title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) สรุปภาพรวมปี 2565 ปริมาณเที่ยวบินรวม 520,367 เที่ยวบิน
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) สรุปภาพรวมปี 2565 ปริมาณเที่ยวบินรวม 520,367 เที่ยวบิน และคาดว่าในปี 2566 จะมีเที่ยวบินรวม 858,387 เที่ยวบิน หรือ เฉลี่ย 2,352 เที่ยวบิน ต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 65% ดร. ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด(บวท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตั้งแต่ที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและปริมาณเที่ยวบินค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ในเดือนตุลาคม ปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 1,637 เที่ยวบินต่อวัน เดือนพฤศจิกายน ปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 1,806 เที่ยวบิน ต่อวัน ในเดือนธันวาคม ปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 1,800 เที่ยวบินต่อวัน ในขณะที่ภาพรวมตลอดทั้งปี 2565 มีเที่ยวบินรวม 520,367 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ถึง 79% ซึ่งมีปริมาณเที่ยวบินรวม 291,397 เที่ยวบิน ดร. ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการขนส่งทางอากาศทั้งในส่วนของการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้ามีแนวโน้มที่ดี ด้วยปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ค่อยๆ ฟื้นตัว รวมทั้งการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ทำให้ปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งช่วงปลายปีมีวันหยุดต่อเนื่องและเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก สำหรับในปี 2566 คาดการณ์ว่า จะมีเที่ยวบิน รวม 858,387 เที่ยวบิน หรือ เฉลี่ย 2,352 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 65% จากปี 2565 ปัจจัยที่จะส่งผลให้เที่ยวบินมีปริมาณเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเดินทางภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลาง ส่วนกลุ่มประเทศอื่นจะเริ่มทยอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งในปี 2566 สัดส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ นโยบายเปิดประเทศของจีนจะส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ วิทยุการบินฯ ได้เตรียมมาตรการต่างๆ รวมทั้งเตรียมความพร้อมด้านอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นด้วยความปลอดภัยอย่างเต็มประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ 2 สมาคม เดินเครื่องอัพสกิลกำลังคนป้อนอุตฯ ท่องเที่ยวและบริการ
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565 20/12/2565 ก.แรงงาน จับมือ 2 สมาคม เดินเครื่องอัพสกิลกำลังคนป้อนอุตฯ ท่องเที่ยวและบริการ ก.แรงงาน จับมือ 2 สมาคม เดินเครื่องอัพสกิลกำลังคนป้อนอุตฯ ท่องเที่ยวและบริการ วันที่ 20 ธันวาคม 2565นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับคุณจารุวรรณ งามพิสุทธิ์ไพศาล ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพยากรบุคคลสมาคมผู้ค้าปลีกไทยพร้อมด้วยคุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทยและคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือแนวทางความร่วมมือการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โดยมี ผู้แทนกรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เข้าร่วมหารือด้วย ณ ห้องประชุมปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบกล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่ผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวและบริการประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 คลี่คลายลง ทำให้ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวตามการกลับมาของนักท่องเที่ยว ประกอบกับภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การจ้างงานเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องการแรงงานสูงนั้น ในวันนี้กระทรวงแรงงานจึงได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการทั้งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยและสมาคมโรงแรมไทย เพื่อบูรณาการความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานและยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ นายบุญชอบกล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ปัจจุบันกรมการจัดหางานไทยได้พัฒนาแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ซึ่งรวบรวมตำแหน่งงานว่างจากทั่วประเทศไว้มากที่สุด คนหางานสามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตนเอง โดย Matching ตำแหน่งงานตามพื้นที่ และภูมิลำเนา รวมถึงจับคู่ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังมีการให้บริการประกาศรับสมัครงานสำหรับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยการลงทะเบียนนายจ้าง เพื่อประกาศตำแหน่งงาน และคัดลอกรายชื่อผู้หางาน ซึ่งทั้งหมดนี้ให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังดำเนินการฝึกทักษะฝืมือเพื่อการประกอบอาชีพรองรับการขยายตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ อาทิ หลักสูตรผู้ประกอบการอาหารไทย ผู้ประกอบอาหารฮาลาล นวดไทยและสปา พนักงานผสมเครื่องดื่ม บาเทนเดอร์ พนักงานดูแลเรือ ช่างซ่อมบำรุง คนขับรถ เน้นฝึกสาขาที่เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวเป็นหลัก อาทิ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง กระบี่ เชียงใหม่ เชียงราย และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น ด้านคุณจารุวรรณ งามพิสุทธิ์ไพศาล ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพยากรบุคคลสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวและบริการกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในเชิงปริมาณโดยเฉพาะจังหวัดเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต ซึ่งจากการหารือในวันนี้ได้มีแนวทางร่วมกันในการพัฒนาระบบแพลตฟอร์มไทยมีงานทำให้สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และสถานประกอบการอื่นๆ ส่วนในเชิงคุณภาพโดยเฉพาะทักษะฝีมือของแรงงานนั้น จะได้ร่วมมือกันในการ Up Skill ด้านดิจิทัล ภาษา และ Soft Skill ที่มีความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการทำงานมีการปรับเปลี่ยนไปแรงงานหนึ่งคนสามารถทำได้หลายอาชีพและทำงานได้หลากหลายมากขึ้น ขณะที่คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมและภาคบริการได้ให้ความสำคัญกับการจ้างแรงงานที่เป็นคนไทยอยู่แล้วและปัจจุบันก็ยังมีความต้องการจ้างแรงงานไทยอยู่ มีเพียงบางสาขาอาชีพเท่านั้นที่ต้องพึ่งพิงแรงงานต่างด้าว การได้มาหารือกับกระทรวงแรงงานในวันนี้ได้มีความเห็นที่จะร่วมกันพัฒนาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลนักศึกษาจบใหม่กับฐานข้อมูลการมีงานทำเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ส่วนการพัฒนายกระดับทักษะต่างๆ ของแรงงานภาคบริการในประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหลายอาชีพในภาคธุรกิจโรงแรมจำเป็นต้องเรียนรู้และฝึกฝนทักษะทั้งในเรื่องภาษา ดิจิทัลเทคโนโลยี การตลาด การบริหารรายได้ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่การหารือในครั้งนี้จะนำไปสู่การทำงานร่วมกัน ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยและสมาคมโรงแรมไทยยินดีที่จะผนึกกำลังโดยใช้กลไกของรัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันต่อไป ———————————————— กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 20 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลสำรวจ รพ.สต. ที่ถ่ายโอน พบบุคลากรรู้สึกผิดหวัง และเริ่มพบผลกระทบการให้บริการประชาชน
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 สธ. เผยผลสำรวจ รพ.สต. ที่ถ่ายโอน พบบุคลากรรู้สึกผิดหวัง และเริ่มพบผลกระทบการให้บริการประชาชน กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรผู้ให้บริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนแล้ว พบส่วนใหญ่ต้องปรับตัว และต้องการให้มีกำลังคนและทรัพยากรเพิ่มขึ้น ส่วนค่าตอบแทนที่ได้รับหลังการถ่ายโอนและการบริการจัดการของหน่วยงาน กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรผู้ให้บริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนแล้ว พบส่วนใหญ่ต้องปรับตัว และต้องการให้มีกำลังคนและทรัพยากรเพิ่มขึ้นส่วนค่าตอบแทนที่ได้รับหลังการถ่ายโอนและการบริการจัดการของหน่วยงานใหม่ พบร้อยละ 30 เริ่มผิดหวังที่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ และเริ่มพบผลกระทบการให้บริการประชาชน นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานMIU (คณะอนุกรรมการฯ ด้านวิชาการและติดตามประเมินผล) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นมา HITAP และทีมวิจัย MIU พบว่า กระทรวงสาธารณสุขมีการถ่ายโอน สอน./ รพ.สต. ให้กับ อบจ. ไปแล้ว 3,263 แห่ง ใน 49 จังหวัด คณะอนุกรรมการฯ จึงได้สำรวจความเห็นของผู้ให้บริการใน สอน./รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไปในประเด็นความเพียงพอของกำลังคน ทรัพยากร รวมถึงการสื่อสาร การประสานงาน ความสุขในการทำงาน และความคาดหวังในอนาคต เพื่อให้ทราบจุดแข็ง ปัญหา/อุปสรรค และความต้องการการสนับสนุน เพื่อนำไปพัฒนานโยบายให้มีประสิทธิผลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยทำการสำรวจช่วงเดือน ธันวาคม 2565 – มกราคม 2566 นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นบุคลากร ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2565 ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุข และอื่นๆ จำนวน 780 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ พบว่า ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ยังต้องมีการปรับตัวหลังการถ่ายโอนสังกัด และต้องการให้สนับสนุนกำลังคนและทรัพยากรเพิ่มขึ้น ส่วนประเด็นด้านค่าตอบแทนที่ได้รับหลังการถ่ายโอน พบผู้ให้บริการร้อยละ 30 เริ่มรู้สึกผิดหวังที่ค่าตอบแทนและการบริหารจัดการของหน่วยงานต้นสังกัดใหม่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สำหรับประเด็นด้านการประสานงานกับหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ 33.76 ระบุ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี พบเพียงร้อยละ 35.6 ระบุ สามารถเสนอข้อคิดเห็นหรือตั้งคำถามต่อการตัดสินใจ และพบบุคลากรไม่ถึงครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 44.67) ที่ยังมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน นอกจากนี้ พบว่ามีผู้ที่ต้องการให้หน่วยงานย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ถึงร้อยละ 28.46 เนื่องจากไม่ชินกับระบบใหม่ มีรายละเอียดการทำงานมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์ลดลง รวมถึงมีขั้นตอนการจัดสรรและการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีความยุ่งยากซับซ้อน สำหรับการสำรวจประชาชนผู้รับบริการ จากการลงพื้นที่ศึกษา พบผลกระทบการให้บริการประชาชน เช่น ต้องให้ผู้ป่วยเดินทางไปทำแผลที่โรงพยาบาลชุมชน จากเดิมรับบริการได้ที่ รพ.สต., มีปัญหาการให้บริการด้านทันตกรรม ซึ่งเกิดจากการขาดบุคลากร, ขาดการลงพื้นที่ชุมชนเพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยพบว่าการบริการในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังดำเนินการได้เป็นเพราะหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุขระดับพื้นที่ให้การสนับสนุนภารกิจที่มีการถ่ายโอนไปแล้วแก่ รพ.สต. อย่างไรก็ตาม อบจ. และ รพ.สต. ที่รับการถ่ายโอนต้องเร่งพัฒนาระบบการบริหารจัดการ จัดทำแผน จัดหาทรัพยากรเพิ่มเติม โดยเฉพาะกำลังคน รวมถึงกลไกการทำงานที่มีประสิทธิภาพทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ มีกำหนดเวลาเก็บข้อมูลถึงต้นเดือนมกราคม 2566 ผลสรุปการวิเคราะห์จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจในอนาคต ดังนั้น จะมีการวิเคราะห์เชิงลึกเมื่อได้ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น เปรียบเทียบความเห็นตามลักษณะงานและสภาพการจ้างงาน รวมทั้งจำแนกผลการสำรวจตามเขตพื้นที่ เป็นต้น และจะใช้ประกอบกับข้อมูลประเมินผลการกระจายอำนาจอื่นๆ ซึ่งการศึกษาทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกิดข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การบริหารจัดการ ให้เกิดการถ่ายโอนอำนาจด้านการจัดบริการสาธารณสุขที่ดีต่อไปในอนาคต *********************************** 21 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์"เดินหน้าอบรมผู้ไกล่เกลี่ย หลังมีผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 3,521 คน ปี 65 ช่วยได้ 50,000 คดีลดค่าใช้จ่าย 6,423 ล้านบาท เผยใช้ประสบการณ์การเมืองกว่า 40 ปี
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 21/12/2565 "สมศักดิ์"เดินหน้าอบรมผู้ไกล่เกลี่ย หลังมีผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 3,521 คน ปี 65 ช่วยได้ 50,000 คดีลดค่าใช้จ่าย 6,423 ล้านบาท เผยใช้ประสบการณ์การเมืองกว่า 40 ปี "สมศักดิ์"เดินหน้าอบรมผู้ไกล่เกลี่ย หลังมีผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 3,521 คน ปี 65 ช่วยได้ 50,000 คดีลดค่าใช้จ่าย 6,423 ล้านบาท เผยใช้ประสบการณ์การเมืองกว่า 40 ปีมาประยุกต์จนเข้าถึงใจชาวบ้าน ขอบคุณทุกคนร่วมอุดมการณ์เดียวกันช่วยสังคม นำร่องจนกระทรวงอื่นทำตาม เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2565 เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิด การฝึกอบรมหลักสูตรการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รุ่นที่ 45 ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์ ไปยัง จ.กาญจนบุรี โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผอ.สำนักงานยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี วิทยากร และผู้เข้าอบรม 50 คนจาก 17 จังหวัด เข้าร่วมงาน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่ทุกท่านเข้าฝึกอบรมในวันนี้ เพราะระบบราชการที่จะมีอาสาสมัครดำเนินการในพื้นที่แต่ละจังหวัด ถือเป็นการแปรรูประบบราชการให้มีความสะดวกรวดเร็วเหมือนเอกชนมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ศาลมีคดีความอยู่มากมาย หากต้องรับทุกเรื่อง เราจะต้องมีผู้พิพากษาและข้าราชการเท่าไรจึงจะเพียงพอ ซึ่งการที่มีพวกท่านเข้ามาเป็นอาสาสมัคร ทำให้ประหยัดงบประมาณ เข้าถึงประชาชนด้วยกัน โดยที่ผ่านมาช่วยไปแล้วประมาณ 1 แสนครอบครัว ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากถึง 23,529 ล้านบาท ซึ่งในระบบการทำงานราชการ หากเราไม่ลองอะไรใหม่ๆ ไม่รู้ในสิ่งที่ต้องทำหรือเข้าไม่ถึง ก็ทำงานช่วยประชาชนไม่ได้ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทุกท่านที่ผ่านการอบรมวันนี้จะได้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย วันนี้มีผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว 3,521 คน มีศูนย์ไกล่เกลี่ยทั่วประเทศ 1,155 ศูนย์ โดยภาพรวมของปี 2565 สามารถลดคดีที่จะขึ้นสู่ศาลได้ 50,000 คดี ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีได้ 6,423 ล้านบาท และในขณะนี้เรากำลังพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวก แต่วันนี้ทุกท่านต้องทำในระบบปกติให้เกิดความชำนาญก่อน นอกจากนี้เรายังมีกองทุนยุติธรรม ที่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและจัดหาทนายให้ รวมถึงการจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่เสียหายจากคดีอาญา ที่ตนอยากให้ทุกท่านทราบในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อนำไปช่วยแจ้งให้กับชาวบ้าน "การมีผู้ไกล่เกลี่ย ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบ ผมเห็นทุกท่านในที่นี้ก็น่าจะมีความสนใจในเรื่องของการเมือง ผมเป็น ส.ส.มา 40 ปี เป็นรัฐมนตรีมา 14 ครั้ง ผมเข้าใจและเข้าถึงประชาชน โดยได้ประยุกต์งานที่เคยผ่านมา นำมาช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่างๆ เช่น การจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินทั่วประเทศ ทำให้วันนี้หลายกระทรวงได้จัดงานไกล่เกลี่ยเหมือนที่เราได้ทำ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีเราเป็นหน่วยงานนำร่องให้กับกระทรวงต่างๆ ซึ่งผมขอขอบขอบคุณทุกท่านที่มาเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันในการช่วยเหลือชาวบ้าน ให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้น" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์มอบของขวัญปีใหม่ ปี 66 สินเชื่ออัตรากำไรต่ำพิเศษ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 21/12/2565 ไอแบงก์มอบของขวัญปีใหม่ ปี 66 สินเชื่ออัตรากำไรต่ำพิเศษ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี ไอแบงก์จัดแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องมุสลิมและคนไทยทุกคนที่ต้องการขอสินเชื่อเพื่อ ซื้อ สร้าง ต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์บ้าน รวมถึงสินเชื่ออเนกประสงค์ คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 35 ปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) จัดแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องมุสลิมและคนไทยทุกคน ที่ต้องการขอสินเชื่อเพื่อ ซื้อ สร้าง ต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์บ้าน รวมถึงสินเชื่ออเนกประสงค์ คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 35 ปี พร้อมฟรีค่าประเมินและค่านิติกรรมสัญญา และรับของขวัญที่ระลึกจากธนาคาร แคมเปญของขวัญปีใหม่นี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือต้องการเปลี่ยนบ้านมาเป็นเงินสดเสริมสภาพคล่องหรือใช้จ่ายตามความจำเป็น หรือรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลจากสถาบันการเงินอื่นมายังไอแบงก์ และสำหรับลูกค้ารายเดิมที่ปัจจุบันมีสินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัย/สินเชื่อบุคคลแบบมีหลักประกันกับธนาคาร และต้องการวงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน หรือรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อสินเชื่อบุคคล โดยแต่ละโครงการสินเชื่อที่เข้าร่วมแคมเปญมีรายละเอียดวงเงินสูงสุดและระยเวลาผ่อนชำระสูงสุดดังนี้ ชื่อโครงการ วงเงินสูงสุด ระยะเวลาผ่อนชำระ โครงการสินเชื่อรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัย 20 ล้านบาท 35 ปี โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 20 ล้านบาท 35 ปี โครงการสินเชื่อ Pre-Post Finance 20 ล้านบาท 35 ปี โครงการสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน Developer 20 ล้านบาท 35 ปี โครงการสินเชื่อบ้านชายแดนใต้ 5 ล้านบาท 35 ปี โครงการสินเชื่อบ้านแลกเงิน 5 ล้านบาท 20 ปี โครงการสินเชื่อ Top Up 3 ล้านบาท 20 ปี โดยทุกโครงการในแคมเปญของขวัญปีใหม่นี้ คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี (SPRL – 5.41% ปัจจุบัน SPRL = 7.4% ต่อปี) นาน 6 เดือน พร้อมฟรีค่าประเมินหลักประกันเต็มจำนวน (โดยให้ลูกค้าสำรองจ่ายก่อนและขอชดเชยหลังจากที่มีการเบิกใช้ กรณีโครงการ Pre-Post Finance ลูกค้าไม่ต้องสำรองจ่ายเนื่องจากธนาคารเป็นผู้สนับสนุนการประเมินแล้ว) และฟรีค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญาอีกด้วย พิเศษสำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และเบิกใช้วงเงินภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด รับทันทีของขวัญที่ระลึก ชุดหูฟังไร้สาย Redmi หรือ กระเป๋า Prayer travel set จากธนาคาร ผู้สนใจสามารถติดต่อขอใช้บริการได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาใกล้บ้านท่าน ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2566 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call Center 1302 หรือ แชททาง Messenger : Islamic Bank of Thailand - ibank (@ibank.th) และ Line : iBank 4 all (@ibank)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62951
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ มอบวุฒิบัตรฝึกอบรม มุ่งพัฒนาทักษะเฉพาะ แรงงานอิสระยุค 4.0
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 21/12/2565 รมว.เฮ้ง ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ มอบวุฒิบัตรฝึกอบรม มุ่งพัฒนาทักษะเฉพาะ แรงงานอิสระยุค 4.0 รมว.เฮ้ง ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ มอบวุฒิบัตรฝึกอบรม มุ่งพัฒนาทักษะเฉพาะ แรงงานอิสระยุค 4.0 เมื่อวันที่21ธันวาคม2565นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานพิธีมอบวุฒิบัตรและปิดการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระยุค4.0 (Gig Worker)รุ่นที่2หลักสูตร“การตัดเย็บเสื้อผ้า”ณองค์การบริหารส่วนตำบลหนองชุมพลเหนืออ.เขาย้อยจ.เพชรบุรีโดยมีนายบุญเลิศยอดแก้วนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองชุมพลเหนือผู้นำชุมชนพร้อมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีร่วมให้การต้อนรับ นางธิวัลรัตน์ฯกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงานและนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญและมีความห่วงใยกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือแรงงานอิสระรวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบทางการประกอบอาชีพจากสถานการณ์โควิด-19จึงมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานโดยเฉพาะกรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้การช่วยเหลือพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพแก่แรงงานนอกระบบกลุ่มเปราะบางกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพหรือต่อยอดการประกอบอาชีพยกระดับรายได้เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น นางธิวัลรัตน์ฯกล่าวต่อว่าสำหรับการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระยุค4.0 (Gig Worker)จัดขึ้นโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นหลักสูตร30ชั่วโมงซึ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นการฝึกให้แก่กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีพื้นฐานประสบการณ์อาชีพตัดเย็บในพื้นที่ซึ่งเป็นอีก1โครงการที่มุ่งช่วยเหลือพัฒนาแรงงานนอกระบบกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อพัฒนายกระดับและต่อยอดอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองตลาดในพื้นที่ให้หลากหลายมากขึ้นรวมทั้งยังมีการสนับสนุนเครื่องมือในการประกอบอาชีพให้แก่ผู้ผ่านการฝึกลดอุปสรรคการขาดแคลนอุปกรณ์ประกอบอาชีพสร้างโอกาสเสริมศักยภาพการประกอบอาชีพสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ผู้สนใจที่ต้องการเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพและการมีงานทำสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบัน/สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัดทั่วประเทศหรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน1506กด4กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 21ธันวาคม2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ผ่านร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ บูรณาการทุกภาคส่วน สังคมต้องไม่เพิกเฉย
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 21/12/2565 ครม.ผ่านร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ บูรณาการทุกภาคส่วน สังคมต้องไม่เพิกเฉย ครม.ผ่านร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ บูรณาการทุกภาคส่วน สังคมต้องไม่เพิกเฉย วันที่ 21 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ ระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 - 2570) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันนำไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป แผนปฏิบัติการดังกล่าว ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เช่น เครือข่ายการทำงานสตรี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 ปรับความรู้และทัศนคติของสังคม มี 3 เป้าหมาย คือ 1)ปรับระบบความคิดที่ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา ล่วงละเมิดทางเพศ และลดมายาคติของสังคม เช่น อบรมถ่ายทอดความรู้และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย กลไกการป้องกัน และสิทธิคุ้มครองตามกฎหมาย ปรับเนื้อหาหลักสูตรโปรแกรม การสอนเพศวิถีให้เข้าใจง่ายและเหมาะสมกับผู้เรียนและประชาชนทั่วไป 2)สร้างกลไกการป้องกันที่มีคุณภาพ และเฝ้าระวังความรุนแรงทางเพศ การข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ และ 3)สร้างพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย เช่น กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ และจัดให้มีช่องทางการร้องทุกข์ แจ้งข้อมูลพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย/พื้นที่เสี่ยง กลยุทธ์ที่ 2 ปรับปรุงระบบงานเพื่อสร้างความเป็นธรรม มี 2 เป้าหมาย คือ 1)ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพ เข้าถึงบริการที่เป็นมิตรและเป็นธรรม เช่น พัฒนาระบบการให้บริการบำบัด ฟื้นฟู และเยียวยา 2)ปรับพฤติกรรมผู้กระทำความผิดและป้องกันการกระทำผิดซ้ำ เช่น จัดทำฐานข้อมูลบันทึกประวัติผู้กระทำความผิด เพิ่มมาตรการลงโทษในคดีเกี่ยวกับเพศ โดยใช้ยาเพื่อปรับฮอร์โมน กลยุทธ์ที่ 3 ปรับมาตรการทางวินัย กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายมี 3 เป้าหมาย คือ 1)ปรับปรุงเนื้อหาของกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับเพศ เช่น เผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม 2)ปรับกระบวนการยุติธรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของผู้เสียหายให้มีประสิทธิภาพ เช่น ปรับปรุงระบบการสอบสวน จัดทำคู่มือมาตรฐานและแนวทางที่เหมาะสมในการนำเสนอข่าว 3)มีมาตรการให้สามารถลงโทษทางวินัยร้ายแรงแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล่วงละเมิดทางเพศ เช่น สนับสนุนให้ผู้หญิงเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัย จัดทำแนวทางการกำหนดโทษทางวินัยร้ายแรง นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก และผู้หญิงพิการ ปี2564พบว่า ผู้หญิงถูกล่วงละเมิด ไม่น้อยกว่า7คน/วัน ขณะที่มีผู้หญิงที่เข้ารับการบำบัดรักษา แจ้งความร้องทุกข์ ประมาณปีละ30,000ราย จึงเป็นเรื่องที่สังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อการป้องกันและแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนร้านค้า อย่าเอาเปรียบประชาชน ขอความร่วมมืออย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าทำลายความสุขช่วงเทศกาล พบเจอโทร1569
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 รัฐบาลเตือนร้านค้า อย่าเอาเปรียบประชาชน ขอความร่วมมืออย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าทำลายความสุขช่วงเทศกาล พบเจอโทร1569 รัฐบาลเตือนร้านค้า อย่าเอาเปรียบประชาชน ขอความร่วมมืออย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าทำลายความสุขช่วงเทศกาล พบเจอโทร1569 วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอความร่วมมือผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว คาดว่าจะมีการใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการสอดส่องดูแล และหากประชาชนพบว่าผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ หรือสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการกรมการค้าภายในลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์สินค้าและบริการตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวจะไม่ถูกเอาเปรียบ และเน้นย้ำช่วงหยุดยาวปีใหม่ ทุกร้านต้องปิดป้ายราคา ห้ามฉวยโอกาส เจอเป็นจับ ทั้งนี้ จากรายงานของกรมการค้าภายใน พบว่าในปี 2565 ผู้ประกอบการมีการปฏิบัติตามกฎหมาย และระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งเมื่อพบการกระทำความผิด กรมฯ ได้มีการดำเนินคดีในทุกกรณี ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายเพิ่มขึ้น "เตือนผู้ประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ ขอให้ปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน อย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หากตรวจสอบพบจะมีความผิด โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท กรณีที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือค้ากำไรเกินสมควร โทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนของเทศบาลนครเชียงราย ชื่นชมแนวคิดการพัฒนาด้านการศึกษาทุกช่วงวัย พร้อมเน้นย้ำ  น้อมนำพระดำริ "หมู่บ้านยั่งยืน" บูรณาการ 7 ภาคีเครือข่าย
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ปลัด มท. ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนของเทศบาลนครเชียงราย ชื่นชมแนวคิดการพัฒนาด้านการศึกษาทุกช่วงวัย พร้อมเน้นย้ำ น้อมนำพระดำริ "หมู่บ้านยั่งยืน" บูรณาการ 7 ภาคีเครือข่าย ปลัดมหาดไทยตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนของเทศบาลนครเชียงราย ชื่นชมแนวคิดการพัฒนาด้านการศึกษาทุกช่วงวัย พร้อมเน้นย้ำ น้อมนำพระดำริ "หมู่บ้านยั่งยืน" บูรณาการ 7 ภาคีเครือข่ายเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้เกิดความยั่งยืน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 เวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมลีลาวดี โรงเรียนเทศบาล 6 เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเขตเทศบาลนครเชียงราย โดย นางนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายสมหวัง บุญระยอง นายวราดิศร อ่อนนุช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอทุกอำเภอ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย พนักงานเทศบาล ผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย คณะครู คณะกรรมการสภานักเรียน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนเทศบาล 6 เทศบาลนครเชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ถวายสักการะอนุสาวรีย์พ่อพญามังรายมหาราช โดยมีคณะกรรมการสภานักเรียนโรงเรียนเทศบาล 6 เทศบาลนครเชียงราย ให้การต้อนรับ โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ "หัวใจนักปราชญ์" สุ จิ ปุ ลิ 4 หัวใจของนักปราชญ์ ได้แก่ สุ : สุตต คือ การฟัง จิ : จินตน การคิด ปุ : ปุจฉา การถาม และ ลิ : ลิขิต การเขียน เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งการเจรจา พูดคุย ต่อรอง ทำให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล และองค์ความรู้ อิทธิบาท 4 ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ (ความคิด) วิมังสา (ความไตร่ตรอง) โดยประธานสภานักเรียน และคณะกรรมการสภานักเรียน ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบข้อซักถาม ด้วยความตั้งใจ จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมรับฟังการบรรยายสรุป จากนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมการขับเคลื่อนการทำงานของเทศบาลนครเชียงราย นำโดยท่านวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนานครเชียงราย ให้เป็น Smart City ทั้งการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ CCTV สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน การพัฒนาระบบดิจิทัลต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาคนด้วยการส่งเสริมการจัดการศึกษา เพื่อให้คนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นบทบาทสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ คำว่า Smart City เป็นส่วนหนึ่งของ Sustainable City อันเป็นหนังสือที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับประชาชนคนไทย ด้วยการส่งเสริมให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชนมีกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ "คำว่า "หมู่บ้านยั่งยืน หรือ Sustainable Village" เป็นพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่กระทรวงมหาดไทยขอรับพระราชทานมาน้อมนำขับเคลื่อนเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษาในวันที่ 8 มกราคม 2566 โดยมีพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาครอบคลุมทั้งหมู่บ้านในตำบล และชุมชนในเขตเทศกาล ด้วยการส่งเสริมทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับการทำให้สังคมมีความรัก สามัคคี หวงแหนในประเพณีวัฒนธรรม ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งได้รับการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระราชปณิธานที่แน่วแน่ มุ่งมั่น เพื่อทำให้พสกนิกรชาวไทยของพระองค์ท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จของเทศบาลนครเชียงราย มีพวกเราชาวมหาดไทย ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ ตลอดจนข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ทุกกระทรวง ทบวง กรม เป็น Partner เป็นภาคีเครือข่าย ซึ่งถือเป็นหัวใจของการทำงานกระทรวงมหาดไทย ในวาระครบ 130 ปี การสถาปนากระทรวงมหาดไทย 1 เมษายน 2565 โดยให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและท่านนายอำเภอทั่วประเทศ เป็นผู้นำในการดึงภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาคผู้นำวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ลงพื้นที่ไปคุย ไปประชุม ไปหารือ ไปแนะนำ เพื่อสร้าง "ทีมจังหวัด" "ทีมอำเภอ" "ทีมตำบล" "ทีมหมู่บ้าน" และ "ทีมชุมชน" ให้เป็นทีมที่ถาวร ดึงคนที่มีศรัทธา มีจิตอาสา จิตเสียสละ มาร่วมเป็นทีม และขยายทีมให้เพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นสภาประชาชน ฝ่ายบริหารของประชาชน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่ เราทำคนเดียวไม่สำเร็จ ต้องมีทีมเหล่านี้ ในทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด และเมื่อมีทีมที่เข้มแข็งแล้ว ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ และกลไกมหาดไทยในพื้นที่ ต้องน้อมนำพระดำริขององค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ประทานไว้ว่า "ต้องหมั่นลงพื้นที่ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด" โดยลงไปสำรวจว่า ในพื้นที่ตำบลมีหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาน้อยที่สุด อย่างน้อยตำบลละ 1 แห่ง และลงไปสำรวจว่าในพื้นที่เขตเทศบาลมีหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาน้อยที่สุด อย่างน้อยเทศบาลละ 1 ชุมชน เพื่อพัฒนาเป็น "หมู่บ้านยั่งยืน" เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษาในวันที่ 8 มกราคม 2566 ทุกหมู่บ้าน/ชุมชนเหล่านั้นต้องดีขึ้น ดังคำมั่นสัญญา "1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา ตามเป้าหมาย 17 ตัวชี้วัด UN SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนแบบชี้เป้า เพราะเราทุกคนต้องการพัฒนาคนเพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน อันเป็นปฏิบัติบูชาน้อมถวายพระองค์ท่าน" ด้านนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการบูรณาการและส่งเสริมพัฒนาร่วมกับเทศบาลนครเชียงรายและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย อันเป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ในที่สุด โดยโรงเรียนเทศบาล 6 เทศบาลนครเชียงรายเป็นอีกหนึ่งสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลนครเชียงรายที่ดำเนินการในการพัฒนาและสร้างเด็กและเยาวชนของจังหวัดเชียงรายให้เป็นคนเก่งคนดีของสังคมอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายด้วยการนำจุดเด่นและเอกลักษณ์ความเป็นล้านนาของเมืองเชียงราย และในบรรยากาศของเมืองหนาวไปสู่การจัดกิจกรรมด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ เช่น งานเชียงรายดอกไม้งามของเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 สร้างรายได้ให้กับภาคธุรกิจ การค้า การบริการ และการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดประโยชน์กับจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า เทศบาลนครเชียงราย มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภารกิจด้วยการสร้างโอกาสของเยาวชนและนักเรียนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งตลอดไป โดยนำเอานโยบายกระทรวงมหาดไทย ยุทธศาสตร์จังหวัด มาจัดทำยุทธศาสตร์เทศบาลนครเชียงราย ปรับใช้เป็นรูปแบบของท้องถิ่นที่จะขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถ โดยใช้ "การศึกษา" เป็นแกนของการพัฒนาให้โอกาสการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กโต หรือผู้สูงวัย ในการขับเคลื่อนสังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มุ่งสู่การเป็น Smart City ขับเคลื่อนโดยให้โอกาสเด็กมากที่สุดในการประกอบอาชีพ มีความมั่นคง และสิ่งต่าง ๆ สร้างระเบียบวินัยและสร้างความอบอุ่นให้แก่ครอบครัว พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ซึ่งมุ่งหวังว่ากระบวนการพัฒนาจะทำให้เราได้บุคลากรทางสังคมที่มีคุณภาพ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พร้อมทั้งยกเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต เป็นหัวใจการขับเคลื่อนสู่การพัฒนา ทั้งเมืองชา เมืองกาแฟ เมืองท่องเที่ยว โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและฝ่ายปกครองเป็นภาคีเครือข่ายที่ดีในการที่เราจะทำให้ท้องถิ่นซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด นำไปสู่ความเจริญและความยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ ให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ ที่ห่างไกลอุบัติเหตุ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ โดยขอให้ประชาชนระมัดระวัง ดูแลตนเองให้ดี ให้ปลอดภัยทั้งจากการเดินทางโดยยานพาหนะต่าง ๆ รวมถึงปลอดภัยจากโควิด-19 ซึ่งขณะนี้แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยดีขึ้นแล้ว แต่ก็ขอให้ประชาชนไม่ประมาท ควรมีการป้องกันตนเองให้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องออกเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงผู้ที่จะใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ เครื่องบิน รถโดยสารสาธารณะ หรือขณะที่อยู่ในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น สถานีขนส่ง ตลาด สถานที่ท่องเที่ยวที่แออัด ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อโควิด-19 ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง โดยการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อโควิดฯ ได้ รวมถึงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตหากติดเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อร่วมมือกันป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดใหญ่ซ้ำอีก นายอนุชาฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชน ตลอดจนให้คำแนะนำ และกวดขันพฤติกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น รวมทั้งขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ นำแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ พ.ศ. 2566 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (13 ธันวาคม 2565) แผนดังกล่าวแล้ว ไปปฏิบัติ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ “สำหรับมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุที่สำคัญ ที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำไปปฏิบัติ เช่น (1) จัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ระดับส่วนกลาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ (2) การลดปัจจัยเสี่ยงโดยดำเนินการมาตรการเชิงรุก ได้แก่ การประชาคมชุมชน/หมู่บ้าน มาตรการเคาะประตูบ้าน ด่านครอบครัว ด่านชุมชน และการจัดกิจกรรมทางศาสนา “1 อำเภอ 1 กิจกรรม รวมไปถึงสำรวจ ตรวจสอบลักษณะกายภาพของถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ และปรับปรุงแก้ไขให้มีความปลอดภัย และจัดทำแผนอำนวยความสะดวกการจราจร รวมทั้ง กำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถโดยสาร และพนักงานประจำรถ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด และการตรวจสอบสภาพรถตามที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนเข้มงวดกวดขันกับผู้ใช้รถกระบะที่บรรทุกน้ำหนักเกิน และรถบรรทุกขนาดเล็กที่บรรทุกผู้โดยสารในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย และเข้มงวดกับรถตู้ส่วนบุคคลหรือรถเช่าของผู้ประกอบการธุรกิจให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย อีกทั้งให้มีการเตรียมการด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเครือข่ายและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน เป็นต้น” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศปถ. เปิดศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน - สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ศปถ. เปิดศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน - สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน ศปถ. เปิดศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน - สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุม 1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 และประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 3/2565 โดยมี นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายรัฐพล นราดิศร รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมฯ โดยถ่ายทอดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังทุกจังหวัด โดย ศปถ.พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุทางถนน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยมีนโยบายให้หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติ จึงได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย บูรณาการทุกหน่วยงานขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุทางถนน โดยกำหนดช่วงควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 – 4 มกราคม 2566 มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน โดยดำเนินการภายใต้แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลและช่วงวันหยุด พ.ศ. 2566 ซึ่งมีเป้าหมายลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง รวมถึงจะมีการติดตามผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่อำเภอเสี่ยง พร้อมกำหนดมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ที่มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งคน รถ ถนน และสิ่งแวดล้อม เน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและสร้างวินัยจราจรให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน รวมถึงปรับปรุงถนนและสภาพแวดล้อมริมทางให้ปลอดภัย คุมเข้มความปลอดภัยของยานพาหนะทุกประเภท ทั้งสภาพรถ อุปกรณ์นิรภัย ความพร้อมของพนักงานขับรถ กวดขันรถกระบะที่บรรทุกน้ำหนักเกินและรถบรรทุกขนาดเล็กที่บรรทุกผู้โดยสารในลักษณะเสี่ยง เฝ้าระวังและป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกรูปแบบ โดยเฉพาะขับรถเร็วดื่มแล้วขับ และไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย ควบคู่กับการดำเนินมาตรการ “ตรวจวัดแอลกอฮอล์” กรณีเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือมีผู้เสียชีวิต สร้างการรับรู้มาตรการบังคับใช้กฎหมาย สถานการณ์อุบัติเหตุ การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยผ่านทุกช่องทางสื่อ ตลอดจนจัดหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพกู้ภัย และเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ และส่งต่อผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างรวดเร็วในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุทางถนน "สำหรับการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 3/2565 ในวันนี้ ศปถ. ได้มอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน ทั้งพฤติกรรมผู้ขับขี่ ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม ให้เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการป้องกันและลดความเสี่ยงในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เพื่อลดความสูญเสียจากการบาดเจ็บและความเสียหาย รวมถึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและจังหวัดเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายตาม 10 มาตรการหลัก และให้ทุกจังหวัดใช้กลไก “ด่านชุมชน” เพื่อป้องปรามกลุ่มเสี่ยงและบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมบังคับใช้กฎหมายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มงวด ตลอดจนให้ทุกจังหวัดที่มีจุดตัดทางรถไฟ ร่วมกับแขวงบำรุงทางรถไฟและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดมาตรการ แนวทางการแก้ไขปัญหาบริเวณจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถสัญจรผ่านเส้นทางอย่างปลอดภัย" พลเอก อนุพงษ์ กล่าว นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ผ่านกลไกของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระดับจังหวัด อำเภอ และองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำหน้าที่อำนวยการสั่งการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนผ่านกลไกการทำงานในระดับพื้นที่ โดยกำชับองค์กรปกครองส่วนถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และจิตอาสาคุมเข้มลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนในรูปแบบของการจัดตั้งด่านชุมชน การใช้กลไกด่านครอบครัว ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเชิงรุกในรูปแบบการเคาะประตูบ้าน อีกทั้งดูแลความปลอดภัยในการสัญจรและท่องเที่ยวทางน้ำ สถานที่จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566 ภายใต้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนตลอดทั้งปี จะเป็นศูนย์กลางในการอำนวยการสั่งการ และเชื่อมโยงการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน กับศูนย์ปฏิบัติการฯ ระดับจังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยในช่วงรณรงค์ 7 วันแห่งความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 65 – 4 ม.ค. 66 จะมีการประชุมร่วมกับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในพื้นที่ เพื่อวางมาตรการและปรับแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ ซึ่ง ปภ. วิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน ช่วงปีใหม่ พ.ศ.2566 และจัดทำข้อมูลสรุปในรูปแบบ Dashboard เพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยทางถนนที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนห่างไกลจากอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตือนประชาชน ให้เพิ่มความระมัดระวังอุปกรณ์ไฟฟ้า-ถังแก๊สหุงต้มภายในที่พักอาศัย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตือนประชาชน ให้เพิ่มความระมัดระวังอุปกรณ์ไฟฟ้า-ถังแก๊สหุงต้มภายในที่พักอาศัย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตือนประชาชน ให้เพิ่มความระมัดระวังอุปกรณ์ไฟฟ้า-ถังแก๊สหุงต้มภายในที่พักอาศัย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ วันที่ 30 ธันวาคม 2565นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ในโอกาสวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะปิดบ้านเรือน/ที่พักอาศัย ออกเดินทางไปท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือเดินทางกลับภูมิลำเนาที่ต่างจังหวัด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากข้อห่วงใยและย้ำเตือนมายังประชาชน ขอให้ช่วยกันเพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้าและถังแก๊สหุงต้มภายในบ้านเรือน/ที่พักอาศัย ก่อนจะออกเดินทาง ไม่ลืมปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน รวมทั้งปิดวาล์วถังแก๊สหุงต้มให้สนิท เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่นี้ นายอนุชาฯ กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่อยู่บ้าน ไม่ได้ออกเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำจากคู่มือประชาชนในการเตรียมตัวให้รอดปลอดภัยพิบัติ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ที่มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ดังนี้ 1) สังเกตสภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน สายไฟฟ้าไม่มีสีคล้ำ ไม่มีกลิ่นเหม็นไหม้ ฉนวนหุ้มสายไฟฟ้าไม่ชำรุด ไม่มีรอยฉีกขาด ไม่มีรอยแตกร้าว ไม่มีรอยไหม้ ไม่มีรอยกัดแทะของสัตว์ และไม่มีรอยสิ่งของหนักกดทับ 2) เลือกใช้ขนาดของสายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับปริมาณกระแสไฟฟ้าและการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า หากใช้กระแสไฟฟ้าเกินขนาดหรือจุดต่อบริเวณปลั๊กไฟไม่แน่น จะทำให้อุณหภูมิสายไฟอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ให้จัดการแก้ไขเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร 3) หมั่นตรวจสอบสายไฟฟ้านอกอาคารหรือผนังใต้ฝ้าเพดานเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจุดต่อและข้อต่อสายไฟฟ้า หากมีมดและแมลงอาศัย มีรอยน้ำรั่วซึม ให้แจ้งช่างผู้ชำนาญการมาซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ในทันที 4) จัดการแก้ไขสายไฟฟ้าที่อยู่ในจุดเสี่ยงอันตราย เช่น ใกล้แหล่งความร้อน สารเคมี สารไวไฟ แสงแดดส่องถึง ฝนสาดหรือวางของหนักกดทับสายไฟ เพราะจะทำให้ฉนวนไฟฟ้าชำรุดได้ง่าย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร 5) ไม่ปล่อยให้สายไฟฟ้าพาดโครงสร้างส่วนที่เป็นโลหะหรือเหล็กโดยตรง ให้นำสายไฟร้อยใส่ท่อพีวีซี เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วลงบนโครงโลหะ และหากสายไฟฟ้าชำรุด จะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ หากไม่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับไฟฟ้า ห้ามดำเนินการตรวจสอบ แก้ไข หรือซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการถูกไฟฟ้าดูดเสียชีวิต นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ในส่วนของก๊าซหุงต้ม เป็นเชื้อเพลิงที่นิยมใช้ในครัวเรือน ซึ่งมีคุณสมบัติไวไฟ หากเลือกใช้และจัดวางถังก๊าซอย่างไม่ถูกวิธี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการระเบิด และเพลิงไหม้ โดย เฟซบุ๊ก ปภ. แนะเลือกใช้ วางถังก๊าซถูกวิธี...ลดเสี่ยงเพลิงไหม้ ดังนี้ 1) เลือกใช้ถังก๊าซที่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รวมถึงวาล์วปรับแรงดันปิดได้สนิท ท่อนำก๊าซไม่บวม ไม่มีรอยปริ และไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลขุ่น 2) ไม่วางเตาแก๊สในบริเวณที่มีลมพัดแรง เพราะเปลวไฟที่หัวเตาจะดับในขณะที่ยังมีก๊าซออกมา หากเกิดประกายไฟส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ได้ 3) ไม่วางถังก๊าซบริเวณพื้นที่ชื้นแฉะ มีไอน้ำ สารกัดกร่อน เพราะทำให้ถังก๊าซเป็นสนิมและผุกร่อน 4) ไม่จัดวางถังก๊าซใกล้แหล่งความร้อนบริเวณที่มีประกายไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ เพราะเสี่ยงต่อการระเบิดและเพลิงไหม้ 5) จัดวางในพื้นที่อากาศถ่ายเทสะดวกและเคลื่อนย้ายง่าย ไม่กีดขวางประตูหรือทางเข้าออก หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้แก้ไขสถานการณ์ทันท่วงที 6) ไม่วางถังก๊าซบริเวณที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ห้องที่ปิดทึบ ชั้นใต้ดิน เพราะหากก๊าซรั่วไหล จะไม่สามารถระบายก๊าซออกสู่ภายนอกได้ 7) วางถังก๊าซในลักษณะแนวตั้งบนพื้นราบที่แข็งแรง และห่างจากเตาแก๊สประมาณ 1.5-2 เมตร เพื่อป้องกันประกายไฟจากเตาแก๊สพุ่งไปโดนถังก๊าซ สายนำก๊าซ ก่อให้เกิดอันตรายได้ “ ปภ. ยังได้มีข้อแนะนำใช้ก๊าซหุงต้มถูกวิธีอีกว่า ในการใช้ก๊าซหุงต้ม ห้ามกลิ้งหรือกระแทกถังก๊าซ เพราะแรงกระแทกอาจทำให้ถังก๊าซระเบิด ก่อนใช้งานให้เปิดวาล์วที่ถังก๊าซ โดยหมุนไม่เกิน 2 รอบ แล้วจึงเปิดวาล์วที่เตาแก๊ส เพื่อป้องกันก๊าซกระจายตัวในอากาศ หากมีประกายไฟจะทำให้เกิดการระเบิดได้ กรณีเปิดเตาแก๊สแล้วไฟไม่ติด ห้ามเปิดซ้ำ ให้ทิ้งระยะสักครู่ค่อยเปิดซ้ำ เพราะอาจมีก๊าซสะสมเป็นจำนวนมาก ทำให้เปลวไฟพุ่งถูกร่างกาย และเกิดเพลิงไหม้ หลังจากใช้งานเสร็จแล้วให้ปิดวาล์วถังก๊าซก่อนและรอจนไฟที่เตาแก๊สดับสนิทแล้วจึงปิดวาล์วที่หัวเตา ส่วนการตรวจสอบรอยรั่วบริเวณถังก๊าซ ให้ใช้น้ำสบู่ลูบตามจุดต่าง ๆ ของถังก๊าซ หากมีฟองสบู่ผุดขึ้นมา แสดงว่าก๊าซรั่วไหล ให้ปิดวาล์วที่ถังก๊าซทันที และจัดการเปลี่ยนถังก๊าซใหม่ทันที นอกจากนี้ กรณีก๊าซรั่วไหล ให้รีบปิดวาล์วถังก๊าซทันที แล้วเปิดประตูหน้าต่างทุกบาน เพื่อระบายก๊าซออกสู่ภายนอก จากนั้นให้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้ก๊าซรั่วไหล หากพบว่าเกิดจากถังก๊าซรั่ว ให้พลิกถังก๊าซส่วนที่รั่วไหลไว้ด้านบน หรือนำผ้าชุบน้ำมาปิดบริเวณที่ก๊าซรั่ว จะช่วยลดการรั่วไหลของก๊าซ ห้ามเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดหรือกระทำการใด ๆ ที่ทำให้เกิดประกายไฟบริเวณที่ก๊าซรั่วไหล เช่น สูบบุหรี่ จุดไฟแช็ก เป็นต้น เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” เผย นายกฯ กำชับปรับโฉมประเทศไทยด้วย BCG คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจแตะ 4.4 ล้านล้าน หรือ 24% ของ GDP ภายในปี 2570 เพื่อวางอนาคตให้ประชาชนพ้นจากความยากจน
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 “ธนกร” เผย นายกฯ กำชับปรับโฉมประเทศไทยด้วย BCG คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจแตะ 4.4 ล้านล้าน หรือ 24% ของ GDP ภายในปี 2570 เพื่อวางอนาคตให้ประชาชนพ้นจากความยากจน “ธนกร” เผย นายกฯ กำชับปรับโฉมประเทศไทยด้วย BCG คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจแตะ 4.4 ล้านล้าน หรือ 24% ของ GDP ภายในปี 2570 เพื่อวางอนาคตให้ประชาชนพ้นจากความยากจน ประเทศพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ลั่นทุกตารางนิ้วของประเทศจะได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่รูปแบบใหม่ BCG Economy Model ภายใต้นโยบายและการผลักดันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ที่วางอนาคตให้ประชาชนพ้นจากความยากจน ประเทศพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เพิ่มเศรษฐกิจประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด ขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการปล่อยก๊าชเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558-2564 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG รวม 2,900 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 6.75 แสนล้านบาท และในปี 2564 ประเทศไทยมีการลงทุน ด้าน BCG Economy 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% นายธนกร กล่าวอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประมาณว่า ภายในปี 2570 เศรษฐกิจ BCG จะสร้างมูลค่าถึง 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 24% ของ GDP นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าให้ไทยเป็น “Bio Hub of Asian” ภายในปี 2570 ซึ่งที่ผ่านมีการลงทุนแล้ว 5 โครงการ มูลค่า 39,870 ล้านบาท และอยู่ระหว่างแผนการก่อสร้างและขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 127,705 ล้านบาท พร้อมทั้งส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรม/ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากของเสีย/วัสดุ เหลือใช้ภายในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมการปรับรูปแบบธุรกิจสู่ Circular Business Model และระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจก เพื่อตอบโจทย์ NET ZERO EMISSION ด้วยการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ตามนโยบาย [emailprotected] มีเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน รถจักรยานยนต์ 675,000 คัน รถบัสและรถบรรทุก 34,000 คัน รวมทั้งการผลิตรถไฟระบบราง รถสามล้อ และเรือโดยสารด้วย เพื่อสร้างงานและยกระดับรายได้ของประชากร “ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ท่านนายกฯ สั่งการทุกกระทรวง ทุกส่วนราชการ ให้จัดทำมาตรการหรือโครงการต่างๆ ที่มุ่งเน้นการกระจายโอกาส กระจายรายได้ นำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างทั่วถึง เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมประเทศสู่อนาคตที่สดใส ยืนยันว่า ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยจะได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ย้ำจังหวัดภูเก็ตจะผ่านการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand ได้นั้นทุกภาคีเครือข่ายต้องร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ปลัด มท. ย้ำจังหวัดภูเก็ตจะผ่านการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand ได้นั้นทุกภาคีเครือข่ายต้องร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน ปลัดมหาดไทย ย้ำจังหวัดภูเก็ตจะผ่านการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand ได้นั้นทุกภาคีเครือข่ายต้องร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับจังหวัดภูเก็ตและโลกใบเดียวของเราและสอดคล้องกับแนวคิดการจัดงาน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปวีดิโอการประชุมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยหนึ่งในประเด็นติดตามถามไถ่หารือในที่ประชุม คือ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะและการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทุกจังหวัด ทุกอำเภอได้ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือน ได้จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ภายในบริเวณที่พักอาศัย และเกิดการตระหนักรู้ในการช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อให้โลกใบนี้ยังคงอยู่กับเรากับลูกหลานอย่างยั่งยืน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คลิปวีดิโอที่ปรากฏเป็นช่วงของการประชุมติดตามการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะและการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยจากข้อมูลที่ได้รับรายงานจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พบว่า จังหวัดภูเก็ต มีการดำเนินการส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสภาพแวดล้อม เพียง 1,498 ครัวเรือน จาก 116,684 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 1.28 เป็นจังหวัดลำดับที่ 76 ของประเทศ จึงได้เสนอแนะให้จังหวัดภูเก็ตได้เร่งดำเนินการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้และส่งเสริมให้ประชาชนได้จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนให้ครบทุกครัวเรือน โดยได้มีการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานดีมาก ๆ ครบ 100% คือ จังหวัดเลย และจังหวัดศรีสะเกษ ได้อธิบายแนวทางการดำเนินการเพื่อให้จังหวัดที่ผลการปฏิบัติลำดับท้าย ๆ คือ จังหวัดภูเก็ต สมุทรปราการ และจังหวัดพัทลุง ได้นำแนวทางที่ประสบความสำเร็จไปปรับใช้ "สำหรับประเด็นการติดตามการขับเคลื่อนฯ ของจังหวัดภูเก็ต ผมได้มีการหยิบยกเรื่องการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand ของจังหวัดภูเก็ต ในปี 2571 ที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand ภายในแนวคิด “Future of Life-Living in Harmony, Sharing Prosperity ชีวิตแห่งอนาคต-แบ่งปันความรุ่งเรือง อยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว” ซึ่ง เงื่อนไขสำคัญของการเป็นเจ้าภาพเรื่องหนึ่ง คือ สิ่งแวดล้อมโดยที่กล่าวว่า "อย่าไปเป็นเลยเจ้าภาพจัดงานระดับโลก ถ้าไม่ช่วยกันบริหารจัดการขยะ" เป็นประโยคที่เป็นเงื่อนไข เป็นการกระตุ้นผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตและทีมงานให้เอาจริงเอาจังเรื่องสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้ภาคราชการของจังหวัดภูเก็ตไปช่วยกันขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะต้นทาง (คัดแยกขยะ, ทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน) กลางทาง (การจัดเก็บมีภาชนะที่คัดแยกขยะ) ปลายทาง มีการวางระบบที่จะบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ปล่อยให้มีขยะเปียก เศษอาหารเน่าเหม็นปล่อยให้น้ำเสียไหลลงทะเล โดยได้แนะนำผู้บริหารจังหวัดภูเก็ตให้ได้นำแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของจังหวัดที่ประสบความสำเร็จไปปรับใช้ เพื่อให้เกิดการ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้กับจังหวัดภูเก็ต ด้วยการเร่งกระตุ้นให้พี่น้องประชาชนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม ร่วมกันจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ไม่ปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเล และขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการจังหวัดสะอาด ให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อทำให้จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองที่มีความยั่งยืน (Sustainable City) ที่พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand "Future of Life-Living in Harmony, Sharing Prosperity" ไม่ใช่เป็นการไปขัดขวางการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก ซึ่งถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายและพี่น้องประชาชนร่วมกันจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนให้ครบทุกครัวเรือน และร่วมกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ดีในจังหวัดภูเก็ต ก็จะเป็นผลดีในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ การประชุมฯ ดังกล่าว เป็นการติดตามงานในฐานะผู้บังคับบัญชา coaching ผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อมีการตัดต่อคลิปการประชุมบางส่วนมาเผยแพร่สู่สาธารณชน จึงทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากจุดมุ่งหมายที่เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการประชุม" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวอีกว่า ตนและดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในขณะที่ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ยังได้ช่วยสนับสนุนให้จังหวัดภูเก็ตได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028, Phuket Thailand "Future of Life-Living in Harmony, Sharing Prosperity" แต่แรกเริ่ม ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจให้เกิดสิ่งที่ดีกับชาวภูเก็ตและพี่น้องชางไทยทุกคน ทั้งการไปร่วมงาน และการเน้นย้ำพูดคุยกับผู้แทนประเทศที่มีสิทธิ์โหวตที่ได้พบเจอกันในงาน ดังนั้น จากคลิปวีดิโอที่ตัดต่อมาบางส่วนจนสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนแก่พี่น้องชาวภูเก็ต จึงขอให้ส่วนราชการได้ช่วยกันแนะนำ รีบเร่งทำงานเพื่อภูเก็ต ด้วยการขับเคลื่อนเรื่องขยะเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ด้วย passion ของการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งที่ดี ให้เกิดการ Change for Good กับสังคมไทย ด้วยการพัฒนาคน โดยมีทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับพื้นที่เป็นกำลังสำคัญในการเสริมสร้างความรับรู้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนทุกชุมชน/หมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาสำคัญของโลกที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันในการทำให้โลกใบเดียวนี้มีอายุที่ยืนยาว จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตและทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในทุกครัวเรือน เพื่อทำให้เกิดการลดการปลดปล่อยก๊าซเสียขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเกิดเป็นก๊าซเรือนกระจก และการทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนยังทำให้เกิดจุลินทรีย์ย่อยสลายขยะเปียกจากเศษอาหารกลายเป็นสารบำรุงดินเป็นปุ๋ยหมัก เกิดประโยชน์ต่อทรัพยากรดิน อันจะส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี และชีวิตของพวกเราทุกคนก็จะดีอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอน.รับลูก"สุริยะ" ถกปรับโครงสร้างกบ.-เคาะราคาอ้อย ผวาหีบอ้อย 27 วัน ลอบเผาอ้อยพุ่งสูงถึง 4 ล้านตัน กังวลฝุ่นพิษเริ่มรุนแรงหลายพื้นที่ กทม. อากาศแย่เริ่มกระทบประชาชนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เร่งประสานมหาดไทย-ทส. ชี้เป้าจุ
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 กอน.รับลูก"สุริยะ" ถกปรับโครงสร้างกบ.-เคาะราคาอ้อย ผวาหีบอ้อย 27 วัน ลอบเผาอ้อยพุ่งสูงถึง 4 ล้านตัน กังวลฝุ่นพิษเริ่มรุนแรงหลายพื้นที่ กทม. อากาศแย่เริ่มกระทบประชาชนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เร่งประสานมหาดไทย-ทส. ชี้เป้าจุ กอน.รับลูก"สุริยะ" ถกปรับโครงสร้างกบ.-เคาะราคาอ้อย ผวาหีบอ้อย 27 วัน ลอบเผาอ้อยพุ่งสูงถึง 4 ล้านตัน กังวลฝุ่นพิษเริ่มรุนแรงหลายพื้นที่ กทม. อากาศแย่เริ่มกระทบประชาชนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เร่งประสานมหาดไทย-ทส. ชี้เป้าจุดเสี่ยง จับกุมลักลอบเข้มข้น นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ได้จัดการประชุมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลชาวไร่ ตลอดจนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ รวมทั้งเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของประเทศที่เกิดจากการเผาอ้อย ตามนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับวาระหลักในการประชุมนัดนี้คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร (กบ.) เพื่อให้ กบ. สามารถจัดประชุมวาระสำคัญในวันที่ 4 มกราคม 2566 ได้แก่ การเคาะราคาอ้อยขั้นสุดท้ายของฤดูการผลิตปี 2564/65 และหากองค์ประกอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2565/66 ครบถ้วนแล้ว จะพิจารณากำหนดราคา และรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียเพื่อเสนอที่ประชุม กอน. พิจารณานัดถัดไป อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กอน. ได้มีการเน้นย้ำถึงชาวไร่และโรงงานน้ำตาลให้ความร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของประเทศที่เกิดจากการเผาอ้อย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้กำหนดเป้าหมายลดการเผาอ้อยในฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็น 0% เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทยกว่า 60 ล้านคนในช่วงที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 และยังเป็นการหนุนภาคเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โดยล่าสุดได้เพิ่มเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 จาก 20 ล้านคนเป็น 25 ล้านคนแล้ว ซึ่งจากการติดตามข้อมูลการหีบอ้อย ฤดูการผลิต 2565/66 อัพเดตสถานการณ์ล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 - 27 ธันวาคม 2565 พบว่า มีปริมาณอ้อยเข้าหีบแล้วกว่า 15 ล้านตัน จำนวนนี้เป็นอ้อยถูกลักลอบเผาสูงถึง 4.1 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 27.36% ซึ่งมากกว่าฤดูการผลิตปี 2564/2565 ที่มีสัดส่วนอ้อยที่ถูกลักลอบเผา 27.28% จากสัดส่วนการลักลอบเผาอ้อยที่เพิ่มขึ้นถือเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างวิกฤต ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพประชนชนกว่า 60 ล้านคนและบรรยากาศของภาคการท่องเที่ยว นายภานุวัฒน์ กล่าวว่า จากข้อมูลลักลอบเผาช่วง 28 วันที่เปิดหีบ ยังพบว่ามี 5 จังหวัดที่เผาอ้อยสูงสุด คือนครราชสีมา 6.7 แสนตัน กาฬสินธุ์ 4.2 แสนตัน อุดรธานี 4.1 แสนตัน ขอนแก่น 3.5 แสนตัน และหนองบัวลำภู 2.6 แสนตัน ล่าสุด สอน. ยังได้ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองพบข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 พบว่า ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีค่าเกินมาตรฐานมากถึง 13 พื้นที่ ปริมาณฝุ่นที่พบ 31-69 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) บ่งชี้ว่าสภาพอากาศของกรุงเทพมหานครเริ่มแย่ลง ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ สอน. ได้ประสานข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการติดตามสถานการณ์การลักลิบเผาอ้อนซ้ำซากรายพื้นที่และใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ลักลอบเผาอ้อย ขณะเดียวกัน สอน. จะเชิญโรงงานน้ำตาลมาหารือร่วมกัน เพื่อหามาตรการในการสนับสนุนไม่ให้มีการลักลอบเผาอ้อย อันเป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่เริ่มมีความรุนแรงในเวลานี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63285
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชวน แวะจิบกาแฟ-ทานอาหาร คุกแอนด์คอฟ ฝีมือผู้ต้องขัง ช่วงหยุดยาวปีใหม่ เพื่อช่วยกันสร้างโอกาส
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชวน แวะจิบกาแฟ-ทานอาหาร คุกแอนด์คอฟ ฝีมือผู้ต้องขัง ช่วงหยุดยาวปีใหม่ เพื่อช่วยกันสร้างโอกาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชวน แวะจิบกาแฟ-ทานอาหาร คุกแอนด์คอฟ ฝีมือผู้ต้องขัง ช่วงหยุดยาวปีใหม่ เพื่อช่วยกันสร้างโอกาส โชว์ สาขาเรือนจำบางขวาง ยอดขายพุ่งวันละ 9 หมื่นบาท ผู้ต้องขังมีรายได้เดือนละ 5 พันบาท วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า ก่อนช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ตนได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมร้านคุกแอนด์คอฟ เรือนจำกลางบางขวาง ตามนโยบายพัฒนาเรือนจำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อช่วยพัฒนาผู้ต้องขัง ด้วยการฝึกอาชีพและปฎิบัติจริง พร้อมสร้างรายได้ให้กับผู้ต้องขังด้วย ซึ่งก็จะช่วยให้ผู้ต้องขังมีเงินทุนไปประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษได้ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ร้านคุกแอนด์คอฟ เรือนจำกลางบางขวาง มีจุดเด่นหลายอย่าง ทั้งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เหมาะแก่การมาถ่ายรูป นั่งรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงยังมีข้าวแกงยุติธรรมเท่าเทียม ขายในราคา 25-30 บาท เพื่อให้ญาติผู้ต้องขัง และประชาชนทั่วไป สามารถบริโภคได้ในราคาถูก ซึ่งวัตถุดิบ เช่น ผัก ผู้ต้องขัง ก็มีการปลูกเองในเรือนจำ โดยจากการเปิดร้านมา ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.65 นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง รายงานว่า สังคมให้โอกาสเป็นอย่างดี ทำให้มีรายได้สูงสุดถึงวันละ 9 หมื่นบาท และช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ต้องขัง เฉลี่ยคนละ 5,000 บาทต่อเดือน "ผมขอใช้โอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่ เชิญชวนทุกท่าน มาเที่ยว และให้กำลังใจผู้ต้องขัง ที่ร้านคุกแอนด์คอฟ ทั้งที่เรือนจำกลางบางขวาง และใน 14 แห่งทั่วประเทศ อาทิ เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว จ.ระยอง ,เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ จ.ตราด ,เรือนจำชั่วคราวคลองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ เพราะมีทั้งอาหารบริการ และเครื่องดื่ม อย่างเมนูแนะนำ ก็คือ น้ำหอมจันทร์ หรือ น้ำผึ้งมะนาว และพิซซ่าบางกรอบ โดยรสชาติอาหาร ผมการันตีว่า อร่อยมาก เพราะมีการถ่ายทอดวิชาโดยเชฟมืออาชีพ และที่สำคัญ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ก็มีราคาถูก โดยนอกจากสร้างรายได้ให้ผู้ต้องขังแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างโอกาส ในการคืนคนดีกลับสู่สังคมด้วย นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ ก็ยังได้มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ราคาพิเศษทั่วประเทศอีกด้วย" รมว.ยุติธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวประมงมีเฮ ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ “เฉลิมชัย” เตรียมเสนอ ครม. เห็นชอบโครงการนำเรือออกนอกระบบ 1,007 ลำ วงเงิน 1,806 ล้านบาท กำหนดเสร็จภายในปี 2566
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 ชาวประมงมีเฮ ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ “เฉลิมชัย” เตรียมเสนอ ครม. เห็นชอบโครงการนำเรือออกนอกระบบ 1,007 ลำ วงเงิน 1,806 ล้านบาท กำหนดเสร็จภายในปี 2566 ชาวประมงมีเฮ ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ “เฉลิมชัย” เตรียมเสนอ ครม. เห็นชอบโครงการนำเรือออกนอกระบบ 1,007 ลำ วงเงิน 1,806 ล้านบาท กำหนดเสร็จภายในปี 2566 เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเปิดเผยวันนี้ว่า“โครงการนำเรือออกนอกระบบ”เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลให้เกิดความยั่งยืนและเป็นการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย(IUU Fishing)ภายใต้พระราชกำหนดการประมง2558และที่แก้ไขเพิ่มเติมและโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบตามแผนบริหารจัดการประมงทะเลที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบไว้ตั้งแต่3พ.ย. 2558โดยโครงการนำเรือออกนอกระบบเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินโครงการในระยะที่1และ2มีเรือที่นำออกนอกระบบและรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาไปเรียบร้อยแล้วจำนวน364ลำซึ่งชาวประมงมีความพึงพอใจที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือการประกอบอาชีพด้วยการซื้อเรือคืนเพื่อนำเรือออกนอกระบบแต่ยังมีกลุ่มเรือประมงอีกจำนวนมากที่ประสงค์จะนำเรือออกนอกระบบและเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลไทยปี2563 – 2565ในการบริหารจัดการกองเรือให้มีความสมดุลกับทรัพยากรประมงทะเลและเกิดความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ำและเพิ่มความคล่องตัวในการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆลดปัญหาความขัดแย้งในการทำการประมงบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาหนี้สินของชาวประมงได้ตลอดจนเป็นการส่งเสริมให้ชาวประมงได้มีโอกาสประกอบอาชีพอื่นๆ ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมประมงจึงได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยให้ปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการบริหารโครงการนำเรือออกนอกระบบให้เร็วขึ้นด้วยการใช้วงเงินของธกส.ซื้อคืนเรือให้แล้วเสร็จภายในปี2566โดยรัฐบาลชำระคืนธกส.ตามจำนวนและระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรกรมประมงจึงดำเนินหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.)จนได้ข้อยุติด้วยการใช้แหล่งเงินทุนของธ.ก.ส.เพื่อให้สามารถนำเรือประมงออกนอกระบบได้ทั้งหมดในคราวเดียวกันด้วยวิธีการซื้อเรือคืนสำหรับกลุ่มเรือที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ที่ประสงค์จะเลิกอาชีพทำประมงเพิ่มเติมทั้งนี้มีเรือประมงจำนวน1,007ลำที่ผ่านการตรวจสอบประวัติและมีคุณสมบัติครบถ้วนจากคณะทำงานตรวจสอบประวัติความถูกต้องคุณสมบัติเรือประมงและเจ้าของเรือและได้รับการประเมินราคาชดเชยจากคณะทำงานประเมินราคาเรือประมงโดยมีวงเงินจำนวน1,806,334,900บาทซึ่งขณะนี้ผ่านการเสนอที่ต่อประชุมคณะทำงานกลั่นกรองการเยียวยาและดำเนินการตามมาตรการลดจำนวนเรือประมงเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนเมื่อวันที่28ธันวาคม2565ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งจะได้เสนอต่อดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป “ตามแผนบริหารจัดการประมงทะเลที่ครม.เห็นชอบไว้ตั้งแต่3พ.ย. 2558ในโครงการนำเรือออกนอกระบบเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินโครงการในระยะที่1และ2มีเรือที่นำออกนอกระบบและรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาไปเรียบร้อยแล้วจำนวน364ลำหากยังดำเนินการตามวิธีการเดิมจะต้องใช้เวลานับ10ปีจึงให้มีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการโครงการนำเรือออกนอกระบบด้วยวิธีใหม่จะใช้เวลาเพียงไม่เกิน3 - 6เดือนจะบรรลุเป้าหมายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต้องขอขอบคุณกรมประมงธ.ก.ส.และคณะทำงานกลั่นกรองการเยียวยาและดำเนินการตามมาตรการลดจำนวนเรือประมงเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนที่ดำเนินการจนผ่านขั้นตอนสำคัญๆและกรมประมงพร้อมนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาก่อนนำเสนอครม.ให้ความเห็นชอบต่อไปถือเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับชาวประมงที่รอคอยมาตั้งแต่ปี2558 ”นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​เตือนผู้ปกครอง พาเด็กอายุ 7 ปี ขึ้นไป ใช้สูติบัตรแสดงตัวขึ้นเครื่องบินไม่ได้!
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ​เตือนผู้ปกครอง พาเด็กอายุ 7 ปี ขึ้นไป ใช้สูติบัตรแสดงตัวขึ้นเครื่องบินไม่ได้! ​เตือนผู้ปกครอง พาเด็กอายุ 7 ปี ขึ้นไป ใช้สูติบัตรแสดงตัวขึ้นเครื่องบินไม่ได้! วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีประชาชนจำนวนมากเดินทางข้ามจังหวัดโดยเครื่องบิน จึงขอเตือนผู้ปกครองเรื่องการเตรียมเอกสารของเด็กที่ใช้สำหรับการยืนยันตัวตนก่อนขึ้นเครื่องบินภายในประเทศ โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี สามารถใช้เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นฉบับจริง เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเดินทาง ดังนี้ 1.สูติบัตร 2.บัตรประจำตัวผู้พิการ 3.ทะเบียนบ้าน 4.หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุสงฆ์และสามเณร 5.หนังสือเดินทาง (Passport) สำหรับผู้เดินทางที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 7 ปี จะต้องใช้เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นฉบับจริง ดังต่อไปนี้ 1.บัตรประชาชน 2.ใบขับขี่ 3.บัตรข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ 4.บัตรประจำตัวผู้พิการ 5.หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุสงฆ์และสามเณร 6.หนังสือเดินทาง (Passport) 7.บัตรประชาชนจิตอาสา ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวปฏิบัติในการตรวจสอบเอกสารของผู้โดยสาร สมาชิกลูกเรือ และผู้ถือบัตรเข้าพื้นที่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ก.อุตฯ เผย 6 เมกะเทรนด์ เปลี่ยนโลกธุรกิจในอีก 3 ปี แนะอุตสาหกรรมปรับตัวให้ทัน
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ​ก.อุตฯ เผย 6 เมกะเทรนด์ เปลี่ยนโลกธุรกิจในอีก 3 ปี แนะอุตสาหกรรมปรับตัวให้ทัน กระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับ 6 เมกะเทรนด์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมพุ่งเป้าปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด “Industry 4.0” ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูง กระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับ 6 เมกะเทรนด์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมพุ่งเป้าปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด “Industry 4.0” ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูง มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND เผย 6 เมกะเทรนด์ที่จะเข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการควรพัฒนาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 3 แนวทาง โดยแนวทางแรก คือ 2 เทรนด์ต้องเร่งทำ ได้แก่ 1) Digitalization หรือระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ทุกธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันกับการค้าในรูปแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เนื่องจากตลาดสินค้าและบริการในปัจจุบันกลายเป็น "ตลาดของผู้บริโภค" ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สินค้ามีการหมุนเวียนเร็วขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัว นำสินค้าเข้าสู่หน้าร้านออนไลน์ให้ไว ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความรวดเร็ว และ 2) Globalization หรือโลกาภิวัตน์ ที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน เป็นโอกาสและความท้าทายที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ ผู้ประกอบการควรศึกษาการเข้าสู่ตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตและขยายตลาดให้กว้างขึ้น พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยง ควบคุมปัจจัยการผลิตอย่างระมัดระวัง แนวทางที่ 2 คือ 2 เทรนด์ต้องเร่งเสริม ได้แก่ 1) New Technologies ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งทางด้านเทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลดิจิทัล และเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งความรวดเร็ว แม่นยำ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น และ 2) Collaborative Business Models การผสานความร่วมมือทางธุรกิจ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ การร่วมมือและช่วยเหลือพึ่งพากันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงและผลกำไรของกิจการระหว่างกันเป็นกลุ่มก้อนซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกภาคส่วน และแนวทางที่ 3 คือ 2 เทรนด์ต้องเร่งตระหนัก ได้แก่ 1) Aging Societies หรือสังคมผู้สูงวัย จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่าปี 2593 ผู้สูงอายุทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากปัจจุบัน เป็นตัวเลขมากกว่า 3,400 ล้านคน คิดเป็น 30 % ของประชากรโลก ภาคธุรกิจไม่ควรละเลยโอกาสทางการตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มชี้นำการบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน ลูกหลานที่มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้าเพื่อผู้สูงอายุมากขึ้น และ 2) BCG Economy บีซีจี โมเดล เทรนด์ธุรกิจใหม่ที่ผู้ประกอบการควรพัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งวางเป้าหมายการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และลดปัญหาโลกร้อนไปพร้อมกัน ซึ่งโมเดลธุรกิจนี้จะได้รับการตอบรับทั้งทางตรงโดยการสนับสนุนจากทางภาครัฐ และทางอ้อมจากความตื่นตัวของผู้บริโภคเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรม หรือ MIND พร้อมผลักดันและส่งเสริมผู้ประกอบการทุกธุรกิจให้สามารถร่วมเดินทางไปตามเทรนด์ของภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น หากภาคธุรกิจต้องการสร้างโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการปรับตัวเข้าหาเทรนด์ใหม่ ๆ เสมอ ซึ่ง 6 เมกะเทรนด์ข้างต้น จะเข้ามาบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจไทยใน 3 ปีข้างหน้า เป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักและปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชู “อภัยภูเบศร” สร้างงาน สร้างอาชีพ พึ่งพาตนเองด้วยศาสตร์แผนไทยและสมุนไพร ตามนโยบาย Health for Wealth
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 สธ. ชู “อภัยภูเบศร” สร้างงาน สร้างอาชีพ พึ่งพาตนเองด้วยศาสตร์แผนไทยและสมุนไพร ตามนโยบาย Health for Wealth ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชู “รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร” ใช้ศาสตร์แพทย์แผนไทยและสมุนไพร ดูแลสุขภาพประชาชน “สร้างงาน สร้างอาชีพ พึ่งพาตนเอง” ตามนโยบาย Health for Wealth เผยปี 2565 มีรายได้จากบริการแผนไทยกว่า 40 ล้านบาท จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรกว่า 600 ล้านบาท ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชู “รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร” ใช้ศาสตร์แพทย์แผนไทยและสมุนไพร ดูแลสุขภาพประชาชน “สร้างงาน สร้างอาชีพ พึ่งพาตนเอง” ตามนโยบาย Health for Wealth เผยปี 2565 มีรายได้จากบริการแผนไทยกว่า 40 ล้านบาท จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรกว่า 600 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายวัตถุดิบ เกิดการจ้างงาน พร้อมชู 6 เมนูอาหารเป็นยาจาก โคกหนองนา “ภัทร-ธรรมรักษ์นิเวศ” วันนี้ (30 ธันวาคม 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข คือ Health for Wealth นำเรื่องของสุขภาพโดยเฉพาะการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย มาใช้ขับเคลื่อนสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่มีความโดดเด่นด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร มีการพัฒนาและยกระดับงานด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร 3 ประเด็น คือ 1.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness ผ่านกิจกรรมและบริการของ “อภัยภูเบศร เดย์ สปา” และ “ภูมิภูเบศร” 2.การผลิตยาและสมุนไพรไทยสู่สากล โดยโรงงานผลิตยาสมุนไพรและมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่มีการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์กับเกษตรกรในประเทศ และ 3.การใช้นวัตกรรมสุขภาพและการส่งออก โดยการอบรมความรู้เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน และการวิจัยพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรและบริการ โดยทั้ง 3 ประเด็น มีการฝึกอบรมภายใต้แนวคิด “สร้างงาน สร้างอาชีพ พึ่งพาตนเอง” “ในปีงบประมาณ 2565 โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีผลงานเชิงบวกจากการให้บริการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โดยมีรายได้รวมจากการให้บริการแผนไทย 40 ล้านบาท ส่วนมูลนิธิฯ มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร 600 ล้านบาท มีการสั่งซื้อสมุนไพรจาก 8 กลุ่มเกษตรกร 2.4 แสนบาท จาก 11 กลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ 32.6 ล้านบาท มีผู้ผ่านการอบรมพัฒนาสู่ผู้ประกอบการ 70 คน และเกิดการจ้างงานด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยใน จ.ปราจีนบุรี 375 คน” นพ.โอภาสกล่าว ด้าน ดร.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า โรงพยาบาลมุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวมโดยใช้หลักของ 3 สมดุลสุขภาพ คือ เจ้าเรือน โครงสร้าง และระบบขับถ่าย โดยงานการแพทย์แผนไทยจะให้การดูแลในเชิงป้องกัน รักษา ฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพอย่างครอบคลุมเป็นองค์รวม ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการใช้สมุนไพร ส่วนการตรวจรักษา จะมีหัตถการทางการแพทย์แผนไทยและคลินิกหัตถเวชศาสตร์ที่มุ่งเน้นการให้บริการรักษาเฉพาะโรคอย่างตรงจุด ผ่านหัตถการที่หลากหลาย เช่น การเผายา พอกยา กักน้ำมัน เป็นต้น สำหรับบริการส่งเสริมสุขภาพ มีการพัฒนาเพื่อรองรับกับสถานการณ์สุขภาพปัจจุบันและกระแสสุขภาพ เช่น การดูแลหลังติดเชื้อโควิดด้วยการใช้หัตถการทางการแพทย์แผนไทยและการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ, โปรแกรม Deep Sleep ปรับสมดุลการนอนให้มีคุณภาพ ด้วยการใช้เทคโนโลยีองค์ความรู้และยาสมุนไพร, โปรแกรมการดูแลมารดาหลังคลอด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพมารดาให้กลับมาเป็นปกติพร้อมดูแลบุตร นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ Health & Wellness Tourism การอบรมเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรภาคประชาชนเพื่อการพึ่งตนเอง เช่น เรื่องอาหารเป็นยา โคกหนองนา “ภัทร-ธรรมรักษ์นิเวศ” ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพืชสมุนไพรกินได้กว่า 500 ชนิด ถือเป็นโมเดลความยั่งยืนทางธรรมชาติ เพื่อความมั่นคงทางยา อาหารและสุขภาพ โดยนำเสนอเป็นเมนูอาหารที่ดูแลระบบท้องไส้ ได้แก่ 1.ข้าวไรซ์เบอร์รี อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใยสูง จึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.ทอดมันใบบัวอ่อน ซึ่งใบบัวอ่อนมีสารที่มีคุณสมบัติทำให้หลับสบาย คลายเครียด คนปราจีนบุรีนิยมรับประทานเป็นผักสด ผักจิ้มน้ำพริก ใส่แกงคั่ว เมื่อนำมาผสมกับทอดมันจะช่วยลดความขม ทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น 3.ยำผักเป็ดแดงไก่ฉีก โดยต้นผักเป็ดแดง มีสรรพคุณฟอกและบำรุงโลหิต ในศรีลังกาใช้ต้มเป็นยาแก้ไข้และเป็นอาหารบำรุงของแม่ลูกอ่อน 4.ห่อหมกใบยอ โดยใบยออ่อนมีรสขมเล็กน้อย ช่วยลดความร้อนในร่างกายและมีแคลเซียมสูง5.แกงส้มผักรวม เป็นเมนูไขมันต่ำ ใยอาหารสูง ดีต่อระบบขับถ่าย รสเผ็ดร้อนจากเครื่องแกงช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และ 6.เฉาก๊วย แปะก๊วย รากบัว โดยรากบัวมีรสหวาน มีฤทธิ์เย็น ช่วยบรรเทาอาการร้อนในและกระหายน้ำ ************************************** 30 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้พิการ เฮ รมว.เฮ้ง ผลักดันสถานประกอบการจ้างงานคนพิการ แนะค้นหาลูกจ้างได้ที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ”
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ผู้พิการ เฮ รมว.เฮ้ง ผลักดันสถานประกอบการจ้างงานคนพิการ แนะค้นหาลูกจ้างได้ที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เท่าเทียม โดยการส่งเสริมให้คนพิการมีโอกาสใช้ความสามารถในการหารายได้และพึ่งพาตนเอง ลดภาระของครอบครัวและสังคม โดยกำหนดให้นายจ้าง สถานประกอบการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 มาตรา 33 ที่กำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการทั้งเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ขึ้นไป รับผู้พิการที่สามารถทำงานได้เข้าทำงาน 1 คน ต่อลูกจ้าง 100 คน ในส่วนกระทรวงแรงงานได้สนับสนุนให้เกิดการจ้างงานผู้พิการ โดยรวบรวมตำแหน่งงานว่างสำหรับผู้พิการ และผู้พิการที่ต้องการมีงานทำ มาไว้ในแหล่งเดียวกัน และเพิ่มทางเลือกในการใช้บริการจัดหางาน 2 ช่องทาง คือ ใช้บริการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวก ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อมาติดต่อราชการ “ที่ผ่านมามีนายจ้างจำนวนมากมีความประสงค์จะจ้างงานผู้พิการเข้าทำงานตามที่กฎหมายกำหนด แต่ยังไม่ทราบว่าจะค้นหาผู้พิการที่พร้อมทำงานและมีคุณสมบัติตามตำแหน่งที่ต้องการได้ที่ใด กรมการจัดหางานจึงได้รวบรวมผู้พิการที่ขึ้นทะเบียน และใช้บริการจัดหางานกับกรมฯ ไว้บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” เพื่อนายจ้าง สถานประกอบที่ต้องการรับผู้พิการเข้าทำงาน สามารถค้นหาผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าบริการ”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่าปีงบประมาณ 2565 มีผู้พิการในระดับวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา – ปริญญาโท ใช้บริการจัดหางานผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” จำนวน 1,415 คน ได้รับการบรรจุงาน จำนวน 1,166 คน มีรายได้จากการบรรจุงาน 142,928,400 บาทต่อปี โดยตำแหน่งงานสำหรับผู้พิการที่ได้รับการบรรจุงานมากที่สุด ได้แก่ เจ้าหน้าที่คลังสินค้า พนักงานบริการ พนักงานทำความสะอาด ดูแลสวน เจ้าหน้าที่สำนักงาน เป็นต้น โดยผู้พิการที่ต้องการมีงานทำ และนายจ้างสถานประกอบการที่ต้องการประกาศรับสมัครงานผู้พิการ สามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ซึ่งให้บริการทั้ง Web Application ที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th และ Mobile Application “แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นโดยกรมการจัดหางาน สำหรับคนหางานทุกกลุ่ม ทั้งนักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และทุกๆคน ซึ่งกำลังมองหางานที่เหมาะสมกับตนเอง โดยรวบรวมตำแหน่งงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตำแหน่งงานจากบริษัทจัดหางานชั้นนำไว้หลายตำแหน่ง เพื่อคนหางานสามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ด้วยการ Matching ตำแหน่งงานตามความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่ รวมทั้งมีการให้บริการสำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ต้องการประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งที่ต้องการ รวมถึงตำแหน่งงานสำหรับผู้พิการด้วย”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63284
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เปิดงาน "เชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด "จากวันนั้น..สู่วันนี้...ที่รอคอย"" ชื่นชมเป็นงานที่สะท้อนความสำคัญการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 ปลัดมหาดไทย เปิดงาน "เชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด "จากวันนั้น..สู่วันนี้...ที่รอคอย"" ชื่นชมเป็นงานที่สะท้อนความสำคัญการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ปลัด มท.เปิดงาน "เชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด "จากวันนั้น..สู่วันนี้...ที่รอคอย"" ชื่นชมเป็นงานที่สะท้อนความสำคัญการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจเมืองเชียงราย และรักษาสิ่งแวดล้อม ปลัดมหาดไทยเปิดงาน "เชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด "จากวันนั้น..สู่วันนี้...ที่รอคอย"" ชื่นชมเป็นงานที่สะท้อนความสำคัญการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจเมืองเชียงราย และรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 เวลา 19.00 น. ที่สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ 75 พรรษา เทศบาลนครเชียงราย ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด "จากวันนั้น..สู่วันนี้...ที่รอคอย" โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ นางมนสิการ สำราญสำรวจกิจ กรรมการสมาคมแม่บ้านตำรวจ นางนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง นายสมหวัง บุญระยอง นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ นายวราดิศร อ่อนนุช นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พันเอก จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย ฝ่ายทหาร พลตำรวจตรี ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอทุกอำเภอ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครเชียงรายและนายกสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย พนักงานเทศบาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และพี่น้องประชาชนกว่า 2,000 คน ร่วมในงาน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตนไม่เคยลืมบรรยากาศแห่งความสวยงามของหมู่มวลดอกไม้ในงานเชียงรายดอกไม้งามของเทศบาลนครเชียงรายที่ตนได้รับเกียรติจากเทศบาลนครเชียงรายให้มาเป็นประธานเปิดงานในปีก่อน ๆ แต่ในวันนี้ หมู่มวลดอกไม้งามสวยงามยิ่งกว่าปีไหน ๆ ที่ตนได้มาเยือน ด้วยจินตนาการที่เลอเลิศ ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ ด้วยความรู้ความสามารถ และด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนชาวเขาของท่านรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครเชียงรายและนายกสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงราย ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ที่เป็นผู้ริเริ่มจัดงานเชียงรายดอกไม้งามเมื่อ 19 ปีก่อน และท่านวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ซึ่งเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และมีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องชาวเทศบาลนครเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาที่ถือเป็นต้นแบบขององค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งประเทศ ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลนครเชียงรายที่เป็นการพัฒนาคนทุกช่วงวัยครอบคลุมการพัฒนาศักยภาพในทุกด้าน "งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามเป็นการตอกย้ำถึงนโยบายการให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนเชียงราย ด้วยการส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนเกษตรกรช่วยกันเพาะไม้ดอกไม้ประดับเหล่านี้แล้วมาเบ่งบานในช่วงเวลานี้ ซึ่งนับเป็นการวางแผนที่ดี และทำให้เศรษฐกิจชุมชนมีความเข้มแข็ง ทำให้เม็ดเงินที่ได้รับการจัดสรรเกิดประโยชน์เพราะพี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำ และเมื่อถึงห้วงเวลาของการต้องเปลี่ยนดอกไม้เหล่านี้ เทศบาลนครเชียงรายก็ได้มีการวางแผนที่จะนำเอาเศษวัสดุที่เป็นซากพืชที่จำเป็นต้องเปลี่ยนตามอายุของดอกไม้ไปทำขยะเปียก โดยการนำไปลงถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อที่จะทำปุ๋ยหมักหรือสารบำรุงดิน และเป็นการตอกย้ำว่าเทศบาลนครเชียงรายเป็นภาคีเครือข่ายร่วมกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในการเป็นผู้ที่ใส่ใจที่จะช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อนอันเกิดจากการปลดปล่อยก๊าซเสียขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ และยังเป็นการช่วยสนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่อง BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่เป็นวาระแห่งชาติ ให้เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่าควบคู่กับการรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายที่เราเลิกใช้ไม่ไปเป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้ประสานงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยว่า "76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมายการพัฒนา (UN SDGs)" และขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้เกิดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ที่จะช่วยทำให้การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายคึกคัก ช่วยทำให้เศรษฐกิจของเชียงรายเพิ่มความเข้มแข็ง และที่สำคัญทำให้คนเชียงรายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของความเป็นผู้นำในการ Change for Good ให้เกิดขึ้นกับพื้นที่อย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครเชียงรายและนายกสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งานเชียงรายดอกไม้งามเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2547 ขณะดำรงค์ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หลังจากได้ลงพื้นที่พบปะกับประชาชนตามท้องที่ต่าง ๆ เช่น อ.แม่จัน ดอยผาหม่น อ.เวียงแก่น สามารถปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้งดงามไม่แพ้ต่างประเทศ จึงได้มีแนวคิดนำดอกไม้มาเป็นสื่อในการบ่งบอกถึงเมืองเชียงราย และได้รวบรวมดอกไม้ไปจัดงานครั้งแรกที่ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร จ.เชียงราย ในปีถัดมาย้ายไปยังหาดเชียงราย และสวนไม้งามริมน้ำกก ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จนกระทั่งมาจัดที่สวนตุงและโคมนครเชียงรายในปัจจุบัน ซึ่งในแต่ละปีก็จะจัดประดับตกแต่งให้มีความแตกต่างกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีความประทับใจด้วยดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงราย และเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ให้เป็นที่รู้จักและจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า เทศบาลนครเชียงรายขอขอบคุณ ท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และทุกภาคส่วนที่ส่งเสริมสนับสนุนการจัดงานเทศกาลดอกไม้งาม ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึง 29 มกราคม 2566 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย เผยแพร่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างอัตลักษณ์ให้กับจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความประทับใจให้กับพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายที่สำคัญ คือ จังหวัดเชียงรายและส่วนราชการต่าง ๆ สถาบันการศึกษา และทุกภาคส่วน จึงขอขอบคุณในความกรุณาของทุก ๆ ฝ่าย และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนได้ร่วมกันสืบสาน ร่วมกันสร้างสรรค์งานเช่นนี้ให้คงอยู่ตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน ประกาศปี 66 เป็นปีสุขภาพสูงวัย คิกออฟนโยบายผ่านของขวัญปีใหม่เชิญชวนผู้สูงอายุติดต่อรับ ผ่าน อสม. หรือหน่วยบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 รองนายกฯ อนุทิน ประกาศปี 66 เป็นปีสุขภาพสูงวัย คิกออฟนโยบายผ่านของขวัญปีใหม่เชิญชวนผู้สูงอายุติดต่อรับ ผ่าน อสม. หรือหน่วยบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน คัดกรองสุขภาพ เข้ารับบริการคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาล มอบแว่นสายตา 1 ล้านชิ้น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 5 ล้านชิ้น ฟันเทียมและรากฟันเทียม 36,000 ราย วันที่ 30 ธันวาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องจากในปี 2566 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ด้วยจำนวนประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จำนวน 12 ล้านคน รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขจึงดำเนินนโยบายหลายเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ประกาศให้ปี 2566 เป็นปีแห่ง “สุขภาพสูงวัยไทย” และเริ่มขับเคลื่อนโยบายจากการมอบของขวัญปีใหม่ตลอดปีหลายรายการ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุทั่วประเทศเข้ารับของขวัญ โดยติดต่อผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) หรือหน่วยบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน อาทิ การคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ การจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลทุกระดับ มอบวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ แว่นสายตาจำนวน 1 ล้านชิ้น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ จำนวน 5 ล้านชิ้น ฟันเทียมและรากฟันเทียม จำนวน 36,000 ราย ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อส่งมอบของขวัญปีใหม่แก่ผู้สูงอายุนี้ จะเป็นการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ผ่านการมอบหมายให้ อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ดำเนินการคัดกรองผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งโดยเจ้าหน้าที่และแอปพลิเคชั่น Blue Book Application จากนั้นจะส่งต่อผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเข้ารับบริการในคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่จะประเมินความจำเป็นในการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นจะจัดหาอุปกรณ์ซึ่งสนับสนุนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ที่สนับสนุนแว่นสายตา ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ แผ่นรองซับ แผ่นเสริมซึมซับการขับถ่าย ฟันเทียมและรากฟันเทียม ด้วยงบประมาณกองทุนต่างๆ มอบแก่ผู้สูงอายุต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย จ.ขอนแก่น มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 อนุทิน เผย จ.ขอนแก่น มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่ จ.ขอนแก่น เผย มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในทุกอำเภอ ทำงานร่วมกับศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่ จ.ขอนแก่น เผย มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในทุกอำเภอ ทำงานร่วมกับศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมจัดหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน 246 หน่วย ดูแลประชาชน และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สายด่วน “1669”, สิทธิ UCEP ให้ประชาชนรับทราบต่อเนื่อง วันนี้ (30 ธันวาคม 2565) ที่ จังหวัดขอนแก่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมจุดบริการและศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุและให้บริการประชาชน และติดตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลขอนแก่น โดยนายอนุทินกล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนส่วนใหญ่มักเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นจุดหมายปลายทางที่มีผู้เดินทางมากที่สุด ประกอบกับปีนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีข้อจำกัดด้านการเดินทางเพื่อป้องกันควบคุมโรค จึงคาดว่าจะมีผู้เดินทางและนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลประชาชน ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2566 ทั้งห้องผ่าตัด สำรองเตียง เลือด ยาและเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขประจำจังหวัด นายอนุทินกล่าวต่อว่า จังหวัดขอนแก่นมีการเตรียมพร้อมรับมือเป็นอย่างดี ทั้งการประชาสัมพันธ์เรื่องการปฏิบัติตามพ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สายด่วน “1669” โทรฟรี “ห้ามโทรเล่น”, สิทธิ UCEP ให้ประชาชนได้รับทราบ ในส่วนของโรงพยาบาลได้เตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินทุกระดับรวม 246 หน่วย เน้นเข้าถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการความปลอดภัยของรถพยาบาลและผู้ปฏิบัติงาน ในรูปแบบ New Normal เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 รวมถึงมีระบบส่งต่อผู้ป่วยที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และให้ศูนย์สื่อสารและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 เตรียมแผนรองรับกรณีอุบัติเหตุกลุ่มชน พร้อมทั้งตรวจสอบอุปกรณ์สื่อสารให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง, ให้ทุกอำเภอรวบรวมข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน บันทึกในระบบรายงานตามที่กำหนด และร่วมมือตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ทุกรายตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอหรือส่งตัวมา นอกจากนี้ ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในทุกอำเภอ และประสานความร่วมมือกับศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งระดับจังหวัด และระดับอำเภอ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2565 –5 มกราคม 2566 รวมถึงทำงานร่วมกับ อสม. ในการคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกมาขับขี่บนท้องถนน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงทุกเขตสุขภาพอยู่อำนวยการประจำพื้นที่ และให้ผู้บริหาร ทั้งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีทุกกรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข และสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการดูแลประชาชนตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 *********************************************** 30 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชวนเที่ยวชม 5 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ฟรี เป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงการคลัง ได้แล้ววันนี้ -15 มกราคม 66 หนุนต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยซอฟต์พาวเวอร์
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2565 30/12/2565 "ทิพานัน" ชวนเที่ยวชม 5 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ฟรี เป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงการคลัง ได้แล้ววันนี้ -15 มกราคม 66 หนุนต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยซอฟต์พาวเวอร์ "ทิพานัน" ชวนเที่ยวชม 5 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ฟรี เป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงการคลัง ได้แล้ววันนี้ -15 มกราคม 66 หนุนต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ตามนโยบาย'พล.อ.ประยุทธ์' วันที่ 30 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวาระปีใหม่ 2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ผลักดันโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านโครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน โดยไม่เก็บค่าเข้าชมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ซึ่งนอกจากมอบความสุขให้ประชาชนแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่ภารกิจและความรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ให้รู้จักแพร่หลายมากขึ้น น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันพบว่า เทรนด์ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจการท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ประวัตศาสตร์ วัฒนธรรม พัฒนาการด้านต่างๆ เป็นแรงบันดาลใจต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ และยังส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการ อีกทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยซอฟต์พาวเวอร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย ร่วมเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 15 มกราคม 2566 ได้แก่ 1.พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครโทร. 0 2282 0818 พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ 02 282 0818 แผนที่ : https://g.co/kgs/Mjr7BN 2.พิพิธบางลำพู ถนนพระสุเมรุ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2281 9828 แผนที่ : https://g.co/kgs/nuKupc 3.พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0 5322 4237 แผนที่ : https://g.co/kgs/XRw2D4 4.พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น ถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โทร. 09 3124 6914 แผนที่ : https://g.co/kgs/Ruw22B 5.พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดสงขลา ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โทร. 0 7430 7071 แผนที่ : https://g.co/kgs/tWhTyu
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/63279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำเร็จการประชุม ADMM Retreat & 9th ADMM-Plus วันที่ 22 - 23 พฤศจิกายน 2565 ณ ประเทศกัมพูชา
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ผลสำเร็จการประชุม ADMM Retreat & 9th ADMM-Plus วันที่ 22 - 23 พฤศจิกายน 2565 ณ ประเทศกัมพูชา ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน พร้อมซักซ้อมกระบวนการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ชื่นชมพี่น้องประชาชนขับเคลื่อนปฏิบัติจนเ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน พร้อมซักซ้อมกระบวนการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ชื่นชมพี่น้องประชาชนขับเคลื่อนปฏิบัติจนเ มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน พร้อมซักซ้อมกระบวนการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ชื่นชมพี่น้องประชาชนขับเคลื่อนปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต วันนี้ (2 ธ.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตนได้มอบหมายให้อาจารย์สุจิตรา ศรีนาม ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านการขับเคลื่อนการจัดการขยะต้นทางและการจัดทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ลงพื้นที่ซักซ้อมกระบวนการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body :VVB) ณ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านปรก จ.สมุทรสงคราม เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้า รับฟังปัญหา และให้คำแนะนำการขับเคลื่อนโครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน ร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ จากสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมี นายชำนาญ มีขำ รักษาราชการแทนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม นางวลัยพรรณ กิติลือ ท้องถิ่นอำเภอเมืองสมุทรสงคราม นายชนะ อินทรโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านปรก ภาคีเครือข่าย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมให้การต้อนรับ อาจารย์สุจิตรา ศรีนาม ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ให้ความสำคัญในการดำเนินการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะครบวงจรตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยได้นำข้อสั่งการของพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการดำเนินการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขับเคลื่อนถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อให้สอดคล้งกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดการมูลฝอย(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2565 ขับเคลื่อนการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการจัดการขยะมูลฝอยของ อปท. ซึ่งการมาตรวจติดตามในวันนี้ไม่ได้เป็นการมาตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการมาเพื่อรับรู้รับฟังปัญหาของการปฏิบัติงานของคนในพื้นที่ และพี่น้องประชาชนซึ่งเข้าร่วมการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ อยากให้เกิดการตระหนักรู้ของคนในพื้นที่ สร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง ให้ข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานนำข้อมูลความรู้ต่างๆ ไปเผยแพร่ให้ชาวบ้านได้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง เกิดเป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่าย โดยเริ่มต้นขับเคลื่อนโครงการจากครอบครัวสู่ชุมชน และขยายผลไปยังวัด โรงเรียน หรือ รพ.สต. ในเขต เพื่อให้โครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน เกิดความยั่งยืน และมีการต่อยอดโครงการฯ ต่อไป "จากการลงพื้นที่ ชุมชนหมู่ 1 และหมู่ 10 ในเขต อบต.บ้านปรก พบว่า ชาวบ้านมีความกังวลในเรื่องของกลิ่นจากถังขยะเปียก ซึ่งคณะทำงานได้อธิบายถึงกระบวนการของการทำถังขยะเปียก และให้คำแนะนำแก่ชาวบ้าน โดยให้ชาวบ้านกวนเศษอาหารในถังขยะเปียกให้บ่อยขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มอากาศเข้าไปในถัง คนให้เศษอาหารใหม่ลงไปก้นถัง เพื่อให้เศษอาหารใหม่ได้ย่อยสลายได้เร็วมากขึ้น และพบว่า ในบางครัวเรือนมีพื้นที่ที่ไม่สามารถจัดทำถังขยะเปียกในบริเวณครัวเรือนของตนเองได้ ผู้บริหารท้องถิ่นได้มีการจัดให้มีถังขยะเปียกในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้ชาวบ้านสามารถเดินนำเศษอาหารไปใส่ในถังขยะเปียกได้" อ.สุจิตราฯ กล่าว อ.สุจิตรา ศรีนาม กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอชื่นชมพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ได้มีการนำข้อมูลความรู้ที่ตนเองได้รับมาประยุกต์ใช้ และปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต เช่น การนำสารบำรุงดินที่ได้จากขยะเปียกไปใช้บำรุงต้นไม้ ส่งผลให้ต้นไม้ออกดอกออกผล นำผลผลิตที่ได้มารับประทานในครัวเรือน เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และได้พบเห็นชาวบ้านที่สามารถสร้างรายได้จากการคัดแยกขยะในครัวเรือนของตนเอง ทั้งนี้ การจัดทำถังขยะเปียกจะช่วยลดการปนเปื้อนระหว่างขยะเปียกและขยะแห้งที่ต้นทาง ส่งผลต่อการลดขยะที่จะนำเข้าสู่กระบวนการกลางทางและปลายทางต่อไป เป็นผลดีโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายของท้องถิ่นซึ่งต้องรับผิดชอบค่าบริหารจัดการขยะเป็นจำนวนมากอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานกาชาดประจำปี ๒๕๖๕
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานกาชาดประจำปี ๒๕๖๕ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยพาครอบครัวมาร่วมเล่นกิจกรรมร่วมทำบุญสร้างความสุขไปด้วยกัน ในระหว่างวันที่ ๘ - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ซึ่งได้กำหนดการจัดงานในรูปแบบ Hybrid Event ผสมผสานระหว่างการจัดงานในรูปแบบ On Ground ณ สวนลุมพินี และการจัดงานในรูปแบบ Online ผ่านทาง www.งานกาชาด.com สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาที่สวนลุมพินีได้ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบ New Normal ที่เปลี่ยนไปของประชาชน แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของงานกาชาดประจำปี ๒๕๖๕
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาคมธนาคารไทย” ออกแนวทางการให้บริการทางการเงินแก่ผู้พิการทางสายตา
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 “สมาคมธนาคารไทย” ออกแนวทางการให้บริการทางการเงินแก่ผู้พิการทางสายตา สมาคมธนาคารไทยจัดทำมาตรฐานแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน สำหรับการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าผู้พิการทางสายตาอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ภาคธนาคารมีแนวทางการให้บริการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เหมาะสม และมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันในแต่ละธนาคาร สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมของประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคม ตามแนวทางการธนาคารเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงาน (Road Map) ของสมาคมฯ โดยจัดทำมาตรฐานแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน สำหรับการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าผู้พิการทางสายตาอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ภาคธนาคารมีแนวทางการให้บริการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เหมาะสม และมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันในแต่ละธนาคาร เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการได้รับบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ดังนี้ • การยืนยันตัวตน 1. อำนวยความสะดวกให้ผู้พิการทางสายตา ใช้บัตรประชาชนเปิดบัญชีและทำธุรกรรมการเงินได้เช่นเดียวกับลูกค้าทั่วไป เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล ผ่านการตรวจสอบสถานะบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐ 2. ในกรณีที่บัตรประชาชนไม่สามารถ Dip Chip ได้ ลูกค้าสามารถใช้เอกสารอื่นประกอบ เช่น ทะเบียนบ้าน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวคนพิการ • การใช้พยานในการเปิดบัญชี 1. อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา โดยให้พนักงานเป็นพยานให้ กรณีที่ผู้พิการไม่สะดวกนำพยานมาเอง ซึ่งพิจารณาตามความประสงค์ของลูกค้าเป็นหลัก 2. หากผู้พิการทางสายตาไม่สามารถเขียนหนังสือ หรือ ลงลายมือชื่อ ธนาคารจะพิจารณาใช้วิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดทดแทนการลงลายมือชื่อ เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือ ทำแกงได (รอยกากบาท หรือรอยขีดเขียน ซึ่งบุคคลทำลงในเอกสารแทนลายมือชื่อ) หรือ ใช้ตราประทับ โดยให้พยานฝั่งใดก็ได้เป็นพยานรับรองรวมสองคน ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติดังกล่าวธนาคารสมาชิกสามารถพิจารณา นำไปปรับใช้ได้กับทุกประเภทบัญชี / ธุรกรรม / บริการ ที่ธนาคารให้บริการเหมือนบุคคลทั่วไป โดยธนาคารอาจพิจารณามาตรการเสริมเพิ่มเติมตามการพิจารณาของแต่ละธนาคาร รวมถึงการยืนยันตัวตนในรูปแบบอื่น ๆ ที่คำนึงถึงความสะดวกของลูกค้า ธนาคารสมาชิกจะเริ่มนำแนวปฏิบัติของสมาคมฯ ไปพิจารณาเพื่อปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในแต่ละธนาคาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 เป็นต้นไป โดยลูกค้าสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ของธนาคารสมาชิก หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของธนาคารที่ใช้บริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ยืนยันตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดในระบบให้นานที่สุด ตอกย้ำจุดยืน “กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 EXIM BANK ยืนยันตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดในระบบให้นานที่สุดตอกย้ำจุดยืน “กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” จากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย EXIM BANK ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ให้นานที่สุดในอัตรา Prime Rate 5.75% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีจาก 1.00% เป็น 1.25% ต่อปี EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยังตอกย้ำจุดยืน “EXIM BANK กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ให้นานที่สุดในอัตรา Prime Rate 5.75% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ ควบคู่กับการจัดให้มีมาตรการช่วยเหลือและโปรโมชันพิเศษอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศและตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะคนตัวเล็กในกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากและ SMEs ให้สามารถอยู่รอดและดำเนินธุรกิจได้ รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจการค้าการลงทุนในเวทีโลกได้อย่างมั่นใจและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทยอย่างยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในโลกยุค Next Normal 1 ธันวาคม 2565 ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจงเกี่ยวกับการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กระทรวงการคลังชี้แจงเกี่ยวกับการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กรมสรรพากรอำนวยความสะดวกให้พ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ ที่เป็นบุคคลธรรมดาและต้องการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สามารถใช้ที่อยู่ในอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมขอจดทะเบียน VAT ผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการออมเพื่อเกษียณอายุ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนที่ 4 ถัดจากเดือนที่พระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา (Grace Period ประมาณ 90 วัน)” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และต้องการลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยกเว้นการจัดเก็บมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยแบ่งการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะเป็น 2 ช่วง ในอัตรา ดังนี้ ช่วงที่ 1 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.05 (ร้อยละ 0.055 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ช่วงที่ 2 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.1 (ร้อยละ 0.11 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ยังคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่ 1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น 2. สำนักงานประกันสังคม 3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 5. กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน 6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ 7. กองทุนการออมแห่งชาติ 8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3 – 7 เท่านั้น อนึ่ง ในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีนี้ กฎหมายได้กำหนดให้สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ (Broker) ที่เป็นตัวแทนของผู้ขายมีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขายและยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีในนามตนเองแทนผู้ขาย โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก” การยกเลิกการยกเว้นภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงขึ้นจากร้อยละ 0.17 เป็นร้อยละ 0.22 แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยต่ำกว่าของมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.29 และของฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.38 แต่อาจสูงกว่าของสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 0.20 เล็กน้อย ทั้งนี้ ในปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่มีการลดอัตราภาษีเหลือ ร้อยละ 0.055 ต้นทุนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 0.195 ซึ่งใกล้เคียงกับของสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีดังกล่าวนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะยาว อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากที่ได้มีการนำเสนอข่าวการเก็บภาษีหุ้นว่าจะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ เป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริง คือ มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทําการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ ซึ่งการยกเว้นดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลี สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เอง (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​พิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธ.ค. 65)
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ​พิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธ.ค. 65) เช้าวันนี้ (วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 เวลา 8.30 น.) พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล และพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธ.ค. 65) ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ โดยในตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ ปวงพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์สร้างความผาสุกร่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมือง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายพันโครงการ และหลักในการดำเนินชีวิตทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพระราชดำรัสที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ ได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ยึดถือปฏิบัติให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้พสกนิกรชาวไทยจักขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี เพื่อร่วมกันพัฒนาและสรรค์สร้างสังคมไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฐานการผลิตรถ EV ในภูมิภาค พร้อมเร่งผนวกเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางสู่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และนโยบาย EV
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฐานการผลิตรถ EV ในภูมิภาค พร้อมเร่งผนวกเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางสู่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และนโยบาย EV โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฐานการผลิตรถ EV ในภูมิภาค พร้อมเร่งผนวกเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางสู่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และนโยบาย EV และพลังงานทดแทน วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ด้วยนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่วางแนวทางในการพัฒนาประเทศให้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) และมีการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผนวกเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางสู่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และความสอดคล้องเชิงนโยบายกับนโยบาย EV และพลังงานทดแทน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเร่งผลักดันแนวทางพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นสีเขียว รวมทั้งเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผ่านนโยบาย [emailprotected] เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน โดยภาคเอกชนตอบรับนโยบายและแนวทางสนับสนุนดังกล่าวของรัฐบาลเป็นอย่างดี มีนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยมากขึ้น โดยบทวิจัยล่าสุดของ Arthur D. Little (ADL) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก (https://www.adlittle.com/en/insights/report/global-electric-mobility-readiness-index-gemrix-2022) เปิดเผย ‘ดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index - GEMRIX)’ ประจำปี 2022 ว่า ไทยอยู่ในลำดับที่ 9 และถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ ‘ตลาด EV กำลังเติบโต’ (Emerging EV Markets) มีคะแนนระหว่าง 40 - 60 คะแนน ซึ่งการสำรวจก่อนหน้าในปี 2018 ไทยอยู่ในอันดับที่ 13 แสดงให้เห็นว่า ในระยะเวลา 4 ปี ไทยมีพัฒนาการไปในทางบวกหลายอย่าง อาทิ นโยบายสนับสนุนที่เหมาะสมต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อใช้รองรับอุตสาหกรรม EV และวิถีใหม่ของผู้บริโภค ซึ่ง ADL ยังมองและเชื่อมั่นว่า ไทยจะยังสามารถเป็นผู้นำด้านการผลิต EV ในระดับภูมิภาคได้ แม้จะยังมีความท้าทายบางประการอยู่อีก “รัฐบาลขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้ทำให้อุตสาหกรรมรถ EV ของไทยอยู่ในช่วงเติบโต ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุน และออกนโบายที่เหมาะสม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม เตรียมการรองรับความต้องการวิถีใหม่และเพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคในอนาคต โดยรัฐบาลพร้อมเดินหน้า รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนถึงแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมถึงขยายการลงทุนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม เพื่อความสมดุลของการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมศักยภาพของคนพิการ ขอมีจิตใจที่เข้มแข็งก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จ ยืนยันรัฐบาลมุ่งมั่นสร้าง “สังคมแห่งโอกาส” ที่เสมอภาคและเท่าเทียม
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมศักยภาพของคนพิการ ขอมีจิตใจที่เข้มแข็งก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จ ยืนยันรัฐบาลมุ่งมั่นสร้าง “สังคมแห่งโอกาส” ที่เสมอภาคและเท่าเทียม นายกฯ ชื่นชมศักยภาพของคนพิการ ขอมีจิตใจที่เข้มแข็งก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จ ยืนยันรัฐบาลมุ่งมั่นสร้าง “สังคมแห่งโอกาส” ที่เสมอภาคและเท่าเทียม หวังยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทุกคนสู่ความสำเร็จ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดงาน “วันคนพิการสากล ประจำปี 2565” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คนพิการต้นแบบ และหน่วยงาน องค์กร ที่สนับสนุนงานด้านคนพิการ ประจำปี 2565 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ผู้แทน UN Resident Coordinator and UNDP Resident Representative คนพิการต้นแบบ อาสาสมัคร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานด้านคนพิการ เข้าร่วมงาน ซึ่งนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้การต้อนรับ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คนพิการต้นแบบ และหน่วยงาน องค์กร ที่สนับสนุนงานด้านคนพิการ ประจำปี 2565 จำนวน 135 รางวัล ประกอบด้วย 1) คนพิการต้นแบบ จำนวน 80 รางวัล 2) Global IT Challenge for youth with disabilities จำนวน 8 รางวัล 3) รางวัลสถานีโทรทัศน์ที่ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสำหรับคนพิการ จำนวน 1 รางวัล 4) องค์กรด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฯ (มอพ. 2554) ระดับดีมาก จำนวน 3 รางวัล และ 5) องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการ ระดับดีเยี่ยม จำนวน 43 รางวัล จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 พร้อมแสดงความยินดีกับคนพิการต้นแบบ หน่วยงานองค์กรที่ได้รับรางวัลการสนับสนุนงานด้านคนพิการ ประจำปี 2565 และขอบคุณสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรภาครัฐ เอกชน องค์กรด้านคนพิการ ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่มีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพของผู้พิการ ส่งเสริม และสนับสนุนให้คนพิการได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม พร้อมแสดงความชื่นชมศักยภาพของคนพิการทุกคน และขอบคุณที่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในจิตใจ ที่เป็นพลังสำคัญทำให้ความพิการไม่เป็นอุปสรรคในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสและสร้างความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมให้กับทุกคน พร้อมร่วมเป็นกำลังใจและดูแลทุกคนให้ดีที่สุดเพื่อไปสู่การเป็น “สังคมแห่งโอกาส” โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้มีการปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการ เพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมและทั่วถึง มีการทบทวนแก้ไขระเบียบฯ ให้สามารถเข้าถึงการขึ้นทะเบียนได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มีการพัฒนาระบบศูนย์บริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ณ โรงพยาบาล ซึ่งได้มีการจัดตั้งนำร่องกับโรงพยาบาลทั่วประเทศอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ตลอดจนการพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน “บัตรประจำตัวคนพิการดิจิทัล” ซึ่งผู้พิการทุกคนสามารถยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการผ่านบัตรดิจิทัลได้เสมือนบัตรจริง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาและส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำกว่า 70,000 ราย การปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้กับคนพิการ กว่า 3,000 ราย และริเริ่มโครงการจัดหาครอบครัวอุปการะให้กับคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้อยู่กับครอบครัว รวมทั้งยังให้สิทธิคนพิการและผู้ดูแลคนพิการในการรับสัมปทานพื้นที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ รวมกว่า 14,000 ราย และสามารถสร้างรายได้ให้แก่คนพิการมากกว่า 1,661 ล้านบาทต่อปี นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมเอเปคที่ผ่านมาได้มีการรับรองเอกสาร “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของไทย โดยภาครัฐและภาคเอกชนต่างเห็นตรงกันว่าการนำพาประเทศไปสู่ความเจริญจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งรวมไปถึงผู้พิการทุกคนที่จะต้องได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งในด้านความเท่าเทียม การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงการสร้างความเข้มแข็งและขีดความสามารถต่าง ๆ ดังนั้น ในปี 2566 จึงถือว่าเป็นปีที่สำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการ โดยการสานต่อและขยายผลโครงการเดิมให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนงานให้สอดคล้องกับปฏิญญาจาการ์ตาว่าด้วยทศวรรษคนพิการแห่งเอเชีย และแปซิฟิก พ.ศ. 2566-2575 เพื่อมุ่งหวังให้คนพิการได้รับสิทธิสวัสดิการอย่างทั่วถึง นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ในปีนี้รัฐบาลจะมีการประกาศแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2566 - 2570) ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างการมีส่วนร่วมและการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสเพื่อส่งเสริมให้คนพิการสามารถดำรงชีวิตบนพื้นฐานศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และส่งเสริมความเสมอภาคเป็นธรรมอย่างทั่วถึงเท่าเทียม และสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิทธิได้อย่างแท้จริง พร้อมขอให้การจัดงานบรรลุผลสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และมีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาในการประกอบภารกิจต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติสืบไป ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการ “วันคนพิการสากล ประจำปี 2565” การจัดแสดงสาธิตการฝึกวิชาชีพ การให้บริการทำบัตรประจำตัวคนพิการแบบดิจิทัล การแสดงความสามารถของคนพิการ เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงต้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังการนำเสนอ Code the PWDs Future : เทคโนโลยีแบบไหนที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการไทย โดยนายปุณพจน์ เอื้อพลิศาน์ คนพิการทางการมองเห็น ปัจจุบันทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้โอกาสคนพิการได้ทำงาน ซึ่งในปัจจุบันคนพิการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาไปทำให้คนพิการได้รับโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านการทำงาน การศึกษา และการใช้ชีวิต โดยเทคโนโลยีมากมายทำให้ชีวิตของคนพิการเป็นอิสระมากขึ้น เช่น ผู้พิการตาบอดมีโปรแกรมอ่านหน้าจอ ที่สามารถทำให้คนตาบอดใช้คอมพิวเตอร์ได้เหมือนคนปกติ สามารถศึกษาหาความรู้และประกอบอาชีพได้ มีวีลแชร์ไฟฟ้า ที่ช่วยให้ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวก นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยคนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หยิบจับ สื่อสาร และประกอบอาชีพได้อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งการรออกแบบเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการไทย จะมีส่วนช่วยดึงศักยภาพของผู้พิการออกมาได้เป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดณัฐพลฯ ร่วมงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระวันรัต
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ปลัดณัฐพลฯ ร่วมงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระวันรัต ปลัดณัฐพลฯ ร่วมงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระวันรัต วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมงานพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) กรรมการมหาเกรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรตั้งเป้า ปี 68 ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ชวนประชาชนร่วมเป็นอาสาปศุสัตว์เฝ้าระวังโรคฯ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กระทรวงเกษตรตั้งเป้า ปี 68 ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ชวนประชาชนร่วมเป็นอาสาปศุสัตว์เฝ้าระวังโรคฯ กระทรวงเกษตรตั้งเป้า ปี 68 ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ชวนประชาชนร่วมเป็นอาสาปศุสัตว์เฝ้าระวังโรคฯ วันที่ 2 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย “ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้าภายในปี 2568” ตามโครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากพิษสุนัขบ้า ซึ่งทางกรมปศุสัตว์ มีแนวทางแก้ปัญหาโรคนี้โดยมุ่งเน้นการควบคุมประชากรสุนัขและแมว และสัตว์ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนสุนัขและแมวเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังส่งเสริมความตระหนักรู้เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าให้ประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงรวมถึงการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบและไม่ปล่อยทิ้งสัตว์ในพื้นที่สาธารณะ ทั้งนี้ สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าปี 2565 ข้อมูล ณ วันที่ 25 พ.ย. มีรายงานพบจากการสุ่มตรวจจำนวนสัตว์ที่มีเชื้อรวม 210 ตัว คิดเป็นร้อยละ 5 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ขณะที่ปี 2561 สูงถึงร้อยละ 15 ผู้เสียชีวิต 18 ราย รองโฆษกฯกล่าวต่อว่า เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย “ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้า” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งบูรณาการการทำงานกับภาคส่วนต่างๆและประชาชนในการสร้างอาสาปศุสัตว์รุ่นใหม่และพัฒนาอาสาปศุสัตว์เดิมที่มีอยู่แล้วให้มีความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะในการปฏิบัติงานด้านการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าครอบคลุมในทุกพื้นที่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้จัดโครงการฝึกอบรมเพื่อสร้างและพัฒนาศักยภาพอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า ไปแล้วหลายรุ่น มีผู้ผ่านการอบรมครอบคลุมทุกพื้นที่ มากกว่า 1 แสนคน และในปี งบประมาณ 2566 นี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 8,600 คน อย่างน้อย 2 - 3 คนต่อตำบล อาสาปศุสัตว์ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรม บัตรประจำตัวอาสาปศุสัตว์ และหนังสือมอบหมายให้ทำการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตวแพทย์ ตามพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 “รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมมือกันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งทางกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ พร้อมอำนวยความสะดวกในเรื่องการฉีดวัคซีนแก่สุนัขและแมว อีกทั้ง มุ่งสร้างอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า เพราะถือเป็นหัวใจหลักของชุมชนที่จะช่วยให้การเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าเกิดความอย่างยั่งยืน ลดอุบัติการณ์การเกิดโรคพิษสุนัขบ้าทั้งในคนและสัตว์เลี้ยง” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน “Shimadzu 1st Global Hemp and Cannabis Summit 2022”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน “Shimadzu 1st Global Hemp and Cannabis Summit 2022” ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน “Shimadzu 1st Global Hemp and Cannabis Summit 2022” วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Shimadzu 1st Global Hemp and Cannabis Summit 2022 ซึ่งจัดงานร่วมกันระหว่าง Shimadzu Asia Pacific บริษัทพาราไซแอนติฟิค จำกัด และศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (สวทช.) หรือ NCTC โดยมี Mr. Tetsuya Tanigaki Managing Director Shimadzu (Asia Pacific), Singapore นายพูศักดิ์ หิรัณยตระกูล Managing Director บริษัท พาราไซแอนติฟิค จำกัด ผศ.สุชาดา ไชยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ทดสอบยาชีววัตถุ หรือ BPCL มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. ร่วมเปิดงาน โดยภายในงานมีผู้ร่วมสัมมนากว่า 100 คน จากประเทศในเอเชีย อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เนปาล ศรีลังกา อินเดีย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทสำคัญในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการนำกัญชา/กัญชงไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ เข้าร่วมสัมมนา ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. กัญชง/กัญชา เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ผ่านทางกระทรวงอุตสาหกรรม เน้นการส่งเสริม สนับสนุน รวมถึงการผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้นำกัญชง/กัญชา มาใช้ประโยชน์ครบทุกส่วน โดยนำเทคโนโลยีมาเสริมการวิเคราะห์ทดสอบในการสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมคุณภาพ ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้การนำกัญชง/กัญชา มาใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ วิจัย และอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชีย รัฐบาลให้การสนับสนุน ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. หรือ NCTC จัดตั้งศูนย์วิเคราะห์ทดสอบด้านกัญชา กัญชง สารสกัดและผลิตภัณฑ์กัญชา กัญชง (Cannabis Analytical Testing Center: CATC) ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 เพื่อรองรับการวิเคราะห์ทดสอบอย่างครบวงจร ทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานระดับสากล ช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากจะมีงานสัมมนาถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีการวิเคราะห์ทดสอบ กัญชง/กัญชา แล้ว ยังมีการเยี่ยมชมแล็บตรวจวิเคราะห์ “กัญชา กัญชง กระท่อม” ของ NCTC สวทช. อีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 0 2117 6850 และ 0 2117 6864 E-mail: [emailprotected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเพิ่มช่องทางเรียกรถยนต์รับจ้างถูกกฎหมาย มี 6 แอปแล้ว พร้อมเปิดอบรมออนไลน์ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและเป็นธรรม
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รัฐบาลเพิ่มช่องทางเรียกรถยนต์รับจ้างถูกกฎหมาย มี 6 แอปแล้ว พร้อมเปิดอบรมออนไลน์ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและเป็นธรรม รัฐบาลเพิ่มช่องทางเรียกรถยนต์รับจ้างถูกกฎหมาย มี 6 แอปแล้ว พร้อมเปิดอบรมออนไลน์ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและเป็นธรรม วันนี้ (วันที่ 2 ธันวาคม 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลส่งเสริมและผลักดันการให้บริการทางเลือกรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ออกกฎกระทรวงรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 เพื่อให้ภาครัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลการให้บริการที่ปลอดภัยและเกิดการแข่งขันในการพัฒนาการให้บริการภายใต้กติกาเดียวกัน ก่อให้เกิดประโยชน์ในภาพรวม และเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้แก่ประชาชน นางสาวรัชดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการทางเลือกรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการให้บริการผ่านแอปพลิเคชันที่กระทรวงคมนาคมให้การรับรอง ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัย ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ แสดงอัตราค่าโดยสารล่วงหน้าที่ชัดเจน ในอัตราที่เป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้ และมีประกันครอบคลุมตามที่กฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยกำหนด โดยกระทรวงคมนาคมได้ให้การรับรองแอปพลิเคชันสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จำนวน 6 ราย ได้แก่ แกร็บ (Grab) โรบินฮู้ด (Robinhood) ฮัลโหลภูเก็ต เซอร์วิส (Hello Phuket Service) บอนกุ (Bonku) เอเชีย แค็บ (Asia Cab) และล่าสุดได้ให้การรับรองแอปพลิเคชัน “Airasia Super App” เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ โดยสามารถอบรมออนไลน์ ผ่าน www.dlt-elearning.com และจองคิวทดสอบสมรรถภาพและทดสอบข้อเขียน ผ่าน DLT Smart Queue รวมถึงผู้ขับรถต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพภายใต้กรอบของกฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ “รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันการให้บริการรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มาอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงประโยชน์ในการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย สอดรับกับวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล ตลอดจนเป็นการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพเสริม สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนใช้บริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันที่ได้รับการรับรองแล้ว ทั้งนี้ หากผู้ใช้บริการพบผู้ขับรถมีกิริยาวาจาไม่สุภาพ ไม่เก็บค่าโดยสารตามที่แอปพลิเคชันกำหนด ใช้งานรถที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วน โทร. 1584 ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน กรมการขนส่งทางบก ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.พร้อมลุย นำข้อมูลเทศกาลงานประเพณี ชุมชลยลวิถี พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ เผยแพร่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเข้าถึงประเทศไทยมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 วธ.พร้อมลุย นำข้อมูลเทศกาลงานประเพณี ชุมชลยลวิถี พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ เผยแพร่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเข้าถึงประเทศไทยมากขึ้น วธ.พร้อมลุย นำข้อมูลเทศกาลงานประเพณี ชุมชลยลวิถี พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ เผยแพร่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเข้าถึงประเทศไทยมากขึ้น วธ.พร้อมลุย นำข้อมูลเทศกาลงานประเพณี ชุมชลยลวิถี พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ เผยแพร่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเข้าถึงประเทศไทยมากขึ้น นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการให้บริหารประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ประเด็น “การพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทาง (Ease of traveling)” โดยเมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดประชุมชี้แจงแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ขับเคลื่อนงานบริการ Agenda ระบบอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง (Ease of traveling) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2567 และแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานบริการได้รับทราบและให้ความร่วมมือเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ นั้น ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า ในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.) มีกิจกรรมโครงการที่เกี่ยวข้องในแผนการพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางที่จะดำเนินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 2 รายการ ได้แก่ รายการที่ 1 การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และอุทยานประวัติศาสตร์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และอุทยานประวัติศาสตร์ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถนำไปใช้ในการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์และอุทยานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ส่วนนี้ วธ. โดยกรมศิลปากร (ศก.) จะเป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนและให้ความร่วมมือด้านข้อมูลทั้งหมดผ่านเว็บไซต์ Entry Thailand ซึ่งปัจจุบันได้มีการขับเคลื่อนงานพิพิธภัณฑ์และอุทยานประวัติศาสตร์ของไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีระบบสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม อาทิ Smart Museum ระบบการให้บริการข้อมูลด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบเสมือนจริง แสดงข้อมูลโบราณวัตถุ หมุน 360 องศา และแสดงข้อมูลอาคารโบราณสถานในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในรูปแบบ 3D Model , Virtual Museum ระบบเผยแพร่ข้อมูลด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับเทคนิคภาพแบบ Panoramic เข้าชมห้องจัดแสดงได้แบบ 360 องศา , อุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง นำเสนอข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเสมือนจริง ชมลวดลาย และสัมผัสอีกหนึ่งมุมมองที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากในสถานที่จริง เช่น ยอดพระปรางค์ ภาพมุมสูง เป็นต้น รายการที่ 2 การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับงานเทศกาลและงานประเพณีของไทยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสะดวกและง่ายต่อการค้นหางานเทศกาลและประเพณีของไทย โดย สป.วธ. จะเป็นหน่วยงานดูแลสนับสนุน และเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ Entry Thailand ทั้งนี้ สป.วธ. มีโครงการส่งเสริมการยกระดับงานเทศกาลและประเพณี 16 กิจกรรม มุ่งสู่การเป็นเทศกาลประเพณีระดับโลก (Festival) ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับชาติและนานาชาติ อาทิ (1) ประเพณีแห่ สลุงหลวง สืบสานกลองใหญ่ ปีใหม่เมืองนครลำปาง จ.ลำปาง (2) ประเพณีปอยส่างลอง จ.แม่ฮ่องสอน (3) ประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง จ.สุรินทร์ (4) เทศกาลเสน่ห์ชุมชน ยลวิถีย่านเมืองเก่า"วิวาห์บาบ๋าภูเก็ต” จ.ภูเก็ต (5) ประเพณีสืบสานวัฒนธรรมสี่เผ่าไทศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ฯลฯ รวมถึงมีโครงการสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” คัดเลือกชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยว จากชุมชนคุณธรรมฯ กว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ ปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีชุมชน ซึ่งปีนี้มีชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสุดยอดชุมชนยลวิถี 10 แห่ง อาทิ (1) ชุมชนคุณธรรมฯ แหลมสัก ต.แหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ (2) ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย (3) ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านภู ต.บ้านเป้า อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร (4) ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางน้ำผึ้งใน ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ฯลฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดัน Soft Power ความเป็นไทย ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5F ได้แก่ อาหาร (Food) , ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) , การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) , ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting) , เทศกาลประเพณีไทย (Festival) ทั้งนี้ แผนงานฯ ดังกล่าวนับเป็นแผนที่น่าสนใจต่อการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ภาพรวมของประเทศ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประเทศมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนร่วมกิจกรรมวันดินโลก'65 ที่วัดป่าศรีแสงธรรม จ.อุบลฯ ย้ำจะคืนให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนร่วมกิจกรรมวันดินโลก'65 ที่วัดป่าศรีแสงธรรม จ.อุบลฯ ย้ำจะคืนให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนร่วมกิจกรรมวันดินโลก'65 ที่วัดป่าศรีแสงธรรม จ.อุบลฯ ย้ำจะคืนให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 65 เวลา 16.00 น. ณ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงแนวทางการจัดกิจกรรมวันดินโลกของกระทรวงมหาดไทยในปี 2565 นี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ การสร้างการรับรู้เรื่องวันดินโลกแก่ประชาชน เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน และจิตสำนึกในการช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีแนวทางการขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการรณรงค์ นิทรรศการ สื่อประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งจะปรากฏตราสัญลักษณ์ของวันดินโลก และตราสัญลักษณ์ ธีม หรือหัวข้อการจัดงานในปีนี้ ของ FAO คือ อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins) เพราะกระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะนำรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award 2022 (ประจำปี 2565) มาสู่ดินแดนมาตุภูมิ หรือกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตร พระผู้ทรงเป็น "พระบิดาแห่งดินโลก" จึงขอเชิญชวนทุกคน ทุกหน่วยงาน ทุกภาคีเครือข่าย ร่วมสร้างความตระหนักในความสำคัญของวันดินโลก ไม่ใช่เพียงแค่วันที่ 5 ธ.ค. 65 ที่จะถึงนี้เท่านั้น เเต่ขอให้เกิดความตระหนักถึงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เพื่อช่วยกันสืบสาน รักษา ต่อยอดสิ่งดี ๆ สร้างเป็นวิถีชีวิต ( Way of Life) ในการร่วมกันดูแลทรัพยากร และขอถือโอกาสนี้ เชิญชวนให้ทุกการปฏิบัติงาน ทุกความมุ่งมั่นในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวันดินโลกของพี่น้องทั้งหลาย ของทุกหน่วยงานภาคีภาคส่วนต่างๆ สามารถวางแผนสื่อสารการดำเนินการร่วมกันในภาพรวมของความร่วมมือกันทั่วประเทศ ทุกจังหวัด เพื่อนำรางวัล King Bhumiphol World Soil Day Award อันมีคุณค่า กลับมาเป็นความภาคภูมิใจให้กับพวกเรา และแผ่นดินไทยของเรา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ Global Soil Partnership หรือ GSP ครั้งที่ 6 ได้มีการรับรองการจัดตั้งรางวัล King Bhumibol World Soil Day ประจำปี (WSDA) เพื่อเป็นเครื่องมือยกย่องบุคคล และ / หรือ สถาบันที่พยายามจัดงานเฉลิมฉลองที่ประสบความสำเร็จตามกรอบการรณรงค์วันดินโลก โดยวัตถุประสงค์ของ WSDA คือ การสนับสนุนผู้จัดงานวันดินโลก (WSD) ในทุกระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเฉลิมฉลองที่ท้าทายและโดดเด่นทั่วโลก รางวัลนี้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศแชมป์ในการก่อตั้งวันดินโลกอันโด่งดังในขณะนี้ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติตัดสินใจในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันดินโลกอย่างเป็นทางการ เพื่อรับทราบถึงการทรงงานตลอดพระชนม์ชีพและพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนนับล้านผ่านการจัดการดินอย่างยั่งยืน ซึ่งรางวัลประกอบด้วยเหรียญรางวัล และเช็คมูลค่า 15,000 เหรียญสหรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า ร้อยละ 95 ของอาหารที่พวกเราทุกคนบนโลกนี้รับประทานกันอยู่ มีต้นกำเนิดมากจากดิน และจากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ระบุว่า ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ปริมาณวิตามินและสารอาหารในพืชผัก ผลไม้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดิน ส่งผลถึงสุขภาพของร่างกายและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทุกคน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับการอนุรักษ์ดินและการชะล้างพังทลายของดิน เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2534 ความว่า “...การปรับปรุงบำรุงดินนั้นต้องอนุรักษ์ผิวดิน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ไว้ไม่ให้ไถหรือลอกหน้าดินทิ้งไป สงวนไม้ยืนต้นที่ยังเหลืออยู่ เพื่อที่จะรักษาความชุ่มชื้นของผิวดิน...” และทรงพระราชทาน “หลักคิด” ที่ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสอนให้คนได้เห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลบนทางสายกลางในระบบของโลกระหว่าง มนุษย์ สรรพสัตว์ สิ่งแวดล้อมและนิเวศวัฒนธรรม “หลักทฤษฎี” ที่เน้นการใช้ธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ ด้วย “วิธีปฏิบัติ” ที่ธรรมดา ๆ ชาวบ้านทั่วไปสามารถนำไปทำต่อได้ เช่น การห่มดิน การปลูกหญ้าแฝก กำแพงที่มีชีวิต เพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ การปลูกป่า 3 อย่าง เพื่อประโยชน์ 4 อย่าง เพื่อช่วยรักษาดิน และใช้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่พี่น้องประชาชน ผ่านโครงการพระราชดำริกว่า 4,741 โครงการ ให้สมาชิกของสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Science: IUSS) ทั่วโลก ได้ประจักษ์ถึงพระวิสัยทัศน์ของพระองค์ “"ดิน" เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก ในด้านการพัฒนาการ เกษตร ดินเป็นแหล่งผลิตอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม และเชื้อเพลิง ดินช่วยพัฒนาระบบนิเวศให้มีความยั่งยืน เอื้อ ให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยดูดซับคาร์บอน และบรรเทาผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มนุษย์ใช้ดินเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัยและเมือง เป็นที่ทิ้งขยะ เป็นตัวกรองและทำน้ำให้สะอาด เป็นรากฐานของสิ่งมีชีวิต เปรียบเสมือนผิวหนังที่มีชีวิตของโลก ช่วยผลิตอาหารให้คนทั้งโลก เพราะมี แร่ธาตุ อากาศ และอินทรีย์วัตถุ ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่สมบูรณ์ บำรุงต้นกล้าให้เจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร นำไปเลี้ยงคนทั้งโลก และผลผลิตทางการเกษตร เป็นรายได้หลัก หนึ่งของประเทศ เป้าหมายของกระทรวงมหาดไทย "คืนดินดีให้ผืนแผ่นดินไทย สร้างสรรค์ความสมดุลธรรมชาติ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้เป็นแผ่นดินทอง" ซึ่งในการจัดงานวันดินโลกในปี 2565 นี้ ประเทศสมาชิกองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เห็นพ้องร่วมกันให้กำหนดหัวข้อการจัดงานในชื่อ Soils, where food begins ซึ่งเน้นความสำคัญของการสร้างสุขภาพดินที่ดี นำไปสู่ความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหารและสิ่งแวดล้อมที่ดีตามมา ภายใต้แนวคิด One Health ซึ่งหมายถึง การพัฒนาสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้มีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม ภายใต้เป้าหมาย การพัฒนาความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 4 ด้าน หรือ Four better ประกอบด้วย Better Production (การผลิตที่ดี) Better Nutrition (โภชนาการที่ดี) Better Environment (สิ่งแวดล้อมที่ดี) Better Life (ชีวิตที่ดี)” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเน้นย้ำในช่วงต้น ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาถ่ายทอดสู่พี่น้องประชาชน โดยการ “พัฒนาคน” เพื่อให้คนไปพัฒนาพื้นที่ เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานพระราชปณิธาน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งความสำเร็จที่ผ่านก็ได้เห็นเชิงประจักษ์แล้วว่า การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือทฤษฎีใหม่มาประยุกต์สู่โคก หนอง นา ที่ช่วยพลิกฟื้นชีวิต ฟื้นความอุดมสมบูรณ์กลับคืนสู่ดิน โดยใช้หลักธรรมชาติ ทั้งการเลี้ยงดินเพื่อให้ดินเลี้ยงพืช การห่มดิน การเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์จากโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน การส่งเสริมการปลูกพืชปลูกผักสร้างความมั่นคงทางอาหาร การปลูกป่าสามอย่างเพื่อประโยชน์สี่อย่าง การปลูกหญ้าแฝก การสร้างคันนาทองคำ การลดปริมาณการใช้สารเคมีในการผลิตผ้าทอ ผ้าฝ้าย ผ้าใยสับปะรด ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่กระทรวงมหาดไทย ได้นำองค์ความรู้ไปเผยแพร่ให้กับคนในชุมชน ทำให้เกิดการพัฒนาและสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างสังคมและชุมชนอารยะ หรือที่เรียกว่า Change for Good ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ การดำเนินงานตามแนวพระราชดำรัส “อารยเกษตร” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับภูมิสังคมของประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา “ความท้าทายที่สำคัญ คือ ภายใต้กลไกการทำงานของกระทรวงมหาดไทย เราจะสามารถสร้างความตระหนักรู้ให้ทั่วทั้งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของดินได้หรือไม่ ซึ่งที่มาประเทศไทยได้ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ได้ก่อตั้งรางวัลวันดินโลกเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาทรัพยากรดินให้เกิดความอุดสมบูรณ์ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร (Food Security) และการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs ซึ่งการจัดกิจกรรมวันดินโลกในวันพรุ่งนี้ 2 ธ.ค. 65 ตั้งแต่ 07.30 – 12.00 น. ที่วัดป่าศรีแสงธรรม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี จะมีการจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ “วันดินโลก” และมีการประกาศเจตนารมณ์ เพื่อให้เกิดการรับรู้และการสร้างความตระหนักดรู้เกี่ยวกับความสำคัญของดิน และมีกิจกรรมWorkshop เพื่อสร้างการเรียนรู้ใน 4 ด้าน คือ การผลิตที่ดีขึ้น (Better Production) การมีโภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition) การมีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment) และ การมีชีวิตที่ดีขึ้น (Better Life) หากท่านใดสนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมก็ขอเรียนเชิญโดยช่วงเวลาในการรับลงทะเบียนจะเริ่มตั้งแต่ 07.30 – 08.30 น. หรือสามารถรับชมผ่าน Facebook Live ได้ที่ Facebook กระทรวงมหาดไทย PR ซึ่งมีกำหนดจัดงาน 7 วันต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์แห่งการสร้างความตระหนัก (Awareness Week) ตั้งแต่ 2-8 ธันวาคม 2565 ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี 7 อำเภอ ได้แก่ 2 ธ.ค. จะเป็นกิจกรรมการ Kick-off ณ วัดป่าศรีแสงธรรม หมู่ที่ 5 บ้านดงดิบ ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 3 ธ.ค. ที่ศูนย์ศึกษาเเละพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี 4 ธ.ค. ที่อำเภอทุ่งศรีอุดม 5 ธ.ค. ที่อำเภอกุดข้าวปุ้น 6 ธ.ค. ที่อำเภอน้ำยืน 7 ธ.ค. ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร และ 8 ธ.ค. ที่อำเภอโขงเจียม และจะมีการจัดกิจกรรมพร้อมกันทั้งประเทศในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ด้วยการประกาศเจตนารมณ์ให้ชัดเจน ในวันที่ 5 ธ.ค. 65 นี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนทุกท่าน และทุกภาคีเครือข่าย จะเข้ามาร่วมขยายผลการสร้างตระหนักรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ทำให้แนวคิด “คืนแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง” เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นมรดกไปสู่รุ่นลูกหลานของเรา มนุษยชาติ และเพื่อโลกใบเดียวของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรม "จิตอาสานำพาสุข เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม" สืบสานพระราชปณิธานและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณร
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรม "จิตอาสานำพาสุข เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม" สืบสานพระราชปณิธานและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณร น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรม "จิตอาสานำพาสุข เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม" สืบสานพระราชปณิธานและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 65 ที่โรงเรียนวัดเศวตฉัตร แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานเขตคลองสาน ลูกเสือ เนตรนารี ประชาชนจิตอาสา ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสานำพาสุข เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โอกาสนี้ นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นำคณะฯ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและมอบถุงน้ำใจให้กับผู้ด้อยโอกาส ยากจน มีรายได้น้อย ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในพื้นที่ชุมชนอู่ใหม่ และชุมชนวัดเศวตฉัตร ด้วยความปรารถนาที่จะให้พี่น้องประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างมีความปลื้มปิติโสมนัสเป็นล้นพ้น ที่ได้ร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ด้วยการดำเนินกิจกรรมจิตอาสานำพาสุข เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปวงพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 70 ปีแห่งการครองราชย์ ซึ่งทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ สร้างความผาสุกร่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมือง ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินที่พระราชทาน ความเอื้ออาทรห่วงใยแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า ทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ ได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ทุกฝ่ายยึดถือปฏิบัติ กระทรวงมหาดไทย น้อมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรม "จิตอาสานำพาสุข" เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบมีส่วนร่วมของสังคม โดยการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและมอบถุงน้ำใจให้กับผู้ด้อยโอกาส ยากจน มีรายได้น้อย ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในพื้นที่ชุมชนอู่ใหม่ และชุมชนวัดเศวตฉัตร ให้ได้รับความช่วยเหลือและเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป" นายพรพจน์ฯ กล่าว นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นในการสืบสานพระราชปณิธาน ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยความจงรักภักดี และจักมุ่งมั่นเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท เพื่อร่วมกันพัฒนาและสรรค์สร้างสังคมไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าด้วยความมั่นคงอย่างยั่งยืนสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รป.กษ. สุรเดช สมิเปรม ร่วมขับเคลื่อนงานศพก. และระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดน่าน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รป.กษ. สุรเดช สมิเปรม ร่วมขับเคลื่อนงานศพก. และระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดน่าน รป.กษ. สุรเดช สมิเปรม ร่วมขับเคลื่อนงานศพก. และระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดน่าน วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายนวนิตย์ พลเคน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และคณะกรรมการเครือข่าย ศพก. และแปลงใหญ่ ระดับประเทศ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานแปลงใหญ่มะม่วงตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน จากนั้น ได้ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์เครือข่ายบ้านวังผา ตำบลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน และชมการคัดบรรจุส้มสีทอง ณ ศูนย์เรียนรู้การจัดการสินค้าเกษตรชุมชน บ้านวังผา ตำบลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน และในช่วงบ่าย ร่วมเป็นเกียรติและให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางในการพัฒนาช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรของเกษตรกรภายใต้นโยบายตลาดนำการผลิต ในการประชุมเชื่อมโยงการดำเนินงานคณะกรรมการเครือข่าย ศพก. และแปลงใหญ่ ระดับประเทศ ครั้งที่ 1/2565 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดน่าน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” จับมือสภาอุตสาหกรรม เปิดงาน Agro FEX อีสาน 2022 ที่โคราช คาดสร้างเงินให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 “จุรินทร์” จับมือสภาอุตสาหกรรม เปิดงาน Agro FEX อีสาน 2022 ที่โคราช คาดสร้างเงินให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 15.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน“Agro FEX 2022” ซึ่งเป็นงานจัดแสดงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหาร โดยความร่วมมือของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและเยี่ยมชมบูธและกิจกรรม Business Matching พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา(นายภูมิสิทธิ์ วังคีรี) ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (นายเกรียงไกร เธียรนุกุล) ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนภาครัฐและเอกชน ที่เซ็นทรัลโคราช จ.นครราชสีมา นายจุรินทร์ กล่าวว่า งาน Agro FEX เป็นงานจัดแสดงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดย 10 เดือนแรกปีนี้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารสร้างเงินให้ประเทศไปแล้ว 1.44 ล้านล้านบาท +12% สินค้าเกษตรดาวรุ่ง ได้แก่ ทุเรียนแช่แข็ง +52.7% ไอศครีม +28.9% ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป +28% สินค้าเกษตร อาหาร เกษตรแปรรูปยังมีอนาคตสำหรับประเทศไทย แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเราต้องเจอแรงเสียดทานปัญหาหลายเรื่อง 1.โควิด 2.ภูมิรัฐศาสตร์ คือการรวมกลุ่มของประเทศยักษ์ใหญ่ในโลกแบ่งขั้วแบ่งค่าย ทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น RCEP และ อินโด-แปซิฟิก ซึ่งเราอยู่ทั้ง 2 กลุ่ม วันนี้ RCEP เป็น FTA ที่ใหญ่สุดในโลกโดยจีน แต่อินโด-แปซิฟิก กำลังเกิดขึ้นได้ชวนหลายประเทศและกำหนดแนวทางอยู่โดยสหรัฐฯ ซึ่งเงื่อนไขบางข้อแตกต่างกัน รัฐกับเอกชนต้องจับมือกันใกล้ชิดฟันฝ่าความท้าทายให้ได้ โดยสภาอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องให้คำตอบ แต่ตนชัดเจนอย่างน้อยประเทศไทยต้องจับมือกับอาเซียน 10 ประเทศ จะได้รอดจากยักษ์ตัวใหญ่ ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน ตอนประชุมเอเปคหัวข้อที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องคือ เราต้องสร้างเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนที่ยั่งยืน ซึ่งมี 2 ด้าน ด้านดีทำให้การผลิต แปรรูป การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวพัฒนาอย่างยั่งยืน สิ่งแวดล้อมดี เป็น BCG Model ด้านลบ คำว่าอย่างยั่งยืนอนาคตจะแปลงเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า การจัดงาน Agro FEX ของสภาอุตสาหกรรมอีสานวันนี้ ตนสนับสนุนเห็นด้วยแต่อย่าลืมกับคำว่ายั่งยืนทั้งการผลิต การแปรรูป เพื่อเตรียมการในอนาคต และนโยบายรัฐบาลประกันรายได้จะเป็นอีกหัวใจสำคัญ ช่วยให้เกษตรกรทั้งชาวนาชาวไร่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์มน้ำมันยางพาราและพืชผลเกษตรอื่น สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน ยามที่ราคาพืชเกษตรเหล่านี้ตกต่ำจะมีเงินส่วนต่างช่วยชดเชยให้เกษตรกรยังชีพได้ ไม่ให้เลิกอาชีพเกษตรกรไม่เช่นนั้นเราจะประสบปัญหาคล้ายหลายประเทศเกิดวิกฤติ ไม่มีอาหารต้องนำเข้าจากที่อื่น ประกันรายได้จะรักษาอาชีพนี้ให้เกษตรกรประกอบอาชีพต่อไปได้อย่างยั่งยืน เพื่อความมั่นคงทางอาหารไทยและของโลกต่อไป เพราะเราตั้งเป้าเป็นแหล่งผลิตอาหารเป็นครัวของโลกต่อไปในอนาคต ในงานนี้มี 120 คูหา และมีการเจรจาจับคู่ 68 คู่ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีประเทศผู้นำเข้า 46 ราย จาก 16 ประเทศ ที่จะมาซื้อของในงานนี้ คาดว่าจะสามารถซื้อขายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และก่อนหน้านี้ตนได้พาฟิลิปปินส์มาเซ็นสัญญาซื้อมันสำปะหลัง 2,000,000 ตันที่โคราช จะมีส่วนช่วยให้ปีนี้ราคามันยังดีอยู่ ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า งาน Agro FEX เป็นงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม BCG เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป ถือเป็นงานที่เกี่ยวกับ BCG Model งานแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในภาคอีสานร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้าเกษตร ลดการใช้ทรัพยากร ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดผลกระทบต่อส่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2565 ที่เซ็นทรัลโคราช
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมรับมอบเครื่องอุปโภค จากบริษัท สไมล์ ภัณฑ์ จำกัด เพื่อส่งต่อให้กับผู้ด้อยโอกาส ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ใน จังหวัดหนองบัวลำภู
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กระทรวงยุติธรรมรับมอบเครื่องอุปโภค จากบริษัท สไมล์ ภัณฑ์ จำกัด เพื่อส่งต่อให้กับผู้ด้อยโอกาส ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ใน จังหวัดหนองบัวลำภู กระทรวงยุติธรรมรับมอบเครื่องอุปโภคจากบริษัท สไมล์ ภัณฑ์ จำกัด เพื่อส่งต่อให้กับผู้ด้อยโอกาส ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ใน จังหวัดหนองบัวลำภู ในวันศุกร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการรับมอบเครื่องอุปโภค จำนวน ๕๐๐ ชุด จากร้อยเอกวิชัย กุลวุฒิวิลาศ กรรมการผู้จัดการบริษัท สไมล์ ภัณฑ์ จำกัด ณ ห้องรับรอง ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม โดยมีพันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสำรวม บุญเสริม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านบริหารทรัพยากรบุคคล รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรกระทรวงยุติธรรม นายอนุพร อรุณรัตน์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบในครั้งนี้ โดยเครื่องอุปโภคจากการรับมอบดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการส่งมอบให้กับผู้ด้อยโอกาส ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ในจังหวัดหนองบัวลำภูต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62262
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตรฯ รองนายกฯ ร่วมมือ พลเอก เตีย บันห์ ร่วมปราบอาชญากรรมข้ามแดน โดยเฉพาะยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไทย ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานหลอกคนไทยด้วยกัน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 พลเอก ประวิตรฯ รองนายกฯ ร่วมมือ พลเอก เตีย บันห์ ร่วมปราบอาชญากรรมข้ามแดน โดยเฉพาะยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไทย ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานหลอกคนไทยด้วยกัน พลเอก ประวิตรฯ รองนายกฯ ร่วมมือ พลเอก เตีย บันห์ ร่วมปราบอาชญากรรมข้ามแดน โดยเฉพาะยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไทย ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานหลอกคนไทยด้วยกัน วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) เวลา 1400 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ พลเอก เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 15 ณ รร.ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ โดยฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ก่อนการประชุม พลเอก ประวิตรฯ ได้ร่วมหารือกับ พลเอก เตีย บันห์ ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นในทุกระดับ และเห็นถึงความสำคัญของกลไกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ( GBC ) ต่อความมั่นคงชายแดนของทั้งสองประเทศ โดยจะเพิ่มความร่วมมือกิจกรรมทางทหาร รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติมากขึ้น เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ อาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงข้ามแดน รวมทั้งร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ทั้งสองประเทศ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยไม่นำเงื่อนไขของเขตแดนมาเป็นปัญหาในการปฏิบัติงาน โดย พลเอก ประวิตร ฯ ได้ขอบคุณกัมพูชา ที่สนับสนุนช่วยเหลือคนไทยในกัมพูชาที่ถูกหลอกลวง และขอความร่วมมือกัมพูชาช่วยกวาดล้างจับกุมแก๊ง Call Center คนไทย ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานหลอกลวงคนไทยด้วยกัน พร้อมย้ำ กห.ไทย พร้อมสนับสนุนที่นั่งศึกษาทางทหารระดับต่าง ๆ ให้ กห.กัมพูชา เพื่อความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ต่อจากนั้น พลเอก ประวิตร และ พลเอก เตีย บันห์ ได้เป็นประธานร่วม การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 15 โดยเน้นย้ำ ความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ อันจะนำมาซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงตลอดแนวชายแดน และรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การผ่านแดนและการสัญจรข้ามแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานชายแดน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม การค้าชายแดน สาธารณสุขและการบรรเทาสาธารณภัย โดยเฉพาะการขับเคลื่อนกลไกการประชุม ผบ.ทสส.ไทย - กัมพูชา และการจัดตั้งกลไก RBC ประชุมร่วมระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดนทั้งสองประเทศ เพื่อแก้ปัญหาในระดับพื้นที่ นอกจากนั้น ได้สนับสนุนให้หน่วยงานระดับ อำเภอ จังหวัด ร่วมแก้ปัญหายาเสพติด โดยดำเนินงานหมู่บ้านคู่ขนานสีขาวและหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวชายแดน รวมทั้งร่วมปฏิบัติตามแผนแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อควบคุมปัญหายาเสพติด ซึ่งความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมดังกล่าว สะท้อนถึงพัฒนาการความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในการแก้ปัญหาชายแดนที่มีมากขึ้นต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานวันสถาปนา
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานวันสถาปนา “13 ปี กรมหม่อนไหม เทิดไท้ 90 พรรษา พระมารดาแห่งไหมไทย” พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานหม่อนไหมเชิงรุก เพิ่มจำนวนเกษตรกรหม่อนไหม และผลักดันผ้าไหมไทยสู่สากล ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมหม่อนไหม เนื่องในโอกาสครบรอบ 13 ปี โดยมี นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประกอบ เผ่าพงศ์ อธิบดีกรมหม่อนไหม และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ บริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งกรมหม่อนไหมจัดขึ้นเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ภารกิจ อำนาจหน้าที่ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และภารกิจสำคัญที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตของกรมหม่อนไหม ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกรมหม่อนไหมสู่สายตาประชาชน เครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า และองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง อันจะนำมาซึ่งความร่วมมือและผลสัมฤทธิ์ของงาน รวมถึงการยกย่องเชิดชูเกียรติปราชญ์หม่อนไหมผู้ทรงภูมิปัญญาหม่อนไหม เผยแพร่ผลงานของบุคลากร หน่วยงานที่มีผลงานดีเด่น และเป็นขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานของกรมหม่อนไหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชปณิธานที่จะส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า เพื่อสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในประเทศให้มีความอยู่ดีกินดี มีความมั่งคั่งและยั่งยืน ซึ่งกรมหม่อนไหมเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านหม่อนไหมของประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรรม โดยใช้การตลาดนำการผลิตเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับมาตรฐานสินค้า รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งหวังให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายเร่งพัฒนาสินค้าประชาสัมพันธ์ผ้าไหมไทยให้ก้าวไกลเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งสืบสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งการรักษาเอกลักษณ์ที่มีคุณค่านี้ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของกรมหม่อนไหมเท่านั้น แต่ควรเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ผ้าไหมไทยไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ และเชื่อว่าผ้าไหมไทยยังสามารถไปไกลในตลาดโลกได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมหม่อนไหม จะต้องบริหารจัดการการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ต้องมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ซึ่งจะเป็น Soft power ที่จะสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ไปทั่วโลก โดยจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต" ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายประกอบ เผ่าพงศ์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กรมหม่อนไหม จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลัก ที่รับผิดชอบภารกิจหลักเกี่ยวกับหม่อนไหมทั้งระบบ ซึ่งตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมได้ดำเนินงานตามภารกิจ และสนองงานพระราชดำริด้านหม่อนไหมของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพัฒนางานด้านหม่อนไหมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สอดรับกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนมุ่งขับเคลื่อนนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายตลาดนำการผลิต ที่กรมหม่อนไหมได้เร่งส่งเสริมการตลาดในรูปแบบเกษตรพันธสัญญาอย่างเป็นรูปธรรม ดังเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ในการดำเนินงาน “น่านโมเดล” รวมทั้งการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเห็นความงดงามของผ้าไหมไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์หม่อนไหมที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน สำหรับกิจกรรมภายในงานมีการมอบเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ สืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน ประจำปี พ.ศ. 2565 รางวัลผลงานวิจัยดีเด่นของกรมหม่อนไหม ประจำปี 2565 รางวัลผลงานการเบิกจ่ายงบประมาณหน่วยงาน ประจำปี 2565 ระดับดีมาก และปราชญ์หม่อนไหม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 อีกทั้งยังมีการแสดงผลงานเด่นกรมหม่อนไหมมากมาย อาทิ โครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 การอนุรักษ์ภูมิปัญญาลวดลายผ้าไหมไทยสู่ความยั่งยืน การวิจัยและพัฒนาเส้นใยไหมผสมวัสดุอื่นต่อคุณสมบัติของผืนผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้าต้นแบบ (ผ้าไหมอัญมณี) การส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมรูปแบบน่านโมเดล (ไหมเหลืองเมืองน่าน) ผ้าคลุมไหล่ไหมมัดหมี่ลายแคนแก่นคูนที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นผืนแรก การสร้างกลุ่มผลิตเส้นไหมตามมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 5900 ผลงานผู้ได้รับรางวัลหลุยส์ปาสเตอร์และรางวัลดีเด่นด้านอุตสาหกรรมหม่อนไหม ปี 2565 เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62254
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สป. ร่วมสร้างกุศลเพื่อสภากาชาดไทยจัดพิธีรับมอบเงินและของรางวัลงานกาชาด ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “9 ทศวรรษ ใต้ร่มพระบารมี สดุดีสภานายิกาสภากาชาดไทย”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 สป. ร่วมสร้างกุศลเพื่อสภากาชาดไทยจัดพิธีรับมอบเงินและของรางวัลงานกาชาด ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “9 ทศวรรษ ใต้ร่มพระบารมี สดุดีสภานายิกาสภากาชาดไทย” (1 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น.) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสมาคมภริยาข้าราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีรับมอบเงินและของรางวัลงานกาชาด ประจำปี 2565 ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน และ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมในพิธี ภายใต้แนวคิด “9 ทศวรรษ ใต้ร่มพระบารมี สดุดีสภานายิกาสภากาชาดไทย” โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสมาคมภริยาข้าราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมออกร้านฯ เพื่อหารายได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชามารี อุปนายิกา ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย โดยจัดกิจกรรมภายในร้านฯ และการจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย ซึ่งของรางวัลในการออกสลากฯ ได้รับความอนุเคราะห์จากส่วนราชการองค์การ บริษัท ห้าง ร้าน และผู้มีอุปการะคุณ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ได้แก่ โทรทัศน์ กระทะไฟฟ้า เครื่องดูดฝุ่น เตาปิ้งย่างอเนกประสงค์ หม้อหุงข้าว พัดลม ฯลฯ รวมทั้งรถจักรยาน สร้อยคอทองคำ และเงินสดรวมมูลค่า 1,373,100 บาท ทั้งนี้ สภากาชาดไทยได้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคม 2565 รวม 11 วัน ณ สวนลุมพินี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน นำผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงแรงงาน น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ5 ธันวาคม 2565
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รมว.แรงงาน นำผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงแรงงาน น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ5 ธันวาคม 2565 รมว.แรงงาน นำผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงแรงงาน น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ5 ธันวาคม 2565 วันที่2ธันวาคม2565เวลา08.30น.นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2565โดยมีผู้บริหารระดับสูงข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียงกันณห้องประชุมกระทรวงแรงงานชั้น5อาคารกระทรวงแรงงาน สำหรับกิจกรรมเทิดพระเกียรติ วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2565ในครั้งนี้กระทรวงแรงงานยังได้มีการบรรยายพิเศษ“ประวัติศาสตร์ชาติไทยและพระราชประวัติพระบุญญาธิการ พระอัจฉริยภาพและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่10”โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรหลักสูตรจิตอาสา904โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน:นายกองโทธารณาคชเสนีและว่าที่ร้อยตรีน้ำเพ็ชรคชเสนีสัตยารักษ์ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงพสกนิกร +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 2ธันวาคม2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ชงฟรุ้ทบอร์ด เห็นชอบโครงการจัดตั้ง “มหานครผลไม้ (Fruit Metropolis)” และ “กองทุนผลไม้แห่งชาติ”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 “อลงกรณ์” ชงฟรุ้ทบอร์ด เห็นชอบโครงการจัดตั้ง “มหานครผลไม้ (Fruit Metropolis)” และ “กองทุนผลไม้แห่งชาติ” “อลงกรณ์” ชงฟรุ้ทบอร์ด เห็นชอบโครงการจัดตั้ง “มหานครผลไม้ (Fruit Metropolis)” และ “กองทุนผลไม้แห่งชาติ” เพื่อยกระดับจันทบุรีและภาคตะวันออกเป็นฮับผลไม้โลก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาโครงการมหานครผลไม้ และการขนส่งผลไม้ผ่านสนามบินจันทบุรี เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาโครงการมหานครผลไม้ และการขนส่งผลไม้ผ่านสนามบินจันทบุรี ว่า คณะทำงานฯ จะเสนอฟรุ้ทบอร์ด (Fruit Board) พิจารณาเห็นชอบพิมพ์เขียวแนวทางการพัฒนาโครงการจัดตั้งมหานครผลไม้ (Fruit Metropolis Blueprint) และหลักการแห่งร่างกฎหมายกองทุนผลไม้แห่งชาติ (National Fruit Fund) รวมทั้งแนวทางการพัฒนาสนามบินจันทบุรี ในการประชุมฟรุ้ทบอร์ดครั้งต่อไป คาดว่าเป็นปลายเดือนหน้าหรือต้นเดือนมกราคม 2566 เพื่อยกระดับจังหวัดจันทบุรี ภาคตะวันออกเป็นฮับผลไม้โลก ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำการผลิตและส่งออกผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้ของโลก โดยปีที่ผ่านมาสามารถส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาท โครงการมหานครผลไม้มุ่งต่อยอดการพัฒนาจากฐานศักยภาพปัจจุบันของจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด และจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออก เชื่อมโยงกับศักยภาพของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor) โดยจะจัดตั้งบนพื้นที่ของรัฐ ในอำเภอนายายอาม และอำเภอท่าใหม่ ของจังหวัดจันทบุรี พร้อมกับการพัฒนาสนามบินจันทบุรีเป็นสนามบินพาณิชย์ โดยโครงการมหานครผลไม้ ประกอบไปด้วย การแบ่งโซนพื้นที่และองค์ประกอบสำคัญ เช่น 1. ศูนย์บริหารจัดการผลไม้ครบวงจร 2. ศูนย์ธุรกิจแสดงสินค้าและการประชุม 3. ศูนย์การค้าอีคอมเมิร์ซและการประมูลออนไลน์ 4. ศูนย์แปรรูปผลไม้ 5. ศูนย์โลจิสติกส์ การขนส่งและคลังสินค้า 6. ศูนย์รวบรวมคัดแยกและบรรจุผลไม้สด 7. ศูนย์ห้องเย็น (Cold Chain Center) 8. ศูนย์ปฏิบัติการแล็ปกลาง 9. ศูนย์ตรวจรับรองคุณภาพผลไม้ และ 10. ศูนย์วิจัยและพัฒนา โดยสถาบันผลไม้ (Fruit Academy) จัดตั้งภายใต้ระบบศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ()(Agritech and Innovation Center : AIC) นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า การบริหารจัดการจะใช้รูปแบบ PPP และการลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลักเน้นการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เกษตรมูลค่าสูงโดยต่อยอดและเชื่อมโยงเสริมศักยภาพปัจจุบันของตลาดผลไม้และระบบการค้าการส่งออกที่มีอยู่เดิม เพิ่มในส่วนที่ขาดมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางผลไม้ของโลก รวมทั้งการสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคเกษตรกรชาวสวนผลไม้ภายในประเทศ และต่างประเทศที่เป็นตลาดสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ฮ่องกง อาเซียน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ดูไบ ซาอุดีอาระเบีย เนเธอร์แลนด์ และสหภาพยุโรป หรือ อียู ฯลฯ ในรูปแบบคล้ายคลึง FKII ของญี่ปุ่นและโมเดล Food Valley ของเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้ ตนในฐานะประธานกรกอ. จะนำโครงการมหานครผลไม้เข้าสู่การพิจารณาของการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครั้งหน้า เพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานกลุ่มคลัสเตอร์แปรรูปผลไม้ และเวชสำอางค์ที่สนใจมาลงทุน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าในการพัฒนาและปรับปรุงสนามบินท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และเห็นว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์เพื่อการขนส่ง การค้า และการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดนอกเขตอีอีซี โดยช่วงแรกจะใช้สนามบินอู่ตะเภา สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสนามบินจังหวัดตราด ไปพลางก่อน โดยจะมีหนังสือขอการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม รวมทั้งการขยายระบบรางมายังโครงการมหานครผลไม้ด้วย “เพื่อให้การพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผลไม้ไทย ภายใต้โครงการมหานครผลไม้สู่การเป็นฮับผลไม้โลก จึงต้องมีทีมทำงานจากหลายภาคส่วน ซึ่งจะได้ทาบทามมาร่วมงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนในการผลักดันโครงการมหานครผลไม้มาเสริมทีมขับเคลื่อนโครงการ เช่น นายวิชัย โภชนกิจ อดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.สาโรจน์ วสุวานิช ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ นายวิชัย นายธิติ เอกบุญยืน ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี นายธีระ วงษ์เจริญ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ นายชายพงษ์ นิยมกิจ ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย นายชรัตน์ เนรัญชร ผู้นำYoung Smart Farmer และคณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นางปภาวี สุธาวิวัฒน์ นายกสมาคมผู้ประกอบการพืชผักผลไม้ไทย และนายมณฑล ปริวัฒน์ นายกสมาคมการค้าผลไม้ยุคใหม่ (MAFTA) ผู้แทนสมาคมทุเรียนไทย (TDA) และบุคคลอื่น ๆ จากภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการ ศูนย์ AIC และภาคเกษตรกร” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด สำหรับการประชุมคณะทำงานศึกษาโครงการมหานครผลไม้และการขนส่งผลไม้ผ่านสนามบินจันทบุรี ผ่านระบบการประชุมทางไกล Zoom Cloud Meeting มีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายธีระ วงษ์เจริญ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายธีระ สลักเพชร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธุ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน นายชูชาติ วัฒนวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพืชสวน กรมวิชาการเกษตร นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย นางปภาวี สุธาวิวัฒน์ นายกสมาคมผู้ประกอบการพืชผักผลไม้ไทย และนายมณฑล ปริวัฒน์ นายกสมาคมการค้าผลไม้ยุคใหม่ (MAFTA) ตลอดจนผู้แทนสมาคมทุเรียนไทย (TDA) นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร CTPI นางกัลยา ส่งรอด ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจกรเกษตร นางปัทมา นามวงศ์ เกษตรจังหวัดจันทบุรี นางสาวธารารัตน์ โพธิ์ศรี เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนกรมการค้าภายใน ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นางสาวเพ็ญระพี ทองอินทร์ ผู้อำนวยกลุ่มส่งเสริมไม้ผล สำนักสำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นเลขานุการการประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อวิจารณ์การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของรัฐ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อวิจารณ์การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของรัฐ กรมควบคุมมลพิษ เผยแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 66 เน้น 3 พื้นที่ เมือง-ป่า-เกษตรกรรม เน้นสื่อสารเชิงรุก แจ้งเตือนล่วงหน้า ลดจุดความร้อน ควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม จากกรณี รศ.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คาดการณ์ว่าสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จะมีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา จากปัจจัยสภาพอากาศ อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาและควบคุมฝุ่นมากขึ้น แต่ รศ.วิษณุ มองว่ายังไม่ยั่งยืนและจำกัดกรอบอยู่ในวงแคบ ไม่สามารถแก้ปัญหาผลกระทบในวงกว้างได้ วันที่ 2 ธันวาคม 2565 นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวชี้แจงว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 มักเกิดขึ้นในช่วงปลายปีและต้นปี ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยฝุ่นละออง PM2.5 เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปีแต่เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงปลายปีและต้นปีที่มีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ฝุ่นละออง PM2.5 เกิดการสะสม ซึ่งถือว่าสภาพอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พบฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งจากการติดตามตรวจวัดคุณภาพอากาศปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ณ เวลา 07.00 น. ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกพื้นที่ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่ผ่านมา กรมควบคุมมลพิษได้มีการบูรณาการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2565 มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรฯได้จัดทำแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 โดยรัฐมนตรีว่าการระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบนโยบายและเน้นย้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2566 หลักการ 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เมือง พื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรม 7 มาตรการ ตามกรอบ “สื่อสารเชิงรุก ยกระดับปฏิบัติการ สร้างการมีส่วนร่วม”ภายใต้แผนเฉพาะกิจฯ ซึ่งประกอบด้วย 1) เร่งรัดการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วันทุกพื้นที่ 2) ยกระดับมาตรการการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง 3) ยกระดับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร (ชิงเก็บ ลดเผา และ Burn Check) 4) กำกับดูแลการดำเนินการในทุกระดับอย่างเข้มงวด ติดตามผลการดำเนินการและประเมินสถานการณ์เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 5) ลดจุดความร้อน ป้องกันและควบคุมการเกิดไฟในทุกพื้นที่ และพัฒนาระบบพยากรณ์ความรุนแรงและอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System : FDRS) 6) ผลักดันกลไกระหว่างประเทศ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนมีประสิทธิภาพสูงสุด 7) ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง ในปี 2566 มุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดการระบายฝุ่นละอองในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ 1) พื้นที่เมือง แหล่งกำเนิดมาจากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงเน้นมาตรการในการป้องกันการเกิดปัญหาและมาตรการแก้ไขปัญหา ดังนี้ - ด้านการจราจร ขอความร่วมมือให้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งได้มีการกำหนดโครงการ อาทิ โครงการรถรัฐลดมลพิษ โครงการคลินิกรถ ลดฝุ่น PM2.5 ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ให้บริการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ฟรี และลดค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่ และค่าแรงเป็นพิเศษ การน้ำมันกำมะถันต่ำมาจำหน่ายในช่วงวิกฤต ฝุ่น PM2.5 รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดตรวจวัดควันดำและขยายพื้นที่ตรวจวัดควันดำเพื่อควบคุมตั้งแต่ต้นทาง เช่น บริษัทรถบรรทุก สถานีขนส่ง และอู่รถโดยสารสาธารณะประจำทางและไม่ประจำทาง อู่รถโดยสาร ขสมก. เป็นต้น - ด้านโรงงานอุตสาหกรรม จะมีการตรวจกำกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มในการปล่อยมลพิษสูง ร้อยละ 100 ตลอดปี โดยในช่วงวิกฤตระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2565 จะเร่งตรวจกำกับโรงงานเชิงรุกโดยเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงในการปล่อยฝุ่นละอองจากกระบวนการเผาไหม้ และกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่น โดยโรงงานที่มีความเสี่ยงในการปล่อยฝุ่นละอองประกอบด้วย โรงงานที่ใช้หม้อน้ำ โรงงานที่ใช้ถ่านหิน โรงงานหลอมเหล็ก โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จโรงงานแอสฟัลติก รวมทั้งสิ้น 896 โรงงาน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมสถานประกอบการ ได้แก่ กิจการผสมซีเมนต์ กิจการหลอมโลหะ อู่พ่นสีรถยนต์ กิจกรรมผลิตธูป เป็นต้น 2) พื้นที่เกษตร แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองมาจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร ดังนั้นจึงเน้นการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรเพื่อลดการเผาในพื้นที่การเกษตร สร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา โดยกำหนดเป้าหมายใน 62 จังหวัด เกษตรกรจำนวน 17,640 คน และตั้งเป้าหมายในการลดจำนวนจุดความร้อนร้อยละ 10% 3) พื้นที่ป่า แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญมาจากไฟป่า ดังนั้นจึงเน้นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ ป้องกันไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเก็บลดเผา ไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน บูรณาการกับทุกภาคส่วน ส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่า การประยุกต์ใช้ระบบพยากรณ์ระดับชั้นอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System: FDRS) และดับไฟป่า โดยกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้ลดจำนวนจุดความร้อนละ 20% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ผนึก ม.หอการค้าไทย - เออาร์ไอพี หนุนเอสเอ็มอีสู่ BCG Model
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 SME D Bank ผนึก ม.หอการค้าไทย - เออาร์ไอพี หนุนเอสเอ็มอีสู่ BCG Model SME D Bank ผนึก ม.หอการค้าไทย - เออาร์ไอพี หนุนเอสเอ็มอีสู่ BCG Model ดันคว้ารางวัลสุดยอดเอสเอ็มอี ‘THAILAND TOP SME AWARDS 2022’ ต้นแบบเติบโตยั่งยืนเคียงคู่สังคม สิ่งแวดล้อม นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เผยว่า SME D Bank ในฐานะธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ประกาศจุดยืนในการปฏิบัติภารกิจของการธนาคารเพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอี ผ่านกระบวนการ “เติมทุนคู่พัฒนา” หนึ่งในภารกิจดังกล่าว ธนาคารร่วมกับนิตยสาร Business+ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดพิธีมอบรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีไทย “THAILAND TOP SME AWARDS 2022” เพื่อยกย่องเชิดชูผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม และการบริหารจัดการที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ โดยปีนี้ (2565) จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 มุ่งเน้นให้ความสำคัญเชิดชูผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สามารถยกระดับธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ช่วยให้ธุรกิจเติบโต และก้าวเดินต่อไปสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับ BCG Model ด้วยการยกเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับการมอบรางวัลในครั้งนี้ ลูกค้าของ SME D Bank จำนวนถึง 16 รายที่ได้รับรางวัล จากผลงานโดดเด่นในการนำ BCG Model มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม สนับสนุนธุรกิจเติบโต และก้าวเดินต่อไปสู่ความยั่งยืน มีส่วนส่งเสริมความเข้มแข็งและความมั่นคงให้กับประเทศเติบโตอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยได้รับเกียรติจากนายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธี ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.65 ที่ผ่านมา สำหรับลูกค้า SME D Bank ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ประกอบด้วย 1. บริษัท อีซียู ช็อป 1 จำกัด รางวัลการออกแบบสินค้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2. บริษัท ร้อยแปด ฟู้ดส์ จำกัด รางวัลวิสาหกิจส่งเสริมภูมิปัญญาชุมชนแห่งปี 3. บริษัท มัลติเพิลฟู้ดส์ จำกัด รางวัลธุรกิจด้านอาหารแห่งปี 4. บริษัท เกียรติมุกดา พรีเมี่ยมไอซ์ จำกัด รางวัลธุรกิจเพื่อสังคมแห่งปี 5. บริษัท เหล็กร่มเกล้า จำกัด รางวัลนวัตรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งปี 6. บริษัท บิ๊กไพศาล โปรเจค จำกัด รางวัลธุรกิจดิจิทัลแห่งปี 7. บริษัท เรนเชอร์ สเปเชียล ทูลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด รางวัลความเป็นเลิศด้านบริการแห่งปี 8. บริษัท วรธันย์ เทคโนโลยี จำกัด รางวัลนวัตกรรมด้านการจัดจำหน่ายแห่งปี 9. บริษัท นอร์ทเทิร์น ไบโอแก๊ซ จำกัด รางวัลนวัตกรรมด้านพลังงานแห่งปี 10. บริษัท อำภาวิศวกรรม จำกัด รางวัลธุรกิจชีวภาพแห่งปี 11. บริษัท ไทยพลาสติกรีไซเคิลกรุ๊ป จำกัด รางวัลธุรกิจสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนแห่งปี 12. บริษัท อาร์เอสที โรโบติกส์ จำกัด รางวัลนวัตกรรมด้านการผลิตแห่งปี 13. บริษัท สกาย ออน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รางวัลธุรกิจการเกษตรชีวภาพแห่งปี 14. ห้างหุ้นส่วนจำกัด เลม่อนโกลด์ (แอล.เอ็ม.จี) รางวัลธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งปี 15. บริษัท คีนน์ ไบโอเทค กรุ๊ป จำกัด รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 16. บริษัท คอมพานี บี จำกัด รางวัลผู้ประกอบการที่มีบรรษัทภิบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนากรีฑาโลก (World Athletics Global Running Conference 2022) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ยินดีไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานกรีฑาระดับโลกได้รับการยอมรับ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 นายกฯ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนากรีฑาโลก (World Athletics Global Running Conference 2022) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ยินดีไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานกรีฑาระดับโลกได้รับการยอมรับ นายกฯ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนากรีฑาโลก (World Athletics Global Running Conference 2022) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ยินดีไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานกรีฑาระดับโลกได้รับการยอมรับและมีมาตรฐานสากล วันนี้ (วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนากรีฑาโลก (World Athletics Global Running Conference 2022) และการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ประจำปี 2565 (Amazing Thailand Marathon Bangkok 2022) โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้บริหารสมาคมกรีฑาโลก ผู้จัดการแข่งขันมาราธอนจากทั่วโลก ผู้บริหารภาครัฐและเอกชน และผู้แทนสมาคมกรีฑา ชมรมวิ่ง เข้าร่วมงาน ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานงานสัมมนาวงการกรีฑาโลกในวันนี้ ซึ่งปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย มีมาตรการผ่อนคลายจนประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ รัฐบาลจึงได้หารือกับภาคธุรกิจกลุ่มต่าง ๆ เพื่อร่วมกันหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาจึงเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญและสามารถเชื่อมโยงความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนระหว่างนักกีฬาได้เป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสมาคมกรีฑาโลกที่เชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการจัดงานกรีฑาระดับโลก จำนวน 3 งานในปีนี้ ได้แก่ 1. การแข่งขันกีฬาวิ่งเทรลภูเขาชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 1 ณ ดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้รับความชื่นชมถึงความสำเร็จในการจัดงานจากสื่อมวลชนทั่วโลก สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 450 ล้านบาท 2. การประชุมสัมมนากรีฑาโลก ประจำปี 2565 และ 3. การแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก รายการ “Amazing Thailand Marathon Bangkok 2022” ซึ่งได้รับการรับรองและยอมรับจากสมาคมกรีฑาโลกให้เป็น 1 ใน 5 ของมาราธอนในเมืองหลวง ที่จัดได้ดีที่สุดในทวีปเอเชีย โดยมีนักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมกว่า 25,000 คน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่ได้มาตรฐานสากล และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามของไทย จะสามารถสร้างความสุขกายสุขใจ และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมทุกคน โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดี มอบรอยยิ้มให้กับผู้มาเยือนทุกท่าน พร้อมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดกิจกรรมเหล่านี้ขึ้น และขอให้ร่วมกันสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางด้านการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างต่อเนื่อง จากนั้น Mr. Jakob Larsen ผู้อำนวยการอาวุโส สมาคมกรีฑาโลก พร้อมด้วย Mr. Dawna Stone ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร World Marathon Majors ได้มอบถ้วยมาราธอนโลกและประกาศนียบัตรสมาคมกรีฑาโลกแด่นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นที่ระลึกและเชิดชูเกียรติที่ประเทศไทยให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้ โดยภายหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดงานฯ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมจุดลงทะเบียนรับเบอร์และอุปกรณ์การแข่งขันวิ่งฯ บูธผู้ประกอบการขายสินค้ากีฬา พร้อมกล่าวทักทายผู้เข้าร่วมงาน อนึ่ง การประชุมสัมมนากรีฑาโลก จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 1 - 3 ธันวาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ โดยมีผู้จัดงานวิ่งมาราธอนชั้นนำจากทั่วโลก เดินทางมาร่วมประชุม ซึ่งเป็นการจัดงานคู่ขนานกับการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ครั้งที่ 5 Amazing Thailand Marathon Bangkok 2022 เป็นการแข่งขันวิ่งมาราธอนเมืองหลวงที่ได้รับการรับรองในระดับ World Athletics Label มีนักวิ่งชาวไทยและชาวต่างชาติที่สนใจเข้าร่วมแข่งขันอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยครั้งนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2565 มีกิจกรรมไฮไลต์คือการจัดวิ่งประเภทมาราธอน ระยะ 42.175 กิโลเมตร เส้นทางราชมังคลากีฬาสถาน – อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนพระสุเมรุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เปิดจองตั๋วล่วงหน้า รองรับการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวเดือนธันวาคมและช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 บขส. เปิดจองตั๋วล่วงหน้า รองรับการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวเดือนธันวาคมและช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 เตรียมรถโดยสารให้บริการวันละ 2,900 - 3,000 เที่ยว พร้อมคุมเข้มมาตรการด้านความปลอดภัยป้องกัน COVID-19 นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ในเดือนธันวาคมนี้ ช่วงสุดสัปดาห์มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน อาทิ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และในวันที่ 12 ธันวาคม 2565 เป็นวันหยุดวันหยุดชดเชยวันรัฐธรรมนูญดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนให้ได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)จึงได้เตรียมความพร้อมจัดการเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดดังกล่าว โดยได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม และรถตู้) เที่ยวไป ประมาณวันละ 2,900 เที่ยว คาดว่า จะมีผู้ใช้บริการ ประมาณวันละ 32,000 คน ส่วนการเดินทางกลับ ได้จัดรถโดยสาร รองรับประมาณวันละ 3,000 เที่ยว คาดว่า จะมีผู้ใช้บริการ ประมาณวันละ 33,000 คน นอกจากนี้ เพื่อป้องกันปัญหาผู้โดยสารตกค้าง ลดความแออัดในสถานีขนส่งผู้โดยสาร และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บขส. ได้เปิดให้บริการจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าทุกเส้นทาง ผู้ใช้บริการสามารถวางแผนการเดินทางได้ล่วงหน้า ทั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2565 และเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะถึงนี้ โดยสามารถจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าทางช่องทางออนไลน์ดังนี้ Application : E-TicketWebsite บขส. เว็บไซต์ www.transport.co.thเคาน์เตอร์เซอร์วิส ตัวแทนจำหน่ายตั๋ว บขส.และช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ณ สถานีเดินรถทั่วประเทศ ทั้งนี้ บขส. ขอเชิญชวนผู้ใช้บริการสมัครสมาชิก บขส. Card (ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการสมัคร) ทาง Application E-Ticket และ www.transport.co.th เพื่อรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด อาทิ ส่วนลดค่าโดยสาร 5 % และรับคะแนนสะสมคูณ 2 เมื่อซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์เดินทาง ในระหว่างวันที่ 1 - 31 ธันวาคม 2565 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ที่นำรถโดยสารมาวิ่งจะต้องดำเนินการ ตามมาตรการ/วิธีการปฏิบัติสำหรับการเดินรถโดยสาร เพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด และให้ดูแลเรื่องความปลอดภัย ตรวจสภาพความพร้อมของรถโดยสาร พนักงานขับรถ ให้พร้อมก่อนออกเดินทางทุกครั้ง พร้อมจำกัดความเร็วไม่เกิน 80 - 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อเจอฝนตก สภาพถนนเปียก เส้นทางที่น้ำท่วมขังควรใช้ความเร็วลดลง ใช้ความระมัดระวังในการขับรถให้มากขึ้น รวมทั้งนำมาตรการ 4 พร้อม ได้แก่ สถานีพร้อม พนักงานพร้อม รถโดยสารพร้อม และการบริการพร้อม มาใช้ เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการเดินทางให้แก่ผู้โดยสารทุกคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ รับรางวัล“หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ” (Data Governance) จาก นายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ก.อุตฯ รับรางวัล“หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ” (Data Governance) จาก นายกรัฐมนตรี ก.อุตฯ รับรางวัล“หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ” (Data Governance) จาก นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมรับมอบรางวัล “หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ” (Data Governance) จาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2565 “Digital Government Awards 2022” จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เพื่อให้เกียรติและเชิดชูหน่วยงานที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล และเป็นแบบอย่างที่ดีกับส่วนราชการและหน่วยงานรัฐต่อไป ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 53 รางวัล ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการปรับเปลี่ยนหน่วยงานสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล จนส่งผลให้อันดับดัชนีชี้วัดระดับสากล Waseda-IAC World Digital Government Ranking ประเทศไทยขึ้นมาอยู่อันดับที่ 22 จาก 64 ประเทศทั่วโลก ในปี 2021
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเปิดให้พ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ใช้ที่อยู่ในอาคารชุดจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กรมสรรพากรเปิดให้พ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ใช้ที่อยู่ในอาคารชุดจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว กรมสรรพากรอำนวยความสะดวกให้พ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ ที่เป็นบุคคลธรรมดาและต้องการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สามารถใช้ที่อยู่ในอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมขอจดทะเบียน VAT ผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจขายของออนไลน์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่พักอาศัยในอาคารชุดหรือคอนโดมีเนียมและใช้เป็นสถานประกอบการ ซึ่งถ้ามีรายได้ทั้งปี เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ผู้ประกอบการมีหน้าที่จดทะเบียน VAT ต่อกรมสรรพากร โดยที่ผ่านมาไม่สามารถใช้อาคารชุดเป็นสถานประกอบการเพื่อจดทะเบียน VAT ได้ กรมสรรพากรตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับรูปแบบการประกอบธุรกิจขายของออนไลน์ในปัจจุบัน โดยให้นำอาคารชุดหรือคอนโดมีเนียมมาเป็นสถานประกอบการในการจดทะเบียน VAT ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ได้ที่ www.rd.go.th >> บุคคลธรรมดา >> ภาษีมูลค่าเพิ่ม >> ระบบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้อาคารชุดเป็นสถานประกอบการ พร้อม Upload เอกสารที่เกี่ยวข้อง” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “การปรับปรุงรูปแบบการจดทะเบียน VAT ให้กับพ่อค้า – แม่ค้าออนไลน์ในครั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและระยะเวลาให้สามารถยื่นจดทะเบียน VAT ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นการทำธุรกรรมบนระบบออนไลน์ในทุกขั้นตอน ตอบโจทย์นโยบายตรงกลุ่ม บริการตรงใจ สนับสนุนรูปแบบการประกอบกิจการที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน” หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ – บสย. หารือแนวทางส่งเสริม Startup
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 บีโอไอ – บสย. หารือแนวทางส่งเสริม Startup บสย. - BOI หารือถึงแนวทางความร่วมมือเพื่อพัฒนาและส่งเสริมกิจการนวัตกรรมและวิสาหกิจเริ่มต้น Startup ภายใต้พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งภาคการเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนดิจิทัล BCG Model นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมด้วย นางดุสิดา ทัพวงษ์ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานบริหารช่องทางและพัฒนาผู้ประกอบการต้อนรับ นายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายวรกาญจน์ โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้อำนวยการกองเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และคณะทำงานด้านวิชาการส่งเสริมการลงทุน ในโอกาสเข้าหารือถึงแนวทางความร่วมมือเพื่อพัฒนาและส่งเสริมกิจการนวัตกรรมและวิสาหกิจเริ่มต้น Startup ภายใต้พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งภาคการเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน ดิจิทัล BCG Model การท่องเที่ยวระดับคุณภาพภายใต้ 3 มาตรการพิเศษคือ 1.มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น 2.มาตรการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทักษะขั้นสูง 3.การสนับสนุนการนำผลงานวิจัยและพัฒนาต่อยอดเป็นการผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยในส่วน มาตรการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทักษะขั้นสูง บีโอไอ มีงบประมาณสนับสนุนทุนฝึกอบรมทักษะให้กับพนักงานในองค์กร โดยกิจการที่เข้ารับทุนสามารถร่วมสนันสนุนคู่กับบีโอไอ และยังสามารถให้คำปรึกษาการเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละกิจการได้ รวมถึงลูกค้า บสย. ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน สามารถขอทุนการฝึกอบรมได้ทั้งระดับบุคคล และระดับองค์กร เป็นต้น ในโอกาสนี้ บีโอไอ ยังได้หารือถึงแนวทางและหลักเกณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Startup และการสนับสนุนผู้ประกอบการด้านการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. ได้ให้คำแนะนำ บทบาท การค้ำประกันสินเชื่อ พร้อมแนะนำ โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงินระยะที่ 7 หรือ บี ไอ เจ็ด ( BI 7) ใหม่ล่าสุด วงเงิน 11,000 ล้านบาท รองรับการเปิดประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยการเติมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนให้กับผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนและต้องการสินเชื่อ รวมถึงแนวทางการบูรณาการความร่วมมือด้านหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ ระหว่าง บีโอไอ กับ บสย. เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ณ สำนักงานใหญ่ บสย. อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ขั้น 18 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดีประเทศไทย! ฟรุ้ทบอร์ดแจ้งรถไฟจีน-ลาว ขนลำไยไทยล็อตแรก 20 ตู้
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ข่าวดีประเทศไทย! ฟรุ้ทบอร์ดแจ้งรถไฟจีน-ลาว ขนลำไยไทยล็อตแรก 20 ตู้ ข่าวดีประเทศไทย! ฟรุ้ทบอร์ดแจ้งรถไฟจีน-ลาว ขนลำไยไทยล็อตแรก 20 ตู้ ผ่านด่านรถไฟโม่ฮานสำเร็จ เป็นขบวนปฐมฤกษ์วันนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (2 ธ.ค) เกี่ยวกับความคืบหน้าการเปิดบริการด่านรถไฟโม่ฮานเพื่อขนส่งผลไม้ไทย ด้วยขบวนรถไฟจีน-ลาวว่า วันนี้รถไฟจีน- ลาว ขนลำไยไทยล็อตแรก 20 ตู้ ผ่านด่านรถไฟโม่ฮานสำเร็จ เป็นปฐมฤกษ์วันนี้ “เมื่อเวลาตี 5 ขบวนรถไฟจีน-ลาว เดินทางออกจากสถานีเวียงจันทน์ใต้ โดยบรรทุกลำไยของจันทบุรีในภาคตะวันออก จำนวน 20 ตู้คอนเทนเนอร์ ถึงด่านรถไฟบ่อเต็นพรมแดนลาว-จีน โดยใช้เวลา 5 ชั่วโมงเศษ และจอดรอเพื่อทำเอกสารพิธีการส่งออกเข้าจีนที่ด่านรถไฟโม่ฮาน จากนั้นขบวนรถเดินทางข้ามพรมแดนจีน-ลาว ไปยังด่านรถไฟโม่ฮาน และจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางคือมหานครฉงชิ่ง นับเป็นผลไม้ของไทยล๊อตแรกและเป็นขบวนรถปฐมฤกษ์ ในการขนส่งผลไม้ไทยข้ามแดนจากไทยผ่านลาวเข้าจีน ด้วยระบบรางสำเร็จเป็นครั้งแรก ภายใต้พิธีสารการนำเข้าส่งออกผลไม้ระหว่างไทย-จีน ซึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำงานล่วงหน้าในการเปิดด่านรถไฟโม่ฮาน และด่านหนองคาย โดยเจรจากับทางการจีนที่นครปักกิ่ง เมื่อปลายปี 2562 จนบรรลุ การลงนามพิธีสารดังกล่าวได้สร้างโอกาสของผลไม้ไทยทุกภาคทั่วประเทศ ในการขนส่งด้วยระบบรางไปยังจีน โดยใช้เวลาลดลงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลไม้ไทยมากขึ้น” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง จัดงาน "ช้อปของที่ใช่...ให้คนที่ชอบ " เปิดตัว E – Catalog สร้างรายได้ให้แรงงานนอกระบบ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รมว.เฮ้ง จัดงาน "ช้อปของที่ใช่...ให้คนที่ชอบ " เปิดตัว E – Catalog สร้างรายได้ให้แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน เชิญประชาชนช้อปของขวัญปีใหม่ จัดงาน "ช้อปของที่ใช่...ให้คนที่ชอบ" แสดงสินค้ากลุ่มอาชีพอิสระที่กรมการจัดหางานสนับสนุน พร้อมเปิดตัว E – Catalog เพิ่มความสะดวก เลือกซื้อสินค้าแบบ New Normal วันที่ 2 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่ กระทรวงแรงงาน จึงชวนกลุ่มอาชีพอิสระที่กรมการจัดหางานสนับสนุน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ ร่วมออกบูทในงาน "ช้อปของที่ใช่...ให้คนที่ชอบ" โดยมีการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาชีพจากกลุ่มอาชีพอิสระที่กรมการจัดหางานสนับสนุน (กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน) ทั้งจากกรุงเทพมหานคร และจากจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กลุ่มกระเป๋าดีมีสไตล์ กลุ่มหัตถกรรมทองลงหิน กลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านครัวตะวันตก งานปักเลื่อมลูกปัด ปักไหม กลุ่มกลึงไม้ตาล ผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนจากไม้ตาล กลุ่มสตรีอาสาบ้านพวน ทอผ้ามัดหมี่ กลุ่มแปรรูปเส้นกกตำบลบางพลวง กลุ่มโอ่งผ้าไหมประดิษฐ์ และกลุ่ม khonlabai Craft กระเป๋าแฮนด์เมด เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการเลือกซื้อของขวัญปีใหม่เป็นของฝากให้คนสำคัญ มาเลือกช้อป ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย Smart Job center กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พร้อมเปิดตัว E – Catalog สำหรับเป็นช่องทางนำเสนอสินค้าของกลุ่มอาชีพอิสระในรูปแบบออนไลน์ โดยขณะนี้มีการรวบรวมสินค้าของกลุ่มฯ ไว้กว่า 63 กลุ่ม 45 จังหวัด มีผลิตภัณฑ์ 378 รายการ ให้ผู้ที่สนใจสินค้าสามารถเลือกชมสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา “สำหรับใครที่กำลังเตรียม “ช้อปของที่ใช่...ให้คนที่ชอบ” ในเทศกาลปีใหม่ ผมขอฝากสินค้าคุณภาพจากกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ เพราะนอกจากมีสินค้าให้เลือกหลากหลายแล้ว ยังเป็นการอุดหนุนสินค้าท้องถิ่น ในประเทศไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างโอกาสทางอาชีพ กระจายรายได้สู่แรงงานนอกระบบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้คนไทยมีงาน มีรายได้ และสนับสนุนการประกอบอาชีพเสริม เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับกลุ่มอาชีพอิสระที่กรมการจัดหางานสนับสนุนเหล่านี้ (กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน) กรมฯจะคอยให้คำแนะนำตั้งแต่การรวมกลุ่มรับงานอย่างถูกต้อง แนะนำการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย แนะนำช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ช่องทางจำหน่าย ที่สำคัญยังมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ให้กลุ่มอาชีพฯ กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิต “เดิมกองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน เป็นแหล่งเงินทุนถูกกฎหมายที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 3 ต่อปี แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 แรงงานนอกระบบซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพอิสระที่กรมการจัดหางานสนับสนุนได้รับผลกระทบอย่างมาก จึงลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนฯ จากร้อยละ 3 ต่อปี เหลือร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 -12 และให้กู้ในอัตราร้อยละ 0 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2565 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้กู้ยืมกองทุน โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ที่ก่อตั้งกองทุนฯจนถึงปัจจุบัน ได้ช่วยเหลือกลุ่มอาชีพฯที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน ทั้งสิ้น 574 กลุ่ม ก่อให้เกิดรายได้แก่กลุ่มอาชีพฯ 62,784,000 บาทต่อปี และในปี 2566 กรมฯวางแผนจะคัดเลือกกลุ่มอาชีพฯที่มีความเข้มแข็งเป็น Best Practice เพื่อเชิดชูเกียรติ และเป็นตัวอย่างในการเพิ่มศักยภาพ แบ่งปันความรู้และส่งเสริมให้กลุ่มอาชีพฯมีความเข้มแข็งต่อไป สำหรับผู้ที่สนใจชมผลิตภัณฑ์จาก E – Catalog ของกลุ่มอาชีพฯ สามารถติดตามอุดหนุนสินค้าได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th/vgnew และสำหรับผู้ที่มีไอเดีย หรือสนใจรวมกลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน สามารถยื่นคำขอจดทะเบียน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 แห่งท้องที่ที่สถานที่กลุ่มอาชีพฯ ตั้งอยู่ หรือติดต่อสอบถามได้ที่กองส่งเสริมการมีงานทำ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โทร. 02 245 1317 ด้านนางมีนา มุหมัดอารี หัวหน้ากลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านครัว กล่าวว่า ตนเป็นสมาชิกกลุ่มอาชีพที่กรมการจัดหางานสนับสนุนมา ร่วม 15 ปี ตนและสมาชิกในกลุ่มรวม 10 คน ทำผลิตภัณฑ์สายคล้องแมสจากคริสตัลจำหน่าย รับรายได้ 10,000 – 20,000 บาทต่อเดือน การรวมกลุ่มรับงานไปทำที่บ้านเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์อย่างมากนอกจากเรื่องรายได้แล้ว ยังทำให้เกิดการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็งของแม่บ้านในชุมชน ต่อยอดไปทำกิจกรรมพัฒนาชุมชนด้านอื่น นอกจากนี้กองทุนรับงานไปทำที่บ้านยังมีส่วนช่วยอย่างมาก สมาชิกกองทุนฯ สามารถกู้ยืมเงินลงทุนซื้ออุปกรณ์ด้วยดอกเบี้ยต่ำ นางมีนากล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ตนได้เป็นตัวแทนกลุ่มรับรางวัลกองทุนผู้รับงานดีเด่น จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิด รพ.ชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อบจ.แพร่ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพคนในชุมชน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 “อนุทิน” เปิด รพ.ชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อบจ.แพร่ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพคนในชุมชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ เพิ่มการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ให้บริการตรวจรักษา ฟื้นฟู ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ เป็นทางเลือกเพิ่มการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ให้บริการตรวจรักษา ฟื้นฟู ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโรงพยาบาลชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม.ในพื้นที่ โดยมี นายอนุวัธ วงศ์วรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และอสม.ให้การต้อนรับ นายอนุทิน กล่าวว่า ในปี 2566 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบาย “นำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”โดยส่งเสริมและสนับสนุนการใช้สมุนไพรไทยและยกระดับการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก รวมถึงการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและสร้างรายได้ประเทศ ซึ่งการเปิดโรงพยาบาลชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของท้องถิ่นในวันนี้ นอกจากจะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงระบบบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญและพร้อมสนับสนุนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก สำหรับโรงพยาบาลชุมชนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก องค์การบริการส่วนจังหวัดแพร่เปิดให้บริการตรวจรักษา ฟื้นฟู ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกอาทิ นวดแผนไทย นวดประคบ ฝังเข็ม จัดกระดูก เป็นต้น ประชาชนทั่วไป ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ สามารถรับบริการได้ทุกสิทธิการรักษา จากนั้น ได้เยี่ยมเสริมพลัง อสม.ในพื้นที่ และมอบนโยบายการดำเนินงาน โดยให้ อสม.ซึ่งเป็นหมอคนที่ 1ร่วมปฏิบัติหน้าที่กับหมอคนที่ 2 และหมอคนที่ 3 ดูแล เฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค สื่อสารทำความเข้าใจและเชิญชวนประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 4 เข็ม พร้อมทั้งดูแลสุขภาพตนเองเพื่อเป็นต้นแบบที่ดี ยกระดับสู่การเป็น “สมาร์ท อสม.” ใช้เทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพคนในชุมชน รวมถึงช่วยกันสอดส่องลูกหลานในชุมชนให้ห่างไกลจากยาเสพติด ******************************************* 2 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน” เปิดรพ.สูงเม่น (แห่งใหม่) ขยายการดูแลประชาชน อ.สูงเม่นและพื้นที่ใกล้เคียง
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 อนุทิน” เปิดรพ.สูงเม่น (แห่งใหม่) ขยายการดูแลประชาชน อ.สูงเม่นและพื้นที่ใกล้เคียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลสูงเม่น (แห่งใหม่) พัฒนาศักยภาพและขยายบริการด้านการแพทย์ ตามนโยบาย “หนึ่งจังหวัดหนึ่งโรงพยาบาล” แบ่งปันทรัพยากรร่วมกับโรงพยาบาลแพร่ ดูแลสุขภาพประชาชนอำเภอสูงเม่นและใกล้เคียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลสูงเม่น (แห่งใหม่) พัฒนาศักยภาพและขยายบริการด้านการแพทย์ ตามนโยบาย “หนึ่งจังหวัดหนึ่งโรงพยาบาล” แบ่งปันทรัพยากรร่วมกับโรงพยาบาลแพร่ ดูแลสุขภาพประชาชนอำเภอสูงเม่นและใกล้เคียงด้วยระบบเครือข่ายบริการไร้รอยต่อ วันที่ (2 ธันวาคม 2565) ที่โรงพยาบาลสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดป้ายโรงพยาบาลสูงเม่น (แห่งใหม่) โดยมี พระราชเขมากร เจ้าคณะจังหวัดแพร่ พระโกศัยเกจิยารักษ์ รองเจ้าคณะจังหวัดแพร่ พระครูโกศลพิพัฒนคุณ เจ้าคณะอำเภอสูงเม่น นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมานผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 1 รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มุ่งพัฒนาศักยภาพสถานบริการทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านการแพทย์มีคุณภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึง โรงพยาบาลสูงเม่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียงนอกจากการพัฒนาศักยภาพ ขยายบริการ ตามแผนพัฒนาระบบบริการ (Service plan ) ของกระทรวงสาธารณสุขแล้วยังดำเนินงานตามนโยบาย “หนึ่งจังหวัด หนึ่งโรงพยาบาล” (One Province One Hospital) ที่ให้โรงพยาบาล ในจังหวัดร่วมกันให้บริการ โดยใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทั้งแพทย์ พยาบาล เครื่องมือ ห้องผ่าตัด ยา เวชภัณฑ์และอื่นๆทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอยและได้รับบริการที่มีมาตรฐานเดียวกัน โดยจัดบริการร่วมกับ โรงพยาบาลแพร่ ทำให้สามารถให้บริการห้องผ่าตัดได้ 4 ห้อง ICU 8 เตียง ตึกผู้ป่วยใน ที่รองรับผู้ป่วยหนักและ Intermediate Care อีก 30 เตียง ดูแลประชาชนได้ทั้งในเขต อ.สูงเม่น อ.เด่นชัย อ.วังชิ้น อ.ลอง และบางส่วนของ อ.เมือง ครอบคลุมประชากร 150,000 คน ช่วยลดความแออัด และลดคิวห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลแพร่ ได้อย่างมาก ด้าน นายแพทย์แสงชัย พงศ์พิชญ์พิทักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสูงเม่น กล่าวว่า โรงพยาบาลเปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เนื่องจากสถานที่เดิมคับแคบ ไม่สามารถขยายการบริการรองรับประชาชนที่มารับบริการเพิ่มขึ้นได้ จึงต้องย้ายสถานที่ทำการแห่งใหม่ นอกจากงบประมาณในการก่อสร้างจากกระทรวงสาธารณสุข ยังได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชน ท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน ทหารจาก ม.พัน 12 จิตอาสา และคณะอสม. ทำให้โรงพยาบาลสูงเม่นแห่งใหม่สามารถเปิดให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2565 ******************************************* 2 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมที่ดิน ชี้แจงกรณีถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดย นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 กรมที่ดิน ชี้แจงกรณีถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดย นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน กรมที่ดิน ชี้แจงกรณีถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดย นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน กรมที่ดิน ชี้แจงกรณีถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดย นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับคนต่างด้าวซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรรเกือบทั้งโครงการ จากการตรวจสอบชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโครงการหมู่บ้านจัดสรร พบว่าเป็นบุคคลไทยทั้งหมด ซี่งจะต้องดำเนินการตรวจสอบว่าคนไทยเหล่านี้ถือที่ดินแทนคนต่างด้าวหรือไม่ หากพบว่าเป็นการถือที่ดินแทนคนต่างด้าว จะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ปัจจุบันการถือครองที่ดินของบุคคลต่างด้าวบางประเภท สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายเฉพาะ เช่น 1. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว พ.ศ. 2545 2. พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ 2520 3. พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 เป็นต้น แต่บุคคลต่างด้าวยังมิอาจได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ซึ่งในการตรวจสอบกรณี นิติบุคคลขอได้มาซึ่งที่ดิน ว่าจะเป็นนิติบุคคลต่างด้าวหรือไม่นั้น มีแนวทางปปฏิบัติ ให้ตรวจสอบว่า มีคนต่างด้าวถือหุ้น เกิน 49% หรือไหม และมีหุ้นส่วนคนต่างด้าวเกิน 50% ของผู้เป็นหุ้นส่วนหรือไม่ หากตรวจสอบแล้ว ไม่เกินกว่าที่กฎหมาย. กำหนด ถือว่า นิติบุคคลดังกล่าวเป็นนิติบุคคล สัญชาติไทย สามารถถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ ตาม มาตรา 97 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับการได้มาซึ่งที่ดินของนิติบุคคล ที่มีเหตุที่น่าสงสัยคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริง ว่าคนไทยเหล่านี้ เป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง มิได้ถือแทนคนต่างด้าว โดยสอบสวนผู้ถือหุ้นคนไทยที่ถือหุ้นส่วนใหญ่ในประเด็น - มีอาชีพใด - รายได้ต่อเดือนเท่าไร โดยแสดงหลักฐานประกอบ - เงินที่ซื้อหุ้นมีที่มาอย่าไร เป็นต้น ส่วนกรณี บุคคลต่างด้าวเช่าที่ดิน หรือถือสิทธิประเภทอื่นในระยะยาว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องสอบสวนว่าวัตถุประสงค์ในการเช่าที่ดินเพื่อนำไปประกอบกิจการใด ผู้ให้เช่าถือกรรมสิทธิ์แทนบุคคลต่างด้าวผู้เช่าหรือไม่ หรือขัดต่อ พรบ. ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือไม่ จากกรณีที่เป็นข่าว ก่อให้เกิดความห่วงใยในเรื่องความเข้าใจของประชาชน เกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินของบุคคลต่อด้าว กรมที่ดิน ได้มีหนังสือสั่งการเน้นย้ำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ความรอบคอบ และสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงให้ปรากฏชัดเจน กรณีที่คนไทยซื้อที่ดิน ว่าจะเข้าลักษณะเป็นการถือครองที่ดินแทนบุคคลต่างด้าวหรือไม่ ตลอดจนให้ทำการประชาสัมพันธ์ให้ทราบด้วยว่าการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าวจะมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ทั้งตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายอาญารวมถึงบุคคลต่างด้าวก็มีความผิด ซึ่งมีอัตราโทษทั้งจำและปรับส่วนที่ดินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ก็จะต้องจำหน่ายหากไม่จำหน่าย อธิบดีกรมที่ดินก็มีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้นได้ ที่มา : ประชาสัมพันธ์ กรมที่ดิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ 3 หน่วยงาน ขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 เกษตรฯ จับมือ 3 หน่วยงาน ขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เกษตรฯ จับมือ 3 หน่วยงาน ขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยได้รับเกียรติจาก นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายวันชัย วราวิทย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนหน่วยงานร่วมลงนาม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำโครงการขับเคลื่อนการเกษตรระดับหมู่บ้านสู่การผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง โดยในปี 2566 มีเป้าหมายครอบคลุมพื้นที่ 76 จังหวัด จำนวน 878 หมู่บ้าน วงเงิน 5 ล้านบาท มุ่งหวังที่จะบูรณาการด้านการเกษตรในระดับหมู่บ้านผ่านคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูง รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนทางการเกษตร ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ ซึ่งมีกรอบระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2570 ตลอดจนปฏิรูประบบการบริหารราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงและใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างเต็มศักยภาพ เริ่มดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่สามารถวิเคราะห์ศักยภาพและโอกาส วางแผนการผลิตที่เชื่อมโยงกับความต้องการของตลาด มีตลาดรองรับที่ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนธุรกิจเกษตรรายสินค้าในการเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน ตลอดจนเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จำเป็น การทำเกษตรที่ได้มาตรฐานเพื่อยกระดับการผลิตของตนเอง และเพื่อให้มีฐานข้อมูลกิจกรรมการทำการเกษตรที่มีความเป็นปัจจุบันทุกเวลา ใช้ประกอบการวิเคราะห์ ประมวลผล ประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย บริหารจัดการ และการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ นำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตในภาคการเกษตรในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง โดยการดำเนินการทั้งหมดนี้ มีการสร้างกลไกการบริหารงานและการมีส่วนร่วมตั้งแต่ในระดับพื้นที่และส่วนกลางในการขับเคลื่อนและพัฒนาภาคการเกษตรให้บรรลุเป้าหมายตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติต่อไป “โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนและขับเคลื่อนแผนพัฒนาหมู่บ้าน รวมทั้งจัดทำแผนงาน/โครงการด้านการเกษตรที่มีความเชื่อมโยงกับแผนชุมชน ซึ่งได้มาจากปัญหาและความต้องการของประชาชนที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคีต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรระดับหมู่บ้านให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเกษตรอัตลักษณ์ สินค้าเกษตรปลอดภัย สินค้าเกษตรอัจฉริยะ สินค้าเกษตรแปรรูป และสินค้าเกษตรชีวภาพ โดยมีอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้านเป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนภาคการเกษตรระดับหมู่บ้านเพื่อบูรณาการการทำงานด้านการเกษตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่” รองปลัดเกษตรฯ กล่าว.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยกทัพอุตสาหกรรมแฟร์ ดันผลงานพลิกเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน คาดบูมเศรษฐกิจมากกว่า 500 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 นายกรัฐมนตรี ยกทัพอุตสาหกรรมแฟร์ ดันผลงานพลิกเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน คาดบูมเศรษฐกิจมากกว่า 500 ล้านบาท นนทบุรี 1 ธันวาคม 2565 – กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานใหญ่แห่งปี อุตสาหกรรมแฟร์ ภายใต้แนวคิด “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” เพื่อต่อยอดผลสำเร็จของโครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม ด้านการเสริมทักษะในการประกอบธุรกิจ นนทบุรี 1 ธันวาคม 2565 – กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานใหญ่แห่งปี อุตสาหกรรมแฟร์ ภายใต้แนวคิด “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” เพื่อต่อยอดผลสำเร็จของโครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม ด้านการเสริมทักษะในการประกอบธุรกิจ ให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีอาชีพใหม่ พร้อมทั้งระดมสุดยอดผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมกว่า 1,200 ราย นำสินค้าดี มีคุณภาพ ราคาถูก เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนการเปิดตลาดไอเดียสำหรับประชาชนเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจที่มั่นคง ระหว่างวันที่ 1 – 4 ธันวาคม 2565 ณ อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 - 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะวิกฤติ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาและการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกด้านอย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาผลกระทบและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้เศรษฐกิจสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานรากที่จะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนา “คน” ที่เป็นประชาชนในระดับท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานและกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศ ด้วยการเสริมทักษะและฝึกอาชีพแก่ประชาชนให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีรายได้ มีอาชีพใหม่ อันจะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป สำหรับการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” ในวันนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งใหญ่ในรอบหลายปี ซึ่งเป็นการต่อยอดและขยายผลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการสะท้อนภาพความสำเร็จของการนำนโยบายสำคัญของรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำให้ประชาชนมีความรู้และทักษะใหม่ในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่และภูมิปัญญาของคนในชุมชนที่สามารถนำไปต่อยอดได้จริง ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งได้จากภายใน สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืนและเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงช่วยผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่สภาวะปกติต่อไปได้ ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ชุมชนดีพร้อม” และการพัฒนา “คน” ที่เป็นประชาชนในระดับท้องถิ่นและชุมชน ผ่าน “กลไก 7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม” ได้แก่ แผนชุมชนดีพร้อม คนชุมชนดีพร้อม แบรนด์ชุมชนดีพร้อม ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินทุนหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งหนึ่งในกลไกข้างต้น กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า “คน” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในก้าวแรกที่จะพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ด้วยการเสริมทักษะและฝึกอาชีพแก่ประชาชนในรูปแบบการฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและมีรายได้ มีอาชีพใหม่ ผ่านโครงการ “พัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม” โดยที่ผ่านมาสามารถพัฒนาทักษะอาชีพให้กับกลุ่มเป้าหมายไปแล้วกว่า 600,000 คน ในกว่า 2,100 พื้นที่ และกำลังดำเนินการเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนั้น อีกหนึ่งกลไกที่มีความสำคัญ คือ การพัฒนาตลาดชุมชนดีพร้อมให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งในการพัฒนา “ตลาดชุมชนดีพร้อม” กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเลือกที่จะใช้งานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม” เป็นเครื่องมือทางการตลาดให้กับชุมชน ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2565 ณ เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับภายในงาน แบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.โซนนิทรรศการ โดยมีการจัดแสดงต้นแบบชุมชนดีพร้อม เทคโนโลยีและนวัตกรรม การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การยกระดับเกษตรอุตสาหกรรมและโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) การส่งเสริมและพัฒนา Startup ผ่านกลไก ดีพร้อมฮีโร่ รวมถึงการเขียนโค้ดโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ด้วยภาพที่เหมาะสำหรับการเรียนการสอนของเด็ก การแสดงเครื่องจักรเกษตรอุตสาหกรรม การใช้อุปกรณ์ VR เพื่อการเรียนรู้ระบบลำเลียงสินค้า Karakuri และการจัดแสดงผลงานจากหน่วยงานภาคี 2. โซนฝึกอาชีพ โดยจะมีการจัดฝึกอาชีพในด้านต่าง ๆ ตลอดทั้ง 4 วัน อาทิ การทำอาหาร ออกแบบผลิตภัณฑ์ 3. โซนปรึกษาแนะนำ การดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ และการบริการด้านการเงิน และ 4. โซนจำหน่ายสินค้า กว่า 1,200 ร้านค้า ที่ได้คัดสรรสินค้าดี มีคุณภาพ นำมาจำหน่ายในราคาถูก เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย สมุนไพร ของใช้ ของตกแต่งบ้าน และ Food Truck นอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับการเลือกซื้อสินค้าแล้ว ยังมีการจัดสัมมนาถ่ายทอดองค์ความรู้และกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งเป็นการเปิดตลาดไอเดียสำหรับประชาชนที่ผ่านการฝึกทักษะอาชีพดีพร้อมที่จะเข้ามาเดินชมงานเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจที่มั่นคงเป็นของตนเอง ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นเวทีแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการไทย และยังเป็นการฉายแววผู้ประกอบการธุรกิจใหม่ในชุมชนที่มีความโดดเด่นอีกด้วย โดยคาดว่าตลอดการจัดงานทั้ง 4 วัน จะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และมีเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ขสมก.สั่ง กสร.นำหลักแรงงานสัมพันธ์เจรจาหาข้อยุติโดยเร็ว
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ขสมก.สั่ง กสร.นำหลักแรงงานสัมพันธ์เจรจาหาข้อยุติโดยเร็ว รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ขสมก.สั่ง กสร.นำหลักแรงงานสัมพันธ์เจรจาหาข้อยุติโดยเร็ว วันที่1ธันวาคม2565นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)นำโดยนายสมพงศ์สวัสดีภาพและคณะประมาณ30คนเดินทางมายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานขอให้ช่วยเหลือกรณีนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้กับสมาชิกสหภาพแรงงานบางคนโดยเห็นว่าเป็นการแทรกแซงการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน ซี่งมีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมด้วยณห้องจัตุมงคลชั้น6อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติกล่าวว่าตามที่สมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจขสมก.ได้มายื่นหนังสือเพื่อขอความช่วยเหลือ กรณีประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงขอให้ช่วยตรวจสอบถึงการดำเนินการของนายจ้างว่ามีความถูกต้องหรือไม่ซึ่งในเรื่องนี้นั้นท่านพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและท่านพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกกลุ่มและกำชับให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมายเบื้องต้นในส่วนของกระทรวงแรงงานผมได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ชี้แจงถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งหาแนวทางในการช่วยเเหลือรวมทั้งให้เจรจากับฝ่ายนายจ้างโดยใช้หลักแรงงานสัมพันธ์ที่ดีเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็วต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 1ธันวาคม2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม “สถิติทางการเพื่อการพัฒนาประเทศ”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม “สถิติทางการเพื่อการพัฒนาประเทศ” ปลัดดีอีเอส เปิดประชุม “สถิติทางการเพื่อการพัฒนาประเทศ” วันนี้(2ธันวาคม 65)ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานเปิดการประชุม“สถิติทางการเพื่อการพัฒนาประเทศ”พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ“ความสำคัญของข้อมูลในยุคดิจิทัล”จัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานรับรู้และเข้าใจต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาสถิติและแผนกำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำสถิติทางการรวมทั้งการสนับสนุนในการขึ้นชุดข้อมูลสถิติทางการบนระบบบัญชีข้อมูลหน่วยงานและลงทะเบียนระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ(GD Catalog)โดยดีอีเอสได้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อให้บริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ(Government Data Center and Cloud Service: GDCC)ที่จะเป็นPlatformกลางสำหรับให้บริการข้อมูลโดยมีดร.ปิยนุชวุฒิสอนผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติให้การต้อนรับณโรงแรมอัศวินแกรนด์คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ _______________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM hands down policy on EVs industry to ensure balance between economic growth and environmental protection
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ​PM hands down policy on EVs industry to ensure balance between economic growth and environmental protection ​PM hands down policy on EVs industry to ensure balance between economic growth and environmental protection December 2, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has handed down a policy to promote Thailand as EV manufacturing base through green investment, and instructed concerned agencies to incorporate environmental goals in their operation, in line with the Government’s policy on EVs and renewable energy, toward carbon neutrality. The Government strives to promote green energy and economic growth, and to develop the country’s EV industry through implementation of the [emailprotected] campaign, which aims to boost manufacturing capacity of EVs by 30% by 2030, in order for Thailand to become ASEAN’s EV manufacturing hub. The private sector has, so far, welcomed these policy and direction, as seen in an increase of foreign investment in the country’s EV industry. According to Arthur D. Little (ADL)’s article on its website: https://www.adlittle.com/ on 2022 Global Electric Mobility Readiness Index (GEMRIX), Thailand ranks 9 and is categorized as “Emerging EV Market” with the score between 40-60. Comparing to the year 2018, in which Thailand was ranked 13th, the country has shown a number of positive developments, including the Government’s incentives that would accelerate growth in EVs industry. ADL noted Thailand’s potential to become leader in EV manufacturing at the regional level despite some challenges. The Government Spokesperson thanked all concerned sectors, on behalf of the Government, for their contribution to make Thailand one of the world’s emerging EV markets. The Government stands ready to provide support and accommodate consumers’ increasing demand for EVs in the years to come, and to exchange views with stakeholders on excellent practices and investment expansion to promote research and innovation that ensure balance between economic growth and environmental protection.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. Kick off เปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ปลัด มท. Kick off เปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ปลัด มท. Kick off เปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสร้างความตระหนักรู้และประกาศเจตนารมณ์สร้างความอุดมสมบูรณ์.. ปลัด มท. Kick off เปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความตระหนักรู้และประกาศเจตนารมณ์สร้างความอุดมสมบูรณ์ทำให้ดินเป็นแหล่งก่อกำเนิดอาหารอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่วัดป่าศรีแสงธรรม บ้านดงดิบ ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเดินรณรงค์และเป็นประธานเปิดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด “อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน (Soils, where food begins)” โดยได้รับเมตตาจาก พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงษ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายวิรุจ วิชัยบุญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายอำเภอ คณะทำงาน Change for Good กระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ประชาชนจิตอาสา และภาคีเครือข่ายทั้ง 25 อำเภอรวมกว่า 500 คน ร่วมกิจกรรม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเราชาวไทยทั้งประเทศ นำโดยพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นดินแดนที่เราจะเห็นอรุณรุ่งแห่งแสงตะวันที่สวยงามและอบอุ่นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ได้ช่วยกันในการน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงประกาศเป็นปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ด้วยทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงช่วยทำให้แผ่นดินไทย เป็น “แผ่นดินทอง” อันเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่พี่น้องประชาชนอยู่ด้วยความสุข ความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำจิตน้ำใจซึ่งกันและกัน ให้สมกับเป็นดินแดนแห่งพุทธภูมิที่มีคณะสงฆ์ผู้เป็นพุทธทายาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักชัย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสองค์ที่ 2 เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 อันเป็นการตอกย้ำพระราชปณิธานที่แน่วแน่ของพระองค์ท่านในการที่จะทรงทำนุบำรุงให้สังคมประเทศชาติของเรามีความผาสุก ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” อันเป็นพระราชปณิธานที่สอดรับกับสิ่งที่พวกเราได้มาทำร่วมกันในวันนี้ อันเป็นเดือนแห่งวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม” พระบรมชนกนาถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทาน “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และโครงการพระราชดำริที่ฟื้นฟูดิน น้ำ ลมไฟ เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดความสุขกับพวกเรา จำนวนมากกว่า 4,000 โครงการ จนกระทั่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ได้กำหนดให้วันพระบรมราชสมภพของพระองค์ท่าน คือ วันที่ 5 ธันวาคม เป็น “วันดินโลก” อันเป็นวันสำคัญของโลก เพราะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเผยแผ่องค์ความรู้ และแนวทางในการให้พวกเราทุกคนและคนทั่วทั้งโลกได้ให้ความสำคัญกับ “ดิน” ว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เพราะดินคือแหล่งผลิตอาหาร เป็นที่มาของรากฐานระบบนิเวศที่เอื้อเฟื้อ ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ และทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำมีชีวิตเป็นปกติ และเป็นความโชคดีของคนไทยทุกคน ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพยายามเชิญชวนรณรงค์ให้พวกเราได้ใช้สีธรรมชาติแทนสีเคมีในการย้อมผ้า โดยทรงอรรถาธิบายไว้ว่า ถ้าใช้สีเคมีย้อมผ้า แล้วเทสีเคมีหรือน้ำย้อมผ้าสีเคมีลงไปในแม่น้ำลำคลอง แม่น้ำลำคลองก็จะเน่าเสีย สิ่งมีชีวิตในน้ำก็รอดยาก หรือถ้ารอดแล้วมาเป็นอาหารให้กับคนก็จะมีสารพิษตกค้างในร่างกายคน หรือถ้าพวกเราฉีดยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง แล้วนำถังที่ใส่ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลงนั้นไปล้างในลำห้วย ลำหนอง คลอง บึง สารพิษสารเคมีเหล่านั้นก็จะทำลายระบบนิเวศในน้ำ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวต่ออีกว่า วันนี้เป็นวันที่พวกเราทุกคนต้องดีใจและภาคภูมิใจ ที่ “คนอุบลราชธานี” จะเป็นต้นแบบให้คนอีก 75 จังหวัดทั่วประเทศ ได้ช่วยกันศึกษา เรียนรู้ และดำเนินกิจกรรมตามคนอุบลราชธานี ด้วยจิตใจอันดีงามซึ่งแสดงออกด้วยความจงรักภักดี ความรักเทิดทูน ความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มาแปลงเป็นการปฏิบัติบูชา โดยพี่น้องทุกคน ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านอำเภอ และท่านนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูบาอาจารย์ คณะสงฆ์ทั้งของจังหวัดอุบลราชธานีและทั่วประเทศ ทั้งนี้ แม้ว่าผลลัพธ์ของการดำเนินการจะช่วยกันทำนุบำรุงให้แผ่นดินของพวกเรามีความอุดมสมบูรณ์ มีสภาพที่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งจุลินทรีย์ ฮิวมัส ไส้เดือน กิ้งกือ แมลงต่าง ๆ และผลหมากรากไม้ ต้นพืช ต้นไม้ใหญ่โตจนถึงต้นหญ้าได้เจริญงอกงามและเราทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ในท้ายที่สุดจะส่งผลมาทำให้โลกของเราซึ่งกำลังประสบปัญหาภาวะโลกร้อน (Climate Change) ได้รับการเยียวยา ทำให้โลกใบนี้สวยงาม พืชผักธัญญาหารจะเพิ่มพูนเพิ่มมากขึ้น แต่เป้าหมายสูงสุด คือ “การพัฒนาคน” สมกับเจตนารมณ์ของ FAO ทั้งตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปี 2565 จะเชิญชวนให้คนทั้งโลกช่วยกัน กลับมาดูแลปรนนิบัติแก้ไขในสิ่งผิดกับพื้นดิน เพื่อให้ผืนดินนั้นกลับกลายมาเป็นสิ่งที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ผืนดินเป็นแหล่งกำเนิดเกิดอาหารที่ปลอดภัย ดังแนวคิดของวันดินโลกที่ว่า Soils, where food begins อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน “นอกจากนี้ FAO ยังได้สรุปไว้ว่าความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ความเจริญของมนุษยชาติ ตลอดระยะ 70 ปีที่ผ่านมาได้ทำลายความอุดมสมบูรณ์ ทำลายสิ่งที่เรียกว่า “ความสมดุลของธรรมชาติ” เช่น ไปใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ดินแข็งโป๊ก ปลูกมันทำสวนก็ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดลงไป จนสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์กับพื้นดินพลอยตายไปด้วยกลายเป็นผืนดินที่ผิวหน้าเป็นฝุ่น เมื่อแสงแดดส่องมาก็จะกลายเป็นฝุ่นซ้ำเติมให้เกิด PM 2.5 และยังมีการจุดไฟเผาป่าเกิดผลกระทบตามมาเป็นโทษมหาศาลคือความแห้งแล้ง มลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ ชีวิตก็ไม่มีความสุข แต่เพราะคนอุบลราชธานีเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นบัวพ้นน้ำ ได้ช่วยกันทำให้เป้าหมายสำคัญ คือ ทำให้คนในสังคม คนในประเทศ ได้รู้ว่า ใช้ชีวิตที่ผ่านมามันผิด ถึงเวลาที่ต้องมาช่วยกันแก้ไขในสิ่งผิด โดยเมื่อคนได้รับรู้รับทราบสิ่งที่ทุกคนได้ช่วยกันในวันดินโลก ด้วยการทำให้คนน้อมนำทฤษฎีใหม่มาประยุกต์สู่โคก หนอง นา ใช้การรู้จักปรนนิบัติดูแลแม่พระธรณี หรือ “เลี้ยงดิน” เพื่อให้ดินเลี้ยงพืช และพืชมาเลี้ยงเรา วันนี้สำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เมื่อพี่น้องคนไทยทั้ง 76 จังหวัด 878 อำเภอรู้แล้ว ก็จะต้องช่วยกัน ไม่ใช่รู้ยากมากนาน แต่ต้อง “รู้แล้วลงมือทำทันที” ก็จะสำเร็จ 100% ส่งผลให้เกิดผลผลิตที่ดี (Better Production) ทำให้มีโภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition) และพื้นดินจะมีความร่มเย็นชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment) และทั้ง 3 ดี ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดี (Better Life) เพื่อให้พวกเราทุกคนและพี่น้องประชาชนมีความสุข เมื่อพี่น้องประชาชนมีความสุข ประเทศชาติก็จะมั่นคงได้ด้วยน้ำมือเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนทุกท่านได้ช่วยกัน Kick Off เนื่องในงานวันดินโลกของกระทรวงมหาดไทย “อันเป็นวันของพี่น้องประชาชนทุกคน” ที่มีประจักษ์พยานและความรับผิดชอบที่ชัดเจนหนักแน่นของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยทั้งส่วนกลาง ทั้งราชการและรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยที่ออกมารับใช้พี่น้องประชาชน ในจังหวัด ในอำเภอ ในตำบล ในหมู่บ้าน อันมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำในจังหวัด ท่านนายอำเภอเป็นผู้นำที่อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้นำที่ตำบล/หมู่บ้าน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้นำในท้องถิ่น ได้ผนึกกำลังกับ 7 ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เดินไปเคียงคู่กับพี่น้องประชาชน ช่วยกัน Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้กับแผ่นดินที่เคยย่อยยับอับปาง เพราะพวกเราไปเบียดเบียนรังแกเพราะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ให้กลายเป็น “แผ่นดินทองที่มีความอุดมสมบูรณ์ และทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีไปด้วย” เพื่อให้ด้วยห้วงเวลา 15 วันที่พวกเราลุกขึ้นมาช่วยกันรณรงค์ปลุกกระแส “ทำดีเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” สร้างความสุขให้กับมวลมนุษยชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน “ขอให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจให้กันและกัน ในการร่วมไม้ ร่วมมือ ทำให้แผ่นดินของเราเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ สมกับเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนกิจกรรมวันดินโลก 5 ธันวาคม 2565 ให้แผ่นดินนี้เป็นแหล่งก่อกำเนิดของอาหารเพื่อมวลมนุษยชาติ หรือ Soils, where food begins อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดินอย่างต่อเนื่องตลอดไป ด้วยการน้อมนำเอาแนวทางพระราชดำริตามพระบรมราชโองการ ที่จะช่วยกันสร้างประเทศชาติให้มั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิต พลิกฟื้นแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทองอีกครั้งหนึ่ง ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อรักษาคุณภาพทางชีวภาพและเป็นแหล่งกำเนิดอาหารที่สมบูรณ์เพื่อหล่อเลี้ยงคนไทยและคนทั้งโลก “ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข” อย่างยั่งยืนสืบไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำผู้ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ ความว่า"ข้าพเจ้า จะสืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อพัฒนาดินอย่างยั่งยืนข้าพเจ้า จะรักษาความอุดมสมบูรณ์แห่งดิน เพื่อเป็นแหล่งสร้างอาหารที่มีคุณภาพข้าพเจ้า จะต่อยอด ขยายผล ขับเคลื่อนเครือข่ายพลังแผ่นดิน สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน"พร้อมทั้งร่วมปลูกผักหวานป่าบนโพนที่ทำจากวัสดุธรรมชาติเหลือใช้ในพื้นที่ เช่น ผักตบชวา กิ่งไม้ และเศษวัสดุในแนว Permaculture ร่วมกับผู้ร่วมงาน และเยี่ยมชมนวัตกรรมปลูกผักใต้แผงโซล่าเซลล์ อันเป็นเจตนาร่วมกันในการทำให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันที่ทุกคนจะช่วยกันทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับแผ่นดิน คือ “การสร้างความอุดมสมบูรณ์ทำให้ดินเป็นแหล่งก่อกำเนิดเกิดอาหาร” อย่างยั่งยืน #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ รวม 3 สายทาง
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ รวม 3 สายทาง ในวันจันทร์ที่ 5 และวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ รวม 3 สายทาง ในวันจันทร์ที่ 5 และวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึงเวลา 24.00 น. ดังนี้ - ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 19 ด่าน - ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่าน - ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน - ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน เนื่องจากวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 วันรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการประจำปี ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่ กทพ. บริษัททางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ร่วมปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัชรวมถึงส่วน D) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน -ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) ฉบับแก้ไขใหม่ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในวันหยุด ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application “EXAT Portal” เพื่อเข้าไปอัปเดตเป็น บัตร Easy Pass Plus + เข้าไปใช้งานระบบ M-Flow โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ รวมถึงยังสามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือในบัตร Easy Pass ตลอดจนรับข่าวสารโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) ผ่านทางแอปพลิเคชันดังกล่าวได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอีสาน สั่งการรับมือกับภัยแล้งและดูแก้ปัญหาที่ดินทำกินประชาชน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอีสาน สั่งการรับมือกับภัยแล้งและดูแก้ปัญหาที่ดินทำกินประชาชน รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอีสาน สั่งการรับมือกับภัยแล้งและดูแก้ปัญหาที่ดินทำกินประชาชน วันนี้ (2 ธันวาคม 2565) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน จ.มุกดาหาร เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำแล้งและรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ โดย มี ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ให้การต้อนรับ ณ ศาลากลาง จ.มุกดาหาร ภาพรวม ปี 61-64 จ.มุกดาหาร ได้รับงบประมาณบริหารจัดการน้ำกว่า 4,300 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วม ทั้งการปรุงลำน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำและระบบระบายน้ำ มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ เกือบ 40,000 ไร่ ครอบคลุม 17,873 ครัวเรือน และในปี 66 - 67 มีแผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยมุก อ่างเก็บน้ำห้วยเปื่อย และระบบป้องกันน้ำท่วม โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณ 1,063 ล้านบาท พลเอก ประวิตรฯ ได้ย้ำสั่งการ ขอให้ จังหวัดเร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน จากปัญหาการจำนอง การขายฝาก เพื่อให้เกษตรกรยังคงมีสิทธิ์ในที่ดินทำกินของตัวเอง และการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ โดยให้บูรณาการความร่วมมือภาคีการพัฒนาต่างๆ และบริหารจัดการข้อมูลแบบชี้เป้า (TPMAP) สำหรับการบริหารจัดการน้ำ ขอให้ สทนช.ประสาน กับ ฝ่ายปกครอง ระดับจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือกับสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องให้ความสำคัญ ขับเคลื่อน แผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมน้ำแล้งระดับพื้นที่แต่ละจังหวัด โดยในส่วนของมุกดาหาร ขอให้เร่งดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำบังอี่ให้เสร็จตามแผนงาน พร้อมทั้งให้ขยายผล กระจายขุดเจาะบาดาลโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์สูบน้ำขึ้น เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคให้ครอบคลุมปัญหา พร้อมกันนี้ ขอให้เร่งแก้ปัญหาน้ำประปาที่ไม่พอใช้ ในพื้นที่ 7 หมู่บ้าน อ.คำชะอี ที่เคยประสบปัญหาน้ำประปาไม่พอใช้ โดยเฉพาะให้เร่งสำรวจและแก้ไขการชำรุดของระบบประปาหมู่บ้าน และบริหารจัดการน้ำดิบที่เป็นปัญหาให้เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนในฤดูแล้ง บ่ายวันเดียวกันนี้ พลเอก ประวิตรฯ จะลงพบปะประชาชน เพื่อรับทราบปัญหาและตรวจติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำ ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำ ห้วยบังอี่ ต.โพธิ์ไทร อ. ดอนตาล และโครงการขุดเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำด้วยพลังแสงอาทิตย์ บ้านนาดี อ. เมืองมุกดาหาร ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" เผยรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” จ่ายเงินรอบ 2 ให้ชาวนาวันนี้ 204,471 ราย รวม 1,780 ล้านผ่าน ธ.ก.ส. พร้อมติดตามการจ่ายตรงเงินช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าว กว่า 4.29 ล้านราย
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 "ทิพานัน" เผยรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” จ่ายเงินรอบ 2 ให้ชาวนาวันนี้ 204,471 ราย รวม 1,780 ล้านผ่าน ธ.ก.ส. พร้อมติดตามการจ่ายตรงเงินช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าว กว่า 4.29 ล้านราย "ทิพานัน" เผยรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” จ่ายเงินรอบ 2 ให้ชาวนาวันนี้ 204,471 ราย รวม 1,780 ล้านผ่าน ธ.ก.ส. พร้อมติดตามการจ่ายตรงเงินช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าว กว่า 4.29 ล้านราย ให้ถึงมืออย่างรวดเร็วโปร่งใส วันที่ 2 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์ภัยธรรมชาติและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้มอบนโยบายและติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส.ดำเนินมาตรการช่วยเหลือผ่านโครงการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการ และ พัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่งจะจ่ายตรงให้กับเกษตรกร ที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว กับ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2565/66 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือ 20,000 บาท โดยโอนเงินรอบแรกไปแล้ว เมื่อช่วงวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา จำนวนกว่า 50,615 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนกว่า 4.29 ล้านราย น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า วันนี้จะมีการโอนเงินจากนโยบายช่วยเหลือชาวนาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านทาง ธ.ก.ส. รอบที่ 2 ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศอีก จำนวน 204,471 ราย เป็นจำนวนเงินกว่า 1,780 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกำลังใจและเป็นทุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพื่อให้มีโอกาสขายข้าวในราคาที่สูงขึ้น เพื่อยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และก้าวสู่เกษตรมูลค่าสูงภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งนอกจากโครงการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการ และ พัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 แล้ว ยังมีโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66 ด้วย “จะเห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์มุ่งมั่นช่วยเหลือและทำจริง ตั้งใจจริง เน้นย้ำเสมอเรื่องต้องเงินถึงมือชาวนาทุกบาท ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ตามที่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมาโดยตลอด ทั้งออกมาตรการต่างๆเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ประคองสถานการณ์เฉพาะหน้าให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดถึงมือ และยังวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการในระยะยาว ดูแลให้มีความมั่นคงทางรายได้ และทำให้พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ”น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 4/2565
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 4/2565 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 4/2565 วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 09.30 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 4/2565 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การประชุมดังกล่าวเพื่อรับทราบประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้แก่ 1) การรายงานสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำปัจจุบัน และการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในอนาคต 2) ความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 3) ผลการดำเนินงานของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง 4) ความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 และ 5) การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และแนวทางการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนบางลาง ปี 2565 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในช่วงน้ำหลากของลุ่มน้ำเจ้าพระยา และการลดผลกระทบทางด้านท้ายน้ำ ซึ่งประธานในที่ประชุมได้เน้นย้ำให้หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้างเคสตึกถล่มพิษณุโลก สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่หาสาเหตุและช่วยเหลือด่วน
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้างเคสตึกถล่มพิษณุโลก สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่หาสาเหตุและช่วยเหลือด่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงอุบัติเหตุอาคารก่อสร้างถล่มทำลูกจ้างเสียชีวิตและบาดเจ็บ จ.พิษณุโลก สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงอุบัติเหตุอาคารก่อสร้างถล่มทำลูกจ้างเสียชีวิตและบาดเจ็บ จ.พิษณุโลก สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมาย ย้ำให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว การเกิดอุบัติเหตุอาคารก่อสร้างถล่มทับลูกจ้างบาดเจ็บและเสียชีวิต ทันทีที่ทราบข่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน แสดงความเสียใจกับญาติ ครอบครัวของผู้เสียชีวิต และห่วงใยลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ โดยเบื้องต้น พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพิษณุโลก (สสค.พิษณุโลก) ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 6 (ศปข.6) รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ได้เกิดเหตุภายในโครงการงานก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ของสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 (ภาคเหนือ) ที่ตั้งอยู่ หมู่ 7 ตำบลสมอแข อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ขณะที่รถขนส่งปูนผสมเสร็จกำลังเทปูนพื้นชั้น 2 ของอาคารดังกล่าว ปรากฏว่าพื้นดินได้ทรุดตัวลง ทำให้โครงสร้างอาคารชั้น 2 ถล่มทับลูกจ้างที่ทำงานอยู่ชั้นล่างเป็นเหตุให้ลูกจ้างสัญชาติกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ผมจึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ เข้าดูแลช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ที่ญาติผู้เสียชีวิต ตลอดจนลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บพึงได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า พนักงานตรวจความปลอดภัย สสค.พิษณุโลก และ ศปข.6 ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะเชิญนายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน รวมถึงร่วมกับสำนักงานประกันสังคมจังหวัดพิษณุโลกแจ้งสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายที่พึงได้รับกับญาติผู้เสียชีวิตและลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ และจะตรวจสอบว่านายจ้างได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือ พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชันจากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ.2564 กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยฯ เกี่ยวกับนั่งร้านและค้ำยัน พ.ศ. 2564 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือไม่ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือนายจ้าง และลูกจ้างปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด หากนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบกิจการใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม” พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม” วันนี้ (2 ธ.ค. 65) เวลา 10.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม” พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่คนพิการต้นแบบ องค์กร และหน่วยงานที่สนับสนุนงานด้านคนพิการ โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้การต้อนรับ ซึ่งมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้แทนองค์การสหประชาชาติ คนพิการ ครอบครัวคนพิการ อาสาสมัคร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานด้านคนพิการ บุคคลทั่วไป และสื่อมวลชน จำนวน 2,500 คน เข้าร่วมงาน ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอนุกูล กล่าวว่า ด้วยองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันคนพิการสากล โดยประเทศสมาชิกทั่วโลกได้ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม และแสดงออกซึ่งพลังและศักยภาพของคนพิการ เพื่อให้เกิดเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ สำหรับปี 2565 องค์กรสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นหลัก คือ “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม” (Transformative solutions for inclusive development : the role of innovation in fuelling an accessible and equitable world) ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงได้จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การปฏิรูปสู่การพัฒนาเพื่อคนทั้งมวล : พลังนวัตกรรมสู่โลกที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม” พร้อมทั้งนำแนวคิด “ยุทธศาสตร์แห่งความเสมอภาค (EQUAL) ” เป็นธีมหลักของการจัดงานดังกล่าว ตามแนวทางการขับเคลื่อนงานของรัฐบาล ในการมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็น “สังคมแห่งโอกาส” นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจำตัวคนพิการจำนวน 2,138,155 คน คิดเป็นร้อยละ 3.07 ของประชากรทั้งประเทศ และพบว่าคนพิการสูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีจำนวน 1,205,184 หรือร้อยละ 56.37 ของจำนวนคนพิการทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ระบุว่าในปี 2571 สังคมไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) อีกทั้งจากสถิติของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น พบแนวโน้มว่าจะมีความเสี่ยงที่จะมีความพิการร่วมด้วย ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับคนพิการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเร่งส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการขั้นพื้นฐานได้อย่างสะดวกรวดเร็วและทั่วถึง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการให้บริการคนพิการ ตามนโยบายรัฐบาลในพัฒนาให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลในอนาคต ด้วยการเชื่อมโยงกับศูนย์บริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ณ โรงพยาบาล รวมถึงการใช้แอปพลิเคชันบัตรประจำตัวคนพิการ นอกจากนี้ มีการส่งเสริมและพัฒนาให้คนพิการมีงานทำ มีสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมถูกสุขลักษณะ และริเริ่มโครงการจัดหาครอบครัวอุปการะให้กับคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล เป็นต้น นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ 1) การอ่านสารวันคนพิการสากล ประจำปี 2565 2) การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คนพิการต้นแบบและหน่วยงาน องค์กรที่สนับสนุนด้านคนพิการ 3) เวทีเสวนาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนพิการ 4) เวที TED Talk หัวข้อ Code the PWDs Future : เทคโนโลยีแบบไหนที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการไทย 5) สมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2567) 6) การประกวด Young Southeast Asian Leaders Initiative (YSEALI) Symposium Innovative Policy : นวัตกรรมเชิงนโยบายสร้างสรรค์ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการไทย 7) การแสดงพลังและศักยภาพคนพิการ 8) บูธบริการให้คำปรึกษาแนะนำสิทธิ สวัสดิการต่างๆ สำหรับคนพิการ 9) บูธนิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมด้านคนพิการของภาคีเครือข่าย และ 10) บูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของคนพิการ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี เร่งขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการน้ำใน กทม.และทั่วประเทศ ปี 2567 ป้องน้ำท่วมและแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ย้ำให้เกิดผลกระทบประชาชนน้อยที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี เร่งขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการน้ำใน กทม.และทั่วประเทศ ปี 2567 ป้องน้ำท่วมและแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ย้ำให้เกิดผลกระทบประชาชนน้อยที่สุด พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี เร่งขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการน้ำใน กทม.และทั่วประเทศ ปี 2567 ป้องน้ำท่วมและแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ย้ำให้เกิดผลกระทบประชาชนน้อยที่สุด วันนี้ (15 ธันวาคม 2565) เวลา 09.30 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำต่อเนื่องกันไป ผ่านระบบ VTC ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ หลังจากเดินทางลงตรวจราชการขับเคลื่อนแก้ปัญหาน้ำในภูมิภาคหลายพื้นที่ โดยที่ประชุมรับทราบ สรุปผลการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่สำคัญ ปี 2565 และการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ( 2561-2565 ) รวมทั้งความก้าวหน้าโครงการแก้มลิงทุ่งหิน จว.สมุทรสงคราม พร้อมทั้งได้ร่วมกันพิจารณาและให้ความเห็นชอบ โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยา ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ตั้งแต่ อยุธยา - สมุทรปราการ และฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ อยุธยา - สมุทรสาคร เพื่อระบายน้ำ เหนือ - ใต้ ออกสู่ทะเลทั้งสองฝั่ง โดยปรับปรุงโครงข่ายชลประทาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำนำไปใช้ประโยชน์ และสามารถช่วยบรรเทาอุทกภัยลดพื้นที่นำ้ท่วม รวมทั้งโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของ กทม. โดยมีการปรับปรุงสถานีสูบน้ำพระโขนง การก่อสร้างเขื่อนคลองหนองบอน เขื่อนคลองมะขามเทศ เพื่อลดผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ พร้อมทั้ง เห็นชอบการขยายระยะเวลาและกรอบวงเงิน โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล - บางไทร และโครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขา พังงา - ภูเก็ต เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบประปา รองรับการขยายตัวของชุมชนเมือง ต่อจากนั้น ได้ร่วมพิจารณาและเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำปี 2567 จำนวน 63,589 รายการ วงเงิน 337,736 ล้านบาท โดยให้ความเร่งด่วน 26,421 โครงการ วงเงิน 184,530 ล้านบาท ในพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการด้านต่างๆ ประกอบด้วย การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และด้านบริหารจัดการ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ สามารถเพิ่มความจุเก็บกักน้ำกว่า 1,400 ล้าน ลบ.ม.พื้นที่รับประโยชน์ 6.23 ล้านไร่ ประชาชนได้ประโยชน์ 5.64 ล้านครอบครัว และพื้นที่ได้รับการป้องกัน 5.37 ล้านไร่ พล.อ.ประวิตร กำชับให้กรมชลประทานและหน่วยเกี่ยวข้อง เพิ่มน้ำหนักในการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงของโครงการให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อมิให้มีปัญหาการขยายระยะเวลาและกรอบวงเงิน พร้อมทั้งขอให้คณะกรรมการร่วมกันพิจารณากลั่นกรองโครงการอย่างรอบคอบ โดยหลายโครงการมีความสำคัญต่อการลดปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อประชาชนในหลายพื้นที่บ้าง จึงขอให้พิจารณาดำเนินการให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำว่า จากการลงตรวจติดตามในหลายพื้นที่ พบหลายโครงการยังมีความล่าช้ากว่ากำหนด จึงขอให้หน่วยงานหลัก เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด และให้ สทนช.ลงกำกับการดำเนินการตามแผน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปรับปรุงกฎหมายอุดช่องว่างสถานศึกษาบังคับนักเรียนตั้งครรภ์ย้ายโรงเรียน
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ​ปรับปรุงกฎหมายอุดช่องว่างสถานศึกษาบังคับนักเรียนตั้งครรภ์ย้ายโรงเรียน วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลดูแลสวัสดิภาพนักเรียนและนักศึกษาหญิงที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน โดยเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่..) พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎหมาย จากเดิมกำหนดว่าสถานศึกษาต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์อยู่ออกจากสถานศึกษาเว้นแต่เป็นการ ย้าย เปลี่ยนเป็น “สถานศึกษาที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษาตามเจตนารมณ์ของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์” เพื่อคุ้มครองนักเรียนนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้มีสิทธิได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงาน Year End สศก. ขึ้นเวทีปาฐกถา "เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง"
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงาน Year End สศก. ขึ้นเวทีปาฐกถา "เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง" รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงาน Year End สศก. ขึ้นเวทีปาฐกถา "เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง" พร้อมโชว์ตัวเลข GDP เกษตร ปี 65 ขยายตัวร้อยละ 0.8 และเตรียมขยายตัวต่อเนื่องในปี 66 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษ “เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง” ในการสัมมนา เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 “Go Together Better Thailand : เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง” และมอบโล่ให้แก่เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) ดีเด่น โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ สโมสรทหารบก กรุงเทพมหานคร ว่า ภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่า GDP ภาคเกษตรจะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 8.5 ของ GDP ทั้งประเทศ แต่ภาคเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของประเทศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น โดยมีเนื้อที่ทางการเกษตร 149.25 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.5 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ มีสัดส่วนแรงงานภาคเกษตรประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ และที่สำคัญ ภาคเกษตรเป็นแหล่งวัตถุดิบหรือต้นน้ำของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงประชากรในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.39 ล้านล้านบาทต่อปี และมีดุลการค้าเกินดุลเฉลี่ย 8.6 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ภาคเกษตรยังเป็นทางรอดที่ช่วยรองรับและโอบอุ้มเศรษฐกิจไทยในวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เป็นแหล่งรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคเศรษฐกิจอื่น ช่วยบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในช่วงที่ประเทศประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเกษตร 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ตลาดนำการผลิต (2) เทคโนโลยีเกษตร 4.0 (3) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน (Safety-Security-Sustainability) หรือ 3’s (4) การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน และ (5) เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาให้เกษตรกรสามารถก้าวทันและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของเกษตรกร เพื่อรองรับวิกฤตในอนาคตอย่างรอบด้าน ทั้งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมด้านการเกษตรมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและทดแทนแรงงานภาคเกษตรที่มีแนวโน้มลดลง การพัฒนาฐานข้อมูล Big Data เพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าใช้ประโยชน์ข้อมูลในการวางแผนการผลิตและการตลาด เช่น Mobile Application (One App) การสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้เข้าถึงที่ดินทำกินและแหล่งเงินทุน การประกันภัยพืชผล ส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะและเกษตรแม่นยำสูง การยกระดับสู่เกษตรมูลค่าสูง เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพทางรายได้และความมั่นคงในอาชีพแก่เกษตรกร รวมทั้งการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตร “การขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างมั่นคง รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับวิกฤตต่าง ๆ ในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งสำคัญคือความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง แน่นอนว่าประเทศไทยจะแข็งแกร่งไม่ได้ ถ้าภาคเกษตรไม่เข้มแข็ง เพราะภาคเกษตรคือรากฐานวิถีชีวิตของสังคมไทยและเกษตรกร เป็นอาชีพที่มีผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร มีผลต่อระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ ดังนั้นการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน จะช่วยสร้างรากฐานภาคเกษตรไทยให้เข้มแข็ง เพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งไปด้วยกัน นอกจากนี้ ต้องสนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือที่ทันสมัย โดยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย เข้ามาพัฒนาภาคการเกษตร รวมถึงให้โอกาส ทั้งในแหล่งเงินทุนและการพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก อีกทั้งต้องบริหารจัดการสินค้าเกษตรตามความต้อง Demand และ Supply ให้สมดุล ตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งสู่เกษตร 5.0 ต่อไปในอนาคต” ดร.เฉลิมชัย กล่าว ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2565 มีขยายตัวร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยสาขาพืช สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัว ขณะที่สาขาปศุสัตว์และสาขาประมงหดตัว ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งในเรื่องของปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวมถึงสภาพอากาศ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มการผลิตและมีการบำรุงดูแลรักษามากขึ้น การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในด้านต่าง ๆ การขยายช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าเกษตรของไทย ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ขยายตัวได้มากขึ้น ส่วนปัจจัยลบ ในเรื่องของปรากฏการณ์ลานีญาที่มีกำลังแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงอิทธิพลของลมมรสุมและพายุที่เข้ามาหลายระลอกในช่วงไตรมาส 3 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ซึ่งพื้นที่ทางการเกษตรและผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย ประกอบกับราคาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคสัตว์ ทำให้มีการชะลอการเลี้ยง ควบคุมปริมาณการผลิต และปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการ Zero-COVID ของจีน และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2566 คาดว่า จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีเพียงพอสำหรับการทำเกษตร การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐด้านการเกษตรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2566 ยังมีปัจจัยเสี่ยงและสถานการณ์สำคัญที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวนมากขึ้น ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ย สารเคมีกำจัดโรคและแมลง และวัตถุดิบอาหารสัตว์ การระบาดของโรคพืชและสัตว์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจกลับมาระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” เผยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าทะลุ 5,800 คัน ในงาน Motor Expo 2022 สั่งเร่งเครื่องหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ!
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 “สุริยะ” เผยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าทะลุ 5,800 คัน ในงาน Motor Expo 2022 สั่งเร่งเครื่องหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ! รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลื้มกระแสตอบรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาแรง ดันยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ภายในงาน Motor Expo 2022 รวมทั้งสิ้น 5,800 คัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลื้มกระแสตอบรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาแรง ดันยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ภายในงาน Motor Expo 2022 รวมทั้งสิ้น 5,800 คัน สั่งการเร่งขับเคลื่อนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หลังพบว่าประชาชนมีความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39 หรือ Motor Expo 2022 ที่ปิดฉากลงไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าชมงานสูงถึง 1.3 ล้านคน และมียอดจองรถยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น 36,679 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 5,800 คัน คิดเป็นร้อยละ 15 ของยอดรวมจองรถยนต์ แบ่งเป็น BYD 2,714 คัน ORA 1,212 คัน MG 600 คัน Neta 827 คัน Mine 32 คัน Volt 210 คัน Pocco 30 คัน Porsche 70 คัน Mercedes-Benz 30 คัน และอื่น ๆ 75 คัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน มาตรการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐทำให้มีราคาลดลง ประกอบกับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ มีการเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่แนะนำในช่วงงานหลายรุ่น ขณะที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานมากขึ้น รวมถึงแคมเปญกระตุ้นยอดขายของแต่ละค่ายที่อัดโปรโมชันแบบจัดเต็ม นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนจากค่ายรถต่าง ๆ เข้ามาประกอบกิจการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย มียอดการผลิตรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2565 กว่า 1,534,754 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ 12.36 ทำให้คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 ประเทศไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ได้มากกว่า 1.75 ล้านคัน ได้อย่างแน่นอน กระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกำหนดวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของภูมิภาค โดยกำหนดเป้าหมายในปี 2568 การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวม 225,000 คันต่อปีคิดเป็นร้อยละ 10 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 2573 การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวม 725,000 คันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ภายในปี 2573 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท และสร้างความต้องการแรงงานยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ 30,000 อัตราต่อปี นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งขับเคลื่อนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญ ได้แก่ การจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทั้งรถยนต์ รถกระบะ รถโดยสาร รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ แบตเตอรี่ และสถานีอัดประจุ รวมทั้งสิ้น 128 มาตรฐาน ได้แก่ เต้าเสียบและเต้ารับสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 3 มาตรฐาน ระบบประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 13 มาตรฐาน ความปลอดภัยของยานยนต์ไฟฟ้า 39 มาตรฐาน สมรรถนะของยานยนต์ไฟฟ้า 8 มาตรฐานมอเตอร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 4 มาตรฐาน เซลล์และแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 7 มาตรฐาน สายไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 25 มาตรฐาน ระบบสื่อสารสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 6 มาตรฐาน ระบบอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 22 มาตรฐาน คำศัพท์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 1 มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ หรือ ศูนย์ทดสอบ ATTRIC แห่งแรกในภูมิภาค ASEAN ณ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อการยกระดับมาตรฐานและการวิจัย ประกอบด้วย การวิจัยพัฒนาทดสอบสมรรถนะยานยนต์และชิ้นส่วนต้นแบบ การทดสอบยางล้อ และศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยเป็นส่วนประกอบมากขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากล“การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle | BEV) ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดการจดทะเบียนรถ BEV 10 เดือนแรกของปี 2565 ประมาณ 15,423 คัน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมียอดการใช้รถ BEV เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 คัน นับเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งพิจารณาจากการที่บีโอไออนุมัติโครงการยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 26 โครงการจาก 17 บริษัท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย -------------------------------------------------------- 14 ธันวาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62670
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ.บางระกำ ขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล สานต่อโครงการ “Phitsanulok Green Together : ปลูกผัก & สร้างถัง รวมพลังรักษ์โลก เมืองสองแคว"
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 อ.บางระกำ ขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล สานต่อโครงการ “Phitsanulok Green Together : ปลูกผัก & สร้างถัง รวมพลังรักษ์โลก เมืองสองแคว" อำเภอบางระกำ ขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล สานต่อโครงการ “Phitsanulok Green Together : ปลูกผัก & สร้างถัง รวมพลังรักษ์โลก เมืองสองแคว” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองเนื่องในวันดินโลก ปี 2565 อำเภอบางระกำ ขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล สานต่อโครงการ “Phitsanulok Green Together : ปลูกผัก & สร้างถัง รวมพลังรักษ์โลก เมืองสองแคว” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองเนื่องในวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) "ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข : Great Food from Good Soil" วันนี้ (15 ธ.ค. 65) นายพัชรพล มั่นปาน นายอำเภอบางระกำ เปิดเผยว่า อำเภอบางระกำให้ความสำคัญในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อทำให้ประชาชนสามารถ “พึ่งพาตนเอง” และการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” มาดำเนินการขยายผลในพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกิจกรรมเนื่องในวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด "ดินดี อาหารดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข (Great Food from Good Soil : Soil Nutrition Awareness Week)" ด้วยการจัดตั้ง “ทีมคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการฯ” และดำเนินการจัดการประกวดโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนได้มีแนวทางการสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือนและชุมชน ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร เพื่อลดรายจ่าย ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน รวมทั้งดำเนินการนำนโยบายของกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการจัดทำ “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” ในทุกครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ด้วยการนำเศษอาหารมาเทรวมไปถังขยะเปียกเพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสลายเป็นปุ๋ยหมักบำรุงดิน และบำรุงพืชผักสวนครัวบริเวณแปลงผักต่อไป ซึ่งการดำเนินงานประกวดนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการ “Phitsanulok Green Together : ปลูกผัก & สร้างถัง รวมพลังรักษ์โลก เมืองสองแคว” ที่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนมาก่อนหน้านี้ นายพัชรพล มั่นปาน นายอำเภอบางระกำ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค. 65) ณ แปลงผักชุมชนบ้านวังแร่ หมู่ที่ 3 ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก องค์การบริหารส่วนตำบลชุมแสงสงคราม โดย นายฉลาด ยังเจริญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลชุมแสงสงคราม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล ได้เป็นผู้นำทีมขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” ระดับตำบล อันประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ครู นักเรียน โรงเรียนบ้านวังแร่ และพี่น้องประชาชนอาสาสมัครในพื้นที่ ร่วมกันปรับพื้นที่เตรียมปลูกผักตามโครงการ “หมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง เหลือแล้วแบ่งปัน” เพื่อรองรับการตรวจประเมิน ครั้งที่ 1 ตามโครงการฯ ของอำเภอ ซึ่งการดำเนินงานพบว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทีมคณะทำงานฯ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ต่างพร้อมใจกันลงมือปฏิบัติด้วยความสนุกสนาน ครื้นเครง และทุกคนตั้งใจจะมาร่วมกับสร้างสิ่งที่ดี Change for Good ให้เกิดขึ้นกับชีวิตตนเอง ครอบครัว และชุมชน “อำเภอบางระกำ มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงานสนองแนวพระราชดำริเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมทั้งนำนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่มุ่งทำให้เกิดการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน กอปรกับการทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ทำให้ลูกหลานชาวบางระกำได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศที่บริสุทธิ์ อันจะทำให้มีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายอำเภอบางระกำ กล่าวเพิ่มเติม #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงคมนาคมจับมือกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส 5 บริษัท ลงนาม MOU
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ​กระทรวงคมนาคมจับมือกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส 5 บริษัท ลงนาม MOU ผนึกกำลังร่วมพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ H.E. Mr.Thierry Mathou เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เป็นประธานและสักขีพยานร่วม ในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “ผนึกกำลังพันธมิตรพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค” ระหว่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส โดยการสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส และมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมพิธี ในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ให้เป็นกรอบทิศทางการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศให้เดินหน้าไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์ กระทรวงคมนาคม โดยบูรณาการแผนงาน โครงการต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการเทียบเท่ามาตรฐานสากล เชื่อมโยงการเดินทางขนส่งสินค้าจากตะวันตกถึงตะวันออก และเหนือสู่ใต้ รองรับการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลิตและพัฒนาบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม ครอบคลุมทุกมิติ จึงได้จัดตั้ง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) ขึ้น เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม พร้อมรับรองมาตรฐาน ระบบการทดสอบ และประเมินคุณภาพระบบราง รวมถึงเป็นศูนย์กลางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค ตลอดจนพัฒนาบุคลากร และจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบราง โดยเริ่มต้นจากการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือปฏิญญาไทย - ฝรั่งเศส ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาคมนาคมขนส่ง โดยได้ลงนามปฏิญญาแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในสาขาคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือการผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และกลุ่มอุตสาหกรรมระบบรางจากประเทศฝรั่งเศส 5 บริษัท ประกอบด้วย 1. บริษัท อีจีส เรล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และมีระบบการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน 2. บริษัท อัลสตอม ผู้นำด้านการคมนาคมขนส่ง ด้วยระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3. บริษัท วอสส์โลห์ โคจิเฟอร์ เอส.เอ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบราง ทั้งส่วนประกอบหลัก การปรับแต่งโมดูล และการดูแลรักษา 4. บริษัท ซิสตร้า เอ็ม วี เอ (ไทยแลนด์) จำกัด กลุ่มวิศวกรรมและที่ปรึกษา ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านคมนาคมและการขนส่งระดับโลก ครอบคลุมงานก่อสร้าง ระบบอาณัติสัญญาณโทรคมนาคม การออกแบบสถานี และระบบตั๋วโดยสาร 5. บริษัท โพมา เอสเอเอส ผู้เชี่ยวชาญการผลิตกระเช้าลอยฟ้า และให้บริการระบบขนส่งทั้งในเมือง พื้นที่ในหุบเขา พื้นที่ท่องเที่ยว และระบบการขนส่งในโรงงาน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันที่เป็นรูปธรรมในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1) การสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรระบบราง หรือ Rail Academy ที่เป็นกลไกการพัฒนาบุคลากรระบบราง ทั้งระดับช่างเทคนิคทักษะสูง และระดับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยร่วมกับสถาบันและหน่วยงานเครือข่าย เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง 2) การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนฝรั่งเศสและภาคเอกชนของไทยเพื่อสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางภายในประเทศ หรือ Local Content ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Thai First ของ กระทรวงคมนาคม โดยไม่เพียงแค่ผลิตได้ แต่คาดหวังให้เกิดผู้ประกอบการไทยที่มีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในเวทีโลก 3) การวิจัยและพัฒนาร่วมกันและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบรางขั้นแนวหน้าระหว่างกลุ่มธุรกิจระบบรางชั้นนำของฝรั่งเศสและเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภูมิภาค ซึ่ง กระทรวงคมนาคม เชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะเปิดโอกาสให้ได้แบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีที่สามารถสร้างนวัตกรรม ขีดความสามารถ โอกาสทางธุรกิจ และความร่วมมือ ที่เป็นคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยและฝรั่งเศส รวมไปถึงการร่วมพัฒนาระบบขนส่งทางรางในระดับอาเซียน ภูมิภาค และนานาชาติไปด้วยกัน การผนึกกำลังครั้งนี้ ถือเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล ที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ ให้ก้าวไกลบนเวทีโลกได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62687
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการชุมชนไม้มีค่า เป็นรูปธรรม มีการใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 โครงการชุมชนไม้มีค่า เป็นรูปธรรม มีการใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่าอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีผลการดำเนินงานระยะที่ 1 พ.ศ.2562 – 2564 ได้แก่ ปลดล็อกกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ เช่น ระเบียบการอนุญาตให้ทำการปลูกสร้างสวนป่า มีการเพาะและขยายพันธุ์กล้าไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงแจกจ่ายแก่ประชาชนแล้วกว่า 243 ล้านกล้า สนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน เช่น พัฒนาฐานข้อมูลชนิดไม้มีค่าที่เหมาะกับพื้นที่ และเกณฑ์การประเมินมูลค่าเพื่อใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ผลักดันการขยายผลไปในพื้นที่ทั่วประเทศจนสามารถดำเนินการชุมชนไม้มีค่าได้เป็นมูลค่ากว่า 227 ล้านบาท มีการจดทะเบียนธุรกิจโดยใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันแล้วกว่า 1.43 แสนต้น และใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อแล้วกว่า 3 ล้านบาท “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ไทย – ฮังการี พร้อมสานต่อความร่วมมือรอบด้าน ส่งเสริมการค้าการลงทุน
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 นายกฯ ไทย – ฮังการี พร้อมสานต่อความร่วมมือรอบด้าน ส่งเสริมการค้าการลงทุน พัฒนาธุรกิจด้านการเกษตร การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) เวลา 17.45 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์ซึ่งช้ากว่าเวลาที่กรุงเทพฯ 6 ชั่วโมง) ณ อาคาร Europa กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับนายวิคเตอร์ ออร์บาน (H.E. Mr. Viktor Orbán) นายกรัฐมนตรีฮังการี ในโอกาสเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฮังการีราบรื่นมาโดยตลอด และจะครบรอบ 50 ปี ในปี 2566 โดยขอบคุณรัฐบาลฮังการีที่ให้การสนับสนุนประเทศไทยในกรอบสหภาพยุโรปมาโดยตลอด โดยเฉพาะการเจรจาความตกลง PCA ระหว่างไทยกับ EU จนทำให้สามารถลงนามได้ ซึ่งไทยพร้อมที่จะสนับสนุนฮังการีในเวทีระหว่างประเทศในประเด็นที่ฮังการีให้ความสำคัญ โดยเฉพาะค่านิยมการยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง พร้อมกันนี้ พร้อมร่วมมือกับฮังการีในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ เช่น ด้านการสาธารณสุข การพัฒนาประเทศในยุคหลังโควิด-19 การค้าการลงทุน การศึกษา นายกรัฐมนตรีฮังการียินดีที่ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีไทย ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-ฮังการี ที่เป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และเชื่อมั่นว่าไทยและฮังการีจะสามารถต่อยอดความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพได้อีกมาก ชื่นชมพัฒนาการของไทย ตลอดจนบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่เป็นไปอย่างกระตือรือร้น และสร้างสรรค์ โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือครอบคลุมสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยมีกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญ ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำ คณะทำงานร่วมด้านเกษตร คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า กลไกดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการเจริญเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไทยยินดีที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญกับฮังการีในบริบทดังกล่าว ด้านการค้าการลงทุน ไทยเน้นย้ำความสำคัญของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐสัมพันธ์ โดยภาครัฐมีหน้าที่สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการค้าการลงทุน และเชิญชวนให้ฮังการีลงทุนในไทย โดยเฉพาะเขต EEC ซึ่งไทยเสนอให้ลงทุนในธุรกิจด้านการเกษตร การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ ยานยนต์ และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ฮังการีเชี่ยวชาญ ซี่งฝ่ายฮังการียืนยันให้การสนับสนุนการขยายการลงทุน ด้านสิ่งแวดล้อม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยสนับสนุนพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งไทยเริ่มขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศให้ผลิตจากพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดไทยได้ร่วมกับสมาชิก APEC ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวจำนวน 54 รายการให้กับทุกประเทศ จึงขอเชิญชวนสหภาพยุโรปใช้ประโยชน์ เพื่อให้สอดคล้องกับความมั่นคงทางอาหารและนโยบายสีเขียวของสหภาพยุโรป ส่วนฮังการีชื่นชมบทบาทของไทยในประเด็นความท้าทายระหว่างประเทศเพื่อความยั่งยืนร่วมกัน ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณฮังการีที่มอบทุนการศึกษาระดับปริญญาให้นักศึกษาไทยปีละ 40 ทุน ในโครงการ Stipendium Hungaricum ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งไทยพร้อมที่จะขยายความร่วมมือด้านการศึกษากับฮังการีเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 กระทรวงคมนาคม ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล ในโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ระหว่างกระทรวงคมนาคมและสถาบันพระปกเกล้า เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ โดยมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด และผู้แทนจากสถาบันพระปกเกล้าเข้าร่วมพิธี ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ณ หอประชุมราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งเน้นการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาของข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล รวมถึงมีสมรรถนะและความรู้ความสามารถให้พร้อมต่อการปฏิบัติงาน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแลกเปลี่ยนข้อมูลพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธรรมาภิบาลการกำกับดูแลที่ดีของโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน เพื่อพัฒนากลไกในการขับเคลื่อน กำกับดูแล ติดตามประเมินผลโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ โดยมุ่งเน้นในการสร้างธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลที่ดี เพื่อพัฒนากิจกรรมในการถ่ายทอดความรู้ ยกระดับทักษะและความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ในขณะที่สถาบันพระปกเกล้าจะดำเนินการจัดเตรียมหลักสูตรที่มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี โดยมีขอบเขตความร่วมมือและหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน อาทิ การจัดเตรียมหลักสูตรในการจัดอบรมตามที่โครงการกำหนดให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ความร่วมมือด้านทรัพยากรบุคคลและผู้ทรงคุณวุฒิในการพัฒนาบุคลากร ให้ความร่วมมือด้านทรัพยากร อาคาร สถานที่ในการจัดอบรม และการศึกษาดูงาน จัดสรรค่าใช้จ่ายในการพัฒนาองค์ความรู้ ศึกษาวิจัย ความร่วมมือด้านวิชาการ ด้านทรัพยากร ด้านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม และความร่วมมือด้านอื่น ๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เสนอให้อาเซียนและสหภาพยุโรปปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับทุกฝ่าย
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ​นายกฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เสนอให้อาเซียนและสหภาพยุโรปปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับทุกฝ่าย ผลักดันความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวอย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล วันนี้ (14 ธ.ค. 2565) เวลา 14.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์) ณ อาคารยูโรปา กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหภาพยุโรป พร้อมกับผู้นำหรือผู้แทนอาเซียน 9 ประเทศ และยุโรปอีก 27 ประเทศ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมระหว่างผู้นำของทั้งสองภูมิภาคเกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทาย แต่เห็นถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนและสหภาพยุโรปที่จะร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหา และร่วมกันเป็นพลังบวกที่สร้างสรรค์ เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุข ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน พร้อมเชื่อว่า 45 ปี ที่ผ่านมา สามารถเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและประโยชน์ของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-สหภาพยุโรป ที่ส่งผลต่อสองภูมิภาคและต่อประชาคมโลก นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง 3 เรื่องสำคัญ ที่จะช่วยภูมิภาคและโลกให้บรรลุเป้าหมาย ดังนี้ 1. การรับมือกับความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังที่จะเห็นสหภาพยุโรปมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับทุกฝ่าย มุ่งสร้างความร่วมมือ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในภูมิภาคที่เอื้อต่อการพัฒนา เชื่อว่า ทุกฝ่ายต้องสร้างพื้นที่ทางการทูตเพื่อให้เกิดยุทธศาสตร์ทางออก ไทยขอเสนอข้อริเริ่มเพื่อสันติภาพ โดยใช้แนวทางที่แยกเรื่องการสู้รบในพื้นที่ออกจากความร่วมมือและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมเพื่อต่อยอดจากความสำเร็จของข้อริเริ่มการส่งออกธัญพืชในทะเลดำ นายกรัฐมนตรีขอให้สหภาพยุโรปร่วมกับประเทศที่เกี่ยวข้องและสหประชาชาติผลักดันร่างข้อมติ เพื่อให้เปิดทางสำหรับปฏิบัติการทางอากาศด้านมนุษยธรรมในการส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ยูเครน 2. การเปลี่ยนผ่านสีเขียวเพื่อความยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วิกฤตต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกิดจากธรรมชาติ ทำให้ต้องร่วมกันสร้างความเป็นหุ้นส่วนสีเขียวอาเซียน-สหภาพยุโรป ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยจะร่วมกับสหภาพยุโรปส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ แลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในอาเซียน และหวังว่าจะไม่มีการนำมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนความพยายามของอาเซียน รวมทั้งไทยพร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยความมั่นคงและความยั่งยืนทางอาหารโลกในปีหน้า พร้อมเชิญผู้นำทุกคนเข้าร่วม 3. การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ไทยยินดีกับข้อริเริ่ม Global Gateway ของสหภาพยุโรป สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการอาเซียน-สหภาพยุโรปด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเสนอให้อาเซียนมีส่วนเกื้อกูลการผลิตสินค้า EU ซึ่งจะช่วยสนับสนุน FTA ไทย-EU เป็นแนวทางสำหรับเจรจา FTA ASEAN-EU นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทิ้งท้ายว่า AEAN -EU สามาถร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่โลกได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การดำเนินการประกาศสงครามกับยาเสพติด โดยการ Re X-Ray จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และเข้มงวดกับทุกพื้นที่ โดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองและหน่วยงานทุกภาคส่วน ต้องเฝ้าระวัง และค้นหาผู้ค้า ผู้เสพเพิ่มเติม ควบคู่กับการปราบปราม การบำบัด ซึ่งต้องตั้งใจทำให้เต็มที่ และในท้ายที่สุด จะต้องสื่อสารกับสังคมด้วย เพื่อให้ประชาชนทราบถึงพิษภัยของยาเสพติด นั่นคือการรณรงค์ป้องกัน เพิ่มดีกรีความเข้มข้นในวงกว้าง รวมถึงในสถาบันการศึกษา โรงงาน สถานประกอบการ ในทุกชุมชน ตำบล หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด ซึ่งทุกจังหวัดได้ดำเนินการตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง วันนี้มีตัวอย่างผลการดำเนินงานมาเปิดเผยเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ดังนี้ 1. จังหวัดสิงห์บุรี ภายใต้การอำนวยการของนายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี มอบหมายให้ นายดอน จิตรวงษ์ ป้องกันจังหวัดสิงห์บุรี นายอภิรักษ์ ไชยมังกร ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดสิงห์บุรี นายณัฐวัตร มีสมสืบ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง นำกำลังสมาชิก อส. (ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดสิงห์บุรี) สังกัด กองร้อย บก.บร. บก.อส.จ.สิงห์บุรี และกองร้อย อส.อ.เมืองสิงห์บุรี ที่ 1 ร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี ลงพื้นที่ดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้ค้า/ผู้เสพยาเสพติดในพื้นที่ อ.เมืองสิงห์บุรี ได้จับกุมนายเบิร์ด อายุ 42 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 300 เม็ด โดยได้ขยายผลจับกุมในพื้นที่ อ.พรหมบุรี ทำให้สามารถจับกุมนายอ๊อด อายุ 40 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 1,300 เม็ด ไอซ์ จำนวน 19.20 กรัม และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง ในข้อกล่าวหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่ระจายในกลุ่มประชาชน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จึงได้บันทึกข้อกล่าวหา และควบคุมตัวผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสิงห์บุรี และ สภ.พรหมบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 2. จังหวัดอุบลราชธานี โดยนายกองตรีอุบล พีระพรปัญญา นายอำเภอนาตาล ได้สั่งการให้ นายหมวดเอกอาทิตย์ ภูละคร ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคงอำเภอนาตาล นำกำลังสมาชิก อส.กองร้อย อส.อ.นาตาลที่ 23 สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาตาล ตชด.227 ร่วมกันตรวจค้นยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ในพื้นที่อำเภอนาตาล ตามแผน "ยุทธการจังหวัดอุบลราชธานีปลอดยาเสพติด" สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 1 ราย พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 15 เม็ด ธนบัตรฉบับ 500 จำนวน 1 ฉบับ และธนบัตรฉบับ 100 จำนวน 2 ฉบับ ที่ใช้ในการล่อซื้อ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาว่า “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต” จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.นาตาล จ.อุบลฯ เพื่อดำเนินการคดีตามกฎหมายต่อไป 3. จังหวัดอุดรธานี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองอุดรธานี พบรถเก๋งสีบรอนซ์ทอง เป็นรถต้องสงสัยคาดว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายขับมุ่งออกจากตัวเมืองอุดรธานี เกิดหม้อน้ำแตก จอดเสียข้างทางติดกับโรงงานไทยฮั้วยางพารา ต.โพนงาม อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ตร.สายตรวจจึงแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น คนขับชักปืนจ่อจะยิงเจ้าหน้าที่ แต่ลูกกระสุนปืนด้าน เมื่อเห็นท่าไม่ดีคนร้ายเป็นผู้หญิง 1 คน และผู้ชาย 1 คนได้วิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าข้างโรงงานยางพาราฯ ทันที ตำรวจไล่ติดตามผู้หญิงได้ ทราบชื่อเล่นว่า “น้อย” อายุประมาณ 30 ปี ส่วนผู้ชายชื่อ นายมอส ชาว อ.ศรีธาตุ ฉายา “มอสนายูง” ได้หลบหนีเข้าป่าไปได้ ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นภายในรถ พบยาบ้าห่อเป็นมัด ๆ รวม 8 ห่อใหญ่ รวมแล้ว 240,000 เม็ด พร้อมรายชื่อผู้รับ นอกจากนี้ ยังพบโทรศัพท์อีก 3 เครื่อง กล่องใส่อาวุธปืนและลูกกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาหญิงไปดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลการจับกุมต่อไป 4. จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้อำนวยการของ​ นายณัชฐเดช มุลาลี นอภ.สันป่าตอง/ผอ.ศป.ปส.อ.สันป่าตอง สั่งการให้​ นายเอกชัย แสนใจ ปลัดฝ่ายความมั่นคง และสมาชิก​ อส.อ.สันป่าตอง ที่ 13 บูรณาการร่วมกับ​ เจ้าหน้าที่ตำรวจ​ สภ.สันป่าตอง เจ้าหน้าที่ สสอ.สันป่าตอง เจ้าหน้าที่ รพ.สต.บ้านมะขามหลวง กำนัน​ ผู้ใหญ่บ้านฯ​ ต.มะขามหลวง ดำเนินการ Re X-Ray ค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ และผู้ติดยาเสพติดในพื้นที่ ต.มะขามหลวง จำนวน 14 ราย โดยผลการตรวจปัสสาวะ พบว่าผลเป็นบวก 5 ราย และนายศิวะ ธมิกานนท์ นายอำเภอสันทราย/ผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอสันทราย มอบหมายให้ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง สมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอสันทราย ที่ 15 กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ​ ตำบลป่าไผ่ บูรณาการร่วมกับ​ สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้​ และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ดำเนินการสุ่มตรวจปัสสาวะกลุ่มผู้เสี่ยงใช้สารเสพติดในพื้นที่ตำบลป่าไผ่ จำนวน 17 ราย ตรวจพบผู้เสพยาเสพติด จำนวน 5 ราย จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่โจ้ ทั้งนีั ผู้เสพทั้ง 10 ราย จากสองอำเภอยินยอมเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา​ตามขั้นตอน​ด้วยความสมัครใจ 5. จังหวัดหนองคาย โดยนายถาวร สังขะมาน นายอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย นายนิโรจน์ ศรีสมบัติ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง มอบหมายปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง /สมาชิก อส. ตำรวจ สภ. เซิม จนท.รพสต.เซิม ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลเซิม ประกอบด้วย ผู้บริหาร สมาชิกสภา อบต. ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ลูกจ้าง รวม จำนวน 81 คน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลเซิม จำนวน 39 คน ตามนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ด้านการป้องกันผู้เสพยาเสพติด (นโยบายกวาดบ้าน) ของ จังหวัดหนองคาย (ศอ.ปส.จ.นค.) ตรวจพบสารเมทแอมเฟตามีนใช้สารเสพติด จำนวน 4 คน และไม่พบสารเสพติด จำนวน 116 คน ทั้งนี้ ผู้เสพยาเสพติดยินยอมเข้าสู่กระบวนการบำบัดและแจ้งต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยต่อไป 6. จังหวัดภูเก็ต โดย นายศิวัชฐ์ ระวังกุล นายอำเภอกะทู้ พร้อมปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงพร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอกะทู้ ที่ 2 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ภ.ป่าตอง สุ่มตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายกับพนักงานสถานบริการโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray กับผู้ประกอบอาชีพทุกอาชีพที่มีลักษณะกลุ่มเสี่ยงต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตามนโยบายรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ได้เข้าสุ่มตรวจกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 3 ร้าน คือ ร้านเรทฮ็อท ร้านนิวยอร์ค และร้านเดอะสตาร์ มีพนักงานเข้ารับการตรวจจำนวน 85 ราย แยกเป็นชาย จำนวน 35 ราย เป็นหญิง 50 ราย ไม่พบบุคคลที่มีผลการตรวจปัสสาวะเบื้องต้นเป็นผลบวก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เน้นย้ำตอนท้ายว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ต้องลด Demand และ Supply ด้านยาเสพติด ต่อเนื่อง ตลอดเวลา จนกว่าคนในสังคมจะเลิกใช้สารเสพติดในชีวิตประจำวัน หากทำได้อย่างนี้ สังคมไทยก็จะมีความสุข ขอให้ทุกหน่วยงานบูรณาการช่วยกัน ในท้ายที่สุด ขอให้ นำโมเดลสถานการบำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม ของวัดถ้ำกระบอก อำเภอพระพุทธบาท ไปประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบ และหลักสูตรในการบำบัด ผู้ป่วยยาเสพติดควบคู่กับการให้กำลังใจ ในขณะเดียวกันให้พิจารณายกระดับสถานบำบัดฯ ของวัดถ้ำกระบอกให้เป็นศูนย์บำบัดระดับประเทศ จากผลการดำเนินการทั้งหลายทั้งปวง จะช่วยพิสูจน์ตัวเองว่า ข้าราชการ และบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงภาคีเครือข่าย มีคุณค่าและมีความตั้งใจในการเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากสิ่งที่เราทำ คือ การสนองพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราโชบายที่ชัดเจนว่าต้องช่วยกันทำให้ "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ในการนี้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และภาคีเครือข่ายรวมถึงพี่น้องประชาชนทุกคน จะต้องมีส่วนร่วมช่วยกันเฝ้าระวังการกระทำความผิดทุกรูปแบบ ป้องกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในทุกพื้นที่ โดยให้ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ รวมถึงภาคีเครือข่าย ช่วยประชาสัมพันธ์ช่องทางการเเจ้งเบาะเเส หรือการร้องเรียนที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง หากพบเห็นการกระทำความความผิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมอาจก่อให้เกิดภัยแก่สังคมให้รีบเเจ้งทันที เพื่อจะได้ดำเนินการตามข้อร้องเรียนอย่างเร่งด่วนต่อไป #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62679
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนเดินทางก่อน - กลับทีหลัง รับส่วนลด 10% สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 บขส. มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนเดินทางก่อน - กลับทีหลัง รับส่วนลด 10% สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ เดินทางระหว่างวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2565 และ 3 - 9 มกราคม 2566 นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะถึงนี้ บขส. ได้จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยการจัดโปรโมชัน “Happy New Year 2023 ลด 10% ไปก่อน - กลับทีหลัง” มอบส่วนลดค่าโดยสาร 10% ให้กับผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านระบบออนไลน์ทาง Application : E-Ticket Website : www.transport.co.th เดินทางระหว่างวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2565 และวันที่ 3 - 9 มกราคม 2566 ทุกเส้นทางภายในประเทศ และสมาชิก บขส. Card เมื่อซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์เดินทางในเดือนธันวาคมนี้ รับเพิ่มทันทีคะแนนสะสมคูณ 2 นอกจากนี้ บขส. ได้เปิดให้บริการตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถยนต์ก่อนออกเดินทางให้กับประชาชนทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 19 - 29 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ บขส. (รังสิต) ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2901 2338 กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 และได้เปิดให้ผู้โดยสารสามารถจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าได้แล้ว ที่ช่องทางออนไลน์ Application : E-Ticket Website : www.transport.co.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตัวแทนจำหน่ายตั๋ว บขส. และช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ณ สถานีเดินรถทั่วประเทศ ทั้งนี้ บขส. ยังคงมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งในสถานีขนส่งและบนรถโดยสาร รวมทั้งได้เน้นย้ำไปยังพนักงาน บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมดูแลเรื่องความปลอดภัย ตรวจสภาพความพร้อมของรถโดยสาร พนักงานขับรถก่อนออกเดินทางด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 9 อีกกว่า 150 ล้านบาท 15 ธันวาคมนี้
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ธ.ก.ส. โอนเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 9 อีกกว่า 150 ล้านบาท 15 ธันวาคมนี้ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2565 เห็นชอบดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2565/66 ธ.ก.ส.เริ่มโอนเงินประกันรายได้ ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2565 โดยโอนเงินงวดที่ 1-8 ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวแล้ว 2.53 ล้านครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 7,254.99 ล้านบาท นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 กรอบวงเงินงบประมาณตามกรอบมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 จำนวน 18,700.13 ล้านบาท และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกปทุมธานี ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกเหนียว ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุด ลดภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ โดยที่กลไกตลาดยังคงทำงานเป็นปกติ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินประกันรายได้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 โดยโอนเงินงวดที่ 1 - 8 ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ไปแล้วจำนวน 2.53 ล้านครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 7,254.99 ล้านบาท สำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 3 ธันวาคมถึง 9 ธันวาคม 2565 ธ.ก.ส. จะโอนเงินส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง (งวดที่ 9 และงวดที่ 1 - 8 เพิ่มเติม) เข้าบัญชีเกษตรกรในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 จำนวนกว่า 48,336 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 150.35 ล้านบาท ทั้งนี้ เกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2565/66 กับกรมส่งเสริมการเกษตร และต้องแจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้รับสิทธิชดเชย โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจะจัดส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จำแนกตามช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวและคำนวณปริมาณผลผลิต โดยใช้พื้นที่ทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวแต่ละชนิดคูณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เป็นปริมาณผลผลิตที่ต้องชดเชยส่งให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อประมวลผลและดำเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงภายใน 3 วัน นับจากวันที่ได้รับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปล.กห. ผู้แทน รมช.กห. ให้การต้อนรับ รมช.กต.เช็ก
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ปล.กห. ผู้แทน รมช.กห. ให้การต้อนรับ รมช.กต.เช็ก พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 15 ธ.ค.65, 1330 พลเอก สนิทชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แทน พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Jiri Kozak (ยิริ โกซาค) รมช.กต.สาธารณรัฐเช็ก (เช็ก) ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ระหว่าง 14-15 ธ.ค.65 เพื่อแนะนำสมาคมผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ของเช็ก (AVDZP) ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม การเข้าพบหารือ ระหว่าง ไทย-เช็ก ในครั้งนี้ เป็นการกระชับความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูต ซึ่งจะครบรอบ 50 ปี ในปี 2567 โดยทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพของการบริการทางการแพทย์และการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทำให้มีความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยมีนโยบาย 4.0 ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรม อีกทั้งได้กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 11 สาขา(S-Curve และ New S-Curve Industries) โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ (New S-Curve) คือ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งบริษัทในเครือของ AVDZP อาจ พิจารณาเข้ามาร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการไทยในสาขานี้ได้ ทางด้านอุตสาหกรรมป้องประเทศของเช็คโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอากาศยานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ความสำเร็จของการจัดงานนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศที่รัฐบาลเช็กเป็นเจ้าภาพ "Future Forces Forum ครั้งที่ 19” ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความมีศักยภาพของประเทศ ปล.กห. ได้กล่าวขอบคุณสำหรับการสนับสนุน งาน Defense & Security 2022 ที่ผ่านมา และ การแนะนำสมาคมผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการสนับสนุนและส่งเสริมในด้านต่างๆ อันจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง 2 ประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62696
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือความสัมพันธ์ไทย-ฟินแลนด์ให้แน่นแฟ้นในทุกด้าน
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 นายกรัฐมนตรีหารือนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือความสัมพันธ์ไทย-ฟินแลนด์ให้แน่นแฟ้นในทุกด้าน นายกรัฐมนตรีหารือนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือความสัมพันธ์ไทย-ฟินแลนด์ให้แน่นแฟ้นในทุกด้าน วันนี้ (วันที่ 14 ธันวาคม 2565) เวลา 13.15 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์ซึ่งช้ากว่าเวลาที่กรุงเทพฯ 6 ชั่วโมง) ณ อาคาร Europa กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับ นางซันนา มาริน (H.E. Mrs. Sanna Marin) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฟินแลนด์ ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เป็นครั้งแรก เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพและความสามารถของนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์จะมีส่วนสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-ฟินแลนด์ โดยขอใช้โอกาสนี้เชิญนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เดินทางเยือนไทยในโอกาสที่เหมาะสม นายกรัฐมนตรีชื่นชมพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ทำให้ ไทยและรัฐบาลฟินแลนด์ได้จัดทำความตกลงยกเว้น การตรวจลงตราสำหรับหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ ระหว่างกันซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อเดือนกันยายน 2565 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ยินดีที่ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการพบหารือกันครั้งแรก ชื่นชมศักยภาพของไทย และบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เป็นความท้าทายที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เช่นการสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ทั้งนี้ เชื่อมั่น และพร้อมที่จะมีความร่วมมือกับไทยในสาขาที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย นายกรัฐมนตรีประสงค์ขยายความร่วมมือด้านการศึกษากับฟินแลนด์ ชื่นชมฟินแลนด์ที่มีระบบการศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์สูงเป็นลำดับต้นของโลก และยินดีกับความร่วมมือด้านการศึกษาที่ใกล้ชิดเป็นรูปธรรม โดยเมื่อต้นปี 2565 กระทรวงศึกษาธิการของไทยและกระทรวงศึกษาธิการ และวัฒนธรรมของฟินแลนด์ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกัน ซึ่งหวังว่าจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนบุคลากร และองค์ความรู้ด้านการจัดทำหลักสูตรทางการศึกษามากขึ้น นายกรัฐมนตรีขอบคุณฝ่ายฟินแลนด์ที่ดูแลสวัสดิภาพของแรงงานไทย จำนวน 2,000- 3,000 คนที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ อย่างไรก็ดี แรงงานเหล่านี้ยังคงไม่มีสัญญาจ้างงาน และไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงานของฟินแลนด์ จึงหวังว่าฝ่าย ฟินแลนด์จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไปเพื่อแสวงหาแนวทางทางกฎหมายในการคุ้มครองดูแลแรงงานไทยในฟินแลนด์อย่างเป็นรูปธรรม ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ชื่นชมบทบาทอย่างกระตือรือร้นของนายกรัฐมนตรีไทยในการร่วมกับประชาคมโลกดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และบทบาทในการนำเสนอโมเดล BCG ของรัฐบาลไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.ธนกร มอบนโยบายกรมประชาสัมพันธ์ เน้นย้ำ สื่อสาร 2 ทาง สร้างการมีส่วนร่วม นำปัญหาของประชาชนสู่การแก้ไขอย่างแท้จริง ชี้โลกออนไลน์มีบทบาทเพิ่มขึ้น คนกรมประชาสัมพันธ์ต้องนำมาปรับใช้
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รมต.ธนกร มอบนโยบายกรมประชาสัมพันธ์ เน้นย้ำ สื่อสาร 2 ทาง สร้างการมีส่วนร่วม นำปัญหาของประชาชนสู่การแก้ไขอย่างแท้จริง ชี้โลกออนไลน์มีบทบาทเพิ่มขึ้น คนกรมประชาสัมพันธ์ต้องนำมาปรับใช้ รมต.ธนกร มอบนโยบายกรมประชาสัมพันธ์ เน้นย้ำ สื่อสาร 2 ทาง สร้างการมีส่วนร่วม นำปัญหาของประชาชนสู่การแก้ไขอย่างแท้จริง ชี้โลกออนไลน์มีบทบาทเพิ่มขึ้น คนกรมประชาสัมพันธ์ต้องนำมาปรับใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชน วันนี้ (15 ธันวาคม 2565) เมื่อเวลา 14.30 น. นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ณ กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ คอยให้การต้อนรับและเข้าร่วมในกิจกรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันการสื่อสารนับได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการสื่อสารมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ยิ่งโดยเฉพาะบทบาทของการทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้ชื่นชมการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ในยุคนี้ ที่มุ่งพัฒนาให้เกิดการสื่อสารเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ และเป็นกลไกที่สำคัญที่ส่งต่อข้อมูลข่าวสารไปยังภาคประชาชน และเป็นกระจกที่สะท้อนความเห็นจากประชาชนสู่ภาครัฐ “อย่างไรก็ดีในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในขณะนี้ การสื่อสารจึงจำต้องมีความกระชับ แม่นยำ และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย หยิบเอาเครื่องมือในการสื่อสารให้เหมาะสม ใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมอยากให้ทุกท่านซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการสื่อสารของประเทศ ให้ยึดหลักในการสื่อสาร 2 ทาง ที่เน้นการสื่อสารทำให้เกิดการมีส่วนร่วม ให้ความสำคัญโดยให้ประชาชนเป็นตัวตั้ง และมุ่งให้การสื่อสารนั้นพร้อมที่จะบรรเทาความเดือดร้อน แก้ทุกปัญหาที่เกิดในท้องที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่รับเรื่อง แต่ต้องสานต่อ ติดตาม จนปัญหาที่ถูกร้องเรียนคลี่คลาย ทำให้สื่อกรมประชาสัมพันธ์เป็นที่พึ่งที่ประชาชนนึกถึงเป็นลำดับต้น ๆ อีกทั้งยังอยากเห็นบทบาทของการสื่อสารที่เป็นตัวเชื่อมประสานที่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ประชาชนได้รับ โดยต้องทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการข้อมูล โดยหน่วยงานภาครัฐต้องสร้างระบบการดําเนินงานร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ทั้งภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างเครือข่ายการทํางานอย่างเป็นระบบร่วมกัน” นายธนกร กล่าว พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเน้นย้ำอีกว่า “ความรู้เท่าทัน” จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของสังคม และจะทำให้ประชาชนมีวิจารณญาณ สามารถวิเคราะห์และรู้เท่าทัน ข้อมูล ข่าวสาร และสื่อ ซึ่งปัจจุบันมีบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งโดยเฉพาะกับเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต ยิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความรู้เท่าทันเพื่อสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความรู้ความเท่าทันและปราศจากอคติซึ่งกันและกัน “สำหรับยุคที่ สื่อออนไลน์ และสื่อโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ที่เกือบทุกคนใช้สมาร์ทโฟน สื่อเหล่านี้กำลังเป็นสื่อที่กำลังเข้ามามีอิทธิพล จึงจำเป็นต้องปรับการสื่อสารให้เข้ากับยุคสมัยและขอชื่นชมการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ และขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ขอให้มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน เพื่อให้การสื่อสารเป็นกลไกที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62705
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดจับมือ 7 ภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "วันดินโลก" (World Soil Day) ปี 2565 ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน"
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดจับมือ 7 ภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "วันดินโลก" (World Soil Day) ปี 2565 ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดจับมือ 7 ภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "วันดินโลก" (World Soil Day) ปี 2565 ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 65 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ตนได้เป็นประธานในพิธีเปิดการจัดกิจกรรม "วันดินโลก" (World Soil Day) ปี 2565 ภายใต้หัวข้อ "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" ณ ศูนย์เรียนรู้พื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชนร้อยเอ็ด วัดป่าดอนดู่ธรรมาราม ตำบลอีง่อง อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างจังหวัดร้อยเอ็ดกับ 7 ภาคีเครือข่าย โดยภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การเดินรณรงค์เนื่องในงานวันดินโลก, การประกาศเจตนารมณ์วันดินโลก, การจัดนิทรรศการวันดินโลก, การจำหน่ายผลผลิตจากแปลงโคก หนอง นา, การสาธิตทำปุ๋ยหมักแห้งเพื่อบำรุงดิน, พิธีมอบต้นกล้าผักสวนครัวกิจกรรมเอามื้อสามัคคี หว่านปอเทือง ห่มดิน ปลูกต้นไม้ และการเสวนาในหัวข้อ “วันดินโลก” ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" จากภาคีทั้ง 7 ภาคี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมการเสวนาในหัวข้อ “วันดินโลก” ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" มีผู้แทนมาจากภาคีทั้ง 7 ภาคี ประกอบด้วย (1) ภาคราชการ นำโดย นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายชูศักดิ์ ราชบุรี ปลัดจังหวัดร้อยเอ็ด นายวสันต์ ชิงชนะ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นายพิศ นันทพูนพิพัฒน์ พัฒนาการจังหวัดร้อยเอ็ด ร.ต.อ.หญิง อรุณี อินทรมณี นายอำเภอจตุรพักตรพิมาน พ.อ.พลพัฒน์ ธีรเนตร รองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดร้อยเอ็ด นางปราณี ประทุมมา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด นายสมจิตร์ คำสี เกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด นายจามินวัศญ์ พิลาศเอมอรร ประมงจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย ผู้แทนพาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนเกษตรและสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลอีง่อง (2) ภาคศาสนา โดย พระพรหมวชิรโสภณ เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย องค์อุปถัมภ์วัดป่าดอนดู่ธรรมาราม ตำบลอีง่อง อำเภอจตุรพักตรพิมาน (3) ภาควิชาการ โดย ดร.เสกสรรค์ สุทธิสงค์ อาจารย์ประจำสาขาพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (4) ภาคประชาชน โดย นางจันทรา บุญลาด ประธานเครือข่ายโคกหนองนาอำเภอจตุรพักตรพิมานและ เจ้าของแปลงโคกหนองนา (5 - 6) ภาคเอกชนและประชาสังคม โดย นางจิรภา ธีระกนก ประธานสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด และเจ้าของกิจกรรมร้านอาหารบ้านสวน (7) ภาคสื่อมวลชน โดยนางสาววิภาดา รัตนโรจนา ประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมในการเสวนา นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวต่อว่า สหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันดินโลก” (World Soil Day) เพื่อใช้เป็นโอกาสในการขับเคลื่อนกิจกรรมการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับดินและการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของดิน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations – FAO) ก็ได้จัดการประกวดชิงรางวัล The King Bhumibol World Soil Day Award ขึ้น ซึ่งจะมีการมอบรางวัลในวันที่ 5 ของทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อถวายสดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน นำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรและประชาชน ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมความมั่นคงทางด้านอาหารและขจัดความหิวโหย อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึกที่ดีในการรักษาทรัพยากรดิน ผ่านการดำเนินกิจกรรมเนื่องในวันดินโลก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคคล ชุมชน องค์กร หน่วยงาน สถาบันการศึกษา ที่มีผลงานและกิจกรรมเป็นที่ประจักษ์ในการส่งเสริมการสร้างความตระหนักในความสำคัญของทรัพยากรดินและจัดการดินอย่างยั่งยืน “การจัดงานวันดินโลกในปีนี้ FAO ได้เน้นย้ำให้มีการรณรงค์สร้างการรับรู้ให้ประชาคมทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของดิน ภายใต้แนวคิด "Soils, where food begins : อาหาร ก่อกำเนิด เกิดจากดิน" ที่มุ่งเน้นความสำคัญของการสร้างสุขภาพดินที่ดี อันจะส่งผลต่อระบบนิเวศโดยรวม ทั้งคน สัตว์ และพืช โดยเฉพาะพืชในฐานะผู้ผลิตที่สำคัญของระบบนิเวศ เป็นผู้ผลิตก๊าซออกซิเจนซึ่งเกิดจากกระบวนการสังเคราะห์แสงทำให้พืชสามารถผลิตอาหาร หรือ แป้ง ด้วยการดูดซึมซับแร่ธาตุน้ำ และอากาศใต้ผิวดิน ทำให้เกิดผลผลิตทางด้านการเกษตรต่าง ๆ เป็นที่มาของอาหารให้กับมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งการสร้างความตระหนักในทรัพยากรดินนี้จะก่อให้เกิดความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารให้แก่ประชากรโลก เพราะดิน คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ รวมถึงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีในทางอ้อม ซึ่งจากแนวคิด One Health ที่หมายถึง การพัฒนาสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน กล่าวคือ การทำให้มีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมภายใต้เป้าหมายการพัฒนาความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ตามกรอบเป้าหมาย 4 Betters ของ FAO ประกอบด้วย Better Production (การผลิตที่ดีขึ้น) Better Nutrition (โภชนาการที่ดีขึ้น) Better Environment (สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น) และ Better Life (ชีวิตที่ดีขึ้น) โดยในปี 2564 – 2565 จังหวัดร้อยเอ็ด มีแปลงโคก หนอง นา จำนวน 2,570 แปลง ถือเป็นพื้นที่แหล่งผลิตอาหารที่ปลอดภัยให้กับพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และประชาชนในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ทั้งนี้ ในระหว่างวันที่ 1 – 15 ธันวาคม 2565 จังหวัดร้อยเอ็ด ได้กำหนดให้ทุกอำเภอดำเนินการจัดกิจกรรม “วันดินโลก” (World Soil Day) อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานในจังหวัดร้อยเอ็ดให้ความสำคัญกับอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรดินให้มีคุณภาพ รวมถึงมุ่งเน้นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง 7 ภาคี ในการช่วยกันขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันดินโลก อันจะส่งผลให้ประชาชนทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน เกิดการรับรู้ในทรัพยากรดิน และความตระหนักรู้ที่จะรักษาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อนำไปสู่การมีความมั่นคงทางอาหาร สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวทิ้งท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่ง เลขาฯ คิกออฟมหกรรม Skill Expo Thailand 2022 พัฒนาคนสู่โลกยุคใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รมว.สุชาติ ส่ง เลขาฯ คิกออฟมหกรรม Skill Expo Thailand 2022 พัฒนาคนสู่โลกยุคใหม่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการมหกรรม Skill Expo Thailand 2022 พัฒนาคนสู่โลกยุคใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. พร้อมใจช่วยแก้หนี้ เสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าชาวภาคเหนือ ในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ สัญจร ครั้งที่ 3 จ.เชียงใหม่ วันที่ 16-18 ธ.ค.2565 นี้
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ธอส. พร้อมใจช่วยแก้หนี้ เสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าชาวภาคเหนือ ในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ สัญจร ครั้งที่ 3 จ.เชียงใหม่ วันที่ 16-18 ธ.ค.2565 นี้ ธอส.ร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้มีหนี้ต้องแก้ไขเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน สัญจร ครั้งที่ 3 จ.เชียงใหม่ จัดโดยความร่วมมือของ ก.คลัง ธปท. สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค.2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้ครัวเรือน และเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาหนี้สินให้สามารถได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เตรียมนำมาตรการช่วยเหลือแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเงื่อนไขหรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษไปให้บริการลูกค้าประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือที่งานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน สัญจร ครั้งที่ 3 จังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้นโดยความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ โดยรายละเอียดความช่วยเหลือของ ธอส. ประกอบด้วย 1. มาตรการแก้หนี้ : ช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร 1.มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2 ปี เดือนที่ 1-10 ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) , 2.มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ : คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี นาน 6 เดือน และ 3.มาตรการ 17 [M17] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 1 ปี เดือนที่ 1-3 ผ่อนชำระงวดละ 1,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) 2. ออมเงิน : เงินฝากออมทรัพย์ New Freshy ให้อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดสูงสุดถึง 4.00% ต่อปี แบ่งเป็น ตั้งแต่วันเปิดบัญชีถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2567 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี และตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2567-2 มีนาคม 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี รับฝากฝากตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี รับฝากไม่เกิน 2 ล้านบาท และผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป รับฝากไม่เกิน 5 ล้านบาท จองสิทธิ์ภายในงาน เปิดบัญชีและรับฝากเพิ่มในวันที่ 16- 25 ธันวาคม 2565 ณ สาขาที่ธนาคารกำหนด พิเศษ! อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ออมเงินกับ สลากออมทรัพย์ ธอส. ผลตอบแทนดี โอกาสถูกรางวัลสูง นำโดยสลากชุดล่าสุด เกล็ดดาว พลัส หน่วยละ 5,000 บาท ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.65% ต่อปี ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท 24 งวด โอกาสถูกรางวัลใหญ่สูง 0.0045% พร้อมลุ้นรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว เป็นต้น 3. เติมที่อยู่อาศัย : บ้านมือสอง ธอส. 1,000 กว่ารายการทั่วประเทศ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาประเมินปัจจุบัน สามารถผ่อนดาวน์ 0% ระยะเวลานานถึง 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ จองซื้อทรัพย์ภายในงานวางเงินประกันการซื้อทรัพย์และทำสัญญามัดจำการซื้อเพียงรายการละ 1,000 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณสำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. ภายในงาน และ สำหรับลูกค้า 15 รายแรกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในเวลาที่กำหนด รับไปเลย!!! บัตรเติมน้ำมันมูลค่า 1,000 บาท 1 รายการทรัพย์ ต่อ 1 ใบ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมผ่านระบบของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ที่ https://ln15.gsb.or.th/WEB-DEBT/ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL , Mobile Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รุดเยี่ยมชาวชุมชนหลีเป๊ะ หลังได้รับรายงานชาวบ้านเดือดร้อน โดนปิดกั้นทางสัญจร ยืนยันรัฐบาลเร่งช่วยเหลือเต็มที่
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รมต.อนุชา รุดเยี่ยมชาวชุมชนหลีเป๊ะ หลังได้รับรายงานชาวบ้านเดือดร้อน โดนปิดกั้นทางสัญจร ยืนยันรัฐบาลเร่งช่วยเหลือเต็มที่ รมต.อนุชา รุดเยี่ยมชาวชุมชนหลีเป๊ะ หลังได้รับรายงานชาวบ้านเดือดร้อน โดนปิดกั้นทางสัญจร ยืนยันรัฐบาลเร่งช่วยเหลือเต็มที่ วันนี้ (15 ธันวาคม 2565) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหาปิดกั้นทางสัญจรสาธารณประโยชน์ชุมชนชาวหลีเป๊ะ จังหวัดสตูลอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตามข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยมี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายทนงกลด สว่างวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ช่วยราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นางสาวปภัสมน อัมราลิขิต ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเขต 16 นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่ เมื่อเดินทางมาถึงชุมชน นายอนุชา นาคาศัย รับฟังปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินจากชาวชุมชนหลีเป๊ะ โดยตัวแทนชุมชนได้กล่าวสรุปถึงปัญหา และต้องการให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเรื่องการเปิดเส้นทางสัญจร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวชุมชน ได้สัญจรไปมาได้อย่างสะดวก ในส่วนของการปิดเส้นทางเข้าโรงเรียนขอให้รีบดำเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถเดินทางเข้าออกได้ตามปกติ ไม่ต้องปีนป่ายข้ามรั้วเข้าโรงเรียน พร้อมกันนี้ ชาวชุมชนหลีเป๊ะได้พา นายอนุชา นาคาศัย พร้อมคณะเดินสำรวจพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาท โดยมีชาวชุมชนถือป้ายขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ เดินตามพร้อมส่งเสียงขอความช่วยเหลือ และให้กำลังใจ พร้อมกล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ไม่ทอดทิ้งชาวชุมชนหลีเป๊ะ เมื่อรับทราบปัญหารีบลงพื้นที่มาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ภายหลังรับฟังปัญหา และเดินสำรวจพื้นที่ข้อพิพาท นายอนุชา นาคาศัย กล่าวยืนยันกับชาวหลีเป๊ะว่า จะนำเรื่องดังกล่าวไปแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง พร้อมหาทางเจรจากับผู้ถือสิทธิที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยอาศัยประโยชน์จากการพัฒนาที่ดินให้ชาวบ้านมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ พร้อมกล่าวย้ำว่า ส่วนตัวแล้วไม่ต้องการให้ปัญหาบานปลายขยายเป็นความขัดแย้งมากขึ้น เพราะจะทำให้กระทบทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะชาวชุมชนหลีเป๊ะ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกดั้งเดิม ขอให้ชาวชุมชนหลีเป๊ะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะต่อสู้เพื่อชาวชุมชนหลีเป๊ะโดยความถูกต้องตามกฎหมาย เรียกร้องความเป็นธรรมคืนกลับสู่ชาวหลีเป๊ะต่อไป ขออย่ากังวลเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ผ่านมาการดำเนินงานของภาครัฐจำกัดด้วยกฎระเบียบ ทำให้การทำงานล่าช้า แต่ขอให้เชื่อมันถึงความตั้งใจมนการแก้ไขปัญหาของตนเองและรัฐบาล นายอนุชา กล่าวถึง การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ว่าต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เพื่ออนาคตของลูกหลาน สิ่งที่รัฐบาลทำได้คือเร่งรัดตามกระบวนการของกฎหมายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น การคุ้มครองสิทธิของชาวชุมชนหลีเป๊ะ จะเร่งดำเนินการให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด บรรเทาความเดือดร้อนของชาวชุมชนหลีเป๊ะ พร้อมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือการพูดคุยเจรจา ขออย่าใช้อารมณ์เกิดการปะทะ และความสูญเสียตามมา "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความกังวลใจต่อปัญหาดังกล่าว สั่งการให้รีบดำเนินการแก้ไขปัญหา อย่าให้ชาวบ้านต่อสู้เพียงลำพัง กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่แก้ไขปัญหาเป็นการด่วน โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย หน่วยงานรัฐต้องให้แนะนำอย่างถูกต้อง พร้อมติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด" นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ชัยวุฒิ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 สดช.
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รมว.ชัยวุฒิ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 สดช. รมว.ชัยวุฒิ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 สดช. วันนี้(15ธันวาคม2565) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และผู้บริหารตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี2567สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)โดยมีนายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62707
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้พี่น้องภาคเหนือในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้สัญจร จังหวัดเชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้พี่น้องภาคเหนือในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้สัญจร จังหวัดเชียงใหม่ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่ดูแลปัญหาหนี้สินพี่น้องชาวเหนือในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ ให้คำปรึกษาทางการเงินแบบครบวงจรผ่านมาตรการในการช่วยเหลือและลดภาระด้านหนี้สิน ธ.ก.ส. ลงพื้นที่ดูแลปัญหาหนี้สินพี่น้องชาวเหนือในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ ให้คำปรึกษาทางการเงินแบบครบวงจรผ่านมาตรการในการช่วยเหลือและลดภาระด้านหนี้สิน อาทิ การให้คำปรึกษาทางการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โครงการชำระดีมีคืน มาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย และมาตรการทางด่วนลดหนี้ พร้อมเติมทุนในการเสริมสร้างอาชีพในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 พิเศษ ! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus หรือเพิ่มเพื่อน Line Official @BAACFAMILY หรือยืนยันตัวตนผ่านบริการ e-KYC รับของที่ระลึกสุดพิเศษ และแคมเปญพิเศษ WoW WoW WoW รับส่วนลดทันที 3 ต่อ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคมนี้ นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (GFA) ผนึกกำลังจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่าง ๆ ให้สามารถกลับมามีกำลังในการประกอบอาชีพ มีรายได้และศักยภาพในการชำระหนี้ โดยกำหนดแนวทางช่วยเหลือลูกค้าในทุกมิติผ่านการให้ความรู้ทางการเงิน การวางแผนและการสร้างวินัยทางการเงิน การช่วยเหลือผ่านมาตรการต่าง ๆ ของแต่ละสถาบันการเงิน รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินโดยตรง อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีการจัดมหกรรมสัญจรไปยัง 5 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดสงขลา โดยในการจัดงานมหกรรมสัญจรครั้งที่ 2 ณ จังหวัดขอนแก่น มีผู้เข้ารับบริการแก้ไขปัญหาหนี้ภายในงานกว่า 6,000 รายการ สำหรับงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืนสัญจร ครั้งที่ 3 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ธ.ก.ส. ได้วางมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ เริ่มตั้งแต่การตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงขาขึ้นขณะนี้ออกไปให้นานที่สุด เพื่อมิให้เป็นภาระต้นทุนกับลูกค้าในช่วงการฟื้นตัว การจัดทำโครงการชำระดีมีคืน จำนวน 3,000 ล้านบาทให้กับลูกค้าที่ชำระหนี้ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 การดูแลภาระหนี้สินเดิม เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการเลื่อนงวดในการชำระหนี้ผ่านมาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการทางด่วนลดหนี้ การไกล่เกลี่ยหนี้ การจัดทำคลินิกหมอหนี้เพื่อลดหนี้ครัวเรือน การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งหนี้ในและนอกระบบ การพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพ เช่น การให้ความรู้ด้าน Financial Literacy/Digital Literacy การร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐเอกชน สถาบันการศึกษา ในการศึกษาดูงาน การฝึกปฏิบัติเพิ่มทักษะ ทั้งอาชีพเดิม อาชีพเสริม อาชีพใหม่ การปรับเปลี่ยนการผลิตไปปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง การลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน เช่น สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ สินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 เป็นต้น การสนับสนุนช่องทางด้านการตลาดในทุกระดับ ทั้งตลาดในระดับท้องถิ่น ตลาด Modern trade ตลาด E-Commerce ควบคู่การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง ผ่านเงินฝาก A-Savings เงินฝากประจำ เงินฝากสงเคราะห์ชีวิต สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. กองทุนทวีสุข กองทุนเงินออมแห่งชาติ และการประกันภัยทางการเกษตร เป็นต้น พิเศษ ! เฉพาะในงาน สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการชำระดีมีคืน ลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการทางด่วนลดหนี้และลงทะเบียนแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus หรือเพิ่มเพื่อน Line Official Account @BAACFAMILY หรือยืนยันตัวตนผ่าน e-KYC รับของที่ระลึกสุดพิเศษจาก ธ.ก.ส. และพบกับแคมเปญพิเศษ “WoW WoW WoW” รับบริการให้คำปรึกษาสินเชื่อพร้อมรับส่วนลดพิเศษค่าธรรมเนียมและของที่ระลึกถึง 4 ต่อ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมการออกบัตร ATM ส่วนลดค่าธรรมเนียมการประเมินที่ดินและส่วนลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ เป็นต้น ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนลูกหนี้ที่ประสงค์รับความช่วยเหลือและประชาชนทั่วไปที่สนใจร่วมงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ หรือลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอแก้ไขหนี้ออนไลน์ผ่าน https://www.bot.or.th/DebtFair/ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มกราคม 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด ฝ่ายปกครองร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบผู้ค้า ผู้เสพ ตามนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดโดยการ Re X-Ray ของ มท. เพื่อสังคมที่สงบสุข ปลอดยาเสพติด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่หอประชุม ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ารับโล่รางวัล "สำเภา - นาวาทอง" ประจำปี 2565 ประเภทหน่วยงานระดับกระทรวง จากศาสตราจารย์กิตติคุณ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โดยมี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการสนับสนุนการลงทุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการหอการค้าไทย คณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภาคธุรกิจ และภาคสื่อสารมวลชน ร่วมในงาน โดยส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับคัดเลือกเข้ารับรางวัลประเภทหน่วยงานระดับกรม 2 หน่วยงาน คือ กรมที่ดิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โอกาสนี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ปลดล็อค กฎหมาย กฎระเบียบ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศได้อย่างไร ?" โดยมีใจความสำคัญโดยสรุปว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการเดินหน้าปฏิรูปปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นพระราชบัญญัติจนลงมาถึงพระราชกฤษฎีการวมไปถึงกฎกระทรวง ระเบียบ คำสั่ง ประกาศต่าง ๆ โดยมุ่งปฏิรูป (Reform) และเสริมสร้างทัศนคติ การรับรู้ และความเข้าใจของผู้บริหารภาครัฐทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ รวมถึงข้าราชการระดับผู้ปฏิบัติงาน ให้เห็นความสำคัญของการปฏิรูประเบียบ ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1) ยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นฟุ่มเฟือย 2) ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้ทันสมัย 3) เพิ่มเติมกฎระเบียบที่เข้ากับบริบทของสังคมสมัยใหม่ เพื่อหนุนเสริมศักยภาพการแข่งขัน (Competition) ของภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งในด้านการหนุนเสริมการแข่งขันจำเป็นต้องจัดสภาพบรรยากาศต่าง ๆ ให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน ภาษี และการบริหารจัดการอื่น ๆ ซึ่งต้องอาศัยกฎระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดโดยกลไกของรัฐทั้งสิ้น โดยในขณะนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนงานภาครัฐไปแล้วกว่า 1,000 กระบวนงาน และนำเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภา ซึ่งล่าสุดได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ซึ่งมีหัวใจสำคัญ คือ การติดต่อกับส่วนราชการเพื่อขึ้นทะเบียน จดทะเบียน ลงทะเบียน การขออนุญาต ขออนุมัติ หรือมีกิจการงานที่ต้องติดต่อกับกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ เขต เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เมืองพัทยา ประชาชนสามารถไปติดต่อด้วยตนเอง หรือ “ไม่ไปติดต่อด้วยตัวเอง” โดยใช้วิธีการติดต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยไม่ต้องไปแสดงตนด้วยตนเอง ทั้งนี้ตามที่กฎหมายได้บัญญัติ เพื่อลดขั้นตอน ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่าย และลดปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ ทุกอย่างสามารถทำผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกกฎหมายฉบับรองเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายฉบับดังกล่าวภายใน 90 วันนับแต่วันประกาศใช้ โดยมีข้อยกเว้น 5 ประการที่ยังจำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตนเอง คือ 1) การจดทะเบียนสมรส 2) การจดทะเบียนหย่า 3) การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม 4) การทำบัตรประจำตัวประชาชน และ 5) การทำหนังสือเดินทาง รวมไปถึงได้มีการประกาศใช้ กฎหมายพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งตำรวจ อัยการ ศาล จะต้องประกาศกำหนดระยะเวลาว่าถ้าประชาชนมาติดต่อกับหน่วยงานท่านในเรื่องนี้จะใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องบอกให้ได้ว่าภายในเวลาที่กำหนด ทำอะไรไปถึงไหน ใช้เวลาอีกเท่าไหร่ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น "รัฐต้องจัดให้ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงกฎหมายได้โดยสะดวก" นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราชาวมหาดไทย ในการทุ่มเทขับเคลื่อนการทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” โดยมีวิสัยทัศน์ว่า “ประชาชนมีรากฐานการดำรงชีวิตและพัฒนาสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและสมดุลตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ด้วยกลไกของกระทรวงมหาดไทยที่ครอบคลุมทุกระดับทั่วประเทศ ทั้งระดับจังหวัดโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ระดับอำเภอโดยท่านนายอำเภอ ผู้นำท้องที่ คือ ท่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล รวมทั้งนายกเมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในกำกับของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาภูมิภาค พัฒนาเมือง ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน การบูรณาการการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานขององค์กร การสร้างความโปร่งใสในการบริหารงาน และเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ผ่านกลไก “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ กรอ.” ซึ่งได้กำชับให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ได้เข้าประชุมร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากผ่านกลไกบริษัทประชารัฐรักสามัคคี และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในพื้นที่ในการจัดทำแผนงาน/โครงการของจังหวัด กลุ่มจังหวัด ผ่านกลไกคณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (กบก.) “นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนด้านการอำนวยความสะดวกประชาชนให้มีความชัดเจนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 เพื่อลดภาระของพี่น้องประชาชน ทั้งด้านระยะเวลาการรับบริการ และภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อติดต่อราชการ โดยถ่ายทอดวิธีปฏิบัติและซักซ้อมแนวทางขั้นตอนไปยังผู้ปฏิบัติเป็นประจำต่อเนื่อง ทั้งการประชุมผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล และการซักซ้อมผ่านคณะทำงานชุดต่าง ๆ ทั้งระดับกระทรวง ระดับกรม ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ ด้วยการประสานการปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนครอบคลุมทั้ง 3 ระดับ 5 กลไกและ 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ การมีส่วนร่วมใน 3 ระดับ คือ ระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่/ชุมชน โดยมีกลไกเชื่อมประสาน 5 กลไกคือ 1) การประสานงานภาคีเครือข่าย 2) การบูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ 3) การติดตามและประเมินผล 4) การจัดการองค์ความรู้ และ 5) การสื่อสารต่อสังคม ร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน โดยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมผ่านการขับเคลื่อนอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ด้วยการสร้าง “ทีมจังหวัด” “ทีมอำเภอ” “ทีมตำบล” และ “ทีมหมู่บ้าน” ด้วยการรวมพลังของภาคีเครือข่ายที่มีจิตอาสาในพื้นที่ มุ่งขับเคลื่อนเสริมสร้างการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดมรรคเกิดผล ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นจากกับดักด้านการบริหารจัดการพื้นที่ในอดีต ที่เรามักจะยึดติดกับข้าราชการที่ไปบริหารพื้นที่ เช่น ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หรือท่านนายอำเภอ ที่เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านั้นเกษียณอายุราชการ หรือย้ายไปดำรงตำแหน่งพื้นที่อื่น ก็ทำให้นโยบายดี ๆ ต้องหายไป โดย “ทีมงาน” เหล่านี้ จะเป็นพลังสำคัญในการทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและเกิดการเสริมสร้างพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่ อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า ในนามของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ขอแสดงความยินดีกับ 34 หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับ “รางวัลสำเภา-นาวาทอง” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและยกย่องให้กับหน่วยงานภาครัฐที่ได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งในการปลดล็อคที่ได้ทำกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายและลดระยะเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมา เราได้ประสบความสำเร็จ คือ หอการค้าไทยได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันแก้กฎหมายกฎระเบียบต่าง ๆ จนปลดล็อคไปแล้ว จำนวนหลายกระบวนงาน ซึ่งจะสามารถเพิ่มโอกาสในการที่จะดึงดูดชาวต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย อันเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยในอนาคตหากเราสามารถปลดล็อคกระบวนงานที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มขึ้น ในปีต่อ ๆ ไป แม้ว่าเศรษฐกิจของโลกจะชะลอตัวลงแต่ประเทศไทยเราก็จะมีศักยภาพในการส่งออกที่เติบโตได้ นายสุรงค์ บูลกุล กล่าวว่า ที่ผ่านมา อุปสรรคและกฎระเบียบของภาครัฐที่เกี่ยวข้องในกระบวนงานสนับสนุนการทำงานของภาคธุรกิจเอกชน ไม่ว่าจะเป็นการขอใบอนุญาต ใบรับรองต่าง ๆ มีขั้นตอนที่มาก ใช้ระยะเวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง และเป็นภาระกับผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป การแก้ไขกฎระเบียบและอุปสรรคให้ผ่อนคลายมากขึ้น การปลดล็อคข้อจำกัดการบริหารในระดับพื้นที่ จึงเป็นภารกิจที่รัฐต้องเร่งแก้ไขเพื่อความสามารถในการเข้าถึงบริการอย่างง่ายขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศ ทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ภาครัฐจึงได้มีการแก้ไขและปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่องและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเสนอความคิดเห็นในการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัย ภาคธุรกิจและประชาชนจึงเกิดความพึงพอใจในการให้บริการที่สูงขึ้น ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่งผลให้เกิดการยกระดับศักยภาพของประเทศไทย อันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานภาครัฐในการสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนและดำเนินธุรกิจอย่างดี นับเป็นนิมิตรหมายอย่างดียิ่งที่ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการของประเทศไทย “จากความก้าวหน้าและความตระหนักถึงความมุ่งมั่นการทำงานของภาครัฐ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้มอบรางวัลสุดยอดหน่วยงานภาครัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ คือ “รางวัลสำเภา-นาวาทอง” อันหมายความว่า สำเภา คือ เรือค้าจีน นาวา คือ น้ำทะเลที่สนับสนุนการค้า เปรียบเสมือนหอการค้าที่มีหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ โดยใช้เกณฑ์การประเมินจากภาคธุรกิจและการลงพื้นที่สัมภาษณ์ข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ด้วยความร่วมมือจากภาคธุรกิจทั่วประเทศในฐานะผู้ร่วมดำเนินการและเสนอชื่อภาครัฐตามเกณฑ์กำหนด โดยแบ่งเป็น 1) หน่วยงานระดับกระทรวง 7 หน่วยงาน 2) หน่วยงานระดับกรม 19 หน่วยงาน และ 3) รางวัลหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนงานดำเนินงาน 8 หน่วยงาน” นายสุรงค์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62676
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16 - 18 ธ.ค. 65
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 กยศ. ร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16 - 18 ธ.ค. 65 กยศ. เชิญชวนผู้กู้ยืมร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ จัดโดย ก.คลัง ธปท. และสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง ภายใต้แนวคิด “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค.2565 นี้ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เชิญชวนผู้กู้ยืมเข้าร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ จัดโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง ภายใต้แนวคิด “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” พร้อมให้คำปรึกษาด้านการกู้ยืมและการชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ระหว่างวันที่ 16 - 18 ธันวาคม 2565 นี้ ณ โถงประชุมราชพฤกษ์ 1 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เข้าร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ภายใต้แนวคิด “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 16 - 18 ธันวาคม 2565 เวลา 10.00 - 18.00 ณ โถงประชุมราชพฤกษ์ 1 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จัดโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาเต็มที่ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยสถาบันการเงินได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยลดปัญหาหนี้สินประชาชน พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนแก้ปัญหาหนี้สินอย่างถูกต้อง ต่อยอดสินเชื่อธุรกิจให้เดินต่อได้ และยังมีเงินฝากดอกเบี้ยสูง รวมถึงมีสินทรัพย์รอการขายจากธนาคารต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้ กองทุนขอเชิญชวนผู้กู้ยืม กยศ. และผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน โดยสามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาด้านการกู้ยืมและการชำระหนี้ได้ที่ บูธ กยศ.” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขปีใหม่ 2566เปิดบ้านขนทัพสินค้าเกษตร“ชมช๊อป, ชิม,ชิลแชะ (ท่องเที่ยว)
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขปีใหม่ 2566เปิดบ้านขนทัพสินค้าเกษตร“ชมช๊อป, ชิม,ชิลแชะ (ท่องเที่ยว) กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขปีใหม่ 2566เปิดบ้านขนทัพสินค้าเกษตร“ชมช๊อป, ชิม,ชิลแชะ (ท่องเที่ยว)”ฟรีค่าเข้าชม/ลดค่าบริการพร้อมเปิดแหล่งท่องเที่ยวเกษตรทุกภาคทั่วประเทศเริ่ม 15 ธ.ค. 65 – 16 ม.ค. 66 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานแถลงข่าว “โครงการส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2566” โดยมีนายสุนทรปานแสงทองรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่จากทุกหน่วยงานในสังกัด มอบให้เกษตรกรและประชาชนทั้งรูปแบบสินค้าและบริการ ซึ่งจะเป็นการส่งความสุขตลอดเวลาประมาณ 1 เดือน ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2566 นอกจากจะเป็นการส่งมอบผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพแล้วยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้เกิดการใช้จ่าย จากการซื้อผลผลิตทางการเกษตรทั้งสดและแปรรูป ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเกษตร รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ของใช้ ซึ่งล้วนแต่เป็นสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ส่งตรงจากพี่น้องเกษตรกรจากทุกภาคทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ยังส่งมอบความสุข จากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรที่สวยงาม และได้รับความรู้ด้านการเกษตรด้วย โดยคาดว่าจะมีประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์จากทั้ง 2 กิจกรรม กว่า 366,680 ราย สำหรับของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงเกษตรฯ มอบให้นั้น แบ่งออกเป็น 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 “เสริมพลังปีใหม่ จำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ สินค้าเกษตรคุณภาพ” เป็นการคัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่ได้คุณภาพมาตรฐาน และมีความปลอดภัย ซึ่งเป็นผลผลิตสดใหม่จากฟาร์ม สินค้าแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมปรุง ผัก/ผลไม้ โครงการหลวงราคาพิเศษ เพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนผลผลิตจากพี่น้องเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มอาชีพสตรีสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน ในประเทศโดยตรงโดยในส่วนของ“ชม ช๊อป”มีทั้งสินค้าหัตถกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ร้าน 109, ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้สินค้าและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรและองค์กรเกษตร พร้อมโปรโมชั่นราคาพิเศษ จัดชุดของขวัญซื้อสินค้าพร้อมรับของแถมบริการจัดส่งฟรี หรือ ลดค่าขนส่งผัก/ผลไม้ราคาพิเศษอาทิ ผักอินทรีย์บรรจุถุงอะโวคาโด้ เคพกูสเบอร์รี่ เสาวรสหวานผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค พร้อมของแถมเนคไทยลายผ้าขาวม้า, ผลิตภัณฑ์จากยางพารา, นวัตกรรมด้านอาหาร สุขภาพ และความงามและกระเช้าของขวัญ – สินค้าข้าว, สินค้าสหกรณ์,ผลิตภัณฑ์ประมงธงเขียว จาก Fisherman Shop ทุกสาขาทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ, ผลิตภัณฑ์จากครอบครัวปศุสัตว์,ชุดของขวัญจาก DGT Farmและชุดสมุนไพร พร้อม“ชิม”กาแฟสดหอมกรุ่นจากขุนวางศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่และน้ำอ้อยคั้นสดจากศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี “อ้อยคั้นน้ำพันธุ์กวก. สุพรรณบุรี 1” พันธุ์รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร ซึ่งในน้ำอ้อยประกอบด้วยเกลือแร่สำคัญที่ร่างกายต้องการเช่นแคลเซียมธาตุเหล็กและโพแทสเซียมเป็นต้นรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มสารประกอบฟี-นอ-ลิก (Phenolic compounds) และกรดไฮดรอกซีซินนามิก (hydroxycinnamic acid) ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง กิจกรรมที่ 2 “เพิ่มสุขปีใหม่ เที่ยวทั่วไทย สุขใจไปกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” โดยกระทรวงเกษตรฯ จะจัดกิจกรรม“ชิลแชะ (ท่องเที่ยว)”ใน2 กิจกรรม ได้แก่ 1) การเปิดสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตร ให้ประชาชนเข้าชมฟรี/ลดค่าบริการ กว่า 140 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ/ เขื่อน/ อ่างเก็บน้ำ/ โครงการชลประทาน/ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ/ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมง/ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)/ ฟาร์มสเตย์/ โฮมสเตย์/ ฟาร์มพืช ปศุสัตว์ ผึ้งชันโรง นาเกลือ/ ฟาร์มโคนม/ สะพานปลากรุงเทพฯ/ อุทยานหลวง ราชพฤกษ์จังหวัดเชียงใหม่/ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นต้น และ 2) การเปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว ทั้งศูนย์ศึกษา/ ศูนย์เรียนรู้/ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร) กว่า 180 แห่ง ซึ่งกิจกรรมเพิ่มสุขปีใหม่เที่ยวทั่วไทยฯ นี้ เหมาะสำหรับกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย รองรับทั้งกลุ่มครอบครัว และเพื่อน ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวด้านการเกษตร และสามารถเรียนรู้ รับความรู้ด้านการเกษตรได้โดยตรง ในทั่วทุกภาคของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร ชุมชน และครัวเรือนเกษตรกร อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า ครั้งที่ 3/2565
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า ครั้งที่ 3/2565 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า ครั้งที่ 3/2565 วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 เวลา 11.00 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 3/2565 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การประชุมดังกล่าวเพื่อรับทราบประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้แก่ 1) ผลการติดตามประเมินผลภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ระยะปี 2561 - 2565 และ 2) ความก้าวหน้าการดำเนินการจัดทำคู่มือดูแลและบำรุงรักษาแหล่งน้ำขนาดเล็ก นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปี 2567 ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี จำนวน 63,589 รายการ เป็นวงเงินจำนวน 337736.1463 ล้านบาท และเห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขาฯ นำเสนอร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ย้ำความสัมพันธ์ในทุกระดับ พร้อมหวังเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าการลงทุน โลจิสติกส์ การเกษตรฯ
วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ย้ำความสัมพันธ์ในทุกระดับ พร้อมหวังเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าการลงทุน โลจิสติกส์ การเกษตรฯ นายกฯ หารือนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ย้ำความสัมพันธ์ในทุกระดับ พร้อมหวังเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าการลงทุน โลจิสติกส์ การเกษตรฯ วันนี้ (14 ธันวาคม 2565) เวลา 12.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงบรัสเซลส์) ณ อาคาร Europa กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือกับนายมาร์ค รึตเตอ (H.E. Mr. Mark Rutte) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในช่วงการประชุมอาเซียน-อียู สมัยพิเศษ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งฝ่ายเนเธอร์แลนด์เป็นฝ่ายทาบทาม โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทนำในสหภาพยุโรป ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์มีความพิเศษและยาวนาน ครอบคลุมในทุกมิติ และในปี พ.ศ. 2567 จะครบรอบ 420 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งทั้งสองประเทศจะได้ร่วมเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษนี้ร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรียินดีกับความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างกัน พร้อมร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และหวังว่าจะรักษาพลวัตความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดผ่านกลไกการประชุม Political Consultations อย่างต่อเนื่อง ด้านนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ กล่าวยินดีและชื่นชมความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งเนเธอร์แลนด์พร้อมและมุ่งหวังที่จะขยายความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ชื่นชมไทยที่มีบทบาทอย่างสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ ยืนยันความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบทวิภาคี และพหุภาคี เพื่อสานต่อความร่วมมือทั้งในทุกระดับให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นต่างๆ ดังนี้ ความท้าทายระหว่างประเทศ ทั้งสองพร้อมร่วมมือกันรับมือความท้าทาย ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต โดยไทยกำลังดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งการประชุมเอเปค 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ได้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มี GDP รวมกันกว่าร้อยละ 60 ของโลก และมีจำนวนประชากรกว่าร้อยละ 40 ของโลก และพร้อมสานต่อผลลัพธ์สำคัญของเอเปคร่วมกับสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศเจ้าภาพเอเปคในปีหน้า จึงหวังว่าจะได้ร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาคเอเปค รวมถึงเนเธอร์แลนด์ในการขับเคลื่อนประเด็นสำคัญ อาทิ เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG และการฟื้นฟูการเดินทางข้ามพรมแดนที่สะดวกปลอดภัย เป็นต้น การค้าการลงทุน ผู้นำทั้งสองต่างยินดีที่ทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าสำคัญ โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญเนเธอร์แลนด์ให้มาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญ โดยไทยพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน รวมทั้งพิจารณาใช้ไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งไทยมี นโยบาย EV [emailprotected] มีเป้าหมายผลิต EV ในไทยให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 และมีมาตรการสนับสนุนราคารถ EV และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์เดินทางเยือนไทยเพื่อหารือด้านการค้าจับคู่ธุรกิจกับภาคเอกชนไทย ด้านโลจิสติกส์ นายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองประเทศจะกระชับความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในด้านโลจิสติกส์ เนื่องจากทั้งไทยและเนเธอร์แลนด์ต่างเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของภูมิภาค และมีจุดแข็งทางด้านโลจิสติกส์ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมศักยภาพและความเชี่ยวชาญของเนเธอร์แลนด์ในด้านการเกษตร ในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรมากเป็นอันดับสองของโลก หวังว่าจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกันต่อไป ในด้านความร่วมมือพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต่อการยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน - สหภาพยุโรป ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยไทยและเนเธอร์แลนด์สามารถเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างสองภูมิภาค ผู้นำทั้งสองยังยินดีกับการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้นำของทั้งสองภูมิภาคได้พบปะและผลักดันความร่วมมือที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ไทย ในฐานะประเทศผู้ประสานงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของอาเซียน ยินดีให้ความร่วมมือกับเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและวาระสีเขียวในภูมิภาคต่อไป ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอรับการสนับสนุนการสมัครเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028-Phuket Thailand โดยหวังที่จะให้เวทีนี้เป็นเวทีให้นานาประเทศนำเสนอแนวทางเพื่อเป็นทางออกร่วมกัน และแลกเปลี่ยนความร่วมมือสู่ความยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/62664