี 2564 มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อกลุ่มเป้าหมาย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 รมว.พม. มอบนโยบายขับเคลื่อนงาน พส. ปี 2564 มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อกลุ่มเป้าหมาย รมว.พม. มอบนโยบายขับเคลื่อนงาน พส. ปี 2564 มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อกลุ่มเป้าหมาย วันนี้ (21 ก.ย. 63) เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบายโครงการประชุมถ่ายทอดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติราชการ นโยบายการขับเคลื่อนงานกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผ่านการประชุมทางไกล Video Conference โดยมี นายสุทธิ จันทรวงษ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด พส. ทั่วประเทศ เข้าร่วมงาน จำนวน 300 คน ณ โรงแรม อะเดรียติคพาเลซ กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้กำหนดให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) เป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนา ทั้งนี้ การขับเคลื่อนงานต่อไปในปี 2564 กระทรวง พม. ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานในพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม เพื่อการพัฒนาคุณภาพที่ดีและความมั่นคงในชีวิต จำเป็นต้องปรับการทำงานให้ทันต่อสถานการณ์ และนำเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายการทำงานด้านสังคม โดยเฉพาะอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ "อพม" ซึ่งถือเป็นหุ้นส่วนทางสังคมที่สำคัญในการสนับสนุนงานของกระทรวง พม. เป็นมือที่มองไม่เห็น เป็นผู้เสียสละเพื่อสังคม โดยเน้นการบูรณาการแบบ One Home One Heart One Team นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ขอเน้นย้ำให้ข้าราชการทุกระดับจัดทำแผนและวางเป้าหมายในการทำงาน 1 ปี และทำงานเชิงรุก ด้วยการลงพื้นที่รับฟังปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนทุกสัปดาห์ โดยมุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่าทำงานตามกระบวนการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพร้อมดูแล อสม. ทั่วประเทศ พร้อมโอนเงินเสี่ยงภัยให้ อสม. ทั่วประเทศ 7 เดือน วอนทุกคนไม่ประมาทร่วมมือเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19 ระลอก 2
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพร้อมดูแล อสม. ทั่วประเทศ พร้อมโอนเงินเสี่ยงภัยให้ อสม. ทั่วประเทศ 7 เดือน วอนทุกคนไม่ประมาทร่วมมือเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19 ระลอก 2 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพร้อมดูแล อสม. ทั่วประเทศ พร้อมโอนเงินเสี่ยงภัยให้ อสม. ทั่วประเทศ 7 เดือน วอนทุกคนไม่ประมาทร่วมมือเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19 ระลอก 2 วันนี้ (21 ก.ย.63) เวลา 10.00 น. ณ IMPACT FORUM Hall 4 ชั้น 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานรณรงค์เตรียมความพร้อม อสม. เฝ้าระวัง ป้องกัน การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกที่ 2 โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตซะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการ อสม. ประธาน อสม. และอสม. กว่า 2,000 คน เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ขณะนี้ว่า แม้สถานการณ์จะดีขึ้นและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัดและไม่ประมาท โดยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ซึ่ง อสม. เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันโรคในชุมชน ร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า อสม. ยังจะเป็นแกนนำ "รวมไทยสร้างชาติ" เพื่อให้เกิดความปลอดภัยด้านสุขภาพให้มากที่สุดและตลอดไปไม่ใช่เฉพาะเรื่องโควิด19 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานการณ์อื่น ๆ ของปัญหาสุขภาพอีกด้วย เช่น การเข้าไปให้ความรู้และดูแลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน เป็นต้น นายกรัฐมนตรีชื่นชมอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์แห่งจิตอาสา ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นด่านหน้าสำคัญ ในการเฝ้าระวัง คัดกรองกลุ่มเสี่ยง ป้องกันโรคโควิด 19 จนเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และประเทศไทยได้รับการชื่นชมจากสังคมทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานของ อสม. อย่างเต็มที่ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช่จ่ายในการที่ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่และนโยบายเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับ อสม. โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทน ชดเชย เยียวยา และเสี่ยงภัยให้กับ อสม. โดยในเบื้องต้น คณะรัฐมนตรีมีมติให้สนับสนุนค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นระยะเวลา 7 เดือน และจะยังคงดูแลให้ อสม. สามารถปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด 19 ระลอกที่ 2 อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยหวังว่าพลังความร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วนจะส่งผลให้ประเทศไทยก้าวผ่านภาวะวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยดี จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ทำพิธีเชิงสัญลักษณ์กดปุ่มโอนเงินค่าตอบแทน เยียวยา และเสี่ยงภัยให้กับ อสม. ทั่วประเทศ 1,054,729 คน ระยะเวลา 7 เดือน (เดือนละ 500 บาท) เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานของ อสม.ต่อไป โดยขอให้อสม. ใช้จ่ายเงินที่ได้รับให้เกิดประโยชน์สูงสุดเกิดการหมุนเวียนและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ ประธาน อสม. แห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทน อสม. ทั่วประเทศได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่สนับสนุนการทำงานของอสม. ด้วยดีมาโดยตลอด โดยอสม. ทุกคนให้คำมั่นร่วมกันเฝ้าระวัง ป้องกัน การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกที่ 2 ในชุมชน รวมทั้งปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเต็มกำลังความสามารถ _______________ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35262
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดจำหน่ายพันธบัตรเพื่อสังคม Social Bond ของการเคหะแห่งชาติ วงเงิน 6,800 ล้านบาท มุ่งบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ชวนนักลงทุนร่วมช่วยเหลือภาคสังคม
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ออมสินจัดจำหน่ายพันธบัตรเพื่อสังคม Social Bond ของการเคหะแห่งชาติ วงเงิน 6,800 ล้านบาท มุ่งบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ชวนนักลงทุนร่วมช่วยเหลือภาคสังคม การเคหะฯ ออกพันธบัตรเพื่อสังคม วงเงิน 6,800 ลบ. เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม ด้วยการสนับสนุนจาก สบน. ADB มีธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย การเคหะแห่งชาติออกพันธบัตรเพื่อสังคม วงเงิน 6,800 ล้านบาท เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) มีธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย เล็งปี 2564 ออกพันธบัตรเพื่อสังคมเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานงานแถลงข่าวการออกพันธบัตรเพื่อสังคมของการเคหะแห่งชาติและการลงนามในสัญญาการจัดจำหน่าย ระหว่างการเคหะแห่งชาติและธนาคารออมสิน โดยมี นายเอด วิบูลย์เจริญ ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ Mr.Hideaki Iwasaki, Thailand Country Director, Asian Development Bank และ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ร่วมในการแถลงข่าว ณ ห้องประชุมกำแพงเพชร ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) ของการเคหะแห่งชาติในครั้งนี้ เป็นการออกพันธบัตรเพื่อสังคมครั้งแรกของรัฐวิสาหกิจไทยตามนโยบายของ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ต้องการให้มีการระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมผ่านการลงทุนในพันธบัตรเพื่อสังคม โดยที่นักลงทุนยังได้ผลตอบแทนทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่สนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG Bond) ที่สนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจออกพันธบัตรเพื่อสังคม พันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน เพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้มาพัฒนาประเทศตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้ให้การรับรองและคำมั่นในการขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว สำหรับการออกพันธบัตรเพื่อสังคมของการเคหะแห่งชาติ ในครั้งนี้ เป็นการออกพันธบัตรเพื่อ Refinance การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยทั้งประเภท เช่า เช่าซื้อ และซื้อ ที่มีระดับราคาที่รับภาระได้ เป็นการขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 11 การทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานมนุษย์มีความยั่งยืนและประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ซึ่งจะมีประชาชนประมาณ 13,569 ครัวเรือน หรือประมาณ 54,000 คน ได้รับประโยชน์จากการออกพันธบัตรในครั้งนี้ ทั้งนี้ การออกพันธบัตรจะดำเนินการออกเป็น 3 ชุดคือ อายุ 5 ปี วงเงิน 1,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี วงเงิน 2,800 ล้านบาท และอายุ 15 ปี วงเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งการออกพันธบัตรเพื่อสังคมในครั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการแบบให้เปล่าจาก Asian Development Bank ทำให้การออกพันธบัตรเป็นไปตามมาตรฐานสากลของ International Capital Markets Association (ICMA) และ ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และในปี 2564 กคช. ตั้งเป้าหมายการออกพันธบัตรเพื่อสังคม หรือพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพื่อนำเงินที่ได้มาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารออมสินมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายพันธบัตรเพื่อสังคม หรือ Social Bond ของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 6,800 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกของรัฐวิสาหกิจไทยที่มีการออกพันธบัตรประเภทนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้คัดเลือกธนาคารออมสินให้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย พันธบัตรมีจำนวน 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.02% ต่อปี รุ่น 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.64% ต่อปี และรุ่น 15 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.90% ต่อปี กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย ทั้งนี้ ได้เปิดให้นักลงทุนแสดงความจำนงแล้วเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 และจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 22 กันยายน 2563 นี้ “ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีบริการทางการเงินครบวงจร รวมถึงการให้บริการธุรกรรมทางการเงิน เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ หรือตราสารหนี้ต่างๆ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะพันธบัตรของภาครัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปลงทุนและพัฒนาหลากหลายโครงการ เพื่อช่วยเหลือสังคมในภาพรวม ที่สำคัญเป็นหนึ่งในกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย โดยที่ผ่านมาธนาคารออมสินถือเป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรรัฐวิสาหกิจในระดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งการเป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย พันธบัตรเพื่อสังคมของการเคหะในครั้งนี้ นอกจากเป็นการให้บริการทางการเงินดังกล่าวแล้ว ยังสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานของธนาคารออมสินที่มุ่งเน้นการทำภารกิจด้านสังคม หรือ Social Bank เช่นเดียวกัน” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว ด้าน นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ กล่าวถึงนโยบายการออกพันธบัตรของการเคหะแห่งชาติในปี 2564 เพิ่มเติมว่า การเคหะแห่งชาติมีแผนการระดมทุนในรูปแบบการออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) หรือพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ซึ่งเป็นการจัดหาแหล่งเงินทุนในต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเคหะสุขประชา ซึ่งการเคหะแห่งชาติได้รับนโยบายให้จัดสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 100,000 หน่วย ในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 – 2569 โดยจัดสร้างปีละ 20,000 หน่วย และส่งมอบในวันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณ และประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้บุกรุกในพื้นที่สาธารณะได้มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย นอกจากนี้โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ มีแผนการออกแบบและก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามเกณฑ์ ECO-VILLAGE ของ กคช. หรือมาตรฐานการประหยัดพลังงาน เช่น บ้านเบอร์ 5 ที่การเคหะแห่งชาติร่วมดำเนินการกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย https://www.gsb.or.th/news/pr-social-bond/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงข่าวเตรียมออก Social Bond 6,800 ล้านบาท ดึงนักลงทุน ระดมเงินสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 พม. แถลงข่าวเตรียมออก Social Bond 6,800 ล้านบาท ดึงนักลงทุน ระดมเงินสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง พม. แถลงข่าวเตรียมออก Social Bond 6,800 ล้านบาท ดึงนักลงทุน ระดมเงินสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง วันนี้ (21 ก.ย. 63) เวลา 10.45 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) ของการเคหะแห่งชาติ และพิธีการลงนามในสัญญาการจัดจำหน่าย ระหว่างการเคหะแห่งชาติและธนาคารออมสิน โดยมี นายเอด วิบูลย์เจริญ ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ Mr. Hideaki Iwasaki Thailand Country Director, Asian Development Bank นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ร่วมงาน ณ ห้องประชุมกำแพงเพชร ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ นายปรเมธี กล่าวว่า การออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นการออกพันธบัตรเพื่อสังคมครั้งแรกของรัฐวิสาหกิจไทยตามนโยบายของ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ที่ต้องการให้มีการระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมผ่านการลงทุนในพันธบัตรเพื่อสังคม โดยที่นักลงทุนยังได้ผลตอบแทนทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่สนับสนุนการออก ESG Bond ที่สนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจออกพันธบัตรเพื่อสังคม พันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน เพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้มาพัฒนาประเทศตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้ให้การรับรองและคำมั่นในการขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นายทวีพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการออกพันธบัตรเพื่อสังคมครั้งนี้ เป็นการออกพันธบัตรเพื่อ Refinance การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยทั้งประเภท เช่า เช่าซื้อ และซื้อ ที่มีระดับราคาที่สามารถรับภาระได้ เป็นการขับเคลื่อนงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 11 การทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานมนุษย์มีความยั่งยืนและประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ซึ่งจะมีประชาชนประมาณ 13,569 ครัวเรือน หรือประมาณ 54,000 คน ได้รับประโยชน์จากการออกพันธบัตรเพื่อสังคมครั้งนี้ โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ อายุ 5 ปี วงเงิน 1,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี วงเงิน 2,800 ล้านบาท และอายุ 15 ปี วงเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะออกพันธบัตรในวันที่ 23 กันยายน 2563 ทั้งนี้ การออกพันธบัตรเพื่อสังคมครั้งนี้ ทาง กคช. ได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการแบบให้เปล่าจาก Asian Development Bank ทำให้การออกพันธบัตรเป็นไปตามมาตรฐานสากลของ International Capital Markets Association (ICMA) และ ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และในปี 2564 กคช. ได้ตั้งเป้าหมายการออกพันธบัตรเพื่อสังคม หรือพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพื่อนำเงินที่ได้มาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นายวิทัย กล่าวต่ออีกว่า ธนาคารออมสินมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) ของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 6,800 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกของรัฐวิสาหกิจไทยที่มีการออกพันธบัตรประเภทนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้คัดเลือกธนาคารออมสินให้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย (Syndication) พันธบัตรที่มีจำนวน 3 ชุด ได้แก่ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.02 ต่อปี อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.64 ต่อปี อายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.90 ต่อปี โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย ทั้งนี้ มีการเปิดให้นักลงทุนแสดงความจำนงแล้วเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 และจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 22 กันยายน 2563 นี้ นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2564 กคช. มีแผนการระดมทุนในรูปแบบการออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) หรือพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainbility Bond) ซึ่งเป็นการจัดหาแหล่งเงินทุนในต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเคหะสุขประชา ซึ่ง กคช. ได้รับนโยบายให้จัดสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 100,000 หน่วย ในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2564 – 2569 โดยจัดสร้างปีละ 20,000 หน่วย และส่งมอบในวันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ เพื่อให้เพื่อให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณ และประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้บุกรุกในพื้นที่สาธารณะได้มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ กคช. มีแผนการออกแบบและก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามเกณฑ์ ECO-VILLAGE ของ กคช. หรือมาตรฐานการประหยัดพลังงาน เช่น บ้านเบอร์ 5 ที่ร่วมดำเนินการกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชื่นชม อสม. ทำงานโควิด จัดค่าเยียวยา 7 เดือน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี ชื่นชม อสม. ทำงานโควิด จัดค่าเยียวยา 7 เดือน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ นายกรัฐมนตรีชื่นชม อสม.ช่วยเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 จัดสรรงบประมาณค่าตอบแทน เยียวยา และเสี่ยงภัยให้ อสม. 7 เดือน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ และสนับสนุนต่อเนื่องหากเกิดระลอกที่ 2 นายกรัฐมนตรีชื่นชม อสม.ช่วยเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 จัดสรรงบประมาณค่าตอบแทน เยียวยา และเสี่ยงภัยให้ อสม. 7 เดือน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ และสนับสนุนต่อเนื่องหากเกิดระลอกที่ 2 วันนี้ (21 กันยายน 2563) ที่อิมแพ็คฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จ.นนทบุรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการจัดงานรณรงค์เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกที่ 2 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมคุณนลินี หนูกุล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ป้าดี” อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จาก อ.ห้วยยอด จ. ตรัง ที่ปั๊มหัวใจช่วยชีวิตผู้ถูกไฟช็อตหมดสติและตกลงจากที่สูง มีอาการสาหัส ช่วยปั๊มหัวใจตามหลักการที่ได้ผ่านการอบรมนานถึง 20 นาที จนอาการดีขึ้นและส่งต่อให้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพนำส่งโรงพยาบาลจนอาการปลอดภัยในที่สุด ซึ่งเป็นตัวอย่างของคนเก่งคนดีในระบบสาธารณสุขมูลฐานที่เข้มแข็งของไทย เป็นหนึ่งใน อสม.นับล้านคนทั่วประเทศที่ทุ่มเทช่วยกันดูแลชุมชนของตนเอง เป็นจิตอาสาช่วยระบบการแพทย์และสาธารณสุข ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดโรคโควิด 19 ในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จนได้รับการยอมรับ ยกย่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คณะรัฐมนตรีเห็นถึงความเสียสละ การทำงานที่มีความเสี่ยงและทำงานต่อเนื่อง จึงมีมติสนับสนุนค่าตอบแทน ชดเชย เยียวยา และเสี่ยงภัยให้กับ อสม.เป็นระยะเวลา 7 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม - กันยายน 2563 และจะสนับสนุนอย่างต่อเนื่องหากเกิดการระบาดระลอกที่ 2 เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในการเตรียมความพร้อม เฝ้าระวัง ป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกที่ 2 นอกจากอสม.จะช่วยสอดส่องเฝ้าระวังแรงงาน หรือคนต่างถิ่นที่เข้ามาในชุมชน แล้ว ยังช่วยดูแลสุขภาพจิตของเพื่อนบ้านในครัวเรือนที่รับผิดชอบ เพื่อป้องกันภาวะเครียด ซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตาย ส่งต่อผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคด้วยตนเอง มีวินัย ให้ความร่วมมือ ปรึกษาคนรอบข้าง และย้ำเตือนการมีระยะห่างในการทำกิจกรรมทางสังคม รวมทั้งอสม.ต้องทำเป็นตัวอย่าง พัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ เป็นต้นแบบด้านพฤติกรรมสุขภาพ มีทักษะในการใช้แอปพลิเคชัน ร่วมสร้างตำบลวิถีชีวิตใหม่ให้ชุมชนร่วมกันจัดระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 ต่อเนื่อง สอดส่องเป็นตาสับปะรด และพัฒนาศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) เป็นศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยและส่งยา นอกจากนี้ หน้าที่สำคัญของ อสม. ยังเป็นหมอประจำบ้าน เป็นหมอประจำตัวคนแรกของคนในชุมชนตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” ช่วยหมออีก 2 คนคือ หมอสาธารณสุข ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระบบปฐมภูมิ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล/ หน่วยสาธารณสุขเทศบาล/ คลินิกอบอุ่นในกทม. และหมอเวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมทำงานเป็นทีมสุขภาพที่เป็นระบบ มีพื้นที่เป้าหมาย ข้อมูลบุคคล และการสื่อสารที่ชัดเจน ถือเป็น “มิตรแท้ใกล้ตัว ใกล้ใจ” ประชาชนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพของประเทศให้มีความมั่นคง ทั้งนี้ หมอ 3 คนที่จะดูแลประชาชน คือ หมอคนที่ 1 “อสม. หมอประจำบ้าน” 1,054,729 คนทั่วประเทศ อสม. 1 คนรับผิดชอบ 8–15 หลังคาเรือน ดูแลสุขภาพพื้นฐาน รวมทั้งผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ร่วมกับเครือข่ายต่างๆ โดยมีศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) และอสม. จะต้องสร้าง อสค. (อาสาสมัครประจำครอบครัว) 1 คนเพื่อดูแลครอบครัวของตนเอง, หมอคนที่ 2 “หมอสาธารณสุข” 1 คน รับผิดชอบประชาชน 1,250 คนหรือ 1-3 หมู่บ้าน ทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ หรือหมอครอบครัวตาม พ.ร.บ.สุขภาพปฐมภูมิ ดูแลประชาชนร่วมกับ อสม. และหมอคนที่ 3 “แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว” จากโรงพยาบาลชุมชน 1 คนลงไปปฏิบัติงานในรพ.สต. ดูแลประชาชน 10,000 คน ร่วมกับหมอสาธารณสุขและอสม.หมอประจำบ้าน ************************************** 21 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมมือช่วยให้สถานการณ์เรียบร้อย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมมือช่วยให้สถานการณ์เรียบร้อย -- #ไทยคู่ฟ้านายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แสดงความขอบคุณ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทุกคน ที่ช่วยกันทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี และทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการยั่วยุ เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น . รัฐบาลมีความมุ่งหวังให้ประชาชน มีสิทธิในการแสดงออกได้อย่างเต็มที่ภายใต้รัฐธรรมนูญและในกรอบของกฎหมาย ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีขอให้คนไทยทุกคนร่วมมือร่วมใจฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้ความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่ สามารถดำเนินการให้ผ่านพ้นไปด้วยความสำเร็จด้วยดีด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ญี่ปุ่น ยืนยันร่วมมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 ไทย-ญี่ปุ่น ยืนยันร่วมมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันในทุกระดับ โดยไทยแสดงความยินดีไปยังนายกรัฐมนตรีคนใหม่นายสึกะ โยชิฮิเดะ ที่จะนำพาให้ญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่งในทุกด้าน และแสดงความขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับความช่วยเหลือและความร่วมมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การมอบหน้ากาก N-95 การดูแลคนไทยในญี่ปุ่น ตลอดจนการอำนวยความสะดวกแก่คนไทยที่เดินทางกลับประเทศ ส่วนญี่ปุ่นยืนยันจะสานต่อนโยบาย และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ก้าวหน้าในทุกมิติ และทั้งสองฝ่ายยังเตรียมมาตรการผ่อนปรนการเข้าเมืองระหว่างกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ ครั้งที่ 9-1/2563
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 การประชุมคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ ครั้งที่ 9-1/2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการในคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ ครั้งที่ 9-1/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (21 กันยายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการในคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ ครั้งที่ 9-1/2563 โดยมีนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา 1. ความคืบหน้าการปฏิรูปสถาบันด้านการส่งเสริมผลิตภาพการมาตรฐานและนวัตกรรม 2. เห็นชอบให้ มกอช. ยื่นสมัครสมาชิกเพื่อขอทำความตกลงการยอมรับความเท่าเทียมด้านการรับรองระบบงานกับ APAC และ IAF โดยตรงในนาม มกอช. 3. การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการเฉพาะด้านและคณะอนุกรรมการ 4. เห็นชอบประกาศคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรองที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- แจ๋ว! ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 แจ๋ว! ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ -- #ไทยคู่ฟ้าการขับเคลื่อนนโยบายใช้ “ไม้ยืนต้น” เป็นหลักประกันทางธุรกิจถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีผู้ขอนำไม้ยืนต้นไปจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 111,365 ต้น มูลค่ารวมกว่า 132,169,000 ล้านบาท โดยอยู่ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี อุทัยธานี พิษณุโลก และอ่างทอง ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่อง และได้มอบวงเงินจดทะเบียนไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจให้แก่เกษตรกรทั้ง 4 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว . สำหรับเกษตรกรในจังหวัดอื่น ๆ ที่ต้องการจะนำไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ท่านสามารถขอรับคำปรึกษากับ ธ.ก.ส. ได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 0 2555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ยืนยัน ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพของไทยเป็นฐานการลงทุน
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ยืนยัน ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพของไทยเป็นฐานการลงทุน เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ยืนยัน ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพของไทยเป็นฐานการลงทุน วันนี้ (วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายนาชิดะ คาซูยะ (Mr. NASHIDA Kazuya) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่มีความใกล้ชิดเสมือนมิตรที่พึ่งพากันในยามยาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สะท้อนให้เห็นความเป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน ขอบคุณบทบาทเอกอัครราชทูตที่มีส่วนกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้งสองประเทศ และยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ เพื่อสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับ ยินดีที่ความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีความใกล้ชิดครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมทั้งชื่นชมความสำเร็จในการดำเนินมาตรการของไทยเพื่อควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพของไทย เป็นที่ชื่นชมจากทั่วโลก จนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนญี่ปุ่น ในการค้าการลงทุนกับไทย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันมากขึ้น ในทุกระดับ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือช่องทางพิเศษ (Special Arrangement: SA) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจ/ผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศเดินทางระหว่างกันในระยะสั้น โดยเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ เน้นย้ำว่า ภาคเอกชนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องการเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการค้าการลงทุน โดยรองนายกรัฐมนตรียินดีที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นให้ความสำคัญและต้องการเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งประเด็นนี้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และจะพิจารณาอย่างรอบด้านและรอบคอบเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจแต่ไม่ละเลยด้านมาตรการควบคุมโรค ซึ่งคาดว่าจะมีผลให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งขยายผลเกษตรแปลงใหญ่ช่วยภาคเกษตร
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เร่งขยายผลเกษตรแปลงใหญ่ช่วยภาคเกษตร -- #ไทยคู่ฟ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมมือกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ภายใต้นโยบายตลาดนำการเกษตร ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตเป็น และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ . ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับ คือ มีแหล่งรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร และเกษตรกรจะได้ทราบความต้องการของตลาด ซึ่งจะช่วยในเรื่องการวางแผนการผลิตได้ สำหรับผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเลือกหาได้ง่ายทั้งผัก และผลไม้ปลอดภัยผ่านห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้าคุณภาพไปทั่วประเทศไทย ปัจจุบันมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน 413,697 ครัวเรือน พื้นที่ 6,777,454 ไร่ จำนวนแปลงใหญ่ 6,926 แปลง สินค้าเกษตรประมาณ 90 รายการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การดื่มแอลกอฮอล์ สามารถช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 การดื่มแอลกอฮอล์ สามารถช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? การดื่มแอลกอฮอล์สามารถช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ Q : การดื่มแอลกอฮอล์ สามารถช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? A : การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ เหล้า ไวน์ ไม่สามารถช่วยป้องกัน การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และควรป้องกันด้วยการล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ที่เป็นไข้และมีอาการไอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35263