title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ครั้งที่ 2 ระดมพลังสร้างโอกาส เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเสมอภาค | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
พม. จัดงานสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ครั้งที่ 2 ระดมพลังสร้างโอกาส เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเสมอภาค
พม. จัดงานสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ครั้งที่ 2 ระดมพลังสร้างโอกาส เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเสมอภาค
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) เวลา 09.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงานสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2567) พร้อมกล่าวถึงบทบาทของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนพิการ โดยมีนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้นำคนพิการ ผู้แทนส่วนท้องถิ่น และผู้แทนภาคีเครือข่ายด้านคนพิการ เข้าร่วม ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักของภาครัฐในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อการพัฒนา สร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเป็นธรรมในสังคม นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับคนพิการถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ซึ่งปัจจุบัน มีคนพิการที่ได้รับมีบัตรประจำตัวคนพิการกว่า 2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 3.20 ของประชากรทั้งประเทศ โดย กระทรวงพม. ได้ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเสมอภาค ด้วยการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม อีกทั้งมีการอบรมเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตลอดจนส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ สวัสดิการของคนพิการและประชาชนทั่วไป ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในการเฝ้าระวัง ดูแล คุ้มครองสิทธิคนพิการและผู้สูงอายุในพื้นที่
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับงานสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ถือเป็นเครื่องมือพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมด้วยพลัง 3 ภาค ได้แก่ พลังทางความคิด พลังทางสังคม และพลังรัฐ ซึ่งกระทรวง พม. ให้ความสำคัญในการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนำข้อเสนอแนะไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนพิการให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนพิการได้อย่างเหมาะสม โดยผลจากการประชุมสมัชชาเครือข่ายด้านคนพิการระดับภูมิภาค เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและความต้องการที่เกิดขึ้นในระดับพื้นที่จากผู้ที่ปฏิบัติงานด้านคนพิการ และเครือข่ายองค์กรคนพิการอย่างแท้จริง
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอชื่นชมคนพิการที่มีความยืนหยัดและกล้าหาญในการใช้ชีวิต ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมครั้งนี้จะได้ข้อเสนอใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อการทำงานสำหรับคนพิการในการเข้าถึงโอกาสของคนพิการ รวมทั้งสิทธิ สวัสดิการต่างๆ อีกทั้งเครือข่ายคนพิการจะได้แสดงออกถึงความเท่าเทียมกัน ที่ทำให้คนพิการสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไร้รอยต่อ อย่างไรก็ตาม มติจากการประชุมครั้งนี้ จะได้นำไปขับเคลื่อนและกำหนดนโยบายด้านคนพิการระดับประเทศที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้คนพิการได้รับประโยชน์สูงสุด โดยขอความร่วมมือให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62213 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส – ไปรษณีย์ไทย เปิดตัว Digital Post ID นวัตกรรมธุรกรรมขนส่งแห่งอนาคต | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส – ไปรษณีย์ไทย เปิดตัว Digital Post ID นวัตกรรมธุรกรรมขนส่งแห่งอนาคต
ดีอีเอส – ไปรษณีย์ไทย เปิดตัว Digital Post ID นวัตกรรมธุรกรรมขนส่งแห่งอนาคต
วันนี้(1ธันวาคม2565) นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัว“ดิจิทัลโพสต์ไอดี” ( Digital Post ID)ทางเลือกใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการใช้ชื่อที่อยู่ให้สามารถระบุตำแหน่งสถานที่และการขนส่งแบบEasy Privacy SecurityและDigital Economyรวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเส้นทางขนส่งการป้องกันการปลอมแปลงตัวตนเป็นต้นปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบระบบและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งเป้าเปิดใช้งานในปี2566โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงฯ,ดร.ณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงฯ,ดร.ดนันท์สุภัทรพันธุ์กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัดพร้อมด้วยคณะผู้บริหารร่วมงานณไปรษณีย์ไทยจำกัด(สำนักงานใหญ่)
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62196 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมใจจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์-นิทรรศการแสดงพระราชประวัติและพระอัจฉริยภาพ-ฉายโขนภาพยนตร์ – ดนตรีเทิดพระเกียรติฯ 5 ธันวาคม 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
วธ.รวมใจจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์-นิทรรศการแสดงพระราชประวัติและพระอัจฉริยภาพ-ฉายโขนภาพยนตร์ – ดนตรีเทิดพระเกียรติฯ 5 ธันวาคม 2565
วธ.รวมใจจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์-นิทรรศการแสดงพระราชประวัติและพระอัจฉริยภาพ-ฉายโขนภาพยนตร์ – ดนตรีเทิดพระเกียรติฯ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
วธ.รวมใจจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์-นิทรรศการแสดงพระราชประวัติและพระอัจฉริยภาพ-ฉายโขนภาพยนตร์ – ดนตรีเทิดพระเกียรติฯ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รวมใจภาคีเครือข่ายด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 โดยหน่วยงานในสังกัดของ วธ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะตามอาคารสถานที่ จัดทำคำกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมนำเสนอภาพพระราชกรณียกิจเพื่อเผยแพร่ทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของแต่ละหน่วยงาน นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ร่วมกิจกรรมจิตอาสาบริการประชาชน ณ บริเวณท้องสนามหลวง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00-17.00 น. และร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดนิทรรศการแสดงพระราชประวัติและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หนังสือพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 10 รัชกาล (ฉบับการ์ตูน) นำเสนอวีดิทัศน์ แอนิเมชั่น ชุด “ศาสตร์พระราชา ปรัชญาแห่งแผ่นดิน” ที่ได้ทรงพระราชทานศาสตร์พระราชาและหลักการทรงงานให้แก่พสกนิกรชาวไทยไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น กรมศิลปากรจัดการแสดงดนตรีสากลบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดนิทรรศการแสดงสำเนาภาพฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เผยแพร่วีดิทัศน์ “อัครศิลปิน โครงการสามทศวรรษ” และพระอัจฉริยภาพฯ กิจกรรมการทำภาพพิมพ์ซิลค์สกรีนภาพอัครศิลปินบนเสื้อยืด กระเป๋าผ้า มอบให้แก่ประชาชน และนักศึกษาคณะศิลปวิจิตร สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จัดกิจกรรมการวาดภาพเหมือนให้แก่ประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อาทิ กรมการศาสนาจัดกิจกรรมถวายพระราชกุศลโดยจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์วันที่ 5 ธันวาคม 2565 ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ ขณะที่ วธ. โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชน จัดฉายโขนภาพยนตร์ หนุมาน WHITE MONKEY รอบสื่อมวลชนและรอบปกติตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป ในโรงภาพยนตร์ เครือ Major Cineplex และ SF Cinema ทั่วประเทศ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอด ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสืบทอดไปสู่เยาวชนของชาติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2224-4499 ส่วนกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับกรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร วงเฉลิมราชย์ และมูลนิธิสุนทราภรณ์ฯ จัดการแสดงดนตรีเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เทศกาลดนตรี Ministry of Culture Music Festival (MOC MU FES) การแสดง “Winter Love Songs : บทเพลงพระราชนิพนธ์” และการแสดง “ลีลาศสร้างสุขกับสุนทราภรณ์” ชวนประชนชาวไทยร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สุขใจกับบทเพลงขององค์ “อัครศิลปิน” ระหว่างวันที่ 8 - 9 ธันวาคม 2565 ณ ลานวัฒนธรรมสร้างสุข วธ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จัดซุ้มเทิดพระเกียรติและร่วมจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ในงาน "น้อมรำลึกพ่อหลวงไทย" วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่ อาคารรัฐสภา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ขอเชิญประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆโดยพร้อมเพรียงกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62206 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน ขอให้ดูแลสุขภาพและระวังอันตรายจากสภาพอากาศแปรปรวน และฝนตกสะสม 1 – 4 ธ.ค. 2565 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน ขอให้ดูแลสุขภาพและระวังอันตรายจากสภาพอากาศแปรปรวน และฝนตกสะสม 1 – 4 ธ.ค. 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน ขอให้ดูแลสุขภาพและระวังอันตรายจากสภาพอากาศแปรปรวน และฝนตกสะสม 1 – 4 ธ.ค. 2565
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 4 ธันวาคม 2565 ประเทศไทยจะมีอากาศแปรปรวนบริเวณตอนบน และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพและเฝ้าระวังอันตรายจากสภาพอากาศดังกล่าว
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยได้กำชับทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนในช่วงที่อาจมีฝนตกหนัก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเตือนในช่วงวันที่ 1-4 ธ.ค. 2565 มวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศลาวแล้ว และจะแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคอื่นๆ ในลำดับต่อไป ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียสกับมีลมแรง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ในช่วงวันที่ 2–4 ธ.ค. 2565 บริเวณภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
“นายกฯ ห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยได้สั่งการทุกหน่วยงานบูรณาการเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหา พร้อมขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน สวมหน้ากากอนามัยขณะออกนอกบ้านเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนงดการเผาในที่โล่ง เพื่อป้องกันและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 ด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62173 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มไม่ได้รับวัคซีน กลุ่ม 608 อันตรายสุด ขอคนไทยฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“อนุทิน” ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มไม่ได้รับวัคซีน กลุ่ม 608 อันตรายสุด ขอคนไทยฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มผู้ไม่ได้รับวัคซีน ยิ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ยิ่งอันตราย ขอคนไทยรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิต เน้นเข้าถึงบริการจุดฉีดง่ายขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มผู้ไม่ได้รับวัคซีน ยิ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง608 ยิ่งอันตราย ขอคนไทยรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิต เน้นเข้าถึงบริการจุดฉีดง่ายขึ้น มีหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการ รองรับช่วงปลายปีที่มีกิจกรรมจำนวนมาก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาอาจทำให้ติดเชื้อมากขึ้น พร้อมมอบโล่เชิดชูกลุ่มแพทย์ช่วยดูแลคนเจ็บเหตุหนองบัวลำภู
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งสุดท้ายของปี 2565 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คณะแพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู และให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้ยืนยันถึงเรื่องคนไทยทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด19 ให้ครบ 4 เข็ม ตามมติจากที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC)กรณีโรคโควิด 19 เนื่องจากมีข้อมูลว่าจะช่วยให้มีความปลอดภัย หากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรงหรือเสียชีวิต ซึ่งเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปี จะมีการท่องเที่ยว มีกิจกรรมการเดินทางจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องรับลูกค้าเพิ่มขึ้น มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา จึงอาจมีความเสี่ยงเกิดการแพร่เชื้อได้ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สถานพยาบาลทุกระดับเตรียมความพร้อมให้บริการวัคซีนโควิดแก่ประชาชน รวมถึงจัดหน่วยเคลื่อนที่ไปให้บริการในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้วย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนเลย ขอให้มาฉีดวัคซีนเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลทั่วโลกพบว่า โรคโควิด19 จะคุกคามผู้ไม่ได้รับวัคซีนได้มากที่สุด ยิ่งเป็นกลุ่ม 608 ยิ่งมีอันตราย เสี่ยงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิตได้ แต่หากรับวัคซีนแล้ว โดยเฉพาะเข็ม 4 จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้อย่างมาก ซึ่งวัคซีนขณะนี้มีเพียงพอ สถานพยาบาลมีความพร้อมดูแล ส่วนผู้ประสงค์รับมากกว่า 4 เข็ม เนื่องจากมีความเสี่ยง เช่น ต้องเดินทางไปประเทศที่สุ่มเสี่ยง ต้องพบปะผู้คนจำนวนมากตลอดเวลา ให้บริการสาธารณะ ขนส่ง ต้องดูแลลูกค้า เป็นต้น ก็สามารถแจ้งความต้องการได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงนโยบายของขวัญปีใหม่ ซึ่งจะเน้นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อรองรับการเป็นสังคมสูงอายุของประเทศไทย โดยมอบหมายให้กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เร่งวางยุทธศาสตร์และวิธีการที่เหมาะสม โดยเรื่องการดูแลผู้สูงอายุนี้จะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มวัยอื่นด้วย เพราะหากผู้สูงอายุเจ็บป่วย มีภาวะพึ่งพิง จะส่งผลไปถึงลูกหลานต้องมาดูแล ทำให้สูญเสียโอกาสการทำงานและสร้างรายได้
******************************************* 1 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM pleased with Thailand’s regional economic performances for October 2022 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
PM pleased with Thailand’s regional economic performances for October 2022
PM pleased with Thailand’s regional economic performances for October 2022
November 30, 2022, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is pleased with Thailand’s regional economic performance report for October 2022, proposed by Ministry of Finance’s Fiscal Policy Office, according to which regional economy has continued to be supported by tourism activities. Economy in the South, North, and Northeast have additionally been boosted by private sector consumption, while all the regions saw an increase in consumer confidence index.
Economic performance of the South: Value Added Tax collected in October 2022 increased in real term at 22.8% per year. Consumer confidence index is at 42.2, an increase from 40.7 the previous month. Industries sentiment index also increased from 88.1 in the previous month to 92.6
Economic performance of the North: Value Added Tax collected in October 2022 increased in real term at 23.3% per year. Consumer confidence index is at 48.2, an increase from 47.0 the previous month. Industries sentiment index decreased from 76.1 in the previous month to 75.8
Economic performance of the Northeast: Value Added Tax collected in October 2022 increased in real term at 24.5% per year. Consumer confidence index is at 50.2, an increase from 48.7 the previous month. Industries sentiment index decreased from 88.4 in the previous month to 87.4
Economic performance of the East: Value Added Tax collected in October 2022 increased in real term at 10.9% per year. Consumer confidence index is at 49.0, an increase from 47.5 the previous month. Industries sentiment index also increased from 100.7 in the previous month to 102.4
Economic performance of the West: Value Added Tax collected in October 2022 increased in real term at 44.9% per year. Consumer confidence index is at 45.0, an increase from 43.5 the previous month. Industries sentiment index also increased from 95.3 in the previous month to 98.2
Economic performance of Bangkok and vicinity: Value Added Tax collection in October 2022 has decelerated. Consumer confidence index is at 44.8, an increase from 43.3 the previous month. Industries sentiment index also increased from 95.3 in the previous month to 98.2
Economic performance of the Central: Value Added Tax collection in October 2022 has decelerated. Consumer confidence index is at 45.0, an increase from 43.5 the previous month. Industries sentiment index also increased from 95.3 in the previous month to 98.2
According to the Deputy Government Spokesperson, the Government is confident that Thai economy has stably recovered. Economic growth of 3.5-4% and export expansion of 3-5% are expected for next year. The Government also strives to promote investment, border trade and economy, and export. Implementation of infrastructure development projects will be expedited during the next 8-10 years to further improve the country’s logistics system.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. กำชับรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งเบิกจ่ายช่วงสุดท้ายของปี 2565 ดันเศรษฐกิจ” | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“สคร. กำชับรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งเบิกจ่ายช่วงสุดท้ายของปี 2565 ดันเศรษฐกิจ”
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดย สคร. จะยังคงกำชับให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดย สคร. จะยังคงกำชับให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2565 ณ เดือนตุลาคม 2565 มีผลการเบิกจ่ายสะสม 284,826 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 94 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม และสำหรับรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ ที่ได้เริ่มการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2566 มา 1 เดือน (ตุลาคม 2565) มีผลการเบิกจ่าย 3,823 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณได้สิ้นสุดการดำเนินการแล้วโดยเบิกจ่ายเป็นจำนวน 114,203 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 88 ของกรอบลงทุนทั้งปี และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน จำนวน 9 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2565 จำนวน 170,624 ล้านบาท โดยสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 55,479 ล้านบาท ซึ่งผลเบิกจ่ายสะสมเดือนตุลาคม 2565 คิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนเบิกจ่ายสะสม อย่างไรก็ดี มีรัฐวิสาหกิจจำนวน 2 แห่ง ที่มีผลการเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามแผน ซึ่ง สคร. ได้เร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการเบิกจ่ายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายให้เป็นไปตามแผนด้วยแล้ว
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2565
(ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณและปีปฏิทิน)
หน่วย : ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ
แผนเบิกจ่ายสะสม
ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/
แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 64 – ก.ย. 65)
จำนวน 34 แห่ง (สิ้นสุดการดำเนินงานแล้ว) 130,040 114,203 88%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 65 – ต.ค. 65)
จำนวน 9 แห่ง 173,359 170,624 98%
รวม 43 แห่ง 303,400 284,826 94%
สำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2566 ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ มีผลการเบิกจ่ายสะสม 1 เดือน (ตุลาคม 2565) จำนวน 3,823 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2566
(ณ เดือนตุลาคม 2565 ของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ)
รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/
แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 65 – ก.ย. 66)
จำนวน 34 แห่ง (1 เดือน) 7,581 3,823 50%
ปีปฏิทิน (ม.ค. – ธ.ค. 66)
จำนวน 9 แห่ง (เริ่มดำเนินการเดือน ม.ค. 66) - - -
รวม 43 แห่ง 7,581 3,823 50%
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจปีงบประมาณสามารถเร่งรัดเบิกจ่ายสะสมได้ถึงร้อยละ 88 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และยังมีรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศในช่วงฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 และสำหรับปีงบประมาณ 2566 สคร. จะกำกับติดตามการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติเบิกจ่ายงบลงทุนตามมติคณะรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62211 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้างโรงงานพลุระเบิดที่สุพรรณบุรี ส่งชุดเฉพาะกิจฯ รุดตรวจสอบช่วยเหลือพร้อมมอบสิทธิประโยชน์ทันที | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้างโรงงานพลุระเบิดที่สุพรรณบุรี ส่งชุดเฉพาะกิจฯ รุดตรวจสอบช่วยเหลือพร้อมมอบสิทธิประโยชน์ทันที
กรณีเกิดเหตุโรงงานผลิตพลุและดอกไม้ไฟระเบิดในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีเกิดเหตุโรงงานผลิตพลุและดอกไม้ไฟระเบิดในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความห่วงใยเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ความช่วยเหลือลูกจ้าง นายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบทันที ผมจึงได้มอบหมายให้ นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นหัวหน้าคณะนำทีมชุดเฉพาะกิจป้องกันแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงพร้อมมอบสิทธิประโยชน์แก่ญาติผู้เสียชีวิตและเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บด้วย เบื้องต้นได้รับรายงานว่า โรงงานดังกล่าวตั้งอยู่กลางทุ่งนาในพื้นที่ หมู่ 3 ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มีลูกจ้างทั้งหมด 30 คน ประกอบกิจการผลิตพลุและดอกไม้ไฟ เหตุเกิดเมื่อเวลา 11.00 น. (30 พฤศจิกายน 2565) ขณะที่คนงานกำลังนั่งพันเทประเบิดปิงปอง (ระเบิดไล่นก) ได้เกิดกลุ่มควันขึ้นในโรงเก็บกระสอบถ่าน จึงได้ช่วยกันนำถังดับเพลิงไปฉีดพ่น แต่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนไฟลุกไหม้ เป็นเหตุให้ นายบัวลอย บุญประเสริฐ อายุ 53 ปี เสียชีวิตทันที และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 3 ราย เจ้าหน้าที่นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้าช่วยเหลือลูกจ้าง นายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ด้าน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานชุดเฉพาะกิจฯ กล่าวว่า ในวันนี้ผมได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้นำคณะทำงานชุดเฉพาะกิจฯ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์แก่ญาติผู้เสียชีวิตและเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บด้วย ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสุพรรณบุรี และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 7 (ราชบุรี) เชิญนายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมถึงสาเหตุดังกล่าว พร้อมตรวจสอบว่า มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556 หรือไม่ ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้สถานประกอบกิจการกำชับให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ หรืออุบัติเหตุซ้ำซ้อน หากนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546
นายวรรณรัตน์ ยังได้ลงพื้นที่มอบสิทธิประโยชน์แก่ทายาทของผู้เสียชีวิต ซึ่งในส่วนของผู้เสียชีวิตสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุพรรณบุรีได้ตรวจสอบพบว่า ผู้เสียชีวิตมีประกันสังคมมาตรา 33 สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุพรรณบุรีจึงได้ประสานไปยังภรรยาของผู้เสียชีวิต ชื่อนางเสวียน บุญประเสริฐ เพื่อแจ้งข้อมูลสิทธิประโยชน์ให้ทราบเบื้องต้นทายาทได้รับสิทธิสิทธิประโยชน์เป็นค่าทำศพ 50,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท และกรณีชราภาพ 100,599 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 240,599 บาท จากนั้นนายวรรณรัตน์และคณะ ยังได้ลงพื้นที่ไปยังโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช เพื่อมอบของเยี่ยมให้กำลังแก่ผู้บาดเจ็บอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62194 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปลูกจิตสำนึกเยาวชนชายแดนใต้เสริมสร้างความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
วธ.ปลูกจิตสำนึกเยาวชนชายแดนใต้เสริมสร้างความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
วธ.ปลูกจิตสำนึกเยาวชนชายแดนใต้เสริมสร้างความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
วธ.ปลูกจิตสำนึกเยาวชนชายแดนใต้เสริมสร้างความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยการนำมิติทางด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง การสร้างความปรองดองและความสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สามารถดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุขในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วธ. โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี จัดโครงการพัฒนาสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภายใต้ชื่อกิจกรรมว่า พลังเยาวชนศาสนิกสัมพันธ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยบูรณาการงบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและกรมการศาสนา เพื่อสร้างการรับรู้และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อปวงชนชาวไทย ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างมีความสุข เกิดการยอมรับและเคารพในความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม และเกิดจิตสำนึกในเรื่องความสมานฉันท์บนความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นำหลักธรรมทางศาสนา น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิต โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ 120 คน ประกอบด้วย นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ครูอาจารย์ และเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ดำเนินการระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565
ปลัดวธ. กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรม ประกอบด้วย การเสวนาศาสนิกสัมพันธ์ หัวข้อ “การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม” และ บรรยายให้ความรู้ หัวข้อ “สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย” การรับฟังบรรยายจากผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “เรียนรู้อย่างเข้าใจบนวิถีพหุวัฒนธรรม” คณะผู้เข้าร่วมกิจกรรม เข้าเยี่ยมคารวะและรับฟังโอวาท จากจุฬาราชมนตรี ผู้บริหาร วธ. ศึกษาดูงานวิถีพหุวัฒนธรรม ณ ชุมชนคุณธรรมกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร หอศิลป์แห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เยี่ยมชมโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริและอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์การเรียนรู้วิถีชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง “นาโปแก” และชุมชนท่องเที่ยวทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง โครงการดังกล่าวจะทำให้เยาวชนเกิดความตระหนักในความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างเข้มแข็ง และขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกท่านในการขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยการมีส่วนร่วมของหน่วยงาน องค์กรเครือข่าย กลุ่มผู้นำศาสนาและประชาชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี ความรักชาติ ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกมิติที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62205 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. เผย MPI 10 เดือนแรกปี 65 ขยายตัวร้อยละ 2.20 รับเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คาดปีหน้าภาคอุตฯ ขยายตัวต่อเนื่อง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
อก. เผย MPI 10 เดือนแรกปี 65 ขยายตัวร้อยละ 2.20 รับเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คาดปีหน้าภาคอุตฯ ขยายตัวต่อเนื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) 10 เดือนแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบรับการบริโภคในประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังเศรษฐกิจ
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) 10 เดือนแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบรับการบริโภคในประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวขยายตัว รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น และมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ด้านสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยประมาณการ MPI ปี 2566 คาดขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) 10 เดือนแรก ปี 2565 อยู่ที่ 99.06 ขยายตัวร้อยละ 2.20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 10 เดือนแรกของปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 63.06 เป็นผลจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวที่กลับมาดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเครื่องดื่มขยายตัวร้อยละ 2.7 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ รวมถึงการผลิตน้ำมันเครื่องบินที่ขยายตัวร้อยละ 108.2 ทั้งนี้ สศอ. ได้ประมาณการ MPI และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ปี 2565 และ ปี 2566 โดยปี 2565 คาดว่า MPI ขยายตัวร้อยละ 1.9 และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 2.0 ในขณะที่ประมาณการ ปี 2566 คาดว่า MPI ขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนตุลาคม 2565 หดตัวร้อยละ 3.71 เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก ซึ่งจะกลับมาผลิตเป็นปกติอีกครั้งในเดือนหน้า โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกในเดือนตุลาคม 2565 ได้แก่ ยานยนต์ จากรถบรรทุกปิกอัพและรถยนต์นั่งขนาดกลาง ที่สามารถผลิตได้ต่อเนื่อง น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากความต้องการสินค้ามากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคพลังงาน รวมถึงมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก และชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวตามการเติบโตของตลาดโลกยุคดิจิทัล ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2565 คาดว่าดัชนี MPI จะขยายตัวจากโรงกลั่นกลับมาดำเนินการตามปกติ รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม อุปสงค์สินค้าในตลาดโลกเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด ด้วยปัจจัยลบจากตลาดส่งออกสำคัญมีแนวโน้มจะเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน
ทั้งนี้ สศอ.ได้คาดการณ์ดัชนี MPI ปี 2565 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.9 มาจากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังและติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาพลังงานทั้งภายในและต่างประเทศ ความผันผวนของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น การปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มจากการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และทิศทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงการเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันและย้ายฐานการผลิตทางเทคโนโลยีกระทบต่อการส่งออกของไทย
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนตุลาคม 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.88 จากรถบรรทุกปิกอัพและรถยนต์นั่งขนาดกลาง เป็นหลัก ทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคา สินค้าเกษตรและผลผลิตต่างๆ อยู่ในระดับที่ดี และสามารถผลิตได้ต่อเนื่องหลังปัญหาขาดแคลนชิปคลี่คลายมากขึ้น
น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.82 จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เป็นหลัก เนื่องจากมีความต้องการสินค้ามากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคพลังงาน และการปรับการใช้น้ำมันจาก B5 เป็น B7 รวมถึงมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.47 ตามการขยายตัวของตลาดโลกในยุคดิจิทัลที่ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 21
อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.63 เนื่องจากเกษตรกรมีการเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้น เพื่อสนองความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่ขยายตัวมากขึ้น รวมถึงความนิยมการเลี้ยงสัตว์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.76 จากเสาเข็ม คอนกรีตผสมเสร็จ และพื้นสำเร็จรูป เป็นหลัก โดยปีนี้สถานการณ์การก่อสร้างคลี่คลายเป็นปกติ และมีการก่อสร้างมากขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62180 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. คว้ารางวัลรัฐบาลดิจิทัล 4 ปีซ้อน พร้อมพัฒนาองค์กรตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กบข. คว้ารางวัลรัฐบาลดิจิทัล 4 ปีซ้อน พร้อมพัฒนาองค์กรตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0
กบข. ภาคภูมิใจได้รับ 2 รางวัล รางวัลรัฐบาลดิจิทัล 4 ปีซ้อน และรางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ พร้อมมุ่งพัฒนายกระดับบริการดิจิทัล กบข. ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของสมาชิก ตามนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2565 (Digital Government Awards 2022) หน่วยงานที่มีการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลในระดับสูง จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ซึ่ง กบข. ได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปีนี้มีหน่วยงานยื่นเข้าร่วมการสำรวจระดับความพร้อมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของหน่วยงานทั่วประเทศทั้งสิ้น 1,889 หน่วยงาน
นอกจากนี้ กบข. ยังได้รับรางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่ง กบข. ได้ดำเนินงานตามนโยบายการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐในรูปแบบดิจิทัลผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (Data.go.th) และได้เผยแพร่ข้อมูลมูลค่าหน่วยลงทุนของทุกแผนการลงทุน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ อัตราผลตอบแทน บนเว็บไซต์ กบข. www.gpf.or.th เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้สมาชิกและประชาชนทั่วไปสามารถสืบค้นได้
กบข. มุ่งพัฒนาต่อยอดการให้บริการสมาชิกผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและยกระดับการให้บริการสมาชิกครอบคลุมทุกความต้องการตั้งแต่วันที่เข้ารับราชการ จนถึงวันที่เกษียณอายุราชการหรือพ้นสมาชิกภาพ ตลอดจนดูแลสมาชิกที่ใช้บริการออมต่อกับ กบข. เมื่อออกจากราชการ ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน กบข. “My GPF Application” ซึ่งมีจำนวนสมาชิกใช้บริการแอปพลิเคชันกว่า 1.1 ล้านครั้งต่อปี
สำหรับในอนาคต กบข. เตรียมเปิดให้บริการแบบจำลองคู่แฝดการบริหารเงิน (Digital Twins) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้สมาชิกสามารถบริหารเงินได้อย่างเข้าใจ ผ่านการจำลองเลือกแผนการลงทุนและสัดส่วนเงินออม ตลอดจนประมาณการยอดเงินในอนาคต ให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลังเกษียณของสมาชิก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62210 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่เป็นแรงส่งสำคัญ
Key Highlights
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่เป็นแรงส่งสำคัญ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวได้ใกล้เคียงเดิม ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 อาจสูงกว่าประมาณการเดิมจากการปรับเพิ่มขึ้นค่าไฟฟ้าเป็นสำคัญ
Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 แตะระดับขอบบนของกรอบเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมาย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ กนง. อาจพิจารณาทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจขึ้นไปแตะระดับ 2.00% ในปี 2566
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 ต่อปี เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมครั้งที่ 6/2565 (ครั้งสุดท้ายของปี) ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 (รวมทั้งสิ้น 75 bps ในปีนี้) ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่เป็นแรงส่งสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนซึ่งปรับดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงานและรายได้แรงงานที่สูงขึ้นและกระจายทั่วถึงมากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกให้ขยายตัวชะลอลง แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวได้ใกล้เคียงเดิม ทั้งนี้ กนง. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในปี 2565 และ ปี 2566 เป็นร้อยละ 3.2 (จากร้อยละ 3.3) และ ร้อยละ 3.7 (จากร้อยละ 3.8) ตามลำดับ ขณะที่คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.9
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการเดิม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2565 2566 และ 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 3.0 และ 2.1 ตามลำดับ ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 คาดว่าสูงกว่าประมาณการเดิมที่ร้อยละ 2.6 จากการปรับเพิ่มขึ้นค่าไฟฟ้าเป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทยอยลดลงต่อเนื่องโดยในปี 2565 2566 และ 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 2.5 และ 2.0 ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางจากรายได้ที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง
ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนทยอยปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่โดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน ปริมาณสินเชื่อและการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ยังขยายตัว ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบ ดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวผันผวนสูงจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่ายังต้องติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
Implication:
Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 กนง. ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 เป็นร้อยละ 3.0 (จากเดิมร้อยละ 2.6) แตะระดับขอบบนของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% จากแนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าเป็นสำคัญ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมาย และคาดว่าจะปรับลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 Krungthai COMPASS ประเมินว่า ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจขึ้นไปแตะระดับ 2.00% ในปี 2566 ทั้งนี้ กนง. อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งแรกของปี สะท้อนจากมุมมองของ กนง. ที่ประเมินว่า “การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ”
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวผ่านการส่งออกเป็นสำคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง บ่งชี้จากการปรับเพิ่มประมาณการของ กนง. ในปี 2566 ที่คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.4 (จากเดิมร้อยละ 3.3) และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านคน (จากเดิม 21 ล้านคน) สอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะแตะระดับ 21.4 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกมากกว่าที่คาด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62183 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยเจ้าภาพร่วมจัดประชุมวิชาการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพระดับภูมิภาค สร้างเครือข่ายพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง และกำหนดมาตรการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
สธ.ไทยเจ้าภาพร่วมจัดประชุมวิชาการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพระดับภูมิภาค สร้างเครือข่ายพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง และกำหนดมาตรการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเผยไทยเป็นเจ้าภาพร่วมจัดประชุมวิชาการการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ HTA ระดับภูมิภาค ระดมนักวิชาการเสนองานวิจัยกว่า 300 คนจาก 20 ประเทศ ตอบโจทย์นำเทคโนโลยีมาให้บริการด้านสาธารณสุขใหม่ๆ
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเผยไทยเป็นเจ้าภาพร่วมจัดประชุมวิชาการการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพHTAระดับภูมิภาค ระดมนักวิชาการเสนองานวิจัยกว่า 300 คนจาก 20 ประเทศ ตอบโจทย์นำเทคโนโลยีมาให้บริการด้านสาธารณสุขใหม่ๆ
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำเนินการจัดประชุมการประชุมวิชาการประจำปีHTAsialink (HTAsiaLink Annual Conference)ครั้งที่ 10 ประจำปี 2565 ร่วมกับองค์การอนามัยโลก มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ และภาคส่วนต่างๆ โดยในปีนี้ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565 ที่พัทยา จ.ชลบุรี ภายใต้แนวคิด “บทบาทของHTAในNew normal” (หรือThe Role of HTA in the New Normal : Driving the post COVID health system through evidence-informed decisions)ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคและนานาชาติ มีนักวิชาการและนักวิจัยทั่วโลกกว่า 300 คนจาก 20 ประเทศเข้าร่วม เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและรับข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ และร่วมอภิปรายในหัวข้อที่กำหนด อาทิการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขหลังโควิด19 และHTAการผลักดันการวิเคราะห์ระบบGlobal HTAโดยอิงข้อมูลหลักฐานจากการใช้จริงในภูมิภาคHTAทั่วโลก และเทคโนโลยีในยุคใหม่ใช่ทางออกของระบบสาธารณสุขหรือไม่ เป็นต้น
นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการให้โอกาสนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางงานวิจัยด้านการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Technology AssessmentหรือHTA)ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักวิจัยท่านอื่น เป็นการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพในทวีปเอเชีย และพัฒนาขีดความสามารถด้านวิชาการแก่นักวิจัย โดยภายในงานมีทั้งการประชุมเชิงปฏิบัติการ การบรรยาย การอบรมพัฒนาทักษะด้านการวิจัย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ การนำเสนอและประกวดผลงานวิจัย และนิทรรศการจากเครือข่ายร่วมจัดแสดงด้วย ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมทั้งนี้ ในฐานะประธานคณะกรรมการประมวลสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งให้คำแนะนำแก่ผู้กำหนดนโยบายระดับสูงในประเทศไทยจากงานวิชาการการให้ข้อมูลที่ทันการณ์และความร่วมมือของเครือข่ายHTAในประเทศไทย นำโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP)และระดับนานาชาติผ่านเครือข่ายHTAsiaLinkเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงมีความยินดีที่จะให้ทุนสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการในครั้งนี้
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กล่าวว่า โรคโควิด 19 ได้สอนเราอย่างหนึ่งว่า ระบบสุขภาพของเราต้องสามารถรับมือกับความท้าทายทั้งที่คาดได้และไม่คาดคิด และเราต้องสร้างสรรค์ในการให้บริการด้านสาธารณสุข มีการนำเทคโนโลยีและวิธีการให้บริการด้านสาธารณสุขใหม่ๆ มาใช้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19 และยังคงมีการใช้ต่อไป เช่น การแพทย์ทางไกลกลายเป็นแนวทางที่มีความสำคัญ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านสุขภาพก็มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นักวิจัยด้านHTAต้องติดตามความก้าวหน้าให้ทัน หรือกระทั่งต้องก้าวนำหน้าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้HTAเป็นศาสตร์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีระเบียบวิธีวิจัยใหม่ๆ เช่น การใช้ข้อมูลจากสถานการณ์จริง ซึ่งจะช่วยให้HTAตอบโจทย์ในบริบทได้ดียิ่งขึ้น ในการประชุมวิชาการประจำปีHTAsiaLinkนี้ จะมีการอภิปรายในประเด็นสำคัญเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อผู้ใช้และนักวิจัยด้านHTA
********************************1ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62200 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดเชียงราย | วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565
ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดเชียงราย
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
นายกฯ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลวัดห้วยปลากั้งเพื่อสังคม จ.เชียงราย มุ่งสืบสานงานด้านทันตกรรมครบวงจร ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องร่วมบริจาคด้วยจิตศรัทธา พร้อมเป็นกำลังใจทีมแพทย์พยาบาล เริ่มเปิดให้บริการรักษาฟรีตั้งแต่ 1 ธ.ค. 65
นายกฯ ติดตามผลการดำเนินงานโครงการข้าวรักษ์โลก BCG Model นำร่อง ระยะที่ 1 จ.เชียงราย ย้ำปฏิวัติการทำนาสู่ความยั่งยืน มุ่งหวังผลผลิตมีคุณภาพ เกษตรกรมีรายได้เพียงพอ เป็น smart farmer ที่เท่าทันเทคโนโลยี ช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ชี้ แม้ไทยส่งออกยางธรรมชาติทะลุ 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 20% | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“อลงกรณ์” ชี้ แม้ไทยส่งออกยางธรรมชาติทะลุ 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 20%
“อลงกรณ์” ชี้ แม้ไทยส่งออกยางธรรมชาติทะลุ 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 20% แต่ราคายังผันผวนจากผลกระทบโควิด-19 และสงครามรัสเซีย - ยูเครน มอบ “กยท.” เร่งเดินหน้าขยายมาตรการชะลอขายยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 5/2565 ณ ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานบอร์ด กยท. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและการลงทุน นายอาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยจีน นายสวัสดิ์ ลาดปาละ ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคเหนือ ผู้แทนจากสมาคมยางพาราไทย ผู้แทนสมาคมน้ำยางข้นไทย ทูตเกษตรประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ทุกภูมิภาคทั่วโลก และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญจากทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก อาทิ ทูตเกษตรจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป (กรุงบรัสเซลส์) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม (อิตาลี) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้) ฝ่ายเกษตร ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา (ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอาเซียน) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก รวมถึงรายงานสถานการณ์ปัญหาสงครามรัสเซีย - ยูเครน ยังคงส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทย
โดยสถานการณ์การส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทยไปยังรัสเซียยังคงหดตัว อีกทั้ง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหนักอยู่ในระยะ Wait and see mode และสต๊อคยางในรัสเซียยังล้นตลาดถึง 43% ส่วนสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจีนยังคงรุนแรง หลายพื้นที่ล็อคดาวน์ พบผู้ติดเชื้อสูง โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จีนพบผู้ติดเชื้อกว่า 49,479 ราย ไม่แสดงอาการ 448,350 ราย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าในจีน ซึ่งจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่อราคาและการส่งออกยางพาราของไทย
ที่ประชุมยังรับทราบรายงานสถานการณ์ยางพารา เดือนพฤศจิกายน 2565 และคาดการณ์เดือนธันวาคม 2565 โดยฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.754 ล้านตัน ในช่วงไตรมาส 4/65 มีปริมาณผลผลิตยางพาราสูงกว่าทุกไตรมาส ปริมาณ 1.432 ล้านตัน การส่งออกในไตรมาสที่ 3/65 ไทยส่งออกรวม 1.150 ล้านตัน ยังอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน สำหรับช่วงเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2565 คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติของไทย ปี 2565 (มกราคม - กันยายน 2565) มีมูลค่า 216,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งออกไปยังประเทศจีนมากที่สุด มูลค่า 107,352 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ มาเลเชีย มูลค่า 19,153 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา มูลค่า 15,414 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 11,905 ล้านบาท เกาหลีใต้ มูลค่า 9,891 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ มูลค่า 52,813 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานเรื่องแพลตฟอร์มเพื่อการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรม (Field for Knowledge Integration and Innovation : FKII) และรายงานความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งพื้นที่บริหารจัดการยางพารา (Rubber Valley)
รวมทั้ง ยังรับทราบความคืบหน้าร่างกฎหมาย Deforestation Free Product ซึ่งมีสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางและผลิตภัณฑ์ โดยกฎหมาย Deforestation Free Product ของสหภาพยุโรป หรือ EU นั้น ได้มีข้อกำหนดว่า สินค้าที่นำเข้ามาวางจำหน่ายในสหภาพยุโรป ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า หรือการทำให้ป่าเสื่อมสภาพ จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ เนื้อวัว ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ และผลิตภัณฑ์จากสินค้าเหล่านี้ โดยสาระสำคัญตามมาตรา 3 (Prohibition) สรุปได้ดังนี้ คือ สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในสหภาพยุโรป จะต้องเป็นสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (Deforestation Free) การผลิตเป็นไปตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต มีการจัดทำ Due Diligence (ข้อมูลและเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามมาตรา 3) มีระบบการควบคุมคุณภาพตรวจสอบย้อนกลับถึงผู้ผลิต และสถานที่ผลิตได้ โดยกลไกการตรวจสอบ ดังนี้ 1) จะมีการจัดกลุ่มประเทศผู้ผลิต (Country Benchmarking System) และแบ่งประเทศออกเป็น 3 กลุ่ม ตามความเสี่ยง คือ ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงมาตรฐาน 2) ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกระบวนการทำหรือการตรวจสอบย้อนกลับถึงผู้ผลิต และมีการทบทวนทุก 2 ปี ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ กยท.ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป (กรุงบรัสเซลส์) และประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ กยท. รายงานความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวกับการทำสวนยางยั่งยืนให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งหน้า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62214 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมออกร้านค้าชุมชน ลดค่าครองชีพ ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” 2-11 ธ.ค. 65 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กทม. | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
“เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมออกร้านค้าชุมชน ลดค่าครองชีพ ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” 2-11 ธ.ค. 65 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กทม.
“เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมออกร้านค้าชุมชน ลดค่าครองชีพ ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” 2-11 ธ.ค. 65 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย มีพระดำริในการจัดงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 ภายใต้แนวคิด “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” ในรูปแบบออนกราวน์ (On-ground) เต็มรูปแบบ ในระหว่างวันที่ 2 - 11 ธ.ค. 2565 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ นิทรรศการการดำเนินภารกิจการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจรและยั่งยืน ยังจัดแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและนวัตกรรมในการทำงานของมูลนิธิฯ ตั้งแต่ “การเฝ้าระวังก่อนเกิดอุทกภัย” เพื่อลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย “การบรรเทาทุกข์ระหว่างเกิดอุทกภัย” ซึ่งเป็นภารกิจที่มูลนิธิฯ ดำเนินการเองเป็นหลัก และ“การฟื้นฟูหลังเกิดอุทกภัย” เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังมีการออกร้านค้าในโครงการส่วนพระองค์และร้านพระบรมวงศานุวงศ์ และร้านค้ากิตติมศักดิ์และร้านเครือข่ายที่ยกขบวนสินค้าราคาพิเศษมาร่วมออกร้าน รวมทั้งสิ้นกว่า 100 ร้าน และยังมี “ตลาดย้อนยุค” ที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังมาเพิ่มสีสัน ความสนุกสนานให้กับงานฯ ในปีนี้ ชมการปรุงอาหารจากรถประกอบอาหาร “รถเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ช่วยด้วยใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” ที่นำเมนูสูตรประทานของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ มาเปิดโอกาสให้ได้ชิมและร่วมบริจาคสมทบมูลนิธิฯ การช้อปสินค้าจากร้านพึ่งพา ทั้งผลิตภัณฑ์ยั่งยืนจากชุมชนที่ประสบอุทกภัย และสินค้าที่ระลึกที่เปิดตัวครั้งแรกในงานฯ ได้แก่ ชุดน้ำชา (Snack Tray) ลายกล้วยไม้โสมสวลี ผลิตภัณฑ์ของร้าน “PAfé สุขที่ได้แบ่งปัน” และการสาธิตช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากทีมเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) อาสา ปฏิบัติการภัยพิบัติ
ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สำหรับการจัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” ในครั้งนี้ สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เป็นส่วนหนึ่งในการร่วม "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ด้วยการออกร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งภายในร้านมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และจัดจำหน่ายสินค้าบริโภค “ช่วยลดค่าครองชีพไม่ต่ำกว่า 50%” โดยคัดสรรสินค้าข้าวสาร-อาหารแห้งที่จำเป็นในครัวเรือน ลดราคา 50% หรือมากกว่า ทุกรายการสินค้า มีสินค้าที่น่าสนใจหลายรายการ ได้แก่
1) ข้าวหอมมะลิ ถุง 5 กิโลกรัม ราคาปกติ 220 บาท ขาย 110.- บาท
2) ไข่ไก่ 1 แผง 30 ฟอง ราคาปกติ 140 บาท ขาย 70.- บาท
3) น้ำพริกปลาร้าบองท่าตูม กระปุก 220 กรัม ราคาปกติ 120 บาท ขาย 60.- บาท
4) ไชโป๊หวานแม่กิมฮวย 200 กรัม ราคาปกติ 45 บาท ขาย 20.- บาท
5) น้ำพริกปลาทูน่ากรอบ กระป๋อง 30 กรัม ราคาปกติ 25 บาท ขาย 10.- บาท
6) น้ำมันหอยตราเด็กสมบูรณ์ ขวด 350 กรัม ราคาปกติ 35 บาท ขาย 15.- บาท
7) น้ำมันพืชตราองุ่น ขวด 1 ลิตร ราคาปกติ 70 บาท ขาย 35.- บาท
8) ซอสปรุงรสตราภูเขาทอง ขวดละ 500 มิลลิลิตร ราคาปกติ 33 บาท ขาย 15.- บาท
9) น้ำตาลตราษฎา ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาปกติ 23 บาท ขาย 10.- บาท
10) นมถั่วเหลืองไวตามิลค์ กล่อง 200 มิลลิลิตร แพ็ค 4 กล่อง ราคาปกติ 37 บาท ขาย 15.- บาท
“โดยเชิญชวนทุกท่านร่วม “พกถุงผ้า” มาจับจ่ายใช้สอย ในบริเวณร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย-สมาคมแม่บ้านมหาดไทย เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการลดขยะพลาสติก สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับประเทศไทยและโลกใบเดียวนี้ของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ทั้งหมด สมทบทุนมอบให้กับมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อร่วมสนองพระนโยบายขององค์ประธานกรรมการมูลนิธิ ในด้านการยกระดับการทำงานของมูลนิธิฯ ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 27 ในปีนี้ เพื่อมุ่งสู่การเป็น “ศูนย์กลางการเป็นเลิศด้านการบรรเทาทุกข์ และจัดการภัยพิบัติอันเกิดจากอุทกภัย (Center of Excellence in Flood Relief and Management)” เพื่อบรรเทาทุกข์ เสริมสร้างความปลอดภัย และความสุขที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้าย
“แบ่งปัน – พอเพียง – ยั่งยืน”
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 580/2565 วันที่ 1 ธ.ค. 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62197 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เชิญอุดหนุนของขวัญปีใหม่จากผลิตภัณฑ์งานฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022” | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รมว.พม. เชิญอุดหนุนของขวัญปีใหม่จากผลิตภัณฑ์งานฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022”
รมว.พม. เชิญอุดหนุนของขวัญปีใหม่จากผลิตภัณฑ์งานฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022”
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2565 - 9 มกราคม 2566 เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของคนไทยสำหรับเป็นของขวัญและของฝากในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2565 ต้อนรับปีใหม่ 2566 โดยมีผู้บริหารกระทรวง พม. คุณสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และผู้แทนหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาอาชีพ ตั้งแต่กระบวนการฝึกทักษะ พัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยี ความรู้ด้านการประกอบธุรกิจ ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการตลาด เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง สามารถดูแลตนเองและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาคนและสังคมอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล
วันนี้ กระทรวง พม. ได้ร่วมกับบริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินค้าของคนไทยสำหรับเป็นของขวัญและของฝากในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2565 ต้อนรับปีใหม่ 2566 โดยบริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ได้สนับสนุนพื้นที่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ให้กับกระทรวง พม. ได้นำผลิตภัณฑ์สินค้าจากกลุ่มเป้าหมายและเครือข่ายที่เป็นกลุ่มอาชีพสตรีและครอบครัว คนพิการ และกลุ่มเปราะบาง รวมถึงผลิตภัณฑ์งานฝีมือของผู้รับบริการในความดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ภายใต้แบรนด์ “ทอฝัน by พม.” มาร่วมจำหน่ายภายในงานดังกล่าว ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2565
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับงานนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงงานจำหน่ายของขวัญอย่างเดียว แต่เป็นการบอกถึงสัญลักษณ์ว่า รักประเทศไทย รักคนไทย รักผู้ผลิตไทย ขอให้ท่านมองมากกว่าของขวัญและความคุ้มค่า เพราะเป็นกำลังใจให้ผู้ผลิตจากฝีมือคนไทยที่ทุ่มเท ซึ่งเราได้ฝึกอาชีพให้กับผู้ไม่มีโอกาสให้มีโอกาส โดยเงินค่าส่วนแบ่งที่ผู้ผลิตได้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่มีความหมายมากสำหรับคนที่ไม่มี ซึ่งนอกจากท่านจะได้ซื้อของขวัญให้คนที่เรารักแล้ว ผู้ผลิตไทยยังได้รับน้ำใจจากเราไปด้วย ทั้งนี้ ขอเชิญทุกท่านช่วยอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือของกลุ่มเปราะบางและภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. ในงาน “ICONSIAM WORLD OF GIFTS 2022” ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62218 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดของขวัญปีใหม่ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ลบ. 24 รางวัล ลุ้นส่งท้ายปีนี้ พร้อมออกเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 12 ปี ถอนได้ก่อนครบระยะ ดอกเบี้ยขั้นบันไดสูงสุด 9.99% ไม่หักภาษี | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ออมสินจัดของขวัญปีใหม่ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ลบ. 24 รางวัล ลุ้นส่งท้ายปีนี้ พร้อมออกเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 12 ปี ถอนได้ก่อนครบระยะ ดอกเบี้ยขั้นบันไดสูงสุด 9.99% ไม่หักภาษี
ธ.ออมสินจัดโปรดักส์แคมเปญเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าและเฉลิมฉลองปีใหม่ 2566 ด้วยการเพิ่มรางวัลสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ทั้งแบบใบสลากและสลากออมสินดิจิทัล ธนาคารจัดรางวัลพิเศษสำหรับผู้ที่ฝากระหว่างวันที่ 2 ธ.ค.65 - 31 ม.ค.66
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นภารกิจส่งเสริมให้คนไทยมีการออมที่เพียงพอสำหรับวิถีชีวิตปัจจุบันและอนาคตในยามเกษียณ โดยล่าสุดธนาคารได้จัดโปรดักส์แคมเปญเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าและเฉลิมฉลองปีใหม่ 2566 ด้วยการเพิ่มรางวัลสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ทั้งแบบใบสลากและสลากออมสินดิจิทัล ธนาคารจัดรางวัลพิเศษสำหรับผู้ที่ฝากระหว่างวันที่ 2 ธ.ค.65 - 31 ม.ค.66 โดยเพิ่มเงินรางวัลพิเศษจำนวน 24 รางวัล รางวัลละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท ซึ่งจะทำการออกรางวัล 2 ครั้ง ในวันที่ 30 ธ.ค.65 จำนวน 12 รางวัล และ วันที่ 1 ก.พ.66 อีก 12 รางวัล โดยสลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบใบสลาก) หน่วยละ 100 บาท ฝากได้ตั้งแต่ 1 หน่วยขึ้นไป รับฝากสำหรับบุคคลธรรมดาอายุ 7 ปี ขึ้นไป และนิติบุคคลทุกประเภท สลากออมสินดิจิทัล 2 ปี หน่วยละ 100 บาท ฝากขั้นต่ำ 10 หน่วย รับฝากสำหรับบุคคลธรรมดาอายุ 15 ปี ขึ้นไป ทั้ง 2 แบบนี้ ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด โดยในช่วง 2 ปีที่ฝาก จะได้รับสิทธิ์ลุ้นถูกเลขสลากทุกเดือน ทำการออกรางวัลทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 24 ครั้ง มีเงินรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้รับเงินต้นคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย กำหนดดอกเบี้ย 0.15 บาท/หน่วย ทั้งนี้ ผู้ฝากบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยและเงินรางวัล ผู้ที่สนใจสามารถฝากได้ 2 ช่องทาง คือ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และ ฝากผ่านแอป MyMo
นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารยังได้เปิดรับฝากเงินประเภท “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 12 ปี” ซึ่งเป็นเงินฝากระยะยาวตอบโจทย์วัตถุประสงค์การออมเพื่ออนาคต ให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได (Step Up) ตลอดระยะเวลาที่ฝากเงิน เริ่มต้นปีแรก 1.25% ต่อปี สูงสุดในปีที่ 12 = 9.99% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 3.67% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 4.31% ต่อปี ผู้ฝากเงินได้รับดอกเบี้ยทุกปีและดอกเบี้ยได้รับการยกเว้นภาษี รวมถึงสามารถถอนเงินก่อนครบกำหนดได้แต่จะได้ดอกเบี้ยตามขั้นบันได ทั้งนี้ เปิดรับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดา ขั้นต่ำ 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์และระบุสาขาที่ต้องการฝากแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธ.ค.65 นี้เท่านั้น ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th และ Official Line : GSB Society
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62217 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางอัปเดตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือน ธ.ค. 65 จ่ายอะไรบ้าง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กรมบัญชีกลางอัปเดตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือน ธ.ค. 65 จ่ายอะไรบ้าง
กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายและโอนเงินให้แก่หน่วยงานและร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนธันวาคม 2565
นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายและโอนเงินให้แก่หน่วยงานและร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนธันวาคม 2565 ดังนี้
ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป)
- วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน
- ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (25 ต.ค. – ธ.ค. 65)
- ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย
* ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน
* ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน
* ค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) 500 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล)
ทุกวันที่ 18 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)
- เงินชดเชยค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้ลงทะเบียนกับ กฟน. กฟภ. และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน)
- เงินชดเชยตามจำนวนเงินที่ชำระค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ได้ลงทะเบียนกับ กปน. กปภ. ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท (ที่ได้ชำระเงินแล้ว) ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)
ทุกวันที่ 22 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)
- เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ)
สำหรับเดือนพฤศจิกายน 2565 กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่ผู้มีสิทธินำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าเดินทาง และค่าก๊าซหุงต้ม ดังนี้ (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 - 30 พฤศจิกายน 2565)
ลำดับ สวัสดิการ จำนวนเงิน (บาท)
1. สวัสดิการที่ให้เป็นวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
1.1 วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 3,531,410,208.25
1.2 วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 50,215,302.00
1.3 วงเงินค่าโดยสาร ขสมก./BTS/MRT/Airport rail link 22,755,057.58
1.4 วงเงินค่าโดยสารรถบริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) 7,988,400.00
1.5 วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 18,791,227.88
รวมจำนวนเงิน (1) 3,631,160,195.71
2. สวัสดิการที่ให้ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (e-Money)
2.1 มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ระยะที่ 1-2) 157,400.00
2.2 มาตรการสนับสนุนค่าใช่จ่ายช่วงปลายปี 191,500.00
2.3 มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย 18,400.00
2.4 มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลฯ 31,000.00
2.5 มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 168,399,508.38
2.6 มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 17,523,580.81
2.7 มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มฯ (ระยะที่ 1 - 2) 1,007.24
2.8 มาตรการเพิ่มเบี้ยคนพิการ 32,600.00
2.9 มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่เกษตรกร 88,000.00
2.10 มาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ช่วงเปิดปีการศึกษา 52,000.00
2.11 มาตรการพยุงการบริโภคของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,119,500.00
2.12 มาตรการมอบเงินช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุ 82,500.00
2.13 มาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 20,100.00
2.14 การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคที่จำเป็น 325,100.00
2.15 มาตรการเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2563 215,702,600.00
รวมจำนวนเงิน (2) 403,744,796.43
รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น (1)+(2) 4,034,904,992.14
“ทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 0 2109 2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 ในวัน เวลาราชการ" โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" นำคณะ สคบ. ลงพื้นที่ติดตามสัญญาจองรถ ในงาน Motor Expo ครั้งที่ 39 สร้างความเชื่อมั่นรัฐบาลคุ้มครองผู้บริโภคทุกมิติ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
"อนุชา" นำคณะ สคบ. ลงพื้นที่ติดตามสัญญาจองรถ ในงาน Motor Expo ครั้งที่ 39 สร้างความเชื่อมั่นรัฐบาลคุ้มครองผู้บริโภคทุกมิติ
"อนุชา" นำคณะ สคบ. ลงพื้นที่ติดตามสัญญาจองรถ ในงาน Motor Expo ครั้งที่ 39 สร้างความเชื่อมั่นรัฐบาลคุ้มครองผู้บริโภคทุกมิติ
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะประกอบด้วย นายสัณหพจน์สุขศรีเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ลงพื้นที่ติดตามการจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39" Motor Expo ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยมี นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ
การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อตรวจสอบและติดตามผู้ประกอบการธุรกิจขายรถยนต์ที่มีการจองภายในงาน ซึ่งที่ผ่านมา สคบ. ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภค เกี่ยวกับปัญหาผู้ประกอบการจัดทำสัญญาจองรถยนต์ที่ไม่เป็นธรรม โดยพบว่าผู้ประกอบการบางรายกรอกรายละเอียดไม่ครบถ้วนกับสัญญาการจองรถยนต์ การส่งมอบไม่เป็นไปตามสัญญาที่กำหนด เป็นผลให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อทั้งที่มีการวางเงินจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภคหลายราย สคบ. โดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา จึงได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการการแสดงยานยนต์และร่วมตรวจสอบสัญญาการจองรถยนต์ของผู้ประกอบการภายในงาน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าผู้ประกอบการทุกรายให้ความร่วมมือกับการดำเนินงานของ สคบ. เป็นอย่างดี โดยมีการระบุเนื้อหาในสัญญาการจองโดยละเอียดและชัดเจน ขอให้พี่น้องประชาชนที่ทำการจองรถยนต์หรือยานยนต์ภายในงานมั่นใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฏ ระเบียบของ สคบ. อย่างเคร่งครัด โดยรูปแบบของสัญญาได้มาตรฐานเป็นไปตามที่ สคบ. กำหนด สิ่งนี้จึงสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนได้ว่า สคบ. จะดำเนินการคุ้มครองและดูแลเพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมและไม่ถูกเอาเปรียบจากกลุ่มผู้ประกอบการ
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทาง สคบ. กำลังพิจารณาออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความชำรุดบกพร่องของสินค้า โดยเฉพาะรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตัวกฎหมาย คาดว่าเมื่อเรียบร้อยแล้วจะนำมาบังคับใช้เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่ารัฐบาลมิได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภคทุกด้าน
.
สำหรับงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39" Motor Expo จัดขึ้น ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565 โดยมีการแสดงรถยนต์จาก 35 ผู้ผลิตจาก 10 ประเทศ รถจักรยานยนต์ 17 ผู้ผลิตจาก 8 ประเทศ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 300 รายการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62215 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธี มอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธี มอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐ
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ปลัดกระทรวงการคลัง
รองปลัดกระทรวงการคลัง
อธิบดีกรมบัญชีกลาง
ผู้บริหารหน่วยงานที่ได้รับรางวัล
และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวันนี้ พร้อมทั้งขอแสดงความยินดี กับทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่า ที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่หน่วยงานของทุกท่าน
ผมขอขอบคุณกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติภารกิจไปในแนวทางเดียวกัน ตอบสนองนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนกำกับดูแลการบริหารจัดการ “ด้านการเงิน-การคลัง” ภาครัฐ ในภาพรวม เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ตลอดมา
ผมเชื่อมั่นว่าการมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ จะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้แก่ “ผู้ปฏิบัติงาน” ได้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และความถูกต้องตามกฎ-ระเบียบ-กติกา อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ “ส่วนราชการ” ในการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน ในระดับมาตรฐานที่สูง อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในฐานะ “ประชาชนทั่วไป” ยอมคาดหวังที่จะเห็นส่วนราชการ และข้าราชการ ปฏิบัติภารกิจของตน อย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความสุจริต ใช้งบประมาณแผ่นดินจากเงินภาษี “ทุกบาท ทุกสตางค์” อย่างมีประสิทธิภาพ ในการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งประเทศ
สำหรับในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศ นอกจากจะคาดหวังให้ทุกส่วนราชการ และข้าราชการ ร่วมกันนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า อย่างมั่นคงและยั่งยืน สมความคาดหวังของพี่น้องประชาชน “คนไทย” ทั้งประเทศแล้ว ยังมุ่งหวังให้การบริหารงานการเงิน-การคลังภาครัฐ เป็นไปอย่างบูรณาการกัน โปร่งใสตรวจสอบได้ ลดความผิดพลาด ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น สะดวก-รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนของไทย ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ในสายตาประชาคมโลก อีกด้วย
ผมขอให้ทุกหน่วยงานได้มุ่งมั่นตั้งใจ รักษาระดับมาตรฐาน “การบริหารจัดการด้านการเงิน-การคลัง” ของตน ให้มีประสิทธิผลสูง สืบเนื่องตลอดไป และขอให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงาน เพื่อยกระดับมาตรฐาน “ทุกหน่วยงาน” ของประเทศ สู่ความเป็นเลิศ ให้ได้ในที่สุด อันจะนำไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ ในภาพรวมต่อไป
โอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล อีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ทุกท่าน และผู้เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน
ขอบคุณครับ
---------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62192 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล รุดลงพื้นที่อิมแพ็ค เตรียมการจัดงานยิ่งใหญ่ "อุตสาหกรรมแฟร์" 1-4 ธันวาคมนี้ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ปลัดฯ ณัฐพล รุดลงพื้นที่อิมแพ็ค เตรียมการจัดงานยิ่งใหญ่ "อุตสาหกรรมแฟร์" 1-4 ธันวาคมนี้
ปลัดฯ ณัฐพล รุดลงพื้นที่อิมแพ็ค เตรียมการจัดงานยิ่งใหญ่ "อุตสาหกรรมแฟร์" 1-4 ธันวาคมนี้
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้ากราบไหว้ศาลตา-ยาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองทองธานี เพื่อเป็นสิริมงคลในการจัดงานยิ่งใหญ่ของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมตรวจเยี่ยมการเตรียมงานอุตสาหกรรมแฟร์ "ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม" ณ อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จัดโดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งกำหนดเปิดงานในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ต่อมาได้ตรวจพื้นที่การจัดกิจกรรมการแถลงนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2566 โดยมีท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ณ ห้องเดอะพอร์ทอล บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี
การตรวจเยี่ยมพื้นที่ดังกล่าว มีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับและนำตรวจพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62179 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64 ย้ำทุกหน่วยงานมุ่งมั่นพัฒนาบริหารจัดการด้านการเงินการคลังภาครัฐให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
นายกฯ มอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64 ย้ำทุกหน่วยงานมุ่งมั่นพัฒนาบริหารจัดการด้านการเงินการคลังภาครัฐให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64 ย้ำทุกหน่วยงานมุ่งมั่นพัฒนาบริหารจัดการด้านการเงินการคลังภาครัฐให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและประชาคมโลก
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานตามขั้นตอนการบริหารด้านการเงินการคลัง 5 มิติ ได้แก่ มิติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มิติด้านการเบิกจ่าย มิติด้านการบัญชีภาครัฐ มิติด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และมิติด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด จัดโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของส่วนราชการให้มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลังในภาพรวมของประเทศ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” รวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังให้เป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่อง โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลัง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล จำนวน 44 หน่วยงาน และ 7 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 103 รางวัล ประกอบด้วย 11 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการจัดซื้อจัดจ้าง 2. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการเบิกจ่าย 3. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการบัญชีภาครัฐ 4. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ 5. รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด 6. รางวัลบุคคล/ทีมงานที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง 7. รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศรายด้าน 8. รางวัลประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีการพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง 9. รางวัลประกาศเกียรติคุณส่งเสริมความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง 10. รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในด้านบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง (ถ้วยรวม) และ 11. ใบประกาศการผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ระดับดี และรางวัลประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีการพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง ส่วนราชการด้านการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร เข้ารับมอบรางวัลจากนายกรัฐมนตรีด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีและชื่นชมหน่วยงาน และผู้ที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่า ที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่หน่วยงานของทุกคน พร้อมขอบคุณกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติภารกิจไปในแนวทางเดียวกัน ตอบสนองนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนกำกับดูแลการบริหารจัดการ “ด้านการเงินการคลัง” ภาครัฐ ในภาพรวม เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ตลอดมา
พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าการมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้จะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้แก่ ผู้ปฏิบัติงาน ได้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และความถูกต้องตามกฎ ระเบียบ กติกา อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับส่วนราชการ ในการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน ในระดับมาตรฐานที่สูง อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในฐานะประชาชนทั่วไปย่อมคาดหวังที่จะเห็นส่วนราชการ และข้าราชการ ปฏิบัติภารกิจของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความสุจริต ใช้งบประมาณแผ่นดินจากเงินภาษีทุกบาท ทุกสตางค์ อย่างมีประสิทธิภาพ ในการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งประเทศ
นายกรัฐมนตรีย้ำในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศ นอกจากจะคาดหวังให้ทุกส่วนราชการ และข้าราชการ ร่วมกันนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า อย่างมั่นคงและยั่งยืน สมความคาดหวังของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศแล้ว ยังมุ่งหวังให้การบริหารงานการเงินการคลังภาครัฐ เป็นไปอย่างบูรณาการกัน โปร่งใสตรวจสอบได้ ลดความผิดพลาด ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น สะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนของไทย ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ในสายตาประชาคมโลกอีกด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานได้มุ่งมั่นตั้งใจ รักษาระดับมาตรฐาน “การบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง” ของตน ให้มีประสิทธิผลสูงสืบเนื่องตลอดไป และให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงาน เพื่อยกระดับมาตรฐานทุกหน่วยงานของประเทศ ไปสู่ความเป็นเลิศให้ได้ในที่สุด อันจะนำไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐในภาพรวมต่อไป
--------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62193 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดพิธีมอบรางวัล “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” โครงการนายอำเภอแหวนเพชร และ ปลัดอำเภอแหวนทองคำ ยกย่องเชิดชูเกียรติต้นแบบชาวราชสีห์ผู้สืบสานพระปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
มหาดไทย จัดพิธีมอบรางวัล “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” โครงการนายอำเภอแหวนเพชร และ ปลัดอำเภอแหวนทองคำ ยกย่องเชิดชูเกียรติต้นแบบชาวราชสีห์ผู้สืบสานพระปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข"
กระทรวงมหาดไทย จัดพิธีมอบรางวัล “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” โครงการนายอำเภอแหวนเพชร และโครงการปลัดอำเภอแหวนทองคำ ยกย่องเชิดชูเกียรติต้นแบบชาวราชสีห์ผู้สืบสานพระปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ ประจำปี 2565
วันนี้ (1 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณโครงการส่งเสริมจริยธรรมของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” ประจำปี 2564 โครงการนายอำเภอแหวนเพชร และโครงการปลัดอำเภอแหวนทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2565 โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมการปกครอง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ร่วมในพิธี
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณ ดังนี้
1. รางวัลโครงการส่งเสริมจริยธรรมของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” ประจำปี 2564 จำนวน 6 ราย ได้แก่ 1) นายเชาวลิตร แสงอุทัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร 2) นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ 3) นางนภาภรณ์ โลหะเวช หัวหน้าสำนักงานจังหวัดนครสวรรค์ 4) นางศุกลรัตน์ จันทร์มณี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด สำนักงานจังหวัดลำปาง 5) นางกฤตยา ดวงประเสริฐ นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานจังหวัดเพชรบูรณ์ และ 6) นายอรรถพล เสือแท้ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด สำนักงานจังหวัดระนอง
2. รางวัลนายอำเภอแหวนเพชร (รางวัลชนะเลิศ) จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1) นายณัฏฐพงษ์ พัฒนรัฐ นายอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี 2) นายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล นายอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 3) นายนิสิต สวัสดิเทพ นายอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 4) นายกองโท อิสรา สุขแจ่มใส นายอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ และ 5) นายโอฬาร บิลสัน นายอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
3. รางวัลนายอำเภอแหวนเพชร (รางวัลชมเชย) จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1) นายสันติ จัตุพันธ์ นายอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) นางปิณฑิรา เก่งการพานิช นายอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา 3) นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช 4) ว่าที่ ร.ต.ณรงค์ชัย จินดาพันธ์ นายอำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ และ 5) นายธราวุธ ช่วยเกิด นายอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา
3) ปลัดอำเภอแหวนทองคำ (รางวัลชนะเลิศ) จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1) นายพชร ทองสุข ปลัดอำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย 2) นายอรรจน์ชญาณ์ ธนาภาชูสิทธิ์ ปลัดอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) นายศิลปชัย จันทร์มีศรี ปลัดอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4) นายประไพ กาละ ปลัดอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 5) นายสุพัฒน์ พลทามูล ปลัดอำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา
4) ปลัดอำเภอดีเด่น (รางวัลชมเชย) จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1) นายจักรพล เที่ยงภักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 2) นายฐานธวัช อิงค์อนันต์นาท ปลัดอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 3) ว่าที่ ร.ต.(หญิง) กนกวรรณ บุญประกอบ ปลัดอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 4) นายศรัณยู แดงนวล ปลัดอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และ 5) นางอังคณา เหมือนมาตย์ ปลัดอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวให้โอวาท ความว่า “ขอแสดงความยินดี และชื่นชมกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลผู้มีจริยธรรมดีเด่น ประจำปี 2564 รางวัลนายอำเภอแหวนเพชร และรางวัลนายอำเภอแหวนทองคำ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครองได้พิจารณาแล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ได้รับการยอมรับจากประชาชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สมควรที่จะได้รับรางวัลและประกาศเกียรติคุณนี้ โดยนายอำเภอและปลัดอำเภอ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและมีความสำคัญในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว คุณงามความดีที่นายอำเภอและปลัดอำเภอได้กระทำในทุกยุคทุกสมัย ทำให้เกิดการยอมรับจากประชาชนและเชื่อถือศรัทธามาจนถึงปัจจุบัน การที่ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีงาม ถือว่าท่านได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ทำหน้าที่สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดี และช่วยเหลือดูแลแก้ไขปัญหา ให้แก่ประชาชน ตามพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้ที่ได้รับรางวัลผู้มีจริยธรรมดีเด่นของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยในปีนี้ ซึ่งทุกท่านถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าของกระทรวงมหาดไทย และเป็นแบบอย่างของบุคคลที่มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจเพื่อประชาชน และประเทศชาติ”
ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการส่งเสริมจริยธรรมของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย “ผู้มีจริยธรรมดีเด่น” ประจำปี 2564 เป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ส่งเสริมและสนับสนุนให้การดำเนินการเกี่ยวกับระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยอยู่บนหลักของธรรมาภิบาล และให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ ในการปฏิบัติงานและต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม ในการปฏิบัติงาน เพื่อขับเคลื่อนภารกิจตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และผลที่ได้รับคือการทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ในภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการนายอำเภอแหวนเพชร และโครงการปลัดอำเภอแหวนทองคำ ประจำปี 2564 เป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจและเชิดชูเกียรติ “นายอำเภอ” และ “ปลัดอำเภอ” ที่ได้เสียสละกำลังกาย กำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการในทุกพื้นที่ของประเทศ มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น มีคุณธรรมจริยธรรม จนเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ โดยพิจารณาคัดเลือกนายอำเภอ และปลัดอำเภอ ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับของส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการเป็น “ผู้นำ” การบูรณาการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่เพื่อสร้างความผาสุกให้กับสังคมไทยและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62202 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมั่นใจ ฟิทช์ เรตติ้ง คงอันดับความน่าเชื่อถือและให้มุมมองมีเสถียรภาพไทยจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่างชาติ หนุนนโยบายรัฐเร่งดึงบรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคในไทย | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
นายกรัฐมนตรีมั่นใจ ฟิทช์ เรตติ้ง คงอันดับความน่าเชื่อถือและให้มุมมองมีเสถียรภาพไทยจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่างชาติ หนุนนโยบายรัฐเร่งดึงบรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคในไทย
นายกรัฐมนตรีมั่นใจ ฟิทช์ เรตติ้ง คงอันดับความน่าเชื่อถือและให้มุมมองมีเสถียรภาพไทยจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่างชาติ หนุนนโยบายรัฐเร่งดึงบรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคในไทยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาคน
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบจากระทรวงการคลังถึงกรณีที่บริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
โดยการคงมุมมองความน่าเชื่อถือต่อประเทศไทยดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปี 2565-66 จะเติบโตร้อยละ 3.3 และ 3.8 ตามลำดับซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน ภาคการคลังสาธารณะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ มีแนวโน้มการขาดดุลภาคการคลังลดลงอย่างต่อเนื่องลดลง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ ขณะที่ภาคการเงินต่างประเทศก็มีความเข้มแข็งและยืดหยุ่น ทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอและอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของประเทศไทยและนโยบายการบริหารความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและให้ความสนใจที่จะลงทุนในไทย เห็นได้จากนักธุรกิจหลายคณะที่เดินทางมาพบนายกรัฐมนตรีทั้งจากสหรัฐฯ และยุโรป ในระยะนี้ต่างให้ความสนใจสอบถามถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนและโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่
รวมถึงจะการสนับสนุนแนวนโยบายที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยการให้สิทธิประโยชน์และอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อดึงบรรษัทข้ามชาติมาตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค (International Headquarters) ในประเทศไทย โดยจากที่ผ่านมามีหลายบริษัทเข้ามาตั้งแล้ว เช่น สำนักงานใหญ่ภูมิภาคอโกด้า แพลตฟอร์มรับจองโรงแรมทั่วโลก,บริษัท เอ็กซอน โมบิล, บริษัท บอมบาร์ดิเอร์ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอัลสตอม ประกอบธุรกิจการพัฒนาระบบรางของรถไฟฟ้า ซึ่งการเข้ามาของบริษัทเหล่านี้ได้ให้ประโยชน์กับไทยอย่างมากโดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนยีและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อดึงดูดการเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคในไทยมากขึ้นนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ปรับปรุงการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงกลางเดือนธ.ค. นี้คณะอนุกรรมการแก้ไขอุปสรรคและอำนวยความสะดวกในการลงทุน ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงานเป็นประธาน จะประชุมร่วมกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ให้บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แก่ต่างชาติจะเข้ามาติดต่อเรื่องการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค ซึ่งจากปกติหากเข้ามาตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยจะต้องขออนุญาตทั้ง 4 หน่วยงานก็ให้มาดำเนินการทุกขั้นตอน ณ จุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62175 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. สั่งผู้ว่าฯ 76 จังหวัด สร้างทีมในพื้นที่ร่วมกับ เครือข่าย รุกรบ เพื่อขับเคลื่อนงานให้เกิดความยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
ปลัด มท. สั่งผู้ว่าฯ 76 จังหวัด สร้างทีมในพื้นที่ร่วมกับ เครือข่าย รุกรบ เพื่อขับเคลื่อนงานให้เกิดความยั่งยืน
ปลัด มท. สั่งผู้ว่าฯ 76 จังหวัด สร้างทีมในพื้นที่ร่วมกับ เครือข่าย รุกรบ เพื่อขับเคลื่อนงานให้เกิดความยั่งยืน
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาล และภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นางสาวปาณี นาคะนาท หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงษ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายวราพงษ์ เกียรตินิยมรุ่ง ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ กรมที่ดิน หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ส่วนกลาง เข้าร่วมการประชุม โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS)
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมติดตามการขับเคลื่อนภารกิจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของชาวมหาดไทยในทุกพื้นที่ ซึ่งมี “ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็นแม่ทัพคนสำคัญในการมุ่งมั่นบูรณาการการทำงานของชาวมหาดไทยและภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยทั้ง 7 ภาคี อันได้แก่ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคผู้นำวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ซึ่งที่ผ่านมา ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและภาคีเครือข่ายร่วมกันขับเคลื่อนการทำงานของทุกจังหวัดเต็มกำลัง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งขอให้ทุกจังหวัดได้ทำให้เป็นไปอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง นั่นคือ “การสื่อสารกับสังคม” ผ่านการสร้างความรับรู้ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในทุกช่องทางสื่อสาร ทั้งออนแอร์ ออนไลน์ ออนไซด์ และออนกราวน์ เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบความปรารถนาดีและสิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่น ด้วย Passion แห่งการทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน
“ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องมีใจรุกรบ มีจิตอาสา เสียสละ ด้วยความมุ่งมั่น เข้มแข็ง อดทน และดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อมีความพร้อมในการทำบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ในทุกเวลา ทุกโอกาสของชีวิตราชการ ที่ทุกวันก็จะเหลือเวลาของการรับราชการน้อยลง บางท่านอาจจะเหลือ 1 ปี บางท่านอาจจะเหลือ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี แต่ไม่ว่าจะเกษียณเร็วหรือช้า พระท่านว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ เศรษฐี ยาจก นายพล นายพัน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องตาย และไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ อาจจะพรุ่งนี้ มะรืนนี้ “มันไม่แน่นอน” และตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนว่า “อย่าประมาท” ทุกคนจึงต้องเร่งทำความดี ซึ่งแน่นอนว่าเวลาราชการจะเหลือน้อยลงทุกวัน แต่ชีวิตเราที่จะได้ทำความดีให้กับประเทศชาติมันไม่แน่นอน จึงขอให้ได้ช่วยกันปลุกจิต ปลุกใจ ให้สำนึกอยู่เสมอว่า ในฐานะที่กินเงินเดือนภาษีอากรจากเงินของพี่น้องประชาชน และในฐานะที่เราทุกคนแต่งเครื่องแบบข้าราชการ บนหมวกและเข็มขัดที่เอวก็มีครุฑ ปกเสื้อมีราชสีห์ หน้าอกซ้ายมีแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้าอกขวา ป้ายชื่อและตำแหน่ง และเข็มเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง “ครุฑ” เป็นพระราชพาหนะของพระนารายณ์ เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดิน แถบแพรฯ เข็มฯ ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนภาคภูมิใจที่ได้รับพระราชทานมา สีกากีของเครื่องแบบก็เป็นสีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานอรรถาธิบายไว้ว่า คือ “สีของแผ่นดิน” อันมีนัยยะว่า “คนเป็นข้าราชการต้องพึงสำนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพวกเราชาวมหาดไทย ทั้งข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พวกเราก็ต้องจำในสิ่งที่เราได้รับการสั่งสอน ได้รับการมอบหมายว่า เรามีหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชน ต้องช่วยกัน “เร่งทำความดี”ด้วยการ “สร้างทีมในพื้นที่” จาก 7 ภาคีเครือข่าย ทั้ง “ทีมจังหวัด “ทีมอำเภอ” “ทีมตำบล” “ทีมหมู่บ้าน” เพราะการทำงานให้สำเร็จต้องมี “ทีม” เกิดขึ้นให้ได้ และต้องไม่ดูถูกดูแคลนภาคีเครือข่าย และไม่ปฏิบัติต่อภาคีเครือข่ายด้วยการไปขออย่างเดียว หรือไปแค่ปีละครั้ง “ต้องสม่ำเสมอ” ดังพุทธพจน์ที่ว่า วิสฺสาสปรมา ญาตี. "ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง" โดยมีการพูดคุย พบปะกัน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้เกิด “สามัคคีคือพลัง” งานใหญ่น้อยจะสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็ว คนในชุมชน ในสังคมต้องพร้อมเพรียงกัน ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้น” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ
จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนงาน ได้แก่ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการมุ่งมั่นทำสงครามกับยาเสพติดอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งจัดเตรียมพื้นที่ภายในชุมชนเพื่อเป็นศูนย์บำบัดฟื้นฟู อย่างน้อยอำเภอละ 1 แห่ง และประสานเตรียมทีมภาคีเครือข่ายให้ครบถ้วนแต่ละด้าน เช่น ด้านสาธารณสุข โดยบุคลากรสาธารณสุข ด้านระเบียบวินัย โดยผู้มีความสามารถด้านกีฬา สันทนาการ ด้านอาชีพที่สร้างการพึ่งพาตนเอง เช่น ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เลี้ยงกบ เลี้ยงจิ้งหรีด ทำไข่เค็ม ทำอาหาร เพื่อให้มีความมั่นคงด้านอาหาร และเชิญผู้นำทางศาสนาประจำศูนย์ อาทิ พระสงฆ์ โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม และจัดตั้งทีมจิตวิทยามวลชนในพื้นที่ เพื่อให้กำลังใจครอบครัว ให้กำลังใจคนที่ติดยาเสพติด โดยเมื่อคนที่ผ่านการบำบัดฟื้นฟูแล้ว ทีมนี้ต้องหมั่นไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจ และกลไกครูในโรงเรียนทุกสังกัดเป็นทีมหัวหมู่ทะลวงฟัน สร้างเกราะป้องกันยาเสพติดให้กับเด็ก เยาวชน ในระบบการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ ด้วยการน้อมนำโครงการพระดำริ To Be No.1 ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาขับเคลื่อน ทำให้ครบทุกมิติ เพื่อคืนลูกที่ดีให้กับพ่อแม่ คืนน้องที่ดีให้กับพี่ คืนสามีที่ดีให้กับภรรยา เท่ากับคืนคนดีให้กับแผ่นดิน ทำให้ประเทศชาติของเรามีความมั่นคง ทำให้คนในสังคมมีความสุข อันเป็นการทำบุญให้กับสังคมไทย ให้กับประเทศชาติ สนองพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “แก้ไขในสิ่งผิด” เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคง คนในสังคมมีความสุข “สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเป็นหัวโต๊ะประชุมโต๊ะข่าวยาเสพติดทุกสัปดาห์ โดยมี “ป้องกันจังหวัด” เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยเชิญภาคีเครือข่ายร่วมโต๊ะข่าวยาเสพติดตามความเหมาะสมของพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ในระดับอำเภอก็เช่นกัน ท่านนายอำเภอ ต้องทำเฉกเช่นเดียวกับผู้ว่าราชการจังหวัด โดยโต๊ะข่าวยาเสพติดให้ผนวกเรื่องอาชญากรรมและเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นภัยกับสังคมในระดับพื้นที่เข้าไปด้วย โดยให้กรมการปกครอง รวบรวมประมวลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รายงานกระทรวงมหาดไทยทราบอย่างต่อเนื่อง”
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ขอให้ทุกจังหวัดได้น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “ด้วยการผนึกกำลังทั้ง 7 ภาคีเครือข่ายให้ทุกครัวเรือน ทุกโรงเรียน ช่วยกันสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “ปลูกพืชปลูกผักปลูกรักกับชาวมหาดไทย” ดังโครงการพระราชดำริ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ซึ่งมีตัวอย่าง คือ อบต.โก่งธนู อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี ที่มี “ผู้นำท้องถิ่น” “ผู้นำท้องที่” พระสงฆ์ ข้าราชการ ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงทรงโปรดให้มูลนิธิชัยพัฒนา และศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธุ์เพ็ญศิริ ลงไปขับเคลื่อนทำให้ชาวบ้านทุกครัวเรือนมีผักกว่า 30 ชนิดในทุกบ้าน ทั้ง “บนอากาศ” ฟัก แฟง แตง บวบ “บนดิน” กะเพรา โหระพา พริก และยังมีระบบธนาคารน้ำใต้ดิน อันเป็นการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยการเริ่มตั้งแต่ “ผู้นำต้องทำก่อน” แล้วขยับขยายไปสู่พี่น้องประชาชนให้ทำอย่างต่อเนื่อง อันจะยังผลให้ประเทศเป็น แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ให้คนมีความมั่นคงด้านอาหาร พึ่งพาตนเอง ลดรายจ่ายปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท และทำให้คนไทยมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรง ไม่ได้รับสารพิษสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย
“เนื่องในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ในวันที่ 8 มกราคม 2566 จึงขอให้ทุกจังหวัดได้ปฏิบัติบูชาเพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน โดยในทุกวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันประสูติ พร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทยลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เพิ่มเติมอีก 1 วันจากมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้พวกเราได้ร่วมกันสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 8 ธ.ค. 65 เป็นต้นไป อันเป็นการถวายพระกำลังใจที่พระองค์ทรงสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จนทำให้ผ้าไทยเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และเรายังได้ช่วยให้คนไทยที่เป็นล้าน ๆ คนขายผ้าไทยได้มากขึ้น เงินทองก็จะหมุนเวียนในประเทศ รวมทั้งประสานแจ้ง อปท. และหน่วยงานบริการพี่น้องประชาชนในจังหวัดรณรงค์ให้สวมใส่ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ในทุกวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ด้วย และให้ทุกจังหวัดคิดริเริ่มจัดทำโครงการ/กิจกรรม เฉลิมพระเกียรติ ในเดือนมกราคม 66 และตลอดทั้งปี 66 เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาถวายแด่พระองค์ท่านโดยพร้อมเพรียงกัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก
#soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62188 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประชุมประเด็นการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมประเด็นการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการ
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมประเด็นการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ประจำปีงบประมาณ 2566
นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างประเด็นการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมี พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายขจร เราประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอานนท์ นนทรีย์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการ ผู้ตรวจราชการกรม ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ (134 - 135) และผ่านระบบประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting
สำหรับประเด็นการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการ ในระดับพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีประเด็นดังนี้ 1) การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทานโครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อการเกษตร โครงการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน โครงการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพระดับการใช้น้ำไร่นา 2) การผลิตพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ได้มาตรฐานให้เพียงพอโครงการเสริมสร้างศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์ข้าวชุมชน 3) การป้องกันโรคระบาดทั้งในพืชและสัตว์โครงการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และเชื้อดื้อยาในสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์4) การลดต้นทุนการผลิตโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่5) การส่งเสริมอาชีพด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน และโครงการขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง6) คุณภาพและมาตรฐานในการรับรองสินค้าเกษตร จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์) และโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร (ส่งเสริมเกษตร GAP)7) การพัฒนาช่องทางการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นโครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนโครงการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจชุมชน8) การพัฒนาเกษตรกรเข้าสู่ Smart farmerโครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)9) การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC)และ 10) ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)
ทั้งนี้ กรอบแนวคิดและหลักการตรวจราชการฯ ประกอบด้วย 1. วิเคราะห์สินค้าเกษตรที่สำคัญ เพื่อทราบและเข้าใจสถานการณ์การผลิต การตลาด 2. ตรวจสอบประสิทธิภาพกระบวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานหลักและสนับสนุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย3. ตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมาย ระเบียบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนำไปสู่การกำกับดูแลที่ดี4. การประเมินความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงจากปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร/ประชาชน เพื่อป้องกัน บรรเทา ลดขนาดความเสียหายของเกษตรกรและสร้างความเชื่อมั่นต่อกลไกภาครัฐ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2565เรื่อง แผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566ซึ่งได้กำหนดแผนการตรวจราชการฯ ประจำปี 2566 เพื่อให้เป็นมาตรการสำคัญในการบริหาราชการแผ่นดินที่จะทำให้การปฏิบัติราชการ เป็นไปตามภารกิจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์กระทรวง ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ สามารถแก้ไขปัญหา อุปสรรค ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทางราชการและประชาชน โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อนตามนโยบายสำคัญกระทรวงเกษตรฯรวมทั้งในเรื่องของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และปุ๋ยชีวภาพ ทดแทนปุ๋ยเคมี การผลิตอาหารสัตว์และอาหารสัตว์น้ำทีมีคุณภาพและราคาถูก ตลอดจนโครงการขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูงและยังประชุมรับทราบคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2565เรื่อง ติดตามเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยให้มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่เป็นเรื่องเฉพาะใน 8 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ที่ดินทำกิน2. หนี้สินเกษตรกร 3. การชุมนุมของกลุ่มมวลชนด้านการเกษตร 4. การนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตรทุกช่องทาง 5. ปัญหาสินค้าเกษตรล้นขาดตลาด หรือราคาตกต่ำ 6. โรคระบาดพืชและสัตว์ 7. การผลิตพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ได้มาตรฐานให้เพียงพอ และ 8. ติดตามผลการดำเนินงานกองทุนของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯแหละหน่วยงานในสังกัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62208 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมคณะกรรมการประสานงานภายใต้การดำเนินการจัดทำแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่ต่อเนื่อง ระยะที่ 2 (M-MAP2) ครั้งที่ 2/2565 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมคณะกรรมการประสานงานภายใต้การดำเนินการจัดทำแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่ต่อเนื่อง ระยะที่ 2 (M-MAP2) ครั้งที่ 2/2565
.....
กรมการขนส่งทางราง (ขร.) กระทรวงคมนาคมจัดประชุม “คณะกรรมการประสานงานภายใต้การดำเนินการจัดทำแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่ต่อเนื่อง ระยะที่ 2 (M-MAP2) (Joint Coordinating Committee : JCC) ครั้งที่ 2/2565 ซึ่งมีคณะทำงานฝ่ายไทย นำโดย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนทางราง และคณะทำงานฝ่ายญี่ปุ่น นำโดยนายคาวาเบะ เรียวอิจิ ผู้แทนอาวุโส จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JICA (Japan International Cooperation Agency) และเจ้าหน้าที่ JICA เข้าร่วมประชุม โดยการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ ขร. ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ Record of Discussion (R/D) ภายใต้การดำเนินโครงการ “The Project for Enhancing Capacity for Formulation of The Second Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region (M-MAP2)” ร่วมกับ JICA เพื่อสนับสนุนการจัดทำ M-MAP2 ให้มีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้
อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ประธานการประชุม กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงปรับปรุงแก้ไขกิจกรรม M-MAP2 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ขร. กับ JICA เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกัน และได้รายงานความคืบหน้าของผลการดำเนินงานโครงการ M-MAP2 ประกอบด้วย 1. ผลความคืบหน้าการศึกษาเรื่องการคาดการณ์ความต้องการเดินทาง (Demand Forecasting) และการสำรวจการจราจร (Traffic Surveys) 2. ความคืบหน้าของการพัฒนาโครงข่ายรถไฟและการวางแผนเส้นทางรถไฟ และได้มีการยืนยันแผนการดำเนินงานจากทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น โดยยืนยันว่าแบบจำลองที่จะใช้ในการกำหนดเส้นทางรถไฟจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 และนำผลที่ได้จากแบบจำลองมากำหนดเส้นทางรถไฟต่อไป โดยปัจจุบันคณะทำงานมีการกำหนดแผนการทำงาน รวมทั้งได้รับการยืนยันแผนจากทั้ง 2 ฝ่ายเรียบร้อยแล้ว และคณะทำงานจะนำข้อคิดเห็นต่างๆ ในที่ประชุมไปดำเนินการ ในเรื่องโครงการ M-MAP2 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็นโครงการตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ Minutes Of Corporation (MOC) ซึ่ง M-MAP2 เป็นส่วนหนึ่งของ MOC ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ และสัปดาห์หน้ารองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะลงนามใน MOC ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Minister of Land, Infrastructure, Transport and Tourism : MLIT) ของประเทศญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว โดยเป็นการลงนามความร่วมมือที่จะทำให้การพัฒนาระบบรางเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อบรม "การใช้ ICT เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการสตรี” | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
อบรม "การใช้ ICT เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการสตรี”
อบรม "การใช้ ICT เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการสตรี”
1ธันวาคม2565 -นางสาวกัลยาชินาธิวรรักษาการที่ปรึกษาด้านต่างประเทศสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร“การใช้ICTเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการสตรี”ซึ่งจัดโดยศูนย์วิจัยCCDKMมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.)ร่วมกับศูนย์ฝึกอบรมAsian and Pacific Training Centre for Information and Communication Technology for DevelopmentหรือAPCICTภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก(เอสแคป)โดยคัดเลือกผู้ประกอบการสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าร่วมการฝึกอบรมจำนวน๕๘คนเข้าร่วมการฝึกอบรมครั้งนี้เป็นความร่วมมือของภาครัฐภาคการศึกษาและภาคเอกชนระหว่างเมืองพัทยากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มูลนิธิพระมหาไถ่เมืองพัทยาและบริษัทMicrosoftประเทศไทยเพื่อ“การพัฒนาพัทยาบุคลากรสู่สากล”โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการWorkshop on ICT for Women Entrepreneurs (Women Entrepreneurs Track)ภายใต้ศูนย์ฝึกอบรมAPCICTซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อผู้ฝึกสอนที่มีศักยภาพประกอบด้วยข้าราชการจากหน่วยงานราชการท้องถิ่นอาสาสมัครและผู้ประกอบการ(สตรี)เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้านต่างๆและเป็นโอกาสในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงต่อเศรษฐกิจโดยการใช้ประโยชน์จากไอซีทีและเทคโนโลยีดิจิทัลณห้องประชุมเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรุ่งนี้ ธ.ก.ส. เตรียมโอนเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มกว่า 1,700 ล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
พรุ่งนี้ ธ.ก.ส. เตรียมโอนเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มกว่า 1,700 ล้านบาท
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2565/66 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท และมีการโอนจ่ายรอบที่ 1 ไปแล้ว ในช่วงวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา จำนวนกว่า 50,615 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนกว่า 4.29 ล้านราย
โดยในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ) ธ.ก.ส. จะโอนเงินรอบที่ 2 ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศ จำนวน 204,471 ราย เป็นจำนวนเงินกว่า 1,780 ล้านบาท
ทั้งนี้ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนฯ สามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมง และจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62216 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีกระทรวงแรงงานได้โควตาจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลีใต้เพิ่มใน 3 กลุ่มแรงงาน เป็น 15,000 คน มั่นใจเป็นโอกาสเพิ่มงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทย | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีกระทรวงแรงงานได้โควตาจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลีใต้เพิ่มใน 3 กลุ่มแรงงาน เป็น 15,000 คน มั่นใจเป็นโอกาสเพิ่มงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีกระทรวงแรงงานได้โควตาจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลีใต้เพิ่มใน 3 กลุ่มแรงงาน เป็น 15,000 คน มั่นใจเป็นโอกาสเพิ่มงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงผลการหารือระหว่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับ นาย มุน ซึง ฮย็อน (Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยได้โควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีเพิ่ม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในส่วนของประเด็นแรงงานไทย ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ หากไทยจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศจะเป็นโอกาสยกระดับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน ทำให้คนไทยมีงานทำ นำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ตลาดแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี นับว่าเป็นตลาดแรงงานที่มีศักยภาพและเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากแรงงานต่างชาติได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเทียบเท่าคนในชาติ รวมทั้งอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างสูง ทำให้มีแรงงานไทยจำนวนมาก เดินทางไปทำงาน ซึ่งจากข้อมูลในเดือน กรกฎาคม ปี 2565 มีจำนวนแรงงานไทยสะสม อยู่ในเกาหลี เป็นจำนวนถึง 12,950 คน
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานรายงานว่า ได้ขอเพิ่มโควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้ในปี 2566 ทั้ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก วีซ่าทำงานประเภท E-9 (แรงงานทั่วไป) ที่จัดส่งตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ขอเพิ่มโควตาจากเดิมที่เคยจัดส่งไปปีละ 2,500 คน เป็น 5,000 คน กลุ่มที่ 2 วีซ่าทำงานประเภท E-7 (แรงงานประเภททักษะ/แรงงานฝีมือ) ไปทำงานสาขาช่างเชื่อม ช่างทาสี ในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ จำนวน 5,000 คน และกลุ่มที่ 3 วีซ่าทำงานประเภท E-8 (แรงงานเกษตรตามฤดูกาล) จำนวน 5,000 คน รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 15,000 คน จากเดิม 2,500 คน
ซึ่งในช่วงสัปดาห์การจัดการประชุมเอเปค 2022 ของไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี ในประเด็นความร่วมมือด้านแรงงาน จึงได้หยิบยกประเด็นการขอเพิ่มโควตาแรงงาน และการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย
“นายกรัฐมนตรีได้วางแนวทางในการทำงานให้กับคณะรัฐมนตรี โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ ดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นอันดับต้น โดยรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตอบรับและดำเนินการตามข้อสั่งการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การเพิ่มโควตาแรงงานไทยในประเทศเกาหลีจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ของแรงงานไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานและครอบครัว พัฒนาทักษะและประสบการณ์ ที่จะสามารถนำมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง และของประเทศไทยได้ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้หยุดการทำงานแต่เพียงเท่านี้ ยังพิจารณาหาช่องทางอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62171 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ ชูชุมชน “ดีพร้อม” มุ่งพัฒนาคน เสริมทักษะ ฝึกอาชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง พร้อมเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับมาตรฐานการครองชีพ | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
นายกฯ เปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ ชูชุมชน “ดีพร้อม” มุ่งพัฒนาคน เสริมทักษะ ฝึกอาชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง พร้อมเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับมาตรฐานการครองชีพ
นายกฯ เปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ ชูชุมชน “ดีพร้อม” มุ่งพัฒนาคน เสริมทักษะ ฝึกอาชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง พร้อมเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับมาตรฐานการครองชีพ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทุกระดับ
วันนี้ (1 ธันวาคม 2565) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณเวทีกลาง อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” ภายใต้โครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีชมวีดิทัศน์ภาพรวมการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ชุมชนดีพร้อม” และการพัฒนา “คน” ที่เป็นประชาชนในระดับท้องถิ่นและชุมชน ผ่าน “กลไก 7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม” ได้แก่ แผนชุมชนดีพร้อม คนชุมชนดีพร้อม แบรนด์ชุมชนดีพร้อม ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินทุนหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 – 4 ธันวาคม 2565 ณ อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 - 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อต่อยอดผลสำเร็จของโครงการ พัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนและเสริมทักษะในการประกอบธุรกิจให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีอาชีพใหม่ รวมทั้งช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนการเปิดตลาดไอเดียสำหรับประชาชนเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจที่มั่นคง ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท จากนั้น นายกรัฐมนตรีชมการแสดง “รวมใจพัฒนา อาชีพเสริม เพิ่มรายได้ ให้ชุมชน คนสุขใจ” พร้อมรับฟังรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ ที่ร่วมกันดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนในชุมชนมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน เสริมกำลังขับเคลื่อนพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนในระดับท้องถิ่นและชุมชนซึ่งเป็นรากฐานและกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศ มีการเสริมทักษะและฝึกอาชีพแก่ประชาชนให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีรายได้ มีอาชีพใหม่ รวมทั้งการพัฒนาตลาดและสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายที่แสดงศักยภาพของผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการธุรกิจใหม่ในชุมชนที่มีความโดดเด่น ซึ่งงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ เป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงผลความสำเร็จในการขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานราก การดูแลสภาพแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการผลกระทบจากการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เช่น การลดภาวะโลกร้อน การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น เพื่อให้มีความพร้อมในการเผชิญกับวิกฤตการณ์ในอนาคต
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท รวมทั้งเร่งการใช้จ่ายของภาครัฐ ขยายการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งกระตุ้นการใช้สอยของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ รวมถึงมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนให้เข้มแข็ง มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ อันจะก่อให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น เพื่อให้ทุกคนอยู่รอดอย่างพอเพียงและยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งหลายประเทศชื่นชมในศักยภาพของไทย มีการเปิดกว้างและพึ่งพาอาศัยกันเพื่อร่วมกันพัฒนาให้เติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน โดยรัฐบาลพร้อมขับเคลื่อนส่งเสริมและพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เพื่อทำให้เศรษฐกิจฐานรากเจริญเติบโต ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประชาชน ร่วมเดินหน้าประเทศให้ดีขึ้นไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการศึกษาองค์ความรู้จากต่างประเทศที่เป็นประโยชน์เพื่อการนำมาประยุกต์ดัดแปลงใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมและการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ ขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจและร่วมธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ จะช่วยต่อยอดและขยายผลโครงการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เป็นโอกาสให้ประชาชนพบช่องทางในการสร้างอาชีพ สามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ประกอบการ พร้อมสร้างความเข้มแข็งในชุมชนอันจะเป็นภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งให้แก่ประเทศชาติ และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี เชิญชวนเยี่ยมชมงานอุตสาหกรรมแฟร์ฯ สนับสนุนสินค้าจากชุมชนและผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เกิดความยั่งยืน เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการต้นแบบชุมชนดีพร้อม เทคโนโลยีและนวัตกรรม การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การยกระดับเกษตรอุตสาหกรรมและโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) การจำลองบรรยากาศถนนคนเดินสรรพยา และเยี่ยมชมภาพรวมผลสำเร็จของหลักสูตรฝึกอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62209 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงเตรียมเดินหน้าการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน - บางบัวทอง | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงเตรียมเดินหน้าการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน - บางบัวทอง
...
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้เร่งเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถรองรับการขนส่งและการเดินทางต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภาคส่วน ให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย โดยโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน - บางบัวทอง หรือถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนด้านตะวันตก เป็นหนึ่งในโครงการที่กรมทางหลวง (ทล.) เดินหน้าพัฒนา สำหรับความคืบหน้าการให้เอกชนร่วมลงทุน ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือคณะกรรมการ PPP สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้มีมติเห็นชอบรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 โดยการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในครั้งนี้ กำหนดให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบงานในส่วนการออกแบบและก่อสร้าง พร้อมจัดหาเงินทุนรวมถึงการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐในการก่อสร้าง การดำเนินงานและบำรุงรักษาตลอดอายุโครงการ โดยมีวงเงินค่าลงทุนงานโยธาและงานระบบกว่า 51,700 ล้านบาท และค่า O&M กว่า 12,600 ล้านบาท โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน - บางบัวทอง จะก่อสร้างเป็นทางยกระดับ ขนาด 6 ช่องจราจร ตามแนวถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 2 ด้านตะวันตก
โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมต่อโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 วงแหวนกาญจนาภิเษก ด้านทิศใต้ โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว และโครงการทางพิเศษพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก บริเวณทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน แนวเส้นทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือข้ามทางรถไฟสายแม่กลอง ถนนเพชรเกษม เชื่อมต่อทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ข้ามทางรถไฟสายใต้ เชื่อมต่อทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี จากนั้นเบี่ยงแนวเส้นทางขนานไปกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง และมีจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณจุดตัดทางแยกต่างระดับบางบัวทอง เชื่อมต่อโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 วงแหวนกาญจนาภิเษก ช่วงบางบัวทอง - บางปะอิน โดยครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี รวมระยะทาง 35.85 กิโลเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2571
ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะกลายเป็นโครงข่ายสำคัญที่เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่ง ระหว่างพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยสมบูรณ์ ซึ่งการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้ามามีร่วมลงทุนในโครงการของรัฐ จะช่วยลดภาระงบประมาณการก่อสร้างของภาครัฐ ลดระยะเวลาการก่อสร้าง ส่งเสริมการจ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สำคัญช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยให้มีศักยภาพสูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64 | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบฯ 64
วันนี้ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานตามขั้นตอนการบริหารด้านการเงินการคลัง 5 มิติ ได้แก่ มิติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มิติด้านการเบิกจ่าย มิติด้านการบัญชีภาครัฐ มิติด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และมิติด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด จัดโดย กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของส่วนราชการให้มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส ส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังในภาพรวมของประเทศ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” รวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังให้เป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่อง สำหรับ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหมได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณองค์กรที่มีความ เป็นเลิศในด้านบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง (ถ้วยรวม) โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ารับมอบรางวัลจากนายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีและชื่นชมหน่วยงาน และผู้ที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่า ที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่หน่วยงานของทุกคน พร้อมขอบคุณกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติภารกิจไปในแนวทางเดียวกัน ตอบสนองนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนกำกับดูแลการบริหารจัดการ “ด้านการเงินการคลัง” ภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานมุ่งมั่นตั้งใจรักษาระดับมาตรฐาน “การบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง” ของหน่วยงาน ให้มีประสิทธิผลสูงสืบเนื่องตลอดไป และให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงาน เพื่อยกระดับมาตรฐานทุกหน่วยงานของประเทศไปสู่ความเป็นเลิศให้ได้ในที่สุด อันจะนำไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐในภาพรวมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62204 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' เข้าร่วมฝึกอบรมเป็นอาสาปศุสัตว์ป้องโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งเป้าให้มีผู้เข้าร่วมอบรมทั่วประเทศทั้งสิ้น 8,600 คน | วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' เข้าร่วมฝึกอบรมเป็นอาสาปศุสัตว์ป้องโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งเป้าให้มีผู้เข้าร่วมอบรมทั่วประเทศทั้งสิ้น 8,600 คน
พร้อมต่อยอดเป็นของขวัญปีใหม่ ดำเนินการทำหมันและฉีดวัคซีนให้แก่หมาแมว 300,000 ตัวทั่วประเทศ ตลอดทั้งปี
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในโครงการฝึกอบรมเพื่อสร้างและพัฒนาศักยภาพอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ศาลาปฏิบัติธรรม วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จัดขึ้นเพื่อสร้างและพัฒนาศักยภาพอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า โดยเป็นความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ดำเนินการสร้างอาสาปศุสัตว์ขึ้นใหม่ และพัฒนาอาสาปศุสัตว์ที่มีอยู่เดิม ให้มีจำนวนครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายอย่างน้อย 2 - 3 คนต่อตำบล ซึ่งการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ในระดับพื้นที่นั้น จะต้องมีการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพเท่านั้น ถึงจะทำให้สัตว์มีภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจ และมีทักษะในการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง ถึงจะส่งผลต่อความสำเร็จในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า
ทั้งนี้ อาสาปศุสัตว์ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว จะได้รับใบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรม บัตรประจำตัวอาสาปศุสัตว์ และหนังสือมอบหมายให้ทำการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตวแพทย์ ตามพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 โดยในวันนี้มีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 134 คน และมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมอบรมทั่วประเทศทั้งสิ้น 8,600 คน ซึ่งอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้าถือเป็นหัวใจหลักของชุมชนที่จะช่วยให้การเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าเกิดความยั่งยืน โดยเมื่ออาสาฯ ทุกคนมีความรู้ มีความเข้าใจ และมีทักษะในการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง ประกอบกับปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะส่งเสริมให้การเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า และโรคระบาดสัตว์อื่น ๆ ในพื้นที่ เป็นไปอย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าร่วมฟังการบรรยายในหัวข้อความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า และการฉีดวัคซีนและการรักษาคุณภาพวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงเข้าอบรมภาคปฏิบัติ ทั้งการฝึกทักษะการเตรียมวัคซีน ฝึกทักษะการจับบังคับสัตว์ (ใช้สุนัขและแมวจริง) และฝึกทักษะการฉีดวัคซีนด้วย
"โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปี มีวัตถุประสงค์เพื่อสะกัด ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า และถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ โดยในวันนี้เป็นการฝึกอบรมในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเป็นของขวัญปีใหม่ที่จะให้กับพี่น้องประชาชน ในกรณีที่จะทำหมันหมาแมว หรือฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสัตว์เลี้ยงของพี่น้องคนไทยทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการให้ครบ 300,000 ตัวตลอดทั้งปี โดยพี่น้องประชาชนสามารถประสานงานได้ที่อาสาปศุสัตว์หรือปศุสัตว์อำเภอทั่วประเทศ และในส่วนของกรุงเทพมหานครมีอาสาปศุสัตว์ทุกเขตด้วย อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้านั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของท้องถิ่นที่มีความจำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องร่วมมือกันจัดการกับหมาแมวจรจัด โดยการทำหมันหรือฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และในส่วนที่สามารถจับได้จะนำเข้าศูนย์พักพิงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แดนคนดีศรีสำโรง Kick off "วันดินโลก : World Soil Day" มุ่งขับเคลื่อนตามแนวทาง ทำ 1 ต้องได้มากกว่า 1 พร้อมประชุมสัญจรเครือข่ายโคก หนอง นา สุโขทัย ขยายผล "พึ่งพาตนเอง" มีกิน มีใช้ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
แดนคนดีศรีสำโรง Kick off "วันดินโลก : World Soil Day" มุ่งขับเคลื่อนตามแนวทาง ทำ 1 ต้องได้มากกว่า 1 พร้อมประชุมสัญจรเครือข่ายโคก หนอง นา สุโขทัย ขยายผล "พึ่งพาตนเอง" มีกิน มีใช้
แดนคนดีศรีสำโรง Kick off "วันดินโลก : World Soil Day" มุ่งขับเคลื่อนตามแนวทาง ทำ 1 ต้องได้มากกว่า 1 พร้อมประชุมสัญจรเครือข่ายโคก หนอง นา สุโขทัย ขยายผล "พึ่งพาตนเอง" มีกิน มีใช้ มีแบ่งปัน อย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 65 เวลา 09.00 น. ณ พื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบฯ CLM ขนาด 15 ไร่ ของนายทับทิม พาโคกทม หมู่ที่ 8 ตำบลทับผึ้ง อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย นายวิทยา สันติกุล นายอำเภอศรีสำโรง เป็นประธานเปิดกิจกรรมวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด "ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข (Great Food form Good Soil : Soil Nutrition Awareness Week)" และการประกาศเจตนารมณ์เนื่องในวันดินโลก ปี 2565 โดยมี นางลำพา สุขเกษม พัฒนาการอำเภอศรีสำโรง หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน เครือข่ายโคก หนอง นา พี่น้องประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม
โอกาสนี้ นายวิทยา สันติกุล นายอำเภอศรีสำโรง จุดเครื่องทองน้อยที่โต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตร แล้วเปิดกรวยถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วนำผู้ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ ความว่า"ข้าพเจ้า จะสืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อพัฒนาดินอย่างยั่งยืนข้าพเจ้า จะรักษาความอุดมสมบูรณ์แห่งดิน เพื่อเป็นแหล่งสร้างอาหารที่มีคุณภาพข้าพเจ้า จะต่อยอด ขยายผล ขับเคลื่อนเครือข่ายพลังแผ่นดิน สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน"
นายวิทยา สันติกุล นายอำเภอศรีสำโรง เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงประกาศเป็นปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ด้วยทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงช่วยทำให้แผ่นดินไทย เป็น “แผ่นดินทอง” อันเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่พี่น้องประชาชนอยู่ด้วยความสุข ความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำจิตน้ำใจซึ่งกันและกัน สอดคล้องกับความหมายและคติของพวกเราชาวศรีสำโรงที่ว่า "แดนคนดีศรีสำโรง"
นายอำเภอศรีสำโรง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นแนวทางปฏิบัติอันเป็นหนึ่งในคำขวัญของอำเภอศรีสำโรง คือ "ธรรมชาติสวยสม" เป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเราชาวศรีสำโรงได้ร่วมกันขับเคลื่อนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรดินมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ใบหญ้า เพื่อให้ผืนดินนั้นกลับกลายมาเป็นสิ่งที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับพี่น้องชาวศรีสำโรง รวมถึงมวลมนุษยชาติ ทำให้ผืนดินเป็นแหล่งกำเนิดเกิดอาหารที่ปลอดภัย ดังแนวคิดของวันดินโลกที่ว่า Soils, where food begins อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน ส่งผลให้เกิดผลผลิตที่ดี (Better Production) ทำให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition) พื้นดินจะมีความร่มเย็นชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment) อันทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราชาวศรีสำโรงดี (Better Life) และพี่น้องชาวศรีสำโรงทุกคนจะช่วยกันรักษาคุณภาพทางชีวภาพและทรัพยากรดิน ทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นแหล่งกำเนิดอาหารที่สมบูรณ์ “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” อย่างยั่งยืน
จากนั้น นายอำเภอศรีสำโรง ได้มอบถุงยังชีพให้แก่ครัวเรือนตกเกณฑ์ TPMAP ในพื้นที่ตำบลทับผึ้ง จำนวน 4 ครัวเรือน และมอบต้นไม้ให้แก่แปลงโคก หนอง นา CLM จังหวัดสุโขทัย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม จำนวน 13 แปลง ๆ ละ 4 ต้น และร่วมกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ทั้งการปลูกต้นไม้ ปลูกผักสวนครัว ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การจัดทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน และร่วมศึกษาการสาธิตการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ ทำแซนวิชปลา และการทำอาหารปลา โดยวิทยากรเจ้าของแปลง และร่วมการประชุมสัญจรคณะกรรมการเครือข่าย โคก หนอง นา จังหวัดสุโขทัย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนขยายผลหลักการพึ่งพาตนเอง เพื่อสร้างสิ่งที่ดี Change for good ให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยอย่างยั่งยืน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #ยsoilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62627 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดร้านเสริมสวยต้นแบบ “Charmante (ชาร์มองต์)” มุ่งสร้างอาชีพ รายได้ ให้แม่เลี้ยงเดี่ยว สตรีประสบปัญหาสังคม | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รมว.พม. เปิดร้านเสริมสวยต้นแบบ “Charmante (ชาร์มองต์)” มุ่งสร้างอาชีพ รายได้ ให้แม่เลี้ยงเดี่ยว สตรีประสบปัญหาสังคม
รมว.พม. เปิดร้านเสริมสวยต้นแบบ “Charmante (ชาร์มองต์)” มุ่งสร้างอาชีพ รายได้ ให้แม่เลี้ยงเดี่ยว สตรีประสบปัญหาสังคม
วันนี้ (13 ธ.ค. 65) เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดร้านเสริมสวยเพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย “Charmante (ชาร์มองต์)” โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวรายงาน ทั้งนี้ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหาร คุณวิบูลย์ สมบูรณ์ศักดิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.ซี.เสรีชัยบิวตี้ จำกัด และ ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ผู้บริหาร ชลาชลกรุ๊ป ร่วมงาน อีกทั้งมีการรับมอบเงิน จำนวน 100,000 บาท จากคุณพรเสก - ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี เพื่อสนับสนุนโครงการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว ณ ร้าน “Charmante (ชาร์มองต์)” ชั้น 5 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ขับเคลื่อนการยกระดับการพัฒนาอาชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. อย่างครบวงจร ทั้งการฝึกอบรมวิชาชีพ การบริหาร การตลาด และการฝึกฝนทักษะความรู้ใหม่ๆ ที่ทันสมัย มีมาตรฐาน และมีความเป็นมืออาชีพ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวและสตรีที่ประสบปัญหาทางสังคม ได้มีการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผู้ที่เคยผ่านการอบรมวิชาชีพเสริมสวยจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวของ สค. ได้มีสถานที่ฝึกประกอบอาชีพจริง เพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญและได้เรียนรู้ในการบริหารจัดการร้านเสริมสวยในสถานการณ์จริง รวมทั้งมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้
วันนี้ กระทรวง พม. โดย สค. ร่วมกับกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) บริษัท เอส.ซี. เสรีชัยบิวตี้ จำกัด (ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ความงาม ภายใต้แบรนด์โลแลน) และ ดร.สมศักดิ์ ชลาชล สมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย เปิดร้านเสริมสวย "Charmante (ชาร์มองต์)" ร้านต้นแบบในการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ณ ชั้น 5 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. เพื่อให้บริการแก่เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และประชาชนที่มาติดต่อราชการ ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 07.30 – 16.00 น. โดยช่างเสริมสวยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ผ่านการอบรมจากสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ โครงการช่างผมอุ่นใจ และโรงเรียนเสริมสวยชลาชล จำนวน 2 คน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาชีพช่างเสริมสวยเป็นอาชีพที่สุจริต ส่งเสริมให้คนมีความมั่นใจและมีบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งร้านเสริมสวย "Charmante (ชาร์มองต์)" จะมอบความสะดวกสบายและราคาที่เป็นธรรม ในขณะเดียวกัน โอกาสที่เราจะพัฒนาจากช่างเสริมสวยเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ และเป็นอาชีพเสริมให้กับกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของคนไทยที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ตั้งใจจะดำเนินโครงการนำร่องนี้เป็นเวลา 2 ปี โดยในเบื้องต้น เพื่อเป็นการทดลองวัดผลว่าจะสามารถผลิตแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการอาชีพนี้ได้ปีละเท่าไหร่ ซึ่งจะต้องผ่านการสอบของสภาวิชาชีพช่างผม เพื่อเป็นการการันตีว่ามีความเชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ ในขณะที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และกรุงเทพฯ จะเป็นกลายเมืองที่มีคนจำนวนมากอยากมาพักผ่อนและอยู่อาศัยหลังเกษียณอายุ ดังนั้น การบริการต่างๆ ต้องมีให้พร้อม แม้กระทั่งช่างเสริมสวยต้องฝึกเรียนรู้ภาษอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสาร โดยร้าน "Charmante (ชาร์มองต์)" มีจุดเด่นคือ ความสะอาด สุขอนามัย ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการต้องได้รับความพึงพอใจและมั่นใจว่าตนเองดูดี สวย – หล่อขึ้น นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวได้มีอาชีพและพัฒนาฝีมือสู่มืออาชีพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อำเภอพิบูลมังสาหาร นำครูและนักเรียนกว่า 3,000 คน ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันดินโลก มุ่งขยายผลการอนุรักษ์ดิน และฟื้นฟูสภาพดินให้สมบูรณ์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
อำเภอพิบูลมังสาหาร นำครูและนักเรียนกว่า 3,000 คน ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันดินโลก มุ่งขยายผลการอนุรักษ์ดิน และฟื้นฟูสภาพดินให้สมบูรณ์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร
อำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ นำครูและนักเรียนกว่า 3,000 คน ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันดินโลก มุ่งขยายผลการอนุรักษ์ดิน และฟื้นฟูสภาพดินให้สมบูรณ์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน
วันนี้ (14 ธ.ค. 65) นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าในทรัพยากรดินเนื่องในโอกาสวันดินโลกในปี 2565 ซึ่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ได้กำหนดให้ปีนี้มีหัวข้อการรณรงค์ว่า อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน หรือ Soils, where food begins. โดยในช่วงวันที่ 2 – 8 ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้เลือกให้ จ.อุบลราชธานี เป็นพื้นที่ Kick Off การสร้างความตระหนักรู้เนื่องในวันดินโลก ซึ่งได้มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ 7 อำเภอ ภายใต้แนวคิด “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” หรือ “Great food from good soil for better life awareness week” โดยเมื่อวานนี้ (13 ธ.ค. 65) โรงเรียนพิบูลมังสารหาร นายพุฒิเมธ พวงจันทึก ผู้อำนวยการโรงเรียนพิบูลมังสาหาร ประธานในพิธีเปิดกิจกรรมฯ พร้อมด้วย ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหารและที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู เจ้าหน้าที่และนักเรียนโรงเรียนพิบูลมังสาหาร เข้าร่วมกิจกรรมรวม 3,000 คน จัดกิจกรรมวันดินโลกประจำ ปี 2565 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็ก และเยาวชนได้รับรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรดิน และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ดิน
นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร กล่าวว่า กิจกรรมวันดินโลกปี 2565 ที่โรงเรียนพิบูลมังสาหาร มีการจัดกิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมการเดินรณรงค์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เรื่องวันดินโลกให้แก่ประชาชน และภาคีเครือข่าย ให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน ตลอดจนสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน กิจกรรมการประกาศเจตนารมณ์ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจที่แน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะสร้างทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และขยายผลการสร้างความตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน และการอนุรักษ์ดินอย่างยั่งยืน และกิจกรรมการปลูกต้นไม้ ณ บริเวณลานเกษตรภายในบริเวณโรงเรียนพิบูลมังสาหาร
ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหารและที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ด้วยแนวคิด Change for Good ซึ่งในเรื่องของการขับเคลื่อนกิจกรรมการรณรงค์เนื่องในโอกาสวันดินโลกนี้ กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาติ หรือ UN ในทุกมิติ ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับเรื่องนี้ คือ เป้าหมายที่ 2 ที่เรียกกันว่า Zero hunger หรือ ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (End hunger, achieve food security and improve nutrition and promote sustainable agriculture) และเป้าหมายที่จะได้รับผลเกี่ยวเนื่องตามมาด้วย คือ เป้าหมายที่ 6 สร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาลให้มีการจัดการอย่างยั่งยืน และมีสภาพพร้อมใช้สำหรับทุกคน (Ensure availability and sustainable management of water and sanitation for all)
ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร กล่าวต่อว่า การสร้างความตระหนักรู้ให้เด็ก นักเรียน และเยาวชน รวมถึงประชาชน ได้เห็นถึงคุณค่าของดิน และเกิดจิตสำนึกนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการทำลายดินต่าง ๆ อาทิ การใช้สารเคมีในแปลงเกษตร การใช้แร่ธาตุในดินมากเกินไปจนไม่ได้ฟื้นฟู หรือรักษาดินทำให้ดินมีสภาพเสื่อมโทรม การปล่อยให้น้ำในดินระเหยออกไป ทำให้ดินแห้งและแข็ง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เราทุกคนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และโครงการตามแนวพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น การห่มดิน ซึ่งเป็นวิธีการง่าย ๆ ภายหลังจากที่เราปลูกต้นไม้ หรือปลูกพืชผักสวนครัวเรามีการพรวนดิน ทำให้ดินมีอากาศแทรกซึมเข้าไปอยู่ในดิน และเรารดน้ำลงสู่ดินทำให้ดินบริเวณดังกล่าวมีความชุ่มชื้น ซึ่งหลักการทางธรรมชาติการที่ดินจะรักษาความชุ่มชื้นเพื่อหล่อเลี้ยงต้นไม้ที่เราปลูกได้นั้น ก็ต้องใช้การห่มดิน เพื่อลดการระเหยของน้ำ ซึ่งจะช่วยในปฏิกิริยาต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งการดูดซึมแร่ธาตุ หรือสารอาหารในดินของพืช การเจริญเติบโตของรากพืชที่มั่นคง เมื่อเรารักษาดินดีแล้ว ดินของเราก็ย่อมไปเลี้ยงพืชทำให้เรามีพืชผลที่เจริญงอกงามตามมา นำมาสู่ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ ก่อเกิดความมั่นคงทางด้านอาหาร สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพได้ ซึ่งในการน้อมนำแนวพระราชดำริมาใช้นี้ ไม่เพียงแต่เรื่องการห่มดินอย่างเดียว ตัวอย่างโครงการที่กระทรวงมหาดไทย ได้นำมาขับเคลื่อนและประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ในหลายพื้นที่ ซึ่งนำรูปแบบมาจากเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นเกษตรแบบผสมผสาน คือ โคก หนอง นา ที่เรารู้จักนั่นเอง
นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา” โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำควบคู่กัน เป็นการปรับปรุงพื้นที่ให้เลียนแบบธรรมชาติ มีทั้งระบบนิเวศที่เป็นหนองน้ำ มีป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง มีการเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงไส้เดือน มีพื้นที่ทั้งโคก หนอง คลองไส้ไก่ มีตะพัก ระดับความลึกของสระ มีทั้งบริเวณตื้น และลึกทำให้น้ำได้สัมผัสกับแสงแดด จุลินทรีย์ต่าง ๆ ก็สามารถเติบโตได้ เป็นอาหารของสัตว์น้ำ ในส่วนของหนองน้ำ หรือคลองไส้ไก่ จะมีลักษณะ Free Form หรือ เป็นธรรมชาติ ดูแล้วเกิดสุนทรียภาพ สบายตา ความคดเคี้ยวของคลองไส้ไก่นี้เอง เป็นส่วนสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ดิน ซึ่งดินของเราก็จะสามารถเลี้ยงพืชได้ ต่อมาในเรื่องของโคกซึ่งเป็นเนินดินที่สูงขึ้นย่อมมีความอุดมสมบูรณ์เพราะมีความชุ่มชื้นจากน้ำ ทำให้ปลูกพืชผักสวนครัว พริก มะเขือ กล้วย ฯลฯ อะไรก็เจริญได้ดี เราจึงเรียกบริเวณโคกนี้อีกชื่อว่า หัวคันนาทองคำ เพราะเป็นเหมือนโรงงานผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ และมีความยั่งยืน ซึ่งในแปลงโคก หนอง นา นี้ จะประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นเกษตรแบบผสมผสาน รวมถึงเราจะนำปุ๋ยอินทรีย์มาใช้แทนปุ๋ยเคมี เพื่อเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของดิน
นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้มีโครงการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซไข่เน่าที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน และยังเป็นการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์และอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน เสริมสร้างความสมบูรณ์แก่ดินอีกด้วย ถือเป็นการขับเคลื่อนภารกิจในการพัฒนาคน ให้คนไปพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน เป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ในการทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อทำให้ชุมชนของเรา ประเทศของเรา และโลกของเรามีความยั่งยืนสืบไป
#WorldSoilDay #วันดินโลก #ยsoilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://youtu.be/6bNWuXvQ5So
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62635 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน คว้ารางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ปี 2565 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ก.แรงงาน คว้ารางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ปี 2565
ก.แรงงาน คว้ารางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ปี 2565
วันที่ 14 ธันวาคม 2565 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน รับมอบรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐระดับกระทรวงด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา - นาวาทอง”ประจำปี 2565 โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการมอบรางวัล ณ หอประชุม ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
สำหรับการมอบรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา - นาวาทอง”ประจำปี 2565 ในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อคัดเลือกส่วนราชการที่ปรับปรุงกระบวนงานและลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างเห็นผลเพื่อรับรางวัล เชิดชูเกียรติและประชาสัมพันธ์หน่วยงานที่ได้รับรางวัล และสร้างความร่วมมือและกระบวนการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยโล่รางวัลแบ่งเป็นรางวัลหน่วยงานระดับกระทรวง รางวัลหน่วยงานระดับกรม และรางวัลหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนงาน
ในส่วนของกระทรวงแรงงานคณะกรรมการตัดสินรางวัลฯ มีมติมอบรางวัลหน่วยงานระดับกระทรวงให้กระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้ดำเนินการปลดล็อคกฎหมาย ระเบียบ ช่วยลดปัญหาอุปสรรคและอำนวยความสะดวกการดำเนินภาคธุรกิจจนเห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งรางวัลดังกล่าวถือเเป็นการให้กำลังใจและเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
+++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
14 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62655 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงจัดจุดกางเต็นท์ฟรี ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2023 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงจัดจุดกางเต็นท์ฟรี ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2023
.....
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ หลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนจะกลับมาเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนรับลมหนาว โดยเฉพาะทางภาคเหนือได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ทล. จึงได้จัดเตรียมจุดกางเต็นท์ทั่วประเทศ จำนวน 35 แห่ง แบ่งเป็นภาคเหนือ 26 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคตะวันตก 2 แห่ง และภาคกลาง 3 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับการท่องเที่ยวของประชาชน โดยพื้นที่กางเต็นท์นั้นจะตั้งอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหมวดทางหลวงซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการน้ำดื่ม ห้องสุขาและสอบถามข้อมูลทางหลวง สำหรับประชาชนที่ต้องการพักค้างคืนสามารถเข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566 รวมระยะเวลา 7 วัน ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจุดบริการลานกางเต็นท์ จำนวน 35 แห่ง ดังนี้
1. จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงจอมทอง ทล.1009 ตอน จอมทอง - ดอยอินทนนท์ กม. ที่ 30+450
- หมวดทางหลวงสะเมิง ทล.1349 กม. ที่ 25+300
- หมวดทางหลวงแม่แตง ทล.1095 ตอน หนองโค้ง - กิ่วคอหมา กม. ที่ 14+584
- หมวดทางหลวงเชียงดาว ทล.107 ตอน แม่ทะลาย - หัวโท กม. ที่ 84+215
2. จังหวัดลำปาง จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงสบปราบ ทล.1 ตอน สบปราบ - เกาะคา กม. ที่ 650+917
- หมวดทางหลวงห้างฉัตร ทล.11 ตอน แยกภาคเหนือ - ขุนตาน กม. ที่ 482+356
3. จังหวัดแม่ฮ่องสอน 3 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงแม่สะเรียง ทล.108 ตอน สะพานแม่ริด - ห้วยงู กม. ที่ 197+350
- หมวดทางหลวงแม่ฮ่องสอน ทล.1095 ตอน ท่าไคร้ - แม่ฮ่องสอน กม. ที่ 197+907
- หมวดทางหลวงปาย ทล.1395 ตอน ทางเข้าปาย กม. ที่ 4+100
4. จังหวัดเชียงราย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงแม่ลาว ทล.1 ตอน พาน - บ้านร่องขุ่น กม. ที่ 896+845
- หน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า ทล.1093 ตอน ขุนห้วยไคร้ - ผาตั้ง กม. ที่ 63+500 (ขาเข้า)
5. จังหวัดน่าน จำนวน 3 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงนาน้อย ทล.1083 ตอน เด่นชาติ - นาน้อย กม. ที่ 69+485 (ขาออก)
- หมวดทางหลวงผาช้างน้อย ทล.1148 ตอน สะเกิน - สบทุ กม. ที่ 82+000 (ขวาทาง)
- หมวดทางหลวงบ่อเกลือ ทล.1081 ตอน หลักลาย - บ่อเกลือ กม. ที่ 67+110
6. จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงศรีวิไล ทล.222 ตอน ท่ากกแดง - บึงกาฬ กม. ที่ 102+526
7. จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 4 แห่ง ได้แก่
- สำนักงานแขวงทางหลวงกำแพงเพชร ทล.1 ตอน ปากดง - นครชุม กม. ที่ 453 + 076 (ขาออก)
- หมวดทางหลวงคลองขลุง ทล.1 ตอน โนนปอแดง - ปากดง กม. ที่ 423+809 (ขาออก)
- หมวดทางหลวงโกสัมพีนคร ทล.1 ตอน นครชุม - วังเจ้า กม. ที่ 476+553 (ขาเข้า)
- หมวดทางหลวงคลองลานพัฒนา ทล.1117 ตอน คลองแม่ลาย - อุ้มผาง กม. ที่ 55+000 (ขาออก)
8. จังหวัดตาก จำนวน 5 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงหนองบัวใต้ ทล.1 ตอน วังเจ้า - ตาก กม. ที่ 511+826
- หมวดทางหลวงแม่สลิด ทล.1 ตอน วังม่วง - แม่เชียงรายบน กม. ที่ 560+449
- หมวดทางหลวงท่าสองยาง ทล.105 ตอน แม่สลิดหลวง - แม่เงา กม. ที่ 115+550
- หมวดทางหลวงคีรีราษฎร์ ทล.1090 ตอน ห้วยน้ำริน - อุ้มผาง กม. ที่ 88+050
- หมวดทางหลวงอุ้มผาง ทล.1090 ตอน อุ้มผาง - กะแง่คี กม. ที่ 165+799
9. จังหวัดสุโขทัย จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงแม่สิน ทล.101 ตอน ศรีสัชนาลัย - แม่สิน กม. ที่ 184+219 (ขวาทาง)
10. จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงแก่งโสภา ทล.12 ตอน วังทอง - เข็กน้อย กม. ที่ 269+100
11. จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงเขาค้อ ทล.2196 ตอน นางั่ว - ทุ่งสมอ กม. ที่ 23+600
12. จังหวัดเลย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงภูกระดึง ทล.201 ตอน ผานกเค้า - หลักร้อยหกสิบ กม. ที่ 266+737
- หมวดทางหลวงปากชม ทล.211 ตอน ปากชม - เชียงคาน กม. ที่ 148+350
13. จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงไทรโยค ทล.323 ตอน หนองสามพราน - แก่งประลอม กม. ที่ 100 (ขาเข้ากรุงเทพฯ)
- หมวดทางหลวงทองผาภูมิ ทล.323 ตอน แก่งประลอม - ทองผาภูมิ กม. ที่ 181+058 (ขาเข้ากรุงเทพฯ)
14. จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงบ้านไร่ ทล.3011 ตอน บ้านไร่ - บ้านใต้ กม. ที่ 5+006
- ศูนย์บำรุงทางและบริการประชาชน (เป็นพื้นที่ของหมวดทางหลวงบ้านไร่) ทล.3011 ตอน บ้านไร่ - บ้านใต้ กม. ที่ 24+200
15. จังหวัดราชบุรี จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงสวนผึ้ง ทล.3208 ตอน น้ำพุ - เมืองผาปกค้างคาว กม. ที่ 43+550
16. จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 1 แห่ง ได้แก่
- หมวดทางหลวงโขงเจียม ทล.2222 ตอน โขงเจียม - สะพือ กม. ที่ 0+925
ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการจองพื้นที่กางเต็นท์ หรือสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และช่องทางออนไลน์ผ่าน QR Code หรือจองด้วยตนเอง ณ สถานที่พัก นอกจากนี้กรมทางหลวงขอความร่วมมือประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โปรดขับรถด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62631 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจเสริมมงคล สำหรับลูกค้าบัตรเดบิต ธ.ก.ส. | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจเสริมมงคล สำหรับลูกค้าบัตรเดบิต ธ.ก.ส.
ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจเสริมมงคล สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรเดบิต ธ.ก.ส. พร้อมสแกน QR Code เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ รับเลย ! กระเป๋าอุ่นใจเสริมมงคล พร้อมแผ่นทองพระแม่โพสพ (เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เสริมมงคล ด้านการเพาะปลูกการงานเจริญงอกงาม) 2,000 ท่านแรก
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดแคมเปญอุ่นใจเสริมมงคล สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรเดบิต ธ.ก.ส. (บัตรเดบิต A-Green และ A-Smart) พร้อมสแกน QR Code เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ รับเลย ! กระเป๋าอุ่นใจเสริมมงคล พร้อมแผ่นทองพระแม่โพสพ (เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เสริมมงคล ด้านการเพาะปลูกการงานเจริญงอกงาม) 2,000 ท่านแรก โดย ธ.ก.ส. จะทำการตรวจสอบสิทธิ์และประกาศรายชื่อผู้ได้รับของสมนาคุณผ่านเว็บไซต์ www.baac.or.th หรือ Facebook : ธกส บริการด้วยใจ ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 และจัดส่งของถึงหน้าบ้านท่านภายใน 30 วันหลังจากสิ้นสุดแคมเปญ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มกราคม 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62630 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก ร่วมกันหารือแนวทางความร่วมมือที่มีอยู่ และความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความพร้อมให้ทั้งสองประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก ร่วมกันหารือแนวทางความร่วมมือที่มีอยู่ และความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความพร้อมให้ทั้งสองประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก ร่วมกันหารือแนวทางความร่วมมือที่มีอยู่ และความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความพร้อมให้ทั้งสองประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์) ณ อาคาร Europa กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือกับนายเป็ตร์ ฟียาลา (Mr. Petr Fiala) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก ในช่วงการประชุมอาเซียน-อียู สมัยพิเศษ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยสาธารณรัฐเช็กเป็นฝ่ายทาบทามการหารือ ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยและเช็กมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน โดยจะครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในปี 2567 นายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันกระชับความสัมพันธ์ และพัฒนาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พร้อมหวังว่า ไทยและเช็กจะสามารถจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (Joint Commission on Economic Cooperation: JEC) ครั้งที่ 3 ได้โดยเร็ว เพื่อร่วมกันหารือแนวทางความร่วมมือที่มีอยู่ และความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
ด้านนายกรัฐมนตรีเช็กกล่าวยินดีที่ได้พบหารือกันในวันนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ และมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หารือถึงความร่วมมือทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงความร่วมมือในกรอบพหุภาคีด้วย ไทยและเช็กถือได้ว่ามีความร่วมมือในหลายด้าน ซึ่งหวังว่าจะได้เพิ่มพูนและแลกเปลี่ยนความร่วมมือในด้านที่ต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพมากขึ้นอีกในอนาคต
ผู้นำทั้งสองฝ่ายยังได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สนใจร่วมกัน ดังนี้
การค้าการลงทุน ทั้งสองยินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างกันในปี 2564 สูงถึงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายต่างยังมีศักยภาพที่จะสามารถเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันได้อีกมาก โดยไทยหวังที่จะเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน พร้อมกล่าวเชิญชวนนักลงทุนเช็กเข้ามาลงทุนใน EEC ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอุปกรณ์ทางการแพทย์
การท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวเช็ก โดยสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากขึ้น ยินดีอำนวยความสะดวกดูแลนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่ง ผู้นำทั้งสองฝ่ายหวังว่าจะสามารถจัดการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการท่องเที่ยวได้ในปีหน้า เพื่อสานต่อความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19
ความมั่นคง ผู้นำทั้งสองต่างยินดีที่ความร่วมมือทางทหารมีพลวัต โดยกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายมีการประสานงานและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่เช็กได้ไปร่วมงาน Defence & Security 2022 ที่กรุงเทพฯ และเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมงาน International Defence and Security Technologies Fair (IDET Fair)
ความร่วมมือทางอวกาศ ไทยยินดีที่เช็กให้ความสำคัญกับความร่วมมือการทูตด้านอวกาศกับไทย (GISTDA) และได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาด้านอวกาศ “The benefits of the EU Space Program and 3SOS” ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีส่วนสาคัญในการรับมือกับสภาวการณ์ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ด้านนายกรัฐมนตรีเช็กกล่าวว่า เช็กยินดีร่วมมือกับไทยเพื่อส่งเสริมมาตรฐานความร่วมมือทางอวกาศระหว่างประเทศที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายและธรรมาภิบาล
ความร่วมมือพหุภาคี นายกรัฐมนตรีขอบคุณเช็กที่สนับสนุนไทยในกรอบ EU มาโดยตลอด จนนำมาสู่การลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement: PCA) ในการประชุม ASEAN-EU Commemorative Summit ครั้งนี้ นอกจากนี้ ไทยยังยินดีต่อการประกาศยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของ EU และการประกาศยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของเช็ก โดยไทยพร้อมร่วมมือกับเช็ก และ EU ในการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ภายใต้ค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเช็กได้กล่าวขอบคุณ โดยเช็กในฐานะเป็นประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2565) ก็พร้อมร่วมมือกับไทย เพื่อสร้างความพร้อมให้ภูมิภาคอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62663 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ปล่อยคาราวานเจ้าหน้าที่ศูนย์เดินสำรวจ ออกโฉนดที่ดิน 69 จังหวัด ตั้งเป้า 5.2 หมื่นแปลงทั่วประเทศ เน้นย้ำ ใช้เทคโนโลยีทำหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบตามระเบียบกฎหมาย | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ปลัด มท. ปล่อยคาราวานเจ้าหน้าที่ศูนย์เดินสำรวจ ออกโฉนดที่ดิน 69 จังหวัด ตั้งเป้า 5.2 หมื่นแปลงทั่วประเทศ เน้นย้ำ ใช้เทคโนโลยีทำหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบตามระเบียบกฎหมาย
ปลัด มท. ปล่อยคาราวานเจ้าหน้าที่ศูนย์เดินสำรวจ ออกโฉนดที่ดิน 69 จังหวัด ตั้งเป้า 5.2 หมื่นแปลงทั่วประเทศ เน้นย้ำ ใช้เทคโนโลยีทำหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบตามระเบียบกฎหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน
วันนี้ (14 ธ.ค. 65) เวลา 08.00 น. ที่อาคารรังวัดและทำแผนที่ กรมที่ดิน อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีปล่อยคาราวานเจ้าหน้าที่ พร้อมมอบนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติราชการแก่เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินผู้ปฏิบัติงานในโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมี นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายวราพงษ์ เกียรตินิยมรุ่ง ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ นายณรงค์ สืบตระกูล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กรมที่ดิน นายเปลี่ยน แก้วฤทธิ์ นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้ตรวจราชการกรมที่ดิน ผู้บริหารกรมที่ดิน ผู้อำนวยการศูนย์เดินสำรวจ ผู้กำกับการเดินสำรวจ ผู้กำกับการรังวัด หัวหน้างานอำนวยการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามในแต่ละศูนย์อำนวยการเดินสำรวจทั่วประเทศ เข้ารับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การสำรวจออกโฉนดที่ดิน เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาส อันส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งพวกเราชาวดินมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย กล่าวอย่างตรงไปตรงมาใน 2 ประการ คือ ประการที่ 1 พี่น้องประชาชนจำนวนมาก มีเสียงสะท้อนที่ปรารถนาให้เจ้าหน้าที่ที่ดินมีการเดินสำรวจเยอะ ๆ เพราะปัจจุบันยังมีพี่น้องประชาชนที่ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน และประการที่ 2 คือ เกิดข้อกังวล ข้อห่วงใยว่าการเดินสำรวจออกโฉนดแบบทันทีนั้น จะทำให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินการได้ และอาจจะนำไปสู่เรื่องของการเพิกถอนสิทธิ์หรือการต้องคืนสิทธิ์ คืนที่ดินกลับไปเป็นของหลวง ซึ่งทั้ง 2 ประการที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นความคาดหวังที่ฝากไว้กับพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวดินทุกคนในการต้องช่วยกันนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่กรมที่ดินก็ได้รับรางวัลการันตีอย่างมากมายและต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของระบบการรังวัดด้วยดาวเทียม (RTK GNSS Network) ที่หรือว่าระบบแผนที่ดาวเทียม ที่ประสบความสำเร็จในการนำมาใช้กับโครงการบอกดิน จนเป็นที่นิยมชมชอบของพี่น้องประชาชน เพราะสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก สามารถดูตำแหน่งที่ดินได้ บอกราคาราคาประเมินที่ดินได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่แสดงให้เห็นว่าเราก้าวหน้ามาก
"แม้ว่าเราเองมีหน้าที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขในการที่จะทำให้พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ยังขาดเอกสารสิทธิ์ได้มีโอกาสที่ดีเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อมีที่ดินแล้ว ที่ดินก็จะกลายเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะมีโอกาสได้ลงทุนหรือพัฒนา ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องระแวดระวัง ไม่ต้องกังวลว่าจะทำผิดกฎหมายเพราะตนเองครอบครองที่ดินไม่ชอบและต้องถูกดำเนินคดีหรือโดนเพิกถอนยึดคืน ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับ "พวกเราชาวดินทุกคน" ต้องทำหน้าที่โดยยึดถือระเบียบกฎหมาย ทำให้ถูกต้อง ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง กรณีเป็นพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่สาธารณประโยชน์ หรือที่ดินของรัฐประเภทอื่น ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนห้ามตามกฎหมาย ต้องตรวจสอบให้ดี" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ฯ ได้กล่าวต่ออีกว่า หน้าที่ที่สำคัญของผู้บังคับบัญชากรมที่ดินในส่วนกลาง ต้องให้ความรู้ความเข้าใจและเป็นที่ปรึกษาให้กับพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวดินที่ต้องไปทำงานภาคสนาม โดยถอดบทเรียนข้อสังเกตหรือปัญหาอุปสรรคหรือสิ่งที่เคยวางระเบียบหลักเกณฑ์ไว้โดยกรมที่ดินเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ กฎกระทรวง ฉบับที่ 43 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดสิ่งที่เป็นจุดอ่อน คือ ทำให้โครงการนี้ถูกยกเลิกไป เพราะโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน เป็นโครงการที่พี่น้องประชาชนฝากความหวังไว้ พวกเราในฐานะข้าราชการผู้เคยปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาค เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ชาวบ้านยังอยากเห็นโครงการนี้มีความกว้างขวางอย่างทั่วถึง และอยากให้เดินสำรวจเยอะ ๆ แต่ในขณะเดียวกันในเชิงระบบ พวกเราในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องรับผิดชอบตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซื่อสัตย์สุจริต ควบคู่กับการให้บริการด้วยความรวดเร็ว ซึ่งแม้ว่าความรอบคอบกับความรวดเร็วอาจจะดูขัดแย้งกันอยู่ แต่ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือของพวกเราชาวดินทุกคน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ด้วยระบบ ระเบียบ เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย จะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวดินที่จะต้องตระเวนไปเดินสำรวจได้มีระบบที่เสริมให้เกิดความรอบคอบรัดกุมพร้อมกับสิ่งที่เป็นความรวดเร็ว "มันก็จะเกิดขึ้นได้"
"ขอฝากพี่ๆน้องๆ ทุกคนว่าภารกิจในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ของกระทรวงมหาดไทย อยู่ที่งานนี้ของชาวดินทุกคนด้วย อย่าได้กังวลใจว่า คนจะว่าอย่างไร ขอให้ทุกคนได้เชื่อมั่นว่า เราทำดีที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมดีด้วย ขอเป็นกำลังใจและขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ เป็นที่รัก เข้าถึงหัวใจของพี่น้องประชาชนที่เราไปช่วยเหลือดำเนินการตามโครงการฯ นี้ และที่สำคัญที่สุด ขอให้ท่านอธิบดีกรมที่ดินได้ร่วมไม้ร่วมมือในการขยายผลให้โครงการฯ นี้ เกิดมรรคเกิดผลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ทำให้พี่น้องประชาชนทุกคน ทุกครอบครัว ได้รับสิ่งที่ดี และขออำนวยพรให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ศูนย์เดินสำรวจทุกคนเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างปลอดภัยและปฏิบัติหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จเพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินและรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ที่มีความต้องการให้ประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ รวมทั้งแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน โดยที่ผ่านมา กรมที่ดินได้ดำเนินโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน โดยออกโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนทั่วประเทศไปแล้ว จำนวน 14.72 ล้านแปลง เนื้อที่ 70.95 ล้านไร่ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ในพื้นที่ 70 จังหวัด เป้าหมาย 43,500 แปลง ดำเนินการได้ 45,443 แปลง คิดเป็นร้อยละ 104.46 นอกจากนี้ กรมที่ดินได้ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาล ด้วยการนำข้อมูลที่ประชาชนแจ้งตำแหน่งที่ดินตามโครงการ “บอกดิน” โครงการ “บอกดิน 2” และโครงการ “บอกดิน 3” ที่ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมาจัดทำแผนงานโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในพื้นที่ 69 จังหวัด ทั่วประเทศ จำนวน 52,000 แปลง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินและรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในพื้นที่รวม 66 จังหวัด ดำเนินการโดยศูนย์อำนวยการเดินสำรวจ จำนวน 6 ศูนย์ 60 สายสำรวจ ในพื้นที่ 30 จังหวัด เป้าหมาย จำนวน 35,700 แปลง และดำเนินการโดยสำนักงานที่ดินจังหวัด/สาขา/ส่วนแยก ในพื้นที่ 36 จังหวัด เป้าหมาย จำนวน 2,300 แปลง รวมเป้าหมายทั้งสิ้นจำนวน 38,000 แปลง ปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 และ 2) โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 3 ศูนย์ 30 สายสำรวจ เป้าหมาย จำนวน 14,000 แปลง ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอจะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566
#WorldSoilDay #วันดินโลก #ยsoilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62634 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่ ”หนองบัวลำภู” ให้กำลังใจครอบครัวเหยื่อเหตุสะเทือนขวัญ 17 ธันวาคมนี้ กรมคุ้มครองสิทธิฯ เตรียมมอบเงินเยียวยาเพิ่มเติม 48 ราย | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่ ”หนองบัวลำภู” ให้กำลังใจครอบครัวเหยื่อเหตุสะเทือนขวัญ 17 ธันวาคมนี้ กรมคุ้มครองสิทธิฯ เตรียมมอบเงินเยียวยาเพิ่มเติม 48 ราย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่ ”หนองบัวลำภู” ให้กำลังใจครอบครัวเหยื่อเหตุสะเทือนขวัญ 17 ธันวาคมนี้ กรมคุ้มครองสิทธิฯ เตรียมมอบเงินเยียวยาเพิ่มเติม 48 ราย รวมกว่า 3.7 ล้านบาท ครอบครัวครูพร รับรวม 2.9 แสนบาท
วันที่ 14 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวง โดยมี นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมต่างๆ และผู้บริหาร เข้าร่วมการประชุม
โดยนายสมศักดิ์ ได้ขอให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รายงานความคืบหน้าการพิจารณาเงินเยียวยาเพิ่มเติม ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ในเหตุสะเทือนขวัญ จังหวัดหนองบัวลำภู หลังครอบครัวผู้เสียหาย ได้ขออุทธรณ์ จากที่มีการเยียวยาเบื้องต้นไปแล้ว 36 ราย เป็นเงินรวม 3,960,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2565
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้รายงานว่า การพิจารณาเงินเยียวยาเพิ่มเติม ตามที่ครอบครัวผู้เสียหายขออุทธรณ์นั้น ได้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยอนุมัติจ่ายเงินเยียวยาเพิ่มเติม 48 ราย รวมเป็นเงิน 3,786,574 บาท แบ่งเป็น ผู้เสียชีวิต จำนวน 36 ราย ได้เพิ่มรวม 3,240,000 บาท กรณีผู้บาดเจ็บ 12 ราย จะได้รับเยียวยารวม 373,724 บาท รวมถึงยังมีผู้บริจาคให้กับพลเมืองดี 3 ราย อีก 172,850 บาท
“ในกรณีครอบครัวครูพรที่สังคมให้ความเป็นห่วงนั้น เราก็ได้มีการพิจารณาเงินเยียวยา เพิ่มเติมให้แล้วอีก 90,000 บาท รวมเงินบริจาคอีก 92,850 บาท ซึ่งจะทำให้ครอบครัวครูพร ได้รับเงินเยียวยาเพิ่ม 182,850 บาท โดยเมื่อรวมกับเงินเยียวยาเบื้องต้น 110,000 บาท ก็จะได้รับเงินรวม 292,850 บาท ซึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2565 ผมจะเดินทางไปมอบนโยบายสร้างการรับรู้เรื่องยาเสพติด ที่จังหวัดอุดรธานี โดยจะใช้โอกาสนี้ เดินทางไปร่วมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตที่จังหวัดหนองบัวลำภูด้วย เพราะผมเข้าใจความสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก“ รมว.ยุติธรรม กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62641 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้กำลังใจทัพนักกีฬาเยาวชนไทยในการแข่งขันเรือใบรายการ “2022 Optimist Asian & Oceanian Championship” วันที่ 13 – 20 ธ.ค. นี้ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้กำลังใจทัพนักกีฬาเยาวชนไทยในการแข่งขันเรือใบรายการ “2022 Optimist Asian & Oceanian Championship” วันที่ 13 – 20 ธ.ค. นี้
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้กำลังใจทัพนักกีฬาเยาวชนไทยในการแข่งขันเรือใบรายการ “2022 Optimist Asian & Oceanian Championship” วันที่ 13 – 20 ธ.ค. นี้
14 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามและส่งกำลังใจให้กับทีมนักกีฬาเยาวชนไทยเรือใบที่เข้าแข่งขันรายการ 2022 Optimist Asian & Oceanian Championship ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 13 – 20 ธันวาคม 2565 พร้อมอวยพรให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขัน ทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลอดปีที่ผ่านมามีตัวแทนทีมนักกีฬาเยาวชนไทยเข้าแข่งขันในหลายรายการ เช่น การแข่งขันในรายการ 2022 Arkas Optimist World Championship ที่เมืองโบดรัม ประเทศตุรกี ต่อเนื่องจนถึงการแข่งขันในรายการ ILCA 4 Youth World Championships 2022 ที่เมืองวิลาโมลา ประเทศโปรตุเกส โดยครั้งนี้เป็นการแข่งขันชิงแชมป์ระดับทวีปสำหรับประเทศสมาชิกในเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเรือใบออพติมิสต์นานาชาติ (International Optimist Dinghy Association: IODA) โดยมีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน 106 คน จากกว่า 10 ประเทศในทวีปเอเชียและโอเชียเนีย อาทิ สหรัฐอเมริกา เบลเยียม มอริเชียส สิงคโปร์ ศรีลังกา ออสเตรเลีย อินเดีย ตุรกี มาเลเซีย ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ทั้งชายและหญิงรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี
“นายกรัฐมนตรีส่งกำลังใจให้ทีมนักกีฬาเยาวชนไทยและเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถตามที่ได้ทุ่มเทฝึกซ้อมมา เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ การแข่งขันกีฬาเยาวชน ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่หนึ่งของเยาวชนในการนำพลังมาสู่กีฬา สร้างอุปนิสัย ปลูกฝัง และเพิ่มพลังให้พร้อมเผชิญกับความท้าทายในอนาคต” นายอนุชาฯ กล่าว
ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชนร่วมส่งกำลังใจเชียร์ทีมนักกีฬาเยาวชนไทยตลอดสัปดาห์นี้ โดยพิธีเปิดการแข่งขัน“2022 Optimist Asian & Oceanian Championship” จะมีขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคม 2565 แข่งขันทั้งหมด 10 รายการ และจะมีพิธีปิดในวันที่ 19 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62643 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. หวั่น! ช่วงฤดูหนาวเสี่ยงต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้เนื่องจากสภาพอากาศแห้ง แนะนายจ้าง ลูกจ้าง ใช้หลัก 3ต ในสถานประกอบกิจการ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กสร. หวั่น! ช่วงฤดูหนาวเสี่ยงต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้เนื่องจากสภาพอากาศแห้ง แนะนายจ้าง ลูกจ้าง ใช้หลัก 3ต ในสถานประกอบกิจการ
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) หวั่นช่วงฤดูหนาวเสี่ยงต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้เนื่องจากสภาพอากาศแห้ง แนะนายจ้าง ลูกจ้าง ใช้หลัก 3ต ในสถานประกอบกิจการ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หลายพื้นที่เริ่มมีอากาศหนาวเย็น สภาพอากาศแห้ง ความชื้นต่ำ และลมกระโชกแรง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานประกอบกิจการ ห้างสรรพสินค้า อาคารบ้านเรือน รวมไปถึงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในฐานะหน่วยงานกำกับ ดูแลให้นายจ้าง ลูกจ้าง ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน มีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกระดับ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเกิดอัคคีภัยในช่วงฤดูหนาวและลุกลามจนเกิดความรุนแรง นำไปสู่ความเสียหายได้ จึงขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ช่วยตรวจตราและดูแลความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยของลูกจ้าง ตลอดจนมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบโครงสร้าง อาคาร สถานที่ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ โดย จป. จะต้องดำเนินการตรวจประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมไปถึงอบรมลูกจ้างให้ปฏิบัติงานปลอดจากเหตุอันจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงานให้ครอบคลุมอย่างรอบด้าน
อธิบดี กล่าวต่อว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีมาตรการ 3ต เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้น ประกอบด้วย “ติดตั้ง” โดยต้องติดตั้งระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ ระบบป้องกันฟ้าผ่า และแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรอง “ตรวจสอบ” หมั่นตรวจสอบระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย และเครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ “เตรียมความพร้อม” ต้องจัดทำแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย จัดอบรมการดับเพลิงขั้นต้นให้กับลูกจ้าง และฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟประจำปี มาตรการ 3ต จะช่วยป้องกันและลดการเกิดอัคคีภัย พร้อมทั้งจะช่วยสร้างความปลอดภัยในการทำงาน ลดการประสบอันตรายจากการทำงานอันจะก่อให้เกิดความสูญเสียในอนาคตได้ ทั้งนี้ ขอฝาก นายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้ช่วยเป็นหูเป็นตาและร่วมกันเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตและทรัพย์สิน ไม่มีเหตุการณ์สูญเสียช่วงฤดูหนาวในปีนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทร 0 2448 9128-39 หรือโทรสายด่วน 1546 และ 1506 กด 3
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ พบปะเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ มุ่งกำกับดูแลให้เกิดสมดุลการผลิต – การบริโภค | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ พบปะเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ มุ่งกำกับดูแลให้เกิดสมดุลการผลิต – การบริโภค
รัฐมนตรีเกษตรฯ พบปะเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ มุ่งกำกับดูแลให้เกิดสมดุลการผลิต – การบริโภค เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรพึงพอใจ ผู้บริโภคไม่เดือดร้อน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบปะเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ในงานเสวนาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สถานการณ์ไข่ไก่ปัจจุบัน และทิศทางในปี 2566 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับกลุ่มองค์กรผู้เลี้ยงไก่ไข่และผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ 16 บริษัท จัดขึ้นเพื่อให้เกษตรกรที่ประกอบอาชีพการเลี้ยงไก่ไข่ได้ใช้เวทีการหารือนี้ เพื่อแสดงความคิดเห็น ให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่จะเป็นเสียงสะท้อนต่อไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวงการอุตสาหกรรมไก่ไข่ในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเลี้ยงไก่ไข่ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต ขยายตัวจากฟาร์มรายเล็ก รายกลาง เป็นฟาร์มรายใหญ่เลี้ยงไก่ไข่ระดับอุตสาหกรรม จำนวนไก่ไข่ต่อฟาร์มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานคนในการเลี้ยงและเก็บผลผลิตไก่ไข่ ทำให้การผลิตไก่ไข่ในประเทศมีประสิทธิภาพและปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันมีความเสี่ยงที่จะเสียหายจากปัญหาโรคระบาดสัตว์ปีก หรือสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ลดลงได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมบริโภคไข่ไก่สดเป็นหลัก และตลาดไข่ไก่ค่อนข้างจำกัดภายในประเทศ อาจเป็นสาเหตุให้ผลผลิตไข่ไก่ล้นหรือขาดตลาดรุนแรงได้ และส่งผลให้ตลาดเกิดการผันผวน ราคาไข่ไก่ตกต่ำและปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในบางช่วงเวลา และปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยจะมุ่งเน้นสินค้าที่มีราคายุติธรรม คุ้มค่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงต้องปรับต้นทุนการผลิต และพัฒนาสินค้าไข่ไก่ให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานและถูกสุขอนามัย ด้วยความตระหนักรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เริ่มจากฟาร์มมาตรฐาน สู่โรงคัดไข่มาตรฐาน จุดจำหน่ายสินค้ามาตรฐาน และมีตรารับรองคุณภาพไข่ไก่ ตลอดจนการสร้างความเข้าใจคุณภาพไข่ไก่ที่ต้องปรากฏอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหาไก่ไข่ที่ประสบความสำเร็จ ต้องตอบสนองโครงสร้างการผลิตและการตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ครบวงจร ผู้ผลิตลูกไก่ไข่ สหกรณ์ไก่ไข่ เกษตรกรขนาดกลางและเล็ก ผู้จัดจำหน่าย และกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจำเป็นต้องมีกลไกมารองรับ ซึ่งที่ผ่านมาด้วยการวางนโยบายพัฒนาการผลิตการตลาดไก่ไข่และการบริหารจัดการไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ระดับต้นทางถึงปลายทาง ทั้งในเรื่องการบรืหารจัดการ ระบบการผลิตที่มีการติดตาม กำกับ ดูแลปริมาณการเลี้ยงและอายุการเลี้ยงของฟาร์มไก่ไข่ และระบบการตลาดที่มีตลาดรองรับทั้งภายในประเทศและการส่งออก เป็นต้น
สำหรับการดำเนินการในปี 2566 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลัก ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ผลิตด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวไก่ไข่ ทราบดีว่าพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ของไทยต้องเผชิญปัญหาการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากของต้นทุนการผลิตซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย - ยูเครน ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น ร่วมถึงปัญหาราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จึงพร้อมกำกับดูแลให้เกิดสมดุลการผลิต – การบริโภค เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่พึงพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะต้องสร้างความเข้มแข็งในด้านการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคระบาดสัตว์ที่สำคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของไทยที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท และพัฒนาระบบมาตรฐานการผลิตไข่ไก่ ที่วันนี้กว่า 90% ของไข่ไก่ในท้องตลาดมาจากฟาร์ม GAP ที่กรมปศุสัตว์รับรองแล้ว โดยจะต้องพัฒนามาตรฐานต่อยอด อาทิ การออกตราสัญลักษณ์การรับรองร่วมกับการมีระบบตรวจสอบย้อนกลับบนฟองไข่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในด้านคุณภาพมาตรฐานให้กับผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศอีกด้วย
"ในวันนี้ได้พูดคุยกับเกษตรกรและผู้ประกอบการผู้เลี้ยงไก่ไข่ เพื่อดูแนวโน้มสถานการณ์และภาวะในปี 2566 ที่ประเทศไทยกำลังจะเปิดตลาดโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าปีนี้ โดยปี 2565 นี้มีนักท่องเที่ยวประมาณ 10 ล้านคน คาดว่าปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวสูงถึงประมาณ 20 - 30 ล้านคน จึงต้องมีการเตรียมแผนในการรองรับนักท่องเที่ยว ที่สำคัญคือในด้านการบริโภค และไข่ไก่ก็เป็นผลผลิตที่สำคัญเพราะมีอัตราการบริโภคที่เพิ่มขึ้น กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้หารือกับสมาคมและสหกรณ์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ไข่ไก่ขาดตลาด ต้องบริหารจัดการให้ Demand กับ Supply ไปด้วยกันได้ และที่สำคัญในเรื่องของราคาที่จะให้พี่น้องเกษตรกรอยู่ได้ และพี่น้องประชาชนผู้บริโภคไม่เดือดร้อน โดยกรมปศุสัตว์จะเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด ผ่านคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) เพื่อให้เกิดความสมดุลและรักษาเสถียรภาพของราคา" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62640 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" เผยผลสำเร็จ "ไทยพร้อม" สร้างการมีส่วนร่วมประชาชนต่อการเป็นเจ้าภาพเอเปค พบคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
"อนุชา" เผยผลสำเร็จ "ไทยพร้อม" สร้างการมีส่วนร่วมประชาชนต่อการเป็นเจ้าภาพเอเปค พบคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
"อนุชา" เผยผลสำเร็จ "ไทยพร้อม" สร้างการมีส่วนร่วมประชาชนต่อการเป็นเจ้าภาพเอเปค พบคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
วันที่ 14 ธันวาคม 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ ได้สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะเลขานุการของคณะ ร่วมกับกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หาแนวทางในการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ต่อการเป็นเจ้าภาพของไทยในการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค หรือ เอเปค 2565 ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีบทบาทในการสื่อสารและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติผ่านหลากหลายกิจกรรม โดยกรมประชาสัมพันธ์ได้จัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด "ไทยพร้อม" แสดงความพร้อมของคนไทยทุกด้านต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญของโลก พบว่าโครงการภายใต้แนวคิดนี้ได้รับความสนใจและมีผู้สมัครเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ 2 โครงการ คือ โครงการประกวดคลิปวิดีโอรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “ไทยพร้อม” (VDO Contest APEC 2022) และ โครงการประกวดเมนูอาหารแห่งอนาคต “Future Food for Sustainability” แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวของภาคประชาชนต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคของไทย
นายอนุชา ย้ำ การประชุมเอเปค 2565 ภายใต้แนวคิด “Open. Connect. Balance. ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และมีโอกาสต้อนรับผู้นําและผู้เข้าร่วมประชุมจาก 20 เขตเศรษฐกิจเอเปคได้จบลงไปแล้ว ท่ามกลางความสําเร็จอันเกิด จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน จนได้รับความชื่นชมจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างมาก ส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคให้ตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกเผชิญอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการถอดบทเรียนผลกระทบจากวิกฤตโควิด–19 เพื่อมุ่งหน้าขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการเติบโตในระยะยาวที่สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางไว้
นายอนุชา กล่าวชื่นชมกิจกรรมการประกวดภายใต้แนวคิด "ไทยพร้อม" แสดงความพร้อมของคนไทยทุกด้านต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญของโลกว่า ทุกผลงานล้วนนําเสนอแนวคิดที่สอดคล้องต่อการขับเคลื่อนประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลชนะเลิศการประกวดคลิป ที่นําเรื่อง “ข้าวรักษ์โลก” มาเป็นประเด็นในการดําเนินเรื่อง ซึ่งหากภาคเกษตรกรรมของไทยตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ํา ให้ความสําคัญต่อ สิ่งแวดล้อม เราจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และยังเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศอีกด้วย รวมถึง ผลงาน “เลอชั้น” ขนมชั้นลดน้ําตาล เสริมใยอาหารและโพรไบโอติก ซึ่งใช้สีสกัดจากแก้วมังกร สะท้อนวัฒนธรรมการทําขนมของไทย โดยลดวัตถุดิบเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้เห็นถึงเมนูของอาหารแห่งอนาคตที่ได้นําเสนอ Soft Power ของไทยซึ่งพร้อมจะเป็นครัวแห่งอนาคตของโลก สอดคล้องแนวคิด 3 ดี คือ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อโลก ทั้งนี้พบว่าทั้ง 2 โครงการได้รับความสนใจจากประชาชน เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติเป็น สอดคล้องกับการที่รัฐบาลต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในภาคประชาชนต่อการเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62621 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” จัดโปรแรงส่งท้ายปี Money Expo 2022 Bangkok Year-End ตอบโจทย์ลูกค้าทุกมิติ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
“กรุงไทย” จัดโปรแรงส่งท้ายปี Money Expo 2022 Bangkok Year-End ตอบโจทย์ลูกค้าทุกมิติ
ธ.กรุงไทยร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพส่งท้ายปี ครั้งที่ 5 Money Expo 2022 Bangkok Year-End ภายใต้แนวคิด “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน: Empower Better Life for All Thais” ระหว่างวันที่ 15-18 ธ.ค.2565ณ ฮอลล์ EH 103-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัย สนับสนุนคนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นทุกวัน นำเสนอบริการทางการเงินครบวงจร ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ในงาน มหกรรมการเงินกรุงเทพส่งท้ายปี ครั้งที่ 5 Money Expo 2022 Bangkok Year-End ภายใต้แนวคิด “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน : Empower Better Life for All Thais” ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม 2565 ณ ฮอลล์ EH 103-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ธนาคารจัดเต็มบริการทางการเงินและโปรโมชั่นภายในงาน มีไฮไลท์ทั้ง สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อ SMEs ได้แก่ สินเชื่อกรุงไทยบ้านให้เงิน เปลี่ยนหลักทรัพย์ให้เป็นเงินก้อนโตได้ง่ายๆ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท กู้ได้นาน 30 ปี สินเชื่อบ้านกรุงไทย ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรก 1.00%ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 100% ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ Krungthai NPA MEGA Sale 2565 ยกทัพทรัพย์สินพร้อมขายคุณภาพดีทั่วประเทศ กว่า 3,000 รายการ มูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท ลดราคาสูงสุด 55% Krungthai NPAเหมาเหมา ซื้อทรัพย์ราคาพิเศษ เมื่อเหมาทรัพย์ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป พร้อมสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ซื้อทรัพย์สินพร้อมขาย (NPA) ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรก 0.5% ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม การประเมินราคาหลักทรัพย์ประกัน สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ เพื่อสมาชิก กบข. วงเงินสูงสุด 15 เท่าของเงินเดือน คิดดอกเบี้ยตามจำนวนเงินใช้จริง สินเชื่ออเนกประสงค์ เพื่อสมาชิก กบข. วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 6.47% ต่อปี ไม่ต้องมีบัญชีเงินเดือนผ่านกรุงไทย ก็ยื่นกู้ได้
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อธุรกิจ ดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก ไม่เกิน 2% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี สินเชื่อ Krungthai SME Smart Shop ร้านเล็กก็กู้ได้ เพียงใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”หรือ เครื่อง EDC กรุงไทย ไม่ต้องใช้หลักประกัน วงเงินสูงสุด หลักล้านบาท สินเชื่อกรุงไทย Smart Money สำหรับผู้มีรายได้ประจำ แต่ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับธนาคาร ให้กู้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ ไม่ต้องมีหลักประกัน กู้ได้นาน 5 ปี
พบกับ คาราวานตรวจสุขภาพฟรี ของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ตอบโจทย์การวางแผนด้านสุขภาพและการลงทุน พร้อมแคมเปญพิเศษ iHealthy Ultra มาตรฐานใหม่ของการวางแผนเรื่องสุขภาพ ซื้อประกันภัย PA สุขใจชัวร์ เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป ของ บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย รับบัตร Starbucks E-Coupon มูลค่า 150 บาท ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย บมจ.ทิพยประกันภัย เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป รับสายรัดข้อมืออัจฉริยะ Mi Band 3 และลงทุน 200,000 บาทขึ้นไป รับฟรีกระเป๋า G2000 พิเศษสมัคร บัตรเดบิตกรุงไทย รับ 2 ต่อ ฟรีค่าธรรมเนียมออกบัตร และส่วนลดค่าธรรมเนียมรายปี (ปีแรก) สมัครบัตรเครดิต KTC รับบัตรกำนัล Starbucks มูลค่า 200 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62653 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เผย Young Smart Farmer มีมากที่สุดที่ จ.เชียงราย เลขานุการ รมว.อว. ลงพื้นที่โอโซนฟาร์ม อ.แม่จัน | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
เผย Young Smart Farmer มีมากที่สุดที่ จ.เชียงราย เลขานุการ รมว.อว. ลงพื้นที่โอโซนฟาร์ม อ.แม่จัน
เผย Young Smart Farmer มีมากที่สุดที่ จ.เชียงราย เลขานุการ รมว.อว. ลงพื้นที่โอโซนฟาร์ม อ.แม่จัน ประกาศเชิญชวนคนรุ่นใหม่มาช่วยกันพลิกโฉมการทำเกษตรไทยแบบแม่นยำ
เผย Young Smart Farmer มีมากที่สุดที่ จ.เชียงราย เลขานุการ รมว.อว. ลงพื้นที่โอโซนฟาร์ม อ.แม่จัน ประกาศเชิญชวนคนรุ่นใหม่มาช่วยกันพลิกโฉมการทำเกษตรไทยแบบแม่นยำ หวังผลได้ ผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์ในทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม ผู้ตรวจราชการ อว. และ น.ส.ทิพวัลย์ เวชชการัณย์ ผอ.กลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัด อว. ลงพื้นที่เยี่ยมชมโอโซนฟาร์ม อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยมีนายพิเชษฐ กันทะวงค์ กรรมการผู้จัดการโอโซนฟาร์ม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) นำเยี่ยมชมพื้นที่ 8 ไร่ ซึ่งประกอบด้วยโรงเรือน 18 หลัง แต่ละโรงเรือนจะปลูกเมล่อน มะเขือเทศ ผ่านระบบสมาร์ทฟาร์มเมอร์ นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารที่นำผลผลิตจากฟาร์มมาปรุงจำหน่าย โดยผลผลิตทั้งหมดของโอโซนฟาร์มเป็นออร์แกนิกส์และปลอดสารพิษ
นายพิเชษฐ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มฟล. ได้เข้ามาช่วยโอโซนฟาร์ม โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาทำเรื่องของเมล่อนที่ให้มีรสชาติหวาน ทำเป็นฟรีชดรายแปรรูปส่งตลาดได้ รวมทั้งการใช้ระบบให้อาหารพืชที่ปลูกในโรงเรือนแบบแม่นยำ สามารถลดต้นทุนได้ และยังจัดทำระบบเครื่องจ่ายปุ๋ยผ่านโทรศัพท์มือถือที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผลผลิตในโอโซนฟาร์มมีคุณภาพ เป็นการพลิกโฉมการทำเกษตรแบบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะหาองค์ความรู้แบบนี้มาจากแหล่งใด ที่สำคัญ ขณะนี้เกษตรกรรุ่นใหม่ใน จ.เชียงราย หรือที่เรียกว่า Young Smart Farmer มีสมาชิกถึง 120 คน ถือว่ามากที่สุดในประเทศไทยที่ทำการเกษตรแบบใหม่ ซึ่งทำแล้วสนุกและได้ประโยชน์มากขึ้น สามารถนำผลิตผลทางการเกษตรไปแปรรูปเป็นเครื่องสำอาง เป็นเซรั่ม หรือแม้กระทั่งการออกแบบแพ็คเกจจิ้งใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรได้โดยผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์ มฟล. และไม่ต้องทำการเกษตรแบบลองผิดลองถูกอีกต่อไป แต่ต้องเป็นการเกษตรที่แม่นยำ จึงเป็นทางรอดของเกษตรกรไทย
ด้าน ดร.ดนุช กล่าวว่า ขณะนี้คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำการเกษตรแบบแม่นยำหรือปรับเปลี่ยนมาเป็น Young Smart Farmer มากขึ้น เพราะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้ามาช่วยควบคุมทั้งเรื่องดิน น้ำ ปุ๋ย ได้มากขึ้น โอโซนฟาร์มใน 18 โรงเรือน มี 5 โรงเรือนที่ปลูกเมล่อน มีรายได้ 4-5 หมื่นต่อโรงเรือนต่อการตัด 1 ครั้ง ขณะที่ใน 1 ปีสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 2-3 ครั้ง หรืออย่างมะเขือเทศ มีเพียงโรงเรือนเดียวยังเก็บผลผลิตมาขายได้ทุกวัน เพราะทุกอย่างเราควบคุมได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแปรรูปเพิ่มมูลค่า ดังนั้น อยากจะเชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่สนใจอยากเป็น Young Smart Farmer ให้ไปที่อุทยานวิทยาศาสตร์ได้ทุกแห่งในมหาวิทยาลัย เพื่อเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรของประเทศไทยให้แม่นยำและหวังผลได้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้เกษตรอย่างเป็นรูปธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ภาคอีสาน แก้ปัญหาน้ำ พื้นที่เสี่ยง พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน ย้ำแก้ปัญหาจำนองขายฝาก อย่าให้ที่ดินหลุดมือเกษตรกร | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ภาคอีสาน แก้ปัญหาน้ำ พื้นที่เสี่ยง พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน ย้ำแก้ปัญหาจำนองขายฝาก อย่าให้ที่ดินหลุดมือเกษตรกร
รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ภาคอีสาน แก้ปัญหาน้ำ พื้นที่เสี่ยง พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน ย้ำแก้ปัญหาจำนองขายฝาก อย่าให้ที่ดินหลุดมือเกษตรกร
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน จ.กาฬสินธ์ และ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการฟื้นฟูแหล่งน้ำ พร้อมทั้งรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ โดย มี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ให้การต้อนรับ
รองนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวม จ.กาฬสินธุ์ ณ ศาลากลางจังหวัด ซึ่งภาพรวมยังพบปัญหาสำคัญ คือการขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุนการเกษตรและการบริโภคจากการขยายตัวของชุมชนเมือง โดยเฉพาะนอกเขตชลประทาน โดยปี 61-64 มีแผนงานพัฒนาพื้นที่แล้ว 1,152 โครงการ วงเงินกว่า 3,100 ล้านบาท พื้นที่รับประโยชน์ 107,582 ไร่ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 48,000 ครอบครัว และอยู่ระหว่างดำเนินการ 165 โครงการ โดยงบกลางกว่า 280 ล้าน ทั้งการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ ระบบกระจายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม สำหรับปี 66-67 มี 3 โครงการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 912 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อีก 3,100 ครอบครัว พื้นที่กว่า 5,800 ไร่
รองนายกรัฐมนตรี ย้ำสั่งการ สทนช. จังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง โดยขอให้เร่งพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ให้เสร็จทันตามกำหนด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และขอให้ลงไปดูแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยและป้องกันการเสียสิทธิ์ในที่ดินทำกินจากการจำนองและขายฝากของเกษตรกร ย้ำ “อย่าให้หลุดมือเกษตรกร” พร้อมทั้งเร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ โดยให้บูรณาการความร่วมมือภาคีการพัฒนาต่าง ๆ และบริหารจัดการข้อมูลแบบชี้เป้าให้เป็นผล ทั้งนี้ให้กระจายรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมไปด้วยกัน
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินของรัฐเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายแก้ปัญหาความยากจนและพบปะประชาชน ในพื้นที่ “หนองผัวเมียสาธารณประโยชน์” ต.ดอนสมบูรณ์ และแปลง “โสกหมูสาธารณประโยชน์” ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด และกล่าวขอบคุณ จ.กาฬสินธ์ุ ที่แก้ปัญหาการบริหารจัดการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างถูกต้องใน 7 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 2,938 แปลง เพื่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมกับพบปะเยี่ยมเยียนและรับทราบปัญหาจากประชาชนในพื้นที่
บ่ายวันเดียวกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางลงพบปะประชาชน และติดตามการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะจับตาภาคโลจิสติกส์ปรับตัวลดก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กรุงไทยแนะจับตาภาคโลจิสติกส์ปรับตัวลดก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้การลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้า(โลจิสติกส์) ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้การลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้า(โลจิสติกส์) ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก ประเมินการปรับตัวสู่แนวทางโลจิสติกส์สีเขียวของไทยจะสร้างการลงทุนใหม่จากการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงของรถบรรทุกนับแสนล้านบาทต่อปี
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนราว 20% ของการปลดปล่อยจากอุตสาหกรรมทั้งหมดของโลก รองจากอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าและความร้อน ซึ่งภายหลังจากการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP-27) เมื่อเดือน พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา การลดมลพิษจากการขนส่งสินค้าทางถนนได้ถูกเน้นย้ำมากขึ้น สะท้อนได้จากการถูกจัดเข้าใน 5 อุตสาหกรรมที่ต้องมีแม่บทเพื่อเร่งการลดคาร์บอน โดยหนึ่งในแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่งคือ แนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)
“แนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) หรือกระบวนการจัดการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2564-2573 สาขาคมนาคมขนส่ง ที่มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกรวม 41 MtCO2e หรือราว 55% ของก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยเฉลี่ยใน 5 ปีที่ผ่านมา (2560-2564) ซึ่งเเบ่งเป็น 3 มาตรการ ได้แก่ 1)มาตรการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง (เป้าหมาย 23 MtCO2e) 2)มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานคมนาคมขนส่ง (8 MtCO2e) 3)มาตรการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในยานพาหนะ (10 MtCO2e) โดยเรามองว่า ผู้ประกอบการขนส่งทางรถบรรทุกเป็นผู้ประกอบการกลุ่มแรกที่ต้องมีการจัดการกับมลพิษ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้”
ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ผู้ประกอบการขนส่งทางรถบรรทุก ที่ปรับตัวเข้ากับแนวทาง Green Logistics นอกจากตอบโจทย์กระแสรักษ์โลกแล้ว ยังสามารถช่วยลดต้นทุนการขนส่งและลดความเสี่ยงทางการค้ากับคู่ค้าที่มีมาตรการทางสิ่งแวดล้อมเข้มข้นขึ้น โดยมี 3 แนวทางในการลด CO2 ได้แก่ 1)การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น น้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด โดยการเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจาก B7 เป็น B20 สำหรับรถบรรทุก 6 ล้อ จำนวนราว 9,500 คัน/ปี หรือรถบรรทุก 18 ล้อ จำนวนราว 5,550 คัน/ปี จะช่วยลดการปล่อย CO2เป็นจำนวน 0.1 MtCO2 หรือ 1% ของมาตรการการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งมีเป้าหมาย 10 MtCO2e 2) การใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ซึ่งยังมีอุปสรรคในการใช้งาน ทั้งด้านขนาด ราคา และการใช้งานของอุปกรณ์ จึงคงต้องรอการปรับปรุงในอนาคต และ 3)การเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (ZEV) ที่แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีราคาที่สูง แต่ประเมินว่าผลประโยชน์สุทธิจากการใช้รถบรรทุก ZEV จะสามารถชดเชยส่วนต่างราคารถและค่าใช้จ่ายในการใช้งานระหว่างรถ ZEV และรถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ภายใน 3-4 ปี และในระยะข้างหน้า การสนับสนุนให้ใช้รถบรรทุก ZEV เฉลี่ยราวปีละ 3.76 หมื่นคัน จากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่คาดราวปีละ 5.1-6.6 หมื่นคันจากปัจจุบันจนถึงปี 2573 จะทำให้การปลดปล่อย CO2 ในปี 2573 ลดลงได้ราว 5 MtCO2e หรือราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายในการลด CO2 จากมาตรการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ
สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางและเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการขนส่งทางรถบรรทุกดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการขนส่งแล้ว ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยการเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจาก B7 เป็น B20 สำหรับรถบรรทุก 6 ล้อ จำนวนราว 9,500 คัน/ปี หรือรถบรรทุก 18 ล้อ จำนวนราว 5,550 คัน/ปี จะมีส่วนช่วยรองรับอุปทานปาล์มน้ำมันในประเทศที่ใช้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นราว 37 ล้านลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านบาท/ปี ขณะที่การเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกไฟฟ้าจำนวนราว 3.76 หมื่นคัน/ปี จะทำให้มูลค่าตลาดรถบรรทุกไฟฟ้าสะสมระหว่างปี 2565-2573 สูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท เฉลี่ยราว 1.44 แสนล้านบาท/ปี นอกจากนี้ ภาครัฐและผู้ประกอบการเอกชนสามารถใช้โอกาสนี้ในการต่อยอดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าและชิ้นส่วน ที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ และการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" เผย "พล.อ. ประยุทธ์" เพิ่มจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาทให้คุณแม่ประกันสังคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขอใช้สิทธิได้แล้ววันนี้ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
"ทิพานัน" เผย "พล.อ. ประยุทธ์" เพิ่มจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาทให้คุณแม่ประกันสังคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขอใช้สิทธิได้แล้ววันนี้
"ทิพานัน" เผย "พล.อ. ประยุทธ์" เพิ่มจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาทให้คุณแม่ประกันสังคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขอใช้สิทธิได้แล้ววันนี้ ย้ำรัฐบาลมุ่งสร้างหลักประกันสังคมให้ครอบคลุมกับคนทุกช่วงวัย
วันที่ 14 ธันวาคม 2565น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยคุณแม่ผู้ใช้สิทธิประกันสังคม เมื่อคลอดบุตรแล้วอย่าพลาดใช้สิทธิในการรับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท จากประกันสังคมต่อบุตร 1 คน ตั้งแต่แรกเกิดไปจบครบ 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนไม่เกิน 3 คน ซึ่งเดิมได้รับเดือนละ 600 บาท เป็น 800 บาท ตามประกาศกฎกระทรวงแรงงาน เรื่องการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 มาแล้ว
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้การเพิ่มจำนวนเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรของผู้ประกันตน และภาคแรงงาน ให้สามารถเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันพัฒนาประเทศชาติต่อไป
สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสิทธิ์
-ต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างประจำ) มาตรา 39 (ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ) และมาตรา 40 (ทางเลือกที่ 3)
-จ่ายเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน จ่ายประกันสังคมมามากกว่า 12 เดือนแล้ว ภายในเวลา 36 เดือน
-ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
-อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน
การหมดสิทธิรับเงินกรณีสงเคราะห์บุตร
-เมื่อบุตรอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
-บุตรเสียชีวิต
-ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น
-ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้คุณแม่ผู้ประกันตนสามารถยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขาที่ท่านสะดวก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สายด่วน 1506 และwww.sso.go.th
“พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำให้ประชาสัมพันธ์มายัง คุณแม่ที่อยู่ในประกันสังคมทุกคนที่เข้าเงื่อนไขได้ทราบข้อมูลสิทธิประโยชน์นี้ และย้ำว่ารัฐบาลได้จัดเตรียมเงินสงเคราะห์บุตรไว้ให้คุณแม่ทุกคนและมีนโยบายเร่งจ่ายให้ครบถ้วน เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ต้องดูแลบุตรได้รับเงินทั่วถึงและนำไปใช้ได้ทันเวลากับความต้องการ ทั้งนี้รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นที่จะการสร้างหลักประกันสังคมให้ครอบคลุมกับคนทุกช่วงวัย ทุกเพศสภาพและทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มุ่งพัฒนาคนในทุกมิติ เพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือประธานคณะมนตรียุโรป ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง รวมทั้งความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
นายกฯ หารือประธานคณะมนตรียุโรป ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง รวมทั้งความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
นายกฯ หารือประธานคณะมนตรียุโรป ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง รวมทั้งความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
วันนี้ (13 ธันวาคม 2565) เวลา 16.20 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์) ณ อาคาร Europa กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบหารือกับนายชาร์ล มีแชล (H.E. Mr. Charles Michel) ประธานคณะมนตรียุโรป ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่การประชุมสุดยอดอาเซียน- EU สมัยพิเศษ เป็นครั้งแรกที่ผู้นำอาเซียนและประเทศสมาชิก EU มาประชุมกัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ EU มียุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในอินโด-แปซิฟิก เพิ่มบทบาทและปฏิสัมพันธ์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกับอาเซียนและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในความสัมพันธ์ไทย-อียูด้วย โดยกำลังจะลงนาม PCA ที่สองฝ่ายจะใช้เป็นแผนความร่วมมือระหว่างกันต่อไป ไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนของ EU บนพื้นฐานค่านิยมร่วม ทั้งพหุภาคีนิยมที่ครอบคลุม ระเบียบระหว่างประเทศที่อิงกฎเกณฑ์ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ธรรมาภิบาล และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทั้ง EU และประเทศสมาชิกในการนำแผนปฏิบัติการอาเซียน-อียู ปี ค.ศ. 2023-2027 และ PCA ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ที่เท่าเทียมกันของสองฝ่ายต่อไป ไทยพร้อมร่วมงานกับท่านอย่างใกล้ชิด เปิดรับต่อการปรึกษาหารืออย่างสร้างสรรค์ และพร้อมปฏิสัมพันธ์กับทุกหน่วยงานของ EU
ประธานคณะมนตรียุโรปยินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เพื่อหารือถึงแนวทางกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ EU และยินดีที่ไทยและ EU จะได้ลงนามร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Thai-EU Partnership and Cooperation Agreement: Thai-EU PCA) ซึ่งจะเป็นกรอบในการเดินหน้าความร่วมมือต่าง ๆ ต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประธานคณะมนตรียุโรปยังกล่าวชื่นชมไทยในฐานะมิตรประเทศที่สำคัญและมีบทบาทนำในภูมิภาค หวังว่าจะได้ร่วมมือกับไทยกระชับความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความมั่นคง รวมทั้งความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีและประธานคณะมนตรียุโรปยังหารือถึงการกระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ ดังนี้
- ด้านความยั่งยืนและวาระสีเขียว ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตเศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยใช้แนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เหมาะสม ยึดมั่นในเป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวน EU และประเทศสมาชิก EU ร่วมมือในการสนับสนุนภาคเอกชนไทย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้นซึ่ง EU มีความเชี่ยวชาญ ด้านประธานคณะมนตรียุโรปชื่นชมไทยที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแผนปฏิรูปยุโรปสีเขียวของ EU (European Green Deal) พร้อมร่วมมือกับไทย และให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมทั้งผลักดันการขยายการลงทุน เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
- ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห้นพ้องถึงการกระชับความร่วมมือท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความมั่นคงโลก โดยไทยเห็นความจำเป็นของการรักษาไว้ซึ่งพื้นที่การหารือที่ครอบคลุมทุกฝ่าย ใช้การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเป็นตัวนำ ซึ่งประธานคณะมนตรียุโรปพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง รวมทั้งการเสริมสร้างขีดความสามารถ การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง บุคลากร และแนวปฏิบัติที่ดี พร้อมหารือเพิ่มเติมถึงการจัดตั้งกรอบการหารือด้านความมั่นคง เพื่อหารือในประเด็นความมั่นคงทางไซเบอร์ ความมั่นคงทางทะเล และการต่อต้านการก่อการร้าย กับไทยต่อไป
- ด้านความร่วมมือกับอาเซียน ประธานคณะมนตรียุโรปยืนยันในการให้ความสำคัญกับความเป็นแกนกลางของอาเซียน พร้อมร่วมมือกับไทยแสวงหาการหารือที่เปิดกว้าง สร้างสรรค์ ตลอดจนหลักการเรื่องการเคารพซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน สำหรับไทย นายกรัฐมนตรีพร้อมร่วมมือกับ EU ในการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนและอินโด-แปซิฟิก และส่งเสริมการขับเคลื่อนวาระสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อาทิ การอนุรักษ์ทะเลและการทำประมงยั่งยืน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ความร่วมมือด้านอวกาศ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62615 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ ขอบคุณอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง ช่วยพัฒนากาแฟเพื่อสุขภาพ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ ขอบคุณอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง ช่วยพัฒนากาแฟเพื่อสุขภาพ
อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ ขอบคุณอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง ช่วยพัฒนากาแฟเพื่อสุขภาพ
อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ ขอบคุณอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง ช่วยพัฒนากาแฟเพื่อสุขภาพ พร้อมนำพาวิถีชีวิตชาวอาข่าไปสู่ชาวโลก ขณะที่ ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการ รมว.อว. เชิญชวนผู้ประกอบการน้อยใหญ่มาใช้บริการอุทยานวิทยาศาสตร์หรือนิคมความรู้ทั่วประเทศ ยันกระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนเต็มที่
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม ผู้ตรวจราชการ อว. และ น.ส.ทิพวัลย์ เวชชการัณย์ ผอ.กลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัด อว. ลงพื้นที่เยี่ยมชมสวนกาแฟอาข่าและกิจการอาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ (Akha Jungle Coffee) ซึ่งอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เข้าไปสนับสนุน มีนายธนพล เฌอมือ หรืออาจือ เป็นผู้ประกอบการ นำชมอุตสาหกรรมกาแฟ โดยนายธนพล กล่าวว่า อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ มีวันนี้ได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ มฟล. มาช่วยพัฒนาและต่อยอดกาแฟอาข่า ซึ่งตนอยากให้กาแฟของพี่น้องอาข่าเป็นกาแฟที่ดี มีความหอม มีรสชาติดี เป็นกาแฟของคนรุ่นใหม่ เพื่อนำวิถีชีวิตของอาข่าไปสู่ชาวโลก ทั้งนี้การผลิตกาฟอาข่า เรารักษาป่า ไม่ทำลายป่า มีรสชาติเฉพาะ มีส่วนผสมของสมุนไพรขมิ้นชัน เพื่อช่วยระบบทางเดินอาหาร
ด้าน ดร.ดนุช กล่าวว่า อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ เป็นกาแฟที่ดื่มแล้วให้ผลดีต่อสุขภาพ ตนดีใจที่อุทยานวิทยาศาสตร์ มฟล. มาช่วยพัฒนาต่อยอดให้ผู้ประกอบการได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งสนับสนุนให้อาข่า จังเกิ้ล คอฟฟี่ ได้ไปอวดคนทั่วประเทศและทั่วโลก ตนอยากจะเชิญชวนคนที่มีไอเดีย มีความคิด ให้มาใช้บริการที่อุทยานวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งและเป็นเสมือนนิคมความรู้ที่จะนำพาผู้ประกอบการได้เรียนรู้เรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสินค้าหรือพัฒนาความคิดของตัวเอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไปด้วย ซึ่งกระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนอุทยานวิทยาศาสตร์และผู้ประกอบการอย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62647 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” รับสนองแนวพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” แก้ปัญหาคนกับช้าง ผนึกพลัง 3 หน่วยงาน “สสน.- NIA - วช.” | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
“เอนก” รับสนองแนวพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” แก้ปัญหาคนกับช้าง ผนึกพลัง 3 หน่วยงาน “สสน.- NIA - วช.”
“เอนก” รับสนองแนวพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” แก้ปัญหาคนกับช้าง ผนึกพลัง 3 หน่วยงาน “สสน.- NIA - วช.”
เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2565ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ“การขับเคลื่อนแนวพระราชดำริด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม”ระหว่าง 3 หน่วยงานภายใต้ อว. ได้แก่ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช./NIA และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. โดยมีดร.สุทัศน์ วีสกุลผอ.สสน.,ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ผอ.สนช. และดร.วิภารัตน์ ดีอ่องผอ.วช. ร่วมลงนาม ที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกกล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานร่วมกันของ 3 หน่วยงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2 ด้าน คือ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน และโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (การจัดการปัญหาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับช้างป่า) ด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงาน จะต้องร่วมขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสร้างกลไกการดำเนินงานให้เอื้อต่อการทำงาน และต้องเชื่อมโยงสอดรับแนวนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการดำเนินงานแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน
“หลายคนอาจเห็นเรื่องช้างป่าเป็นปัญหา แต่ตนกลับเห็นว่าเป็นโอกาส เมื่อก่อนช้างป่าแทบจะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับเสือ แต่พอพวกเราช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้พวกเราได้เห็นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ช้างป่าในประเทศก็กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมถึงสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ทำให้พื้นที่ป่าของไทยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาที่เกิดผลกระทบกับชาวบ้าน เราก็ไม่ได้ละเลยและหาทางจัดการปัญหาเพื่อให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล พร้อมจัดหาแหล่งน้ำชุมชนให้มีน้ำกินน้ำใช้พอเพียง ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
ด้านดร.สุทัศน์กล่าวว่า สสน.พร้อมส่งเสริม สนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง น้ำท่วมและจากช้างป่า
ขณะที่ดร.พันธุ์อาจกล่าวว่า NIA จะนำ “นวัตกรรม” มาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่สำหรับการแก้ไขปัญหาภายใต้ “โครงการระบบจัดการปัญหาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับช้างป่า” และ “โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อให้ชุมชนสามารถวางแผนการเพาะปลูกด้วยตนเองเพื่อเพิ่มผลผลิต และสามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนได้” เพื่อช่วยคืนความสมดุลให้กับทรัพยากรธรรมชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ดร.วิภารัตน์กล่าวว่า วช.ได้สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ เพื่อให้เกิดการบูรณาการตามแนวพระราชดำริด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้ดำเนินแนวทางขับเคลื่อนการบริหารจัดการ การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับช้างป่า โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระดับภูมิปัญญาและระดับสากล มาปรับใช้ในพื้นที่เป้าหมายรอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า รวมถึงสนับสนุนองค์ความรู้ในการสร้างอาชีพเสริมแก่ประชากรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า ด้วยการฝึกอาชีพโดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน และสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกพืชที่ไม่เป็นที่สนใจของช้าง และขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ เพื่อบริหารจัดการและแก้ปัญหาให้แก่ชุมชน อันเป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สืบไป
โอกาสนี้ รมว.อว. ยังมอบโล่รางวัลวิศวนฤมิตให้กับผู้ชนะการประกวด“THAIWATER HACK รู้น้ำ ลดภัย สร้างโอกาส”ซึ่ง สสน. ร่วมกับวิศกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดการประกวดแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาด้านน้ำของประเทศ ด้วยวิศวกรรม และคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ (Thaiwater.net) ของ สสน. ชิงเงินรางวัลรวม 180,000 บาท โดยผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ ทีม Hydroinformatics for Highways อันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Platform รายงานอุทกภัย กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ อันดับที่ 3 ได้แก่ ทีม On-Farm Solution โดยทั้ง 3 ทีมจะได้ร่วมงานกับ NIA ในการพัฒนาไอเดียจากการประกวดครั้งนี้ให้ไปสู่ความเป็นจริงต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62649 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า คว้ารางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ประจำปี 2565 ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กรมเจ้าท่า คว้ารางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ประจำปี 2565 ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ
...
กรมเจ้าท่า คว้ารางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ประจำปี 2565 ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ กระทรวงคมนาคม เป็นผู้แทนกรมเจ้าท่า เข้ารับรางวัล “สำเภา - นาวาทอง” ประจำปี 2565 ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ พร้อมด้วยนายสุวิทย์ ดอกคำ เลขานุการกรม โดยมี ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลพร้อมปาฐกถาพิเศษ "ปลดล็อก กฎหมาย กฎระเบียบ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศได้อย่างไร" โดยมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมพิธีฯ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ณ อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
จากที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการปลดล็อกกฎหมาย กฎระเบียบ (Regulatory Guillotine) เพื่อช่วยลดปัญหาอุปสรรคและอำนวยความสะดวกการดำเนินภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงจัดทำรางวัลสุดยอดหน่วยงานรัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล "สำเภา - นาวาทอง" ประจำปี 2565 เพื่อเป็นการให้กำลังใจและเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างเห็นผล ซึ่งกรมเจ้าท่า เป็น 1 ในหน่วยงานที่เข้ารับรางวัล ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ ประเภท รางวัลหน่วยงานระดับกรม 19 หน่วยงาน ที่เข้ารับรางวัลในครั้งนี้
ในปีที่ผ่านมา กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจหรือ Regulatory Guillotine มีการปลดล็อกไปแล้วกว่า 938 กระบวนงานจาก 1,094 ความก้าวหน้าและสัมฤทธิ์ผลดังกล่าว หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตระหนักถึงความทุ่มเทการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ อำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจได้มีความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จึงได้จัดทำรางวัลสุดยอดหน่วยงานรัฐ ด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ โดยใช้ชื่อว่ารางวัล สำเภา - นาวาทอง เป็นรางวัลที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้กำลังใจและเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นหน่วยงานรวบรวมข้อมูล คัดกรองและประเมินผลหน่วยงานภาครัฐ และนำเสนอต่อคณะกรรมการตัดสินและมอบรางวัล ซึ่งสะท้อนในด้านผู้ใช้บริการ จนเกิดการแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัยอย่างจริงจัง อีกทั้งยังเป็นการให้กำลังใจและเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบด้านการอำนวยความสะดวกในทุกด้าน พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เพื่อส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในทุกมิติยิ่งขึ้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62658 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดี! กยศ.ขยายเวลาลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน ถึง 30 มิ.ย.66 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ผู้กู้ยืมเข้าร่วมมาตรการผ่านออนไลน์ได้ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ข่าวดี! กยศ.ขยายเวลาลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน ถึง 30 มิ.ย.66 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ผู้กู้ยืมเข้าร่วมมาตรการผ่านออนไลน์ได้
ข่าวดี! กยศ.ขยายเวลาลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน ถึง 30 มิ.ย.66 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ผู้กู้ยืมเข้าร่วมมาตรการผ่านออนไลน์ได้
วันที่ 14 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้หนี้ภาคครัว โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยเป็นอย่างมาก ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งทางกยศ.ได้กำหนดมาตรการในการช่วยเหลือ อาทิ การลดเบี้ยปรับ การลดเงินต้น รวมถึงได้ดำเนินการอื่นๆ เช่น ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกัน ชะลอการฟ้องร้องคดี งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินและหรือผู้ค้ำประกัน
ล่าสุด กยศ. ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 65 ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุน รวมถึงช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มีทางเลือกในการผ่อนชำระมากขึ้น สำหรับมาตรการลดหย่อนหนี้ มีดังนี้
1.ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิม 1% ต่อปี เป็น 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้
2.ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว
3.ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ หรือไม่ค้างชำระ
4.ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
5.ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี
ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ https://www.studentloan.or.th/promotion โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th โดยตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชั่น กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทร. 0-2016-4888
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62628 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดศูนย์ตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี คุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัย ได้รับความเป็นธรรม | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
สธ. เปิดศูนย์ตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี คุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัย ได้รับความเป็นธรรม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียน เฝ้าระวัง สืบค้น และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ให้บริการสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพไม่ได้มาตรฐาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียน เฝ้าระวัง สืบค้น และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ให้บริการสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพไม่ได้มาตรฐาน คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยและเป็นธรรม พร้อมนำระบบAPI มาใช้เชื่อมโยงข้อมูลแลกเปลี่ยนกับภาคีเครือข่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี โดยมีนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนายุทธศาสตร์และบริหารจัดการงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านระบบบริการสุขภาพ เพื่อจัดการและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายจากการรับบริการสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยมอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียน แจ้งเบาะแส รวมถึงเฝ้าระวัง ตรวจสอบการกระทำผิดทางเทคโนโลยี สืบค้นผู้กระทำความผิดที่มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมาย และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด พร้อมประสาน วิเคราะห์ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งทำการตรวจสอบการกระทำความผิดอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ สามารถจัดการประเด็นปัญหาของผู้บริโภค (Pain Point) ได้ถูกต้อง ช่วยคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยและเป็นธรรม
ด้านนายแพทย์สุระ กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีพนักงานเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย เป็นผู้ดำเนินการสืบค้น ตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลหรือโฆษณาของสถานพยาบาลและสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือที่ได้รับเบาะแสจากภาคีเครือข่ายและประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายในลักษณะของการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโอ้อวดเกินจริง ที่อาจจะส่งผลกระทบหรือความเสียหายต่อผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงจะมีการเรียกสถานพยาบาล หรือสถานประกอบการมาดำเนินคดี ในกรณีที่พบการกระทำผิด แต่จะมีการขยายผล ติดตามพฤติกรรม ตรวจสอบไปถึงผู้ที่คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในระบบออนไลน์อีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบAPI (Application Programming Interface) มาใช้เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชั่น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ จะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย โดยมี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นฝ่ายเลขานุการ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ตรวจจับสื่อโฆษณาที่ผิดกฎหมาย เพื่อเพิ่มความครอบคลุม และเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภค ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 มีการดำเนินคดีจับกุมและปราบปรามหมอเถื่อน สถานพยาบาลเถื่อน และคดีประเภทอื่น จำนวน 40 คดี และมีการสืบค้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอันนำมาสู่การเปรียบเทียบปรับแล้ว จำนวน 164 คดี หากประชาชนพบการกระทำความผิดหรือมีเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1426 ในวันเวลาราชการ
*********************************** 14 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62654 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. เข้มติดตามค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ และผู้ติดยาเรื้อรัง ย้ำให้ทุกฝ่ายช่วยเสริมกำลังในการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการกระทำความผิดทุกรูปแบบ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ปมท. เข้มติดตามค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ และผู้ติดยาเรื้อรัง ย้ำให้ทุกฝ่ายช่วยเสริมกำลังในการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการกระทำความผิดทุกรูปแบบ
ปมท. เข้มติดตามค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ และผู้ติดยาเรื้อรัง ย้ำให้ทุกฝ่ายช่วยเสริมกำลังในการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการกระทำความผิดทุกรูปแบบ
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นโยบายการทำสงครามกับยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะในการป้องกันเเละปราบปราม แต่มุ่งเน้นการค้นหาวิธีที่สามารถเเก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนเเละเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่เเข็งเเรงให้กับคนในชุมชน หลักสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยกำลังศึกษา เเละนำมากำหนดเป็นนโยบาย คือการนำกลุ่มเป้าหมายผู้เสพ จำนวนกว่า 120,000 คน เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา และป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยยาเสพติดรายใหม่เข้าสู่วงจรยาเสพติด กล่าวคือ ต้องระดมสรรพกำลังและวิธีการที่จะทำให้ 120,000 คน เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ด้วยระบบการบำบัดรักษา และฟื้นฟู ระยะเวลาตลอดหลักสูตร 15 วัน ที่จะฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายเเละจิตใจไปพร้อม ๆ กัน สิ่งที่กระทรวงมหาดไทยตั้งใจจะทำ คือการ Change for Good เพราะเราเเข่งกับเวลา ยิ่งดำเนินการเร็วมากเท่าไร ยิ่งลดความเสี่ยงต่อการเกิดภัยทางสังคม คนคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติด หรืออาการทางระบบประสาทที่ขาดสติยั้งคิดต่าง ๆ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูเเลชุมชนเเละสังคมของเรา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนเเรงต่าง ๆ และในวันนี้เหมือนกับทุกวันอีกเช่นเคย ขอยกตัวอย่างการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบถึงผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าโดยมีตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
1. จังหวัดนครพนม โดยนายปรีชา สอิ้งทอง นายอำเภอท่าอุเทน ร่วมกับกองร้อยทหารพรานที่ 2109 ฉก.ทพ.21 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรีร้อย ตชด.237 นรข.เขตนครพนม กองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และ สภ.ท่าอุเทน ร่วมกันตรวจยึดยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด บริเวณริมแม่น้ำโขง บ้านเหล่าหนาด หมู่ที่ 8 ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และนายปรัตถกร บุสาวรรณกร นายอำเภอธาตุพนม ร่วมกับ ผกก.สภ.ธาตุพนม และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ แถลงข่าวการจับกุมการลักลอบนำเข้ากัญชา โดย สน.เรือธาตุพนม ร่วมกับ ด่านศุลกากรนครพนม และด่านตรวจพืชนครพนม ทำการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย คือ นายพัชรพล (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และนายวรัท (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี บริเวณ บ.คำผักแพว ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม พบของกลางกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 9 กระสอบ น้ำหนักรวม 257 แท่ง/กก. ซึ่งได้นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและขยายผลการจับกุมต่อไป
2. จังหวัดหนองคาย โดยการอำนวยการของนายธงชัย บุตรวงษ์ พ.ต.อ.ภูวิศ ศิริพานิช ผกก.สภ.รัตนวาปี สั่งการให้ เจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคง พร้อมชุดสืบสวน สภ.รัตนวาปี, สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ ร้อย ทพ.2015 สน.เรือรัตนวาปี เจ้าหน้าที่ทหาร หมวดสกัดกั้นที่ 2 ร้อยสกัดกั้นที่ 1 ฯ สมาชิก อส.ร้อย อส.อ.รัตนวาปี 9 ร่วมกันตรวจยึดยาเสพติด ในพื้นที่ บริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนริมถนนสาธารณะภายในหมู่บ้านหนองแก้ว ม.12 ต.รัตนวาปี อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย พบวัตถุเป็นผงสีขาวละเอียดคล้ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคเคน) บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบยาวเป็นแถว ซุกซ่อนโดยเย็บอยู่ในตะเข็บผ้าไหม จำนวน 12 ผืน น้ำหนักเฉพาะตัวยาเสพติดรวมถุงพลาสติก ประมาณ 2,199 กรัม แต่ไม่พบตัวผู้กระทำผิด จึงได้ตรวจยึดและนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการต่อไป
3. จังหวัดเชียงใหม่ โดยนายถนอม กุยแก้ว นายอำเภอเวียงแหง มอบหมายให้นายชานนท์ ดวงมณี ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง สนธิกำลังฝ่ายความมั่นคง สมาชิก อส.ตำรวจ สภ.เวียงแหง และทหาร ชุด ชพส.3201 ลงพื้นที่บ้านปางควาย หมู่ที่ 9 ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดบริเวณลานสีข้าวโพด ปรากฏผลตรวจสารเสพติดในร่างกายเป็นบวก จำนวน 3 ราย เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงนำตัวผู้เสพทั้ง 3 ราย ส่ง สภ.เวียงแหง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
4. จังหวัดยะลา โดย ร.ต.ท.ณัฐีร์ ปัญจสิริวิทย์ หัวหน้าชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ร้อย ตชด.445 ได้สืบทราบว่า ที่บ้านเลขที่ 15/13 ซ.โรงหมูเก่า ถ.คงคา ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา มีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมทั้งประสานนายพิชัย แก้วจำรัส ปลัดอำเภอเบตง นำกำลังเจ้าหน้าที่ ชป.เอราวัณ ชุดปฏิบัติการร่วม มีทั้ง เจ้าหน้าที่ ฉก.ตชด.445 อส.อำเภอเบตง เข้าทำการตรวจค้นจับกุม นายศฐาพงศ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี พักอาศัยอยู่ที่บ้าน เจ้าหน้าที่ตรวจค้นภายในบ้านพบยาบ้าจำนวน 23 เม็ด วางอยู่บนเตียงภายในห้องนอน เบื้องต้นรับสารภาพ ซื้อยาบ้ามาจากหมู่บ้านใกล้ชายแดนนำมาเสพเอง เจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อหามีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งนำตัวและของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เบตง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
5. จังหวัดขอนแก่น โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.ท.พิทักษ์เขต สิงห์พิทักษ์ รอง ผกก.จร.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.ท.สุรพรชัย วงศ์ผาคุณ สว.จร.สภ.เมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับ นายยุทธนา หรือ แค อายุ 27 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้าจำนวน 3 ถุง รวมจำนวน 454 เม็ด (รวมเม็ดสีเขียว 4 เม็ด ) ใส่ไว้ในถุงพลาสติกสีน้ำตาลซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างขวาของผู้ถูกจับสวมใส่ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง ขวดบรรจุน้ำปัสสาวะพร้อมแถบตรวจมีผลเป็นบวก จำนวน 1 ชุดรถจักรยานยนต์ 1 คัน โดยกล่าวหาว่าจำหน่ายยาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้าเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและเป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงได้บันทึกจับกุมจึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
“นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่นทุกพื้นที่เฝ้าระวังการกระทำความผิดทุกรูปแบบ หากสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดให้เร่งปฏิบัติการขยายผลในทันที รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อระดมสรรพกำลังในการทลายแหล่งซุกซ่อน หรือเเหล่งมั่วสุม เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัด และอำเภอ รวมถึงภาคีเครือข่าย ช่วยประชาสัมพันธ์ช่องทางการเเจ้งเบาะเเส หรือการร้องเรียนที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 หรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายที่ 191 ทั้งสองเลขหมายโทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง หากพบเห็นการกระทำความความผิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมอาจก่อให้เกิดภัยแก่สังคมให้รีบเเจ้งทันที เพื่อจะได้ดำเนินการตามข้อร้องเรียนอย่างเร่งด่วนต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวตอนท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62626 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. คัดบ้านมือสอง 370 รายการ ขายในงาน GHB ALL HOME EXPO 2022 @ธนบุรี ลดสูงสุดถึง 40% ราคาขายต่ำสุดเพียง 90,000 บาท เท่านั้น | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ธอส. คัดบ้านมือสอง 370 รายการ ขายในงาน GHB ALL HOME EXPO 2022 @ธนบุรี ลดสูงสุดถึง 40% ราคาขายต่ำสุดเพียง 90,000 บาท เท่านั้น
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เอาใจคนอยากมีบ้าน จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ธอส. : GHB ALL HOME EXPO 2022 @ธนบุรี ระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เอาใจคนอยากมีบ้าน จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ธอส. : GHB ALL HOME EXPO 2022 @ธนบุรี ระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า นำบ้านมือสองคุณภาพดี ทำเลเด่น และราคาคุ้มค่า ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และ จ.สมุทรปราการ มาจำหน่าย 370 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด (คอนโดมิเนียม) พร้อมส่วนลด สูงสุด 40% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ำสุด มีราคาเพียง 90,000 บาท เท่านั้น!! ได้แก่ ทรัพย์ประเภทห้องชุด ชั้นที่ 4 จาก 5 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 26.6 ตารางเมตร ในโครงการพรสวรรค์คอนโดทาวน์ 2 อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ พิเศษ!! ผู้ที่ซื้อทรัพย์ภายในงานมีโอกาสได้รับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) กระเป๋าอเนกประสงค์ 1 ราย ต่อ 1 ใบ และสำหรับลูกค้า 75 รายแรกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดรับบัตรฟรีกำนัลแทนเงินสดมูลค่า 1,000 บาทอีกด้วย นอกจากนี้ในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2565 เวลา 15.00 เป็นต้นไป ยังจะได้พบกับทรัพย์เด่นจำนวน 10 รายการ มาจำหน่ายแบบออนไลน์ในช่วง“บ้านถูก และดี...นาทีเดียว” ผ่านไลฟ์สดใน Facebook Fanpage : “บ้านมือสอง ธอส.” โดยจองซื้อได้ง่าย ๆ เพียงพิมพ์ CF ทรัพย์ที่ต้องการใต้คอมเม้นต์ระหว่างไลฟ์เป็นรายแรกเท่านั้น ดูข้อมูลทรัพย์หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GHBank Call Center โทร.0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : G H Bank Smart NPA และ Line Official Account : @GHBALLHOME
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62645 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ในหลวง โปรดเกล้าฯ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ประจำปีการศึกษา 2565 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ในหลวง โปรดเกล้าฯ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ประจำปีการศึกษา 2565
ในหลวง โปรดเกล้าฯ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตร
มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ประจำปีการศึกษา 2565
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ประจำปีการศึกษา 2565 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี เวลา 10.00 น. มีผู้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ระดับปริญญาตรี จำนวนทั้งสิ้น 7,590 คน ระดับปริญญาโท 160 คน และระดับปริญญาเอก 5 คน รวมทั้งสิ้น 7,755 คน ในการนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เฝ้ารับเสด็จด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62652 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักเรียนอัสสัมชัญลำปางสุดเจ๋ง ! คว้ารางวัลแชมป์โอลิมปิกหุ่นยนต์ World Robot Olympiad ระดับนานาชาติ 2022 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
นักเรียนอัสสัมชัญลำปางสุดเจ๋ง ! คว้ารางวัลแชมป์โอลิมปิกหุ่นยนต์ World Robot Olympiad ระดับนานาชาติ 2022
นักเรียนอัสสัมชัญลำปางสุดเจ๋ง ! คว้ารางวัลแชมป์โอลิมปิกหุ่นยนต์ World Robot Olympiad ระดับนานาชาติ 2022
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565ดร.รวิน ระวิวงศ์ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) พร้อมด้วยนายจักริน จันทรวิสูตรกรรมการผู้จัดการบริษัทแกมมาโก้ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะ นำคณะนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญลำปางที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ World Robot Olympiad ระดับนานาชาติที่เมืองดอร์ทมุนด์ ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 17 - 19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เข้าพบศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.),ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไลปลัดกระทรวง อว., และรศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์รองปลัดกระทรวง อว. ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.)
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกกล่าวว่า เด็กไทยมีความสามารถสูง สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ กระทรวง อว. พร้อมผลักดันและสนับสนุนเด็กไทยที่สนใจด้านเทคโนโลยี เพื่อให้กลายเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62646 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“50 ปี กนอ.สานพลังงานอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ปักธงนำอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล! | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
“50 ปี กนอ.สานพลังงานอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ปักธงนำอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล!
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ฉลองครบรอบ 50 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์“50 ปี กนอ.สานพลังอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ชู INSPIRE แรงบันดาลใจ
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ฉลองครบรอบ 50 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์“50 ปี กนอ.สานพลังอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ชู INSPIRE แรงบันดาลใจ เพื่อให้ หัว และ ใจ นำพาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย มุ่งสู่สากล ประกาศนำนิคมอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล พร้อมปักธงปี 2566 รุกธุรกิจใหม่ สอดรับเศรษฐกิจ BCG ลุยสร้างนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม เสริมเขี้ยวเล็บให้นิคมอุตสาหกรรมเก่า ดึงเงินทุนเข้าประเทศ!
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Industrial Transformation for the Next Normal” ในงานวันคล้ายวันสถาปนา กนอ. ครบรอบ 50 ปีว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นตลอดปี 2565 ส่งผลต่อความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปี 2566 การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของครัวเรือนยังเผชิญกับหลายปัจจัยที่สำคัญ แม้ภาครัฐมีมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือน เช่น การตรึงราคาค่าไฟ แต่ราคาพลังงานยังมีความผันผวน และอาจส่งผลต่อรายได้และการจ้างงาน รวมถึงเงินออมในระยะข้างหน้า โดยภาคอุตสาหกรรม ยังคงดำเนินการภายใต้แนวทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนำในการยกระดับประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) และเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economic Model
กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดพันธกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ หรือ Next Normal โดยยึดโยงกับยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เพื่อ “เปิดกว้าง” สำหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ลดการเกิดขยะ ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมด้วย BCG Model เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สร้างการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนและคนรุ่นหลัง ทั้งนี้ ในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ครั้งที่ 29 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ มาเป็นยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาและการเติบโตในระยะยาวที่ยั่งยืน และครอบคลุม
กนอ.เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ได้กำหนดแผนวิสาหกิจใหม่ ประจำปี 2566-2570 เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจขององค์กร ที่สอดรับกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ ขณะเดียวกัน กนอ.เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา บริหารจัดการ และกำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่ง เพื่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องตามกฎหมาย ภายใต้การบูรณาการของทุกฝ่ายบนหลักการความร่วมมือพึ่งพาอาศัยกันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ทั้งหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชน ชุมชน เพื่อดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
กนอ. ยังนำแนวคิด BCG มาเป็นแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2065 ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายประเทศเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 อีกด้วย
“ผมเชื่อว่าการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ นำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว จนสามารถนำพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตต่างๆได้” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายนรินทร์ กัลยาณมิตร ประธานกรรมการ กนอ. กล่าวแสดงความยินดีกับ กนอ.ว่า ตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษที่ผ่านมา กนอ.ดำเนินงานตามภารกิจหลัก คือ พัฒนา จัดตั้ง และบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรม สร้างฐานการผลิตรองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของประเทศ สร้างการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน เน้นนวัตกรรมนำการเปลี่ยนแปลงอย่างมุ่งมั่นตั้งใจของคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน กนอ. จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ กนอ. ก้าวมาสู่การเป็นองค์กรชั้นนำในการจัดตั้งและบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ กนอ.สามารถดำเนินงานให้บรรลุตามวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นได้นั้น คือ การได้รับความร่วมมือ ร่วมใจ การสนับสนุน และผลักดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มของ กนอ.เป็นอย่างดีเสมอมา ซึ่งครึ่งศตวรรษของ กนอ.ได้พัฒนา จัดตั้ง และบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งให้บริการระบบสาธารณูปโภค บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความปลอดภัยโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน ทำให้นิคมอุตสาหกรรมไทยมีความแข็งแกร่ง กนอ.จึงเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย สามารถสะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในมิติการสร้างงาน สร้างรายได้ และความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย นอกจากนี้ กนอ. ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในโอกาสที่ กนอ.ครบรอบ 50 ปี และกำลังก้าวสู่ทศวรรษที่ 6 เชื่อมั่นว่า ความมุ่งมั่น พยายาม ความร่วมแรงร่วมใจของคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน กนอ. ประกอบกับการส่งเสริมสนับสนุนของกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน จะเป็นแรงผลักดันให้ กนอ. สามารถขับเคลื่อนองค์กรในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกับการอยู่ร่วมกันกับสังคม ชุมชน ได้อย่างสมดุลและยั่งยืนตลอดไป
ขณะที่นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศจะต้องพบกับวิกฤตเศรษฐกิจหลายต่อหลายครั้ง แต่ประเทศไทยก็ยังคงเนื้อหอม และน่าสนใจในสายตาของนักลงทุน เห็นได้จากสื่อต่างๆ ที่นำเสนอข่าวบริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างประเทศหลายเจ้า เดินหน้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่ม EV ที่ไม่ว่าจะจากประเทศจีน ญี่ปุ่น ยุโรป ต่างเห็นว่าไทยมีศักยภาพพอที่จะเป็น Hub ด้าน EV ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ดังนั้น อยากให้มองว่าวันนี้ทั่วโลกกลับมาเปิดประเทศแล้ว หลังจากที่ต้องปิดประเทศไปกว่า 2 ปี ซึ่งเศรษฐกิจโลกจะต้องเติบโตแล้ว วันนี้ประเทศไทยเป็น 1 ในกลุ่มอาเซียนที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด แต่วันนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องของการลด แลก แจก แถม แต่เป็นเรื่องของการกำกับให้ดี เพราะถ้าเราเน้นดึงเฉพาะเงินทุน แน่นอนว่าเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็จะเกิดขึ้นได้ ประเทศไทยในขณะนี้จึงเน้นไปที่เรื่องของ BCG การดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการรักษ์โลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า
“ก้าวที่ 51 ของ กนอ.ต่อจากนี้ เราจะใช้ INSPIRE แรงบันดาลใจ เพื่อให้ หัว และ ใจ นำพาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย มุ่งสู่สากล ดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุน และนอกเหนือจากการร่วมลงทุนกับเอกชนใน
บริษัทจัดการด้านพลังงานแล้ว เรายังมีแผนที่จะทำธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน Sale Agency และการทำ IEAT Academy ด้วย อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่อยากให้ดูแค่เพียงเรื่องของเม็ดเงินที่จะเข้าสู่พื้นที่ แต่เราจะเน้นเรื่องของการปรับกฎระเบียบต่างๆ ไม่ให้นักลงทุนที่จะเข้ามานั้นทำลายสิ่งแวดล้อมและชุมชนด้วย เพื่อสานต่อนโยบายภาครัฐเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดูแลชุมชน และลดคาร์บอน” นายวีริศ กล่าว
การจัดงานครบรอบ 50 ปี กนอ.จัดขึ้นในคอนเซปต์ “50th Anniversary of IEAT : Industrial Collaboration for Sustainable Development: 50 ปี กนอ.สานพลังอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน” โดยในช่วงเช้ามีการทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป และการร่วมแสดงความยินดีจากหน่วยงานพันธมิตรและผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ณ กนอ.สำนักงานใหญ่ โดยในการจัดงานครบรอบ 50 ปี กนอ.งดรับกระเช้าดอกไม้ รวมทั้งขอรับบริจาคสมทบทุนโรงพยาบาลสงฆ์ มูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี และศิริราชมูลนิธิ เพื่อร่วมแบ่งปันน้ำใจช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้แทนด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves implementation of PPP Gross Cost for M82’s Operation and Maintenance (O&M) | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
Cabinet approves implementation of PPP Gross Cost for M82’s Operation and Maintenance (O&M)
Cabinet approves implementation of PPP Gross Cost for M82’s Operation and Maintenance (O&M)
December 13, 2022, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that the cabinet, in its meeting today, approved implementation of the public private partnership (PPP Gross Cost) for operation and maintenance (O&M) of Motorway No. 82 (M82), as proposed by Ministry of Transport. Under the PPP Gross Cost scheme, bidding will be opened for the private sector to invest in M82’s O&M in accordance with the principle set by Public-Private Partnership (PPP) Policy Committee, and related laws and regulations.
M82, route Bang Khun Thian - Ban Phaeo, has the distance of 24.7 km, and is now under construction. The construction of this motorway route is divided into two phases. The first phase is Bang Khun Thian - Ekkachai, for which the budget has been allocated from FYs2020-2022 and the construction is expected to complete in 2023. The second phase is Ekkachai - Ban Phaeo under FY2022-2024 budget. The construction of the second phase is expected to complete in 2025.
According to the Deputy Government Spokesperson, the PPP Gross Cost scheme for M82’s O&M covers designing, construction, installation of systems and components related to M82 project, operation and maintenance of civil work (financed by the Government) and M&E (invested by private entity). M82’s O&M components include Full Control of Access, Closed Toll System, and M-Flow System. M82 will have 6 exit points, and features central offices buildings, maintenance units, operation and maintenance center, and patrol and rescue center. The period of PPP Gross Cost scheme for M82’s O&M will be no longer than 32 years.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เสนอความร่วมมือ 3 ด้าน ในการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนยุโรป ผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า | วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2565
นายกฯ เสนอความร่วมมือ 3 ด้าน ในการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนยุโรป ผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
และยกระดับมาตรฐานของอาเซียนไปสู่การค้าที่ยั่งยืน
วันนี้ (13 ธ.ค. 2565) เวลา 12.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งช้ากว่าไทย 6 ชม.) ณ โรงแรมโซฟิเทล บรัสเซลส์ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมผู้บริหารระดับสูงในช่วงอาหารกลางวัน (C-Suite Roundtable Luncheon) ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน (EU-ASEAN Business Council: EU-ABC) พร้อม นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ (H.E. Mr. Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ (Mr. Ferdinand Romualdez Marcos Jr.) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับผู้บริหารของสหภาพยุโรปและผู้บริหารจากภาคเอกชนชั้นนำของยุโรปในวันนี้ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน ระหว่างภูมิภาคอาเซียน-ยุโรป และฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บริบทโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งปัญหาความไม่เท่าเทียม สภาวะเงินเฟ้อ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และวิกฤตด้านอาหารและพลังงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากทั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสถานการณ์ความขัดแย้ง สะท้อนถึงความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ โดยเน้นความสมดุล ซึ่งรวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและต่อโลก เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ครอบคลุม และเอื้อประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
ประเทศไทยเดินหน้าสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยขับเคลื่อนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งไทยในฐานะประธานเอเปคปีนี้ได้ผลักดันเรื่องนี้ในกรอบเอเปคจนบรรลุ “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” นายกรัฐมนตรีจึงยินดีที่สหภาพยุโรปมีข้อริเริ่ม Global Gateway ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจ BCG และสามารถสนับสนุนกับกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียนได้ ซึ่งสหภาพยุโรปมีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่จะช่วยสนับสนุนอาเซียนในเรื่องการผลิตและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การขนส่ง พลังงานทดแทน และการจัดการของเสีย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอความร่วมมือหลัก 3 ด้าน เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนและสหภาพยุโรปควบคู่ไปกับความยั่งยืน ดังนี้
1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน โดยอาศัยการเงินสีเขียวหรือการลงทุนเพื่อความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่หลายองค์กรและธนาคารในสหภาพยุโรปร่วมสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนการเงินสีเขียวของอาเซียน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื่อว่า สหภาพยุโรปยังสามารถสนับสนุนอาเซียนในการพัฒนา และสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและคุ้มค่าในระยะยาว รวมทั้งสอดคล้องกับหลัก ESG ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) พร้อมหวังว่า ข้อริเริ่ม “Global Gateway” จะนำไปสู่การลงทุนของสหภาพยุโรปในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนในอาเซียนและในไทยมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้อาเซียนมีเครือข่ายพลังงาน คมนาคม และดิจิทัล ที่ทันสมัย สะอาด และยั่งยืนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อการค้า การลงทุน และการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนยุโรปในอาเซียนด้วย
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปร่วมกับเขตเศรษฐกิจในเอเชียที่มีพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LNG สูง พิจารณาความร่วมมือในการจัดทำ LNG ในตลาดโลก รวมทั้งบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการนำเข้า LNG เช่น ท่าเรือ และคลังเก็บ LNG เพื่อช่วยลดความผันผวนด้านราคา และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของทั้งสองภูมิภาค
2) การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อาเซียนมีเป้าหมายสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เป็นร้อยละ 23 ของสัดส่วนพลังงานในอาเซียน ภายในปี 2568 และเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ไทยได้เริ่มขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศให้ผลิตสินค้าจากพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสนับสนุนการใช้และการส่งออกสินค้าเหล่านี้ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรม EV โดยไทยยังมุ่งพัฒนาพลังงานกรีนไฮโดรเจน และยินดีร่วมมือกับสหภาพยุโรปในการพัฒนาพลังงงานสะอาดนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในอาเซียน
นายกรัฐมนตรีหวังว่า สหภาพยุโรปจะพิจารณาสนับสนุนความพยายามดังกล่าว ผ่านการอํานวยความสะดวกและลดภาษีสําหรับการนําเข้าและส่งออกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป รวมถึงพิจารณาให้สิทธิ “ช่องทางพิเศษสําหรับสินค้าสีเขียวหรือ GreenLane” ด้วย
สุดท้าย 3) การยกระดับมาตรฐานของอาเซียนไปสู่การค้าที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีชื่นชมสหภาพยุโรปในเรื่องการมีมาตรฐานทางการค้าที่สูง ทั้งในด้านกฎระเบียบ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาที่ยั่งยืน แรงงาน รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่อาเซียนกำลังพยายามพัฒนา หวังว่า สหภาพยุโรปจะร่วมมือกับอาเซียนและไทยในการส่งเสริมศักยภาพในเรื่องนี้ เพื่อยกระดับมาตรฐานของอาเซียนให้ทัดเทียมกับสหภาพยุโรปมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดทำ FTA ที่มีคุณภาพสูงและครอบคลุม และเป็นแนวทางสําหรับการเจรจา FTA อาเซียน-EU ในอนาคต ทั้งนี้ ไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของความร่วมมือด้านวิชาการของภูมิภาค ในการเสริมสร้างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยินดีร่วมมือกับสหภาพยุโรปในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งสอดคล้องกับสปิริตของความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สหภาพยุโรป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลกระทบจากกรณีสหภาพยุโรปผ่านกฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า ทำความเข้าใจและให้ความรู้ผู้ประกอบการ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลกระทบจากกรณีสหภาพยุโรปผ่านกฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า ทำความเข้าใจและให้ความรู้ผู้ประกอบการ
นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลกระทบจากกรณีสหภาพยุโรปผ่านกฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า ทำความเข้าใจและให้ความรู้ผู้ประกอบการและเกษตรกรตลอดห่วงโซ่การผลิต
วันที่ 14 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดตามรายละเอียดกรณีที่คณะกรรมาธิการสหภาพยุโปร(อียู) ได้บรรลุข้อตกในการมีกฎหมายห้ามการน้ำเข้าผลิตภัณฑ์หลายชนิด ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อมาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะกระทบต่อสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ น้ำมันปาล์ม,ปศุสัตว์, ถั่วเหลือง, กาแฟ, โกโก้, ไม้, ยางพารา
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวอาจจะกระทบต่อสินค้าจากประเทศไทยที่ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรปด้วย เนื่องจากผลของกฎหมายจะบังคับให้ผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าจากทั่วโลกไปขายในยุโรปจะต้องจัดทำรายงานการตรวจสอบสถานะของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาขายว่าตลอดห่วงโซ่การผลิตนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัดไม้ทำลายป่า
“ข้อตกลงของอียูในเรื่องนี้ยังเหลือขั้นตอนการอนุมัติเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ และจะให้เวลาผู้ประกอบการทั่วยุโรปที่นำเข้าสินค้าหรือมีห่วงโซ่การผลิตอยู่ทั่วโลกเตรียมตัวเพื่อทำรายงานรับรองกระบวนการผลิตประมาณ 18-24 เดือนแล้วแต่ขนาดของธุรกิจ นายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามรายละเอียดของกฎหมายเรื่องนี้ว่าครอบคลุมสินค้าใดบ้าง ประเมินผลกระทบต่อประเทศไทย พร้อมกับให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการและเกษตรกรให้เกิดความเข้าใจทั้งห่วงโซ่การผลิต และปรับตัวให้ทันกับกฎกติกาใหม่ที่จะเกิดขึ้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับประเด็นการผลิตที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคาร์บอน ซึ่งทิศทางดังกล่าวได้ส่งผลไปถึงการออกมาตรการและกฎหมายในหลายประเทศ ซึ่งสามารถเป็นเครื่องกีดกันทางการค้าในระยะต่อไป นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวจึงได้กำหนดให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลงทุนบนฐานเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเร่งด่วน และได้มีการนำเสนอเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของการประชุมเขตเศรษฐกิจเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งสมาชิกเอเปคให้การสนับสนุน เนื่องจากเห็นพ้องต่อความเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องมีกระบวนการสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2565 เวลา 10.00 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565 โดยมี ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปลดล็อค กฎหมาย กฎระเบียบ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศได้อย่างไร ?” ณ หอประชุม ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดี เขตดินแดง กรุงเทมหานคร
จากการที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการปลดล็อคกฎหมาย กฎระเบียบ (Regulatory Guillotine) ที่ช่วยลดปัญหาอุปสรรคและอำนวยความสะดวกการดำเนินงานภาคธุรกิจ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้จัดทำรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565 เพื่อเป็นการให้กำลังใจและเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างเห็นผล โดยคณะกรรมการตัดสินรางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2565 มีมติมอบรางวัลหน่วยงานระดับกระทรวงให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้ดำเนินการเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62642 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เติมทุน 6,000 ล้าน หนุนชดเชยดอกเบี้ยในการบริหารจัดการอ้อยอย่างยั่งยืน ลดปัญหา PM 2.5 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ธ.ก.ส. เติมทุน 6,000 ล้าน หนุนชดเชยดอกเบี้ยในการบริหารจัดการอ้อยอย่างยั่งยืน ลดปัญหา PM 2.5
ธ.ก.ส. จัดโครงการชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรไร่อ้อย ปี 2565 - 2567 หนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ตั้งแต่การบริหารจัดการแหล่งน้ำในไร่อ้อย การปรับพื้นที่ไปสู่เกษตรแปลงใหญ่
ธ.ก.ส. จัดโครงการชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรไร่อ้อย ปี 2565 - 2567 หนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ตั้งแต่การบริหารจัดการแหล่งน้ำในไร่อ้อย การปรับพื้นที่ไปสู่เกษตรแปลงใหญ่ การจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อลดต้นทุนในการผลิตอ้อย วงเงินรวมกว่า 6,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR / MLR โดยรัฐบาลและ ธ.ก.ส ช่วยรับภาระในการชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผู้ประสงค์ขอสินเชื่อสามารถติดต่อที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินที่กำหนด
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 - 2567 ซึ่งโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ธ.ก.ส. สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและโรงงานน้ำตาล โดยมุ่งเน้นสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ สถาบัน กลุ่มบุคคล หรือวิสาหกิจชุมชนชาวไร่อ้อย เพื่อบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำสำรองในการบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้ง การปรับพื้นที่การปลูกอ้อยไปสู่เกษตรแปลงใหญ่ และการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอ้อยและลดต้นทุนในระยะยาว ลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในไร่อ้อย สอดคล้องกับเป้าหมายในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม พร้อมเสริมสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่เกิดจากการเผาอ้อย
สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคลและวิสาหกิจชุมชน ที่ขึ้นทะเบียนการปลูกอ้อยกับ สอน. และเป็นคู่สัญญากับโรงงานน้ำตาลที่ให้การรับรองเกษตรกร วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี วงเงินรวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยวงเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการกู้ ได้แก่ 1) เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท อาทิ การขุดบ่อสระกักเก็บน้ำ การเจาะบ่อบาดาล การจัดทำระบบน้ำ การจัดซื้อเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์ให้น้ำในไร่อ้อยและการรวมกลุ่มสร้างหรือพัฒนาปรับปรุงระบบการส่งน้ำ 2) เพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อยไปสู่เกษตรแปลงใหญ่ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (อัตราไร่ละไม่เกิน 2,500 บาท) และ 3) เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร (ประเภทรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย หรืออุปกรณ์ส่วนควบ) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 26.05 ล้านบาท กรณีเป็นเกษตรกรบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.50) โดยเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 2 ต่อปี รัฐบาลจะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยแทนร้อยละ 3 ต่อปี และ ธ.ก.ส. รับภาระเองร้อยละ 1.5 ต่อปี กรณีเป็นกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคล หรือวิสาหกิจชุมชน คิดอัตราดอกเบี้ย MLR (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 4.88) โดยกลุ่มเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 2 รัฐบาลจะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยแทนร้อยละ 2 ต่อปี และ ธ.ก.ส. รับภาระเองในอัตราร้อยละ 0.875 ต่อปี ทั้งนี้ กรณีกู้เงิน 4) เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร (ประเภทรถแทรกเตอร์ รถบรรทุก และพ่วงบรรทุก) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 11 ล้านบาท จะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้ ทั้งเกษตรกรรายบุคคลและกลุ่มเกษตรกร ในอัตราร้อยละ 4 โดยรัฐบาลจะไม่ชดเชยในส่วนนี้ แต่ ธ.ก.ส. จะเป็นผู้รับภาระในส่วนที่เหลือแทน
ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2567
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษีปี65 รัฐบาลเชิญชวนร่วมบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) สูงสุดสองเท่า สะดวก ได้ทุกเวลา ไม่ต้องเก็บหลักฐาน | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษีปี65 รัฐบาลเชิญชวนร่วมบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) สูงสุดสองเท่า สะดวก ได้ทุกเวลา ไม่ต้องเก็บหลักฐาน
โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษีปี65 รัฐบาลเชิญชวนร่วมบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) สูงสุดสองเท่า สะดวก ได้ทุกเวลา ไม่ต้องเก็บหลักฐาน
วันนี้ 14 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งด้านการให้บริการแก่ประชาชน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐได้ปรับเปลี่ยนยกระดับการให้บริการ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการให้บริการได้สะดวก รวดเร็ว ง่ายยิ่งขึ้น ลดขั้นตอนการ ลดเวลาในการใช้บริการ
นางสาวรัชดา กล่าวว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพกร เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ขานรับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการรองรับข้อมูลการรับบริจาคของสถานศึกษา ศาสนสถาน โรงพยาบาล และองค์กรสาธารณกุศลอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จะช่วยให้ผู้บริจาคได้รับเงินคืนภาษีได้รวดเร็วขึ้น โดยมี2 ช่องทาง การบริจาค ดังนี้ 1.กรณีบริจาคเป็นเงินสด หน่วยรับบริจาคจะเป็นผู้บันทึกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ 2.กรณีบริจาคผ่านQR Code ของสถาบันการเงินที่มีสัญลักษณ์ e-donation ไม่ว่าจะเห็นที่ใด เช่น บนเว็บไซต์ Facebook Line สามารถบริจาคได้ทุกเวลา ซึ่งทางธนาคารจะเป็นผู้ส่งข้อมูลการรับบริจาคให้กรมสรรพากรตามที่ผู้บริจาคแจ้งความประสงค์โดยอัตโนมัติ
ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลการบริจาคของตัวเอง และเข้าดูรายชื่อองค์กรรับบริจาคแบบ e-donation ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ตลอด 24 ชั่วโมง
“ประโยชน์ของผู้บริจาค ไม่ต้องจัดเก็บหลักฐานการบริจาค ได้รับคืนเงินภาษีเร็วขึ้น และหากเป็นการบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่นสนับสนุนการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โรงพยาบาลของรัฐ สภากาชาดไทย องค์กรการกุศล ศาสนสถาน เป็นต้น สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ10ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ขณะที่หน่วยรับบริจาค ไม่ต้องจัดทำหลักฐานการบริจาคเป็นกระดาษ ไม่ต้องจัดเก็บสำเนาหลักฐานการบริจาค ลดค่าใช้จ่ายในการจัดทำหลักฐาน จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคผ่านระบบดังกล่าวจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ ” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เปิดงานเสวนา “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รมช.ประภัตร เปิดงานเสวนา “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร”
รมช.ประภัตร เปิดงานเสวนา “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่พี่น้องเกษตรกร จ.ฉะเชิงเทรา
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานเสวนา “โครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” ณ อาคารประชาคมวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ว่า จากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย รายได้จากการส่งออกสินค้าลดลงมาก และการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลายชนิดยังคงมีปัญหา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงเห็นควรให้มีโครงการส่งเสริมอาชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นคืนกลับมาโดยเร็วกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรในการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม (พืช ปศุสัตว์ ประมง) ที่มีตลาดรองรับชัดเจน หรืออาชีพที่มีลักษณะการลงทุนค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือน โดยมีเป้าหมายการส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกร ลูกหลานเกษตรกร ภายใต้โครงการ“สานฝันสร้างอาชีพ และ ยกระดับรายได้เกษตรกร”เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับชัดเจน มีการประกันราคารับซื้อ ผลผลิต สามารถสร้างรายได้ในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน มีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อ การดำรงชีพ สามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต
ทั้งนี้ โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะส่งเสริมสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรรายย่อย โดยใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้ ภายใต้หลักการ 3 คนร่วมมือ 1 คนกู้ 2 คนค้ำ หนี้เสียสามารถกู้ได้ เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาทวงเงินกู้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาปล่อยเงินกู้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2567 ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส.สาขาใกล้บ้าน เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรได้มี เงินทุนในการสร้างงานสร้างอาชีพ หรือการประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตรที่มีลักษณะเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือน ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และต้องไม่เป็นการประกอบอาชีพในลักษณะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือผิดกฎหมายด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย บอร์ด สปสช.มีฉันทามติให้แยกจัดสรรงบบัตรทองปี 66 ชะลอเฉพาะงบส่วนส่งเสริมป้องกันโรคบางส่วน 5.1 พันล้านบาท | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
“อนุทิน” เผย บอร์ด สปสช.มีฉันทามติให้แยกจัดสรรงบบัตรทองปี 66 ชะลอเฉพาะงบส่วนส่งเสริมป้องกันโรคบางส่วน 5.1 พันล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เผย บอร์ด สปสช. มีฉันทามติให้ประกาศหลักเกณฑ์บริหารกองทุนบัตรทองปี 2566 แยกจัดสรรงบ โดยให้จัดสรรงบส่วนใหญ่ 1.37 แสนล้านบาท และชะลองบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคบางส่วน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เผย บอร์ด สปสช.มีฉันทามติให้ประกาศหลักเกณฑ์บริหารกองทุนบัตรทองปี 2566 แยกจัดสรรงบ โดยให้จัดสรรงบส่วนใหญ่ 1.37 แสนล้านบาท และชะลองบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคบางส่วน วงเงิน 5.1 พันล้านบาท เพื่อรอความชัดเจนทางข้อกฎหมายจากกฤษฎีกาและเลขาธิการ ครม. แต่ รพ.ทุกแห่งยังจัดบริการตามปกติ ไม่ให้มีช่องว่างในการให้บริการใดๆ เกิดขึ้น
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวถึงกรณียังไม่มีการลงนามในร่างหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง ปีงบประมาณ 2566 เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) ที่ให้ครอบคลุมสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม อาจไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ทำให้ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณลงไปยังหน่วยบริการ ว่า วันนี้ที่ประชุมบอร์ด สปสช. มีความเห็นเป็นฉันทามติว่า เรามุ่งหวังให้ประชาชนทุกคน ทุกสิทธิ สามารถได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยไม่มีอุปสรรคทางการเงิน และทุกฝ่ายจะดำเนินการร่วมกันให้บรรลุตามเป้าหมายนั้นโดยไม่ขัดกับกฎหมาย และเห็นด้วยที่ให้มีการทำความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมายว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพฯ ครอบคลุมประชากรในส่วนใดบ้าง ตามมาตรา 5, 9, 10 และ 66 โดยปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อลดผลกระทบหน่วยบริการ เนื่องจากยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณบัตรทองปี 2566 นั้น บอร์ด สปสช. มีฉันทามติประกาศหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนบัตรทองปี 2566 ตามที่เลขาธิการ สปสช. เสนอจากการหารือกับกระทรวงสาธารณสุข โดยในหลักการให้เร่งจัดสรรงบส่วนใหญ่ 1.37 แสนล้านบาทให้กับหน่วยบริการต่างๆ ก่อน เพื่อไม่ให้กระทบกับการดูแลประชาชน และชะลอการจัดสรรงบประมาณในส่วนงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคบางส่วน วงเงิน 5,146.05 ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุขจะจัดบริการให้ครอบคลุมประชาชนทุกคนที่อยู่ในความรับผิดชอบ และ สปสช.จะดำเนินการให้หน่วยบริการอื่นนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเช่นเดียวกัน เพื่อให้ไม่ให้มีช่องว่างในการบริการประชาชน
*********************************** 14 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62662 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. เป็นประธานเปิดการเสวนา “สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคตเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม” | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รมว.อว. เป็นประธานเปิดการเสวนา “สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคตเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม”
รมว.อว. เป็นประธานเปิดการเสวนา “สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคตเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม”
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาวิชาการ“สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคตเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม”โดยมีผู้เข้าร่วมได้แก่ผศ.ชัยชาญ ถาวรเวชผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ,ศ.ดร.ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์ผู้รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร,อาจารย์ธนภณ วัฒนกุลคณะกรรมการวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ, อาจารย์ปัญจพล เหล่าพูนพัฒน์ คณะกรรมการวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ,ศ.เกียรติคุณ ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ,นายโตมร ศุขปรีชาผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนวัตกรรมการเรียนรู้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน),นายอนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจีจิตรกรและนักศิลปะบำบัดและผู้อำนวยการสถาบันศิลปะบำบัดในแนวมนุษยปรัชญา และดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมานหัวหน้าทีมวิจัย โครงการพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม ณ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 (จตุจักร)
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ทำไมต้องพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ” ใจความโดยสังเขปว่า วัยเด็กเป็นวัยที่ต้องมีการส่งเสริมพัฒนาให้เกิดความรู้ความสามารถมากเป็นพิเศษ มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของเด็กไทย โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลากหลายบริษัทขอซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปใช้และพัฒนาต่อ รวมถึงเยาวชนไทยได้คว้ารางวัลจากการแข่งขันในระดับโลกได้หลากหลายรางวัล แสดงให้เห็นว่าเด็กไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก และนอกจากศึกษาด้านวิทยาศาสตร์แล้ว เราจำเป็นจำต้องมีความสนใจด้านศิลปศาสตร์ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดจินตนาการที่มีความสร้างสรรค์อย่างรอบด้าน
ภายในงานมีการเสวนาวิชาการหัวข้อ “สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคต เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม” โดย
ศ.เกียรติคุณ ปรีชากล่าวว่าแนวทางการจัดพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม ต้องทำให้เกิดการสังเคราะห์ได้แบบองค์รวม ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอย่าใช้เครื่องมือสำเร็จรูป ต้องให้เด็กได้ลงมือทำจริง
นายโตมรกล่าวว่า พื้นที่เรียนรู้มีลักษณะเป็น ‘อุปทาน’ (Supply) ของความรู้ พื้นที่เรียนรู้จะเป็นเหมือนจุดโฟกัสของความรู้ ที่ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ขึ้นในพื้นที่นี้ และเป็น ‘ปลายทาง’ (Destinations) ของการสร้าง ‘อุปสงค์’ (Demand) ทางความรู้ในสังคม คือเมื่อกระตุ้นให้คนอยากเรียนรู้แล้ว จำเป็นต้องมีพื้นที่เรียนรู้ให้ได้ไปหาความรู้ด้วย
นายอนุพันธุ์ให้ความเห็นถึงรูปแบบการสร้างและพัฒนาทุนมนุษย์ผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม ต้องมีความหลากหลายของแนวคิดศิลปะที่เชื่อมโยงกับเด็กได้อย่างแท้จริง ต้องมองจุดนี้ให้เป็นต้นแบบในการสร้างวิถีศิลปะในชีวิตให้ได้จะส่งผลดีในการขยายไปสู่ระดับเด็ก พ่อแม่ ครอบครัว ชั้นเรียนและกิจกรรมเขิงสร้างสรรค์สร้างความประณีตให้กับเด็กในรูปแบบกระบวนการต่างๆ
ทางด้านดร.สรวงมณฑ์กล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในการศึกษาวิจัยภายใต้โครงการจัดตั้ง “สถาบันพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ” มีวัตถุประสงค์หลักในการสนับสนุน และส่งเสริมให้เกิดการจัดพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรมในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
โครงการฯ นี้ เริ่มดำเนินการมาได้ 2 ปีแล้ว มีการศึกษาค้นคว้าในเชิงวิชาการ และลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชื่อมโยงเครือข่าย และบูรณาการพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านเครือข่ายพื้นที่การเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน มีเครือข่ายกว่า 30 แห่งจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศผลจากการศึกษาวิจัยและการลงพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค ได้นำมาสู่การดำเนินงานในระดับที่สำคัญอีกก้าวหนึ่ง คือการค้นหาวิสัยทัศน์และพันธกิจของพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรมในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งความคิดเห็น และข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญที่ได้จากการเสวนาในครั้งนี้ จะนำไปพัฒนาต่อยอดสู่การดำเนินโครงการพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรมในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62650 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ร่วมกับ TGO ผุดโครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ ดอกเบี้ย 2 ปีแรก 1.99% ต่อปี | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
ธอส. ร่วมกับ TGO ผุดโครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ ดอกเบี้ย 2 ปีแรก 1.99% ต่อปี
ธอส.ร่วมกับ TGO ผุดโครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ ดอกเบี้ย 2 ปีแรก 1.99% ต่อปี ส่งเสริม Developer พัฒนาที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ (Project Loan For Carbon Reduction Building) ระหว่าง ธอส. และ TGO เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (Bio-Circular-Green Economy Model : BCG Model) ด้วยการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) และส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) ลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดำเนินการในลักษณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และบรรลุตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายใน ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emissions) ภายใน ค.ศ. 2065 ตามเจตนารมณ์ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ของธนาคาร โดยการนำแนวคิดการดำเนินกิจการอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการเติบโตของผลกำไรควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (ESG : Environment, Social, Governance) มากำหนดเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมให้ลูกค้ากลุ่ม Developer ลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในรูปแบบแฟลตให้เช่า/อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า อาคารชุด และบ้านแนวราบ ด้วยการใช้วัสดุก่อสร้าง Carbon Footprint Reduction (CFR) จึงได้จัดทำ โครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ (Project Loan For Carbon Reduction Building) ภายใต้กรอบวงเงินรวม 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก = 1.99% ต่อปี (MLR-3.76% ต่อปี) ปีที่ 3 – 5 = 4.25% ต่อปี (MLR-1.50% ต่อปี) และปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ธอส. เท่ากับ 5.750% ต่อปี) โดย ธอส. ได้รับความร่วมมือจาก TGO ในการกำหนดคุณสมบัติ และข้อกำหนดทางเทคนิคของอาคารให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่จะเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ อาทิ เป็นอาคารที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย มาตรฐานอาคารเขียว TREES ของสถาบันอาคารเขียวไทย หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวแห่งความยั่งยืน (LEED) หรือมาตฐานบ้าน/อาคารเบอร์ 5 โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือกรณีไม่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยใช้วัสดุก่อสร้าง หรือสุขภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองฉลากลดโลกร้อน / เครื่องหมาย Carbon Footprint / รับรองโดย TGO หรือเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ เป็นอาคารที่มีการเลือกใช้วัสดุ ระบบเปลือกอาคาร กรอบอาคารผังบริเวณและภูมิทัศน์ ระบบพลังงานและบรรยากาศ การบริหารและจัดการน้ำ ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด เป็นต้น
ด้านนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO กล่าวว่า TGO พร้อมสนับสนุนความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างที่มีการจัดการก๊าซเรือนกระจกผ่านระบบการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองประเภท (1) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (2) ฉลากลดโลกร้อน และ (3) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อรองรับนโยบายการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนการประเมินผลตัวชี้วัดระดับความสำเร็จในการดำเนินงานด้านประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-efficiency) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับก๊าซเรือนกระจก ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของความร่วมมือที่กำหนดไว้ร่วมกัน และสนับสนุนองค์ความรู้และร่วมดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาลูกค้ากลุ่ม Developer โดยร่วมเป็นวิทยากรในกิจกรรมหรืองานต่าง ๆ ที่ ธอส. หรือ TGO จัดขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ Developer ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถติดต่อยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 29 ธันวาคม 2566 กรณีกู้เพื่อปลูกสร้างแฟลตให้เช่า/อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 และกรณีกู้เพื่อปลูกสร้างโครงการอาคารชุด และบ้านแนวราบ ทำนิติกรรมภายในวันที่ 28 เมษายน 2567 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเล็งลดอุบัติเหตุทางถนนปีใหม่-สงกรานต์ 2566 ไม่น้อยกว่าร้อยละ5 เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อการเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนถึงเทศกาล | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รัฐบาลเล็งลดอุบัติเหตุทางถนนปีใหม่-สงกรานต์ 2566 ไม่น้อยกว่าร้อยละ5 เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อการเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนถึงเทศกาล
รัฐบาลเล็งลดอุบัติเหตุทางถนนปีใหม่-สงกรานต์ 2566 ไม่น้อยกว่าร้อยละ5 เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อการเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนถึงเทศกาล ควบคู่กับดำเนินมาตรการลดปัจจัยเสี่ยง 5 ด้านทั้งบนถนน สภาพแวดล้อม ผู้ใช้รถและการช่วยเหลือหลังอุบัติเหตุ
วันที่ 14 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อเป็นการลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ ปี 2566 รัฐบาลโดย
คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ได้มีแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลและช่วงวันหยุด พ.ศ. 2566 ซึ่งจัดทำโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ที่จะบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ อย่างเข้มข้น เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุทางถนน ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแผนบูรณาการฯ มีเป้าหมายทั้งระดับภาพรวมของประเทศ หน่วยงาน และพื้นที่ ซึ่งทุกระดับจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิตและจำนวนผู้บาดเจ็บ(admit) จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง และจำนวนผู้เสียชีวิตในพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัยลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง
มีแนวทางการดำเนินงานตามแผนบูรณาการฯ แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงก่อนเทศกาลจะมาถึง จะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในชื่อการรณรงค์“ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมีการเตรียมความพร้อม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดอุบัติเหตุ ซึ่งเทศกาลปีใหม่จะเริ่มรณรงค์ระหว่าง 1 - 21 ธ.ค. 65 ส่วนเทศกาลสงกรานต์ 1 มี.ค. - 3 เม.ย. 66 และช่วงดำเนินงานตามมาตรการ ปีใหม่ดำเนินการระหว่าง 22 ธ.ค. 65- 11 ม.ค. 66 สงกรานต์ ระหว่าง 4 - 24 เม.ย. 66
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับการดำเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุ มี 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านการบริหารจัดการ เช่น จัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ พ.ศ. 2566 ระดับส่วนกลาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการมาตรการเชิงรุก ได้แก่ การประชาคมชุมชน/หมู่บ้าน มาตรการเคาะประตูบ้าน ด่านครอบครัว ด่านชุมชน และการจัดกิจกรรมทางศาสนา 1 อำเภอ 1 กิจกรรม
2.ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อมเช่นสำรวจ ตรวจสอบลักษณะกายภาพของถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งจุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ และปรับปรุงแก้ไขให้มีความปลอดภัย
3.ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ เช่น กำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถโดยสาร และพนักงานประจำรถให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด และการตรวจสอบสภาพรถตามที่กฎหมายกำหนด กวดขันกับผู้ใช้รถกระบะที่บรรทุกน้ำหนักเกิน และรถบรรทุกขนาดเล็กที่บรรทุกผู้โดยสารในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย และเข้มงวดกับรถตู้ส่วนบุคคลหรือรถเช่าของผู้ประกอบการธุรกิจให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย
4.ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เช่น บังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ดำเนินการ ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้นภายใต้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่แนวทางความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนในชุมชน/หมู่บ้าน และสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ หอกระจายข่าว เสียงตามสาย และวิทยุชุมชน และ
5.การช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเครือข่ายและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และสังคมคาร์บอนต่ำ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
EXIM BANK ส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และสังคมคาร์บอนต่ำ
EXIM BANK เยี่ยมชมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ในกลุ่มบางจาก คอร์ปอเรชั่น กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ (MW) ในจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK นำโดย ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยกรรมการ EXIM BANK และนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ สาขาสถาบันการเงิน (SubPAC) ผู้บริหารสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (Institute of Research and Development for Public Enterprises : IRDP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนภารกิจ EXIM BANK ในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ได้เยี่ยมชมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ในกลุ่มบางจาก คอร์ปอเรชั่น กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ (MW) ในจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 โดยมีนางเสาวภาพ สุเมฆศรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ให้การต้อนรับและนำชมโครงการ ซึ่ง EXIM BANK ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2563 วงเงินกู้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยที่มีศักยภาพสามารถขยายการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของโลกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประชาคมโลก ทั้งนี้ BCPG เป็นกลุ่มนักลงทุนไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนด้านพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ กำลังการผลิตรวมกว่า 390 MW และมีโครงการอยู่ในแผนงานอีกกว่า 700 MW
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า พลังงานหมุนเวียนเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพและเข้าไปลงทุนจำนวนไม่น้อยในหลายประเทศ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในระดับสูง อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินญี่ปุ่นมีนโยบายให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการลงทุนด้านพลังงานภายหลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว EXIM BANK จึงเข้าไปเติมเต็มด้วยการสนับสนุนเงินกู้ระยะสั้น 2-3 ปีในรูปแบบ Bridging Loan ให้แก่โครงการในระยะการก่อสร้างผ่านบริษัทแม่ในไทย ภายหลังเมื่อโครงการก่อสร้างแล้ว นักธุรกิจไทยจึงจะได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงินญี่ปุ่นหรือออก Project Bond มาชำระคืนเงินกู้ให้แก่ EXIM BANK โดยที่ผ่านมา EXIM BANK ได้สนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น รวม 25 โครงการ กำลังการผลิตรวมกว่า 200 MW วงเงินกู้รวมกว่า 12,000 ล้านบาท โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy)
“ด้วยวิสัยทัศน์ของ EXIM BANK ที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน EXIM BANK จึงกล้าที่จะก้าวนำและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจ GDH (Green, Digital, Health) ตามเทรนด์โลกยุค Next Normal ปลดล็อกทุกข้อจำกัดเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางความรู้ โอกาส และเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย ดังเช่นการพัฒนาโมเดลการสนับสนุนเงินทุนให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของคนไทยในญี่ปุ่น สร้างผลกระทบในเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกในเวลาเดียวกัน” ดร.รักษ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
EXIM Thailand Promotes Renewable Energy Projects in Japan to Drive BCG Economy and Low Carbon Society
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that EXIM Thailand led by Dr. Pasu Loharjun, EXIM Thailand Chairman, together with Board members, and Mr. Piyabutr Cholvijarn, Chairman of Performance Agreement Sub-Committee (SubPAC) for State-owned Financial Institutions, as well as executives of Fiscal Policy Office (FPO), State Enterprise Policy Office (SEPO) and Institute of Research and Development for Public Enterprises (IRDP), which are organizations supporting EXIM Thailand’s missions in promotion of international trade and investment, paid a visit to a solar power plant of BCPG Public Company Limited (BCPG), a member company of Bangchak Corporation Public Company Limited Group of Companies, with a contracted generating capacity of 20 MW in Chiba Prefecture of Japan on December 10, 2022. They were welcomed by Mrs. Saowapap Sumeksri, BCPG Senior Executive Vice President, Finance and Accounting, who brought them to tour the plant. EXIM Thailand has rendered credit facilities to BCPG worth over 1,000 million baht in total since 2020. The Bank aims to promote and enable Thai entrepreneurs with potential to expand their investment for energy security and sustainable development toward the goal of carbon neutrality and reduction of carbon emissions to net zero of global community. BCPG is a group of Thai investors who have been successful in investment in alternative energy projects both at home and overseas with a combined generating capacity of more than 390 MW and having projects in pipeline with over 700 MW capacity.
EXIM Thailand President said that renewable energy is one of Thai business sectors with bright prospects and investment in which has significantly been evident in several countries, particularly solar power plants in Japan, where tariff rates are high. However, Japanese financial institutions have a policy to provide credit facilities to energy projects only upon commercial operation date. The Bank has thus fulfilled financial needs of these projects by rendering short-term loans with a tenor of 2-3 years in the form of bridging loans to projects under construction through their parent companies in Thailand. After the completion of the construction work, Thai businessmen would then obtain credit facilities from Japanese financial institutions or issue project bond to make loan repayment to EXIM Thailand. EXIM Thailand has so far supported a total of 25 solar and geothermal energy projects in Japan with a combined generating capacity of over 200 MW in a total loan amount of more than 12,000 million baht in line with the sustainable development guidelines and the BCG economy model.
“With the vision of EXIM Thailand to take the lead in driving Thailand’s trade and investment strategies so that Thai businesses would be able to grow on a sustainable basis, we have braved challenges to lead and support Thai entrepreneurs’ exploration of and access to fresh trade and investment opportunities, particularly those in Green, Digital, Health (GDH) businesses to keep pace with the Next Normal global trends, and unlock all restrictions to fill up knowledge, opportunity and capital gaps for Thai entrepreneurs. One of our such moves is development of the financial support model for Thai businesses’ renewable energy power plants in Japan, which would create positive impacts in economic dimension alongside social and environmental dimensions,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ 2566 | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ 2566
“เฉลิมชัย” มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ดีเดย์โครงการสินเชื่อพิเศษ 5,000 ล้าน เพื่อชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้นทุนในการทำประมงสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเรือประมงพื้นบ้าน จำนวน 50,000 กว่าลำ ที่จดทะเบียนเรือเรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และเรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ จำนวน 9,593 ลำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เร่งผลักดันโครงการสินเชื่อพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องฯ โดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 อนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง เฟส 2 ภายในกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์และประมงนอกน่านน้ำ ให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับนำไปเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครให้ชาวประมงเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 – 31 ตุลาคม 2566 ณ สำนักงานประมงจัดหวัดชายทะเลทั้ง 22 จังหวัด และสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการสินเชื่อพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่อง เฟส 2 ชาวประมงสามารถกู้เงินทุนได้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี จากอัตราร้อยละ 7 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี มีกำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 7 ปี นับตั้งแต่วันที่กู้ โดยรูปแบบของสินเชื่อฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) สินเชื่อเงินกู้ระยะสั้น เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ เช่น ค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน ค่าน้ำมัน ค่าน้ำแข็ง ฯลฯ 2) สินเชื่อเงินกู้ระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนในการไปปรับปรุงเรือ ปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทำการประมง ซึ่งธนาคารของรัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้
1. วงเงินสินเชื่อของธนาคารออมสิน จำนวน 2,000 ล้านบาท สำหรับเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อสูงสุด รายละไม่เกิน 10 ล้านบาท
2. วงเงินสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) จำนวน 3,000 ล้านบาท สำหรับเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อสูงสุดสุด รายละไม่เกิน 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพฯ เฟส 2 เป็นผลพวงของความสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ครั้งแรก เมื่อปี 2563 – 2564 โดยกรมประมงและคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเป็นประธาน ภายใต้นโยบายช่วยเหลือชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีชาวประมงให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มากถึงจำนวน 5,596 ราย ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงให้สามารถกู้เงินนำไปเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ จึงขยายโครงการจากเฟส 1 เป็นเฟส 2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62657 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ประชุมหารือด้านเทคนิคโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กรมการขนส่งทางราง ประชุมหารือด้านเทคนิคโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - เชียงใหม่
.....
วันนี้ (14 ธ.ค. 65) นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมหารือด้านเทคนิคโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ โดยมีผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติการรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากฝ่ายญี่ปุ่น ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (MLIT) Japan Railway Construction, Transport and Technology Agency (JRTT) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณารายงานฉบับกลางของการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดสาระสำคัญ ดังนี้
1. ฝ่ายญี่ปุ่นได้รายงานความเป็นมา วัตถุประสงค์ และการวิเคราะห์ทางการเงิน นับตั้งแต่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JICA ได้ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (Feasibility Study : FS) ในปี พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ การลดต้นทุน และการประเมินความต้องการเดินทางอีกครั้ง โดยการวิเคราะห์ทางการเงิน จะจัดทำขึ้นเพื่อศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย และใช้สมมติฐานที่เปลี่ยนไป
2. ฝ่ายญี่ปุ่นได้รายงานความก้าวหน้าของการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางจราจรที่ใช้ในการศึกษาที่ผ่านมา และการทบทวนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยฝ่ายญี่ปุ่นจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งผลกระทบของการลดการปล่อย CO2 จะถูกนำมารวมอยู่ในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
3. ฝ่ายญี่ปุ่นนำเสนอกรอบระยะเวลาการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจและการเงินและจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2566
ทั้งนี้กรมการขนส่งทางรางได้เสนอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาศึกษาการคาดการณ์ผลตอบแทนเศรษฐกิจเชิงกว้าง (Wider Economic Benefits) จากการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยนำกรณีศึกษาการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นแนวทางดำเนินการ เช่น กรณีการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีมินาโตะมิไร เมืองโยโกฮาม่า ซึ่งเป็นสถานีที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน โดยบริเวณสถานีมีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นำมาซึ่งการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยวที่นำไปสู่การพัฒนาเมืองใหม่ มาใช้ในการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจและการเงินเพื่อเพิ่มความเหมาะสมของโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62644 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บทวิเคราะห์เรื่อง “สิ้นสุดการลดอัตราเงินนำส่ง FIDF ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัว ” | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
บทวิเคราะห์เรื่อง “สิ้นสุดการลดอัตราเงินนำส่ง FIDF ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัว ”
Krungthai COMPASS นำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “สิ้นสุดการลดอัตราเงินนำส่ง FIDF ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัว”
Key Highlights
- ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ธปท. ได้ปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF fee) จากธนาคารพาณิชย์ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.23% ต่อปี เป็นการชั่วคราว มีส่วนสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของระบบธนาคาร ซึ่งได้ส่งผ่านไปยังลูกหนี้ในวงกว้าง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลุ่ม M-Rate ทุกชนิดของธนาคารขนาดใหญ่ ลดลง 0.4% ในคราวเดียว
- เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย ธปท. จึงมองถึงความจำเป็นที่อัตราดอกเบี้ยในระบบจะต้องปรับตัวสูงขึ้น และมีแนวทางปรับขึ้น FIDF fee กลับไปสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี ตั้งแต่ต้นปี 2566 ควบคู่ไปกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2565
- Krungthai COMPASS ประเมินว่าการสิ้นสุดมาตรการลด FIDF fee จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินในระบบธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลุ่ม M-Rate ที่อาจจะเพิ่มขึ้นราว 0.4%-0.6% ได้ในคราวเดียว
- การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระบบ แม้จะสอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านเครดิตแก่ระบบธนาคารในภาวะที่ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62622 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. เผย รพ.สมุทรสาคร มุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ขยายเครือข่ายโรงพยาบาลสาขา ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
รมช.สธ. เผย รพ.สมุทรสาคร มุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ขยายเครือข่ายโรงพยาบาลสาขา ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการจัดระบบบริการประชาชนของโรงพยาบาลสมุทรสาคร เผย มีการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง อุบัติเหตุฉุกเฉิน พร้อมขยายเครือข่ายโรงพยาบาลสาขา สร้างความมั่นใจ ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการจัดระบบบริการประชาชนของโรงพยาบาลสมุทรสาคร เผย มีการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง อุบัติเหตุฉุกเฉิน พร้อมขยายเครือข่ายโรงพยาบาลสาขา สร้างความมั่นใจ ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) ดร. สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ติดตามการดำเนินงานบริการประชาชน และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร และกล่าวว่า โรงพยาบาลสมุทรสาครซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 602 เตียง ให้บริการดูแลประชาชนทั้งในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดใกล้เคียง และกลุ่มแรงงานต่างด้าว ในปี 2565 ให้บริการผู้ป่วยนอกกว่า 1.4 ล้านคนจึงมีการขยายบริการเพื่อลดความแออัด โดยสร้างเครือข่ายโรงพยาบาลสาขา 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลวัดเกตุมดีศรีวรารามโรงพยาบาลวัดบางปลา และโรงพยาบาลนครท่าฉลอม ทำให้มีจำนวนเตียงรวม 676 เตียง (ไม่รวมICU) และ
ยังพัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้ขยายเวลาให้บริการสวนหัวใจทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้กว่าปีละ 2,500 ราย และเตรียมแผนพัฒนาการผ่าตัดหัวใจ โดยแพทย์ศัลยกรรมทรวงอก เพื่อเพิ่มความครอบคลุมการรักษามากขึ้น
ด้านโรคมะเร็ง ให้บริการทั้งเคมีบำบัด ผ่าตัด ฉายรังสี พร้อมขยายศูนย์รังสีรักษาไปที่โรงพยาบาลนครท่าฉลอมให้รังสีรักษาได้ 70-80 ราย/วัน ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีภายใน 6 สัปดาห์ และมีคลินิกพิเศษนอกเวลาทางรังสี ให้บริการได้ 30 -40 ราย/วัน ลดการส่งต่อไปรับบริการรังสีรักษาได้กว่า 80% ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน มีการแยกพื้นที่อย่างชัดเจน มีห้องแยกโรคตามมาตรฐาน พร้อมระบบความปลอดภัย ทั้งSecurity & safety และหน่วยวิเคราะห์ข้อมูลวางแผน/ประสานส่งต่อ/EMS และนำระบบ Telemedicine มาใช้ในการรักษา โดยเชื่อมต่อระบบสัญญาณชีพและกล้องจากรถพยาบาลไปยังห้องฉุกเฉิน เพื่อประสานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที
พร้อมกันนี้ ได้เป็นประธานรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ 137 รายการ อาทิOXYGEN ANALYZER Flow sensorเครื่องตรวจวัดความเข้มข้นออกซิเจน เครื่องช่วยหายใจ เครื่องผลิตออกซิเจน เตียงผู้ป่วย เป็นต้น มูลค่ารวม 1,200,000 บาท จาก “มูลนิธิ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ” ให้กับศูนย์ดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง โรงพยาบาลกระทุ่มแบน เพื่อให้ผู้ป่วยยืมใช้ที่บ้าน ช่วยให้การดูแลฟื้นฟูสุขภาพมีความเหมาะสมกับปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย
*********************************** 14 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62660 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานฯ เตือน!! ผู้ใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ในกระบวนการผลิต กว่า 140 แห่ง เร่งยืนยันตัวตนผ่านระบบ และแจ้งความต้องการใช้จริง ภายใน 15 ธันวาคม นี้ | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กรมโรงงานฯ เตือน!! ผู้ใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ในกระบวนการผลิต กว่า 140 แห่ง เร่งยืนยันตัวตนผ่านระบบ และแจ้งความต้องการใช้จริง ภายใน 15 ธันวาคม นี้
กรมโรงงานฯ เตือน!! ผู้ใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ในกระบวนการผลิต กว่า 140 แห่ง เร่งยืนยันตัวตนผ่านระบบ และแจ้งความต้องการใช้จริง ภายใน 15 ธันวาคม นี้เพื่อควบคุมการนำเข้า ป้องกันการลักลอบนำไปผลิตยาเสพติด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 รับทราบแนวทางการควบคุมสารโซเดียมไซยาไนด์ สารเบนซิลไซยาไนด์ และสารเบนซิลคลอไรด์ ที่นำไปใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด จึงสั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ออกประกาศ ระงับการส่งออกและนำเข้าสารดังกล่าวไว้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการกำหนดแนวทางการควบคุมมิให้มีการนำทั้ง 3 สาร ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายที่ กรอ. รับผิดชอบ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ในกระบวนการผลิต กว่า 140 แห่งทั่วประเทศ รายงานปริมาณการใช้จริง เพื่อควบคุมปริมาณการนำเข้า
นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยออกประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง ระงับการส่งออกและชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการไว้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการกำหนดแนวทางการควบคุมมิให้มีการนำวัตถุอันตรายไปใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เพื่อระงับการอนุญาตส่งออกและชะลอการนำเข้าสารโซเดียมไซยาไนด์และสารเบนซิลไซยาไนด์ ไว้จนกว่าจะปรับปรุงวิธีการพิจารณาอนุญาตการนำเข้าและส่งออกแล้วเสร็จ และจะพิจารณาอนุญาตให้นำเข้าสารทั้ง 2 ชนิดตามปริมาณการใช้จริงเป็นราย ๆ ไป พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้นำเข้า ส่งออก และผู้ซื้อ (End user) สารโซเดียมไซยาไนด์ สารเบนซิลไซยาไนด์ และสารเบนซิลคลอไรด์ ต้องยืนยันตัวตนโดยการลงทะเบียน เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการใช้สารดังกล่าวตั้งแต่การนำเข้าจนถึงผู้ใช้ปลายทางได้
นายจุลพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังการออกประกาศระงับการส่งออกและชะลอการนำเข้าแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา กรอ. ได้จัดประชุมชี้แจงเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงแนวทางการควบคุมสารโซเดียมไซยาไนด์ และแจ้งผู้ประกอบการให้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านระบบแจ้งข้อมูลการซื้อ - ขาย วัตถุอันตรายควบคุมพิเศษ ทางออนไลน์ https://haz7.diw.go.th/h-chem/page.jsp และกรอกแบบสอบถามความต้องการใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ให้ครบถ้วนภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 เพื่อ กรอ. จะได้เร่งตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติโควตาประจำปี 2566 ตามที่ผู้ประกอบการแจ้งขอไว้ในระบบดังกล่าว คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2566
“แต่หากผู้ประกอบการรายใด ไม่สามารถยืนยันตัวตนผ่านระบบภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็สามารถ ดำเนินการภายหลังได้ โดยจะได้รับการพิจารณาในลำดับถัดไป อย่างไรก็ตาม การพิจารณาต้องใช้เวลา จึงขอให้ผู้ประกอบการ เร่งยืนยันตัวตนผ่านระบบ และแจ้งความต้องการใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ตามปริมาณที่ใช้จริง เพื่อ กรอ. จะได้เร่งดำเนินการพิจารณาอนุญาตให้นำเข้าตามแนวทางการควบคุมฯ และภาคอุตสาหกรรมจะได้มีสารดังกล่าวใช้ในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62618 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และภาคเอกชน | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ จับมือมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และภาคเอกชน
กระทรวงเกษตรฯ จับมือมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และภาคเอกชน มอบรางวัล “เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี 2565” ภายใต้แนวคิด “เกษตรนวัตกรรมเพื่อความสุขยั่งยืน” หนุนเสริมศักยภาพเกษตรกรเป็นต้นแบบด้านนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีประกาศผล “โครงการคัดเลือกเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี พ.ศ. 2565” ระหว่าง กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีนายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด คุณชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เข้าร่วม ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ว่า ภาคการเกษตรมีบทบาทความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การขับเคลื่อนของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน” เพื่อให้เกษตรกรหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง มีคุณภาพชีวิตที่ดี เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาพรวมตามแผนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกำหนดนโยบายสำคัญในการมุ่งพัฒนาภาคเกษตรใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) ความมั่นคงทางอาหาร (2) มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตร (3) ทรัพยากรการเกษตร มีความยั่งยืน และ (4) เป็นเกษตรมูลค่าสูง เพื่อให้เกษตรกรมีความพร้อมในการปรับตัว สามารถขับเคลื่อนงานเกษตรให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้กำหนดแผนพัฒนาการเกษตร 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งพัฒนาเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยดำเนินการ 1) ช่วยเหลือ ดูแล พัฒนาและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอาหารไว้บริโภค ลดรายจ่าย เกษตรกรเกิดความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีรายได้เพิ่มขึ้น 2) ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร มีประสิทธิภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยการพัฒนาทักษะความสามารถเกษตรกรด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยึดหลักตลาดนำการผลิต เพื่อยกระดับการผลิต และการจัดการสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามหลักสากลสู่การส่งออก 3) พัฒนาเกษตรกร องค์กรเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Young Smart Farmer และ Smart Farmer ที่มีขีดความสามารถด้านการเกษตร สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการและการตลาดสินค้าเกษตร เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน และเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาคีต่าง ๆ เพื่อร่วมกันพัฒนายกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการชั้นนำ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่ม โดยการนำกระบวนการบริหารจัดการกลุ่มมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินการไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่าย การมีส่วนร่วม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมถึงการนำองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรม และเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและผลิตภัณฑ์ พัฒนาช่องทางการตลาด ทำให้เกิดเครือข่ายทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม และสามารถบริหารจัดการกองทุนนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน โดยมุ่งเน้นการทำงานขับเคลื่อนภาคการเกษตร ภายใต้หลักการ “Keep Going, Keep Growing ก้าวต่อไป เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปรับองค์กรเป็น Digital DOAE มุ่งขับเคลื่อน BCG สู่ความยั่งยืนของภาคเกษตร”
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรอย่างบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย คือ มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง ความร่วมมือด้านการสนับสนุนกิจกรรมและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่เกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรไทย สู่การเป็นเกษตรกรต้นแบบ (Smart Farmer Model) ผู้มีความรู้ ความสามารถ เข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเกษตรได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและจำเป็นไปยังเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมการเกษตรใหม่ ๆ โดยในปี พ.ศ.2565 ได้จัดการประกวด“เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด” ครั้งที่ 14 ขึ้น ภายใต้แนวคิด “เกษตรนวัตกรรม เพื่อความสุขยั่งยืน” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่มีศักยภาพในการเป็นต้นแบบ มีแนวคิดและการปฏิบัติด้านนวัตกรรมและการใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ มาพัฒนาต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต รวมถึงการพึ่งพาตนเอง สู่การสร้างความมั่นคงและยั่งยืน แก่คุณภาพชีวิตของตนเอง สังคม และชุมชน และที่สำคัญที่สุด คือ เกษตรกรต้องมีจิตสำนึกรักบ้านเกิด เพื่อเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์สำนึกรักบ้านเกิด ความมุ่งมั่นในการตอบแทนคุณแผ่นดินเกิดของตนเอง ในการเป็นต้นแบบความสำเร็จ ยอมรับ และเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพเกษตรกรสู่สาธารณชนได้ โดยมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้เข้ามาให้การส่งเสริมการเรียนรู้โดยการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแก่เกษตรกร
สำหรับเกษตรกรที่ได้รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ คุณประเสริฐ ไกนอก เกษตรกรจากโกโก้นางั่ว จังหวัดเพชรบูรณ์ เกษตรกรผู้ใช้นวัตกรรมทางความคิด ปรับ Mind set เพื่อสร้างระบบนิเวศให้ทั้งคนและต้นไม้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเอง ทำการเกษตรที่ลดต้นทุนและยั่งยืน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ คุณจตุรงค์ จันมา เกษตรกรจากสวนนำฮอย จังหวัดยโสธร เกษตรกรนักคิดค้นพัฒนา นำไปสู่การทำเกษตรอินทรีย์โดยใช้นวัตกรรมเครื่องจักรกลทางการเกษตร ในกระบวนการผลิตข้าวตั้งแต่เริ่มปลูกจนเก็บเกี่ยวผลผลิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ คุณธนาสิทธิ์ สอนสุภา สวนลุงไขา เกษตรอินทรีย์ จังหวัดชุมพร หนุ่มไอทีผูผันตัวเองเป็นเกษตรกรเต็วตัว สานต่อสวนกาแฟจากคุณพ่อ นำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาปรับใช้ พร้อมแบ่งปันความรู้สู่ชุมชน พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน และรางวัลเกษตรดีเด่น ได้แก่ 1) คุณธวัชชัย สุริยะธรรม เกษตรกรจากสยามทรัส (Siam Trust) จังหวัดเลย 2) คุณจักรภพ แสงแก้ว เกษตรกรจากพรานพอเพียง ออร์แกนิค ไลฟ์สไตล์ แอนด์ ฟาร์ม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) คุณนที โดดสูงเนิน เกษตรกรจากอำพันฟาร์ม จังหวัดนครราชสีมา 4) คุณชัยพิสิษฐ์ สอนศรี เกษตรกรจากมายโฮม@41 จังหวัดฉะเชิงเทรา 5) คุณพิธาน ไพโรจน์ เกษตรกรจากไร่นาปภาวรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 6) คุณวาริส แก้วภักดี เกษตรกรจากกรีนวิลล์ฟาร์ม จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 7) คุณอมลวรรณ ปริดตา เกษตรกรจากอิมม์ฟาร์ม จังหวัดลำพูน ทั้งนี้ ทุกรายเป็นเกษตรกร Young Smart Farmer ของกรมส่งเสริมการเกษตร ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างสรรค์ มีประโยชน์ สามารถเป็นแบบอย่างให้กับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พัฒนาต่อยอด และยังเป็นแรงขับเคลื่อนความการเปลี่ยนแปลงของภาคการเกษตรในอนาคตต่อไป อีกทั้งยังมีความสำคัญยิ่งในการเป็นต้นแบบ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ยึดแนวทางวิถีเกษตรอินทรีย์ และการทำการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62656 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3/ 2565 ภาพรวมอัตราดูดซับลดฮวบดันยอดเหลือขายแตะ 8.7 แสนล้านบาท | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3/ 2565 ภาพรวมอัตราดูดซับลดฮวบดันยอดเหลือขายแตะ 8.7 แสนล้านบาท
รายงานภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส3 ของปี 2565 แม้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นกว่าคาดการณ์ โดย สศค. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 - 4.0)
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส3 ของปี 2565 แม้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นกว่าคาดการณ์ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 - 4.0) แต่ในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัยกลับพบว่าภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบกดดันกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ รวมถึงกระทบต้นทุนและการลงทุนของผู้ประกอบการ สะท้อนจากภาพรวมด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ และยอดขายได้ใหม่ในไตรมาส 3 ปี 2565 จากผลการสำรวจภาคสนามในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวนหน่วยที่ลดลง ในขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนที่สูงขึ้นกว่าไตรมาส 2 ปี 2565
อุปทานที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด ณ ไตรมาส 3/2565 รวมกว่า 1.98 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 9.84 แสนล้านบาท
ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น ณ ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่ามีจำนวน 198,024 หน่วย มูลค่า 984,904 ล้านบาท โดยมีจำนวนหน่วยลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวน 2,188 หน่วย แต่มูลค่ากลับสูงขึ้น 8,608 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรร 126,325 หน่วย มูลค่ารวม 680,615 ล้านบาท ซึ่งพบว่าบ้านจัดสรรมีการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวเฮ้าส์ ขณะที่โครงการอาคารชุดมีหน่วยเสนอขายจำนวน 71,699 หน่วย มูลค่ารวม 304,289 ล้านบาท ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และ 2 ปี 2565 ทั้งนี้ มูลค่าโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งถือว่ามีมูลค่ารวมสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 ขณะเดียวกันโครงการอาคารชุดกลับมีมูลค่ารวมต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2561
โซนที่มีหน่วยอาคารชุดเสนอขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 9,921 หน่วย มูลค่า 40,368 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 3)
อันดับ 2 พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,285 หน่วย มูลค่า 23,259 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 4)
อันดับ 3 เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 7,144 หน่วย มูลค่า16,288 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 6)
อันดับ 4 ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 6,893 หน่วย มูลค่า 21,262 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 5)
อันดับ 5 สุขุมวิท จำนวน 6,101 หน่วย มูลค่า 55,902 ล้านบาท (มูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1)
สำหรับโครงการบ้านจัดสรร โซนที่มีหน่วยเสนอขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 18,199 หน่วย มูลค่า 98,735 ล้านบาท
อันดับ 2 บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 17,603 หน่วย มูลค่า 82,660 ล้านบาท
อันดับ 3. ลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 13,831 หน่วย มูลค่า 51,919 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 4)
อันดับ 4 เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 10,963 หน่วย มูลค่า 41,523 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 5)
อันดับ 5 คลองหลวง-หนองเสือ 10,610 หน่วย มูลค่าอยู่ในอันดับ 8 จำนวน 36,104 ล้านบาท
อุปทานที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาส 3/2565 รวมกว่า 2.41 หมื่นหน่วย มูลค่ากว่า 1.47 แสนล้านบาท บ้านจัดสรรขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาคารชุดลดลงแรง
ในส่วนของภาพรวมโครงการเปิดขายใหม่ พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของ ปี 2565 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 24,112 หน่วย มูลค่า 147,276 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวนหน่วยลดลง 4,380 หน่วย แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้น 10,463 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรรทุกประเภททั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าที่ 4,406 หน่วย และ 35,621 ล้านบาท โดยโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่เปิดตัวเสนอขายด้วยราคา 2.01-5.00 ล้านบาท แต่โครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่เพียง 7,526 หน่วย มูลค่า 19,665 ล้านบาท มีการลดลงอย่างมาก โดยลดลงถึง 8,786 หน่วย และ มูลค่าลดลง 25,158 หน่วย โดยโครงการอาคารชุดส่วนใหญ่เปิดตัวเสนอขายด้วยราคา 2.01-3.00 ล้านบาท
การสำรวจพบว่า โซนที่มีโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 คือ เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-สมุทรเจดีย์ จำนวน 1,772 หน่วย มูลค่า 5,990 ล้านบาท
อันดับ 2 สุขุมวิท จำนวน 1,323 หน่วย มูลค่า 4,381 ล้านบาท
อันดับ 3 พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 1,302 หน่วย มูลค่า 2,897 ล้านบาท
อันดับ 4 ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 886 หน่วย มูลค่า 1,816 ล้านบาท
อันดับ 5 คลองหลวง-หนองเสือ จำนวน 787 หน่วย มูลค่า 1,710 ล้านบาท
ขณะที่โครงการบ้านจัดสรร โซนที่มีโครงการเปิดขายใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 2,543 หน่วย มูลค่า 12,712 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 3)
อันดับ 2 คลองหลวง- หนองเสือ 1,920 หน่วย มูลค่า 6,394 ล้านบาท (มูลค่าไม่ติดจาก 5 อันดับแรก)
อันดับ 3 บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,856 หน่วย มูลค่า 11,723 ล้านบาท (มูลค่าเป็นอันดับ 5 )
อันดับ 4 เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก 1,664 หน่วย มูลค่า 6,406 ล้านบาท (มูลค่าไม่ติดจาก 5 อันดับแรก)
อันดับ 5 ลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 1,611 หน่วย มูลค่า 8,055 ล้านบาท (มูลค่าไม่ติดจาก 5 อันดับแรก)
อุปสงค์ ยอดขายได้ใหม่ไตรมาส 3 ลดลงต่ำสุด เหตุผลเพราะอาคารชุดขายได้ใหม่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี
จากการสำรวจยังได้พบว่า ภาพรวมยอดขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 20,261 หน่วย มูลค่า 113,399 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนและมูลค่าที่ขายได้ใหม่ต่ำสุดในรอบ 3 ไตรมาสของปี 2565 แต่พบว่าการลดลงของภาพรวมยอดขายนี้เกิดจากการลดลงอย่างมากของอาคารชุดที่ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ปี 2565 โดยจำนวนหน่วยลดลง 5,388 หน่วย และ มูลค่าลดลง 21,553 ล้าบาท ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 2,050 หน่วยและ 18,349 ล้านบาท
ภาวะการณ์ของยอดขายข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นได้ว่า ในระดับภาพรวมที่อยู่อาศัยทุกประเภทมีอัตราดูดซับต่อเดือนไตรมาส 3 ปี 2565 ในภาพรวมอัตราดูดซับภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ต่อเดือน (ขณะที่ไตรมาส 2 มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.9 และ ไตรมาส 1 มีอัตราดูดซับร้อยละ 5.0) โดยในไตรมาส 3 อัตราดูดซับอาคารชุดลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ต่อเดือน (จากไตรมาส 2 มีอัตราดูดซับร้อยละ 5.6 และไตรมาส 1 มีอัตราดูดซับร้อยละ 7.6) ขณะที่อัตราดูดซับบ้านจัดสรรยังคงปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ต่อเดือน (เพิ่มจากไตรมาส 2 มีอัตราดูดซับร้อยละ 2.8 และไตรมาส 1 อัตราดูดซับร้อยละ 3.1)
อย่างไรก็ตาม ทำเลของโครงการอาคารชุดที่มีอัตราดูดซับสูงสุดคือ โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ซึ่งมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,686 หน่วย มูลค่า 4,188 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับร้อยละ 6.8 ต่อเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.8 ต่อเดือน ขณะที่ โครงการบ้านจัดสรรโซนที่มีอัตราดูดซับสูงสุด บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 1,889 หน่วย มูลค่า 10,481 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับร้อยละ 3.5 ต่อเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.2 ต่อเดือน
เมื่อพิจารณาจากอัตราดูดซับจากมิติของระดับราคา พบว่า อัตราดูดซับที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1.50 - 5.00 ล้านบาทของไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีการลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มระดับราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท เป็นกลุ่มราคาที่มีอัตราดูดซับต่ำสุด ทั้งนี้พบว่า เป็นผลกระทบที่อัตราการดูดซับของอาคารชุดที่ลดลงในทุกระดับราคา ขณะที่อัตราการดูดซับของบ้านจัดสรร อยู่ในระดับที่ดีขึ้นในเกือบทุกระดับราคา
หน่วยเหลือขายคงค้างกว่า 1.77 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 8.71 แสนล้านบาท
สำหรับปริมาณหน่วยเหลือขายคงค้างในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 มีหน่วยเหลือขาย จำนวนทั้งสิ้น 177,763 หน่วย มูลค่า 871,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวน 1,150 หน่วย มูลค่า 11,812 หน่วย โดยพบว่า หน่วยเหลือขายของโครงการอาคารชุดมีจำนวน 63,473 หน่วย มูลค่า 274,576 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 3,742 หน่วย มูลค่าลดลง 27,352 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 114,290 หน่วย มูลค่า 596,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 4,892 หน่วย มูลค่าเพิ่มขึ้น 39,164 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วยังขายไม่ได้ 44,361 หน่วย มูลค่า 208,830 ล้านบาท โดยเป็นอาคารชุดที่สร้างเสร็จแล้วยังขายไม่ได้จำนวน 18,323 มูลค่า 80,165 ล้านบาท ขณะที่บ้านจัดสรรที่สร้างเสร็จแล้วยังขายไม่ได้มีจำนวน 26,038 หน่วย มูลค่า 128,665 ล้านบาท
ทำเลที่มีโครงการอาคารชุดเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 9,270 หน่วย มูลค่า 37,556 ล้านบาท
อันดับ 2 นนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,760 หน่วย มูลค่า 15,550 ล้านบาท
อันดับ 3 พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 6,599 หน่วย มูลค่า 19,071 ล้านบาท
อันดับ 4 ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 6,306 หน่วย มูลค่า 19,366 ล้านบาท
อันดับ 5 สุขุมวิท จำนวน 5,492 หน่วย มูลค่า 51,334 ล้านบาท
ขณะที่โครงการบ้านจัดสรร ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
อันดับ 1 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 16,310 หน่วย มูลค่า 88,254 ล้านบาท
อันดับ 2 บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 16,230 หน่วย มูลค่า 76,013 ล้านบาท
อันดับ 3 ลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 13,146 หน่วย มูลค่า 49,050 ล้านบาท
อันดับ 4 เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 10,382 หน่วย มูลค่า 39,118 ล้านบาท
อันดับ 5 คลองหลวง-หนองเสือ จำนวน 10,243 หน่วย มูลค่า 34,566 ล้านบาท
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า “ในช่วง 2 ไตรมาสแรก ปี 2565 ดูเหมือนตลาดจะฟื้นตัวค่อนข้างดี แต่ในไตรมาส 3 ปี 2565 เราพบการชะลอตัวของตลาดอาคารชุดที่ชัดเจน ดังที่จะเห็นได้ว่า การเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่ชะลอลงอย่างมาก และยอดขายอาคารชุดก็ชะลอตัวลงอย่างมากเช่นกัน มีข้อสังเกตว่า การเปิดตัวอาคารชุดใหม่อย่างมากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงนั้นให้ขึ้นด้วยหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้นก็แสดงให้เห็นว่า โครงการที่มีหน่วยที่เหลือขายจากปีก่อนมีการระบายสต๊อกได้ช้า และการซื้ออาคารชุดในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ก็อาจเป็นการซื้ออาคารชุดในกลุ่มโครงการ BOI ซึ่งมีจำนวนหนึ่งอาจเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนทำให้ยอดขายในภาพรวมดีในช่วงนั้น แต่หน่วยเหลือขายก็ยังคงมีอยู่มากพอควร ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การพัฒนาโครงการอาคารชุดใหม่จะต้องพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและตอบโจทย์ผู้ซื้อได้ตรงความต้องการ
สำหรับตลาดบ้านจัดสรร ก็ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 3 ดังจะเห็นได้จากยอดขายใหม่ที่ดีต่อเนื่องในทุกประเภทบ้านของบ้านจัดสรร แต่มีข้อสังเกตว่า มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากกว่ายอดขายในแต่ละไตรมาสถึงประมาณ 2 เท่า ทำให้เราพบว่า ปัจจุบันหน่วยเหลือขายของบ้านจัดสรรเริ่มมีสะสมมากขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1 – 3 โดยเฉพาะบ้านจัดสรรในกลุ่มราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM meets with President of the European Council | วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565
PM meets with President of the European Council
PM meets with President of the European Council
December 13, 2022, at 16.20 hrs (Brussels local time), at the Europa Building, Brussels, Kingdom of Belgium, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha met with H.E. Mr. Charles Michel, President of the European Council, during the ASEAN-EU Commemorative Summit. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister congratulated the ASEAN-EU Commemorative Summit, which is the inaugural meeting between 9 ASEAN leaders/representatives and leaders/representatives of 27 EU member countries under the ASEAN framework. The meeting is relevant with EU Strategy for Cooperation in the Indo-Pacific, which aims to increase EU’s engagement in and maintain strong partnership with the Indo-Pacific and ASEAN. The meeting is also timely for the strengthening of Thailand-EU relations, as both parties are set to sign EU-Thailand Partnership and Cooperation Agreement (PCA). Thailand stands ready to become EU’s partner on the basis of shared values, inclusive multilateralism, and international rules and regulations that promote democracy, human rights, and the good governance. The Prime Minister expressed hope for EU’s support in translating the Plan of Action to Implement the ASEAN-EU Strategic Partnership (2023-2027) and PCA into concrete action for mutual interest. Thailand is ready to work closely and opens to constructive discussion and negotiation with all EU agencies and units.
President of the European Council expressed pleasure to meet with the Prime Minister to discuss reinforcement of Thailand-EU relations and cooperation, and congratulated the signing of Thai-EU PCA as guideline for tangible cooperation. He also commended Thailand’s leading role in the region. As EU’s friend, he hoped that Thailand continues to tighten cooperation with EU in the fields of mutual interest, i.e., sustainable development, environment, technology and innovation, climate change, public health cooperation, security, and cooperation in the Indo-Pacific.
Both parties also discussed other key areas of cooperation:
On the issue of sustainability and green agenda, Thailand has placed great importance on promoting sustainable economic growth through utilizing the BCG Economic Model to create proper business ecosystem, while upholding its commitment to reach carbon neutrality and net zero greenhouse gas emissions. The Prime Minister encouraged EU and EU member countries to support the Thai private sector in elevating their environmental standard.
President of the European Council commended Thailand for its priority placed on sustainable development. As Thailand’s BCG Economic Model is relevant with the European Green Deal, EU stands ready to cooperate with the country, and to encourage private sector of both sides to exchange excellent practice and expand their investment in order to promote innovation and research in sustainability and environment.
Both parties came to terms on strengthening cooperation amidst the uncertainty of global security situation. Thailand is aware of the need to maintain inclusive dialogue space, led by humanitarian assistance. President of the European Council affirmed EU’s commitment to promote security cooperation, which includes capacity enhancement, and exchange of intelligence, personnel, and good practices, and to discuss with Thailand on security negotiation framework to further promote cooperation in cyber security, marine security, and anti-terrorism.
With regard to EU’s cooperation with ASEAN, the President of the European Council acknowledged the importance of ASEAN’s centrality, and affirmed EU’s readiness to open for broad and constructive negotiation with Thailand on the principle of mutual respect and trust and shared benefit. The Prime Minister also pledged Thailand’s commitment to work together with EU in promoting peace and stability in the Indo-Pacific and ASEAN regions, and to push forward key agendas under the EU Strategy for Cooperation in the Indo-Pacific, e.g., marine conservation and sustainable fishery, protection of personal information, response to cyber threats, and space cooperation.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62661 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริม Digital Startup เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มอบกรมบัญชีกลางจัดทำบัญชีบริการดิจิทัล ปลื้มมูลค่าการลงทุนโต 64%ต่อปี | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
รัฐบาลส่งเสริม Digital Startup เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มอบกรมบัญชีกลางจัดทำบัญชีบริการดิจิทัล ปลื้มมูลค่าการลงทุนโต 64%ต่อปี
รัฐบาลส่งเสริม Digital Startup เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มอบกรมบัญชีกลางจัดทำบัญชีบริการดิจิทัล ปลื้มมูลค่าการลงทุนโต 64%ต่อปี
วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลทีมุ่งพัฒนาและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเร่งรัดพัฒนาระบบนิเวศที่เกื้อหนุนต่อการพัฒนาธุรกิจดังกล่าวโดยนับแต่ปี 2559 มีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ทำให้เกิดการเติบโตของ Digital Startup ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ในปี 59 มีมูลค่าการลงทุนในประเทศประมาณ 3.32 พันล้านบาท และในปี 65 มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1.89 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 63.5 ต่อปี
และเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ล่าสุด เมื่อ 13 ธ.ค. รัฐบาลได้เห็นชอบให้กรมบัญชีกลางจัดทำบัญชีบริการดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการ Digital Startup ของไทย เข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และเป็นหนึ่งในหมวดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการดิจิทัลร่วมพัฒนาระบบราชการ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
บริการดิจิทัล หมายถึงโปรแกรมบริการที่ใช้ในการให้บริการดิจิทัล แพลมฟอร์ม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสินค้าหรือบริการระหว่างผู้พัฒนาและผู้ใช้บริการ อาทิ Softwareบัญชี จัดคิวรอรับบริการ การให้บริการทางการ แพทย์ระบบทางไกล
Digital Startup หรือ วิสาหกิจเริ่มต้นดิจิทัล หมายถึง บุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและเริ่มต้นดำเนินธุรกิจในไทยมาแล้วไม่เกิน 5 ปีในธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดิจิทัล
คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ขอขึ้นทะเบียน เช่น ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาหรือให้บริการ 1) โปรแกรมซอฟต์แวร์ในไทย หรือ 2) อุปกรณ์ด้านดิจิทัล หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อัจฉริยะหรืออุปกรณ์เทคโนโลยีนวัตกรรมในไทย หรือ 3)การให้บริการด้านดิจิทัล ซึ่งต้องได้รับการรับรองมาตรฐานกระบวนการผลิต หรือพัฒนา หรือบริการซอฟต์แวร์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อัจฉริยะ และบริการดิจิทัลตามที่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กำหนด
หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนที่สำคัญ เช่น บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลต้องสามารถใช้บริการได้จริงครบถ้วนในทุกฟังชั่นการใช้งาน ต้องมีผู้ใช้บริการแล้วหรือมีผลการใช้งานจากผู้บริโภค กำหนดราคาค่าบริการที่มีรายละเอียดชัดเจน
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อให้เป็นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทีผ่านมา ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุน ผ่าน 4 มาตรการหลัก คือ การผลักดันด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลงานนวัตกรรม มาตรการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่มีการอนุมัติโครงการค้ำประกันผู้ประกอบการดิจิทัล มาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และการสร้างความเชื่อมั่นผ่านระบบขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และดิจิทัลคอนเทนต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและยืนยันการมีตัวตน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62711 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มหาดไทย ตอบกระทู้กรณีเอกชนปิดทางสัญจรโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะ สร้างความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ ย้ำ “ไม่ได้นิ่งนอนใจ” พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
รมว.มหาดไทย ตอบกระทู้กรณีเอกชนปิดทางสัญจรโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะ สร้างความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ ย้ำ “ไม่ได้นิ่งนอนใจ” พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
รมว.มหาดไทย ตอบกระทู้กรณีเอกชนปิดทางสัญจรโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะ สร้างความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ ย้ำ “ไม่ได้นิ่งนอนใจ” พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 65 ที่ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตอบกระทู้ถามชี้แจงประเด็นเรื่องเอกชนปิดกั้นเส้นทางสาธารณะประโยชน์ที่เกาะหลีเป๊ะ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมืองสตูล จ.สตูล จากเหตุข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินและชาวบ้านในพื้นที่ มีการนำเหล็กมาปิดกั้นเส้นทางสัญจร ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรที่นักเรียนใช้เดินเข้าโรงเรียน ส่งผลทำให้นักเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) บนเกาะหลีเป๊ะแปลงที่มีประเด็นเรื่องทางเข้า-ออก โรงเรียนนั้น เป็นเดิมเป็นที่ดิน ตามเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) อยู่แล้ว และต่อมาได้มีการออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ซึ่งผู้ครอบครองปัจจุบันเป็นทายาทของผู้แจ้ง ส.ค. 1 โดยในส่วนของที่ตั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเกาะหลีเป๊ะตั้งอยู่ในที่ดิน น.ส. 3 แปลงนี้ซึ่งเป็นส่วนที่เจ้าของที่ดินเดิมได้บริจาคให้เพื่อสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล เจ้าของที่ดินปัจจุบันมีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินทั้งในส่วนที่ตั้งโรงเรียน รพ.สต. และแบ่งตามสิทธิของตนเอง จึงได้ขอให้สำนักงานที่ดินเข้าไปรังวัดและดำเนินการ แต่เจ้าหน้าที่รังวัดถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่สืบเนื่องจากข้อพิพาทในอดีต ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการ ขณะนี้ได้กำหนดวันรังวัดอีกครั้งไว้แล้ว ดังนั้น ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้จึงยังไม่มีการแบ่งแยกที่ดินแต่อย่างใด ในที่ดินแปลงนี้มีคดีความที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลด้วย .
“แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ปิดกั้นทางเข้า-ออกโรงเรียน และประชาชนได้รับความเดือดร้อน หน่วยงานราชการ นำโดยท่านนายอำเภอเมืองสตูล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าไปดำเนินการไกล่เกลี่ยกับเจ้าของที่ดินให้เปิดทางสัญจรดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและนักเรียนในพื้นที่สามารถสัญจรผ่านได้ตามปกติ ซึ่งขณะนี้เจ้าของที่ดินได้ยินยอมให้ใช้เส้นทางนี้แล้ว สำหรับในเรื่องการดำเนินคดี ก็ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป” มท.1 กล่าว
พลเอก อนุพงษ์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่เกาะหลีเป๊ะราษฎรในพื้นที่ที่ได้มีการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ไว้จำนวนทั้งหมด 41 ฉบับ ส่วนใหญ่เป็นราษฎรสกุลหาญทะเลซึ่งเป็นราษฎรชุดแรกที่มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่ พ.ศ. 2452 ซึ่ง ส.ค. 1 จำนวน 41 ฉบับ ดังกล่าว มีการนำมาออกเป็นที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.3) แล้ว จำนวน 26 ฉบับ และยังคงเป็นที่ดิน ส.ค.1 อีก 23 ฉบับ ประเด็นปัญหาในเรื่องนี้เกิดมาจากข้อพิพาทของผู้มีเอกสารสิทธิซึ่งเป็นคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนพื้นที่เกาะหลีเป๊ะเอง นอกจากนี้ เรื่องข้อพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะก็ไม่ได้มีเฉพาะที่บริเวณดังกล่าวเท่านั้น เนื่องจากในปี พ.ศ. 2517 ทางราชการได้ประกาศให้พื้นที่หมู่เกาะหลีเป๊ะเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ก็เกิดข้อพิพาทของผู้ถือเอกสารสิทธิกับทางภาครัฐด้วย รวมทั้งข้อพิพาทระหว่างผู้มีเอกสารสิทธิกับราษฎรที่เข้ามารุกล้ำพื้นที่ สร้างที่อยู่อาศัยในที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ปัญหาเรื่องการครอบครองที่ดินมีจำนวนมาก เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นบางส่วนไม่มีการแจ้งจดสิทธิการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข กรมที่ดินในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเข้าไปดูแลและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนที่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาล กรมที่ดินไม่มีหน้าที่ในพิจารณาและตัดสินเรื่องดังกล่าวได้ และขอยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยทราบปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่มีเอกสารสิทธิตามกฎหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62735 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ยกระดับศูนย์ประสานงาน อพม. 50 เขต กทม. เพิ่มขีดความสามารถช่วยประชาชนในพื้นที่ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
พม. ยกระดับศูนย์ประสานงาน อพม. 50 เขต กทม. เพิ่มขีดความสามารถช่วยประชาชนในพื้นที่
พม. ยกระดับศูนย์ประสานงาน อพม. 50 เขต กทม. เพิ่มขีดความสามารถช่วยประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 11.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) กรุงเทพมหานคร ประจำปี 2565 พร้อมมอบหนังสือรับรองการจัดตั้งศูนย์ประสานงาน อพม. กรุงเทพมหานคร 50 เขต โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คณะกรรมการบริหารศูนย์ประสานงาน อพม. เขต และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 380 คน เข้าร่วม ณ ห้องปรินซ์บอลรูม 1 - 2 โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติอย่างยั่งยืน ผ่านการทำงานร่วมกันกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ทั่วประเทศ กระทรวง พม. ในฐานะหน่วยงานหลักของภาครัฐในการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคม ได้ดำเนินการส่งเสริม อพม. ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับกระทรวง พม. เพื่อเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ผ่านรูปแบบศูนย์ประสานงาน อพม. เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาเดือดร้อนทางสังคมในชุมชนอย่างทั่วถึง ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้เดินหน้าขับเคลื่อนศูนย์ประสานงาน อพม. อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารศูนย์ประสานงาน อพม. เขต ในกรุงเทพมหานครเสร็จสิ้นครบทั้ง 50 เขต ตามระเบียบกระทรวง พม. เรียบร้อยแล้ว วันนี้ จึงได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนศูนย์ประสานงาน อพม. กรุงเทพมหานคร ประจำปี 2565 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนงานและส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมของศูนย์ประสานงาน อพม. ให้สามารถจัดสวัสดิการสังคมและพัฒนาสังคมในระดับพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. พร้อมให้ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันพัฒนาสังคมและดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมให้ครอบคลุมทุกมิติ ทุกพื้นที่ และทุกช่วงวัย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์ประสานงาน อพม. จะเป็นกำลังสำคัญและเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานด้านอาสาสมัครเชิงบูรณาการระหว่างพื้นที่กับหน่วยงาน โดยเชื่อมประสานร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนที่กระจายในพื้นที่ 50 เขต กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน และพัฒนาตนเองไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เราทำความดีด้วยหัวใจ" จิตอาสาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
"เราทำความดีด้วยหัวใจ" จิตอาสาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62725 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เพิ่มภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ SMEs นำร่องลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สร้างเกราะให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจและใช้ประโยชน์จากประกันภัยเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
คปภ. เพิ่มภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ SMEs นำร่องลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สร้างเกราะให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจและใช้ประโยชน์จากประกันภัยเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดการสัมมนาในหัวข้อ “ประกันภัยถูกทางสร้างเกราะให้ SMEs” เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาในหัวข้อ “ประกันภัยถูกทางสร้างเกราะให้ SMEs” เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต ซึ่งจัดโดยสายกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจด้านประกันภัยเชิงรุกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม หรือ ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ได้เข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ความคุ้มครอง ตลอดจนข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของบุคคลหรือธุรกิจของตนเอง โดยมีการให้ความรู้ในหัวข้อ “การประกันภัยสำหรับธุรกิจ SMEs” ที่เกี่ยวกับหลักการประกันภัย ประเภทการประกันภัยที่จำเป็นต่อธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจด้วยการประกันภัย หลักการที่จำเป็นในการพิจารณาทำประกันภัย รวมถึงกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ในหัวข้อ “ประกันภัยถูกทางสร้างเกราะให้ SMEs” ที่เกี่ยวกับหลักกฎหมายและหลักการประกันภัย โดยมีผู้ประกอบการและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก เช่น หอการค้าไทยจังหวัดภูเก็ตและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอี จังหวัดภูเก็ต สภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับและได้กล่าวขอบคุณที่สำนักงาน คปภ. เลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่เป้าหมายในการให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ผู้ประกอบการ SMEs อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัยต่อการประกอบธุรกิจ เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทย ตกเฉลี่ยปีละ 4- 5 ล้านคน ดังนั้นรายได้หลักของจังหวัดภูเก็ตจึงมาจากธุรกิจการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร บริษัทท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึก นอกจากนี้รายได้ของจังหวัดยังมาจากการค้าส่งและค้าปลีกผลิตภัณฑ์ทางประมง อาทิ ฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ฟาร์มเลี้ยงหอยมุก และการทำเกษตรกรรม โดยพืชพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่ ยางพารา มะพร้าว มะม่วงหิมพานต์ และสับปะรด ซึ่งการประกอบกิจการใด ๆ ก็ตามย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นและส่งผลเสียหายแก่ผู้ประกอบการ ดังนั้นการทำประกันภัยจะเป็นตัวช่วยที่ดีต่อผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต สามารถโอนความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดด้วยการทำประกันภัย ซึ่งจังหวัดภูเก็ตพร้อมให้ความร่วมมือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัยในทุกมิติ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ได้เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่าผู้ประกอบการ SMEs ในทุกประเภทธุรกิจต่างก็มีความเสี่ยงที่หลากหลายและแตกต่างกันไป ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงด้วยการประกันภัยจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ใช้ในการรองรับความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวถึงแม้ธุรกิจในขณะนี้จะมีการฟื้นตัว แต่เนื่องจากกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สายป่านทางธุรกิจไม่ยาว ดังนั้นหากไม่บริหารความเสี่ยงให้ดีแล้วเกิดภัยขึ้นมาก็จะเกิดผลกระทบอย่างมาก สำหรับการทำประกันภัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก กฎหมายกำหนดให้กิจกรรมนั้น ๆ ต้องมีการทำประกันภัยภาคบังคับไว้ มิเช่นนั้นจะเป็นความผิดตามกฎหมาย เช่น ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ มีกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการทำประกันภัยอยู่ในมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัตินำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์การประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทุกรายต้องจัดให้มีประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุให้แก่ นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนให้มีการออกกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยมีเงินเอาประกันภัยกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ ไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาทต่อคน และกรณีบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทต่อคน ทั้งนี้หากผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวไม่จัดให้มีประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดไว้จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท
นอกจากนี้กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ประกอบการ SMEs ประเภทหอพัก ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องจัดให้มีการประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้พัก และประกาศคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดให้มีการประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 โดยสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้มีกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้พักในหอพัก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาประกันภัยได้ตามกฎหมาย ซึ่งมีการกำหนดความคุ้มครองการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง และค่ารักษาพยาบาลของผู้พักอันเป็นผลมาจากหอพักเกิดไฟไหม้หรือระเบิด หรือผู้พักถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายร่างกาย โดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในหอพัก รวมทั้งคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวของผู้พักอันเป็นผลมาจากสถานที่ประกันภัยเกิดไฟไหม้ ระเบิด และหากผู้ประกอบกิจการหอพักผู้ใดไม่ปฏิบัติต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท เป็นต้น
ประเภทที่ 2 เป็นการทำประกันภัยโดยสมัครใจที่นอกเหนือจากการประกันภัยภาคบังคับตามกฎหมายกำหนดให้ ผู้ประกอบการ SMEs ยังมีทางเลือกในการจัดหาประกันภัยเพื่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับกิจการของตนเองได้หลากหลายรูปแบบ คือ การประกันภัยทรัพย์สินซึ่งคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยธรรมชาติ ลมพายุ น้ำท่วมแผ่นดินไหว หรืออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย รวมทั้ง อาจเลือกการประกันภัยสำหรับความเสี่ยงต่อภัยใดภัยหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ประกันอัคคีภัยที่ให้ความคุ้มครองหลักต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัตถุที่เอาประกันภัยจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิดของแก๊สที่ใช้เพื่ออยู่อาศัย โดยอาจมีการเพิ่มเติมความคุ้มครองต่อภัยจากน้ำท่วม ลมพายุ หรือแผ่นดินไหว เป็นต้น นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้สนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันภัยออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยส่วนบุคคล เช่น กรมธรรม์ประกันภัยการเดินทาง กรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยที่หลากหลายขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการโรงแรมหรือที่พักทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ส่วนใหญ่ต้องการทำธุรกิจบนความพึงพอใจและความประทับใจของลูกค้าผู้มาใช้บริการอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อลูกค้าประสบอุบัติเหตุในระหว่างเข้าพักอาศัย หากผู้ประกอบโรงแรมและที่พักอาศัย มีการทำประกันภัยไว้ก็จะทำให้ลูกค้าอุ่นใจและสามารถใช้เป็นเครื่องบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก โดย 5 อันดับแรกคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซีย อินเดีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอังกฤษ ดังนั้นการลงพื้นที่ให้ความรู้ของสำนักงาน คปภ. ในครั้งนี้ จึงถูกที่ถูกเวลาและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ส่วนนายราชันย์ ชาติสุทธิ ผู้จัดการศูนย์กลุ่ม SMEs ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ กล่าวว่า การลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ของสำนักงาน คปภ. ในครั้งนี้ ทำให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจระบบการประกันภัยมากขึ้น และได้รู้จักบทบาทหน้าที่ของผู้ประกอบการบางประเภทที่จะต้องทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความรู้ที่ได้จากการสัมมนาในครั้งนี้ ตนจะนำไปบอกกล่าวและเผยแพร่ให้กับสมาชิกของกลุ่ม SMEs ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด ได้ตระหนักและตื่นตัวต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงทั้งต่อธุรกิจและลูกค้าผู้ที่เข้ามาใช้บริการในมิติต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำนักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อรองรับความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs จากภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือความเสี่ยงต่อความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการเข้ามาติดต่อกับผู้ประกอบกิจการโดยเหมาะสมกับสภาพความเสี่ยงของธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อมที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท และวิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 ล้านบาท หรือที่เรียกว่า กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs Package โดยรวบรวมความคุ้มครองไว้ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการโดยอาจมีความคุ้มครองหลักสำหรับการประกันอัคคีภัยซึ่งอาจรวมถึงภัยเพิ่มเติม หรือการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และขยายความคุ้มครองเพิ่มเติม เช่น การประกันภัยเงินทดแทนการสูญเสียรายได้ ซึ่งให้ความคุ้มครองในกรณีที่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากการประกันภัยในหมวดความคุ้มครองหลัก การประกันภัยโจรกรรมซึ่งให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายต่อทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากการลักทรัพย์ การชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ รวมถึงความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากกรณีดังกล่าว การประกันภัยสำหรับเงิน ซึ่งให้ความคุ้มครองเงินสดขณะอยู่ในสถานที่เอาประกันภัยหรือขณะทำการขนส่งจากการลักทรัพย์ การชิงทรัพย์ หรือการปล้นทรัพย์ การประกันภัยสำหรับกระจก การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยอุบัติเหตุหรือ การประกันภัยสุขภาพสำหรับพนักงาน การประกันภัยป้ายโฆษณาซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายของป้ายโฆษณาและความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจากป้ายโฆษณา หรือ การประกันภัยเครื่องจักร เป็นต้น
“การประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยง การประกันภัยจึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหากทุกท่านได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยแล้ว ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับธุรกิจของท่านและอาจรวมถึงตัวท่านและครอบครัวของท่านด้วย ทั้งนี้หากทำประกันภัยแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม สำนักงาน คปภ. ก็มีหน่วยงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก และสำนักงาน คปภ. ภาคทั้ง 9 ภาค และสำนักงาน คปภ.จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริการแต่อย่างใด ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62712 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ นราธิวาส นำพี่น้องชาวสุไหงโก-ลก สืบสานพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดกิจกรรมวันดินโลก ประจำปี พ.ศ. 2565 “Soils : Where Food Begins อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน” | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
ผู้ว่าฯ นราธิวาส นำพี่น้องชาวสุไหงโก-ลก สืบสานพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดกิจกรรมวันดินโลก ประจำปี พ.ศ. 2565 “Soils : Where Food Begins อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน”
ผู้ว่าฯ นราธิวาส นำพี่น้องชาวสุไหงโก-ลก สืบสานพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดกิจกรรมวันดินโลก ประจำปี พ.ศ. 2565 “Soils : Where Food Begins อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน” สร้างการเรียนรู้ สร้างความตระหนักในคุณค่าและการอนุรักษ์ดินอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 65 นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า จังหวัดนราธิวาส โดยอำเภอสุไหงโก-ลก ได้จัดกิจกรรมวันดินโลก (World Soil Day) ประจำปี พ.ศ. 2565 ภายใต้แนวคิดหลัก “Soils : Where Food Begins อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน” ในงานสืบสานวัฒนธรรมอนุรักษ์ข้าวพันธุ์พื้นเมืองและงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ (Field day) ที่แปลงนาสาธิตบ้านโคกกลาง หมู่ที่ 3 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายจตุรงค์ พรหมวิจิต เกษตรจังหวัดนราธิวาส นางทัดทรวง บุญธรรม ประชาสัมพันธ์จังหวัดนราธิวาส นายอนิรุทร บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงโก-ลก ตำตำรวจ รูสลาม อาแว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมูโนะ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร ยุวเกษตรกรโรงเรียนบ้านมูโนะ นักเรียน และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมกิจกรรม
นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ตามที่สหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็น “วันดินโลก” (World Soil Day) เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร ตลอดจนถึงการกระตุ้นให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึกที่ดีในการรักษาทรัพยากรดิน และเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนกิจกรรมการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับดินและการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของดิน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรม
“การจัดกิจกรรมวันดินโลก ประจำปี พ.ศ. 2565 ในงานสืบสานวัฒนธรรมอนุรักษ์ข้าวพันธุ์พื้นเมืองและงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ (Field day) ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่พี่น้องประชาชนชาวนราธิวาส ได้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีชีวิตการผลิตข้าวพันธุ์พื้นเมือง (ซีบูกันตัง) ของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งข้าวซีบูกันตังเป็นข้าวที่นิยมปลูกและนิยมบริโภคในพื้นที่ภาคใต้ เป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมจากโครงการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเขตพื้นที่ภาคใต้อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้งยังได้ร่วมกันสร้างกระบวนการเรียนรู้การทำนา โดยการอบรมและการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านสถานีการถ่ายทอดความรู้ 6 สถานี ในพื้นที่ 30 แปลง จำนวน 380 ไร่ ประกอบด้วย 1) สถานีบัญชีครัวเรือน 2) สถานีคลินิกพืช 3) สถานีปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ และลดต้นทุนการผลิต 4) สถานีสัตว์บาลและการสุขาภิบาลสัตว์ 5) สถานีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ 6) สถานีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ให้ยุวเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักในความสำคัญของทรัพยากรดินและการจัดการดินอย่างยั่งยืน นำความรู้ไปต่อยอด สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ เพิ่มความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ผวจ.นราธิวาส กล่าว
นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชน มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งเสริมให้ทุกจังหวัดและอำเภอได้น้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ผ่านโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา และการน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีความปลอดภัย และเพียงพอต่อการบริโภค ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่ “แหล่งกักเก็บน้ำและดิน” ที่ต้องมีความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากสารเคมี รวมไปถึงการขับเคลื่อนโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน โดยมุ่งเน้นเรื่องการจัดการขยะ ส่งเสริมการคัดแยกขยะครัวเรือน ลดการปนเปื้อนขยะเปียกกับของเหลือใช้ เพื่อทำปุ๋ยหมักจากขยะ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน และที่สำคัญที่สุดคือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของโลกร้อนในปัจจุบัน
“การสร้างความตระหนักในทรัพยากรดิน จะก่อให้เกิดความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารให้แก่ประชากรโลก เพราะดิน คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ รวมถึงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี ส่งผลให้เกิดผลผลิตที่ดี (Better Production) ทำให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition) และพื้นดินจะมีความร่มเย็นชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment) และที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดี (Better Life) คือ มีชีวิตที่ดี นำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรและประชาชน เพื่อสร้างสิ่งที่ดี Change for Good ด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่คนในชุมชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสอย่างยั่งยืน สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ” ผวจ.นราธิวาส กล่าวทิ้งท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62733 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบรางวัล U Power Digital Leda Challenge Season 6 | วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565
มอบรางวัล U Power Digital Leda Challenge Season 6
มอบรางวัล U Power Digital Leda Challenge Season 6
(วันนี้) 15ธ.ค.65 -นางสาวกรรวีสิทธิชีวภาคผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมมอบรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับ1ให้แก่ผู้เข้าแข่งขันในโครงการU Power Digital Leda Challenge Season 6ในงานThe Winner Awardsซึ่งจัดโดยสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย(DUGA)ณโรงแรมเบอร์เคลีย์ประตูน้ำกรุงเทพฯ
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62710 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ฟิต เตรียมลุยสงขลา ช่วยคลายทุกข์ประชาชนแบบใกล้ชิด สานต่อเจตนารมณ์นายกฯ ทำงานเชิงรุก เพื่อแก้ปัญหาอย่างถูกจุดและรวดเร็ว | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
“ธนกร” ฟิต เตรียมลุยสงขลา ช่วยคลายทุกข์ประชาชนแบบใกล้ชิด สานต่อเจตนารมณ์นายกฯ ทำงานเชิงรุก เพื่อแก้ปัญหาอย่างถูกจุดและรวดเร็ว
“ธนกร” ฟิต เตรียมลุยสงขลา ช่วยคลายทุกข์ประชาชนแบบใกล้ชิด สานต่อเจตนารมณ์นายกฯ ทำงานเชิงรุก เพื่อแก้ปัญหาอย่างถูกจุดและรวดเร็ว
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางไปตรวจราชการ ที่จังหวัดสงขลา ในวันที่ 17 ธันวาคม 2565 ที่ชุมชนสถานีอู่ตะเภา (เขตนครหาดใหญ่) อ่างเก็บน้ำพรุพลีควาย และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด-กระแสสินธุ์ (ชลประทานแก้มลิง) ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการตรวจราชการแล้ว ยังเป็นการรับฟังข้อคิดเห็นและเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด รวมทั้งติดตามความพร้อมในการรับมือสถานการณ์อุทกภัย โดยจะมอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง
“การลงพื้นที่ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากผมเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (9-10 ธันวาคม 2565) ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการและติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม และได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี สะท้อนถึงเสียงตอบรับผลงานการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากรัฐบาลเน้นแก้ปัญหาและทำงานในเชิงรุก ทำให้ได้รับทราบความต้องการและแนวทางที่อยากให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือจากประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อประสานเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุดและรวดเร็ว” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62727 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือเอกชน พัฒนาทักษะดิจิทัลแรงงาน | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ก.แรงงาน จับมือเอกชน พัฒนาทักษะดิจิทัลแรงงาน
กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือมูลนิธิเพื่อการพัฒนาดิจิทัล และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย คิดค้นพัฒนาหลักสูตรอุตสาหกรรมดิจิทัล อบรมผ่านแพลตฟอร์ม DSD Online Training
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่าย ติวครูสู่โค้ช ปั้นเด็กรุ่นใหม่ให้สมบูรณ์พร้อม เป็นอนาคตประเทศ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
พม. จับมือเครือข่าย ติวครูสู่โค้ช ปั้นเด็กรุ่นใหม่ให้สมบูรณ์พร้อม เป็นอนาคตประเทศ
พม. จับมือเครือข่าย ติวครูสู่โค้ช ปั้นเด็กรุ่นใหม่ให้สมบูรณ์พร้อม เป็นอนาคตประเทศ
วันที่ 15 ธันวาคม 2565 ที่ห้องประชุมขวัญมณฑล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า วันนี้ ตนมาเป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร ครู โค้ช คน เข้าใจตนโค้ชคนเพื่ออนาคตรุ่นที่ 1 สำหรับครูประถมศึกษา เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อประมาณ 2 ปี ที่มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และตน หาครูสู่โค้ชในขั้นต้นอย่างน้อย 20,000 คนทั่วประเทศ อย่างมีคุณภาพและเร็วที่สุด ซึ่งวันนี้ เกิดการอบรมหลักสูตรนี้ โดยครูทุกท่านมาอบรมด้วยใจจริงและจิตวิญญาณของความเป็นครูที่นอกเหนือจากหน้าที่ เป็นครูผู้ให้ที่มีความห่วงใยและปรารถนาดีต่ออนาคตของเด็ก
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในขณะที่ครูยังประสบปัญหาต่างๆ และต้องทำให้ลูกศิษย์ของตนพร้อมในการมีที่ยืนในจุดที่ควรได้รับการพัฒนา ซึ่งตัวเลขทางสังคมพบว่า เด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมีถึง 3.5 ล้านคน เด็กที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน ปีละ 60,000 คน และวัยรุ่นที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวประมาณ 5 แสนคน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงอยากทำโรงเรียนสอนผู้ปกครองว่าเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ และเรากำลังจะทำให้เด็กส่วนใหญ่ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เห็นอนาคตประเทศไทยที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยครูทุกท่านจะเป็นคนทำให้เกิดขึ้นจริง
นายจุติ กล่าวต่อไปอีกว่า ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า วันนี้ เด็กอายุ 5 - 6 ขวบ มีมิติการรับรู้เท่ากับเด็กอายุ 11 - 12 ปี เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ส่วนผลวิจัยของประเทศญี่ปุ่น พบว่า ถ้าไม่ฝึกฝนเด็กตั้งแต่อนุบาลเข้าประถมศึกษา ก็จะสายเกินไป ฉะนั้น ไม้อ่อนดัดง่ายเป็นจริงที่สุด ในขณะที่ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 55,000 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเตรียมเด็กให้พร้อม ให้สมบูรณ์ ซึ่งเราต้องดูแลฟูมฟักเด็กตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้นให้รอดพ้นจากสิ่งไม่ดีและอบายมุขต่างๆ ดังนั้น หลักสูตรนี้จึงจำเป็นและสำคัญต่อการอยู่รอดของอนาคตประเทศ โดยจะเป็นอาวุธที่แหลมคมทำลายปัญหาวงจรความยากจนข้ามรุ่น และปัญหาสังคมต่างๆ เพราะครูคือโค้ช ซึ่งสถิติทางการแพทย์พบว่า เด็กช่วงอายุ 9 - 13 ขวบ จะเชื่อฟังโค้ชกีฬาและเพื่อนมากกว่าพ่อแม่
นายจุติ กล่าวต่อไปอีกว่า ตนขอขอบคุณครูทั้ง 60 ท่านที่มาร่วมอบรมหลักสูตรนี้ ซึ่งท่านมาด้วยใจ โดยเราจะเติมอาวุธและเครื่องมือ เพื่อให้ท่านครบในการช่วยเหลือลูกหลานตนเอง โดยใช้ไดอารี่เล่มนี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำงานที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อว่าเราจะทำได้ทั้งเรื่องของตารางเวลา สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่ต้องทบทวน และเป้าหมายในชีวิต เป็นต้น ถือเป็นโค้ชของนักเรียน ซึ่งต่อไปเราจะแจกให้กับนักเรียนของเรา ขณะนี้ กรมกิจการเด็กฯ ได้ดำเนินการอย่างคู่ขนาน โดยเราต้องทำให้เด็ก 1 คน มีศักยภาพที่ต้องเตรียมพร้อมในศตวรรษที่ 21 ฉะนั้น สิ่งที่ครูให้เด็กไม่ใช่เพียงการท่องจำ แต่เด็กต้องคิดเป็นและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สูงมาก ซึ่งเราต้องพัฒนาทุนมนุษย์ด้วย 7 Q (Quotient) หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ ครูสู่โค้ช จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และต้องอาศัยคุณหมอที่รู้ถึงวิวัฒนาการของเด็กในช่วงวัยต่างๆ รวมทั้งพ่อแม่ที่เข้าใจลูกในช่วงวัยต่างๆ อีกด้วย เพื่อให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงได้สูงมาก ส่งผลให้มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ เพื่อความสามารถในการอยู่รอดได้
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ตนมาหาทุกท่านในฐานะผู้บริหารที่เป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีที่รับทราบปัญหาของประชาชน และได้รับโจทย์จากนายกรัฐมนตรี โดยโฟกัสที่ปัญหาสังคม ซึ่งวันนี้ปัญหามากมายอยู่ที่เด็ก และมีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ เราต้องช่วยกันทำให้พ่อแม่ได้ยินลูกและกล่อมเกลาเลี้ยงดูลูกให้เป็นเด็กที่มีอิสระอย่างมีกรอบ และต้องช่วยกันจัดการกับคนที่มาแสวงหาประโยชน์กับเด็ก ซึ่งเด็กได้ยินสิ่งที่เราทำ แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูดอย่างทำอย่าง และเราติวหนังสือให้เด็กแค่สอบผ่าน แต่เราไม่ได้ทำให้เป็นเด็กที่มีความรู้รอบด้านและเป็นเด็กที่ สมบูรณ์พร้อม ทั้งนี้ ทุกท่านจะเป็นครูสู่โค้ชที่ปั้นคนให้เป็นคนที่สังคมไทยต้องการ โดยเรามาทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตของประเทศที่เราสามารถฝากไว้กับคนรุ่นหลังได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62720 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-MDES นำคณะผู้บริหารฯ ลงนามถวายพระพร 'เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ' | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
MDES นำคณะผู้บริหารฯ ลงนามถวายพระพร 'เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ'
MDES นำคณะผู้บริหารฯ ลงนามถวายพระพร 'เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ'
วันนี้ (16 ธ.ค. 2565) - ศ. พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำแจกันดอกไม้ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย รวมทั้งลงนามถวายพระพรเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ณ ชั้น 1 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
***************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62723 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนเยือนถิ่นอีสาน ชุมชนยลวิถี “บ้านถ้ำกลองเพล” จ.หนองบัวลำภู | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
วธ.ชวนเยือนถิ่นอีสาน ชุมชนยลวิถี “บ้านถ้ำกลองเพล” จ.หนองบัวลำภู
วธ.ชวนเยือนถิ่นอีสาน ชุมชนยลวิถี “บ้านถ้ำกลองเพล” จ.หนองบัวลำภู ตักบาตรบนถนนสายวัฒนธรรม ชมโบสถ์หินธรรมชาติ สักการะเจดีย์หลวงปู่บุญเพ็ง ดูดาวบนดิน เช็คอิน “ภูพานน้อย” ชมวิวเมือง ศึกษาหอยหินโบราณ 150 ล้านปียุคจูราสิค ช้อปของฝากจากชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ
วธ.ชวนเยือนถิ่นอีสาน ชุมชนยลวิถี “บ้านถ้ำกลองเพล” จ.หนองบัวลำภู ตักบาตรบนถนนสายวัฒนธรรม ชมโบสถ์หินธรรมชาติ สักการะเจดีย์หลวงปู่บุญเพ็ง ดูดาวบนดิน เช็คอิน “ภูพานน้อย” ชมวิวเมือง ศึกษาหอยหินโบราณ150ล้านปียุคจูราสิค ช้อปของฝากจากชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ สร้างงานแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
วันที่12ธันวาคม2565นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดป้าย “สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี2565”ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็น1ใน10สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ประจำปี2565ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมีนายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู หัวหน้าส่วนราชการวัฒนธรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ20จังหวัด ผู้บริหาร ข้าราชการ ผู้นชุมชนและชาวชุมชนคุณธรรมฯ วัดถ้ำกลองเพล เข้าร่วม ณ บริเวณศาลาทรงงาน ชุมชนคุณธรรมบ้านถ้ำกลองเพล ภายในงานมีกิจกรรมต้อนรับผู้ร่วมงานด้วยการแสดงรำอวยพรและรำเซิ้งหนองบัวลำภู จากชุมชนฯ บ้านถ้ำกลองเพล การแสดงคีตะมวยไทย จากเยาวชนจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมเปิดชุมชนอย่างเป็นทางการด้วยการเปิดแพรคลุมป้ายประกอบการตีกลองเพลอันเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน ชมการสาธิตภูมิปัญญาการทอผ้าผลิตภัณฑ์จากผ้าทอ การทำอาหารและขนมพื้นบ้าน การทำกาแฟของดีจังหวัดหนองบัวลำภู การทำเครื่องประดับทองโบราณ ผ้าอัตลักษณ์จังหวัดหนองบัวลำภู และผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT)ของจังหวัดหนองบัวลำภู และแวะชมผลิตผลจากแปลงเกษตรอินทรีย์ นอกจากนี้ ในโอกาสดังกล่าว ปลัดวธ. ยังได้ร่วมพิธีเปิดแพรคลุมป้าย บ้านศิลป์ผ้าถิ่นไทย ขวัญตา พร้อมเดินชมพิพิธภัณฑ์ผ้าทอ สาธิตการย้อมฝ้าย สาธิตการทำผ้าย้อมสีใบไม้ (Eco-Print)และผลิตภัณฑ์จากผ้าทอในร้านขวัญตา
ปลัด วธ. กล่าวว่า การเปิดตัวสุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านบ้านถ้ำกลองเพล ถือเป็นการขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปี2566เศรษฐกิจใหม่BCGตามนโยบายของรัฐบาล โดยนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ (Creative Culture)เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และบริการทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างงาน ปรับบทบาทจากกระทรวงสังคม สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ ตามนโยบาย “เปลี่ยนฉากทัศน์วัฒนธรรม สู่ก้าวที่มั่นคงและยั่งยืน” โดยนำงานวัฒนธรรมตอบโจทย์สถานการณ์โลกในยุคหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)โดยความโดดเด่นของชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพลนั้น ถือเป็นตัวอย่างการขับเคลื่อนงานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเข้มแข็งภายใต้พลัง บวร บ้าน วัด โรงเรียน ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน สถาบันการศึกษาในจังหวัดและต่างจังหวัด ซึ่งสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมรูปแบบการท่องเที่ยววิถีใหม่ สไตล์New Normal
“ชาวบ้านบ้านถ้ำกลองเพล มีวิถีชีวิตที่น่าสนใจแตกต่างจากชุมชนอื่น มีหลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ผู้เฒ่าผู้แก่ คนวัยหนุ่มสาว ตลอดจนเด็กและเยาวชน ร่วมตักบาตรทุกเช้าจนเป็นกิจวัตรประจำวัน บนถนนสายวัฒนธรรมวัดถ้ำกลองเพล แต่งกายด้วยผ้ามัดหมี่ ผ้าโสร่ง เสื้อม่อฮ่อมพื้นถิ่น พูดภาษาอีสานเป็นส่วนใหญ่ มีเกษตรอินทรีย์ และแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นให้มาแวะชมและเข้าถึงวิถีชีวิตชุมชนมากขึ้น เช่น ชมโบสถ์หินธรรมชาติ สักการะเจดีย์หลวงปู่บุญเพ็ง ณ วัดถ้ำกลองเพล ดูดาวบนดิน เช็คอิน “ภูพานน้อย” สัมผัสธรรมชาติ ชมวิวเมืองหนองบัวลำภู เรียนรู้วิธีการย้อมสี ทอผ้า จากศูนย์ศิลปาชีพ แวะพิพิธภัณฑ์หอยหินโบราณ150ล้านปี และซากฟอสซิลไดโนเสาร์ ยุคจูราสสิคตอนปลาย ตลอดจนเที่ยวชม ช้อป อุดหนุนผลิตภัณฑ์จากชุมชน ณ ลานค้าชุมชนห้วยเดื่อ นับได้ว่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนบ้านถ้ำกลองเพล สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงการท่องเที่ยววิถีชุมชนได้อย่างครบวงจร กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายเงินหมุนเวียนสู่เศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น สร้างรายได้ สร้างงานแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน” ปลัดกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62740 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” สนับสนุนคนไทยออมเงิน ออกเงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน ดอกเบี้ยคงที่ 1.8% ต่อปี เปิดรับฝากถึง 31 ธ.ค.65 นี้ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
“กรุงไทย” สนับสนุนคนไทยออมเงิน ออกเงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน ดอกเบี้ยคงที่ 1.8% ต่อปี เปิดรับฝากถึง 31 ธ.ค.65 นี้
ธนาคารกรุงไทยออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ย 1.8% ต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับผู้ฝากเงิน และสนับสนุนให้คนไทยมีวินัยในการออม เสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นทุกมิติ ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” ตระหนักถึงผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า จึงได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ย 1.8% ต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับผู้ฝากเงิน และสนับสนุนให้คนไทยมีวินัยในการออม เสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกการออมและการลงทุนให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ ในภาวะที่สินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ทั้งนี้ เงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน สำหรับบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย นิติบุคคลไม่แสวงหากำไร มูลนิธิ วัด เงินศาสนสมบัติกลาง ศาล ศาลเจ้า สำนักปฏิบัติธรรม โบสถ์ มัสยิด (105) สถานศึกษาของเอกชน องค์กรสาธารณกุศลต่าง ๆ เปิดบัญชีขั้นต่ำ 50,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน เปิดรับฝากถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ที่สาขาธนาคารทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่สาขาธนาคารทั่วประเทศ หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62716 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้าน มท. ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้าน มท. ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
ปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาทรงพระประชวร ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 07.30 น. ที่อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาทรงพระประชวร และลงนามถวายพระพร ขอทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
จากนั้น ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำอุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ประกอบด้วย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิรวรรณ เพ็ญพาส นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ และคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาทรงพระประชวร และลงนามถวายพระพร ขอทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงมีพระปณิธานที่มุ่งมั่น แน่วแน่ ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน และพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด บนฐานของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยทรงตรากตรำพระวรกาย ทุ่มเทอุทิศพระองค์ ปฏิบัติบำเพ็ญพระกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม รวมถึงผู้ต้องขัง โดยได้น้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปเป็นแนวทางในการดำเนินงาน “ไตรโครงการ” อันประกอบด้วย “โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ฯ” ด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับบริการทางการแพทย์ และสาธารณสุขเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป ตามหลักมนุษยธรรม รวมไปถึงการน้อมนำพระบรมราโชบายที่จะให้อนุรักษ์ป่าและช้าง และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนและช้างอย่างมีสุข ผ่าน “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” และ “โครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาชุมชน ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี)” สนองพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชปณิธานสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นพื้นที่มรดกโลกของประเทศไทยที่ได้รับการดูแลรักษา คนอยู่กับป่าอย่างสมดุล และรักษาต้นน้ำ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน อีกทั้งทรงรับเป็นประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ภัยพิบัติที่รุนแรงให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตอย่างปกติสุขสนับสนุนให้ผู้ทุกข์ยากน้อยกว่า ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากมากกว่า ผู้ที่แข็งแรงช่วยผู้อ่อนแอ ภายใต้แนวคิด "แบ่งปัน พอเพียง ยั่งยืน"
"วันนี้ ตนพร้อมด้วยนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ที่มาร่วมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพร ในวันนี้ จึงขอเป็นตัวแทนของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทยทุกคน รวมถึงภาคีเครือข่ายการทำงานของกระทรวงมหาดไทยทุกพื้นที่ ถวายพระพรแทบเบื้องพระบาท ด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดจงอภิบาลบันดาลดลให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน สถิตเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทย ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันทำสิ่งที่ดีเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา และร่วมเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาร่วมกับคณะสงฆ์ทุกพระอารามทั่วประเทศ ต่อจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น รวมทั้งการปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62736 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กวช.เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในมิติทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม ยกระดับสถานะของงานวัฒนธรรม | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
กวช.เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในมิติทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม ยกระดับสถานะของงานวัฒนธรรม
กวช.เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในมิติทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม ยกระดับสถานะของงานวัฒนธรรม สร้างรายได้และคุณค่าทางสังคม สร้างภาพลักษณ์และความร่วมมือของผู้คนในประชาคมโลก
กวช.เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในมิติทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม ยกระดับสถานะของงานวัฒนธรรม สร้างรายได้และคุณค่าทางสังคม สร้างภาพลักษณ์และความร่วมมือของผู้คนในประชาคมโลก
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ครั้งที่ 7/2565 เห็น
ชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองประธานกรรมการ และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นกรรมการ เพื่อกำกับนโยบาย กำหนดเป้าหมายและวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา Soft Power เพื่อส่งเสริมการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไปสู่นานาประเทศ และสนับสนุนกลไกขับเคลื่อน ปัจจัยเอื้ออำนวยการพัฒนา Soft Power รวมถึงการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติตามอำนาจ หน้าที่ และภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power ซึ่งรัฐบาลได้ยกให้เป็นปัจจัยสำคัญเร่งด่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) อย่างต่อเนื่องให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ในแนวทางที่สอดรับกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการในมิติทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับสถานะของงานวัฒนธรรม สร้างรายได้และคุณค่าทางสังคม และสร้างภาพลักษณ์และความร่วมมือของผู้คนในประชาคมโลกบนพื้นฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมทั้งเน้นย้ำประเด็นวัฒนธรรมในฐานะหนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Soft Power ได้รับการสนับสนุนเป็นการเฉพาะ โดยบูรณาการองค์ความรู้ในลักษณะข้ามสาขา (Cross-cutting) เพื่อหล่อเลี้ยงและส่งเสริมความเข้มแข็งของ Soft Power ในภาพรวม
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม จะมีการจัดทำแผนการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติทางวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งได้แก่ การกำหนดจุดยืนด้าน Soft Power ของประเทศไทย (Thailand’s Soft Power Positioning) การสังเคราะห์ “แบรนด์” ประเทศไทย (Nation Branding) และการกำหนดเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ บนฐานข้อมูลเชิงสังคมและเศรษฐกิจที่จำเป็น อาทิ การถอดรหัสอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเฟ้นหา ทุนทางวัฒนธรรมใหม่ ๆ การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน Soft Power อย่างยั่งยืน การจัดทำนโยบายและมาตรการใหม่ ๆ ที่ยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคศิลปวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล การจัดทำและพัฒนาสถิติ ดัชนี ตัวชี้วัดด้านวัฒนธรรม ทั้งในมิติสังคมและมิติเศรษฐกิจให้มีมาตรฐาน กำกับ ติดตาม และประเมินประสิทธิภาพของการนำแผนและนโยบายไปปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติวัฒนธรรมของประเทศ และสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580 ) และแผนที่เกี่ยวข้องทุกระดับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62739 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thai tourism industry’s V-shaped rebound reflects Government’s successful implementation of tourism measures | วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
16/12/2565
Thai tourism industry’s V-shaped rebound reflects Government’s successful implementation of tourism measures
Thai tourism industry’s V-shaped rebound reflects Government’s successful implementation of tourism measures
December 15, 2022, Deputy Government Spokesperson Tipanan Sirichana disclosed about the success of Phuket Sandbox scheme, initiated by Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, which has ultimately led to complete reopening of Thailand to foreign travelers. Coupling with effective public health measures and cooperation of all the Thai people and authorities concerned, the country’s economy has now been in recovery. Tourism sector, in particular, saw a V-shaped rebound and was rapidly recovered. Number of foreign travelers visiting the country has just reached its mark of 10 million on December 10, 2022.
Tourism sector rebound has resulted in considerable increase of revenues. During the first 10 months of 2022 (January – October), top 10 provinces that gained the highest revenues from tourism activities are: 1) Phuket (127,927 million Baht); 2) Chonburi (13,283 million Baht); 3) Surat Thani (7,586 million Baht); 4) Chiang Mai (4,246 million Baht); 5) Songkhla (3,602 million Baht); 6) Phang-nga (2,582 million Baht); 7) Chiang Rai (1,585 million Baht); 8) Krabi (1,408 million Baht); 9) Prachuab Kirikhan (854 million Baht); and 10) Nong Khai (526 million Baht).
Top 10 provinces that were most visited by foreign tourists during January and October 2022 are: 1) Phuket (2,329,894 persons); 2) Chonburi (975,026 persons); 3) Surat Thani (606,812 persons); 4) Songkhla (581,808 persons); 5) Chiang Mai (496,111 persons); 6) Samut Prakarn (321,390 persons); 7) Phang-nga (317,353 persons); 8) Prachuab Kirikhan (231,243 persons); 9) Krabi (217,526 persons); and 10) Nong Khai (148,683 persons).
Country wise, the most number of tourists entering Thailand during January and October 2022 are: 1) Malaysia (1,291,381 persons); 2) India (698,757 persons); 3) Singapore (381,940 persons); 4) Lao PDR (345,709 persons); 5) Vietnam (340,670 persons); 6) South Korea (316,240 persons); 7) United Kingdom (291,753 persons); 8) U.S. (283,211 persons); 9) Cambodia (252,862 persons); and 10) Germany (235,596 persons).
According to the Deputy Government Spokesperson, the public is well aware of the Government’s successful implementation of tourism stimulus measures, in accordance with the policy handed down by the Prime Minister. Other measures, aside from “Phuket Sandbox”, are foreigners’ extension of stay in the Kingdom, and promotion of foreign filming in Thailand, etc. These measures have bolstered tourism and related businesses, resulting in sharp increase in profits and revenues, income distribution to all areas across the country, and rapid growth of domestic economy.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62728 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.