title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ ผลิตนักสื่อสารคนรุ่นใหม่ Young Smart PR รุ่นแรกของประเทศ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ ผลิตนักสื่อสารคนรุ่นใหม่ Young Smart PR รุ่นแรกของประเทศ
พม. จับมือกรมประชาสัมพันธ์ ผลิตนักสื่อสารคนรุ่นใหม่ Young Smart PR รุ่นแรกของประเทศ
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเยาวชนหลักสูตร Young Smart PR ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พร้อมทั้งพบปะพูดคุยกับเครือข่ายคณะทำงานด้านเด็กและเยาวชนในกิจกรรม "Uncle Talk คุยกับลุงไก่" โดยมี นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวง พม. นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นางสุดฤทัย เลิศเกษม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ และผู้แทนหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติ กล่าวว่า โครงการฝึกอบรมเยาวชนหลักสูตร Young Smart PR ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่จังหวัดพิษณุโลก นับเป็นโครงการนำร่องรุ่นแรกของประเทศ โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยสำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งถือเป็นช่วงวัยที่ต้องได้รับการบ่มเพาะให้เป็นอนาคตที่ดีในการพัฒนาประเทศ ด้วยการฝึกอบรมให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ ความเข้าใจการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อทุกรูปแบบ รวมถึงสามารถออกแบบสื่อสร้างสรรค์ อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ เพื่อนำผลการดำเนินงานไปประชาสัมพันธ์ขยายผลต่อในพื้นที่อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และครบถ้วน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เด็กและเยาวชนที่เข้าอบรมตลอดเดือนธันวาคมนี้ จะได้ฝึกทักษะ ความรู้ เพื่อสร้างความมั่นใจ การรักษาสติ ทำให้มีความสามารถเฉพาะตัวในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นับเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักสื่อสารที่ดี อีกทั้งมีจริยธรรมในการนำเสนอความจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ และขอให้นำไปปรับใช้ในอาชีพในอนาคตด้วยการบริหารความประทับใจครั้งแรก เมื่อเราสร้างความน่าเชื่อถือความเชื่อมั่นได้แล้ว เราจะต้องปกป้องชื่อเสียงและมาตรฐานเกียรติคุณในฐานะที่เป็นนักสื่อสารมืออาชีพ ซึ่งตนเชื่อว่านักสื่อสารเป็นหัวใจของสังคม ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวจะสามารถผลิตนักสื่อสารมืออาชีพที่มีคุณธรรมและจริยธรรมที่ดี และเชื่อว่าเด็กและเยาวชนที่ผ่านการอบรมครั้งนี้ จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีออกไปสู่สังคมได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชน และสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดนุช ตันเทอดทิตย์" เยี่ยมชม ศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ (FIN) จ.เชียงใหม่ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
“ดนุช ตันเทอดทิตย์" เยี่ยมชม ศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ (FIN) จ.เชียงใหม่
“ดนุช ตันเทอดทิตย์" เยี่ยมชม ศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ (FIN) จ.เชียงใหม่
(4 พ.ย. 65) ที่ จ.เชียงใหม่ - ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และคณะ เข้าเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ หรือ Food Innovation and Packaging Center (FIN) ณ อาคารสำนักงาน คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โอกาสนี้ ท่านดนุช ได้ร่วมรับฟังผลการดำเนินโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งมหาวิทยาลัย หรือ U2T ที่ทาง FIN ได้รับผิดชอบในหลายตำบลของเชียงใหม่ พร้อมร่วมพูดคุยถึงผลสัมฤทธิ์ ผลกระทบ และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงโครงการ U2T ในโอกาสต่อไป จากนั้นได้ร่วมรับฟังการบรรยายสรุปถึงภาพรวมของการทำงานและภารกิจของ FIN และเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ผลงานการพัฒนาต่างๆ บริเวณอาคารสำนักงานฯ โดยมี รศ.ดร.ยุทธนา พิมลศิริผล ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ และคณะผู้บริหารร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางจําหน่ายนม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 0.31 บาท/ถุง/กล่อง สอดคล้องกับแนวทางการปรับราคานมพาณิชย์ ของกรมการค้าภายใน | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม. อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางจําหน่ายนม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 0.31 บาท/ถุง/กล่อง สอดคล้องกับแนวทางการปรับราคานมพาณิชย์ ของกรมการค้าภายใน
ครม. อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางจําหน่ายนม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 0.31 บาท/ถุง/กล่อง สอดคล้องกับแนวทางการปรับราคานมพาณิชย์ ของกรมการค้าภายใน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (6 ธันวาคม 2565) อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจําหน่าย ผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ 0.31 บาท โดย มีผลตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติอนุมัติเป็นต้นไป ดังนี้
-นมโรงเรียนชนิดพาสเจอร์ไรส์ ราคากลางเดิม 6.58 บาท/ถุง ราคากลางใหม่ 6.89 บาท/ถุง
-นมโรงเรียนชนิด ยู เอช ที ราคากลางเดิม 7.82 บาท/กล่อง ราคากลางใหม่ 8.13 บาท/กล่อง
สําหรับการปรับเพิ่มราคากลางในการจําหน่ายนมโรงเรียนถุงหรือกล่องละ 0.31 บาท ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมติ ครม.ก่อนหน้านี้ (23 ส.ค. 2565) ปรับราคารับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น 1.5 บาท /กก. ตามต้นทุนการผลิตน้ำนมโคที่เพิ่มขึ้นจากค่าอาหารสัตว์ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก และวิกฤตพลังงานสืบเนื่องจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน ส่งผลให้ต้นทุน การผลิตนมโรงเรียนในส่วนของค่าน้ำนมโคเพิ่มขึ้น โดยการคํานวณราคากลางนมโรงเรียนใหม่ยังสอดคล้องกับแนวทางการอนุญาตปรับราคานมพาณิชย์ ของกรมการค้าภายในที่อนุญาตให้ปรับราคาเฉพาะต้นทุนน้ำนมดิบน้ำนมโค 1 กก. สามารถนําไปผลิตนมโรงเรียนได้ประมาณ 5 ถุง/กล่อง (ปริมาณ 200 กก. /ถุง/กล่อง ต้นทุนการผลิตนมโรงเรียนเพิ่มขึ้นประมาณ 0.31 บาท ถุง/กล่อง) ทั้งนี้ มติคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนได้เห็นชอบการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนดังกล่าวแล้ว และสําหรับ ภาคเรียนที่ 2/65 (เดือน พ.ย. 65 - มี.ค. 66) และภาคเรียนที่ 1/66 (เดือน พ.ค. 66 - ก.ย. 66)
ในกรณีที่มีการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียน ในส่วนงบประมาณ สำหรับโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน สำหรับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำนักปลัด กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา จะมีภาระงบประมาณในปี 2566 เพิ่มขึ้นภาพรวม 301,539,100 บาท ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งว่า การปรับเพิ่มราคากลางจําหน่ายนมโรงเรียนดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดซื้อนมโรงเรียนในส่วนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (เช่น ศูนย์เด็กเล็ก ) โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และโรงเรียนเอกชน ยังมีงบประมาณเพียงพอสําหรับบริหารจัดการ จําหน่ายนมโรงเรียนในครั้งนี้ เนื่องจากมีจํานวนนักเรียนน้อยกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงขอตั้งงบประมาณปี 2566 ยกเว้น โรงเรียนในสังกัด กทม. และเมืองพัทยา ที่มีกรอบงบประมาณ ไม่เพียงพอ คณรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้หน่วยงานภายใต้ ปรับแผนปฏิบัติการหรือใช้งบประมาณของหน่วยงานมาดำเนินการก่อน หากยังไม่ เพียงพอ จึงให้เสนอของบกลางจากสำนักงบประมาณต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เป็นนโยบายของรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2535เพื่อแก้ปัญหาขาดสารอาหารในเด็กวัยเรียนและสนับสนุน อุตสาหกรรมโคนมไทย โดยใช้น้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศในการผลิต ซึ่งปัจจุบันโครงการฯครอบคลุมนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษา และจัดสรรนมโรงเรียนให้นักเรียนเป็นเวลา 260 วัน ต่อปีการศึกษา และรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ นมโรงเรียนดังกล่าว ซึ่งนายรัฐมนตรียังสนับสนุนให้เด็กไทยได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62363 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเตือนประชาชนต่อเนื่อง หลังมิจฉาชีพหลอกให้กดลิงก์ชวนกู้เงินระบาดหนัก | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ออมสินเตือนประชาชนต่อเนื่อง หลังมิจฉาชีพหลอกให้กดลิงก์ชวนกู้เงินระบาดหนัก
ขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ "สินเชื่อGSBออมสิน" "My Mo ออมสิน" ตลอดทั้งใช้โลโก้ธนาคาร ส่งข้อความในรูปแบบลิงก์ SMS Line หรือ Facebook เข้ามือถือของลูกค้าและประชาชนจำนวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้กดรับสิทธิหรือกดลิงก์เข้าไป
รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ "สินเชื่อGSBออมสิน" "My Mo ออมสิน" ตลอดทั้งใช้โลโก้ธนาคาร ส่งข้อความในรูปแบบลิงก์ SMS Line หรือ Facebook เข้ามือถือของลูกค้าและประชาชนจำนวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้กดรับสิทธิหรือกดลิงก์เข้าไป ทั้งนี้ ลิงก์ข้อความดังกล่าวไม่ใช่ของธนาคารออมสิน ขอให้ลูกค้าและประชาชนอย่าหลงเชื่อ ไม่กดลิงก์ และไม่เพิ่มเพื่อน หรือกรอกข้อความใดๆ เด็ดขาด เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และขอย้ำว่าธนาคารไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลจากลูกค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายในลักษณะดังกล่าวให้ถึงที่สุดต่อไป ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารตามช่องทางต่างๆ ของธนาคารออมสิน อาทิ เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or..th แอปพลิเคชั่น MyMo , Social Media ช่องทาง GSB Society , GSB NOW หากผู้ใดพบพฤติกรรมเป็นที่น่าสงสัยไปในทางทุจริตหรือหลอกลวง ให้รีบแจ้งธนาคารทาง GSB Contact Center โทร.1115
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62350 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. เปิดงาน MHESI Street Art จังหวัดกาญจนบุรี | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. เปิดงาน MHESI Street Art จังหวัดกาญจนบุรี
ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. เปิดงาน MHESI Street Art จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ ถนนคนเดินปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี - ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานพิธีเปิด “กิจกรรม MHESI Street Art สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมสู่อัตลักษณ์ท้องถิ่น” พร้อมด้วยนายชำนาญ ชื่นตา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผศ.ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กล่าวต้อนรับ ผศ.จรายุทธ ประทีปวรกาญจน์ ผู้ช่วยอธิการบดี กล่าวรายงาน จัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อว.ส่วนหน้า ประจำจังหวัดกาญจนบุรี และหน่วยงานภาคีเครือข่าย กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ และความเข้าใจ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสร้างโอกาสในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลงานผ่านแนวคิดวิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวสร้างสรรค์ของจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก
ภาพผลงาน Street Art ในครั้งนี้คือ ภาพหัวจักรรถไฟพลังไอน้ำ C5623 อันเป็นที่มาของเรื่องราวเริ่มต้นประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ( ณ บริเวณประตูเมืองเก่า) และ ภาพท้ายขบวนรถไฟ (ณ บริเวณวงเวียนวัดเทวสังฆาราม) เปรียบเสมือนถนนปากแพรกสายนี้ มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ วิถีชีวิตชุมชนอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ได้รับการแนะนำจากศิลปินพื้นถิ่นในการให้ข้อเสนอแนะและแนวคิด ในการวาดภาพ Street Art ในครั้งนี้ และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากชุมชน ภาคีเครือข่าย และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวจังหวัดกาญจนบุรี
ภาพผลงาน Street Art ทั้ง 2 จุดที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและชื่นชอบของนักท่องเที่ยว และจะเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่า และช่วยเผยแพร่วิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวกาญจนบุรีให้กับนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มมากขึ้น เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสามารถสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ตามนโยบายของกระทรวง อว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ มอบเงินรางวัลแก่ผู้โชคดี ถูกรางวัลสลากดิจิทัล งวด 1 ธ.ค.2565 จำนวน 16 ใบ เงินรางวัล 96 ล้านบาท | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
สำนักงานสลากฯ มอบเงินรางวัลแก่ผู้โชคดี ถูกรางวัลสลากดิจิทัล งวด 1 ธ.ค.2565 จำนวน 16 ใบ เงินรางวัล 96 ล้านบาท
ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลสลากดิจิทัลรางวัลที่ 1 งวด 1 ธันวาคม 2565 จำนวน 16 ใบ เงินรางวัล 96 ล้านบาท ได้เดินทางมาขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ นนทบุรี ด้วยตัวเอง
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 นายพชร นธกิจไพศาล ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลสลากดิจิทัลรางวัลที่ 1 งวด 1 ธันวาคม 2565 จำนวน 16 ใบ เงินรางวัล 96 ล้านบาท ได้เดินทางมาขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ นนทบุรี ด้วยตัวเอง โดยได้รับเงินรางวัลสุทธิทั้งสิ้น 95,520,000 บาท และมีการหักค่าอากรแสตมป์ตามกฎหมายที่ 480,000 บาท
นายพชร นธกิจไพศาล ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลสลากดิจิทัล 16 ใบ เปิดเผยความรู้สึกว่า รู้สึกดีใจอย่างมาก ซึ่งปกติตนได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลประจำทุกงวดอยู่แล้ว โดยเลือกซื้อตามตัวเลขที่ชอบไม่ได้มีเลขเด็ดจากสำนักอะไร ส่วนจำนวนที่ซื้อแต่ละงวดก็ไม่แน่นอน ถ้างวดไหนมีเลขที่ชอบมากก็จะซื้อจำนวนมากหน่อย โดยเลือกซื้อเฉพาะสลากกินแบ่งฯ อย่างเดียว ไม่ได้เล่นหวยใต้ดิน
สำหรับการซื้อสลากดิจิทัลในงวดนี้ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ซื้อแล้ว เพราะงวดที่ผ่านมาซื้อไปเยอะแต่ไม่ถูก แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ในช่วงเช้าตอนพอเดินผ่านหิ้งพระเลยจุดธูปขอโชคขอลาภเสร็จแล้วก็กดซื้อสลากดิจิทัลจากแอพฯเป๋าตัง 16 ใบ ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.ทันที ซึ่งพอรู้ว่าถูกก็ดีใจมากๆ
ส่วนแผนการใช้เงินรางวัลที่ได้รับนั้น ตนยังคงทำงานใช้ชีวิตเป็นปกติ แต่จะแบ่งเงินรางวัลที่ได้รับเป็น 3 ส่วน 1. บำรุงตัวเอง อาจจะซื้อบ้าน วางแผนอนาคตครอบครัว และกำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้ 2. ลงทุนเพื่อนำดอกผลไปใช้ประโยชน์เพื่อสังคม และดูแลครอบครัว ทั้งพ่อพี่น้องตามสมควร แต่ทุกคนยังต้องทำงานเหมือนเดิม และ 3. นำไปตอบแทนสังคมและศาสนา
ท้ายนี้ ขอฝากถึงประชาชนผู้รักการเสี่ยงโชค ขอให้เลือกซื้อสลากตามกำลังของตนเอง อย่าซื้อมากเกินไปจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะการถูกรางวัลเป็นเรื่องของดวงและโชคชะตาโดยแท้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ซื้อสลากและไม่ถูกรางวัลบ่อย แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนเพราะซื้อตามกำลังของตนเอง และยังขอฝากขอบคุณสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ได้จัดทำโครงการสลากดิจิทัลออกมา เพราะสามารถช่วยให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการซื้อ ที่สำคัญสามารถเข้าถึงสลากใบละ 80 บาทได้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยจับมือญี่ปุ่นพัฒนา 49 โครงการ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 2.62 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี คาด! เกิดเม็ดลงทุนกว่า 9.8 พันลบ. | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ไทยจับมือญี่ปุ่นพัฒนา 49 โครงการ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 2.62 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี คาด! เกิดเม็ดลงทุนกว่า 9.8 พันลบ.
ไทยจับมือญี่ปุ่นพัฒนา 49 โครงการ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 2.62 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี คาด! เกิดเม็ดลงทุนกว่า 9.8 พันลบ.
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.รับทราบผลการดำเนินโครงการภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่ประเทศญี่ปุ่นได้ริเริ่มขึ้น เพื่อช่วยให้ประเทศที่มีความร่วมมือสามารถใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก โดยสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่น
โครงการต้นแบบ JCM ที่ไทยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากญี่ปุ่นมีจำนวน 49 โครงการในไทย คิดเป็นมูลค่า 3,018 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการประเภทการผลิตพลังงานหมุนเวียน จำนวน 26 โครงการ รองลงมาเป็นโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 21 โครงการ และการผลิตพลังงานหมุนเวียนร่วมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 2 โครงการ คาดว่า จะก่อให้เกิดการลงทุนร่วมภายใต้กลไกเครดิตร่วม JCM มากกว่า 9,806 ล้านบาท มีหน่วยงานผู้รับทุนเป็นบริษัทเอกชนไทย จำนวน 45 แห่ง นอกจากนี้ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ 262,357 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
สำหรับโครงการต้นแบบ JCM ของไทยที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการร่วม JCM แล้ว มีจำนวน 11 โครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกเครดิตร่วม JCM มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ 58,096 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตแล้ว จำนวน 5 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 4,032 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยแบ่งปันคาร์บอนเครดิตเป็นของฝ่ายไทย 2,015 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ฝ่ายญี่ปุ่น 2,017 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า โครงการต้นแบบ JCM ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจะเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ JCM ก็ต่อเมื่อ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากคณะรรมการร่วม JCM ซึ่งเอกสารที่ได้รับการขึ้นทะเบียน จะรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าโครงการจะลดได้ มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ส่วนปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่โครงการสามารถลดได้จริงจากการดำเนินงานเรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” โดยคณะกรรมการร่วม JCM เป็นผู้ให้การรับรองคาร์บอนเครดิต และสัดส่วนคาร์บอนเครดิตที่จะแบ่งปันกันระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายไทย จะเป็นไปตามสัดส่วนของเงินสนับสนุนต่อเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62364 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" เผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิดให้นักโทษทุกคน หลังกรมควบคุมโรคเตรียมมอบล็อตใหญ่ให้ ชี้ต้องถอดบทเรียนเหตุจลาจลเผาเรือนจำ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
"สมศักดิ์" เผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิดให้นักโทษทุกคน หลังกรมควบคุมโรคเตรียมมอบล็อตใหญ่ให้ ชี้ต้องถอดบทเรียนเหตุจลาจลเผาเรือนจำ
"สมศักดิ์" เผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิดให้นักโทษทุกคน หลังกรมควบคุมโรคเตรียมมอบล็อตใหญ่ให้ ชี้ต้องถอดบทเรียนเหตุจลาจลเผาเรือนจำ แนะวางแผนป้องกันอย่าให้เกิดซ้ำ ทำงานห้ามหละหลวม พัฒนาให้ดีกว่าเดิม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนและคณะ ได้เยี่ยมชม นิทรรศการของกรมราชทัณฑ์ กรณีถอดบทเรียนเหตุจลาจลและการเผาเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์และเรือนจำจังหวัดกระบี่ ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดการก่อจลาจลของเรือนจำ เพราะความแออัด รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้ต้องขังเกิดความตระหนก ตื่นกลัวและความเครียดของผู้ต้องขังที่กลัวการติดเชื้อ กลัวจะไม่ได้รับการรักษา และไม่ได้มีการแยกพื้นที่ชัดเจนระหว่างผู้ต้องขังป่วยและผู้ต้องขังปกติ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคระบาด การป้องกัน และการปฏิบัติตน รวมทั้งยังขาดการสื่อสารทำความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง ในเรื่องของการให้ความรู้ในขณะนั้น ซึ่งหลังจากนั้น กรมราชทัณฑ์ได้ถอดบทเรียนและดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้ว เช่น การจัดทำมาตรฐานในการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง (SOPs) การสร้างระบบสืบสวนหาข่าวและเครือข่าย การซ้อมแผนเผชิญเหตุทุกไตรมาส
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ได้ตั้งคณะทำงานศึกษารูปแบบเรือนจำใหม่ที่สอดคล้องกับภารกิจงานราชทัณฑ์ในอนาคต โดยศึกษาจากรูปแบบเรือนจำของต่างประเทศและประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทงานราชทัณฑ์ไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เรือนจำรูปแบบใหม่ เป็นเรือนจำรูปแบบวิทยาลัย ความมั่นคงปานกลาง ตอบสนองต่อภารกิจได้หลากหลาย และ 2. เรือนจำเฉพาะทาง เป็นเรือนจำที่ใช้แผนผังเรือนจำรูปแบบสนาม/ลานบ้าน ที่แยกพื้นที่ใช้สอยแต่ละแดนออกจากกันอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ส่วนกลางที่ผู้ต้องขังสามารถสลับเวลาการเข้าใช้งานได้ พร้อมปรับเป็นเรือนจำเฉพาะทางต่าง ๆ ได้ อาทิ เรือนจำอุตสาหกรรม เรือนจำกีฬา เรือนจำการศึกษา
"แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์โควิดจะดีขึ้น แต่ผมก็ยังสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดหาทางป้องกันอย่าหละหลวม อย่าให้เกิดปัญหาความวุ่นวายเหมือนอย่างเดิม จนนักโทษก่อการจราจลอีก ยารักษาโรค ยาฟ้าทะลายโจรต้องเตรียมให้พร้อมอย่าให้ขาด และขณะนี้ได้รับการประสานจากกรมควบคุมโรค ว่ามีวัคซีน โควิด-19 ประมาณ 2 แสนกว่าโดสที่จะมอบให้ ดังนั้นจะให้กรมราชทัณฑ์ฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังทุกเรือนจำ จากนี้ในเรื่องของมาตรฐานการทำงานในเรือนจำต้องปฏิบัติตามหลักสากล และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีก ทุกอย่างต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้" นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมดูแลเยียวยาเจ้าหน้าที่และครอบครัวเจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิต | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รฟท. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมดูแลเยียวยาเจ้าหน้าที่และครอบครัวเจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิต
จากเหตุระเบิดขณะกำลังเก็บกู้รถพ่วงตกราง ระหว่างสถานีคลองแงะ - ปาดังเบซาร์
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 06.24 น. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้รับรายงานเกิดเหตุระเบิดบริเวณ สทล.ที่ 955/4-8 ระหว่างสถานีคลองแงะ - ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ขณะเจ้าหน้าที่รฟท. 7 ราย กำลังเข้าปฏิบัติงานเก็บกู้ขบวนรถสินค้าคอนเทนเนอร์บรรทุกยางพารา ที่ 707 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์) ตกรางเมื่อวันก่อน
เบื้องต้นได้รับรายงานมีเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย ซึ่งได้ส่งตัวเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลสะเดาแล้ว ประกอบด้วย นายนพดล ปานมา หัวหน้าช่างแขวงสารวัตรรถจักรทุ่งสง นายดีเด่น คงสม หัวหน้าช่างแขวงสารวัตรรถจักรหาดใหญ่ นายฉัตรชัย นิตรจรานนท์ ลูกจ้างแขวงรถจักรหาดใหญ่ และนายธีรพงศ์ หนูคง ลูกจ้างแขวงรถจักรหาดใหญ่ และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ซึ่งทราบชื่อเบื้องต้นคือ นายภูมิพันธ์ เพชรสุก ผู้ช่วยสารวัตรแขวงรถจักรหาดใหญ่ นายยิ่งศักดิ์ ชุมตรี ลูกจ้างแขวงรถจักรหาดใหญ่ และนายนวฤทธิ์ สุวรรณชาตรี ลูกจ้างแขวงรถจักรหาดใหญ่ โดยขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างการตรวจค้นเพิ่มเติมซึ่งได้มีการกันพื้นที่ห้ามไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าในพื้นที่เกิดเหตุอย่างเด็ดขาด
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่ารฟท. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพนักงานรวมถึงครอบครัวผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุครั้งนี้ โดยรฟท. พร้อมให้ความช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มกำลังตามระเบียบของรฟท. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งในเบื้องต้นตนได้มอบเงินช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวให้แก่เจ้าหน้าที่และครอบครัวผู้ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งสั่งการให้กองพนักงานสัมพันธ์และสวัสดิการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายการช่างโยธา ติดต่อให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวเป็นการเร่งด่วน
นอกจากนี้ รฟท. ได้ประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ในการเข้าเร่งตรวจสอบพื้นที่เพื่อหาสาเหตุจากการเกิดเหตุครั้งนี้ ตลอดจนเพิ่มความเข้มงวดการดูแลรักษาความปลอดภัยต่อพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ตลอดจนประชาชนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเชื่อมั่นสูงสุดในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย”สนับสนุนผู้พิการทางสายตาเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
“กรุงไทย”สนับสนุนผู้พิการทางสายตาเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และปลอดภัย ลดความเหลื่อมล้ำ
ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และปลอดภัย ลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง การธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking)
ธนาคารได้กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน ส่งเสริมให้ผู้พิการได้รับบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง โดยมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับการให้บริการแก่ผู้พิการอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงสนับสนุนให้ผู้พิการทางสายตา สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน สำหรับการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าผู้พิการทางสายตาอย่างเป็นธรรมของสมาคมธนาคารไทย ตอบโจทย์กรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของ UNDP ในด้านการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (Reduce Inequality) หรือ Goal ที่ 10 โดยอำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคาร และการยืนยันตัวตน ดังนี้
• การยืนยันตัวตน
1. อำนวยความสะดวกให้ผู้พิการทางสายตา ใช้บัตรประชาชนเปิดบัญชีและทำธุรกรรมการเงินได้เช่นเดียวกับลูกค้าทั่วไป เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล ผ่านการตรวจสอบสถานะบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐ
2. ในกรณีที่บัตรประชาชนไม่สามารถ Dip Chip ได้ ลูกค้าสามารถใช้เอกสารอื่นประกอบ เช่น ทะเบียนบ้าน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวคนพิการ
• การใช้พยานในการเปิดบัญชี
1. อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา โดยให้พนักงานเป็นพยานให้ สำหรับกรณีที่ ผู้พิการไม่สะดวกนำพยานมาเอง ซึ่งพิจารณาตามความประสงค์ของลูกค้าเป็นหลัก
2. หากผู้พิการทางสายตาไม่สามารถเขียนหนังสือหรือลงลายมือชื่อ ธนาคารจะพิจารณาเลือกใช้วิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดทดแทนการลงลายมือชื่อ เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือ ทำแกงได (รอยกากบาท หรือรอยขีดเขียน ซึ่งบุคคลทำลงในเอกสารแทนลายมือชื่อ) หรือ ใช้ตราประทับ โดยให้พยานฝั่งใดก็ได้เป็นพยานรับรองรวมสองคน
ธนาคารกรุงไทย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้พิการทุกกลุ่ม ทั้งด้านการจ้างงาน การพัฒนาอาชีพ เพื่อให้ผู้พิการมีรายได้พึ่งพาตนเองได้ และสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านสาขา และแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานสำหรับผู้พิการทางสายตา เพื่อขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62372 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย้ำเป็นส่วนหนึ่งในการในการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นด้วย | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม. รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย้ำเป็นส่วนหนึ่งในการในการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นด้วย
ครม. รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย้ำเป็นส่วนหนึ่งในการในการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นด้วย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (6 ธันวาคม 2565) คณะรัฐมนตรี รับทราบการดำเนินงานของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมศุลกากร และกรมสรรพากร รายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อ มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เสนอโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คกก. ป.ป.ช.) สรุปได้ ดังนี้
1. การเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแส (1) การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษี หน่วยงานที่เกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก และหน่วยงานด้านการจดทะเบียนพาณิชย์ เป็นนิติบุคคล (2) มีระบบการแจ้งเบาะแสที่มีประสิทธิภาพและมีสินบน นำจับในกรณีมีผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตเกี่ยวกับภาษี
2. กำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องจัดทำใบกำกับภาษี อิเล็กทรอนิกส์และรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มกลไกการตรวจสอบ ถ่วงดุล สอบยันในหน่วยจัดเก็บภาษี โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีอธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธาน
4. ในกรณีข้อมูลการส่งออกไม่เพียงพอต่อการพิจารณาการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรส่งเรื่องให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนจึงจะนำมาใช้ อ้างอิง รวมถึงตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านภาษีหรือการจดทะเบียนเป็น นิติบุคคลของต่างประเทศว่าผู้นำเข้ามีการประกอบการจริงหรือไม่
5. เพิ่มกลไกการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมาตรฐานที่มีอยู่เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้ส่งออกที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการทุจริตในการขอคืน ภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตรวจสอบเกี่ยวกับผู้รับผลประโยชน์ ที่แท้จริงเพื่อให้สามารถป้องกันและทราบถึงกรณีตัวแทนการจดทะเบียนบังหน้
ทั้งนี้ ประเด็นการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแสนั้น กรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการบูรณาการขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ โดยรวมขั้นตอนยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลพร้อมการยื่นคำขอต่างๆ เพื่อเป็นการปฎิบัติตามประมวลรัษฎากร ได้แก่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการลงทะเบียนขอใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการรับแบบคำขอใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมกับการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วย นอกจากนี้ กรมสรรพากรมีช่องทางในการแจ้งเรื่องการบริการแจ้งเบาะแสเรื่องการทุจริตและข้อเสนอแนะ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (rd.go.th)
กรมสรรพากรยังมีการออกระเบียบว่าด้วยการจัดทำส่งมอบและเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็คทรอนิกส์ หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการจัดทำและนำส่ง e-Tax Invoice & e-Receipt ปัจจุบัน กรมสรรพากรให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ โดยความสมัครใจ เนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละรายมีขนาดธุรกิจแตกต่างกัน นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีหน่วยงานพิจารณาคืนภาษีทั่วประเทศ สำหรับการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อเสนอแนะของกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน เนื่องจากยังมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้มีการเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีให้แก่บุคคลอื่นเว้นแต่จะมีอำนาจตามกฎหมาย
กรมสรรพากร ยังมีระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอยู่แล้ว เช่น กรณีมีข้อสงสัยหรือมีความผิดปกติในการส่งออกและจะมีการประสานแจ้งกรมศุลกากรให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในแต่ละราย กรณีมีเหตุสงสัยนิติบุคคลต่างประเทศมีการประกอบการจริงหรือไม่หรือเป็นผู้ซื้อขายจริงหรือไม่ สามารถประสานไปยังกองวิชาการแผนกภาษีกรมสรรพากรเพื่อขอข้อมูลเฉพาะลายที่ต้องสงสัยไปยังสรรพากรในต่างประเทศได้ รวมทั้งประสานขอข้อมูลใบขนส่งสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออกจากกรมศุลกากรตามที่ได้ทำความตกลงตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมสรรพากรและคนศุลกากร เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ในปี 2563 รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจำนวน 2.86 ล้านล้านบาทโดยเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 7.45 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 26.04 ของภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้จำนวนมากที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรียังให้ทุกหน่วยงานช่วยกันชี้แจ้ง ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงข้อเท็จจริงว่า การจัดเก็บภาษีเป็นเครื่องมือทางการคลังของรัฐบาลในการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและใช้ในการรักษาเสถียรภาพของทางเศรษฐกิจเช่นการกระตุ้นการจ้างงานในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการป้องกันภาวะเงินเฟ้อด้วยมาตรการทางภาษี รวมทั้งมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเอาจริง เอาจังของรัฐบาลในการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ กฟผ. ถือหุ้นธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ไม่เกิน 50% มูลค่า 1.63 หมื่นลบ. เสริมความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าในประเทศ พร้อมก้าวสู่การเป็นฮับซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในอาเซียน | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม.เห็นชอบให้ กฟผ. ถือหุ้นธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ไม่เกิน 50% มูลค่า 1.63 หมื่นลบ. เสริมความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าในประเทศ พร้อมก้าวสู่การเป็นฮับซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในอาเซียน
ครม.เห็นชอบให้ กฟผ. ถือหุ้นธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ไม่เกิน 50% มูลค่า 1.63 หมื่นลบ. เสริมความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าในประเทศ พร้อมก้าวสู่การเป็นฮับซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในอาเซียน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้าร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ในสัดส่วนร้อยละ 50 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนไม่เกิน 16,350 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งถือเป็นการขยายธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical Integration) ของ กฟผ. จากขั้นปลายน้ำ (Downstream) สู่ขั้นกลางน้ำ (Midstream) เนื่องจากบริษัทมีภารกิจหลักในการดำเนินธุรกิจสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) รวมถึงการแปลงสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้มีสถานะกลายเป็นก๊าซ เพื่อจัดส่งก๊าซธรรมชาติเข้าสู่โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และส่งต่อให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมถึงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ดังนั้น การร่วมทุนในบริษัทครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความยึดหยุ่นในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของ กฟผ. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ ครม. มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากการก่อสร้าง การจัดตั้งบริษัทและการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับการร่วมทุน เนื่องจากการดำเนินธุรกรรมดังกล่าว ทำให้เกิดภาระด้านภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งทำให้ต้นทุนโครงการและต้นทุนพลังงานของประเทศเพิ่มสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขอยกเว้นภาษีเบี้ยปรับเงินเพิ่มและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
โครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 นี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ลักษณะโครงการมีท่าเรือ 1 ท่า ถังเก็บ LNG 2 ถัง สามารถรองรับ LNG ได้ปริมาณ 7.5 ล้านตันต่อปี โดยมีภารกิจหลัก ในการดำเนินธุรกิจสถานีรับ - จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) รวมถึงการแปลงสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้มีสถานะกลายเป็นก๊าซ เพื่อจัดส่งก๊าซธรรมชาติเข้าสู่โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซ และส่งต่อให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมถึงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โดยเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2565 สำหรับโครงสร้างการร่วมลงทุนบริษัท LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 จดทะเบียนจัดตั้งในไทย โดยมีผู้ถือหุ้น 2 ราย คือ กฟผ. (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 50) และบริษัท PTTLNG (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 50) มีมูลค่ากิจการอยู่ที่ประมาณ 46,900 -52,200 ล้านบาท ส่วนผลตอบแทนการลงทุนกรณีได้รับการยกเว้นภาษี มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 6,012 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ (Project IRR) ร้อยละ 8.5 อัตราผลตอบแทนของส่วนทุน (Equity IRR) ร้อยละ 9.5 ระยะเวลาคืนทุน ของโครงการ 10 ปี 9 เดือน
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่ กฟผ. เข้าร่วมร่วมลงทุนในครั้งนี้ คือ 1)กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกำบดูแลของกระทรวงพลังงาน ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทรูปแบบเงินปันผล 2) เป็นโอกาสที่ดีให้ กฟผ. ได้เริ่มดำเนินธุรกิจให้บริการ LNG Receiving Terminal ซึ่งมีผู้ร่วมทุนเป็นผู้นำในธุรกิจ 3)บุคลากรของ กฟผ. มีโอกาสในการพัฒนาความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินงานของ LNG Receiving Terminal จากผู้ร่วมทุนที่เป็นผู้นำในธุรกิจ 4)สนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (การส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ) โดยมีผู้ให้บริการสถานีและผู้นำเข้า LNG รายใหม่ ๆ (Third Party Access : TPA) และ 5)เพื่อเสริมความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าในประเทศ และเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคอาเซียน (Regional LNG Hub) ในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62366 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีรับทราบคำสั่งมอบหมายงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบคำสั่งมอบหมายงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ)
คณะรัฐมนตรีรับทราบคำสั่งมอบหมายงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ)
วันที่ 6 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 307/2565 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ มอบหมายและมอบอำนาจรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ และมอบหมายให้กำกับรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 309 /2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1 มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
2.มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62370 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดเสวนาซีรีย์ประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 3 “ก้าวย่างที่มั่นคง กำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์” | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
อว. จัดเสวนาซีรีย์ประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 3 “ก้าวย่างที่มั่นคง กำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์”
อว. จัดเสวนาซีรีย์ประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 3 “ก้าวย่างที่มั่นคง กำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์”
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว./ “ธัชชา” วิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาวิชาการซีรีย์กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ก้าวย่างที่มั่นคง กำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์” โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) กล่าวเปิดงาน นอกจากนั้นยังมีการอภิปรายจากผู้ทรงคุณวุฒิในหัวข้อ “ก่อร่างสร้างกรุงรัตนโกสินทร์” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวข้อ “ปัญญาชนสยามยามสร้างกรุง” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปรัชญา ปานเกตุ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
รมว.อว. กล่าวว่า เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดีเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่คนสมัยนี้จะมองเป็นเพียงแค่วิชาหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องเหล่านี้มีคุณค่าอย่างมาก เพราะจะนำมาซึ่งการตีความปัจจุบัน ความคิดว่าจะเดินต่อไปอย่างไรในอนาคต คนที่จะสามารถคิด ตีความ เข้าใจปัจจุบันได้ดี ไม่ใช่คนที่มีแต่ปัจจุบัน แต่ต้องเป็นคนที่มีประวัติศาสตร์ และนำมาต่อยอด เป้าหมายอุดมคติ ก็คือ “อดีต อนาคต ปัจจุบัน ต้องกลมกลืนไปด้วยกัน” ในอดีตแต่ก่อน เมื่อลองศึกษาให้ดีจะพบว่ามีเรื่องของวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ซ่อนอยู่มากมาย เช่น คนสมัยก่อนสามารถดูระดับน้ำเจ้าพระยา แล้วบอกได้ว่าปีนี้ปลาอะไรจะมาก ปลาอะไรจะหาไม่ได้ เป็นต้น การฟังเสวนาซีรีย์ประวัติศาสตร์ให้ได้ประโยชน์ คือ การฟังแล้วคิดต่อ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62360 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ญี่ปุ่นย้ำไทยหุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญ เชื่อมั่นยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอตอบโจทย์นักลงทุน | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ญี่ปุ่นย้ำไทยหุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญ เชื่อมั่นยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอตอบโจทย์นักลงทุน
บีไอไอเผยความสำเร็จกิจกรรมชักจูงการลงทุนประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับอีอีซี - กนอ. เมื่อวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2565 นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนสำคัญ ยืนยันใช้เป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน
ญี่ปุ่นย้ำไทยหุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญ
เชื่อมั่นยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอตอบโจทย์นักลงทุน
บีไอไอเผยความสำเร็จกิจกรรมชักจูงการลงทุนประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับอีอีซี - กนอ. เมื่อวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2565 นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนสำคัญ ยืนยันใช้เป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน พร้อมมีแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่
มีเป้าหมายร่วมกัน เน้นยกระดับอุตสาหกรรม ลดอุปสรรคการลงทุน และเพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องกับกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย บีโอไอร่วมกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) เตรียมจัดสัมมนายุทธศาสตร์ใหม่ วันที่ 19 ธันวาคม นี้
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2565 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นำโดยนายคณิศ แสงสุพรรณ และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่ปรึกษาพิเศษ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำโดยนางสาวนลินีกาญจนามัย ผู้ช่วยผู้ว่าการ ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน ณ กรุงโตเกียวและนครโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ คณะฯ ได้เข้าพบกับองค์กรพันธมิตรกว่า 10 แห่ง อาทิ JETRO องค์กรส่งเสริมเอสเอ็มอีและนวัตกรรม กลุ่มธนาคารรายใหญ่ของญี่ปุ่น สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) สมาพันธ์ธุรกิจในเขตคันไซ (Kankeiren) รวมทั้งบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลการเกษตร อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ วัสดุขั้นสูง และธุรกิจบริการ รวมกว่า 10 บริษัท และมีการจัดสัมมนาการลงทุน 2 ครั้ง ที่กรุงโตเกียวและนครโอซาก้า ซึ่งมีนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าร่วมงานประมาณ300 คน
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ บีโอไอได้นำเสนอจุดแข็งและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งยุทธศาสตร์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ ในขณะที่สำนักงานอีอีซี นำเสนอความก้าวหน้าของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่พิเศษต่าง ๆ และโอกาสการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในส่วนของ กนอ. ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศเพื่อรองรับการลงทุนญี่ปุ่น
“ผลจากการโรดโชว์ครั้งนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญ และยืนยันใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของญี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียนอีกทั้งมีแผนขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการพิจารณาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย เพื่อเป็นศูนย์บริหารจัดการการผลิตและการบริการในภูมิภาค เพราะมองว่าไทยมีเศรษฐกิจที่มั่นคง มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพของบุคลากร สภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับชาวญี่ปุ่นที่มาประจำการที่ไทย สิทธิประโยชน์จูงใจ และการรวมศูนย์ซัพพลายเชนที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักของญี่ปุ่น เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์” นายนฤตม์กล่าว
สำหรับยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 7 หมุดหมาย และ 9 มาตรการใหม่ของบีโอไอ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและองค์กรพันธมิตรของญี่ปุ่น เนื่องจากเห็นว่า บีโอไอได้นำเสียงสะท้อนจากนักลงทุนไปออกแบบมาตรการใหม่ให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะมาตรการรักษาและขยายฐานการผลิต (Retention and Expansion Program) ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายเดิมที่ลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง และมาตรการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program) ที่จะเชิญชวนให้นักลงทุนญี่ปุ่นมองประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง และย้ายฐานธุรกิจมาอยู่ที่ไทย ทั้งในส่วนการผลิต สำนักงานภูมิภาค และศูนย์วิจัยและพัฒนา
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมองว่า มาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่เน้นส่งเสริม BCG และยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน มีความสอดคล้องกับทิศทางสำคัญใน 3 ระดับ คือ 1) สอดคล้องกับทิศทางของโลกในเรื่องการลดคาร์บอนและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Decarbonization and Digitalization)2) สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียว (Green Growth Strategy) และ 3) สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทชั้นนำญี่ปุ่นที่ล้วนมีเป้าหมายเพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และการยกระดับธุรกิจโดยใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล
อีกทั้งการที่บีโอไอเปิดส่งเสริมกิจการใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) การผลิตพลังงานใหม่ เช่น ไฮโดรเจน และการผลิตอาหารแห่งอนาคต ก็ตรงกับทิศทางการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งความสอดคล้องทั้งหมดนี้ สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นได้อย่างมาก
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังให้ความสนใจในเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น การส่งเสริมความร่วมมือด้านสตาร์ตอัป การพัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะวิศวกรและบุคลากรด้านดิจิทัล การอำนวยความสะดวกในการขออนุมัติ/อนุญาตต่าง ๆ การยื่นขอวีซ่าพำนักระยะยาวหรือ Long-term Resident Visa(LTR Visa) และทิศทางอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทย
ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น บีโอไอจึงร่วมมือกับ JETRO และหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) จะจัดสัมมนาเรื่องยุทธศาสตร์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย ในวันที่ 19 ธันวาคม 2565 นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) จะนำผู้บริหารของคณะกรรมการเศรษฐกิจและการค้าไทย - ญี่ปุ่น เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยจะมารับฟังข้อมูลการลงทุนใหม่ ๆ จากหน่วยงานภาครัฐ และมีการประชุมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) รวมทั้งเยี่ยมชมและศึกษาลู่ทางการลงทุนในเขต EECi และโครงการอื่น ๆ ในพื้นที่ EEC ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62351 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” ชูธงปฎิรูปอุดมฯ พัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกช่วงวัย | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
“เอนก” ชูธงปฎิรูปอุดมฯ พัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกช่วงวัย
“เอนก” ชูธงปฎิรูปอุดมฯ พัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกช่วงวัย
“เอนก” ชูธงปฎิรูปอุดมฯ พัฒนาคนให้เป็นSmart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกช่วงวัย จับ มรภ.นครราชสีมา - มทร.อีสาน - มทส. - มสธ. - เซ็นทรัลฯ” ลงนามความร่วมมือ 3 ฉบับรวด “คลังหน่วยกิต - การจัดการศึกษา 2 ปริญญา - ผลิตบัณฑิตให้ตรงตลาดแรงงาน”
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (มรภ.นครราชสีมา) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. ด้านการสร้างและพัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกช่วงวัย โดยมี ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดี มรภ.นครราชสีมา รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) รศ.ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) รศ.ดร.มานิตย์ จุมปา รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) และนายคุณเสฎฐวุฒิ ทัตสุระ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา ร่วมลงนาม ทั้งนี้มี นายกสภา มรภ นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ร่วมเป็นสักขีพยาน
โดยพิธีลงนามครั้งนี้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 3 ฉบับ ประกอบด้วย
1. ความร่วมมือว่าด้วยเครือข่ายคลังหน่วยกิต ระหว่าง มรภ.นครราขสีมา กับ มทร.อีสาน และ มทส. เปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนกลุ่มวิชาที่สนใจจากมหาวิทยาลัยใดก็ได้ เก็บหน่วยกิตตามอัธยาศัย รวมถึงบุคคลภายนอกที่สนใจได้เรียนรู้เพิ่มทักษะ รับสัมฤทธิบัตร หรือสะสมหน่วยกิตในการเรียนระดับปริญญา แล้วรวบรวมหน่วยกิตตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อขอรับปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยที่ต้องการ คลังหน่วยกิตจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และนับเป็นนโยบายนวัตกรรมทางการอุดมศึกษาที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรก
2.ความร่วมมือว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรแบบ 2 ปริญญา ระหว่าง มรภ.นครราชสีมา กับ มสธ.โดยร่วมกันจัดการศึกษาให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นใน จ.นครราชสีมา พัฒนาข้าราชการท้องถิ่นด้วยหลักสูตรปริญญาตรีพิเศษที่ใช้เวลาศึกษาตามปกติ แต่เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาบัตร 2 สาขาพร้อมกัน ได้แก่ นิติศาสตร์บัณฑิตจาก มสธ. และรัฐประสานศาสตร์บัณฑิตจาก มรภ.นครราชสีมา ถือเป็นการพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ ท้องถิ่น ให้มีความรู้ความสามารถด้านการปกครองและกฎหมายที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชนในโคราช นับเป็นการนำนโยบายเรื่องมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ท้องถิ่นของ รมว.อว. ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และ
3. ความร่วมมือว่าด้วยการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน และบริการวิชาการเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระหว่าง มรภ.นครราชสีมากับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา เพื่อการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยการสนับสนุนให้อาจารย์ และนักศึกษา ได้ใช้ความรู้ ได้ทำงานวิจัย และได้ปฏิบัติงานจริง ในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าและสถานประกอบการธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ความร่วมมือดังกล่าว เป็นการนำนโยบายปฏิรูปการอุดมศึกษาให้เชื่อมโยงการทำงานจริงโดยไม่ต้องรอให้นักศึกษาสำเร็จการศึกษา อย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ทำงานจริง ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถผลิตบุคลากรตามความต้องการของภาคธุรกิจต่อไป
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ความร่วมมือทั้ง 3 ฉบับสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิรูปการอุดมศึกษาของกระทรวง อว. อย่างเป็นรูปธรรม ที่ให้โอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงองค์ความรู้และนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ตลอดจนพัฒนาสมรรถนะกำลังคนของประเทศ ในทางปฏิบัติเป็นการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และการพัฒนาพื้นที่ท้องถิ่นโดยการขับเคลื่อนของมหาวิทยาลัยชั้นนำในจังหวัดนครราชสีมา เป็นการแสดงพลังการมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ภายในปี 2580 ตามยุทธศาสตร์ชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62359 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่ง โฆษก นำทีมมอบอุปกรณ์การเรียน - กีฬา โครงการมอบไออุ่น รักและห่วงใยกับไทยพีบีเอสปี 2565 ส่งต่อโรงเรียนถิ่นทุรกันดาร | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รมว.สุชาติ ส่ง โฆษก นำทีมมอบอุปกรณ์การเรียน - กีฬา โครงการมอบไออุ่น รักและห่วงใยกับไทยพีบีเอสปี 2565 ส่งต่อโรงเรียนถิ่นทุรกันดาร
รมว.สุชาติ ส่ง โฆษก นำทีมมอบอุปกรณ์การเรียน - กีฬา โครงการมอบไออุ่น รักและห่วงใยกับไทยพีบีเอสปี 2565 ส่งต่อโรงเรียนถิ่นทุรกันดาร
วันที่6ธันวาคม2565นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)พร้อมด้วยนายนันทชัยปัญญาสุรฤทธิ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานมอบผ้าห่มกันหนาวเสื้อกันหนาวชุดนักเรียนอุปกรณ์การเรียนการสอนอุปกรณ์กีฬาเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งของทั่วไปโดยมีตัวแทนผู้บริหารภาคเอกชนจากบริษัทโรงงานฟุตบอลล์ไทยสปอร์ตติ้งกู๊ดส์จำกัด(FBT)บริษัทไบ่ลี่เอ็นเตอร์ไพร์สจํากัดบริษัทไทยสแตนเลย์การไฟฟ้าจำกัด(มหาชน)ร่วมส่งมอบด้วยให้แก่สถานีโทรทัศน์Thai PBSโดยมีนางไขแสงศักดาผู้จัดการมูลนิธิไทยพีบีเอสนายวสันต์วชิราชัยผู้จัดการฝ่ายกราฟิกสำนักโทรทัศน์และวิทยุเป็นผู้รับมอบเพื่อสนับสนุนโครงการ“มอบไออุ่นรักและห่วงใยปี2565”ส่งมอบให้กับประชาชนที่ประสบภัยหนาวและโรงเรียนยากไร้ในถิ่นทุรกันดารณสถานีโทรทัศน์Thai PBSถนนวิภาวดีรังสิตเขตหลักสี่กรุงเทพมหานคร
สำหรับโครงการดังกล่าวรายการสถานีประชาชนสถานีโทรทัศน์Thai PBSจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนสิ่งของดังกล่าวเพื่อร่วมสมทบนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยหนาวและโรงเรียนยากไร้ในถิ่นทุรกันดารณโรงเรียนเพียงหลวง3 (บ้านเหมืองแร่อีต่อง)ตำบลปิล็อกอำเภอทองผาภูมิจังหวัดกาญจนบุรีซึ่งเป็นเด็กกลุ่มชาติพันธุ์หมู่บ้านโบอ่องเกาะกลางน้ำเขื่อนวชิราลงกรณรวมกว่า1,500ครัวเรือนที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองและการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากต้องโดยสารทางเรือเท่านั้นโดยจะนำสิ่งของดังกล่าวไปมอบให้ในวันอาทิตย์ที่11ธันวาคม2565นี้ต่อไป
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
6ธันวาคม2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงหมายเลข 222 สาย อำเภอพังโคน - จังหวัดบึงกาฬ ตอน อำเภอศรีวิไล - จังหวัดบึงกาฬ แล้วเสร็จ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงหมายเลข 222 สาย อำเภอพังโคน - จังหวัดบึงกาฬ ตอน อำเภอศรีวิไล - จังหวัดบึงกาฬ แล้วเสร็จ
เชื่อมโยงโลจิสติกส์ภาคอีสาน - สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 เติมเต็มโครงข่ายการคมนาคมขนส่งภูมิภาคอาเซียน
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงหมายเลข 222 สายอำเภอพังโคน - จังหวัดบึงกาฬ ตอน อำเภอศรีวิไล - จังหวัดบึงกาฬ ระหว่าง กม. ที่ 97+500 - 113+400 รวมระยะทาง 15.9 กิโลเมตร ในพื้นที่อำเภอศรีวิไล - อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ แล้วเสร็จ รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวประเทศไทย - สปป.ลาว - เวียดนาม - จีน
โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 222 สายอำเภอพังโคน - จังหวัดบึงกาฬ ตอน อำเภอศรีวิไล - จังหวัดบึงกาฬ เป็นโครงการสนับสนุนนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม - โลจิสติกส์ ASEAN Connectivity สร้างโครงข่ายเส้นทางคมนาคมในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งโครงการดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นที่ กม. 97+500 - 113+400 มีระยะทาง 15.9 กิโลเมตร ในพื้นที่ตำบลชมพูพร อำเภอศรีวิไล ถึง ตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ มีรูปแบบการดำเนินการก่อสร้างเป็นการขยายความกว้างของคันทางจากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ผิวจราจรแบบแอสฟัลท์คอนกรีต ความกว้างของช่องจราจร 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.5 เมตร รวมทั้งได้ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เว้นแบ่งทิศทางจราจรด้วยเกาะกลางแบบยกและแผงกั้นถนนคอนกรีต (Concrete Barrier) เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะเขตทางที่มีอยู่ให้เหมาะสมและสร้างความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้ทาง โดยใช้งบประมาณ 544,265,000 บาท
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างดังกล่าวจะช่วยให้การเดินทางสะดวกรวดเร็ว ประชาชนสามารถสัญจรและขนส่งสินค้าจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อีกทั้งเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายการขนส่งระหว่างประเทศไทยด้านจังหวัดบึงกาฬ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) ผ่านไปยังเมืองปากชัน แขวงบอลิคำไซ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ เพิ่มประสิทธิภาพ การขนส่งสินค้าผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมในพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการสนับสนุนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร้านค้าชุมชนมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” สุดคึกคัก จำหน่าย "กะปิคลองโคน-กะปิเกาะช้าง จ.ตราด" ครึ่งกิโลฯ เพียง 30.- บาทเท่านั้น รายได้ทั้งหมดบำรุงมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) | วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
ร้านค้าชุมชนมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” สุดคึกคัก จำหน่าย "กะปิคลองโคน-กะปิเกาะช้าง จ.ตราด" ครึ่งกิโลฯ เพียง 30.- บาทเท่านั้น รายได้ทั้งหมดบำรุงมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)
ร้านค้าชุมชนมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565” สุดคึกคัก จำหน่าย "กะปิคลองโคน-กะปิเกาะช้าง จ.ตราด" ครึ่งกิโลฯ เพียง 30.- บาทเท่านั้น รายได้ทั้งหมดบำรุงมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เปิดเผยว่า จากการร่วมจำหน่ายสินค้าภายในร้านค้าชุมชนกระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ประจำปี 2565” ร่วมกับนางวรสุดา รัตนสุคนธ์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานแม่บ้านกรมการปกครอง นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานแม่บ้านพัฒนาชุมชน นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานแม่บ้านกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนประธานแม่บ้านกรมที่ดิน ผู้แทนประธานแม่บ้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้แทนประธานแม่บ้านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ที่บริเวณสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชน และผู้ที่มาวิ่งออกกำลังกาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานต่าง ๆ มาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าของร้านค้าชุมชนกระทรวงมหาดไทย-สมาคมแม่บ้านมหาดไทย อย่างคึกคัก
โดย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ทรงมีพระดำริให้มีการจัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 ภายใต้แนวคิด “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก”” ในรูปแบบออนกราวน์ (On-ground) เต็มรูปแบบ ในระหว่างวันที่ 2 - 11 ธ.ค. 2565 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและกระทรวงมหาดไทย ได้รับโอกาสให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการออกร้าน เพื่อ “บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังประสบกับสภาวะทางเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้” ผ่านการออกร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดยจัดจำหน่ายสินค้าบริโภค “ช่วยลดค่าครองชีพไม่ต่ำกว่า 50%” มีรายการสินค้าที่ได้รับการคัดสรรมาจำหน่ายในร้านค้าชุมชนฯ ทั้งข้าวสาร-อาหารแห้ง เครื่องปรุง ฯลฯ รวม 10 รายการ ลดราคาตั้งแต่ 50% หรือบางรายการลดมากกว่า 50% ได้แก่
1) ข้าวหอมมะลิ ถุง 5 กิโลกรัม ราคาปกติ 220 บาท ขาย 110.- บาท
2) ไข่ไก่ 1 แผง 30 ฟอง ราคาปกติ 140 บาท ขาย 70.- บาท
3) น้ำพริกปลาร้าบองท่าตูม กระปุก 220 กรัม ราคาปกติ 120 บาท ขาย 60.- บาท
4) ไชโป๊หวานแม่กิมฮวย 200 กรัม ราคาปกติ 45 บาท ขาย 20.- บาท
5) น้ำพริกปลาทูน่ากรอบ กระป๋อง 30 กรัม ราคาปกติ 25 บาท ขาย 10.- บาท
6) น้ำมันหอยตราเด็กสมบูรณ์ ขวด 350 กรัม ราคาปกติ 35 บาท ขาย 15.- บาท
7) น้ำมันพืชตราองุ่น ขวด 1 ลิตร ราคาปกติ 70 บาท ขาย 35.- บาท
8) ซอสปรุงรสตราภูเขาทอง ขวดละ 500 มิลลิลิตร ราคาปกติ 33 บาท ขาย 15.- บาท
9) น้ำตาลตราษฎา ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาปกติ 23 บาท ขาย 10.- บาท
10) นมถั่วเหลืองไวตามิลค์ กล่อง 200 มิลลิลิตร แพ็ค 4 กล่อง ราคาปกติ 37 บาท ขาย 15.- บาท
"และตามคำเรียกร้องของพี่น้องประชาชนภาคีเครือข่ายกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตั้งแต่วันนี้ จะมีสินค้ารายการ "กะปิ คลองโคน สมุทรสงคราม และกะปิเกาะช้าง ตราด " ครึ่งกิโลกรัม ราคาปกติ 80 บาท ลดราคาเกินครึ่ง ขายเพียง 30.- บาท โดยจัดจำหน่ายวันละ 300 กระปุก และจำกัดการซื้อเพียงคนละ 1 กระปุกเท่านั้น" ดร.วันดีฯ กล่าว
ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า ร้านค้าชุมชนกระทรวงมหาดไทย-สมาคมแม่บ้านมหาดไทย มีความตั้งใจที่จะจำหน่ายสินค้าบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หลายรายการ โดยเฉพาะ “ไข่ไก่” ที่มาจำหน่ายราคาเพียงแผงละ 70 บาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และเงินทุกบาททุกสตางค์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย สมาคมแม่บ้านมหาดไทยและกระทรวงมหาดไทย จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยเสด็จพระกุศลสมทบทุนมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ดังนั้น ทุกท่านที่มาซื้อสินค้าของร้านค้าชุมชนฯ นอกจากจะได้สินค้าคุณภาพในราคาประหยัดแล้ว ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทำบุญเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยผ่านมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทยอีกด้วย
"ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนหลายครัวเรือนยังคงประสบกับปัญหาสภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้น้อมนำพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่สามารถปลูกผักสวนครัวรับประทานได้ง่าย ๆ ทั้งในกระถาง และบริเวณพื้นที่ว่างภายในบริเวณบ้าน ซึ่งการปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานในครัวเรือน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายถึงวันละประมาณ 50 บาทต่อครัวเรือนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมที่สร้างความรัก ความอบอุ่นของสมาชิกในครอบครัว และผักที่ได้จากการปลูกยังเป็นผักปลอดสารพิษ ได้คุณค่าทางสารอาหารที่ปลอดภัยกับร่างกายเราเอง และหากมีผักจำนวนมาก ยังสามารถแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน หรือจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้อีกด้วย” ดร. วันดี กล่าวเพิ่มเติม
ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า สมาคมแม่บ้านมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ องค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ ในการพระราชทานก่อตั้ง “มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย” ทำให้คนไทยได้รับการช่วยเหลือ ดูแล ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตในระหว่างและหลังเกิดสถานการณ์สาธารณภัย อันส่งผลให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ทั้งหมดจากการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าชุมชนฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย จะได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสมทบทุนให้กับมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมเลือกซื้อสินค้าร้านค้าชุมชน กระทรวงมหาดไทย – สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ในงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) 2565 “เพื่อนไม่ทิ้งกัน ในยามยาก” ระหว่างวันที่ 2 - 11 ธ.ค. 2565 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อลดค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน และร่วมโดยเสด็จฯ สมทบทุนมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย อันเป็นการปฏิบัติบูชาถวายแด่องค์ประธานกรรมการมูลนิธิฯ และองค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิฯ โดยพร้อมเพรียงกัน
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI
#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข
#SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. เผยทุกพื้นที่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดระยะเร่งด่วน 3 เดือน เน้นการบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน กวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ขยายผลจับกุมผู้เสพผู้ค้า ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกัน | วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
ปมท. เผยทุกพื้นที่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดระยะเร่งด่วน 3 เดือน เน้นการบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน กวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ขยายผลจับกุมผู้เสพผู้ค้า ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกัน
ปมท. เผยทุกพื้นที่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดระยะเร่งด่วน 3 เดือน เน้นการบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน กวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ขยายผลจับกุมผู้เสพ ผู้ค้า ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันปลูกฝังจิตสำนึกให้รู้ทันพิษภัยยาเสพติด
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยทุกพื้นที่เร่งดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะเร่งด่วน 3 เดือนของรัฐบาล มีการดำเนินการเชิงรุกตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝ่ายปกครองเดินหน้าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ขยายผล จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดและนำตัวผู้ป่วยยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดกิจกรรมเชิงบวกต่างๆ เช่น การแข่งขันกีฬา กิจกรรมสันทนาการต่างๆ การสร้างจิตสำนึกให้แก่เด็ก เยาวชน และกลุ่มเสี่ยง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และความความรู้ความเข้าใจถึงพิษภัยของยาเสพติด ซึ่งเป็นการตัดวงจร Demand และ Supply เพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ นำชัยชนะในสงครามยาเสพติดมาสู่พี่น้องประชาชน ซึ่งตัวอย่างการปฏิบัติมีรายละเอียด ดังนี้
1. จังหวัดหนองคาย นายสมควร ใจซื่อ นายอำเภอสังคม/ผอ.ศป.ปส.อ.สังคม พ.ต.อ.เจษฎา คุ้มศาตรา ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรสังคม นายชัยวัฒน์ พรหมพินิจ ปลัดอาวุโส นายสมศักดิ์ สาลี ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง มอบหมายให้ นายนิเวศ ทองจรัส ปลัดอำเภองานป้องกัน พร้อมสมาชิก อส. อ.สังคม บูรณาการกำลังร่วมกับชุดสืบสวน สภ.สังคม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอสังคม ดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะเร่งรัด 3 เดือน (มาตรการที่ 2 มาตรการปราบปรามยาเสพติด ด้านการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ) โดยการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ฯ ผู้ช่วยฯ สารวัตรกำนัน อำเภอสังคม จำนวน 155 คน ปรากฏว่า พบผู้มีสารเสพติดในร่างกายจำนวน 5 คน จึงได้ดำเนินการตามระบบคัดกรอง และมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายกองโท สังคม คัดเชียงแสน ผบ.ร้อย อส.อ.อำเภอแม่สะเรียง ที่ 3 เป็นประธานการประชุมประจำเดือน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้มอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติราชการ รวมถึงการตรวจสารเสพติดให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ด้วยการตรวจปัสสาวะ ตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายหมวดตรีตวงสิทธิ์ ประทินสุขอำไพ ผช.ผบ.ร้อย อส.อ.แม่สะเรียง ที่ 3 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอแม่สะเรียง เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรแม่สะเรียง สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอแม่สะเรียงที่ 3 ร่วมการตรวจในครั้งนี้ ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะ ไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใดและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
3. จังหวัดมหาสารคาม ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดมหาสารคาม โดยการอำนวยการของนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม, นายนพสิทธิ์ อุดมสุวรรณกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม, นายอนุพงศ์ คำภูแก้ว ปลัดจังหวัดมหาสารคาม มอบหมายให้ นายวสุ ยางหงษ์ ป้องกันจังหวัดมหาสารคาม สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดมหาสารคาม นำโดย มว.อ. ภรัณยู มายูร ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดมหาสารคาม และสมาชิก อส.บก.อส.จังหวัดมหาสารคาม ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามยุทธการ “มหาสารคามเมืองปลอดภัยยาเสพติด” ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองมหาสารคาม จากนั้นได้สนธิกำลังร่วมกับฝ่ายความมั่นคงอำเภอโกสุมพิสัย โดยการอำนวยการของนายฉลอง พึ่งโคกสูง นายอำเภอโกสุมพิสัย ขยายผลจับกุมผู้ค้าในเขตพื้นที่ตำบลดอนกลาง อำเภอโกสุมพิสัย โดยมีผลดำเนินการ พบผู้เสพ 1 ราย ตรวจปัสสาวะพบสารเสพติดในร่างกาย และได้ขยายผลจากผู้เสพสามารถจับกุมผู้ค้าในเขตพื้นที่อำเภอโกสุมพิสัยได้ 1 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 91 เม็ด อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก ตรวจปัสสาวะพบสารเสพติดในร่างกาย จึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โกสุมพิสัย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
4. จังหวัดเชียงใหม่ กองกำลังผาเมือง โดยกองบังคับการควบคุมทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ปฏิบัติภารกิจซุ่มโจมตี บริเวณบ้านนามะอื้น ต.แม่อาย อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ พบกลุ่มบุคคลต้องสงสัย 3-5 คน เดินแถวแบกกระสอบ สะพายเป้ เข้ามาในพื้นที่ชายแดนประเทศไทย ลัดเลาะตามป่าเขา จึงแสดงตัวขอตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่ทหาร เจ้าหน้าที่จึงเปิดฉากยิงตอบโต้เกิดการปะทะกันสนั่นป่านานกว่า 5 นาที กระทั่งเสียงปืนสงบ กลุ่มผู้ต้องสงสัยอาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีข้ามแดนกลับไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ที่ปะทะ ตรวจสอบพบกระสอบเป้ 2 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้า 200,000 เม็ด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมเข้มงวดตรวจตราพื้นที่ตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่องป้องกันคาราวานยาเสพติด ลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยต่อไป
5. จังหวัดหนองบัวลำภู สืบเนื่องเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองบัวลำภู จับกุมนายนัด ผู้ต้องหาเสพยาบ้าและรับสารภาพว่าซื้อยาบ้ามาจาก มาจากนายอนุวัฒน์ อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่จึงให้นายนัดทำการล่อซื้อยาเสพติดจากนายอนุวัฒน์ฯ และนัดหมายส่งยาเสพติด ต่อมามีรถยนต์เข้ามาจอด และชาย 2 คน ได้เดินเข้ามาภายในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวทราบชื่อนายธีรเมท อายุ 40 ปี และเข้าตรวจค้นภายในรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับขี่มา จุดที่ 1 พบยาเสพติด (ยาบ้า) ลักษณะกลมแบน สีส้มแดง 895 เม็ด สีเขียว 9 เม็ด รวม 904 เม็ด และจุดที่ 2 พบยาเสพติด (ยาบ้า) ลักษณะกลมแบน จำนวน 20 ถุง สีส้มแดง 3,960 เม็ด สีเขียว 40 เม็ด รวม 4,904 เม็ด จึงได้นำตัวมาทำบันทึกจับกุมที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองบัวลำภู และแจ้งข้อกล่าวหานายธีรเมท ว่าเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย , ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมาย , เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ขณะมีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมแฟตามีน) อยู่ในร่างกายโดยผิดกฎหมาย ส่วนนายอนุวัฒน์อายุ 29 ปี แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ,ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำในตอนท้ายว่า ปัญหายาเสพติด มีผลโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนชาวไทย จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคมไทย แก้ไขปัญหาผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด ให้โอกาสในการกลับตัว กลับใจ กลับไปใช้ชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานความพอเพียงสุจริต และให้โอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม ด้วยพลังของทุกคน ทุกภาคีเครือข่าย จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมที่ปลอดภัย และประเทศชาติมั่นคง ห่างไกลจากยาเสพติดได้ในที่สุด ทั้งนี้ หากผู้ใดพบผู้กระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร 1567 โดยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมดำเนินการตามเบาะแสตลอด 24 ชั่วโมง
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนประชาชนร่วมโหวตใช้เลขสายรถเมล์ใหม่ตามแผนปฏิรูป หรือใช้เลขสายรถเมล์เดิม ในเส้นทางให้บริการพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนประชาชนร่วมโหวตใช้เลขสายรถเมล์ใหม่ตามแผนปฏิรูป หรือใช้เลขสายรถเมล์เดิม ในเส้นทางให้บริการพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
...
กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนประชาชนร่วมโหวตใช้เลขสายรถเมล์ใหม่ตามแผนปฏิรูป หรือใช้เลขสายรถเมล์เดิม ในเส้นทางให้บริการพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
นางสิริรัตน์ วีรวิศาล รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เดินหน้าแผนปฏิรูปเส้นทางรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้โดยสารและสามารถเชื่อมโยงระบบรถโดยสารประจำทางกับระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น ๆ ทั้งระบบราง คือ โครงข่ายรถไฟฟ้าทุกสาย ระบบรถไฟความเร็วสูงที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ระบบเรือโดยสารซึ่งเป็นการเดินทางอีกรูปแบบหนึ่งที่ประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อให้เกิดระบบรถโดยสารประจำทางที่ผู้ใช้บริการปลอดภัย ตัวรถมีสภาพใหม่ สะดวกสบาย เป็นรถที่ใช้พลังงานสะอาด เช่น รถ NEV หรือ EV เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งกำลังเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ โดย ขบ. ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงขอเชิญชวนให้ทุก ๆ ท่านร่วมกันแสดงความเห็นต่อการกำหนดรูปแบบหมายเลขเส้นทางรถโดยสารประจำทางตามแผนการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการจริง ผู้สนใจสามารถร่วมโหวตผ่านทางเพจ facebook ของ ขบ. หรือเว็บไซต์ของ ขบ. โดยรูปแบบในการโหวตแสดงความคิดเห็นจะมี 2 ทางเลือก คือ
- ทางเลือกที่ 1 ใช้หมายเลขเส้นทางใหม่ทั้งหมดตามแผนปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
- ทางเลือกที่ 2 เส้นทางเดิมหรือใกล้เคียงเส้นทางเดิมกลับไปใช้หมายเลขเส้นทางเดิม สำหรับเส้นทางเดิมที่มีการแบ่งเป็นสองเส้นทางหรือสามเส้นทางใช้ตัวอักษรภาษาไทยหรือตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับ ในส่วนของเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน กำหนดให้เป็นเลขใหม่ 3 หลัก
สำหรับประชาชนผู้สนใจสามารถร่วมโหวตผ่านช่องทางดังกล่าวได้ระหว่างวันที่ 6 - 15 ธันวาคม 2565 ทั้งนี้ ขบ. ให้ความสำคัญในการมีส่วนร่วมของประชาชนมาเพื่อร่วมกันกำหนดหมายเลขเส้นทางตามแผนการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และเกิดประโยชน์สูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62371 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. ปลื้ม ทั้งประเทศประกาศเจตนารมณ์รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน ย้ำ มุ่งเดินหน้า "คืนดินดีให้ผืนแผ่นดิน สร้างสรรค์ความสมดุลธรรมชาติ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้แผ่นดินไทยเป | วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
ปมท. ปลื้ม ทั้งประเทศประกาศเจตนารมณ์รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน ย้ำ มุ่งเดินหน้า "คืนดินดีให้ผืนแผ่นดิน สร้างสรรค์ความสมดุลธรรมชาติ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้แผ่นดินไทยเป
ปมท. ปลื้ม ทั้งประเทศประกาศเจตนารมณ์รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในทรัพยากรดิน ย้ำ มุ่งเดินหน้า "คืนดินดีให้ผืนแผ่นดิน สร้างสรรค์ความสมดุลธรรมชาติ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทอง"
วันนี้ (5 ธ.ค.65) เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการจัดงานพิธีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ "วันพ่อแห่งชาติ" ซึ่งในทุกจังหวัด ทุกอำเภอได้มีการจัดกิจกรรมนำพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมพิธีเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งมีทั้งการประกอบพิธีทางศาสนา พิธีสวดพระพุทธมนต์ พิธีบำเพ็ญกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล พิธีร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง การบริจาคโลหิต ฯลฯ นอกจากนี้ วันที่ 5 ธันวาคม ยังเป็นวันสำคัญของประชาคมโลกอีกด้วย นั่นก็คือ วันดินโลก หรือ World Soil Day โดยในปี พ.ศ. 2565 (2022) นี้ มีการรณรงค์ให้คนทั่วทั้งโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของดิน ภายใต้หัวข้อ Soils, where food begins หรือ อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีการประกาศเจตนารมณ์ ว่าจะร่วมส่งเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้คนในชาติได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของดินเเละหันมาอนุรักษ์ทรัพยากรดิน รวมถึงฟื้นฟูดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ สร้างระบบนิเวศที่สมดุล ช่วยกันทำให้ดินแดนมาตุภูมิของพวกเรากลายเป็นผืนแผ่นดินทองดั่งที่โบราณว่าไว้ ว่าเราคือ อู่ข้าวอู่น้ำของโลก
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปวงพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และจดจารึกไว้ในดวงใจอย่างมิเสื่อมคลายกว่า 70 ปี แห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ปวงประชาว่า ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรมทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ สร้างความผาสุกร่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมือง ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ท่านผ่านการทุ่มเทพระวรกายสร้างสรรค์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน 5,151 โครงการ พร้อมเเนวราชดำรัสอีกมากมาย เพื่อให้คนไทยได้ถอดรหัสนำมาประยุกต์ใช้จนกลายเป็นวิถีชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของพี่น้องประชาชนคนไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชปณิธานที่แน่วแน่ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด มุ่งสู่การทำให้ "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานพระราชปณิธาน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งนัยยะที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy :SEP) คือ ต้องรู้จัก ความพอดี พอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ควบคู่กับการมีความรู้เเละคุณธรรม กล่าวโดยสรุปคือ เราต้องรู้จักตัวเอง และประมาณตนว่า ตัวเองมีฐานานุรูปอย่างไร มีเงินเดือนเท่าไร มีหน้าตาทางสังคมอย่างไร ก็ต้องใช้ชีวิตให้พอดีแก่ฐานานุรูปแห่งตนซึ่งสามารถก้าวหน้าได้ คือ การเติบโตในทุกด้าน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งเเวดล้อมไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ส่วนคำว่า มีเหตุมีผล ทุกท่านคงเข้าใจความหมายดีอยู่เเล้ว ว่าต้องอยู่ในหลักความพอดี หากมีความจำเป็นต้องซื้อทรัพย์สิน ก็อย่าให้เดือดร้นจนเกินตัว ต่อมาคือมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะต้องรู้เท่าทันโลกเเละรู้จักพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เช่นในปัจจุบันกระเเสพลวัตรก็เปลี่ยนเเปลงไปโลกของเราทุกอย่างคือความรวดเร็วเป็นยุคที่เรียกว่า Disruptive การขายสินค้าถ้าเราอยากจะเพิ่มรายได้ก็ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า หรือ แพลตฟอร์มที่มีสู่ระบบออนไลน์ หรือตลาด อื่น ๆ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าถ้าเราเข้าใจบริบทนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้ 2 เงื่อนไข คือ การมีความรู้ เเละการมีคุณธรรม อยู่บนพื้นฐานความถูกต้องไม่ไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญ หรือเบียดเบียนผู้อื่น หากเราปฏิบัติเช่นนี้จนนำมาสู่วิถีชีวิต หรือ Way of life ได้ ก็จะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมที่เป็นสุข สิ่งเเวดล้อมที่ดีชุมชน สังคมประเทศชาติของเราก็จะดีตามมา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสวันดินโลก ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี และเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการฟื้นคืนชีพ คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทย และชาวโลก ด้วยการพระราชทานแนวพระราชดำริต่าง ๆ จนเกิดผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาคมโลก จนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (IUSS) ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล "นักวิทยาศาสตร์ดิน เพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Soil Scientist)" เป็นพระองค์แรกของโลก องค์การสหประชาชาติ และได้ประกาศสดุดีพระเกียรติคุณ โดยรับรองให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก และบรรจุในปฏิทินการปฏิบัติงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และประเทศสมาชิกทั่วโลกจะร่วมกันจัดกิจกรรมในวันสำคัญนี้ กระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะสร้างความตระหนักรู้ความสำคัญของดินที่ช่วยสร้างแหล่งอาหาร ทำให้พืชผลสามารเจริญงอกงามผลิดอกออกผลทั่วสารทิศ หล่อเลี้ยงทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดิน ทำให้แนวคิดแผ่นดินทองสามารเกิดขึ้นได้จริง โดยผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอจึงร่วมกับผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น พี่น้องประชาชนจิตอาสา และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกัน ประกาศเจตนารมณ์เพื่อสืบสานรักษาความอุดมสมบูรณ์แห่งดิน และต่อยอดขยายผลกิจกรรมสร้างความมั่นคงทางอาหาร Change for Good เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งมีข้อความการประกาศเจตนารมณ์ว่า "ข้าพเจ้า / จะสืบสานศาสตร์พระราชา / เพื่อพัฒนาดินอย่างยั่งยืน ข้าพเจ้า / จะรักษาความอุดมสมบูรณ์แห่งดิน / เพื่อเป็นแหล่งสร้างอาหารที่มีคุณภาพ ข้าพเจ้า / จะต่อยอด ขยายผล / ขับเคลื่อนเครือข่ายพลังแผ่นดิน / สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน"
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ วันนี้ยังได้รับรายงานข้อมูลความคืบหน้าแบบรายงาน add event ของอำเภอ/จังหวัด วันที่ 5 ธ.ค. 65 เมื่อประมาณ 13.30 น. จากทีมบริหารข้อมูลและประเมินผลโดยในขณะนี้ มีอำเภอ/จังหวัด ดำเนินการบันทึกข้อมูลแล้วทั้งสิ้น 891 พื้นที่ ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจแล้วกว่า 30,000 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่พอใจมากถึงมากที่สุด ในส่วนการรับรู้ และความตระหนักในทรัพยากรดิน อยู่ในระดับมาก ไปจนถึงมากที่สุด ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี กิจกรรมงาน วันดินโลก ปี 2022 ของกระทรวงมหาดไทย ได้มีการกำหนดจัดกิจกรรมตั้งเเต่ วันที่ 2 ธ.ค. 65 ไปจนถึงวันที่ 8 ธ.ค. 65 เรียกว่าเป็นสัปดาห์แห่งการตระหนักรู้ "Awareness week" ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ต่อเนื่องตลอด 7 วัน ภายใต้แนวคิด “Great food from good soil for better life awareness week” หรือ “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” ซึ่งจะขับเคลื่อนในพื้นที่ นำร่อง จ.อุบลราชธานี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทุก และภาคส่วนรับรู้และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญทรัพยากรดินในการดูแลฟื้นฟูบำรุงดินที่เป็นแหล่งกำเนิดของอาหารและสิ่งมีชีวิตนานับประการ ซึ่งกิจกรรม Highlight ในวันสุดท้าย คือ วันที่ 8 ธค. 2565 จะจัดขึ้นที่ ศูนย์พุทธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดป่าดงใหญ่วังอ้อ อ.เขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในรับความเมตตาจากพระพิพัฒน์วชิโรภาส มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เป็นเจ้าภาพหลักที่ คือ กรมการปกครอง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับกิจกรรมที่สำคัญและน่าสนใจมากในวันนั้น คือ กิจกรรมที่เป็นความร่วมมือภายใต้ MOU ระหว่าง (กระทรวงมหาดไทย + มหาเถรสมาคม และ สจล.) ที่วัดเกือบทุกวัด ในจังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่อื่น ๆ ได้ตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมในวันดินโลก เพื่อประกาศเจตนารมย์ร่วมกัน มีประชาชนเข้าร่วมพื้นที่แต่ละวัดประมาณ 100 คน รวมทั้งสิ้นคาดว่า มีคนเข้าร่วม สร้างการรับรู้กว่า 60,000 คน ผ่านการทำงานสาธารณสงเคราะห์ หรือ หลัก "บวร" พร้อมถ่ายทอดผ่านระบบ Zoom จากสถานีแม่ข่ายหลัก ที่วัดป่าดงใหญ่วังอ้อ อ.เขื่องใน ไปยังพื้นที่วัด หรือที่สาธารณะในชุมชนที่ทางอำเภอต่าง ๆจัดเตรียมไว้ กิจกรรมต่อมามีชื่อว่า "ถนนสายวัฒนธรรม" ทาน ศีล ภาวนา ทำจิตอาสาพัฒนาดิน พัฒนาพื้นที่ มีอาหารผลผลิตที่เกิดจากดิน มาใส่บาตร แบ่งปันกัน มีการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูบำรุงดิน ห่มดิน ใส่ปุ๋ยจากวัตถุดิบธรรมชาติ ทำปุ๋ยหมัก-นำ้หมัก และอื่น ๆ ที่เป็นการร่วมกันเทิดพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศล ตลอดจนร่วมกันเสริมสร้างการตระหนักรู้ ในการดูแลทรัพยากรดิน ภายใต้ Theme หัวข้อประกวดของ FAO องค์การอาหารและเกษตรกรรม แห่งสหประชาชาติ ว่า Soils: where food begins (อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน)
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
ก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. และนายกสมาคมแม่บ้าน ฯ นำข้าราชการและภาคีเครือข่าย ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ | วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
ปมท. และนายกสมาคมแม่บ้าน ฯ นำข้าราชการและภาคีเครือข่าย ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ
ปลัดมหาดไทย และนายกสมาคมแม่บ้าน ฯ นำข้าราชการและภาคีเครือข่ายกระทรวงมหาดไทย ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำข้าราชการและภาคีเครือข่ายกระทรวงมหาดไทย ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565
วันนี้ (5 ธ.ค. 65) เวลา 06.30 น. ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงษ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางสาวปาณี นาคะนาท หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายมานิต ปานเอม ผู้ว่าการการประปานครหลวง นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย นายธนิต ธนเสนีวัฒน์ รองผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร รองประธานกรรมการองค์การตลาด ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การตลาด นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิรวรรณ เพ็ญพาส ผศ.ดร.ศศิธร จันทมฤก นางปวีณ์ริศา เกิดสม นางวรสุดา รัตนสุคนธ์ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ร่วมในพิธี
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูง และภาคีเครือข่าย ร่วมตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 20 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล โดยได้รับเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระเทพวัชรเมธี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย รองเจ้าคณะภาค 6 - 7 (ธ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นำพระภิกษุสงฆ์และสามเณร รับบิณฑบาต เสร็จแล้ว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย วางพุ่มดอกไม้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และจุดเครื่องทองน้อย เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ตามลำดับ
จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำผู้ร่วมพิธีฯ กล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ใจความโดยสรุปว่า “ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างน้อมจิตมั่นร้อยรวมดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ที่ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี แห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธาณ ด้วยพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่น ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์โดยถ้วนหน้า ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระราชวิริยอุตสาหะ เพื่อให้ทวยราษฎร์มีความผาสุกร่มเย็นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทรงค้นคิดวิธีคลี่คลายบรรเทาปัญหาของราษฎรผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทาน "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่มากกว่า 40 ทฤษฎี" เพื่อเป็นแนวทางให้ราษฎรพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน และใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลงานโครงการพระราชดำริมากกว่า 5,151 โครงการ อันเกิดจากพระปรีชาสามารถของพระองค์ ล้วนได้รับการยกย่องสดุดีพระเกียรติคุณ ทั้งภายในประเทศและจากนานาประเทศว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและอำนวยประโยชน์อย่างยิ่งแก่ปวงพสกนิกรไทย ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจแก่ประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ที่ทรงมีต่อปวงประชาประดุจดั่ง "พ่อของแผ่นดิน" พระองค์จึงสถิตแนบแน่นอยู่ในดวงหทัย ทั้งทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นกำลังใจ และกำลังศรัทธาของชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ขอร่วมจิตพร้อมน้อมแสดงความจงรักภักดี เทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมตราบนิจนิรันดร์”
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อพวกเราชาวไทยอย่างอเนกอนันต์ ด้วยการทำความดีเพื่อปฏิบัติบูชาน้อมถวายเป็นพระราชกุศล ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ โครงการพระราชดำริมาทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อาทิ การปลูกผักสวนครัว สร้างความมั่นคงด้านอาหาร เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เพื่อมีอาหารไว้รับประทานในครัวเรือน ตามหลักการพึ่งพาตนเอง รวมทั้งน้อมนำพระราชดำริ ด้านการพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งพระองค์ได้รับการถวายการยกย่องจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ให้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งดินโลก” และกำหนดให้ในวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันดินโลก ซึ่งทุกจังหวัดได้มีการจัดกิจกรรม และปฏิญาณตนเนื่องในวันดินโลกในวันนี้ เพื่อทำให้เราทุกคนได้เป็นพลเมืองที่ดีของโลกในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรดิน อันสะท้อนถึงการเป็นลูกที่ดีของพระองค์ เพื่อทำให้ประเทศชาติและโลกใบเดียวนี้ของพวกเราทุกคนมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ยังประโยชน์ให้ลูกหลานคนรุ่นต่อ ๆ ไปได้มีอนาคต มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังพระราชประสงค์ที่พระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่างไว้ให้กับพวกเราคนไทย ให้ยั่งยืนสืบไป
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมเยาวชนเห็นคุณค่าความสำคัญของภาษาไทย ส่งผลงานประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ย้ำขอให้อนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้าน เอกลักษณ์ของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
นายกฯ ชื่นชมเยาวชนเห็นคุณค่าความสำคัญของภาษาไทย ส่งผลงานประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ย้ำขอให้อนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้าน เอกลักษณ์ของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
นายกฯ ชื่นชมเยาวชนเห็นคุณค่าความสำคัญของภาษาไทย ส่งผลงานประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ย้ำขอให้อนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้าน เอกลักษณ์ของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (6 ธันวาคม 2565 ) เวลา 08.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลการประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ภายใต้แนวคิด “ภาษาจรรโลงใจ” พร้อมทั้งมอบโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณและกล่าวให้โอวาท ซึ่งนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำผู้ชนะรางวัลเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีเพื่อรับโล่รางวัล โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมในพิธี
ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติได้ดำเนินโครงการรักษ์ภาษาไทย สานคุณค่าและความสำคัญแห่งความเป็นไทย เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 โดยจัดให้มีกิจกรรมการประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ภายใต้แนวความคิด “ภาษาจรรโลงใจ” เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติ ให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนนำไปสู่การร่วมมือร่วมใจทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติไทยให้คงอยู่ตลอดไป อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิตและนักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกทางทักษะการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง งดงาม โดยสร้างสรรค์ออกมาในเชิงศิลปะ รวมทั้งเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมผู้ที่ได้รับรางวัลฯ พร้อมขอบคุณเยาวชนทุกคนที่ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดการแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ภายใต้แนวความคิด “ภาษาจรรโลงใจ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย การแสดงออก และถ่ายทอดคุณค่าทักษะการใช้ภาษาไทยมารังสรรค์ในด้านความบันเทิง โดยสอดแทรกคติแนวคิดในเชิงสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะดนตรีพื้นบ้านของไทยในด้านการขับร้องเพลงฉ่อย และสืบสาน เอกลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี และค่านิยมที่ดีงามของชาติไทยที่มีมาอย่างยาวนานไปสู่เยาวชนคนรุ่นหลังถือเป็นส่วนสำคัญของประเทศที่ช่วยขับเคลื่อนเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติให้สืบต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมุ่งหวังให้เยาวชนไทยทุกคนมีความรัก ความสามัคคีปรองดองต่อประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยทุกคนต้องรวมพลังเพื่อประเทศชาติในอนาคตเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และขอให้รักษาสิ่งที่ดีงามให้ยังคงไว้ขยายผลสู่คนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต
สำหรับทีมที่ได้รับรางวัลการประกวดแต่งบทเพลงและการแสดงพื้นบ้าน “ฉ่อย” ภายใต้แนวคิด “ภาษาจรรโลงใจ” มีจำนวน 5 รางวัล ดังนี้ 1. รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีมปัญจรส บทเพลง “ปังปุริเย่ สุดเท่ภาษาไทย” จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า 2. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ ทีมรวมพลคนร้องฉ่อย บทเพลง “ภาษาไทย ภาษาชาติ” จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร 3. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ ทีมห้ากุมาร บทเพลง “ภาษาสุนทรีย์ กวีพาเพลิน” จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร และ 4. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ทีมวงดอกคูณ บทเพลง “ยิ้มไหว้ทักทายกัน” จาก โรงเรียนอู่ทองศึกษาวิทยาลัย และทีมศรีสมเด็จบทเพลง “สืบสาวภาษา” จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
*********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. มีมติขยายกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ รูปแบบโครงการเช่าระยะสั้น (Rental) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน) | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม. มีมติขยายกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ รูปแบบโครงการเช่าระยะสั้น (Rental) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน)
ครม. มีมติขยายกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ รูปแบบโครงการเช่าระยะสั้น (Rental) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน) ระยะเวลาโครงการ 3 ปี และแยกบัญชีเป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 6 ธันวาคม 2565 มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ขยายกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ กรณีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ รูปแบบโครงการเช่าระยะสั้น (Rental) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เนื้อที่ประมาณ 3-1-91 ไร่ มีระยะเวลาโครงการ 3 ปี และ ให้ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ ธ.ออมสิน แยกบัญชีโครงการฯ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Accout: PSA) และไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคาร รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ต่อไป โดยที่ ธอส. และ ธ.ออมสินจะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบฯ สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐแบบเช่าระยะสั้น (Rental) เป็นโครงการเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาทในวันที่ยื่นขอรับสิทธิเช่าพักอาศัยเป็นรายเดือน ค่าเช่าอาคารชุดพักอาศัยไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท และปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 15 ทุก 5 ปี และสามารถพักอาศัยได้เป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงรุ่นผู้อยู่อาศัยโดยเปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่อาศัยแทน ซึ่งผู้ประกอบการลงทุนก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยจะได้สิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุและการบริหารอาคารชุดพักอาศัยระยะเวลา 30 ปี (ไม่รวมระยะเวลาก่อสร้าง) โดยได้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2559 โดยขณะนี้มีโครงการเช่าระยะสั้น หมายเลขทะเบียนที่ กท.5050 กทม. และ ส.กท.827 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการแต่ไม่แล้วเสร็จเกิดความล่าช้าเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และกำหนดโครงการสิ้นสุดไปแล้วเมื่อ 18 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. จึงมีมติให้ขยายกรอบการดำเนินโครงการ 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
“ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนมีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย และสามารถใช้ประโยชน์บนที่ดินราชพัสดุได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ที่ประชุม ครม. จึงมีความเห็นให้ ธอส. และ ธ.ออมสิน คัดกรองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและให้มีการติดตามและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ขยายกรอบการดำเนินโครงการไว้” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62369 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. พร้อมช่วยเหลือคุณยายวัย 88 ปี สู้คดีจนถึงที่สุด ที่ จ.แพร่ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
พม. พร้อมช่วยเหลือคุณยายวัย 88 ปี สู้คดีจนถึงที่สุด ที่ จ.แพร่
พม. พร้อมช่วยเหลือคุณยายวัย 88 ปี สู้คดีจนถึงที่สุด ที่ จ.แพร่
วันนี้ (6 ธ.ค. 65) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึง กรณี คุณยายอายุ 88 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว นั่งรถเข็นวีลแชร์ พร้อมด้วยลูกชายและลูกสะใภ้ เดินทางมาที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแพร่ (สนง.พมจ.แพร่) เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องการต่อสู้คดี และขอรับบริจาคเงินเพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้คดี เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่า วันนั้น เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแพร่ได้เข้าไปพูดคุยสอบถามคุณยาย โดยได้ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ให้มาพบคุณยายและรับเรื่องที่สำนักงาน พมจ.แพร่ เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดช่วยเหลือเรื่องการต่อสู้คดี ในขณะเดียวกัน ได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดมารับเรื่องการขอเงินช่วยเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจากกองทุนยุติธรรม โดยได้นัดคุณยายเตรียมเอกสารต่างๆ มาให้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (2 ธ.ค. 65)
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ได้ประสานทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่เยี่ยมบ้านคุณยายเพื่อสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ก่อนวางแผนการให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่คุณยาย นอกเหนือจากเรื่องคดีความ อาทิ การช่วยเหลือด้านผู้สูงอายุ ความพิการ สุขภาพกายและจิตใจ เป็นต้น ซึ่งวันนี้ (6 ธ.ค. 65) และวานนี้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแพร่ พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านคุณยายแล้ว ในเบื้องต้น ได้ปรับปรุงข้อมูลบัตรประจำตัวคนพิการของคุณยายให้เป็นปัจจุบัน ให้คำปรึกษาแนะนำกระบวนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย (ตามแบบ กม.1) ดำเนินเรื่องขอเงินสงเคราะห์และการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเรื่องการขอรับบริจาคเพื่อต่อสู้คดีนั้น ได้แนะนำว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐให้ความช่วยเหลือคุณยายจนครบทุกกระบวนการก่อน หากความช่วยเหลือไม่เพียงพอ แล้วจึงขอรับบริจาค ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการเรื่องคดีความ ซึ่งกระทรวง พม. ไม่ได้นิ่งนอนใจในการช่วยเหลือคุณยายตั้งแต่แรกที่มาขอความช่วยเหลือ หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อน ทางสังคม สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด ศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62356 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เดินหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID)ในไทย | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ครม. เดินหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID)ในไทย
ครม. เดินหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID)ในไทย
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) วันที่ 6 ธันวาคม 2565 รับทราบรายงานตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สำหรับรายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) แบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ ความคืบหน้าด้านกฎหมาย อาทิเช่น การยืนยันตัวตนจะกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีอื่นนอกจากการแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทางก็ได้ ถ้าวิธีอื่นดังกล่าวนั้นจะเป็นการสะดวกแก่ประชาชนยิ่งขึ้นซึ่งบัญญัติใน มาตรา 8 วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2565 และยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์การดูแลผู้ให้บริการการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ที่จะบัญญัติไว้ใน ร่าง พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... ที่ ครม. มีมติอนุมัติหลักการไปเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งความคืบหน้าด้านกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะรองรับการนำโครงสร้างพื้นฐานด้านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลไปปรับใช้กับการให้บริการของหน่วยงานรัฐและเอกชน
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ด้านที่สองคือ ด้านการจัดทำมาตรฐานทางด้านเทคนิคหรือแนวทางการพัฒนาและใช้งานระบบ Digital ID ของประเทศ เพื่อให้การพัฒนาและใช้งานมีมาตรฐานระดับสากล ลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ซึ่งความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้
1. มาตรฐานกลางสำหรับภาคส่วนต่าง ๆ นำไปใช้งาน 6 ฉบับ ได้แก่
1.1 ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ว่าด้วยการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล คือ 1.กรอบการทำงาน 2.ข้อกำหนดการพิสูจน์ตัวตน 3.ข้อกำหนดการยืนยันตัวตน
1.2 ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ว่าด้วยเทคโนโลยีชีวมิติ คือ การใช้งานเทคโนโลยีชีวมิติสำหรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตน เล่ม 1 และ เล่ม 2
1.3 ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ว่าด้วยการทดสอบสมรรถนะการทำงานเทคโนโลยีชีวมิติ
2. มาตรฐานสำหรับหน่วยงานของรัฐ 3 ฉบับ ได้แก่ 1.ประกาศคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เรื่อง มาตรฐานและหลักเกณฑ์การจัดทำกระบวนการและการดำเนินงานทางดิจิทัลว่าด้วยเรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีสำหรับบริการภาครัฐสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย 2.มาตรฐานรัฐบาลดิจิทัลว่าด้วยแนวทางการจัดทำกระบวนการและการดำเนินงานทางดิจิทัลเรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีสาหรับบริการภาครัฐ-ภาพรวม (เวอร์ชัน 1.0) และ 3.มาตรฐานรัฐบาลดิจิทัลว่าด้วยแนวทางการจัดทำกระบวนการและการดำเนินงานทางดิจิทัลเรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีสาหรับบริการภาครัฐ-การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับบุคคลธณรมดาที่มีสัญญาติไทย (เวอร์ชัน 1.0)
นอกจากนี้ ครม. ยังรับทราบรายงานกรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 (2565-2567) และแผนปฏิบัติการตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอด้วย โดยมีรายละเอียดกลยุทธ์หลัก 8 หลักการ คือ
1. Digital ID ครอบคลุมบุคคล นิติบุคคล และบุคคลต่างชาติ พร้อมรองรับการยืนยันตัวตน การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ การมอบอำนาจ และการให้ความยินยอมทางอิเล็กทรอนิกส์
2. ประชาชนสามารถเลือกใช้ Digital ID ในระดับความเชื่อมั่นที่เหมาะสมในการเข้าถึงบริการออนไลน์ของภาครัฐและเอกชน
3. กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลและบริการสนับสนุนการพิสูจน์ตัวตนให้กับผู้พิสูจน์และยืนยันตัวตน (Identity Provider: IdP)
4. การใช้ Digital ID ในการทำธุรกรรมของนิติบุคคลเป็นการใช้ Digital ID บุคคลธรรมดาของผู้มีอำนาจของนิติบุคคลนั้นร่วมกับการมอบอำนาจ หากจำเป็น
5. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือของนิติบุคคลเพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมของนิติบุคคลผ่าน Digital ID
6. ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่น่าเชื่อถือและประชาชนใช้งานอย่างกว้างขวางโดยไม่ต้องลงทะเบียนพิสูจน์ตัวตนซ้ำซ้อนด้วยมาตรฐานสากลแบบเปิด
7. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนดนโยบาย Digital ID ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงการพัฒนามาตรฐานกลางที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ของรัฐและเอกชนมีมาตรฐานสอดคล้องกันและเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ โดยหน่วยงานกำกับในแต่ละภาคส่วนนำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกำหนดนโยบายเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับบริการหรือธุรกิจที่กำกับหรือดูแล
8. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) พัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ เพื่อให้บริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ของรัฐและเอกชนได้มาตรฐานสอดคล้องกันและเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
“สำหรับการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล ประกอบด้วย 2 ระบบ คือ 1.ระบบ FVS หรือ Face Verification Service เช่น พัฒนาระบบ FVS เพื่อให้บริการตรวจสอบภาพใบหน้ารองรับธุรกรรมสูงสุด 60 รายการต่อวินาที (5 ล้านรายการต่อวัน) และการตรวจสอบภาพใบหน้าใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก พร้อมภาพใบหน้าเพื่อตรวจสอบกับระบบ FVS และ 2.ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล DOPA-Digital ID และแอปพลิเคชัน D.DOPA เช่น ขยายระบบรองรับผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน D.DOPA เป็น 60 ล้านคน รองรับการยืนยันตัวตนสูงสุด 100 ธุรกรรมต่อวินาที และรองรับการพิสูจน์ตัวตนโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานเขตหรืออำเภอเพื่อรองรับการลงทะเบียนในการพิสูจน์ตัวตนด้วยตนเองโดยใช้ภาพใบหน้าตามระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์ตัวตน (Identity Assurance Level: IAL) ที่ระดับ IAL 2.3” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62368 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดอบรม อพม.ใหม่ ขยายเครือข่ายคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พร้อมเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รมว.พม. เปิดอบรม อพม.ใหม่ ขยายเครือข่ายคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พร้อมเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก
รมว.พม. เปิดอบรม อพม.ใหม่ ขยายเครือข่ายคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พร้อมเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65เวลา 15.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเปิดการอบรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.)ใหม่ เพื่อการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จำนวน 120 คน จากนั้นเป็นประธานเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลท่างาม พร้อมทั้งมอบงบประมาณโครงการบ้านพอเพียงชนบทจำนวน 5 หลัง และมอบถุงยังชีพแก่ครัวเรือนเปราะบาง จำนวน 50 ครัวเรือน โดยมีนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้บริหารหน่วยงานท้องถิ่น และผู้แทนชุมชน เข้าร่วมงาน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลท่างาม จะเป็นศูนย์กลางการให้บริการสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือสำหรับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ด้วยบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ( One Stop Service) ซึ่งเป็นการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนงานของกระทรวง พม. ในการพัฒนาสังคมและส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับประชาชนในระดับพื้นที่ โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมทั้ง อพม. เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มั่นคงสำหรับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งกลุ่มเปราะบาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชมนิทรรศการผลงานการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เน้นย้ำให้นักเรียนภาคภูมิใจ รักความเป็นไทย มีความรู้ เข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
นายกฯ ชมนิทรรศการผลงานการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เน้นย้ำให้นักเรียนภาคภูมิใจ รักความเป็นไทย มีความรู้ เข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย
นายกฯ ชมนิทรรศการผลงานการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เน้นย้ำให้นักเรียนภาคภูมิใจ รักความเป็นไทย มีความรู้ เข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย ชื่นชมการดำเนินงานของ ศธ.-โรงเรียนสังกัด สพฐ. นำนโยบายนายกฯ ไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (6 ธ.ค.65) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการ “การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์” ตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ พัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ให้น่าสนใจ โดยกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายด้านการศึกษาที่จะดำเนินการขับเคลื่อนในปี พ.ศ. 2566 โดยพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมให้มีความทันสมัย น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น และการเสริมสร้างวิถีชีวิตของความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง โดยจะขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนในการดำเนินการด้านประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างระบบการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการส่งเสริมปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน โดยมีนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมด้วยนายนรามินท์ พุ่มพวง นักเรียนโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายเกียรติกานต์ อินต๊ะแก้ว นักเรียนโรงเรียนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นำเยี่ยมชม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการ “การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 4 ประเด็น ได้แก่
(1) กรอบโครงสร้าง 8+1 เป็นการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การบริหารจัดการโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 1 รายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ทั้งในมิติของการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้
(2) การนำเสนอ Best practice จากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แก่ โรงเรียนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอในหัวข้อ “เรียนรู้ประวัติศาสตร์ใกล้ตัว สู่การสร้างสรรค์ชุมชนอย่างยั่งยืน” ที่มุ่งเน้นการหาความรู้จากชุมชนใกล้ตัวของผู้เรียน และจัดทำสื่อถ่ายทอดประสบการณ์ลงสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Podcast TikTok Live เพื่อสร้างการรับรู้ในประวัติความเป็นมา ผลิตภัณฑ์ชุมชน จุดเด่น เอกลักษณ์ และความภาคภูมิใจ การจัดทำสื่อ รวมทั้งโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำเสนอหัวข้อ เรียนรู้อย่างภูมิใจ สู่นักประวัติไทยรุ่นเยาว์
(3) การนำเสนอสาธิตและมอบสื่อบอร์ดเกมส์ จากมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้บอร์ดเกมในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนรู้อื่น ๆ ให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่หลากหลาย สะท้อนภาพของความคิดสร้างสรรค์ของผู้ออกแบบ นำไปสู่ความรู้ ทักษะ เจตคติ และความสุขของผู้เล่น รวมถึงเกิดความรู้แก่ผู้สอนที่พัฒนาบอร์ดเกมหรือทั้งผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันพัฒนาบอร์ดเกม ซึ่งเป็นการสร้างการเรียนรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ได้อย่างแยบยล ผ่านการเล่นบอร์ดเกมรวมทั้งสร้างปฏิสัมพันธ์ และการเรียนรู้แบบ Active Learning ระหว่างครูและผู้เรียน และระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง สามารถบูรณาการกับหลักสูตรการเรียนตามช่วงชั้นที่บูรณาการเนื้อหาในรายวิชาต่าง ๆ เช่น ภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ส่งผลให้มีทัศนคติ/เจตคติที่ดีต่อตนเอง สังคม ชุมชน ประเทศชาติ
(4) การนำเสนอสื่อและแหล่งเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสื่อประวัติศาสตร์แบบใหม่ ในรูปแบบสื่อการ์ตูนแอนิเมชั่น สื่อบอร์ดเกม และสื่อการเรียนรู้นอกห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Field Trip) สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (AR : Augmented Reality) สื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย เช่น สื่อการ์ตูนแอนิเมชั่น “จิตตนคร” คุณธรรม นำสู่คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สื่อการ์ตูนแอนิเมชั่น “สัมมาทิฏฐิ” คำสอนสำคัญเสมือนกุญแจที่จะไขไปสู่พระธรรมคำสอน สื่อการ์ตูนแอนิเมชั่น (Animation) THE DIARY ย้อนเวลาสู่อดีต เพื่อการเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย สื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ นอกห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Field Trip) เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย 3 สมัย สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (VR : Augmented Reality) การเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ ผ่านธนบัตรไทยรัชกาลที่ 10 เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว เป็นต้น
นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดำเนินงานการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ของกระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ที่นำนโยบายนายกรัฐมนตรีไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติจนเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเน้นย้ำมุ่งเน้นการเรียนการสอนในทุกวิชาในรูปแบบ Active Learning ระหว่างครูและผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ไปด้วยกัน รวมไปถึงการศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในชุมชนและท้องถิ่น และประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อให้เด็กนักเรียนและเยาวชนได้รู้จักรากเหง้าความเป็นมาของตนเองตั้งแต่อดีตจนพัฒนามาถึงปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรักภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเองและประเทศชาติ ทำให้เกิดความรักสามัคคีและร่วมมือกันในการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมกับขอให้ครูมีการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องให้ทันกับสถานการณ์ และนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชมการสาธิตการใช้สื่อบอร์ดเกมส์และทดลองใช้สื่อบอร์ดเกมส์ พร้อมรับมอบสื่อบอร์ดเกมส์จากนายเชื้อพร รังควร มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีเยาวชนไทย สร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศ-รองชนะเลิศอันดับ 2 การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ปี 2565 จากประเทศเยอรมนี | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
นายกฯ ยินดีเยาวชนไทย สร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศ-รองชนะเลิศอันดับ 2 การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ปี 2565 จากประเทศเยอรมนี
นายกฯ ยินดีเยาวชนไทย สร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศ-รองชนะเลิศอันดับ 2 การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ปี 2565 จากประเทศเยอรมนี แนะให้นำความสำเร็จเป็นแรงผลักดัน ต่อยอดพัฒนาหุ่นยนต์ให้ไปไกลขึ้น
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า วันนี้ (6 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจาย์ ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายจักรริน จันทรวิสูตร ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกมมาโก้ (ประเทศไทย) จำกัด และตัวแทนเยาวชน ทีม ThaiHerbGood และทีม PANYA ROBOT เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดแสดงผลงานเยาวชนจากการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ประจำปี 2565 ณ เมืองดอร์ทมุนต์ ประเทศเยอรมนี (World Robot Olympiad 2022) โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสำเร็จของตัวแทนเยาวชนทีม ThaiHerbGood จากโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง จังหวัดลำปาง ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ และทีม PANYA ROBOT จากสถาบันปัญญาโรบอท กรุงเทพฯ ที่คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ประจำปี 2565 พร้อมชื่นชมเยาวชนที่นำความรู้ ความสามารถมาสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประเทศไทย โดยขอให้นำความสำเร็จครั้งนี้ไว้เป็นแรงผลักดันเพื่อต่อยอดพัฒนาหุ่นยนต์ให้ไปไกลขึ้นและทำตามฝันที่วางไว้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบภาพวาดเหมือนนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำมัน วาดโดยเด็กชายนนท์ฐกานต์ เกษร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง จังหวัดลำปาง ด้วย
ทั้งนี้ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และบริษัท แกมมาโก้ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ FIRST LEGO League Thailand 2022/2023 ขึ้น ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลองห้า ปทุมธานี ในระหว่างวันที่ 2 - 4 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเยาวชนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่สนใจการพัฒนาและออกแบบหุ่นยนต์ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันฯ ดังกล่าว สามารถติดตามรายละเอียดได้เร็ว ๆ นี้ ทางเว็บไซต์ www.nsm.or.th หรือ Facebook : NSMThailand
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงค่าเสี่ยงภัยโควิดที่ได้รับจัดสรรมีการเบิกจ่ายเกือบ 100% แล้ว เร่งทำคำของบกลางเพิ่มกลุ่มตกหล่น-ค้างจ่าย | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
สธ. แจงค่าเสี่ยงภัยโควิดที่ได้รับจัดสรรมีการเบิกจ่ายเกือบ 100% แล้ว เร่งทำคำของบกลางเพิ่มกลุ่มตกหล่น-ค้างจ่าย
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจงค่าเสี่ยงภัยโควิดที่ได้รับจัดสรร ขณะนี้เบิกจ่ายในส่วนงบเงินกู้แล้ว 8.5 พันล้านบาท คิดเป็น 85% ส่วนงบกลางเบิกจ่ายแล้ว 845 ล้านบาท
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจงค่าเสี่ยงภัยโควิดที่ได้รับจัดสรร ขณะนี้เบิกจ่ายในส่วนงบเงินกู้แล้ว 8.5 พันล้านบาท คิดเป็น 85% ส่วนงบกลางเบิกจ่ายแล้ว 845 ล้านบาท คิดเป็น 97% เร่งรัดเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้น ส่วนกรณีตกหล่นและค้างจ่ายอีก 3 เดือน จะรวบรวมทำคำของบกลางเพิ่มเติมเพื่อเบิกจ่ายต่อไป
วันนี้(6 ธันวาคม 2565)นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการจ่ายค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานโควิด 19 ว่า หลังกระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิดจากสำนักงบประมาณ ได้จัดสรรลงพื้นที่และมีการเบิกจ่ายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากระบบ GFMIS วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เงินค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิดจากแหล่งงบประมาณ 2 ส่วน คือ 1.งบเงินกู้ สำหรับค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิดในกลุ่มบุคลากรวิชาชีพ จำนวนรวม 10,024,121,605.03 บาท เบิกจ่ายแล้ว 8,596,739,717.82 บาท คิดเป็น 85.76% คงเหลือ 1,427,381,887.21 บาท และ2.งบกลางค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิดในกลุ่มสนับสนุนการปฏิบัติงาน จำนวนรวม 871,203,436 บาท เบิกจ่ายแล้ว 845,500,942.76 บาท คิดเป็น 97.04% คงเหลือ 25,702,493.24 บาท
"ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยโควิดทั้ง 2 ส่วนจะเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว สำหรับบุคลากรสายวิชาชีพและสายสนับสนุนที่ตกหล่น รวมถึงที่ยังค้างจ่ายอีก 3 เดือน คือ กรกฎาคม - กันยายน 2565 และบุคลากรของหน่วยงานนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนเสี่ยงภัย จะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการของบกลางจากรัฐบาลมาจ่ายเพิ่มเติมต่อไป" นพ.ทวีศิลป์กล่าว
สำหรับขั้นตอนการเสนอของบกลางค่าตอบแทนเสี่ยงภัยนั้น หลังวันที่ 6 ธันวาคม 2565 จะทบทวนและจัดทำรายละเอียดคำขอทั้งสายตรงและสายสนับสนุน และประสานหน่วยงานภายนอกสังกัดที่เคยเบิกจ่ายค่าตอบแทนเสี่ยงภัยเพื่อจัดทำคำของบกลาง จากนั้นสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะรวบรวมและเสนอคำของบกลางในภาพรวม และหารือแนวทางการเบิกจ่ายของ รพ.สต.ที่มีการถ่ายโอนฯ เมื่อสำนักงบประมาณพิจารณาผ่านคณะรัฐมนตรีและอนุมัติจัดสรรแล้ว จะเริ่มดำเนินการเบิกจ่ายได้ โดยหน่วยงานส่วนภูมิภาค ให้เบิกเงินจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กรมในสังกัด เบิกจากหน่วยงานต้นสังกัด ส่วนหน่วยงานภายนอกสังกัด เบิกจ่ายจากกองบริหารการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
***************************** 6 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62373 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 22 เปิดเวทีให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ไทยเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 22 เปิดเวทีให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศ
ไทยเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 22 เปิดเวทีให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศ
ไทยเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 22 เปิดเวทีให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลกแลกเปลี่ยน ชี้ไทยเป็นประเทศชั้นนำของเอเชียในด้านการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี เชื่อมโยง 2 ศาสตร์ วิทย์ - สังคม สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่พร้อมทำsoft power นำร่องพัฒนาเครื่องตรวจวัดอายุวัตถุโบราณ การค้นหาต้นกำเนิดมนุษย์และการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 22 (The 22nd Congress of the Indo-Pacific Prehistory Association : IPPA) โดยมี ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วยนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมประชุม ที่ จ.เชียงใหม่
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวไปไกลจนกลายเป็นประเทศชั้นนำของเอเชียในด้านการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพราะมีจุดแข็งทั้งมรดกทางวัฒนธรรม คนที่มีความรู้ความสามารถ และพันธมิตรจากนานาประเทศทั่วทุกภูมิภาคของโลก ขณะที่การรวมตัวครั้งใหญ่ของนักวิชาการมากกว่า 850 คนทั่วโลกครั้งนี้ จะทำให้ไทยมีโอกาสในการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านโบราณคดี การจัดการมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษาด้านพิพิธภัณฑ์ การศึกษาด้านโบราณคดีจะนำเราไปสู่การแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่าง เราก่อร่างสร้างอดีตและปัจจุบันเพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต พลังของโบราณคดีในการตีความการเกิดขึ้น ความต่อเนื่อง การล่มสลาย หรือการอยู่รอดของชุมชนหรือประเทศต่างๆ จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการวางแผนการพัฒนา นอกจากนี้ การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมยังสามารถช่วยให้เราเข้าใจว่าบรรพบุรุษของเราตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ ที่พวกเขาพบเจออยู่เสมอมาได้อย่างไร
รมว.อว. กล่าวต่อว่า อว. จัดตั้งวิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ ธัชชา และวิทยสถานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ ธัชวิทย์ ขึ้น โดยหนึ่งในภารกิจของ ธัชชา คือการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่สำคัญต่อประเทศ และเปลี่ยนความรู้ให้เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ธัชวิทย์ จะเป็นเวทีสำหรับนักวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ก้าวหน้า ทั้งธัชชาและธัชวิทย์ จะเชื่อมโยงและประสานความรู้จากสาขาวิชาต่างๆ และแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงวิชาการ ชุมชนท้องถิ่น ผู้ให้ทุน อุตสาหกรรม ผู้กำหนดนโยบาย และประชาชนทั่วไป ซึ่งธัชชาและธัชวิทย์ จะทำให้การศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นทั้งในประเทศไทย ภูมิภาคอาเซียนและอินโด-แปซิฟิก
ด้าน ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อว. เชื่อมโยงช่องว่างระหว่างสองศาสตร์คือ วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ และขับเคลื่อนไปพร้อมกันบนพื้นฐานของการเกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ผ่านธัชชาและธัชวิทย์ สร้างคุณค่าและรายได้ของประเทศจากโบราณคดี ประวัติศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยนำร่องการเตรียมระบบการหาค่าอายุวัตถุโบราณอย่างละเอียด ศึกษาดีเอ็นเอโบราณ และ LiDAR ของภูมิภาค เพื่อค้นหาคำตอบข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์
“หนึ่งในโครงการสำคัญคือการพัฒนาเครื่องตรวจวัดอายุวัตถุโบราณ ด้วยการวัดปริมาณรังสีคาร์บอนและเครื่องเร่งอนุภาคมวลสาร ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้นักโบราณคดีทราบระยะเวลาของโบราณวัตถุได้อย่างแม่นยำ สามารถระบุยุคสมัยของโบราณวัตถุได้ นอกจากนั้น ยังมีโครงการวิจัยทางโบราณคดีที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของ ม.มหิดล และ ม.นเรศวร เพื่อค้นหาการกำเนิดมนุษย์และการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน รวมถึงยังมีการศึกษา ค้นหา ทำความเข้าใจดีเอ็นเอของมนุษย์และสัตว์ในสมัยโบราณ ซึ่งจะเป็นการตอบคำถามถึงที่มาของตัวเราเองได้ การค้นคว้าในเรื่องของโบรารณคดีจึงไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่จะเป็นบทเรียนที่มีค่าต่อการตัดสินใจของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โบราณคดียังสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ และเป็น soft power สร้างความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งและการรู้ถึงรากเหง้าและมรดกของชาติ ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในการตีความและปกป้องอดีตของเราได้” ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก เข้าพบ รมว.อว. แนะนำ 3 สาขาหลัก นำศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการปฏิบัติจริง” | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
“วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก เข้าพบ รมว.อว. แนะนำ 3 สาขาหลัก นำศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการปฏิบัติจริง”
“วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก เข้าพบ รมว.อว. แนะนำ 3 สาขาหลัก นำศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการปฏิบัติจริง”
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 คณะผู้แทนวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก นำโดย ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม คณบดีวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ เข้าพบ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อขอคำแนะนำพร้อมแนวคิดในการดำเนินงานของวิทยาลัย ณ ห้องประชุมรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ศ.ดร.เอนก กล่าวว่า ศาสนาอิสลามมีความเจริญมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม อีกทั้งมีวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าล้ำสมัยในระดับโลก หลักสูตรของวิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพที่มีพื้นฐานมาจากศาสนาอิสลามมีความน่าสนใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แนวคิดในวิชาการบริหารเศรษฐกิจของอิสลามมีความสอดคล้องใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจที่นำโดยจริยธรรมและศาสนา เพื่อความปิติยินดีไม่ใช่ความโลภของมนุษย์ ควรค่าแก่การเผยแพร่ให้คนรุ่นต่อไปได้รับรู้และปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม
ศ.ดร.จรัญ กล่าวว่า วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ เป็นวิทยาลัยที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน โดยมีการเปิดการเรียนการสอนใน 3 สาขา โดยใช้ศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานของหลักสูตร ประกอบด้วย การเงินอิสลาม (Islamic Finance), อุตสาหกรรมฮาลาล และ การบริหารจัดการฮัจย์และอุมเราะห์ โดยหลักสูตรดังกล่าวนั้นมีทั้งระดับปริญญาตรี โท และเอก โดยปัจจุบันมีนักศึกษาสนใจเข้าร่วมศึกษากับทางวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกล่าวว่า การเข้าพบรัฐมนตรีในครั้งนี้ส่งผลให้ทางวิทยาลัยได้รับความรู้และกำลังใจ เพื่อที่จะนำไปพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนของวิทยาลัยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62355 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. เปิดการประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก IPPA ครั้ง ที่ 22 | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
อว. เปิดการประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก IPPA ครั้ง ที่ 22
อว. เปิดการประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก IPPA ครั้ง ที่ 22
รมว.อว และ ปอว. เปิดการประชุมนานาชาติสมาคมโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก IPPA ครั้ง ที่ 22โดยมีนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 850 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมประชุม ระหว่างวันที่ 7-12 พ.ย. 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่
ตอกย้ำ อว. สนับสนุน “ธัชชา-ธัชวิทย์” ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ร่วมกัน สร้างคุณค่าและรายได้ของประเทศจากโบราณคดี ประวัติศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยนำร่องการเตรียมระบบการหาค่าอายุโบราณอย่างละเอียด, ศึกษาดีเอ็นเอโบราณ และ LiDAR ของภูมิภาค เพื่อค้นหาคำตอบข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62354 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง
‘รมช.มนัญญา’ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง หนุนการทำกะปิเกาะช้าง สร้างรายได้ให้สมาชิก
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง ต.เกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด โดยมี นายกัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายนิรันดร์ มูลธิดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ หัวหน้าส่วนราชการ นางสาวอัญชนา ขุนสนธิ ประธานสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง ตลอดจนสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร เข้าร่วม
ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง จำกัด ได้ดำเนินการผลิตกะปิและจัดซื้อกะปิจากสมาชิกไปจำหน่าย โดยกะปิเกาะช้างมีเอกลักษณ์คือ มีกลิ่นหอม รสชาติดี สะอาด ไร้สารปนเปื้อน อีกทั้งสภาพภูมิประเทศของเกาะช้างที่เป็นหาดทราย มีน้ำทะเลที่ใส แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ทำให้กะปิเกาะช้างมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของคุณภาพ และมีรสชาติที่อร่อยเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมให้การสนับสนุนสมาชิกสหกรณ์เพื่อให้สมาชิกเกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ สร้างความเข้มแข็ง ยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โอกาสนี้ รมช.มนัญญา ยังได้เยี่ยมชมการสาธิตทำกะปิเกาะช้าง และผลิตภัณฑ์แปรรูปของสหกรณ์อีกด้วย
สำหรับสหกรณ์การเกษตรเกาะช้าง จำกัด ปัจจุบัน มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 208 คน มีทรัพย์สินรวม 3,372,711.86 บาท มีรายได้รวมทั้งสิ้น 341,899.86 บาท มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 214,716.49 บาท ผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ 127,183.29 บาท ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามกำหนดร้อยละ 84.79 ของหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ สหกรณ์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62374 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย จ.ราชบุรี /สมุทรสงคราม ย้ำเร่งพัฒนาบริการด้านจิตเวชและยาเสพติด | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
ปลัด สธ. ติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย จ.ราชบุรี /สมุทรสงคราม ย้ำเร่งพัฒนาบริการด้านจิตเวชและยาเสพติด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลวัดเพลง จังหวัดราชบุรี และ โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญกระทรวงสาธารณสุข พบทุกแห่งมีการพัฒนาทุกด้าน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลวัดเพลง จังหวัดราชบุรี และ โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญกระทรวงสาธารณสุข พบทุกแห่งมีการพัฒนาทุกด้าน พร้อมย้ำการขับเคลื่อนงานจิตเวชและยาเสพติด รองรับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
วันนี้ (6 ธันวาคม 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลวัดเพลง จังหวัดราชบุรี และ โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ 6 ข้อ ของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ยกระดับการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพทุกมิติ 2.ยกระดับบริการรองรับสังคมสูงวัยและลดอัตราตายโรคสำคัญ 3.ผลักดันบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสู่ยุคดิจิทัล 4.ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ เตรียมพร้อมรับภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข 5.ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพนานาชาติและ 6.พัฒนาสู่องค์กรสมรรถนะสูงและบุคลากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสมดุลการใช้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งพบว่าทุกโรงพยาบาลมีการปรับปรุงพัฒนาตามบริบทของแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
โดยโรงพยาบาลราชบุรีได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างหน่วยบริการ ทั้ง 989 แห่ง (67 โรงพยาบาล 922 รพ.สต.)ในเขตสุขภาพที่ 5 รองรับ 30 บาทรักษาทุกที่ ส่งต่อรักษาและบริหารจัดการทรัพยากรในเขตสุขภาพร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ, ขยายบริการหน่วยปฏิบัติการสวนหัวใจ ให้รับส่งต่อจากโรงพยาบาลต่างๆ ในกรณีฉุกเฉินได้มากขึ้น และลดระยะเวลารอคอยเป็นศูนย์, นำร่องโครงการบริหารยาเคมีบําบัดทางหลอดเลือดที่บ้าน (Home chemotherapy) ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยลดวันนอนโรงพยาบาล ส่งเสริมให้ผู้ป่วยและญาติใช้ชีวิตประจำวันใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด และเตรียมเพิ่มเครื่องฉายแสงเป็น 4 เครื่อง ให้บริการนอกเวลาราชการถึง 24.00 น.
สำหรับโรงพยาบาลวัดเพลง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง มีการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน โดยลดการใช้พลังงานในกระบวนการทำงาน อาทิ ลดวลาเติมอากาศในระบบบำบัดน้ำเสีย จาก 12 ชั่วโมง เป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 5,110 กิโลวัตต์ต่อปี คิดเป็นเงิน 21,462 บาท, ปรับชั่วโมงการทำงานของหน่วยซักฟอก หลีกเลี่ยงช่วงเวลาค่าไฟฟ้าสูง และแยกผ้าชนิดบางมาตากแทนการอบแห้ง ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 3,200 กิโลวัตต์ต่อปี คิดเป็นเงิน 13,440 บาท นอกจากนี้ยังติดตั้งโซล่าเซลล์ขนาด 17 กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้รวม 128.6 เมกกะวัตต์ เป็นเงิน 54,000 บาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 17 ส่วนโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในระบบบริการ เช่น การตรวจรักษาและให้คำปรึกษาทางไกล สำหรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในเรือนจำ (Telepsychiatry) ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น, บริการส่งยาด่วนถึงบ้าน (Telepharmacy) ในผู้ป่วยนอกอายุกรรม ศัลยกรรม ศัลกรรมกระดูก จักษุ หูคอจมูก จิตเวช และติดตามโดย Application
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ในการทำงานขอให้ยึดหลัก 4 T ได้แก่ 1) Trust ผู้บริหารต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่บุคลากร และที่สำคัญสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการรับบริการ 2) Teamwork &Talent มีการทำงานร่วมกันเป็นทีม และส่งเสริมศักยภาพคนทำงานทุกระดับ 3)Technology นำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบบริการ ระบบข้อมูลสุขภาพให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ง่าย และ 4) Targets ทำงานแบบมุ่งเป้าหมาย บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอย่างมีประสิทธิภาพ และทำโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลของประชาชน นอกจากนี้ ขอให้ทุกโรงพยาบาลขับเคลื่อนงานดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด เพื่อรองรับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งผลิตจิตแพทย์เพิ่มให้ได้ 400 คน ภายใน 5 ปี และอบรมพยาบาลจิตเวชเพื่อเติมระบบบริการให้เพียงพอต่อไป
******************************** 6ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62375 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. ร่วมประชุม กอวช. ครั้งที่ 5/2565 ขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนทักษะแห่งอนาคตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รมว.อว. ร่วมประชุม กอวช. ครั้งที่ 5/2565 ขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนทักษะแห่งอนาคตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า
รมว.อว. ร่วมประชุม กอวช. ครั้งที่ 5/2565 ขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนทักษะแห่งอนาคตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า
1 พฤศจิกายน 2565 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (กอวช.) ครั้งที่ 6/2565 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) โดยมีหัวข้อการเสวนาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อกรอบมาตรการพัฒนากำลังคนทักษะอนาคตรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 1 เรื่อง คือ มาตรการพัฒนากำลังคนทักษะอนาคต สำหรับข้อเสนอกรอบมาตรการการพัฒนากำลังคนทักษะแห่งอนาคตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. Skill Future Platform 2. Skill Future Account 3. National Credit Bank 4. University Transformation 5. Talent Thailand และ 6. Incentive
สำหรับระเบียบวาระเพื่อการพิจารณา มี 2 เรื่อง ได้แก่ 1. การแต่งตั้งที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และ ผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน และ ผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดของ สอวช. ตามกรอบการประเมินของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ผลงานสำคัญของ สอวช. ในปี 2565 ได้แก่การยกระดับประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง1. การพัฒนานโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม 2. ข้อเสนอนโยบายการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IDE)ฐานกำลังคนสมรรถนะสูง รองรับการพัฒนาในอนาคต3. การขับเคลื่อนนโยบายพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4. นโยบายขับเคลื่อนการสร้างศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาและพลิกโฉมระบบอุดมศึกษาไทยยกระดับสถานะทางสังคม ของคนในกลุ่มฐานราก5. การพัฒนานโยบายส่งเสริมการยกระดับสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจฐานรากลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนฯ6. นำ อววน. หนุนเป้าหมาย GHG Net Zero 7. การจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อความยั่งยืนปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม8. ระบบบริหารจัดการภาครัฐ และงบประมาณรูปแบบใหม่ 9. การปลดล็อกกฎหมาย กฎ ระเบียบ ให้เอื้อต่อการพัฒนา อววน.เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถขององค์กร10. ศูนย์ข้อมูลด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 11. การพัฒนาคุณภาพและศักยภาพ ของ สอวช.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62347 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โขนภาพยนตร์ HANUMAN White Monkey หนุมาน...ยกพลขึ้นจอ 5 ธันวาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์ | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
โขนภาพยนตร์ HANUMAN White Monkey หนุมาน...ยกพลขึ้นจอ 5 ธันวาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
โขนภาพยนตร์ HANUMAN White Monkey หนุมาน...ยกพลขึ้นจอ 5 ธันวาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
โขนภาพยนตร์
HANUMANWhite Monkey
หนุมาน...ยกพลขึ้นจอ5ธันวาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
วันที่5ธันวาคม2565กระทรวงวัฒนธรรม โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับบริษัท สหศีนิมา จำกัด เปิดฉายภาพยนตร์HANUMAN WHITE MONKEYรอบสื่อมวลชน โดยมีนายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ชั้น6ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
บริษัท สหศีนิมา จำกัด ร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการจัดโครงการผลิตโขนภาพยนตร์HANUMANWhite Monkeyขึ้น ซึ่งเกิดจากแนวคิด “Goes Digitalโลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน”โขนภาพยนตร์HANUMANWhite Monkeyคือก้าวแรกของวิวัฒนาการการแสดงโขนยุคใหม่ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นด้วยพลังการผลักดันจากบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิมากมายที่ร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลงานสร้างสรรค์งานวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ โดยการผสมผสานศิลปะการแสดงแบบวัฒนธรรมเดิมจากบนเวที กับความสามารถของเทคโนโลยี และเทคนิคพิเศษทางด้านดิจิทัลมาช่วยแต่งเติม เสริมสร้างจินตนาการให้บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์มีความสนุก ตื่นเต้น และน่าประทับใจยิ่งขึ้น ด้วยหวังว่าโขน ศิลปะการแสดงชั้นสูงจะส่งต่อ และเข้าถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น ทั่วถึงมากขึ้น และมีโอกาสที่จะจุดประกายให้เกิดความสนใจ ความรัก และความหวงแหนที่จะอนุรักษ์โขน และศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไปอีกทั้งเพื่อเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงประจำชาติของไทยไปสู่สากล โดยใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนาฏศิลป์โขนจากหลากหลายสถาบัน และนักแสดงโขนจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงร่วมแสดง
โขนภาพยนตร์HANUMANWhite Monkeyอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหศีนิมา จำกัดกำกับภาพยนตร์โดยสาโรจน์ สุวัณณาคารบทภาพยนตร์โดยสาโรจน์ สุวัณณาคาร -จรัญ พูลลาภนำรูปแบบการแสดงโขน ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง มาเป็นหลักในการผลิตภาพยนตร์ ทั้งด้านการดำเนินเรื่อง การแต่งกาย ท่ารำแบบนาฏศิลป์ไทย รวมถึงขนบธรรมเนียม จารีตต่างๆ ที่ใช้ในการแสดงโขน โดยนำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่มีอยู่เดิม นำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นผลงานทางวัฒนธรรมในรูปแบบภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เติมเต็มจินตนาการจากวรรณกรรมให้สมจริง และคนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้าถึงผลงานทางวัฒนธรรมชิ้นนี้ได้ทั่วโลก ด้วยการผสมผสานสิ่งที่มีอยู่เดิมและความเป็นสมัยใหม่เข้าด้วยกันนั้น เพื่อเป็นจุดเชื่อมทำให้การดำเนินเรื่องราวแบบภาพยนตร์สามารถดำเนินไปพร้อมกับจารีตดั้งเดิมของการแสดงโขน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์โขนที่มาด้วยฝีมือ ความรู้ และประสบการณ์ นำโดยรศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้กำกับการแสดโขนศาลาเฉลิมกรุงพร้อมทั้งคณะครูที่ปรึกษาฝ่ายการแสดงโขนอีกหลายท่าน ร่วมมือกันหาจุดเชื่อมระหว่างความเป็นโขนและความเป็นภาพยนตร์ให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและสวยงาม
จุดสำคัญที่ทำให้เกิดแนวคิดในการผลิตโขนภาพยนตรต์คือ คนส่วนมากอาจคิดว่างานอนุรักษ์ต้องอยู่กับที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นงานอนุรักษ์สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงได้ โขนซึ่งเป็นมรดกของโลก เป็นสิ่งที่ควรจะช่วยกันอนุรักษ์ เผยแพร่ และให้อยู่ร่วมกับคนไทยได้ในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไป แต่โขนสามารถยืนหยัดและตามไปในทุกยุคได้ จากโขนที่หาชมยากสามารถทำให้เป็นภาพยนตร์ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใบนี้ ทุกคนสามารถรับชมได้ โดยนำความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกันจนเกิดผลงานที่ทรงคุณค่าและเข้าถึงได้ง่าย การสร้างสรรค์ผลงานทางวัฒนธรรมในครั้งนี้ จึงเป็นการต่อยอดจากโขนฉากบนเวทีสู่จอภาพยนตร์ นับเป็นการนำศิลปะการแสดงโขนก้าวสู่วิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง
โขนภาพยนตร์HANUMANWhite Monkeyจากมหากาพย์โลก รามายณะสู่รามเกียรติ์เรื่องราวการเดินทางของลิงขาว“หนุมาน”ทหารเอกของพระราม กับภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อดับไฟจอมมาร บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ความกล้าหาญ ปฏิภาณไหวพริบ และสติปัญญา มิใช่เพียงคำตอบเดียวในการฟันฝ่าเพื่อหนทางแห่งชัยชนะ สิ่งไหนจริง สิ่งไหนลวง เป็นเรื่องราวของจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่สิ่งสุดท้าย…การค้นพบ“สัจธรรม”ที่แท้จริงความพิเศษของการผลิตโขนภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่ผู้ชมจะเห็นได้อย่างชัดเจนคือการออกแบบงานศิลป์ในภาพยนตร์ สร้างสรรค์งานภาพจากComputer graphicโดยถอดรหัสและตีความจากเรื่องราวของโขนรามเกียรติ์ ผ่านวิธีการเล่าเรื่องในรูปแบบภาพยนตร์ ผสมผสานการดนตรีด้วยการนำดนตรีไทยแบบ “ปี่พาทย์” มาผสมผสานกับดนตรีแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมีเสียงพากย์แบบที่ใช้ในการแสดงโขน การขับร้องเพลงไทย และการแรป ครบทุกอรรถรสแสดงโดยนักแสดงโขนศาลาเฉลิมกรุง และนักแสดงที่มีความสามารถด้านนาฏศิลป์โขนจากสถาบันต่างๆนอกจากนี้ได้ศิลปินรับเชิญพิเศษเก่ง ธชย ประทุมวรรณ มารับบทร้องและบทพากย์ของหนุมาน และร้องเพลงแรป(Rap)ถ่ายทอดลงในภาพยนตร์ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินที่มีความสามารถเพราะสามารถใช้เสียงได้อย่างหลากหลาย และยังช่วยส่งอารมณ์ความรู้สึกในการดูโขนภาพยนตร์ได้อย่างอรรถรสโขนภาพยนตร์เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นการดึงศักยภาพ ความสามารถ ฝีมือ ของนักแสดงออกมาให้คนไทยและคนทั้งโลกได้เห็นถึงคุณค่าของการเรียนศิลปะการแสดงที่ชื่อว่า “โขน” เพื่อช่วยกันรักษา พัฒนา ให้โขนสามารถวิวัฒนาการต่อไปไม่ว่าโลกจะปรับเปลี่ยนไปกี่ยุคสมัย
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อเป็นการดำเนินตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการแสดงโขน อีกประการสำคัญคือเป็นการดำเนินตามพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ในการสืบสาน รักษา ต่อยอด ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสืบทอดไปสู่เยาวชนของชาติต่อไปโขนภาพยนตร์HANUMANWhite Monkeyมีกำหนดเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ ในวันที่4ธันวาคม2565เวลา19.00น. ณ โรงภาพยนตร์ สยามภาวลัย เธียร์เตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และจัดฉายรอบปกติในวันที่ 5 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และโรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า ทั่วประเทศ นักเรียน/นักศึกษา บัตรราคา 70 บาท บุคคลทั่วไป บัตรราคา 120 บาท (โรงภาพยนตร์ต่างจังหวัด ราคา 100 บาท) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศาลาเฉลิมกรุง โทร 0-2224-4499
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมกิจกรรมในนิทรรศการ "อัครศิลปิน" ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมกิจกรรมในนิทรรศการ "อัครศิลปิน" ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมกิจกรรมในนิทรรศการ "อัครศิลปิน" ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมกิจกรรมในนิทรรศการ "อัครศิลปิน" ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมกิจกรรมในนิทรรศการ "อัครศิลปิน" เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี การส่งออกน้ำตาลไทยคึกคัก คาดการณ์มีมูลค่าสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566 | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี การส่งออกน้ำตาลไทยคึกคัก คาดการณ์มีมูลค่าสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566
พร้อมกันนี้ นายกแนะให้ปรับแผนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับกระแสโลก เพื่อการพัฒนาที่เท่าทันเสมอ
วันนี้ (24 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบจากการรายงานว่าปริมาณการส่งออกน้ำตาลของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ยินดีที่จะเป็นอีกส่วนสำคัญในการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ไทยถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำตาลทรายอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งจากการรายงานศูนย์วิจัยกสิกร คาดว่าปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายของไทยน่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่อาจเติบโตได้ถึง 125% โดยเมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของ 2 ปีก่อนหน้านี้ ที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปี 2563-2564 และผลกระทบโควิด ใน 10 เดือนแรกของปี 2565 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายได้ขยายตัว 120.1% ซึ่งคาดว่ามูลค่าการส่งออกน้ำตาลของประเทศไทยจะสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566 โดยขยายตัว 1-5% ทั้งนี้ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยถือเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ลำดับที่ 4 ของโลก รองจากบราซิล อินเดีย และอียู ซึ่งจากปัจจัยที่เอื้ออำนวย ในปีนี้และปีหน้า ประเทศไทยสามารถไต่อันดับการส่งออกน้ำตาล ในระดับที่สูงขึ้นได้
ประกอบกับปริมาณผลผลิตและสต็อกน้ำตาลทรายของไทยเพียงพอกับความต้องการในตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางสภาพภูมิอากาศที่สามารถปลูกอ้อยได้ดี ทำให้สามารถผลิตน้ำตาลได้ปริมาณมาก และมีคุณภาพสูง สำหรับฤดูกาลผลิตอ้อยปี 2565/2566 คาดว่าจะมีปริมาณผลผลิตมากกว่า 100 ล้านตัน และจากการที่อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 2 ของโลกจำกัดการส่งออกน้ำตาลจนถึงเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มโอกาสให้ไทยสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกน้ำตาลได้ ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทรายพบว่า มีตลาดคู่ค้าใหม่หลายประเทศที่ต้องการนำเข้าน้ำตาลทรายจากไทยมากขึ้น เช่น จีน แทนซาเนีย เคนยา อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายปัจจัยแม้ว่าจะมีโอกาสทางการค้าแต่อาจมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ปริมาณการผลิตน้ำตาลที่มากขึ้น จากบราซิล ไทย และจีน อาจส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวลดลง
“นายกรัฐมนตรีชื่นชม และขอบคุณการทำงานของทุกภาคส่วน ที่ช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าของไทย การร่วมแรงร่วมใจนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ประเทศ อย่างไรก็ดี กระแสโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ผู้คนคำนึงถึงสุขภาพในการรับประทานอาหารมากขึ้น จึงอยากให้ภาคส่วนธุรกิจคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงและนำมาปรับใช้ สร้างไอเดียทางธุรกิจ ต่อยอดประกอบกับการพัฒนาทางนวัตกรรม เพื่อให้ไทยไม่ตกกระแส และมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เท่าทันกระแสของโลกเสมอ” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63066 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. วอนพี่น้องประชาชนช่วยสอดส่องดูแล บุตรหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อป้องกันผู้เสพรายใหม่ ย้ำทุกพื้นที่ดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องเพื่อลด Supply และ Demand ไปพร้อมกัน | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ปมท. วอนพี่น้องประชาชนช่วยสอดส่องดูแล บุตรหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อป้องกันผู้เสพรายใหม่ ย้ำทุกพื้นที่ดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องเพื่อลด Supply และ Demand ไปพร้อมกัน
ปลัด มท. วอนพี่น้องประชาชนช่วยสอดส่องดูแล บุตรหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อป้องกันผู้เสพรายใหม่ ย้ำทุกพื้นที่ดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องเพื่อลด Supply และ Demand ไปพร้อมกัน
วันนี้ (23 ธันวาคม 2565) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นับตั้งเเต่สถานการณ์โควิด - 19 เริ่มคลี่คลายลง ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ กลับมาเริ่มคึกคักมากขึ้น เกิดการรวมตัวของผู้คน ซึ่งอาจเป็นช่องทางในการแพร่ระบาดของยาเสพติดในหลายพื้นที่ได้ กระทรวงมหาดไทยจึงต้องทำการ Re X-Ray ทุกพื้นที่เเละประกาศทำสงครามกับยาเสพติด เพื่อเป็นการป้องกันเหตุน่าสลดใจ หรือภัยต่าง ๆ ทางสังคมทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากยาเสพติด อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญในการทำสงครามกับยาเสพติด คือ การบูรณาการข้อมูล ทรัพยากร และสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน รวมถึงพี่น้องประชาชน ซึ่งจะต้องช่วยกันสอดส่องดูแล บุตรหลาน หรือเด็ก เยาวชนในพื้นที่ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เช่น ส่งเสริมให้จัดกิจกรรมแข่งกีฬา หรือการนันทนาการต่าง ๆ ยกตัวอย่างที่ กรณีจังหวัดกาฬสินธุ์จัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา ต้านภัยยาเสพติดสัมพันธ์ชุมชนช่วงหน้าหนาว ประจำปีการศึกษา 2565 โดยโรงเรียนชุมชนนาจารย์วิทยา ร่วมกับเทศบาลตำบลนาจารย์ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อภาวนาพุทโธ บริษัท ห้างร้าน และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันจัดขึ้นว่า กิจกรรมดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานแบบบูรณาการเชิงรุก ผ่านองคาพยพและกลไกต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติดภายในจังหวัด อีกทั้งยังเสริมสร้างความรัก ความผูกพัน และเป็นการต่อต้านยาเสพติดในสถานศึกษาได้ในทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี แสดงถึงพลังของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาคราชการ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และภาคศาสนาในการร่วมมือกันจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ขึ้นมา เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมการออกกำลังกาย เพื่อให้เด็กนักเรียน และประชาชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว รวมทั้งการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังป้องกันการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ด้วย
พร้อมกันนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงมิติด้านการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเน้นย้ำว่ากระทรวงมหาดไทยยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ด้วยการใช้ทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และลงพื้นที่ลุยกวาดล้างผู้กระทำความผิดอย่างแข็งขัน จริงจัง และต่อเนื่อง ซึ่งมีตัวอย่างผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
1. จังหวัดอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่ทหารเรือจากหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงเขตอุบลราชธานี นำโดย พล.ร.ต.สมาน ขันธพงษ์ ผบ.นรข., น.อ.วรรณะ เกื้อทิพย์ ผบ.นรข.เขตอุบลราชธานี, น.อ.สัญญา ณ จอม หัวหน้าฝ่ายยุทธการและการข่าวและ หน.สน.เรือเขมราฐ, น.ท.พิเชษฐ์ เมืองโคตร หัวหน้า สน.เรือโขงเจียม สนธิกำลังกับ พ.ต.อ.ชัยกฤต โชติวรรณ ผกก.สภ.เขมราฐ พ.ต.ท.ศรีวิรัตน์ โพยนอก รรท.ผบ.ร้อย ตชด.227 พ.ท.วิศิษฏ์ สุสขหงษ์ ฝสธ.ประจำ ทก.กกล.สุรนารี นำกำลังทั้งในและนอกเครื่องแบบ ร่วมกันตรวจยึดยาบ้าจำนวน 10,200 เม็ด ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ทางทิศเหนือ ณ บ้านอูบมุง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
2. จังหวัดบึงกาฬ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ, พ.ต.อ.ศราวุฒิ ลิจฉวีราช รองผบก.รน., พ.ต.อ.อารัก มะสาธานัง รอง ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ, กอ.รมน.จังหวัดบึงกาฬ และนายชัยณรงค์ สุระดะนัย ป้องกันจังหวัดบึงกาฬ ร่วมแถลงจับกุม นายไพรินทร์ฯ อายุ 52 ปี ชาว จ.นครราชสีมา พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุในกระสอบ พันด้วยเทปกาวใส จำนวน 5 กระสอบ ประมาณ 1,984,000 เม็ด รถยนต์กระบะ และโทรศัพท์มือถือ โดยกล่าวหาว่า มี ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า ผู้ว่าจ้างเป็นชาว สปป.ลาว ว่าจ้างผ่านคนไทยอีกทอดหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ให้ขนยาบ้าไปส่งทางภาคอีสานตอนในและในเขตรอบนอก กทม. ซึ่งเคยทำมาแล้ว 1 ครั้ง โดยจะขับรถไปจอดไว้ในชานเมือง กทม.จะมีคนมาขับไปอีกทอดหนึ่ง เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ชนิดร้ายแรง (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) เพื่อการค้าซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป โดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะนี้ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เหล่าหลวง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
3. จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้สั่งการให้นายสามารถ อินทปัญญา นายอำเภอบ้านโคก พร้อมด้วยปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง สมาชิก อส. อำเภอบ้านโคก กำนันตำบลม่วงเจ็ดต้น ผู้ใหญ่บ้านในตำบลม่วงเจ็ดต้น ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านบูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจภูธรบ้านโคก กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 317 สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ้านโคก และองค์การบริหารส่วนตำบลม่วงเจ็ดต้น ร่วมตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด และตรวจปัสสาวะกลุ่มเป้าหมายจาก Re X-Ray เพื่อป้องกันยาเสพติดในเส้นทางถนนบ้านห้วยยศ หมู่ที่ 4 และในหมู่บ้าน บ้านห้วยยศ หมู่ที่ 4 ตำบลม่วงเจ็ดต้น ตามนโยบายจังหวัดอุตรดิตถ์ “เมืองสงบ มั่นคง ปลอดภัย” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่หมู่บ้านเป้าหมาย โดยการตรวจปัสสาวะ จำนวน 12 ราย ตรวจพบสารเสพติด จำนวน 3 ราย จึงนำเข้าศูนย์คัดกรองตำบลม่วงเจ็ดต้นและเข้าสู่กระบวนการบำบัดต่อไป
4. จังหวัดแพร่ นายสมศักดิ์ สุขประเสริฐ นายอำเภอเมืองแพร่ มอบหมายให้ ฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย สมาชิกร้อย อส. บูรณาการร่วมกับ สภ.เมืองแพร่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่ เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ทุ่งโฮ้ง เทศบาลตำบลทุ่งโฮ้ง และฝ่ายปกครองตำบลทุ่งโฮ้ง ดำเนินการคัดกรองค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ป่วยจิตเวช และ Re X-Ray เป้าหมาย ตามโครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิต และผู้ป่วยจิตเวชฯ ประจำปีงบประมาณ 2566 ของตำบลทุ่งโฮ้ง จำนวน 7 หมู่บ้าน ณ วัดทุ่งโฮ้งเหนือ หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ซึ่งสรุปผลการดำเนินการค้นหาผู้เสพในพื้นที่ตำบลทุ่งโฮ้ง จำนวนทั้งสิ้น 23 ราย พบผลเป็นบวก 6 ราย กรณีพบสารเสพติดในร่างกายได้ดำเนินการคัดกรองและสมัครใจเข้ารับการบำบัด จึงนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดต่อไป
5. จังหวัดลพบุรี นายสุรเดช สร้อยอุทา นายอำเภอสระโบสถ์ พ.ต.อ.ทศพล ทองใบ ผกก.สภ.สระโบสถ์ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นำโดยนายจตุพัทธ์ ชูปลื้ม ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง สมาชิก อส.อ.สระโบสถ์ที่ 6 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สระโบสถ์ปิดล้อมตรวจค้น เป้าหมายผู้จำหน่ายยาเสพคิดรายย่อยตำบลห้วยใหญ่ อำเภอสระโบสถ์ จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายระทม (สงวนนามสกุล) อายุ 71 ปี อยู่ที่ ม.3 ต.ห้วยใหญ่ อ.สระโบสถ์ พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 129 เม็ด จึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สระโบสถ์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
6. จังหวัดกาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวในการออกปฏิบัติการจัดระเบียบสังคมในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) โดยมี นายธวัชชัย รอดงาม และนายสำเริง ม่วงสังข์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นายธนภัทร ณ ระนอง ปลัดจังหวัดฯ นายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายอำเภอเมืองฯ นายโรมรัก ภูหวล ป้องกันจังหวัดฯ และกลุ่มงานความมั่นคง ที่ทำการปกครองจังหวัดฯ บูรณาการร่วมกับ กอ.รมน. จังหวัดฯ ตำรวจภูธรจังหวัดฯ สำนักงานจังหวัดฯ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดฯ สาธารณสุขจังหวัดฯ สรรพสามิตจังหวัดฯ แรงงานจังหวัดฯ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดฯ จัดหางานจังหวัดฯ และประชาสัมพันธ์จังหวัดฯ ออกตรวจสถานบริการและสถานประกอบการที่คล้ายกับสถานบริการ ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 7 แห่ง โดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของสถานที่ การก่ออาชญากรรม การค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว ยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมสุ่มตรวจปัสสาวะพนักงาน และผู้ใช้บริการ ผลปรากฏว่าไม่พบสารเสพติด และไม่พบผู้กระทำความผิดกฎหมาย เหตุการณ์ทั่วไปปกติ
“กระทรวงมหาดไทย เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการทำสงครามกับยาเสพติดทุกชนิดด้วยการบูรณาการการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น โดยใช้ทุกกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ลงพื้นที่ลุยกวาดล้างผู้กระทำความผิดอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งนำผู้หลงผิดเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อคืนคนดีให้กับสังคม ให้กับครอบครัว และหมั่นลงพื้นที่ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัจจัยทำลายคนบริสุทธิ์อีก อันจะทำให้ลูกหลานของพวกเราทุกคนอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข พร้อมทั้งได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์หมายเลขติดต่อในการแจ้งเบาะแส โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 และหมายเลขที่ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้อย่างสะดวก มีเจ้าหน้าที่สแตนบายพร้อมเข้าดำเนินการตามเบาะแสตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถจดจำและติดต่อได้ง่าย อันเป็นการอำนวยความสะดวกและเป็นการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้าย
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยลงนามเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ (CbCR) | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
ไทยลงนามเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ (CbCR)
รมว.คลัง ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยได้ลงนามในคำประกาศเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ เพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยได้ลงนามในคำประกาศเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ (Multilateral Competent Authority Agreement on the Exchange of Country-by-Country Reports) (ความตกลง CbC MCAA) เพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนรายงานข้อมูลรายประเทศ (Country-by-Country Reports: CbCR) ให้เป็นมาตรฐานสากลตามแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) โดยประเทศไทยจะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลครั้งแรกในปี 2566 เป็นต้นไป
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “การรายงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล CbCR เป็นมาตรฐานที่ประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือของ OECD ที่มุ่งเน้นการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีและการโยกย้ายกำไร(Inclusive Framework on Base Erosion and Profit Shifting) จะต้องพัฒนาการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ประเทศไทยโดยกรมสรรพากรในฐานะประเทศสมาชิกของกรอบความร่วมมือดังกล่าวได้เตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ออกกฎหมายกำหนดให้ผู้มีหน้าที่แจ้งข้อความตามรายงานข้อมูล CbCR เริ่มแจ้งข้อมูลของรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป และได้เปิดระบบให้ผู้มีหน้าที่แจ้งข้อความฯ เริ่มส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดการยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อ OECD เพื่อให้ความตกลง CbC MCAA มีผลกับประเทศไทยภายในเดือนมกราคม 2566 และจะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศภาคีครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งปัจจุบันมีภาคีทั้งหมด 93 ประเทศ”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “การลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CbC MCAA ของประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการดำเนินการตามมาตรฐานสากล สร้างความเป็นธรรมและความโปร่งใสทางภาษี และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลข้ามชาติ (MNE Group)* ให้สามารถยื่นรายงานข้อมูล CbCR ผ่านประเทศไทยได้ โดยจะสิ้นสุดกำหนดเวลาส่งข้อมูลครั้งแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สำหรับข้อมูล CbCR ของรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2564 จึงขอให้ผู้มีหน้าที่แจ้งข้อความยื่นรายงานผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
*กลุ่มบริษัทข้ามชาติ (Multinational enterprise: MNE) ที่มีรายได้รวมทั้งกลุ่มไม่น้อยกว่า 28,000 ล้านบาท (ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร) และเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลลำดับสูงสุด ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (Ultimate Parent Entity: UPE) หรือ 2. ตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลลำดับสูงสุด ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (Surrogate Parent Entity: SPE) หรือ 3.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่กระทำกิจการในประเทศไทย ที่เข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด* (ตามข้อ 2(2) และข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 408)ฯ)
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สำนักงานเลขานุการกรม เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร.1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63063 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชี้ดัชนีเชื่อมั่นSMEเดือนพ.ย. สูงสุดในรอบ 11 เดือน พุ่ง 53.8 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 เดือนติด ส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัวเกือบเป็นปกติ | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
"ทิพานัน" ชี้ดัชนีเชื่อมั่นSMEเดือนพ.ย. สูงสุดในรอบ 11 เดือน พุ่ง 53.8 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 เดือนติด ส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัวเกือบเป็นปกติ
"ทิพานัน" ชี้ดัชนีเชื่อมั่นSMEเดือนพ.ย. สูงสุดในรอบ 11 เดือน พุ่ง 53.8 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 เดือนติด ส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัวเกือบเป็นปกติ สะท้อนผลสำเร็จมาตรการช่วยเหลือของ'พล.อ.ประยุทธ์' ประคองธุรกิจ พยุงการจ้างงาน กระจายความเจริญไปทุกภูมิภาค
วันนี้ 24 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ผลักดันมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs จากผลกระทบวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น มาตรการด้านสินเชื่อ การลดภาระค่าธรรมค้ำประกันของผู้ประกอบการ SMEs และโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อประคับประคองธุรกิจและพยุงการจ้างงานของประเทศ ส่งผลให้ล่าสุดสสว. รายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME หรือ SMESI อยู่ที่ระดับ 53.8 เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 เดือน และสูงสุดในรอบ 11 เดือนซึ่งมีปัจจัยมาจากการขยายตัวต่อเนื่อง ของภาคการท่องเที่ยวและ ภาคการค้าที่ชัดเจนจนเกือบเป็นปกติ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ส่วนในรายภาคธุรกิจ พบว่าภาคการบริการมีค่าดัชนี SMESI สูงสุดอยู่ที่ 55.3 จากการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องขยายตัว และที่น่าสนใจคือ ภาคการเกษตร มีค่าดัชนี SMESI เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3.2 มาอยู่ที่ 53.4 จากการขายได้ราคาที่ดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มพืชไร่ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว และกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับ ส่วนภาคการค้าขยายตัวทั้งการค้าปลีกและค้าส่งโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ที่ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ขยายตัว และยังทำให้ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นจากกำลังซื้อและต้นทุนที่มีแนวโน้มดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ ดัชนีเชื่อมั่น SMEsที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจ SMEs อันเป็นผลสำเร็จจาก มาตรการต่างๆ ของรัฐบาล นอกจากนี้ยังส่งผลให้แนวโน้มดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคจากการคาดการณ์การขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสัญญาณบวกจากแนวโน้มต้นทุนธุรกิจทำให้คลายกังวลต่อค่าครองชีพและกำลังซื้อของผู้บริโภคในอนาคต
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจ SMEsในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (เดือนมกราคม-กันยายน)นั้นมีข้อมูลจากนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (GDP SMEs)มีมูลค่ารวม 4.54 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.1% คิดเป็นสัดส่วน 35.2% ของGDPประเทศ คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวเป็น 6.02 ล้านล้านบาท จากSMEsในระบบฐานข้อมูลของ สสว. 3.178 ล้านราย คิดเป็น 99.57% ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งหมด มีการจ้างงานกว่า 12.6 ล้านคน คิดเป็น 71.86% ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และคาดว่าจะขยายตัว 4.1-5.8% ค่ากลาง 4.9% ในปี 2566
"พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือและพัฒนาเพิ่มศักยภาพของ SMEs เนื่องจากเป็นกลไกฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานและกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63062 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ย้ำต้องไม่กระทบค่าครองชีพ ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
“ธนกร” เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ย้ำต้องไม่กระทบค่าครองชีพ ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
“ธนกร” เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ย้ำต้องไม่กระทบค่าครองชีพ ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด เล็งปั้นไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค รองรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลก
วันนี้ 24 ธันวาคม 65นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงติดตามสถานการณ์พลังงานไทยและโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมาราคาน้ำมันโลกเริ่มปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีความผันผวนสูง ทั้งจากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ รวมทั้งการคาดการณ์ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกที่มีแนวโน้มถดถอย ขณะที่ไทยยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง ท่านนายกฯ จึงกำชับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานภายในประเทศอย่างสมดุล ต้องไม่ให้เกิดการขาดแคลนพลังงาน รวมทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าในประเทศต้องไม่กระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตและการบริการ ที่สำคัญต้องไม่เป็นภาระค่าครองชีพ ประชาชนต้องเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรียังวางอนาคตให้ไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย [emailprotected] คือ การตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 รวมถึงการส่งเสริมการผลิตรถสามล้อ เรือโดยสาร และรถไฟระบบรางอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลยังมุ่งเพิ่มอุปทานและอุปสงค์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพ ผ่านมาตรการจูงใจด้านภาษีและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีการใช้ยานยนต์มลพิษต่ำในประเทศ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศ และสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (BEV) ลง 80% เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่จดทะเบียน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป และลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) รถยนต์สามล้อรับจ้าง รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่ครบกำหนดเสียภาษีประจำปี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566 ให้ปรับลดภาษีลง 90% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป
“ครม. เห็นชอบการใช้มาตรการภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ กระตุ้นให้เกิดการเร่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย 2 ปีแรก (ปี 65 – 66) เน้นสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างกว้างขวางโดยเร็ว ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) และกรณีรถยนต์ รถยนต์กระบะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (CKD) ด้วยการยกเว้นหรือลดอากรนำเข้า ลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด และช่วง 2 ปีถัดไป (ปี 67 - 68) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก ยกเลิกการยกเว้น ลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) แต่ยังคงมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่า มาตรการต่างๆ จะช่วยส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม ปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้ยังสามารถเป็นฐานการผลิตของภูมิภาครองรับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกด้วย” นายธนกร กล่าว
//////
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. เผยผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ จัดกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา กิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร และพิธีลงนามถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
ปลัด มท. เผยผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ จัดกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา กิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร และพิธีลงนามถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ปลัด มท. เผยผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ นำข้าราชการและพสกนิกรชาวไทย ร่วมจัดกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา กิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร และพิธีลงนามถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
ปลัด มท. เผยผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ นำข้าราชการและพสกนิกรชาวไทย ร่วมจัดกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา กิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวายพระพร และพิธีลงนามถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
วันนี้ (23 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านนายอำเภอในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนา และพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า พร้อมใจกันจัดกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งกิจกรรมบำเพ็ญกุศลตามความเชื่อของศาสนา และการลงนามถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน อาทิ
1. จังหวัดอุดรธานี ที่หอประชุมปรีชา ชัยรัตน์ ศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน มูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี นายณัฐพงศ์ คำวงศ์ปิน หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุดรธานี นายปรีชา ชัยรัตน์ ประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพมูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี นายประเสร์ฐ ตั้งจิตวัฒนาชัย ประธานมูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี องค์กรชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชน เข้าร่วม
2. จังหวัดระนอง ที่หอประชุมจังหวัดระนอง ศูนย์ราชการจังหวัดระนอง นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาในครั้งนี้ โดยพระระณังคมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดระนอง พร้อมคณะสงฆ์ ได้สวดเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ผู้นำศาสนาอิสลามประกอบพิธีดูอาร์ขอพร ผู้นำศาสนาคริสต์ประกอบพิธีอธิษฐานภาวนาขอพร ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเดชานุภาพแห่งพระกุศลผลบุญที่ทรงบำเพ็ญมา ส่งผลดลบันดาลให้พระองค์ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ปราศจากโรคาพาธ หายจากอาการพระประชวรโดยเร็วพลัน ทรงมีพระเกษมสำราญ ลุถึงวรรณะ สุขะ พละ ตลอดไป
3. จังหวัดชัยภูมิ ที่วัดทรงศิลา วัดอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมืองชัยภูมิ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานในพิธี โดยมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรฯ นางสาวอรอาภา โลห์วีระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นายวรศิษย์ พุฒจีบ นายอำเภอเมืองชัยภูมิ (รักษาราชการแทนปลัดจังหวัด) พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
4. จังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะ (วันพระ) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่ "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา" ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน โดยมี พระเทพชลธารมุนี เจ้าคณะจังหวัดชลบุรี เจ้าอาวาสวัดบางพระวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรภาคเอกชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดชลบุรี เข้าร่วมพิธีฯ โดยพิธีทำบุญตักบาตรฯ ในครั้งนี้
5. จังหวัดตาก ที่ วัดมณีบรรพตวรวิหาร อ.เมืองตาก นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระประสิทธิศีลคุณ เจ้าคณะจังหวัดตาก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์จำนวน 10 รูป ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยมี นายวีระพันธ์ ดีอ่อน และนายสุรพล วงศ์สุขพิศาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นางสาวทิวานันท์ วังศพ่าห์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตาก อัยการจังหวัดตาก รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 310 รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดตาก นายอำเภอเมืองตาก นายกเทศมนตรีเมืองตาก ข้าราชการ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวตาก เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อร่วมถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระประชวรโดยเร็ว
6. จังหวัดเพชรบุรี ที่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ได้เข้าร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยนายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นำคณะข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชน ถวายพานพุ่มดอกไม้สด ต่อหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรงเร็ววัน
7. จังหวัดราชบุรี ที่ ศาลาการเปรียญวัดปากท่อ เทศบาลตำบลปากท่อ ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลปากท่อ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยนายสุทธิพงษ์ พุทธจันทรา นายอำเภอปากท่อ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายอิทธิกร เล่นวารี นายกเทศมนตรีตำบลปากท่อ คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาลตำบลปากท่อ นายชัยณรงค์ วงศาโรจน์ ปลัดเทศบาลตำบลปากท่อ นายสมศักดิ์ สีนวลสด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากท่อ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในตำบลปากท่อ จากนั้นได้ร่วมกันปล่อยปลาดุก รวม 107 ตัว ณ ท่าน้ำวัดปากท่อ เป็นกิจกรรมรวมใจชาวปากท่อ แสดงความจงรักภักดี ร่วมบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระพรขอให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
8. จังหวัดสุโขทัย ภายใต้อำนวยการของ นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย โดยนายสมพงค์ ชมชัย นายอำเภอศรีสัชนาลัย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมกับพระครูไพบูลย์ชัยสิทธิ์ เจ้าคณะอำเภอศรีสัชนาลัย ประธานฝ่ายสงฆ์ และคณะสงฆ์อำเภอศรีสัชนาลัย จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ณ วัดชัยสิทธาราม ตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีสัชนาลัย จนท.โรงพยาบาลศรีสัชนาลัย เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ท่าชัย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. คณะครูนักเรียนและประชาชนในพื้นที่ตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย รวมจำนวนประมาณ 200 คน เข้าร่วมพิธีดังกล่าว
9. จังหวัดตรัง เมื่อวานนี้ ที่วัดตรังคภูมิพุทธาวาส ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง นายจักรพงษ์ รัชนีกุล นายอำเภอกันตัง นำหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และวันนี้ ที่ มัสยิดบ้านบางหมาก หมู่ที่ 1 ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง นายจักรพงษ์ รัชนีกุล นายอำเภอกันตัง ร่วมกับผู้นำศาสนาอิสลาม ประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลาม ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จัดกิจกรรมขอพร (ดุอาอ์) ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยมีผู้นำศาสนาอิสลาม หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯลฯ และประชาชนตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง เข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียง
10. จังหวัดลำพูน ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย ศาล ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการจังหวัด และประชาชน ประกอบพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยมี พระเทพรัตนายก เจ้าคณะจังหวัดลำพูน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และคณะ ได้ร่วมกันปล่อยปลาที่ซื้อมาจากหน้าเขียงในตลาดสดและพันธุ์สัตว์น้ำอื่นลงสู่แม่น้ำกวง บริเวณหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร และหลังจากนั้นร่วมกันไถ่ชีวิต โค กระบือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล จำนวน 17 ตัว
11. จังหวัดอ่างทอง ที่คลองบางตาแผ่น บริเวณแพปลาหน้าวัดโพธิวงษ์ ตำบลบ้านแห อำเภอเมืองอ่างทอง นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เป็นประธานในพิธีปล่อยปลาและพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และคืนความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ โดยปล่อยปลาหมอไทยที่ซื้อจากท้องตลาด จำนวน 45 ตัว และปล่อยพันธุ์ปลาไทย จำนวน 45,000 ตัว โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอเมืองอ่างทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแห กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน เข้าร่วมพิธี
12. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ ฝายน้ำล้น บ้านเขาคลัง หมู่ที่ 8 ตำบลคลองกระจัง อำเภอศรีเทพ นายวีระวัฒน์ วัฒนวงศ์พฤกษ์ นายอำเภอศรีเทพ เป็นประธานการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 50,000 ตัว ลงในแม่น้ำป่าสัก โดยประมงจังหวัดเพชรบูรณ์ ประมงอำเภอศรีเทพ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรและพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีนายก อบต.คลองกระจัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครองตำบลคลองกระจัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน เข้าร่วม
“กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ ได้ร้อยรวมใจกันในการบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ สถานที่ที่จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัด และศาสนสถานทั่วประเทศ กำหนด เพื่อถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63060 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ตีแบดมินตันกระชับมิตร ในงาน Econmass Sportday 2022 | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส ตีแบดมินตันกระชับมิตร ในงาน Econmass Sportday 2022
ดีอีเอส ตีแบดมินตันกระชับมิตร ในงาน Econmass Sportday 2022
วันนี้(24ธันวาคม65) นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าวเปิดงานEconmass Sportday 2022 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจพร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมแข่งขันแมตช์พิเศษ โดยมีคุณสุจิตราเอกมงคลไพศาลอดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทยมือวางอันดับ5ของโลกคุณจิตวดี เพ็งมากนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจและคุณกัญณัฏฐ์บุตรดีเป็นคู่เปิดณสนามแบดมินตันบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน)หรือNTถนนแจ้งวัฒนะ
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เปิดเทศกาลแสง สี เสียง “จากแสงแรกแห่งสยามสู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย” พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยจุดประกายจินตนาการการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดในเรื่องของการไฟฟ้าไทย | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
มท.1 เปิดเทศกาลแสง สี เสียง “จากแสงแรกแห่งสยามสู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย” พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยจุดประกายจินตนาการการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดในเรื่องของการไฟฟ้าไทย
มท.1 เปิดเทศกาลแสง สี เสียง “จากแสงแรกแห่งสยามสู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย” พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยจุดประกายจินตนาการการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดในเรื่องของการไฟฟ้าไทยและเป็นการส่งมอบความภาคภูมิใจของการไฟฟ้านครหลวง กระทรวงมหาดไทยไปสู่ความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน
วันนี้ (23 ธ.ค. 65) เวลา 18.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย อาคาร 1 การไฟฟ้านครหลวง ถนนจักรเพชร เขตวัดเลียบ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานเทศกาล “แสง สี เสียง จากแสงแรกแห่งสยามสู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย” โดยมี นายเขมพล อุ้ยตระกูล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดินและประธานคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง และภาคีเครือข่าย ร่วมในงาน โดยมี นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วยผู้บริหารการไฟฟ้านครหลวง ร่วมให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กิจการไฟฟ้าในประเทศไทย เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จากจุดเริ่มต้นแสงแรกแห่งสยาม ยุคแรกเริ่มของกิจการไฟฟ้า โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง ได้ร่วมกันวางรากฐานความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศมาอย่างยาวนาน จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่การไฟฟ้านครหลวงได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยขึ้น เพื่อรวบรวมประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดประสบการณ์ และจุดประกายการเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าให้แก่เยาวชน โดยกระทรวงมหาดไทย พร้อมที่จะร่วมผลักดันในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
“งานเทศกาล แสง สี เสียง “จากแสงแรกแห่งสยาม...สู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย”” เป็นอีกหนึ่งโครงการเนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี ที่จะมอบความสุขให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ และและจะทำให้พี่น้องประชาชน เด็ก เยาวชน ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์กิจการไฟฟ้าไทยรูปแบบใหม่ที่มีการผสมผสานเทคนิคแสง สี เสียง ยิ่งใหญ่ ตระการตา พร้อมทั้งดื่มด่ำกับบรรยากาศ ซุ้มไฟประดับที่งดงามยามค่ำคืน และขอเปิดงานเทศกาล แสง สี เสียง “จากแสงแรกแห่งสยาม...สู่พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าว
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า กว่า 130 ปีที่ประเทศของเรามีไฟฟ้าใช้จากความคิดริเริ่มของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อ พ.ศ. 2427 ประเทศไทยจึงเริ่มมีไฟฟ้าใช้พร้อม ๆ กับประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปบางประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมไฟฟ้าหลวงขึ้นสังกัดกระทรวงโยธาธิการ (ปัจจุบันคือกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย) เพื่อสนับสนุนกิจการไฟฟ้าให้มั่นคง ต่อมาได้ให้สัมปทานเอกชนดำเนินการผลิตไฟฟ้าในนามบริษัท ไฟฟ้ากรุงเทพ โดยมีโรงไฟฟ้า และอาคารสำนักงานตั้งอยู่ที่เขตวัดเลียบในปัจจุบัน หลังจากนั้น ได้ขายสัมปทานให้แก่นักธุรกิจชาวเดนมาร์ก และเปลี่ยนเป็นบริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด โดยกิจการไฟฟ้าในยุคนี้เจริญรุดหน้าเป็นอย่างมาก ควบคุมทั้งการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ตลอดจนการเดินรถราง และการระงับอัคคีภัยในพระนคร จากนั้น ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทไฟฟ้าไทยคอร์ปอเรชั่น เมื่อหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงเข้าดำเนินการและเปลี่ยนชื่อเป็น “การไฟฟ้ากรุงเทพ” และต่อมาในปี พ.ศ. 2455 รัฐบาลได้ตั้งกองไฟฟ้าหลวงสามเสนขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเมือง จวบจนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2501 ได้มีการรวมกันระหว่างการไฟฟ้ากรุงเทพ กับกองไฟฟ้าหลวงสามเสน เป็น “การไฟฟ้านครหลวง”
“จากการที่กิจการไฟฟ้าของประเทศไทยได้มีการดำเนินงานมาอย่างยาวนาน และด้วยความตระหนักถึงคุณค่าของอาคารซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดกำเนิดของกิจการไฟฟ้าไทย การไฟฟ้านครหลวงจึงมีนโยบายในการอนุรักษ์อาคารเพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทยหรือ MEA SPARK สถานที่ที่จะจุดประกายจินตนาการการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดในเรื่องของการไฟฟ้าไทยและเป็นการส่งมอบความภาคภูมิใจของการไฟฟ้านครหลวง กระทรวงมหาดไทยไปสู่ความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน” ผู้ว่าการ กฟน. กล่าว
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมรับชมการแสดง แสง สี เสียง "จุดประกายพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย" และเยี่ยมชมนิทรรศการพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย MEA Electricity Museum หรือ MEA SPARK แหล่งเรียนรู้ด้านไฟฟ้า เพื่อชีวิตมหานคร สะท้อนผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิด จากแสงแรก...สู่แสงแห่งความยั่งยืน ด้วยการบูรณาการงานออกแบบเพื่อส่งต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์การไฟฟ้าไทย จากอดีต สู่วิถีชีวิตเมืองมหานครปัจจุบัน ขับเคลื่อนสู่อนาคตแห่งมหานครอัจฉริยะ (Smart Metro) ที่ยั่งยืน สถาปัตยกรรมออกแบบผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์พัฒนาอาคารเก่าและอาคารสร้างขึ้นใหม่ โดยเคารพอาคารโบราณสถานที่อยู่ใกล้เคียง กำหนดขนาดและความสูงของอาคารให้เปิดมุมมอง ความงดงามทางสถาปัตยกรรมของอาคารโบราณสถาน แบ่งเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 แสงแห่งอนาคต Symphony of Light นำเสนอนวัตกรรมโครงข่ายไฟฟ้าอันชาญฉลาดที่หลอมรวมพลังของแต่ละคนให้เป็นบทเพลงแห่งแสงที่เปี่ยมพลัง สร้างปรากฏการณ์ "Symphony of Light" ที่เกิดจากแสงไฟดวงเล็ก ๆ ก่อเป็นภาพใหญ่ของอนาคตการไฟฟ้าไทย ภายในบริเวณ ประกอบด้วย โถงต้อนรับ และจุดลงทะเบียน นิทรรศการฟื้นชีวิตรถรางไฟฟ้า นิทรรศการห้องอนุรักษ์อาคาร เรียนรู้เบื้องหลังการบูรณะอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กในยุคแรกของไทย ชั้นที่ 2 แสงแห่งชีวิต กำเนิดการไฟฟ้านครหลวง ผู้ชมจะได้สนุกจากการค้นหาเรื่องไฟฟ้าที่ไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นพลังงานสำคัญที่มีบทบาทต่อทุกชีวิต โดยเฉพาะเมื่อการไฟฟ้านครหลวง "กฟน." หรือ “MEA” ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา รวมถึงเหตุการณ์สงครามโลก ครั้งที่ 2 (พระนครใต้เงามืดแห่งสงคราม) และห้องผู้ว่าการ กฟน. ในอดีต และชั้นที่ 3 แสงแรกแห่งสยาม ชมพระปรางค์วัดราชบุรณ ราชวรวิหาร ย้อนเวลาไปในยุคที่สยามยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พบกับวันแห่งประวัติศาสตร์ของการผลิตไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกที่สว่างไสวเจิดจ้า และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศถนนแรก ๆ ของบางกอกที่ส่องสว่างภายใต้แสงจากดวงโคม กรุงเทพเมืองศิวิไลซ์ ไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาสยามประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาณาจักรโรงไฟฟ้าวัดเลียบ และจุดชมพระปรางค์วัดราชบุรณ ราชวรวิหาร โดยภายนอกอาคารยังมี “ร้านคาเฟ่รถราง” ที่สามารถจิบกาแฟ ในบรรยากาศย้อนยุคไปเมื่อครั้งยุคความเจริญแรกเริ่มของกรุงเทพมหานครอีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมรับชมการแสดง แสง สี เสียง "จุดประกายพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย" ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวัน 8 มกราคม 2566 วันละ 2 รอบ คือ เวลา 18.30 และ 19.30 น. และสามารถเยี่ยมชมนิทรรศการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การไฟฟ้าไทย จากแสงแรกแห่งสยาม...สู่พิพิธภัณฑ์ไฟฟ้าไทย ตั้งแต่เวลา 17.00 - 22.00 น. ณ อาคารพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย (อาคาร 1) การไฟฟ้านครหลวง เขตวัดเลียบ และพิเศษ! ในวันคริสต์มาส และวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ขยายเวลาถึง 24.00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63059 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Motto for 2023 Children’s Day | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
Motto for 2023 Children’s Day
Motto for 2023 Children’s Day
December 23, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha announced the motto for 2023 Children’s Day, which falls on Saturday, January 14, 2023, as:
“Dutiful, Disciplined, Do Good Deeds”
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister has given the motto for Children’s Day for 9 years in a role since 2015.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรม กังวลสถานการณ์ฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยแย่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำโควิดระบาดรุนแรง-ทุบท่องเที่ยวไทยที่เพิ่งลืมตาอ้าปาก ซ้ำเติมประชาชน | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
ก.อุตสาหกรรม กังวลสถานการณ์ฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยแย่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำโควิดระบาดรุนแรง-ทุบท่องเที่ยวไทยที่เพิ่งลืมตาอ้าปาก ซ้ำเติมประชาชน
ก.อุตสาหกรรม กังวลสถานการณ์ฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยแย่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำโควิดระบาดรุนแรง-ทุบท่องเที่ยวไทยที่เพิ่งลืมตาอ้าปาก ซ้ำเติมประชาชน หลังพบเปิดหีบแล้ว 21 วัน ลอบเผาอ้อยมากถึง 2.3 ล้านตัน เร่งประสาน ก.มหาดไทย ชี้เป้าสกัดจุดเผาซ้ำซาก
ก.อุตสาหกรรม กังวลสถานการณ์ฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยแย่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำโควิดระบาดรุนแรง-ทุบท่องเที่ยวไทยที่เพิ่งลืมตาอ้าปาก ซ้ำเติมประชาชน หลังพบเปิดหีบแล้ว 21 วัน ลอบเผาอ้อยมากถึง 2.3 ล้านตัน เร่งประสาน ก.มหาดไทย ชี้เป้าสกัดจุดเผาซ้ำซาก เดินหน้าแผนลดอ้อยไฟไหม้เหลือในฤดูหีบ 65/66 บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากปัญหาฝุ่นพิษ
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยถึง แผนปฏิบัติการเร่งด่วนกำหนดการเผาอ้อยในฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็น 0% ตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พ.ศ. 2562 -2567 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ว่า หลังจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเริ่มเดินหน้าเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิต 2565/2566 ในโรงงานน้ำตาลทรายทั่วประเทศ 57 โรง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ต่อเนื่องถึงช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2566 ล่าสุดพบว่าระหว่างที่ 1-21 ธันวาคม 2565 มีการลักลอบเผาอ้อยก่อนตัดส่งเข้าหีบโรงงานน้ำตาลมากถึง 2.3 ล้านตัน คิดเป็น 25.70% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบรวม 9.09 ล้านตัน
ปริมาณอ้อยที่ถูกลักลอบเผาในฤดูการผลิต 2564/2565 พบว่า 5 จังหวัดที่มีการเผามากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา 3.532 ล้านตัน อุดรธานี 2.649 ล้านตัน กาฬสินธุ์ 2.359 ล้านตัน ขอนแก่น 1.952 ล้านตัน และเพชรบูรณ์ 1.950 ล้านตัน และสำหรับ 5 จังหวัดที่สามารถบริหารจัดการควบคุมการลักลอบเผาได้ดีที่สุด คือ จังหวัดสุโขทัย 0.059 ล้านตัน อุตรดิตถ์ 0.064 ล้านตัน ราชบุรี 0.070 ล้านตัน ประจวบคีรีขันธ์ 0.073 ล้านตัน และพิษณุโลก 0.078 ล้านตัน
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ สอน. ในการนำอ้อยเข้าหีบฤดูการผลิต 2564/2565 พบว่า กลุ่มโรงงานที่มีการรับอ้อยถูกเผาเข้าหีบสูงสุด คือ โรงงานในกลุ่มบริษัทมิตรผล 5.36 ล้านตัน กลุ่มบริษัทไทยรุ่งเรือง 3.86 ล้านตัน กลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่น 2.27 ล้านตัน ตามลำดับ ส่งผลให้เกิดควันไฟที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 ขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในทั่วพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง รวมถึงพื้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญในหลายจังหวัดและกรุงเทพมหานคร (ประมาณการณ์อ้อยที่ถูกลับลอบเผา 10 ล้านตัน เสมือนกับการ เผาป่า 1 ล้านไร่)
โดยคาดการณ์ฤดูหีบอ้อยปี 2565/2566 จะมีปริมาณอ้อยสูงถึง 106 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปี 2564/2565 ซึ่งอยู่ที่ 92.07 ล้านตัน หากการลักลอบเผาอ้อยไม่ลดลง เท่ากับว่าปีนี้สภาพมลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการหีบอ้อยในฤดูท่องเที่ยวเทศกาลตั้งแต่ก่อนปีใหม่จนถึงหลังสงกรานต์ จะวิกฤตกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก อีกทั้งประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีผลงานวิจัยหลายชิ้นในหลายประเทศค้นพบความเชื่อมโยงกันว่า เมื่อประชาชนหายใจสูดฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เข้มข้น จะส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง โรคโควิด-19 ระบาดได้ง่ายขึ้น ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรง และนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น
นอกจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนกว่า 60 ล้านคนแล้ว การเผาอ้อยยังส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นตัว ล่าสุดรัฐบาลตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566 ไว้ที่ 20 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ซึ่งทะลุ 10 ล้านคนแล้ว ณ เวลานี้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย จึงต้องไม่เป็นภาระต่อสังคมเศรษฐกิจ ทำลายบรรยากาศในการดึงดูดการท่องเที่ยว ทำให้สภาพอากาศของไทยแย่ลงในช่วงไฮซีซั่นหลายเดือนจากนี้
นายภานุวัฒน์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ที่ผ่านมา ได้มีการหารือในมาตรการจัดการลักลอบเผาอ้อยก่อนส่งเข้าหีบโรงงานน้ำตาลอย่างจริงจัง แต่พบว่า ยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเพียง 21 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีการลักลอบเผาอ้อยไปแล้วมากถึง 2.3 ล้านตัน ดังนั้น หลังจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะยกระดับการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สอน. จะแจ้งข้อมูลจุดที่มีการลับลอบเผาอ้อยซ้ำซาก เพื่อให้หน่วยงานปกครองสามารถป้องปรามการลักลอบเผา และเร่งดับไฟได้ทันท่วงที รวมทั้งขอร่วมมือกับโรงงานน้ำตาลเพื่อหามาตรการสนับสนุนการไม่รับอ้อยที่ถูกเผาเข้าหีบฤดูการผลิตนี้
สำหรับสถิติการลักลอบเผาอ้อยอันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการเกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 ในช่วง 3 ปีการผลิตที่ผ่านมา พบว่า ปี 2562/2563 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผา 37.18 ล้านตัน ปี 2563/2564 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผา 17.61 ล้านตัน และปี 2564/2565 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผา 25.12 ล้านตัน ขณะที่ฤดูกาลผลิตใหม่ปี 2565/2566 คาดการณ์ปริมาณอ้อยรวมจะสูงถึง 106 ล้านตัน หากโรงงานน้ำตาล ชาวไร่อ้อย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ผลกระทบฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่จะเกิดกับภาคเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพพี่น้องคนไทยกว่า 60 ล้านคน จะแย่กว่า 3 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
---------------------------
24 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63074 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 14 โครงการของขวัญปีใหม่ จากรัฐบาลแด่พี่น้องจังหวัดชายแดนใต้ | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
เปิด 14 โครงการของขวัญปีใหม่ จากรัฐบาลแด่พี่น้องจังหวัดชายแดนใต้
เปิด 14 โครงการของขวัญปีใหม่ จากรัฐบาลแด่พี่น้องจังหวัดชายแดนใต้
วันนี้ 24 ธ.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เตรียม 14 โครงการใหญ่ที่พร้อมขับเคลื่อนทันที เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 แด่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ และจะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป รวมถึงโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน โดยเป็นการดำเนินงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.)
มีโครงการสำคัญดังนี้
ด้านการผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ “มหานครแห่งอาหารและบริการฮาลาล สู่ ตลาดโลก” มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลักในการดำเนินการและจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการในเรื่อง
1. การเพิ่มจำนวนฐานแม่วัวพันธุ์พื้นเมือง รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 ตัว
2. การเพิ่มจำนวนฐานแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์แพะ รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 ตัว
3. ขับเคลื่อนเมืองปูทะเลโลก แบบครบวงจร เพิ่มจำนวนลูกปูเพาะพันธุ์ได้เองในพื้นที่ ไม่น้อยกว่า 50,000,000 ล้านตัว ครัวเรือน/กลุ่มอาชีพ มากกว่า 100 กลุ่ม และการท่องเที่ยวชุมชน 10 ชุมชน
4. เพิ่มจำนวนพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ พืชพลังงานและผลไม้รองรับการพัฒนาภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น้อยกว่า 50,000 ไร่
ด้านการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ได้แก่
5. สนับสนุนอาหาร วิตามินเสริม และบริการทางสุขภาพแม่และเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเพิ่มสุขภาวะของประชาชน จำนวน 4.6หมื่นราย
6. สนับสนุนอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนตาดีกา และโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ตามโครงการสร้างคนดีตามหลักการทางศาสนาที่ถูกต้องเพื่อร่วมสืบสานและรักษาสังคมพหุวัฒนธรรมที่ดีงามของจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,875 แห่ง 1.7 แสนคน
7. ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษามลายู ภาษาอาหรับ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษและภาษาตุรเครีย แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรองรับการประกอบอาชีพ และผู้ที่ประสงค์จะไปศึกษา และทำงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เชื่อมโยงกับกับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกมุสลิมไม่น้อยกว่า 4 หมื่นราย
8. แก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจนที่ยั่งยืน 5 ด้าน (ฐานข้อมูล TPMAP) ไม่น้อยกว่า 1,200 ครัวเรือน
ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน
9. สนับสนุนงบประมาณแก่ผู้นำท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของหมู่บ้าน-ชุมชน ทุกหมู่บ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้
10. ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานให้แก่องค์กรภาคประชาสังคมและภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น้อยกว่า 200 องค์กร
11. จัดตั้งอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา เทศบาลเมืองบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ด้านการเสริมสร้างพหุสังคมที่เข้มแข็ง ได้แก่
12. การจัดวิ่งตามภูมิศาสตร์ “Amazean Jungle Trail Edition”
13. ปฏิทินประเพณีวัฒนธรรม ๑๒ เดือน
14. การซ่อมแซมและบูรณะปฏิสังขรณ์วัดที่มีอายุเกิน ๑๐๐ ปี โบราณสถาน ศาสนสถาน พิพิธภัณฑ์ เพื่อการเรียนรู้และเป็นแหล่งท่องเที่ยว
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ทุกโครงการที่รัฐบาลผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน มุ่งเป้าการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัย รายได้เพิ่ม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ภายใต้วิถีสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน อีกทั้ง ยังรวมถึงการเผยแพร่การรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในศักยภาพของความเป็นจังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63065 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” 23 – 27 ธ.ค. 2565 ชวนเที่ยวมหาสารคาม | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
วธ. เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” 23 – 27 ธ.ค. 2565 ชวนเที่ยวมหาสารคาม
วธ. เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” 23 – 27 ธ.ค. 2565 ชวนเที่ยวมหาสารคาม กราบบูชาสักการะพระบรมธาตุนาดูน ชมฟ้อนรำจำปาศรี กว่า 1,000 ชีวิต หุ่นกระติบและหุ่นฟาง ช้อปของดีถิ่นอีสานตลาดวัฒนธรรม
วธ. เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” 23 – 27 ธ.ค. 2565 ชวนเที่ยวมหาสารคาม กราบบูชาสักการะพระบรมธาตุนาดูน ชมฟ้อนรำจำปาศรี กว่า 1,000 ชีวิต หุ่นกระติบและหุ่นฟาง ช้อปของดีถิ่นอีสานตลาดวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
วันที่ 23 ธันวาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” ประจำปี 2565 ณ จังหวัด มหาสารคาม โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธัญญวัฒน์ ชาญพินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม นางฉวีวรรณ พันธุ ศิลปินแห่งชาติปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ผู้บริหารวธ. วัฒนธรรมจังหวัด 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประธานมูลนิธิพระบรมธาตุนาดูน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรม ศิลปินพื้นบ้านอีสาน เครือข่ายวัฒนธรรม และนักท่องเที่ยวเข้าร่วม ณ พระบรมธาตุนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
รมว.วธ. กล่าวว่า วธ. ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานราก ในระดับชุมชนและท้องถิ่น สนับสนุนนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ของรัฐบาล รวมทั้งผลักดัน “Soft Power” เพื่อส่งเสริมความเป็นไทยและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วธ. จึงจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขึ้น ในพื้นที่ 4 ภูมิภาค โดยครั้งแรกจัดขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้ชื่องาน “หุ่นกระติบ งึดอีหลี ยลวิถี ของดีอีสาน” ระหว่างวันที่ 23 - 27 ธันวาคม 2565 ณ พระบรมธาตุนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ยกระดับพระบรมธาตุนาดูน เป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และตามรอยอารยธรรมนครจำปาศรี เปิดพื้นที่ให้ พี่น้องชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด นำทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับศิลปิน เครือข่ายทางวัฒนธรรม ผู้ประกอบการสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม รวมทั้ง เป็นการเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติและท้องถิ่น ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางตลอดจนเสริมฐานรากทางวัฒนธรรมให้เกิดความเข้มแข็ง และยกระดับการจัดงานในระดับท้องถิ่นให้เป็นงานระดับชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลายน่าสนใจ ประกอบด้วย กราบบูชาสักการะพระบรมธาตุนาดูน ชมการฟ้อนรำจำปาศรี จำนวน 1,000 คน จัดนิทรรศการมหกรรมหุ่นกระติบและหุ่นฟางอย่างยิ่งใหญ่ นิทรรศการแสดงศิลปะ พิธียกอ้อ ยอครู บายศรีสูตรขวัญครูศิลปินอีสาน การเสวนาทางวิชาการ ตลาดวัฒนธรรม การสาธิตผลิตภัณฑ์ และบริการทางวัฒนธรรม CCPOT และ 5F การสาธิตวิถีถิ่น วิถีไทย จาก 20 จังหวัด ชมการสาธิตการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีชุมชน ชาติพันธุ์ในภาคอีสาน ร่วมกิจกรรมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวเมืองโบราณนครจำปาศรี เชิงวัฒนธรรมและเชิงสุขภาพ ชมนิทรรศการภูมิปัญญา วิถีชีวิต นอกจากนี้ มีการแสดงแบบผ้าไทย ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล มหาไหมเมืองคาม มรดกภูมิปัญญาสู่สากล การแสดงวงออเคสตร้า โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และโขนจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมศิลปินพื้นบ้านมากมาย
ทั้งนี้ งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติฯ ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นที่ภาคเหนือ “อารยธรรมแห่งสายน้ำ วัฒนธรรมจีนไทย สานสายใยชาติพันธุ์” วันที่ 16 - 20 มกราคม 2566 ณ บริเวณหาดทรายต้นแม่น้ำเจ้าพระยา และอาคารพาสาน อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ต่อด้วยภาคกลางและภาคตะวันออก “ดนตรีสานศิลป์ สองถิ่นวัฒนธรรม” วันที่ 9 - 13 มิถุนายน 2566 ณ บริเวณวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และปิดท้ายที่ภาคใต้ “สานศิลป์ แดนดินใต้ เทิดไท้องค์ราชัน” วันที่ 26 - 30 กรกฎาคม 2566 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ ชาวนาเกลือมีเฮ !!! “อลงกรณ์” เผยบอร์ดเกลือเห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาเกลือ โครงการสินเชื่อชะลอการขายเกลือ ปีการผลิต 2565/66 | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ ชาวนาเกลือมีเฮ !!! “อลงกรณ์” เผยบอร์ดเกลือเห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาเกลือ โครงการสินเชื่อชะลอการขายเกลือ ปีการผลิต 2565/66
ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ ชาวนาเกลือมีเฮ !!! “อลงกรณ์” เผยบอร์ดเกลือเห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาเกลือ โครงการสินเชื่อชะลอการขายเกลือ ปีการผลิต 2565/66 รองรับปริมาณเกลือทะเลปีหน้า 5 แสนตัน มอบสถาบันเกลือทะเลไทย (Salt Academy) ผนึก กยท.
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยครั้งที่5/2565แบบHybrid Meetingโดยผ่านระบบการประชุมออนไลน์Zoom Cloud Meetingและห้องประชุมกรมส่งเสริมการเกษตรเมื่อวันที่23ธ.ค. 65โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมอาทินายสุรเดชสมิเปรมรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายพีรพันธ์คอทองรักษาราชการแทนหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายนวนิตย์พลเคนรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรนายชาญยุทธ์ภาณุทัตที่ปรึกษากรมส่งเสริมการเกษตรดร.จุฑามาศทะแกล้วพันธุ์ผู้อำนวยการสถาบันเกลือทะเลไทยประธานสหกรณ์เกลือและผู้แทนชาวนาเกลือทูตเกษตรประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ(ประเทศเบลเยี่ยมสหรัฐอเมริกาอิตาลีออสเตรเลียอินโดนีเซียจีนญี่ปุ่น)ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมผู้แทนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ตัวแทนภาคเอกชนและหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้แทนเกษตรกรนาเกลือเข้าร่วมการประชุม
นายอลงกรณ์เปิดเผยว่าที่ประชุมได้สรุปผลการดำเนินการการพัฒนาเกลือทะเลในปี2565รวมถึงกิจกรรมการสืบทอดและฟื้นฟูประเพณีทำขวัญเกลือและพิธีแรกนาเกลือเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของเกลือทะเลไทยและเป็นหนึ่งในแนวทางการส่งเสริมSoft powerตลอดจนการคุ้มครองเกลือทะเลไทยจากการค้าระหว่างประเทศการแสวงหาโอกาสในการส่งออกการพัฒนามาตรฐานเกลือเพื่อเข้าสู่ตลาดผู้บริโภครวมทั้งการใช้ผลผลิตจากนาเกลือไปใช้ประโยชน์ด้านต่างๆเช่นการใช้ขี้แดดนาเกลือเพื่อเป็นปุ๋ยให้กับพืชตลอดจนการแปรรูปเกลือเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เกลือเช่นเกลือสปาสบู่เกลือการให้ความสำคัญของการสร้างแบรนด์การพัฒนานาเกลือเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวการช่วยเหลือเกษตรกรกรณีเกิดภัยพิบัติการสนับสนุนแหล่งสินเชื่อเงินทุนให้กับเกษตรกรฯลฯพร้อมทั้งกล่าวชื่นชมและขอบคุณคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยและหน่วยงานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการการทำงานเชิงรุกจากทุกภาคส่วนร่วมกันตลอดจนการสร้างระบบและโครงสร้างการพัฒนาเกลือทะเลไทยอย่างยั่งยืนมีการจัดตั้งสถาบันเกลือทะเลไทยซึ่งเป็นศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC)ประเภทศูนย์ความเป็นเลิศด้านเกลือในการยกระดับการพัฒนาเกลือทะเลไทยสู่มาตรฐานสากล
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่าที่ประชุมได้รับทราบรายงานดังนี้
(1)ผลการดำเนินงานอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาด้านเกลือทะเล“ประเพณีแรกนาเกลือ”จัดขึ้นเมื่อวันที่10พฤศจิกายน2565ณวิสาหกิจชุมชนสหกรณ์หมู่3โคกขามตำบลโคกขามอำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร
(2)การคาดการณ์ปริมาณผลผลิตเกลือทะเลปีการผลิต2565/66คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตเกลือทะเลรวม7จังหวัดจำนวน531,201.87ตันโดยจังหวัดเพชรบุรีเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตเกลือทะเลมากที่สุดจำนวน219,292ตันคิดเป็นร้อยละ41.27รองลงมาได้แก่สมุทรสาครจำนวน208,674.84ตันคิดเป็นร้อยละ39.28จังหวัดสมุทรสงคราม93,840ตันจังหวัดชลบุรี4,015.75ตันจังหวัดฉะเชิงเทรา2,520.27ตันจังหวัดปัตตานี2,310.01ตันและจังหวัดจันทบุรี549ตัน
(3)ความก้าวหน้าการดำเนินงานการพัฒนาเกลือทะเลไทยสถาบันเกลือทะเลไทยมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีสถาบันเกลือทะเลไทยซึ่งได้ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาเกลือทะเลไทยและการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปี2559จนปัจจุบันยกระดับเป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะเมื่อวันที่1มิถุนายน2563 Kick offเป็น“ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(Agritech and Innovation CenterหรือAIC)”ให้เป็นแหล่งบริการเกษตรกรที่รวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรสามารถนำองค์ความรู้ต่างๆไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิตสามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรและให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐานโดยเป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันสำหรับในปีงบประมาณ2565ได้ดำเนินการในกิจกรรมต่างๆดังนี้
(1)การสนับสนุนให้เกษตรกรนำเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานเพิ่มความสะดวกแม่นยำและง่ายต่อการบริหารจัดการระบบจัดการเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยรถขนเกลือรถกลิ้งนาเกลือไร้คนขับ
(2)การสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปการวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปผลผลิตเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงอาทิเกลือคุณภาพสูงน้ำแร่เซรั่มบำรุงผิวสบู่ดอกเกลือ
(3)การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยววิถีใหม่จากความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมเกษตรภูมิปัญญาและระบบบริหารสถานที่ท่องเที่ยวการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยท้องถิ่นสร้างเนื้อหาการท่องเที่ยวตลอดจนบริหารจัดการเส้นทางและจำนวนนักท่องเที่ยวได้ด้วยตนเองบนเส้นทางสายเกลือการยกระดับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นเช่นพิธีแรกนาเกลือทำขวัญเกลือ
(4)การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นการแปลงของเสียให้เป็นแหล่งรายได้การวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการเดิมในระบบรวมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เช่นโมเดลZero wasteการใช้ประโยชน์จากวัสดุเศษเหลือปุ๋ยอินทรีย์ขี้แดดนาเกลือสำหรับพืชผลต่างๆเกลือน้ำทะเลเทียมเพื่อการเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม
นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญดังนี้
(1)เห็นชอบในหลักการโครงการสินเชื่อชะลอการขายเกลือปีการผลิต2565/66โดยเป็นเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมในครั้งที่แล้วมีวัตถุประสงค์เพื่อชะลอปริมาณเกลือทะเลไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อมกันบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรนาเกลือด้านค่าใช้จ่ายในครอบครัวและหนี้สินตลอดจนยกระดับราคาเกลือให้สูงขึ้นและรักษาราคาเกลือให้มีเสถียรภาพและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ธ.ก.ส.กระทรวงพาณิชย์กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานอื่นๆเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2)แนวการพัฒนาความร่วมมือด้านการตลาดเกลือทะเลไทยในต่างประเทศโดยความร่วมมือจากทูตเกษตร(ประเทศเบลเยี่ยมสหรัฐอเมริกาอิตาลีออสเตรเลียอินโดนีเซียจีนญี่ปุ่น) เพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือช่องทางการตลาดไปยังต่างประเทศเช่นช่องทางการขยายตลาดไปต่างประเทศด้วยการตลาดออนไลน์การให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศที่สามารถส่งออกมาตรการสินค้าเกษตรในแต่ละประเทศความรู้ทั้งกฎหมายการค้าภาษีสถิตินำเข้าส่งออกที่น่าสนใจรวมไปถึงเทคนิคที่สร้างสินค้าให้โดนใจสามารถเข้าใจInsightแต่ละประเทศได้และการเจาะไปที่การตลาดที่เหมาะสมในแบบประเทศนั้นๆเป็นต้นเพื่อการสร้างโอกาสในการแข่งขันในตลาดใหม่และลดผลกระทบกับภาคการเกษตรของไทยเพื่อให้การขับเคลื่อนการสร้างโอกาสในการลงทุนการขยายช่องทางการตลาดเกลือทะเลในต่างประเทศด้วย
(3)การใช้นิยามศัพท์“นาเกลือสมุทร”และ“นาเกลือทะเล”โดยที่ประชุมมีมติใช้คำว่า“นาเกลือทะเล”ซึ่งมีความเหมาะสมและเข้าใจง่ายตรงตามความหมายการทำนาเกลือของเกษตรกร
ที่ประชุมยังได้รับทราบการนำเสนอนวัตกรรมแผ่นใยสังเคราะห์เคลือบน้ำยางหรือแผ่นกั้นน้ำรับเทค(RUBTEX WATERPROOF MEMBRANE (RUBTEX W.M.))ของการยางแห่งประเทศไทย(กยท.)ซึ่งเกิดจากการพัฒนาของบริษัทเท็กเซ็ทจำกัดร่วมวิจัยกับฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางการยางแห่งประเทศไทยโดยเหมาะกับการใช้งานลักษณะงานปูบ่ออ่างเก็บน้ำฝายเขื่อนระบบส่งน้ำคันกั้นน้ำและใต้คันทางเป็นต้น
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอให้กยท.ร่วมกับสถาบันเกลือทะเลไทยทดสอบนวัตกรรมแผ่นใยสังเคราะห์เคลือบน้ำยางในการปูพื้นนาเกลือของเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อทดสอบประสิทธิภาพและความเหมาะสมต่อการนำมาใช้ในแปลงนาเกลือของเกษตรกรหรือไม่อย่างไรต่อไปซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้ยางธรรมชาติในประเทศเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
“รูปแบบและแนวทางการพัฒนาเกลือทะเลไทยเชิงโครงสร้างและระบบโดยแพล็ตฟอร์มการพัฒนาเกลือถือเป็นแม่แบบโมเดลการพัฒนาสามารถนำไปใช้เป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาภาคเกษตรด้านพืชประมงและปศุสัตว์ได้อีกด้วย”นายอลงกรณ์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63075 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญผลักดันการฟื้นตัวต่อเนื่องการท่องเที่ยวไทย ล่าสุดตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทย รวมกว่า 11 ล้านคนแล้ว | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญผลักดันการฟื้นตัวต่อเนื่องการท่องเที่ยวไทย ล่าสุดตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทย รวมกว่า 11 ล้านคนแล้ว
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญผลักดันการฟื้นตัวต่อเนื่องการท่องเที่ยวไทย ล่าสุดตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทย รวมกว่า 11 ล้านคนแล้ว
วันนี้ 24 ธ.ค. 65 นายอนุชา บูรพชัยศรี บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวประเทศไทยสะสมระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2565 โดยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2565 เป็นจำนวนถึง 11,049,769 คนแล้ว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้า 5 อันดับแรก สะสม 1 มกราคม-22 ธันวาคม 2565 ได้แก่ 1. มาเลเซีย 1,812,250 คน 2. อินเดีย 923,768 คน 3. ลาว 796,220 คน 4. สิงคโปร์ 563,594 คน 5. กัมพูชา 562,060 คน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวรายด่าน 5 อันดับแรก สะสม 1 มกราคม-22 ธันวาคม 2565 ได้แก่ 1. ทอ.สุวรรณภูมิ 5,729,695 คน 2. ทอ.ภูเก็ต 1,457,683 คน 3. ทอ.ดอนเมือง 904,717 คน 4. สะเดา 670,400 คน และ 5. หนองคาย 328,957 คน
นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปถึงข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยแล้วเฉลี่ยวันละ 60,000-70,000 คน โดยกลุ่มหลักเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย และขณะนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้ามาวันละประมาณ 5,000 คน เป็นผลจากที่มีการเพิ่มเที่ยวบินจากรัสเซียบินตรงมายังกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเริ่มมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำบินตรงมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โดยคาดว่าในปี 2565 นี้ยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีถึง 11.5 ล้านคน เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวในประเทศ 175 ล้านคน/ครั้ง จะทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่ารวมในปี 2562 สำหรับเป้าหมายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ปี 2566 ททท. ได้คาดการณ์ว่าจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2566 กลับมาในอัตราร้อยละ 80 ของปี 2562 ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวที่ร้อยละ 50 ของปี 2562 หรือประมาณ 20 ล้านคน
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการผลักดันการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของการท่องเที่ยวไทย ทั้งส่วนของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และการส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวในประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าการผลักดันฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ต้องให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้สู่เมืองรอง ผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพื่อให้ความเข้มแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับฐานรากของเศรษฐกิจ พร้อมกำชับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่อเนื่อง ทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อรองรับและกระตุ้นนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในอนาคต ตลอดจนแผนการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว โดยให้พิจารณาความพร้อมและศักยภาพของประเทศในทุกด้านควบคู่ด้วย ทั้งนี้ การที่สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวที่ได้ร่วมกับขับเคลื่อน ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวเร็วที่สุดในโลกได้” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีวัคซีนโควิด19 ฝีมือคนไทย เอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค ของ อภ. ใกล้สำเร็จ คาดขึ้นทะเบียนตามแผนในปี 2566 | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
นายกรัฐมนตรียินดีวัคซีนโควิด19 ฝีมือคนไทย เอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค ของ อภ. ใกล้สำเร็จ คาดขึ้นทะเบียนตามแผนในปี 2566
นายกรัฐมนตรียินดีวัคซีนโควิด19 ฝีมือคนไทย เอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค ของ อภ. ใกล้สำเร็จ คาดขึ้นทะเบียนตามแผนในปี 2566 ขอบคุณความร่วมมือทุกฝ่าย ประชาชนผู้เป็นอาสาสมัคร ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกการพัฒนาเทคโนโลยีคนไทย
วันนี้ 24 ธันวาคม 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีความยินดีหลังจากได้รับทราบรายงานว่าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด19 เอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค (HXP-GPOVac) ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้เข้าใกล้ผลสำเร็จ โดยขณะนี้เข้าสู่การทดลองในมนุษย์ หรือการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 แล้ว ซึ่งหากการทดลองในส่วนนี้ประสบความสำเร็จ จะนำไปสู่การดำเนินการตามแผนงานคือ ขึ้นทะเบียนภายในปี 2566 ดำเนินการผลิตและกระจายวัคซีนสู่ประชาชน โดย อภ.จะมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนประมาณ 5-10 ล้านโดสต่อปี
นายกรัฐมนตรีขอบคุณ อภ. กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนที่เป็นอาสาสมัครในการทดสอบทางคลินิกทั้งใน 2 ระยะที่ผ่านมา และระยะที่ 3 ซึ่งกำลังดำเนินการที่โรงพยาบาลนครพนม จำนวน 4,000 คน ที่อาสาสมัครเป็น พี่น้อง อสม. และประชาชนชาวนครพนม
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันผลักการพัฒนาวัคซีนฝีมือคนไทย และขอให้โครงการนี้เป็นตัวอย่างว่าทุกความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนไทย การมีเงินทุน ความรู้ เทคโนโลยี แต่ขาดอาสาสมัครที่เสียสละการทดสอบก็ไม่ทางสำเร็จได้ ทุกฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญ ขณะรัฐบาลเองก็จะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณบุคลากรเพื่อพัฒนาทุกเทคโนโลยีและขีดความสามารถของคนไทย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วานนี้ (23 ธ.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ จ.นครพนมเพื่อติดตามการเริ่มการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 ของวัคซีนเอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค ณ โรงพยาบาลนครพนม ได้มีรายงานว่าหากการทดสอบครั้งนี้สำเร็จไปได้ จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึง ลดภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ และส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงด้านวัคซีนหากเกิดการระบาดขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับโครงการพัฒนาวัคซีนเอชเอ็กซ์พี-จีพีโอแวค เป็นความร่วมมือของ อภ. กับองค์กรต่างๆ ได้แก่ PATH, Icahn School of Medicine at Mount Sinai (Icahn Mount Sinai) นิวยอร์ค, University of Texas at Austin (UT Austin) ประเทศสหรัฐอเมริกา และโรงงานผู้ผลิตวัคซีนใน 3 ประเทศ คือ บราซิล เวียดนาม และไทย โดยการสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ผ่านทางหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เปิดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เน้นย้ำ ต้องออกกำลังกายให้เป็นนิสัย | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
ปลัดมหาดไทย เปิดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เน้นย้ำ ต้องออกกำลังกายให้เป็นนิสัย
ปลัด มท. เปิดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เน้นย้ำ ต้องออกกำลังกายให้เป็นนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับลูก ๆ หลาน ๆ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ปลัดมหาดไทย เปิดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เน้นย้ำ ต้องออกกำลังกายให้เป็นนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับลูก ๆ หลาน ๆ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
วันนี้ (24 ธ.ค. 65) เวลา 06.19 น. ที่วัดโพธิ์ศรี ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร โดยได้รับเมตตาจากพระเทพวิสุทธิกวี (ถาวร อธิวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร ที่ปรึกษาวัดโพธิ์ศรี องค์อุปถัมภ์โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธิ์ศรี เป็นประธานสงฆ์ พระครูพิริยธรรมสาร (ประหยัด มหาวีโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี พระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร และพระเถรานุเถระ ร่วมในพิธี โดยมี นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี นายสัมฤทธิ์ กองเงิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี นางศิริลักษม์ เหมาะพิชัย นายอำเภออินทร์บุรี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ เด็ก เยาวชน นักกีฬา ร่วมงานกว่า 1,800 คน
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำนายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี หัวหน้าส่วนราชการ นักกีฬา และภาคีเครือข่าย ร่วมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ ระยะทาง 7 กิโลเมตร และพบปะเยี่ยมเยียนทักทายพี่น้องประชาชนตลอด 2 ข้างทาง โดยภายหลังการแข่งขันเสร็จสิ้น ได้เป็นประธานมอบถ้วยรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี รุ่นอายุไม่เกิน 60 ปี รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไป และรางวัลพิเศษให้แก่นักวิ่งอายุน้อยที่สุด นักวิ่งอายุมากที่สุด และมอบเงินทุนสนับสนุนการขับเคลื่อนงานและการศึกษาให้กับหน่วยงาน โรงพยาบาล และสถาบันการศึกษา พร้อมทั้งเยี่ยมชมผลผลิตแปลงโคก หนอง นา และให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทยในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้พวกเราทุกคนมาร่วมในกิจกรรมอันเป็นมิ่งมงคลกับชีวิต ด้วยการมาร่วมกันน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร โดยมีท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร เป็นผู้สืบสาน รักษา พระปณิธานในการสืบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยการเป็นธงชัยมุ่งมั่นทำนุบำรุง "วัดโพธิ์ศรี" แห่งนี้ ให้เป็นพระอาราม ให้เป็นสถานที่พึ่งทางใจของพี่น้องประชาชนชาวอินทร์บุรี ชาวสิงห์บุรี และพี่น้องพุทธศาสนิกชนทุกคน ด้วยการร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร อันเป็นความคิดริเริ่มของคณะครูอาจารย์และคณะกรรมการวัดโพธิ์ศรี ที่อยากทำกิจกรรมที่เป็นมิตรกับชีวิต เฉกเช่นเดียวกับการที่พวกเราได้ร่วมกันสร้างศาลาปฏิบัติธรรมที่จะทำให้เรามีความสุขทั้งด้านครอบครัว ด้านจิตใจ และด้านร่างกาย
"วันนี้มาให้กำลังใจทุกท่านที่มาร่วมกันทำให้วัดโพธิ์ศรีแห่งนี้เป็นที่พึ่งของพี่น้องพุทธศาสนิกชนอย่างยั่งยืนนาน ด้วยเพราะพวกเราทุกคนมีความสำนึกรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันเหนือเกล้าของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร และสิ่งที่สำคัญของการร่วมกิจกรรมในวันนี้ คือ การทำให้พวกเราได้มีนิสัยรักการออกกำลังกาย เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลาน เพราะการออกกำลังกาย เมื่อผู้ใหญ่ทำเป็นตัวอย่างแล้ว เด็ก ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ก็จะเอาเป็นแบบอย่าง ทำตามตัวอย่าง เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จึงขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่าน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกหน่วยงาน และพี่น้องภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงวัดโพธิ์ศรี เป็นกำลังสำคัญในการสร้างศาลาปฏิบัติธรรม และที่สำคัญที่สุดได้มาทำให้ศาลาปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้พี่น้องพุทธศาสนิกชนได้มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติศาสนกิจ ทำสมาธิ เจริญจิตตภาวนาตามวัตถุประสงค์ที่พวกเราได้ช่วยกันในการจัดสร้างศาลาปฏิบัติธรรมหลังนี้กันขึ้นมา และจะเป็น landmark สำคัญอีกสถานที่หนึ่งของจังหวัดสิงห์บุรี และขอเชิญชวนทุกท่านได้ออกกำลังกายในทุกเช้าจนเป็นนิสัยเพื่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใสร่าเริง แคล้วคลาด ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่ป่วย เพื่อจะได้มีกำลังช่วยกันทำนุบำรุงศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ตลอดจนดูแลเสนาสนะในวัดโพธิ์ศรี ให้มีความมั่นคงสถาวร เป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน และสรรพสัตว์ทั้งหลายได้อย่างยั่งยืน
นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล สมโภชศาลาปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นดำริของท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิกวี (ถาวร อธิวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร ที่ปรึกษาวัดโพธิ์ศรี องค์อุปถัมภ์โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธิ์ศรี แบ่งประเภทการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท Fun Run (เดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ 5 กม.) และประเภท Mini Marathon (วิ่งมินิมาราธอน 10 กม.) เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานราชการและสถานศึกษา รวม 14 แห่ง คือ อำเภออินทร์บุรี โรงพยาบาลอินทร์บุรี โรงพยาบาลนิคมคำสร้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพอินทร์บุรี 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพงิ้วราย โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม โรงเรียนอนุบาลอินทร์บุรี (วัดโพธิ์ศรี) โรงเรียนวัดท่าอิฐ โรงเรียนวัดเชียงราก โรงเรียนวัดโฆษิตธาราม โรงเรียนวัดโบสถ์ โรงเรียนวัดพรหมสาคร โรงเรียนวัดน้อย และโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธิ์ศรี มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเผยแผ่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงพระวชิรญาณสังวร และสร้างความรักความสามัคคี โดยเงินรายได้จากการจัดกิจกรรมฯ มอบเป็นกองทุนสนับสนุนการจัดการศึกษาให้กับหน่วยงานและสถานศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธิ์ศรี ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชูกิจกรรมกีฬากระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดทั่วประเทศลุยจัด “1 จังหวัด 1 Sport Event” เชิญชวนผู้สนใจติดตามโปรแกรมและเดินทางท่องเที่ยวเชิงกีฬาส่งท้ายปี | วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม 2565
24/12/2565
รัฐบาลชูกิจกรรมกีฬากระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดทั่วประเทศลุยจัด “1 จังหวัด 1 Sport Event” เชิญชวนผู้สนใจติดตามโปรแกรมและเดินทางท่องเที่ยวเชิงกีฬาส่งท้ายปี
รัฐบาลชูกิจกรรมกีฬากระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดทั่วประเทศลุยจัด “1 จังหวัด 1 Sport Event” เชิญชวนผู้สนใจติดตามโปรแกรมและเดินทางท่องเที่ยวเชิงกีฬาส่งท้ายปีเก่ายาวถึงต้นปี 2566
วันนี้ 24 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนให้ทุกจังหวัดของประเทศได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว โดยให้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในและระหว่างจังหวัด
ในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการในหลายกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่และลงไปถึงระดับท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงการใช้กิจกรรมด้านกีฬาหรือ Sport Event เป็นกลไกขับเคลื่อน โดยตั้งแต่ปลายปี 2565 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2566 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดทั่วประเทศร่วมกับหน่วยงานในจังหวัดจัดงาน “1 จังหวัด 1 Sport Event” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในท้องถิ่น สนับสนุนให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวพร้อมส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจรรมเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนพ.ย. 65 เป็นต้นมา หลายจังหวัดได้ทยอยจัดกิจกรรม 1 จังหวัด 1 Sport Event ทั้งการแข่งขันเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน พายเรือหรือกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ โดยมีกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลเบื้องต้น ณ วันที่ 16 ธ.ค. 65 มีการดำเนินการจัดงานไปแล้ว 9 จังหวัด เกิดผลทางเศรษฐกิจรวม 15.75 ล้านบาท อาทิ งาน Nan Run จ.น่าน สร้างผลต่อเศรษฐกิจ 3.68 ล้านบาท งานแข่งขันเรือพายในกว๊านพะเยา จ.พะเยา 2.17 ล้านบาท งาน SIX TO SIX Chanthaburi Night Run จ.จันทบุรี 2.64 ล้านบาท เป็นต้น
ส่วนในครึ่งหลังของเดือน ธ.ค. ที่มีการจัดกิจกรรมและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก อาทิ วันที่ 18 ธ.ค. 65 จ.ระยองจัดกิจกรรมพายทะลุปอด SUP Board @ป่ากลางเมืองระยอง, วันที่ 19-20 ธ.ค. 65 จ.พิษณุโลก จัดกิจกรรม สองแคว วอเตอร์สปอร์ท ส่วนช่วงส่งท้ายปีก็จะมีกิจกรรมในหลายจังหวัดที่เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศไปร่วม อาทิ วันที่ 24-25 ธ.ค. 65 จ.ปราจีนบุรี จัดกิจกรรมนอนแคมป์ดูดาวตื่นเช้ามาปั่น, วันที่ 25 ธ.ค. 65 จ.กำแพงเพชร กิจกรรมวิ่งเทรล Khlonglan Trail Running 2022, วันที่ 30 ธ.ค. 65 จ.มุกดาหาร จัด กิจกรรมวิ่ง Night Run สีสันแห่งเมืองมุก, วันที่ 31 ธ.ค. 65 จ.ชุมพร จัดกิจกรรม Grand Sand Dune Beach Run and Countdown 2023
สำหรับโครงการ 1 จังหวัด 1 Sport Event จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศจะทยอยจัดงานไปจนถึงต้นปี 2566 โดยผู้ที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงกีฬา สามารถติดตามตารางกิจกรรมทั่วประเทศได้จากลิงค์ bit.ly/3YFeLed ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะทยอยประกาศตารางกิจกรรมของแต่ละเดือนในแต่ละจังหวัดให้ทราบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63068 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี สถ. ขานรับนโยบายปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้มตรวจติดตามถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ยก “อบต.ผาสามยอด จ.เลย” ต้นแบบท้องถิ่นยั่งยืน จัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน-ปลูกผัก รักษ์โลกคู่ขนาน | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
23/12/2565
อธิบดี สถ. ขานรับนโยบายปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้มตรวจติดตามถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ยก “อบต.ผาสามยอด จ.เลย” ต้นแบบท้องถิ่นยั่งยืน จัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน-ปลูกผัก รักษ์โลกคู่ขนาน
อธิบดี สถ. ขานรับนโยบายปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้มตรวจติดตามถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ยก “อบต.ผาสามยอด จ.เลย” ต้นแบบท้องถิ่นยั่งยืน จัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน-ปลูกผัก รักษ์โลกคู่ขนาน
วันนี้ (23 ธ.ค. 2565) ที่จังหวัดเลย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เปิดเผยว่า การดำเนินโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นนโยบายที่ริเริ่มและขับเคลื่อนโดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย มีความก้าวหน้าอย่างยิ่ง โดยทุกจังหวัดได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.) และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ตั้งเป้าหมายจัดทำครบทุกครัวเรือนภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อช่วยลดขยะที่ต้นทาง ช่วยลดภาระทางงบประมาณของท้องถิ่นในการบริหารจัดการขยะ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการรับรองก๊าซเรือนกระจก โดยมีกระบวนการดำเนินงานให้มีการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก (Validation and verification Body : VVB) สอดรับกับที่กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศวาระการดำเนินนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
อธิบดี สถ. กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงมหาดไทย ได้คัดเลือกให้จังหวัดเลยเป็น 1 ใน 4 จังหวัดนำร่อง ตามโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ร่วมกับจังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดลำพูน และจังหวัดอำนาจเจริญ โดยอยู่ระหว่างการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก คือ บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้เริ่มดำเนินการทวนสอบตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2565 เป็นต้นมา และเมื่อวานนี้ ตนได้ร่วมกับนายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเลย ส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น พร้อมทั้งคณะผู้ประเมินภายนอก และคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ของกระทรวงมหาดไทย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ลงพื้นที่ทวนสอบ ณ บ้านห้วยป่าน หมู่ที่ 9 บ้านห้วยป่าน หมู่ที่ 1 และ บ้านนาสมใจ หมู่ที่ 7 อบต.ผาสามยอด อำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย โดยมีนายก อบต.ผาสามยอด คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอสม. ในพื้นที่ ร่วมการทวนสอบ โดยมีการทวนสอบจริง จำนวน 33 ครัวเรือน ปรากฏผลการทวนสอบ มีการดำเนินการติดตั้งและใช้ถังขยะเปียก ลดโลกร้อนฯ จริงครบทุกครัวเรือน
“ในปี 2562 ท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ก็ได้เคยลงตรวจติดตามการขับเคลื่อนโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ในพื้นที่ของ อบต.ผาสามยอด และในปีนี้ ก็ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนร่วมขับเคลื่อนโครงการเป็นอย่างดี สมกับที่ อบต.ผาสามยอด เป็นต้นแบบของท้องถิ่นยั่งยืน มีครัวเรือนต้นแบบด้านการบริหารจัดการขยะครบทุกหมู่บ้าน พร้อมทั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการขยะที่มีคณะศึกษาดูงานจากท้องถิ่นอื่นๆ เข้ามาเยี่ยมชมเพื่อนำไปขยายผลอย่างต่อเนื่อง” อธิบดี สถ. กล่าว
อธิบดี สถ. กล่าวอีกว่า เมื่อได้เยี่ยมชมครัวเรือนต้นแบบ จะเห็นว่าพี่น้องประชาชนไม่เพียงแต่จัดทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อนในทุกครัวเรือน แต่ยังมีการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินในครัวเรือนแบบปิด เพื่อช่วยระบายน้ำท่วมขังได้อย่างรวดเร็ว ช่วยระบายน้ำเสียในครัวเรือน เช่น น้ำคลำ น้ำจากการซักล้างต่างๆ ในครัวเรือน และทำให้เกิดความชุ่มชื้นในพื้นที่รอบๆ บริเวณบ้านอยู่ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมีการปลูกผัก รักษ์โลก ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูกโดยใช้สารบำรุงดินจากการทำถังขยะเปียก ซึ่งพี่น้องประชาชนเล่าว่า สารบำรุงดินจากถังขยะเปียกช่วยเป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับพืชผักสวนครัว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชผักสวนครัว และไม้ยืนต้น และจากการพูดคุยกับผู้นำท้องถิ่น ยังพบว่า ถังขยะเปียก ได้ช่วยลดขยะที่เข้าสู่กระบวนการกลางทาง และปลายทาง ทำให้ในอนาคต ท้องถิ่นจะสามารถวางแผนเพื่อลดภาระทางงบประมาณในการจัดการขยะได้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เปิดงานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22) | วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
รมช.ประภัตร เปิดงานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22)
รมช.ประภัตร เปิดงานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิ สืบสานวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดร้อยเอ็ด
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22) ณ บริเวณโดมเวทีกลางลานสาเกตนครสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ว่า งานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22) ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทุ่มเททำงานในการพัฒนาและประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิอันทรงคุณค่าของผืนแผ่นดินไทย ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติที่ “ข้าวหอมมะลิ 105” ซึ่งปลูกในภาคอีสานของประเทศไทย เป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ โดยทั่วไปให้คำนิยามว่า “หอม-เรียวยาว-ขาวนุ่ม” ซึ่งในบรรดา 5 จังหวัดในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด ถือว่ามีพื้นที่ในการปลูกข้าวกว้างใหญ่ที่สุดถึงร้อยละ 46 หรือกว่า 9.4 แสนไร่ และด้วยเอกลักษณ์ที่พิเศษของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ คือ ลักษณะความนุ่มของข้าวและกลิ่นหอมนั้น ทำให้ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด จนได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI อีกด้วย
“ในวันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเปิดงานมหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดร้อยเอ็ด (เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 22) โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้เข้ามาส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรมูลค่าสูง เพราะจะทำการเกษตรแบบดั้งเดิมต่อไปไม่ได้ จะต้องเน้นเรื่องการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ได้มาตรฐานสูง และก่อให้เกิดรายได้สูง มุ่งพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรแบบอัจฉริยะ ส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง สร้างความยั่งยืนทางการเกษตรด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สนับสนุนการค้าอุตสาหกรรมยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นำฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจมาใช้ประโยชน์ พัฒนาการค้าทันสมัยใช้เทคโนโลยี เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร” รมช.ประภัตร กล่าว
จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิในเขตทุ่งกุลาร้องไห้มากที่สุด จำนวนกว่า 940,000 ไร่การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสินค้าการเกษตรต่างๆที่สำคัญของจังหวัด และเชื่อมโยงการตลาดข้าวหอมมะลิจังหวัดร้อยเอ็ดจากกลุ่มเกษตรกรไปสู่ช่องทางการตลาดทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศให้หลากหลายช่องทาง 2) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในกระบวนการผลิตที่เหมาะสมกับพื้นที่ การแปรรูปข้าวและอุตสาหกรรมด้านอาหารและสินค้าการเกษตรอื่นๆสู่การทำเกษตรมูลค่าสูง3) เพื่อสืบสานวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งภายในงานมีหน่วย งานที่ร่วมจัดกิจกรรมต่างๆ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตน ม.33 รับรหัสเกินวงเงิน 30,000 ล้านบาทแล้ว!! โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อผู้ประกันตน อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี 5 ปีแรก | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
ผู้ประกันตน ม.33 รับรหัสเกินวงเงิน 30,000 ล้านบาทแล้ว!! โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อผู้ประกันตน อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี 5 ปีแรก
ธอส. ยังคงเปิดให้ผู้ประกันตนที่สนใจสามารถขอรับรหัสเข้าร่วมโครงการได้ต่อไป เนื่องจากธนาคารจะปิดโครงการเมื่อมีลูกค้าได้รับ "อนุมัติ" สินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้ประกันตนมายื่นกู้กับ ธอส. แล้ว 88 ราย ด้วยกัน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธอส. และ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุดจากสถาบันการเงินอื่น รวมถึงเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับ ธอส. ใน “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน” วงเงินให้กู้สูงสุดตามจำนวนเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 2 ล้านบาท/หลักประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 ปี เท่ากับ 1.99% ต่อปี โดยขอรับรหัสเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป เพื่อรับรหัสผ่าน GHB Buddy ใน Line Application นั้น ล่าสุด ณ เวลา 11.30 น. ของวันที่ 21 ธันวาคม 2565 หรือภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังเริ่มเปิดให้รับรหัส ปรากฏว่ามีจำนวนผู้ประกันตนกดรับรหัสแล้วกว่า 15,000 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อเกินกว่ากรอบวงเงินโครงการ 30,000 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว สะท้อนถึงความสำเร็จของการดำเนินโครงการดังกล่าวที่ ธอส. และ สปส. ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดที่อยู่อาศัยให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม อย่างไรก็ตาม ธอส. ยังคงเปิดให้ผู้ประกันตนที่สนใจสามารถขอรับรหัสเข้าร่วมโครงการได้ต่อไป เนื่องจากธนาคารจะปิดโครงการเมื่อมีลูกค้าได้รับ "อนุมัติ" สินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้ประกันตนมายื่นกู้กับ ธอส. แล้ว 88 ราย ด้วยกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่รับรหัสเรียบร้อยแล้วสามารถนำรหัสดังกล่าว พร้อมหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 (ดาวน์โหลดทางเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม) และเอกสารส่วนตัว / เอกสารแสดงรายได้ / และเอกสารแสดงหลักประกัน(ที่อยู่อาศัยที่จดจำนองกับธนาคาร) มายื่นกู้กับ ธอส. ที่สาขาทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เป็นต้นไป ซึ่งผู้ที่ขอรับรหัสจะได้รับการแจ้งเตือนวันที่ให้ติดต่อยื่นกู้ทาง GHB Buddy หรือ ตรวจสอบลำดับการยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th และทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/ สาขา/ ที่ท่านสะดวก หรือ โทรสายด่วน 1506 หรือ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62945 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง และงดเดินขบวนรถ ในวันที่ 21 - 24 ธันวาคม 2565 เป็นการต่อเนื่อง | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รฟท. แจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง และงดเดินขบวนรถ ในวันที่ 21 - 24 ธันวาคม 2565 เป็นการต่อเนื่อง
จากเหตุน้ำท่วมทางรถไฟสายใต้ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และแจ้งปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง และงดเดินขบวนรถเป็นการต่อเนื่อง จากเหตุขบวนรถสินค้าที่ 707 ตกราง ระหว่าง คลองแงะ - ปาดังเบซาร์
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วม ระหว่างสถานีควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่ (อำเภอควนเนียง) สถานีนาม่วง (อำเภอนาหม่อม) และสถานีวัดควนมีด (อำเภอจะนะ) จังหวัดสงขลา ส่งผลให้ รฟท. ต้องปรับเปลี่ยนการเดินรถเส้นทางรถไฟสายใต้ เมื่อวันที่ 18 - 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) มีปริมาณฝน และระดับน้ำลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดำเนินการสำรวจและประเมินสภาพความเสียหายของทางรถไฟจากเหตุน้ำท่วมในเส้นทางระหว่างสถานีนาม่วง - วัดควนมีด สามารถดำเนินการปรับปรุงและซ่อมแซมบริเวณที่ทางชำรุดได้ ส่วนเส้นทางระหว่างสถานี ควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่, โคกทราย - ควนเนียง, หารเทา - โคกทราย, หารเทา - ควรเคี่ยม, เขาชัยสน - บางแก้ว, วัดควนมีด - จะนะ จากการประเมิณสถานการณ์ สภาพทางได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการได้
ทั้งนี้ รฟท. จึงจำเป็นต้องประกาศปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายใต้ ตั้งแต่วันที่ 21 – 24 ธันวาคม 2565 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ดังนี้
ขบวนรถงดเดิน จำนวน 16 ขบวน ประกอบด้วย
1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 31/32 (กรุงเทพ- หาดใหญ่ - กรุงเทพ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 (กรุงเทพ - สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45/46 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ)
4. ขบวนรถเร็วที่ 169/170 (กรุงเทพ - ยะลา - กรุงเทพ)
5.ขบวนรถเร็วที่ 171/172 (กรุงเทพ- สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 (สุไหงโก-ลก - พัทลุง - สุไหงโก-ลก- พัทลุง)
7.ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 947/948 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)
8. ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 949/950 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)
ขบวนรถปรับเปลี่ยนเส้นทาง จำนวน10 ขบวน ประกอบด้วย
1.ขบวนรถสินค้าที่ 985/986 (กรุงเทพ - สุไหงโกลก- กรุงเทพ) มีเดินเฉพาะ กรุงเทพ - พัทลุง - กรุงเทพ
2.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445 (ชุมพร- หาดใหญ่) มีเดินเฉพาะ ชุมพร - พัทลุง
3.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 446 (หาดใหญ่ - ชุมพร) มีเดินเฉพาะ พัทลุง - ชุมพร
4.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447 (สุราษฎร์ธานี - สุไหงโก-ลก) มีเดินเฉพาะ จะนะ - สุไหงโก-ลก และ สุราษฏร์ธานี - พัทลุง
5.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 448 (สุไหงโก-ลก - สุราษฎร์ธานี) มีเดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - จะนะ และ พัทลุง - สุราษฎร์ธานี
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451 (นครศรีธรรมราช - สุไหงโก-ลก) มีเดินเฉพาะ เทพา - สุไหงโก-ลก และ นครศรีธรรมราช - พัทลุง
7.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 452 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) มีเดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - เทพา และ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
8.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455 (นครศรีธรรมราช - ยะลา) มีเดินเฉพาะ นครศรีธรรมราช - พัทลุง
9.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 456 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) มีเดินเฉพาะ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
สำหรับขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 (ยะลา - สุไหงโก-ลก - ยะลา) มีเดินรถปกติ
ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถคืนค่าตั๋วโดยสารได้เต็มราคาที่สถานีรถไฟทุกแห่ง รฟท. ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจากอุทกภัยในพื้นที่ ทั้งในด้านการเดินรถ การซ่อมบำรุงทาง และระบบอาณัติสัญญาณ การลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายของระบบต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ให้สามารถลงพื้นที่ในการซ่อมบำรุงให้สามารถเปิดการเดินรถได้โดยเร็วที่สุด หลังจากระดับน้ำลดอยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ระดับน้ำตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสาร
ในส่วนกรณี ขบวนรถสินค้าที่ 707 ตกราง ระหว่างสถานีคลองแงะ - สถานีปาดังเบซาร์ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2565 นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดการเดินรถได้ รฟท. มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเดินรถ (เพิ่มเติม) ดังนี้
วันที่ 22 - 26 ธันวาคม 2565
1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์) ไม่มีเดิน จาก ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ ทำการขนถ่ายผู้โดยสารทางรถยนต์จาก ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ (เป็นขบวนรถออกต้นทางกรุงเทพ วันที่ 21 - 25 ธันวาคม 2565)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 46 (ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ) ไม่มีเดินจาก ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่ ทำการขนถ่ายผู้โดยสารทางรถยนต์จาก ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่ เพื่อเดินทางต่อโดยขบวนรถด่วนพิเศษที่ 38 ที่ชุมทางหาดใหญ่
3. ขบวนรถด่วนที่ 947/948 และ 949/950 (ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่) ไม่มีเดิน
สำหรับประชาชนที่จะเดินทางโดยรถไฟ ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดก่อนเดินทางอีกครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รฟท. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62929 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ แถลงข่าว “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ปี 2566” | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ แถลงข่าว “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ปี 2566”
‘รมช.มนัญญา’ แถลงข่าว “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ปี 2566” ชูศักยภาพการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมนมของอาเซียน อ.ส.ค. เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด โยเกิร์ต อบกรอบ โพรไบโอ ตราไทย-เดนมาร์ค
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด : “พัฒนาอุตสาหกรรมโคนมเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ณ บริเวณห้องโถง อ.ส.ค. ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมี นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการ อ.ส.ค. ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ ประธานกรรมการ อ.ส.ค. เข้าร่วม ซึ่งงานดังกล่าว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 29 มกราคม 2566 ณ ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค บริเวณเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ที่พระองค์ได้พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่ปวงชนชาวไทย และแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกร ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ส.ค.ได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปี 2566 นี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน พร้อมทั้งจะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการต่าง ๆ ภายในบริเวณงานในวันที่ 20 มกราคม 2566
นางสาวมนัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมโคนมไทยมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางข้อมูลอุตสาหกรรมนมของอาเซียน กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้การส่งเสริมโคนมอาชีพพระราชทาน และพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความมั่นคง เข้มแข็งในอาชีพ ขณะที่ อ.ส.ค. ปัจจุบันเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค หรือ นมวัวแดง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำนมโคสดแท้ 100% ของฟาร์มเกษตรกรไทย ทำรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 8,700 ล้านบาท มีเกษตรกร และสหกรณ์โคนมในเครือข่ายไม่น้อยกว่า 4,355 ฟาร์ม มีจำนวนโครวม 113,565 ตัว ส่งน้ำนมดิบให้ อ.ส.ค. ประมาณ 581 ตัน/วัน โดยพื้นที่ภาคกลางมีสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบมากที่สุดคือ จำนวน 14 สหกรณ์ และจำนวนโครีดนม 47,739 ตัว นับว่าเป็นองค์กรที่เคียงข้างเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมาตลอด 60 ปี
“กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งผลักดัน อ.ส.ค.ให้เป็นองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมนม ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน และตั้งเป้าหมายตลาดสำคัญ คือ ประเทศจีน เวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่กำลังซื้อสูง และมีสัดส่วนประชากรมาก รวมทั้งเร่งรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดื่มนมโคแท้ 100% จากน้ำนมโคที่ได้จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมประเทศไทย ตลอดจนสืบสาน รักษา ต่อยอด อาชีพการเลี้ยงโคนมซึ่งเป็นอาชีพอันทรงคุณค่า โดยมอบหมายให้ อ.ส.ค.ให้ความสำคัญในการการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จนถึงมือผู้บริโภคต้องได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างการรับรู้ว่า นมวัวแดง คือ นมไทย-เดนมาร์ค ทุกหยดผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม” รมช.มนัญญา กล่าว
ด้านนายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการ อ.ส.ค. กล่าวเพิ่มเติมว่า งานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ปี 2566 ถือเป็นเวทีสำคัญในการพบปะระหว่าง เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ภาครัฐ และเอกชนด้านอุตสาหกรรมนม เพื่อแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ ผ่านนิทรรศการและการเสวนาร่วมกัน อาทิ นิทรรศการด้านนวัตกรรมการจัดสัดส่วนอาหารสมดุลหน้าฟาร์มโดยใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มสมรรถนะการผลิตและคุณภาพน้ำนมในฟาร์มโคนมรายย่อย การศึกษาผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกิน ในแม่โครีดนมต่อสมรรถนะการผลิตคุณภาพน้ำนม และสุขภาพโคนมของฟาร์มโคนมรายย่อย เป็นต้น อีกทั้งยังมีการจัดสัมมนาวิชาการโคนม ประจำปี 2566 โดยมีนักวิชาการชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมนมระดับประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมเสวนา อาทิ บรรยายพิเศษเรื่อง "สถานการณ์อุตสาหกรรมโคนมภายใต้วิกฤติโลก และแนวทางการปรับตัวของภาคเกษตรกร : กรณีศึกษาจากนิวซีแลนด์", ฟาร์มโคนม BCG สู่ชุมชนคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจยั่งยืน, การยกระดับฟาร์มโคนมรุ่นใหม่, การผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพสูงจากโคนม เป็นต้น
“นอกจากนี้ ภายในงานฯ อ.ส.ค. มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อโยเกิร์ต อบกรอบ โพรไบโอ ตราไทย-เดนมาร์ค (Freeze-Dried Yoghurt Probio (Thai-Denmark Brand) อีกด้วย สำหรับโยเกิร์ตอบกรอบ โพรไบโอผลิตจากโยเกิร์ตแท้ที่มาจากน้ำนมโค 100% หมักโดยจุลินทรีย์โยเกิร์ต ชนิดโพรไบโอติก ผ่านกระบวนการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง จึงรักษาคุณค่าทางอาหารได้อย่างดีมีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต โพรไบโอติกมากกว่า 1 ล้านตัว ต่อถุง เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยรักษาสมดุลของลำไส้และระบบขับถ่าย และเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดนี้ จะตอบโจทย์ตลาดคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพอย่างแน่นอน” นายสมพร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62964 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด MDES เชียงราย | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด MDES เชียงราย
ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด MDES เชียงราย
21ธันวาคม2565ศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายประกอบด้วยกรมอุตุนิยมวิทยา,สำนักงานสถิติแห่งชาติ,บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติและบจ.ไปรษณีย์ไทยโดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้การต้อนรับ
_______________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการรับมือ "โรคโปลิโอ" หลังพบผู้ป่วยเพิ่มในหลายประเทศ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
กก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการรับมือ "โรคโปลิโอ" หลังพบผู้ป่วยเพิ่มในหลายประเทศ
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการเร่งรัดเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ หลังพบผู้ป่วยโปลิโอเพิ่มขึ้นใน 22 ประเทศ ย้ำเร่งรัดให้วัคซีนในเด็กอย่างครอบคลุม พร้อมแต่งตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการเร่งรัดเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ หลังพบผู้ป่วยโปลิโอเพิ่มขึ้นใน 22 ประเทศ ย้ำเร่งรัดให้วัคซีนในเด็กอย่างครอบคลุม พร้อมแต่งตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ หัด และหัดเยอรมัน และเห็นชอบยกเว้นค่าใช้จ่ายออกหนังสือรับรองวัคซีนโควิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2566
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาาณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2565 โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการโรคติดต่อจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศไทยพบผู้ป่วย โรคโควิด 19 เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมรวมกลุ่มของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก ประกอบกับไทยเข้าสู่ฤดูหนาว เชื้อไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นและแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขดูแลได้ ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 ถึง 97% ทั้งหมดเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายเร่งรัดรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม มีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดฉีดวัคซีนรวมกัน 2 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565 เพื่อลดการป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิต โดยจัดให้มีหน่วยฉีดวัคซีนทั้งในโรงพยาบาลและออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุกนอกโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้ ซึ่ง อย.ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อป้องกันก่อนการติดเชื้อและใช้เสริมการรักษาในรายที่ติดเชื้อมาไม่นาน
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ในปี 2565 หลังจากผ่อนคลายมาตรการ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากกว่า 10 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมและได้รับความเชื่อมั่นด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้แนวคิด Health for Wealth ช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นโยบาย Medical Hub มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจรและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยโรคโปลิโอซึ่งทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลันในหลายประเทศ หลังจากไม่พบผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 21 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีรายงานพบผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์ธรรมชาติ จำนวน 30 ราย ในปากีสถาน อัฟกานิสถาน และโมซัมบิก และผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ จำนวน 577 ราย ใน 22 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซียที่พบผู้ป่วย 4 รายทำให้ประเทศไทยต้องเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ แม้ว่าเราจะไม่มีผู้ป่วยโรคโปลิโอมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยรายสุดท้ายคือในปี 2540
"การประชุมในวันนี้ได้พิจารณาและเห็นชอบ 3 เรื่อง คือ 1.ข้อเสนอมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย เมื่อมีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในเด็ก ประชาสัมพันธ์ฉีดกระตุ้น ประเมินความเสี่ยง ซักซ้อมแผน รณรงค์การให้วัคซีนเสริมในพื้นที่เสี่ยงและผลักดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีน ดำเนินการจัดหาวัคซีน IPV 2.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ การกำจัดโรคหัด และหัดเยอรมัน ระดับชาติ เพื่อให้การดำเนินงานกวาดล้างโปลิโอของไทยมีความเข้มแข็ง รวมถึงการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมัน และต้องมีการขับเคลื่อนมาตรการอย่างต่อเนื่อง และ 3.เห็นชอบการยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคโควิด 19 ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566" นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานด้านวัคซีนโควิด 19 และผลการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 145.3 ล้านโดส รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม จำนวน 57.5 ล้านคน คิดเป็น 82.6% ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 53.9 ล้านคน คิดเป็น 77.6% และฉีดเข็มกระตุ้น 33.8 ล้านโดส ให้บริการฉีด LAAB ให้กับประชาชนกว่า 1.9 หมื่นคน ส่วนในเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี รับวัคซีนแล้ว 49,000 คน ขณะที่องค์การอนามัยโลกและที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 มีคำแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยใช้วัคซีนที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยังมีประโยชน์ในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรค สามารถใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี สู้กับสายพันธุ์ที่ระบาดคือ โอมิครอน BA.5 และ BA.2.75 ได้ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีน mRNA bivalent เพราะเวลานี้สถานการณ์ระบาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ได้ย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด จัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนหลักในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ (COVID-19 Vaccination Center) ที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวกและทั่วถึง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานที่และวันเวลาที่เปิดให้บริการ
******************************************** 21 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62956 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการชั้นผู้น้อย ครม.เห็นชอบโครงการบ้านหลวง 5 จังหวัด | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
เดินหน้าโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการชั้นผู้น้อย ครม.เห็นชอบโครงการบ้านหลวง 5 จังหวัด
เดินหน้าโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการชั้นผู้น้อย ครม.เห็นชอบโครงการบ้านหลวง 5 จังหวัด
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวม 55 หน่วย วงเงินงบประมาณ 62.28 ล้านบาท โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเต็มจำนวน ซึ่งอยู่ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) ซึ่งตั้งเป้าพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับข้าราชการจำนวน 123,000 หน่วย ใน 2 รูปแบบ คือ 1)โครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ 98,000 หน่วย ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยในลักษณะเช่าซื้อเป็นของตนเอง 2)โครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) 25,000 หน่วย ให้สวัสดิการที่อยู่อาศัยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่อยู่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของตน โดยผู้อยู่อาศัยชำระค่าน้ำค่าไฟเอง
สำหรับโครงการบ้านหลวง ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ ครม.เห็นชอบในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของตน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมในพื้นที่ปฏิบัติงาน มีจำนวน 5 โครงการ รวม 55 หน่วย (รองรับครอบครัวข้าราชการ 55 ครัวเรือน หรือประมาณ 220 คน) ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ประกอบด้วย
1.สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านสองแคว) จังหวัดพิษณุโลก
2.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดกาฬสินธุ์
3.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
4.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดอุบลราชธานี
5.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดศรีสะเกษ
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ครม.ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการบ้านหลวง ไปแล้ว จำนวน 237 โครงการ รวม 8,823 หน่วย งบประมาณรวมทั้งสิ้น 11,077.22 ล้านบาท ดำเนินการโดย หน่วยงาน อาทิ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงบประมาณ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62922 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าเกษตรทางรางศรีสำราญ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รฟท. ร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าเกษตรทางรางศรีสำราญ
พร้อมเปิดเดินขบวนรถขนส่งสินค้าเกษตร ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งแก่เกษตรกร
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 นายวัชรชาญ สิริสุวรรณทัศน์ รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าเกษตรทางราง ศรีสำราญ และเปิดเดินขบวนรถขนส่งสินค้าเกษตรเที่ยวปฐมฤกษ์ ณ ที่หยุดรถศรีสำราญ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางรางจากเกษตรกร ไปยังศูนย์กระจายสินค้าผ่านเส้นทางรถไฟสายใต้ โดยมีนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธี
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และสภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรประสบปัญหาในการจำหน่ายสินค้าทั้งภายในและต่างประเทศ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่ารฟท. ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร จึงมีนโยบายให้ รฟท. นำระบบขนส่งสินค้าทางราง เข้ามาช่วยเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้าเกษตรแก่เกษตรกรและชุมชน โดยร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำการเปิดศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าการเกษตรทางราง พร้อมเปิดเดินขบวนรถขนส่งสินค้าเกษตรเที่ยวปฐมฤกษ์ ที่หยุดรถศรีสำราญ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
“ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่รฟท. เข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขนส่งสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ด้วยการปรับเปลี่ยนโหมดจากการขนส่งทางถนนมาสู่ระบบราง ซึ่งมีบริษัท ไทยเรล โลจิสติกส์ จำกัด ผู้ประกอบการขนส่งทางรางด้วยตู้สินค้าคอนเทนเนอร์เข้ามาดำเนินการ โดยได้เริ่มเที่ยวปฐมฤกษ์ในการขนส่งสินค้าเกษตร จากศูนย์กระจายสินค้าศรีสำราญ ผ่านเส้นทางรถไฟสายใต้ ไปถึงมือของผู้บริโภคได้อย่างสะดวก รวดเร็ว แบ่งเบาภาระค่าขนส่งแก่เกษตรกร และช่วยลดค่าครองชีพแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี”
นายเอกรัชกล่าวว่า รฟท. เชื่อมั่นว่าการนำระบบขนส่งสินค้าทางรางมาช่วยขนส่งสินค้าเกษตร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งได้ดียิ่งขึ้น สามารลดต้นทุน ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังสามารถเชื่อมโยงผลผลิตทางการเกษตร จากเกษตรกร ผู้ผลิต และตลาดกลางสินค้าเกษตร ไปถึงมือผู้บริโภค ร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และเครือข่ายตลาดกลาง ได้อย่างรวดเร็ว ตรงต่อเวลา ช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตออกมาจำนวนมาก ไม่ให้เกิดปัญหาล้นตลาดได้ อีกทั้งจะช่วยเพิ่มโอกาสการขนส่งสินค้าทางรางของไทย ให้ขยายตัวมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนร้อยละ 1.9 ตลอดจนช่วยเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้กับรฟท. อีกด้วย“นอกจากความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ ในการเปิดเดินขบวนรถขนส่งสินค้าเกษตรครั้งนี้ รฟท. ยังได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีหนองคาย และ CY สถานีนาทา รวมถึง CY ในทุกภูมิภาค ตลอดจนการลงทุนโครงการรถไฟทางคู่ รถไฟเส้นทางสายใหม่ ที่จะมีการเพิ่มขบวนรถสินค้า ทั้งรถจักร และรถพ่วง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต สอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนา
โลจิสติกส์ของประเทศ ที่สนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”
ท้ายนี้ รฟท. มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งผู้โดยสารและสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาจราจร การประหยัดเชื้อเพลิง การลดมลพิษ ลดอุบัติเหตุ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งของไทยให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับอาณาประเทศ และ พร้อมยืนเคียงข้าง ทำหน้าที่ดูแลประชาชน และเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนในทุกภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน โดยผู้สนใจใช้บริการขนส่งสินค้าโดยขบวนรถพิเศษ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการฯ เดชา เปิดงานสัมมนาสรุปผลการดำเนินงาน โครงการ "พลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0" ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
ผู้ตรวจราชการฯ เดชา เปิดงานสัมมนาสรุปผลการดำเนินงาน โครงการ "พลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0" ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงานสัมมนาสรุปผลการดำเนินงาน โครงการ "พลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0" ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาสรุปผลการดำเนินงาน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้สถานประกอบการ Success Case ในโครงการ "พลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0" เขตพื้นที่ 2 พื้นที่การดำเนินการภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีแบบเฉพาะกลุ่ม ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมี นายอรรถสิทธิ์ อึ้งเหมอนันต์ อุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ โฮเทล กรุงเทพมหานคร
โดยในงานสัมมนาฯ ได้มีการมอบเกียรติบัตรแก่สถานประกอบการ Success Case ที่มีความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยน และมีความเป็นไปได้ในการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มผลิตภาพกระบวนการผลิต จำนวน 5 กิจการ ประกอบด้วย บริษัท ดับบลิว.ไอ.พี.อี เล็คทริค จำกัด บริษัท ยูเนี่ยน แอพพลาย จำกัด บริษัท ไทยฟอร์โมซาพลาสติกอินดัสทรี จำกัด บริษัท ภัทรอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท แอ๊ดวานซ์ แมททีเรียล ซัพพลาย จำกัด
โครงการ "พลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0" จัดขึ้นเพื่อเพิ่มผลิตภาพกระบวนการผลิตผู้ประกอบการ SMEs โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ ผ่านการกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้เกิดความต้องการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมในการวิเคราะห์ และจัดทำ Feasibility Study สำหรับต่อยอดไปสู่แหล่งเงินทุนสนับสนุนการลงทุนในอนาคต โดยมีสถานประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับการให้คำปรึกษาเชิงลึกทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน จำนวน 65 กิจการ ซึ่งผลการประเมินโครงการคาดว่าจะเกิดการลงทุนในการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้กว่า 150 ล้านบาท และสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมได้กว่า 250 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62963 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลลุยนโยบายลดโลกร้อน ทส. ปรับโครงสร้างหน่วยงานตั้ง “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ขับเคลื่อนภารกิจ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
รัฐบาลลุยนโยบายลดโลกร้อน ทส. ปรับโครงสร้างหน่วยงานตั้ง “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ขับเคลื่อนภารกิจ
รัฐบาลลุยนโยบายลดโลกร้อน ทส. ปรับโครงสร้างหน่วยงานตั้ง “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ขับเคลื่อนภารกิจ
วันที่ 21 ธ.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ให้นโยบายพร้อมมีข้อสั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนในมิติต่างๆ เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือปัญหาโรคร้อนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และเป็นไปตามถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีต่อที่ประชุม COP26 ที่ระบุว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี2050 (พ.ศ.2593) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ในปี 2065 (พ.ศ.2608)
ล่าสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นำโดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อดูแลภารกิจรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพแวดล้อม บริบทด้านสังคม เศรษฐกิจ ตลอดจนข้อตกลงระหว่างประเทต่างๆ เป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่จะมาขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายทั้งความเป็นกลางทางคาร์บอนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ จัดตั้งขึ้นโดยการปรับโครงสร้างส่วนราชการภายใน ทส. โดยปรุงหน้าที่และอำนาจและเปลี่ยนชื่อมาจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีการตัดโอนหน่วยงานระหว่างกรมในกระทรวง โอนกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ม (สผ.) เข้ามาเป็นหน่วยงานภายใต้กรมด้วย
สำหรับโครงสร้างของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ จะประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการกรม, กองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ, กองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก, กองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, กองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ ศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และมีหน่วยงานกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร มีอัตรากำลัง ประกอบด้วย ข้าราชการ จำนวน 219 คน พนักงานราชการ จำนวน 309 คน และลูกจ้างประจำ จำนวน 19 คน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างแล้วและกรมที่เกิดขึ้นใหม่นี้ จะมีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนภารกิจรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายด้าน อาทิ เสนอแนะและจัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผน มาตรการเกี่ยวกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ การลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบาย ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จัดทำและให้บริการข้อมูลและข้อสนเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ศึกษา วิจัย พัฒนา ถ่ายทอด และส่งเสริมเทคโนโลยีการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นศูนย์เทคโนโลยีสะอาดและศูนย์ปฏิบัติการอ้างอิงด้านสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนดูแลภารกิจเพื่อให้ไทยดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญา พิธีสาร และความตกลงระหว่างประเทศ เสนอแนะแนวทาง และท่าทีในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องและรายงานข้อมูลตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ ICT นักเรียนไทย-ญี่ปุ่น จ.เชียงราย | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ ICT นักเรียนไทย-ญี่ปุ่น จ.เชียงราย
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.เชียงราย ในวันนี้ (21ธ.ค.65)
เพื่อเป็นประธานเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น หรือ Thailand-Japan
Student ICT Fair 2022 ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย
ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างโรงเรียนวิทยาศาสตร์ไทยและญี่ปุ่น มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น
การนำเสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนทั้ง 2 ประเทศ
นิทรรศการอุปกรณ์อัตโนมัติในงานอุตสาหกรรมของภาคเอกชน
การบรรยายของนักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวไทยและญี่ปุ่น
โดยในปีนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นพี่เลี้ยงในการจัดกิจกรรม
มีผู้เข้าร่วมงานจากญี่ปุ่น 28 โรงเรียน ไทย 37 โรงเรียน รวมกว่า 500 คน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62947 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ.เชียงราย ชื่นชมผลการดำเนินงาน สร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
นายกฯ เยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ.เชียงราย ชื่นชมผลการดำเนินงาน สร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน
นายกฯ เยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ.เชียงราย ชื่นชมผลการดำเนินงาน สร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนให้เกษตรกร
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เวลา 14.15 น. ณ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการนําร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้พืชมูลค่าสูงที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ สร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจน และสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน โดย หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสาวนพรัตน์ จันทร์สว่าง ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม ได้บรรยายสรุปภาพรวมโครงการฯ
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ ย้ำการสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ศึกษา วิจัย ทดลองและพัฒนาเพื่อเพิ่มรายได้ ลดปัญหาความยากจน และสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน โดยได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งผลักดันและร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศให้มีความก้าวหน้าและเป็นต้นแบบที่จะนำไปขยายผลในพื้นที่เกษตรกรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีเข้าไปผสมผสานเพื่อช่วยพัฒนาการเกษตรรูปแบบเดิมอย่างเป็นรูปธรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำเรื่องการศึกษากำลังการผลิตในอนาคตให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาด การจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ พร้อมทั้งกำชับการใช้พื้นที่ทางการเกษตรให้มีความคุ้มค่า ใช้พื้นที่น้อยที่สุดให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายอนุชาฯ กล่าว
สำหรับโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ระบบสมาร์ทฟาร์มโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart farming) ณ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี เป็นศูนย์การเรียนรู้พืชมูลค่าสูง เช่น วานิลลา โกโก้ และกัญชง เป็นต้น โดยนำร่องปลูกพืชวานิลลาบนพื้นที่ไหล่เขาและชายขอบ รวมถึงการปลูกพืชในโรงเรือนแบบ EVAP (Evaporative Cooling System) เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาการเกษตร ภายใต้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรดิจิทัลในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น การให้น้ำ ให้ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยวผ่านระบบมือถือแทนการใช้แรงงานคน ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตรงความต้องการของผู้บริโภคและตลาด นับเป็นการส่งเสริมอาชีพทางเลือก กระจายความเสี่ยงในการพึ่งพาพืชชนิดเดียว เพิ่มรายได้ต่อตารางเมตร และสร้างอาชีพให้คนรุ่นใหม่กลับบ้านเพื่อพัฒนาบ้านเกิด
ทั้งนี้ ในส่วนของพืชวานิลลาได้มีการพัฒนาและศึกษาวิจัย มีพื้นที่ต้นแบบเพื่อการต่อยอด ปรับกระบวนการแปรรูปฝักวานิลลาแห้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม มีแผนการขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องดื่ม ไซรัป ไอศครีม เบเกอรี่ กาแฟ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการปลูกแก่เกษตรกรกลุ่มนำร่องด้วย และจากการนำเทคโนโลยี 5G Smart Farming มาใช้ในการส่งเสริมเกษตรดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้การจัดการแปลงตัวอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดการข้อมูลได้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมการปลูกแก่เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการขยายผลไปยังพืชทดลองชนิดอื่น นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลพืชเพื่อวิเคราะห์ผล และจะมีการขยายผลไปยังเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในอนาคต
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชิมไอศครีมวานิลลา พร้อมชื่นชมว่ากลิ่นหอมอร่อยมาก ก่อนเยี่ยมชมโครงการนำร่องเกษตรอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี 5 การบริหารจัดการระบบ Smart farm การตากฝักวานิลลา เยี่ยมชมแปลงทดลองการปลูกวานิลลา และสอบถามถึงกระบวนการปลูกและผลิตวานิลลาด้วยความสนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กดปุ่ม iPad เพื่อรดน้ำต้นวานิลลาโดยเป็นการควบคุมและสั่งการระบบผ่านเทคโนโลยี 5G
นายกรัฐมนตรียังได้ทักทายประชาชนที่มาร่วมงาน และทักทายทักทายชนเผ่าอาข่าที่มารอต้อนรับ
แล้วเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์โครงการหลวงดอยตุง เช่น ผ้าทอมือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระเป๋าผ้า ผลิตภัณฑ์จากขยะพลาสติก ซึ่งเป็นศิลปะแห่งการผสมผสานความทันสมัยและรากฐานทางวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างงดงามลงตัว และเยี่ยมชมผลงานในโครงการบูรณาการภาครัฐและเอกชน สาขาช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ของสมาคมคนพิการอำเภอแม่สาย เช่น เสื้อผ้า ของที่ระลึก ของใช้ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นโครงการที่ให้การสนับสนุนองค์ความรู้จัดหางานให้ผู้พิการได้มีการพัฒนาผลงานเพื่อการสร้างรายได้ ช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาส มีอาชีพ มีงานทำอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป อีกทั้งยังเป็นการมอบโอกาสในการสร้างอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนพิการอย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และย้ำว่ารัฐบาลพร้อมดูแลประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ซึ่งทั้งสองอย่างต้องทำไปพร้อมกัน โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งขับเคลื่อนนโยบย BCG Model ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจไปพร้อมกัน ทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าหรือยาวนานที่สุด และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การพัฒนาเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยขอให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model โดยการประกอบอาชีพและการทำกิจการ ธุรกิจต่าง ๆ ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเจริญเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้หลายประเทศต่างก็ชื่นชมการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบาย BCG ของไทย ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพิจารณาดำเนินการตามลำดับความสำคัญและเร่งด่วน คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62955 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพร “พระองค์ภาฯ” ทรงหายจากพระอาการประชวร | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพร “พระองค์ภาฯ” ทรงหายจากพระอาการประชวร
(วันศุกร์ที่ 16 ธ.ค.65 เวลา 15.00 น.) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาเป็นกรณีพิเศษ
โดยอันเชิญบทสวด “โพชฌังคปริตร” ร่วมอธิษฐานจิตถวายพระพรด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดี เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ พุทธศาสนสถาน (ห้องเจ้าพ่อหอกลอง) โดยมี พระพุทธนวราชตรีโลกนาถศาสดากลาโหมพิทักษ์ พระพุทธปฏิมาประธานประจำพุทธศาสนสถาน ภายในศาลาว่าการกลาโหมเป็นพระประธาน และพระพุทธรูปประจำเหล่าทัพ (5 องค์) ได้แก่ พระพุทธบรมบพิตรศักดิ์สิทธิ์ไชยมงคล พระพุทธสิงห์ชัยมงคล พระพุทธศรีราชนาวีมงคลสามัคคีประสิทธิ์ พระพุทธศาสดาประชานาถ ทั้งนี้ ขอทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62919 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
ดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog
ดีอีเอส เปิดประชุม Government Data Catalog
วันนี้(21ธันวาคม65) ดร.ณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานเปิดประชุมGovernment Data Catalogจัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติณโรงแรมอัศวินแกรนด์คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62942 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพลังงานของประเทศให้เพียงพอ ชื่นชมหน่วยงานของรัฐร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ผนึกกำลังจับกุมผู้ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าขุดคริปโตฯ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพลังงานของประเทศให้เพียงพอ ชื่นชมหน่วยงานของรัฐร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ผนึกกำลังจับกุมผู้ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าขุดคริปโตฯ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพลังงานของประเทศให้เพียงพอ ชื่นชมหน่วยงานของรัฐร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ผนึกกำลังจับกุมผู้ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าขุดคริปโตฯ
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขุดคริปโตฯ ซึ่งก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผนึกกำลังประสานความร่วมมือกันปฏิบัติการ “Electrical Shock” ตรวจค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและกรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินการจับกุมผู้ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อขุดเหรียญคริปโตฯ ซึ่งมีการต่อสายไฟเข้าอาคารโดยตรงไม่ผ่านหม้อแปลง โดยการกระทำนี้ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหายและสูญเสียรายได้ปีละกว่า 500 ล้านบาท และล่าสุดได้มีการจับกุมผู้ต้องหาลักลอบต่อกระแสไฟฟ้า โดยไม่ผ่านมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้า เพื่อนำไปใช้ต่อกับเครื่องขุดบิตคอยน์ประมาณ 100 เครื่อง
นายอนุชาฯ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นไปตามข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรีกรณีที่อาจมีบุคคลแอบลักลอบใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับธุรกิจเทคโนโยลีดิจิทัลหรือออนไลน์ต่าง ๆ ที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ โดยเฉพาะการใช้พลังงานจำนวนมากอาจทำให้ไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับกะทันหัน ส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวมได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อยู่เสมอ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามตรวจสอบและดำเนินการกับผู้ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า โดยหากพบบุคคลหรือพื้นที่ใดต้องสงสัยว่ามีการกระทำผิด ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐและประชาชนทันที
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการพลังงานในประเทศให้เพียงพอ รวมถึงการร่วมมือกันในการกันประหยัดพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง และปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนพลังงานในประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62921 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จับมือ สำนักงานธนานุเคราะห์ ต่อยอดภารกิจเพื่อสังคม ผสานกำลัง ธนาคารเพื่อสังคม และโรงรับจำนำเพื่อสังคม ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
ออมสิน จับมือ สำนักงานธนานุเคราะห์ ต่อยอดภารกิจเพื่อสังคม ผสานกำลัง ธนาคารเพื่อสังคม และโรงรับจำนำเพื่อสังคม ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย
ธ.ออมสิน และ สธค. ลงนามในสัญญาความร่วมมือ การให้ความช่วยเหลือกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่ประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุนในการดำรงชีพและประกอบอาชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางการเงิน รวมทั้งสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยที่เป็นธรรม
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ นายประสงค์ พันธ์ลิมา ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ลงนามในสัญญาความร่วมมือ การให้ความช่วยเหลือกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่ประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุนในการดำรงชีพและประกอบอาชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางการเงิน รวมทั้งสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ในฐานะ “ธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank)” และ “โรงรับจำนำเพื่อสังคม (Social Pawnshop Enterprise)” ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์สอดคล้องกัน ภายใต้นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ในการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินมีความร่วมมือกันในเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและความเข้มแข็งของรัฐวิสาหกิจ เกิดการบูรณาการ แลกเปลี่ยน และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
โครงการความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสิน กับ สธค. ปี 2566 – 2568 กำหนดแผนความร่วมมือ 4 ด้าน คือ (1) ด้านธุรกิจและบริการ สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ สธค. เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลนสภาพคล่องทางการเงิน นำเสนอ Product Package พิเศษให้กับพนักงานและลูกค้าของ สธค. รวมทั้งการส่งต่อลูกค้าชั้นดีของ สธค. เพื่อต่อยอดใช้บริการสินเชื่อของธนาคารออมสิน (2) ด้านช่องทางการให้บริการ โดยการพัฒนาช่องทาง Digital ให้กับ สธค. เพิ่มเติม สำหรับโอนเงินเข้าบัญชีให้กับลูกค้าที่นำทรัพย์มาจำนำกับ สธค. และศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พื้นที่สาขาหรือทรัพย์ของธนาคารออมสิน เพื่อขยายช่องทางสาขาของ สธค. ในการทำธุรกิจรับจำนำและจำหน่ายทรัพย์หลุดจำนำ (3) ด้านการยกระดับการบริหารจัดการ Core Business Enablers ทั้ง 8 ด้าน โดยปี 2566 เน้นการแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและลูกค้า ด้านการจัดการความรู้และนวัตกรรม และ (4) ด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้ความรู้ทางการเงิน และพัฒนาศักยภาพลูกค้ารายย่อย/ชุมชน โดยร่วมกับพันธมิตรจัดฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่าง สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และวิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมถึงเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน Application “ออมตังค์” ทั้งนี้ ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การยกระดับความเข้มแข็งของทั้ง 2 องค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าประชาชนรายย่อยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62932 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯเฉลิมชัย Kick off ผ่าตัดทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งเป้าผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 300,000 ตัวตลอดปี 2566 | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯเฉลิมชัย Kick off ผ่าตัดทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งเป้าผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 300,000 ตัวตลอดปี 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯเฉลิมชัย Kick off ผ่าตัดทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งเป้าผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 300,000 ตัวตลอดปี 2566 และจัดอบรมอาสาปศุสัตว์ให้มีความรู้ความเข้าใจพร้อมให้บริการพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่
รัฐมนตรีเกษตรฯเฉลิมชัย Kick off ผ่าตัดทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งเป้าผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 300,000 ตัวตลอดปี 2566 และจัดอบรมอาสาปศุสัตว์ให้มีความรู้ความเข้าใจพร้อมให้บริการพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการผ่าตัดทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้าตามพระปณิธานศาสตราจารย์ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวัยลักษณ์อัครราชกุมารีกรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารีและปล่อยขบวนคาราวานอาสาปศุสัตว์สำหรับให้บริการพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ณ ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์ถนนติวานนท์ ตำบลบางกะดี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ว่าด้วยศาสตราจารย์ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารีทรงห่วงใยปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าที่เป็นปัญหาสำคัญของชาติทรงมีพระประสงค์ให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้าตามพระปณิธานฯปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 –2563 นับเป็นพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลปัจจุบันทรงโปรดให้ดำเนินโครงการฯในระยะต่อไปปี พ.ศ. 2564 –2568 โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้าภายในปีพ.ศ. 2568 ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ประกอบกับเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้าตามพระปณิธานฯเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังเป็นการส่งความสุขให้กับประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นหนึ่งในครอบครัวปศุสัตว์ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2566 โดยเป็นความร่วมมือทั้งจากภาครัฐภาคเอกชนเครือข่ายสถานพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเครือข่ายวิชาชีพการสัตวแพทย์องค์กรอิสระประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีการจัดกิจกรรมให้บริการผ่าตัดทำหมันฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสัตว์เลี้ยงประชาสัมพันธ์ให้ความรู้โรคพิษสุนัขบ้าและส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงสัตว์อย่างถูกวิธีเพื่อให้การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมและกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้าได้ตามพระปณิธานฯภายในปี พ.ศ. 2568
"วันนี้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่มาร่วมโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนซึ่งกรมปศุสัตว์มีการจัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องทุกปีโดยบูรณการร่วมกับหลายหน่วยงานและมีเป้าหมายร่วมกันในการให้โรคพิษสุนัขบ้าหายไปจากประเทศไทยซึ่งถ้าทำได้จะสามารถรักษาชีวิตพี่น้องประชาชนได้อีกทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณซึ่งจะได้นำเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆต่อไป" ดร.เฉลิมชัยกล่าว
ด้านนายสัตวแพทย์สมชวนรัตนมังคลานนท์อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดกิจกรรมในวันนี้ (21 ธ.ค. 65) มีการผ่าตัดทำหมันที่ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์จังหวัดปทุมธานีจำนวน 600 ตัวฉีดวัคซีนฯจำนวน 100 ตัวและมีการผ่าตัดทำหมันรวมทุกจังหวัดจำนวน 10,000 ตัวและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ารวม 20,000 ตัวนอกจากนี้ในส่วนของภูมิภาคสำนักงานปศุสัตว์เขต 2 – 9 และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดได้มีการจัดกิจกรรมออกหน่วยปศุสัตว์เคลื่อนที่ให้บริการผ่าตัดทำหมันไปพร้อมกันทุกจังหวัดโดยโครงการจะมีการดำเนินการระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2565 – 31 มกราคม 2566 และจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีงบประมาณ 2566 โดยมีเป้าหมายรวมผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมวจำนวน 300,000 ตัว
ทั้งนี้ประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงแต่ละจังหวัดสามารถพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการได้ที่จุดให้บริการของแต่ละจังหวัดคลินิกรักษาสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการฯโดยสามารถตรวจสอบจุดให้บริการแต่ละจังหวัดได้จากเวบไซต์ของกรมปศุสัตว์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62943 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี กสร. แนะนายจ้างช่วงหยุดยาวปีใหม่ จัดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
อธิบดี กสร. แนะนายจ้างช่วงหยุดยาวปีใหม่ จัดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ
อธิบดี กสร. แนะนายจ้างช่วงหยุดยาวปีใหม่ จัดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) แนะนายจ้างเตรียมความพร้อมจัดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุและเหตุเพลิงไหม้ในสถานประกอบกิจการ ช่วงหยุดยาวปีใหม่ โดยกำชับให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างเรื่องการเปิดปิดเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบต่าง ๆ ในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ เป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ซึ่งสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดในช่วงดังกล่าว ซึ่งลูกจ้างจะใช้โอกาสนี้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตนเอง และร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน อยากจะขอฝากเน้นย้ำและกำชับไปยังนายจ้าง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน หรือ จป. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการจัดมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและเหตุเพลิงไหม้ ความไม่ปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ โดยการกำหนดมาตรการหรือแนวทางป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งก่อนและในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ เช่น กำหนดมาตรการในการตรวจสอบดูแลเครื่องจักร เครื่องมือต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย มาตรการในการป้องกันอุบัติเหตุ ทบทวนแผนฉุกเฉินเพื่อให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และขอให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างให้ปิดเครื่องจักร อุปกรณ์และระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนช่วงหยุดยาว และหลังกลับมาจากหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ขอให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างที่กลับเข้ามาทำงาน ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยก่อนเปิดใช้งานและก่อนลงมือปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
นายนิยม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้น ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่นี้ กสร. มีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนนของนายจ้าง ลูกจ้าง จึงขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการทุกแห่งช่วยกันรณรงค์ปลุกจิตสำนึกความปลอดภัย สร้างการรับรู้ และให้ความรู้แก่ลูกจ้าง ในการป้องกันอุบัติเหตุทางท้องถนน เพื่อลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลดังกล่าว รวมทั้งแนะนำเทคนิคการขับขี่อย่างปลอดภัย การตรวจสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เครื่องยนต์พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพในการเดินทางและกลับมาทำงานได้อย่างปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62927 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ย้ำ นายกฯ กำชับไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตั้งเป้าเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง อย่างช้าไม่เกินปี 80 | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
“ธนกร” ย้ำ นายกฯ กำชับไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตั้งเป้าเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง อย่างช้าไม่เกินปี 80
“ธนกร” ย้ำ นายกฯ กำชับไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตั้งเป้าเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง อย่างช้าไม่เกินปี 80 เผยผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ คาดประกาศผลช่วง ม.ค.66
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการบริหารประเทศโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการสร้างศักยภาพและโอกาส (empower) ให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และได้รับสิทธิประโยชน์จากการบริการภาครัฐ หลังจากที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้ประชาชนผู้มีสิทธิและสนใจลงทะเบียนเข้าร่วม “โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี2565” ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้ผ่านการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง 19,630,347 ราย จากจำนวนที่ผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 22,295,183 ราย ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณาและประกาศผลให้ทราบในช่วงเดือนมกราคม 2566 ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th
“นายกฯ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะดูแล ทุกข์ สุข ของประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกันจากภาครัฐ รวมถึงประโยชน์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้อีกทางหนึ่งด้วย ขณะที่การดำเนินมาตรการอื่น ๆ ท่านนายกฯ ยังเน้นย้ำในเรื่องของการลดรายจ่าย เสริมรายได้ สร้างโอกาสทำกิน ควบคู่กับการแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยท่านนายกฯ ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลางในปี 2580 หรือเร็วกว่านั้น” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62916 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมร่วมใจมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
กระทรวงคมนาคมร่วมใจมอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน
พร้อมอำนวยความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางภายใต้นโยบาย “GIFTS”
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานพิจารณามอบของขวัญปีใหม่เพื่อส่งมอบความสุขให้กับประชาชน โดยเฉพาะในปี 2566 ที่ทุกคนได้ร่วมกันผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 มาด้วยกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมกันอำนวยความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมปรับปรุงพื้นที่โดยรอบเส้นทางการคมนาคมขนส่งเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยมีแผนดำเนินการใน 5 มิติ ภายใต้หลักการ “GIFTS” ดังนี้
G : Gift to People คมนาคมส่งต่อความสุข ประกอบด้วย 1) เปิดให้วิ่งฟรีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี -นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว - อำเภอขามทะเลสอ และยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 4 มกราคม 2566 เวลา 24.00 น. 2) ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2566 เวลา 24.00 น. 3) ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เวลา 12.00 น. จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2566 เวลา 12.00 น. 4) ลดค่าโดยสาร บขส. 10% ทุกเส้นทาง สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วรถ บขส. ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ 5) กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย ตลอดเดือนธันวาคม 2565
I : Inspiration for Society and Environment คมนาคมสร้างสรรค์สังคมไทย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 1) รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) มาให้บริการประชาชนได้ครบทั้ง 1,250 คัน ภายในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งเป็นรถโดยสารใหม่ที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2) รถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV on Train) โดยจะเริ่มทดสอบการเดินรถได้ ในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนการใช้พลังงานได้ถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับหัวรถจักรดีเซล 3) เรือไฟฟ้า (EV Boat) ได้นำมาให้บริการประชาชนแล้วตั้งแต่ปี 2565 ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยจะให้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2565 - 1 มกราคม 2566
F : Facilitation คมนาคมสะดวก บริการประทับใจ ประกอบด้วย 1) ขยายเวลาการเดินรถโดยสารในเขตกรุงเทพฯ ในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงานเคานท์ดาวน์ (Count Down) เช่น สยามพารากอน ไอคอนสยาม และเอเชียทีค ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 2) ขยายเวลาเปิดให้บริการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 3) ขยายเวลาให้บริการของอาคารและลานจอดรถ MRT ทั้ง 2 สาย (สีน้ำเงินและสีม่วง) ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566 4) บริการจอดรถฟรี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 - 3 มกราคม 2566
T : Tourist Promotion คมนาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1) ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็น “3 จุดเช็กอินแห่งใหม่” ได้แก่ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 213 ตอนสร้างค้อ - สกลนคร โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 9 (กาญจนาภิเษก) ตอนบางแค - คลองมหาสวัสดิ์ กรุงเทพฯ และโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 107 ตอนแม่ทะลาย - หัวโท จังหวัดเชียงใหม่ 2) โครงการถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 2 - พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ จังหวัดอุดรธานี เพื่อรองรับพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสักการะบูชาพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) 3) ปรับปรุงท่าเรือในเขตกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนใช้ได้อย่างสะดวกปลอดภัย เป็นแลนด์มาร์กและจุดเชื่อมโยงการเดินทางหลายรูปแบบ อาทิ ท่าเรือราชินี พายัพ และบางโพ 4) โครงการฉึกฉักทั่วไทยท่องเที่ยวด้วยรถไฟ KIHA183 จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยขบวนแรกจะเริ่มวิ่งให้บริการได้ในเดือนมกราคม 2566 เส้นทาง กรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 5) รฟท. เสริมความแข็งแกร่งในการเดินรถ ด้วยการนำหัวรถจักร “อุลตร้าแมน” จำนวน 50 คัน มาแทนหัวรถจักรที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 60 ปี สร้างความแข็งแกร่งทั้งในด้านการขนส่งและสนับสนุนการท่องเที่ยวทางรางให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ได้เริ่มนำมาวิ่งในรถด่วนและรถด่วนพิเศษ 6) ประดับไฟสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 รวมถึงสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ เพื่อเพิ่มความสง่างามให้กับสะพาน ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของสายน้ำเจ้าพระยา
S : Safety Journey คมนาคมใส่ใจ ปลอดภัยทุกการเดินทาง ประกอบด้วย ปรับปรุง/ซ่อมแซมถนนและสะพานทั่วประเทศให้มีความสะดวกปลอดภัย ไร้หลุมบ่อ ติดตั้งเครื่องหมายจราจรและป้ายเตือนต่าง ๆ รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ ไฟส่องสว่าง เพื่อทัศนวิสัยที่ดีของผู้ขับขี่ ลดการเกิดอุบัติเหตุ และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทาง
กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่ดูแลระบบคมนาคมขนส่งของประเทศตระหนักถึงความสะดวกปลอดภัยของประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาล จึงขอส่งความห่วงใยและความปรารถนาดีให้ประชาชนทุกท่านเดินทางปลอดภัยทุกเส้นทางตลอดช่วงปีใหม่ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62940 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”ยินดี ครึ่งทางงาน OTOP City 2022 กระแสตอบรับดี คนเข้าชมงาน8.6 หมื่นคน มียอดจำหน่ายแล้วกว่า243 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จนโยบายการพัฒนาสินค้าOTOP | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”ยินดี ครึ่งทางงาน OTOP City 2022 กระแสตอบรับดี คนเข้าชมงาน8.6 หมื่นคน มียอดจำหน่ายแล้วกว่า243 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จนโยบายการพัฒนาสินค้าOTOP
รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”ยินดี ครึ่งทางงาน OTOP City 2022 กระแสตอบรับดี คนเข้าชมงาน8.6 หมื่นคน มียอดจำหน่ายแล้วกว่า243 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จนโยบายการพัฒนาสินค้าOTOP สอดคล้อง BCG ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาเศรษกิจฐานราก ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีที่ได้รับรายงานจากกรมการพัฒนาชุมชน ระบุการจัดงานงาน OTOP City 2022 ภายใต้แนวคิด "มอบความสุขจากภูมิปัญญา ส่งต่อคุณค่าจากฝีมือคนไทย" ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 17-25 ธันวาคม 2565 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีกระแสตอบรับที่ดี ประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงาน และหลังจากจัดงานมาได้ครึ่งทางคือระหว่างวันที่ 17-20 ธันวาคม 2565 มีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 86,185 คน มียอดจำหน่ายสะสมแล้ว 243,332,107 บาท จากผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ผ้าและเครื่องแต่งกาย ของใช้ ของตกแต่งฯ สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร OTOPชวนชิม ศิลปินOTOP ผ้าไทยใส่ให้สนุก OTOPขึ้นเครื่อง OTOP Premium OTOP Brandname ของขวัญของฝาก เป็นต้น
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในงานนี้ด้วยยอดขายสะสมประมาณ 243 ล้านบาท คิดเฉลี่ยรายได้สะสม 95,574 บาทต่อผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการสร้างรายได้จากงานนี้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม 2,538 ราย และ 8 องค์กร และ 500 รายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ Shopee ซึ่งประเภทผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย 95,937,722 บาท, ศิลปินOTOP 28,283,260 บาท, อาหาร 23,380,762 บาท, ของใช้ของตกแต่ง 22,412,832 บาท และ OTOPชวนชิม 13,733,452 บาท โดยข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคมผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 5 อันดับ คือ เครื่องประดับทอง จากจ.สุโขทัย ทองรูปพรรณลายโบราณจากจ.สุโขทัย ผ้าไหมยกดอกจากจ.ลำพูน เครื่องประดับจากจ.สระแก้ว และเครื่องประดับอัญมณีจากกรุงเทพฯ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน นำความคิดสร้างสรรค์และทรัพยากรในพื้นที่มาผลิตเป็นสินค้าและบริการ โดยสินค้า OTOP นั้นเป็นการส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้ได้ประโยชน์สูงสุด ที่สอดรับกับแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG ประกอบกับสินค้าทุกชิ้นมีความเป็นอัตลักษณ์สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา สินค้า OTOP ได้เป็นส่วนหนึ่งในเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาไทยสู่สายตาชาวโลก
“สะท้อนผลสำเร็จของนโยบายรัฐบาล ที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีประสิทธิภาพ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยต่อยอดเพื่อให้เข้าถึงตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62931 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM chairs rite chanting ceremony to wish HRH Princess Bajrakitiyabha Narendiradebyavati’s speedy recovery | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
PM chairs rite chanting ceremony to wish HRH Princess Bajrakitiyabha Narendiradebyavati’s speedy recovery
PM chairs rite chanting ceremony to wish HRH Princess Bajrakitiyabha Narendiradebyavati’s speedy recovery
December 20, 2022, at 0730hrs, at Bhakdi Bodin Building, Government House, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha and spouse presided over the Buddhist rite chanting ceremony to wish HRH Princess Bajrakitiyabha Narendiradebyavati’s speedy recovery. Participating in the ceremony were cabinet members and spouses.
Upon arrival, the Prime Minister and spouse lit candle and incense sticks to pay homage to the Triple Gems, and laid pedestal tray of incense stick and candle in front of Her Royal Highness’s portrait. Following the chanting by 10 senior monks, he and the participants presented the monks with the triple robes and offerings. The Prime Minister, then, paid homage to the Triple Gems, and Her Royal Highness’s portrait to end the ceremony.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62915 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทยคว้าแชมป์เรือใบ 2022 Optimist Asian & Oceanian Championship จากอินเดีย | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทยคว้าแชมป์เรือใบ 2022 Optimist Asian & Oceanian Championship จากอินเดีย
สะท้อนศักยภาพนักกีฬาไทยในเวทีโลก
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีกับทีมนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทยที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันเรือใบ รายการ 2022 Optimist Asian & Oceanian Championship ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 13 – 20 ธันวาคม 2565 โดยชนาธิป ทองกล่ำ คว้าแชมป์เรือใบประเภท Optimist อันดับที่ 1 และทีมนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทย (THA 1) ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศ (เหรียญเงิน) จากการแข่งขันประเภททีม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ไทยส่งนักกีฬาเรือใบเยาวชนจำนวน 10 คน เข้าแข่งขัน โดย ชนาธิป ทองกล่ำ ชนะการแข่งขันเรือใบประเภทออพติมิสต์ (Optimist) อันดับที่ 1 ด้วยคะแนนรวม 49 คะแนน จากผู้เข้าแข่งขัน 106 คน และทีมนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทย (THA 1) ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศ (เหรียญเงิน) จากการแข่งขันประเภททีม จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม
ขณะที่นักกีฬาเรือใบเยาวชนไทยอีก 9 คน ติดอันดับของการแข่งขัน ดังนี้ ปริญ ทรัพย์ยิ่ง จบอันดับที่ 5, พัชรพรรณ องคะลอย จบอันดับที่ 13, ปิติภูมิ เจริญผล จบอันดับที่ 19, ธร รัตนะ จบอันดับที่ 20, ไพริน เจริญผล จบอันดับที่ 21, หรรษลักณ์ ศรีนคร จบอันดับที่ 22, จิราทิพย์ มุติพันธุ์ จบอันดับที่ 26, นาวากร แพงแก้ว จบอันดับที่ 35 และประภัสสร แก้วพรหม จบอันดับที่ 38
โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทีมนักกีฬาเรือใบเยาวชนไทยสามารถทำคะแนนรวมได้ดี ส่งผลให้อยู่ในลำดับต้น ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของนักกีฬาทุกคนที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจากหลายรายการ ซึ่งการแข่งขันเรือใบ Optimist เป็นพื้นฐานสำคัญของกีฬาเรือใบเยาวชนที่จะก้าวสู่การเล่นเรือใบใหญ่ในระดับชาติ และระดับโลก
“นายกรัฐมนตรียินดีและภูมิใจกับทีมนักกีฬาเยาวชนไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศและผู้ที่ทำคะแนนรวมในทุกอันดับ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เป็นผลสำเร็จจากความพยายาม มุ่งมั่น สร้างความภูมิใจให้กับคนไทย และเชื่อมั่นว่าความสำเร็จครั้งนี้จะเป็นกำลังใจให้แก่ทีมนักกีฬาไทย รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ยึดเป็นแบบอย่างต่อไป รวมทั้งขอขอบคุณทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ซึ่งถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุน การฝึกซ้อม ผลักดันให้นักกีฬาเรือใบของไทยประสบความสำเร็จ โดยยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการกีฬาทุกประเภทและเปิดโอกาสให้นักกีฬาไทยได้ใช้ศักยภาพ ทักษะที่มีอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การแข่งขันในระดับโลก” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62918 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมลงนามถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงหายจากพระอาการประชวร | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมลงนามถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงหายจากพระอาการประชวร
...
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงพระประชวร และร่วมลงนามถวายพระพร ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ขอทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62924 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ นำเครื่องมือเครื่องจักรเข้าช่วยเหลือ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจังหวัดสงขลา | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ นำเครื่องมือเครื่องจักรเข้าช่วยเหลือ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจังหวัดสงขลา
พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) รับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องมาจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักในบางแห่ง ซึ่งปัจจุบันได้สั่งการให้สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 12 (สงขลา) แขวงทางหลวงชนบทสงขลา นำเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยเครื่องจักร อุปกรณ์เข้าช่วยเหลือประชาชนบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อาทิ ซ่อมแซมผิวจราจรที่น้ำกัดเซาะบริเวณถนนทางหลวงชนบทสาย สข.3005 และดำเนินการตัดต้นไม้ที่ล้มขวางทางการจราจรบนถนนทางหลวงชนบทสาย สข.2004 พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์บนโครงข่ายทางหลวงชนบทอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดชุดเคลื่อนที่เร็วติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์อำนวยความปลอดดภัยประจำตามจุดที่ได้รับผลกระทบ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา เวลานี้ (21 ธันวาคม 2565) มีโครงข่ายทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จำนวน 10 สายทาง ดังนี้
1. ถนนสาย สข.1059 แยก ทล. 4 - บ้านเขามีเกียรติ อำเภอสะเดา ไหล่ทางชำรุด สัญจรผ่านได้
2. ถนนสาย สข.3063 แยก ทล. 408 - บ้านลาแล อำเภอนาทวี สะบ้าย้อย และกาบัง ดินสไลด์ไหล่ทาง สัญจรผ่านได้
3. ถนนสาย สข.4020 แยก ทล.4181 - บ้านปากจ่า อำเภอควนเนียง ระดับน้ำ 15 - 20 เซนติเมตร สัญจรผ่านได้
4. ถนนสาย 4040 แยก ทล. 4135 - บรรจบ ทล. 4145 อำเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง และสะเดา ระดับน้ำ 20 - 30 เซนติเมตร สัญจรผ่านได้
5. ถนนสาย สข.4044 แยก ทล. 4287 - บ้านป่ายาง อำเภอหาดใหญ่และบางกล่ำ คอสะพานชำรุด สัญจรผ่านได้
6. ถนนสาย สข.4052 แยก ทล. 406 - บ้านท่าหยี อำเภอควนเนียง ระดับน้ำ 40 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้
7. ถนนสาย สข.1023 แยก ทล. 4 - บ้านบางเหรียง อำเภอควนเนียง คอสะพานขาด ระดับน้ำ 20 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้
8. ถนนสาย สข.4037 แยก ทล. 4135 - บ้านวัดเกาะ อำเภอหาดใหญ่ ระดับน้ำ 30 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้
9. ถนนสาย สข.4051 แยก ทล. 4208 - บ้านโล๊ะหนุน อำเภอบางกล่ำและควนเนียง ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้
10. ถนนสาย สข.5057 แยกทางหลวงชนบทสาย สข. 4047 - อ่างเก็บน้ำคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง ระดับน้ำ 30 - 40 เซนติเมตร ไม่สามารถสัญจรผ่านได้
ทั้งนี้ หากประชาชนมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวัง สังเกตป้ายเตือน ป้ายบอกทาง โดย ทช. ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หากต้องการความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทช. โทร. 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62933 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ชู "ชุมชนบ้านใหม่ล้านนา" ผลงานรัฐบาล ต้นแบบการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเท่าเทียม | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
รมต.อนุชา ชู "ชุมชนบ้านใหม่ล้านนา" ผลงานรัฐบาล ต้นแบบการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเท่าเทียม
รมต.อนุชา ชู "ชุมชนบ้านใหม่ล้านนา" ผลงานรัฐบาล ต้นแบบการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเท่าเทียม
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เวลา 09.30 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ให้เดินทางลงพื้นที่ชุมชนบ้านใหม่ล้านนา ต.ข่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามและศึกษาข้อเท็จจริงการดำเนินงาน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ที่ยื่นคำขอเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ ของคณะทำงานแก้ไขปัญหาและศึกษาแนวทางการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชนในรูปแบบโฉนดชุมชน ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (ขปส.) โดยมี นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยุทธพงษ์ ไชยศร นายอำเภอจอมทอง ร่วมคณะ
โอกาสนี้ นายอนุชา ได้พบปะประชาชนในพื้นที่ และเยี่ยมชมการจัดนิทรรศการแสดงผลผลิตชุมชน และการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือจากหนรวยงานภาครัฐในพื้นที่ จากนั้น นายอนุชา ได้เป็นสักขีพยานในพืธีลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนบ้านใหม่ล้านนา เพื่อแสดงถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือประชาชนและร่วมพัฒนาพื้นที่
นายอนุชา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้ให้ความสําคัญกับนโยบายการบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากผืนแผ่นดินไทยอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ผ่านการทำงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และตนเองเป็นรองประธานฯ
นายอนุชา กล่าวยัำว่า การลงมาติดตามความคืบหน้าของการดำเนินวันนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นพี่น้องประชาชนในชุมชน ที่มีการต่อสู้มาอย่างยาวนาน ได้มีที่ดินทำกิน และมีสิทธิ์ครอบครองในการอยู่อาศัยในรูปแบบของโฉนดชุมชนตามที่ต้องการ ภายหลังจากที่ชุมชนได้ถูกศาลตัดสินให้ออกจากพื้นที่เดิม จำนวน 41 ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันชุมชนได้รับการจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. จำนวน 61 ไร่ ก่อตั้งเป็นชุมชนบ้านใหม่ล้านนา เพื่อให้มีที่ดินทำกินและมีบ้านมั่นคงตามแนวนโยบายของรัฐบาล นายอนุชา หวังให้ชุมชนแห่งนี้ เป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาเพื่อพี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บนที่ดินทำกินที่รัฐบาลจัดสรรให้ ลดความเหลื่อมล้ำในการอยู่อาศัยและประกอบอาชีพทำมาหากินเป็นของตนเอง ขอให้พี่น้องประชาชนใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่ออนาคตที่ดีของชุมชน ของครอบครัว และเพื่ออนาคตของลูกหลานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62934 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกรัฐมนตรี” ลุยเชียงราย ตรวจโครงข่าย 5G นำร่องดอยผาหมีสู่ “เกษตรดิจิทัล” | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
“นายกรัฐมนตรี” ลุยเชียงราย ตรวจโครงข่าย 5G นำร่องดอยผาหมีสู่ “เกษตรดิจิทัล”
“นายกรัฐมนตรี” ลุยเชียงราย ตรวจโครงข่าย 5G
นำร่องดอยผาหมีสู่ “เกษตรดิจิทัล”
พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงการนำร่อง“เกษตรดิจิทัล”ด้วยเทคโนโลยี5G PlatformบนGDCC (ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ)ที่ศูนย์ฝึกอบรมผาหมีจังหวัดเชียงรายโดยมีนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)นายเอกพงษ์หริ่มเจริญรองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)พ.อ.สรรพชัยย์หุวะนันทน์กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจํากัด(มหาชน)มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์บริษัทแอดวานซ์ไวร์เลสเน็ทเวอร์คจํากัดและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจติดตามความก้าวหน้าการนำร่อง“เกษตรดิจิทัล”ระบบสมาร์ทฟาร์มโรงเรือนอัจฉริยะ(Smart farming)และโครงการพืชมูลค่าสูงอาทิแปลงผักแปลงวานิลลาต่อยอดผลผลิตโครงการดอยตุงพร้อมขับเคลื่อนเป้าหมายใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างประโยชน์ครอบคลุมทุกภาคส่วนของไทยรวมถึงสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรและยกระดับชุมชนที่มอบหมายให้กระทรวงดีอีเอสเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ
นายชัยวุฒิกล่าวว่ากระทรวงฯได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อน5Gแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเห็นชอบให้ดำเนินโครงการนำร่องการใช้ประโยชน์5Gของประเทศไทยด้านการส่งเสริมเกษตรดิจิทัลซึ่งเป็นโครงการที่ใช้เทคโนโลยี5GและเทคโนโลยีInternet of Thingในการควบคุมการเพาะปลูกอัตโนมัติและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่สร้างรายได้ลดปัญหาความยากจนเพื่อสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี5Gณศูนย์ฝึกอบรมผาหมีจังหวัดเชียงรายโดยนําร่องปลูกพืชวานิลลาบนพื้นที่ไหล่เขาและชายขอบรวมถึงการปลูกพืชในโรงเรือนแบบEVAP (Evaporative Cooling System)เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาการเกษตรภายใต้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ที่พร้อมจะขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรดิจิทัลในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างมิติใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเพาะปลูกโดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเกษตรกรรมทั้งควบคุมอุณหภูมิความชื้นการให้น้ำให้ปุ๋ยและการเก็บเกี่ยวผ่านระบบมือถือแทนการใช้แรงงานคนและการพยากรณ์อากาศแบบดั้งเดิมเพื่อให้ได้เพิ่มผลผลิตลดต้นทุนและเกิดความแม่นยำสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตรงความต้องการของผู้บริโภคและตลาดในปริมาณที่เหมาะสมพอดี
สำหรับศูนย์ฝึกอบรมผาหมีเป็นศูนย์การเรียนรู้วิจัยและพัฒนาพืชมูลค่าสูงทำแปลงสาธิตวานิลลาพืชตระกูลกล้วยไม้(1ใน5ผลผลิตที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก)ต่อยอดผลผลิตหลากหลายในโครงการดอยตุงหวังยกระดับพัฒนาเกษตรครบวงจรสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรและชุมชนอาทิโกโก้กัญชงพืชกลุ่มSuperfoodเป็นต้นรวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆให้กับเกษตรกรในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ลดปัญหาความยากจนเพื่อสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพ
ทั้งนี้โครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี5Gได้มีการพัฒนาและจัดการระบบการรดน้ำและติดตั้งอุปกรณ์ช่วยควบคุมดูแลการเพาะปลูก(IoT Controllers)และอุปกรณ์วัดสภาพแวดล้อมแปลงปลูก(IoT Sensors)ในบริเวณแปลงวานิลลาและโรงเรือนEVAPการติดตั้งอุปกรณ์กระจายสัญญาณ5GและเทคโนโลยีInternet of Thing (IoT)และพัฒนาซอฟต์แวร์สมาร์ทฟาร์มและการเก็บบันทึกข้อมูลรวมทั้งการพัฒนาระบบCloud GDCCให้รองรับการเชื่อมต่อเทคโนโลยีIoT Smart farmและจัดเก็บข้อมูลBig Dataภาคเกษตรของไทยพร้อมรองรับการขยายผลไปสู่เกษตรกรไทยและพืชทดลองชนิดอื่นๆต่อไปในอนาคต
_____________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. และมูลนิธิฉะเชิงเทราเพื่อการพัฒนา ร่วมประชุมหารือต่อยอด ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รฟท. และมูลนิธิฉะเชิงเทราเพื่อการพัฒนา ร่วมประชุมหารือต่อยอด ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ
สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2565 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้ร่วมประชุมกับมูลนิธิฉะเชิงเทราเพื่อการพัฒนา โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานมูลนิธิฉะเชิงเทราเพื่อการพัฒนา (Chachoengsao Development Foundation - CDF) พร้อมด้วยสมาชิกและภาคีเครือข่ายของมูลนิธิฯ ประกอบด้วยหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ตำรวจภูธรฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ณ ตึกสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ ระหว่างรฟท. กับจังหวัด รวมถึงหน่วยราชการ และผู้ประกอบการในพื้นที่ ให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์รฟท. เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมบูรณาการกับรฟท. ในการพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด รฟท. โดยฝ่ายบริการโดยสาร ศูนย์ประชาสัมพันธ์ ได้มีการร่วมประชุมกับมูลนิธิฉะเชิงเทราเพื่อการพัฒนา พร้อมด้วย หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ตำรวจภูธรฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครินทร์ จัดทำแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟแบบบูรณาการร่วมกัน “การหารือในครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเส้นทางใหม่และรูปแบบการให้บริการแนวใหม่ ซึ่ง รฟท. ยังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับประชาชน และนักท่องเที่ยว เดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยด้วยรถไฟมากขึ้น”
นายเอกรัชกล่าวว่ารฟท. คาดหวังว่าจากการร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และคนในชุมชน เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากเติบโต เป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตตามไปด้วย โดยถือเป็นการตอกย้ำภารกิจของรฟท. ที่นอกจากจะเป็นผู้ให้บริการทั้งในเรื่องการเดินทาง การขนส่งสินค้าที่ดีแล้ว ยังมีเป้าหมายสำคัญในการเข้าไปส่งเสริมพัฒนาชุมชน และสังคมให้เติบโตมีความเข้มแข็งควบคู่กันไปอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รวมพลังประกาศจุดยืน “ไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต” มุ่งสู่องค์กรปลอดทุจริต ด้วยมาตรการ “หอก 3 แฉก” | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
สธ. รวมพลังประกาศจุดยืน “ไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต” มุ่งสู่องค์กรปลอดทุจริต ด้วยมาตรการ “หอก 3 แฉก”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ “กระทรวงสาธารณสุขใสสะอาด ร่วมต้านทุจริต (MOPH Together Against Corruption)” และนโยบายไม่รับของขวัญ ของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ “กระทรวงสาธารณสุขใสสะอาด ร่วมต้านทุจริต (MOPH Together Against Corruption)” และนโยบายไม่รับของขวัญ ของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) มุ่งสู่เป้าหมาย “กระทรวงสาธารณสุขปลอดจากการทุจริตและประพฤติผิดมิชอบ” ภายในปี 2570 ด้วยมาตรการ “หอก 3 แฉก”
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต ภายใต้แนวคิด “กระทรวงสาธารณสุขใสสะอาด ร่วมต้านทุจริต (MOPH Together Against Corruption)” และประกาศนโยบายไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระดับ AA (95-100 คะแนน) จากสำนักงาน ป.ป.ช. และใบประกาศเกียรติคุณให้ 13 หน่วยงาน ที่ได้ผลการประเมินในระดับ A (85 - 94.99 คะแนน)
ดร.สาธิต กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรปลอดจากการทุจริตและประพฤติผิดมิชอบ ภายในปี พ.ศ. 2570 ด้วยการนำมาตรการ “หอก 3 แฉก : LPL” (Three Pronged measures) มาใช้ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย (Law enforcement) กำหนดมาตรการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็นธรรม การป้องกันการทุจริต (Prevention) ปรับปรุงกฎ ระเบียบ ปิดช่องโหว่ สร้างและยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสใน
การดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเข้มแข็ง สร้างกลไกเครือข่ายการบริหารงานที่โปร่งใส รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งของกลไกการตรวจสอบ ร่วมกันต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ และความรอบรู้สู้โกง (Literacy) ด้วยการให้องค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการทุจริต ปลูกและปลุกจิตสำนึก ปรับฐานความคิดที่ตัวบุคคลให้สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้โดยอัตโนมัติ และมีความรอบรู้ต่อสถานการณ์การทุจริตที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้านนายแพทย์โอภาส กล่าวเสริมว่านับเป็นความภูมิใจของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะร่วมกันประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในการไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต ร่วมสร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขอย่างจริงจัง สอดรับกับเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตเพื่อยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย มุ่งสร้างความสุขให้เกิดกับประชาชน ควบคู่กับการสร้างค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต
*********************************** 21 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62925 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 1,100 ล้านบาท 21 ธ.ค. นี้ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 1,100 ล้านบาท 21 ธ.ค. นี้
ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีกกว่า 1,100 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 182,727 ครัวเรือน
ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีกกว่า 1,100 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 182,727 ครัวเรือน ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 และโครงการประกันรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยโอนเงินให้เกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต2565/66 (โครงการไร่ละพัน) เป็นเงินกว่า 52,394 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4.49 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1 - 9 เป็นจำนวนเงินกว่า 7,471.59 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 2.6 ล้านครัวเรือน
และในวันนี้ ธ.ก.ส. ได้ทำการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 แก่เกษตรกรอีกกว่า 182,727 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 1,122.39 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ครั้งที่ 3 เป็นเงินกว่า 903.44 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 111,973 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 10 และงวดที่ 1 - 9 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 218.95 ล้านบาท และมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 70,754 ครัวเรือน
เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62937 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเนื่องจากอุทกภัย พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือ | วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565
20/12/2565
นายกฯ ลงพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเนื่องจากอุทกภัย พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือ
นายกฯ ลงพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเนื่องจากอุทกภัย พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ย้ำรัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ธันวาคม 2565) เวลา 18.00 น. ณ วัดหัวควนตก ตำบลดอนประดู่ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย ครอบครัวนายสมโภชน์ เซ่งเข็ม อายุ 25 ปี อาชีพรับเลี้ยงไก่ ซึ่งจมน้ำเสียชีวิตในระหว่างเดินทางไปทำงาน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ และขอเป็นกำลังใจกับญาติของผู้เสียชีวิต ขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้คนในครอบครัวดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มอบเงินช่วยเหลือให้แก่นายฐนิต เซ่งเข็ม บิดาผู้เสียชีวิตด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง โดยกล่าวถึงการเดินทางมาวันนี้ว่ามาด้วยความคิดถึงและห่วงใย พร้อมมาให้กำลังใจประชาชนทุกคนและขอให้ประชาชนสนับสนุนร่วมมือกับรัฐบาลในการร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมย้ำรัฐบาลจะเร่งให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ ได้มอบหมายขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบความเสียหาย เพื่อจะช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผบกระทบต่อไป รวมทั้งได้อวยพรปีใหม่ขอให้ประชาชนทุกคนมีความสุข
ด้านประชาชนในพื้นที่ต่างแสดงความดีใจที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีและคณะ พร้อมกล่าวให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการทำงาน ว่า “นายกฯ สู้ ๆ เรารักลุงตู่”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62912 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เดินหน้าพัฒนาประจวบฯ เป็น “มหานครสับปะรดของโลก” | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
“เฉลิมชัย” เดินหน้าพัฒนาประจวบฯ เป็น “มหานครสับปะรดของโลก”
“เฉลิมชัย” เดินหน้าพัฒนาประจวบฯ เป็น “มหานครสับปะรดของโลก” หลังไทยยืนหนึ่งแชมป์โลกส่งออกสับปะรด
“เฉลิมชัย” เดินหน้าพัฒนาประจวบฯ เป็น “มหานครสับปะรดของโลก” หลังไทยยืนหนึ่งแชมป์โลกส่งออกสับปะรด
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นประธานเปิดงานและบรรยายในการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2565 ครั้งที่ 38 สหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอด จำกัด ณ สำนักงานสหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอด จำกัด ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายอำเภอสามร้อยยอด สหกรณ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนราชการต่าง ๆ นายชาญชัย ธนะกมลประดิษฐ์ ประธานและคณะกรรมการอำนวยการสหกรณ์และสมาชิกให้การต้อนรับ
นายอลงกรณ์ กล่าวบรรยายว่า สถานการณ์การเพาะปลูกและผลผลิตสับปะรดในปี 2565 มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 457,255 ไร่ คิดเป็นปริมาณผลผลิต 1.772 ล้านตัน โดยแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี พิษณุโลก และระยอง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมา ร้อยละ 0.39 ร้อยละ 2.68 และร้อยละ 2.27 ตามลำดับ ทางด้านราคา ตั้งแต่ปี 2563 ถึงต้นปี 2564 ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้เกษตรกรรายใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสับปะรดและผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ครองสัดส่วนตลาดโลก 32% ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 22% ซึ่งพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุด และมีโรงงานสับปะรดมากที่สุดคือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเสมือนมหานครสับปะรดของไทยและของโลก โดยการบริหารจัดการสับปะรดเชิงโครงสร้างและระบบ และการกำหนดแผนและเป้าหมายการเป็นมหานครสับปะรดของโลก ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน ได้ปรับแผนเดิมเป็นแผนใหม่รับมือวิกฤติโควิด19 เรียกว่าแผนพัฒนาสับปะรด ปี 2563 - 2565 พร้อมกับจัดทำแผนพัฒนาสับปะรด 5 ปี (2566 - 2570) เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตการแปรรูปและการตลาด
สำหรับการขับเคลื่อนสำคัญในปีหน้า คือการจัดตั้ง “มหานครสับปะรด Pineapple metropolis” ที่ประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมพื้นที่แหล่งผลิตหลักจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และการยกร่างกฎหมายการพัฒนาผลไม้เศรษฐกิจ (สับปะรด ทุเรียน ลำไย ฯลฯ) มีกองทุนพัฒนาผลไม้เป็นกลไกสำคัญเพื่อยกระดับรายได้ของชาวไร่สับปะรด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสับปะรดตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างยั่งยืนด้วยแนวทางเกษตรมูลค่าสูง.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62923 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. จัดประชุมพนักงานทุกระดับ ส่งท้ายปี ย้ำชัด ยกระดับช่วย SMEs ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ 2566 | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
บสย. จัดประชุมพนักงานทุกระดับ ส่งท้ายปี ย้ำชัด ยกระดับช่วย SMEs ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ 2566
บสย. จัดงานประชุมพนักงานทุกระดับ The 4th Town Hall Meeting : New Year NEW Change ส่งท้ายปี 2565 ขอบคุณและชื่นชมเพื่อนพนักงาน บสย. ที่ได้ร่วมสร้างปรากฏการณ์การช่วยเหลือเพื่อนผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมาก
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นประธานจัดงานประชุมพนักงานทุกระดับ The 4th Town Hall Meeting : New Year NEW Change ส่งท้ายปี 2565 โดยได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมเพื่อนพนักงาน บสย. ที่ได้ร่วมสร้างปรากฏการณ์การช่วยเหลือเพื่อนผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมาก ทั้งการช่วยในการเข้าถึงแหล่งทุน การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและช่วยแก้หนี้ให้ SMEs พร้อมสรุปผลดำเนินงาน บสย. แผนงาน เป้าหมายในปี 2566 และการก้าวสู่ปี 2566 ภายใต้ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ใหม่ “เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสให้แก่ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (SMEs’ Gateway)” ต่อยอด การนำ นวัตกรรม และ Digital Technology ขับเคลื่อน บสย.
สำหรับผลการดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ ระหว่าง 1 ม.ค.- 30 พ.ย.2565 มียอดค้ำประกันรวมทั้งสิ้น 1.36 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ 81,107 ราย และอนุมัติหนังสือค้ำประกัน (LG) 85,670 ฉบับ ขณะที่การค้ำประกันสะสมถึง ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาท ช่วยลูกค้า SMEs สะสม จำนวน 7.48 แสนราย และอนุมัติหนังสือค้ำประกันสะสม (LG) 1.06 ล้านฉบับ ขณะที่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของ บสย. เพื่อการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการประนอมหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง เจ้าหน้าที่สาขา / Call Center / บสย. F.A. Center และ Line TCG First ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ผ่อนน้อย เบาแรง โดยมี SMEs เข้าร่วมโครงการนี้เกือบ 10,000 ราย ซึ่งเข้าร่วมโครงการกว่า 5,197 ราย
โครงการ “บสย. พร้อมช่วย” ถือเป็นการดำเนินการในเชิงรุกที่เพิ่มประสิทธิภาพสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น ที่สำคัญการเพิ่มทางเลือกด้วยการลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน “Line TCG First” ทำให้ลูกค้า / ลูกหนี้ เข้าถึงช่องทางการติดต่อของ บสย. ได้ง่ายขึ้น ซึ่ง “Line TCG First” นอกจากช่วยเหลือการแก้หนี้แล้ว ยังมีบริการตรวจสุขภาพทางการเงิน และการเข้าร่วมกิจกรรมกับ บสย.
สำหรับในปี 2566 บสย. ยังคงมุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยมี บสย. เป็นตัวกลางเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน ผ่านการขยายช่องทางการค้ำประกันสินเชื่อสู่ Digital Platform เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยได้ประกาศ วิสัยทัศน์ใหม่ “เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสให้แก่ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (SMEs’Gateway) พร้อมพันธกิจ 5 ด้าน พัฒนา ผลักดัน เชื่อมโยง ยกระดับ และส่งเสริม ด้านค่านิยม ได้มีการปรับค่านิยมให้สอดรับกับการปรับภาพลักษณ์ใหม่องค์กรและการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร สู่ TCG Fast & First บริการรวดเร็ว รอบคอบ อย่างรอบรู้ และที่หนึ่งให้บริการ ที่หนึ่งให้คำปรึกษา ที่หนึ่งในใจ SMEs โดยยังได้เพิ่มบทบาทการเป็นตัวกลางเชื่อมโยง SMEs เพื่อส่งต่อ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุน และปรับบทบาทการเป็นผู้ให้บริการข้อมูลแก่ SMEs จากการเชื่อมโยงและพัฒนาฐานข้อมูลให้ครอบคลุมมากขึ้น
การจัดประชุม The 4th Town Hall Meeting : New Year NEW Change มีพนักงาน บสย. เข้าร่วมกว่า 300 คน ในรูปแบบผสมผสาน Hybrid Meeting โดยถ่ายทอดสดผ่านระบบ Live Streaming ณ ห้องประชุม ชั้น 21 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร หารือทูตสหรัฐฯ ตอกย้ำความสัมพันธ์และความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกว่า 190 ปี | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร หารือทูตสหรัฐฯ ตอกย้ำความสัมพันธ์และความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกว่า 190 ปี
เสริมสร้างพลวัตความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ครอบคลุมหลากหลายมิติในทุกระดับให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เวลา 14.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ด้วยประสบการณ์จะช่วยสนับสนุนและเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ เป็นอย่างดี รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ อย่างเต็มที่
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณที่อนุญาตให้เข้าพบในวันนี้ พร้อมกล่าวถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว และแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัย ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ พร้อมทำหน้าที่เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในทุกมิติ รวมทั้งผลักดันความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเพื่อฉลองครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – สหรัฐฯ
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นต่างๆ ดังนี้
ยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ มีความใกล้ชิดและเติบโตขึ้นในทุกมิติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ไทยพร้อมร่วมมือภายใต้แถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะที่ในปี 2566 จะครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างพลวัตความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ครอบคลุมหลากหลายมิติในทุกระดับให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า แถลงการณ์ดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม และเป็นแผนการขับเคลื่อน (Roadmap) ไปสู่ความร่วมมือในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและการค้าการลงทุน โดยหวังให้ไทย-สหรัฐฯ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน เพื่อความรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
ด้านความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมุ่งมั่นขจัดปัญหานี้ให้หมดไปจากสังคมไทย โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมา หน่วยงานไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และไทยมีความร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานด้วย พร้อมหวังว่า การจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (TIP Report) จะสะท้อนถึงผลการดำเนินการที่มีความคืบหน้าของไทยด้วย และตระหนักถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของไทย โดยไทยมีเป้าหมายในการเป็น Tier 1 และพร้อมจะร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดต่อไป
ซึ่งในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมและเห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดไป โดยได้เห็นถึงความคืบหน้าในหลายๆด้าน พร้อมขอบคุณสำหรับความร่วมมือในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาล และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ พร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ให้สามารถยกระดับเป็น Tier 1 ได้โดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62954 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีฯ Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) มุ่งพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมระบบดิจิทัล-เทคโนโลยีสมัยใหม่ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
นายกฯ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีฯ Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) มุ่งพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมระบบดิจิทัล-เทคโนโลยีสมัยใหม่
นายกฯ เปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีฯ Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) มุ่งพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมระบบดิจิทัล-เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) เวลา 09.30 น. ณ หอประชุมโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand-Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย รองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย คณะครู นักเรียนโรงเรียน Super Science High School และสถาบัน KOSEN ประเทศญี่ปุ่น นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย และโรงเรียนรับเชิญในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรีชมการแสดงจินตลีลาผสมผสานกับหุ่นยนต์ ชุด “Season of Color” โดยนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย และชมวีดิทัศน์ Thailand-Japan Student ICT Fair (TJ-SIF 2022) พร้อมรับฟังการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยตัวแทนนักเรียนญี่ปุ่น และนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
จากนั้น Mr. OBA Yuichi รองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยกล่าวแสดงความยินดีในนามของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าโรงเรียนฯ ได้จัดทําข้อตกลงความร่วมมือกับโรงเรียนมัธยมของญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ความร่วมมือเหล่านี้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนงานวิจัยและนักศึกษา ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันและเพิ่มความร่วมมือระหว่างสองประเทศ รวมทั้ง ยังหมายถึงการเสริมสร้างความรู้สึกเป็นมิตรและความผูกพันระหว่างสองประเทศ โดยปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 135 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่น-ไทย ความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายศตวรรษนี้ ต้องการการดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง และโครงการนี้ช่วยพัฒนาถึงในระดับบุคคล โดยความร่วมมือของเราเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและลึกซึ้งครอบคลุมทุกมิติ ทั้ง ธุรกิจ วัฒนธรรม กีฬา ไปจนถึงอาหาร ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและไทยได้รับการยกระดับ การแลกเปลี่ยนที่เพิ่มพูนนี้ทำให้ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์แบบ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม” รวมไปถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้น เห็นได้ชัดจากการประชุมเอเปค 2022 โดยเป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลจากบทบาทผู้นำที่แข็งแกร่งของนายกรัฐมนตรี และได้กล่าวถึงบริษัทเอกชนญี่ปุ่นประมาณ 6,000 แห่ง ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในธุรกิจในประเทศไทย และยังคงเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยว และได้อวยพรให้การจัดโครงการฯ นี้ บรรลุผลสำเร็จ รวมทั้งอวยพรให้ความร่วมมือโครงการฯ แน่นแฟ้นมากขึ้น มีส่วนยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอีกด้วย
ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น Thailand - Japan Student ICT Fair 2022 (TJ-SIF2022) ว่า การจัดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการจัดกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กับกลุ่มโรงเรียนโครงการ Super Science High School และสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ สถานเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (NEXT) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งได้ริเริ่มความร่วมมือทางวิชาการตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2554 เป็นต้นมา กระทั่งถึงปัจจุบัน โดยความสำเร็จในด้านความร่วมมือทางวิชาการของทั้ง 2 ประเทศ มีนักเรียนไทย และนักเรียนญี่ปุ่นได้แสดงศักยภาพในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหลากหลายโครงงานจำนวนมาก อันเป็นประโยชน์ต่อประเทศ และต่อประชาคมโลก สำหรับการจัดมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่นครั้งนี้ เป็นการจัดเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จัดการเรียนรู้ของครู และการแข่งขัน Programming Hackathon โดยจัดงานรูปแบบไฮบริดจ์ ณ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย และผ่านระบบออนไลน์ ภายใต้การเป็นที่ปรึกษาการจัดงานของมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานผลการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยตามมติคณะรัฐมนตรีว่า การดำเนินงานของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการเตรียมความพร้อมกำลังคนระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึงเป็นการเตรียมกำลังคนระดับสูงทางด้าน STEM เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ลงทุนจากประเทศต่าง ๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม 4.0 ในโครงการ Eastern Economic Corridor (EEC) และโครงการอื่น ๆ ของประเทศ จากผลการดำเนินงานและความสำเร็จดังกล่าว เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลที่เล็งเห็นคุณค่า ความสำคัญทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้การสนับสนุนและให้ความสำคัญทางด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโล่ให้กับผู้สนับสนุน และนักเรียน 9 ราย พร้อมกล่าวเปิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีฯ โดยแสดงความดีใจและยินดีที่ได้มาเปิดงานครั้งนี้ ซึ่งเห็นถึงความก้าวหน้าของบุคลากรทางด้านการศึกษาทุกฝ่าย รวมถึงความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และมีการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างต่อเนื่องตลอดไป พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีย้ำถึงการนำเสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่นในครั้งนี้ว่า เป็นเวทีที่ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำเสนอ แลกเปลี่ยนผลงานวิชาการ และสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมด้าน ICT ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงคุณภาพการจัดการศึกษาและศักยภาพของครูและนักเรียนทั้งสองประเทศอย่างดียิ่ง โดยผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนดังกล่าว ยังเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
นายกรัฐมนตรีชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้สนับสนุนกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำและหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จนเกิดความร่วมมือทางวิชาการที่แน่นแฟ้น และก่อให้เกิดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางด้านไอซีทีของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่นขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทั้งสองประเทศ ได้แสดงความสามารถทางด้านวิชาการทั้งการแสดงศักยภาพในด้านการสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนเป็นการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยระหว่างครูและนักเรียนที่มีคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยและญี่ปุ่น
นายกรัฐมนตรีย้ำว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ในการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดทรัพยากรมนุษย์ที่มีขีดความสามารถสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญทุกคนต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตโดยให้เริ่มจากตนเองก่อน พร้อมกล่าวขอบคุณประเทศญี่ปุ่นที่มีความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือด้านต่าง ๆ กับไทยมาอย่างยาวนาน และจะมีความสัมพันธ์และความร่วมมือต่อเนื่องต่อไป รวมทั้งเน้นย้ำให้เด็กเยาวชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้มุ่งการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การประกอบการธุรกิจและการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายเรียนรู้ตลอดชีวิตตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากธรรมชาติ สู่การเรียนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ให้ทันกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการดังกล่าวขอให้มีการขยายไปสู่โรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ของไทยเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดกิจกรรมอันทรงคุณค่า ส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไป พร้อมอวยพรให้การจัดงานประสบผลสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และจะติดตามโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทำพิธีเปิดงานฯ โดยการกดปุ่มใบพัดโฮโลแกรมตราสัญลักษณ์และร่วมถ่ายภาพกับรัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น ผู้แทนนักเรียนไทย และผู้แทนนักเรียนญี่ปุ่น ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์ไอซีทีระบบบำบัดน้ำเสียอัจฉริยะของนักเรียน ซึ่งเป็นผลงานของนักเรียนระดับชั้น ม. 5 และเยี่ยมนิทรรศการ PCSHS CR Smart School ณ บริเวณหน้าหอประชุม รวมทั้งชมวีดิทัศน์การแข่งขัน Thailand - Japan Game Programming Hackathon (TJ-GPH 2022) และเยี่ยมชมการพัฒนาเกมส์ของนักเรียนไทยและนักเรียนญี่ปุ่น พร้อมกล่าวทักทายและให้กำลังใจนักเรียน เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีและคณะนั่งรถรางไปยังศูนย์กีฬา เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการโครงงานแบบโปสเตอร์ของนักเรียนไทย และนักเรียนญี่ปุ่น รวมถึงผลงานและนวัตกรรมด้านไอซีทีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์ การใช้โปรแกรมโดรนในรูปแบบต่าง ๆ โครงการเสาไฟอัจฉริยะ นวัตกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบเกมส์ และกลุ่มสตาร์ทอัพ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮสนั่น!”ซานต้าอู้ด” จุรินทร์จัดเต็ม!แจกของขวัญปีใหม่ ลดกระหน่ำสินค้า-บริการ-ออนไลน์ สูงสุด 85% กว่า 46,100 สาขาทั่วประเทศ วันนี้-31 ม.ค.66 คาดกระตุ้นเศรษฐกิจร่วม 12,000 ลบ. | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
เฮสนั่น!”ซานต้าอู้ด” จุรินทร์จัดเต็ม!แจกของขวัญปีใหม่ ลดกระหน่ำสินค้า-บริการ-ออนไลน์ สูงสุด 85% กว่า 46,100 สาขาทั่วประเทศ วันนี้-31 ม.ค.66 คาดกระตุ้นเศรษฐกิจร่วม 12,000 ลบ.
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 เวลา 9.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot22 (New Year Grand Sale 2023)”
พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ที่ลานอเนกประสงค์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงปี 2565 ถึงปี 2566 คือการจัดของขวัญปีใหม่ 2566 แด่พี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์ เป็นโครงการอภิมหาลดราคาสินค้าและบริการที่ใหญ่ที่สุดในรอบปีที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้น New Year Grand Sale 2023 หรือ พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน ล็อต 22 เป็นการจัดมหกรรมลดราคาสินค้า-บริการที่ใหญ่ที่สุดที่กระทรวงพาณิชย์เคยจัดมาและเป็นการลดราคาทั้งหมวดสินค้าบริการและการค้าออนไลน์ ลดสูงสุดถึง 85% มีรายการสินค้าและบริการรวมทั้งค้าออนไลน์ร่วม
13,652,400 รายการ โดยสินค้าและบริการแยกเป็น 1.หมวดสินค้าอุปโภค-บริโภค 14 หมวด สินค้า 31,741 รายการลดสูงสุดถึง 80% 2.หมวดบริการ 8 หมวด มี 657 รายการ ลดสูงสุด 85% 3. หมวดการค้าออนไลน์ 3 หมวด จำนวนรายการสินค้าและบริการร่วม 13,620,000 รายการ ลดสูงสุดถึง 85%
จะเริ่มลดราคาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 31 ม.ค.ปีหน้า รวม 42 วัน คาดว่าโครงการ New Year Grand Sale 2023 ของกระทรวงพาณิชย์ สามารถลดภาระค่าครองชีพให้คนไทยทั้งประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
“ขอขอบคุณความร่วมมือของทุกหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์โดยเฉพาะกรมการค้าภายใน ความร่วมมือของผู้ประกอบการทั้ง 315 ราย ถึง 46,100 สาขา โดยเป็นผู้ผลิตสินค้าจำนวน 77 ราย 1,136 สาขา ผู้จำหน่าย 89 ราย 21,220 สาขา ผู้ให้บริการ 136 ราย 12,444 สาขา และแพลตฟอร์ม 13 ราย 11,300 สาขา ที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์อย่างดีเสมอมา” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผย 34 โครงการสุดเจ๋ง ได้รับงบหนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยรวมกว่า 4 ล้าน ส่งเสริมองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เพิ่มมูลค่างานสร้างสรรค์จากท้องถิ่นสู่นานาชาติ | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
วธ.เผย 34 โครงการสุดเจ๋ง ได้รับงบหนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยรวมกว่า 4 ล้าน ส่งเสริมองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เพิ่มมูลค่างานสร้างสรรค์จากท้องถิ่นสู่นานาชาติ
วธ.เผย 34 โครงการสุดเจ๋ง ได้รับงบหนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยรวมกว่า 4 ล้าน ส่งเสริมองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เพิ่มมูลค่างานสร้างสรรค์จากท้องถิ่นสู่นานาชาติ
วธ.เผย 34 โครงการสุดเจ๋ง ได้รับงบหนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยรวมกว่า 4 ล้าน ส่งเสริมองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เพิ่มมูลค่างานสร้างสรรค์จากท้องถิ่นสู่นานาชาติ
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าวภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปี 2566 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหาร ข้าราชการ ศิลปินและสื่อมวลชนเข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า “รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายขับเคลื่อนSoft Powerความเป็นไทยให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ มุ่งส่งเสริมวัฒนธรรม 5Fอาหารไทย (Food)ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion)ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film)มวยไทย (Fighting)และเทศกาลประเพณี (Festival)ให้ครอบคลุมในทุกมิติทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) มีนโยบายสร้างเสริมภูมิปัญญาทางศิลปะร่วมสมัย และเพิ่มพูนคุณค่าให้แก่สังคมในระดับท้องถิ่นสู่ระดับนานาชาติ ซึ่งจากการจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย” ขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. 2551 โดยภาพรวมนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 – 2565 ได้ให้การส่งเสริมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย 9 สาขาทั้งสิ้น 128 โครงการ รวมกว่า 39 ล้านบาท”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า “สำหรับในปี 2566 สศร. มีผู้สนใจยื่นขอรับทุน 257 โครงการ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาคัดเลือกตามแนวทางเน้นงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างเครือข่าย และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยไทยสู่ระดับนานาชาติ ผลปรากฎว่ามีผู้ได้รับทุน 34 โครงการ รวมเป็นเงิน 4,100,000 บาท อาทิ ประติมากรรมชุมชนจากเหล็กใต้น้ำ : ประวัติศาสตร์เมือง ระบบนิเวศน์แม่น้ำ และแม่เหล็ก ของนางสาวธารินี รัตนเสถียร,ค่ายพัฒนาศักยภาพทางศิลปะเยาวชนผู้มีความสามารถ พิเศษด้านทัศนศิลป์ ของนายสังคม ทองมี,สัปดาห์ศิลปะแห่งเมืองหัวหิน ประจำปี 2566 ของบ้านศิลปินหัวหิน,เทศกาลน่าน ของมูลนิธิน่าน ศึกษา,ศิลปะสัญจร เพื่อการให้และมีส่วนร่วมเชิงวัฒนธรรม ของกลุ่มจิตรกรไทยและนีโอล้านนา การแสดงฟ้อนล้านนาร่วมสมัย เพื่อจัดแสดงในMOVE2023-International World Dance Day UNESCO Online Festivalประเทศมาเลเซีย ของนายรณรงค์ คำผา เป็นต้น และขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย ผ่านกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย โดยสามารถบริจาคด้วยตนเอง โดนผ่านธนาคาร ธนาคารกรุงไทย'กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย'เลขที่บัญชี 178-6-00685-5 หรือ เช็คสั่งจ่ายในนามกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ซึ่งสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางเพจ กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย และที่เบอร์โทรศัพท์ 02-2093754
ทั้งนี้ นอกจากนี้ สศร. ได้เปิดโอกาสให้ศิลปิน ศิลปาธร ตลอดจนผู้ประกอบอาชีพศิลปะ สมัครขอรับการสนับสนุนได้จากโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อีกด้วย ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.ocac.go.thหรือลิงก์https://bit.ly/3XxKmxI
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62953 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำคณะลงพื้นที่เมืองสองแคว ตรวจติดตาม “โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง” อำเภอเมืองพิษณุโลก มุ่ง “ปลุก” พลังความคิด “ปรับ” วิถีชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง “เปลี่ยน” เมืองพิษณุโลก | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
ปลัด มท. นำคณะลงพื้นที่เมืองสองแคว ตรวจติดตาม “โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง” อำเภอเมืองพิษณุโลก มุ่ง “ปลุก” พลังความคิด “ปรับ” วิถีชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง “เปลี่ยน” เมืองพิษณุโลก
ปลัด มท. นำคณะลงพื้นที่เมืองสองแคว ตรวจติดตาม “โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง” อำเภอเมืองพิษณุโลก มุ่ง “ปลุก” พลังความคิด “ปรับ” วิถีชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง “เปลี่ยน” เมืองพิษณุโลกสู่ความยั่งยืน (SDGs) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
วันนี้ (21 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์เรียนรู้พัฒนาชุมชนแบบยั่งยืน บ้านวังส้มซ่า อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “ศูนย์เรียนรู้พัฒนาชุมชนแบบยั่งยืน บ้านวังส้มซ่า” และตรวจเยี่ยมประเมินผลเชิงประจักษ์อำเภอนำร่อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ยอดเยี่ยม ซึ่งอำเภอเมืองพิษณุโลกได้นำเสนอ “โครงการปลุกพลังความคิด ปรับวิถีชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เปลี่ยนเมืองพิษณุโลกสู่ความยั่งยืน (SDGs) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน” (โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก)” โดยได้รับเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์วชิโรภาส ที่ปรึกษาปลัด มท. ร่วมลงพื้นที่ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษา มท. นางสัณหจุฑา จิราธิวัฒน์ ประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำ นางสร้อยฟ้า ตรีรัตนนุกูล ภาคีเครือข่ายสื่อมวลชน ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย โดยมีภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนาในพื้นที่ คือ พระครูโฆสิตธรรมสุนทร รองเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม พระใบฎีกาธนกฤต ธนลาโก เจ้าอาวาสวัดคุ้งวารี พร้อมด้วย นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายทรงพล วิชัยขัทคะ นายวาทิต ปัญญาคม รองผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอในพื้นที่ ให้การต้อนรับ มีทีมอำเภอเมืองพิษณุโลก ได้แก่ น.ส.มนัส สิงหเดช ปลัดอาวุโส อ.เมืองพิษณุโลก น.ส.ธัญลักษณ์ ภาคย์ดิฐพงศ์ ปลัด อ.เมืองพิษณุโลก นางจริยา สมวันดี พัฒนาการ อ.เมืองพิษณุโลก นายธวัช สิงหเดช นายก อบต.ท่าโพธิ์ นายสมาน นวนเกิด กำนัน ต.ไผ่ขอดอน ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.เมืองพิษณุโลก นางรุ่งทิวา ฆ้องแสง กก.พัฒนาสตรี อ.เมืองพิษณุโลก น.ส.วรัญญา หอมธูป กรรมการผู้จัดการ บจก.ประชารัฐรักสามัคคีพิษณุโลก (วิสาหกิจเพื่อสังคม) อาจารย์ศรัณย์พร เกิดเกาะ รอง ผอ.วิทยาลัยนานาชาติ ม.นเรศวร ภายใต้การนำของ นายนิสิต สวัสดิเทพ นายอำเภอเมืองพิษณุโลก นำเสนอการขับเคลื่อนโครงการฯ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ขอชื่นชมและขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่มีส่วนทำให้โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง ภายใต้การนำของนายอำเภอเมืองพิษณุโลก ร่วมกับ “ทีมอำเภอ” ขับเคลื่อน ทั้งนี้ กระบวนการที่สำคัญของโครงการนี้ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ขั้นต้น คือ การสร้างทีม ปลุกความคิดของคนในพื้นที่ให้เป็นบัวพ้นน้ำ ช่วยกันดูแลครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน สังคม และจังหวัดให้เป็นจังหวัดที่มีความยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (UN SDGs) ซึ่งคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การดีอย่างแท้จริง” นั่นคือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีลำดับการพัฒนาตั้งแต่ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นก้าวหน้า ด้วยการเน้นการสร้างทีม เพื่อให้ทีมไปขยายผลผลิตแห่งการพัฒนา ผลผลิตแห่งความยั่งยืนให้ครอบคลุมในทุกตำบล/หมู่บ้าน ทุกอำเภอ และขยายผลไปทุกจังหวัดให้ทั่วประเทศ เพื่อไปสู่เป้าหมาย 1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และเพิ่มโอกาสแห่งความเท่าเทียมของการมีชีวิตอยู่ อย่างมีคุณภาพ ให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองพระที่ผู้คนมีวัฒนธรรมอันดีงามตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายในการเคารพนบนอบผูกพันกับพระพุทธศาสนามาอย่างช้านาน เราจึงต้องช่วยกันถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงาม คือ วัฒนธรรมผู้น้อยทำความเคารพผู้มีอาวุโสกว่า วัฒนธรรมเคารพต่อผู้มีศีลสูงกว่า เช่น พระสงฆ์องค์เจ้า ผู้นำศาสนา เพื่อรักษาเมืองแห่งวัฒนธรรม เมืองแห่งศาสนา ให้มั่นคง ยั่งยืน
นายนิสิต สวัสดิเทพ นายอำเภอเมืองพิษณุโลก กล่าวว่า “โครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง” เกิดจากแรงบันดาลใจของผู้นำทุกระดับในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” บูรณาการการทำงานด้วย “กลไก 357” คือ 3 ระดับ : ระดับชุมชน/หมู่บ้าน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ 5 กลไก : การประสานงานภาคีเครือข่าย การบูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ การติดตามหนุนเสริมและประเมินผล การจัดการความรู้ และการสื่อสารสังคม 7 ภาคีเครือข่าย : ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน โดยประชุมสร้างความเข้าใจกำหนด “เป้าหมายเดียวกัน” นำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ผ่านทฤษฎีต้นไม้ของ อ.เมืองพิษณุโลก โดยใช้หลักการทรงงาน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ตามภูมิสังคม โดยเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดแต่สำคัญที่สุด คือ “การพัฒนาคน” ด้วยการปลุกพลังความคิดเพื่อช่วยทำให้เกิดการ Change for Good ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ ระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค ศักยภาพ และโอกาสการพัฒนาตามภูมิสังคม รวมถึงการให้องค์ความรู้โดยน้อมนำศาสตร์พระราชา ทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา และการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ( BCG ) มาต่อยอดโครงการ เพื่อเปลี่ยนเมืองพิษณุโลกให้เป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยขยายผล “ส้มซ่าโมเดล” ไปยังทุกหมู่บ้าน/ตำบล มีทีมอำเภอนำร่องฯ ภาคีเครือข่าย เป็นพี่เลี้ยงและมีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เป็นกลไกหลักในการพัฒนาให้เกิดผล
นายอำเภอเมืองพิษณุโลก ได้นำเสนอการขับเคลื่อนโครงการ 3 ป. สู่ความพอเพียง อย่างน่าสนใจ โดยสรุปว่า “ทีมอำเภอนำร่องฯ ได้สร้างผู้นำในระดับพื้นที่ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. ส่วนราชการ และภาคีอื่นๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะ “ผู้นำทำก่อน” ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อน โดยอบรมเชิงปฏิบัติการ “สร้างนักขับเคลื่อนระดับตำบล (D-CAST)” จำนวน 3 รุ่น ๆ ละ 100 คน รวม 300 คน เป็นกลไกขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ และจัดเวทีประชาคมรับฟังความคิดเห็นและสร้างการรับรู้ในระดับตำบล ตำบลละ 100 คน รวม 2,000 คน และนำกิจกรรมปรับวิถีชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียงผ่าน 6 กิจกรรม คือ 1) น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร “บ้าน” โดยใช้ครัวเรือนต้นแบบ 19 ตำบล 173 หมู่บ้าน ๆ ละ 20 ครัวเรือน รวม 3,460 ครัวเรือน “วัด” ตำบลละ 1 วัด รวม 19 แห่ง “โรงเรียน” ตำบลละ 1 แห่ง รวม 19 แห่ง ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านมีการปลูกพืชผัก ผลไม้ สมุนไพร อย่างน้อย 15 ชนิด ไว้บริโภคเพื่อลดรายจ่ายหลายแสนบาทและจำหน่ายสร้างรายได้เพิ่มเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเวลา 3 เดือนจำนวนกว่า 3 ล้านบาท มีการจัดทำบัญชีครัวเรือน ทำให้ทราบผลการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้มากขึ้น และยังมีการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนหมู่บ้านละ 20 ครัวเรือน และขยายผลครบทุกครัวเรือน ควบคู่กับ 1 ตำบล 1 ถนนกินได้ เป็นแหล่งอาหารชุมชนสร้างความมั่นคงทางอาหารอีก 19 แห่ง ในระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร 2) ทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ผ่านกิจกรรมหว่านวันแม่ เกี่ยววันพ่อ ห้องเรียนหัวคันนา ครูพาทำ สร้างฐานสอนลูกดำนา ส.ว. เอามื้อสามัคคี ทำให้ยกระดับ บริหารพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้สู่ประชาชนได้ 3) ชุมชนสวัสดิการสร้างงาน สร้างรายได้ โดยนำกลุ่มเป้าหมายใน TPMAP และ ThaiQM จำนวน 370 ครัวเรือน มาอบรมให้ความรู้ สร้างงาน สร้างอาชีพ อบรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในชุมชน เช่น ลูกประคบสมุนไพร ยาดม มีการทำกองทุนสวัสดิการเป็นรายได้เพื่อปันน้ำใจช่วยเหลือสังคม และไปพัฒนากลุ่มเปราะบางและผู้ประสบปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ 4) ธนาคารพันธุกรรมพืชสร้างเครือข่าย โดยสามารถจัดตั้งธนาคารพันธุกรรมพืชในทุกตำบล และแหล่งรวบรวมอนุรักษ์ใช้ประโยชน์จากพันธุ์พืช สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน 5) ตลาดประชารัฐ โดยจัดตลาดหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) เชื่อมโยงกิจกรรม “ชินะราชา เบิกฟ้าเสริมบุญ ตักบาตรรับอรุณ หน้าวิหารเสริมพลังศรัทธา @ เมืองสองแคว” ทุกเช้าวันเสาร์ ตั้งแต่ 5:00 - 10:00 น โดยนำผลผลิตจากกิจกรรมบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง โคก หนอง นา ชุมชนสวัสดิการ และพื้นที่การเรียนรู้ชุมชนพัฒนา มาจำหน่ายสร้างรายได้ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวนกว่า 50,000 บาทต่อครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ขยายผลตลาดวัฒนธรรมตลาดชุมชนประจำหมู่บ้าน/ตำบลให้เป็นแหล่งจำหน่ายผลผลิตสร้างรายได้ และ 6) พื้นที่การเรียนรู้ชุมชน เป็นแปลงสาธิตต้นแบบบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง แหล่งขยายพันธุ์ข้าวหลากสี ข้าวพันธุ์พื้นถิ่นกว่า 50 สายพันธุ์ เป็นที่เก็บเกี่ยว/จำหน่ายผลผลิต เป็นตลาดประชารัฐ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และส่งเสริมขยายพื้นที่ต้นแบบให้มีมากขึ้น”
จากนั้น ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ได้นำเสนอความก้าวหน้าการขับเคลื่อน ได้แก่ 1. โครงการถนนกินได้ ถนนแห่งความสามัคคี ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวตลอดแนวถนน 800 เมตร เพื่อให้เป็นถนนแห่งความสามัคคี เป็นถนนกินได้ 2. ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตำบลไผ่ขอดอน ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงหมูป่า โดยเอามูลหมูทำปุ๋ยบำรุงดิน เลี้ยงกบ ปลาเลี้ยงไก่ เพาะเห็ด พร้อมนำจุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย 3. โคก หนอง นา สาธิตฐานเรียนรู้ โดยมีหลุมพอเพียง ทำให้เราได้พืชผักสวนครัวไว้กินตลอดทั้งปี มีพืชประธานไว้กลางหลุม พืชเลี้ยงไว้บังแดด เพื่อลดและประหยัดการใช้น้ำ และทำแซนวิชปลา ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ 4. บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง ไม่ใช้สารเคมี แบ่งปันกันกิน พอเหลือกินก็จะขาย 5. วิชชาลัยชาวนา มีแปลงผัก 28 ชนิด บ่อปลา แปลงสาธิตนาข้าวกว่า 50 สายพันธุ์ โดยความร่วมมือกับคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 6. สวนแปลงผักเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกผักขั้นบันไดเพื่อชะลอน้ำมาหล่อเลี้ยงพืชผักสวนครัว ขั้นที่ 1 ถั่วฝักยาว ขั้นที่ 2 พริก ขั้นที่ 3 มะเขือแป้น มะเขือยาว มะเขือเปราะ ขั้นที่ 4 กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผลผลิตทุกอย่างไม่ขาย แต่จะให้ลูกบ้านนำไปแจกจ่ายให้กับคนยากไร้ เด็กนักเรียน และวัด 7. กิจกรรมบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง เอื้อต่อวิถีชีวิตสู่เศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชผักสวนครัว ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ และ 8. ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง การบริการจัดการน้ำ การป้องกันการพังทลายหน้าดินด้วยการปลูกหญ้าแฝก สาธิตการปลูกนาข้าวในรูปแบบนาโยน และปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกผักในกระถาง ในยางรถยนต์ และจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน
น.ส.วรัญญา หอมธูป และ อ.ศรัณย์พร เกิดเกาะ กล่าวว่า ทีม อ.เมืองพิษณุโลก มุ่งพัฒนาโดยยึด “คน” เป็นฐาน สิ่งที่เป็นกลยุทธ์ที่แยบยลที่สุด คือ “การสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและการลุกขึ้นมาเข้าใจในสิ่งที่เป็นหลักการ” ให้รู้ว่าการพัฒนาพื้นที่และการพัฒนาคนให้มีความสุขที่แท้จริง มีกระบวนการ คือ “ความพอเพียงที่จะทำให้เกิดความพอดี” และแม้ว่าโครงการอำเภอนำร่องฯ จะหมดไป แต่กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้จะถูกสานต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความเข้าใจของคน เพราะคนเป็นองค์ความรู้ที่ยั่งยืนที่สุด เมื่อเขาเรียนรู้แล้วก็จะบอกต่อความรู้ไปยังคนอื่น ๆ จนกลายเป็นวิถีชีวิต และส่งต่อจากคนสู่คน ทำให้เกิดผลสำเร็จมากที่สุด และเกิดความสุขมวลรวมชุมชน (Gross Village Happiness : GVH ) โดยเติมเต็มด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะคน เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ให้ดีขึ้น
“ความสำเร็จของเมืองพิษณุโลกอยู่ในใจพวกเราทุกคนแล้ว และนายอำเภอเมืองพิษณุโลกเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างของนายกรัฐมนตรีของอำเภอที่นั่งอยู่ในหัวใจประชาชน ครองตน ครองคน ครองงาน เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอให้นายอำเภอ และชาวมหาดไทยทุกคนได้ยึดเป็นแบบอย่าง และนำแนวทางปฏิบัติมาประยุกต์ในการทำงานเพื่อพัฒนาคนในระดับพื้นที่ อันจะเป็นการสร้างสิ่งที่ดีงาม Change for Good บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชน เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนปรากฏเป็นรูปธรรมตลอดไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62961 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รมช.ประภัตร ลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร
รมช.ประภัตรลงพื้นที่จ.สุพรรณบุรีเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรพร้อมชี้แจง”โครงการสานฝันสร้างอาชีพยกระดับรายได้เกษตรกร”
รมช.ประภัตรลงพื้นที่จ.สุพรรณบุรีเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรพร้อมชี้แจง”โครงการสานฝันสร้างอาชีพยกระดับรายได้เกษตรกร”
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่รับฟังปัญหาการแก้ไขน้ำท่วมขังในทุ่งโพธิ์พระยาและแม่น้ำท่าจีน พร้อมชี้แจง“โครงการสานฝันสร้างอาชีพยกระดับรายได้เกษตรกร” โดยมีดร.ทวีศักดิ์ธนเดโชพลรองอธิบดีกรมชลประทาน นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ วัดบางสาม ต.บางตะเคียน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรีว่าจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ยังคงมีน้ำท่วมขังบางจุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทานได้รับฟังปัญหาที่พี่น้องเกษตรได้รับความเดือดร้อนพร้อมแก้ไขดำเนินการโดยการเร่งสูบน้ำออกทางแม่น้ำท่าจีนอย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านต่างๆและให้พี่น้องเกษตรกรได้กลับมาประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยเร็ว
ทั้งนี้ยังได้ชี้เแจง”โครงการสานฝันสร้างอาชีพและยกระดับรายได้เกษตรกร” ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะส่งเสริมสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรรายย่อยโดยใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้ภายใต้หลักการ 3 คนร่วมมือ 1 คนกู้ 2 คนค้ำหนี้เสียสามารถกู้ได้เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาทวงเงินกู้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีระยะเวลาปล่อยเงินกู้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2567 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรได้มีเงินทุนในการสร้างงานสร้างอาชีพหรือการประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตรที่มีลักษณะเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้เพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือนซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนักและต้องไม่เป็นการประกอบอาชีพในลักษณะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือผิดกฎหมายด้วยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส.สาขาใกล้บ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62950 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชูผู้เสียสละเพื่อสังคม ช่วยสืบสาน รักษา ต่อยอดศิลปะวัฒนธรรมไทย ด้านเชฟชุมพลเตรียมปั้นพี่ชายผู้เสียสละเป็นเชฟมืออาชีพเงินเดือนหลักแสน | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รมว.พม. ชูผู้เสียสละเพื่อสังคม ช่วยสืบสาน รักษา ต่อยอดศิลปะวัฒนธรรมไทย ด้านเชฟชุมพลเตรียมปั้นพี่ชายผู้เสียสละเป็นเชฟมืออาชีพเงินเดือนหลักแสน
รมว.พม. ชูผู้เสียสละเพื่อสังคม ช่วยสืบสาน รักษา ต่อยอดศิลปะวัฒนธรรมไทย ด้านเชฟชุมพลเตรียมปั้นพี่ชายผู้เสียสละเป็นเชฟมืออาชีพเงินเดือนหลักแสน
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 65เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม จำนวน 9 รางวัล เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนและสังคมสำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำความดี ด้วยการช่วยเหลือและสร้างกำลังใจให้กับประชาชนทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากปัญหาสังคม อีกทั้งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เป็นเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งกระทรวง พม. ไม่อาจดำเนินงานเพียงหน่วยงานเดียวได้สำเร็จ จำเป็นที่ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมทั้งประชาชน ทั้งนี้ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งและเสริมพลังการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนและสังคมสำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำความดี โดยไม่หวังผลประโยชน์ มีความเสียสละ มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ กระทรวง พม. จึงได้มอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม จำนวน 9 รางวัล สำหรับภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม.
วันนี้ เชฟชุมพล แจ้งไพร บุคคลตัวอย่างผู้สร้าง Soft Power ด้วยอาหารไทย มารับรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม พร้อมกับนายนัทธพงษ์ ชนะพล พี่ชายผู้เสียสละ ยอมหยุดเรียนเพื่อทำงานส่งน้องสาวเรียนจบเป็นบัณฑิต และโพสต์คลิปผ่าน TikTok โดยเชฟชุมพลได้ชักชวนให้นายนัทธพงษ์มาสมัครเรียนเป็นลูกศิษย์ในหลักสูตร สร้างเชฟอาหารไทยมืออาชีพ by พม. โดยจะผลักดันให้มีเงินเดือนเป็นแสนให้ได้
นอกจากนี้ มีผู้รับรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม อีก 7 ท่าน ได้แก่ 1) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ทวงคืนวิชาประวัติศาสตร์ 2) นายเลิศกรุ๊ป ผู้จัดและตกแต่งอาหารสำหรับผู้นำเอเปค 2022 พร้อม Butler 3) ทีมเเกะสลักผักผลไม้ (โชติเวช) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ในเอเปค 2022 4) หุ่นละครเล็ก โจหลุยส์ ศิลปวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก 5) โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ และโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน "นวดแผนไทย" ศิลปะที่งดงามที่ถูกส่งต่อจากมรดกไทยสู่มรดกโลก 6) พระมหาบวร ปวรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดบุญนารอบ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระผู้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ป่วยติดเตียง โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม บ-ว-ร และ 7) นางสงบ ควรคนอง แม่บ้านวัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เก็บกระเป๋าเงินนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสและส่งคืนเจ้าของได้ทันเวลาก่อนกลับประเทศ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการวันนี้ทำขึ้นเพื่อมอบให้ผู้เสียสละเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นเรื่องการสืบสาน รักษา ต่อยอด ความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่มีศิลปะวัฒนธรรมอันยาวนานและวิถีชีวิตเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทำให้ผู้คนยอมรับทั่วโลก โดยเราจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางวัฒนธรรมและอาหาร อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายอย่างมาก ซึ่งเราจะใช้เรื่องนี้ ทำให้คนทั่วโลกอยากมาเยือน ใช้ชีวิตหลังเกษียณ และทำงาน ดังนั้น ขอขอบคุณผู้เสียสละเพื่อสังคมในวันนี้ ที่ทำหน้าสืบสาน รักษา และต่อยอดวัฒนธรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ และอยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาไว้ อีกทั้งขอให้ผู้เสียสละเพื่อสังคมช่วยกันรักษาความดี ความซื่อสัตย์ และวัฒนธรรมไทยไว้ รวมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ และเผยแพร่ให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62928 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ร่วมส่งความสุขปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
กรมธนารักษ์ร่วมส่งความสุขปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี
กรมธนารักษ์ร่วมส่งความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ กับโครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 15 มกราคม 2566
กรมธนารักษ์ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้แก่ประชาชน โดยร่วมส่งความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ กับโครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 15 มกราคม 2566
วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ โดยกองส่งเสริมและพัฒนาทรัพย์สินมีค่าของรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลพิพิธภัณฑ์กรมธนารักษ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จัดทำโครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้แก่ประชาชน และยังเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภารกิจของกรมธนารักษ์ พิพิธภัณฑ์กรมธนารักษ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย
นายจำเริญกล่าวต่อว่า โครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ในครั้งนี้ จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ได้แก่
• พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0 2282 0818
• พิพิธบางลำพู ถนนพระสุเมรุ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0 2281 9828
นอกจากนี้ ในส่วนภูมิภาคยังมีพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ในกำกับ 3 แห่ง ได้แก่
• พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0 5322 4237
• พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น ถนนศรีจันทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดขอนแก่น โทร. 09 3124 6914
• พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดสงขลา ถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา โทร. 0 7430 7071
ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์เงินตรา วิวัฒนาการของเหรียญในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์กรมธนารักษ์ทั้ง 5 แห่ง ดังกล่าว จะเปิดให้เข้าชมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2565 – 15 มกราคม 2566 โดยเปิดให้บริการวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น. วันเสาร์ – วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. (ยกเว้นพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดสงขลา ปิดให้บริการวันเสาร์ – วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 กรมธนารักษ์ขอส่งความสุขให้ประชาชนไทยกับของขวัญปีใหม่ที่จะให้ประชาชนเพลิดเพลินกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งได้รับสาระความรู้เกี่ยวกับเงินตรา และวิวัฒนาการของเหรียญ และวัฒนธรรมท้องถิ่นในครั้งนี้อีกด้วย อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62958 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดีอีเอส ประชุมการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ 2565 | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
รองปลัดกระทรวงดีอีเอส ประชุมการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ 2565
รองปลัดกระทรวงดีอีเอส ประชุมการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ 2565
วันนี้(21ธันวาคม65)ดร.เวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เข้าร่วมการประชุมหารือกับผู้แทนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและผู้แทนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเรื่องการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์2565ณห้องประชุม801ชั้น8สป.ดศ.
___________________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เปิดตัวเมนูใหม่ ช่วยสมาชิกวางแผนการเงิน พร้อมปรับโฉมแอปฯ ครั้งใหญ่ เพิ่มประสิทธิมากขึ้น | วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
21/12/2565
กบข. เปิดตัวเมนูใหม่ ช่วยสมาชิกวางแผนการเงิน พร้อมปรับโฉมแอปฯ ครั้งใหญ่ เพิ่มประสิทธิมากขึ้น
กบข. เปิดตัวเมนูใหม่ My GPF & My GPF Twins เพื่อช่วยให้สมาชิกวางแผนการเงินเพื่อวันเกษียณได้อย่างแม่นยำมากขึ้น พร้อมปรับโฉมแอปพลิเคชันครั้งใหญ่ หวังเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการ
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้พัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึงและตรงกับความต้องการของสมาชิกให้ได้มากที่สุด ซึ่งล่าสุด กบข. ได้เพิ่มประสิทธิภาพแอป กบข. My GPF Application โดยได้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI) เข้ามาช่วยประมวลผลให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นในเมนูใหม่ “My GPF & My GPF Twins” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้สมาชิกวางแผนเพื่อการเกษียณได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดย My GPF & My GPF Twins เป็นตัวช่วยให้สมาชิกได้เปรียบเทียบประมาณการเงิน กบข. ที่คาดว่าจะได้รับเมื่อเกษียณอายุราชการ ผ่านแบบจำลองการเงินใน 3 รูปแบบ คือ 1. การประมาณเงิน กบข. โดยอ้างอิงข้อมูลปัจจุบันของสมาชิก ทั้งข้อมูลเงินสะสม อัตราเงินเดือน อัตราออมเพิ่ม และแผนการลงทุนในปัจจุบัน 2. My Twin 1 แบบจำลองให้สมาชิกสามารถทดลองปรับอัตราออมเพิ่ม และเลือกเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ตามต้องการ และ 3. My Twin 2 แบบจำลองที่ กบข. ออกแบบทางเลือกที่มีโอกาสจะได้ประมาณการเงิน กบข. ตามที่สมาชิกตั้งเป้าหมายไว้ ภายใต้ความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้ ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบจะมีการแสดงผลเปรียบเทียบยอดเงิน กบข. ควบคู่ไปกับเป้าหมายที่สมาชิกตั้งไว้ ภายใต้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 2.5% ต่อปี ในรูปแบบ Dashboard เพื่อให้สมาชิกเห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ดร.ศรีกัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า My GPF & My GPF Twins จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้สมาชิกเห็นความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อวันเกษียณมากขึ้น โดยหลังจากระบบประมวลผลรูปแบบจำลองการเงินของสมาชิกเรียบร้อยแล้ว จะมีการนำข้อมูลไปจัดอันดับเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยยอดเงินของกลุ่มเพื่อนสมาชิกที่มีอัตราเงินเดือนและการเกษียณอายุราชการในช่วงเดียวกันด้วย ซึ่ง กบข. จะมีการทบทวนตัวแปรที่นำมาคำนวณทุก ๆ 3-5 ปี เพื่อให้เครื่องมือนี้มีความแม่นยำเป็นปัจจุบันมากที่สุด
นอกจากนี้ กบข. ยังได้ปรับรูปแบบแอป กบข. เพื่อให้มีการใช้งานง่ายยิ่งขึ้น และได้เพิ่มเติมเมนูใหม่ “ข้อมูลการลงทุน” เพื่อให้สมาชิกสามารถสืบค้นข้อมูลการลงทุนได้ครบภายในแอป กบข. ที่มีข้อมูลมูลค่ากองทุนส่วนสมาชิก สัดส่วนการลงทุน กบข. รวมไปถึงหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของแผนการลงทุน ซึ่งสมาชิกสามารถอัปเดตแอป กบข. ในรูปโฉมใหม่ และทดลองใช้เมนู My GPF & My GPF Twins ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร. 1179 Facebook กบข. หรือ LINE กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62930 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.