title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เน้นย้ำ หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัย ในช่วงปีใหม่ 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 มท.1 เน้นย้ำ หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัย ในช่วงปีใหม่ 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง มท.1 เน้นย้ำ หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัย ในช่วงปีใหม่ 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้ (22 ธ.ค. 65) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ จะเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ซึ่งพี่น้องประชาชนจะมีการจัดกิจกรรมและมีการจุดพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ในช่วงดังกล่าวที่จะมีสภาพอากาศหนาวเย็นและแห้ง รวมทั้งเป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน พี่น้องประชาชนมักจะเดินทางกับครอบครัว หรือญาติมิตร เพื่อไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยในช่วงวันหยุดเทศกาลที่มีวันหยุดหลายวันที่ผ่านมา มักจะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย อุบัติภัย สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอยู่บ่อยครั้ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและเฝ้าระวังอันตรายจากอัคคีภัย และอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินมาตรการด้านการเตรียมความพร้อม ด้วยการกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ป้องกันและระมัดระวังกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย และห้าม การเล่นพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง หรือการแสดงโดยใช้เทคนิคพิเศษ (Special Effect) ในอาคาร หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการลุกลามของอัคคีภัย โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ระบบสื่อสาร ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสามารถให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที และหมั่นตรวจตราพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งพื้นที่ชุมชน สถานประกอบการ อาคารสถานที่ โดยเฉพาะในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางไปหนาแน่น เส้นทางสัญจรทั้งถนนสายหลัก สายรอง และทางน้ำ หรือพื้นที่ที่มีสภาพเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย อาทิ พื้นที่ริมตลิ่ง โป๊ะ ท่าเทียบเรือ รวมถึงความปลอดภัยเรือโดยสาร พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ปรับปรุง ซ่อมแซม สถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความมั่นคง และแข็งแรงปลอดภัย “ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการสร้างการรับรู้ต่อประชาชนถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยและอุบัติภัย เช่น การเล่นพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ การปล่อยโคมลอย รวมถึงบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และเนื่องด้วยช่วงเวลาดังกล่าว มีสภาพอากาศหนาวเย็นและแห้ง เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยจากการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร จึงเน้นย้ำการรณรงค์ให้ประชาชนระมัดระวัง พร้อมทั้งให้หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า หากพบสภาพเก่าหรือชำรุด ควรเปลี่ยนอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัย” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าว พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวต่ออีกว่า ในด้านการเผชิญเหตุอัคคีภัยและอุบัติภัยต่าง ๆ ให้จัดชุดเจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) บูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจิตอาสา เฝ้าระวังสถานที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย อุบัติภัย และความปลอดภัยอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่จัดกิจกรรมที่มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเตรียมความพร้อมหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมอุปกรณ์ดับเพลิง กู้ชีพ กู้ภัย เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที และจัดให้มีการอำนวยความสะดวกจัดระเบียบจราจร เฝ้าระวังรักษาความปลอดภัย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ หากเกิดอัคคีภัย อุบัติภัย หรือสาธารณภัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก ให้ดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และรายงานให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางทราบโดยทันที #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. รับมอบรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2565
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 รฟม. รับมอบรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2565 ..... นายถนอม รัตนเศรษฐ ผู้ช่วยผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมเป็นผู้แทน รฟม. เข้ารับมอบรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2565 จาก นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการ สถาบันไทยพัฒน์ ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งรางวัลดังกล่าว สถาบันไทยพัฒน์ พิจารณามอบให้แก่บริษัทจดทะเบียน/หน่วยงานที่เป็นองค์กรสมาชิกประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainbility Disclosure Community: SDC) ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลความยั่งยืนต่อสาธารณะในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ รฟม. มีการเผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปีมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ได้รับกิตติกรรมประกาศ (Sustainability Disclosure Acknowledgement) ต่อมาในปี 2563 และ 2564 ได้รับประกาศเกียรติคุณ (Sustainability Disclosure Recognition) และปีปัจจุบัน 2565 นี้ นับเป็นครั้งแรกที่ รฟม. ได้รับรางวัลในระดับสูงสุดคือ รางวัลเกียรติคุณ (Sustainability Disclosure Award) อันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสื่อสารผลการดำเนินงานของ รฟม. อย่างครอบคลุมทุกมิติความยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี จนมีพัฒนาการตามลำดับขั้น ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62998
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ย้ำ ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด เร่ง Re X-Ray ในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอประชาชนให้โอกาสผู้หลงผิด ได้กลับตัวเป็นคนดีของสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 ปลัด มท. ย้ำ ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด เร่ง Re X-Ray ในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอประชาชนให้โอกาสผู้หลงผิด ได้กลับตัวเป็นคนดีของสังคม ปลัด มท. ย้ำ ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด เร่ง Re X-Ray ในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอประชาชนให้โอกาสผู้หลงผิด ได้กลับตัวเป็นคนดีของสังคม เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การทำสงครามกับยาเสพติด กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ทุกพื้นที่ Re X-Ray อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภัยทางสังคมที่อาจเกิดจากยาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ เนื่องจากปัญหายาเสพติดส่งผลกระทบทั้งมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และปัญหาอื่น ๆ ฉะนั้น การบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนจึงมีความสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากประเทศ ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาทุกพื้นที่ได้มีการรายงานผลการปฏิบัติทั้งด้าน การป้องกัน ปราบปราม และการบำบัดรักษา จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ สาธารณสุข ฯลฯ โดยในด้านการบำบัดรักษา เช่น จังหวัดอุทัยธานี อำเภอห้วยคต ได้นำตัวผู้ป่วยยาเสพติดจากชุมชนเป้าหมายเข้าสู่ระบบบำบัด 5 คน จังหวัดแพร่ อำเภอเมืองและอำเภอวังชิ้น ลงพื้นที่ชุมชนและสถานประกอบการสุ่มตรวจปัสสาวะผู้ต้องสงสัย พบสารเสพติดรวม 9 คน และได้นำเข้าสู่ระบบบำบัดต่อไป เป็นต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่จังหวัดสกลนคร นายคณศวร เกษอินทร์ นายอำเภอบ้านม่วง นำกำลังเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง จากกรณีมีกลุ่มบุคคลในพื้นที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบพบชายวัยรุ่น 5 คน เป็นชาวลาว 1 คน กำลังเสพยาเสพติดและสูบกัญชา เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้นพื้นที่พบยาบ้า 119 เม็ด และจากการสอบสวนทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขบวนการลักลอบขนส่งยาเสพติดจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยในบริเวณฝั่งลาว ซึ่งอาจเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งข้อกล่าวหา "ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต" พร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวน และ แจ้งประสานงาน ป.ป.ส. ทำการขยายผลตามกฎหมายต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อช่วยกันขจัดภัยยาเสพติดให้หมดสิ้นไป โดยขอให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแล และการให้ข้อมูลสำคัญกับทางราชการ และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่มีส่วนสำคัญในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ต่าง ๆ จึงขอยกตัวอย่างผลการดำเนินงาน ดังนี้ 1. จังหวัดชัยภูมิ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ พ.ต.อ.เชษฐา เชยชุ่ม รอง ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ แถลงข่าวการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาล จ.ภูเขียว เข้าจับกุมนายสมัครชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ชาวกรุงเทพฯ และ น.ส.วริสรา (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี ซึ่งเป็นชาวขอนแก่น 2 สามี ภรรยา ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งได้หลบหนีการจับกุม พร้อมด้วยของกลาง เป็นยาบ้ารวม 100,418 เม็ด และ เคตามีน จำนวน 2 ถุง รวมน้ำหนักประมาณ 292 กรัม ซึ่งจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 2. จังหวัดมุกดาหาร นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ได้รับรายงานว่าได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวจะมีการขนถ่ายลำเลียงยาเสพติดจึงได้สั่งการเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามและสืบสวน ทั้งการตั้งด่านเส้นทางในพื้นที่ การสะกดรอยซุ่มสังเกตการณ์ตลอดแนวแม่น้ำโขง กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมมองเห็นรถต้องสงสัยจอดติดไฟแดงที่แยกโพนทราย จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจค้น แต่รถคันดังกล่าวได้ขับหลบหนี กระทั่งถึงบริเวณสะพานห้วยหวายดิน ต.พังแดง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร รถของเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้ติดตามจนทัน ตรวจสอบพบคนขับทราบชื่อนายธนาทรัพย์ หรือแบ็งค์ ส่วนคนโดยสารข้างคนขับทราบชื่อ นายอนุพงษ์ หรือโจ้ ทั้งสองคนรับว่าในแคปหลังคนขับมีกระสอบยาบ้าจำนวน 3 กระสอบ จำนวน 71 ห่อ แบ่งเป็น ห่อละ 3 มัด (6,000 เม็ด) จำนวน 67 ห่อ และห่อละ 2 มัด (4,000 เม็ด) จำนวน 4 ห่อ รวมของกลางยาบ้าทั้งหมด ประมาณ 418,000 เม็ด จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง ขยายผลตรวจค้นบ้านของนายธนาทรัพย์ฯ พบอาวุธปืนสั้น ไม่มีทะเบียน จำนวน 1 กระบอก พร้อมแม็กกาชีน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 แม็ก เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 3. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.ปส.4 ได้สืบสวนขยายผลแกะรอยนักค้ารายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ สามารถจับผู้ต้องหา 4 คน คือ 1. นายยามีน อายุ 45 ปี 2. น.ส.รัชนีกร อายุ 26 ปี 3. นายสุเทพ อายุ 33 ปี 4. น.ส.ชัญญานุช อายุ 36 ปี ในพื้นที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 400,000 เม็ด รถยนต์ 2 คัน ซึ่งใช้ซุกซ่อนยาเสพติด และเป็นรถนำทางล่วงหน้า โดยแจ้งข้อหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” และ หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุราษฎร์ธานี กก.2 บก.ปส.4 ได้สนธิกำลังฝ่ายปกครอง ทหาร และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภาค 8 ระดมกวาดล้าง ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายยาเสพติด “เครือข่ายเฮโรอีนขนส่งทางพัสดุเอกชน” ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จับกุม นายประกายพฤฒิ อายุ 26 ปี พร้อมของกลาง อาวุธปืนลูกซอง จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด .22 มม. จำนวน 50 นัด และจับกุมนายธีรภัทร พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) น้ำหนักรวมถุง 1.42 กรัม จึงนำตัวไปสืบสวนขยายผลและติดตามเครือข่ายที่เหลือต่อไป 4. จังหวัดปราจีนบุรี พ.ต.อ.ณัฐจักร จันลา ผกก.สภ.กบินทร์บุรี ได้สั่งการให้งานป้องกันปราบปราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.กบินทร์บุรี ออกตรวจบริเวณปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี มีรถยนต์กระบะต้องสงสัยพบวัยรุ่นจำนวน 3 คน ท่าทีมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นพบยาบ้า 7 ถุง จำนวน 1,403 เม็ด จึงจับกุมทั้ง 3 ราย ทราบชื่อต่อมาคือนายบูร อายุ 43 ปี (หัวหน้าแก๊ง) นายต้น และ นายโอ๊ก ทั้งหมดเป็นชาวอำเภอประจันตคาม ก่อนที่จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขยายผลต่อไป 5. จังหวัดนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหน่วยงานความมั่นคง แถลงข่าวการจับกุมตัวผู้ต้องหายาเสพติดคนสำคัญ คือ นายมงคล หรือ อายุ 40 ปี หรือที่รู้จักในชื่อ “เสี่ยหวี ท่าหลา” ชาวหมู่ 5 ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้การจับกุมคดียาเสพติดในพื้นที่รายหนึ่งก่อนที่จะมีการขยายผลผู้ต้องหาได้ซัดทอดว่า ได้ซื้อยาเสพติดมาจากเสี่ยหวี จึงขอหมายค้นจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนที่จะจู่โจมเข้าทำการตรวจค้นสามารถจับกุมนายมงคล ไว้ได้และเมื่อตรวจค้นในบ้านพบว่ามีการซุกซ่อนยาเสพติดเป็นยาบ้า 129 เม็ด ไอซ์ 7 ถุง รวม 24.4 กรัม และยังซุกซ่อนเงินสดไว้ในล้อรถมากกว่า 1.3 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดและนำมาขยายผล โดยได้นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการปราบปรามจับกุมแล้ว การให้โอกาสผู้ป่วยยาเสพติดที่กลับตัวกลับใจนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง การให้บุคคลเหล่านี้กลับมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับชุมชน และเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคงเเข็งแรง นำไปสู่สังคมไทยที่มีความมั่นคงเเละยั่งยืนในทุกมิติ ตามหลัก Change for Good ของกระทรวงมหาดไทย จึงขอให้ทุกคนช่วยเป็นแรงใจ ให้กำลังใจแก่ผู้หลงผิดที่กลับตัวมาเป็นคนดีของสังคมด้วย และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำความความผิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมอาจก่อให้เกิดภัยแก่สังคมให้รีบเเจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือเจ้าหน้าที่ใกล้บ้าน ตามช่องทางการเเจ้งเบาะเเส หรือการร้องเรียนที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-อินเดีย ลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จัดนิทรรศการกระตั้วแทงเสือ สานสัมพันธ์ไทย-อินเดียครบ 75 ปี 22 ธ.ค. 65 – 11 ม.ค. 66
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 ไทย-อินเดีย ลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จัดนิทรรศการกระตั้วแทงเสือ สานสัมพันธ์ไทย-อินเดียครบ 75 ปี 22 ธ.ค. 65 – 11 ม.ค. 66 ไทย-อินเดีย ลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จัดนิทรรศการกระตั้วแทงเสือ สานสัมพันธ์ไทย-อินเดียครบ 75 ปี 22 ธ.ค. 65 – 11 ม.ค. 66 ขยายผลทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในระดับประเทศ ไทย-อินเดีย ลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จัดนิทรรศการกระตั้วแทงเสือ สานสัมพันธ์ไทย-อินเดียครบ 75 ปี 22 ธ.ค. 65–11 ม.ค. 66 ขยายผลทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในระดับประเทศ วันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย กับH.E.Mr. G.Kishan Reddyรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ผ่านทางระบบทางไกล โดยมีH.E. Mr. Nagesh Singhเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ในโอกาสนี้ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอินเดีย ในปี 2565 กระทรวงวัฒนธรรมของสองประเทศได้ร่วมจัดฉายวีดิทัศน์การพัฒนาสื่อการแสดง“การละเล่นกระตั้วแทงเสือ”การแสดงร่วมสมัยชุด กระตั้วแทงเสือ และการแสดงทางวัฒนธรรมManipuri DanceจากอินเดียLIVE Streamingจากกรุงนิวเดลีด้วย นอกจากนี้ ยังได้จัดนิทรรศการชั่วคราวเกี่ยวกับกระตั้วแทงเสือและความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดีย ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ถึง 11 มกราคม 2566 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสาธารณรัฐอินเดียได้ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยในปีพ.ศ. 2565 ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบจัดทำ "โครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย”(Cultural Exchange Programme between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of India)ระหว่างปี พ.ศ. 2565–2570 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินเดียให้ขยายผลยิ่งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีศักยภาพ อาทิ ดนตรีและการเต้นรำ โบราณคดี และจดหมายเหตุ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี และครบรอบ 80 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินเดียในปี พ.ศ. 2565 และ พ.ศ. 2570 ด้วย เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนสองฝ่ายมีความเข้าใจด้านวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน และเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองฝ่ายต่อไป //////
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63012
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนทางการเงิน 500 ล้านบาท บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายตลาดสินค้าอาหารในไทยและต่างประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 EXIM BANK สนับสนุนทางการเงิน 500 ล้านบาท บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายตลาดสินค้าอาหารในไทยและต่างประเทศ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และประธานกรรมการ TFMAMA ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ในรูปแบบวงเงินหมุนเวียน จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องและศักยภาพในการผลิตสินค้าอาหาร รองรับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานกรรมการบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) (TFMAMA) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ในรูปแบบวงเงินหมุนเวียน จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องและศักยภาพในการผลิตสินค้าอาหาร รองรับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดใหม่ (New Frontiers) อาทิ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยมีนายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ TFMAMA และนายวสันต์ บุญสัมพันธ์กิจ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและการลงทุน TFMAMA ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ TFMAMA สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ TFMAMA ในครั้งนี้ ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่างประเทศในแอฟริกาและ New Frontiers ซึ่ง TFMAMA มีประสบการณ์ในการพัฒนาสินค้าอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมายาวนานกว่า 50 ปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การสนับสนุนสภาพคล่องและเสริมศักยภาพในการผลิตสินค้าของ TFMAMA จะช่วยให้บริษัทมีความพร้อมมากยิ่งขึ้นที่จะขยายกำลังการผลิตและพัฒนาสินค้ารองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเป็นการสนับสนุนการขยายตลาดส่งออกสินค้าอาหารของไทยไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพและความต้องการสินค้าอาหารของไทย “EXIM BANK พร้อมนำผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจรวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย ก้าวไปสู่โลกยุค Next Normal ด้วยจุดยืน ‘กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย’ ผลักดันผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพให้บุกตลาดต่างแดนมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสของผู้ประกอบการไทยตลอดทั้ง Supply Chain สร้างนักรบเศรษฐกิจไทยในเวทีโลกได้เพิ่มมากขึ้น ผลักดันการเติบโตของภาคการส่งออกและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยและภูมิภาคอาเซียน” ดร.รักษ์ กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4 EXIM Thailand Renders Financial Support of 500 Million Baht for Thai President Foods to Boost Production Efficiency and Expand Food Product Markets in Thailand and Abroad Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Mr. Pipat Paniangvait, Chairman of the Executive Board and CEO of Thai President Foods Plc. (TFMAMA), jointly signed an EXIM Thailand credit facility agreement worth 500 million baht in the form of a revolving credit at TFMAMA Head Office on December 22, 2022, which was witnessed by Mr. Pun Paniangvait, Manager of TFMAMA President’s Office, and Mr. Wasan Boonsampankit, Manager of TFMAMA Finance and Investment Department. The credit facility aims to enhance TFMAMA’s liquidity and potential for manufacturing of food products to serve its expansion both at home and abroad, particularly in such new frontiers as the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam). EXIM Thailand President revealed that EXIM Thailand has provided this working capital support for TFMAMA as the Bank has envisaged Thai entrepreneurs’ high potential for building food security for Thailand and abroad especially in new markets like African countries and new frontiers. TFMAMA has been well recognized for its more than 50 years of experience in and earning of acceptance for its development of Thai food products both domestically and overseas. This liquidity and production potential enhancement support would ensure TFMAMA’s greater capabilities to expand production capacity and innovate products that would better fulfill demand of consumers of the new era both in Thailand and beyond. It would also serve Thailand’s expansion of food export to a greater extent in new markets with bright prospects and high demand for Thai food products. “EXIM Thailand is ready to bring Thai entrepreneurs of all sizes and all businesses along with Thai public and private sectors to move toward the Next Normal world based on our tagline, ‘One Step Ahead for All Development.’ It is our determination to empower Thai entrepreneurs with good potential so that they would be able to penetrate markets beyond Thailand, paving the way for Thai entrepreneurs throughout the supply chain and getting Thai economic warriors fully armed on the global front. This would subsequently help drive Thai export growth and sustainable development of Thailand and ASEAN at large,” added Dr. Rak. For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบนโยบายหน่วยงาน กอ.รมน. และส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องไปสู่การปฏิบัติ หวังผลสัมฤทธิ์ที่สูงยิ่งขึ้นในงานรักษาความมั่นคง และงานพัฒนา โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 นายกฯ มอบนโยบายหน่วยงาน กอ.รมน. และส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องไปสู่การปฏิบัติ หวังผลสัมฤทธิ์ที่สูงยิ่งขึ้นในงานรักษาความมั่นคง และงานพัฒนา โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ มอบนโยบายหน่วยงาน กอ.รมน. และส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องไปสู่การปฏิบัติ หวังผลสัมฤทธิ์ที่สูงยิ่งขึ้นในงานรักษาความมั่นคง และงานพัฒนา โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทำให้ประเทศไทยปลอดภัย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (22 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 1/2565 และเป็นประธานสรุปผลการปฏิบัติงานและแถลงแผนการปฏิบัติงานประจำปีของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพื่อให้ผู้บริหาร กอ.รมน. (ส่วนกลาง) กอ.รมน.ภาค กอ.รมน.จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง รับทราบผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แผนการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และนำนโยบายนายกรัฐมนตรียึดเป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานต่อไป โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านความมั่นคง คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐวุฒิสภา หัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคง ผอ.รมน.ภาค ผอ.รมน.จังหวัด และผู้บริหารของ กอ.รมน. เข้าร่วมงาน ภายหลังการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินการของ กอ.รมน. ที่ผ่านมาซึ่งเกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่และโดยรวมของประเทศ เช่น การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (ภาคเหนือโมเดล) ตามการขับเคลื่อน BCG Model ของรัฐบาล แอปพลิเคชันแผนที่สถานการณ์ร่วม (Common Operation Map: COM) การสร้างเครือข่ายเยาวชน ตามศาสตร์พระราชาในศูนย์การเรียนรู้ สู่การสร้างอาชีพ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลดงขี้เหล็ก ตำบลต้นแบบ ของจังหวัดปราจีนบุรี ภายใต้วิสัยทัศน์ตำบลดงขี้เหล็ก “ดงขี้เหล็กน่าอยู่ เชิดชูคุณธรรม เลิศล้ำการเกษตร เป็นเขตท่องเที่ยว” โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการดำเนินงานของ กอ.รมน. ที่บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนจนเกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย พร้อมแนะนำให้มีการศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นระหว่างกัน เพื่อสามารถนำปรับใช้ได้ให้สอดคล้องกับบริบทและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนทั้งในระดับพื้นที่และโดยรวมอย่างแท้จริง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายหน่วยงาน กอ.รมน. และหัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง โดยกล่าวในฐานะนายกรัฐมนตรี และ ผอ.รมน.ว่า มีความคาดหวังผลสัมฤทธิ์ที่สูงยิ่งขึ้นไป ทั้งในงานรักษาความมั่นคง เพื่อสนับสนุนแผนงานต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และงานพัฒนา ที่สอดรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ (SDGs) ของสหประชาชาติ โดยที่จะต้อง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมอบแนวทางการทำงานร่วมกัน ในปีงบประมาณ 2566 ด้วยหลักการ “5 ป” ได้แก่ (1) “ป1” คือ ขอให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง เช่น เรื่อง “ตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ซึ่งหัวใจสำคัญ คือ การทำงานใกล้ชิดกับประชาชน และรับฟังเสียงของประชาชน แล้วแปลงไปสู่แผนการปฏิบัติ ทั้งใน มิติการพัฒนา มิติความมั่นคง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้ง กอ.รมน. ต้องสร้างศรัทธา ความเชื่อมั่น และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อสาธารณชน โดยการทำงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ เป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์ ตลอดจนใช้จ่ายงบประมาณตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายต่าง ๆ โดยเคร่งครัด มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ประหยัด คุ้มค่า ตรวจสอบได้ด้วยการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ “ITA” (ไอ-ที-เอ) (2) “ป2” คือ ต้องปฏิรูปการทำงาน ตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การแก้ปัญหา และการให้บริการประชาชน ทั้งยกระดับการทำงานภายใน กอ.รมน. เอง และการสนับสนุนงานของรัฐบาลในภาพรวมด้วย เช่น การแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนนั้น รัฐบาลได้พัฒนา “ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า” หรือ TPMAP (ที-พี-แม็ป) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการ เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อม ๆ กันทั้ง 5 ด้าน คือ รายได้ การศึกษา สุขภาพ ความเป็นอยู่ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ ตลอดจนนโยบายอื่น ๆ เช่น การแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน โครงการเพชรในตมที่เน้นพัฒนาคน-เด็กด้อยโอกาสด้วยการศึกษา เป็นต้น โดยขอให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยยึดหลัก“อยู่รอด ปลอดภัย พอเพียง ยั่งยืน” เพื่อการเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ดีกว่า (3) “ป3” คือ การทำงานอย่างประสานสอดคล้อง และเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน อย่างไร้รอยต่อ มุ่งขยายเครือข่ายประชาชน และกระชับกลไก “ประชารัฐ” ทั่วประเทศ ตลอดจนเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ ในฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” โดยเฉพาะ “เครือข่ายข่าวภาคประชาชน” จะมีส่วนสำคัญในการ “ต่อหู เพิ่มตา” ในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน ตลอดจนเติมเต็มฐานข้อมูลด้านการข่าวให้เป็นปัจจุบัน พัฒนาระบบสารสนเทศด้านการข่าวให้ทันสมัย และบูรณาการหน่วยในประชาคมข่าว รวมถึงปัญหาที่ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากชาติพันธมิตรด้วย เช่น การฉ้อโกงข้ามชาติ ยาเสพติดข้ามชาติ การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ และบุคคลสองสัญชาติ เป็นต้น (4) “ป4” คือ ขอให้ประยุกต์หลักการทรงงาน ศาสตร์พระราชา และหลักวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการทำงานได้เหมาะสมกับแต่ละภารกิจและสถานการณ์ เช่น เผยแพร่องค์ความรู้ “โคก หนอง นา โมเดล” ให้ประชาชนเข้าใจอย่างแท้จริง รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร ในการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่-น้ำ-ดิน การสำรวจและจัดทำข้อมูลแหล่งน้ำ ทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อยืนยันว่าแต่ละพื้นที่ควรจะปลูกพืชชนิดใด เป็นต้น โดยปัจจุบัน รัฐบาลได้ริเริ่ม “โครงการข้าวรักษ์โลก BCG Model” ที่มุ่งปฏิรูปกระบวนการปลูกข้าวของไทย ให้มีต้นทุนลดลง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้อยากให้ช่วยกันปลูกป่าในใจคน ผ่านโครงการ “ป่าชุมชน” ช่วยให้คนรักป่า -อยู่กับป่า เป็น Food Bank เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มคาร์บอนเครดิต ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน ตลอดจนรณรงค์ปลูกไม้ยืนต้น โดยเฉพาะไม้มีค่า ที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในอนาคตด้วย (5) “ป5” คือ ให้ความสำคัญกับงานประชาสัมพันธ์ โดยมุ่งสร้างการตระหนักรู้ ทำความเข้าใจ และแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยใช้ช่องทางสื่อสารดั้งเดิม วิทยุชุมชน หอกระจายข่าว ควบคู่เพิ่มช่องทางออนไลน์ สื่อโซเชียล บนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้มากขึ้นด้วย เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ และกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีการปลูกฝังและถ่ายทอดแนวความคิดที่ไม่ดี และไม่เหมาะสมให้กับเยาวชนไทย ทั้งด้านการเมือง สถาบันหลักของชาติ ตลอดจนการเผยแพร่ Fake News ในสื่อโซเชียล ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความแตกแยก รวมถึงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีลักษณะคล้ายกัน โดยฝ่ายตรงข้ามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยเพิ่มการปลุกระดมเยาวชน แทนการใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องเร่งการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์เชิงรุกในทุกแพลตฟอร์ม ใช้น้ำดี ไล่น้ำเสีย และสร้างภูมิคุ้มกันในสังคมให้เข้มแข็ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงกุญแจสู่ความสำเร็จ สำหรับ กอ.รมน. ว่า นอกจากการยึดหลัก “5ป” ข้างต้น เป็นแนวทางในการทำงานแล้ว การพัฒนาศักยภาพ บุคลากรของ กอ.รมน. ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพ และคุณภาพการปฏิบัติงานในทุกระดับ อีกทั้งมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน สามารถขับเคลื่อนและประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานอื่น ภาคส่วนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีด้วย พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันทำงานทุกภารกิจ รวมทั้งด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ที่ส่งผลให้สถานการณ์การค้ามนุษย์ในไทยได้รับการยกระดับที่ดีขึ้นและพยายามยกระดับให้เป็นระดับที่ดียิ่งขึ้นต่อไป สำหรับผลการดำเนินการของ กอ.รมน. ในปี 2565 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์ชาติระยะที่ 1 นั้น กอ.รมน. ได้มีการขับเคลื่อนการรักษาความสงบภายในประเทศ ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (1) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ โดยขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ/ศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องและตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสถาบันหลักของชาติ (2) การบูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด กอ.รมน. ได้บูรณาการจัดตั้งศูนย์อำนวยการฯ ร่วมกับ ปปส. ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการเข้าไปพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง เพื่อป้องกันภัยจากยาเสพติดในหมู่บ้านแกนหลักทั้งสิ้น จำนวน 1,240 หมู่บ้าน (3) การบริหารจัดการผู้หลบหนีเข้าเมือง กอ.รมน. ได้บูรณาการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขยายผลจับกุมขบวนการผู้นำพา จำนวน 2,626 คน และผู้ลักลอบเข้าเมืองได้มากกว่า 120,000 คน พร้อมกับสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชน (4) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ได้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนใน 17 จังหวัด เพื่อแจ้งเตือน/เฝ้าระวัง และเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ รวมถึงในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ที่ผ่านมา (5) การแก้ไขปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยในปีนี้ ผลจากการจับกุมของทุกส่วนราชการมีมูลค่าถึง 173 ล้านบาท ส่งผลให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาประกาศยังคงให้ไทยมีสถานะจับตามอง (6) การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เน้นมิติด้านความมั่นคงและการพัฒนา การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7) การส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 15) และการเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.29) ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล "สมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา"
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 พม. จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล "สมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา" พม. จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล "สมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา" เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 65เวลา 08.40 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัดพม.) นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของหน่วยงานส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยพร้อมเพรียงกัน นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สำหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ประกอบด้วย พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป จุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายธูปเทียนแพ หน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์ พร้อมสวดบทโพชฌังคปริตร และถวายเครื่องไทยธรรมพระสงฆ์ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี ขอให้ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยสมบูรณ์ปราศจากโรคาพาธและอุปัทวันตราย ทั้งปวง ขอพระเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศานุทิศ ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทย ตลอดกาลนิรันดร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบการดำเนินมาตรการ/โครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้ สังกัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบการดำเนินมาตรการ/โครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียม จำนวน 5 มาตรการ ได้แก่ 1.1 มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 2566” มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี รวมถึงส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่นและการอ่าน อีกทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักรให้กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงค่าซื้อหนังสือและค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยแบ่งเป็น (1) ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวนไม่เกิน 30,000 บาท จะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบกระดาษหรือใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากร และ (2) ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวนไม่เกิน 10,000 บาท จากส่วนที่เกิน (1) จะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าสินค้าและบริการบางชนิด ได้แก่ ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ ค่าซื้อยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าซื้อหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ค่าบริการจัดนำเที่ยว ค่าที่พักในโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต และค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว (ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2566 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 แม้จะจ่ายค่าบริการในช่วงระยะเวลามาตรการ) และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด 1.2 มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 (มาตรการลดภาษีที่ดินฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ภาษีที่ดินฯ) ให้แก่ผู้เสียภาษี เนื่องจาก 1) สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 2) สิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีให้แก่เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมและการบรรเทาภาษีกรณีผู้เสียภาษีที่ดินฯ ที่มีภาระภาษีที่ดินฯ มากกว่าภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ ในปี 2562 ในช่วง 3 ปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ (2563-2565) และ 3) มีการเพิ่มขึ้นของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในปี 2566 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ดินฯ โดยมาตรการดังกล่าวจะให้ลดภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ของปีภาษี พ.ศ. 2566 ยกตัวอย่างเช่น กรณีมีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 1 ล้านบาท ใช้ประกอบกิจการ เช่น ร้านขายของชำ ร้านตัดผม ร้านขายอาหารตามสั่ง โรงงาน อาคารสำนักงาน เป็นต้น ปกติจะมีภาระภาษี 3,000 บาท แต่จะได้รับการลดภาษีจากมาตรการลดภาษีที่ดินฯ 450 บาท คงเหลือภาษีที่ต้องชำระ 2,550 บาท และตัวอย่างกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับลดภาษีในอัตราร้อยละ 50 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้อยู่แล้ว เช่น โรงผลิตไฟฟ้า เขื่อน เป็นต้น จะได้รับการลดภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้หลังจากได้รับการลดภาษีร้อยละ 50 แล้ว อย่างไรก็ดี ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการลดภาษีร้อยละ 90 แล้ว เช่น สวนสัตว์ สวนสนุก สถานที่เล่นกีฬา เป็นต้น จะไม่ได้รับการลดภาษีตามมาตรการลดภาษีที่ดินฯ เพิ่มเติมอีก 1.3 มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 (มาตรการลดค่าธรรมเนียมฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและลดภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ และสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมาตรการดังกล่าวจะให้ลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านมือ 1 และมือ 2) เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 1.4 มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานภายในประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล และบรรเทาผลกระทบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสายการบินภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้บินในประเทศ จากลิตรละ 4.726 บาท เหลือลิตรละ 0.20 บาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 1.5 มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยให้สิทธิยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 สำหรับผู้ประกอบการที่ประสงค์จะประกอบกิจการต่อเนื่อง ณ สถานประกอบการเดิม ประเภทใบอนุญาตเดิม ที่ยื่นคำขอระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 2. มาตรการ/โครงการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้จัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ประกอบด้วย มาตรการคืนเงินหรือลดอัตราดอกเบี้ย สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ รางวัลพิเศษของสลากออมสิน การลดค่างวดการผ่อนชำระ และการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 15 โครงการ (เอกสารแนบ) ได้แก่ ธนาคารออมสิน จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 2.1 โครงการวินัยดี มีเงิน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับลูกค้าที่มีวินัยทางการเงิน สำหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท มีประวัติการชำระหนี้ดี ไม่น้อยกว่า 3 ปี จะได้รับเงินรายละ 500 บาท ซึ่งสามารถกดรับสิทธิผ่าน MyMo ได้ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2565 2.2 โครงการสลากออมสิน ดิจิทัล 2 ปี ฉลองปีใหม่ 2566 เพื่อส่งเสริมการออมผ่านสลากออมสินพิเศษดิจิทัล สำหรับผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ทั้งใบสลากและดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 โดยเพิ่มรางวัลพิเศษรางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 12 รางวัล สำหรับงวดวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และอีก 12 รางวัล สำหรับงวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 2.3 โครงการชำระดีมีคืน ปีบัญชี 2565 สำหรับลูกค้าเกษตรกรที่เป็นหนี้ปกติ ณ ปีบัญชี 2565 จำนวน 3 ล้านราย โดยเมื่อชำระดอกเบี้ยตามสัญญาที่มีสิทธิ์จะได้รับการคืนดอกเบี้ยเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธ.ก.ส. กำหนด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 และสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 หรือเมื่อครบกำหนดวงเงินที่ ธ.ก.ส. กำหนด 2.4 โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่มีสถานะเป็นหนี้ NPL หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธ.ก.ส. กำหนด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 2.5 มาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า ปีบัญชี 2565 โดยลูกค้าเกษตรกรที่เป็นหนี้ปกติ ณ ปีบัญชี 2565 สามารถขอยื่นกู้สินเชื่อเพิ่มเติมได้ 2.6 มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อเพื่อการปรับตัว) ปีบัญชี 2565 โดยลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่สามารถยื่นขอสินเชื่อ โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งนี้ ต้องยื่นขอภายในวันที่ 9 เมษายน 2566 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 1 โครงการ คือ 2.7 โครงการของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงินสำหรับลูกค้า ธอส. เพื่อส่งเสริมการมีวินัยทางการเงินในการผ่อนชำระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย เติมกำลังซื้อเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงเทศกาลปีใหม่ และประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าดาวน์โหลดและใช้งาน Application “GHB ALL” หรือ “GHB ALL GEN” สำหรับการจ่ายชำระหนี้เงินกู้ โดยได้รับเงินรายละ 1,000 บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) จำนวน 3 มาตรการ/โครงการ ได้แก่ 2.8 ผ่อนดี มีคืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยของ ธพว. ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500,000 บาท และมีประวัติการชำระดี โดยได้รับบัตรกำนัล ฟรีมูลค่าสุงสุด 300 บาท ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 2.9 มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยได้รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 2.10 ส่งเสริมช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบ SMEs โดยลูกค้าสามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษ จาก SME D Market (ส่วนลดสูงสุดร้อยละ 20 มากกว่า 300 รายการสินค้า) ภายในเดือนธันวาคม 2565 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 2 มาตรการ 2.11 มาตรการจ่าย All in 1 โดยลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วม 1 ใน 3 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการสินเชื่อ EXIM Personal Biz 2) มาตรการสินเชื่อเพื่อผู้ส่งออกป้ายแดง และ 3) มาตรการสินเชื่อ EXIM Shield Financing จะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 6.60 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน 2.12 มาตรการรับเงินคืน ร้อยละ 2 ของดอกเบี้ยจ่ายสะสม โดยลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนของ EXIM BANK จะได้รับเงินคืนร้อยละ 2 ของดอกเบี้ยจ่ายสะสม เป็นระยะเวลา 2 เดือน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จำนวน 1 โครงการ คือ 2.13 สินเชื่อไอแบงค์ยืนหนึ่ง ประกอบด้วย 1) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 2) โครงการสินเชื่อ Top Up และ 3) โครงการสินเชื่อบ้านแลกเงิน โดยลูกค้าทั่วไปที่เข้าร่วม 1 ใน 3 โครงการนี้ จะได้รับอัตรากำไรพิเศษ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่ 2.14 มาตรการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการ SMEs ที่ส่งคำขอให้ บสย. ค้ำประกันภายใต้โครงการดังนี้ 1) Bilateral Phase 7 (BI7) 2) Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะพิเศษ Soft Loan Extra และ 3) Thai Credit Guarantee Corporation Risk Based Pricing (TCG RBP) จะได้รับการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 2.15. มาตรการสำหรับลูกหนี้ บสย. สำหรับลูกหนี้ที่ประนอมหนี้กับ บสย. แล้ว และค้างชำระไม่เกิน 3 งวด จะได้รับการลดค่างวด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2566 3. มาตรการ/โครงการอื่น จำนวน 7 มาตรการ/โครงการ (เอกสารแนบ) ได้แก่ 3.1 โครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน กรมธนารักษ์เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดสงขลา และพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2566 3.2 โครงการสนับสนุนตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนลดภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อความสุขที่มั่นคงของทุกภาคส่วน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ดำเนินโครงการสนับสนุนตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต อย่างยั่งยืน รวมทั้งลดภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงโครงการที่จะช่วยลดภาระต้นทุน ที่เกินความจำเป็นให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนี้ (1) การยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดตั้งกองทุนรวม 100,000 บาทต่อกองทุนรวม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการแก้ไขโครงการจัดการกองทุนรวม ไม่เกิน 5,000 บาท ต่อกองทุนรวม โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 (2) การยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่แจ้งยุติการประกอบธุรกิจ 50,000 บาทต่อราย โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 (3) การยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน โดยจะขยายเวลาเพิ่มเติม 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 (4) การยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ทวนสอบ/ผู้ให้การรับรองข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ตามที่ชำระจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง มีผลจนถึงสิ้นปี 2566 และอยู่ระหว่างเตรียมขยายระยะเวลาต่อไปอีก 3 ปี 3.3 โครงการส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี และมีภูมิคุ้มกัน ไม่ถูกหลอกลวง สำนักงาน ก.ล.ต. ให้ความสำคัญและมีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี และมีภูมิคุ้มกัน ไม่ถูกหลอกลวง ในยุคที่การหลอกลวงมีมากขึ้นและมีรูปแบบที่หลากหลาย ดังนี้ (1) สำนักงาน ก.ล.ต. เดินสายติดอาวุธคนไทย ระวังภัยกลโกง โดยจัดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการรณรงค์ให้ความรู้ผู้ลงทุนในการระวังภัยกลโกงการลงทุน เผยแพร่ความรู้ให้กระจายเข้าถึงประชาชนทั่วทุกภูมิภาค โดยเริ่มจากการจัดทำศูนย์รวมความรู้ภัยกลโกงการลงทุนบนเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ภายใต้ชื่อโครงการ “SCAM CENTER รู้ทันภัยกลโกง” (จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป) (2) โครงการหลักสูตรเรียนรู้ออนไลน์ e-learning “ก.ล.ต. Crypto Academy” (www.seccryptoacademy.com) เพื่อเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงความเสี่ยงและข้อควรระวังที่เกี่ยวข้องแบบครบวงจร โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป (3) โครงการเครื่องมือเปรียบเทียบกองทุนรวม “SEC Fund Check” เพื่อให้ประชาชนมีเครื่องมือที่สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมได้อย่างครบถ้วนเป็นกลางพร้อมคุณสมบัติที่ง่ายต่อการใช้งาน สามารถเปรียบเทียบกองทุนในหลายมิติ โดยจะเริ่มให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2565 (4) โครงการ “แนวทางวางแผนการเงินและการจัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณ” โดยจะจัดทำเป็นการเสวนาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับแนวทางวางแผนการเงินและการจัดการเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณ รวมถึงเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยมีระยะเวลาดำเนินการช่วงประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนถึงช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคม 2565 3.4 โครงการกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลปีใหม่ 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัย ในการเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสำคัญที่มีวันหยุดต่อเนื่อง เช่น เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ เป็นต้น จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ให้การคุ้มครองในระยะเวลาสั้น 30 วัน ด้วยเบี้ยประกันภัย 10 บาท 3.5 มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้จัดเตรียมมาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 รวมระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้ (1) ลดเงินเพิ่มร้อยละ 100 กรณีผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว (2) ลดเงินเพิ่มร้อยละ 80 กรณีผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีมาชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ) (3) ลดหย่อนเงินต้น ร้อยละ 5 กรณีชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ (4) ลดอัตราดอกเบี้ย จากเดิมร้อยละ 1 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.01 ต่อปี ให้กับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ และ (5) ลดเบี้ยปรับเหลือร้อยละ 0.5 ต่อปี กรณีผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด (2) ชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันที่ผิดนัดชำระหนี้ ประจำปี 2563 ปี 2564 และปี 2565 จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2566 เป็นภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 เว้นแต่คดีที่จะขาดอายุความ (3) ชะลอการบังคับคดีสำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เว้นแต่คดีที่ใกล้สิ้นสุดระยะเวลาการบังคับคดี (4) งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงิน และผู้ค้ำประกันที่กองทุนได้ยึดทรัพย์ไว้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันจะต้องร่วมกับกองทุนของดการขายทอดตลาดต่อกรมบังคับคดี (5) มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนกลุ่มก่อนฟ้องคดี ที่มีสถานะปัจจุบันไม่เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยลดอัตราดอกเบี้ยจากเดิมร้อยละ 1 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.5 ต่อปี เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 3.6 มาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ให้กับลูกค้ารายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน บริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.) จัดทำมาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ให้กับลูกค้ารายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ค้ำประกันให้ปลดหนี้ได้ ดังนี้ (1) ลดเบี้ยปรับ ร้อยละ 100 ชำระเพียงเงินต้น กรณีปิดบัญชี (2) ลดเบี้ยปรับ ร้อยละ 100 ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 3 เดือน กรณีผ่อนชำระไม่เกิน 6 เดือน (3) พิจารณาผ่อนปรนตามความสามารถของลูกค้า/ผู้ค้ำประกัน กรณีผ่อนชำระเกิน 6 เดือน 3.7 โครงการ “ชม ชิม ช็อป ยาสูบเชียงราย” การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จัดทำโครงการ “ชม ชิม ช็อป ยาสูบเชียงราย” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนชาวเชียงรายได้มีพื้นที่ค้าขายสินค้า/พืชผลทางการเกษตร และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2566 ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ข้อ 1.1 ติดต่อ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3525 3509 3529 หรือกรมสรรพากร โทร. 1161 ข้อ 1.2 - 1.3 ติดต่อ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 273 9020 ต่อ 3521 3508 3548 3526 ข้อ 1.4 - 1.5 ติดต่อ กรมสรรพสามิต โทร. 1713 ข้อ 2 ติดต่อ ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือ 1115 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือ 1357 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 169 9999 หรือสายด่วน Hotline 02 037 6099 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 264 3345 หรือ 1302 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999 ข้อ 3.1 ติดต่อ กรมธนารักษ์ โทร. 02 282 0818 ข้อ 3.2 – 3.3 ติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โทร. 1207 กด 5 ข้อ 3.4 ติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โทร. 02 515 3999 ต่อ 8202 หรือสายด่วน คปภ. โทร. 1186 ข้อ 3.5 ติดต่อ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. 02 016 2695 ข้อ 3.6 ติดต่อ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด โทร. 0 2055 5999 ต่อ 2266 ข้อ 3.7 ติดต่อ การยาสูบแห่งประเทศไทย โทร. 02 229 1000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ประกาศใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 กรมธนารักษ์ประกาศใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 กรมธนารักษ์เริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป กรมธนารักษ์เริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21 วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ประธานคณะกรรมการประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดได้มีการประกาศบัญชีราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 แล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันยังคงส่งผลกระทบโดยรวมต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้เริ่มใช้บัญชีดังกล่าวในวันที่ 1 มกราคม 2566 เพื่อลดภาระกับประชาชนที่จะต้องนำราคาประเมินไปใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งภาษีอากรและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ได้ดำเนินการติดประกาศและเตรียมข้อมูลเผยแพร่แล้ว ดังนั้น ราคาประเมินใหม่จะใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2569 โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศ ประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21 เมื่อเทียบกับรอบบัญชีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยที่กรุงเทพมหานครมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาประเมินที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.76 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.60 นายจำเริญกล่าวต่อว่า สำหรับปีภาษี 2566 จะใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ไปใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมามีจำนวนการจดทะเบียนซื้อขายเฉลี่ยปีละประมาณ 7 ล้านแปลง คิดเป็นร้อยละ 20 จากจำนวนแปลงที่ดินทั้งหมด และราคาดังกล่าวยังนำไปใช้ในการจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหากประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย (บ้านหลังหลัก) มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบแต่จะได้รับผลกระทบกับประชาชนผู้ที่ถือครองที่ดินที่มีจำนวนมาก และมีบ้านมากกว่า 1 หลัง สำหรับผู้เช่าที่ราชพัสดุยังจะต้องจ่ายค่าภาษี ซึ่งไม่ได้รับการยกเว้น ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ได้ที่เว็บไซต์กรมธนารักษ์ www.treasury.go.th หรือแอปพลิเคชัน TRD Property Valuation และสอบถามราคาประเมินที่ดิน โทร. 0 2270 0360 - 63 และ Call Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT ข้ามปีถึงตี 2 และขยายเวลาเปิดให้บริการอาคารและลานจอดแล้วจร ถึงตี 3 พื่อเป็นของขวัญส่งความสุข เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 รฟม. เปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT ข้ามปีถึงตี 2 และขยายเวลาเปิดให้บริการอาคารและลานจอดแล้วจร ถึงตี 3 พื่อเป็นของขวัญส่งความสุข เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน ตามที่ รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดพิจารณาจัดเตรียมมาตรการมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน นั้น นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมกล่าวว่า รฟม. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และ รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้เตรียมมอบของขวัญส่งความสุขเนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน และอำนวยความสะดวกในการเดินทางและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ โดย รฟม. ได้ร่วมมือกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าทั้งสองสาย ขยายเวลาการให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบเวลาให้บริการรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT โมบายแอปพลิเคชัน: Bangkok MRT และเว็บไซต์ www.bemplc.co.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 นอกจากนี้ รฟม. ได้ขยายเวลาการให้บริการอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 เพื่อให้สอดคล้องตามการให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ในคืนข้ามปี โดยปัจจุบัน รฟม. มีที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ประกอบด้วย อาคารจอดแล้วจร 4 อาคาร ที่สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจร 10 ลาน ที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีสุขุมวิท สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน ที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ประกอบด้วย อาคารจอดแล้วจร 4 อาคาร ที่สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 ที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ประกอบด้วย ลานจอดแล้วจร 1 ลาน ที่สถานีเคหะฯ รวมถึงที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ประกอบด้วย อาคารจอดแล้วจร 2 อาคาร ที่สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการอาคารและลานจอดแล้วจรของ รฟม. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ไลน์แอด @mrtaparking และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 รฟม. ยังได้เตรียมความพร้อมด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานี โดยจัดเจ้าหน้าที่ประจำสถานี และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ดูแลความปลอดภัย พร้อมให้บริการอำนวยความสะดวก ทั้งในภาวะปกติและกรณีฉุกเฉิน โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยภายในสถานีตลอด 24 ชั่วโมง และมีการติดตามการทำงาน และเฝ้าระวังผ่านกล้องวงจรปิด CCTV ทั้งภายในสถานีและภายในขบวนรถไฟฟ้า พร้อมทั้งจัดเตรียมขบวนรถเสริมพิเศษ ให้พร้อมบริการกรณีผู้ใช้บริการหนาแน่น ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารในการตรวจสัมภาระและ ไม่อนุญาตให้นำวัตถุต้องห้ามเข้ามาในระบบรถไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ระบบ ได้แก่ อาวุธ ของมีคม ลูกโป่ง และพลุดอกไม้ไฟทุกชนิด ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.thและเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กตู่” เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีนักเรียนไทย-ญี่ปุ่น “รมว.ตรีนุช” รับต่อยอดเร่งพัฒนาคนขยายผลการสอนให้คิดเป็น-ทำเป็น
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 “บิ๊กตู่” เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีนักเรียนไทย-ญี่ปุ่น “รมว.ตรีนุช” รับต่อยอดเร่งพัฒนาคนขยายผลการสอนให้คิดเป็น-ทำเป็น งานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand – Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF 2022) จังหวัดเชียงราย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วย คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand – Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF 2022) เมื่อวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย จังหวัดเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาเห็นความก้าวหน้า ในความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น และหวังว่าสิ่งประดิษฐ์ด้าน ICT ของนักเรียน จะส่งผลสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พยายามยกระดับการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีขีดความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและของโลกในยุคปัจจุบัน “วันนี้เราต้องปรับกระบวนการเรียนการสอน ให้เด็กรู้จักคิด เปิดโลกในเรื่องการศึกษาให้กว้างขึ้น ประเทศไทยต้องการแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายของเราไปข้างหน้า ขอฝากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ให้เร่งพัฒนาคน ทางรัฐบาลก็จะหาทางช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มความสามารถ อยากให้ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นส่งประกายไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีการพัฒนาตนเอง ซึ่งต้องหาวิธีการกระตุ้นให้ทั้งครูนักเรียนได้มีโอกาสคิด ว่าจะสร้างการเรียนรู้เหล่านี้ไปยังโรงเรียนอื่นได้อย่างไร" พลเอก ประยุทธ์ กล่าว รมว.ศธ.กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า การจัดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น เป็นความร่วมมือทางวิชาการของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กับกลุ่มโรงเรียน โครงการ Super Science High Schools และสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (MEXT) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA) ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา จนเกิดเป็นภาพความสำเร็จของนักเรียนไทย-ญี่ปุ่น ได้แสดงศักยภาพในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหลากหลายโครงงาน จำนวนมาก อันเป็นประโยชน์ต่อประเทศ และต่อประชาคมโลก “การจัดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีฯ เพื่อเป็นเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีที ของนักเรียนไทย-ญี่ปุ่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จัดการเรียนรู้ของครู และการแข่งขัน Programming Hackathon โดยจัดงานรูปแบบไฮบริดจ์ ระหว่างวันที่ 21 – 23 ธันวาคม 2565 ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย และผ่านระบบออนไลน์ ภายใต้การสนับสนุนของมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทั้งยังได้รับเกียรติจากท่านอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ตัวแทนกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 12 แห่ง สถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 25 แห่ง กลุ่มโรงเรียนในโครงการ Super Science High Schools ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 แห่ง และสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 11 แห่ง รวมผู้เข้าร่วมงาน กว่า 600 คน” รมว.ศธ.กล่าว กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานรัฐมนตรี : รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเผยหลักเกณฑ์มาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 ลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท เริ่ม 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 กรมสรรพากรเผยหลักเกณฑ์มาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 ลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท เริ่ม 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566 ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 42,000 ล้านบาท และจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.12 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 42,000 ล้านบาท และจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.12 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจประเทศ โดยสามารถลดหย่อนภาษีจากค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 สำหรับผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) ลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ทั้งการส่งเสริมการอ่าน จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมทั้งออกร่างประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566” โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ 1. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวนไม่เกิน 30,000 บาท จะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรหรือใบรับซึ่งมีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมระบุชื่อและนามสกุลของผู้มีเงินได้ในรูปแบบกระดาษหรือ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt แล้วแต่กรณี 2. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวนอีกไม่เกิน 10,000 บาท จะต้องมี e-Tax Invoice หรือ e-Receipt แล้วแต่กรณีเท่านั้น ทั้งนี้ e-Tax Invoice ตามข้อ 1 และข้อ 2 ในที่นี้หมายความรวมถึง e-Tax Invoice by Email ด้วย ในการใช้สิทธิลดหย่อนตามข้อ 1 และข้อ 2 ผู้มีเงินได้ต้องจ่ายค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ไม่รวมถึงค่าสินค้าหรือค่าบริการ ดังนี้ (1) ค่าสุรา เบียร์ และไวน์ (2) ค่ายาสูบ (3) ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ (4) ค่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ (5) ค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (6) ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (7) ค่าที่พักในโรงแรมที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม (8) ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต (9) ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ (วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566) เช่น ค่าสมาชิกต่าง ๆ (10) ค่าประกันวินาศภัย 3. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการดังต่อไปนี้จะจ่ายให้แก่ผู้มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ แต่ต้องได้รับใบรับ ซึ่งมีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมระบุชื่อและนามสกุลของผู้มีเงินได้ (1) ค่าซื้อหนังสือ (2) ค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (3) ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ปี2566 นี้คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ 1.4 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการ รวมถึงการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นที่เป็นเศรษฐกิจระดับฐานราก ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการอ่าน อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้”หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM visits flood-hit Songkhla and Phatthalung
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 PM visits flood-hit Songkhla and Phatthalung PM visits flood-hit Songkhla and Phatthalung December 20, 2022, , at 1500hrs, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha traveled to the South to follow up on the flood situation in Songkhla and Phatthalung provinces. Upon his arrival at Hat Yai International Airport, the Prime Minister listened to the briefing on the flood situation by local authorities. Attending the briefing session with the Prime Minister were Minister of Interior Gen. Anupong Paojinda, Minister Attached to the Prime Minister’s Office Thanakorn Wangboonkongchana, PM’s Secretary-General Pirapan Salirathavibhaga, Director-General of Disaster Prevention and Mitigation Department Boontham Lertsukekasem, Songkhla Governor, and chiefs of concerned authorities and agencies. According to the briefing, ongoing heavy rain in several areas of Songkhla has caused flooding in 14 districts (out of the province’s 16 districts), that is, Muang, Rattaphum, Khuan Niang, Hat Yai, Na Mom, Chana, Bang Klam, Ranot, Khlong Hoi Khong, Singhanakhon, Saba Yoi, Sathing Phra, Thepha, and Krasae Sin. The total of 100 subdistricts, 51 communities, 566 villages, 46,529 households, and 126,178 people have been affected by the flood situation. Concerned agencies, both public and private, have already provided initial assistance to the victims. Shelters have been set up. Provincial Disaster Prevention and Mitigation Office also works together with provincial and local administrations to speed up the draining of floodwater and to ensure that all the flood victims have been reached out. At present, flood and inundation in some areas have eased. Local authorities will, later, explore the damage and process compensation to the victims according to Ministry of Finance’s regulation. Songkhla and Phatthalung are among the 9 Southern provinces (Surat Thani, Nakhon Si Thammarat, Trang, Satun, Pattani, Yala, Narathiwat, Songkhla and Phatthalung) that have been badly hit by flash flood and overflows caused by continued heavy rain during December 18-20, 2022. The total of 66 districts, 271 subdistricts, 1,425 villages, and 64,626 households have been affected. In Phatthalung alone, 9 districts, namely, Tamot, Srinagarindra, Kong Ra, Khao Chaison, Bang Kaeo, Pak Phayun, Pa Bon, Mueang, and Khuan Khanun, have been inundated with 29 subdistricts, 178 village, and 9,400 households being affected. The Prime Minister and delegation, then, visited and gave his moral support to the flood-affected victims at 3 shelters in Songkhla and Phatthalung provinces.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ประกาศรางวัลสุดยอดแห่งปี “อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2565” 73 รางวัล
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 สธ. ประกาศรางวัลสุดยอดแห่งปี “อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2565” 73 รางวัล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2565 ให้แก่สถานประกอบการดีเด่นและผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น จากทั่วประเทศ รวม 73 รางวัลส่งท้ายปี เพื่อสร้างแรงจูงใจและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2565 ให้แก่สถานประกอบการดีเด่นและผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น จากทั่วประเทศ รวม 73 รางวัลส่งท้ายปี เพื่อสร้างแรงจูงใจและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการมอบรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2565 ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น 24 รางวัล และสถานประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น 49 รางวัล และกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการนำประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจทั้งระดับใหญ่ กลาง และเล็ก ได้พัฒนาเพิ่มศักยภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันไปสู่ระดับโลกกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพการผลิตของสถานประกอบการทุกระดับ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควบคู่กับการส่งเสริมให้มีคุณธรรม จริยธรรม รับผิดชอบต่อผู้บริโภค พร้อมทั้งปรับกฎระเบียบให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ “ขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการทุกท่านที่ได้รับรางวัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตในระดับชุมชนจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ใช้พืชกัญชา/กัญชงมาเป็นวัตถุดิบ และมีการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน รวมถึงต้องขอชื่นชมผู้ประกอบการที่มีคุณธรรม จริยธรรมในการประกอบธุรกิจ ยึดมั่นในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้คุณภาพมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ด้วยความใส่ใจผู้บริโภค และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รางวัลนี้จะเป็นพลังผลักดันให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพตั้งมั่นในการประกอบธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ประชาชนได้บริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีมาตรฐานและปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว ด้าน นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเสริมว่า อย. ได้มอบรางวัลอย. ควอลิตี้ อวอร์ด ให้แก่สถานประกอบการอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนฯ และผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน เพื่อเชิดชูและประกาศเกียรติคุณสถานประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรมในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้มีการเพิ่มประเภทรางวัลด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่นได้แก่ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และผลิตภัณฑ์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์และพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นแรงจูงใจและเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป *********************************** 22 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63011
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เกาะติดสถานการณ์ล่าสุดเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ล่ม
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 คปภ. เกาะติดสถานการณ์ล่าสุดเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ล่ม • เผยข้อมูลด้านประกันภัยล่าสุด..! ผู้สูญหาย 23 ราย มีการทำประกันภัย 13 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 6 ราย มีประกันภัย 3 ราย ทำไว้กับ 14 บริษัท รวมค่าสินไหมทดแทน กว่า 27 ล้านบาท กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ประสบเหตุน้ำเข้าเรือเนื่องจากคลื่นลมแรง ขณะทำการลาดตระเวนอยู่บริเวณแบริ่ง 090 ระยะ 20 ไมล์ จากท่าเรืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้มีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือจนเครื่องไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงาน เป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ จนทำให้เรือเอียงและอับปางลงใต้ทะเล ส่งผลทำให้มีผู้ประสบเหตุในครั้งนี้จำนวน 105 ราย โดยได้รับการช่วยเหลือแล้ว 76 ราย สูญหายอยู่ระหว่างการค้นหาเพื่อช่วยเหลือจำนวน 23 ราย และเสียชีวิต 6 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 โดยสำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการร่วมกับศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ณ กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ให้คำแนะนำแก่ผู้ประสบภัยและญาติของผู้ประสบภัย รวมทั้งประสานบริษัทประกันภัยเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที และได้มีการรายงานการช่วยเหลือด้านการประกันภัยไปแล้วนั้น ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการช่วยเหลือด้านประกันภัยพบว่าในจำนวนผู้สูญหาย 23 ราย มีการทำประกันภัย 13 ราย และในจำนวนผู้เสียชีวิต 6 ราย มีการทำประกันภัย 3 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 27,285,444 บาท โดยทำประกันภัยไว้กับ 14 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอเอ จำกัด นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยในครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ “สำนักงาน คปภ. ได้เร่งระดมสรรพกำลังบุคลากรของสำนักงาน คปภ. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายเป็นจำนวนมาก สำนักงาน คปภ. ยังคงเร่งติดตามตรวจสอบการประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด และจะดำเนินการอย่างเต็มที่และสุดความสามารถเพื่อให้ผู้ประสบเหตุและครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับการช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าในการช่วยเหลือด้านประกันภัยเพิ่มเติมจะได้แจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์"มอบของขวัญปีใหม่สานต่อแก้หนี้ จัดงาน "พร้อมใจไกล่เกลี่ย แก้หนี้ครัวเรือน" ทุกเสาร์ที่สองของเดือน เริ่มคิกออฟ 24 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าช่วย 112,091 ราย ทุนทรัพย์ 11,826 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 "สมศักดิ์"มอบของขวัญปีใหม่สานต่อแก้หนี้ จัดงาน "พร้อมใจไกล่เกลี่ย แก้หนี้ครัวเรือน" ทุกเสาร์ที่สองของเดือน เริ่มคิกออฟ 24 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าช่วย 112,091 ราย ทุนทรัพย์ 11,826 ล้านบาท "สมศักดิ์"มอบของขวัญปีใหม่สานต่อแก้หนี้ จัดงาน "พร้อมใจไกล่เกลี่ย แก้หนี้ครัวเรือน" ทุกเสาร์ที่สองของเดือน เริ่มคิกออฟ 24 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าช่วย 112,091 ราย ทุนทรัพย์ 11,826 ล้านบาท ชวนทุกคนมาปลดทุกข์ ยันรัฐบาลต้องการช่วยประชาชนให้มากที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมกับกรมบังคับคดี ได้เตรียมมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยจัดกิจกรรม "พร้อมใจไกล่เกลี่ย แก้หนี้ครัวเรือน" ที่กระทรวงยุติธรรม ชั้น 1 โดยจะมีการเปิดงานในวันเสาร์ที่ 24 ธ.ค. 2565 จากนั้นจะจัดทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนถึงวันเสาร์ที่ 9 ก.ย. 2566 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.- 16.00 น. ตามแนวคิด สานต่อนโยบายแก้หนี้ ด้วยวิถีการไกล่เกลี่ย ซึ่งจะมี 9 สถาบันการเงินร่วมไกล่เกลี่ย ประกอบด้วย กยศ, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), ธนาคารออมสิน, เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส, บริหารสินทรัพย์ เจ, เคบี เจ แคปปิตอล, บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค, อยุธยา แคปปิตอล และโตโยต้า ลีสซิ่ง โดยตั้งเป้าเชิญลูกหนี้ 112,091 ราย แบ่งเป็นก่อนฟ้อง 76,404 ราย หลังศาลพิพากษา 35,678 ราย ทุนทรัพย์รวม 11,826 ล้านบาท นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากที่ในปีงบประมาณ 2565 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมบังคับคดี ได้ดำเนินการสนองนโยบายแก้หนี้สินครัวเรือนของรัฐบาล ไกล่เกลี่ยช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ 77 จังหวัด ช่วยเหลือประชาชน ทั้งสิ้น 94,328 ราย ทุนทรัพย์ 23,529 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 7,024 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการสานต่อนโยบายแก้หนี้สินครัวเรือนของรัฐบาล เพื่อการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และจากเสียงเรียกร้องของประชาชนที่อยากจะให้จัดงานลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน ลดภาระค่าครองชีพ เราจึงจัดกิจกรรมนี้เพื่อถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน "จากการที่เราได้จัดงานช่วยเหลือประชาชนผู้เป็นหนี้ในปีที่ผ่านมาเราช่วยไปได้เกือบ 1 แสนราย ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียบ้าน เสียรถหรือเสียที่ดินทำกิน ทำให้ผู้คนที่เข้ามาหาเราจากเดิมที่ทุกข์ใจหลั่งน้ำตา สามารถกลับไปอย่างมีรอยยิ้ม เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เป็นการจุดประกายความหวัง นอกจากนี้ จากการที่เราได้นำร่องโครงการ ทำให้กระทรวงต่างๆ เริ่มจัดงานในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้นผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่เป็นหนี้ทั้งก่อนฟ้องและหลังศาลพิพากษา เข้าร่วมงาน พร้อมใจไกล่เกลี่ย แก้หนี้ครัวเรือน ผมอยากให้ผู้เป็นหนี้เข้าร่วมงานให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกท่านหมดความทุกข์ เดินหน้าต่อไปได้ ผมยืนยันในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม การจัดงานดังกล่าวนี้ เพราะรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด หากประชาชนมีความสุข พวกเราก็จะมีความสุขเช่นกัน" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62995
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมแผนเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 บขส. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมแผนเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาไม่ต่ำกว่า 50,000 คน จัดรถโดยสารรองรับกว่า 3,000 เที่ยว มั่นใจจัดรถโดยสารให้บริการได้เพียงพอ ไม่มีตกค้าง วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมแผนปฏิบัติการเดินรถวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) และเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะถึงนี้ บขส. ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสาร ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเทศกาลปีใหม่ 2565 ประมาณ 5% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลาย ประชาชนและนักท่องเที่ยวกลับมาเดินทางเพิ่มขึ้น โดยในเที่ยวไประหว่างวันที่ 28 - 29 ธันวาคม 2565 คาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 50,000 - 55,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) เฉลี่ยวันละ 3,500 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 2 - 3 มกราคม 2565 คาดว่ามีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยวันละ 53,000 คน ใช้รถโดยสารประมาณ 3,300 เที่ยว ทั้งนี้ บขส. ได้ทำหนังสือขออนุญาตต่อนายทะเบียน กรมการขนส่งทางบกให้ผู้ประกอบการนำรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) มาจัดเสริมในเส้นทางต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเดินทางของประชาชนอย่างเพียงพอ โดยคาดการณ์ว่าจะมีรถโดยสารไม่ประจำทางมาเสริม เที่ยววิ่งประมาณ 600 คัน จึงมั่นใจมีรถโดยสารเพียงพอรองรับการเดินทางของประชาชนได้อย่างแน่นอน สำหรับยอดจองตั๋วล่วงหน้าเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ในเส้นทางภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของ บขส. ขณะนี้อยู่ที่ประมาณกว่า 90% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด โดยเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กรุงเทพฯ - นครพนม และกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ มียอดจองตั๋วล่วงหน้ามากที่สุดทั้งนี้ ขอให้ผู้ใช้บริการเผื่อเวลาเดินทางมาขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งก่อนเวลารถออกอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง และขอให้ซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่ายตั๋วเท่านั้น เพื่อป้องกันการหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพ รวมทั้งให้ตรวจสอบรายละเอียดในตั๋วโดยสาร เช่น เส้นทาง เที่ยวเวลา จุดขึ้นรถก่อน ออกเดินทางทุกครั้ง และขอความร่วมมือผู้โดยสาร สแกนกระเป๋าสัมภาระ ตรวจวัดอุณหภูมิ บริเวณทางเข้าสถานีขนส่ง สวมหน้ากากอนามัย เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บขส. ได้จัดโครงการ “HAPPY NEW YEAR 2023 ลด 10% ไปก่อน-กลับทีหลัง” โดยมอบส่วนลดค่าโดยสาร 10% ให้กับลูกค้าที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application E-Ticket หรือ Website บขส. www.transport.co.th เดินทางระหว่างวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2565 และวันที่ 3 - 9 มกราคม 2566 รวมทั้งได้เปิดให้บริการตรวจเช็กสภาพ ความพร้อมของรถยนต์ก่อนออกเดินทางให้กับประชาชนทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ - 29 ธันวาคม 2565เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ บขส. (รังสิต) สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม Call Center โทร. 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ บขส. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบังคับการตำรวจจราจร สน.บางซื่อ สน.ตลิ่งชัน และ สน.ทองหล่อ สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาอำนวยความสะดวกด้านการจราจรโดยรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ทั้ง 5 แห่ง จัดเจ้าหน้าที่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ สารเสพติดของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ ตั้งจุดตรวจรถโดยสารบนทางหลวงสายหลัก และขอความร่วมมือองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและผู้ประกอบการรถแท็กซี่ นำรถโดยสารมารับผู้โดยสารในเที่ยวกลับบริเวณ ชานชาลาขาเข้า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ในส่วนความปลอดภัยของรถโดยสารและพนักงานขับรถ ได้เน้นย้ำให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง โดยตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควบคุมความเร็วบนรถโดยสาร ไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง จัดพนักงานขับรถ 2 คน ในเส้นทางสายยาวที่ใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมง และให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 พนักงานขับรถต้องปลอดแอลกอฮอล์และสารเสพติด และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการ 4 พร้อม คือ สถานีพร้อม พนักงานพร้อม รถโดยสารพร้อม และการบริการพร้อม ในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลในการเดินทางและแจ้งปัญหาในการเดินทาง ได้ที่จุดรับเรื่องร้องเรียนบริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 และชั้น 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2565 ระหว่างเวลา 17.00 - 24.00 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ‘สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย’ เปิดระดมทุน ‘เงินฝาก ESG’ เดินหน้าขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ หนุนเอสเอ็มอีไทยเติบโตสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 SME D Bank ‘สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย’ เปิดระดมทุน ‘เงินฝาก ESG’ เดินหน้าขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ หนุนเอสเอ็มอีไทยเติบโตสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน SME D Bank ประกาศความสำเร็จ “สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย” ออกผลิตภัณฑ์เงินฝาก ESG ระดมเงินทุน 1,000 ล้านบาท หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยกระดับธุรกิจคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม เติบโตสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เผยว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายกำหนดยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยยุคใหม่ ด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) โดยให้ความสำคัญสูงสุดกำหนดเป็น “วาระแห่งชาติ” ดังนั้น SME D Bank ในฐานะธนาคารเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ขานรับนโยบายดังกล่าว ที่ผ่านมา ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ BCG Loan วงเงิน 11,000 ล้านบาท และล่าสุด ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) จัดทำกรอบหลักเกณฑ์การระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) ตามมาตรฐานสากล ซึ่งธนาคารคำนึงถึงแนวทางของ ESG ทั้งการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) รับผิดชอบต่อสังคม (Social) และยึดหลักธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อพัฒนากระบวนการระดมทุนทั้งในรูปแบบพันธบัตรและผลิตภัณฑ์เงินฝาก นำไปปล่อยสินเชื่อ สนับสนุนเอสเอ็มอีไทยยกระดับสู่ BCG Model ต่อไป ก่อให้เกิดความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล อีกทั้ง มีบริษัท DNV Business Assurance Australia จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการอิสระ (External Reviewer) ทำการสอบทานและรองรับว่าเป็นไปตามมาตรฐานสากลทุกประการ จากการพัฒนากระบวนการดังกล่าว ส่งผลให้ SME D Bank เป็น “สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย” ที่สามารถออก “ผลิตภัณฑ์เงินฝาก ESG” เพื่อระดมทุนได้สำเร็จ เบื้องต้น เปิดรับฝาก วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท อายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.2% ต่อปี ซึ่งได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเจตนารมณ์ในการสนับสนุนเอสเอ็มอียกระดับสู่ BCG Model เช่นกัน เข้าฝากเงินจนเต็มจำนวนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย และโรงพยาบาลท้องถิ่น ซึ่งในอนาคต ธนาคารจะดำเนินการเปิดระดมเงินทุนเพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบพันธบัตรและผลิตภัณฑ์เงินฝาก ตามกรอบ ESG ต่อไป “SME D Bank ให้ความสำคัญสูงสุดในการส่งเสริมเอสเอ็มอีสู่ BCG Model เราจึงมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการระดมทุนเงินฝาก ESG เพื่อหาแหล่งทุนที่เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นของโลกแห่งอนาคต นำไปสนับสนุนเอสเอ็มอีผ่านรูปแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่าง ๆ ช่วยให้เอสเอ็มอีเกิดความเข้มแข็ง และเมื่อเอสเอ็มอีเข้มแข็งแล้ว จะรวมกันเป็นพลังยิ่งใหญ่ ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่เติบโตอย่างยั่งยืน เคียงคู่กันทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม” นางสาวนารถนารี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด แหล่งเงินกู้แห่งใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 เปิดตัว บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด แหล่งเงินกู้แห่งใหม่ เปิดตัว “บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด” แหล่งเงินกู้แห่งใหม่ ดอกเบี้ยต่ำ ค่าธรรมเนียมเป็นธรรม รับเงินเต็ม ให้กู้สินเชื่อที่ดิน รับจำนอง-ขายฝาก มุ่งช่วยประชาชน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย มอบหมายให้ นายวิทัย รัตนากร กรรมการในคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินฯ และผู้อำนวยการธนาคารออมสิน หาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สิน เติมสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ธนาคารออมสินดำเนินการ คือ ได้ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด เมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา ด้วยความตั้งใจบรรเทาปัญหาหนี้ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน รวมถึงเป็นช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกลง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย สำหรับการนำที่ดินมาเป็นหลักประกันการกู้เงินในแบบจำนองหรือขายฝาก ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีหน่วยงานภาครัฐร่วมกันจัดตั้งบริษัทและถือหุ้นใหญ่ เป็นแหล่งเงินกู้แห่งใหม่เพื่อให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงได้ด้วยการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไปบัดนี้ บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด พร้อมเปิดให้บริการสินเชื่อที่ดินแล้ว โดยให้เงินกู้เสริมสภาพคล่องยามฉุกเฉินให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในยามเดือดร้อน มีความจำเป็นต้องการใช้เงินสดในยามฉุกเฉิน หรือเติมทุนหมุนเวียนกิจการที่กำลังหาเม็ดเงินเสริมสภาพคล่อง หรือต้องการต่อยอดธุรกิจ รวมถึง รีไฟแนนซ์เงินกู้เดิมเพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ย สินเชื่อที่ดิน มีเป้าหมายช่วยเหลือธุรกิจ SMEs โดยเปิดรับจำนองที่ดิน และขายฝาก รีไฟแนนซ์ ให้กู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดา วงเงินกู้ 300,000 บาท ถึง 10 ล้านบาท และนิติบุคคล วงเงินกู้ตั้งแต่ 300,000 บาท จนถึง 50 ล้านบาท ให้วงเงินกู้สูงสุด 70% ของราคาประเมินที่ดินราชการ คิดอัตราดอกเบี้ย ปีแรก 6.99-8.99% ต่อปี ปีที่ 2 เป็นต้นไป MLR+สูงสุดไม่เกิน 2.85% ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.150% ต่อปี) ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี แบบลดต้นลดดอก พร้อมปลอดชำระเงินต้นนาน 1 ปี ที่สำคัญคือ ไม่เช็คเครดิตบูโร ไม่ตรวจสอบรายได้ และไม่ต้องใช้บุคคลค้ำประกัน โดยตั้งเป้าหมายปี 2566 คาดว่าจะมียอดปล่อยสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและผู้ประกอบการได้ประมาณ 4,000–5,000 ราย ทั้งนี้ ได้ให้บริการนำร่องไปแล้วในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ และเตรียมให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่ ม.ค.2566 พร้อมกับมีแผนขยายบริการไปตามหัวเมืองใหญ่ทุกภูมิภาค ในต้นปี 2566 และทั่วประเทศตั้งแต่กลางปี 2566 เป็นต้นไป โดยมีสาขาของธนาคารออมสินเป็นหลักในการให้บริการ อนึ่ง บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด เกิดขึ้นจากการผลักดันของธนาคารออมสิน ด้วยแนวทางที่ต้องการให้ธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝากในตลาดเกิดการแข่งขันที่สมบูรณ์ ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงแหล่งเงินด้วยต้นทุนที่เป็นธรรมอย่างเท่าเทียม และเกิดความคล่องตัวในการให้บริการประชาชน จึงเกิดการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสิน กับ บริษัท ทิพย เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62986
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ “เครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” เน้นย้ำ ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมที่ดีเพื่อช่วยขับเคลื่อนบริหารกองทุนให้เป็นที่พึ่งแก่สมาชิก
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ “เครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” เน้นย้ำ ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมที่ดีเพื่อช่วยขับเคลื่อนบริหารกองทุนให้เป็นที่พึ่งแก่สมาชิก ปลัด มท. บรรยายพิเศษ “เครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” เน้นย้ำ ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมที่ดีเพื่อช่วยขับเคลื่อนบริหารกองทุนให้เป็นที่พึ่ง เป็นที่สร้างโอกาสที่ดีให้กับชีวิตของสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั่วประเทศกว่า 15 ล้านคน ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ “เครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” เน้นย้ำ ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมที่ดีเพื่อช่วยขับเคลื่อนบริหารกองทุนให้เป็นที่พึ่ง เป็นที่สร้างโอกาสที่ดีให้กับชีวิตของสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั่วประเทศกว่า 15 ล้านคนให้เกิดความยั่งยืน วันนี้ (22 ธ.ค. 65) เวลา 10.15 น. ที่ห้องจูปิเตอร์ 4-6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “เครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ตามโครงการสัมมนาคณะทำงานเครือข่ายขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีระดับประเทศ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทุกจังหวัดเป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมจำนวนกว่า 500 คน ร่วมรับฟัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราชาวกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้มาพบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนกองทุนของแต่ละจังหวัดและชื่นชมให้กำลังใจซึ่งกันและกันในการเดินหน้าทำให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นแหล่งทุนในการพัฒนาศักยภาพของพี่น้องสตรีในพื้นที่จังหวัดตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพราะกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีมีความหมายและความสำคัญกับชีวิตพี่น้องสมาชิกกองทุนที่มีความยากลำบากในการประกอบอาชีพ และขาดโอกาสในการลงทุนประกอบอาชีพ ด้วยการเข้าถึงกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งเป็นแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพียงร้อยละ 0.1 ต่อปี หรือแค่ 10 สตางค์ต่อปี บรรยากาศในวันนี้จึงเป็นบรรยากาศแห่งความรัก ความอบอุ่น ความสมัครสมานสามัคคี "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจะสามารถขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงได้ คณะทำงานขับเคลื่อนฯ จะต้องช่วยกันบริหารจัดการให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นแหล่งทุนสำหรับสตรีที่มีความรับผิดชอบ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การพิจารณาคุณสมบัติของสมาชิกและพิจารณาโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งพิจารณาว่าสมาชิกมีศักยภาพหรือไม่ โครงการจะประสบความสำเร็จ เกิดมรรคผลตามที่สมาชิกกำหนดไว้หรือไม่ โดยเมื่อต้นน้ำดี และได้รับเงินทุนหมุนเวียนแล้ว คณะทำงานขับเคลื่อนฯ ก็ต้องลงไปติดตามว่าสมาชิกได้นำเงินไปทำโครงการ ไปประกอบอาชีพได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ เกิดประสิทธิภาพหรือไม่ พร้อมทั้งต้องสร้างการรับรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนเพื่อให้เป็นสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่ดี คือ ต้องรู้จักแบ่งเงินเป็นส่วน ๆ เมื่อมีเงินรายได้ ก็ส่งคืนเงินที่ได้รับการอนุมัติให้ยืมจากกองทุนคืนกองทุน เพื่อให้สมาชิกคนอื่น ๆ อีกจำนวนมากได้มีโอกาสนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า การขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีของแต่ละจังหวัดจะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากการที่ทุกคนมีหัวใจที่อยากเห็นพี่น้องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสที่ดีแล้ว ทางราชการตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงพัฒนากร ต้องเป็นคนผลักดัน ขับเคลื่อน สนับสนุน ที่จะทำให้หลักการในการบริหารจัดการเงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นไปเพื่อการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวของสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพราะถ้าเรามีผู้นำดี อันได้แก่ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ก็จะทำให้งานเป็นไปด้วยความสนุกสนาน สบายใจ และมีความสุข โดยพวกเราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันกระตุ้นปลุกเร้า ทำให้คนที่มีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ เอาจริงเอาจัง และเมื่อเอาจริงเอาจังแล้ว กระบวนในการตรวจสอบโครงการตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัดก็จะมีคุณภาพ ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไม่มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินไปชำระหนี้แหล่งทุนที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะเงินหมุนเวียนหรือเงินอุดหนุนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีใช้ในการเพิ่มพูนเรื่องรายได้ คุณภาพชีวิตของพี่น้องสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยคณะทำงานขับเคลื่อนฯ ต้องโน้มตัวลงไปสื่อสาร ลงไปพูดคุย เอาใจใส่สมาชิกกองทุนฯ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพสมาชิก ด้วยการส่งเสริมให้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ให้เป็นวิถีชีวิต ปลูกข้าวที่แปลงนา ปลูกไว้ให้ตัวเองได้กิน หนองไว้เก็บน้ำ เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด ปลูกผักบุ้ง ผักกะเฉด โคกไว้ปลูกมะนาว สะตอ เงาะ ลูกเหนียง รวมถึงส่งเสริมการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในทุกครัวเรือน เพื่อให้เศษอาหาร ขยะเปียกย่อยสลายเป็นปุ๋ยหมักบำรุงดิน บำรุงพืชผักสวนครัว ซึ่งจะทำให้ลดรายจ่ายในครัวเรือน และสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกองทุนฯ อีกด้วย “ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมที่ดี มาช่วยในการทำงาน ดังเช่น จังหวัดอ่างทอง แพร่ และจังหวัดสุโขทัย ได้ทำเป็นแบบอย่าง สามารถลดมูลหนี้ลงได้เหลือไม่เกินร้อยละ 10 เพราะคณะทำงานขับเคลื่อนฯ ทุกท่าน คือ ผู้นำทีมในการบริหารจัดการแผนงาน ควบคุมกิจกรรมทุกกิจกรรมในปฏิทิน (Timeline) เช่น วางแผนไปเยี่ยม ไปตรวจสอบ ไปสอดส่อง ไปคอยเตือนสมาชิก จัดประชุมปรึกษาหารือ พูดคุยกัน มีเจ้าหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ใช้กลเม็ดเด็ดพรายหรือวิธีการดี ๆ ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง ทำให้สมาชิกได้ตื่นตัว พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือไตรมาสละครั้ง เพราะการลงไปพูดคุย นอกจากจะเป็นการลงไปติดตามความก้าวหน้าแล้ว ยังเป็นโอกาสได้ไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเรื่องอื่น ๆ เช่น การน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวในทุกครัวเรือน และการขับเคลื่อนเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมด้วยการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เป็นต้น นอกจากนี้ แม้ว่ากองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจะมีความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องสมาชิกกองทุนที่มีประมาณ 15 ล้านคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ทุกท่านที่ได้รับเลือกมาเป็นคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพราะทุกท่านคือกลไกในการทำให้การบริหารจัดการกองทุนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เพราะทุกท่านที่ได้รับคัดเลือก เป็นผู้มีความรู้ มีความเสียสละ พร้อมช่วยเหลือพี่น้องสมาชิกทุกคน เป็นที่พึ่งของหมู่มวลสมาชิก” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้คณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนฯ ให้ความสำคัญกับตัวท่านเองว่าท่านเป็นความหวังของรัฐบาล ของประเทศชาติ ที่จะช่วยทำให้วัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ นั่นคือ เงินของรัฐบาลจะเกิดประโยชน์กับสมาชิกทั้ง 15 ล้านคน ที่จะมีโอกาสนำไปใช้ในการลงทุนประกอบอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ และต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญคือ “การสร้างทีมภาคีเครือข่าย” เพื่อช่วยกันทำให้พี่น้องสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้มีแหล่งทุน มีเงิน ในการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง และส่งเงินคืนเพื่อสร้างโอกาสให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัวให้เกิดความยั่งยืนต่อไป #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ชูความสำเร็จ “นายกฯ” จัดการประชุม APEC ของไทย หนุนศักยภาพการเจรจาธุรกิจส่งผลเพิ่มการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวในไทยทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ภาคเอกชนคาด 3-5 ปีข้างหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 “ธนกร” ชูความสำเร็จ “นายกฯ” จัดการประชุม APEC ของไทย หนุนศักยภาพการเจรจาธุรกิจส่งผลเพิ่มการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวในไทยทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ภาคเอกชนคาด 3-5 ปีข้างหน้า “ธนกร” ชูความสำเร็จ “นายกฯ” จัดการประชุม APEC ของไทย หนุนศักยภาพการเจรจาธุรกิจส่งผลเพิ่มการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวในไทยทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ภาคเอกชนคาด 3-5 ปีข้างหน้าเงินสะพัด 5-6 แสนล้านบาท วันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2565 ของไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ย้ำถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยสำหรับการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วางยุทธศาสตร์ชาติและเดินหน้ามาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล 5G แรงงานที่มีทักษะสูงและส่งเสริมภาคบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข การท่องเที่ยว ทั้งนี้ ผลลัพธ์การประชุมภายใต้แนวคิด “Open. Connect. Balance.” มุ่งพัฒนาความร่วมมือ APEC ให้เป็นเขตการค้าเสรี อำนวยความสะดวกการค้าการลงทุน และปลอดภาษี เพื่อให้สมาชิกเอเปคสามารถนำเข้าส่ง-ส่งออกในเขตเศรษฐกิจได้สะดวกมากขึ้น ฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนระหว่างกันอย่างปลอดภัย เพื่อสร้างความพร้อมรับมือวิกฤติใหม่ในอนาคต รวมทั้งผลักดันกรอบแนวคิด BCG ให้ 20 เขตเศรษฐกิจยอมรับนำไปขับเคลื่อนต่อ นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนต่างประเทศมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม BCG พลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และอุตสาหกรรมบริการ เช่น การท่องเที่ยว และธุรกิจบริการสุขภาพ เป็นต้น เห็นได้จาก ในการประชุม APEC CEO SUMMIT 2022 ของภาคเอกชน มีการคาดการณ์ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับระยะยาว (ภายใน 3- 5 ปี) เช่น การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับจีน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและผลไม้ มีการลงทุนซึ่งกันและกันในอุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมสีเขียว และการลงทุนเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะทางราง คาดว่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 แสนล้านบาท การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ 6 ประเทศ (GCC) โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย 12 อุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี เกษตร เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพและบริการในพื้นที่ EEC ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าโดยรวมประมาณ 1-3 แสนล้านบาท การลงทุนในอุตสาหกรรม BCG ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานทดแทนที่มาจากประเทศอื่นนอกจากจีนและซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท การลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัล E-commerce และ Robot ที่มาจากประเทศอื่นนอกจากจีนและซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท การลงทุนในธุรกิจบริการอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว การบริการสุขภาพและความงาม และโลจิสติกส์ที่มาจากประเทศอื่นนอกจากจีนและซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท “ขณะนี้ไทยกำลังเก็บเกี่ยวประโยชน์ทางอ้อมระยะสั้นที่จะเกิดขึ้นใน 3-5 เดือนนี้ ซึ่งถือว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล หลังการประชุมเอเปค คือ การประชาสัมพันธ์ Soft Power อัตลักษณ์ความเป็นไทย ทั้งอาหาร มวยไทย สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ กำลังได้รับความนิยมช่วยให้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น 1-2 แสนคน สร้างรายได้ทั้งในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องประมาณ 10,000 ล้านบาท รวมทั้งซาอุดีอาระเบีย ฝรั่งเศส ที่ร่วมการประชุมเอเปค 2022 ในฐานะแขกพิเศษ ช่วยเปิดโอกาสเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้ผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งการท่องเที่ยว แรงงาน การค้าและการลงทุน ทำให้วันนี้ไทยกำลังกลายเป็นโมเดลความสำเร็จที่หลายประเทศให้ความสนใจ” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตจีน ย้ำความมุ่งมั่นในการผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้าและเป็นรูปธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ หารือ เอกอัครราชทูตจีน ย้ำความมุ่งมั่นในการผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้าและเป็นรูปธรรม ด้านเอกอัครราชทูตจีนขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างสมเกียรติ วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายหาน จื้อเฉียง (H.E. Mr. Han Zhiqiang) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตจีนฯ อีกครั้ง พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนที่มีความผูกพันใกล้ชิดเปรียบเสมือนพี่น้องกันมายาวนาน โดยทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคง อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติให้ก้าวหน้าและเป็นรูปธรรมมากขึ้น และขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เอกอัครราชทูตจีนฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ พร้อมทั้งขอบคุณสำหรับความร่วมมือในการเตรียมการให้การต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จ เรียบร้อย และสมเกียรติ โดยการเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนในระดับประธานาธิบดีในรอบ 11 ปี ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกัน ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น มีการแลกเปลี่ยนการค้าและการลงทุนระหว่างกันจำนวนมาก อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้จีนเพิ่มพูนการค้าการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่จีนมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับความต้องการของไทย ด้านการท่องเที่ยว ประชาชนของทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนการเดินทางระหว่างกันจำนวนมาก ในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ชาวจีนกลับมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยภายหลังจีนมีการผ่อนคลายมาตรการ ซึ่งทางด้านไทยเอง ก็ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศจีนเช่นกัน จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะกลับมามีการแลกเปลี่ยนการเดินทางระหว่างกันได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลสถานะการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 การประกาศผลสถานะการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ตามที่ ก.คลังประกาศผลสถานะการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 เมื่อวันที่ 25 พ.ย.2565 มีผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะแสดงข้อความสถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์ เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง 1,386,423 ราย นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้ประกาศผลสถานะการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (โครงการฯ) เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะแสดงข้อความว่า “สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์” เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง จำนวนทั้งสิ้น 1,386,423 ราย อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มดังกล่าว รวมถึงเพื่อให้มีการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นปัจจุบันของข้อมูลให้ได้มากที่สุด คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในโครงการฯ จึงให้มีการตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียนที่กลุ่มดังกล่าวกับกรมการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลการตรวจสอบ ณ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565 พบว่า มีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลและมีสถานะแสดงข้อความว่า “สถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์” เพิ่มเติมจำนวนทั้งสิ้น 13,356 ราย สำหรับผู้ลงทะเบียนที่ยังคงมีสถานะแสดงข้อความว่า “สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์” เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง ผู้ลงทะเบียนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ/สำนักงานเขต และหากพบว่ามีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อมูลของกรมการปกครอง ขอให้รีบดำเนินการแก้ไข โดยหากเป็นผู้ที่ลงทะเบียนที่หน่วยงานรับลงทะเบียนจะต้องติดต่อขอแก้ไขข้อมูล ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนที่ผู้ลงทะเบียนได้ยื่นแบบฟอร์มลงทะเบียนไว้แล้วเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ สามารถติดต่อขอแก้ไขข้อมูลที่หน่วยงานรับลงทะเบียนใดก็ได้โดยจะต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ซึ่งกระทรวงการคลังจะประกาศผลสถานะการลงทะเบียนโครงการฯ เป็นครั้งสุดท้ายในวันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ลงทะเบียนกลุ่มที่มีสถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์ กระทรวงการคลังจะส่งข้อมูลไปตรวจสอบคุณสมบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีการประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติให้ทราบต่อไปในช่วงเดือนมกราคม 2566 โดยผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติได้ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 094-858-9794 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3502 3503 3506 3536 3542 3518 หรือ โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105, 08-5842-7106, 08-5842-7107 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.) ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 02-109-2345 (เวลาทำการ 08.30 – 17.30 น.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นายกฯ และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่ จ.สงขลา และจ.พัทลุง นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา กำชับเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือประชาชน นายกฯ ลงพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเนื่องจากอุทกภัย พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีต่างชาติเชื่อมั่น ตัวเลขต่างชาติลงทุนในไทย 11 เดือน มูลค่ารวมกว่า 1.12 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 74% ผลสืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการที่สอดคล้องของรัฐบาล
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีต่างชาติเชื่อมั่น ตัวเลขต่างชาติลงทุนในไทย 11 เดือน มูลค่ารวมกว่า 1.12 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 74% ผลสืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการที่สอดคล้องของรัฐบาล โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีต่างชาติเชื่อมั่น ตัวเลขต่างชาติลงทุนในไทย 11 เดือน มูลค่ารวมกว่า 1.12 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 74% ผลสืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการที่สอดคล้องของรัฐบาล ช่วยเร่งเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง สร้างงานสร้างรายได้เพิ่มแก่คนไทย วันนี้ (วันที่ 22 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยเรื่องน่ายินดี ตัวเลขการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ตลอด 11 เดือนของปี 2565 (มกราคม - พฤศจิกายน) มูลค่ารวมกว่า 112,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ถึงร้อยละ 74 เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 5,000 คน โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ขานรับและดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างแข็งขัน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกต่อเนื่อง ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ และสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2565 กระทรวงพาณิชย์ได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 530 ราย โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 137 ราย (ร้อยละ 26) เงินลงทุน 39,000 ล้านบาท 2) สิงคโปร์ 85 ราย (ร้อยละ 16) เงินลงทุน 11,999 ล้านบาท และ 3) สหรัฐอเมริกา 70 ราย (ร้อยละ 13) เงินลงทุน 3,343 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ได้รับอนุญาตฯ ส่วนใหญ่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ “นายกรัฐมนตรีย้ำการทำงานของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลดำเนินการวางรากฐานการพัฒนา สร้างความเชื่อมั่น อำนวยความสะดวกให้แก่การค้าการลงทุน ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ซึ่งสร้างโอกาส เพิ่มปัจจัยบวกให้การตัดสินใจของนักลงทุน นโยบายที่ดำเนินมาอย่างเหมาะสม ถูกช่วงเวลา เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง สร้างงาน สร้างรายได้แก่คนไทย ทั้งนี้ สอดคล้องกับรายงานขององค์กรต่าง ๆ ทั้ง World Bank IMF Fitch Ratings ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวได้ดี และมีการฟื้นตัวเร็วเกินคาด” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ เห็นชอบแนวทางคุม “น้ำเมา” ช่วงปีใหม่ 66 ไม่ขยายเวลาขายเหล้าพื้นที่เฉพาะ
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ เห็นชอบแนวทางคุม “น้ำเมา” ช่วงปีใหม่ 66 ไม่ขยายเวลาขายเหล้าพื้นที่เฉพาะ คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 รณรงค์ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” มีมติไม่ขยายระยะเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง 02.00 น. และไม่เห็นชอบการกำหนดพื้นที่พิเศษขายตั้งแต่ 11.00-04.00 น คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 รณรงค์ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” มีมติไม่ขยายระยะเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง 02.00 น.และไม่เห็นชอบการกำหนดพื้นที่พิเศษขายตั้งแต่ 11.00-04.00 น. เนื่องจากจะเพิ่มการบริโภค ส่งผลให้เกิดอันตรายและอาชญากรรมมากขึ้น วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ดร.สาธิต กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 กำหนดแนวคิดการรณรงค์ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ภายใต้คำขวัญรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ตามที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสนอ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ช่วง คือ 1.ช่วงเตรียมความพร้อมก่อนเทศกาลปีใหม่ รณรงค์จัดกิจกรรมปีใหม่ปลอดเหล้า หรือสวดมนต์ข้ามปี สร้างกระแสให้ร้านค้าและประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามส่งเสริมการขาย ลดแลกแจกแถมขายในเวลาที่กำหนด 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. 2.ช่วงเทศกาลปีใหม่ ใช้มาตรการชุมชนเชิงบวก เพิ่มศักยภาพด่านชุมชนคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการมึนเมา กรณีเกิดเหตุมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้เป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจทุกราย หากไม่สามารถเป่าได้ให้ส่งโรงพยาบาลเพื่อเจาะเลือดตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ และบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดในผู้กระทำผิด และ 3.ช่วงหลังปีใหม่ เน้นคัดกรองส่งต่อผู้กระทำผิดฐานเมาแล้วขับที่ถูกศาลสั่งคุมประพฤติ ให้เข้ารับการบำบัดรักษา โดยจะแจ้งให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเตรียมพร้อมต่อไป ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) โดยมอบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดตามความก้าวหน้าการจัดทำแผนดำเนินงานตามแผปฏิบัติการดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อควบคุมและลดการบริโภคแอลกอฮอล์ของประชาชน ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ควบคุมจำนวนผู้บริโภค ลดความเสี่ยงจากการบริโภค และลดความรุนแรงของปัญหาจากการบริโภค ส่วนข้อเสนอของกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปจนถึง 02.00 น. ยกเลิกเวลาห้ามขาย 14.00-17.00 น. และการพิจารณากำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ให้ขายได้ตั้งแต่ 11.00-04.00 น.นั้น คณะกรรมการเห็นตรงกันว่าประเทศไทยมีการกำหนดเวลาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน และการควบคุมการขายก็เพื่อลดปัญหาด้านสุขภาพ ครอบครัว อุบัติเหตุ อาชญากรรม การบำบัดฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงโดยง่าย ซึ่งเป็นมาตรการที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ “การศึกษาจำนวนมากพบว่า การขยายระยะเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะนำไปสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอันตรายที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มของอาชญากรรมความรุนแรงในพื้นที่ จึงเห็นควรคงมาตรการดังกล่าวไว้ตามเดิม ซึ่งประกาศดังกล่าวยกเว้นการขายภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องแก้ไขประกาศ ส่วนที่กล่าวอ้างว่ามาตรการห้ามขายบริเวณสถานศึกษาตามคำสั่ง คสช.ไม่มีประสิทธิภาพควบคุมการดื่ม ไม่เป็นจริงตามที่กล่าวอ้าง จึงไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกมาตรการนี้” ดร.สาธิตกล่าว ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีพบว่ามีอุบัติเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนนจำนวนมาก ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สรุปสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565 รวม 7 วัน เกิดอุบัติเหตุ 2,707 ครั้งมีผู้เสียชีวิต 333 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,672 คน พบอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ยานพาหนะเป็นอันดับ 2 คิดเป็นร้อยละ 29.51 ส่วนข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรม สรุปสถิติคดีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่เข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 (7 วันอันตราย) เป็นคดี “เมาแล้วขับ” สูงถึง 1.5 หมื่นคน ทั้งนี้ ในการประชุม นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ สังคมปลอดภัย ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เพื่อลดปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ สร้างค่านิยมที่ดีในการรับผิดชอบต่อสังคม คือ ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรทางบกและควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดงานเลี้ยงปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอความร่วมมืองดการขับขี่รถทุกครั้งหลังการดื่ม ตรวจสุขภาพประจำปีและคัดกรองพฤติกรรมการดื่มอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี กำหนดโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิดอันมีสาเหตุมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และส่งเสริมให้มีการติดตั้งAlcohol interlockบนรถขนส่งสินค้า เพื่อเป็นการประเมินผู้ขับขี่ก่อนการเดินทาง *********************************** 22 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63003
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกอบการเฮ! ก.อุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ผ่านนโยบาย 4 มิติ ลดต้นทุนผลิต-เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจ-กระตุ้นศก.ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 22/12/2565 ผู้ประกอบการเฮ! ก.อุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ผ่านนโยบาย 4 มิติ ลดต้นทุนผลิต-เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจ-กระตุ้นศก.ชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรม ชูนโยบาย 4 มิติ มุ่งสร้างความสำเร็จให้ภาคธุรกิจ-ดูแลสังคมโดยรอบโรงงาน-รักษาสิ่งแวดล้อม-กระจายรายได้ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ผู้ประกอบการ กรุงเทพฯ 21 ธันวาคม 2565 – กระทรวงอุตสาหกรรม ชูนโยบาย 4 มิติ มุ่งสร้างความสำเร็จให้ภาคธุรกิจ-ดูแลสังคมโดยรอบโรงงาน-รักษาสิ่งแวดล้อม-กระจายรายได้ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ผู้ประกอบการ อาทิ เว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้ผู้ประกอบกิจการโรงงาน รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม เอส ฟรีแก่ผู้ประกอบการ SMEs 76 จังหวัดทั่วประเทศ มอบสินเชื่อ "ดีพร้อมเปย์" ให้เงินทุนหมุนเวียนช่วยเหลือผู้ประกอบการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปี 2565 ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เริ่มฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง กระทรวงอุตสาหกรรม ได้บูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการและกิจกรรม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้ประกอบการ และคนไทยทั้งประเทศ ผ่านนโยบาย 4 มิติ คือ 1.การสร้างความสำเร็จให้ภาคธุรกิจ 2.การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม 3.การรักษาสิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับประชาชนเพื่อมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND กล่าวเพิ่มว่า กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการส่งเสริม ผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยพัฒนาด้วยความยั่งยืน ทุกกิจกรรม และโครงการที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้ประกอบการในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งชุมชน สังคม และอุตสาหกรรมเติบโตไปด้วยกัน ดังนี้ มิติที่ 1 มุ่งสร้างความสำเร็จให้ภาคธุรกิจ โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน 2566 โรงงานอุตสาหกรรมจำพวกที่ 2 และ 3 ทุกขนาด จำนวน 60,283 โรงงาน คาดเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วประเทศ รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็นวงเงินรวม 282,743,550 บาท พร้อมประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร 2566 จำนวน 1,200 ราย คิดเป็นวงเงินรวม 2 ล้านบาท ลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการได้จำนวนมาก ขณะที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ มอบส่วนลดจากการจำหน่ายมาตรฐานของ ISO และ IEC ในอัตราร้อยละ 30 เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน พร้อมทั้ง ให้บริการตรวจสอบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เอส (มอก.เอส) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ด้าน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เดินหน้าจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิต ส่งถึงมือผู้บริโภคโดยตรงภายใต้กลไก “ตลาดชุมชนดีพร้อม” คาดว่าจะสามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท พร้อมจัดให้มีการช่วยเหลือทางด้านสินเชื่อแก้ผู้ประกอบการด้วยสินเชื่อพิเศษ “ดีพร้อมเปย์” อีกทางหนึ่ง ขณะที่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จัดของขวัญเป็นบัตรแทนเงินสดสำหรับผู้ใช้บริการสินเชื่อสูงสุด 5,000 บาท มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งการให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จัดโครงการเหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน ต่อเนื่องปีที่ 6 และมอบหมายให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพให้กับประชาชนโดยรอบพื้นที่ โดยในปี 2565 มีผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปแล้ว 18,156 คน มิติที่ 3 ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดมลพิษที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จัดหาเครื่องสางใบอ้อยให้ชาวไร่อ้อยยืมใช้งานในการตัดอ้อยสด จำนวน 288 เครื่อง เพื่อเป็นการลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาอ้อยในฤดูการผลิต ปี 2565/2566 ซึ่งชาวไร่อ้อยจะได้รับประโยชน์จากเครื่องสางใบอ้อย ประมาณ 600 ราย ทั่วทั้ง 4 ภูมิภาค นอกจากนี้ เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประมาณ 12 แห่ง จะได้รับการลดหย่อนค่ากำกับการบริการ ประมาณ 2.7 ล้านบาท และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับรองมาตรฐานการสนับสนุนการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ. ประมาณ 2,000 แห่ง จะได้รับการลดหย่อน หรือยกเว้นค่าบริการอนุญาตด้านการใช้ที่ดิน และประกอบกิจการ และด้านสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช้ภาษี คิดเป็นเงินประมาณ 3.5 ล้านบาท และในมิติ มิติที่ 4 ของขวัญจากกระทรวงอุตสาหกรรมถึงประชาชน เน้นกระจายรายได้ให้กับประชาชน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” จัดโครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อมภายใต้กลไก “คนชุมชนดีพร้อม” ขับเคลื่อนชุมชนสร้างรายได้จากฐานราก สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จัดโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยในการบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 – 2567 ซึ่งจะช่วยเหลือในด้านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และจัดให้มีการนำเครื่องจักรการเกษตรเข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตให้ได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถช่วยเกษตรกรได้ประมาณ 3,000 คน “ทั้ง 4 มิติ เป็นของขวัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดเตรียมไว้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ และประชาชนไทยทุกคน ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน เพราะภาคอุตสาหกรรมถือเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าของสังคมโดยรวม” นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ร่วมกับ ทรูมันนี่ พัฒนาการเดินทางสู่สังคมไร้เงินสด เพิ่มทางเลือก การซื้อตั๋วโดยสารครบวงจร บริการชำระค่าตั๋วโดยสาร ผ่านการสแกนจ่ายด้วยแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 รฟท. ร่วมกับ ทรูมันนี่ พัฒนาการเดินทางสู่สังคมไร้เงินสด เพิ่มทางเลือก การซื้อตั๋วโดยสารครบวงจร บริการชำระค่าตั๋วโดยสาร ผ่านการสแกนจ่ายด้วยแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ช่องจำหน่ายตั๋วทุกสถานีทั่วประเทศไทย เพิ่มความสะดวก และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ใช้บริการ รองรับสังคมไร้เงินสด พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การนำระบบการชำระเงินด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ผ่านเครื่องสแกนคิวอาร์โค๊ด เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการรับชำระค่าตั๋วรถไฟ เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ใช้บริการ รองรับสังคมไร้เงินสด โดยในช่วงที่ผ่านมา รฟท. ได้ร่วมกับ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ดำเนินการติดตั้งเครื่องรับบัตรอัตโนมัติ เพื่อรองรับการชำระค่าตั๋วโดยสารด้วยระบบ Mobile Payment นับว่าเป็นก้าวสำคัญของสังคมรถไฟยุคใหม่ ไม่ใช้เงินสด กับการรับชำระค่าตั๋วรถไฟโดยสแกนผ่าน แอพพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท บนสมาร์ทโฟน พร้อมใช้งาน 439 สถานี จำนวน 580 เครื่อง เช่น สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีกรุงเทพ เชียงใหม่ อุบลราชธานี หนองคาย ชุมทางหาดใหญ่ ชุมพร เป็นต้น เพื่อรองรับการใช้บริการของประชาชนที่มาใช้บริการให้ครอบคลุมและทั่วถึง โดยผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดระบบการจ่ายค่าตั๋วรถไฟด้วย ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ทั้ง Play Store และ App Store รองรับการใช้งานได้ถึง 4 ภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พม่า และกัมพูชา พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับ รฟท. ให้ผู้ใช้ ทรูมันนี่ วอลเล็ท สามารถชำระค่าโดยสารในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่ลูกค้าของทรูมันนี่ที่มีอยู่กว่า 26 ล้านคนทั่วประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะเดินทางไกลหรือใกล้ก็ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด อีกทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ในการชำระค่าโดยสารให้แก่ผู้ใช้บริการของรฟท. และตอบรับกับกระแสสังคมไร้เงินสดที่กำลังเติบโตขึ้น พร้อมตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของผู้บริโภคของทรูมันนี่ด้วย” ที่ผ่านมา ทรูมันนี่ ได้ขยายบริการด้านการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบความสะดวกสบายและเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินที่สอดคล้องไปกับชีวิตประจำวัน รวมทั้งเรื่องของการเดินทางโดยรองรับการชำระค่าเดินทางทั้งในส่วนการเติมเงินบัตร Easy Pass สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว รวมไปถึงระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเติมเงินในบัตร MRT จนมาถึงการเปิดให้สแกนจ่ายเพื่อซื้อตั๋วรถไฟในครั้งนี้ ทั้งนี้ จากสถิติระบุว่า จำนวนผู้โดยสารของ รฟท. ทั่วประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นมีจำนวนเฉลี่ยราว 1.8 ล้านคนต่อเดือน หรือราว 60,000 คนต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังการกลับมาเดินทางด้วยระบบขนส่งทางรางเพื่อท่องเที่ยวอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ดังนั้นการชำระเงินค่าโดยสารผ่านแอปทรูมันนี่จึงเข้ามาตอบโจทย์ลดความกังวลเรื่องสุขอนามัยจากการสัมผัส ทั้งยังมอบความสะดวกและรวดเร็วในการชำระเงินมากขึ้น นายนิรุฒฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รฟท. มีโครงการระบบขนส่งทางรางที่จะแล้วเสร็จในอนาคต ทั้งรถไฟรางคู่ รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นรถไฟที่มีความทันสมัยมากขึ้น ในปัจจุบันผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังคงนิยมชำระค่าตั๋วรถไฟด้วยเงินสดกว่าร้อยละ 92 มีเพียง ร้อยละ 6 เท่านั้นที่ชำระด้วยบัตรเครดิต ดังนั้น รูปแบบของรถไฟที่ทันสมัยและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มคุ้นชินกับการชำระเงินด้วย QR Code จึงมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะเป็นบริการที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค สำหรับการเปิดให้บริการซื้อตั๋วรถไฟผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อe-Wallet เข้ากับการซื้อตั๋วเดินทางในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ www.railway.co.th หรือ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. ปลุกพลังพนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ เร่งยกเครื่อง ปรับกระบวนทัศน์องค์กรใหม่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2566
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 เลขาธิการ คปภ. ปลุกพลังพนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ เร่งยกเครื่อง ปรับกระบวนทัศน์องค์กรใหม่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2566 เลขาธิการ คปภ. เปิดการสัมมนาพนักงาน คปภ. ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “ร่วมใจ มุ่งมั่น ก้าวล้ำ เที่ยงธรรม” หรือ “Move Smart, Move Forward, Move Together” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินงานปี 2565 และแนวทางการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมมอบนโยบาย ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาพนักงาน คปภ. ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “ร่วมใจ มุ่งมั่น ก้าวล้ำ เที่ยงธรรม” หรือ “Move Smart, Move Forward, Move Together” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินงานปี 2565 และแนวทางการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมมอบนโยบายให้กับพนักงานและลูกจ้าง สำนักงาน คปภ. ณ โรงแรม โบทานิก้า เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ในช่วงปี 2565 ผลกระทบของ COVID-19 ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปเป็นแบบ New Normal ซึ่งสำนักงาน คปภ. ก็มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค Next Normal เช่นกัน โดยได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ ทั้งด้านการกำกับและส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัย การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชน โดยมีความท้าทาย 3 ประการ คือ ประการแรก ความท้าทายในด้านการกำกับและตรวจสอบดูแลธุรกิจประกันภัย โดยการพัฒนากฎเกณฑ์ด้านกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพแต่มีความยืดหยุ่นภายใต้หลัก Principle-Based ประการที่สอง ความท้าทายในด้านการส่งเสริม อาทิ การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และประการที่สาม การอำนวยความสะดวกด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในยุค Next Normal ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการบริการประชาชนให้มีความทันสมัย เพื่อเพิ่มโอกาสของธุรกิจประกันภัย ให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ รวมทั้งเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันภัยให้กลับคืนมา ในช่วงปี 2565 สำนักงาน คปภ.ได้เตรียมความพร้อมเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ SMART OIC จนออกมาเป็นรูปเป็นร่างผ่านผลงานต่าง ๆ มากมาย และได้ระดมสรรพกำลังกันอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 การเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ ผลกระทบของการเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทประกันภัย 4 ราย ฯลฯ โดยพนักงาน คปภ. ทุกคนได้ร่วมพลังกันฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ และยืนเคียงข้างประชาชน เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างถึงที่สุด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกมิติของความเสี่ยงภัย ส่งผลทำให้ในปี 2565 สำนักงาน คปภ. มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และนำมาซึ่งการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติใหญ่ ๆ มากมาย เช่น รางวัลการประเมิน ITA ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ AA มีคะแนนสูงถึง 96.51 คะแนน สูงสุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้รับ 100 คะแนนเต็มจากตัวชี้วัด “การเปิดเผยข้อมูล” และ “การป้องกันการทุจริต” รางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นจากกรมบัญชีกลาง ในส่วนของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยสำหรับทุนหมุนเวียนที่เข้ารับการประเมินจากกรมบัญชีกลาง โดยกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สำนักงาน คปภ. ได้รับรางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ด้วยคะแนนการประเมินภาพรวมสูงถึง 4.3144 คะแนน ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนสูงสุดที่กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเคยได้รับจากกรมบัญชีกลาง อีกรางวัลคือ “ผู้บริหารหน่วยงานอิสระดีเด่น” ประจำปี 2565 ในงาน SIAMRATH ONLINE AWARD 2022 ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนให้เห็นว่า บทบาทและการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยมีผลงานเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ประจักษ์ต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลระดับกรม รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) ด้วยผลคะแนนรวมจัดอยู่ในกลุ่ม Very High จากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีผลคะแนนในระดับความพร้อม รวมสูงสุดถึง 82.07% และรางวัล DIGI Data Award “รางวัลชุดข้อมูลเปิดทรงคุณค่า” โดยสถาบันนวัตกรรมและธรรมาภิบาลข้อมูล ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานที่มีผลงานชุดข้อมูลเปิดยอดเยี่ยม ทำให้เห็นว่า การทำงานของสำนักงาน คปภ. เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและการวางรากฐานการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ของสำนักงาน คปภ. เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย และเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม “ทุกรางวัลที่สำนักงาน คปภ. ได้รับนี้ แสดงถึงความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ การพัฒนาการบริหารงานและการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งเราจะต้องไม่เพียงรักษาคุณภาพนี้ไว้ แต่จะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สำนักงาน คปภ. เป็นองค์กรหลักที่จะช่วยนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงและตลอดไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนโยบายการดำเนินงานในปี 2566 สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดวัฒนธรรมและค่านิยมองค์กรใหม่ คือ “ร่วมใจ มุ่งมั่น ก้าวล้ำ เที่ยงธรรม” โดยมีคำนิยาม ดังนี้ ร่วมใจ คือ ผสานความร่วมมือและไว้วางใจ (Teamwork & Trust) มุ่งมั่น คือ ทำงานอย่างมืออาชีพ (Professionalism) ก้าวล้ำ คือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Creativity with Agility) และเที่ยงธรรม คือ ยึดหลักธรรมาภิบาลและใส่ใจสังคม (Good Governance for Good Society) ดังนั้น ทิศทางการดำเนินงานของสำนักงานในปี 2566 จะต้องมีการทบทวนและปรับทิศทางในการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัย การฉ้อฉลประกันภัย รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยที่เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงสำคัญได้อย่างครบถ้วน และมีฐานะการเงินที่มั่นคงเพียงพอรองรับความเสี่ยงและบริบทในการดำเนินธุรกิจในอนาคต ควบคู่ไปกับการต่อยอดสนับสนุนให้บริษัทประกันภัยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเดิมที่เคยอยู่ในสถานะของการตั้งรับและเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าสู่โหมดการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเดินทางไปสู่การสร้างสมดุลของระบบประกันภัย ควบคู่กับการเสริมสร้างความทนทาน มั่นคง และยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัย ประกอบกับในปี 2566 เป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้แผนยุทธศาสตร์สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2564 - 2566) จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์และผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการประกันภัยได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนด Key Result 5 เป้าหมายหลัก ดังนี้ KR แรก ประชาชนและภาคเอกชนเชื่อมั่นในระบบประกันภัย ตระหนักถึงความเสี่ยง และใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้น มีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในมิติต่าง ๆ KR ที่ 2 ระบบประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมให้ฟื้นตัวจากสภาวะวิกฤตได้อย่างราบรื่น สามารถบริหารความเสี่ยงสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น KR ที่ 3 สร้างระบบนิเวศน์ที่เหมาะสม เพื่อเร่งส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่มากขึ้น KR ที่ 4 แนวทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของสำนักงาน คปภ. เท่าทัน สอดคล้องกับบริบทใหม่ กฎระเบียบ และมาตรฐานสากลที่เปลี่ยนแปลง และKR ที่ 5 สำนักงาน คปภ. มุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ที่มีความยืดหยุ่น พร้อมรับความท้าทายใหม่ เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า กุญแจสำคัญสำหรับสำนักงาน คปภ. ในการปรับตัวสู่โลกหลังยุคโควิด-19 มี 4 ประการหลัก ๆ คือ ประการแรก สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับองค์กรอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการผลักดันให้มีการผนวกเรื่อง ESG (Environment, Social and Governance) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและกลยุทธ์ของสำนักงาน คปภ. รวมทั้งสนับสนุนและผลักดันให้ธุรกิจประกันภัยดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ประการที่ 2 ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยนำผลการศึกษาโครงการ Business Process Improvement มาใช้อย่างจริงจังให้สามารถรับมือและเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานในสายงานต่าง ๆ โดยในปี 2566 จะมีการปรับปรุงขนานใหญ่เรียกได้ว่ายกเครื่องกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะจากจุดที่เป็น touch point เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การให้บริการตัวแทนนายหน้า ระบบ E-licensing หรือ จากกระบวนการภายใน เช่น กระบวนการตรวจสอบและวิเคราะห์พัฒนาระบบสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล EWS ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบงาน e-sarabun และระบบ ERP ของสายบริหารที่มาใช้ในการจัดการดูแลทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งหมดของสำนักงาน คปภ. ประการที่ 3 ใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัล จากระบบงานสารสนเทศที่ได้พัฒนาแล้ว มีการติดตามผลผ่านคณะทำงาน Enterprise Architecture เพื่อให้เกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างภารกิจของสำนักงาน คปภ. กับกระบวนการการทำงานและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และประการที่ 4 สร้างสมดุลระหว่างการมีเสถียรภาพและการเติบโตเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนองค์กร สำนักงาน คปภ. จะต้องจริงจังเรื่องการบริหารความเสี่ยงและรักษาสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจประกันภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “หากมีการวางแผนการรับมือที่ดี มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม พร้อม ๆ กับหมั่นทบทวนกลยุทธ์ แผนงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นประจำ ย่อมจะส่งผลให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในทุกมิติ และได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชน อันจะช่วยให้ระบบประกันภัยของไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก แนะนำผู้ต้องการเช่าเหมารถโดยสาร ให้วางแผนการเดินทาง ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของผู้รับจ้างทั้งข้อมูลคนขับและสภาพรถ ต้องเป็นรถป้ายเหลืองที่จดทะเบียนถูกต้อง
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก แนะนำผู้ต้องการเช่าเหมารถโดยสาร ให้วางแผนการเดินทาง ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของผู้รับจ้างทั้งข้อมูลคนขับและสภาพรถ ต้องเป็นรถป้ายเหลืองที่จดทะเบียนถูกต้อง ... กรมการขนส่งทางบก แนะนำผู้ต้องการเช่าเหมารถโดยสาร ให้วางแผนการเดินทาง ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของผู้รับจ้างทั้งข้อมูลคนขับและสภาพรถ ต้องเป็นรถป้ายเหลืองที่จดทะเบียนถูกต้อง มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยภายในรถ คนขับรถมีประสบการณ์ชำนาญเส้นทาง นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องกันหลายวัน มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ประกอบกับตอนนี้สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยเข้าสู่สภาวะปกติ มีการคลายมาตรการทางด้านสาธารณสุข โดยคาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ในปีนี้จะมีประชาชนเดินทางและใช้รถ ใช้ถนนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ รูปแบบการเดินทางที่เป็นที่นิยมคือใช้บริการเช่าเหมารถตู้โดยสารและรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดและประเภทรถให้เลือกตามความเหมาะสมกับการเดินทาง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเดินทางแบบหมู่คณะ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอแนะนำว่าผู้เช่าเหมารถโดยสารควรวางแผนการเดินทางอย่างเหมาะสม เลือกเส้นทางที่ปลอดภัย เลือกขนาดรถให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร และตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของผู้รับจ้างทั้งข้อมูลคนขับและสภาพรถอย่างละเอียดก่อนการว่าจ้าง ด้านผู้ประกอบการมีความเป็นมืออาชีพ ประวัติการเดินรถดี มีการตรวจสภาพความพร้อมของรถและพนักงานขับรถเพื่อความปลอดภัยที่ ขบ. กำหนด ด้านตัวรถ จดทะเบียนเป็นรถโดยสารสาธารณะ (ป้ายเหลือง) มีการติดตั้ง GPS Tracking เพื่อประชาชนสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่และการใช้ความเร็วของรถแบบ Realtime ผ่านแอปพลิเคชัน “DLT GPS” ทางโทรศัพท์มือถือได้ซึ่งจะแสดงผลเช่นเดียวกันกับข้อมูลที่แสดงในศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของ ขบ. มีการทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ด้านคุณภาพตัวรถต้องมีความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ผ่านการตรวจสภาพรถและชำระภาษีถูกต้อง ตัวรถต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ได้แก่ เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก ด้านคนขับ ต้องมีประสบการณ์ และชำนาญเส้นทาง หากเป็นรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกคนได้ตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถตาม พ.ร.บ. การขนส่งทางบกประเภท ทุกประเภทชนิดที่ 2, 3 และ 4 เท่านั้นส่วนรถตู้ คนขับสามารถใช้ใบอนุญาตขับรถประเภท ทุกประเภทชนิดที่ 1 ถึง 4 อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการตรวจสอบก่อนออกเดินทาง ข้อมูลที่ต้องตรวจสอบ เช่น ทะเบียนรถตรงกับในสัญญา คนขับมีใบอนุญาตขับรถตรงตามประเภทรถ หากไม่ถูกต้องผู้ว่าจ้างสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และสามารถเรียกร้องให้ผู้รับจ้างชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น สำหรับข้อปฏิบัติระหว่างการเดินทาง ผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาขณะโดยสารไปกับรถ ต้องเปลี่ยนคนขับ เมื่อปฏิบัติงานติดต่อกันเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หรือให้หยุดพักขับรถไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะขับรถต่อไปอีกไม่เกิน 4 ชั่วโมง ผู้ขับรถต้องไร้สารเสพติดและแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท สามารถร้องเรียนที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กลุ่มเปราะบาง ซ่อมบ้านสร้างสุข 50,000 หลัง บ้านผู้มีรายได้น้อย 15,000 หน่วย สร้างอาชีพใหม่ 15,300 คน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 พม. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กลุ่มเปราะบาง ซ่อมบ้านสร้างสุข 50,000 หลัง บ้านผู้มีรายได้น้อย 15,000 หน่วย สร้างอาชีพใหม่ 15,300 คน พม. มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กลุ่มเปราะบาง ซ่อมบ้านสร้างสุข 50,000 หลัง บ้านผู้มีรายได้น้อย 15,000 หน่วย สร้างอาชีพใหม่ 15,300 คน วันนี้ (29 ธ.ค. 65) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ด้วย ปี 2565 กำลังจะผ่านพ้นไป ซึ่งเป็นปีที่ประชาชนยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เป็นเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการดำเนินชีวิตที่มั่นคง และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับปีใหม่ 2566 ที่กำลังใกล้เข้ามา กระทรวง พม. ได้เตรียมของขวัญปีใหม่ 2566 มอบให้กับกลุ่มเปราะบาง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ของขวัญชิ้นแรก คือ “ซ่อมบ้าน สร้างสุข” จำนวน 50,000 หลัง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยให้กับครอบครัวกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ ได้มีบ้านที่มั่นคง แข็งแรง สะอาด และปลอดภัย รวมถึงมีสภาพแวดล้อมและระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ ตามหลักการการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) โดยบูรณาการความร่วมมือภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ของขวัญชิ้นที่ 2 บ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย จำนวน 15,000 หน่วย ในโครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ประกอบด้วย 1) บ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จำนวน 5,000 หน่วย ด้วยอัตราค่าเช่าราคาพิเศษ 1,200 – 1,500 บาทต่อเดือน หรือวันละเพียง 40 - 50 บาท และ 2) บ้านเช่าซื้อสำหรับผู้มีรายได้น้อย จำนวน 10,000 หน่วย ในระดับราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งนี้ สามารถติดต่อได้ที่ Call Center 1615 การเคหะแห่งชาติ ของขวัญชิ้นที่ 3 การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน 15,300 คน ประกอบด้วย 1) สร้างอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ และกลุ่มเปราะบางติดเตียง (Care Giver) จำนวน 10,000 คน ด้วยหลักสูตรอาชีพที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข 2) สร้างอาชีพธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ จำนวน 5,000 คน สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยว กลุ่มเปราะบาง และผู้ว่างงาน พร้อมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทักษะที่ครบวงจรในการเป็นเจ้าของธุรกิจ และ 3) สร้างนักขายมือทอง จำนวน 300 คน สำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้ว่างงาน ในการแนะนำโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศของ กคช. โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63268
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อำนาจเจริญ ทวนสอบ "โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน" ทุกครัวเรือนจัดทำแล้ว ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า "เกิดประโยชน์จริง" พร้อมชวนคนไทยจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อความยั่งยืนของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 อำนาจเจริญ ทวนสอบ "โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน" ทุกครัวเรือนจัดทำแล้ว ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า "เกิดประโยชน์จริง" พร้อมชวนคนไทยจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อความยั่งยืนของโลก จังหวัดอำนาจเจริญ ทวนสอบ "โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน" ทุกครัวเรือนจัดทำแล้ว ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า "เกิดประโยชน์จริง" พร้อมชวนคนไทยจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อความยั่งยืนของโลกใบเดียวนี้ วันนี้ (29 ธ.ค. 65) นายชนาส ชัชวาลวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า จังหวัดอำนาจเจริญ โดยนางจินตนา ชัชวาลวงศ์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วย นางสาวณัฐชยา ช่างแกะ ท้องถิ่นจังหวัดอำนาจเจริญ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้ประเมินโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน และคณะทำงานจากกระทรวงมหาดไทย ในการลงพื้นที่ทวนสอบโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน ณ พื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 10 บ้านหัวดง หมู่ที่ 1 บ้านเปือย และหมู่ที่ 4 บ้านน้ำท่วม ในพื้นที่รับผิดชอบของเทศบาลตำบลเปือย อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งมีเป้าหมายการทวนสอบตามโครงการฯ จำนวน 36 ครัวเรือน แต่ทวนสอบจริง จำนวน 45 ครัวเรือน นายชนาส ชัชวาลวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ในทุกมิติ ซึ่งเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมลงนามในการประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยยั่งยืน ด้วยแนวคิด "76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมกับผู้ประสานงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ซึ่งจังหวัดอำนาจเจริญ ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ขององค์การสหประชาติ อาทิ โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา" ที่ส่งเสริมให้ครัวเรือนทุกครัวเรือนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาคน ทำให้คนไปพัฒนาพื้นที่ สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และความมั่นคงทางอาหารได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง สามารถยกระดับสู่ขั้นก้าวหน้าได้ด้วยการรวมกลุ่ม และสร้างเวทีเเลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เป็นการปลูกฝังให้คนในชุมชนมีจิตสำนึกที่ดีในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งดิน แหล่งน้ำ ป่า รวมถึงระบบนิเวศตามหลักธรรมชาติด้วย ซึ่งสามารถสร้างความอุดมสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี นายชนาส ชัชวาลวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวต่ออีกว่า การจัดทำโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน เป็นการส่งเสริมให้แต่ละครัวเรือนช่วยเติมเต็มกระบวนการสร้างความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศ กล่าวคือ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนมีประโยชน์หลายประการนอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนแล้ว ยังช่วยลดรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการขยะ ทั้งขยะทั่วไป ขยะเปียก ขยะรีไซเคิล เเละขยะอันตราย ลดการเน่าเหม็นของปริมาณขยะที่ต้องกำจัด ซึ่งหากมีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีจะสามารถนำเงินงบประมาณในส่วนนี้กลับมาสู่การพัฒนาท้องถิ่นในด้านอื่น ๆ ได้ ผวจ.อำนาจเจริญ เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ ประโยชน์ที่ใกล้ตัวเรานั่นคือ เราได้ปุ๋ยอินทรีย์จากการทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เราได้คืนแร่ธาตุ คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ผ่านกระบวนการย่อยสลายด้วยกรรมวิธีทางธรรมชาติ ซึ่งเราสามารถนำปุ๋ยเหล่านี้ไปบำรุงดินให้ดินเลี้ยงพืช เป็นทางเลือกที่ Win - Win กับทุกฝ่ายก่อให้เกิดผลต่อทั้งตัวเอง ครัวเรือน คนในชุมชน สังคม และก็โลกใบเดียวของเรา สำหรับผลการลงพื้นที่ทวนสอบโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน ในวันนี้พบว่ามีการดำเนินการติดตั้งและใช้ถังขยะเปียก ลดโลกร้อนฯ จริงครบทุกครัวเรือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี "ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้เกิดการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพราะดินเป็นแหล่งกำเนิดก่อเกิดอาหาร (Soils, where food begins.) ทำให้แผ่นดินไทยเป็นผืนเเผ่นดินทอง ง่าย ๆ ด้วยการจุดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนกับชาวอำนาจเจริญและกระทรวงมหาดไทยกันนะครับ" ผวจ.อำนาจเจริญ กล่าวในช่วงท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ แจง สลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ผลตอบรับดี งวด 17 ม.ค. 66 เพิ่มเป็น 17.129 ล้านฉบับ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 สำนักงานสลากฯ แจง สลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ผลตอบรับดี งวด 17 ม.ค. 66 เพิ่มเป็น 17.129 ล้านฉบับ สำนักงานสลากฯ แจงสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ผลตอบรับดี งวด 17 ม.ค. 66 เพิ่มเป็น 17.129 ล้านฉบับ พร้อมโอนเงินรางวัลเข้าทุกบัญชี ภายใน 2 ชม. ย้ำตัวแทนจำหน่ายผู้ซื้อ-จองล่วงหน้า ต้องปฏิบัติตามสัญญาและเงื่อนไขการจำหน่ายเคร่งครัด สำนักงานสลากฯ แจง สลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ผลตอบรับดี งวด 17 ม.ค. 66 เพิ่มเป็น 17.129 ล้านฉบับ พร้อมโอนเงินรางวัลเข้าทุกบัญชี ภายใน 2 ชั่วโมง ย้ำตัวแทนจำหน่ายผู้ซื้อ-จองล่วงหน้า ต้องปฏิบัติตามสัญญาและเงื่อนไขการจำหน่ายเคร่งครัด ห้ามขายเกินราคาหรือขายส่ง ปีที่ผ่านมายกเลิกโควตาแล้วกว่า 23,000 ราย วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) เวลา 16.30 น. ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ตั้งแต่ ปี 2558 เป็นต้นมา การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการระดมมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน โดยมีโร้ดแมปการดำเนินงาน 3 ระยะ โดยในระยะแรก เป็นการจัดระเบียบและการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการปรับระบบการจัดสรรสลากตัวแทนรายย่อยให้เหลือรายละ 5 เล่ม เท่ากันหมดทุกคน โดยให้เฉพาะนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรและองค์กรการกุศล และองค์กรคนพิการเท่านั้น มีการปรับสัดส่วนเพิ่มกำไรให้กับตัวแทนจำหน่ายโดยเพิ่มส่วนลดให้จากเดิม 7% ได้กำไรฉบับละ 5.60 บาท ปรับเป็น 12% ได้กำไร ฉบับละ 9.60 บาท เพื่อให้ตัวแทนรายย่อยมีกำไรมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงรางวัลสลาก โดยปรับรางวัลเลยท้าย 3 ตัว จากเดิม 4 รางวัล เปลี่ยนเป็นรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 2 รางวัล และรางวัลเลขหน้า 3 ตัว 2 รางวัล เพื่อแก้ปัญหาเรื่องสลากฯ เลขไม่สวย ขายไม่หมด เพิ่มปริมาณสลากต่องวดให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อลดปัญหาเกินราคา นอกจากนี้ ยังมีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง เพื่อตรวจสอบการจำหน่ายสลาก และมีการใช้มาตรการทางกฎหมายบังคับใช้ ในกรณีที่ตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อจองล่วงหน้าไม่ปฎิบัติตามสัญญาและเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายสลากเกินราคา มีการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย รวมถึงการไม่จำหน่ายสลากปลีกด้วยตนเอง แต่นำไปขายต่อให้แพลตฟอร์มเอกชนต่างๆ จะถูกยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายและยกเลิกการเป็นผู้ซื้อจองล่วงหน้า โดยในปี 2565 ได้ถูกยกเลิกสัญญาไปแล้ว 23,689 ราย นายธนวรรธน์ พลวิชัย กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับการดำเนินการตามโร้ดแมป ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการปรับแผนและทิศทางการจำหน่ายสลากนั้น สำนักงานฯ ได้พัฒนาระบบจำหน่ายสลากฯ โดยจัดให้มีโครงการซื้อ-จอง ล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านธนาคารกรุงไทย ควบคู่ไปกับระบบจำหน่ายผ่านตัวแทนระบบเดิม ทำให้สามารถมีสลากฯ กระจายไปทั่วประเทศ ผู้ค้าสลากฯ เข้าถึงสลากฯ ได้ในราคาทุนโดยตรงไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ปัจจุบัน มีสลากในระบบซื้อจองล่วงหน้า 50% ของปริมาณสลากทั้งหมดที่พิมพ์ออกจำหน่าย นอกจากนี้ สำนักงานฯ ได้ดำเนินการจำหน่ายสลากดิจิทัล ผ่านแอปเป๋าตัง ผ่านมาแล้วรวม 13 งวด ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีการปรับตัวทำให้การจำหน่ายสลากดิจิทัล มีความคล่องตัว ประกอบกับเมื่อถูกรางวัลสามารถเลือกรับเงินรางวัลผ่านการโอนเข้าบัญชีของทุกธนาคารได้ภายใน 2 ชั่วโมง นับเป็นการขึ้นเงินรางวัลที่สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก ทำให้กระแสตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ ได้มีการเพิ่มปริมาณสลาก โดยในงวด 17 มกราคม 2566 จะมีปริมาณสลาก 17,129,000 ใบ เป็นสลากของตัวแทนจำหน่าย 34,258 ราย ทั้งนี้ ปริมาณสลากเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 901,500 ใบ สำนักงานฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัล เพื่อให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อรวมกับจุดจำหน่ายสลาก 80 ซึ่งเป็นสลากใบ ที่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศอีก 1,047 จุด จำนวนสลากประมาณเกือบสามล้านฉบับ ทำให้ขณะนี้ มีสลากที่จำหน่ายในราคาไม่เกิน 80 บาท ตามราคาที่กำหนดอย่างน้อย 19.5 ล้านฉบับ คิดเป็นเกือบร้อยละ 20 ของปริมาณสลากทั้งหมด 100 ล้านฉบับที่สำนักงานพิมพ์ออกจำหน่าย ทำให้ผู้ซื้อสลากมีทางเลือกในการซื้อสลากในราคา 80 บาท ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและกว้างขวาง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้คือ แอปเป๋าตัง และจุดจำหน่ายสลาก 80 บาท โดยสำนักงานฯ สามารถเพิ่มปริมาณสลากได้ตามความต้องการจริงของสังคม สำหรับการดำเนินการตามโร้ดแมประยะที่ 3 ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมนั้น สำนักงานฯ อยู่ระหว่างดำเนินการออกผลิตภัณฑ์สลากรูปแบบใหม่ ขณะนี้ ได้สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการออกสลากแบบ N3 และ L6 โดยเฉพาะ N3 จะเป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนในการซื้อสลากได้ในราคาตามกฎหมายเพิ่มเติมจากที่สามารถซื้อได้ในระบบสลากดิจิทัลและจุดจำหน่ายสลาก 80 บาท ซึ่งสำนักงานฯ สามารถเพิ่มได้ตามความต้องการของประชาชนอีกทางหนึ่ง และนำเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ สำนักงานฯ สามารถดำเนินการได้ทันที พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงการตรวจสอบการจำหน่ายสลากของตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อ-จองฯ ล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำสลากไปจำหน่ายต่อให้กับแพลตฟอร์มเอกชนต่างๆ หรือไม่ได้จำหน่ายด้วยตนเอง ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบสลากที่ถูกรางวัลจากการที่นำสลากนั้นมาขึ้นเงินรางวัล หากพบว่าเป็นสลากของตัวแทนจำหน่าย หรือผู้ซื้อจองรายใด จะใช้มาตรการเด็ดขาดในการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มข้นในการลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายสลาก รวมถึงการเบิกสลากที่ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจำหน่ายสลากของสมาคม องค์กร ให้เป็นไปตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้ายว่า การดำเนินการกับแพลตฟอร์มเอกชนที่จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนด ไม่ว่าจะรวมค่าบริการเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม สำนักงานฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ สำนักงานฯ ได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ในความผิดฐานขายสลากเกินราคา ปัจจุบันศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายฯ (ปิดเว็บไซต์) ไปแล้ว 12 แพลตฟอร์ม กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการอุทธรณ์ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 2 แพลตฟอร์ม และอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล จำนวน 1 ราย ในขณะเดียวกันสำนักงานฯ ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องทุกงวด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เน้นย้ำทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมกำชับให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวัง ฯ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 มหาดไทย เน้นย้ำทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมกำชับให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวัง ฯ มหาดไทย เน้นย้ำทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมกำชับให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ หากพบเบาะแสสามารถร้องเรียนได้ มหาดไทย เน้นย้ำทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู เดินหน้า Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมกำชับให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ หากพบเบาะแสสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู โดยยกกรณีตัวอย่างที่มีผลงานเป็นรูปธรรมอย่างจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งจะนำตัวผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่การบำบัดรักษา โดยใช้ “คลินิกอบอุ่น” ซึ่งเป็นโปรแกรม “นวัตกรรมสุขภาพ” และเป็นกระบวนการในการบำบัดรักษาโดยที่ครอบครัวและผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือกับทางราชการในการที่นำพาบุตรหลานที่ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด ทั้งนี้ โครงการพัฒนาโปรแกรม "นวัตกรรมสุขภาพ" จัดการอบรมขึ้นระหว่างวันที่ 18-28 ธันวาคม 2565 ณ ธารจินดารีสอร์ท อ.เมือง จ.มุกดาหาร โดยการนำผู้ป่วยยาเสพติดประเภทแอมเฟตามีน จำนวน 30 คน เข้ารับการบำบัดพร้อมกับประยุกต์ใช้การแพทย์แผนไทยที่ต้องคัดกรองตามความสมัครใจ ใช้เวลานาน 10 วัน ซึ่งเป็นทั้งการบำบัดทางกาย บำบัดทางจิต และการบำบัดทางสังคมและทักษะอาชีพ โดยการส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน การใช้สังคมบำบัด และการติดตามประเมินผลผู้ติดยาเสพติด ด้วยการติดตามหลังจากการอบรม 3 เดือน เพื่อประเมินผลการเสพยา การใช้ชีวิตในสังคม และการประเมินต่อยอดงานจากบุคคลภายนอกที่มาประเมินโครงการในภาพรวมต่อไป พร้อมกันนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยการเร่ง Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยง เช่น สถานบริการ และสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ พื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งหลายพื้นที่ได้ปล่อยแถวชุดปฏิบัติการ เข้ากวาดล้างจับกุม กดดันป้องปราม รวมทั้งสุ่มตรวจสถานบันเทิงต่าง ๆ และดำเนินการทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ได้ลงนามในคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 6181/2565 เรื่อง สั่งปิดสถานบริการ ประเภท 3 ชื่อ ยูบาร์ (U BAR) ตั้งอยู่เลขที่ 222/2 ถนนประชาสำราญ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ใบอนุญาตเลขที่ 9/2565 ผับดังเมืองขอนแก่น เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งถูกจับกุมและพบสารเสพติดในสถานที่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เนื่องด้วยมีพฤติการณ์เปิดให้บริการโดยฝ่าฝืนระเบียบกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีการพกพายาเสพติดเข้าไปในสถานที่ของตน จนถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจจับกุมและดำเนินคดี "นอกจากนี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมด้วย พลตำรวจตรี สุทธิพงศ์ เป๊กทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ ปล่อยแถวกองกำลังผสมระหว่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ ตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ กองกำลังอาสารักษาดินแดน สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 6 ทหารจาก มทบ.35 และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพื่อร่วมกันตรวจค้นเรือนนอน ทั้งแดนชาย และแดนหญิง ภายใต้ปฏิบัติการตรวจค้น จู่โจม เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามนโยบายของทางรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยเน้นในเรื่องของการป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู เน้นการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเสพติด และที่สำคัญคือการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภายในเรือนจำ การมีมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้ยาเสพติดแพร่ระบาดเป็นการตัดช่องทางการติดต่อซื้อขายและการลักลอบนำยาเสพติดเข้าภายในเรือนจำ ทั้งยังเป็นการปราบปรามการกระทำผิดวินัยของผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อหยุดยั้งกลุ่มขบวนการและเครือข่ายที่จะใช้เรือนจำเป็นฐานในการกระทำความผิดด้วย" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว จากนั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงมิติด้านการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเน้นย้ำว่ากระทรวงมหาดไทยยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ด้วยการใช้ทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และลงพื้นที่ลุยกวาดล้างผู้กระทำความผิดอย่างแข็งขัน จริงจัง และต่อเนื่อง ทั้งผู้ค้ารายใหญ่และผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ของจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. จังหวัดหนองคาย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย และนายประทีป อุ่ยเจริญ ปลัดจังหวัดหนองคาย ร่วมกับ พล.ต.ต.พรชัย ชลอเดช ผบก.ภ.จว.หนองคาย เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 4 และนายธวัชชัย กงเพชร ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง อำเภอเมืองหนองคาย แทนนายอำเภอเมืองหนองคาย จัดแถลงข่าวการสืบสวนสอบสวนขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสําคัญ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําแม่น้ําโขง (นรข.) เมืองหนองคาย ได้จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จํานวน 1 ราย พร้อมยาบ้าของกลาง จำนวน 2,102,000 เม็ด จึงนำมาซึ่งการขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสําคัญในวันนี้ โดยมีการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวที่ออกหมายจับไปแล้วจํานวน 5 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว จำนวน 3 ราย พร้อมยึดอายัดทรัพย์สิน 6.4 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนดําเนินการสืบสวนขยายผลออกหมายจับเพิ่มเติม และตรวจสอบทรัพย์สินทางบัญชี พร้อมทั้งตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์รายการอื่นๆ เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินอีกต่อไป 2. จังหวัดจันทบุรี พล.ต.ต.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผบก.ภ.จว.จันทบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.อรรฆพงษ์ สุนทรวิภาต รอง ผบก.ภ.จว.จันทบุรี และ พ.ต.อ.ชนะวงศ์ มีวิริยกุล ผกก.สภ.ท่าใหม่ ร่วมแถลงผลการจับกุม นายชะวาล หรือ “เสือแก่น คลองขุด” อายุ 52 ปี เอเยนต์ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ อำเภอท่าใหม่ พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 2,200 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 50 กรัม จึงได้แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย มีปริมาณเกินกว่า 20 กรัม โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต 3. จังหวัดแพร่ นายนคร สายยืด นายอำเภอสูงเม่น มอบหมาย น.ส.นงลักษณ์ มะทะ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง และ สมาชิก อส.อ.สูงเม่น 4 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สูงเม่น ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สุชาติ สิงห์ขรณ์ ผกก.สภ.สูงเม่น พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด, กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต.เวียงทอง, ต.ดอนมูล ได้ร่วมกันปฏิบัติการตรวจค้นบ้านพักตามหมายศาลในพื้นที่ตำบลเวียงทอง โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 2 เม็ด และได้ทำการตรวจปัสสาวะ เบื้องต้นผลเป็นบวกทั้งคู่ พร้อมกันนี้ยังมีตรวจค้นบ้านพักสองหลังตามหมายศาลในพื้นที่ตำบลดอนมูล กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากศูนย์ดำรงธรรม จ.เเพร่ ขอให้ตรวจสอบบุคคลผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายภายในบ้าน และได้ทำการตรวจปัสสาวะ เบื้องต้นผลเป็นบวก เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สูงเม่น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 4.จังหวัดกระบี่ นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มอบหมายให้ นายธานี หะยีมะสาและ ปลัดจังหวัดกระบี่ ปล่อยแถว เพื่อจัดระเบียบสังคมแบบบูรณาการ โดยออกตรวจสถานบริการ/สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ โดยมีนายภูเมศ ไกรทอง ป้องกันจังหวัดกระบี่ นายมณทิพย์ นำพา ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองกระบี่ สมาชิก อส.จ.กบ.ที่1 สมาชิก อส.อ.เมืองกระบี่ที่ 2 ตำรวจ สภ.เมืองกระบี่ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเมืองกระบี่ ลงพื้นที่ตรวจสถานบริการ/สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองกระบี่ จำนวน 8 ร้าน โซน rca ,เซ็นเตอร์พอยท์,อ่าวนางแลนด์มาร์ค จำนวน 7 ร้าน และอำเภออ่าวลึก จำนวน 3 ร้าน รวมทั้งสิ้น 18 ร้าน โดยสุ่มตรวจปัสสาวะพนักงานภายในร้าน รวมจำนวน 20 ราย ไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด 5.จังหวัดชัยภูมิ นายวรศิษย์ พุฒจีบ นายอำเภอเมืองชัยภูมิ พ.ต.ท.ชาญวิทย์ กิตติเมธาวี รอง สวป.สภ.เมืองชัยภูมิ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้จัดชุดปฏิบัติการออกตรวจสถานบริการและคล้ายสถานบริการในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จำนวน 7 ร้าน โดยผลการตรวจเรียบร้อยปกติ ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายและได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการด้วยดี ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงมหาดไทยได้กำชับให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังการกระทำความผิดทุกรูปแบบ หากสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดให้เร่งทำการขยายผล รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อระดมสรรพกำลังในการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในทุกพื้นที่ อีกทั้งยังให้ทุกจังหวัด และอำเภอ รวมถึงภาคีเครือข่าย ช่วยประชาสัมพันธ์ช่องทางการเเจ้งเบาะเเส หรือการร้องเรียนที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง หากพบเห็นการกระทำความความผิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมอาจก่อให้เกิดภัยแก่สังคมให้รีบเเจ้งทันที เพื่อจะได้ดำเนินการตามข้อร้องเรียนอย่างเร่งด่วนต่อไป ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันเเละเเก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายในการประกาศสงครามกับยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพร้อมทำหน้าที่อย่างจริงจังในทุกรูปแบบ เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขของพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างยั่งยืนสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย รพ.ในสระแก้วให้การรักษาผู้บาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปต 32 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ปลัด สธ. เผย รพ.ในสระแก้วให้การรักษาผู้บาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปต 32 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ได้รับการประสานดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนคาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา ส่งต่อรักษาโรงพยาบาลในจังหวัดสระแก้ว 32 ราย เป็นผู้ป่วยอาการสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 ราย และสีเขียว 16 ราย กำชับโรงพยาบาลในจังหวัดเตรียมพร้อม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ได้รับการประสานดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนคาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา ส่งต่อรักษาโรงพยาบาลในจังหวัดสระแก้ว 32 ราย เป็นผู้ป่วยอาการสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 ราย และสีเขียว 16 ราย กำชับโรงพยาบาลในจังหวัดเตรียมพร้อมดูแลเต็มที่ และให้โรงพยาบาลจังหวัดใกล้เคียงเตรียมให้การสนับสนุน พร้อมประสานเครือข่ายหน่วยดูแลผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวก สำรองเตียงว่างรองรับหากมีผู้บาดเจ็บรุนแรงอีก 16 เตียง วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้ที่คาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา เมื่อช่วงเวลา 00.58 น. วันที่ 29 ธันวาคม ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีการส่งผู้บาดเจ็บเข้ามารับการรักษาในจังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย ว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวจาก นพ.ประภาส ผูกดวง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว แล้ว โดยข้อมูลเมื่อเวลา 08.20 น. ได้รับการประสานให้ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจำนวน 32 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 รายและสีเขียว 16 ราย นำส่งรักษาโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดสระแก้ว ดังนี้ โรงพยาบาลค่ายสุรสิงหนาท ผู้ป่วยสีแดง 6 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว สีเขียว 3 ราย, โรงพยาบาลอรัญประเทศ ผู้ป่วยสีแดง 5 ราย และสีเหลือง 2 ราย, โรงพยาบาลวัฒนานคร ผู้ป่วยสีแดง 2 ราย ส่งต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว และสีเขียว 2 ราย, โรงพยาบาลโคกสูง ผู้ป่วยสีเหลือง 1 ราย และสีเขียว 8 ราย และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อรัญประเทศ ผู้ป่วยเขียว 3 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย (คนไทย) นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ทีมบุคลากรทางการแพทย์ได้ให้การดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และได้กำชับโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดสระแก้วติดตามสถานการณ์เพื่อเตรียมพร้อมรับผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และให้โรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียงเตรียมให้การสนับสนุนหากได้รับการร้องขอ พร้อมประสานหน่วยดูแลผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวกของโรงพยาบาลระยอง โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล สำรองเตียงว่างรองรับหากมีผู้บาดเจ็บรุนแรงอีก 16 เตียง ************************ 29 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เปิดอาคารใหม่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็น “คลังยา-วัตถุดิบสมุนไพร” และเปิดหอผู้ป่วยจิตเวช รองรับบริการเพิ่มขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ปลัด สธ.เปิดอาคารใหม่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็น “คลังยา-วัตถุดิบสมุนไพร” และเปิดหอผู้ป่วยจิตเวช รองรับบริการเพิ่มขึ้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิด “อาคารธรรมรักษ์” รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเศร ขนาด 5 ชั้น เป็นคลังยา วัตถุดิบสมุนไพร เวชภัณฑ์ และน้ำเกลือ รองรับการให้บริการ และเป็นสถานที่จัดประชุมวิชาการทางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร พร้อมเปิดหอผู้ป่วยจิตเวช “จิตตารมณ์” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิด “อาคารธรรมรักษ์” รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเศร ขนาด 5 ชั้น เป็นคลังยา วัตถุดิบสมุนไพร เวชภัณฑ์ และน้ำเกลือ รองรับการให้บริการ และเป็นสถานที่จัดประชุมวิชาการทางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร พร้อมเปิดหอผู้ป่วยจิตเวช “จิตตารมณ์” ขนาด 10 เตียง ช่วยดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรง วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดอาคารธรรมรักษ์และหอผู้ป่วยจิตตารมณ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรพร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงาน และให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 500 เตียง ให้การดูแลประชาชนในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี และจังหวัดข้างเคียง มีความโดดเด่นในเรื่องของการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร ซึ่งสอดรับกับนโยบายHealth for Wealth ของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยสุขภาพ โดยอาคารธรรมรักษ์ที่ทำพิธีเปิดในวันนี้ จะใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานจัดซื้อ งานคลังยา คลังน้ำเกลือ รวมถึงเป็นสถานที่จัดประชุม อบรมวิชาการ สัมมนา จัดการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ยังได้เปิดหอผู้ป่วยจิตตารมณ์ ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยจิตเวช ขนาด 10 เตียง เพื่อให้บริการผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยง ก่อความรุนแรงและอยู่ในภาวะฉุกเฉินใน จ.ปราจีนบุรี “การเปิดอาคารธรรมรักษ์และหอผู้ป่วยจิตตารมณ์ จะช่วยเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในการให้การดูแลและบริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพ มีความสะดวก คล่องตัว และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นสถานที่รองรับในการประชุมและจัดงานด้านวิชาการ เพิ่มโอกาสในการขับเคลื่อนงานวิชาการด้านการแพทย์ การแพทย์แผนไทย และสมุนไพรได้อย่างต่อเนื่อง” นพ.โอภาสกล่าว ด้าน พญ.โศรยา ธรรมรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า อาคารธรรมรักษ์ ก่อสร้างแล้วเสร็จ เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 5 ชั้น ใช้งบประมาณก่อสร้าง36.6 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 4,884 ตารางเมตร ชั้นที่ 1 เป็นคลังยาและคลังน้ำเกลือ ชั้นที่ 2 สำนักงาน งานจัดซื้อต่างๆ ชั้นที่ 3 คลังยา วัตถุดิบสมุนไพร ยาเสพติด ชั้นที่ 4 คลังเวชภัณฑ์มิใช่ยา และคลังทั่วไป และชั้นที่ 5 เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ รองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ไม่น้อยกว่า 200 คน ส่วนหอผู้ป่วยจิตเวช “จิตตารมณ์” จะช่วยรองรับประชาชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่ง จ.ปราจีนบุรี มีผู้ป่วยมารับการรักษาด้วยอาการทางจิตเวชเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลปี 2565 โรคที่มีผู้มารับการรักษามากที่สุด 5 อันดับ คือ โรคซึมเศร้า โรคจิต โรควิตกกังวล โรคสมองเสื่อม และโรคจิตจากสารเสพติด โดยในระยะแรก รองรับผู้ป่วยจิตเวช จำนวน 10 เตียง เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องบุคลากรประจำหอผู้ป่วยและพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวซ และในอนาคตเมื่อมีบุคลากรและพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชเพิ่มขึ้นจะเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยจิตเวชให้มากขึ้นต่อไป *********************************** 29 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. พร้อมดำเนินการตามกฎหมายใหม่ ลูกหนี้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วสามารถแปลงหนี้ใหม่ได้ทุกราย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 กยศ. พร้อมดำเนินการตามกฎหมายใหม่ ลูกหนี้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วสามารถแปลงหนี้ใหม่ได้ทุกราย กยศ. เตรียมความพร้อมดำเนินการตามกฎหมายใหม่ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ. กยศ. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยให้คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี https://twitter.com/PR_mof/status/1608403961274585089?s=20&t=9b_HNQth597oกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เตรียมความพร้อมดำเนินการตามกฎหมายใหม่ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยให้คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี อัตราเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชำระไม่เกินร้อยละ 0.5 ต่อปี และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในทุกกรณี ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วสามารถแปลงหนี้ใหม่ได้ทุกราย นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่วุฒิสภาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทั้งนี้ ตามร่าง พ.ร.บ. ที่แก้ไข กองทุนจะคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี อัตราเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชำระไม่เกินร้อยละ 0.5 ต่อปี ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในทุกกรณี และช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีหรืออยู่ระหว่างการบังคับคดีให้สามารถผ่อนผันการชำระเงินคืน ปรับโครงสร้างหนี้ แปลงหนี้ใหม่ หรือระงับการชำระเงินคืนตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด ทั้งนี้ ระยะเวลาการผ่อนชำระต้องคำนึงถึงรายได้และความสามารถในการชำระเงินคืนของผู้กู้ยืม แต่ต้องไม่เกิน 15 ปีหลังจากปลอดหนี้ 2 ปี ผู้กู้ยืมสามารถผ่อนชำระเงินคืนเป็นงวดรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีได้ กรณีที่ผู้กู้ยืมมีหนี้ค้างชำระให้ทำการตัดชำระหนี้จากเงินต้นก่อนดอกเบี้ยและเบี้ยปรับตามลำดับ รวมถึงอาจมีมาตรการจูงใจหรือลดหย่อนเงินต้นเพื่อให้ผู้กู้ยืมเงินไม่ผิดนัดชำระเงินคืนได้ ซึ่งกฎหมายใหม่ดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ถูกดำเนินคดีแล้ว จะสามารถแปลงหนี้ใหม่ เพื่อให้กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ทั้งนี้ กองทุนขอยืนยันว่าจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือและให้โอกาสทุกคน และจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัวว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในประเทศนี้จะมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคน” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” กำชับดูแลรักษาผู้ประสบภัยเพลิงไหม้บ่อนปอยเปตเต็มที่ เตรียมทีมนิติเวชช่วยพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 “อนุทิน” กำชับดูแลรักษาผู้ประสบภัยเพลิงไหม้บ่อนปอยเปตเต็มที่ เตรียมทีมนิติเวชช่วยพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ล่าสุดผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปตเข้ารับการรักษาในจังหวัดสระแก้ว 34 ราย เป็นคนไทยทั้งหมด ต้องส่งรักษาต่อนอกจังหวัด 8 ราย ส่วนใหญ่มีอาการบาดเจ็บจากไฟไหม้ สำลักควัน กระดูกแตกหัก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ล่าสุดผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปตเข้ารับการรักษาในจังหวัดสระแก้ว 34 ราย เป็นคนไทยทั้งหมด ต้องส่งรักษาต่อนอกจังหวัด 8 ราย ส่วนใหญ่มีอาการบาดเจ็บจากไฟไหม้ สำลักควัน กระดูกแตกหัก มีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากการตกจากที่สูง กำชับดูแลรักษาเต็มที่ทั้งคนไทยและต่างชาติตามหลักมนุษยธรรม พร้อมให้เตรียมทีมนิติเวชช่วยพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้บ่อนคาสิโนฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยสถานที่ที่เกิดเหตุมีคนไทยจำนวนหนึ่งทำงานเป็นพนักงานด้วย ได้ทราบจากนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติราชการใน จ.ปราจีนบุรี ว่ามอบหมายผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ดูแลสั่งการ และให้สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 6 ลงไปประสานงานในพื้นที่ จ.สระแก้ว แล้ว โดยมีกองสาธารณสุขฉุกเฉิน จากส่วนกลาง ติดตามเหตุการณ์และประสานความช่วยเหลือ สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว ได้รับรายงานข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 12.30 น. ว่า มีผู้ประสบภัยจำนวน 108 ราย รับไว้รักษาในโรงพยาบาลในจังหวัดสระแก้วทั้งหมด 34 ราย ในจำนวนนี้ต้องส่งต่อรักษานอกจังหวัด 8 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ได้แก่ 1.รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 9 ราย อาการสีแดง ส่งรักษาต่อ 4 ราย ไปยังรพ.พระปกเกล้า จ.จันทบุรี 2 ราย และ รพ.พุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา 2 ราย 2.รพ.วัฒนานคร 6 ราย อาการสีแดง 2 ราย สีเหลือง 3 รายและเสียชีวิต 1 ราย จากการตกจากตึกสูง 12 ชั้น 3.รพ.อรัญญประเทศ 8 ราย อาการสีแดง5 ราย สีเหลือง 2 ราย และสีเขียว 1 ราย ส่งรักษาต่อ 4 รายไปยัง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี 4.รพ.โคกสูง5 ราย อาการสีเหลืองและ 5.รพ.เกษมราษฎร์ อรัญประเทศ 6 ราย อาการสีเขียว ส่วน รพ.ค่ายสุรสิงหนาท ซึ่งเดิมรับผู้บาดเจ็บ 10 ราย ได้ส่งต่อไปยัง รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว 7 ราย และจำหน่ายกลับบ้านแล้ว 3 ราย จึงไม่มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา “ลักษณะอาการของผู้บาดเจ็บมีทั้งระดับเล็กน้อยจนถึงสาหัส ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลจากไฟไหม้ มีอาการสำลักควัน แสบจมูก หายใจไม่ออก กระดูกแตกหักจากการตกจากที่สูง บางรายต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ได้กำชับให้การดูแลรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติตามหลักมนุษยธรรม พร้อมกำชับให้เขตสุขภาพที่ 6 จัดเตรียมทีมนิติเวช อุปกรณ์เครื่องมือ สถานที่ที่คาดว่าจะใช้ในการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลไว้ด้วย” นายอนุทินกล่าว *********************************** 29 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณส.ส.ผ่านกฎหมายสำคัญเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณส.ส.ผ่านกฎหมายสำคัญเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน กฎหมายกู้ยืมเงิน กยศ. เก็บดอกเบี้ย 1% ต่อปี ปลดภาระผู้ค้ำประกัน วันนี้ (29 ธันวาคม 2565๗ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ลงมติผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่เสนอโดยรัฐบาลทั้ง 4 ฉบับ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จากที่เมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม 2565) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษหยิบยกกฎหมายซึ่งเป็นร่างของครม.รวม 4 ฉบับ ได้แก่ 1. พิจารณากรณีวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก (ฉบับที่ ..) พ.ศ.... 2. พิจารณากรณีวุฒิสภา แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราช บัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ.... 3. พิจารณากรณีวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... 4. พิจารณากรณีวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... โดยกฎหมายฉบับที่ 1, ฉบับที่ 2 และฉบับที่ 3 ผลการพิจารณาที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภา ส่วนกฎหมายฉบับที่ 4 ที่เกี่ยวกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นั้น ได้มีการแก้ไขให้เก็บดอกเบี้ยได้ 1% ต่อปี และให้มีเบี้ยปรับไม่เกิน 0.5% ต่อปี และไม่ต้องมีผู้ค้ำทุกกรณีนั้น โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณประธานสภาฯ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ทุกคน ที่ลงมติผ่านร่างกฎหมายสำคัญ เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้ผู้กู้ยืมได้รับผลกระทบ ด้วยการโดนฟ้องร้อง และการเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงตามกฎหมายเดิม “นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการศึกษาของประชาชน ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เชื่อมั่นถึงประโยชน์ของการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม จึงขอขอบคุณสมาชิกสภาฯ ทุกคนที่ผ่านร่างกฎหมายสำคัญทั้ง 4 ฉบับที่เสนอโดยรัฐบาล โดยเฉพาะร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ กยศ. ครั้งนี้ เพื่อคำนึงถึงประโยชน์ และผลกระทบที่อาจเกิดแก่ประชาชน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมทุกฝ่ายในการทำงานปราบปรามทุจริตคอรัปชัน ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมสอดส่องดูแลไม่ให้มีคนทำผิด ยืนยันรัฐบาลยึดมั่นความสุจริตถูกต้อง เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมทุกฝ่ายในการทำงานปราบปรามทุจริตคอรัปชัน ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมสอดส่องดูแลไม่ให้มีคนทำผิด ยืนยันรัฐบาลยึดมั่นความสุจริตถูกต้อง เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ยืนยันรัฐบาลยึดมั่นความสุจริตถูกต้อง เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กำลังใจในการทำงาน ให้ใช้กฎหมายและหลักการตัดสิน โดยขอให้ยึดมั่น ถือมั่น ถึงความโปร่งใสสุจริตในการทำงาน รัฐบาลไม่มีนโยบายปกป้องคนผิด ไม่คิดช่วยเหลือคนทุจริต “นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ถูกต้อง โปร่งใส เชื่อมั่นในการทำประโยชน์เพื่อชาติ และประชาชน โดยนายกรัฐมนตรียึดหลักคุณธรรมความดีในการทำงานเสมอมา ขอให้ประชาชนทุกคนช่วยสอดส่องดูแล ไม่ให้มีการทุจริตในทุกวงการ เพื่อช่วยกันสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม เสริมสร้างความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์ เป็นผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละหน่วยงานต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมชาวอุตสาหกรรม มอบเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อเป็นของขวัญช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมชาวอุตสาหกรรม มอบเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อเป็นของขวัญช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมชาวอุตสาหกรรม มอบเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อเป็นของขวัญช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้กับสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี วันนี้ (28 ธันวาคม 2565) ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมจิตอาสา “อุตสาหกรรมรวมใจ เพื่อพี่น้องชาวไทย” บริจาคเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อบำเพ็ญสาธารณประโยชน์และบำเพ็ญสาธารณกุศล ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้กับสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี ซึ่งมีเด็กที่อยู่ในอุปการะกว่า 320 คน โดยสิ่งของที่นำมาบริจาคในครั้งนี้ ได้แก่ ข้าวสาร อาหารสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม นมถั่วเหลือง ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส ผงซักฟอก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ กระดาษชำระ ผ้าอนามัย ตุ๊กตา และของใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสนับสนุนภารกิจและเป็นการส่งมอบความห่วงใยให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ณ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย รพ.ในสระแก้วให้การรักษาผู้บาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปต 32 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ปลัด สธ. เผย รพ.ในสระแก้วให้การรักษาผู้บาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้บ่อนปอยเปต 32 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ได้รับการประสานดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนคาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา ส่งต่อรักษาโรงพยาบาลในจังหวัดสระแก้ว 32 ราย เป็นผู้ป่วยอาการสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 ราย และสีเขียว 16 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ได้รับการประสานดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ่อนคาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา ส่งต่อรักษาโรงพยาบาลในจังหวัดสระแก้ว 32 ราย เป็นผู้ป่วยอาการสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 ราย และสีเขียว 16 ราย กำชับโรงพยาบาลในจังหวัดเตรียมพร้อมดูแลเต็มที่ และให้โรงพยาบาลจังหวัดใกล้เคียงเตรียมให้การสนับสนุน พร้อมประสานเครือข่ายหน่วยดูแลผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวก สำรองเตียงว่างรองรับหากมีผู้บาดเจ็บรุนแรงอีก 16 เตียง วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้ที่คาสิโน แกรนด์ไดมอน ปอยเปต กัมพูชา เมื่อช่วงเวลา 00.58 น. วันที่ 29 ธันวาคม ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีการส่งผู้บาดเจ็บเข้ามารับการรักษาในจังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย ว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวจาก นพ.ประภาส ผูกดวง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว แล้ว โดยข้อมูลเมื่อเวลา 08.20 น. ได้รับการประสานให้ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจำนวน 32 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยสีแดง 13 ราย สีเหลือง 3 รายและสีเขียว 16 ราย นำส่งรักษาโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดสระแก้ว ดังนี้ โรงพยาบาลค่ายสุรสิงหนาท ผู้ป่วยสีแดง 6 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว สีเขียว 3 ราย, โรงพยาบาลอรัญประเทศ ผู้ป่วยสีแดง 5 ราย และสีเหลือง 2 ราย, โรงพยาบาลวัฒนานคร ผู้ป่วยสีแดง 2 ราย ส่งต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว และสีเขียว 2 ราย, โรงพยาบาลโคกสูง ผู้ป่วยสีเหลือง 1 ราย และสีเขียว 8 ราย และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อรัญประเทศ ผู้ป่วยเขียว 3 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย (คนไทย) นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ทีมบุคลากรทางการแพทย์ได้ให้การดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และได้กำชับโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดสระแก้วติดตามสถานการณ์เพื่อเตรียมพร้อมรับผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และให้โรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียงเตรียมให้การสนับสนุนหากได้รับการร้องขอ พร้อมประสานหน่วยดูแลผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวกของโรงพยาบาลระยอง โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล สำรองเตียงว่างรองรับหากมีผู้บาดเจ็บรุนแรงอีก 16 เตียง ************************ 29 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ ภาคเหนือ-อีสาน เดินหน้า 83 โครงการ ปี 2566
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 “เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ ภาคเหนือ-อีสาน เดินหน้า 83 โครงการ ปี 2566 “เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ ภาคเหนือ-อีสาน เดินหน้า 83 โครงการ ปี 2566 รับมือการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแม่น้ำโขง เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขงชื่นชม “กระทรวงเกษตรฯ – กรมประมง” มุ่งมั่นทำงานจริงจัง นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง เปิดเผยวันนี้ ภายหลังเป็นประธานการประชุม ครั้งที่ 4/2565 ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง โดยทำงานบูรณาการในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัด ในภาคเหนือและภาคอีสาน ร่วมทำงานกับภาคีเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น หน่วยงานรัฐในจังหวัด ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (AIC) ประจำจังหวัด โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานโครงการตามแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยืน จำนวนทั้งสิ้น 83 โครงการ งบประมาณ 13,082,440 บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่ประชุมยังได้หารือและรับทราบในเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ 1) แนวทางปฏิบัติในการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่มีประสิทธิภาพสูงในพื้นที่แม่น้ำโขง (อวนลากทับตลิ่ง) จากประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดขนาดช่องตาอวนก้นถุงเครื่องมืออวนลากที่ให้ใช้ทำการประมง พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 28 ธ.ค. 2558 ว่า เครื่องมือประมงอวนลากที่มีช่องตาอวนก้นถุงเล็กกว่าขนาดต่ำกว่า 4 ซม. และเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ไม่สามารถทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยทั่วไปได้ โดยมีข้อยกเว้นที่กรมประมงสามารถอนุญาตให้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำการประมงเพื่อการศึกษาวิจัยได้ 2) การสร้างทางผ่านปลาในกรณีที่มีการก่อสร้างประตูน้ำปิดกั้น ทางเข้า-ออก ของสัตว์น้ำ ระหว่างแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา กรมประมง ได้มีข้อเสนอว่า ในทุกโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับการสิ่งกีดขวางทางน้ำใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องมีการศึกษาและก่อสร้างทางผ่านปลาทุกโครงการเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสัตว์น้ำ ในส่วนฝายเดิมหรือฝายเก่าที่เกิดขึ้นแล้ว ให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการศึกษาหรือออกแบบโดยอาศัยข้อมูลต่าง ๆ และความร่วมมือจากกรมประมง เพื่อให้ทางผ่านปลาที่จะเกิดขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด 3) การสร้างทางผ่านปลาในกรณีที่มีการก่อสร้างประตูน้ำปิดกั้นทางเข้า-ออกของสัตว์น้ำ ระหว่างแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมประมงได้รับงบประมาณจากกรมชลประทาน จำนวน 500,000 บาท เพื่อศึกษารูปแบบทางผ่านปลา โครงการประตูระบายน้ำบ้านวังชัน จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งได้ทำการศึกษาชนิดพันธุ์ปลา ปริมาณปลาที่พบ และข้อมูลอุทกวิทยาของแม่น้ำปราจีนบุรี ทั้งนี้ กรมประมง จะจัดทำรายงานเสนอ เพื่อประกอบการตัดสินใจออกแบบทางผ่านปลาที่เหมาะสม รวมถึงการจัดการควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ 4) แนวทางการเพาะพันธุ์ปลาบึก เพื่อปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ วิธีการที่จะให้ผลดีที่สุดและมีผลกระทบต่อพันธุกรรมของประชากรธรรมชาติไม่มาก คือ การดำเนินการในลักษณะระบบเพาะพันธุ์เคลื่อนที่ (Mobile - Hatchery ) เป็นการนำพ่อแม่ปลาที่มีความพร้อมในการเพาะพันธุ์ที่จับจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูการอพยพขึ้นมาวางไข่ของปลาชนิดต่าง ๆ มาเพาะพันธุ์และปล่อยลูกปลาที่ได้กลับสู่แม่น้ำโขงโดยไม่มีการอนุบาลจนเจริญเติบโต 5) ในด้านความแปรปรวนทางพันธุกรรมจากการนำพลับพลึงแม่น้ำโขงที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกลับไปปลูกในธรรมชาติ จะทำให้เกิดความแปรปรวนทางพันธุกรรม หากมีการนำต้นพันธุ์ที่กรมประมงผลิตได้จากห้องปฏิบัติการไปปลูกคืนถิ่นเดิม จะไม่เป็นการก่อให้เกิดความแปรปรวนทางพันธุกรรมแต่อย่างใด โดยกรมประมง ได้ดำเนินการตามแผนการนำต้นพันธุ์พลับพลึงแม่น้ำโขงที่กรมประมงผลิตได้จากห้องปฏิบัติการนำไปปลูกคืนถิ่น ในพื้นที่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย และบริเวณหาดคำภีร์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย ที่ประชุม ยังได้รับทราบ (1) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนทบทวนแผนพัฒนาการเกษตร ในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนระดับจังหวัด ปี 2566 – 2570 โดยวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแม่น้ำโขง สถานการณ์ปัจจุบัน และความต้องการจากผู้มีส่วนได้เสีย จัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายโดยให้ความสำคัญกับกลุ่มพื้นที่ที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำสรุปแผนงานและโครงการภายใต้แผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนระดับจังหวัด ปี 2566 – 2570 (ฉบับทบทวน) เรียบร้อยแล้ว และนำเสนอปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อลงนามหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาบรรจุไว้ในคำของบประมาณประจำปีต่อไป และ (2) รายงานผลการดำเนินงานโครงการและกิจกรรม ด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวนโครงการ 23 โครงการ จำนวนงบประมาณ 9,204,796 บาท โดยคณะกรรมการฯ มีมติให้การสนับสนุนการศึกษาดูงานโครงการสัมมนาสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการชุมชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ แม่น้ำโขง ภายในโครงการผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับองค์ความรู้และประสบการณ์ไปปรับใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ และการรวมกลุ่มกันผลิต อันจะส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของการร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะลงพื้นที่ดูงานร่วมกัน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม จังหวัดนครพนม ภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ทั้งนี้ ผู้แทนเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมกระทรวงเกษตรฯ และกรมประมง สำหรับการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ และการทำงานร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นทำงานจริงจังเกินคาดหมายตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา สำหรับคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงครั้งที่ 4/2565 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ zoom cloud meeting และมีการจัดประชุม ณ ห้องประห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีคณะกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง นายธเนศ พุ่มทอง ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด นายเทวินทร์ นรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้แทนกรมปศุสัตว์ นางสาวอ้อมบุญ ทิพย์สุนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประมงน้ำจืด นายมนตรี จันทวงศ์ ที่ปรึกษาสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสานนายอภิสิทธิ์ สุนทราวิรัตน์ ตัวแทนองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขงจังหวัดเลย โดยมี นายพิสิฐ ภูมิคง นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด เป็นเลขานุการการประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ติดตามความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 ย้ำคุมเข้ม สกัดผู้ดื่มแล้วขับ ป้องกันอุบัติเหตุ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ปลัด สธ. ติดตามความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 ย้ำคุมเข้ม สกัดผู้ดื่มแล้วขับ ป้องกันอุบัติเหตุ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการดูแลประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เผย สถานบริการในพื้นที่ประสานเตรียมความพร้อมเต็มที่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการดูแลประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เผย สถานบริการในพื้นที่ประสานเตรียมความพร้อมเต็มที่ ทั้งทีมบุคลากรทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู รวมทั้งจัดช่องทางด่วน สำหรับผู้บาดเจ็บ ย้ำหน่วยงานบูรณาการภาคีเครือข่ายคัดกรองและประเมินผู้มีอาการมึนเมาสกัดกั้นไม่ให้ออกมาขับขี่บนท้องถนนเด็ดขาด เพื่อลดอุบัติเหตุ วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับการดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 และกล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนมีการใช้รถใช้ถนนมากกว่าช่วงปกติ ทั้งการเดินทางกลับภูมิลำเนาและ การเดินทางท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจังหวัดปราจีนบุรี เป็นจังหวัดที่เชื่อมโยงการคมนาคมจากหลายภูมิภาค มีเส้นทางการจราจรที่หนาแน่น รวมทั้งมีอุบัติเหตุหมู่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งจากการติดตามการดำเนินงานในวันนี้ พบว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีและสถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และเปิดศูนย์EOC-RTI ติดตามและเฝ้าระวัง ประเมินความเสี่ยงจากอุบัติเหตุจราจร รวมทั้งบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งจุดให้บริการประชาชนในช่วงควบคุมเข้ม 7 วัน บนถนนสายหลักและถนนในชุมชน ตลอดจนเฝ้าระวังติดตามเหตุการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ในส่วนของ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เตรียมทีมแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์ศัลยกรรม แพทย์ศัลยกรรมประสาท และแพทย์สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ไว้รองรับสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเสริมอัตรากำลังทั้งในส่วนของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการEMS ห้องฉุกเฉิน และศูนย์ประสานส่งต่อรวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ไว้อย่างเพียงพอและพร้อมใช้งาน มีการเตรียมการด้านห้องผ่าตัดฉุกเฉินและห้อง ICU รวมทั้ง มีระบบช่องทางด่วนสำหรับผู้บาดเจ็บ (Trauma Fast Track) ที่สำคัญมีระบบ Ambulance Operation Center สามารถติดตามอาการผู้บาดเจ็บในรถพยาบาล และยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและเครือข่าย โดยไม่ดื่มสุราในขณะปฏิบัติงาน พนักงานขับรถมีระดับแอลกอฮอล์เป็น 0ในขณะขับยานพาหนะ มี Ambulance Safety เป็นต้น นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังได้ซักซ้อมแผนรองรับอุบัติเหตุหมู่และแผนรองรับการเผชิญเหตุความรุนแรงภายในห้องฉุกเฉิน และเตรียมการเรื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด กรณีได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ส่วนการตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชนดงบัง ต.ดงขี้เหล็ก ถ.สุวรรณศรใหม่ และจุดบริการประชาชนสี่แยกโคกมะกอก เทศบาลตำบลโคกมะกอก ต.โนนห้อม ถ.ปราจีน-ประจันตคาม ซึ่งเป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งได้กำชับให้เจ้าหน้าที่บูรณาการการทำงานร่วมกับตำรวจ ปภ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ อสม. คัดกรองผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีอาการมึนเมา เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ออกไปขับขี่บนถนนอย่างเข้มงวด *********************************** 29 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืบหน้าเยียวยาชาวสวนลำไย เกษตรฯ เร่งปรับโครงการฯ เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 คืบหน้าเยียวยาชาวสวนลำไย เกษตรฯ เร่งปรับโครงการฯ เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง คืบหน้าเยียวยาชาวสวนลำไย เกษตรฯ เร่งปรับโครงการฯ เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขออนุมัติการดำเนินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 ต่อคณะรัฐมนตรี ไปแล้วนั้น ทางคณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบและชัดเจนต่อการดำเนินโครงการฯ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนลำไยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวบรวมรายละเอียดข้อมูล และข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณา ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้ดำเนินการรวบรวมรายละเอียดข้อมูลโครงการและประสานงานกับหน่วยงานเพื่อให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้นำข้อคิดเห็นจากทุกหน่วยงานมาดำเนินการปรับปรุงโครงการให้มีความสอดคล้องตามข้อคิดเห็นดังกล่าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้นำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปลัดฯ ณัฐพล สั่งการทุกหน่วย คิดมาตรการช่วยเหลือโรงงาน และประชาชน ภายใต้ 4 มิติ พร้อมเน้นย้ำใช้พื้นที่ราชพัสดุเต็มประสิทธิภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ​ปลัดฯ ณัฐพล สั่งการทุกหน่วย คิดมาตรการช่วยเหลือโรงงาน และประชาชน ภายใต้ 4 มิติ พร้อมเน้นย้ำใช้พื้นที่ราชพัสดุเต็มประสิทธิภาพ ​ปลัดฯ ณัฐพล สั่งการทุกหน่วย คิดมาตรการช่วยเหลือโรงงาน และประชาชน ภายใต้ 4 มิติ พร้อมเน้นย้ำใช้พื้นที่ราชพัสดุเต็มประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เรียกประชุมทุกหน่วยในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าใช้ “หัว และใจ” ในการขับเคลื่อนการทำงาน ภายใต้นโยบาย 4 มิติ ประกอบด้วย การสร้างความสำเร็จให้ภาคธุรกิจ การดูแลสังคมโดยรอบโรงงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ประชาชน พร้อมกำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้พื้นที่ราชพัสดุให้เต็มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ยังได้เชิญชวนผู้บริหารเข้าร่วมกิจกรรมถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปีใหม่ พ.ศ. 2566 ในวันที่ 1 มกราคม 2566 และกิจกรรมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 54 รูป ในวันที่ 4 มกราคม 2566 ณ บริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงฝากให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านใช้ความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องตลอดเทศกาลปีใหม่นี้ โดยดูแลป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และตรวจผล ATK ก่อนการเข้าปฏิบัติงานในช่วงปีใหม่ สำหรับการประชุมดังกล่าว มีนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารจากส่วนกลาง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้ง ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หน่วยงานในกำกับ และสถาบันเครือข่าย ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom Meeting เป็นจำนวนมาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีองค์การเภสัชสามารถผลิตยาโมนูลพิราเวียร์ได้เอง อีกก้าวสำคัญตอกย้ำศักยภาพและการพัฒนาด้านสาธารณสุขและเวชภัณฑ์ของไทย เผยชาติอาเซียนขยายกรอบความร่วมมือด้านยาต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 นายกรัฐมนตรียินดีองค์การเภสัชสามารถผลิตยาโมนูลพิราเวียร์ได้เอง อีกก้าวสำคัญตอกย้ำศักยภาพและการพัฒนาด้านสาธารณสุขและเวชภัณฑ์ของไทย เผยชาติอาเซียนขยายกรอบความร่วมมือด้านยาต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรียินดีองค์การเภสัชสามารถผลิตยาโมนูลพิราเวียร์ได้เอง อีกก้าวสำคัญตอกย้ำศักยภาพและการพัฒนาด้านสาธารณสุขและเวชภัณฑ์ของไทย เผยชาติอาเซียนขยายกรอบความร่วมมือด้านยาต่อเนื่อง เสริมความมั่งคงด้านสาธารณสุขให้ประชาชนในภูมิภาคเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ วันที่ 29 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยินดีกับความก้าวหน้าในการพัฒนายาที่สำคัญของประเทศไทย โดยล่าสุดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กระทรวงสาธารณสุข สามารถพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์ ภายใต้ชื่อ ยาโมโนเวียร์ ในรูปแบบแคปซูลขนาด 200 มิลลิกรัม และผลิตได้เองซึ่งจะมาทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศต่อไป โดยปัจจุบันยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาหลักที่ใช้รักษาโรคโควิด19 ตามแนวทางการรักษาของประเทศไทย โดยมีการใช้ยาอยู่ประมาณ 1-2 แสนแคปซูลต่อวัน ซึ่งขณะนี้ อภ. ได้เริ่มผลิตยาและอยู่ระหว่างการกระจายยาไปยังสถานพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อเป็นยาสำหรับผู้ป่วยโควิด19 ที่ได้รับวินิจฉัยว่าควรได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ทั้งผู้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล หรือผู้มีใบสั่งยาจากแพทย์ก็สามารถไปซื้อยาได้ที่ร้านยาของ อภ.ทั้ง 8 สาขาได้ “นับแต่เกิดการระบาดของโควิด19 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านเวชภัณฑ์ทั้งยารักษาโรค วัคซีน เครื่องมือการตรวจคัดกรองต่างๆ ในส่วนของยาก่อนหน้านี้ อภ. ก็สามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้สำเร็จ และครั้งนี้สามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ได้ โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ย้ำถึงความสามารถในการพัฒนายาของไทย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการจะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากการวิจัยและพัฒนาในประเทศแล้ว ปัจจุบันไทยมีความร่วมมือกับองค์กรและต่างประเทศ รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนเกี่ยวกับเรื่องยาในหลายมิติ ซึ่งล่าสุดมีการขับเคลื่อนกรอบการกำกับดูแลด้านยาของอาเซียน (ASEAN Pharmaceutical Regulatory Framework: APRF) ซึ่งขณะนี้ประเทศสมาชิกอยู่ระหว่างทยอยให้การรับรอง โดยการดำเนินการส่วนของไทย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65 ได้เห็นกรอบดังกล่าวและมอบหมายให้ รมว.พาณิชย์หรือผู้แทน และรมว.สาธารณสุข หรือผู้แทน ร่วมกันรับรองในนามประเทศไทยต่อไป โดย APRF จะเป็นแนวทางการกำกับดูแลยาที่สอดคล้องกันในอาเซียน สร้างความมั่นใจว่าคนในภูมิภาคอาเซียนจะเข้าถึงยาที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ด้วยการเชื่อมโยงหน่วยงานกำกับดูแลยา สาธารณสุขและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิด วางพื้นฐานในการพัฒนาความตกลงของอาเซียนว่าด้วยการกำกับดูแลด้านยา (APRF Agreement) ให้เป็นเอกสารทางกฎหมายที่กำหนดความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนในกฎระเบียบด้านยา และการค้า นำไปสู่การดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดอุปสรรคทางเทคนิคที่มีต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา เพื่ออนาคตของตลาดยาอาเซียน ส่งเสริมความมั่นคง การพึ่งตนเองด้านยาในภูมิภาค เป็นการรับรองการเข้าถึงยาคุณภาพสูง ปลอดภัย มีประสิทธิภาพทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์โรคต่างๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือดูแลคนไทยที่ได้รับผลกระทบเหตุเพลิงไหม้
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ​โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือดูแลคนไทยที่ได้รับผลกระทบเหตุเพลิงไหม้ โรงแรมแกรนด์ ไดมอนด์ ซิตี้ แอนด์ คาสิโน บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (29 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ต่อกรณีเกิดเหตุไฟไหม้โรงแรมแกรนด์ ไดมอนด์ ซิตี้ แอนด์ คาสิโน ในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับตลาดโรงเกลือและจุดด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 100-200 เมตร และพบว่ามีคนไทยติดอยู่ภายในนั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนไทย และให้ความช่วยเหลือต่อสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งมีรายงานว่าขณะนี้เพลิงสงบลงแล้ว “นายกรัฐมนตรีห่วงใยคนไทยที่ได้รับผลกระทบต่อกรณีเหตุไฟไหม้ดังกล่าว สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือ ดูแลคนไทยผู้ได้รับผลกระทบ ติดค้าง สูญหาย บาดเจ็บอย่างเต็มกำลัง” นาย อนุชาฯ กล่าว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รับทราบจากการรายงานว่า หน่วยงานฝ่ายไทยตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือคนไทย และพบผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งยังมีผู้สูญหายด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงระดมค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย ส่วนกรณีผู้บาดเจ็บคนไทยจะได้ประสานเพื่อส่งเข้ามารักษาในประเทศไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เผยปีใหม่ 2566 นี้ อุบัติเหตุทางน้ำต้องเป็นศูนย์
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กรมเจ้าท่า เผยปีใหม่ 2566 นี้ อุบัติเหตุทางน้ำต้องเป็นศูนย์ ... กรมเจ้าท่า เผย ปีใหม่ 2566 นี้ อุบัติเหตุทางน้ำต้องเป็นศูนย์ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มอบหมายให้ นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย กำกับ ดูแล ความปลอดภัยทางน้ำช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ตามแผนปฏิบัติการและยกระดับความปลอดภัยทางน้ำ ในช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2566 และเป็นการตอบรับการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอีกครั้ง โดยมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ ได้แก่ ประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องสวมใส่เสื้อชูชีพทุกคนก่อนปล่อยเรือออกจากฝั่งเรือห้ามบรรทุกผู้โดยสารเกินกว่าที่กำหนดผู้ควบคุมเรือต้องติดตามข่าวสาร และตรวจสอบสภาพภูมิอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 243/2564 ในการกำหนดขนาดเรือห้ามเรือออกจากฝั่งโดยเคร่งครัด ผู้ควบคุมเรือ ผู้ควบคุมเครื่องจักรต้องมีใบประกาศนียบัตร และไม่หมดอายุและให้ปฏิบัติงานในเรือครบถ้วนตามที่ใบอนุญาตกำหนด ในการนี้หากตรวจพบว่ากระทำความผิดหรือไม่เป็นไปตามที่ใบอนุญาตกำหนด จะต้องดำเนินคดีขั้นสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปลอดภัย) กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้สำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคและสาขาทั่วประเทศ บูรณาการผู้ประกอบการและเจ้าของเรือ จัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้บริการการประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตนตามมาตรการด้านความปลอดภัยขณะโดยสารเรือ และให้จัดเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอในการให้บริการทุกครั้ง การบริหารจัดการคนโดยสารก่อนลงเรือและการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และคนพิการให้เป็นไปตามระบบมาตรฐานเพื่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยเป็นไปตามมาตรการความปลอดภัยทางน้ำ ของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด พร้อมเน้นย้ำ !! หากพบเห็นความไม่ปลอดภัยทางน้ำ เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า พร้อมให้บริการรับเรื่องราวตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM present floral offerings to mark anniversary of King Taksin the Great’s enthronement
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 PM present floral offerings to mark anniversary of King Taksin the Great’s enthronement PM present floral offerings to mark anniversary of King Taksin the Great’s enthronement December 28, 2022, at 17.30hrs, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha presided over the ceremony to present floral offerings and pay homage to King Taksin the Great at the Equestrian Statue of King Taksin the Great, Wongwian Yai, Thonburi, Bangkok on occasion of the anniversary of King Taksin the Great’s enthronement. Upon arrival, the Prime Minister bowed and presented 2 sets of flower offerings, in the name of the Prime Minister and on behalf of the cabinet members. He, then, bowed again to complete the ceremony.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการเตรียมการรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการเตรียมการรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการเตรียมการรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 และเตรียมความพร้อมกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ และติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการเตรียมการรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 และเตรียมความพร้อมกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ และติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า พร้อมด้วยนางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน (ทอท.) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ทอท.) นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยม ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการให้บริการอำนวยความสะดวกประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าและออกประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งภายหลังจากที่ประเทศไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ปริมาณการเดินทางทางอากาศของประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการท่าอากาศยานให้มีความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้เร่งแก้ไขปัญหาความแออัดภายในท่าอากาศยาน รวมทั้งความล่าช้าของขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากการดำเนินการพบว่าขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น ท่าอากาศยานมีความพร้อมในการรองรับผู้โดยสารที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกบริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางทั้งขาเข้าและขาออก เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 4 นาที (นับตั้งแต่ผู้โดยสารเดินเข้าสู่พื้นที่รอคอยจนถึงการลงตรา) สำหรับช่วงเวลาคับคั่งที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ผู้โดยสารจะใช้เวลารอคิวเพื่อตรวจหนังสือเดินทางเฉลี่ยคนละ 15 นาที รวมทั้งจัดระเบียบคิวผู้โดยสารที่รอรับบริการ ในส่วนของการให้บริการกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารได้ตรวจสอบระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระให้มีความพร้อมในการรองรับปริมาณสัมภาระ พร้อมทั้งกำชับผู้ให้บริการภาคพื้นที่ให้บริการขนถ่ายสัมภาระผู้โดยสารทั้ง 2 ราย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด ในการดำเนินการขนถ่ายสัมภาระให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ปัจจุบันค่าเฉลี่ยเวลาในการลำเลียงกระเป๋าสัมภาระจากเครื่องบินจนถึงผู้โดยสาร First bag ใช้เวลาเฉลี่ย 27 นาที และ Last bag ใช้เวลาเฉลี่ย 44 นาที ทั้งนี้ ระยะเวลาในการลำเลียงกระเป๋าสัมภาระในแต่ละเที่ยวบิน ขึ้นอยู่กับระยะทางของหลุมจอดอากาศยานกับจุดขนถ่ายสัมภาระ ซึ่งจากที่ผ่านมาพบว่าปัญหาความล่าช้าของกระเป๋าสัมภาระ ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนเที่ยวบินล่าช้า (Flight Delay) รวมทั้งการขาดบุคลากรและอุปกรณ์ในการให้บริการภาคพื้น เนื่องจากช่วงของการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ผู้ประกอบการประสบปัญหาการขาดแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งได้สั่งการให้ผู้ให้บริการภาคพื้นเร่งจัดสรรกำลังคนมาบริหารจัดการสัมภาระผู้โดยสารเป็นอันดับแรก โดยต้องมีบุคลากรให้เพียงพอและสอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าในการรับกระเป๋าสัมภาระ ทั้งในเที่ยวบินปกติและกรณีที่มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้น สำหรับปัญหาการรอคิวใช้บริการรถแท็กซี่สาธารณะนานที่ผ่านมา ปัจจุบัน ทาภ. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเพิ่มเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและเปิดช่องทางแท็กซี่เพิ่มเพื่อให้รถแท็กซี่สามารถเข้ามารับผู้ใช้บริการได้เร็วขึ้น รวมทั้งขยายขยายพื้นที่รอคอยกดตั๋วแท็กซี่ และกำหนดจุดยืนรอคิวรับบริการแท็กซี่ เพื่อความเป็นระเบียบและลดความแออัดของผู้มาใช้บริการ ซึ่งทำให้ผู้โดยสารสามารถลดระยะเวลาการรอคิว เหลือเพียงประมาณ 10 นาทีต่อคนช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานของ ทอท. ประมาณกว่า 2 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 3 แสนคน เพิ่มขึ้น 170% เมื่อเทียบกับช่วงปีใหม่ 2565 และเพิ่มขึ้น 108% เมื่อเทียบกับสงกรานต์ปีที่ผ่านมา ส่วนเที่ยวบินรวมมีกว่า 12,000 เที่ยวบิน เฉลี่ยวันละกว่า 1,700 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงปีใหม่ 2565 และเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับสงกรานต์ โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดว่าเที่ยวบินช่วงปีใหม่เติบโตกว่า 140% และผู้โดยสารเติบโต 260% จากปีใหม่ปีที่แล้ว ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานภูเก็ตคาดว่ามีเที่ยวบินช่วงปีใหม่เติบโต 90% และ 80% ส่วนผู้โดยสารคาดว่าเติบโต 130% และ 170% ตามลำดับ ทั้งนี้ ได้มีการจัดตั้งศูนย์ Single Command Center เพื่อบริหารจัดการเรื่องความแออัดของผู้โดยสารที่มาใช้บริการผ่านกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงเวลา Peak Hour เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนกรณีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจะยกเลิกข้อกำหนดการกักกันสำหรับผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมาจากนอกพรมแดนของประเทศ เตรียมเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 นั้น ทอท. คาดว่าตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่จะเริ่มมีสายการบินทยอยแจ้งขอกลับมาทำการบินอีกครั้ง โดยเป็นการแจ้งล่วงหน้าก่อนวันหยุดปีใหม่เพื่อเตรียมเที่ยวบินให้พร้อมช่วงต้นเดือนมกราคม 2566 ที่จะเปิดประเทศ ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นการกลับมาทำการบินที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่และภูเก็ตก่อน รวมทั้งเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่จะเข้ามาในช่วงเทศกาลตรุษจีนในช่วงกลางเดือน - ปลายเดือนมกราคม 2566 เช่นกัน ซึ่งคาดการณ์ในช่วงเดือนปีใหม่ต่อเนื่องตลอดมกราคม 2566 ตลอดทั้งเดือนมกราคม 2566 ผู้โดยสารจะเดินทางเฉลี่ยวันละประมาณ 310,000 - 340,000 คน จากปัจจุบันเดือนธันวาคม 2565 มีผู้เดินทางเฉลี่ยวันละ 275,000 คน และเป็นผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ยวันละประมาณ 140,000 - 170,000 คน จากปัจจุบัน ธันวาคม 2565 มีผู้เดินทางเฉลี่ยวันละ 133,000 คน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางผ่านท่าอากาศยานของ ทอท. ประมาณ 7 - 10 ล้านคน จากเดิมที่ก่อนการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 มีจำนวน 20.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การที่เที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับเข้ามาทำการบินที่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ได้กำชับให้ท่าอากาศยานต้องเตรียมการเรื่องการให้บริการของผู้ประกอบการภาคพื้น (ground handling) ให้พร้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความล่าช้าหรือความไม่พร้อมในการให้บริการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจีนในทุกด้าน สำหรับมาตรการในการรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนนั้น กระทรวงคมนาคมเตรียมหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อกำหนดมาตรการทางสาธารณสุขในการรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ ทอท. ประสานงานกับผู้ประกอบการและพิจารณาแนวทางการให้บริการรถแท็กซี่สาธารณะให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพิ่มการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้บริการ รวมทั้งพิจารณานำรถขนส่งสาธารณะประเภทอื่น ๆ มาให้บริการเพิ่มเติมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ สำหรับการบริหารจัดการกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารให้ ทอท. พิจารณาแนวทางการดำเนินการให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยต้องสอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออก และเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้ทั้งระบบและมีขีดความสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เผยผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนาเมื่อวานนี้ 28 ธันวาคม 2565 กว่า 5.6 หมื่นคน ส่งผลให้การเดินทางกลับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คึกคัก
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 บขส. เผยผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนาเมื่อวานนี้ 28 ธันวาคม 2565 กว่า 5.6 หมื่นคน ส่งผลให้การเดินทางกลับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คึกคัก แนะประชาชนเผื่อเวลาเดินทางมายังสถานีขนส่งฯ เช็ก ข้อมูลในตั๋วก่อนออกเดินทาง และหากพบปัญหาในการเดินทางแจ้งเจ้าหน้าที่ บขส. ได้ทันที นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคมเปิดเผยตัวเลขการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 บขส. ได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม และ รถตู้) ประมาณวันละ 3,505 เที่ยว รองรับผู้โดยสารใช้บริการ 56,016 คน สูงกว่าประมาณการณ์ที่คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางประมาณ 55,000 คน เล็กน้อย ซึ่งวันนี้ (29 ธันวาคม 2565) คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการสูงสุด บขส. ได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม และ รถตู้) รองรับ 3,500 เที่ยว และจัดรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) มาวิ่งเสริมอีก 680 คัน สามารถรองรับผู้โดยสารเดินทางได้กว่า 60,000 คน โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ มีประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การจราจร บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารหนาแน่น จึงขอความร่วมมือผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางมายังสถานีขนส่งฯ ตรวจเช็คข้อมูลการเดินทางในตั๋วโดยสาร และขอความมือสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทางด้วย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ บขส. และรถร่วมฯ เตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง ทั้งรถโดยสารและพนักงานขับรถ โดยตรวจเช็ครถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจัดให้รถโดยสารทุกคันต้องมีประกันภัย พนักงานขับรถต้องปลอดแอลกอฮอล์และสารเสพติด และใช้มาตรการ 4 พร้อม (สถานีพร้อม พนักงานพร้อม รถโดยสารพร้อม การบริการพร้อม) ในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร รวมทั้งได้จัดเตรียมห้องปฐมพยาบาล First Aid Room บริเวณชั้น 1 เพื่อรองรับผู้ป่วยฉุกเฉิน และจัดรถวีลแชร์ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วย อย่างไรก็ดี ผู้ใช้บริการ สามารถสอบถามข้อมูลและแจ้งปัญหาในการเดินทางเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ ของ บขส. ได้ที่จุดรับเรื่องร้องเรียน บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 และชั้น 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2565 ระหว่างเวลา 17.00 - 24.00 หรือ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนภัย!! ซื้อของออนไลน์ปีใหม่ ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ แบบคุ้มค่า ปลอดภัย ไม่ให้โดนโกง!
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 เตือนภัย!! ซื้อของออนไลน์ปีใหม่ ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ แบบคุ้มค่า ปลอดภัย ไม่ให้โดนโกง! เตือนภัย!! ซื้อของออนไลน์ปีใหม่ ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ แบบคุ้มค่า ปลอดภัย ไม่ให้โดนโกง! ดีอีเอส แจ้งเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังการซื้อของออนไลน์ช่วงเทศกาลปีใหม่ให้คุ้มค่า ได้ของมีคุณภาพ และปลอดภัย ไม่ให้โดนหลอกลวง พบเห็นแจ้งสายด่วน 1212 นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ในเทศกาลปีใหม่ จะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจำนวนมากจะซื้อสินค้าในราคาพิเศษและโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมาย อีกช่องทางในการซื้อสินค้าคือการสั่งซื้อทางออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอฝากเตือนประชาชนในการซื้อสินค้าให้สามารถซื้อสินค้าได้อย่างคุ้มค่า และปลอดภัย ดังนี้ 1. เลือกดูสินค้าและสังเกตราคาก่อนเข้าร่วมโปรโมชันให้ดี ควรสำรวจราคาสินค้าที่ต้องการซื้อ เพื่อดูว่าสินค้าในราคาปกติก่อนเข้าร่วมโปรโมชันลดราคานั้นมีราคาเท่าไร เพราะบ่อยครั้งที่บางร้านใช้โอกาสติดป้าย ลดราคาเพื่อร่วมแคมเปญ แต่ถือโอกาสขึ้นราคาสินค้าให้แพงกว่าปกติ รวมทั้งเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากหลายร้านค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด 2. ศึกษาร้านค้าก่อนเลือกซื้อ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าออนไลน์เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ควรทำไม่ว่าจะเป็นการตรวจดูว่าร้านค้านั้น ๆ ได้รับการรับรองจากแพลตฟอร์มหรือไม่ อ่านรีวิวสินค้าจากผู้ซื้อคนอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจ หรืออ่านนโยบายดูแลหลังการขาย/การเคลมสินค้าของร้าน 3. ศึกษาโปรโมชันพิเศษ/โค้ดส่วนลด เนื่องจากบ่อยครั้งสิทธิพิเศษต่าง ๆ จะมีจำนวนจำกัด หากอยากได้สินค้าในราคาที่สุดคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม ก็ควรทำการศึกษาเงื่อนไขโปรโมชัน ระยะเวลาที่เข้าร่วมโปรโมชัน และเตรียมตัวเก็บโค้ดส่วนลดในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ร้านค้าได้จัดเตรียมไว้ให้ผู้ซื้อ 4. เตรียมตัวให้พร้อมกับ “ช่วงเวลาดี” เพื่อให้สามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษที่อาจมีจำนวนจำกัดรวมถึงจำกัดช่วงเวลาซื้อ ได้สำเร็จตามที่ต้องการ ควรศึกษาเงื่อนไขการลดราคาของแต่ละร้านค้า 5. ตรวจสอบสินค้าที่ได้รับให้ดี เมื่อกดสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายของกิจกรรมจะอยู่ที่การได้รับสินค้าที่ได้ทำการสั่งซื้อในช่วงมหกรรมลดราคาต่าง ๆ เมื่อได้รับสินค้าควรรีบตรวจสอบสินค้าให้ละเอียดทุกครั้งเผื่อในกรณีที่เกิดข้อพิพาทจากสินค้าที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับสินค้าไม่ตรงปก ได้รับสินค้าผิดชนิด หรือสินค้าชำรุด จะได้สามารถส่งเคลม/คืน ร้านค้าได้ทันท่วงที สำหรับข้อแนะนำของการตรวจรับสินค้า เมื่อได้รับสินค้าแล้วควรถ่ายวิดีโอทุกขั้นตอนในการเปิดรับสินค้าเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้แก่ทางร้านในกรณีเกิดความเสียหายต่าง ๆ นอกจากนี้ควรระมัดระวังการเซ็นรับพัสดุ/สินค้าให้ดี เพราะในช่วงเวลาของการจัดมหกรรมสินค้าลดราคามักมีมิจฉาชีพที่อาจจะได้ข้อมูลส่วนตัวเราจากที่ต่าง ๆ ไป และหลอกจัดส่งสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางให้เซ็นรับทั้งที่ไม่ได้สั่งซื้อ ซึ่งบางทีการสั่งซื้อของเยอะ ๆ ในช่วงเวลานี้อาจทำให้เผอเรอจนลืมเซ็นรับของทั้งที่ไม่สั่งก็เป็นได้ รวมทั้งควรแจ้งญาติหากเราไม่อยู่รับของเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องตกเป็นเหยื่อ ซึ่งจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินและเงินทองได้ หากท่านใดพบปัญหาจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ มีปัญหาในการใช้งานออนไลน์ หรือพบเนื้อหาข้อความที่ไม่ถูกต้องในโลกออนไลน์/โซเชียล สามารถร้องเรียน ขอคำปรึกษา หรือแจ้งเบาะแสเข้ามาได้ ทางศูนย์ฯ จะประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด โดยสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทาง ดังนี้ สายด่วนโทร. 1212 อีเมล์ [emailprotected] เว็บไซต์ 1212OCC.com เพจเฟซบุ๊ก : ข้อมูลข่าวสาร 1212 OCC _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ตรวจความพร้อมการอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 บขส. ตรวจความพร้อมการอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ..... นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหาร บขส. ลงพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 ตรวจความพร้อมในการอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 และแจกหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้โดยสาร ในช่วงค่ำของวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ทั้งนี้ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ของ บขส. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ และให้คุมเข้มความปลอดภัยทั้งรถโดยสาร พนักงานขับรถ และสถานีขนส่งผู้โดยสารด้วย สำหรับบรรยากาศการเดินทางกลับในช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ณ เวลา 20.00 น. มีผู้ใช้บริการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กว่า 43,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วมฯ ,รถตู้) กว่า 3,192 เที่ยว คาดวันพรุ่งนี้ (29 ธ.ค.65) จะมีผู้ใช้บริการสูงสุดกว่า 55,000 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63254
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ประชุมคณะกรรมการสถิติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 / 2565
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 “ดีอีเอส” ประชุมคณะกรรมการสถิติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 / 2565 “ดีอีเอส” ประชุมคณะกรรมการสถิติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 / 2565 วันนี้ (29 ธันวาคม 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ประธานการประชุมคณะกรรมการสถิติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 ปี 2565 แบบไฮบริด (ทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ ) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย โดยมี ศ.พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำนายจ้างอย่าลืมส่งรายงาน จป. ครั้งที่ 2 ภายในมกราคม 2566
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 กสร. ย้ำนายจ้างอย่าลืมส่งรายงาน จป. ครั้งที่ 2 ภายในมกราคม 2566 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ย้ำนายจ้างส่งรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ ครั้งที่ 2 ภายในมกราคม 2566 ให้ครบถ้วนและถูกต้อง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ย้ำนายจ้างส่งรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ ครั้งที่ 2 ภายในมกราคม 2566 ให้ครบถ้วนและถูกต้อง นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวง การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคล เพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2565 กำหนดให้นายจ้างจัดส่งรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ ต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน และครั้งที่สองภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี ทั้งนี้ ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด กสร. จึงขอให้นายจ้างดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจัดส่งรายงานผลการดำเนินงาน ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 31 มกราคม 2566 ให้เรียบร้อยและถูกต้อง อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า นายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการ สามารถยื่นแบบดังกล่าวได้ 2 ช่องทาง โดยนำส่งด้วยตนเองหรือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ หรือยื่นแบบผ่านออนไลน์โดยการกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ช่องทาง E-service (https://eservice.labour.go.th) ทั้งนี้ หากนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการใด มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลและยื่นแบบรายงาน สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในห้วงวันที่ 27 – 28 ธ.ค. 2565 ผู้ว่าราชการจังหวัดตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ได้ร่วมกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน อาทิ 1. จังหวัดพะเยา ที่วัดศรีโคมคำ พระอารามหลวง อำเภอเมืองพะเยา ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระราชปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดพะเยา เจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำพระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน โดยมี คณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมในพิธี ร่วมกันประกอบพิธี และภายหลังเสร็จพิธีทางศาสนา ได้ร่วมกันปล่อยปลา ที่ริมกว๊านพะเยา อำเภอเมืองพะเยา 2. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่วัดท้ายหาด ตำบลท้ายหาด อำเภอเมืองสมุทรสงคราม พระครูเกษมสมุทรกิจ เจ้าอาวาสวัดท้ายหาด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พันตำรวจเอก ศยาม อินทร์สุวรรณโณ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงคราม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายหาด กำนันตำบลท้ายหาด ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ฯ ผู้ช่วยฯ สารวัตรฯ คณะครูนักเรียนโรงเรียนวัดท้ายหาดพลอยเจียเส็ง ตลอดจนพสกนิกรตำบลท้ายหาด จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน 3. จังหวัดนครพนม ที่วัดโอกาส (ศรีบัวบาน) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม นายวัลลภ แก้วลอยมา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระครูศรีปริยัติการ (อรุณ ฐิตเมโธ ป.ธ.๖) รองเจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม เจ้าอาวาสวัดโอกาส เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้หายจากอาการทรงพระประชวร 4. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ผู้รับใบอนุญาตและประธานคณะกรรมการบริหารโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา พร้อมคณะผู้บริหาร คณะกรรมสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง 2,500 คน ร่วมกันตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมีพระครูอนุกูลศาสนกิจ เจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร นำพระสงฆ์ 45 รูป รับบิณฑบาต 5. จังหวัดสมุทรสาคร ที่ลานสาครบุรี ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นางเตือนจิตร์ รักร้อย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายพระกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้หายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน จัดโดย “หอการค้า - YEC สมุทรสาคร” 6. จังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดพระธาตุแสงรุ้ง ตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีบรรพชาอุปสมบท ถวายพระกุศลถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 7. จังหวัดตรัง ที่บริเวณห้องโถง ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดตรัง ชมรมคนรักในหลวง จ.ตรัง นำโดยนายสุรพล วิชัยดิษฐ์ ประธานชมรมคนรักในหลวง จ.ตรัง นำสมาชิกชมรมคนรักในหลวง จ.ตรัง ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อขอให้พระองค์ ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63262
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง "วิชัย"ตรวจหมอชิต บูรณาการร่วม ป.ป.ส.-ตำรวจ-ขนส่ง-กทม. เปิดปฏิบัติการเข้มปราบยาช่วงปีใหม่ เตือนอย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 28/12/2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง "วิชัย"ตรวจหมอชิต บูรณาการร่วม ป.ป.ส.-ตำรวจ-ขนส่ง-กทม. เปิดปฏิบัติการเข้มปราบยาช่วงปีใหม่ เตือนอย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง "วิชัย"ตรวจหมอชิต บูรณาการร่วม ป.ป.ส.-ตำรวจ-ขนส่ง-กทม. เปิดปฏิบัติการเข้มปราบยาช่วงปีใหม่ เตือนอย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า สกัดคนค้าลำเลียงของช่วงเทศกาล วอนทุกคนร่วมเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแส 1386 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 เวลา17.30 น. สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ภายใต้ปฏิบัติการ “ปีใหม่สุขใจ เดินทางปลอดภัย ไร้ยาเสพติด” โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายกิจจา สมสุข ผู้อำนวยการกองตรวจการขนส่งทางบก นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ขนส่ง จำกัด พญ.ภาวิณี รุ่งทนต์กิจ รองผอ.สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร นายอาคม สุทธิบุญ ผู้ช่วยผอ.เขตจตุจักร พ.ต.อ.ศรายุทธ มั่งเรือน รกท.ผกก.สน.บางซื่อ เจ้าหน้าที่และประชาชนร่วมงาน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้เป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมช่วงปีใหม่ปลอดภัย ที่ท่านนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในการเดินทาง และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันบูรณาการป้องกัน และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีจัดกิจกรรมขึ้น เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการสุ่มตรวจปัสสาวะในผู้ขับขี่รถโดยสารประจำทาง และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย รวมทั้งบูรณาการ กับหน่วยงานในพื้นที่ สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงนำเข้ายาเสพติด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างเข้มข้น เนื่องจากมีวันหยุดหลายวันเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ฉวยโอกาสลำเลียงยาเสพติด และป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสัมภาระ ไม่รับฝากสิ่งของจากคนแปลกหน้าในระหว่างเดินทาง เพราะอาจเป็นยาเสพติด และขอย้ำเตือนพี่น้องประชาชน อย่ารับจ้างเปิดบัญชีธนาคารเพราะอาจถูกหลอกใช้ เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ และร่วมเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวัง หากพบบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด สามารถแจ้งสายด่วน ป.ป.ส. โทร. 1386 และอย่าลืมป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ขอให้ระมัดระวังปฏิบัติตามมาตรการควบคุม และป้องกันโรคที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมเดินทาง "ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงานภาคีที่ให้ความสำคัญ และร่วมกันอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงปีใหม่ปลอดภัยในครั้งนี้ ขอบคุณทุกท่านที่เป็นพลังสำคัญในความร่วมมือร่วมใจร่วมป้องกันยาเสพติด ในช่วงเทศกาลอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาตลอด และขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่ช่วยกันเผยแพร่ข่าวสาร เพื่อสร้างความตระหนักในการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นการช่วยป้องปรามนักค้ายาเสพติด ที่ฉวยโอกาสลำเลียงและนำเข้ายาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผมยืนยันว่ากระทรวงยุติธรรมและ ป.ป.ส. เอาจริงเอาจังในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา"นายสมศักดิ​์ กล่าว จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้เดิน พบปะประชาชน และเดินรณรงค์สร้างการรับรู้ภายในอาคารผู้โดยสาร ตรวจเยี่ยม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตรวจปัสสาวะพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ พร้อมมอบใบขับขี่และของที่ระลึกแก่พนักงานขับรถที่ผ่านการตรวจ ติดสติ๊กเกอร์รณรงค์แจ้งเบาะแสยาเสพติด บนรถโดยสารสาธารณะ โดยมีประชาชนให้ความสนใจและขอร่วมถ่ายรูปจำนวนมาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ จังหวัดชลบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ จังหวัดชลบุรี ... นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย ลงพื้นที่ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 พร้อมด้วยนายพิทักษ์ วัฒนพงศ์พิศาล ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ โดยตรวจการเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา ตามแผนปฏิบัติการและยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่มั่นคงและยั่งยืน โดยตรวจความพร้อมของเรือบรรทุกคนโดยสารบริเวณ ท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย และท่าเทียบเรือเมืองพัทยา สาขาเกาะล้าน จากการตรวจพื้นที่ได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ ดังนี้ 1. สั่งการและกำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเข้มงวดการปฏิบัติงานเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยให้เรือบรรทุกคนโดยสารทุกลำจัดให้มีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ผู้โดยสารทุกคนสวมใส่เสื้อชูชีพก่อนเรือออกจากท่าเทียบเรือ เพื่อสร้างจิตสำนึกและความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว 2. สั่งการให้เจ้าพนักงานตรวจเรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยาดำเนินการร่วมกับผู้ประกอบการ เจ้าของเรือบรรทุกคนโดยสารให้ดำเนินการใช้เทคโนโลยี ติดตั้งจอทีวีในเรือเพื่อเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์การสวมใส่เสื้อชูชีพ ติดตั้งระบบติดตามเรืออัตโนมัติ AIS ระบบการสื่อสารคลื่นความถี่ VHFเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับการตรวจเรือ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน 3. สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยาประสานผู้ประกอบการและเจ้าของเรือจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้บริการการประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตนตามมาตรการด้านความปลอดภัยขณะโดยสารเรือให้เป็นไปตามกฎจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอในการให้บริการทุกครั้ง การบริหารจัดการคนโดยสารก่อนลงเรือและการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และคนพิการให้เป็นไปตามระบบมาตรฐาน 4. การบริหารจัดการท่าเทียบเรือของเมืองพัทยา การขนส่งสินค้าทั่วไปและสินค้าอันตราย ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย 5. ความปลอดภัยของท่าเทียบเรืออุปกรณ์ความปลอดภัยประจำท่าเทียบเรือให้ประสานเมืองพัทยา เพื่อดูแลรักษาให้เป็นไปตามมาตรฐาน 6. จัดทำระบบการแจ้งเรือเข้า ออกของเรือบรรทุกสินค้าและการบริหารจัดการท่าเทียบเรือให้เป็นไปตามมาตรฐานและความปลอดภัย ทั้งนี้ หากท่านใดพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ สามารถโทรแจ้งสายด่วน กรมเจ้าท่า 1199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-28 ธันวาคม วันพระเจ้าตากสินมหาราช
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 28 ธันวาคม วันพระเจ้าตากสินมหาราช วันคล้ายวันปราบดาภิเษก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท ได้ออม ลุ้นโชครับปีใหม่ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท ได้ออม ลุ้นโชครับปีใหม่ 2566 ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. มอบโชคเป็นของขวัญปีใหม่ วงเงินรวม 30,000 ลบ. เพียงฝากสลากผ่านแอป ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง หน่วยละ 50 บาท ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท เปิดรับฝากตั้งแต่ 3 ม.ค.2566 เป็นต้นไป ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. เพื่อมอบโชคเป็นของขวัญปีใหม่ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง หน่วยละ 50 บาท ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท พร้อมลุ้นรางวัลที่ 1 สูงสุด 5 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทต่อเดือน รวม 24 ครั้ง และรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง วงเงินรวม 2 ล้านบาท โดยยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา เปิดรับฝากตั้งแต่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป นายศรัทธา อินทรพรหม ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ ธ.ก.ส. ขอมอบของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้าทุกท่านผ่าน“สลากดิจิทัล ธ.ก.ส.” วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง ในราคาหน่วยละ 50 บาท อายุสลาก 2 ปี เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.07 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 24 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัล มูลค่า 5,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 59 รางวัล รางวัลละ 3,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 180 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 600 รางวัล รางวัลละ 1,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 1,200 รางวัล รางวัลละ 400 บาท รางวัลที่ 5 มี 6,000 รางวัล รางวัลละ 300 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 60,000 รางวัล รางวัลละ 25 บาท รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 600,000 รางวัล รางวัลละ 10 บาท รวมเงินรางวัล 15,917,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีการลุ้นรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง ในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนธันวาคม 2566 ครั้งละ 2 รางวัล รางวัลละ 500,000 บาท วงเงินรวม 2,000,000 บาท โดยผู้ที่สนใจต้องฝากสลากภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เพื่อรับสิทธิ์ตรวจรางวัลในเดือนนั้น ๆ และกรณีฝากไม่ครบ 3 เดือน คิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากมูลค่าสลาก 2 บาทต่อหน่วย ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากการฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา และสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ได้อีกด้วย การฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ลูกค้าจะได้รับ e-Slip ไว้เป็นหลักฐานในการฝากสลากบันทึกไว้ในอัลบั้มภาพในโทรศัพท์เคลื่อนที่อัตโนมัติ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหมายเลขสลาก รายการธุรกรรม การตรวจผลสลาก และประวัติการถูกรางวัลได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus หรือรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “BAAC Thailand” Youtube Channel “BAAC Thailand” โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 10/2565
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 10/2565 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 10/2565 วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 10/2565 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็น การเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมในคณะกรรมการบริหารตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 และรับทราบในประเด็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการประชุมครั้งที่ 9/2565 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 , สาระสำคัญที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 , การขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาด้านอ้อยปี 2565 ของคณะอนุกรรมการอ้อยระดับท้องถิ่นเขต 5 จังหวัดนครสวรรค์ เขต 7 จังหวัดอุตรดิตถ์ เขต 14 จังหวัดชัยภูมิ และเขต 22 จังหวัดอุทัยธานี รวม 17 โครงการ , รายงานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 8/2565 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 , สรุปผลการอนุญาตจำหน่ายน้ำเชื่อมเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล ฤดูการผลิตปี 2564/2565 , ประมาณการรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 ของสำนักงานกองทุนและอ้อยและน้ำตาลทราย และประกาศคณะกรรมการอ้อย เรื่อง การจัดสรรปริมาณอ้อยขั้นสุดท้ายประจำฤดูการผลิตปี 2565/2566 (บัญชีจัดสรรขั้นสุดท้าย)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจ ลดอุบัติเหตุทางถนน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจ ลดอุบัติเหตุทางถนน ณ อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานรณรงค์ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุทางถนน โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด นายอนามัย ดำเนตร กรรมการบริษัท ขนส่ง จำกัด นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ นายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณชั้น 1 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) นายอนุทิน ชาญวีรกูล เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เนื่องจากมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง4 วัน จึงขอความร่วมมือประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างเข้มงวดพนักงานขับรถโดยสารต้องปลอดแอลกอฮอล์ เนื่องจากผู้ขับขี่รถสาธารณะเป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้อื่นเป็นจำนวนมากจึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานในการขับขี่สูงกว่าผู้ขับขี่ทั่วไป การดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นเจตนาที่จะละเมิดกฎแห่งความปลอดภัย ถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ฐานดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่ผิดกฎหมายขนส่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000 -10,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้รับนโยบายจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เข้มงวดและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 บขส. จึงได้เน้นย้ำในเรื่อง “บขส. ยืนหนึ่ง เรื่องความปลอดภัย” โดยกำชับให้พนักงานประจำรถ บขส. และ รถร่วมบริการต้องผ่านการตรวจหาสารเสพติดและแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ สำหรับรถโดยสารทุกคันต้องมีการตรวจเช็กสภาพความพร้อม และมีประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ บขส.ได้จัดเตรียมห้องปฐมพยาบาล First Aid Room บริเวณชั้น 1 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เพื่อรองรับผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งจัดรถวีลแชร์ พร้อมตั้งจุดรับเรื่องร้องเรียน บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 และชั้น 3 ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ตั้งแต่วันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2565 ระหว่างเวลา 17.00 - 24.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วย ผู้ใช้บริการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 1490 เรียก บขส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ลงโทษปรับรถร่วมฯ “ไทยศรีรามทัวร์” 10,000 บาท ฐานทำผิดกฎหมายและฝ่าฝืนระเบียบบริษัทฯ จนทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 บขส. ลงโทษปรับรถร่วมฯ “ไทยศรีรามทัวร์” 10,000 บาท ฐานทำผิดกฎหมายและฝ่าฝืนระเบียบบริษัทฯ จนทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อน ..... นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ตามที่ผู้ใช้ TikTok ได้แชร์โพสต์ร้องเรียนบริการของรถร่วมฯ เอกชน โดยระบุว่า “ซื้อตั๋วรถทัวร์จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 21 ชั่วโมง” จากการตรวจสอบพบว่า รถโดยสารคันดังกล่าว เป็นของ บริษัท ไทยศรีราม ขนส่ง จำกัด วิ่งเสริมในเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ - บ้านท่าตอน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เที่ยวเวลา 20.45 น. ก่อนออกเดินทางมีการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถ พบต้นทางมีคนขับรถ 2 คน ตามที่กำหนด แต่รถไปเสียระหว่างทาง จึงได้มีการเปลี่ยนรถ และคนขับรถ 1 คน ได้ละทิ้ง การปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นการกระทำความผิดฝ่าฝืนระเบียบฯ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญารถร่วมฯ และ พ.ร.บ. ขนส่งทางบก พ.ศ.2522 จึงได้ลงโทษปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และจะพิจารณาไม่ให้มีการนำรถโดยสารเข้ามาเสริม ในเทศกาลต่อไป หากผู้โดยสารได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถแจ้งได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสาร บริษัท ขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ 0 2537 8443 บขส. ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และขอขอบคุณข้อมูลจากผู้โดยสารที่แจ้งเหตุดังกล่าว เพื่อนำไปพัฒนาและปรับปรุงบริการของรถร่วมฯ ต่อไป พร้อมได้กำชับไปยังผู้ประกอบการรถร่วมฯ ทุกราย ให้บริการประชาชน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้โดยสาร และขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบฯอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ หากผู้โดยสารพบปัญหาในการเดินทาง สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ของ บขส. ได้โดยตรง ณ จุดรับเรื่องร้องเรียน บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 และชั้น 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร), สถานีเดินรถ บขส.ทั่วประเทศ, Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง หรือร้องเรียนที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ(ชั่วคราว) ของกรมการขนส่งทางบก โทร.1584
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด “ดีอีเอส” ประชุมคณะดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ครั้งที่ 1/2565
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 รองปลัด “ดีอีเอส” ประชุมคณะดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ครั้งที่ 1/2565 รองปลัด “ดีอีเอส” ประชุมคณะดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ครั้งที่ 1/2565 วันนี้ (29 ธ.ค.65) ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมคณะดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ครั้งที่ 1/2565 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ดีอีเอส ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สป.ดศ. __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยปี 65 นิติวิทย์พิสูจน์สัญชาติสำเร็จ 803 ราย ตั้งเป้าปี 66 ต้องได้ 1,600 ราย จับมือภาคีเครือข่ายช่วยคนเดือดร้อนให้ได้รับสิทธิตามที่ควรมี
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยปี 65 นิติวิทย์พิสูจน์สัญชาติสำเร็จ 803 ราย ตั้งเป้าปี 66 ต้องได้ 1,600 ราย จับมือภาคีเครือข่ายช่วยคนเดือดร้อนให้ได้รับสิทธิตามที่ควรมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยปี 65 นิติวิทย์พิสูจน์สัญชาติสำเร็จ 803 ราย ตั้งเป้าปี 66 ต้องได้ 1,600 ราย จับมือภาคีเครือข่ายช่วยคนเดือดร้อนให้ได้รับสิทธิตามที่ควรมี ยันยังมุ่งมั่นทำงานเต็มที่แม้เป็นปลายเทอมรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ในปี 2565 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ดำเนินงานการพิสูจน์สารพันธุกรรมแก่ราษฎรไร้สถานะและประสบปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎรสำเร็จจำนวน 458 ราย และบุคคลอ้างอิง 345 ราย รวมทั้งสิ้น 803 ราย และเดินทางไปจัดเก็บสารพันธุกรรมบุคคลในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ ประจวบคีรีขันธ์ แม่ฮ่องสอน ปราจีนบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ สระแก้ว พิษณุโลก อุดรธานี ตราด และพื้นที่ชายแดนใต้ นอกจากนี้ ยังเกิดต้นแบบเครือข่ายการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี โรงพยาบาลตราด จ.ตราด โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคประชาชน นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เพื่อการแก้ปัญหาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน สถาบันนิติวิทยาศาสตร์และภาคีเครือข่าย จึงร่วมกันพัฒนาเครือข่ายการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคีเครือข่ายภาคประชาชนร่วมกับสำนักทะเบียนในพื้นที่ ตั้งแต่การค้นหาสำรวจคนไทยที่ยังไร้สิทธิสถานะ การนำเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย การนำบุคคลเข้ารับการตรวจสารพันธุกรรม และการติดตามผลการพิจารณาแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร จนกระทั่งได้รับบัตรประชาชนคนไทยและได้รับสิทธิต่างๆ ทั้งนี้ การดำเนินการที่ผ่านมาใช้งบประมาณจากเครือข่าย สำหรับแผนของปี 2566 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มีเป้าหมาย 1,600 ราย "เราต้องเร่งช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ให้เข้าถึงสิทธิตามที่พวกเขาควรจะมีและควรได้รับ เพื่อจะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายและเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียม ซึ่งแม้ในช่วงนี้จะเป็นปลายสมัยของรัฐบาล แต่ผมยังมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และยึดประโยชน์ของสังคมและประชาชนเป็นที่ตั้ง และจะเดินหน้าดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชวนใช้สิทธิของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล " พล.อ.ประยุทธ์" ย้ำรัฐบาลตั้งใจแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยเหลือเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจทุกกลุ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 "ทิพานัน" ชวนใช้สิทธิของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล " พล.อ.ประยุทธ์" ย้ำรัฐบาลตั้งใจแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยเหลือเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจทุกกลุ่ม "ทิพานัน" ชวนใช้สิทธิของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล " พล.อ.ประยุทธ์" ย้ำรัฐบาลตั้งใจแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยเหลือเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจทุกกลุ่ม วันที่ 29 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยและต้องการส่งความปราถนาดีไปยังพี่น้องประชาชน จึงมอบนโยบายให้หน่วยงานต่างๆหามาตรการต่างๆ เป็นของขวัญปีใหม่เพื่อส่งมอบความสุขให้กับประชาชน หลากหลายมาตรการ อาทิ 1.มาตรการช้อปดีมีคืน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท 2. มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 โดยลดภาษีให้ในอัตราร้อยละ 15 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี 2566 3.มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาทต่อคน เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยจะได้รับเงินในเดือนมกราคม 2566 4. สายการบินลดค่าเครื่องบินภายในประเทศลง 20% จากมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานภายในประเทศ โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้บินในประเทศ จากลิตรละ 4.726 บาท เหลือลิตรละ 0.20 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2566 จึงมีผลให้สายการบินลดค่าเครื่องบินภายในประเทศลง 20% 5.มาตรการตรึงราคาน้ำมันทุกชนิดในช่วงวันที่ 24 ธันวาคม 2565 ถึง 3 มกราคม 2566 6. ให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ที่ 19.9833 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งมีกรอบเป้าหมายเพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 มกราคม 2566 7.มาตรการลดค่าโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ร้อยละ 5 สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางผ่านช่องทางออนไลน์ วันที่ 1 ถึง 31 ธันวาคม 2565 8. ลดภาระค่าไฟฟ้าในช่วงวิกฤตราคาพลังงาน โดยตรึงอัตราค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วย ไปจนถึงไตรมาสสองของปี 2566 หรือในช่วงการคำนวนค่าเอฟทีงวดมกราคม-เมษายน 2566 9. มาตรการยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ระหว่างเวลา 12.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 พร้อมขยายเวลาเปิดให้บริการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 10. มาตรการขยายเวลาการเดินรถเมล์ ในเขตกรุงเทพมหานคร เส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงานเคานท์ดาวน์ (Count Down) เช่น สยามพารากอน ไอคอนสยาม และเอเชียทีค ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 11. มาตรการให้บริการฟรีเรือไฟฟ้า (EV Boat) ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึง 1 มกราคม 2566 12. มาตรการเปิดให้วิ่งฟรีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ 7 วัน ตั้งแต่เวลา 0.01 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2566 13 .เข้าอุทยานแห่งชาติฟรี ทั้งคนไทยและยานพาหนะ 31 ธันวาคม 2565 ถึง 1 มกราคม 2566 14 .มาตรการช่วยลูกหนี้ สำหรับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้กับ บสย. ผ่อนน้อย เบาแรง ลดค่างวดผ่อนชำระเหลือ 20% ของค่างวดเดิม ขั้นต่ำ 500 บาทต่องวด สูงสุด 6 งวด ที่ยื่นคำขอระหว่าง 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2566 15 .สินเชื่อ 2,000,000 บาทเพื่อที่อยู่อาศัย ผู้ประกันตนระบบประกันสังคมมาตรา 33 ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 15,000 คน 26 ธันวาคม 2565 ถึง 5 มกราคม 2566 16. กยศ. ลดหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดเงินต้น ขยายเวลาถึง 30 มิถุนายน 2566 17.ส่วนลดส่ง EMS ในประเทศ 19-48% สำหรับประชาชนที่ใช้บริการแบบ walk in ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2565 ถึง 5 มกราคม 2566 18.กิจกรรมเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฟรี 27 ธันวาคม 2565 ถึง 8 มกราคม 2566 เช่น อวพช. คลองห้าปทุมธานี,เดอะสตรีทรัชดากรุงเทพฯ, เชียงใหม่,โคราช น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของมาตรการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ มีแรงจูงใจและเกิดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยกระจายรายได้ไปยังชุมชน จึงขอแจ้งมายังพี่น้องประชาชนถึงสิทธิที่รัฐบาลมอบให้ในมาตรการของขวัญปีใหม่นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศิลปากรพร้อมเปิดให้บริการอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กรมศิลปากรพร้อมเปิดให้บริการอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา กรมศิลปากรพร้อมเปิดให้บริการอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป พร้อมเข้าชมฟรี ๓๐ ธ.ค. ๖๕ ถึงวันที่ ๒ ม.ค. ๖๖ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ กรมศิลปากรพร้อมเปิดให้บริการอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕) เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจเยี่ยมความพร้อมในการเปิดให้บริการอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป การมิตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ให้การต้อนรับ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวรายงานความเป็นมาของอาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยาว่า ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ กรมศิลปากรมีนโยบายปรับปรุงและพัฒนา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา โดยการจัดสร้างอาคารหลังใหม่ สำหรับจัดแสดงโบราณวัตถุประเภทเครื่องทองอยุธยาที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้อยู่ในรูปแบบที่น่าสนใจ ทันสมัย และได้มาตรฐานตามหลักพิพิธภัณฑสถานสากล เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของพิพิธภัณฑ์ในฐานะแหล่งเรียนรู้ทางมรดกศิลปวัฒนธรรมแก่สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา รวมทั้งเป็นการสร้างภาพจำและความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ในฐานะพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ในอดีตของไทย อาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา วางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๒สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น ลักษณะเป็นอาคารไทยประยุกต์ ๒ ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๓,๒๗๕ ตารางเมตร แบ่งเนื้อหาการจัดแสดง ออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ จัดแสดงเครื่องทองจากวัดราชบูรณะ ประเภทเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องสูง เครื่องราชูปโภคและเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ ส่วนที่ ๒ จัดแสดงเครื่องทองจากวัดราชบูรณะ ประเภทเครื่องพุทธบูชา เครื่องอุทิศ และพระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงกรุจำลองวัดราชบูรณะ ส่วนที่ ๓ จัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับคติการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุที่พบในโบราณสถานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ พระปรางค์วัดพระราม พระปรางค์วัดมหาธาตุ เจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ และเจดีย์ศรีสุริโยทัย จำนวนโบราณวัตถุที่จัดแสดงภายในอาคารเครื่องทอง มีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๔ รายการ โบราณวัตถุชิ้นเด่น อาทิ พระแสงขรรค์ชัยศรี พระคชาธารจำลอง จุลมงกุฎ พระสุวรรณมาลา บัดนี้ อาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา พร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป โดยระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๖ ไม่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ทั้งนี้ ผู้ที่เข้ามาใช้บริการจะได้รับความรู้เกี่ยวกับเครื่องทองอยุธยามากยิ่งขึ้น ตลอดจนเกิดความภาคภูมิใจและความตระหนักในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของประเทศชาติต่อไป -------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปีใหม่ กลับบ้านปลอดภัย ดื่มไม่ขับ กรึ่มๆ ก็ถึงตาย
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 ปีใหม่ กลับบ้านปลอดภัย ดื่มไม่ขับ กรึ่มๆ ก็ถึงตาย ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.คลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์มาตรการของขวัญปีใหม่เพิ่มเงินพิเศษ 200 บาทให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 ก.คลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์มาตรการของขวัญปีใหม่เพิ่มเงินพิเศษ 200 บาทให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาท เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย ตามที่ได้มีข้อวิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการคลังใช้งบประมาณ 2.6 พันล้านบาท มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.2 ล้านคน ด้วยการเพิ่มเงินพิเศษ 200 บาท ระยะเวลา 1 เดือน เป็นนโยบายประชานิยมโดยใช้งบประมาณรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมืองในช่วงเวลาใกล้สู่การเลือกตั้งหรือไม่นั้น วันที่ 28 ธ.ค. 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจง ดังนี้ ที่ผ่านมาการบรรเทาภาระค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากร จำนวนกว่า 13 ล้านคน โดยเริ่มมีการให้สวัสดิการตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งแบ่งเป็นสวัสดิการหลัก ได้แก่ บรรเทาค่าครองชีพ (วงเงินสิทธิค่าอุปโภค/บริโภค: จำนวน 200 บาท/คน/เดือน จำนวนประมาณ 3.5 ล้านคน และ 300 บาท/คน/เดือน จำนวนประมาณ 9.7 ล้านคน) บรรเทาค่าเดินทาง ได้แก่ ค่ารถเมล์ รถไฟฟ้า (500 บาท/คน/เดือน) ค่า บขส. (500 บาท/คน/เดือน) ค่ารถไฟ (500 บาท/คน/เดือน) ค่าก๊าซหุงต้ม (45 บาท/คน/3 เดือน) ค่าประปา 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ค่าไฟฟ้า 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน และสวัสดิการอื่น ๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายปลายปี 2561 จำนวน 500 บาท ค่าใช้จ่ายปลายปี 2562 สำหรับผู้สูงอายุเกิน 60 จำนวน 500 บาท สำหรับผู้มีบุตร จำนวน 300 บาท สำหรับคนพิการ จำนวน 200 บาท ผ่านช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) อย่างไรก็ดีเนื่องจากปัจจุบันแม้สถานการณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของ โควิด – 19 ในหลายประเทศได้คลี่คลายลงตามลำดับ แต่ยังมีผลกระทบจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนและมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อลดแรงกดดันของปัญหาเงินเฟ้อ ในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางทางด้านรายได้ ทรัพย์สิน และหนี้สิน ถึงแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นบ้างแต่ยังไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มสูง และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มดังกล่าว คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 เป็นการชั่วคราวในระยะสั้น โดยช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) เพิ่มเติมจากเดิมอีก จำนวน 200 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ในเดือนมกราคม 2566 1) โดยผู้มีบัตรฯ ที่เดิมได้รับวงเงิน 200 บาท/คน/เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาท รวมเป็น 400 บาท/คน/เดือน 2) ผู้มีบัตรฯ ที่เดิมได้รับวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 200 บาทรวมเป็น 500 บาท/คน/เดือน ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรฯ จำนวนกว่า 13 ล้านคน เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับที่สูง ประกอบกับราคาพลังงานที่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในการดำรงชีพของผู้มีบัตรฯ และทำให้กำลังซื้อของผู้มีบัตรฯ ลดลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพสามิตคว้ารางวัลองค์กรไอทีในระดับนานาชาติ ASOCIO Award สาขา Digital Government Awards สะท้อนผลงานประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดีเด่น
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 29/12/2565 กรมสรรพสามิตคว้ารางวัลองค์กรไอทีในระดับนานาชาติ ASOCIO Award สาขา Digital Government Awards สะท้อนผลงานประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดีเด่น กรมสรรพสามิตได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลด้านไอทีระดับภูมิภาค หรือ ASOCIO Awards สาขา Digital Government Awards ประจำปี 2565 จากสมาพันธ์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และบริการในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ที่มอบให้กับองค์กรของประเทศสมาชิกจาก 24 ประเทศ กรมสรรพสามิตได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลด้านไอทีระดับภูมิภาค หรือ ASOCIO Awards สาขา Digital Government Awards ประจำปี 2565 จากสมาพันธ์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และบริการในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ที่มอบให้กับองค์กรของประเทศสมาชิกจาก 24 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพความเป็นองค์กรผู้นำในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ที่นำไปสู่การให้บริการกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า “จากแนวโน้มการเติบโตและการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ รวมถึงบริบทการดำเนินงานและการอำนวยความสะดวกของหน่วยงานรัฐต่อประชาชน และธุรกิจ กรมสรรพสามิตได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจของทุกองค์กรให้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งในฐานะที่กรมเป็นหนึ่งในหน่วยงานด้านภาษีหลักในประเทศไทย ทางกรมฯ จึงมีการปรับกรอบความคิด (mindset) เพื่อให้เข้าใจบทบาทของกรมสรรพสามิตให้ชัดเจน ภายใต้นโยบาย“ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้น ESG สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน” แล้วจึงมาพัฒนากรมในองค์รวมทั้งระบบและคนควบคู่ไปด้วยกัน ด้วยกลยุทธ์ EASE Excise คือการมุ่งเน้นการเก็บภาษีเพื่อสนับสนุน ESG คือ การดูแลสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยการนำนวัตกรรม (innovation) และเทคโนโลยีมาเปลี่ยนกระบวนการทำงาน ด้วยการ digitalize ตามหลัก Agile ซึ่งเป็นปรับวิธีการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น Standard นำดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับมาตรฐาน สู่ End to end service เป็นการยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง และการนำระบบ E-excise และระบบ single sign on ให้สามารถทำทุกอย่างได้ที่จุดเดียว ทำให้ลดกระบวนการลงพร้อมอำนวยความสะดวกผู้จ่ายภาษี เช่น การลดระยะเวลาการติดต่อราชการ การยื่นแบบรายการภาษี การชำระภาษี กระบวนการคืนภาษี มาตรการชดเชยภาษี EV ผ่านระบบออนไลน์ เกิดการต่อเนื่องในการทำธุรกิจอย่างไม่มีสะดุด นำมาซึ่งการได้รับรางวัลที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ ซึ่งรางวัลนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กรมสรรพสามิตพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง “การได้รางวัลนี้ แสดงให้เห็นว่ากรมสรรพสามิตได้มีการยกระดับการทำงานจนเป็นที่ยอมรับ กรมฯ ตระหนักดีว่าการมุ่งสร้างองค์กรและสังคมที่ยั่งยืนต้องมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เราจึงมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการจัดเก็บแต่ยังมุ่งหวังที่จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งผู้ประกอบการในด้านความสะดวก รวดเร็ว มีมาตรฐาน อีกทั้งบุคลากรของกรมสรรพสามิตยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ภารกิจของกรมสรรพสามิตประสบผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อความยั่งยืนของประชาชน และประเทศชาติ โดยในปีต่อจากนี้ กรมก็จะยังคงมุ่งพัฒนา คิดค้นในการปรับใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีความทันสมัย เพื่อการเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรและหน่วยงานรัฐที่มีความทันสมัย ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับระดับสากล” อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว ทั้งนี้ รางวัล ASOCIO เป็นรางวัลที่สมาพันธ์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และบริการในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย มอบให้กับองค์กรของประเทศสมาชิกที่มีการนำไอที และดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น Blockchain, IoT, AI, Robotics, Big Data, Cyber Security & Cloud based solutions มาใช้ในการพัฒนา องค์กรได้อย่างโดดเด่นและประสบผลสำเร็จ ซึ่งกรมสรรพสามิต มีความโดดเด่นในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในทุกภาคส่วนขององค์กรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงทำให้ได้รับรางวัลในสาขา Digital Government Award ในปี 2565 นี้ไปอย่างเต็มภาคภูมิ กรมสรรพสามิตจะยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและให้บริการด้านภาษีแก่ผู้เสียภาษี ทั้งยังเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมรัฐบาลดิจิทัลในประเทศไทย สร้างความยั่งยืนทั้งด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป ดร.เอกนิติกล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าคุมเข้มความปลอดภัยเทศกาลปีใหม่ 2566 เน้นความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 กรมเจ้าท่าคุมเข้มความปลอดภัยเทศกาลปีใหม่ 2566 เน้นความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือผู้ประกอบการ จ.ปทุมธานี จ้างงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ช่วยพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 พม. จับมือผู้ประกอบการ จ.ปทุมธานี จ้างงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ช่วยพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ พม. จับมือผู้ประกอบการ จ.ปทุมธานี จ้างงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ช่วยพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ วันนี้ (26 ธ.ค. 65) เวลา 10.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จังหวัดปทุมธานี (สคม.ปทุมธานี) กับสถานประกอบกิจการ จำนวน 5 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี โดยมี ผู้อำนวยการกองต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมผู้อำนวยการสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน 8 แห่งทั่วประเทศ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม และองค์กรระหว่างประเทศ ณ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จังหวัดปทุมธานี นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงาน หรือบริการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้เสียหายจะมีความแตกต่างทางเพศ อายุ สัญชาติ เชื้อชาติ และประเพณีวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้กระบวนการคุ้มครองสวัสดิภาพและช่วยเหลือผู้เสียหายในทุกมิติตามมาตรฐานและหลักการสากล นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้เสียหายที่เป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวมีแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานต่างๆ ที่หลากหลาย แต่ถูกนำไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ส่งผลกระทบให้ขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขาดรายได้ และสูญเสียโอกาสต่างๆ ในชีวิตไป ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ฉบับนี้ จะเข้ามาช่วยเหลือและส่งเสริมให้ผู้เสียหายสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้ระหว่างอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพและตอบสนองความต้องการแรงงานของผู้ประกอบกิจการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี อีกทั้งเป็นการเยียวยาคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้กับผู้เสียหายและป้องกันไม่ให้ถูกแสวงหาประโยชน์ อันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายอีก นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสาระสำคัญ ของความร่วมมือครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) ผู้ประกอบกิจการที่มีความประสงค์จะจัดจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวที่อยู่ระหว่างกระบวนการคุ้มครองสวัสดิภาพ และช่วยเหลือทางกระบวนการยุติธรรมของ สคม.ปทุมธานี ต้องดำเนินการจ้างงานให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ประกาศ หรือข้อบังคับ ของกระทรวงแรงงาน 2) อบรมให้ความรู้ ฝึกทักษะอาชีพ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะฝีมือของแรงงาน และจัดประชุมเพื่อพิจารณาความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม และกระบวนงานด้านการคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ร่วมกับผู้ประกอบกิจการ 3) ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยระหว่างที่ผู้เสียหายเป็นลูกจ้าง และห้ามมิให้กระทำการใดๆ ต่อผู้เสียหายที่เป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมาย 4) ผู้ประกอบกิจการต้องจัดทำรายละเอียดการรับ – จ่าย ค่าจ้างแรงงาน ส่งให้ สคม.ปทุมธานี ทราบทุกเดือน ตลอดระยะเวลาการทำงาน และ 5) สคม.ปทุมธานี และผู้ประกอบกิจการ พร้อมให้ความร่วมมือ สนับสนุนในการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายและร่วมกันปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการจ้างงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ สธ. แจ้งมีหมายจับซื้อขายวัคซีนผิดกฎหมาย
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 สธ.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ สธ. แจ้งมีหมายจับซื้อขายวัคซีนผิดกฎหมาย โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนภัย พบกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวง กรมควบคุมโรค และ สสจ.นนทบุรี โทรหาประชาชนแจ้งว่ามีหมายจับเรื่องซื้อขายวัคซีนผิดกฎหมาย และรับอาสาเดินเรื่องแจ้งความลงบันทึกประจำวันออนไลน์แทน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนภัย พบกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวง กรมควบคุมโรค และ สสจ.นนทบุรี โทรหาประชาชนแจ้งว่ามีหมายจับเรื่องซื้อขายวัคซีนผิดกฎหมาย และรับอาสาเดินเรื่องแจ้งความลงบันทึกประจำวันออนไลน์แทน ย้ำกระทรวงไม่มีการดำเนินการเรื่องนี้ ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อโอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัวใดๆ เด็ดขาด อาจถูกนำไปใช้ทำเรื่องผิดกฎหมายต่าง ๆ ได้ วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากประชาชนหลายรายว่ามีบุคคลอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค และเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ติดต่อมายังเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวแจ้งว่ามีหมายจับกรณีซื้อขายวัคซีนผิดกฎหมาย ให้ประชาชนรีบติดต่อแจ้งความลงบันทึกประจำวัน โดยมีการอ้างอิงเบอร์โทรกลับหมายเลข 02-590-3000 ซึ่งเป็นเบอร์โทรศัพท์ของกรมควบคุมโรค เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และยังสามารถระบุเลขบัตรประจำตัวของประชาชนที่โทรไปหาได้ถูกต้อง พร้อมทั้งรับอาสาแจ้งความออนไลน์ให้หากไม่สะดวกไปแจ้งความด้วยตนเอง นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า เฉพาะวันนี้มีประชาชนติดต่อมาแจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว 3 ราย กระทรวงสาธารณสุขจึงขอย้ำว่าไม่เคยดำเนินการเรื่องของการแจ้งข้อหาความผิดใดๆ แก่ประชาชน และขอเตือนว่าอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ โดยการให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือโอนเงินให้เด็ดขาด อาจถูกนำไปใช้ทำเรื่องผิดกฎหมายต่างๆ ได้ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ติดตามตรวจสอบเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป “หากประชาชนมีข้อสงสัยขอให้โทรติดต่อสอบถามมายังกระทรวงสาธารณสุข โทร. 02-590-1000 หรือสอบถามหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างชื่อโดยตรงเพื่อตรวจสอบข้อมูล ป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว” นพ.รุ่งเรืองกล่าว *********************************************** 26 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตือน เมาไม่ขับ ชี้ ปีที่ผ่านมา ถูกคุมประพฤติถึง 7,868 คดี เผย กรมคุมประพฤติทั่วประเทศ เร่งรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตือน เมาไม่ขับ ชี้ ปีที่ผ่านมา ถูกคุมประพฤติถึง 7,868 คดี เผย กรมคุมประพฤติทั่วประเทศ เร่งรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตือน เมาไม่ขับ ชี้ ปีที่ผ่านมา ถูกคุมประพฤติถึง 7,868 คดี เผย กรมคุมประพฤติทั่วประเทศ เร่งรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน สร้างความรู้โทษของแอลกอฮอล์ พร้อมพาผู้ถูกคุมประพฤติ บริการสังคม ตัดต้นไม้จุดเสี่ยงเกิดเหตุ วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกิจกรรมลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า กรมคุมประพฤติ ที่มีภารกิจหลักในการคุมประพฤติ ผู้ที่มีคดีเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ ในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 มีถึง 7,868 คดี โดยการดื่มแล้วขับ ก็ยังเป็นสาเหตุหลักในการเกิดอุบัติเหตุ นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ จึงได้สั่งการให้สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ จัดกิจกรรมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะการไม่ขับรถขณะเมาสุรา เพราะนอกจากจะถูกคุมประพฤติแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมด้วย “ในช่วง 7 วันอันตราย ของปีใหม่ 2565 ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้มีการสรุปอุบัติเหตุทางถนน พบว่า มีถึง 2,707 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 2,672 คน และเสียชีวิต 333 ราย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ มาจากขับรถเร็ว 35.12% และ ดื่มแล้วขับ 29.51% โดยจะเห็นได้ว่า การเมาแล้วขับ ยังเป็นปัญหาหลัก ในการเกิดอุบัติเหตุ และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนด้วย เพราะการดื่มแล้วขับ อาจจะเป็นต้นเหตุ ให้คนในครอบครัว หรือ ผู้อื่นเสียชีวิต จากความประมาทดื่มสุราแล้วขับรถก็ได้ ” รมว.ยุติธรรม กล่าว นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลของปีที่ผ่านมา กรมคุมประพฤติ จึงได้เน้นย้ำในการรณรงค์ไม่ขับรถขณะเมาสุรา โดยนอกจาก จะเดินประชาสัมพันธ์ในชุมชนแล้ว ยังมีการนำประชาชน เข้ารับการอบรมความรู้โทษภัยของแอลกอฮอล์ด้วย รวมถึงยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อมในการเกิดอุบัติเหตุ ด้วยการนำผู้ถูกคุมความประพฤติ ทำงานบริการสังคม ปรับภูมิทัศน์ ตัดแต่งต้นไม้ บริเวณทางแยกและจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ และปรับเปลี่ยนทัศนคติค่านิยม และสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนในสังคมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าเรือหลวงสุโขทัยอับปาง สั่งการให้เร่งสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุ ล่าสุด ผบ.ทร. ลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางแล้ว
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าเรือหลวงสุโขทัยอับปาง สั่งการให้เร่งสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุ ล่าสุด ผบ.ทร. ลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางแล้ว โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าเรือหลวงสุโขทัยอับปาง สั่งการให้เร่งสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุ ล่าสุด ผบ.ทร. ลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางแล้ว วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการดำเนินการเร่งค้นหาและช่วยเหลือกำลังพล กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง โดยในวันนี้กองทัพเรือยังคงดำเนินการเร่งค้นหาเร่งค้นหาและช่วยเหลือกำลังพล ในพื้นที่ลาดตระเวนตามแผน ประกอบด้วย เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงนราธิวาส เรือ ต.114 และ เรือ ต.270 รวมถึง เรือ อากาศยาน ทั้งของกองทัพเรือ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานในศูนย์อำนวยการรักษาพื้นที่ของชาติทางทะเล หรือ ศรชล. และหน่วยงานต่าง ๆ ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานท้องถิ่น มูลนิธิ เครือข่ายชาวประมง และสมาชิกไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล ร่วมค้นหาในพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง ในขณะที่พื้นที่ตามแนวชายฝั่ง ก็ยังคงมีการจัดชุดลาดตระเวนทางเท้าในบริเวณที่คาดว่าจะมีการพบผู้สูญหาย โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้ เรือหลวงนเรศวรได้ดำเนินการเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตได้เพิ่มอีก 1 ร่าง และจะกลับขึ้นฝั่งที่อำเภอบางสะพาน ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการของการพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อยืนยันตัวบุคคลต่อไป นายอนุชาฯ กล่าวว่า ล่าสุดในส่วนของการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางนั้น พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ได้เผยว่า ในขณะนี้ กองทัพเรือ โดย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ซึ่งประกอบด้วย คณะอนุกรรมการจำนวน 2 คณะ คือ คณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เรือหลวงสุโขทัยอับปาง มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาสาเหตุ ทั้งด้านความพร้อมของเรือและการปฏิบัติงานของเรือ และคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงในการดำเนินการภายหลังจากเรือหลวงสุโขทัยอับปาง มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบการดำเนินการในขั้นตอนของการสละเรือใหญ่ การค้นหาและช่วยเหลือกำลังพลภายหลังประสบเหตุ ว่าเป็นไปตามหลักการและแนวทางการปฏิบัติที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในขณะนี้ คณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ก็ได้เร่งดำเนินการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสาเหตุต่อไป “นายกรัฐมนตรีกำชับให้ค้นหาผู้สูญหายกรณีเรือหลวงสุโขทัยล่มให้พบ โดยนายกรัฐมนตรีติดตามการสืบสวนสอบสวนสาเหตุที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด สั่งการให้เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งพลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ติดตามโดยประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกองเรือยุทธการ กองทัพเรือ และหน่วยในพื้นที่สัตหีบ ซึ่งต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวน ตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมายที่ชัดเจน ดังนั้น ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ยืนยันว่านายกฯ และรัฐบาลจะให้การช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะด้านสิทธิกำลังพล รวมทั้งจะนำทหารเรือที่สูญหายทุกนายกลับคืนมาสู่ครอบครัวให้ได้โดยเร็ว” นายอนุชาฯ กล่าว สำหรับสรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (วันที่ 26 ธันวาคม 2565) เวลา 11.30 น. ยอดกำลังพล 105 นาย รอดชีวิต จำนวน 76 นาย เสียชีวิตรวม 18 นาย ในจำนวนนี้สามารถระบุชื่อได้แล้ว 10 นาย มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นกำลังพลกองทัพเรือและอยู่ในกระบวนการของการพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อยืนยันตัวบุคคล 8 นาย คงเหลือผู้สูญหายจำนวน 11 นาย (ยังไม่นับรวมเคสที่เจอล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ รอผลและหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นกำลังพลกองทัพเรือ จึงจะมีการตัดยอด) ทั้งนี้ ในช่วงวันบ่ายวันนี้ (26 ธันวาคม 2565) เวลา 13.00 น. ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ ว่าที่ เรือเอก สามารถ แก้วผลึก พันจ่าเอก อัชชา แก้วสุพรรณ์ และ พันจ่าเอก อำนาจ พิมที ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และในเวลา 15.00 น. ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมข้าราชการและกำลังพลกองทัพเรือในพื้นที่ จะเดินทางไปร่วมในพิธีรับร่างพลทหาร วรพงษ์ บุญละคร กำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ร่วมกับกำลังพลอีก 3 นายซึ่งไดรับการยืนยันตัวบุคคลจากผลพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ประกอบด้วย จ่าตรี ศราวุธ นาดี กำลังพลเรือหลวงสุโขทัย พลทหาร สิทธิพงษ์ หงษ์ทอง กำลังพลหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ พลทหาร จิราวัฒน์ ธูปหอม กำลังพลหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งจะเคลื่อนศพ จากกองบิน 6 ขึ้นเครื่องบินแบบฟอกเกอร์ของกองทัพเรือ จากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดชลบุรี ก่อนที่จะนำร่างไปประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือสัตหีบ ในเวลา 17.00 น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย บูรณาการทุกฝ่ายลด Demand และ Supply ยาเสพติด ย้ำพบเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ขอให้เเจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือสายด่วน 1567 ทันที
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 ปลัดมหาดไทย บูรณาการทุกฝ่ายลด Demand และ Supply ยาเสพติด ย้ำพบเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ขอให้เเจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือสายด่วน 1567 ทันที ปลัดมหาดไทย บูรณาการทุกฝ่ายลด Demand และ Supply ยาเสพติด ย้ำพบเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ขอให้เเจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือสายด่วน 1567 ทันที เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ฝ่ายปกครองทุกพื้นที่ Re X-Ray ผู้ค้า-ผู้เสพ ทั้งพื้นที่ชั้นใน และพื้นที่ตามเเนวชายแดน เพื่อป้องกันสกัดกั้นการลำเลียงขนส่งยาเสพติด รวมถึงปฏิบัติการกวาดบ้านให้ตนเองก่อนลงพื้นที่ทำสงครามกับยาเสพติด ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และภาคีเครือข่ายได้มีการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างเข้มข้น ทั้งในด้านการลด Supply Side คือ การนำตัวผู้ค้ายาเสพติด เเละเครือข่าย มาดำเนินคดี ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมากที่ได้กรุณาแจ้งเบาะเเสมายังเจ้าหน้าที่ อีกส่วนหนึ่งคือ ด้าน Demand Side ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การนำผู้เสพยาเสพติด ทั้งรายเดิมเเละรายใหม่ เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา เเละฟื้นฟูสภาพทางสังคม เเละป้องกันผู้เสพรายใหม่เข้าสู่กระบวนการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญคัญของการลด Demand Side คือ การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อภัยยาเสพติด โดยต้องอาศัยความเข้มเเข็งของสถาบันครอบครัว ควบคู่การได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีจากสังคม และสถาบันการศึกษา รวมถึงการให้โอกาสผู้ที่ผ่านกระบวนการบำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม โดยกำลังกายเเละกำลังใจมีส่วนสำคัญ ต้องช่วยทำให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิต เพื่อร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมโดยรวม และเป็นการคืนคนดีสู่สังคม ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สำหรับวันนี้มีตัวอย่างผลการดำเนินงานในหลายพื้นที่ จะมาอธิบายให้ฟัง เริ่มต้นที่ 1.จังหวัดเชียงใหม่ พ.อ.ไพรัช ศรีไชวาล ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค 3 สั่งการให้ทาง พ.ท.สกลวรรณ์ พุ่มมรินทร์ รองผู้บังคับกองบังคับการควบคุมทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค 3 จัดกำลัง กองร้อย 3206 ออกลาดตระเวนแนวชายแดนและปะทะกับขบวนการขนยาเสพติดตรงชายแดนไทย-เมียนมา ตรงเขตรอยต่อระหว่างบ้านนามะอื้น-กิ่วลม ต.แม่อาย อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ โดยฝ่ายตรงข้ามเป็นชายฉกรรจ์คาดว่าเป็นชนเผ่า ประมาณ 7 คน และได้ยิงต่อสู้กับทหารเกิดการปะทะกันนานกว่า 5 นาที หลังเสียงปืนสงบเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจที่เกิดเหตุก็พบกระเป๋าเป้ตกอยู่จำนวน 7 ใบ ข้างในมีไอซ์ จำนวน 72 กิโลกรัม อาวุธปืนยาว จำนวน 1 กระบอก พร้อมลูกกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง ส่วนฝ่ายค้ายาเสพติดได้หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจยึดของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป และนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสุทธิ์ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ พร้อมด้วยปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง สมาชิก อส.กองร้อย อส.อ.เมืองเชียงใหม่ที่ 2 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดเชียงใหม่ ได้บูรณาการร่วมกับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดย นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ, นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ ร่วมกันตรวจร้านจำหน่ายพืชสมุนไพรควบคุมประเภทกัญชา ย่านถนนนิมมานเหมินทร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จำนวน 4 ร้าน ผลการตรวจสอบพบการกระทำความผิด ฐานไม่มีใบอนุญาตจำหน่ายกัญชาตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 จำนวน 3 ร้านได้แก่ ร้าน Weedbloom cnx ร้าน All good bar&cafe และ ร้าน Good vibes cannabis shop สำหรับอีก 1 ร้าน ได้แก่ ร้าน GreenHead พบว่าได้รับใบอนุญาตแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามที่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงได้ลงบันทึกแจ้งเตือนการตรวจสอบและให้ดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จจึงจะสามารถกลับมาประกอบกิจการได้ 2. จังหวัดแม่ฮ่องสอน เจ้าหน้าที่ทหาร บก.ควบคุมผาดง มว.ม.21 ร้อย ม.2 ฉก.ม.5 กองกำลังผาเมือง ที่ปฏิบัติหน้าที่ บริเวณ จุดตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้ทำการจับกุม นายโยธิน (สงวนนามสกุล) ชาว ต.สบปอง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน พร้อมรถยนต์กระบะติดคอกยี่ห้อ อีซูซุ สีเทาและดำ โดยพบว่าซุกซ่อนยาบ้าเอาไว้ในรถ นับได้จำนวน 296,000 เม็ด จึงได้นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและขยายผลต่อไป 3. จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.บึงสามพัน ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอบึงสามพัน ทำการวางแผนล่อซื้อยาบ้าจาก นางสาวธนัชพร อายุ 39 ปี ซึ่งทำงานเป็น เสมียน ของโรงโม่หินแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลซับสมอทอด โดยจากหลังผู้ต้องหาส่งมอบยาบ้าให้กับสายลับ ทางเจ้าหน้าที่ จึงแสดงตัวเข้าจับกุม ของกลางเป็นยาบ้าทั้งหมด 835 เม็ด และเงินสด จำนวน 4,500 บาท ซึ่งเจ้าตัวรับสารภาพว่าเป็นยาบ้าของตนจริง จึงแจ้งข้อหาจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 ยาบ้าโดยผิดกฎหมาย จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 4. จังหวัดมหาสารคาม นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม, นายนพสิทธิ์ อุดมสุวรรณกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม, นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัดจังหวัดมหาสารคาม มอบหมายให้นายวสุ ยางหงษ์ ป้องกันจังหวัดมหาสารคาม สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดมหาสารคาม นำโดย มว.อ. ภรัณยู มายูร ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดมหาสารคาม และสมาชิก อส.บก.อส.จังหวัดมหาสารคาม ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามยุทธการ "มหาสารคามเมืองปลอดภัยยาเสพติด" และสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมตัวพ่อค้ายาบ้ารายสำคัญซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอโกสุมพิสัย,บรบือและอำเภอเมืองมหาสารคามโดยมีผลดำเนินการนำผู้เสพเข้ารับการบำบัด 1 ราย และตรวจยึดยาบ้า จำนวน 1,948 เม็ด, รถจักรยานยนต์ 1 คัน ส่วนผู้ต้องหาอยู่ระหว่างหลบหนี โดยได้ทำบันทึกตรวจยึดพร้อมนำของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการออกหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 5. จังหวัดตาก นายเอกสิฏฐ์ วิไลศิลป์ นายอำเภอวังเจ้า บูรณาการร่วมกับ พ.ต.อ.วสันต์ ศิริกาญโกมล ผู้กำกับการสถานีตำรวจวังเจ้า ทหารกองกำลังนเรศวร ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่อำเภอวังเจ้า มอบหมาย นายหมวดเอกสมบูรณ์ พรมดำ ผู้ช่วย ผบ.ร้อยฯ จัดกำลังพลสมาชิก อส.อ.วังเจ้า ที่ 10 ร่วมกับ ทหารกองกำลังนเรศวร ชุดปฏิบัติการตำบลนาโบสถ์ ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายตามเบาะแสที่ได้รับแจ้ง ณ บ้านท่าทองแดง ม.7 ต.นาโบสถ์ สามารถจับกุมผู้ต้องหา 1 คน พบของกลางยาบ้า จำนวน 10 เม็ด อาวุธปืน 3 กระบอก (1 ลูกซอง,2 ลูกกรดไทยประดิษฐ์, 3 ปืนแก็ป) พร้อมเครื่องกระสุน เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.วังเจ้า เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป "การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะช่วยเพิ่มความเเข็งเเรงให้กับคนในชุมชนไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้กระทำความผิดอาจเเฝงตัวขนส่งหรือลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ เเละเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังคงต้องเฝ้าระวังการกระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งพี่น้องประชาชนถือเป็นกองกำลังสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยหากพบเบาะเเสยาเสพติด หรือพบการกระทำความผิดต่าง ๆ สามารถเเจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือสามารถโทรศัพท์ ที่สายด่วน ศูนย์ดำรงธรรม 1567 หรือสายด่วน 191 ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เร่งเข้าให้ความช่วยเหลือ หรือเร่งดำเนินการตามข้อร้องเรียนต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถเเจ้งความประสงค์ในการส่งผู้ป่วยยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาได้อีกด้วย เพื่อเป็นการช่วยเหลือสังคมโดยการคืนคนดีสู่สังคม ให้โอกาสคนที่หลงผิดได้ฟื้นฟูตัวเองเเละกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ ท้ายนี้ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน กระทรวงมหาดไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนอย่างดีต่อไป" ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวทิ้งท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดตัวบริการ SMS แจ้งยอดและใบเสร็จรับเงินสำหรับลูกค้าเงินฝากสงเคราะห์
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 ธ.ก.ส. เปิดตัวบริการ SMS แจ้งยอดและใบเสร็จรับเงินสำหรับลูกค้าเงินฝากสงเคราะห์ ธ.ก.ส. เปิดตัวบริการ SMS แจ้งยอดชำระและใบเสร็จรับเงินเต็มรูปแบบให้กับลูกค้าเงินฝากสงเคราะห์ ทั้ง ธกส มอบรัก 1/1 ธกส รักคุณ ธกส เพิ่มรัก 2 และ ธกส ทวีรัก 99 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัวบริการ SMS แจ้งยอดชำระและใบเสร็จรับเงินเต็มรูปแบบให้กับลูกค้าเงินฝากสงเคราะห์ ทั้ง ธกส มอบรัก 1/1 ธกส รักคุณ ธกส เพิ่มรัก 2 และ ธกส ทวีรัก 99 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยธนาคารจะส่งใบแจ้งยอดการส่งเงินฝากสงเคราะห์ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระ 7 วัน ให้กับลูกค้าตามหมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ในระบบเงินฝากสงเคราะห์ชีวิต (BAACLife) และหลังจากได้รับการส่งชำระ ธนาคารจะทำการส่งลิงก์ใบเสร็จรับเงินผ่านทางข้อความ (SMS) ภายใน 3 วัน นับจากวันที่ธนาคารได้รับเงินฝากสงเคราะห์ต่ออายุเรียบร้อยแล้ว และหนังสือการส่งชำระเงินฝากสงเคราะห์เต็มรูปแบบ (PDF File) จะจัดส่งพร้อมลิงก์ดาวน์โหลด จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 15, 31 มกราคม และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยพร้อมให้บริการแล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63097
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่ง ทร. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ร.ล.สุโขทัย อับปาง ย้ำค้นหาช่วยเหลือถึงที่สุดจนกว่าจะครบ พร้อมดูแลเยียวยาทุกครอบครัว
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่ง ทร. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ร.ล.สุโขทัย อับปาง ย้ำค้นหาช่วยเหลือถึงที่สุดจนกว่าจะครบ พร้อมดูแลเยียวยาทุกครอบครัว นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่ง ทร. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ร.ล.สุโขทัย อับปาง ย้ำค้นหาช่วยเหลือถึงที่สุดจนกว่าจะครบ พร้อมดูแลเยียวยาทุกครอบครัว นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่ง ทร. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ร.ล.สุโขทัย อับปาง ย้ำค้นหาช่วยเหลือถึงที่สุดจนกว่าจะครบ พร้อมดูแลเยียวยาทุกครอบครัว วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) พลเอกคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ระหว่างการค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจาก ร.ล.สุโขทัย อับปาง นรม. และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ ทร. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณี ร.ล.สุโขทัย ประสบเหตุอับปางลง เพื่อหาข้อเท็จจริงสาเหตุของการอับปาง และตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการภายหลังเรือประสบเหตุอับปาง จนเป็นเหตุให้มีผู้ประสบภัย เพื่อจัดทำบทเรียนในการป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหาย มิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันอีก พลเอก ประยุทธ์ ได้ย้ำขอให้ ทร. ยังคงดำรงความมุ่งมั่นระดมค้นหา และช่วยเหลือกำลังพลอีก 11 นาย ที่ยังสูญหายให้ถึงที่สุดจนกว่าจะครบทั้งหมด โดย นรม. และรมว.กห. ยังได้ให้กำลังใจและแสดงความห่วงใยครอบครัวกำลังพลที่สูญเสียและยังสูญหาย โดยกำชับให้ ทร. เข้าไปช่วยเหลือดูแลและเยียวยาทุกครอบครัวที่ประสบภัยอย่างใกล้ชิด และให้จัดพิธีทางศาสนาแก่กำลังพลทุกนายที่เสียชีวิตอย่างสมเกียรติ พร้อมขอเป็นกำลังใจให้กับกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ยังคงร่วมกันทำงานกู้ภัยและค้นหาผู้สูญหายที่ยังคงเหลือ โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์เรืออับปางครั้งนี้ ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ที่สะเทือนใจกำลังพลทุกเหล่าทัพและสังคมอย่างมาก ซึ่งมีความละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะกับครอบครัวผู้สูญเสียและยังสูญหาย ซึ่ง กห. และ ทร. จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการติดตามช่วยเหลือผู้ที่ยังสูญหาย ขณะเดียวกัน กห. ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทั้งก่อนและระหว่างเรืออับปาง โดยจะเร่งทำความจริงให้ปรากฎด้วยความโปร่งใส พร้อมทั้งขอขอบคุณประชาชนทุกคน ที่เป็นกำลังใจให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยทุกคน โดยเชื่อว่าเราจะผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” สำรองเงินสดรองรับการใช้จ่ายเทศกาลปีใหม่ 2566 จำนวน 46,923 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 “กรุงไทย” สำรองเงินสดรองรับการใช้จ่ายเทศกาลปีใหม่ 2566 จำนวน 46,923 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทยรองรับการใช้จ่ายของลูกค้าและประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2566 ธนาคารได้สำรองเงินสดทั้งที่สาขา ตู้ ATM จำนวน 46,923 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า เพื่อรองรับการใช้จ่ายของลูกค้าและประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2566 ธนาคารได้สำรองเงินสดทั้งที่สาขา ตู้ ATM จำนวน 46,923 ล้านบาท แบ่งเป็นกทม. จำนวน 6,860 ล้านบาท และภูมิภาค จำนวน 40,063 ล้านบาท เป็นการสำรองในสาขา จำนวน 8,895 ล้านบาท และบรรจุตู้ ATM จำนวน 38,028 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวกในการใช้บริการ ลดความเสี่ยงการเดินทาง และความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลูกค้าและประชาชน สามารถทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ที่แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และเป๋าตังเปย์ บนแอปฯ เป๋าตัง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center 02-111-1111
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขานรับนโยบายรัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ 2566 เปิดใช้มอเตอร์เวย์ M7 และ M9 ฟรี ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขานรับนโยบายรัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ 2566 เปิดใช้มอเตอร์เวย์ M7 และ M9 ฟรี ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 เพื่อลดค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้ทุกหน่วยงานพิจารณามอบของขวัญปีใหม่เพื่อมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชนภายหลังจากผ่านวิกฤต COVID-19 มาด้วยกัน กระทรวงคมนาคม โดยกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กรมทางหลวง ได้ออกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2565 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตราแห่งพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2534 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ลงนาม โดยให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 25 ธันวาคม 2565 ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2566 ดังต่อไปนี้ 1. ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง ตอน กรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ทางแยกเข้าพัทยา และตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (บ้านอำเภอ) ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง พ.ศ. 2564 2. ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ดังต่อไปนี้ - ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอน พระประแดง - บางแค ช่วงพระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง - บางแค ช่วงพระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน พ.ศ. 2555 - ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอน บางปะอิน - บางพลี ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน - บางพลี พ.ศ. 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมห่วงใยการเดินทางของประชาชน เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมากเป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่เข้า - ออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในช่วงนี้จะช่วยสนับสนุนให้การเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การจราจรมีความคล่องตัว ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศและลดมลพิษทางอากาศ PM 2.5 อีกด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือบทบาทการเกื้อหนุนวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน เน้นย้ำ “ประเทศไทยของพวกเราทุกคนจะพัฒนาได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทุกคนต้องมีสัจจะ
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือบทบาทการเกื้อหนุนวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน เน้นย้ำ “ประเทศไทยของพวกเราทุกคนจะพัฒนาได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทุกคนต้องมีสัจจะ ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือบทบาทการเกื้อหนุนวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน เน้นย้ำ “ประเทศไทยของพวกเราทุกคนจะพัฒนาได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทุกคนต้องมีสัจจะในการทำความดี” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 เวลา 10.00 น. ที่วัดโพธิ์ทอง ต.แสลง อ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือบทบาทการเกื้อหนุนวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืนและจังหวัดบูรณาการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และร่วมมอบทุนผู้สูงอายุ-ทุนการศึกษา-ผู้พิการ-ผู้ด้อยโอกาสให้แก่ตัวแทนกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จำนวน 217 กลุ่ม โดยได้รับเมตตาจากพระเทพสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดระยอง พระราชธรรมเมธี ดร. เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี พระศรีพัชโรดม เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ พระบุรเขตธรรมคณี เจ้าคณะจังหวัดตราด พระพิพัฒน์วชิโรภาส ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พระโสภณพัฒนคุณ เจ้าคณะอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี พระครูศรีมงคลปริยัติกิจ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสันติ รังษิรุจิ นายธวัชชัย นามสมุทร นายวิสุทธิ์ ประกอบความดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดจันทบุรี นายยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ในพื้นที่จำนวนกว่า 2,000 คน ร่วมรับฟัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของพี่น้องสมาชิกกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี และพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่มีพระเถรานุเถระ คือ พระอาจารย์สุบิน ปณีโต วัดไผ่ล้อม และพระครูสุวรรณโพธิวรธรรม หรือพระอาจารย์มนัส ขนฺติธมฺโม เจ้าคณะตำบลตลาด จ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง ผู้เป็นหลักชัยเป็นที่พึ่งในการน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่อง “การพึ่งพาตนเอง” ด้วยการก่อตั้งและขับเคลื่อนกองทุนสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี อันเป็นกองทุนที่ส่งเสริมให้เกิดการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในหมู่เพื่อนฝูง ทำให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแลกันและกัน ซึ่งคนโดยทั่วไปต่างสรรเสริญยกย่องชมเชยว่า “เป็นกองทุนต้นแบบ” ที่สมาชิกเอากระบอกไม้ไผ่มาหยอดเงินเก็บออมทรัพย์ แล้วเอาเงินมาลงขันกองทุนหมุนเวียน ให้เกิดประโยชน์กับหมู่มวลสมาชิก ซึ่งโดยส่วนตัวนับว่าเป็นเกียรติและดีใจยิ่งที่ได้มีโอกาสมากราบนมัสการพระอาจารย์มนัส พระเถรานุเถระทุกรูป และพบปะกับพี่น้องกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรีในวันนี้ “พระอาจารย์สุบิน ปณีโต เป็นพระเถระรูปแรก ๆ ที่ทำให้เกิดกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ขึ้น และพระอาจารย์มนัสก็มาช่วยเสริมทำให้กองทุนมีความแข็งแรง มีการพัฒนาต่อยอดให้เกิดสรรพประโยชน์กับลูกศิษย์ลูกหาผู้เป็นสมาชิกกองทุน ซึ่งเป็นสัจธรรมว่าคลื่นลูกหลังก็ต้องแรงกว่าคลื่นลูกแรก แต่เป็นคลื่นแห่งการพัฒนาต่อยอดสิ่งที่ผู้ริเริ่ม ผู้ก่อตั้งได้ทำได้ปฏิบัติไว้เป็นแบบ ไว้เป็นตัวอย่าง เฉกเช่นในชีวิตของทุกครอบครัวที่มุ่งเลี้ยงดูจุนเจือส่งเสริมลูกหลานให้มีคุณภาพชีวิต มีงาน มีอาชีพที่มั่นคงและดีกว่าบรรพบุรุษเพิ่มมากขึ้น โดยเรื่องแรกที่สำคัญของสมาชิกกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ คือ ต้องดูแลคนในครอบครัวให้ดี อย่างน้อยที่สุดต้องเหมือนพวกเราทุกคน คือ “ต้องมีสัจจะ” มีวินัย มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบในการที่จะทำให้เกิด “สัจจะสะสมทรัพย์” เพื่อยังผลทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งในปัจจุบันพี่น้องสมาชิกกลุ่มสัจจะออมทรัพย์จังหวัดจันทบุรีได้ร่วมกันขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลดีอยู่แล้ว ขอให้ขับเคลื่อนต่อไป และต้องอย่าลืมรำลึกนึกถึงแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงสอนพวกเราให้พึ่งพาตนเอง สอนให้เราเป็นคนมีเหตุมีผล มีความพอประมาณ และที่สำคัญที่สุด มีความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ มีความรู้คู่คุณธรรม รู้จักพอประมาณ มีเหตุมีผล รู้จักพึ่งพาตนเอง ในการนำเงินทุนที่เราต้องหยิบยืมไปทำมาหากินและเมื่อมีรายได้ก็นำเงินมาส่งคืนเพื่อให้เพื่อนสมาชิกคนอื่นซึ่งก็คือพี่น้องญาติมิตรในหมู่บ้าน/ชุมชนของพวกเราได้นำไปใช้ประโยชน์ลงทุนประกอบอาชีพในชุมชนหมุนเวียนกันต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า ที่พวกเราทุกคนได้มาเจอะเจอกันในวันนี้ไม่ใช่แค่มีวาสนาร่วมกัน แต่เรามีความหวังดีของคณะสงฆ์เป็นจุดเริ่มต้นจากความเมตตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ให้กระทรวงมหาดไทยและสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้มีโอกาสดีของชีวิตในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมฟื้นฟูภูมิปัญญาในเรื่องการหาเลี้ยงชีพของประชาชนคนไทย สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประยุกต์สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนากสิกรรมธรรมชาติสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบโคก หนอง นา โมเดล เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น อันเป็นการสนองพระบรมราชปณิธานในการสืบสาน รักษา ต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันถือเป็นพันธะสัญญาว่ากระทรวงมหาดไทยจะ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ตามหลัก “บวร” คือ บ้าน วัด ราชการ ร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย โดยมีเสาหลักสำคัญ คือ สถาบันศาสนา มาช่วยฝ่ายบ้านเมืองให้ได้มาพบกับสถาบันที่สำคัญที่สุด ที่ชาติของเราจะขาดไม่ได้ คือ “พี่น้องประชาชน” ให้มีแนวทางในการทำให้ครอบครัวสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์วชิโรภาส เจ้าอาวาสวัดวังอ้อ เจ้าคณะตำบลหัวดอน ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ อำเภอเขื่องใน ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในการนำเอาพื้นที่พุทธอุทยาน และศูนย์เรียนรู้ น้อมนำเอาทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา หรือ “พุทธเกษตร” ร่วมกับอาจารย์ธีระ วงษ์เจริญ ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ และ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อ.ยักษ์ โดยมี ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล และ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อทำให้เกิดแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน ทำให้เราพ้นจากความเป็นหนี้ พ้นจากความไม่มั่นคงในเรื่องคุณภาพชีวิต ด้วยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา รวมทั้งแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” มีรักเพราะคนในครอบครัวช่วยกัน พ่อแม่ก็ช่วยกัน รักกัน โดยมีกิจกรรม คือ ปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกข่า ตะไคร้ มะเขือยาว พริก มะเขือเปราะ มะนาว มะกรูด ชอบผักชนิดไหนก็ปลูกชนิดนั้น โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ สร้าง “ทีมจิตอาสา” จากทั้ง 7 ทีมภาคีเครือข่าย ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนามีพระสงฆ์องค์เจ้า นักบวชโบสถ์คริสต์ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด ภาควิชาการมีครูบาอาจารย์ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชน ขับเคลื่อนขยายผลไปยังพี่น้องประชาชนเพื่อช่วยเหลือแก้ไขสภาพปัญหาของชีวิตประจำวัน ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน “นอกจากนี้ กลไกมหาดไทยทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านนายอำเภอ จะได้ร่วมกันในการสนองพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระผู้ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการสืบสานงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดังพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้ว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ช่วยกันทำให้ทุกครอบครัวลุกขึ้นมาทำให้ประชาชนทุกคน ทำให้ทุกครัวเรือน มีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน อันจะส่งผลให้ชุมชน/หมู่บ้านมีความยั่งยืน หรือที่เรียกว่า “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” สอดคล้องกันกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อที่กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ลงนามกับผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย "76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา" เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของจังหวัด นายอำเภอเป็นนายกรัฐมนตรีของอำเภอ ลงเข้าไปหาพื้นที่ คัดเลือกหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาน้อยที่สุดในพื้นที่ ทั้ง 878 อำเภอ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้สะท้อนสภาพปัญหาและชีวิตความเป็นอยู่ และช่วยกันนำเสนอแนวทางแก้ไขแล้วหาข้อสรุปและลงมือทำด้วยกัน ครอบคลุมในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการขับเคลื่อนโครงการ “อำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้เกิดความยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำในช่วงท้ายว่า ประเทศไทยของพวกเราทุกคนจะพัฒนาได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทุกคนต้องช่วยกันมีสัจจะในการทำความดี เหมือนกับที่เราเป็นสมาชิกกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ และทำให้กลุ่มสามารถขับเคลื่อนเกิดมรรคผลในทุกวันนี้ ซึ่งการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่ต้องมีเป้าหมายว่า “วันหนึ่งฉันจะเลิกเป็นหนี้” ด้วยการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ดินของตนเองมีพื้นที่ว่าง ก็ปลูกผัก เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ รายจ่ายอะไรไม่จำเป็นก็เลิกจ่าย จ่ายเฉพาะที่จำเป็น ใช้ชีวิตที่มีเหตุและผล ดูแลลูกหลานให้มีเหตุและผล สร้างสมาชิก สร้างสังคมที่มีคุณธรรม ดูแลช่วยเหลือกัน ให้มีสัจจะ มีวินัย มีความรับผิดชอบ ด้วยพลังแห่งการมีจิตอาสาของทุกท่าน แล้วครอบครัว ชุมชน และสังคม ก็จะพบเจอแต่คุณภาพชีวิตที่ดีมีแต่ “ความสุขที่ยั่งยืน” #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63103
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับ สตช. มหาดไทย ตรวจเข้มเมาไม่ขับ พร้อมให้การสนับสนุนแผนงานบอร์ดนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติตรวจสอบร้านค้า สถานบันเทิงเปิดบริการตามข้อกำหนด ขายแอลกอฮอล์ตามเวลา
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 นายกรัฐมนตรีกำชับ สตช. มหาดไทย ตรวจเข้มเมาไม่ขับ พร้อมให้การสนับสนุนแผนงานบอร์ดนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติตรวจสอบร้านค้า สถานบันเทิงเปิดบริการตามข้อกำหนด ขายแอลกอฮอล์ตามเวลา นายกรัฐมนตรีกำชับ สตช. มหาดไทย ตรวจเข้มเมาไม่ขับ พร้อมให้การสนับสนุนแผนงานบอร์ดนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติตรวจสอบร้านค้า สถานบันเทิงเปิดบริการตามข้อกำหนด ขายแอลกอฮอล์ตามเวลา หากพบฝ่าฝืนกฎหมายต้องลงโทษเด็ดขาด ย้ำต้องลดอุบัติเหตุ วันที่ 26 ธันวาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่ 2566 ที่กำลังจะมาถึง คาดว่าประชาชนจะมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาและออกท่องเที่ยวจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีภารกิจตั้งด่านตรวจตราในเส้นทางสายหลัก และในชุมชนทั่วประเทศในช่วงเทศกาล ให้คงความเข้มงวดในการตรวจผู้ขับขี่รถยนต์ ต้องเมาไม่ขับ ปฏิบัติตามกฎจราจร หากพบการฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการลงโทษเด็ดขาด ไม่มีละเว้น “สถานการณ์โควิด19 ที่คลี่คลายทำให้หน่วยงานต่างๆ ประเมินสอดคล้องกันว่าปีใหม่ที่จะถึงนี้จะมีการเดินทางสัญจรจำนวนมาก ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน จึงกำชับเจ้าหน้าที่ให้มีการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เพื่อลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเส้นทางสายหลักและในชุมชน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นร่วมสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2566 โดยร่วมดูแลตรวจตราให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ และประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ไม่ขายแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่มีการส่งเสริมการขาย ลดแลกแจกแถม และขายแอลกอฮอล์ในเวลาที่กำหนด 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. รวมถึงเปิด-ปิดสถานบันเทิงตามเวลา สนับสนุนการเพิ่มศักยภาพด่านชุมชน คัดกรองผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีอาการมึนเมาทุกราย ทั้งผู้ขับขี่รถยนต์ จักรยานยนต์ ในกรณีเกิดเหตุมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจทุกราย บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด และหลังเทศกาลปีใหม่ เร่งคัดกรองส่งต่อผู้กระทำผิดฐานเมาแล้วขับ ที่ถูกศาลสั่งคุมประพฤติ ให้เข้ารับการบำบัดรักษาโดยเร็ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีจะมีอุบัติเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนนจำนวนมาก โดยข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ระบุถึงอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 64 - 4 ม.ค. 65 รวม 7 วัน เกิดอุบัติเหตุ 2,707 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 333 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,672 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่สูงถึงร้อยละ 29.51 ขณะที่สำนักงานศาลยุติธรรม ระบุถึงสถิติคดีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่เข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ในช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2565 (7 วันอันตราย) พบว่ามีคดีเมาแล้วขับสูงถึง 1.5 หมื่นคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ขอเชิญชมนิทรรศการ “CHALOOD” ค้นหา ความจริง – ความงาม – ความรัก ผ่านมรดศิลป์ของ ศ.ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) กว่า 500 ชิ้น
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 วธ.ขอเชิญชมนิทรรศการ “CHALOOD” ค้นหา ความจริง – ความงาม – ความรัก ผ่านมรดศิลป์ของ ศ.ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) กว่า 500 ชิ้น วธ.ขอเชิญชมนิทรรศการ “CHALOOD” ค้นหา ความจริง – ความงาม – ความรัก ผ่านมรดศิลป์ของ ศ.ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) กว่า 500 ชิ้น ณ หอธรรมพระบารมี จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่าง 24 ธันวาคม 65 – 4 มิถุนายน 66 วธ.ขอเชิญชมนิทรรศการ “CHALOOD” ค้นหา ความจริง – ความงาม – ความรักผ่านมรดศิลป์ของ ศ.ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) กว่า 500 ชิ้นณ หอธรรมพระบารมี จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่าง 24 ธันวาคม 65 – 4 มิถุนายน 66 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิหอธรรมพระบารมี จัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ “CHALOOD” ความจริง ความงาม ความรัก ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2565 – 4 มิถุนายน 2566 ณ หอธรรมพระบารมี จังหวัดฉะเชิงเทรา เผยแพร่มรดกศิลป์อันทรงคุณค่าของ ศาสตราจารย์ ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พุทธศักราช ๒๕๔๑ ศิลปินผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นไทย ที่มีคุณูปการต่อวงการการศึกษาศิลปะของไทยในปัจจุบัน เป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปิน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้สร้างสรรค์งานศิลป์ไว้เป็นมรดกแก่แผ่นดินต่อไป พิธีเปิดงานนิทรรศการศิลปะแห่งศตวรรษ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2565 ได้รับเกียรติจาก นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารวธ. ศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ ศ.เดชา วราชุน นายศราวุธ ดวงจำปา นายสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ นายปริญญา ตันติสุข และเครือข่ายทางวัฒนธรรมในพื้นที่ร่วมงาน ณ หอธรรมพระบารมี จังหวัดฉะเชิงเทรา ในงานมีสาธิตการสร้างผลงานศิลปะเทคนิคต่าง ๆ การแสดง Contemporary Performance Art ชุด ความจริง ความงาม ความรัก” จาก Bangkok Variety Dance และนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของ ศาสตรจารย์ ชะลูด ที่ได้สร้างสรรค์ไว้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า นิทรรศการ “Chalood” ความจริง • ความงาม • ความรัก จัดขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ผลงานของ ศาสตราจารย์ ชะลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พุทธศักราช 2541 ซึ่งท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2558 ในวัย 86 ปี ศาสตราจารย์ ชลูด เป็นศิลปินผู้มีความเชี่ยวชาญ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่หลากหลาย เป็นศิษย์รุ่นแรกของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมแนวใหม่ ที่ผสมผสานระหว่างจิตรกรรมไทยประเพณีกับจิตรกรรมสมัยใหม่ โดยนำเทคนิคการปิดทองคำเปลวลงบนจิตรกรรมแบบไทยประเพณีมาใช้ในงานสมัยใหม่ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน จึงนับได้ว่าผลงานของท่านมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวงการศิลปะของไทย “นิทรรศการในครั้งนี้ ได้รวบรวมจัดแสดงผลงานศิลปะที่ทรงคุณค่าของ อ.ชลูด กว่า 500 ชิ้น อันจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้การสร้างสรรค์งานศิลปะแก่เด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ศิลปิน และประชาชนทั่วไปที่รักศิลปะได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ และสนับสนุนกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้จากผลงานของศิลปินแห่งชาติ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางศิลปะของจังหวัดและประเทศ ด้วยตระหนักถึงความสำคัญในการสืบสาน และอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรม ที่ศิลปินแห่งชาติได้สร้างสรรค์ไว้ ให้คงอยู่” นายอิทธิพล กล่าว ศาสตราจารย์ ชลูด นิ่มเสมอ เป็นศิลปินผู้มีความสามารถสูง ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ เป็นอาจารย์สอน จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ทัศนียวิทยา ทฤษฎีสี ฯลฯ เคยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ นอกจากงานสอน งานบริหารแล้ว ท่านยังได้สร้างสรรค์งานศิลปะด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และสื่อผสม ที่มีคุณค่าทางศิลปะไว้เป็นจำนวนมากจนได้รับรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงินและเหรียญทองแดง ทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 13 รางวัล ถือเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะช่วงรอยต่อระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ของวงการศิลปะสมัยใหม่ของไทย ผลงานยุคแรก ๆ ของศาสตราจารย์ ชลูด เป็นผลงานด้านจิตรกรรมที่นำเรื่องราวของคนชนบทมาเป็นเนื้อหาในการแสดงออกถึงความสัมพันธ์และความเอื้ออาทรต่อกัน เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมของคนไทยในรูปของงานศิลปะในชุดชาวนาไทย, สงกรานต์, ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ ระยะต่อมาศาสตราจารย์ชะลูด ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ เช่น “เงินพดด้วง” หน้าอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทย “โลกุตระ” หน้าอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฯลฯ ประติมากรรมดังกล่าวเป็นที่ยกย่องในความคิดและปรัชญาจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ศาสตราจารย์ ชลูด ได้สร้างคุณูปการทางศิลปะแก่แผ่นดินไว้เป็นจำนวนมาก เป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางวิชาการศิลปะให้แก่ประเทศไทย ท่านเป็นอาจารย์และคณบดีคณะจิตรกรรม ที่สร้างศิลปินรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไป ผู้รักงานศิลป์ สามารถเข้าชมนิทรรศการได้แล้ว ณ หอธรรมพระบารมี เลขที่ 99 หมู่ที่ 2 ต.บางกรูด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 082 203 1899 ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2565 - 4 มิถุนายน 2566 และติดตามข่าวสารทางวัฒนธรรม ได้ทางwww.culture.go.thหรือ เฟซบุ๊กกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ Line @ วัฒนธรรม --------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt encourages people under “608” group to have booster dose of COVID-19 vaccine before New Year Holiday
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 Govt encourages people under “608” group to have booster dose of COVID-19 vaccine before New Year Holiday ​Govt encourages people under “608” group to have booster dose of COVID-19 vaccine before New Year Holiday December 25, 2022, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the Government expects a large number of people to head home during the New Year Holiday while the COVID-19 situation continues to cause an increase in the number of newly-infected cases. In order to prevent and reduce the risk of infection, and to ensure family and friends of their safety, the people, especially those under the 608 group, who last received a dose of COVID-19 vaccine over 4 months ago, are urged to get a booster dose before traveling back home during the long holiday at a nearby public hospital. The high-risked 608 group, comprising people aged 60 and older, those with 7 underlying conditions and pregnant women, are strongly encouraged to receive a booster dose of vaccine to mitigate severity, if infected. Vaccination will reduce severity and death by almost 100%, especially among the elderly people who plan to celebrate New Year with their younger ones. According to the data collected by Ministry of Public Health, recent COVID-19 fatalities are mostly people under the 608 group (95%) who either never received vaccination or not receiving a booster dose for more than 3 months. Children aged 6 months – 4 years who have never received vaccination are also advised to get vaccinated. The Deputy Government Spokesperson called on the public to celebrate New Year wisely, and be most aware when having physical contact with the people under the 608 group. They are also urged to continue observing COVID-19 etiquette, especially wearing mask when going out in a large crowd.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาปรับค่าเป้าหมายอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี ไม่เกิน 15 ต่อพันประชากร ในปี 2570
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 คกก.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาปรับค่าเป้าหมายอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี ไม่เกิน 15 ต่อพันประชากร ในปี 2570 คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับค่าเป้าหมายอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี เป็นไม่เกิน 15 ต่อพันประชากร ในปี 2570 หลังพบอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ลดลงต่อเนื่องเหลือร้อยละ 24.4 ต่อพันประชากร คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับค่าเป้าหมายอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี เป็นไม่เกิน 15 ต่อพันประชากร ในปี 2570 หลังพบอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ลดลงต่อเนื่องเหลือร้อยละ 24.4 ต่อพันประชากร ส่วนอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 10 - 14 ปี ให้คงค่าเป้าหมายเดิม ไม่เกิน 0.5 ต่อพันประชากร ในปี 2570 และเสนอแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ ฉบับทบทวน พ.ศ. 2565 วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นครั้งที่ 2/2565 โดยมี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วย ผู้แทนกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมุนษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมประชุม นายอนุทินกล่าวว่า ผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยในปี 2564 อัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 10-14 ปี อยู่ในระดับคงที่ ร้อยละ 0.9 ต่อพันประชากรอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เหลือร้อยละ 24.4 ต่อพันประชากร ส่วนอัตราการคลอดซ้ำในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน เหลือร้อยละ 7.7 ขณะที่การคุมกำเนิดด้วยวิธีสมัยใหม่ ในหญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อัตราการคลอดในวัยรุ่นที่ลดลงเป็นไปตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ในระยะ 5 ปีแรก ซึ่งตามมติที่ประชุมครั้งที่ 2/2564 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบให้ปรับค่าเป้าหมายของยุทธศาสตร์ฯ ในระยะ 5 ปีหลังให้เหมาะสมสอดคล้องกับการดำเนินงานและสถานการณ์ในปัจจุบันจึงกำหนดค่าเป้าหมายใหม่ในการลดอัตราคลอดในวัยรุ่น ช่วง พ.ศ. 2566-2570 โดยอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี จากเดิมไม่เกิน 25 ต่อพันประชากร ภายในปี 2569 ลดลงเป็น ไม่เกิน 15 ต่อพันประชากร ภายในปี 2570 และให้คงค่าเป้าหมายอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 10 - 14 ปี ตามเดิมคือ ไม่เกิน 0.5 ต่อพันประชากรภายในปี 2570 เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและอนุมัติต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560 – 2570 (ฉบับทบทวน พ.ศ. 2565) ภายใต้วิสัยทัศน์ “วัยรุ่นมีความรู้ด้านเพศวิถีศึกษา มีทักษะชีวิตที่ดีสามารถเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เป็นมิตรเป็นส่วนตัว รักษาความลับ และได้รับสวัสดิการสังคมอย่างเสมอภาค พร้อมกำหนดพันธกิจ และประเด็นการพัฒนายุทธศาสตร์ 5 ประเด็น คือ 1) การพัฒนาระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเพศวิถีศึกษา และทักษะชีวิตที่มีคุณภาพและมีระบบการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสม 2) การส่งเสริมบทบาทครอบครัว ชุมชน และสถานประกอบกิจการในการสื่อสารด้านสุขภาวะทางเพศของวัยรุ่น การเลี้ยงดูบุตรหลาน และการสร้างสัมพันธภาพ 3) การพัฒนาระบบบริการสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ที่มีคุณภาพและเป็นมิตร 4) การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือ การคุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ และการจัดสวัสดิการสังคมในกลุ่มวัยรุ่น และ 5) การบูรณาการฐานข้อมูล การวิจัย การจัดการความรู้ และนวัตกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยมอบหมายให้กระทรวงที่เป็นเจ้าภาพยุทธศาสตร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนร่างเนื้อหา และส่งกลับมายังฝ่ายเลขานุการ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ****************************** 26 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63119
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 และประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังยกระดับการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดำรงธรรม
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 มท.1 และประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังยกระดับการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดำรงธรรม มท.1 และประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังยกระดับการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดำรงธรรม วันนี้ (26 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับคู่มือการรับ-ส่งเรื่องร้องเรียน โดย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พันตำรวจโท กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้ลงนาม โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจตรี ธารา ปุณศรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายปรีชา เดชพันธุ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ร่วมในพิธี และเป็นการถ่ายทอดสดผ่านระบบการประชุมทางไกลไปยังศาลากลางจังหวัด 76 จังหวัด และที่ว่าการอำเภอ 878 อำเภอ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ได้บัญญัติถึงหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการขจัดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนและเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เป็นที่ปรากฏ มุ่งมั่นในการขจัดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับสังคมตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ โดยจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยศูนย์ดำรงธรรม จึงเป็นที่มาของการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับคู่มือการรับส่งเรื่องร้องเรียน ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมุ่งหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะเป็นการสร้างความร่วมมือของเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน เพื่อขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน โดยการประสานส่งต่อและเชื่อมโยงข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินกับศูนย์ดำรงธรรมโดยมีแพลตฟอร์มกลางในการดำเนินงาน อันจะยังประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติ “ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ซึ่งความร่วมมือในวันนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ได้มีการร่วมมือกันระหว่างสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและกระทรวงมหาดไทย ในการที่จะดูแลแก้ไขความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังคำขวัญของกระทรวงมหาดไทยที่สะท้อนถึงภารกิจของข้าราชการฝ่ายปกครองที่เป็นที่ทราบกันดี คือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” โดยทุกข์ที่สำคัญของพี่น้องประชาชนประการหนึ่ง คือ ความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยต้องขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครองในช่วงที่ผ่านมาที่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขความเดือดร้อนความไม่เป็นธรรมของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ภายใต้การนำของท่านพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เน้นย้ำนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนางานของศูนย์ดำรงธรรมอำเภอและศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดในฐานะที่จะเป็นหน่วยแรกที่เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นรูปธรรม นับถึงวันนี้ “ศูนย์ดำรงธรรม” คือ หน่วยงานแรกที่พี่น้องประชาชนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชนจะไปขอความช่วยเหลือ โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินขออาสามาเติมเต็ม มาช่วยสนับสนุนงานกระทรวงมหาดไทยเพื่ออุดช่องว่างและแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง เพื่อให้การดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรมเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน” ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านนายอำเภอทั่วประเทศ ที่ได้เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของพี่น้องประชาชนที่ได้ร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชน โดยมีศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ เป็นหน่วยงานที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ให้บริการประชาชนทั้ง 7 มิติ ทั้งการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ บริการ One Stop Service งานบริการส่งต่อ การบริการข้อมูลข่าวสาร การรับข้อเสนอแนะและให้คำปรึกษา การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน สามารถแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนแล้วเสร็จกว่า 74 ล้านเรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.91 อย่างไรก็ตามในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาเรื่องร้องเรียนที่ซับซ้อนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น ศูนย์ดำรงธรรมและสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีภารกิจหลักในการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ จึงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการแนะนำประชาชนหรือส่งต่อเรื่องร้องเรียนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อดำเนินการต่อโดยมีความมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ครอบคลุมทุกพื้นที่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าโครงการโคบาลจังหวัดชายแดนใต้ “เฉลิมชัย” ไฟเขียวเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1.5 พันล้านบาท หนุนผลิตเนื้อวัวเกรดดีสู่ตลาดฮาลาล เกษตรกรกู้ปลอดดอกเบี้ย 7 ปี
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 รัฐบาลเดินหน้าโครงการโคบาลจังหวัดชายแดนใต้ “เฉลิมชัย” ไฟเขียวเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1.5 พันล้านบาท หนุนผลิตเนื้อวัวเกรดดีสู่ตลาดฮาลาล เกษตรกรกู้ปลอดดอกเบี้ย 7 ปี รัฐบาลเดินหน้าโครงการโคบาลจังหวัดชายแดนใต้ “เฉลิมชัย” ไฟเขียวเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1.5 พันล้านบาท หนุนผลิตเนื้อวัวเกรดดีสู่ตลาดฮาลาล เกษตรกรกู้ปลอดดอกเบี้ย 7 ปี วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ได้เห็นชอบ “โครงการโคบาลชายแดนใต้” ภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะ 7 ปี (พ.ศ. 2565 – 2571) โดยให้ใช้งบประมาณทั้งหมดจากการกู้ยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน 1.5 พันล้านบาท ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ทำหน้าที่เป็นหน่วยดำเนินการยืมเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว นำไปสู่การพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล) ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงโคของเกษตรกรสู่มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ GFM/GAP เพิ่มปริมาณโคในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรับปรุงสายพันธุ์โคเนื้อคุณภาพดีที่เป็นความต้องการของตลาด สร้างอาชีพที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิตโค และสร้างพื้นที่ปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายเฉลิมชัยฯ ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจับหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) เร่งดำเนินการโครงการ คาดว่าจะเริ่มได้ทันทีในเดือน ม.ค. 2566เมื่อครม.พิจารณาเห็นชอบ โดยตั้งเป้าหมาย มีกลุ่มวิสาหกิจโคไทยในหมู่บ้านเข้าร่วมโครงการ 1,000 กลุ่ม เกษตรกร 10,000 ราย ได้แม่โคพื้นเมือง 50,000 ตัว (ในระยะเวลา 7 ปี) แบ่งเป็น ระยะนำร่อง 3,000 ตัว ระยะที่สอง 22,000 ตัว ระยะที่สาม 25,000 ตัว ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจโคไทย สามารถกู้ยืมเงิน กลุ่มละไม่เกิน 1,550,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับปีที่ 1 –3 ปลอดการชำระหนี้เงินต้น ปีที่ 4 –7 ชำระคืนเงินต้นร้อยละ 25 ต่อปี และปลอดดอกเบี้ย 7 ปี ขณะนี้มีกลุ่มวิสาหกิจสนใจจำนวนมาก ยื่นเรื่องของกู้โดยตรงจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรแล้ว 14 กลุ่ม จากปัตตานี 13 กลุ่ม นราธิวาส 1 กลุ่ม อาทิ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงโคบ้านสาวอฮูลู กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรชมรมเลี้ยงโคโลทู ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานปศุสัตว์ในพื้นที่ มากไปกว่านั้น ภายใต้โครงการนี้ จะมีการจัดตั้งศูนย์ผลิตอาหารสัตว์ (Feed Center) จำนวน 3 แห่ง (จังหวัดปัตตานี สตูล และนราธิวาส) และจัดตั้งร้านตัดแต่ง แปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อโค (Butcher Shop) จำนวน 5 แห่ง ส่วนแผนการทำงานเริ่มด้วยการสนับสนุนการเลี้ยงแม่โคพันธุ์พื้นเมืองที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ในคอกกลางของหมู่บ้าน มีคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นกลไกขับเคลื่อน รวมถึงมีการส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ กลุ่มปลูกพืชอาหารสัตว์ กลุ่มผลิตอาหารสัตว์ กลุ่มขุนโค กลุ่มแปรรูปเนื้อโค และกลุ่มจำหน่ายเนื้อโค “รัฐบาลเชื่อมั่นว่าโครงการโคบาลชายแดนใต้ จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้แก่ชุมชนได้จริง เป็นการลดภาระเรื่องเงินลงทุนและการจ่ายค่าดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่โคเนื้อยังไม่ให้ผลผลิต รวมถึงเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรในอีกหลายกลุ่มในห่วงโซ่การผลิตโค การดำเนินการจะเป็นความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างกระทรวงเกษตร ศอ.บต. และกลุ่มวิสาหกิจ โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพตามหลักสากล ขยายฐานการผลิตโคเนื้อให้เพียงพอต่อการบริโภคและการส่งออกไปยังประเทศมุสลิม” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองตาก เดินหน้าต่อ ขับเคลื่อนสร้างการตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน จัดงานรณรงค์ร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายเนื่องในเดือนแห่ง "วันดินโลก" (World Soil Day ) พร้อมนำเสนอผลสำเร็จจากโครงการ ฯ
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 พ่อเมืองตาก เดินหน้าต่อ ขับเคลื่อนสร้างการตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน จัดงานรณรงค์ร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายเนื่องในเดือนแห่ง "วันดินโลก" (World Soil Day ) พร้อมนำเสนอผลสำเร็จจากโครงการ ฯ พ่อเมืองตาก เดินหน้าขับเคลื่อนสร้างการตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน จัดงานรณรงค์ร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายเนื่องในเดือนแห่ง "วันดินโลก" (World Soil Day ) พร้อมนำเสนอผลสำเร็จจากโครงการอำเภอนำร่องฯ ที่วังเจ้า ย้ำการทำงานเป็นทีม (Teamwork) คือหัวใจของความสำเร็จ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เปิดเผยว่า จังหวัดตากได้จัดกิจกรรมรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าของทรัพยากรดิน เพื่ออนุรักษ์ รักษา เเละฟื้นฟูทรัพยากรดิน และกิจกรรม เอามื้อสามัคคี ปลูกพืชสมุนไพร ด้วยเเนวคิด 1 วัด 1 คลังยาสมุนไพร โดยเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 65 ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย และได้รับความเมตตาจาก พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นประธานในการจัดกิจกรรมขับเคลื่อน "World Soil Day อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน หรือ Soils, where food begins." กิจกรรม "เอามื้อสามัคคี" ลงแขกเกี่ยวข้าว และเยี่ยมชมพืชผักสวนครัว และปลูกผัก สมุนไพร ต้นไม้ ณ แปลง โคก หนอง นา และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ประเภทราชการ ของที่ว่าการอำเภอวังเจ้า โดยมี นายเอกสิฏฐ์ วิไลศิลป์ นายอำเภอวังเจ้า เป็นผู้กล่าวรายงานการผลการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ พร้อมนำเสนอโครงการ “ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพุ่งเป้า ในระบบ TPMAP และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในระบบ ThaiQM อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)" พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดของจังหวัดตาก นายอำเภอทุกอำเภอ นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เขต 1 และกำนันตำบลนาโบสถ์ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยฯ แพทย์ฯ สารวัตรกำนัน ประชาชนจิตอาสาตำบลนาโบสถ์ เข้าร่วมกิจกรรม รวมกว่า 300 คน ณ บริเวณแปลงนา แปลงผัก โคก หนอง นา ที่ว่าการอำเภอวังเจ้า อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก . นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนภาคีเครือข่ายด้านการศาสนา นายกฤษณะ พินิจ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการปกครองท้องที่ กรมการปกครอง นางสาวอรอุมา วรแสน รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานคัดเลือกอำเภอนำร่องฯ ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประเมินผลเชิงประจักษ์อำเภอนำร่อง "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการ โครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพุ่งเป้า ในระบบ TPMAP และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในระบบ ThaiQM เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้มีการจัดแสดงรำวงมหาดไทย ณ ลานหน้าแปลง SEDZ ที่ว่าการอำเภอวังเจ้า และชมการแสดง TO BE NUMBER ONE (โรงเรียนวังเจ้าวิทยาคม) ณ ศูนย์ TO BE NUMBER ONE อำเภอวังเจ้า และมอบชุดลูกเสือ – เนตรนารี ให้แก่เด็กนักเรียนผู้ยากไร้ จำนวน 30 คน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า อำเภอวังเจ้าเป็น 1 ใน 10 อำเภอทั่วประเทศที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอำเภอนำร่องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของอำเภอที่มีการนำกลไกการทำงานด้วยหลักการ 3 ระดับ 5 กลไก 7 ภาคีเครือข่าย และหลักการ "บวร บรม ครบ" ที่ขับเคลื่อนกิจกรรมร่วมกับผู้นำทางด้านศาสนา สิ่งสำคัญ คือ การบูรณาการเเละการสร้างทีมของนายอำเภอ ต้องอาศัยความเป็นผู้นำในพื้นที่ (Leadership) ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด ภาคเอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) เพื่อให้กิจกรรมต่าง ๆ มีพลวัตร สามารถขับเคลื่อนได้เอง เป็นการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เพราะการทำงานเป็นทีม (Teamwork) คือ หัวใจของความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง เเม้ไม่มีส่วนราชการเป็นผู้นำในการจุดประกาย เเต่โครงการอำเภอนำร่อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุข นี้ จะเป็นพลังประกายไฟให้ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ลุกขึ้นมาปลุกพลังทางความคิด สร้างสรรค์ออกมาเป็นการกระทำ เพื่อนำมาใช้ในโครงการฯ นี้ สามารถระดมทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีในพื้นที่ ทั้งทุน ทรัพยากรคน การสร้างความร่วมมือ จนทำให้เห็นผลเชิงประจักษ์ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้มากถือเป็นการ Change for Good ที่มุ่งเน้นพัฒนาคนให้คนไปพัฒนาพื้นที่อย่างเเท้จริง มีการอบรมเติมความรู้ขยายผลสร้างทีมผู้นำการขับเคลื่อนงานได้เกือบสองพันคน ซึ่งในปี 2566 นี้ กระทรวงมหาดไทยจะนำโมเดลความสำเร็จ จาก "อำเภอนำร่อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ทั้ง 10 อำเภอ เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการ" และจะดำเนินการขยายผลทั่วทั้งประเทศ 76 จังหวัด 878 อำเภอ นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวต่อว่า อ.วังเจ้า มีเป้าหมายซ่อมแซมบ้านเรือนให้แก่ผู้ยากไร้ในพื้นที่ เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตามข้อมูลจากระบบ TPMAP จำนวน 9 ครัวเรือน และระบบ ThaiQM จำนวน 48 ครัวเรือน รวมจำนวน 57 ครัวเรือน เเต่สามารถทำได้จริงรวม 70 ครัวเรือน โดยสำรวจครัวเรือนเพิ่มเติม 13 ครัวเรือน เป็นการดำเนินการโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งใช้งบประมาณจากภาครัฐ กว่า 400,000 บาท และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่อีกกว่า 2.6 ล้านบาท รวมกว่า 3 ล้านบาท นอกจากนี้ นายเอกสิฏฐ์ วิไลศิลป์ นายอำเภอวังเจ้าและภาคีเครือข่าย อ.วังเจ้า ยังได้ดำเนินกิจกรรมซึ่งมีหลายด้านในการบูรณาการงานตอบโจทย์เพื่อแก้ไขปัญหาการขจัดความยากจนฯ ตามที่เสนอไว้แล้วนั้น ยังมีความมุ่งมั่นที่จะสานพลังขับเคลื่อนกิจกรรม "World Soil Day วันดินโลก : อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน" อย่างต่อเนื่องเพื่อการอนุรักษ์ดิน และเพื่อเป็นการยกย่องและถวายราชสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ถึงพระวิสัยทัศน์และพระราชกรณีกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ที่ได้พระราชทานโครงการในพระราชดำริ จำนวน 5,151 โครงการ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ดินที่ดีไปหล่อเลี้ยงพืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ ฯลฯ ให้เป็นอาหารที่ปลอดสารพิษ หรือสารเคมี อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพทั้งคนเลี้ยงเเละคนกิน ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากการรณรงค์กิจกรรมวันดินโลก จังหวัดตาก โดย อำเภอวังเจ้าได้จัดกิจกรรม "เอามื้อสามัคคี" ร่วมกับนายเอกสิฏฐ์ วิไลศิลป์ นายอำเภอวังเจ้า “ปลูกพืชสมุนไพร” ตามโครงการ 1 วัด 1 คลังยาสมุนไพร ณ แปลงปลูกสมุนไพร สำนักสงฆ์เด่นเจริญ (วัดศักดิ์สิทธิ์) บ้านเด่นคา หมู่ที่ 5 ตำบลเชียงทอง โดยมีกิจกรรมปลูกพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดที่นำมาจากครัวเรือนในหมู่บ้าน ตำบลเชียงทอง อำเภอวังเจ้า มาร่วมปลูกเพื่อขยายเป็นแหล่งคลังยาประจำหมู่บ้าน ตำบล อาทิ ตะไคร้ ข่า ขิง ขมิ้นชัน ใบเตย โดยมีปลัดอาวุโส ปลัดอำเภอ นางประพิศ โพธิราช กำนันตำบลเชียงทอง ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยฯ แพทย์สารวัตรกำนัน ประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ตำบลเชียงทอง เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คน นายเอกสิฏฐ์ วิไลศิลป์ นายอำเภอวังเจ้า กล่าวว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้องขอขอบคุณนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยน อำเภอวังเจ้า และภาคีเครือข่ายทุกท่าน โดยโครงการอำเภอนำร่อง "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการขิงกระทรวงมหาดไทย ได้ทำให้เกิดโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แบบพุ่งเป้าในระบบ TPMAP และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในระบบ ThaiQM เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีกิจกรรมย่อยต่าง ๆ ประกอบด้วย การซ่อม-สร้างบ้านเทิดไท้องค์ราชัน, ชมกลุ่มทอผ้าบ้านเด่นวัว การ“เอามื้อสามัคคี” ลงแขกเกี่ยวข้าว ณ แปลง โคก หนอง นา ที่ว่าการอำเภอวังเจ้า (บริเวณด้านหน้าหอประชุม อ.วังเจ้า) การบริหารจัดการ ดิน น้ำ ป่าไม้ ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง ของนายภานุวัฒน์ บันลือ (เพรียว) ณ พื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ประเภทเอกชนของอำเภอวังเจ้า ไร่ชาววัง หมู่ที่ 14 ตำบลเชียงทอง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก และการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยพลังงานทดแทน เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่สูง แบบโครงการหลวงผาผึ้ง – ศรีคีรีรักษ์ ของ อบต.เชียงทอง (ได้รับรางวัลการ บริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ดีเด่น) โดยนายสุชาติ โพธิราช นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงทอง และนายจักรกฤษ์ สุขเกษม ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงทอง ณ ตลาดชาติพันธุ์ หมู่ที่ 2 บ้านสบยม ตำบลเชียงทอง นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพาคณะฯ เยี่ยมชมแปลงโคก หนอง นา ปี 2564 (นายอนุรักษ์ ภูครองทอง) บ้านทุ่งกง หมู่ที่ 1 ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก และร่วมกิจกรรม นาโยน/ปลูกผักหลุมพอเพียง รวมถึงเยี่ยมบ้านผู้ยากไร้ ในระบบ ThaiQM (นายมงคล ภูครองหิน) ที่ได้รับการสร้างใหม่ทั้งหลัง บ้านทุ่งกง หมู่ที่ 1 ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก และชมแปลงเศรษฐกิจพอเพียง ของนายมงคลฯ พร้อมฟังบรรยายสด การบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อชุมชน พลังบวรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ สำนักสงฆ์เด่นเจริญ (วัดศักดิ์สิทธิ์) บ้านเด่นคา หมู่ที่ 5 ตำบลเชียงทอง ซึ่งเป็นตัวอย่างการบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อชุมชนโดยพระอาจารย์ใบฎีกา สมศักดิ์ ธีระวังโส เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์เด่นเจริญ (วัดศักดิ์สิทธิ์) และโดยพระปลัดดอกดิน นริสฺสโร เจ้าคณะตำบลเชียงทอง ที่เป็นตัวอย่างของงานสาธารณสงเคราะห์ ตามหลักพลัง “บวร” อีกด้วย นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมในวันนี้เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงภายในที่จะสามารถก่อให้เกิดความยั่งยืนได้ในระดับชุมชน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ทำให้มีกิน มีใช้ พออยู่ พอร่มเย็น ซึ่งสามารถรับชมวิดีทัศน์สรุปกิจกรรม ได้ที่ลิงค์ https://youtu.be/_xt1etkX3sE ที่มีการสรุปกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดการขยะโดยใช้หลักการ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) รวมถึงการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน หรือการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา" เพื่อสร้างเเหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ให้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้เเก่พื้นที่ เพราะภายในโคก หนอง นา มีทั้งหนองน้ำ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง พื้นที่นาข้าว มีนก มีเเมลง มีไส้เดือน มีปลา มีจุลชีพต่าง ๆ ที่คอยรักษาความสมดุลอีกด้วย เป็นการสนองเเนวพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีพระราชประสงค์แน่วแน่ "ทำให้ ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในเชิงประจักษ์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจากจะเล็ก ๆ เเละจะขยายผลไปทุกพื้นที่ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดเเละนายอำเภอรวมถึงภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย อันจะเป็นการทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ และเป็น Momentum for Change อย่างเเท้จริง #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทเชิญชวนประชาชนชมทัศนียภาพไฟประดับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 13 แห่ง ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 กรมทางหลวงชนบทเชิญชวนประชาชนชมทัศนียภาพไฟประดับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 13 แห่ง ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สอดรับกับโครงการ “คมนาคมสีสัน สร้างสรรค์ประเทศไทย” ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนประชาชนชมทัศนียภาพไฟประดับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 1 มกราคม 2566 สอดรับกับโครงการ “คมนาคมสีสัน สร้างสรรค์ประเทศไทย” ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้มีทัศนียภาพที่ร่มรื่นและสวยงาม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ ทช. ได้จัดให้มีการเปิดไฟประดับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่อยู่ในความดูแลของ ทช. จำนวน 13 แห่ง ได้แก่ สะพานพระราม 3 สะพานพระราม 4 สะพานพระราม 5 สะพานพระราม 7 สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สะพานพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระปกเกล้า สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สะพานกรุงธน สะพานกรุงเทพ สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ สอดรับกับโครงการ “คมนาคมสีสัน สร้างสรรค์ประเทศไทย” และเพื่อแสดงให้เห็นความงดงามของบรรยากาศบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศได้อีกทางหนึ่ง โดยในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 1 มกราคม 2566 ทช. จะทำการเปิดไฟประดับสะพานระหว่างเวลา 19.00 - 24.00 น. ประชาชนสามารถร่วมชมทัศนียภาพความสวยงามของสะพานได้ตามเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ ทช. ได้จัดเจ้าหน้าที่ตรวจตราเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางมาชมทัศนียภาพบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่อยู่ในความดูแลของ ทช. อีกด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทช. โทร. 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รง. ชี้แจงประเด็นโรงงานในพื้นที่จังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 รง. ชี้แจงประเด็นโรงงานในพื้นที่จังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม กสร. ชี้แจงกรณีโรงงานจังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม วันที่ 23 ธันวาคม 2565 นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน ชี้แจงประเด็น โรงงานในพื้นที่จังหวัดตากใช้แรงงานไม่เป็นธรรม ดังนี้ 1. สาระสำคัญ เดอะ การ์เดียน รายงานข่าว การบังคับใช้แรงงานเมียนมาของโรงงานแห่งหนึ่งใน อ. แม่สอด จ. ตาก โดยอดีตแรงงานของโรงงานดังกล่าว เปิดเผยว่าที่โรงงานแห่งนี้ บังคับใช้แรงงานวันละ 15 ชั่วโมง ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม และมีวันหยุดเพียงเดือนละ 1 วัน แรงงานต้องทำงานกว่า 99 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่จ่ายค่าแรงเพียงแค่ 130 - 170 บาทต่อวัน ซึ่งต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ที่ผ่านมา แรงงานได้ยื่นฟ้องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานของไทย เพื่อเรียกร้องสิทธิให้ได้รับค่าจ้างค้างชำระ ซึ่งประกอบด้วยค่าจ้าง 2 ปี ค่าจ้างทำงานในวันหยุดตามประเพณี ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าวันหยุดประจำสัปดาห์ แต่กรมฯ สั่งจ่ายเฉพาะค่าชดเชยเลิกจ้างและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่านั้น โดยทนายความของแรงงาน ระบุว่า เจ้าหน้าที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เลือกที่จะเมินเฉยต่อกรณีดังกล่าว 2. ข้อเท็จจริง บริษัท วี เค การ์เม้นท์ จำกัด สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 48, 50, 52 , 54 , 56, 128 และ 130 ซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 13 ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงสำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร สำนักงานสาขาตั้งอยู่เลขที่ 608 หมู่ 7 ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประกอบกิจการ รับจ้างเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 นายทูนทูน (Tun Tun) กับพวกรวม 136 คน ลูกจ้างสัญชาติเมียนมา ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก ว่าบริษัท วี เค การ์เม้นท์ จำกัด นายจ้าง เลิกจ้างโดยค้างจ่ายค่าจ้าง ค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ค่าล่วงเวลาในวันทำงาน ค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ผิดนัด 3. การดำเนินการของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยพนักงานตรวจแรงงาน สำนักสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก ได้รับคำร้องจากลูกจ้าง จำนวน 136 คน และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานเอกสารจากฝ่ายลูกจ้างนายจ้างแล้ว มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้าง 134 คน รวมเป็นเงิน 5,204,430 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันผิดนัด สำหรับลูกจ้างอีก 2 คน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจ้างยังไม่มีการเลิกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย และค่าบอกกล่าวล่วงหน้า สำหรับประเด็นค่าจ้างที่ลูกจ้างร้องว่านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และไม่จ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีนั้น จากการสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง พบว่าลูกจ้างได้รับค่าจ้างดังกล่าวจากนายจ้างครบถ้วนตามสิทธิแล้ว พนักงานตรวจแรงงานจึงไม่มีคำสั่ง ในประเด็นดังกล่าว ภายหลังจากการออกคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายได้ยื่นอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ต่อศาลแรงงานภาค 6 (นครสวรรค์) ซึ่งเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ศาลแรงงานภาค 6 ได้พิพากษาคดีดังกล่าว โดยมีคำพิพากษาว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานชอบด้วยกฎหมายแล้ว และแก้ไข ในส่วนของอายุงาน ค่าชดเชยของลูกจ้างผู้ร้อง โดยให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,615,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ทั้งสองฝ่ายได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ซึ่งขณะนี้ประเด็นดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกำกับดูแลให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งส่งเสริมแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practice : GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) มีมติแต่งตั้ง ‘นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์’ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคาร มีผล 1 มกราคม 2566
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) มีมติแต่งตั้ง ‘นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์’ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคาร มีผล 1 มกราคม 2566 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ประกาศแต่งตั้ง นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคาร คนใหม่ มีผลวันที่ 1 มกราคม 2566 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ประธานกรรมการธนาคาร เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการสรรหาผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหาและนำเสนอต่อคณะกรรมการธนาคารแล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ครั้งที่ 11/2565 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ได้มีมติแต่งตั้ง นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ เข้าดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ มีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจการเงินการธนาคารมากกว่า 30 ปี โดยก่อนจะมาร่วมงานกับไอแบงก์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กรรมการบริหาร และกรรมการกำกับดูแลกิจการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจธนาคารในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำประสบการณ์มาพัฒนาและขับเคลื่อนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต นายภูมิศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมการขนส่งทางบกขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าและการวิ่งรถเปล่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ​กรมการขนส่งทางบกขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าและการวิ่งรถเปล่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 ... กรมการขนส่งทางบกขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าและการวิ่งรถเปล่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องด้วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณยานพาหนะที่ใช้บนท้องถนนมีความคับคั่งและมีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นช่วงเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนด้วยการหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้า และงดการใช้รถที่ไม่มีการบรรทุกสินค้า (รถเปล่า) ในช่วงวันดังกล่าว เพื่อลดปัญหาการจราจร ลดโอกาสเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้รถแนะนำให้ผู้ประกอบการขนส่งดูแลกวดขันผู้ขับรถให้ปฏิบัติ ดังนี้ 1. กำชับให้ผู้ขับรถขับด้วยความระมัดระวัง ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด ให้ผู้ขับรถพักผ่อนอย่างเพียงพอ 2. ตรวจสภาพความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถและอุปกรณ์ส่วนควบด้านความปลอดภัยของรถบรรทุก รถลากจูง รถพ่วง ก่อนใช้งานทุกครั้ง 3. ผู้ขับรถบรรทุกต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจเป็นศูนย์ 4. ผู้ประกอบการขนส่งที่มีการติดตั้งระบบ Global Positioning System (GPS) ในรถของตนเองให้ติดตามการใช้ความเร็วของรถบรรทุกอย่างต่อเนื่องผ่าน Application DLT-GPS แจ้งเตือนผู้ขับรถเมื่อพบว่า มีการใช้ความเร็วเกินกำหนด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการจอดรถทิ้งไว้บนไหล่ทาง และให้เดินรถเฉพาะช่องเดินรถซ้ายสุดเท่านั้น ขบ. ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจำทาง รถบรรทุกส่วนบุคคล รวมถึงองค์กรด้านการขนส่งสินค้า 30 แห่ง ประกอบด้วย สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย สมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย สมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน สมาคมผู้ประกอบการขนส่งแหลมฉบัง ชลบุรี สมาคมขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าและส่งออก สมาคมผู้ประกอบการรถเครน สมาคมโลจิสติกส์ และขนส่งภาคใต้ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจวัตถุอันตราย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมขนส่งภาคตะวันออก ชมรมขนส่งสินค้าท่าเรือแหลมฉบัง สมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก สมาคมผู้ประกอบการรถบรรทุกน้ำมันแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ประกอบการขนส่งทั่วไทย สมาคมขนส่งสินค้าจังหวัดตาก ชมรมรถบรรทุกจังหวัดลำปาง สมาคมผู้ประกอบการขนส่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม สมาคมไทยโลจิสติกส์และการผลิต สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย สมาคมโลจิสติกส์และขนส่งไทย สมาคมการค้าโลจิสติกส์ไทยแห่งอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง สหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ สมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย และผู้ประกอบการขนส่ง ทั้งนี้ ขบ. ขอขอบคุณหน่วยงาน สมาคม ชมรมต่าง ๆ ในความร่วมมือนี้ โดยเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และส่งมอบถนนที่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63102
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าเรือกรุงเทพ ให้บริการในวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ท่าเรือกรุงเทพ ให้บริการในวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ... การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ขอแจ้งว่า ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) ยังคงให้บริการด้านการบรรทุกขนถ่ายและขนส่งสินค้าหรือตู้สินค้าการให้บริการในวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ประจำปี 2565 และวันหยุดชดเชยเทศกาลปีใหม่ ในการนี้ บริษัทสายการเดินเรือหรือตัวแทนเรือ เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนสินค้า ที่มีความประสงค์จะทำการบรรทุกขนถ่ายและขนส่งสินค้าหรือตู้สินค้าที่ ทกท. ดังนี้ 1. ในระหว่างวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ถึงวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 น. และในระหว่างวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ถึงวันอังคารที่ 3 มกราคม 2566 เวลา 08.30 น. โปรดแสดงความจำนงล่วงหน้าภายในเวลา 14.00 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2565 2. ในระหว่างวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ถึงวันอังคารที่ 10 มกราคม 2566 เวลา 08.30 น. โปรดแสดงความจำนงล่วงหน้าภายในเวลา 14.00 น. ของวันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 เพื่อ ทกท. จะได้จัดพนักงานและเครื่องมือทุ่นแรงเตรียมไว้ให้บริการ หากบริษัทสายการเดินเรือหรือตัวแทนเรือ เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนสินค้า ไม่ได้แจ้งความประสงค์ขอทำการบรรทุกขนถ่ายและขนส่งสินค้าหรือตู้สินค้าไว้ล่วงหน้า ทกท. จะงดให้บริการในวันและเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ กทท. จะหยุดให้บริการบรรทุกขนถ่ายและขนส่งสินค้า หรือตู้สินค้า ที่ ทกท. ในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 น. ถึงวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2566 เวลา 08.30 น. .............................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​อก. เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่ผลักดันการใช้มาตรฐานยูโร 6 เพื่อยกระดับเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 ​อก. เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่ผลักดันการใช้มาตรฐานยูโร 6 เพื่อยกระดับเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับผลักดันการใช้มาตรฐานยูโร 6 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เร็วขึ้น สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฝุ่น PM 2.5 พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับผลักดันการใช้มาตรฐานยูโร 6 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เร็วขึ้น สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฝุ่น PM 2.5 พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ชี้หากประเทศไทยไม่เร่งปรับตัวอย่างจริงจังอาจสูญเสียโอกาสในการเป็นฐานการผลิต 10 อันดับแรกในตลาดโลกและอันดับ 1 ในอาเซียนได้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่ไปกับผลักดันยานยนต์ที่มีมาตรฐานการปล่อยมลพิษตามมาตรฐานยูโร 6 (EURO 6) ให้เร็วขึ้น เพื่อยกระดับการส่งออกและการผลิตตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งประเทศชั้นนำส่วนใหญ่ในตลาดโลกได้ปรับตัวใช้มาตรฐานยูโร 6 แล้ว เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และ จีน ดังนั้น อก. จึงมีนโยบายเร่งผลักดันอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์สมัยใหม่ที่สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก และเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ลดอัตราการเจ็บป่วย ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ตลอดจนเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเจตนารมณ์ที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมทั้งสอดรับกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ที่มุ่งเน้นยกระดับศักยภาพการผลิตให้เป็นมาตรฐานสากลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน และเชื่อมโยงประเทศไทยเข้าเป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลกได้อย่างยั่งยืน “การก้าวข้ามการพัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษจากยูโร 4 ไปสู่ยูโร 6 ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในหลากหลายมิติ ทั้งการสร้างความเชื่อมั่น การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ช่วยสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศ สร้างแต้มต่อในการเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกรถยนต์ในภูมิภาค ซึ่งหากประเทศไทยไม่เร่งปรับตัวอย่างจริงจังอาจสูญเสียโอกาสในการเป็นฐานการผลิต 10 อันดับแรกในตลาดโลก และอันดับ 1 ในอาเซียนได้ ดังเช่นเวียดนามที่มีการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า VINFAST รวมทั้งประกาศใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดการลงทุนในประเทศ และพยายามแย่งชิงโอกาสในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ในภูมิภาค หากประเทศไทยไม่ปรับตัว อาจสูญเสียตลาดส่งออกรถยนต์ที่มีการบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษที่สูงกว่า และในระยะยาวอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตยานยนต์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ประมาณ 650,000 คน” นายสุริยะ กล่าว นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ประเทศไทยควรเร่งส่งเสริมการพัฒนาทั้งรถยนต์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับรถยนต์มาตรฐานยูโร 6 เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์มาตรฐานยูโร 6 มีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลที่หลายประเทศให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่สะอาด และลดมลพิษ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนพัฒนาในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์สมัยใหม่ ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ลดการปล่อยมลพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค จำเป็นต้องผลักดันนโยบาย เพื่อดึงดูดบริษัทชั้นนำในการผลิตรถยนต์ระดับโลกเข้ามาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ดังเช่น การผลักดันมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากค่ายรถยนต์สัญชาติยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน โดยคาดว่าจากนี้ไปอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท และสร้างความต้องการแรงงานยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ 30,000 คนต่อปี ภายในปี 2573 ขณะเดียวกัน การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์สมัยใหม่ ยังเป็นการต่อยอดให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัว และอุตสาหกรรมเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์มาตรฐานยูโร 6 ภายในประเทศ และส่งออก มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์มาตรฐานยูโร 6 มีการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ และส่งออกประมาณ 40,000 คัน/ปี และในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นหลัก ใน 10 เดือนแรกของปี 2565 มียอดการจดทะเบียนรถ BEV ประมาณ 15,423 คัน และคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมียอดการใช้รถ BEV เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 คัน ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล เอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-AOT พร้อมรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดมีผู้เดินทางกว่า 2 ล้านคน
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 AOT พร้อมรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดมีผู้เดินทางกว่า 2 ล้านคน ... AOT พร้อมรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดมีผู้เดินทางกว่า 2 ล้านคน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กระทรวงคมนาคม พร้อมอำนวยความสะดวกผู้โดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 คาดมีผู้โดยสารกว่า 2 ล้านคนใช้บริการสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยยังคงเน้นย้ำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การอำนวยความสะดวกผู้โดยสารและการให้บริการมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 AOT ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนผ่านสนามบินทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งได้ตระหนักถึงการกลับมาให้บริการในยุค New Normal ซึ่งในช่วงนี้ที่การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว และมีผู้โดยสารมาใช้บริการสนามบินเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีและนวัตกรรรมที่ AOT ได้พัฒนาขึ้นจะช่วยตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายสูงสุด AOT ขอแนะนำแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ซึ่งผู้โดยสารสามารถเช็กข้อมูลและสถานะเที่ยวบินแบบ Real-time พร้อมระบบแจ้งเตือนแบบอัจฉริยะเมื่อใกล้เวลาเดินทาง เช็กสถานะกระเป๋าเดินทาง จองที่จอดรถ จองรถแท็กซี่ ค้นหาข้อมูลรถสาธารณะ รวมถึงร้องเรียนและติชมการให้บริการ รวมถึงฟังก์ชันใหม่ล่าสุด Queue Times ช่วยวางแผนการเดินทางให้ง่ายขึ้น โดยผู้โดยสารสามารถเช็กความแออัดและระยะเวลาในพื้นที่เช็กอิน พื้นที่ตรวจค้น และพื้นที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงที่มีผู้โดยสารมาใช้บริการสนามบินจำนวนมาก อาจทำให้ต้องรอคิวบริเวณเคาน์เตอร์ให้บริการต่างๆ เป็นเวลานาน จึงขอแนะนำให้ผู้โดยสารใช้เครื่อง Kiosk สำหรับเช็กอินและโหลดกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งใช้งานง่ายและ AOT ได้ติดตั้งเครื่อง Kiosk กระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสารพร้อมจัดเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกการใช้งาน การเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ AOT ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดพิธีปล่อยแถวปฏิบัติการในการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงาน หรือศูนย์ร่วมรักษาความปลอดภัยในสนามบิน โดยมีผู้บริหาร และพนักงาน AOT รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมประจำศูนย์ฯ ตลอดเทศกาล โดย ทสภ.ได้มีการจัดตั้งศูนย์ Single Command Center ตามสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อบริหารจัดการเรื่องความแออัดของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. โดยเฉพาะในช่วงเวลา Peak Hour ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ ทสภ.ปฏิบัติงานเวรตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเตรียมรถแท็กซี่ และรถสาธารณะมาให้บริการเพิ่มเติมหากมีความต้องการใช้บริการจำนวนมาก นอกจากนี้ ทสภ.ยังได้ยกเว้นค่าบริการจอดรถยนต์ที่ลานจอดรถระยะยาวโซน C ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 3 มกราคม 2566 พร้อมจัดรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารทุกๆ 15 นาที ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง และ ทภก.ได้จัดพื้นที่จอดรถยนต์ฟรี ณ อาคาร X-Terminal เริ่มจอดได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 24.00 น.ของวันที่ 3 มกราคม 2566 และจัดพื้นที่ลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงาน ทภก. เริ่มจอดได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 24.00 น. ของวันที่ 2 มกราคม 2566 สำหรับประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 4 มกราคม 2566ณ สนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 2 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 171.28 เมื่อเทียบกับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 (29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565)แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 832.51 และผู้โดยสารภายในประเทศประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.05 และมีเที่ยวบินประมาณ 12,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.01แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 5,340 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 260.53 และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 6,850 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.98นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT ขอเน้นย้ำในหลักเกณฑ์การตรวจค้นของเหลว เจล สเปรย์ที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่อง ตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) โดยสามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องหรือเข้าไปในเขตหวงห้ามในสนามบินได้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีความจุไม่เกิน 100 มิลลิลิตร โดยบรรจุภัณฑ์ต้องมีลักษณะที่ปิดสนิทและมีข้อความระบุปริมาตรของบรรจุภัณฑ์ชัดเจน ซึ่งผู้โดยสารสามารถนำติดตัวขึ้นบนอากาศยานรวมกันได้ไม่เกินคนละ 1,000 มิลลิลิตร ทั้งนี้ หากบรรจุภัณฑ์ที่มีปริมาณของเหลวฯ เกินกว่าที่กำหนด (100 มิลลิลิตร) แม้ว่าจะมีของเหลวอยู่เล็กน้อยต้องนำใส่ในสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่อง และสำหรับการนำแบตเตอรี่ลิเธียมสำรองขึ้นเครื่องบินตามประกาศของ กพท.ระบุว่า แบตเตอรี่ลิเธียมสำรองขนาดเล็กที่มีค่าความจุไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 Wh (Watt - Hour : Wh) หรือ 20,000 mAh สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ แต่ไม่สามารถโหลดใต้ท้องเครื่องบินได้ แบตเตอรี่ลิเธียมสำรองขนาดกลางที่มีค่าความจุไฟฟ้ามากกว่า 100 ถึง 160 Wh หรือมากกว่า 20,000 ถึง 32,000 mAh สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน 2 ชิ้น แต่ไม่สามารถโหลดใต้ท้องเครื่องบินได้ แบตเตอรี่ลิเธียมสำรองขนาดใหญ่ที่มีค่าความจุไฟฟ้ามากกว่า 160 Wh หรือ 32,000 mAh ไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่องบินและโหลดใต้ท้องเครื่องบิน นอกจากนี้ แบตเตอรี่ลิเธียมสำรองที่ไม่ระบุพลังงานไฟฟ้า Wh หรือระบุขนาดบรรจุของลิเธียม (Lithium Content : LC)หรือระบุไม่ชัดเจนไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบิน หรือโหลดใต้ท้องเครื่องบินได้ นายนิตินัย กล่าวในตอนท้ายว่า สนามบินของ AOT ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ กิจกรรมสวัสดีปีใหม่ต้อนรับผู้โดยสาร ซุ้มถ่ายภาพ และติดตั้งต้นคริสต์มาสพร้อมประดับตกแต่งอาคารผู้โดยสารให้มีบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 อาจมีผู้มาใช้บริการสนามบินของ AOT จำนวนมากจึงขอความกรุณาผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางมายังสนามบินล่วงหน้า 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดเที่ยวบิน ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเที่ยวบินและการให้บริการของ AOT ได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63104
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรยึดเนื้อสุกรลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา น้ำหนัก 1,142 กิโลกรัม รวมมูลค่า 137,040 บาท
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 กรมศุลกากรยึดเนื้อสุกรลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา น้ำหนัก 1,142 กิโลกรัม รวมมูลค่า 137,040 บาท วันนี้ (26 ธันวาคม 2565) กรมศุลกากรร่วมกับทหารพรานและกรมปศุสัตว์ยึดเนื้อสุกรข้ามชายแดน ซุกโกดัง น้ำหนัก 1,142 กิโลกรัม รวมมูลค่า 137,040 บาท บริเวณพื้นที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย กรมศุลกากรจึงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ เข้มงวดในการตรวจค้นจุดที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรเข้ามาในประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค พร้อมปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศอย่างต่อเนื่อง สำหรับในวันนี้ (26 ธันวาคม 2565) กรมศุลกากรได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเอาเนื้อสุกรที่ชำแหละแล้วจากฝั่งประเทศกัมพูชาเข้ามาในประเทศทางตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารกรมทหารพรานที่ 13 และเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ จังหวัดสระแก้ว นำกำลังไปทำการตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบชายชาวกัมพูชา 2 คน ขณะลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรแช่แข็งบรรจุกระสอบและทยอยนำเก็บในโกดังร้าง เจ้าหน้าที่ศุลกากรด่านศุลกากรอรัญประเทศ และเจ้าหน้าที่ทหารจึงได้แสดงตน เพื่อขอตรวจค้น พบเนื้อสุกรแช่แข็ง ประมาณ 1,142 กิโลกรัม รวมมูลค่า 137,040 บาท ไม่ผ่านพิธีการทางด่านศุลกากร เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการสอบถามข้อมูล ทราบว่า ชายดังกล่าวได้รับการว่าจ้างให้ขนเนื้อสุกรข้ามจากชายแดนกัมพูชามาฝั่งไทย โดยนำมาวางไว้บริเวณริมหนองน้ำติดชายแดนกัมพูชา และทยอยนำมาเก็บไว้ในโกดังร้าง การกระทำดังกล่าว เป็นความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และของกลางดังกล่าวเป็นซากสัตว์ ผู้ใดนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ต้องได้รับอนุญาตตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 พนักงานศุลกากรจึงใช้อำนาจตามมาตรา 166 มาตรา 167 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า จากสถิติการจับกุมการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 14 คดี รวม 174,832 กิโลกรัม มูลค่า 35,584,340 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะส่งมอบเนื้อสุกรแช่แข็งให้กรมปศุสัตว์เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63113
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีไทยครองใจนักท่องเที่ยวอเมริกาเหนือ และยุโรป เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมั่นศักยภาพมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวของไทยในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีไทยครองใจนักท่องเที่ยวอเมริกาเหนือ และยุโรป เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมั่นศักยภาพมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวของไทยในทุกมิติ โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีไทยครองใจนักท่องเที่ยวอเมริกาเหนือ และยุโรป เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมั่นศักยภาพมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวของไทยในทุกมิติ วันนี้ (วันที่ 26 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบผลจากงานวิจัยของสำนักข่าว BBC (BBC News research) ซึ่งได้ระบุว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักท่องเที่ยวจากอเมริกาเหนือ และยุโรปวางแผนจะเดินทางมาเที่ยวพักผ่อน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลจากการวิจัยของสำนักข่าว BBC อังกฤษ ระบุว่าจากการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนของนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางจากอเมริกาเหนือและยุโรป ไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งร้อยละ 57.4 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกที่ตั้งใจจะเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มจะมาไทยมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยชาวยุโรปเกือบ 4 ใน 5 ที่วางแผนจะไปเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะเดินทางภายใน 6 เดือนข้างหน้า และให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและความยั่งยืน โดยร้อยละ 91 ของผู้เดินทางมองหาวัฒนธรรมและมรดกที่เป็นเอกลักษณ์ในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการ และร้อยละ 72 ของผู้เดินทางให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุดในระดับท้องถิ่น ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้วางเป้ายกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมในทุกมิติ และจะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยคาดการณ์ว่าทั้งปี 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยมากกว่า 11.5 ล้านคน และรายได้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ของรายได้ที่เคยทำได้ในปี 2562 รวมทั้งตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2566 ที่ร้อยละ 80 ของปี 2562 หรือ ตั้งเป้าหมายให้ปี 2568 มีรายได้ถึง 2.38 ล้านล้านบาท “นายกรัฐมนตรียินดีต่อผลสำรวจ/วิจัยจากหลากหลายสำนักซึ่งต่างระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยมในการเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนในรูปแบบต่าง ๆ และเชื่อมั่นว่าประเทศมีศักยภาพ ความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวในทุกด้าน ทั้งธรรมชาติความอุดมสมบูรณ์ อาหาร เอกลักษณ์ความเป็นไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย รวมถึงการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทั้งในการเดินทางท่องเที่ยว นวัตกรรม และการสาธารณสุข ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการเตรียมมาตรการดูแลให้เหมาะสมในทุกมิติ เพื่อความประทับใจให้ไทยคงความเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก” นายอนุชากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ปาถกฐาพิเศษ แนะครูสู่โค้ชชีวิต ปั้นคนรุ่นใหม่เป็นทุนมนุษย์พัฒนาประเทศในอนาคต
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 รมว.พม. ปาถกฐาพิเศษ แนะครูสู่โค้ชชีวิต ปั้นคนรุ่นใหม่เป็นทุนมนุษย์พัฒนาประเทศในอนาคต รมว.พม. ปาถกฐาพิเศษ แนะครูสู่โค้ชชีวิต ปั้นคนรุ่นใหม่เป็นทุนมนุษย์พัฒนาประเทศในอนาคต เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 65เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 (สพป.พิษณุโลก เขต 2) เพื่อเปิดการอบรมหลักสูตร “ครู - โค้ช - คน เข้าใจตน โค้ชคนเพื่ออนาคต” รุ่นที่ 2 สำหรับครูประถมศึกษาจาก 123 โรงเรียนในเขตพื้นที่ สพป.พิษณุโลก เขต 2 พร้อมทั้งปาถกฐาพิเศษ เรื่อง Building Blocks for Learning จากนั้น เดินทางต่อไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ (สพม.พิษณุโลก อุตรดิตถ์) เพื่อเปิดการอบรมหลักสูตร “ครู - โค้ช - คน เข้าใจตน โค้ชคนเพื่ออนาคต” รุ่นที่ 3 สำหรับครูมัธยมศึกษาจาก 39 โรงเรียนในเขตพื้นที่ สพม.พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ทั้งนี้ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก พร้อมผู้แทนหน่วยงานทีม พม. One Home เข้าร่วม นายจุติ กล่าวว่า การอบรมหลักสูตร “ครู - โค้ช - คน เข้าใจตน โค้ชคนเพื่ออนาคต” เกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อประมาณ 2 ปี โดยให้หาครูแนะแนวสู่โค้ชชีวิตในขั้นต้นอย่างน้อย 20,000 คนทั่วประเทศ อย่างมีคุณภาพและเร็วที่สุด เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและแก้ปัญหาสังคม อีกทั้งเป็นที่พึ่งทางใจสำหรับเด็ก ซึ่งปัจจุบัน ปัญหามากมายอยู่ที่เด็ก ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความยากจน การตั้งครรภ์ในวัยเรียน ความรุนแรงในครอบครัว การแสวงหาประโยชน์จากเด็ก การล่วงละเมิด และปัญหายาเสพติด เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่อไปว่า เราต้องช่วยกันสร้างโอกาสแห่งความเท่าเทียมกันทางการศึกษาให้กับเด็กไม่ว่าจะเรียนที่ไหน ใกล้หรือไกลเพียงใด โดยต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเด็กในการเรียนรู้ ซึ่งห้องสมุดจะไม่ใช่เป็นเพียงห้องที่รวบรวมหนังสือ แต่จะต้องเป็นห้องสมุดดิจิทัลที่มีคอมพิวเตอร์สำหรับเปิดโลกการเรียนรู้ของเด็กให้กว้างขวางและทั่วถึงยิ่งขึ้น สำหรับเด็กที่มีฐานะยากจน ซึ่งมักอยู่กับปู่ย่าตายายที่เป็นผู้สูงอายุ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองต้องไปงานที่จังหวัดอื่น เราต้องช่วยกันส่งเสริมเรื่องการมีอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ดูแลตนเองได้ ซึ่งมีหลายโรงเรียนได้สอนวิชาการควบคู่ไปกับการอาชีพ ซึ่งเมื่อเด็กเรียนจบแล้ว สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้ทันที นอกจากนี้ เราต้องร่วมมือกับเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชนส่งเสริมอาชีพที่ขาดแคลนและอาชีพใหม่ๆ ของตลาดแรงงาน ที่สร้างรายได้ที่ดีและมั่นคงในอนาคต อาทิ Butler เชฟอาหารไทย ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม เป็นต้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมหลักสูตรนี้ มีความจำเป็นและความสำคัญในการเป็นครูแนะแนวสู่โค้ชชีวิตสำหรับเด็กเพื่อช่วยสร้างคนรุ่นใหม่เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพในการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเรามาทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็น ห้องสมุดดิจิทัล โรงเรียนสอนผู้ปกครอง "พิษณุโลก พร้อมช่วย" ศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล และกองทุนต่างๆ สำหรับเด็ก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63096
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของ สพฐ. กรณีครูโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ที่เป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 26/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของ สพฐ. กรณีครูโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ที่เป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของ สพฐ. กรณีครูโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ที่เป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง พิจารณาความผิดและกำหนดโทษตามอำนาจหน้าที่ วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรณีข้าราชการครูโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ที่เป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ โดยล่าสุดมีความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่นางสาวเพ็ญภาส อุทัชกุล ข้าราชการครูของโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย พร้อมสั่งการให้ครูคนดังกล่าวมาประจำที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยเมื่อดำเนินการสอบสวนเสร็จ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จะพิจารณาความผิดและกำหนดโทษตามอำนาจหน้าที่ และรายงาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ ก.ค.ศ. พิจารณาตามลำดับ นายอนุชาฯ กล่าวว่า สพฐ. ได้รายงานต่อกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565 โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัยได้รับคลิปวิดีโอที่เป็นข่าวจากผู้ปกครอง หลังจากได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สอนโดย นางสาวเพ็ญภาส อุทัชกุล ข้าราชการครูของโรงเรียน ซึ่งในขณะนั้น โรงเรียนมีกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ โดยนักเรียนระดับชั้น ม.2 และ ม.3 ไปเข้าค่ายลูกเสือที่ จ.สระบุรี วันที่ 21-23 ธันวาคม 2565 ส่วนนักเรียนชั้น ม.1 ได้ทำกิจกรรมค่ายลูกเสือที่โรงเรียน วันที่ 22-23 ธันวาคม 2565 และในส่วนของนักเรียน ชั้น ม.4-6 ให้หยุดเพื่ออ่านหนังสือสอบ ในวันที่ 26-29 ธันวาคม 2565 เมื่อโรงเรียนทราบเรื่องดังกล่าว ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงทันที และให้คณะกรรมการได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านและรอบคอบอย่างรวดเร็ว โดยคณะกรรมการได้แจ้งให้ครูเพ็ญภาสทราบถึงกรณีที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้จัดทำบันทึกชี้แจงรายงานต่อคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง จากนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนได้รายงานเหตุการณ์ไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 และรายงานต่อเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามขั้นตอนแนวปฏิบัติของการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ นายอนุชาฯ กล่าวว่า ต่อมาในวันที่ 22 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงได้สรุปรายงานการสืบสวนฯ เสนอผู้อำนวยการโรงเรียน โดยผลการสืบสวนปรากฏว่า พฤติกรรมของ นางสาวเพ็ญภาส อุทัชกุล มีมูล อันควรกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงได้เสนอต่อผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ระหว่างนั้น โรงเรียนได้ทำการชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการ ผ่านเครือข่ายผู้ปกครองได้รับทราบอย่างใกล้ชิด โดยในวันนี้ (26 ธันวาคม 2565) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่นางสาวเพ็ญภาส อุทัชกุล พร้อมสั่งการให้ครูคนดังกล่าวมาประจำที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 สำหรับการดำเนินการทางวินัยนั้นจะต้องเป็นไปตาม กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. 2550 ประกอบกรณีดังกล่าวเป็นที่สนใจของประชาชนจะต้องดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้อีก ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการสอบสวนเสร็จ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จะพิจารณาความผิดและกำหนดโทษตามอำนาจหน้าที่ และรายงาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ ก.ค.ศ. พิจารณาตามลำดับต่อไป “สพฐ. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ศูนย์ความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับนักเรียน ครู และผู้ปกครอง โดยสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป คือ เพิ่มความเข้มข้นของโครงการนิเทศภายใน การเพิ่มความตระหนักของครูในเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพ เพิ่มช่องทางการประเมินการสอนของครูผู้สอนอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก รวมถึงเน้นย้ำครูทุกคนให้ดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด มิให้เกิดการสับสนในข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจของนักเรียนที่เกี่ยวข้อง และประชาสัมพันธ์นักเรียนและผู้ปกครองในการใช้ MOE Safety Center ที่เป็นระบบมาตรฐานความปลอดภัยในสถานศึกษาในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ให้ได้รับการปกป้อง คุ้มครองความปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63124