title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เผยผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมดหายป่วยแล้ว เร่งเดินหน้าค้นหาเชิงรุกทุกหน่วยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบเยาวชนติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย พร้อมดำเนินการตามมาตรฐาน SOP อย่างเคร่งครัด | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เผยผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมดหายป่วยแล้ว เร่งเดินหน้าค้นหาเชิงรุกทุกหน่วยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบเยาวชนติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย พร้อมดำเนินการตามมาตรฐาน SOP อย่างเคร่งครัด
พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เผย พบเยาวชนติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรฐาน SOP อย่างเคร่งครัด เชื่อยังสามารถรับมือได้
พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ เพื่อติดตามการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ให้เป็นไปตามแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน และสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วนั้น ทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOP) ที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมสั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ตลอดจนหน่วยบริการทั้งหมดทั่วประเทศดำเนินการตามมาตรฐานดังกล่าว
เบื้องต้นจากการรายงานสถิติสถานการณ์ประจำวันพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของกรมพินิจฯ ทั้งหมดรักษาหายแล้ว ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนและเจ้าหน้าที่จากศูนย์ฝึกและอบรมฯ ยะลา และสถานพินิจฯ นราธิวาส รวมทั้งสิ้น 87 ราย และขณะนี้อยู่ในระหว่างการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการต่อไป อย่างไรก็ตามกรมพินิจฯ ได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อ (SWAB) เชิงรุกเพิ่มเติม ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พบเยาวชนติดเชื้อเพิ่ม 3 รายจากศูนย์ฝึกและอบรมฯ พระนครศรีอยุธยา และอีก 1 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลาง (อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ) ทั้งนี้ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและดำเนินการตามมาตรฐาน SOP แล้ว
“กรมพินิจฯ ได้มีการจัดตั้ง ‘ศูนย์ D-HUB’ ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาในการรับเรื่องราวและประสานส่งต่อการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาภายหลังปล่อยตัว รวมถึงได้ทำการชี้แจงสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการบริหารจัดการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฯ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดูแลตัวเองและบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวให้รักษาวินัยในตนเองโดยเฉพาะการเว้นระยะห่างทางสังคม และการเดินทางออกนอกสถานที่ไปยังพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ตลอดจนเน้นย้ำให้ทุกหน่วยเดินหน้าตรวจหาเชื้อทั้งเด็กและเยาวชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ให้ครบทุกหน่วยและรายงานผลมายังกรมทุกวัน พร้อมเก็บสถิติการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่ทุกคนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานที่ควบคุมต่อไป” พ.ต.ท. วรรณพงษ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ เปิดโรงงานผลิตรถยนต์เกรท วอลล์ มอเตอร์ จ.ระยอง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
รัฐมนตรีสุริยะฯ เปิดโรงงานผลิตรถยนต์เกรท วอลล์ มอเตอร์ จ.ระยอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดโรงงานผลิตรถยนต์เกรท วอลล์ มอเตอร์ จ.ระยอง
จังหวัดระยอง:วันที่9มิถุนายน2564นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นเกียรติและเป็นประธานเปิดโรงงานผลิตรถยนต์เกรทวอลล์มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง(ประเทศไทย)นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดอ.ปลวกแดงจ.ระยองโดยมีนายกฤชนนท์อัยยปัญญาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมนายภานุวัฒน์ตริยางกูรศรีรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมนายณัฐพลรังสิตพลอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนายวันชัยพนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนางสาวสุชาดาแทนทรัพย์โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเปิดโรงงานและมีMr.เอลเลียตจางประธานเกรทวอลล์มอเตอร์ภูมิภาคอาเซียนให้การต้อนรับ
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่าในนามของกระทรวงอุตสาหกรรมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทเกรทวอลล์มอเตอร์ในจ.ระยองซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์เต็มรูปแบบในต่างประเทศแห่งที่3ของบริษัทฯโดยมีการยกระดับระบบการผลิตให้เป็นโรงงานอัจฉริยะหรือSmart Factoryอันดับต้นๆของประเทศซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการยกระดับอุตสาหกรรมไทยของกระทรวงอุตสาหกรรมด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดเพื่อช่วยลดต้นทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในหลากหลายมิติ
ในนามของรัฐบาลไทยขอขอบคุณบริษัทเกรทวอลล์มอเตอร์ผู้ผลิตรถยนต์อเนกประสงค์(SUV)และรถปิกอัพรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีนซึ่งมีจุดแข็งในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้มีการลงทุนสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งและรถปิกอัพทั้งประเภทไฮบริด(HEV)ปลั๊กอินไฮบริด(PHEV)และรถยนต์ไฟฟ้า(BEV)ไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนออสเตรเลียและแอฟริกาใต้สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่11ของโลกอันดับที่5ของเอเชียและอันดับ1ของอาเซียนรวมทั้งความเชื่อมั่นต่อนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาล
ซึ่งตลอดช่วงเวลา4-5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้พยายามขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปรับเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE)ไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าตามทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของโลกโดยมั่นใจว่าบริษัทเกรทวอลล์มอเตอร์จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถบรรลุวิสัยทัศน์เป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในปี2030 (หรือปีพ.ศ. 2573)ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้ตั้งไว้
#รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม#กระทรวงอุตสาหกรรม#industryprmoi #เกรทวอลล์มอเตอร์#GWM
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42595 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 ผ่านโปรแกรม ZOOM cloud Meetings ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับกลาง นับว่าเป็นบุคลากรที่สำคัญยิ่ง ในการบริหารและดำเนินงานในองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่จะสามารถเป็นผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง และบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ เพิ่มพูนทักษะในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาประสิทธิภาพของทีมงานและองค์การได้ เข้าใจกระบวนการสร้างเครือข่าย (Network) และระบบพันธมิตร (Partner) เพื่อเพิ่มพลังการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถถ่ายทอดนโยบายจากระดับสูงไปสู่ระดับปฏิบัติในหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบ ตามหลักนโยบายเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายด้านการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงฯ ที่ชัดเจนในการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทุกระดับอย่างมีระบบทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ แต่จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีผู้ติดเชื้อ รวม 38 ราย และมีเจ้าหน้าที่กักตัวกว่า 200 ราย ทำให้การปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ต้องปรับรูปแบบ เพื่อที่จะสามารถบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฝึกอบรม จึงต้องปรับมาใช้รูปแบบออนไลน์ (Online Learning) ทั้งหมด ซึ่งก็จะถูกใช้เป็นมาตรฐานต่อไป
“สำหรับการฝึกอบรมในครั้งนี้ เน้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการ โดยมุ่งประเด็นการนำไปสู่การปฏิบัติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก จึงขอให้ทุกท่านให้ความสนใจ เอาใจใส่รับฟังการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์จากวิทยากรที่มาบรรยายและฝึกปฏิบัติ เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานของท่าน อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางราชการและภาคการเกษตรของประเทศต่อไป” ดร.ทองเปลว กล่าว
ทั้งนี้ การอมรมครั้งนี้เป็นการฝึกอบรมด้วยการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์ (Online Learning) ทั้งหมด จากอาคารปฏิบัติการวิศวกรรมอุตสาหการ ชั้น 10 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2564 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 130 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าอบรม มีความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่จะสามารถเป็นผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลงและบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถเพิ่มพูนทักษะในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาประสิทธิภาพของทีมงานและองค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าใจกระบวนการสร้างเครือข่าย (Network) และระบบพันธมิตร (Partner) เพื่อเพิ่มพลังการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถถ่ายทอดนโยบายจากระดับสูงไปสู่ระดับปฏิบัติในหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบได้อย่างถูกต้องชัดเจน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand adopts 2021 Political Declaration on HIV and AIDS | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
Thailand adopts 2021 Political Declaration on HIV and AIDS
Thailand adopts 2021 Political Declaration on HIV and AIDS
June 9, 2021, at 04.30 hrs (15.30 hrs of June 8, 2021, New York local time), at the Headquarters of the United Nations (UN), USA, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha delivered a keynote address via a teleconference at the UN High-Level Meeting (HLM) on HIV/AIDS. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist as follows:
The Prime Minister believed that the meeting would be a good opportunity to engage all sectors in reviewing and taking forward the 2019 Political Declaration on HIV and AIDS, as well as adopting the new Political Declaration and seeking new approaches to cope with the challenge and achieve UN SDG on ending HIV by 2030. At present, the spread of COVID-19 has greatly impacted economies and people across the globe, and has set back gains in the HIV response. People living with HIV and AIDS have become more vulnerable, leading to an increasing disparity situation. The Prime Minister has, therefore, proposed 3 points of view to expedite related undertakings at both national and international levels:
Rapidly scale‑up innovation and expand coverage. Deliver services based on new technology and innovation, and offer user-friendly preventive package available to all in need, especially young people and target groups. Universal health coverage is very important to providing inclusive services.
Promote strong political will in taking a whole-of‑society approach to ending disparity, stigma, and discrimination. This is very important to reduce obstacles in getting access to preventive services and treatment.
Promote community engagement as key to advancing an effective response. All sectors should be engaged in developing policies and providing services at all levels.
In closing, the Prime Minister affirmed Thailand’s adoption of the 2021 Political Declaration on HIV and AIDS, and added that the country would chair the UNAIDS Programme Coordinating Board in 2021.
The UN High Level Meeting on HIV/AIDS is held once every 5 years with an aim to exchange views and review progress of the goals set out in the Political Declaration on HIV and AIDS. The meeting this year has been held during June 8-10, 2021 at the UN Headquarters in New York, USA.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42591 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีคนงานรถไฟเสียชีวิตจากเหล็กหล่นทับที่เพชรบุรี พร้อมเร่งช่วยเหลือทายาทให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
รมว.เฮ้ง สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีคนงานรถไฟเสียชีวิตจากเหล็กหล่นทับที่เพชรบุรี พร้อมเร่งช่วยเหลือทายาทให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยกรณีเหล็กหล่นทับคนงานรถไฟเสียชีวิต 1 ราย ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี สั่ง สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหล็กหล่นทับคนงานรถไฟเสียชีวิต บริเวณสะพานรถไฟหนองตาพด อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีว่า ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานในภาคส่วนต่าง ๆ จึงได้กำชับให้กระทรวงแรงงานรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงาน โดยส่งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) เข้าไปตรวจสอบและเน้นย้ำให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตจากการทำงาน จากกรณีดังกล่าว ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด และประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนของลูกจ้าง เพื่อช่วยเหลือเยียวยาทายาทผู้เสียชีวิตให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็ว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานเบื้องต้นของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี อยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสถานที่เกิดเหตุและจะเชิญนายจ้างมาพบซึ่งขณะนี้ทราบนายจ้างพักอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยจะนัดสอบปากคำในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 14.00 น. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมเพชรบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตน ซึ่งพบว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย คือ ทายาทจะได้รับเงินค่าทำศพจำนวน 40,000 บาท และเงินทดแทนตกทอดของทายาทร้อยละ 70 ของค่าจ้าง เป็นระยะเวลา 10 ปี
ทั้งนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี จะได้ประสานความช่วยเหลือเพื่อจ่ายสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 เน้นย้ำเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 97 ผ่านโปรแกรม ZOOM cloud Meetings ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับกลาง นับว่าเป็นบุคลากรที่สำคัญยิ่ง ในการบริหารและดำเนินงานในองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่จะสามารถเป็นผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง และบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ เพิ่มพูนทักษะในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาประสิทธิภาพของทีมงานและองค์การได้ เข้าใจกระบวนการสร้างเครือข่าย (Network) และระบบพันธมิตร (Partner) เพื่อเพิ่มพลังการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถถ่ายทอดนโยบายจากระดับสูงไปสู่ระดับปฏิบัติในหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบ ตามหลักนโยบายเชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัดเจน จัดสรรให้ถูกต้อง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายด้านการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงฯ ที่ชัดเจนในการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทุกระดับอย่างมีระบบทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ แต่จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีผู้ติดเชื้อ รวม 38 ราย และมีเจ้าหน้าที่กักตัวกว่า 200 ราย ทำให้การปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ต้องปรับรูปแบบ เพื่อที่จะสามารถบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฝึกอบรม จึงต้องปรับมาใช้รูปแบบออนไลน์ (Online Learning) ทั้งหมด ซึ่งก็จะถูกใช้เป็นมาตรฐานต่อไป
“สำหรับการฝึกอบรมในครั้งนี้ เน้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการ โดยมุ่งประเด็นการนำไปสู่การปฏิบัติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก จึงขอให้ทุกท่านให้ความสนใจ เอาใจใส่รับฟังการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์จากวิทยากรที่มาบรรยายและฝึกปฏิบัติ เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานของท่าน อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางราชการและภาคการเกษตรของประเทศต่อไป” ดร.ทองเปลว กล่าว
ทั้งนี้ การอมรมครั้งนี้เป็นการฝึกอบรมด้วยการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์ (Online Learning) ทั้งหมด จากอาคารปฏิบัติการวิศวกรรมอุตสาหการ ชั้น 10 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2564 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 130 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าอบรม มีความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่จะสามารถเป็นผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลงและบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถเพิ่มพูนทักษะในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาประสิทธิภาพของทีมงานและองค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าใจกระบวนการสร้างเครือข่าย (Network) และระบบพันธมิตร (Partner) เพื่อเพิ่มพลังการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถถ่ายทอดนโยบายจากระดับสูงไปสู่ระดับปฏิบัติในหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบได้อย่างถูกต้องชัดเจน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42597 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม กำชับราชทัณฑ์รีบกระจายวัคซีนโควิด เน้น 38 เรือนจำพื้นที่สีแดงก่อน แล้วกระจายไปคุกใหญ่ต่างจังหวัด หวังสกัดโรคลดการสูญเสีย เพิ่มความเชื่อมั่น-ปลอดภัย | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม กำชับราชทัณฑ์รีบกระจายวัคซีนโควิด เน้น 38 เรือนจำพื้นที่สีแดงก่อน แล้วกระจายไปคุกใหญ่ต่างจังหวัด หวังสกัดโรคลดการสูญเสีย เพิ่มความเชื่อมั่น-ปลอดภัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำชับกรมราชทัณฑ์ เร่งกระจายไปยังเรือนจำปลอดเชื้อในพื้นที่สีแดง 38 แห่ง แล้วกระจายไปเรือนจำใหญ่ต่างจังหวัด เพื่อไม่ให้เกิดการติดขัด พร้อมย้ำอย่าให้วัคซีนเหลือ ต้องเร่งแจกจ่ายให้หมด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้กำชับในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับจากกรมควบคุมโรค ให้กรมราชทัณฑ์เร่งกระจายไปยังเรือนจำปลอดเชื้อในพื้นที่สีแดง 38 แห่ง ฉีดรอบแรกให้ครบทั้งหมด แล้วรายงานให้ กรมควบคุมโรครับทราบตามข้อมูลจริง ซึ่งไม่ใช่แค่กรมราชทัณฑ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่กรมอื่นๆ ต้องทำให้ตรงตามระเบียบเช่นเดียวกันเพื่อให้วัคซีนเข็มที่สองมาตรงตามเวลา ไม่ให้เสียของ ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัดผู้บริหารทั้ง 10 เขต ขอให้เลือกเรือนจำใหญ่ไปฉีดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ เพราะในเรือนจำมีสภาพที่แออัดป้องกันได้ยาก หลังจากนั้นให้เลือกเรือนจำที่มีขนาดรองลงมา เพื่อไม่ให้เกิดการติดขัด และวันนี้ในกรมอย่าให้วัคซีนเหลือ ต้องเร่งแจกจ่ายให้หมด เก็บไว้เพียงจำนวนสำรองฉุกเฉินเท่านั้น เราต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังทั้งหมด รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้วย
"ไม่ว่าทางกรมควบคุมโรคจะจัดสรรให้เรามาเท่าไร เราต้องเร่งกระจายวัคซีนไปให้ทันที อย่าเก็บไว้เยอะเอาแค่สำรองเผื่อฉุกเฉินพอ โดยเร่งให้เรือนจำในพื้นที่เสี่ยงก่อน จากนั้นค่อยๆ ส่งไปยังเรือนจำใหญ่ และตามด้วยเรือนจำเล็กในพื้นที่สีขาว ซึ่งเราต้องเร่งการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ครบทั้งหมด การลงทะเบียนและส่งรายชื่อต้องทำให้ถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการ อย่าให้ตกหล่น เพื่อลดการแพร่ระบาดในเรือนจำ ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่น ลดการสูญเสียทั้งชีวิตและงบประมาณ และเป็นการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนด้วย"นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42598 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอน. แจง บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด ปิดโรงงานน้ำตาล ไม่กระทบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ย้ำในฤดูการผลิตปี 64/65 ผลผลิตอ้อยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
สอน. แจง บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด ปิดโรงงานน้ำตาล ไม่กระทบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ย้ำในฤดูการผลิตปี 64/65 ผลผลิตอ้อยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น
สอน. แจง บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด ปิดโรงงานน้ำตาล ไม่กระทบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ย้ำในฤดูการผลิตปี 64/65 ผลผลิตอ้อยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น
นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเปิดเผยว่าตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่7มิถุนายน2564กรณีบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีจำกัดอำเภอกุมภวาปีจังหวัดอุดรธานีมีมติหยุดกิจการน้ำตาลอย่างเป็นทางการโดยบริษัทจะโอนย้ายสัญญาซื้อขายอ้อยไปยังบริษัทน้ำตาลเกษตรผลจำกัดซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเดียวกันที่มีกำลังการผลิตได้ถึง30,000ตันอ้อยต่อวันเพื่อรองรับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาจากบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีจำกัดและขอเรียนว่าไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเนื่องจากในฤดูการผลิตปี2564/2565มีแนวโน้มผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลของตลาดโลกจะสูงขึ้นจากในฤดูการผลิตปี2563/2564จึงมั่นใจได้ว่าผลประกอบการโรงงานน้ำตาลอีก56โรงงานจะมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนถือเป็นสัญญาณที่ดีท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก
นายเอกภัทรวังสุวรรณเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีจำกัดมีชาวไร่อ้อยคู่สัญญาจำนวน1,195รายในฤดูการผลิตปี2563/2564หีบอ้อยได้716,862.94ตันและผลิตน้ำตาลได้82,977.23ตันโดยการปิดโรงงานดังกล่าวจะไม่กระทบกับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาในขณะเดียวกันนี้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.)ได้ประสานไปยังบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีจำกัดให้ดำเนินการตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาช่วยเหลือแก่พนักงานประจำโรงงานและจะดำเนินการติดตามการจ่ายเงินค่าอ้อยขั้นสุดท้ายให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาอย่างใกล้ชิดซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายในช่วงเดือนตุลาคม2564รวมไปถึงตรวจสอบภาระหนี้ของบริษัทฯกับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อไม่ให้กระทบกับระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและการปิดกิจการจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่นPM 2.5แต่อย่างใด
#กระทรวงอุตสาหกรรม#สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย#ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม#industryprmoi
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42615 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ เร่งปรับกฎระเบียบภายในให้เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน สร้างบิ๊กดาต้าภาครัฐสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ เร่งปรับกฎระเบียบภายในให้เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน สร้างบิ๊กดาต้าภาครัฐสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ เร่งปรับกฎระเบียบภายในให้เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน สร้างบิ๊กดาต้าภาครัฐสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
วันที่ 10 มิ.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้รายงานให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ทราบถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งแต่ละด้านดำเนินไปตามแผนงาน
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเห็นว่าเป็นประเด็นที่ควรเร่งรัด คือส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กดาต้าของภาครัฐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนราชการและหน่วยงานรัฐ ดำเนินการปรับปรุงข้อกฎหมายและระเบียบภายในตามที่ สศช. เสนอ โดยเร็วเพื่อสนับสนุนการเป็นรัฐบาลดิจิทัลให้เป็นรูปธรรมต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สศช. ได้รายงานว่าจากการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ของรัฐในระยะที่ผ่าน เช่น กรณีการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า(TPMAP) พบว่า การบรูณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐยังมีข้อจำกัด เป็นอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนรัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยประเด็นปัญหาหลักคือ แม้ว่าจะมีกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการข้อมูลและพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแล้ว เช่น พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 แต่กฎหมายและระเบียบภายในของหน่วยงานต่างๆ ยังเป็นข้อจำกัดในการเชื่อมโยงและเผยแพร่ข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อการบูรณาการฐานข้อมูลขนาดใหญ่
สศช.จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบภายในหน่วยงานให้รองรับและสนับสนุนการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ให้สอดคล้องกับกฎหมายหลักด้านการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวมทั้งสนับสนุนให้บุคลากรทุกหน่วยงานให้มีทัศนคติที่เอื้อต่อการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยชี้ให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นในการบูรณาการข้อมูลเพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนานโยบายและการปฏิบัติงานด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ในสภาพแวดล้อมของประเทศที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพราะจะเป็นการยกระดับบริการภาครัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โปร่งใสตรวจสอบได้ มีการเชื่อมโยงของหน่วยงานและระบบบริการภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้ใช้บริการ นายกรัฐมนตรีจึงให้ทั้งส่วนราชการและหน่วยงานรัฐเร่งดำเนินการตามข้อเสนอของสภาพัฒน์ เพื่อให้การไปสู่รัฐบาลดิจิทัลเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
---------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42589 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาบริการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานคร ผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาบริการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานคร ผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19
...
นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ปรับรูปแบบการบริการให้ประชาชนโดยเน้นการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการเดินทางและลดความเสี่ยงเกิดการแพร่กระจายและติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงขยายระยะเวลาให้บริการการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานครผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ ขบ. https://www.dlt.go.th/site/vei/ ไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และงดการเดินทางมาจองหมายเลขทะเบียนรถด้วยตนเอง ณ ขบ. เป็นการชั่วคราวต่อไป โดยสามารถตรวจสอบผลการจองผ่านเว็บไซต์ภายใน 1 - 3 วันทำการ และเมื่อได้รับหมายเลขทะเบียนแล้วต้องดำเนินการจดทะเบียนภายใน 90 วัน หากไม่มาดำเนินการจดทะเบียนภายในกำหนด ขบ. จะนำหมายเลขทะเบียนที่ได้รับจัดให้กับผู้อื่นต่อไป ทั้งนี้เงื่อนไขในการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของรถที่จดทะเบียนหรือผู้เช่าซื้อรถเท่านั้น เลขทะเบียนที่จองแล้วห้ามเปลี่ยนเลข หรือโอนสิทธิ์เปลี่ยนชื่อหรือยกเลิก โดยสามารถจองได้จำนวน 5 หมายเลขตามลำดับที่ต้องการ พร้อมกำหนดหมวดอักษรได้ตาม ณ วันที่เปิดจอง หากหมวดอักษรใดมีผู้อื่นเลือกแล้ว เจ้าหน้าที่จะดำเนินการเปลี่ยนหมวดอักษรให้ใหม่โดยจะแจ้งผลการจองให้ทราบภายใน 1 - 3 วันทำการ ซึ่งสามารถตรวจสอบผลการจองด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ ขบ.
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของกรุงเทพมหานคร สามารถจองได้ด้วยตนเองเช่นกันที่เว็บไซต์ www.tabienrod.com ประกอบด้วย รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู รถตู้ และรถกระบะบรรทุก ซึ่งระบบจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์จะเปิดให้จองในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น. และทราบผลการจองในทันที โดยหมายเลขทะเบียนที่จองได้จะไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อผู้อื่นได้ กรณีที่จองได้แล้วแต่ไม่นำรถไปจดทะเบียนภายในเวลาที่กำหนดจะต้องรอให้พ้นระยะเวลาหลังจากจองครั้งแรกไปแล้ว 3 เดือน จึงจะสามารถนำข้อมูลรถคันเดิมไปจองเลขทะเบียนใหม่ได้ สำหรับการนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาจดทะเบียนให้แจ้งหมายเลขที่จองได้กับเจ้าหน้าที่และดำเนินการจดทะเบียนตามขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันการจดทะเบียนรถใหม่มีความสะดวก รวดเร็ว กรณีที่หลักฐานครบถ้วนใช้ระยะเวลาภายใน 1 วัน สามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนรถได้ทันที ทั้งนี้การจองหมายเลขทะเบียนรถทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานคร ทำได้โดยง่ายดายเพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจอง สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อผ่านบุคคลภายนอก สำหรับต่างจังหวัดติดต่อสอบถามสำนักงานขนส่งจังหวัดโดยตรง หรือสอบถามสายด่วนโทร. 1584
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เผยได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 1 ล้านโดส เตรียมจัดหาเพิ่มเดือนละ 5 ล้านโดส | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ปลัด สธ.เผยได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 1 ล้านโดส เตรียมจัดหาเพิ่มเดือนละ 5 ล้านโดส
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เผยได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 1 ล้านโดส จะจัดหาเพิ่มเพื่อรองรับการฉีดจำนวนมาก ส่วนการใช้ในอายุ 3 ปีขึ้นไปต้องรอผลการศึกษาจากจีน เพื่อพิจารณาอนุมัติทะเบียนแบบเพิ่มเงื่อนไข
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เผยได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 1 ล้านโดส จะจัดหาเพิ่มเพื่อรองรับการฉีดจำนวนมาก ส่วนการใช้ในอายุ 3 ปีขึ้นไปต้องรอผลการศึกษาจากจีน เพื่อพิจารณาอนุมัติทะเบียนแบบเพิ่มเงื่อนไข ย้ำจัดสรรวัคซีนตามสูตรของ ศบค. คำนึงทั้งศักยภาพการฉีดความต้องการฉีด และปริมาณวัคซีนให้มีความเหมาะสม
วันนี้ (10 มิถุนายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวว่า วันนี้เมื่อเวลา 05.30 น. ที่เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ องค์การเภสัชกรรมได้รับวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวคจากประเทศจีน จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะตรวจรับรองรุ่นการผลิต และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะตรวจใบรับรองการผลิตจากจีน เมื่อเรียบร้อยจะกระจายจัดส่งตามแผนต่อไป โดยปัจจุบันมีการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคแล้ว 10 ล็อต รวม 7.5 ล้านโดส ส่วนในปลายเดือนมิถุนายนนี้จะรับวัคซีนซิโนแวคเข้ามาเพิ่มอีก 2 ล้านโดส
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนจำนวนมากพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การจัดสรรวัคซีนเป็นไปตามสูตรและแผนที่ ศบค.กำหนด โดยบริหารจัดการวัคซีนให้สอดคล้องกับศักยภาพการฉีดของแต่ละจุด ความต้องการของประชาชน และจำนวนวัคซีนที่มี เพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากที่สุด ซึ่งขณะนี้ฉีดได้วันละประมาณ 4 แสนโดส หากคิดเฉพาะวัคซีนซิโนแวค 1 ล้านโดสที่ได้มาวันนี้ จะใช้เวลาเพียง 3 วันก็ฉีดหมดแล้ว จึงจะมีการเจรจาจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนซิโนแวคในเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ต้องรอผลการศึกษาวิจัยของบริษัทผู้ผลิตที่ประเทศจีน ทั้งปริมาณโดส จำนวนครั้งที่ฉีด และระยะห่างระหว่างเข็ม เนื่องจากร่างกายเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ หากมีการศึกษาวิจัยเรียบร้อย อย.สามารถพิจารณาเรื่องการขึ้นทะเบียน เพื่อเพิ่มเงื่อนไขหรือข้อบ่งชี้ในการใช้ต่อไป หรือหากองค์การอนามัยโลกพิจารณารับรองให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยกำหนดไปจนถึงอายุ 3 ปีก็ช่วยให้แต่ละประเทศขึ้นทะเบียนได้ง่ายขึ้น
“เมื่อมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก จะสามารถพบรายงานอาการที่เกิดขึ้นหลังการฉีดได้ ซึ่งรายที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตจะมีการพิสูจน์ว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่ ส่วนกรณีข้อสังเกตว่าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้วเกิดอาการไข้นั้น ถือเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา จากรายงานการศึกษาของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าพบอาการไข้หลังฉีดได้ 30% เมื่อพักผ่อนและรับประทานยาแล้วสามารถหายได้ใน 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม การมีไข้ไม่ได้แปลว่าร่างกายเกิดปฏิกิริยากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า ย้ำว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และการฉีดวัคซีนขอให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนชนิดใด” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*********************************** 10 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการวินิจฉัยผู้ประกอบการที่ถูกระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ผลการวินิจฉัยผู้ประกอบการที่ถูกระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
กระทรวงการคลังโดย สศค. กำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการเราชนะอย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำผิด
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการเราชนะว่า กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ (คณะทำงานฯ) ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างใกล้ชิด ในกรณีที่พบการกระทำผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับแลกวงเงินสิทธิเป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานของแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้มีความรัดกุมและเหมาะสมมากขึ้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและผู้ประกอบการที่สุจริต ตลอดจนควบคุมและลดโอกาสในการกระทำความผิดของผู้ประกอบการ
กระทรวงการคลังได้ทำการระงับสิทธิชั่วคราวการผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เนื่องจากตรวจพบธุรกรรมที่ผิดปกติจำนวน 2,751 ราย โดยได้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งจัดส่งเอกสารชี้แจงโต้แย้งมาภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งคณะทำงานฯ ได้วินิจฉัยเอกสารชี้แจงโต้แย้งแล้วและได้มีมติให้ยกเลิกการระงับสิทธิชั่วคราวผู้ประกอบการจำนวน 187 ราย โดยผู้ประกอบการจะสามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะโดยการใช้แบนเนอร์ “เราชนะ” ในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ได้อีกครั้ง สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ผ่านการวินิจฉัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะมีเอกสารแจ้งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร
โฆษกกระทรวงการคลังได้ย้ำว่า กระทรวงการคลังจะเข้มงวดในการติดตามตรวจสอบประชาชนและผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของแต่ละโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เสียสิทธิการเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของรัฐในอนาคตและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของ โครงการฯ ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 100,025 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 17.1 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 146,471 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 20,116 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 266,612 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 22.1 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42605 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียันยันจัดสรรงบประมาณเพียงพอในรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมมั่นใจการบริหารจัดการวัคซีนในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นไปตามแผน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรียันยันจัดสรรงบประมาณเพียงพอในรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมมั่นใจการบริหารจัดการวัคซีนในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นไปตามแผน
นายกรัฐมนตรียันยันจัดสรรงบประมาณเพียงพอในรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมมั่นใจการบริหารจัดการวัคซีนในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นไปตามแผน
วันนี้ (31 พ.ค. 64) เวลา 11.50 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้ความมั่นใจมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั้งจากงบประมาณประจำและงบประมาณพ.ร.บ. เงินกู้ต่างๆ ยืนยันไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนและรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ด้วยความโปร่งใส สำหรับการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในเดือนมิถุนายน ยังคงเป็นตามแผนทั้ง
นายกรัฐมนตรียืนยันถึงการบริหารจัดการวัคซีนว่า รัฐบาลมีคณะกรรมการดำเนินอย่างต่อเนื่องทั้งการจัดหา การนำเข้าแบบรัฐ-รัฐ รวมทั้งวัคซีนทางเลือก โดยมีทั้งแผนหลัก แผนรองและแผนฉุกเฉินในบริหารจัดการวัคซีน ขณะที่โลกยังคงมีความต้องการวัคซีนที่มากขึ้นในหลายประเทศซึ่งต้องมีการบริหารจัดการวัคซีนของบริษัทผู้ผลิตด้วย ขณะเดียวกันไทยก็จะได้รับการถ่ายทอดการผลิตวัคซีนจากหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วย ซึ่งคาดว่าในช่วงเวลาที่กำหนดไปแล้วจะไม่ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนทั้งวัคซีนที่จัดหาโดยรัฐและวัคซีนทางเลือกที่ดำเนินการได้แล้วในขณะนี้ อย่างไรก็ตามการนำเข้ายังต้องผ่านช่องทางรัฐ-รัฐ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีปฏิเสธข้อกล่าวหางบประมาณกระทรวงสกลามโหมมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข โดยชี้แจงว่างบประมาณด้านสาธารณสุข ประกอบด้วยงบประมาณของกระทรวงสาธารสุข ยังมีกองทุนภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขอีก 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มีจำนวน 141,741 ล้านบาท และงบประมาณ 153,940.47 รวมงบประมาณด้านสาธารณสุขทั้งสิ้น 295,681 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ลดลงเพียงแค่ 5,930 ล้านบาทร้อยละ 1.7 งบประมาณขณะที่ 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมกว่า 10,000 ล้านบาท แต่ยังคงมีงบประมาณผูกพันที่ต้องดำเนินการต่อในปีงบประมาณ 2565
นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนทั้งการกระจายวัคซีนและการให้บริการฉีดวัคซีน ด้วยความโปร่งใส ทั่วถึงและเป็นธรรม ยืนยันในเดือนมิถุนายน จะมีวัคซีนเข้ามาอย่างเพียงพอทั้งวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาและวัคซีนทางเลือก ซึ่งการนำเข้ายังต้องติดต่อผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยต้องบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้แทนบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่ถูกต้อง เพื่อรับรองมาตรฐานก่อนนำเข้า ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลได้การบริหารงบประมาณด้วยการพิจารณาอย่างเข้มงวด รัดกุม พร้อมรับฟังทุกข้อมูล “วันนี้ไม่มีการทุจริตในรัฐบาลผม” นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42248 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 71 เขตการเดินรถที่ 2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่ง รมว.เฮ้ง บูรณาการจังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี ลุยตรวจโควิดเชิงรุก ป้องกันการแพร่ระบาดในสถานประกอบการและแคมป์คนงาน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกฯ สั่ง รมว.เฮ้ง บูรณาการจังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี ลุยตรวจโควิดเชิงรุก ป้องกันการแพร่ระบาดในสถานประกอบการและแคมป์คนงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน ขานรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการและแคมป์คนงานจังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี ค
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแคมป์คนงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการและแคมป์คนงานในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จังหวัดปทุมธานี เริ่มตรวจโควิด – 19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ (31 พ.ค.64) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ไทสัน ลูกจ้างจำนวน 1,948 คน บริษัทโชคชัย เอ็นจิเนียริ่ง ลูกจ้างจำนวน 825 คน และ บริษัทเคลแมกซ์ แมซินเนอรี่ ลูกจ้างจำนวน 136 คน โดยมีโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม เป็นผู้ดำเนินการตรวจ
ทางด้านจังหวัดนนทบุรี มีแผนดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการะยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. – 30 มิ.ย.64 เป้าหมายสถานประกอบการจำนวน 160 แห่ง ลูกจ้าง 11,140 คน และตรวจโควิด-19 เชิงรุกในแคมป์คนงาน อีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ชิโนทัย ลูกจ้างจำนวน 759 คน และบริษัท นวรัตน์ พัฒนาการ ลูกจ้างจำนวน 454 คน โดยมีโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นเนล โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม เป็นผู้ดำเนินการตรวจกรณีตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การตรวจโควิด-19 เชิงรุกดังกล่าวจะเป็นการชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานในสถานประกอบการอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เผยผลิตภาพการผลิตรวมของไทยยังแกร่งแนะเร่งเพิ่มผลิตภาพการผลิตขับเคลื่อน 5 กลไกสำคัญรองรับการแข่งขันยุคดิจิทัล | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ก.อุตฯ เผยผลิตภาพการผลิตรวมของไทยยังแกร่งแนะเร่งเพิ่มผลิตภาพการผลิตขับเคลื่อน 5 กลไกสำคัญรองรับการแข่งขันยุคดิจิทัล
สศอ. เผยผลการศึกษาผลิตภาพการผลิตรวม (Total Factor Productivity: TFP) ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง พบมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.45 ต่อปี สะท้อนภาพความแข็งแกร่งภาคอุตสาหกรรมยังไปได้ดี แนะต้องเพิ่มประสิทธิภาพหรือคุณภาพอย่างต่อเนื่องผ่าน 5 กลไกสำคัญ
กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เผยผลการศึกษาผลิตภาพ การผลิตรวม(Total Factor Productivity: TFP)ในช่วง3ปีย้อนหลังพบมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ1.45ต่อปีสะท้อนภาพความแข็งแกร่งภาคอุตสาหกรรมยังไปได้ดีแนะต้องเพิ่มประสิทธิภาพหรือคุณภาพอย่างต่อเนื่องผ่าน5กลไกสำคัญได้แก่ทักษะแรงงานเครื่องจักรอัตโนมัติ/กึ่งอัตโนมัติการบริหารจัดการทั้งด้านต้นทุนและการเงินการยกระดับการผลิตไปสู่รูปแบบการผลิตแบบODMและOBMรวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีและวิจัยพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนและรักษาความสามารถในการผลิตให้สามารถแข่งขันได้
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าประเทศไทยกำหนดให้การเพิ่มผลิตภาพของประเทศเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี(พ.ศ. 2561- 2580) ทั้งนี้สศอ.ได้ทำการศึกษาผลิตภาพการผลิตรวม(Total Factor Productivity: TFP)ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเป็นประจำทุกปีจากแบบแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการร.ง.9เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการผลิตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอุตสาหกรรมโดยผลการศึกษาพบว่าในช่วง3ปีที่ผ่านมา(ปี2560 -2563)ประสิทธิภาพการผลิตรวม(Total Factor Productivity: TFP)เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ1.45ต่อปีซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของภาคอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ0.93ต่อปีสะท้อนให้เห็นว่าผลิตภาพการผลิตที่มีการเติบโตที่สูงกว่านั้นมีความแข็งแกร่งและเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะปัจจัยเชิงคุณภาพที่เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญของภาคการผลิตให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะต้องเผชิญกับสภาวะความผันผวนรุนแรงทางเศรษฐกิจและสังคมการแข่งขันที่สูงมากขึ้นทั้งในเรื่องการส่งออกและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีรวมทั้งข้อจำกัดด้านแรงงาน
นายสุริยะกล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้สามารถก้าวผ่านสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นภาวะเศรษฐกิจโลกโรคระบาดหรือสงครามระหว่างประเทศในรูปแบบต่างๆประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนรักษาความสามารถในการผลิตให้สามารถแข่งขันได้โดยมี5กลไกสำคัญคือ1.การพัฒนาทักษะแรงงาน2.การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ/กึ่งอัตโนมัติ3.การบริหารจัดการด้านต้นทุนและการเงิน4.การยกระดับการผลิตไปสู่รูปแบบการผลิตแบบรับจ้างออกแบบพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์(ODM)และการออกแบบพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของผู้ประกอบการ(OBM)ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้นและ5.การลงทุนด้านเทคโนโลยีและวิจัยพัฒนาในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตการจัดการและการสร้างนวัตกรรมในสินค้ามีการจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่างๆที่จะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้นั้นถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงมากให้กับสินค้าและเศรษฐกิจของประเทศ
นายทองชัยชวลิตพิเชฐผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กล่าวว่าที่ผ่านมาสศอ.ให้ความสำคัญและติดตามผลิตภาพการผลิต(Productivity)อย่างต่อเนื่องโดยการเผยแพร่สร้างการรับรู้ให้กับผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดการตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอผ่านการดำเนินงานในโครงการสำคัญต่างๆที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงานสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและกระบวนการผลิตการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมระบบการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลิตภาพในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยโดยปี2563ได้ดำเนินงานอาทิเช่นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับสถานประกอบการแปรรูปอาหารด้านIoT Solution Systemโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรมสาขาอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมกระบวนการผลิตอัจฉริยะสาขาอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเพื่อรองรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและโครงการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมสู่ความเป็นโรงงานอัจฉริยะเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตตามแนวทางอุตสาหกรรม4.0เป็นต้น
นายทองชัยกล่าวเพิ่มเติมว่าการพัฒนาและยกระดับผลิตภาพต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างจริงจังอย่างไรก็ดีประเทศไทยยังมีจุดแข็งในหลายเรื่องเช่นความพร้อมด้านการเกษตรและความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานในหลายๆอุตสาหกรรมซึ่งต้องช่วยกันรักษาจุดแข็งเหล่านี้ท่ามกลางความท้าทายในระยะยาวที่กำลังเกิดขึ้นโดยการช่วยกันพัฒนา5กลไกสำคัญที่ได้กล่าวข้างต้นซึ่งไม่เพียงจะช่วยเพิ่มผลิตภาพของธุรกิจแต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสโดยยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42233 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
คำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร
คำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร
คำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร
---------------------------------
คณะรัฐมนตรีขอเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีหลักการและเหตุผล ดังนี้
หลักการ
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,100,000,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยรับงบประมาณ เป็นจำนวน 3,074,424,773,300 บาท เพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน 596,666,700 บาท และเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย เป็นจำนวน 24,978,560,000 บาท
เหตุผล
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันนโยบายและมาตรการด้านต่าง ๆ เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564-2565 แผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และนโยบายของรัฐบาล สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยรัฐบาลได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจภายในประเทศและผลกระทบจากภายนอก รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ภาวะเศรษฐกิจทั่วไป
เศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ2.5 – 3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกตามความคืบหน้าของการอนุมัติและการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก และผลจากการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งด้านการเงินและการคลังที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการกลับมาขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนรวม รวมทั้งการปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่มีความรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จนนำไปสู่การดำเนินมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น แนวโน้มความล่าช้าในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เงื่อนไขด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจท่ามกลางตลาดแรงงานและกิจกรรมทางธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้ง และความผันผวนของเศรษฐกิจและระบบการเงินโลก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 2.0
เศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4.0 – 5.0 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภาคต่างประเทศตามแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศภายหลังการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขของการกระจายวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของหลายประเทศที่เป็นต้นทางของนักท่องเที่ยวนับตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2564 สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2565 ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7
นโยบายการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้ง
ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รัฐบาลประมาณการว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 2,511,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.26 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 111,000 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,400,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณมีวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจตามนโยบายของรัฐบาลและหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมเพียงพอ จึงกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิจำนวน 2,400,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 700,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,100,000 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ฐานะการคลัง
สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีจำนวน 8,472,187.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 โดยหนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินโดยตรงและการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล มีจำนวนทั้งสิ้น 8,068,913.7 ล้านบาท
ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 372,784.3 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ฐานะและนโยบายการเงิน
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมามีการผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานเป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำ ระบบการเงินโดยรวม
มีเสถียรภาพ แต่ภาคธุรกิจและครัวเรือนมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดระลอกแรกและได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่ ทำให้รายได้และความสามารถในการชำระหนี้ลดลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2564 ที่ร้อยละ 0.5 เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมมีความผ่อนคลาย สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงการช่วยดูแลภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้และเอื้อให้ต้นทุนทางการเงินของการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ในระดับต่ำ
สำหรับฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 30 เมษายน 2564 มีจำนวน 250,433.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณ 3.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
นโยบายการจัดทำงบประมาณ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายให้ประเทศได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจได้รับการฟื้นฟูจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากในประเทศ พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อเป็นกำลังในการขับเคลื่อนประเทศ ปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานและยกระดับขีดความสามารถประเทศเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและกระจายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายให้หน่วยรับงบประมาณต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งได้คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ความเป็นธรรมทางสังคม เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด มีความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐ โดยกำหนดแนวทางการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่สำคัญ ดังนี้
1. ดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19 พ.ศ. 2564-2565 แผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) นโยบายของรัฐบาล เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แผนปฏิบัติราชการของกระทรวง การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio – Circular – Green Economy Model) ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ การมีส่วนร่วมของประชาชนและอยู่บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่จำเป็นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางสังคม และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งให้มีการกระจายงบประมาณอย่างเป็นธรรม มีความคุ้มค่า
ไม่ซ้ำซ้อน และเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชน
2. ให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มศักยภาพการถ่ายโอนภารกิจการจัดบริการสาธารณะ ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และประสิทธิผลการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
3. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน โดยให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณหรือเงินสะสมคงเหลือมาใช้ดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก ควบคู่กับการพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลดหรือยกเลิกการดำเนินโครงการที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น รวมทั้ง ให้ความสำคัญกับการนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณมาประกอบการพิจารณาให้สอดคล้องกับศักยภาพการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
4. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
5. ระมัดระวังให้มีการตรวจสอบคัดกรองในการจัดทำแผนงานโครงการให้เป็นไปด้วยความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม ทุกขั้นตอน
สาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,100,000 ล้านบาท
เป็นการดำเนินนโยบายแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ จำนวน 2,400,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 700,000 ล้านบาท วงเงินงบประมาณดังกล่าวจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,360,543.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 76.1 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 596.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.02 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย จำนวน 24,978.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 รายจ่ายลงทุน จำนวน 624,399.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.1 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,518.2 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ประมาณการการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีจำนวน 3,100,000 ล้านบาทลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 185,962.5 ล้านบาท ประกอบกับรัฐบาลมีภาระค่าใช้จ่ายซึ่งมีลักษณะรายจ่ายประจำที่จำเป็นต้องใช้จ่าย อาทิ ภาระค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ ตามกฎหมาย ข้อผูกพัน การจัดสวัสดิการทางสังคมและบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานเพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ค่าใช้จ่ายเพื่อการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละระดับ รายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย จึงได้กำหนดรายจ่ายลงทุนไว้จำนวน 624,399.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.14 ซึ่งเป็นวงเงินที่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับรายจ่ายลงทุนที่ต้องดำเนินการ รัฐบาลได้มีมาตรการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลงบประมาณ โดยการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ได้แก่ การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) โดยเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนที่จะดำเนินการในปี 2565 เร่งรัดการลงทุนของหน่วยงานตามแผนการใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) รวมทั้งการลงทุนโดยใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิต และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการภายใต้ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อรักษาระดับการจ้างงานของผู้ประกอบการและกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศ โดยมีสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดังนี้
1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำแนก
ตามกลุ่มงบประมาณรายจ่าย
งบประมาณรายจ่ายที่กำหนดในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำแนกได้ดังนี้
1.1 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รัฐบาลได้กำหนดไว้ จำนวน 571,047.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.4 ของวงเงินงบประมาณ
1.2 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ รัฐบาลได้กำหนดไว้ จำนวน 1,032,010.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 33.3 ของวงเงินงบประมาณ
1.3 งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ รัฐบาลได้กำหนดไว้ จำนวน 208,177.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 ของวงเงินงบประมาณ จำนวน 11 เรื่อง ได้แก่
1. ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
3. ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
4. เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
5. บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
6. ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
7. พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
8. พัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก
9. พัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
10. รัฐบาลดิจิทัล
11. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
1.4 งบประมาณรายจ่ายบุคลากร รัฐบาลได้กำหนดไว้ จำนวน 770,160.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.8 ของวงเงินงบประมาณ
1.5 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน รัฐบาล
ได้กำหนดไว้ จำนวน 195,397.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.3
ของวงเงินงบประมาณ
1.6 งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ รัฐบาล
ได้กำหนดไว้ จำนวน 297,631.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.6
ของวงเงินงบประมาณ
1.7 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รัฐบาล
ได้กำหนดไว้ จำนวน 596.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.02 ของวงเงินงบประมาณ
1.8 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย รัฐบาลได้กำหนดไว้ จำนวน 24,978.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8
ของวงเงินงบประมาณ
2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดไว้ จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ โดยได้นำยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมากำหนดเป็นกรอบโครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายละเอียดการดำเนินงานที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 387,909.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.5 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้การบริหารงานด้านความมั่นคงมีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ประชาชนมีความสุข ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มีความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคง รวมทั้งเพื่อให้ประเทศไทยมีบทบาทด้านความมั่นคงเป็นที่ชื่นชมและได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ จำแนกตามแผนงานได้ ดังนี้
1) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ งบประมาณทั้งสิ้น 5,938.0 ล้านบาท เพื่อให้คนในชาติมีจิตสำนึกรักและหวงแหน พร้อมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ โดยการพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมพิเศษหลวง
2) การรักษาความสงบภายในประเทศ งบประมาณทั้งสิ้น 21,674.2 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ปลูกฝังจิตสำนึกรักสามัคคีและส่งเสริมความปรองดองของคนในชาติ สนับสนุนภารกิจของกองอาสารักษาดินแดน กองกำลังประจำถิ่น เสริมสร้างศักยภาพการรักษาความมั่นคงภายในแบบพลเรือน ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐผ่านกลไกหมู่บ้าน เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความยุติธรรมและบริการประชาชน รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกิจกรรมงานรักษาความสงบภายในประเทศ
3) การพัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข งบประมาณทั้งสิ้น 216.7 ล้านบาท เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพและธรรมาภิบาลโดยส่งเสริมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ สร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีตามวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้กับประชาชน
4) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณทั้งสิ้น 7,144.3 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงปลอดภัย พร้อมพัฒนาสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน มีเป้าหมายจำนวนเหตุรุนแรงในพื้นที่ลดลงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนงานของภาครัฐในลักษณะบูรณาการ
ที่มีเอกภาพร่วมกับทุกภาคส่วน อาทิ สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนทั้งในและนอกจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำนวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ยับยั้งการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีการพัฒนาศักยภาพ ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร ไม่น้อยกว่า 12,000 ราย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 202 แห่ง พัฒนาทักษะอาชีพและฝีมือแรงงานไม่น้อยกว่า 4,300 คน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนน ระยะทางไม่น้อยกว่า 82 กิโลเมตร เพื่อให้พื้นที่ชุมชนมีความน่าอยู่และปลอดภัย รวมทั้งสนับสนุนการทำกิจกรรมร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ไม่น้อยกว่า 10,150 คน
5) การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ งบประมาณทั้งสิ้น 298.1 ล้านบาท เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ทั้งแรงงานเด็ก แรงงานประมง แรงงานบังคับและกลุ่มเสี่ยงได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือกลับคืนสู่สังคม โดยสร้างความรู้ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายให้สามารถป้องกันและปฏิบัติตัวได้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ไม่น้อยกว่า 590,900 คน มีการตรวจตราและเฝ้าระวังปราบปรามการค้ามนุษย์ในพื้นที่และสถานประกอบการกลุ่มเสี่ยง ตรวจสอบแรงงานต่างด้าว ไม่น้อยกว่า 329,000 คน แรงงานประมงได้รับการคุ้มครอง ไม่น้อยกว่า 40,000 คน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ การปราบปรามและดำเนินคดีการทำความผิดค้ามนุษย์
6) การป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบประมาณทั้งสิ้น 4,281.1 ล้านบาท เพื่อให้เด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนกลุ่มเสี่ยงมีภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพติด และไม่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างน้อยร้อยละ 97 ของประชากรทุกช่วงวัย จัดให้มีกลไกการวางแผนป้องกัน แก้ไขและช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ ปราบปรามจับกุมผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และร่วมมือกับต่างประเทศในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด เพื่อลดระดับความรุนแรงของพื้นที่แพร่ระบาดยาเสพติดลงอย่างน้อยร้อยละ 20 จากเป้าหมายที่ผ่านมา รวมทั้งบำบัด รักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด สร้างการยอมรับและให้โอกาสทางสังคม ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ตลอดจนช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดรักษาอย่างเป็นระบบผ่านมาตรการทางเลือก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และการติดตามตามมาตรฐาน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 58
7) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง งบประมาณทั้งสิ้น 14,174.6 ล้านบาท เพื่อให้ปัญหาความมั่นคงได้รับการแก้ไขจนไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารและการพัฒนาประเทศ โดยพัฒนาแผนการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางไซเบอร์ การก่อการร้าย และป้องกันภัยคุกคามข้ามชาติและความมั่นคงทางทะเล พัฒนาศักยภาพในการรับมือภัยคุกคามและเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี เสริมสร้างความพร้อมด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ จัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือระบบสารสนเทศสำหรับการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมผู้กระทำผิด เพื่อลดความเสียหายจากคดีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของชาติและพื้นที่ชายแดน ด้วยการตรวจติดตามและเฝ้าระวังการทำประมงให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่น้อยกว่า 172,000 ครั้ง และการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อป้องกันการสูญเสียดินแดนของประเทศ ไม่น้อยกว่า 39,000 เมตร
8) การพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ งบประมาณทั้งสิ้น 62,974.3 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคง มีความพร้อมที่จะเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบ มีระบบและแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติที่ทันสมัยและปฏิบัติได้จริง โดยการเพิ่มขีดความสามารถงานข่าวกรอง สร้างเครือข่ายภาคประชาชนและภาคเอกชนให้มีความรู้ความเข้าใจด้านการข่าวและการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพด้านการพัฒนาประเทศและการช่วยเหลือประชาชน ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อการป้องกันประเทศ
9) การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ งบประมาณทั้งสิ้น 18,452.6 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นในขีดความสามารถการปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติฉุกเฉิน การกู้ภัยและช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งลดความสูญเสียและสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยการเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงาน จัดหาครุภัณฑ์ให้มีความพร้อมในการป้องกันและฟื้นฟูสาธารณภัย เพิ่มประสิทธิภาพการเตือนภัยพิบัติ บุคลากรได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้ ทักษะและสมรรถนะในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สร้างความรู้ ความตระหนักแก่ประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสาธารณภัยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงป้องกันการกัดเซาะการพังทลายของตลิ่งริมแม่น้ำภายในประเทศ ไม่น้อยกว่า 131,600 เมตร
10) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบ
องค์รวม งบประมาณทั้งสิ้น 260.4 ล้านบาท เพื่อให้กลไกการบริหารจัดการความมั่นคงมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยส่งเสริมการบูรณาการและเสริมสร้างความพร้อมและยกระดับกลไกด้านความมั่นคงระหว่างหน่วยงาน
11) การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ งบประมาณทั้งสิ้น 4,289.3 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงสามารถรับมือกับความท้าทายจากภายนอกได้ทุกรูปแบบ และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการบริการในภูมิภาคเอเชีย โดยการพัฒนาความเป็นมาตรฐานสากลและส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางทหารกับมิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และบทบาทของประเทศไทยในประชาคมโลก ขับเคลื่อนการดำเนินงานการต่างประเทศอย่างมีเอกภาพและตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือความเป็นหุ้นส่วนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ
12) การสนับสนุนด้านความมั่นคง งบประมาณทั้งสิ้น 332.1 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเป้าหมายยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง โดยการเพิ่มขีดความสามารถระบบบริหารจัดการ สนับสนุนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของประเทศ สนับสนุนงานขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
13) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง งบประมาณทั้งสิ้น 53,190.6 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินภารกิจด้านความมั่นคงมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า โดยการสร้างความพร้อมด้านการป้องกันประเทศ การดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือในการดำเนินงานด้านความมั่นคงระหว่างประเทศไทยกับมิตรประเทศ และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง งบประมาณทั้งสิ้น 194,683.3 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 338,547.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.9 ของวงเงินงบประมาณเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับผลิตภาพการผลิต การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างมูลค่าด้านการเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต การพัฒนาผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งพัฒนาความมั่นคงของพลังงาน และพัฒนาเมืองน่าอยู่อัจฉริยะรองรับสังคมดิจิทัล โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ จำแนกตามแผนงานได้ ดังนี้
1) การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์งบประมาณทั้งสิ้น 110,415.1 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย เช่น ก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน ระยะทางประมาณ 1,981 กิโลเมตร ก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง พัฒนาทางโครงข่ายทางหลวงชนบท ระยะทางประมาณ 1,096 กิโลเมตร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการขนส่งทางราง ระยะทางประมาณ 1,512 กิโลเมตร พัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเล เพิ่มประสิทธิภาพทางเดินเรือในแม่น้ำต่าง ๆ เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าประมาณ 126 ล้านตัน เพิ่มขีดความสามารถและปรับปรุงขยายท่าอากาศยานในภูมิภาค 23 แห่ง ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบินระหว่างประเทศ รวมทั้งการกำกับดูแลและพัฒนามาตรฐานด้านการขนส่งทุกรูปแบบให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พัฒนาและส่งเสริมการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะควบคู่กับการกำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการให้มีคุณภาพระดับสากล พัฒนาระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งเสริมการขนส่งทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ และส่งเสริม
การอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วยระบบการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ
2) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก งบประมาณทั้งสิ้น 12,275.4 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและ
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตลอดจนเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะประตูของภูมิภาคเอเชีย โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งในทุกมิติ ได้แก่ พัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางถนน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ยกระดับศักยภาพท่าเรือน้ำลึกและท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ ผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ โดยผ่านความร่วมมือและการสนับสนุนจากผู้ประกอบการ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 15,000 คน
3) การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ งบประมาณทั้งสิ้น 682.6 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม โดยพัฒนาพื้นที่ให้มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม สังคม สิ่งแวดล้อม และการศึกษาเพิ่มประสิทธิภาพของด่านศุลกากร ปรับปรุงและจัดทำข้อเสนอกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ ประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยและนานาชาติมาลงทุนในพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว ตราด สงขลา หนองคาย เชียงราย นครพนม กาญจนบุรี และนราธิวาส พัฒนาด่านศุลกากร เพิ่มประสิทธิภาพการบริการคนเข้าเมือง สนับสนุนการพัฒนาสาธารณสุขชายแดน ป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมโรคติดต่อเพิ่มทักษะกำลังแรงงานในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดน
ให้มีความพร้อมสำหรับรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
4) การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว งบประมาณทั้งสิ้น 4,653.8 ล้านบาท เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและมีอัตราการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมและบริการภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศควบคู่ไปกับการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ส่งเสริมให้มีการปรับรูปแบบและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การท่องเที่ยว สร้างความหลากหลายให้การท่องเที่ยว และเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการทางสุขภาพ พัฒนาภาคการท่องเที่ยวทั้งระบบโดยมุ่งเน้นที่เชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมโยงต่อเนื่องไปยังภูมิภาค พัฒนาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว พัฒนาบุคลากรและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในทุกระดับ ลดความเหลื่อมล้ำโดยกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
5) การพัฒนาผู้ประกอบการ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล งบประมาณทั้งสิ้น 1,927.7 ล้านบาท เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชนมีความรู้และทักษะสามารถปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการประกอบธุรกิจ สนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินทุนและการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและองค์ความรู้ในการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมให้มีการขยายธุรกิจสู่สากลและปรับรูปแบบการประกอบการให้สอดคล้องตามความต้องการของตลาด โดยมีเป้าหมายให้ SME ไทยไม่น้อยกว่า 300,000 ราย สามารถเติบโต เข้มแข็ง และแข่งขันได้ในระดับสากล และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี
6) การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต งบประมาณทั้งสิ้น 873.1 ล้านบาท เพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในสาขาอุตสาหกรรมและบริการร้อยละ 3.8 และเพิ่มอัตราการขยายตัวของผลิตภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและบริการ ร้อยละ 1 ครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ อุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและบุคลากรโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เน้นการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก รวมทั้งการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โดยพัฒนาการจัดการฐานข้อมูลอุตสาหกรรม และการคาดการณ์เทคโนโลยีในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
7) การเกษตรสร้างมูลค่า งบประมาณทั้งสิ้น 46,616.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตรสูงขึ้น โดยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรตามศักยภาพและความโดดเด่นเฉพาะ และสามารถแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีพัฒนาฐานทรัพยากรทางการเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานความปลอดภัยด้วยการตรวจประเมินแหล่งผลิต ไม่น้อยกว่า 214,350 แห่ง ส่งเสริมพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนผ่านเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรทางเลือก เกษตรผสมผสาน ไม่น้อยกว่า 217,700 ไร่ และเกษตรกร ไม่น้อยกว่า 107,500 ราย การใช้สารอินทรีย์ชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมี 600,000 ไร่ สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่และส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร ฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงานเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูปเกษตรด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม 2,600 คน ส่งเสริมความเข้มแข็งเกษตรกรผ่านโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร โดยมีเกษตรกรได้รับประโยชน์ 5.3 ล้านราย และนโยบายการเพิ่มรายได้เกษตรกร โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตการเกษตร รวมทั้งส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน
8) การพัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ งบประมาณทั้งสิ้น 6,826.4 ล้านบาท เพื่อพัฒนาให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น โดยการกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาค และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและพลังงานด้วยระบบเทคโนโลยีเพื่อยกระดับความน่าอยู่ของเมือง โดยใช้แผนผังภูมินิเวศเพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ รวมทั้งผังพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งโบราณคดี วัฒนธรรม ประเพณีและอัตลักษณ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดทำฐานข้อมูลด้านการพัฒนาเมือง รวมถึงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย โดยสนับสนุนด้านการวางผังเมือง 137 ผัง และจัดรูปที่ดิน 1,127 ไร่
9) การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน งบประมาณทั้งสิ้น 1,142.3 ล้านบาท เพื่อให้มีความมั่นคงทางพลังงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศเพิ่มขึ้น โดยการส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก จัดหาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีความมั่นคงและรักษาอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศไม่น้อยกว่า 150,000 บาร์เรลต่อวัน พัฒนาระบบบริหารจัดการแหล่งผลิตปิโตรเลียมภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต สนับสนุนการกำกับดูแลกลไกตลาดพลังงานให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม พัฒนาระบบข้อมูลพลังงานของประเทศให้มีความสมบูรณ์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ รวมทั้งส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจูงใจให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
10) การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล งบประมาณทั้งสิ้น 1,723.7 ล้านบาท เพื่อเพิ่มมูลค่าของธุรกิจดิจิทัลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง ยกระดับศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลชุมชนสังคมออนไลน์ที่ถูกต้องผ่านการสนับสนุนศูนย์ดิจิทัลชุมชน 500 ศูนย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม ส่งเสริมการลงทุนและใช้ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลร่วมกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในส่วนของภาคพื้นดิน เคเบิ้ลใต้น้ำ และระบบดาวเทียม สำหรับการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีเพียงพอ และมีระบบโครงข่ายสำรอง (redundancy) ให้สามารถสื่อสารระหว่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติสำหรับผู้ให้บริการในการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับบริการ ตลอดจนจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล ส่งเสริมการให้ความรู้เพิ่มทักษะและใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) พัฒนาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) พร้อมยกระดับเมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย
11) การพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม งบประมาณทั้งสิ้น 445.6 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมที่อยู่บนเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พัฒนามาตรฐานระบบคุณภาพและการวิเคราะห์ทดสอบที่เป็นที่ยอมรับตามข้อตกลงระหว่างประเทศและสอดรับกับอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอนาคต ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการผลิตและการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12) การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม งบประมาณทั้งสิ้น 14,237.1 ล้านบาท เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และขับเคลื่อนระบบการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ สร้างองค์ความรู้ และสนับสนุนการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการวิจัยพัฒนานวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทและสร้างเครือข่ายร่วมกับภาคการศึกษาทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ให้ความสำคัญกับการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนสังคมไทยรองรับวัฒนธรรมโลกที่รวดเร็วขึ้นในยุคดิจิทัล การเข้าสู่สังคมสูงวัย การพัฒนาแรงงานทักษะขั้นสูงและเฉพาะทาง ตลอดจนอนุรักษ์และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากร การจัดการมลพิษที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการจัดการก๊าซเรือนกระจก และการวิจัยที่สร้างองค์ความรู้พื้นฐาน รวมทั้งการพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์และแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นรูปธรรม
13) การสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน งบประมาณทั้งสิ้น 21,369.4 ล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยยกระดับศักยภาพของประเทศในหลายมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี และทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และดิจิทัล การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการและลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน พัฒนาช่องทางการตลาดและขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย สนับสนุนและยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคการผลิต บริการ การค้าและการลงทุน ส่งเสริมการผลิตและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้ง สร้างความร่วมมือระหว่างบุคลากรวิจัย สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศในการลงทุนและพัฒนาด้านวิจัยและนวัตกรรม
14) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน งบประมาณทั้งสิ้น 73,441.4 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพภาคการเกษตรและจัดการทรัพยากรที่ดินและน้ำ ส่งเสริมการค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ดูแลมาตรฐานสินค้า ราคาสินค้าและบริการ ทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ส่งเสริมการดำเนินงานด้านการตลาดและการท่องเที่ยว บำรุงรักษาระบบคมนาคมขนส่ง สิ่งอำนวยความสะดวกในเขตเมืองและภูมิภาค เพิ่มคุณภาพการให้บริการสาธารณะ การเดินทางการขนส่ง และการจราจรให้มีความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน งบประมาณทั้งสิ้น 41,917.7 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 548,185.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนไทยในทุกช่วงวัย ให้มีคุณภาพ และมีสุขภาวะที่ดี พัฒนาคุณภาพการศึกษาและรูปแบบการเรียนรู้ให้ตอบสนองต่อนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มุ่งเน้นให้คนไทยเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและทั่วถึง พร้อมรองรับต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ มีการพัฒนาศักยภาพทางการกีฬา และยกระดับศักยภาพของแรงงาน เพื่อวางรากฐานระบบเศรษฐกิจในอนาคต จำแนกตามแผนงานได้ ดังนี้
1) การเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี งบประมาณทั้งสิ้น 52,065.7 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดี สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและทั่วถึง พร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ส่งเสริมระบบบริหารจัดการด้านสุขภาพ การแพทย์แผนไทย การแพทย์ผสมผสาน การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สนับสนุนกลไกการปฏิบัติหน้าที่ของ อสม. หมอประจำบ้าน ไม่น้อยกว่า 1,039,700 คน โดยส่งเสริมความรู้และเพิ่มพูนทักษะการดูแลสุขภาพคนในชุมชน เพื่อให้ประชาชนและชุมชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน ส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรไทย กัญชา กัญชง เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ และให้ประชาชนเข้าถึงการใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเร่งรัดการผลิตแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข ไม่น้อยกว่า 34,000 คน และกระจายแพทย์ไปสู่ชนบทให้เพียงพอ ไม่น้อยกว่า 7,280 คน พัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบการส่งต่อ พร้อมทั้งสนับสนุนการเป็นเมืองศูนย์กลางบริการสุขภาพในอาเซียน
2) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต งบประมาณทั้งสิ้น 6,143.6 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา คุณธรรม และจริยธรรม โดยมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนได้มีพัฒนาการและทักษะที่เหมาะสมตามช่วงวัย ด้วยการสนับสนุนอาหารเสริม (นม) ไม่น้อยกว่า 1,444,000 คน อาหารกลางวัน ไม่น้อยกว่า 460,500 คน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต ประชากรวัยแรงงานได้รับการฝึกฝีมือแรงงาน ไม่น้อยกว่า 54,800 คน รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ไม่น้อยกว่า 11,800 คน และส่งเสริมและพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการทำงาน เพื่อให้เป็นผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ สามารถประกอบอาชีพและพึ่งพาตนเองได้
3) การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ งบประมาณทั้งสิ้น 13,252.3 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยมีการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และส่งเสริมการศึกษาตามความถนัดและความสามารถของพหุปัญญา โดยพัฒนารูปแบบการศึกษาและการเรียนรู้ให้ตอบสนองต่อนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 สามารถแก้ปัญหาและทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผล ขยายโอกาสการศึกษาวิชาชีพและพัฒนาทักษะวิชาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่น้อยกว่า 10,000 คน ส่งเสริมสถานศึกษาอาชีวศึกษาให้พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา 125 แห่ง เชื่อมโยงการศึกษากับภาคธุรกิจโดยพัฒนาครูผู้สอนระบบทวิภาคี 800 คน ปรับปรุงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และภาษาต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 102,900 คน และส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) ในโรงเรียน ไม่น้อยกว่า 29,800 โรงเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่น้อยกว่า 16,200 คน สร้างความรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สื่อออนไลน์ โครงข่ายสังคมออนไลน์อย่างถูกต้อง ไม่น้อยกว่า 91,760 คน พัฒนาโรงเรียนคุณภาพทุกตำบล ไม่น้อยกว่า 8,200 โรงเรียน ตลอดจนพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยสนับสนุนทุนการศึกษา 408 คน
4) การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬา งบประมาณทั้งสิ้น 1,784.1 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง มีวินัย มีน้ำใจนักกีฬา และตระหนักถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา โดยส่งเสริมการออกกำลังกาย การเล่นกีฬาและกิจกรรมนันทนาการของประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย ไม่น้อยกว่า 26 ล้านคน พัฒนาบุคลากรด้านพลศึกษา กีฬา นันทนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬา ให้มีความสามารถและทักษะความเป็นเลิศด้านกีฬา สนับสนุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์ สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการออกกำลังกาย การกีฬาและนันทนาการ ส่งเสริมการพัฒนานักกีฬาของชาติตั้งแต่ระดับเยาวชนที่มีความถนัด และมีทักษะด้านการกีฬาสู่ความเป็นเลิศและกีฬาเพื่อการอาชีพ ไม่น้อยกว่า 28,300 คน
5) การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม งบประมาณทั้งสิ้น 1,793.2 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกที่ดี มีความรักและความภูมิใจในความเป็นไทย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่น้อยกว่า 7.6 ล้านคน และอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรม ไม่น้อยกว่า 590,000 รายการ พัฒนาสืบสานมรดกทางศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อให้สังคมไทยมีความสุข และนำไปสู่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทยสู่สากลให้เป็นที่ยกย่องและยอมรับของนานาชาติ
6) การสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ งบประมาณทั้งสิ้น 4,795.9 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย และส่งเสริมผู้เรียนทุกกลุ่มให้ได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะ มีความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ที่มีศักยภาพและสมรรถนะ ไม่น้อยกว่า 9,100 คน มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาคุณภาพการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้ง ให้ประชาชนทุกกลุ่มมีโอกาสได้เรียนรู้และฝึกอาชีพจากโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ไม่น้อยกว่า 325,000 คน เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
7) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน งบประมาณทั้งสิ้น 60,067.9 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยมุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนานักเรียนให้มี
ความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา และมีพัฒนาการที่ดีรอบด้านให้กับนักเรียนในระดับก่อนประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 843,100 คน ในระดับประถมศึกษาไม่น้อยกว่า 3,019,000 คน มัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 1,633,200 คน และในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกว่า 1,003,200 คน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น้อยกว่า 1,300 โรงเรียน สนับสนุนการคืนครูให้นักเรียน สนับสนุนเด็กผู้มีความสามารถพิเศษได้รับการพัฒนาศักยภาพ ไม่น้อยกว่า 21,700 คน รวมทั้งขยายโอกาสทางการศึกษาสายอาชีพให้ทั่วถึงในระดับ ปวช. ไม่น้อยกว่า 500,200 คน ระดับ ปวส. ไม่น้อยกว่า 248,800 คน และระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยี ไม่น้อยกว่า 13,900 คน รวมทั้งฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพ ไม่น้อยกว่า 984,500 คน และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ งบประมาณทั้งสิ้น 408,283.0 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 733,749.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายศูนย์กลางความเจริญให้ทั่วถึง เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการตนเอง เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการสร้างพลังในชุมชนให้เกิดเป็นพลังทางสังคม พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิต ส่งเสริมระบบหลักประกันทางสังคมเพื่อช่วยเหลือคนยากจน กลุ่มเปราะบาง และผู้ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สนับสนุนการเตรียมความพร้อมสังคมไทยในการรองรับสังคมสูงวัย ประชาชนทุกคนได้รับความคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้รับสวัสดิการภาครัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จำแนกตามแผนงาน ดังนี้
1) การเสริมสร้างพลังทางสังคม งบประมาณทั้งสิ้น 7,496.9 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมการสร้างพลังในชุมชนให้เกิดเป็นพลังทางสังคม สนับสนุนบทบาทและพัฒนาศักยภาพองค์การสวัสดิการสังคม อาสาสมัคร เครือข่าย และภาคประชาชน พัฒนากลไกและระบบสนับสนุนการบริหารจัดการเครือข่ายในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และชุมชน ส่งเสริมศักยภาพบทบาทสตรีและสิทธิมนุษยชน ให้ทุกเพศสภาพเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม พัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการชุมชนให้มีการสร้างงาน สร้างรายได้และพึ่งตนเองได้ ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ไม่น้อยกว่า 20,000 แปลง ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวง และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน โดยนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และน้อมนำแนวทางพระราชดำริสู่การปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสู่การเพิ่มคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม
2) การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณทั้งสิ้น 296,451.6 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีการกระจายอำนาจมากขึ้น และให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการดำเนินงานที่สำคัญ คือ สนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่นักเรียนโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่น้อยกว่า 1.03 ล้านคน สนับสนุนอาหารเสริม (นม) ไม่น้อยกว่า 5.43 ล้านคน และอาหารกลางวันให้เด็กวัยเรียน ไม่น้อยกว่า 5.42 ล้านคน สนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไม่น้อยกว่า 10.58 ล้านคน เบี้ยยังชีพคนพิการ ไม่น้อยกว่า 2.03 ล้านคน รวมทั้งส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นได้แสดงความสามารถและพัฒนาบทบาทในการจัดการท้องถิ่นของตนเอง และเสริมสร้างความมั่นคงและเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและประเทศต่อไป
3) การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ งบประมาณทั้งสิ้น 17,411.0 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินการแบบบูรณาการครอบคลุมทุกมิติการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ผ่านโครงการภายใต้แผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดที่มีการบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไปสู่การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4) การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย งบประมาณทั้งสิ้น 623.8 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กลุ่มเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 10.44 ล้านคน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและพัฒนากลไกเครือข่าย สร้างความรู้ด้านสุขภาวะและทักษะให้พร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย สนับสนุนสวัสดิการเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเกษียณอย่างมีคุณภาพของประชากรวัยแรงงาน เสริมสร้างทักษะด้านอาชีพในการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง มีเป้าหมายผู้สูงอายุมีรายได้และมีงานทำไม่น้อยกว่า 77,000 คน โดยการฝึกอบรมแรงงานผู้สูงอายุให้สามารถประกอบอาชีพ ขยายโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ ส่งเสริมและพัฒนาทักษะงานด้านดิจิทัลให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่น้อยกว่า 3,400 คน พัฒนาผู้สูงอายุและสร้างเครือข่ายความคุ้มครองทางสังคม ไม่น้อยกว่า 221,400 คน รวมทั้งปรับปรุงสภาพแวดล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 7,709 แห่ง โดยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเข้าถึงระบบการดูแลและคุ้มครอง ปรับปรุงบ้านและสถานที่ให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มั่นคงและปลอดภัย รวมทั้งเสริมสร้างผู้สูงวัยเป็นกำลังคนดิจิทัลสู้ภัยไซเบอร์ สนับสนุนผู้สูงอายุทุกกลุ่มเข้าถึงระบบบริการสุขภาพตามมาตรฐานและได้รับการดูแลที่เหมาะสม ไม่น้อยกว่า 2.54 ล้านคน ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษากลุ่มอาการหรือโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ พัฒนาระบบรับปรึกษา ระบบส่งต่อและระบบติดตามการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ โดยการให้บริการฝังรากฟันเทียมสำหรับผู้สูงอายุ และการใช้เครื่องช่วยฝึกเดินในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวเชิงป้องกัน ตลอดจนสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบการส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวแบบบูรณาการ
5) การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก งบประมาณทั้งสิ้น 1,642.4 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้สามารถสร้างรายได้ และกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชาชน สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ไปสู่เกษตรกรอัจฉริยะ ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและที่ดินทำกิน ไม่น้อยกว่า 180,000 ราย พัฒนาและส่งเสริมอาชีพ ไม่น้อยกว่า 130,000 ราย จัดทำแผนพัฒนาอาชีพในระดับตำบล สนับสนุนศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ส่งเสริมและสร้างทักษะในการประกอบอาชีพทั้งในและนอกภาคเกษตร สนับสนุนการปลูกไม้มีค่าเป็นพืชเศรษฐกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการชุมชน โดยพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการชุมชน ไม่น้อยกว่า 3,000 ราย ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรในชุมชน พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ไม่น้อยกว่า 4,600 ผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการพัฒนากลไกการตลาดและระบบการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายสินค้าชุมชนโดยพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริมช่องทางการตลาดสินค้าชุมชนให้ครอบคลุมทุกช่องทาง รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนากลไกและโครงสร้างดูดซับมูลค่าทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้กลับสู่ท้องถิ่น
6) การสร้างหลักประกันทางสังคม งบประมาณทั้งสิ้น 281,530.2 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบางได้รับการคุ้มครอง มีหลักประกันทางสังคมและสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมและเป็นธรรม ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ ไม่น้อยกว่า 47.5 ล้านคน สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขภายใต้ระบบประกันสุขภาพที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ เพิ่มค่าใช้จ่ายรายหัวและเพิ่มสิทธิประโยชน์ อาทิ การปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง และการรับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิจัดค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัวเพิ่มเติมสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค เป็นต้น สนับสนุนเบี้ยเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี ไม่น้อยกว่า 2.6 ล้านคน สนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี 69,713 ราย สนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยบ้านมั่นคง 3,750 ครัวเรือน บ้านพอเพียง 24,700 ครัวเรือน พัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร 200 ครัวเรือน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งเสริมการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะสำหรับคนพิการ 20,000 คน ช่วยเหลือคุ้มครองผู้ประสบปัญหาทางสังคม ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานและเข้าถึงสวัสดิการสังคม 90,507 คน พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายพิเศษในพื้นที่ 24,960 คน ปรับปรุงและจัดหาอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ไม่น้อยกว่า 5,428 หน่วย รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อดูแลประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมในราคาสินค้าและบริการอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการสร้างหลักประกันสังคมและสวัสดิการสำหรับแรงงานในระบบและนอกระบบให้สามารถเข้าถึงระบบประกันสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ครอบคลุมผู้ประกันตนสำหรับแรงงานในระบบและนอกระบบ เป้าหมาย 16.5 ล้านคน รวมถึงสร้างความปลอดภัยและอนามัยสุขภาพในการทำงานให้เหมาะสมตามมาตรฐานสากล
7) การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา งบประมาณทั้งสิ้น 82,214.0 ล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานอย่างทั่วถึงให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบและนอกระบบตามสิทธิที่กำหนดไว้ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 11.17 ล้านคน ประกอบด้วยค่าจัดการเรียนการสอน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในสังคมไทย ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง และมีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยใช้เทคโนโลยีทางไกลผ่านดาวเทียม ไม่น้อยกว่า 4,600 แห่ง ตลอดจนสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในพื้นที่ 2,000 โรงเรียน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ไม่น้อยกว่า 2.3 ล้านคน ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาหรือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพให้เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นรายบุคคล ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของหน่วยจัดการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบหรือกลไกความร่วมมือในพื้นที่ รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพ และสนับสนุนทุนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 3,140 คน
8) มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม งบประมาณทั้งสิ้น 3,237.6 ล้านบาท เพื่อให้มีระบบและกลไกช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยส่งเสริมการพัฒนาระบบและกลไกในการช่วยเหลือ สนับสนุนและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมให้ประชากรกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐและโอกาสทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกันและปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มคุณภาพการให้บริการสาธารณะให้มีความปลอดภัย รวมทั้งสร้างพลังความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อนำไปสู่การยกระดับการคุ้มครองทางสังคม
9) การสนับสนุนด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม งบประมาณทั้งสิ้น 32,097.9 ล้านบาท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร โดยจัดสวัสดิการตามแนวทางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.7 ล้านคน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ รวมทั้งส่งเสริมการออมเพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญและประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสภาพ 4 ล้านคนผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือด้านหนี้สิน ส่งเสริมกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รวมทั้งสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
10) การดำเนินภารกิจพื้นฐาน งบประมาณทั้งสิ้น 2,594.7 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ให้ประชาชนได้รับโอกาสในการเข้าถึงการบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมและทั่วถึง เสริมสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสภาองค์กรชุมชนซึ่งเป็นกลไกในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานในและนอกระบบให้มีหลักประกันทางสังคม สร้างค่านิยมให้คนไทยรักษามรดกศิลปวัฒนธรรม และมีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไทย ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นแหล่งเรียนรู้และเผยแพร่ทางวัฒนธรรม และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม งบประมาณทั้งสิ้น 8,449.5 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 119,600.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของวงเงินงบประมาณเพื่อพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจภาคทะเลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปัญหามลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การขับเคลื่อนและผลักดันนโยบาย แผนและมาตรการด้านการอนุรักษ์ คุ้มครองและฟื้นฟู การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำแนกตามแผนงานได้ ดังนี้
1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบประมาณทั้งสิ้น 63,251.6 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงด้านน้ำเพิ่มขึ้น มีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคผ่านการจัดหาแหล่งน้ำสำรองเพื่อระบบประปา 101,440 ครัวเรือน สร้างความมั่นคงด้านน้ำทั้งภาคการผลิต ภาคเกษตร และอุตสาหกรรมให้มีต้นทุนน้ำใช้อย่างสมดุล และเพิ่มผลิตภาพการใช้น้ำ 254.96 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์จากแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น 272,011 ไร่ การจัดการน้ำท่วมและบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ 471,712 ไร่ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคุณภาพน้ำให้เป็นไปตามมาตรฐาน 16 แหล่ง พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำเสีย 34 แห่ง อนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 43,502 แห่ง และปลูกป่าฟื้นฟู 23,839 ไร่ รวมทั้งช่วยเหลือและแก้ปัญหาภัยแล้ง การผลักดันให้มีกฎหมายหลัก กฎหมายรอง และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
2) การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ งบประมาณทั้งสิ้น 4,023.7 ล้านบาท เพื่อให้ความหลากหลายทางชีวภาพได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู โดยพัฒนากลไกและมาตรการในการอนุรักษ์ ปกป้องคุ้มครอง ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ความหลากหลายชีวภาพอย่างยั่งยืน รักษาพื้นที่ป่าในความดูแล 98,360,000 ไร่ และส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร 28,995 ไร่ ส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าและพื้นที่สีเขียวนอกเขตอนุรักษ์เพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจฐานชีวภาพและอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในและนอกถิ่นกำเนิด สร้างเครือข่ายราษฎรพิทักษ์ป่า การป้องกันไฟป่า ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าเพื่อลดความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่า สนับสนุนการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ พัฒนาแหล่งเรียนรู้และแหล่งอนุรักษ์ ฟื้นฟู พันธุ์พืชใกล้สูญพันธุ์ พันธุ์พืชที่ถูกคุกคาม 545 ชนิด เพิ่มสัดส่วนพื้นที่สีเขียวด้วยการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าธรรมชาติที่เสื่อมโทรม จัดระเบียบการใช้ที่ดินด้วยการจัดทำแผนการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ระดับพื้นที่ 3,000 หมู่บ้าน และเพิ่มประสิทธิภาพการรังวัดที่ดินด้วยระบบดาวเทียมเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ
3) การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจ
ภาคทะเล งบประมาณทั้งสิ้น 403.1 ล้านบาท เพื่อให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รับการปรับปรุง ฟื้นฟู และสร้างใหม่ โดยพัฒนาและเพิ่มสัดส่วนกิจกรรมทางทะเลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจฐานชีวภาพทางทะเล ฟื้นฟูปะการังและหญ้าทะเลโดยการปลูกเสริม 60 ไร่ และรักษาระบบนิเวศและสัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธุ์ ตลอดจนคุ้มครอง อนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง 3,151 กิโลเมตร ประเมินและติดตามคุณภาพระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อรองรับการเติบโตด้านสังคมเศรษฐกิจภาคทะเลของประเทศ โดยพัฒนาระบบแผนที่ทางทะเลและชายฝั่งแบบออนไลน์
4) การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ งบประมาณทั้งสิ้น 1,146.1 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแจ้งเตือนสภาพอากาศ การเฝ้าระวังแผ่นดินไหวและสึนามิ และการสะสมของฝุ่นละออง โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่น้อยกว่า 55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ด้วยการสร้างความร่วมมือของภาคีต่าง ๆ เสริมสร้างขีดความสามารถในการลดมลพิษภาคอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกจากโรงงานอุตสาหกรรม การลงทุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าเพื่อพัฒนาประเทศมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในอนาคต
5) การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม งบประมาณทั้งสิ้น 294.8 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศมีการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะและของเสียอย่างเป็นระบบ จัดการมลพิษที่แหล่งกำเนิด จัดการคุณภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ปริมาณน้ำเสียได้รับการบำบัดได้ตามมาตรฐานน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน พัฒนาเครื่องมือและกลไกในการป้องกันและลดมลพิษ การจัดการขยะมูลฝอย มูลฝอยติดเชื้อ ของเสียอันตราย สารเคมีในภาคการเกษตรและกากอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดทำระบบการอนุญาตการระบายมลพิษ รวมถึงการใช้มาตรการเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ก่อมลพิษ
6) การยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกำหนดอนาคตประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม งบประมาณทั้งสิ้น 73.2 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยมีคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ผลักดันให้มีการจัดโครงสร้างเพื่อขับเคลื่อนประเด็นร่วมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศ สนับสนุนการเสริมสร้างคุณลักษณะชีวิตที่พึงประสงค์ให้เป็นที่ยอมรับในบริบทของพื้นที่ สนับสนุนการกระจายอำนาจและส่งเสริมธรรมาภิบาลด้านการรักษาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7) การสนับสนุนด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งบประมาณทั้งสิ้น 21,947.3 ล้านบาทเพื่ออนุรักษ์ รักษาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาแพลตฟอร์ม Thaiwater เพื่อการบริหารจัดการและการให้บริการคลังข้อมูล ในการสร้างศักยภาพและคุณค่าเพิ่มเพื่อการบริหารและการตัดสินใจ สนับสนุนแหล่งน้ำเพื่อการดำเนินงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ การสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำชลประทาน การจัดรูปที่ดินเพื่อการชลประทาน
8) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งบประมาณทั้งสิ้น 9,995.6 ล้านบาท โดยสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การป้องกันไฟป่า พัฒนาแหล่งเรียนรู้และแหล่งอนุรักษ์พันธุ์พืช และสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งบประมาณทั้งสิ้น 18,464.9 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 559,300.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ การส่งเสริมภาครัฐดิจิทัลโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ การบริหารจัดการการเงินการคลัง การปรับสมดุลภาครัฐ การพัฒนาระบบบริหารงานภาครัฐและการสร้างและพัฒนาบุคลากรภาครัฐ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมโดยความเสมอภาค โปร่งใส เป็นธรรมทั่วถึง และปราศจากการเลือกปฏิบัติจำแนกตามแผนงานได้ ดังนี้
1) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ งบประมาณทั้งสิ้น 487.3 ล้านบาท เพื่อลดปัญหาการทุจริตในสังคมไทย ส่งผลให้ค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) อยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้คะแนนสูงกว่า 50 คะแนน โดยผ่านการปลูกจิตสำนึกและสร้างค่านิยมให้ทุกภาคส่วน ตระหนักรู้ในเรื่อง
ความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรมและใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร ปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นธรรม รวมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้สังคมไทยมีภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์สุจริตดีขึ้น ภาครัฐมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
2) รัฐบาลดิจิทัล งบประมาณทั้งสิ้น 2,529.4 ล้านบาท เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการภาครัฐผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่า โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางด้วยการสนับสนุนการพัฒนาบริการภาครัฐที่มีคุณค่าและปฏิบัติงานเทียบได้กับมาตรฐานสากล มีความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โปร่งใสตรวจสอบได้ ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดขั้นตอนการทำงาน ทันสมัยและทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งไม่มีข้อจำกัดของเวลา พื้นที่ และกลุ่มคน รวมทั้งมีการเชื่อมโยงหน่วยงานและระบบบริการภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้ใช้บริการ ตลอดจนปรับปรุงระบบการอนุมัติและอนุญาตของภาครัฐ พัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เพื่อยกระดับการพัฒนาภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลและสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้หลายหน่วยงานและมีการทำงานร่วมกันในรูปแบบการบูรณาการ เพื่อลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานและการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ
3) การพัฒนาบริการประชาชนและการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ งบประมาณทั้งสิ้น 23,134.6 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการบริการภาครัฐให้สามารถติดต่อราชการได้โดยสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ลดค่าใช้จ่าย และตรวจสอบได้ รวมทั้งการบริหารจัดการการเงิน การคลัง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขยายฐานภาษีและการปรับปรุงระบบภาษีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ พัฒนาระบบการคลังล่วงหน้าระยะปานกลางและระยะยาว ปรับปรุงวิธีการงบประมาณให้มีความคล่องตัว สะดวกเหมาะสมกับสถานการณ์และความเร่งด่วน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว พร้อมทั้งพัฒนาระบบการติดตามประเมินผลที่สะท้อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในทุกระดับ โดยมีการติดตามประเมินผลโครงการ ทั้งก่อนเริ่มดำเนินการ ระหว่างดำเนินการ และหลังดำเนินการ มีการปรับสมดุลภาครัฐโดยการปรับขนาดของภาครัฐให้เหมาะสมกับภารกิจ เสริมสร้างบทบาทของภาคส่วนอื่น ๆ ตลอดจนสร้างบุคลากรภาครัฐที่เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึก และเป็นคนเก่ง มีความรู้ ความสามารถควบคู่ไปกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพและคุณภาพภายใต้หลักระบบคุณธรรม
4) การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม งบประมาณทั้งสิ้น 3,029.9 ล้านบาท เพื่อพัฒนากฎหมายให้เหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมและบริหารจัดการให้กระบวนการยุติธรรมมีความเสมอภาค มีความเท่าเทียมและเป็นธรรมในสังคม เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้วยความสะดวกรวดเร็ว เสมอภาค ทั่วถึงและเป็นธรรม และปราศจากการเลือกปฏิบัติ ช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรม และคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส โดยการส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางเลือกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
5) การสนับสนุนด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ งบประมาณทั้งสิ้น 1,954.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเป้าหมายยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ คือ ภาครัฐมีวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส มีขนาดที่เล็กลง พร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ มีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบการทำงานที่เป็นดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ปฏิบัติงานเทียบได้กับมาตรฐานสากล เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส ร่วมกันปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต ความมัธยัสถ์ การสร้างจิตสำนึกในการปฏิเสธไม่ยอมรับการทุจริตประพฤติมิชอบ และกฎหมายต้องมีเท่าที่จำเป็น มีความทันสมัยและเป็นสากล มีประสิทธิภาพและนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ และเอื้อต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติและอำนวยความยุติธรรมตามหลักนิติธรรม
6) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ งบประมาณทั้งสิ้น 429,803.4 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินงานภารกิจด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า และเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยการพัฒนาระบบการบริการประชาชน ระบบการบริหารจัดการงานยุติธรรม ศาล หน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ รัฐสภา รวมทั้งค่าใช้จ่ายตามสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ ของบุคลากรภาครัฐที่กำหนดไว้ในงบกลาง อาทิ เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ เงินสำรอง เงินสมทบและเงินชดเชยของข้าราชการ เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ และเงินสมทบของลูกจ้างประจำ และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ งบประมาณทั้งสิ้น 98,361.5 ล้านบาท
รายการค่าดำเนินการภาครัฐ
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 412,706.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.3 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ชดใช้เงินคงคลัง และชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย
รายจ่ายงบกลางเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 89,500.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง และภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ รวมทั้งชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 297,631.4 ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000.0 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จำนวน 197,631.4 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐให้เกิดเสถียรภาพทางการคลังและการเงินรวมทั้งการรักษาวินัยทางการคลัง
รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 596.7 ล้านบาท เพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย จำนวน 24,978.6 ล้านบาท เพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินทุนสำรองจ่ายที่ได้จ่ายไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 45
สำหรับเอกสารประกอบได้มีการจัดทำให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 10 และมาตรา 11 ดังนี้
1. คำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
2. รายรับรายจ่ายเปรียบเทียบระหว่างปีที่ล่วงมาแล้ว ปีปัจจุบันและปีที่ขอตั้งงบประมาณรายจ่าย แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 1 (เล่มคาดส้ม)
3. คำอธิบายเกี่ยวกับประมาณการรายรับและวิธีหาเงินส่วนที่ขาดดุล แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 2 (เล่มคาดเขียว)
4. คำชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้ง ซึ่งรวมถึง
การแสดงผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณและความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 (เล่มคาดแดง) และฉบับที่ 4 (เล่มคาดเหลือง)
5. รายงานเกี่ยวกับสถานะทางการเงินโดยรวมของรัฐวิสาหกิจ แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 5 (เล่มคาดม่วง)
6. รายงานเกี่ยวกับสถานะเงินนอกงบประมาณและ
แผนการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ โดยรวมของหน่วยรับงบประมาณ
แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 7 (เล่มคาดชมพู)
7. คำอธิบายเกี่ยวกับหนี้ของรัฐบาลทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและหนี้ที่เสนอเพิ่มเติม แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 5 (เล่มคาดม่วง)
8. ผลการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 6 (เล่มคาดน้ำเงิน)
9. ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
---------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42246 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความร่วมมือ ปตท. กับ ฟอกซ์คอนน์ เป็นก้าวสําคัญสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในอาเซียน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ย้ำความร่วมมือ ปตท. กับ ฟอกซ์คอนน์ เป็นก้าวสําคัญสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในอาเซียน
นายกรัฐมนตรี ย้ำความร่วมมือ ปตท. กับ ฟอกซ์คอนน์ เป็นก้าวสําคัญสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในอาเซียน
วันนี้ (31 พ.ค. 2564) เวลา 15.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group) ในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual MOU Signing Ceremony) จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และ กรุงไทเป ไต้หวัน เพื่อศึกษาโอกาสการพัฒนาฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือนี้จะเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า สมัยใหม่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากลมากยิ่งขึ้น โดยมีนายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการ ปตท. พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ร่วมในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการ ลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยระหว่าง บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และ ฟอกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) รัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีนโยบายและกำหนดทิศทางยกระดับให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยรักษาและต่อยอดความเป็นผู้นําของฐานการผลิตยานยนต์เพื่อการส่งออกในภูมิภาค ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ โดยตั้งเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปีค.ศ.2030 (พ.ศ. 2573) เท่ากับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 7 แสนคันต่อปี ยํ้าจุดยืนของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าสําคัญของอาเซียน และส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี ยืนยันส่งเสริมระบบนิเวศอื่น ๆ ที่จะเกื้อหนุนให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในประเทศตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ด้วยความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง และผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ประเทศไทยในฐานะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ชั้นนําในอาเซียนแล้ว ยังอยู่ใน 12 อันดับแรกของฐานการผลิตรถยนต์ระดับโลก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้การดำเนินงานของ ปตท. และฟอกซ์คอนน์เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ประสบผลสําเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญ ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 องค์กรเท่านั้น แต่จะยังช่วยเป็นฟันเฟืองสําคัญ ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่อนาคต ของเศรษฐกิจ นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมที่ดียิงขึ้นได้ต่อไป
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการ ปตท. กล่าวถึงความร่วมมือ ปตท. และฟอกซ์คอนน์เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ว่า จะสนับสนุนการผลิตรถรถยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายที่จะจัดตั้งแพลตฟอร์มการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และส่วนประกอบหลักต่าง ๆ แบบ end-to-end ด้วยเงินร่วมลงทุนขั้นต้นที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะขยายการลงทุนเป็น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐในอนาคตต่อไป สร้างโอกาสทางธุรกิจและการพัฒนา รวมทั้งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยที่มีต้นทุนต่ำกว่าและมีความยั่งยืนในอนาคต
Mr. Young Liu, Chairman and CEO of Foxconn กล่าวถึงเป้าหมายของความร่วมมือในครั้งนี้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจทั่วโลก ได้เชื่อมต่อสังคมแห่งการเดินทางด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ความเชี่ยวชาญของ Foxconn ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก ทำให้เราผนึกความร่วมมือกับภาครัฐ และ ปตท. ในการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ และความชำนาญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่พร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จพลังงานและแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ Foxconn จะสามารถแบ่งปันความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น เรามุ่งหวังที่จะเห็นประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42259 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จัดกิจกรรม ชวนสมาชิกฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้ สู้ภัยไวรัสโควิด-19” | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
“กอช. จัดกิจกรรม ชวนสมาชิกฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้ สู้ภัยไวรัสโควิด-19”
กอช. จัดกิจกรรม “กอช. ปันโปร ฝากร้านสร้างรายได้ สู้ภัยไวรัสโควิด-19” เพื่อช่วยสมาชิกสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดย กอช. เป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์สินค้า พร้อมเชิญชวนประชาชนทั่วไปอุดหนุนสินค้าสมาชิก กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดกิจกรรม “กอช. ปันโปร ฝากร้านสร้างรายได้ สู้ภัยไวรัสโควิด-19” เพื่อช่วยสมาชิกสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดย กอช. เป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์สินค้า พร้อมเชิญชวนประชาชนทั่วไปอุดหนุนสินค้าสมาชิก กอช. ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่เฟซบุ๊ก “กองทุนการออมแห่งชาติ”
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชน ลดการเดินทางออกจากบ้านป้องกันการแพร่ระบาด โดย กอช. ขอเป็นช่องทางหนึ่งในการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่สมาชิก ในกิจกรรม “กอช. ปันโปร ฝากร้านสร้างรายได้ สู้ภัยไวรัส โควิด-19” โดยสมาชิก กอช. ผู้ประกอบอาชีพอิสระ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสภาเกษตรกร สามารถฝากร้านกับ กอช. พร้อมภาพสินค้า โพสต์ได้ที่เฟซบุ๊ก “กองทุนการออมแห่งชาติ” โดย กอช. จะเป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์และแชร์สินค้าเพื่อเป็นการบอกต่อ พร้อมขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมอุดหนุนสินค้าของสมาชิก โดยสามารถเลือกดูสินค้าตามความต้องการ ได้ผ่านเฟซบุ๊ก “กองทุนการออมแห่งชาติ” ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางในพื้นที่เขตพญาไท กทม. | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางในพื้นที่เขตพญาไท กทม.
สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางในพื้นที่เขตพญาไท กทม.
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงดำเนินโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ด้วยการนำอาหารกล่องพระราชทานไปมอบให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ วันละ 300 กล่อง เป็นระยะเวลา 35 วัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 10,500 กล่อง ซึ่งในวันที่30 พ.ค. 64สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สนับสนุนโดย โครงการสลากการกุศล ได้ลงพื้นที่เขตพญาไท กทม. เพื่อมอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน จำนวน 300 กล่อง ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ ชุมชนสุขสวัสดิ์ ชุมชนมะกอกกลางสวน ชุมชนมะกอกส่วนหน้า โดยมี นางรัชนี วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา เลขาธิการสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) และ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้แทนมอบให้แก่ผู้นำชุมชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42237 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ขุดลอกร่องน้ำ กำจัดผักตบชวา ภารกิจกรมเจ้าท่า เพื่อความสุขของประชาชน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า ขุดลอกร่องน้ำ กำจัดผักตบชวา ภารกิจกรมเจ้าท่า เพื่อความสุขของประชาชน
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าได้เร่งภารกิจขุดลอก จัดเก็บผักตบชวาและวัชพืชเพื่อบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยปัจจุบันได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ขับเคลื่อนภารกิจอย่างต่อเนื่อง
กรมเจ้าท่า โดยสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 2 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจุดที่ 1 ตำบลพยุหะ ตำบลน้ำทรง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เปิดหน่วยปฏิบัติงานฯ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 มีนายสุธี สิทธิการ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ ใช้เรือเจ้าท่า ข.33 เรือเจ้าท่า 233 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่น้ำกัดเซาะบ้านเรือนริมแม่น้ำได้รับความเสียหาย จึงได้แก้ไขโดยเพิ่มความกว้างที่ก้นร่องน้ำตามแผนการขุดลอก 40 เมตร ยาว 1,550 เมตร ระดับที่ก้นร่องน้ำ 6 เมตร (MSL) ปริมาณวัสดุขุดลอก 250,058 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันดำเนินการได้ขุดลอกได้ 207,213 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 82.86 %
จุดที่ 2 บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลธรรมมูล ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท มีนายกฤษณะ เกตุแก้ว ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ เร่งดำเนินการกำจัดผักตบชวา บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ที่มีปริมาณมากถึง 35,000 ตันอย่างเร่งด่วน ด้วยผักตบชวาดังกล่าวได้สะสมในพื้นที่อำเภอเมืองชัยนาท ก่อนจะไหลตามกระแสน้ำมาสะสมตัวหน้าเขื่อนเจ้าพระยา(เขื่อนชัยนาท) ซึ่งกรมเจ้าท่าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 ใช้เรือเจ้าท่า ผ.4,ผ.401,ผ.402,ผ.403 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน มีประสิทธิภาพในการเก็บปริมาณ 300 ตัน/วัน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน 2564 ปัจจุบันดำเนินการจัดเก็บได้ปริมาณ 26,057 ตัน คิดเป็น 74.45 % รวมที่ดำเนินการเก็บได้แล้วทั้งหมด ปริมาณ 67,611 ตัน
อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามภารกิจการขุดลอกและบำรุงรักษาทางน้ำ เป็น 1 ในหลาย ๆ ภารกิจของกรมเจ้าท่า สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำสายหลักสำคัญของประเทศสามารถระบายน้ำที่ไหลหลากในช่วงฤดูฝนลงสู่อ่าวไทย ทำให้การขุดลอก จัดเก็บผักตบชวาและวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนเพื่อแก้ไขความตื้นเขินของแม่น้ำ บรรเทาอุทกภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การสัญจรทางน้ำ ในเวลาเดียวกันได้เพิ่มพื้นที่รับน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และยังเกิดผลพลอยได้จากการนำวัสดุที่ได้จากการขุดลอกนำไปซ่อมแซมตลิ่งที่ถูกน้ำกัดเซาะถนนและบ้านเรือนจนพังเสียหาย และภายหลังภารกิจขุดลอก กรมเจ้าท่าได้ร่วมรณรงค์กับหน่วยงานในพื้นที่และประชาชน ปล่อยพันธุ์ปลาท้องถิ่นเพื่อรักษาระบบนิเวศแม่น้ำเป็นการฟื้นฟูสภาพลำน้ำให้กลับมาสามารถอุปโภคบริโภคได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42245 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมประชุม P4G ผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการพัฒนาอย่างสมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ร่วมประชุม P4G ผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการพัฒนาอย่างสมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืน
นายกฯ ร่วมประชุม P4G ผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการพัฒนาอย่างสมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืน
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) เวลา 20.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 ครั้งที่ 2 ( 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit : 2nd P4G Summit) ซึ่งประเทศเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ผ่านระบบวีดิทัศน์แบบถ่ายทอดสด ภายใต้หัวข้อหลัก “การฟื้นฟูสีเขียวอย่างครอบคลุมเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Inclusive Green Recovery towards Carbon Neutrality) โดยนอกจากนายกรัฐมนตรีไทยแล้ว มีผู้นำ ผู้แทน ประเทศ กลุ่มประเทศ และองค์การระหว่างประเทศร่วมกล่าวถ้อยแถลงด้วย ดังนี้ เกาหลีใต้ เดนมาร์ก โคลอมเบีย สหภาพยุโรป เวียดนาม เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ กัมพูชา ออสเตรีย คอสตาริกา และเปรู ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีถือว่าการประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูจากโควิด-19 อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาคมโลกในทุกมิติ ดังนั้น การฟื้นฟูจากโควิด-19 จำเป็นต้องสอดคล้องกับการขับเคลื่อนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SGDs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหลักสุขภาพหนึ่งเดียว ซึ่งครอบคลุมทั้งมนุษย์และธรรมชาติ ทั้งนี้ ประเทศไทยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ เน้นการเสริมสร้างพลังของประชาชน สร้างความต้านทาน และส่งเสริมความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความครอบคลุมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของไทย ซึ่งได้ประกาศให้การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งแนวทางฟื้นฟูประเทศจากโควิด-19 ให้กลับมาเข้มแข็งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสียทรัพยากรตลอดห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายด้วยการขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านกลไกจตุภาคี ที่ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ซึ่งเชื่อว่าโมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับเป้าประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมความร่วมมือ และสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับประชาคมระหว่างประเทศในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเอเปค (APEC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า
ด้านสิ่งแวดล้อม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีระหว่างประเทศชะงัก ซึ่งไทยขอใช้โอกาสนี้สนับสนุนให้ทุกประเทศเร่งดำเนินการตามพันธกรณีต่างๆ เพื่อรับมือกับความท้าทาย และแสดงเจตจำนงร่วมกันผลักดันการประชุมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุม COP 26 ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ที่สหราชอาณาจักร เพื่อให้มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางของไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการในทุกมิติที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายให้มีการใข้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ จำนวน 15 ล้านคัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดในประเทศ ภายในปี 2578 รวมทั้งจะปลูกต้นไม้ยืนต้นร้อยล้านต้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดขยะบนบก ขยะทะเล ตามยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทที่รัฐบาลกำหนด
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ พร้อมกล่าวเชิญชวนทุกประเทศให้ร่วมกันหารือวางแนวทางความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการเติบโตสีเขียวอย่างแท้จริงและยั่งยืน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวชื่นชมและพร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัสของเกาหลีใต้ (New Southern Policy Plus - NSPP) และโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย
โดยในตอนท้ายของการประชุมประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้กล่าวสรุป และที่ประชุมได้รับรองปฏิญญากรุงโซล (Seoul Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศที่ร่วมการประชุม P4G ครั้งที่ 2 มีสาระสาคัญ ดังนี้ 1. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างบทเรียนต่อการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศของโลก และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน 2. มุ่งมั่นรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่ได้ประกาศในการประชุมระดับผู้นำระหว่างประเทศในเวทีต่าง ๆ และหวังที่จะสานต่อความมุ่งมั่นดังกล่าวในการประชุม G7 G20 และการประชุมระหว่างประเทศ รวมถึงการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) 3. ความสำคัญของการฟื้นฟูสีเขียว การพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีสีเขียว และการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และส่งเสริมการรับมือปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 4. ย้ำเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนใน 5 ด้าน ได้แก่ น้ำสะอาด พลังงานสะอาด อาหารและเกษตรกรรม เมืองสีเขียว และเศรษฐกิจหมุนเวียน 5. ย้ำเจตนารมณ์ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสีเขียวและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42264 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจง 6 ยุทธศาสตร์หลักในการจัดทำงบประมาณ วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์สูงสุด เน้นใช้จ่ายที่คุ้มค่า ยึด รัฐธรรมนูญไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีชี้แจง 6 ยุทธศาสตร์หลักในการจัดทำงบประมาณ วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์สูงสุด เน้นใช้จ่ายที่คุ้มค่า ยึด รัฐธรรมนูญไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
นายกรัฐมนตรีชี้แจง 6 ยุทธศาสตร์หลักในการจัดทำงบประมาณ วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์สูงสุด เน้นใช้จ่ายที่คุ้มค่า ยึด รัฐธรรมนูญไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) เวลา 10.00 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรถึงเป้าหมายและแนวทางร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยยึดบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงสาระสำคัญงบประมาณรายจ่าย 2565 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท เป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล กำหนดรายได้สุทธิจำนวน 2,400,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 700,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,100,000 ล้านบาท จำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง จำนวน 387,909.6 ล้านบาท ร้อยละ 12.5 ของวงเงินงบประมาณ ด้วยการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ รักษาความสงบภายในประเทศ พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง และพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศเพื่อพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ พัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ พัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 338,547.6 ล้านบาท ร้อยละ 10.9 ของวงเงินงบประมาณ โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ ดังนี้ การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พัฒนาพื้นที่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว กระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การพัฒนาผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล โดยมีเป้าหมายให้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต การเกษตรสร้างมูลค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร การพัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เพิ่มมูลค่าของธุรกิจดิจิทัลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล/อินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง การพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จำนวน 548,185.7 ล้านบาท ร้อนละ 17.7 ด้วยการเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี พัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ เสริมสร้างศักยภาพการกีฬา ปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม มีความรักและความภูมิใจในความเป็นไทย น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อให้สังคมไทยมีความสุข สนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จำนวน 733,749.6 ล้านบาท ร้อยละ 23.7 เพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายศูนย์กลางความเจริญให้ทั่วถึง เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ ด้วยการเสริมสร้างพลังทางสังคม ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมเพิ่มขึ้น กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย พัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างหลักประกันทางสังคมและความเสมอภาคทางการศึกษา รวมทั้งมาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เพื่อเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐและโอกาสทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกันและปลอดภัย
ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำนวนเงิน 119,600.3 ล้านบาท ร้อยละ 3.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาและอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล สร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง หมอกควันและไฟป่า ปัญหามลพิษและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้ประเทศมีความมั่นคงด้านน้ำเพิ่มขึ้น การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจ จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ มลพิษและสิ่งแวดล้อม ยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกำหนดอนาคตประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จำนวน 559,300.5 ล้านบาท ร้อยละ 18.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีแผนงานเน้นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ลดปัญหาการทุจริตในสังคมไทยให้ค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) อยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้คะแนนสูงกว่า 50 คะแนน ภายใต้รัฐบาลดิจิทัล พัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่า พัฒนาบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ พัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวดเร็ว โปร่งใส มีขนาดที่เล็กลง พร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันนโยบายและให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจภายในประเทศและผลกระทบจากภายนอก รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งในปี 2565 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4.0 – 5.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แนวโน้มขยายตัวทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7 ซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2565 ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42243 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เติมทุน-พักหนี้ให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง รวมกว่า 60,000 ล้านบาท พร้อมอัดฉีดอีก 5,000 ล้านบาท เติมทุน SMEs ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดอกเบี้ย 3% ต่อปี | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
EXIM BANK เติมทุน-พักหนี้ให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง รวมกว่า 60,000 ล้านบาท พร้อมอัดฉีดอีก 5,000 ล้านบาท เติมทุน SMEs ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดอกเบี้ย 3% ต่อปี
EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเติมทุนและพักชำระหนี้ โดยตั้งแต่เริ่มวิกฤตโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้เติมทุนให้ผู้ประกอบการแล้วกว่า 2,200 ราย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้งภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นกำลังสำคัญและเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศ EXIM BANK จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเติมทุนและพักชำระหนี้ โดยตั้งแต่เริ่มวิกฤตโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน EXIM BANK ได้เติมทุนให้แก่ผู้ประกอบการแล้วจำนวนกว่า 2,200 ราย เป็นเม็ดเงินใหม่ที่เติมเข้าระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และพักหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการรวมแล้วเป็นจำนวนเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า นอกจากนี้ EXIM BANK เตรียมวงเงินอีก 5,000 ล้านบาท อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจภายใต้บริการใหม่ “สินเชื่อเอ็กซิม Jump start” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยเติมทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นเงินทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3% ต่อปี กู้ได้สูงสุด 50 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน บสย. ค้ำประกันเต็มวงเงิน ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถขอรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 พฤษภาคม 2565 สอบถามได้ที่ EXIM HOTLINE เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบการจากโควิด-19 โทร. 0 2037 6099
“สินเชื่อเอ็กซิม Jump Start เป็นบริการใหม่ที่ EXIM BANK พัฒนาขึ้น เพื่อทำหน้าที่เสมือนแบตเตอรี่เติมไฟให้ SMEs มีกำลังขับเคลื่อนกิจการและเศรษฐกิจของประเทศไทยไปข้างหน้าได้ ได้รับวงเงินหมุนเวียนโดยเร่งด่วนและเพียงพอที่จะประกอบธุรกิจได้เป็นปกติ สอดคล้องกับแนวนโยบายของ EXIM BANK ที่มุ่งเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาควบคู่กับการอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งปัจจุบันหลายกิจการกำลังประสบปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจจากผลกระทบของโควิด-19 EXIM BANK จึงเร่งพัฒนาธุรกิจและบริการที่จะทำหน้าที่ซ่อม สร้าง และเสริมให้ภาคธุรกิจแข็งแรงและแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมถึงตลาดใหม่ ๆ ที่ยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากสำหรับผู้ประกอบการไทย” ดร.รักษ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
https://bit.ly/3i1tyNr
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42256 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวชุมชนพื้นที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม. ปลื้มปีติ ภายหลังได้รับอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ชาวชุมชนพื้นที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม. ปลื้มปีติ ภายหลังได้รับอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน
ชาวชุมชนพื้นที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม. ปลื้มปีติ ภายหลังได้รับอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงดำเนินโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ด้วยการนำอาหารกล่องพระราชทานไปมอบให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ วันละ 300 กล่อง เป็นระยะเวลา 35 วัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 10,500 กล่อง ซึ่งในวันที่ 28 พ.ค. 64 เวลา 15.00 น. สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)สนับสนุนโดย โครงการสลากการกุศล ลงพื้นที่มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน จำนวน 140 กล่อง ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ ชุมชนอินทามระ 29 แยก 4 เขตพญาไท กทม. โดยมีนางจตุพร โรจนพานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้แทนมอบให้แก่ผู้นำชุมชน และ เวลา 16.00 น. ลงพื้นที่มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน จำนวน 160 กล่อง ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ณ ชุมชนนางเลิ้ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. โดยมี ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส โนนุช รองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และนางจตุพร โรจนพานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้แทนมอบให้แก่ผู้นำชุมชน ทั้งนี้ ภายหลังได้รับอาหารพระราชทาน ประชาชนต่างปลื้มปีติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวทำมาหากินยากลำบากเป็นอย่างมาก เนื่องจากประสบความเดือดร้อนจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42234 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก มีผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบมาตรวจกว่า 1.32 แสนคน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก มีผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบมาตรวจกว่า 1.32 แสนคน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พอใจภาพรวมหลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก มีผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และประชาชนทั่วไป มาตรวจกว่า 132,912 คน ช่วยชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีน
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสรุปภาพรวมการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก ในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี และสมุทรปราการว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.ดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งในวันนี้ (31 พ.ค.64) เป็นวันสุดท้ายของการเปิดให้บริการ ซึ่งจากการดำเนินการตรวจโควิดเชิงรุกในครั้งนี้ภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ
นายสุชาติ กล่าวถึงภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก จุดแรกที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชน กรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เปิดตรวจตั้งแต่วันที่ 17- 30 เม.ย.64 และ 5-31 พ.ค.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 88,992 คน จุดที่ 2 ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 24-30 เม.ย.64 วันที่ 5-11 พ.ค. และวันที่ 24-31 พ.ค.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 21,538 คน จุดที่ 3 จังหวัดชลบุรี เปิดเมื่อวันที่ 24-30 เม.ย.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 1,184 คน จุดที่ 4 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเมื่อวันที่ 24 เม.ย.-15 พ.ค.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 11,134 คน จุดที่ 5 จังหวัดนนทบุรี เปิดเมื่อวันที่ 25 เม.ย.- 1พ.ค.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 3,257 คน จุดที่ 6 จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเมื่อวันที่ 1-7 พ.ค. และวันที่ 26-31 พ.ค.64 มีผู้มาตรวจจำนวน 6,807 คน รวม 6 จังหวัดมีผู้มาตรวจจำนวนทั้งสิ้น 132,912 คน
ทั้งนี้ การตรวจโควิด-19 เชิงรุกดังกล่าวจะเป็นการชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานในสถานประกอบการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. เร่งบรรเทาความเดือดร้อนครอบครัวกลุ่มเปราะบางจากผลกระทบโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. เร่งบรรเทาความเดือดร้อนครอบครัวกลุ่มเปราะบางจากผลกระทบโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. เร่งบรรเทาความเดือดร้อนครอบครัวกลุ่มเปราะบางจากผลกระทบโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
วันที่ 29 พ.ค. 64เวลา 16.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ระดมการรับบริจาคเงินและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในพื้นที่ 50 เขต กทม. รวมทั้งต่างจังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย
นายอนุกูลกล่าวต่อไปว่า วันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มอบหมาย ทีม พม. เรามีเรา โดยนายธนสุนทร สว่างสาลี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ 4 เขต กทม. ได้แก่ 1) เขตบางพลัด ณ บริเวณใต้สะพานพระราม 8 2) เขตธนบุรี ณ สุเหร่ากูโบ ซอยอิสรภาพ 11 3) เขตคลองสาน ณ บริเวณภายในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 5 และ 4) เขตจอมทอง ณ วัดมงคลวราราม (วัดมะเกลือ) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและน้ำดื่ม รวมทั้งสิ้น 400 ชุด และแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ให้กับประธาน อพม. เขต เพื่อนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อีกทั้งเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก อพม. ในพื้นที่ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการกระจายความช่วยเหลือต่างๆ ภายในชุมชน
นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทางกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม.และปริมณฑล ซึ่งสามารถรองรับได้ประมาณ 400 คน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล 24 ชั่วโมง และมีอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ทั้งนี้ หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้ง อพม. ในพื้นที่ โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือและประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42235 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของท้องถิ่นต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ให้ ศบค. พิจารณา พร้อมให้มั่นใจงบประมาณด้านสาธารณสุขมีเพียงพอ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของท้องถิ่นต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ให้ ศบค. พิจารณา พร้อมให้มั่นใจงบประมาณด้านสาธารณสุขมีเพียงพอ
นายกรัฐมนตรีย้ำการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของท้องถิ่นต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ให้ ศบค. พิจารณา พร้อมให้มั่นใจงบประมาณด้านสาธารณสุขมีเพียงพอ
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) เวลา 13.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันกับสื่อมวลชน ระหว่างตรวจเยี่ยมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด-19 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด กรณีการให้ท้องถิ่นจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดให้แก่ประชาชน อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศบค. ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันถึงการจัดซื้อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งเร่งเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนของแต่ละบริษัทว่ามีจำนวนเพียงพอหรือไม่ ขณะเดียวกันยังมีช่องทางต่าง ๆ ในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม อาทิ จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่เป็นวัคซีนจาก Sinopharm ที่ได้ลงทะเบียนกับรัฐบาลไว้แล้ว กรณีการให้ท้องถิ่นจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดให้แก่ประชาชนนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศบค. ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ รัฐบาลเองจัดสรรการกระจายวัคซีนไปยังท้องถิ่นเพื่อให้มีความเท่าเทียมกันในทุกจังหวัด ทุกจังหวัด 76+1 ซึ่งเป็นไปตามข้อมูลหรือสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงทะเบียน “หมอพร้อม” ว่า ต้องนำมาเชื่อมโยงการติดตามผลกับประชาชนที่มีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีรายงานการฉีดวัคซีนไปแล้ว 3 - 4 ล้านราย ขณะที่ วันนี้โลกมีความต้องการวัคซีนสูงขึ้นโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มียอดการติดเชื้อสูงขึ้น 3,000 – 4,000 รายต่อวัน รวมทั้งผู้ที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจะต้องข้าสู่ระบบการควบคุม คัดกรองและมาตรการต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการตรวจเชิงรุกย่อมต้องพบผู้ติดเชื้อมาก ทุกคนต้องรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ให้ได้ หากจำนวนตัวเลขเพิ่มมากขึ้นต้องให้อยู่ในพื้นที่ที่สามารถควบคุมได้ และนำคนที่ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลต่อไป
นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยกลุ่มแรงงานพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีที่พักอาศัยคับแคบและแออัด ซึ่งเป็นปัญหาที่พบเจอในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย โดยต้องร่วมกันให้กำลังใจประเทศอื่น ๆ ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายในการเข้าออกประเทศก็คาดว่าจะสามารถควบคุมได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากพบว่าใครเข้ายุ่งเกี่ยวกับกระบวนการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายนี้จะมีการลงโทษสถานหนัก วันนี้ได้มีการจับกุมเข้ามาอย่างผิดกฎหมายจำนวนมากทุกวัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลได้เตรียมงบประมาณไว้เพียงพอแน่นอนโดยเฉพาะด้านสาธารณสุข โดยการปรับลดงบประมาณของแต่ละกระทรวงเนื่องจากในปีที่ผ่านมารายได้ของรัฐบาลลดลงจากการจัดเก็บภาษีรายได้ที่ลดลงเนื่องจากการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรัฐบาลคำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นหลักและเพื่อให้ทุกกระทรวงมีงบประมาณนำไปดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามพันธกิจ ให้การดูแลประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ พร้อมกับการจัดหารายได้เพิ่มเติมในอนาคตด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42254 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตอบข้อซักถามจาก FAO ในเวที PSMA ครั้งที่ 3 ในมุมมองของรัฐในการสนับสนุน IUU Fishing | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ตอบข้อซักถามจาก FAO ในเวที PSMA ครั้งที่ 3 ในมุมมองของรัฐในการสนับสนุน IUU Fishing
ผู้ช่วย รมว.กษ. ตอบข้อซักถามจาก FAO ในเวที PSMA ครั้งที่ 3 ในมุมมองของรัฐต่อการสนับสนุนการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย พร้อมสร้างความมั่นใจด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ในระยะยาวต่อทรัพยากรและระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการเสวนาในการประชุมระดับสูง PSMA ครั้งที่ 3 ผ่านระบบออนไลน์ โดยได้กล่าวในที่ประชุมว่า รัฐบาลไทยได้กำหนดให้การต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย “IUU” เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2558 โดยได้จัดทำ “Roadmap เพื่อใช้แก้ไขการทำประมง IUU ของประเทศไทย” ประกอบด้วย 6 กิจกรรมหลัก คือ 1) กรอบกฎหมาย 2) การบริหารจัดการทรัพยากรประมงและการจัดการกองเรือไทย 3) การตรวจติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง (MCS) 4) การบังคับใช้กฎหมาย 5) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ และ 6) แรงงานในภาคการประมง ส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์ในระยะยาวและการใช้ทรัพยากรทางทะเล รวมถึงระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการนำมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) มาใช้สำหรับการตรวจสอบเรือประมงต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้าเทียบท่าเรือของไทย มีส่วนช่วยป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU) ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิรูปข้อกฎหมายให้มีความสอดคล้องตามหลักการของ PSMA ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐเจ้าของท่าสามารถตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของเรือและสัตว์น้ำว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำประมง IUU ก่อนอนุญาตให้เข้าเทียบท่า หรือสามารถปฏิเสธการเข้าเทียบท่าของเรือประมงต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง IUU ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์ในระยะยาว และเป็นใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้มาตรการรัฐเจ้าของท่าของไทยก็มีความท้าทายด้วยเช่นกัน เช่น การที่ประเทศไทยดำเนินการอย่างเข้มแข็งเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะนำสินค้าประมงที่ได้จากกการทำประมงแบบ IUU ไปยังท่าเรือประเทศอื่น ๆ ที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม และส่งต่อสินค้าเหล่านั้นกลับมาช่องทางอื่น ทำให้เกิดความท้าทายเป็นอย่างมากในการตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของสินค้าเหล่านั้น โดยปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ได้ หากทุกประเทศมีกฎหมาย ระเบียบที่เข้มแข็งในการควบคุม ตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำที่เข้าประเทศของตน หรือการเข้าร่วมเป็นภาคีของความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่าก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการขจัดปัญหาดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42257 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ออก 5 มาตรการเร่งช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งเป้าความช่วยเหลือรวม 9 หมื่นล้านบาท | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
“กรุงไทย” ออก 5 มาตรการเร่งช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งเป้าความช่วยเหลือรวม 9 หมื่นล้านบาท
ธนาคารกรุงไทยออก 5 มาตรการ เร่งช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มฝ่าวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งเป้าความช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบุคคลและธุรกิจรวม 9 หมื่นล้านบาท
“ธนาคารกรุงไทย” ออก 5 มาตรการ เร่งช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มฝ่าวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งเป้าความช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบุคคลและธุรกิจรวม 9 หมื่นล้านบาท แยกเป็นมาตรการสินเชื่อรายย่อย 3 มาตรการ จัดเต็มลดค่างวด พักชำระเงินต้น หรือ พักชำระเงินต้นและชำระดอกเบี้ยบางส่วน คาดการณ์ช่วยลูกค้าสินเชื่อบุคคลรวม 6 หมื่นล้านบาท และมาตรการสำหรับลูกค้าธุรกิจ ทั้งสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ประมาณการความช่วยเหลือรวม 2 มาตรการ กว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อลดภาระทางการเงิน เสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอี รักษาการจ้างงาน ประคองธุรกิจต่อไปได้
นายเอกชัย เตชะวิริยะกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยเพิ่มเติม 3 มาตรการ โดยคาดการณ์ช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบุคคล 6 หมื่นล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงและขยายวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวสำหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคลที่มีสถานการณ์ชำระหนี้เป็นปกติ หรือ ไม่ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเกินกว่า 90 วัน ประกอบด้วย
1. สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ Home for Cash สินเชื่อกรุงไทยบ้านให้เงิน (Home Easy Cash) วงเงินกู้แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) พักชำระเงินต้นและชำระดอกเบี้ยบางส่วน สูงสุด 12 เดือน หรือ ขยายระยะเวลาโดยลดอัตราผ่อนชำระ สูงสุด 12 เดือน หรือ พักชำระเงินต้น โดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
2. สินเชื่อส่วนบุคคล วงเงินกู้แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) ลดการผ่อนชำระค่างวดลง 30% นานสูงสุด 6 เดือน
3. สินเชื่อวงเงินกู้แบบหมุนเวียน (Revolving Loan) ได้แก่ สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ 5 Plus ปรับเป็นวงเงินกู้แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) ได้นาน 48 งวด หรือตามความสามารถในการชำระหนี้
นอกจากนี้ ธนาคารได้ออกมาตรการฟื้นฟูธุรกิจ 2 มาตรการ ประมาณการความช่วยเหลือรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ดังนี้
1. มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกิน 5% ต่อปี) ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ได้รับยกเว้นดอกเบี้ย 6 เดือนแรก รวมทั้งได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นานสูงสุด 10 ปี เปิดกว้างให้ลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ลูกค้าเดิมที่มีวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ขอกู้ได้ไม่เกิน 30% ของวงเงินเดิมที่มีอยู่กับธนาคาร สูงสุดไม่เกิน 150 ล้านบาท ลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ณ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ขอกู้ได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท (นับรวมวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินทุกแห่ง)
2. มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจที่มีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันให้สามารถลดภาระทางการเงินชั่วคราว ในช่วงที่รอให้ธุรกิจฟื้นตัว ด้วยวิธีการโอนทรัพย์ชําระหนี้และได้รับสิทธิซื้อทรัพย์คืนในอนาคต ในราคาต้นทุนรับโอนบวกค่าธรรมเนียม Carrying Cost 1 % และบวกค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์ที่ธนาคารจ่ายตามจริง หักค่าเช่าที่ลูกค้าชำระมาแล้ว มาตรการนี้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีค่าธรรมเนียมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับการรับโอนและการโอนคืนกลับให้ลูกค้า สําหรับลูกค้าที่มีความประสงค์โอนทรัพย์สินเพื่อชําระหนี้ ต้องมียอดสินเชื่อธุรกิจคงเหลือกับธนาคาร ณ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และ ไม่เป็น NPL ณ 31 ธันวาคม 2562 รวมทั้งทรัพย์สินที่โอนต้องเป็นหลักประกันกับธนาคารก่อน 1 มีนาคม 2564
“ธนาคารเร่งช่วยเหลือลูกค้าในเชิงรุกทุกช่องทาง ผ่านเครือข่ายสาขาที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้า ทำให้รู้ว่าแต่ละรายต้องการความช่วยเหลือด้านใด นอกจาก 5 มาตรการ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ ด้วยการเสริมสภาพคล่องให้คู่ค้าและพันธมิตรของลูกค้า โดยออกมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้าของสยามพิวรรธน์ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SME และพันธมิตรทุกกลุ่มสามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ธนาคารให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้น 31 มี.ค. 64 มีสินเชื่อที่ธนาคารให้ความช่วยเหลือตามมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท โดยเป็นลูกค้าบุคคลกว่า 3 หมื่นล้านบาท ลูกค้าธุรกิจและ SME กว่า 9 หมื่นล้านบาท”
สำหรับลูกค้าบุคคลที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้จนถึง 31 ธันวาคม 2564 ผ่านเว็บไซต์ https://krungthai.com/link/retail-covid19 และลูกค้าธุรกิจที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ศึกษารายละเอียดได้ที่ https://krungthai.com/link/business-covid19 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา สำนักงานธุรกิจทั่วประเทศ หรือ Krungthai Contact Center 02-111-1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42238 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน ในภาพรวมชัดเจนและดีขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง ปรากฏว่า มีเรือนจำและทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๑๙ แห่ง ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้วเกือบ ๔๐% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด และมีแนวโน้มของจำนวนผู้หายป่วยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงระบบคัดกรองเชื้อในผู้ต้องขังเข้าใหม่เพื่อแยกกักผู้ติดเชื้อที่สามารถแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ต้องขังกลุ่มอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกอบรม นั้น ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมราชทัณฑ์ เร่งพัฒนาระบบรายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อการนำข้อมูลจากระบบมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเน้นย้ำให้ผู้บัญชาการเรือนจำตรวจสอบ และรายงานสถานะเตียง เขียว/เหลือง และผู้ต้องขังป่วยในกลุ่มเขียว/เหลืองให้เป็นปัจจุบันทุกวัน ตลอดจนมอบหมายให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เร่งดำเนินการตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedures : SOPs) ที่กรมราชทัณฑ์กำหนดเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42263 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
การประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จัดประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ปีบัญชี 2564 เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ รูปแบบและการออกแบบผลิตภัณฑ์การให้สินเชื่อ และมาตรการต่างๆ
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐจัดประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ปีบัญชี 2564 เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ รูปแบบและการออกแบบผลิตภัณฑ์การให้สินเชื่อ และมาตรการต่างๆ ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมี นายเกษม พิพัฒน์เสรีธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นประธานการประชุม มีนายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อำนวยการกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การจัดประชุมฯ ดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564 #กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ #prindustry
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม จัดวัคซีนให้กับสถาบันการบินพลเรือน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
กระทรวงคมนาคม จัดวัคซีนให้กับสถาบันการบินพลเรือน
...
กระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุนจัดวัคซีนให้กับพนักงาน อาจารย์ นักศึกษา ศิษย์การบินตลอดจนผู้ประกอบการของสถาบันการบินพลเรือนให้ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นสถาบันการศึกษาที่มีความปลอดภัยและมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระหว่างวันที่ 27-29 พฤษภาคม 2564 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ (Central Vaccination Center COVID-19) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานในสังกัด ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และสถาบันโรงผิวหนัง ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีน เพื่อให้สามารถเข้าถึงการให้บริการฉีดวัคซีน ตามนโยบายของรัฐบาล ณ สถานีกลางบางซื่อ จตุจักร กรุงเทพมหานคร
สถาบันการบินพลเรือน ตระหนักถึงความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันเสียสละปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 และขอเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 นี้ไปด้วยดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42244 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends and delivers keynote address at 2nd P4G Summit | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
PM attends and delivers keynote address at 2nd P4G Summit
PM attends and delivers keynote address at 2nd P4G Summit
May 31, 2021 at 20.00 hrs, at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended and delivered a keynote address at the 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit (2nd P4G Summit), hosted by South Korea via a teleconference. The summit is held under the theme "Inclusive Green Recovery towards Carbon Neutrality". Participating in the meeting, other than the Prime Minister, were leaders and representatives of South Korea, Denmark, Columbia, the European Union, Vietnam, the Netherlands, USA, Cambodia, Austria, Costa Rica, Peru and head of the International Monetary Fund. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the Prime Minister's keynote address as follows:
According to the Prime Minister, the meeting is a good opportunity for the leaders to discuss and exchange views on the green recovery after COVID-19, which should be in line with the implementation of UN SDGs, especially the "One Health" principle that embraces both human and nature. Thailand has adopted the Sufficiency Economy Philosophy as a guideline for inclusive development without leaving anyone behind. Focus has been made on empowering the people, creating immunity, and promoting balances between human and nature.
Thailand also declared the BCG economic model as a national agenda in a bid to promote green recovery after COVID-19. Science, technology and innovation will be adopted to uplift industries, increase productivity, minimize resource losses throughout the production chain, and reduce environmental impact. Participation of all concerned sectors is also promoted through the four-party mechanism, i.e., public, private, academic, and people sectors. According to the Prime Minister, the BCG economic model is relevant with the goal of this meeting, and is an answer to sustainable development. It would also help promote partnership between Thailand and the global community at all levels, especially under the APEC framework which is to be hosted by Thailand next year.
Due to the COVID-19 pandemic, various environmental cooperation at the international level has been halted. Thailand would like to take the opportunity to call on every country to accelerate their undertaking under related obligations to cope with the challenges, and to demonstrate the joint intent to drive forward COP26, to be held in UK this November, toward tangible achievement.
The Prime Minister added that Thailand’s Climate Change Act is now in the drafting process. The bill will inclusively cover undertakings related to climate change in every dimension, and will promote more engagement of the private sector and communities. Thailand also sets the target to increase use of EVs to 15 million (1/3 of the total number of vehicles in the country) within 2035. Moreover, the government will plant hundreds of millions of perennial trees, increase the use of renewable energy, reduce land waste, marine waste according to the national strategy.
In closing, the Prime Minister urged every country to build on concerted effort to forge new cooperation, particularly through technology and innovation exchange, for promotion of true and sustainable green growth. He also expressed Thailand’s readiness to exchange knowledge on the BCG economic model with South Korea’s New Southern Policy Plus (NSPP).
At the end of the meeting, the Seoul Declaration was adopted as the joint declaration of intent of the participating leader under the B4G framework.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยขยายระยะเวลาปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสาร | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยขยายระยะเวลาปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสาร
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงขอแจ้งปรับแผนให้บริการขบวนรถเส้นทางต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ โดยขยายระยะเวลางดให้บริการขบวนรถเชิงพาณิชย์ (รถทางไกล) ขบวนรถเชิงสังคม (รถระยะสั้น) จำนวน 121 ขบวน ออกไปอีกจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 (ศบค.) มีนโยบายขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยง หรือชะลอการเดินทางเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID -19 ระลอกใหม่ และได้มีการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 31 กรกฎาคม 2564 ดังนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงขอแจ้งปรับแผนให้บริการขบวนรถเส้นทางต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ โดยขยายระยะเวลางดให้บริการขบวนรถเชิงพาณิชย์ (รถทางไกล) ขบวนรถเชิงสังคม (รถระยะสั้น) จำนวน 121 ขบวน ออกไปอีกจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
อย่างไรก็ตาม รฟท. ได้คำนึงถึงความเหมาะสมในการให้บริการแก่ประชาชน โดยพิจารณางดเดินขบวนรถเฉพาะเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อยและไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน และยังคงมีขบวนรถโดยสาร ทั้งขบวนรถเชิงพาณิชย์ (รถทางไกล) ขบวนรถเชิงสังคม (รถระยะสั้น) มากถึงจำนวน 115 ขบวน ให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอทุกเส้นทาง
สำหรับประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางในขบวนรถที่งดให้บริการไว้แล้ว สามารถติดต่อขอคืนเงินได้เต็มราคาที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ รฟท. ยังเพิ่มความมั่นใจในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 ในการให้บริการแก่ผู้โดยสารทั้งในขบวนรถโดยสาร สถานีรถไฟทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตลอดการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ในวันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำให้เรือนจำ/ทัณฑสถานลงข้อมูลในระบบให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด ส่วนทางด้านการบริหารจัดการเรือนจำ ได้มอบหมายให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาในเรื่องสถานที่ของการรับตัวผู้ต้องขังจากศาล และย้ายระบายผู้ต้องขังที่เป็นสีเขียว (ป่วยไม่มีอาการ) ไปควบคุมในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น เรือนจำชั่วคราว ก่อนที่จะส่งตัวเข้าจำคุกในเรือนจำต่อไป อีกทั้งเน้นเรื่องการบริหารจัดการเรื่องห้องกักโรค ยกระดับห้องควบคุมโรคให้ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายโรค และป้องกันการติดเชื้อภายในเรือนจำ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนเรือนจำสีขาว ที่ยืนยันว่าไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน ๑๑๖ แห่ง โดยทุกเรือนจำได้มีมาตรฐานห้องกักกันโรค มีการตรวจหาเชื้อตามระบบ PCR และระบบการกักตัวก่อนเข้าเรือนจำอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีการสุ่มตรวจหาเชื้อในกลุ่มเจ้าหน้าที่ทุกสัปดาห์ และผู้ต้องขังทุก ๑๔ วัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานแนวทางของกรมควบคุมโรค
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องระบบการส่งผู้พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ด้วยการส่งต่อไปยังการดูแลของหน่วยงานด้านสาธารณสุข การสร้างหรือกำหนดบ้านพักพิงเพื่อการกักตัวในกรณีที่ไม่สามารถส่งต่อ โดยขณะนี้มีการใช้อาคารแสดงสินค้าของเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นที่พักพิงและกำลังดำเนินการปรับปรุงบ้านเพิ่มเติม รวมทั้งให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ หรือ ศูนย์ CARE (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) กรมราชทัณฑ์ เข้ามาช่วยสนับสนุนติดตามผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ติดเชื้อที่พ้นโทษหรือได้รับการปล่อยตัวได้รับการดูแลรักษาต่ออย่างถูกต้องและไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42242 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ในช่วงการหารือระหว่างผู้นำ (Leaders' Dialogue) | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ในช่วงการหารือระหว่างผู้นำ (Leaders' Dialogue)
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ในช่วงการหารือระหว่างผู้นำ (Leaders' Dialogue)
ท่านประธาน
และท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
ผมขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีมุน ที่เชิญผมเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ แต่โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปพบปะเจอตัวกัน ก็หวังว่าจะสามารถกระทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ อย่างไรตาม การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสให้พวกเราได้หารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูจากโควิด-19 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาคมโลกในทุกมิติ และเป็นอุปสรรคสำคัญ ต่อการบรรลุเอสดีจี ดังนั้น การฟื้นฟูจากการแพร่ระบาดนี้ จึงควรสอดคล้องกับการขับเคลื่อนเอสดีจี และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องหลักสุขภาพหนึ่งเดียว ซึ่งครอบคลุมทั้งมนุษย์และธรรมชาติ
เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายดังกล่าว ประเทศไทยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการเสริมสร้างพลังของประชาชน สร้างความต้านทาน และส่งเสริมความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างครอบคลุม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ไทยได้ประกาศให้การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว แบบองค์รวม เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญต่อการฟื้นฟูประเทศจาก โควิด-19 ให้เรากลับมาเข้มแข็งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม ผ่านการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสียทรัพยากรตลอดห่วงโซ่การผลิต เปลี่ยนของเสียให้มีมูลค่า และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายด้วยการขับเคลื่อนผ่านกลไกจตุภาคี
ที่ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน
ผมเชื่อว่า โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของมนุษยชาติ และเมื่อมองไปข้างหน้า โมเดลเศรษฐกิจนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับประชาคมระหว่างประเทศในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเอเปค ที่เราจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า
ในด้านสิ่งแวดล้อม โควิด-19 ทำให้ความร่วมมือ ที่เกี่ยวข้องในเวทีระหว่างประเทศต้องชะงักงัน ผมจึงขอถือโอกาสนี้ สนับสนุนให้ทุกประเทศเร่งดำเนินการ ตามพันธกรณีต่าง ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายในทุกรูปแบบ ตลอดจนควรแสดงเจตจำนงร่วมกันในการผลักดันให้การประชุมที่เกี่ยวข้องในปีนี้ โดยเฉพาะการประชุม COP 26 ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ที่สหราชอาณาจักร มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
สำหรับประเทศไทย ตัวอย่างที่สำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่นี้ คือเราอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีสาระครอบคลุมการดำเนินการในทุกมิติที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและชุมชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ จำนวน 15 ล้านคัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2578 เพื่อเป็นการลดมลพิษด้วย และการกำหนดมาตรฐาน ราคาของคาร์บอนเครดิตที่เป็นธรรม รวมทั้ง การปลูกต้นไม้ยืนต้นร้อยล้านต้น เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้มากขึ้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น อีกทั้ง การลดขยะบนบก ขยะทะเล ตามยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทที่รัฐบาลได้กำหนดไว้เพื่อไปสู่เป้าหมายให้ได้โดยเร็ว สนับสนุนการประกอบการค้า อุตสาหกรรมสีเขียว โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนในการประกอบการธุรกิจ ได้แก่ เคารพ คุ้มครอง เยียวยา
ทุกท่านครับ
เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า วิกฤตโควิด-19ได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในหลายด้าน ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้น ผมจึงขอเชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมกันหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือใหม่ๆ ในทุกระดับและทุกช่องทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการเติบโตสีเขียวอย่างแท้จริงและยั่งยืน
สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชมนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัสของเกาหลีใต้ และเห็นว่า เราควรกระชับความเป็นหุ้นส่วนผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกันภายใต้นโยบายสีเขียวใหม่ของเกาหลีใต้ โมเดลเศรษฐกิจบีซีจีของไทย และแนวทางการฟื้นฟูสีเขียวของประเทศอื่น ๆ ในกรอบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเอเปค ซึ่งไทยจะเป็นประธานในปี 2565
ขอบคุณครับ
*******************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยกทม.-หอการค้าไทย-เซ็นทรัลเวิลด์–รพ.จุฬาลงกรณ์ ยืนยันประเทศไทยได้รับวัคซีน AstraZeneca วันที่ 7 มิ.ย. ตามกำหนด | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยกทม.-หอการค้าไทย-เซ็นทรัลเวิลด์–รพ.จุฬาลงกรณ์ ยืนยันประเทศไทยได้รับวัคซีน AstraZeneca วันที่ 7 มิ.ย. ตามกำหนด
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยกทม.-หอการค้าไทย-เซ็นทรัลเวิลด์–รพ. จุฬาลงกรณ์ ยืนยันประเทศไทยได้รับวัคซีน AstraZeneca วันที่ 7 มิ.ย. ตามกำหนด
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) เวลา 13.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลเอกตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด-19 โดยกรุงเทพมหานคร – หอการค้าไทย – เซ็นทรัลเวิลด์ – โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 2,000 คนต่อวัน ผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อมและไทยร่วมใจ รวมถึงกลุ่มผู้มีรายชื่อจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และพนักงานด่านหน้ากลุ่มเซ็นทรัล
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายและให้กำลังใจประชาชนระหว่างรอเข้ารับการฉีดวัคซีน พร้อมสอบถามผู้ที่ได้รับบริการฉีดวัคซีนและอยู่ระหว่างสังเกตอาการด้วยความสนใจ โดยยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน และจะมีการกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนทั่วประเทศอย่างเร็วที่สุด พร้อมให้ความมั่นใจว่า การส่งมอบวัคซีนจาก AstraZeneca เป็นไปตามที่กำหนดวันที่ 7 มิถุนายน 2564 โดยจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของวัคซีนก่อนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน จากนั้นจะเร่งฉีดวัคซีนตามแผน อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังชี้แจงว่า แผนบริการการกระจายวัคซีนจะต้องมีการปรับทุกเดือน เนื่องจะจากมีวัคซีนทยอยเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยทำงานภายใต้กลไกล ศบค. และความคิดเห็นของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42253 |
รัฐบาลไทย-รมว.วธ เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ วัดโมลีโลกยาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ วัดโมลีโลกยาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42250 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ตัวแทนกลุ่มผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน กลุ่มประชาชนผู้ให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน และกลุ่มรถแท็กซี่ เข้าพบ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ตัวแทนกลุ่มผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน กลุ่มประชาชนผู้ให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน และกลุ่มรถแท็กซี่ เข้าพบ
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ให้ตัวแทนกลุ่มผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน กลุ่มประชาชนผู้ให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน และกลุ่มรถแท็กซี่ เข้าพบ เพื่อแสดงการสนับสนุนต่อร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 แล้วนั้น วานนี้ (31 พฤษภาคม 2564) ผู้แทนจากบริษัทผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน และผู้แทนกลุ่มผู้ขับรถ ได้รวมตัวกันเพื่อขอเข้าแสดงความเห็นสนับสนุนต่อร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว รวมทั้งแสดงความขอบคุณที่ภาครัฐโดยกระทรวงคมนาคมสนับสนุนและเปิดโอกาสให้รถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันเป็นบริการขนส่งสาธารณะทางเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นนโยบายเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมที่ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เร่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ภาครัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลให้เกิดความปลอดภัยและเป็นธรรมในการให้บริการ และส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันสามารถประกอบอาชีพเสริมได้อย่างถูกต้อง และเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน พร้อมกันนี้ได้ให้ ขบ. เชิญผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน ผู้ให้บริการแท็กซี่ในปัจจุบัน และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาควิชาการ และหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น ร่วมให้ความเห็นเพื่อความเป็นธรรมในการให้บริการรถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันอย่างรอบด้านและครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งได้กำหนดกรอบระยะเวลาให้ ขบ. เร่งดำเนินการรถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชัน โดยต้องดำเนินการออกประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้องทันทีภายหลังกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับภายในเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งผู้ให้บริการแอปพลิเคชันต้องมายื่นขอรับรองและเมื่อได้รับการรับรองแล้ว จึงจะสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนให้ประชาชนที่มีความประสงค์จะขับรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันได้ ซึ่งก็จะมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาขับรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันด้วย ทั้งนี้ กลุ่มรถแท็กซี่ได้ให้ความเห็นว่าควรปรับปรุงเงื่อนไขต่าง ๆ เกี่ยวกับรถแท็กซี่ให้มีความสอดคล้องหรือเท่าเทียมกับรถยนต์รับจ้างให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน เช่น อนุญาตให้ใช้รถขนาดเล็กมาจดทะเบียนเป็นรถแท็กซี่ได้ และปรับอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ขนาดใหญ่ให้มีความเหมาะสม รวมถึงให้รถแท็กซี่สามารถติดฟิล์มได้เหมือนรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งในการนี้ได้กำชับให้ ขบ. เร่งสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการแท็กซี่และประชาสัมพันธ์ถึงการขั้นตอนการดำเนินการให้ชัดเจนต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ ขบ. ต้องดำเนินการออกประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้องภายหลังกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เช่น การกำหนดอัตราค่าโดยสารสำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์, หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองระบบอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องหมายสำหรับรถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์, หลักเกณฑ์และวิธีการวัดกำลังของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า, เงื่อนไขและขั้นตอนในการจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างทางเลือกดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนที่มีความประสงค์ที่จะประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างทางเลือกสามารถไปสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ ขบ. รับรอง ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ใช้ในการให้บริการ นำหลักฐานต่าง ๆ พร้อมรถยนต์ส่วนบุคคลมาเปลี่ยนประเภทการจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้าง ก่อนออกให้บริการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบื้องต้นรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจะต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปี ซึ่งสอดคล้องกับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (รถแท็กซี่) ในปัจจุบัน ส่วนผู้ให้บริการแอปพลิเคชันต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย และได้รับการรับรองจาก ขบ. ด้านผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ด้านตัวรถจะต้องมีการทำประกันภัยเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้โดยสาร และมีการติดเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างทางเลือก ซึ่งรถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันสามารถให้บริการผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น ไม่สามารถรับผู้โดยสารจากการโบกเรียกข้างทางได้ นอกจากนี้ ขบ. ต้องเร่งพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเป็นทางเลือกให้รถแท็กซี่ใช้แทน GPS ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับผู้ขับรถแท็กซี่เพิ่มเติม เนื่องจากผู้โดยสารสามารถเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ โดยมี ขบ. ทำหน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และติดตามรถแท็กซี่เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42267 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. ให้ใช้ Bubble and Seal ควบคุมโรคโควิด 19 ในโรงงานแปรรูปไก่ จ.สระบุรี | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ปลัดสธ. ให้ใช้ Bubble and Seal ควบคุมโรคโควิด 19 ในโรงงานแปรรูปไก่ จ.สระบุรี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ ร่วมวางแผนควบคุมโรคโควิด 19 โรงงานแปรรูปไก่ จังหวัดสระบุรี ปรับใช้มาตรการ Bubble and Seal ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบ และกลุ่มพนักงานที่เดินทางไป-กลับบ้าน ป้องกันการแพร่เชื้อในครอบครัว
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) ที่จังหวัดสระบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พูนลาภฉันทวิจิตรวงศ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โรคโควิด19 ในโรงงานแปรรูปไก่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้ปิดโรงงานเพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 คาดว่าจะเปิดโรงงานในวันที่ 4 มิถุนายนนี้
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ทำให้เห็นสภาพปัญหาของการแพร่ระบาดในโรงงานแปรรูปไก่ ซึ่งข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ตรวจหาเชื้อทั้งหมด 4,863 ตัวอย่าง พบผู้ติดเชื้อ 427 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดไม่แสดงอาการ เข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว รวมทั้งได้ศึกษาสภาพแวดล้อมของโรงงานและการอยู่อาศัยของพนักงานพบว่า โรงงานแปรรูปไก่แห่งนี้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงาน 5,905 คน มีหอพักของพนักงานอยู่ใกล้โรงงาน 2 แห่ง แรงงานต่างชาติทั้งหมด 1,669 คนและแรงงานไทยประมาณ 500 คนพักในหอพัก ที่เหลือประมาณ 3,000 คน เป็นผู้ทำงานไป-กลับ ในจังหวัดสระบุรี และโดยรอบรวม 9 จังหวัด บางส่วนเดินทางด้วยรถขนส่งของบริษัทที่จัดไว้ให้
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ชี้แจงทำความเข้าใจและวางแผนร่วมกับผู้ประกอบการ นำมาตรการBubble and Seal ไปปรับใช้ให้เหมาะสม เร่งควบคุมและจำกัดวงการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็ว รวมถึงการบริหารจัดการกลุ่มแรงงานที่เข้าไปทำงาน ป้องกันความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ เป็นการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ โดยจะให้เริ่มในกลุ่มแรงงานที่อยู่หอพักและเดินทางไปกลับด้วยรถรับส่งของโรงงาน ที่ได้รับการตรวจแล้วว่าไม่มีการติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว และเคร่งครัดมาตรการองค์กร มาตรการส่วนบุคคล DMHTT รวมทั้งให้เฝ้าระวังการแพร่เชื้อไปสู่ครอบครัวจากกลุ่มคนงานที่เดินทางไป-กลับบ้าน เบื้องต้นพบแล้วใน 3 ครอบครัว นอกจากนี้ แจ้งให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอื่นๆ 8 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา เพชรบูรณ์ สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง ลพบุรี นครนายก นครราชสีมา ที่มีพนักงานเดินทางมาทำงาน เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สำหรับด้านการรักษา ได้เตรียมโรงพยาบาลสนามเจ็ดคต จำนวน 160 เตียง และโรงพยาบาลสนามตะกุด เฟสแรก 250 เตียง ขยายได้ถึง 500 เตียงรองรับผู้ป่วยที่มีการเล็กน้อย และโรงพยาบาลพระพุทธบาท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์สระบุรีสำหรับผู้ป่วยอาการปานกลาง และผู้ป่วยอาการหนัก หรือปอดอักเสบ ส่งโรงพยาบาลสระบุรี
*************************** 31 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42260 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เสียใจต่อการเสียชีวิตของเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายกฯ เสียใจต่อการเสียชีวิตของเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย
นายกฯ เสียใจต่อการเสียชีวิตของเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสียใจต่อการเสียชีวิตของ นายอันดรีย์ เบซตา (H.E. Mr. Andrii Beshta) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งยูเครนประจำประเทศไทย ซึ่งได้เสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 ที่ จ.สตูล ก่อนหมดวาระการดำรงตำแหน่งในประเทศไทย และเตรียมเดินทางกลับยูเครน
นายอันดรีย์ เบซตา ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐยูเครนประจำประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 และมีกำหนดจะพ้นจากหน้าที่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มิถุนายน 2564 ซึ่งตลอดระยะเวลาการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ ถือได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และยูเครน และเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเสียใจกับการจากไปของนายเบซตาซึ่งเป็นมิตรของไทย และจะมีหนังสือแสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการในโอกาสแรก รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยอำนวยความสะดวกตามความประสงค์ของครอบครัวเอกอัครราชทูตฯ อย่างสมเกียรติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42240 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3 | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3
รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3 หรือ PSMA พร้อมแสดงจุดยืนจะมุ่งมั่นในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย และจะดำเนินตามนโยบาย IUU Free Thailand
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมระดับสูงเพื่อเปิดการประชุมภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3 หรือ PSMA ที่จัดขึ้นโดย FAO และ EU เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ในการดำเนินงานตามมาตรการรัฐเจ้าของท่า เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประมงและมหาสมุทรอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยได้กำหนดให้การต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย “IUU” เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลไทยได้ปฏิรูปกฎหมายและการบริหารจัดการด้านการประมง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎระเบียบระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า ตั้งแต่ปี 2559 และดำเนินงานตามมาตรการ PSMA อย่างเคร่งครัดตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าประมง ทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยป้องกันมิให้เรือประมงที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมายเข้าเทียบท่าและนำสัตว์น้ำที่จับได้มาขึ้นท่าเรือ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้จับกุมและปฏิเสธการเทียบท่าของสินค้าสัตว์น้ำที่ผิดกฎหมาย IUU จำนวนมากกว่า 3,500 ตัน ซึ่งปัจจัยความสำเร็จของไทยในการดำเนินมาตรการ PSMA มาจากการประสานความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพระหว่างรัฐภาคี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวในฐานะตัวแทนประเทศไทย ได้ขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกภาคี โดยเฉพาะรัฐเจ้าของธง ต้องให้ความร่วมมือและดำเนินมาตรการ PSMA อย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐเจ้าของท่าในการติดตาม ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย และการตรวจสอบย้อนกลับ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสนับสนุนการทำงานของ FAO ในการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศสมาชิก ให้สามารถดำเนินมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของมาตรการ PSMA รวมทั้งมาตรการระหว่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมายในระดับโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวประมง โดยมีการปรับปรุงกฎระเบียบในการทำประมง การติดตั้งระบบติดตามเรือประมง (VMS) การเฝ้าระวังเรือประมงไทยและต่างชาติอย่างเข้มงวด การประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านประมงและหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย เพื่อสนับสนุนการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดกฎหมายประมง และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
“ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนแนวคิดการปรับเปลี่ยนไปสู่การมีระบบอาหารที่ยั่งยืน สามารถปรับตัวได้ในทุกภาวะวิกฤติ และพร้อมจะแสดงศักยภาพและบทบาทที่สำคัญของการทำประมงพื้นบ้านและประมงขนาดเล็ก รวมทั้งการจัดการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เราทุกคนต่างมุ่งหวังว่า ผู้แทนประเทศสมาชิกจะกลับไปพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่จะร่วมกันสร้างความยั่งยืนด้านการประมง และปกป้องฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและมหาสมุทร โดยในส่วนของประเทศไทยขอยืนยันว่าจะมุ่งมั่นในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย และจะดำเนินตามนโยบาย IUU Free Thailand ต่อไป” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42252 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. ฝั่งธนบุรี เร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. ฝั่งธนบุรี เร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ กทม. ฝั่งธนบุรี เร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
วันนี้ (31 พ.ค. 64) เวลา 15.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่องรัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ระดมการรับบริจาคเงินและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในพื้นที่ 50 เขต กทม. รวมทั้งต่างจังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย
นายอนุกูลกล่าวต่อไปว่า วันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มอบหมาย ทีม พม. เรามีเรา โดยนายธนสุนทร สว่างสาลี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ 3 เขต กทม. ฝั่งธนบุรี ได้แก่ 1) เขตบางแค ณ วัดพรหมสามัคคี 2) เขตบางกอกน้อย ณ วัดใหม่ยายมอญ และ 3) เขตบางกอกใหญ่ ณ ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปง.อพม.) เขตบางกอกใหญ่(บริเวณใต้สะพานอนุทินสวัสดิ์ ถนนอรุณอัมรินทร์) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและน้ำดื่ม รวมทั้งสิ้น 300 ชุด และแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ให้กับประธาน อพม. เขต เพื่อนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อีกทั้งเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพแก่ครอบครัวกลุ่มเปราะบาง และที่สำคัญ ยังได้นำเตียงลมมามอบให้ผู้สูงอายุป่วยติดเตียง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับที่ส่งผลต่อการติดเชื้อและบรรเทาความเจ็บปวด ทั้งนี้ กระทรวง พม.ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก อพม. ในพื้นที่ ถือเป็นส่วนสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการกระจายความช่วยเหลือต่างๆ ภายในชุมชน
นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทางกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม.และปริมณฑล ซึ่งสามารถรองรับได้ประมาณ 400 คน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล 24 ชั่วโมง และมีอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ทั้งนี้ หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้ง อพม. ในพื้นที่ โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือและประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. ลงพื้นที่เขตพญาไท กทม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางใน 3 ชุมชน | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. ลงพื้นที่เขตพญาไท กทม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางใน 3 ชุมชน
สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ พม. ลงพื้นที่เขตพญาไท กทม. มอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทานให้กลุ่มเปราะบางใน 3 ชุมชน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงดำเนินโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ด้วยการนำอาหารกล่องพระราชทานไปมอบให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ วันละ 300 กล่อง เป็นระยะเวลา 35 วัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 10,500 กล่อง ซึ่งในวันที่ 29 พ.ค. 64สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สนับสนุนโดย โครงการสลากการกุศล ลงพื้นที่เขตพญาไทเพื่อมอบอาหารโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน จำนวน 300 กล่อง ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ ชุมชนสุขสวัสดิ์ จำนวน 50 กล่อง ชุมชนมะกอกกลางสวน จำนวน 150 กล่อง ชุมชนมะกอกส่วนหน้า จำนวน 100 กล่อง โดยมี แพทย์หญิงสุวณี รักธรรม รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นผู้แทนมอบให้แก่ผู้นำชุมชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42236 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งเตือนเพจปลอม อ้างธนาคารอิสลาม | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
แจ้งเตือนเพจปลอม อ้างธนาคารอิสลาม
ไอแบงก์พบว่าได้มีมิจฉาชีพสร้างเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างชื่อธนาคารอิสลาม ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อว่า ธนาคาร อิสลาม ธนาคารอิสลาม และโลโก้ของธนาคาร พร้อมทั้งแอบอ้างเป็นแอดมินของธนาคาร
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พบว่าได้มีมิจฉาชีพสร้างเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างชื่อธนาคารอิสลาม ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อว่า ธนาคาร อิสลาม ธนาคารอิสลาม และโลโก้ของธนาคารพร้อมทั้งแอบอ้างเป็นแอดมินของธนาคาร โดยมีการนำข้อมูลและภาพของมูลนิธิคนช่วยฅนที่รับบริจาคในโครงการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ยากไร้ ไปแก้ไข ดัดแปลง เพิ่มเติมและโน้มน้าวให้บริจาคเข้าบัญชีส่วนตัว
ธนาคารขอยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าว หากบุคคลใดได้รับความเสียหายสามารถแจ้งความเอาผิดกับเพจดังกล่าวได้ทันที โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการพิจารณาแจ้งความและดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลเจ้าของเพจที่สร้างเพจปลอมขึ้น และขอแจ้งว่า เพจที่ถูกต้องของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย คือ Islamic Bank of Thailand - ibank หรือค้นหาบนเฟซบุ๊กว่า @ibank.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42255 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงการพนันบอลยูโร กำชับ เร่งป้องกัน พร้อม สั่งเข้ม หลังได้รับรายงาน ร้านอาหารแอบขายเหล้า | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
นายกฯ ห่วงการพนันบอลยูโร กำชับ เร่งป้องกัน พร้อม สั่งเข้ม หลังได้รับรายงาน ร้านอาหารแอบขายเหล้า
นายกฯ ห่วงการพนันบอลยูโร กำชับ เร่งป้องกัน พร้อม สั่งเข้ม หลังได้รับรายงาน ร้านอาหารแอบขายเหล้า
เมื่อวันที่13มิ.ย.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นห่วงสถานการณ์การเล่นการพนันในช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร2020รอบสุดท้ายจึงได้กำชับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ฝ่ายปกครองกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในการตรวจสอบป้องกันการพนันฟุตบอลทั้งการลักลอบเปิดโต๊ะพนันในพื้นที่ต่างๆและการพนันออนไลน์ซึ่งมีอย่างแพร่หลายในปัจจุบันโดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบหากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่มีละเว้น
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรีส่งความสุขให้ประชาชนได้รับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร2020รอบสุดผ่านช่องNBT2HDโดยเห็นว่าจะช่วยลดความเครียดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเล่นการพนันซึ่งถือว่าผิดกฎหมายที่สำคัญยังเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัทย์สินจากการเล่นการพนันด้วยนอกจากนี้ยังขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาพบการลับลอบเปิดโต๊ะพนันรวมถึงแหล่งพนันออนไลน์ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดี
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานการลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารโดยเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดในมาตรการควบคุมโรคตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19หรือศบค.จึงกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหมั่นตรวจตราร้านอาหารทุกพื้นที่เพื่อป้องกันการกระทำความผิดพร้อมย้ำให้เจ้าหน้าที่ไม่ปล่อยปละละเลยอันจะเป็นเหตุของแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ
...........
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่ศูนย์ฉีดซีคอนบางแค | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่ศูนย์ฉีดซีคอนบางแค
ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานด้านติดตามศึกษานโยบายแรงงาน และโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ซีคอนสแควร์สาขาบางแค
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประธานอนุกรรมาธิการการแรงงานด้านติดตามศึกษานโยบายแรงงาน และโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ซีคอนสแควร์สาขาบางแค เพื่อให้กำลังใจผู้ประกันตน บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม
พร้อมนี้ ได้มอบเงินบริจาคในนามประธาน ‘สถาบันอนุสรี รวมใจให้กัน’ เพื่อเป็นค่าอาหารแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ประกันสังคมที่มาปฏิบัติงานในการฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตนสำหรับศูนย์ฉีดแห่งนี้มีศักยภาพการฉีดวันละ 1,000 คน โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมสอบถามประชาชนถึงการให้บริการของศูนย์ โดยมี นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม ให้การต้อนรับ และนำผู้บริหาร บริษัท สมอทอง คาสเซ่อร์พีค โรงงานผลิตชุดนักเรียน ในพื้นที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 6 ร้องเรียนเรื่องการรับบริการเร่งด่วนขอฉีดวัคซีน เนื่องจากโรงงานอยู่ในพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์ มีคนงานติดเชื้อแล้วหลายราย จึงขอความเห็นใจในการเร่งรัดฉีดวัคซีนแรงงานที่เหลือหลักพันคนในโรงงาน ซึ่ง น.ส.อนุสรี และคณะได้ร่วมรับฟังและประสานงานระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไปด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42689 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม จัดการประชุมรับฟังคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม จัดการประชุมรับฟังคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1
(ปฐมนิเทศโครงการ) โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานกาฬสินธุ์
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน มอบหมายให้ นายอาทิตย์ วินิจสร ผู้อำนวยการกองก่อสร้างและบำรุงรักษา เป็นผู้แทนกรมท่าอากาศยานเข้าร่วมการประชุมรับฟังคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยได้รับเกียรติจาก นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 ณ โรงแรมริมปาว อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์
โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของโครงการก่อสร้างท่าอากาศยาน ศึกษาปัจจัยด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาท่าอากาศยาน ศึกษาและออกแบบเบื้องต้นโครงการก่อสร้างท่าอากาศยาน รวมถึงศึกษาปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาท่าอากาศยาน โดยผลที่ได้จากการศึกษาในโครงการฯ คือพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้างท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ และการเชื่อมโยงพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยาน แบบแปลนเบื้องต้นของท่าอากาศยาน รวมถึงข้อมูลสนับสนุนในการขอความเห็นชอบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้ มีการนำเสนอรายละเอียดโครงการ ขั้นตอน แนวทางของการศึกษา สภาพปัจจุบันของพื้นที่ศึกษา แนวโน้มความต้องการใช้ท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ พื้นที่ตั้งท่าอากาศยานเบื้องต้น ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น รวมถึงการรับฟังข้อคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน
สำหรับโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีแนวความคิดเบื้องต้นในการก่อสร้างเนื่องจากจังหวัดกาฬสินธุ์มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ยังไม่มีการขนส่งทางอากาศ และจังหวัดกาฬสินธุ์ได้กำหนดในแผนพัฒนาจังหวัด 5 ปี พ.ศ. 2561 - 2565 กรมท่าอากาศยานจึงเล็งเห็นถึงประโยชน์ในการก่อสร้างท่าอากาศยานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกต่อประชาชน โดยหลังจากนี้กรมท่าอากาศยานจะดำเนินการเกี่ยวกับงานสำรวจออกแบบระบบท่าอากาศยาน และจัดทำแบบรายละเอียดเบื้องต้น รวมถึงงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) เพื่อจัดการประชุมกลุ่มย่อยในระดับพื้นที่ตามขั้นตอนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังยัน! ไม่ได้กู้เงินเพื่อซื้อทองคำ | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
คลังยัน! ไม่ได้กู้เงินเพื่อซื้อทองคำ
ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับการกู้เงินของรัฐบาลว่า “ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันทำไมรัฐบาลต้องกู้เงินไปซื้อทองคำจำนวน 43.5 ตัน เพื่อใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ” ผ่าน Facebook page “Open Up” นั้น
ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับการกู้เงินของรัฐบาลว่า “ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันทำไมรัฐบาลต้องกู้เงินไปซื้อทองคำจำนวน 43.5 ตัน เพื่อใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ” ผ่าน Facebook page “Open Up” นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ได้เฉพาะ 6 วัตถุประสงค์เท่านั้น กล่าวคือ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ บริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ และเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้
ในภาวะปกติ กระทรวงการคลังจะกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 จำนวน 8.59 ล้านล้านบาท เป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนสูงถึงร้อยละ 70 หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุดถึง 165 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ในสาขาคมนาคมขนส่ง สาธารณูปการ พลังงาน สังคม และการพัฒนาพื้นที่ ทั่วภูมิภาคและทั่วประเทศ โดยมีโครงการที่แล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้วจำนวน 60 กว่าโครงการ และอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกกว่า 105 โครงการ
สำหรับในภาวะที่ไม่ปกติ กระทรวงการคลังจะกู้เงินโดยการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่มีลักษณะเป็นการเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศเป็นการเร่งด่วน อาทิ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดหาเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 วงเงิน 500,000 ล้านบาท และ พ.ศ. 2545 วงเงิน 780,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 (Asian financial crisis) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม (Hamburger crisis) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 500,000 ล้านบาท
กระทรวงการคลังขอเน้นย้ำว่า กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังและเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น ไม่ได้กู้เงินเพื่อซื้อทองคำสำหรับเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ อีกทั้ง ยังได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะและชำระคืนหนี้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และตรงเวลามาอย่างต่อเนื่อง
สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายของแผนที่กำหนดไว้ ยอดสะสมกว่า 6 ล้านโดสแล้ว ไทยมียอดการฉีดวัคซีนโควิด-19 สะสมเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
รัฐบาลฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายของแผนที่กำหนดไว้ ยอดสะสมกว่า 6 ล้านโดสแล้ว ไทยมียอดการฉีดวัคซีนโควิด-19 สะสมเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน
รัฐบาลฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายของแผนที่กำหนดไว้ ยอดสะสมกว่า 6 ล้านโดสแล้ว ไทยมียอดการฉีดวัคซีนโควิด-19 สะสมเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าหลังจากพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเริ่มนโยบายการฉีดวัคซีนโควิด-19แบบปูพรมทั่วประเทศตั้งแต่วันที่7มิ.ย. 2664เป็นต้นมานั้นในช่วงวันที่7-12มิ.ย2564ที่ผ่านมามีการฉีดวัคซีนทั่วประเทศจำนวน1,865,190โดสและตั้งแต่วันที่28กพ. - 12มิ.ย. 2564มีการฉีดสะสมแล้วรวมทั้งสิ้น6,081,242โดสแยกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่1จำนวน4,456,786รายและผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่2จำนวน1,624,456รายส่งผลให้ปัจจุบันไทยมียอดการฉีดวัคซีนโควิด-19สะสมเป็นอันดับที่3ของอาเซียนและเป็นไปตามเป้าหมายของแผนการฉีดวัคซีนสำหรับประชากรไทยในประเทศไทย
สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33โดยกระทรวงแรงงานนั้นสำนักงานประกันสังคมได้ปรับปรุงระบบการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19เพื่อให้การฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยจะเปิดให้บริการแก่ผู้ประกันตนม33ที่นายจ้างได้ลงทะเบียนในระบบe-Serviceอีกครั้งในวันจันทร์ที่14มิถุนายน2564อย่างแน่นอนทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่7มิ.ย. 2564เป็นต้นมาสำนักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงานสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19เข็มแรกไปแล้วมากกว่า2แสนรายโดยมีผู้ประกันตนม33ที่แสดงความประสงค์ฉีดวัคซีนจำนวน 6,037,497คนเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณทลประมาณ3.6ล้านคนและในพื้นที่Eastern Seaboardและส่วนภูมิภาคอีกกว่า2.3ล้านคนซึ่งกระทรวงแรงงานจะเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนตามเป้าหมายที่วางไว้โดยเร็ว
ในส่วนของการฉีดวัคซีนโควิด-19ในพื้นที่กรุงเทพมหานครจนถึงวันที่12มิ.ย2564มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19สะสมแล้วจำนวน1,678,948โดสแยกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่1จำนวน944,552รายและผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่2จำนวน367,198รายนอกจากนี้การกระจายวัคซีนไปตามพื้นที่จังหวัดต่างๆนั้นรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้โดยจากนี้ไปจะมีการกระจายวัคซีนโควิด-19ได้เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับการส่งมอบจากผู้ผลิต
............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ.บุรีรัมย์ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
จ.บุรีรัมย์ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 จ.บุรีรัมย์ เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว ก่อนเปิดเมืองฟื้นฟูเศรษฐกิจ รับนักท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 จ.บุรีรัมย์ เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว ก่อนเปิดเมืองฟื้นฟูเศรษฐกิจ รับนักท่องเที่ยว ขณะนี้ลงทะเบียนรับวัคซีนแล้วเกินครึ่งของประชากรเป้าหมาย
วันนี้ (13 มิถุนายน 2564) ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 พื้นที่ จ.บุรีรัมย์ พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ หน้ากากอนามัย N95 เจลแอลกอฮอล์ ให้แก่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ และส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 10,196 กรมธรรม์ แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนของจังหวัดบุรีรัมย์
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้มีนโยบายให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความมั่นใจและควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดในระยะยาว จ.บุรีรัมย์ จึงจัดฉีดวัคซีนหวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประชาชนให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 70 เพื่อเตรียมเปิดเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงเพื่อสอดรับโครงการ “1 ตุลาคม 2564 ทัวร์เที่ยวไทย โดยไม่กักตัว” ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เนื่องจากจังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดหนึ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่ได้มาตรฐาน เช่น กีฬามอเตอร์สปอต และการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงความจำนงลงทะเบียนรับวัคซีน จำนวนถึง 582,153 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 52.6 โดยลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง คือ แอพพลิเคชันไลน์หมอพร้อม บุรีรัมย์ไอซี และอสม.เคาะประตูบ้าน ดังนั้น เพื่อให้ครบ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรหรือ 1,106,749 คน ต้องร่วมมือกันเชิญชวนคนรอบข้างมาฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และปกป้องตนเอง ครอบครัวและชุมชนไปด้วยกัน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการบริหารจัดการวัคซีน จ.บุรีรัมย์ (Buriram Healthy Vaccine model) เริ่มเน้นการฉีดในอาชีพและผู้ที่มีความเสี่ยงก่อน เช่น ผู้มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรทางการศึกษา ผู้ให้บริการโรงแรม ขนส่งสาธารณะ ธนาคาร ร้านอาหาร ร้านตัดผม เป็นต้น และพิจารณาในพื้นที่เสี่ยงที่ยังคงพบการระบาด หัวเมืองหลัก-รอง และพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2564 พบว่าประชาชน ใน จ.บุรีรัมย์ ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 112,721 คน และได้รับครบ 2 เข็มแล้ว จำนวน 55,777 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ของกลุ่มเป้าหมาย โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนทุกคนจะได้รับ เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน และสติ๊กเกอร์แสดงสถานะของการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม
สำหรับความพร้อมและศักยภาพของจุดบริการฉีดวัคซีน จ.บุรีรัมย์ ได้กระจายไปทุกอำเภอเพื่อให้บริการประชาชนตามเป้าหมายครอบคลุมร้อยละ 70 โดยโรงพยาบาลสนามช้างเซอร์กิต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ แห่งนี้ เป็นจุดบริการหลักที่ได้มาตรฐาน รองรับผู้มาฉีดวัคซีนได้มากที่สุดจำนวนถึง 4,000-5,000 คน ต่อวัน เป็นการช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ไม่ให้กระทบต่อผู้ป่วยทั่วไป เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2564 จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ อาทิ ตำรวจ อบจ. อบต. โรงพยาบาล โดยเฉพาะได้รับการเอื้อเฟื้อสถานที่ และอำนวยความสะดวกทั้งระบบน้ำ ไฟ อาหาร และระบบกำจัดขยะทั่วไป ส่วนความพร้อมของจุดสังเกตอาการ 30 นาที มีเตียงรองรับถึง 20 เตียง พร้อมด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพ และรถพยาบาล 3 คัน สามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลได้ภายใน 12 นาที นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลสนามระดับอำเภอ จำนวน 8 แห่ง รองรับได้
1,000-1,500 คน ต่อวัน และโรงพยาบาลชุมชนอีก 14 แห่ง รองรับได้ถึง 600 -800 คนต่อวัน
******************************** 13 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง การกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ดำเนินการตาม ศบค.กำหนด | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
สธ.แจง การกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ดำเนินการตาม ศบค.กำหนด
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง การกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ดำเนินการตามแผน ศบค. กำหนด ส่วนการบริหารจัดการฉีดขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดและกทม.จัดการตามจำนวนที่ได้รับ เพื่อให้ฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง การกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ดำเนินการตามแผน ศบค. กำหนด ส่วนการบริหารจัดการฉีดขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดและกทม.จัดการตามจำนวนที่ได้รับ เพื่อให้ฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าก่อนเดือนกันยายน คนไทยประมาณร้อยละ 60-70 จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก
วันนี้ (13 มิถุนายน 2564) ที่ สนามช้างอินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวชี้แจงประเด็นการจัดสรรวัคซีนโควิด 19 โดยนายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า จากกรณีที่โรงพยาบาลหลายแห่งประกาศเลื่อนการฉีดวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากกระทรวงสาธารณสุข ขอชี้แจงว่า ในการดำเนินงานบริหารจัดการวัคซีนกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้จัดหา โดยองค์การเภสัชกรรม และกรมควบคุมโรคเป็นผู้กระจายวัคซีนตามแผนที่ศบค. วางไว้ ได้แก่ ใน 76 จังหวัด และกทม., ประกันสังคม, อธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) 11 สถาบัน, องค์กรภาครัฐ และสำรองไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินมากกว่า 2 แสนโดส โดยตั้งเป้าหมายว่าก่อนเดือนกันยายน 2564 คนไทยประมาณร้อยละ 60-70 จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก เพื่อให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกันในเดือนตุลาคม และทำการเปิดประเทศต่อไป
สำหรับการจัดหาวัคซีนที่ผ่านมา ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม มีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงเดือนมิถุนายนวัคซีนที่จัดหามีน้อยกว่าที่วางแผนไว้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับแผนการบริหารจัดการในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงกันยายนนี้ โดยพยายามจัดสรรเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ หรือสองสัปดาห์ เพื่อให้การฉีดวัคซีนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนการจัดสรรวัคซีนในแต่ละจังหวัดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัด เป็นผู้บริหารจัดการฉีดให้กับประชาชนเป้าหมายให้สอดคล้องกับช่วงเวลา และจำนวนวัคซีนที่ได้รับ เช่น ในกรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดสรรวัคซีนกว่าล้านโดสในเดือนมิถุนายน ซึ่งต้องมีการวางแผน กำหนดเป้าหมาย รวมถึงกระจายไปยังครือข่าย ศูนย์ฉีดวัคซีนต่างๆ และมีการกำหนดทิศทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต่อไป
ด้านนายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการกระจายวัคซีนตามการจัดสรรของที่ประชุม ศบค. โดยตั้งสมมติฐานว่าเดือนมิถุนายน จะได้รับจำนวน 6.3 ล้านโดส แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ทั้งในส่วนจังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมถึงกองทุนประกันสังคม มหาวิทยาลัย องค์กรภาครัฐ และสำรองสำหรับสถานการณ์การระบาดฉุกเฉิน ในจำนวนนี้ กทม. จะได้รับจำนวน 1,160,000 โดส ส่วนอีก 76 จังหวัดที่จะได้ 3,220,000 โดส ซึ่ง ศบค.ได้กำหนดข้อแม้ไว้ว่าหากวัคซีนไม่ได้รับตามเป้าจะมีการลดทอนตามสัดส่วนหรือหากเกิดการระบาดสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนแปลงจากนี้ได้
******************************** 13 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42686 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด ผ่านการรับรองมาตฐาน SHA ประเภทยานพาหนะ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
บริษัท ขนส่ง จำกัด ผ่านการรับรองมาตฐาน SHA ประเภทยานพาหนะ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและสุขลักษณะ สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการ
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดทำ โครงการ Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขลักษณะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในด้านหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานป้องกันความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว เกิดการจับจ่ายสินค้าท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดย บขส. ได้ร่วมลงทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) ของ ททท. และผู้ดำเนินการตรวจประเมิน Checklist ได้รับรองผลการปรับปรุงสถานประกอบการตามมาตรฐาน SHA ประเภทยานพาหนะ ให้กับ บขส. เรียบร้อยแล้ว
สำหรับโครงการ Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) เป็นโครงการความร่วมมือของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่ง ททท. เป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมการออกตราสัญลักษณ์ โดยมีการระบุหมายเลขของตราสัญลักษณ์ SHA ให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูลรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ SHA และยังสามารถเพิกถอนตราสัญลักษณ์ SHA ได้ในกรณีผู้ประกอบการไม่สามารถรักษามาตรฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๔ | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๔ โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า เรือนจำ/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจำสีขาวไม่พบการแพร่ระบาดมีจำนวน ๑๒๙ แห่งเท่าเดิม และพบการแพร่ระบาด ๑๒ แห่งคงเดิม สถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้ นับได้ว่าสามารถควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้แล้ว โดยมีเรือนจำสีแดง คือพบการแพร่ระบาดในเรือนจำ/ทัณฑสถานเพียง ๑๒ แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีประมาณ ๕ แห่ง ที่ไม่พบการติดเชื้อเพิ่มและอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อลดสถานะจากการเป็นเรือนจำสีแดง ให้เป็นเรือนจำปกติที่สามารถรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ได้ คือ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เรือนจำกลางเชียงใหม่ เรือนจำจังหวัดนนทบุรี ทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษธนบุรี ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ต้องพิจารณาถึงปัจจัยด้านระยะเวลา และมาตรฐานด้านสาธารณสุข ที่ต้องพิจารณาโดยละเอียด ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวประมาณสัปดาห์หน้า รวมถึงการพิจารณาคงสถานะเรือนจำสีขาวของเรือนจำ/ทัณฑสถาน ๑๒๙ แห่งเดิม ที่ต้องมีเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อยืนยันการเป็นพื้นที่ปลอดเชื้ออยู่เสมอ
กระทรวงยุติธรรม ขอขอบคุณทุกความร่วมมือในการแก้ไขสถานการณ์ จากทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ที่ได้ร่วมบริจาคสิ่งของ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนการสนับสนุนในด้านสถานที่ ด้านบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลืองานด้านต่างๆ จนสามารถควบคุมสถานการณ์ให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนบุคลากร ทางการแพทย์เพื่อช่วยดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ จากสำนักงานแพทย์ทหาร กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และการอนุเคราะห์พื้นที่ จากมณฑลทหารบกที่ ๑๑ เพื่อจัดทำสถานที่ควบคุมชั่วคราวในการรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ ซึ่งจะช่วยในการบริหารจัดการและแยกผู้ต้องขังไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อระหว่างกันได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
ด้านการบริหารจัดการวัคซีน กรมราชทัณฑ์ ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขมาแล้วกว่า ๔๐,๐๐๐ โดส ได้จัดส่งไปยังเรือนจำ/ทัณฑสถานเป้าหมายในระยะแรก จำนวน ๓๗ แห่ง ซึ่งเป็นการจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้แก่ผู้ต้องขังเป็นการเฉพาะ จึงให้เรือนจำ/ทัณฑสถานที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนดังกล่าว เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ตามวัตถุประสงค์และแผนการบริหารจัดการอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนของการจัดสรรวัคซีนต่อเนื่องในเข็มที่ ๒ กรมราชทัณฑ์ จะประสานขอรับไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง รวมถึงเรือนจำ/ทัณฑสถานนอกเขตพื้นที่สีแดง ที่จะได้รับการจัดสรรวัคซีนอย่างทั่วถึงต่อไปเช่นเดียวกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ควงแขนพ่อเมืองโคราช ประเดิมวัคซีน (LSDV) เข็มแรก | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
รมช.ประภัตร ควงแขนพ่อเมืองโคราช ประเดิมวัคซีน (LSDV) เข็มแรก
รมช.ประภัตร ควงแขนพ่อเมืองโคราช ประเดิมวัคซีน (LSDV) เข็มแรก พร้อมคุยกรมบัญชีกลาง เพิ่มวงเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโรคลัมปี - สกิน
(วันที่ 13 มิถุนายน 2564) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านหนองเลา ตำบลมะเกลือเก่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae) พร้อม Kick off ฉีควัคซีน (LSDV) ในโค - กระบือ จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม
"สถานการณ์วัคซีน (LSDV) เถื่อนที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่ขณะนี้ ขอให้เกษตรกรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ตามที่ได้ทราบข่าวมาวัคซีนเถื่อนดังกล่าวยังไม่ผ่านอย. หนึ่งขวดมี 25 โด๊ส ราคาประมาณ 6,000 บาท ดังนั้น ไม่แนะนำให้ซื้อมาฉีดเอง หากเกษตรกรต้องการจัดหาวัคซีนด้วยตนเอง ขอให้รวมตัวกันติดต่อผ่านกรมปศุสัตว์ เพื่อความถูกต้อง และความปลอดภัย สำหรับการฉีดวัคซีนของกรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งจากห้ามาตรการในการระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค โดยจะต้องมีการฉีดให้เป็นไปตามแผนทางทางกรมปศุสัตว์วางไว้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งการใช้วัคซีนเป็นมาตรการหนึ่งที่กรมปศุสัตว์ ซึ่งคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนฯ พิจารณากำหนดแผนการฉีดวัคซีน ที่เป็นไปตามหลักวิชาการ ตามระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการฉีดวัคซีนลัมปี - สกิน ในสัตว์ชนิดโค - กระบือ พ.ศ.2564 เพื่อให้เป็นแผนเดียวกัน มีความปลอดภัยต่อสัตว์และ มีการประเมินความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนในพื้นที่ และประเมินประสิทธิภาพความคุมโรคหลังจากฉีดวัคซีนด้วย" รมช.ประภัตร กล่าว
รมช.ประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้มีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน (LSDV)มาแล้ว ล็อตแรก 60,000 โด๊ส ล็อตที่สอง 300,000 โด๊ส คาดว่าจะถึงประเทศไทยช่วงบ่ายของวันนี้ และขณะนี้มีภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนการนำเข้าวัคซีนเพิ่มอีกนับล้านโด๊ส เพื่อให้เพียงพอ และสามารถหยุดการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรมปศุสัตว์ก็พร้อมผลักดันภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีน เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ทั้งนี้ วัคซีนล็อตแรกได้ถูกกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามความเหมาะสมแล้ว
ส่วนมาตรการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค - กระบือเสียชีวิตจากโรคลัมปี - สกินนั้น เบื้องต้นการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค- กระบือเสียชีวิตด้วยโรคลัมปี- สกินเดิมมีอัตราเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเจ้าของโค-กระบือตามจริงแต่ไม่เกินรายละ2ตัวและจะจ่ายเงินเยียวตามอายุของสัตว์อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ นำเรื่องเข้าหารือกับกรมบัญชีกลางเพื่อเพิ่มวงเงินเยียวยาให้เกษตรกรได้มากขึ้นและจ่ายตามจำนวนสัตว์เสียชีวิตจริง
นอกจากนี้ รมช.ประภัตรยังได้แนะนำโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนทำเกษตรกรรม โดยมีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยหากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เดินหน้า ”5ยุทธศาสตร์” ฝ่าวิกฤตโควิด | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
“เฉลิมชัย” เดินหน้า ”5ยุทธศาสตร์” ฝ่าวิกฤตโควิด
จับมือเอกชนเร่งพัฒนาแอร์คาร์โกพร้อมตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรอาหารเพิ่มศักยภาพการส่งออก เริ่มแห่งแรกที่ดอนเมืองก่อนขยายไปสุวรรณภูมิ ตั้งเป้าฮับอาเซียน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (13 มิ.ย) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งดำเนินการพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ (Agriculture and Food Air Cargo Terminal :AFCT) สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารโดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหาร โดยเริ่มโครงการนำร่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นลำดับถัดไป ก่อนจะขยายโครงการไปยังท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีความพร้อมเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาคเกษตรอาหารซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทยภายใต้วิกฤติโควิด19
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารต้องการความสะดวกรวดเร็วส่งถึงลูกค้าปลายทางทั่วโลกด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลโดยคงความสดสะอาดอร่อยสามารถเพิ่มเวลาการบริโภคหรือเวลาการขาย (Shelf life) มากขึ้น
สำหรับศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรอาหาร ณ คาร์โกเทอร์มินัลทำหน้าที่ให้บริการตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอาหารเพื่อส่งออกตามเงื่อนไขของประเทศผู้นำเข้า และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ประกอบด้วย สินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ โดยให้บริการกับผู้ขอรับบริการทั่วไปแบบวันสต็อปเซอร์วิสเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นฮับการผลิตและขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของอาเซียน
“อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรในปีที่ผ่านมา การประเมินการส่งออกอาหารของไทยในปี 2564 โดยสถาบันอาหาร คาดการณ์ว่า สินค้าอาหารของไทยจะมีมูลค่า 1.08-1.10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2-12.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาที่หดตัวจากผลกระทบของโควิด 19 ดังนั้น ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน จึงเป็นกลไกที่สำคัญในสนับสนุนการส่งออกผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรไทย จะเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศ เพิ่มปริมาณและมูลค่าสูงขึ้น และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้ายุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่จะขับเคลื่อนการทำงานด้วย 5 ยุทธศาสตร์ และ 15 แนวทางนโยบายหลักโดยเฉพาะยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรและ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร เพื่อตอบสนองต่อห่วงโซ่อุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่ออํานวยความสะดวกในการส่งออก และนําเข้าสินค้าเกษตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42685 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand and Indonesia agree to promote post-COVID trade and investment cooperation | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
Thailand and Indonesia agree to promote post-COVID trade and investment cooperation
Thailand and Indonesia agree to promote post-COVID trade and investment cooperation
June 11, 2021, at 1330hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Rachmat Budiman, Ambassador of the Republic of Indonesia to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of the position. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister welcomed the Indonesian Ambassador. Indonesia has been a close friend of Thailand with cordial relations and tight-knitted cooperation both at the regional and international levels. With the knowledge and experiences of the Ambassador, the Prime Minister hopes that relations and cooperation between the two countries would be deepened in all dimensions. The Prime Minister also conveyed his regards to the Indonesian President and spouse, and thanked the Indonesian Government for its support on the repatriation of Thai citizens to Thailand during the COVID-19 situation.
The Indonesian Ambassador expressed pleasure to be tenured in Thailand, and affirmed his commitment to strengthen relations and cooperation, especially in post-COVID-19 economic rehabilitation, fishery, security, education, and cultural exchange, through bilateral mechanisms and under the ASEAN framework for the best interest of both countries.
Both parties also came to terms to take forward existing economic cooperation and expand trade and investment cooperation, as well as minimize trade obstacles in the areas of mutual interests, in a bid to rehabilitate economy of both countries. The Prime Minister affirmed the Thai Government’s commitment to support Thai investment in Indonesia, and called on the Indonesian counterpart to facilitate Thai investors in the country. The Indonesian Ambassador also expressed pleasure to promote Indonesian investment in Thailand.
Security cooperation was also discussed. Both the Prime Minister and the Ambassador hope that Thailand and Indonesia would continue to mobilize activities and cooperation, such as exchange of information, security and national defense trainings, anti-narcotics, etc., when COVID-19 situation eases. The Prime Minister also affirmed Thailand’s cooperation with Indonesia and ASEAN in addressing the Myanmar situation, and the country’s endorsement of ASEAN’s Five-Point Consensus.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงใต้ | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
รมช.มนัญญา ลงใต้
‘รมช.มนัญญา’ ลงใต้ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด มอบใบรับรองมาตรฐาน GAP ยกเป็นสหกรณ์ต้นแบบ เพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าต่างประเทศ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมอบใบรับรองมาตรฐาน GAP ให้กับสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกร จำนวน 40 ราย พร้อมมอบชุดชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรเพื่อใช้ในการควบคุมป้องกัน กำจัดศัตรูพืช รวมทั้งส่งเสริมการผลิตผลไม้คุณภาพ ผักคุณภาพ เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่เกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยมี นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายไพฑูรย์ ชนะชู สหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ สมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกร ให้การต้อนรับ ณ สหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
โอกาสนี้ รมช.เกษตรฯ ได้เยี่ยมชมบูธจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของสหกรณ์กลุ่มเกษตรกร และพบปะเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพทางการเกษตร ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ จ.นครศรีธรรมราช มีผู้สมัครยืนยันเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 62 ราย สหกรณ์ในจังหวัดสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 24 แห่ง ที่ผ่านมาสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราชได้จัดประชุมโครงการสร้างเครือข่ายลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ได้รับความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมโครงการ สถาบันเกษตรกร และหน่วยงานภาคีเครือข่ายเป็นอย่างดี ในปี 2564 กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้คัดเลือกเกษตรกรตามโครงการจำนวน 12 ราย เพื่อจัดอบรมแนวทางการการประกอบอาชีพเกษตรสมัยใหม่ และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรลูกหลานที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่ระหว่างการเตรียมการจัดประชุมเชิงปฏิบัติสร้างทักษะการตลาดสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ ยังเยี่ยมชมโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด ซึ่งส่งเสริมให้สมาชิกปลูกผักสวนครัวมาวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด “ผู้ผลิตต้องดูแลผู้บริโภค” โดยให้สมาชิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP นำสินค้ามาจำหน่ายในร้าน ใช้หลักการตลาดนำการผลิตมาดำเนินการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ปัจจุบันสหกรณ์รับสินค้ามาจำหน่ายจากสมาชิก และผู้เข้าร่วมโครงการลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ เช่น ผลิตภัณฑ์นมแพะ น้ำเต้าหู้นมแพะ สละลอยแก้ว รวมถึงผัก ผลไม้ ของสมาชิกหรือชุมชนที่นำมาฝากขาย ตลอดจนได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายกับสมาชิกสหกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในและต่างจังหวัด
“สหกรณ์แห่งนี้ถือเป็นต้นแบบที่ดีในการช่วยขับเคลื่อนส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใบรับรองมาตรฐาน GAP เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ซึ่ง จ.นครศรีธรรมราช มีเกษตรกรสมัครเข้าสู่กระบวนการตรวจรับรองตามมาตรฐาน GAP จำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรมีความเข้าใจมากขึ้นและให้ความสำคัญกับ GAP เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค นับว่าประสบความสำเร็จมาก ขณะนี้ กรมวิชาการเกษตรได้เร่งตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรให้ได้รับการรับรอง GAP จนครบทั้งหมด ซึ่งในปี 2564 จ.นครศรีธรรมราชมีการขอรับมาตรฐาน GAP ประมาณ 2,400 แปลง คาดว่าไม่เกินเดือนสิงหาคม 2564 นี้ จะรับรองให้แล้วเสร็จ” รมช.เกษตรฯ กล่าว
จากนั้น รมช.เกษตรฯ เดินทางไปเยี่ยมชมสวนมังคุด GAP ของนายไพรัตน์ จุลพันธ์ สมาชิกสหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด จ.นครศรีธรรมราช มีพื้นที่ปลูก 4 ไร่ ต้นมังคุด 130 ต้น ปีที่ผ่านมีปริมาณผลผลิตประมาณ 9,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 340,000 บาท ซึ่งสหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด เป็นจุดรวบรวมผลไม้ของสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ และได้สนับสนุนปัจจัยการผลิต ได้แก่ ปุ๋ยผสมใช้เองของสหกรณ์ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตโดยให้สมาชิกนำปุ๋ยไปใช้ในการทำการเกษตร เมื่อขายผลผลิตได้ค่อยนำเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งสำนักงานสหกรณ์จังหวัดร่วมกับหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการสวนมังคุด การผลิตมังคุดคุณภาพอีกด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม สั่งเร่งร่างกฎหมาย JSOC ให้เสร็จเดือนนี้ ศึกษาต้นแบบจากออสเตรเลียและอเมริกา หวังเร่งดันเข้าครม. - สภา ผ่านเป็นกฎหมายให้ได้ในสมัยนี้ | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม สั่งเร่งร่างกฎหมาย JSOC ให้เสร็จเดือนนี้ ศึกษาต้นแบบจากออสเตรเลียและอเมริกา หวังเร่งดันเข้าครม. - สภา ผ่านเป็นกฎหมายให้ได้ในสมัยนี้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยความคืบหน้าร่างกฎหมาย JSOC เร่งให้เสร็จในเดือนนี้ ศึกษาต้นแบบจากออสเตรเลียและอเมริกา หวังเร่งดันเข้าครม.-สภา ผ่านเป็นกฎหมายให้ได้ในสมัยนี้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการของศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (JSOC) ว่า ขณะนี้ตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายเร่งจัดทำร่างกฎหมาย JSOC เพื่อรองรับกลไกการทำงานของศูนย์ให้มีระบบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเราจะใช้รูปแบบของกฎหมายประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา แล้วนำมาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย โดยจากแนวคิดที่ว่าถ้าหากสังคมรู้ว่าคนร้ายอยู่ในสังคม สังคมจะปลอดภัย ซึ่งการดำเนินการของศูนย์ JSOC จะติดตามกลุ่มผู้ต้องขังที่พ้นโทษโดยอยู่ใน 7 กลุ่มความผิดร้ายแรงและเป็นที่หวดกลัวของสังคม คือ ฆ่าข่มขืน ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรต่อเนื่อง ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ฆ่าสังหารหมู่ และนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ รวมถึงผู้ต้องขังใหม่ที่อยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง โดยตัวร่างกฎหมายฉบับนี้ตนได้เร่งให้ร่างให้เสร็จภายในเดือนนี้ และเร่งส่งให้ครม.และรัฐสภาพิจารณาออกเป็นกฎหมายให้ได้ในรัฐบาลชุดนี้
"กฎหมาย 1 ฉบับใช้ระยะเวลาในการจัดทำถึง 1 ปีกว่า ซึ่งผมคิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับสุดท้ายที่จะทำในวาระนี้ โดยเมื่อเราร่างกฎหมายเสร็จจะต้องเร่งทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และชี้แจงกับประชาชนถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสาระสำคัญหลักคือการเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยเฉพาะผู้หญิง เด็กและคนชรา ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ทั้งนี้การผลักดันกฎหมาย JSOC เราต้องทำงานกันเต็มที่หากสำเร็จคนที่ได้ประโยชน์จะเป็นประชาชน ที่ผ่านมาข้าราชการกระทรวงยุติธรรมทำงานได้ดีอยู่แล้วแต่เวลานี้ เราต้องช่วยกันสร้างสรรค์เพิ่มเติม อาจต้องคิดนอกกรอบดูบ้าง เพื่อให้งานของกระทรวงยุติธรรมมีการพัฒนาเป็นที่ยอมรับของประชาชนและสังคมอย่างยั่งยืน"นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42679 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.หนุนทีมไทยแลนด์นำผู้ประกอบการรุกขยายตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนวันที่ 12-14 มิ.ย. | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
วธ.หนุนทีมไทยแลนด์นำผู้ประกอบการรุกขยายตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนวันที่ 12-14 มิ.ย.
วธ.หนุนทีมไทยแลนด์นำผู้ประกอบการรุกขยายตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนวันที่ 12-14 มิ.ย.
วธ.หนุนทีมไทยแลนด์นำผู้ประกอบการรุกขยายตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนวันที่ 12-14 มิ.ย. มีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 8 ราย นำภาพยนตร์ไทยไปจัดฉาย 7 เรื่องในสัปดาห์ภาพยนตร์ไทย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ขับเคลื่อนงานส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทั้งในและต่างประเทศ ตามแผนงานบูรณาการของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ “Content Thailand” เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยุทธศาสตร์การส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560-2564) โดยสนับสนุน เผยแพร่ และสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ทีมไทยแลนด์ประกอบด้วยกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ และหอการค้าไทยในจีน ได้บูรณาความร่วมมือจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย ณ งานตลาดภาพยนตร์นานาชาติ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นปีที่ 4 ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมจัดกิจกรรมทั้งรูปแบบปกติโดยเปิดคูหาจำหน่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย ภายใต้ชื่อ Content Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 12 - 14 มิถุนายน 2564 และกิจกรรมรูปแบบเปิดคูหาออนไลน์ ระหว่างวันที่ 6 -14 มิถุนายน 2564 โดยมีผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเข้าร่วมทั้งหมด 8 ราย ได้แก่ สมาคมการค้าผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีไทย,บริษัท ไร้ท์ บิยอนด์ จำกัด, บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด ,บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด,บริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด,บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด,บริษัท เดอะมั้งค์ สตูดิโอ จำกัดและบริษัท ควอนตั้มพิกเจอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับภาพยนตร์ไทยที่ได้นำไปจัดฉายในงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ ระหว่างวันที่ 12 - 14 มิถุนายน 2564 ผ่านกิจกรรมสัปดาห์ภาพยนตร์ไทยมีทั้งหมด 7 เรื่อง ได้แก่ อ้ายคนหล่อลวง ,มายริที่ม,พญาโศกพิโยคค่ำ,หัวใจทองคำ,พันธนาการ ,ใจจำลอง และ Lotus Never Dies ซึ่งในพิธีเปิดงานวันที่ 12 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาได้จัดฉายภาพยนตร์ไทยรอบพิเศษ 2 เรื่อง ได้แก่ อ้ายคนหล่อลวง และ ใจจำลอง ณ โรงภาพยนตร์เหิงซาน ทั้งนี้ การเข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ของทีมไทยแลนด์ครั้งนี้เพื่อแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย ในเวทีนานาชาติและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทยในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโชว์ผลงานปราบยาเสพติด 9 เดือนยึดทรัพย์กว่า 4.5 พันล้านบาท ยาบ้า 344 ล้านเม็ด เตรียมหารือ 6 ชาติลุ่มน้ำโขงและสำนักงานยาเสพติดสหประชาชาติ แก้ปัญหาค้ายาข้ามชาติ | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
รัฐบาลโชว์ผลงานปราบยาเสพติด 9 เดือนยึดทรัพย์กว่า 4.5 พันล้านบาท ยาบ้า 344 ล้านเม็ด เตรียมหารือ 6 ชาติลุ่มน้ำโขงและสำนักงานยาเสพติดสหประชาชาติ แก้ปัญหาค้ายาข้ามชาติ
รัฐบาลโชว์ผลงานปราบยาเสพติด 9 เดือนยึดทรัพย์กว่า 4.5 พันล้านบาท ยาบ้า 344 ล้านเม็ด เตรียมหารือ 6 ชาติลุ่มน้ำโขงและสำนักงานยาเสพติดสหประชาชาติ แก้ปัญหาค้ายาข้ามชาติ
นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าในช่วงที่ผ่านมามีการรายงานข่าวการจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดเครือข่ายข้ามพรมแดนและข้ามชาติในหลายกรณีแสดงให้เห็นถึงการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยเป็นการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วนประกอบด้วยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)ศูนย์รักษาความปลอดภัยกองทัพไทยตำรวจปรามปรามยาเสพติดกรมศุลกากรเครือข่ายภาคประชาชนและหน่วยงานต่างประเทศเป็นต้นโดยสถิติการตรวจยึดนับตั้งแต่ปี2562มีปริมาณมากขึ้นโดยเฉพาะยาไอซ์และเฮโรอีนที่ถูกนำเข้าเพื่อส่งผ่านไปยังต่างประเทศเช่นออสเตรเลียนิวซีแลนด์ฮ่องกงเป็นต้น ถือเป็นปัญหาร่วมกันของประเทศในภูมิภาคทั้งนี้รัฐบาลโดยสำนักงานป.ป.สได้ประสานความร่วมมือกับประเทศลุ่มน้ำโขง6ประเทศคือจีนเมียนมาลาวกัมพูชาเวียดนามและไทยและสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ(UNODC) เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาในวันที่5ก.ค.นี้
สำหรับสถิติการจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยตั้งแต่ต.ค.63-มิ.ย.64ยึดยาบ้า344ล้านเม็ดไอซ์20,662กก.และเฮโรอีน2,760กก.ยาอี279,868เม็ดรวมทั้งจับกุมยาเสพติดที่เตรียมส่งออกไปยังต่างประเทศรวม84คดีเป็นยาบ้า39,002เม็ดไอซ์72.08กก.เฮโรอีน285.69กก.ยาอี1,922เม็ด นอกจากดำเนินการจับกุมแล้วกระทรวงยุติธรรมยังได้ทำงานเชิงรุกเรื่องการขยายผลการยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดคดียาเสพติดส่งผลให้ตัวเลขการยึดทรัพย์ในสามไตรมาสแรกของปีงบประมาณ2564มีมูลค่า4,549ล้านบาทมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง3,480ล้านบาทซึ่งทางกระทรวงยุติธรรมได้ตั้งเป้ายึดทรัพย์ให้ได้ทั้งปี6,000ล้านบาท
นางสาวรัชดาธนาดิเรกกล่าวด้วยว่านายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาให้ความสำคัญในการปราบปรามปัญหายาเสพติดถือเป็นนโยบายเร่งด่วนและวาระแห่งชาติได้ให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับยกระดับเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเอาผิดยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้อง พร้อมปรับปรุงกฎหมายโดยครม.ผ่านร่างกฎหมายสามฉบับซึ่งขณะนี้รอการเห็นชอบจากรัฐสภาประกอบด้วยร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดร่างประมวลกฎหมายคดียาเสพติดร่างพระราชาบัญญัติคดียาเสพติด มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดอัตราโทษใหม่ที่เหมาะสมการขยายผลการยึดทรัพย์ ส่งผลทำให้การตัดวงจรและทำลายเครือข่ายยาเสพติดได้สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42675 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 93 เขตการเดินรถที่ 2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงจัดส่งวัคซีนโควิดตามแผน ส่วนจังหวัดกระจายไปยังจุดฉีดเอง | วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
สธ.แจงจัดส่งวัคซีนโควิดตามแผน ส่วนจังหวัดกระจายไปยังจุดฉีดเอง
กระทรวงสาธารณสุขแจงหลักการจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ยึดตามนโยบายของ ศบค. จัดส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัดตามสูตรการคำนวณ ส่วนการกระจายไปยังจุดฉีดแต่ละแห่งเพื่อให้ฉีดวัคซีนได้อย่างต่อเนื่อง เป็นภารกิจที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.จะไปดำเนินการต่อ
กระทรวงสาธารณสุขแจงหลักการจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ยึดตามนโยบายของ ศบค. จัดส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัดตามสูตรการคำนวณ ส่วนการกระจายไปยังจุดฉีดแต่ละแห่งเพื่อให้ฉีดวัคซีนได้อย่างต่อเนื่อง เป็นภารกิจที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.จะไปดำเนินการต่อ เน้นย้ำฉีดผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่นัดผ่านระบบหมอพร้อมก่อนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคและลดความเสี่ยงป่วยหนักหรือเสียชีวิต
วันนี้ (13 มิถุนายน 2564) นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงหลักการจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ว่า การจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ใช้ข้อมูลทางวิชาการจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายเชิงประชากร โดยในช่วงกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม เริ่มฉีดกลุ่มแรกคือ บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยหรือมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ อสม. เป็นต้น และฉีดประชาชนบางส่วนในพื้นที่ระบาดส่วนเดือนมิถุนายนฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่หากติดเชื้อมีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยเปิดให้นัดหมายเข้ารับวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนจำนวนมากพร้อมกันทั่วประเทศซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนเป็นต้นมา จึงมีนโยบายให้กลุ่มผู้สูงอายุและ 7 โรคเรื้อรังได้รับการฉีดวัคซีนตามนัดหมายเป็นหลักก่อน นอกจากนี้ ยังมีการฉีดในประชาชนเพื่อควบคุมการระบาด และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเพิ่มเติม เช่น กลุ่มครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเตรียมเปิดเทอม , คนทำงานขนส่งสาธารณะเนื่องจากมีความใกล้ชิดประชาชน ช่วยป้องกันไม่ให้รับเชื้อและแพร่เชื้อต่อ เป็นต้น
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจัดส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัดตามนโยบายของ ศบค. ซึ่งคิดจากตัวเลขที่แต่ละจังหวัดตั้งมาและปรับตามสูตรการคำนวณ ให้สอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ส่งมอบให้กรมควบคุมโรค โดยเดือนมิถุนายนมีการกระจายวัคซีนเป็น 2 งวด ครอบคลุมการฉีดในระยะ 2 สัปดาห์ คือ งวดแรกวันที่ 7-20 มิถุนายน ประมาณ 3 ล้านโดส คือ ซิโนแวค 1 ล้านโดส และแอสตร้าเซนเนก้า 2 ล้านโดส เบื้องต้นมีการจัดส่งไปยัง กทม. 5 แสนโดส (แอสตร้าเซนเนก้า 3.5 แสนโดส และซิโนแวค 1.5 แสนโดส) สำนักงานประกันสังคม 3 แสนโดสฉีด กทม.เป็นหลัก กลุ่มมหาวิทยาลัย 11 แห่งของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) 1.5 แสนโดส ฉีด กทม.เป็นหลัก กลุ่มหมอพร้อม 76 จังหวัด 1.1 ล้านโดส จุดฉีดต่างๆ สำหรับองค์กรภาครัฐ เช่น ขนส่ง ทหาร ตำรวจ และครู 1 แสนโดส และควบคุมการระบาด 5 หมื่นโดส ส่วนงวดที่ 2 สำหรับวันที่ 21 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม อีก 3.5 ล้านโดส เป็นซิโนแวค 2 ล้านโดส และแอสตร้าเซนเนก้า 1.5 ล้านโดสรวมมากกว่า 6 ล้านโดส
“กระทรวงสาธารณสุขจัดส่งวัคซีนโควิด 19 ตามนโยบายรัฐ ส่วนภารกิจการกระจายต่อไปยังโรงพยาบาลหรือจุดฉีดในแต่ละจังหวัดเพื่อให้เกิดการฉีดวัคซีนได้อย่างต่อเนื่องนั้น มีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครดำเนินการต่อ ซึ่งขอให้แต่ละจังหวัดปฏิบัติตามนโยบาย โดยเน้นฉีดกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 โรคเรื้อรังที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมก่อน เพื่อป้องกันกลุ่มมีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต”นายแพทย์โสภณกล่าว
******************************** 13 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42688 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เยียวยาผู้ประกอบการได้รับผลกระทบโควิด ยกเว้นค่าตรวจโรงงานและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่ออีก 1 ปี ช่วยผู้ประกอบการกว่าหมื่นราย ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 200 ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564
ก.อุตฯ เยียวยาผู้ประกอบการได้รับผลกระทบโควิด ยกเว้นค่าตรวจโรงงานและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่ออีก 1 ปี ช่วยผู้ประกอบการกว่าหมื่นราย ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 200 ล้านบาท
“สุริยะ” เผยมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ยกเว้นค่าตรวจโรงงานเพิ่มเติมในการขอ มอก. จนถึง 30 เมษายน 2565 คาดช่วยผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 100 ล้านบาท
“สุริยะ”เผยมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจาก
โควิดยกเว้นค่าตรวจโรงงานเพิ่มเติมในการขอมอก.จนถึง30เมษายน2565คาดช่วยผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า100ล้านบาทพร้อมชงมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตมอก.และใบรับรองระบบงานISOเข้าครม.แล้วหากผ่านความเห็นชอบจะช่วยผู้ประกอบการได้กว่า10,000รายคิดเป็นเงินกว่า110ล้านบาท
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19ว่าตนได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้สามารถฟื้นฟูกิจการได้เร็วขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นมาตรการเดิมจากปี2563ที่ขยายเวลาต่อเนื่องล่าสุดได้เห็นชอบให้สมอ.ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจโรงงานเพื่อการขออนุญาตมอก.โดยมีผลตั้งแต่วันที่8มิถุนายน2564ที่ผ่านมา
ด้านนายวันชัยพนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการยกเว้นค่าตรวจโรงงานเพื่อการขออนุญาตมอก.มีอัตราค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายให้สมอ. 10,000บาทต่อวันซึ่งสมอ. มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตกว่า10,000รายทั้งผู้ทำและผู้นำเข้าคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการเป็นมูลค่ากว่า100ล้านบาทโดยมีผลตั้งแต่วันที่8มิถุนายน2564 จนถึงวันที่30เมษายน2565
นอกจากนี้ยังมีมาตรการเยียวยาอื่นๆที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของครม.ได้แก่มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตมอก.และใบแทนใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองระบบงานISOสำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรองหากครม.มีมติเห็นชอบแล้วสมอ.จะดำเนินการต่อทันทีซึ่งจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้กว่า110ล้านบาท
เลขาธิการสมอ.กล่าวเพิ่มเติมว่า“แม้ว่าในขณะนี้สมอ.จะปฏิบัติงานภายในที่พักหรือWork from Homeกว่า90%เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าจะไม่กระทบต่อการให้บริการผู้ประกอบการและประชาชนโดยท่านยังสามารถติดต่อกับหน่วยงานต่างๆภายในสมอ.ได้ทุกกระบวนการและกิจกรรมผ่านทางระบบออนไลน์ทั้งการออกใบอนุญาตทำและนำเข้าสินค้าควบคุมการตรวจสอบพิกัดศุลกากร การตรวจติดตามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การตรวจสอบและรับรองระบบงาน การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน และการสืบค้นข้อมูลมาตรฐานรวมทั้งการจำหน่ายหนังสือมอก.หรือหากต้องการแจ้งเบาะแสหรือติดต่อสอบถามรายละเอียดอื่นๆก็สามารถเข้าไปที่เฟซบุ้คแฟนเพจของสมอ. https://www.facebook.com/tisiofficial” เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42692 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ จัดสรรงบประมาณกว่า 2,806 ล้านบาท ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของภูมิภาค | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ จัดสรรงบประมาณกว่า 2,806 ล้านบาท ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ จัดสรรงบประมาณกว่า 2,806 ล้านบาท ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของภูมิภาค
วันนี้( 5มิ.ย.64)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเล็งเห็นความสำคัญของการสนับสนุนให้คนไทยมีศักยภาพในการคิดค้นและผลิตวัคซีนโควิด-19ได้เองจึงได้จัดสรรงบประมาณกว่า2,806ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19ในประเทศและสำหรับเป็นทุนหนุนในการเพิ่มศักยภาพประเทศของไทยพร้อมรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในปัจจุบันและการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
ทั้งนี้รัฐบาลได้อุดหนุนงบประมาณวงเงิน1,810.68ล้านบาทตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่29ธันวาคม2563และงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน995.03ล้านบาทรวมแล้วเป็นเงินกว่า2,805.71ล้านบาทเพื่อเป็นทุนในการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19ในประเทศตั้งแต่การพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนรวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการผลิตวัคซีน
โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวเป็นทุนสนับสนุนการวิจัยให้แก่หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนดังนี้
1)บริษัทไบโอเนท-เอเชียจำกัด(650ล้านบาท)เพื่อการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19ชนิดDNA
2)สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(200ล้านบาท)เพื่อพัฒนาวัคซีนโควิด-19ต้นแบบที่พร้อมทดสอบทางคลินิกและการเตรียมพร้อมผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับการระบาดของเชื้อที่มีการกลายพันธุ์
3)บริษัทใบยาไฟโตฟาร์มจำกัด(160ล้านบาท)เพื่อการทดสอบวัคซีนโควิด-19ที่ผลิตในประเทศโดยใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์
4)มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(562ล้านบาท) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นสถานที่ผลิตวัคซีนโควิด-19ตามความต้องการของประเทศโดยใช้โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติและพัฒนาห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีนรองรับการผลิตวัคซีนโควิด-19ขึ้นใช้เองในประเทศ5)องค์การเภสัชกรรม(156.8ล้านบาท)เพื่อเตรียมความพร้อมการแบ่งบรรจุวัคซีนโควิด-19ภายในประเทศ
6)บริษัทองค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุจำกัด(81.88ล้านบาท)เพื่อขยายศักยภาพการผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรมรองรับการผลิตวัคซีนสำหรับประชาชนไทยด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่านอกจากนี้ยังมีการจัดสรรงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่:กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2563วงเงิน995.03ล้านบาทให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อเป็นทุนสำหรับการวิจัยพัฒนาวัคซีนและการสร้างศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยหน่วยงานผู้รับทุนมีดังนี้
1)ศูนย์วิจัยวัคซีนคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(365ล้านบาท)
2)บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์จำกัด(596.24ล้านบาท)ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลจะได้รับทุนคืนทั้งหมดโดยได้มีการระบุไว้ในสัญญาการรับทุนว่าเมื่อบริษัทฯสามารถผลิตวัคซีนได้ตามมาตรฐานของแอสตราเซเนกาแล้วจะส่งมอบวัคซีนให้รัฐบาลไทยในจำนวนที่มีมูลค่าเท่ากับทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนฯจึงไม่ใช่เป็นการให้เปล่าแต่เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในขั้นต้นเพื่อให้เป็นผลสำเร็จเท่านั้น
3)ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(33.79ล้านบาท)
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า“วงเงินงบประมาณกว่า2,806ล้านบาทนี้จะช่วยในการสร้างรากฐานและพัฒนาขีดความสามารถด้านการวิจัยวัคซีนของประเทศเพื่อรับมือการระบาดในครั้งนี้และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในอนาคตซึ่งเป็นไปตามนโยบายและวิสัยทัศน์ของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ต้องการให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางสุขภาพพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนได้ในอนาคตรวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของภูมิภาคในอนาคตด้วย”
—————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีถวายพระพร ชัยมงคลและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีถวายพระพร ชัยมงคลและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๔๓ พรรษา
ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหมโดยการจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ ๒๒ ลงวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๔ | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๔ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบว่า มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดเพิ่มรวมเป็นจำนวน 125 แห่ง และพบการแพร่ระบาดจำนวน 14 แห่งเท่าเดิม โดยแนวโน้มของยอดผู้ติดเชื้อจากการ SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำ เริ่มมีจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยรักษาหายเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนในขณะนี้มียอดผู้ป่วยที่รักษาหายสะสมจำนวน 14,472 ราย หรือมากกว่า 50% ของผู้ป่วยสะสมที่ 28,404 ราย และคาดว่าสถานการณ์ในเรือนจำที่พบการแพร่ระบาดจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อจากนี้ สำหรับการวางแผนเพื่อป้องกันเชื้อจากภายนอก ในเรือนจำที่ยังไม่พบการแพร่ระบาด จะดำเนินการตรวจหาเชื้อในผู้ต้องขังรับเข้าใหม่ทุกราย โดยในระหว่างรอผลจะมีห้องกักตัวแยกจากห้องกักโรคหลัก ซึ่งหากตรวจพบเชื้อ จะนำตัวไปรักษาที่สถานพยาบาลภายนอก หรือพื้นที่ควบคุมเฉพาะ ไม่นำตัวเข้าพื้นที่เรือนจำ/ทัณฑสถาน แต่หากตรวจไม่พบเชื้อ จะนำตัวเข้าห้องแยกกักโรคต่ออย่างน้อย 21 วัน และต้องตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลก่อนครบระยะกักตัว ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะสามารถป้องกันเชื้อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดภายในเรือนจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ มีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๘ แห่ง
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ให้กำลังใจและขอบคุณข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเท และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เพื่อการควบคุมสถานการณ์และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมอย่างเต็มกำลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42457 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย นายถนอม รัตนเศรษฐ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 300 กล่อง ให้แก่ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมี ผศ.นพ.พรชัย เดชานุวงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นผู้รับมอบ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ได้แก่
- ร้านแปล้พาณิชย์ (สถานีสิรินธร)
พิกัดร้าน https://maps.app.goo.gl/Vd5e8bfJjsFbFmfj7
- ร้านทำด้วยใจ by คุณแอ๋ว (สถานีบางยี่ขัน) อยู่ใกล้กับวัดคฤหบดี
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/psQcEpjXBr56DHKa6
- ร้านร้อยก้าว by Room (สถานีบางขุนนนท์) อยู่บริเวณปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 32
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/LUVf3JmvnbE7XXvT9
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
1) นายท่าอู่พระราม 9 เขตการเดินรถที่ 4
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2
4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 195 (อะไหล่) เขตการเดินรถที่ 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42456 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัยเนื่องในงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” ประจำปี 2564 | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัยเนื่องในงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” ประจำปี 2564
นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัยเนื่องในงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” ประจำปี 2564 ยกย่องข้าวไทยสร้างภาพลักษณ์ในตลาดโลกอย่างน่าภูมิใจ
วันนี้(5มี.ย.64)นายอนุชาบูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวคำปราศรัยถึงพี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยทุกคน เนื่องในงาน“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”ประจำปี2564 โดยมติคณะรัฐมนตรีให้วันที่5มิถุนายนของทุกปีเป็น“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงให้ความสำคัญต่อกิจการข้าวและเป็นการเชิดชูเกียรติรวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ชาวนาไทยทุกคน
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ข้าว”เป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประเทศ ด้านการบริโภคและเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่า ข้าวไทยยังสร้างภาพลักษณ์ในตลาดโลกมาอย่างน่าภาคภูมิสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพทำนาของชาวนาไทยที่สืบสานวัฒนธรรมประเพณีของไทยในอดีตจนถึงปัจจุบันการทำนาจากรุ่นสู่รุ่นและความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างข้าวและชาวนาไทยรวมทั้งความมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวไทยให้สูงขึ้นในทุกๆด้าน
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรตามยุทธศาสตร์ชาติ20ปีเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันรวมทั้งสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยการพัฒนาความมั่นคงทางการเกษตรให้มีการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืนโดยมีเป้าหมายเป็นฐานการผลิตอาหารที่มั่นคงปลอดภัยและเป็นฐานการผลิตที่มีผลิตภาพสูงรวมทั้งเพื่อช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้แก่ชาวนาไทยผู้เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติและผู้ผลิตข้าวเป็นอาหารเลี้ยงประชากรโลก
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเยียวยารวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งสู่ฐานรากรวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้นผ่านนโยบายและโครงการต่างๆและยึดหลักการ“ตลาดนำการผลิต”พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมทางการเกษตรเข้ามาช่วยมากขึ้นเพื่อให้พี่น้องชาวนาสามารถทำนาได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งสร้างรายได้และความมั่นคงให้แก่ชาวนาโดยรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับสภาวการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปปัญหาภัยแล้งน้ำท่วมและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ด้วยเจตนามุ่งมั่นในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยทุกคน
ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรียังได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยทุกคนเนื่องในโอกาส“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”ให้ประสบแต่ความสุขความเจริญมีพลังกายและพลังใจที่เข้มแข็งเพื่อร่วมเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาข้าวไทยให้เป็นข้าวคุณภาพสำหรับประชากรโลกตลอดไป
—————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42449 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สร้างความสุข..สู่ชุมชน “มีแล้วแบ่งปัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (3 มิ.ย. 64) | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
สร้างความสุข..สู่ชุมชน “มีแล้วแบ่งปัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (3 มิ.ย. 64)
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสาพัฒนา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” และกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ “มีแล้วแบ่งปัน”
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564
สำหรับภายในกิจกรรมประกอบด้วย การจัดนิทรรศการพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี การจัดทำเจลแอลกอฮอล์ และหน้ากากกันกระเด็น (Face Shield) สำหรับแจกจ่ายให้กับประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง โดยมีวิทยากรจิตอาสา 904 และกำลังพลจิตอาสาจาก นขต.สป. ในพื้นที่ศาลาว่าการกลาโหม เข้าร่วมกิจกรรมฯ
อีกทั้ง ยังมีการมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ให้กับผู้แทนชุมชนในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม จำนวน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนแพร่งภูธร, ชุมชนแพร่งนรา, ชุมชนแพร่งสรรพศาสตร์, ชุมชุนศาลเจ้าพ่อเสือ และชุมชนปากคลองตลาด เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างทหารกับพี่น้องประชาชน ซึ่งได้ร่วมมือร่วมใจ ช่วยเหลือพัฒนาชุมชนให้มีความสะอาด สว่าง สงบ ปลอดภัย น่าอยู่อาศัย
โดยการจัดกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ มีส่วนราชการ และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนประกอบด้วยสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม กรมพระธรรมนูญ กรมการพลังงานทหาร กรมการอุตสาหกรรมทหาร การประปานครหลวง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ จำกัด และกลุ่มบริษัท ทีซีซี รวมทั้ง หน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่ได้ร่วมมือร่วมใจในการดำเนินกิจกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ลุยเช็คความพร้อมสถานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนเปิดพร้อมกัน 45 จุดทั่วกรุง วันที่ 7 มิ.ย.นี้ | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รมว.เฮ้ง ลุยเช็คความพร้อมสถานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนเปิดพร้อมกัน 45 จุดทั่วกรุง วันที่ 7 มิ.ย.นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจความพร้อมของสถานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกรุงเทพมหานคร จำนวนรวม 45 จุด ก่อนเริ่มเปิดบริการในวันที่ 7 มิถุนายนนี้
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของสถานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายประทีป ทรงลำยอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่เร่งกระจายวัคซีนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ได้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในสถานประกอบการ โดยจะเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนนี้ ให้กับผู้ประกันตนที่ได้แจ้งความประสงค์ต้องการรับวัคซีนไว้กับฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และได้บันทึกลงระบบ e – service ของสำนักงานประกันสังคมไว้แล้ว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับคิวการฉีดวัคซีนนั้นจะเป็นไปตามขั้นตอนที่นายจ้างได้แจ้งความประสงค์ผ่านระบบ e – service ไว้แล้ว ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้กำหนดจุดฉีดไว้ทั้งสิ้น 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร อาทิ สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เซ็นทรัลเวิลด์ บิ๊กซีดาวคะนอง และตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถานประกอบการที่ลูกจ้าง/ผู้ประกันตนทำงานอยู่ โดยสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 ได้เตรียมพร้อมสถานที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไว้ให้บริการเรียบร้อยครบถ้วนทุกจุดแล้ว โดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน ทั้งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมคณะ จะเดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ในวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายนนี้ด้วย
“จากการลงพื้นที่ในวันนี้ กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันในการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นการควบคุมการแพร่ระบาด รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่แรงงาน ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีการขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็ว”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะฤดูฝน อย่าลืมระวังโรคไข้เลือดออก | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
สธ. แนะฤดูฝน อย่าลืมระวังโรคไข้เลือดออก
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำช่วงฤดูฝน แพทย์/ พยาบาล รักษาผู้ป่วยมีไข้ให้คิดถึงไข้เลือดออกด้วย พร้อมให้ อสม. ชวนประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในบ้านทุก 7 วัน หากมีไข้สูง 2 วันไม่ดีขึ้น หรือช่วงไข้ลด อาการแย่ลง อ่อนเพลีย ซึม ให้รีบไปโรงพยาบาล
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ไข้เลือดออกในปีนี้(1 มกราคม-2 มิถุนายน 2564) พบผู้ป่วยแล้ว 3,366 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุ 5–14 ปีและเด็กเล็ก แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยจะน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึงร้อยละ 81 แต่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ หากพบผู้ป่วยมีไข้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลให้คำนึงถึงโรคไข้เลือดออกด้วย และให้สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดการขยะ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน รวมทั้งให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ชวนประชาชนดูแลภายในบ้าน ไม่ให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามหลัก3 เก็บป้องกัน3 โรคคือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา
“ในช่วงนี้ เด็กเล็ก เด็กนักเรียนยังไม่เปิดเทอม ขอให้ผู้ปกครองดูแลไม่ให้ยุงกัด สวมใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว นอนในมุ้ง หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หน้าแดง มีผื่น มีรอยจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา เบื่ออาหาร จุกแน่นลิ้นปี่ หรือสงสัยว่าป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วขอย้ำว่า อย่าซื้อยาแก้ปวดลดไข้กลุ่มเอ็นเสด (NSAIDS : Nonsteroidal anti-inflammatory drug) เช่น แอสไพริน ไอบรูเฟน มากินเอง เพราะหากเป็นไข้เลือดออก จะทำให้เกิดอาการเลือดออกมากขึ้น” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการไข้สูงลอย อุณหภูมิ 38.5 – 40.0 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2 - 7 วัน อาการทั่วไปคล้ายเป็นหวัด แต่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก หน้าแดง ปวดศีรษะ บางรายอาจมีปวดท้อง อาเจียนมีจุดแดงเล็กตามแขน ขา ลําตัว หากมีอาการไข้สูง 2 วัน อาการไม่ดีขึ้น อ่อนเพลีย ซึมลง ปัสสาวะสีเข้ม หรือหลังจากไข้ลดแล้วแต่อาการแย่ลง ซึมกว่าเดิม เบื่ออาหาร เลือดกําเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด และอุจจาระเป็นสีดํา หมดสติ ให้รีบนําส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อลดการเสียชีวิต สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่แพทย์ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อยๆ เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดา รับประทานอาหารอ่อนและกินยาตามแพทย์สั่ง โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 2-3 วัน
ทั้งนี้ หลัก3 เก็บป้องกัน 3 โรค คือ เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุงเก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และเก็บน้ำปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ จะสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือโรคชิคุนกุนยาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
************************************ 5 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม ให้ความช่วยเหลือเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกิน จ.นครพนม | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
“รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม ให้ความช่วยเหลือเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกิน จ.นครพนม
“รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม ให้ความช่วยเหลือเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกิน จ.นครพนม
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin) และรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ ในพื้นที่จังหวัดนครพนม พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าของโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพ ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาสถาบันเกษตรกรภาคการเกษตร และโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พร้อมด้วย นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่2 นางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยช่วงเช้าเดินทางไปยัง สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม อ.เมือง จากนั้นเดินทางไปยัง โรงเรียนบ้านสีชมพูมิตรภาพที่ 164 บ้านโพนสนุก ต.สีชมพู อ.นาแก จ.นครพนม และช่วงบ่ายเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านนาโพธิ์ ต.โพนสว่าง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เพื่อมอบสิ่งของเวชภัณฑ์ เครื่องพ่นยาฆ่าแมลง ให้ผู้แทนเกษตรกร พร้อมมอบเงินกู้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ เพื่อเป้าหมายโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร แก่สหกรณ์การเกษตรบ้านแพง จำกัด จำนวน 70,000 บาท โอกาสนี้ พบปะเยี่ยมเยียนเกษตรกร และสมาชิกสหกรณ์ รับฟังปัญหา พร้อมเยี่ยมชมบูธนิทรรศการการดำเนินกิจกรรมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากกรมปศุสัตว์ และกลุ่มสหกรณ์ ก่อนปล่อยขบวนรถพ่นยาฆ่าเชื้อสำนักงานปศุสัตว์นครพนม และให้เกียรติร่วมฉีดพ่นยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรคลัมปี สกิน เพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และกำจัดโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกร และนำไปสู่การกำหนดมาตรการแนวทางให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสต่อไป
ทั้งนี้ โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพิ่งเกิดขึ้นในไทย จึงยังไม่เคยมีการใช้วัคซีนควบคุมและป้องกันโรคในประเทศมาก่อน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 และมีการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคลัมปี สกิน โดยได้ปิดด่านชายแดนทั้งหมดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนออกมาตรการเข้มงวด ในการเคลื่อนย้าย และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ขณะนี้ได้รับมอบวัคซีนล๊อตแรกจำนวน 60,000 โดสแล้ว ซึ่งกระจายไปยังปศุสัตว์จังหวัดต่างๆ อย่างไรก็ตามเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และจำกัดโรค เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อคลายความวิตกกังวลของพี่น้องเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้จัดให้มีการรณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน ในพื้นที่ที่มีการกระบาดของโรค
สำหรับรายงานสถานการณ์โรคลัมปี สกิน จ.นครพนม (ณ วันที่ 3 มิ.ย.64) ตำบลที่มีสัตว์ป่วยด้วยโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ จำนวน 97 ตำบล 578 หมู่บ้าน เกษตรกรได้รับผลกระทบจำนวน 1,826 ราย แบ่งเป็นสัตว์ป่วย 3,652 ตัว ตาย 95 ตัว สัตว์ร่วมฝูง จำนวน 9,296 ตัว และสัตว์หายป่วย จำนวน 1,289 ตัว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42454 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด ยืนยันทำตามหลักสิทธิมนุษยชน เชื่อคนเข้าใจเร่งฉีดให้นักโทษเพราะในคุกระบาดง่ายเพราะแออัด | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด ยืนยันทำตามหลักสิทธิมนุษยชน เชื่อคนเข้าใจเร่งฉีดให้นักโทษเพราะในคุกระบาดง่ายเพราะแออัด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ติดตามการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขัง เพื่อป้องกันแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แนะเรียนรู้อาชีพพ้นโทษมีงานสุจริตทำไม่กลับมาทำผิดซ้ำ
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ติดตามและเป็นประธานในพิธีเปิดการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขัง เพื่อป้องกันแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว. ยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวีระกิตต์ หาญปริพรรณ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายมงคล ณ นคร ผู้อำนวยการทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี นายจักร ลิ่มบุตร ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอธัญบุรี และนางจุไร ยอดระบำ ผู้อำนวยการสถานกักขังจังหวัดปทุมธานี ร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทางกรมราชทัณฑ์จะเร่งฉีดวัคซีนให้กับเรือนจำที่ปลอดเชื้อแต่อยู่ในพื้นที่สีแดง โดยจ.ปทุมธานี มีเรือนจำปลอดเชื้ออยู่ 4 แห่ง คือ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี มีผู้ต้องขัง 2,225 คน เรือนจำจังหวัดปทุมธานี มีผู้ต้องขัง 1,720 คน เรือนจำอำเภอธัญบุรี มีผู้ต้องขัง 2,117 คน และทัณฑสถานกักขังจังหวัดปทุมธานี ผู้ต้องกักขัง 83 คน ซึ่งในวันนี้เราจะเร่งฉีดให้กลุ่มเปราะบาง คือ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวก่อน โดยจะเร่งฉีดให้เสร็จภายใน 2-3 วัน ส่วนเรือนจำที่มีการติดเชื้ออีก 2 แห่ง เราจะยังไม่ฉีด ซึ่งการฉีดวัคซีนเราได้รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่พยาบาลจากโรงพยาบาลอำเภอธัญบุรี 10 คน
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ต้องขังที่เป็นต่างด้าว ก็ต้องได้รับการฉีดวัคซีนด้วย ตามหลักสิทธิมนุษยชน เราจะปล่อยและละเลยพวกเขาไม่ได้ ซึ่งแม้ว่าพวกเขาไม่มีเลขบัตรประชาชนในการลงทะเบียน แต่ตรงนี้สามารถดำเนินการไปก่อนได้ แล้วค่อยมาลงทะเบียน เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีชื่ออยู่ในเรือนจำซึ่งสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ตนขอขอบคุณ แพทย์และพยาบาลที่มาช่วยงานในครั้งนี้ และขอให้ผู้ต้องขังทุกท่านร่วมมือในการฉีดวัคซีน ซึ่งการฉีดวัคซีนนั้นสามารถช่วยประหยัดงบประมาณมากกว่าการใช้ยารักษาโรคหลายเท่า นอกจากนี้ขอฝากให้ผู้ต้องขังทุกคนเมื่อพ้นโทษ ขอให้ทำอาชีพสุจริต โดยเรียนรู้การฝึกอาชีพจากในเรือนจำ นำสิ่งที่เหมาะสมกับเราไปประกอบอาชีพ และตนยังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ซึ่งจะสามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้พ้นโทษได้
เมื่อถามว่าสังคมยังมีความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ต้องขังมากกว่าประชาชนภายนอกในการจัดหาวัคซีน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรือนจำมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็งคือ เชื้อไม่สามารถหลุดออกไปแพร่ระบาดข้างนอกได้ แต่จุดอ่อนคือ เมื่อเชื้อเข้ามาจะแพร่ระบาดได้เร็วและป้องกันได้ยาก เพราะไม่มีมาตรฐานระยะห่าง 1.5-2 เมตรตามมาตรฐาน ภายในเรือนจำระยะห่างต่อคนแค่ 2-3 เซ็นติเมตรเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจและเห็นด้วยกับการเร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้ต้องขัง และเมื่อฉีดวัคซีนแล้วเราจะเกลี่ยย้ายผู้ต้องขังไม่ให้แออัดด้วย นอกจากนี้ในส่วนการปฏิบัติงานเราทำมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด ทำตามหลักสิทธิมนุษยชน ยิ่งในช่วงการระบาดของโควิดเรายิ่งเข้มงวดกว่าเดิม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42453 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน แจงแนวทางช่วยเหลือผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทยในประเทศญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาเนื่องจากตั้งครรภ์ระหว่างฝึกปฏิบัติงาน | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
กระทรวงแรงงาน แจงแนวทางช่วยเหลือผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทยในประเทศญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาเนื่องจากตั้งครรภ์ระหว่างฝึกปฏิบัติงาน
กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for Technical Intern Training: OTIT) ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ ข้อแจ้งที่สำคัญสำหรับผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทยในประเทศญี่ปุ่น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for Technical Intern Training: OTIT) ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ ข้อแจ้งที่สำคัญสำหรับผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทยในประเทศญี่ปุ่น ที่ประสบปัญหาเนื่องจากการตั้งครรภ์ระหว่างการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคฯ เพื่อให้ผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคฯทราบการปฏิบัติตนเมื่อตั้งครรภ์ในประเทศญี่ปุ่น สิทธิประโยชน์ และการรับความช่วยเหลือต่างๆ สำหรับประเทศญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นอีกตลาดแรงงานสำคัญที่แรงงานไทยจำนวนมากนิยมเดินทางไปทำงาน ด้วยจำนวนรายได้ สภาพความเป็นอยู่ ตลอดจนเทคนิค ทักษะการทำงานเฉพาะ ที่สามารถนำมาปรับใช้ และยกระดับการทำงานในประเทศไทย ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น 1,700 คน และ Re-entry 137 คน รวมทั้งสิ้น 1,837 คน
“ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยต่อแรงงานไทยซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ยิ่งมิให้ละเลย กำชับให้กระทรวงแรงงาน ติดตามดูแลความเป็นอยู่ การเข้าถึงสวัสดิการที่ต้องได้รับตามกฎหมาย และช่องทางช่วยเหลือหากประสบปัญหาอย่างใกล้ชิดเสมอ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทยในญี่ปุ่นเมื่อตั้งครรภ์ไม่ต้องกังวล ขอให้รับทราบและปฏิบัติตามข้อแจ้งที่สำคัญจากองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคฯ (OTIT) ดังนี้
1. การปฏิบัติตนเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ - ผู้ฝึกปฏิบัติงานฯ ที่ทราบว่าตนตั้งครรภ์ให้ติดต่อแจ้งการตั้งครรภ์ไปยังเขตปกครองในท้องที่ที่อาศัยอยู่ หรืออาจขอรับคำปรึกษาจากองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (OTIT) ที่เปิดให้คำปรึกษาแนะนำในท้องที่ที่อาศัยอยู่ เมื่อติดต่อยื่นเรื่องแจ้งการตั้งครรภ์แล้วทางอำเภอหรือตำบลจะออกคู่มือประจำตัวแม่และทารก รวมทั้งบัตรรับตรวจสุขภาพผู้ตั้งครรภ์ เพื่อเข้ารับการตรวจครรภ์ตามกำหนด
2. การฝึกปฏิบัติงานระหว่างตั้งครรภ์ - การตั้งครรภ์ไม่ถือเป็นสาเหตุให้ออกจากงาน หรือให้ความไม่เป็นธรรมต่อบุคคลนั้นๆ หากผู้ฝึกปฏิบัติงานฯ ประสงค์ที่จะทำงานต่อ สามารถทำได้ตามที่ต้องการ โดยขอลาหยุดงานได้ก่อนถึงกำหนดคลอด 6 สัปดาห์ และหากช่วงที่ลาหยุดงานไม่ได้รับเงินเดือน ทั้งก่อนและหลังคลอดสามารถรับเงินช่วยเหลือค่าคลอดได้จากประกันสวัสดิการสุขภาพจากเงินที่จ่ายประจำ ประมาณร้อยละ 60
3. การฝึกปฏิบัติงานหลังจากคลอดบุตร - หลังจากคลอดบุตรแล้ว 8 สัปดาห์ ผู้ฝึกปฏิบัติงานฯ จะสามารถกลับไปฝึกปฏิบัติงานได้ตามปกติ แม้ว่าจะขอลาหยุดงานและเดินทางกลับมาคลอดบุตรที่ประเทศไทย ก็สามารถกลับไปฝึกปฏิบัติงานได้ โดยจะต้องยื่นเรื่องต่อองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (OTIT) และแจ้งองค์กรกำกับดูแลเกี่ยวกับการกลับเข้าไปฝึกปฏิบัติงานหลังจากคลอดบุตร
“ทั้งนี้ ผู้ฝึกปฏิบัติงานฯ สามารถติดต่อไปยังองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับซาวต่างชาติ แห่งประเทศญี่ปุ่น (OTIT) เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำหรือขอรับความช่วยเหลือเป็นภาษาไทยได้ในวันพฤหัสบดี เวลา 11.00 -19.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 09.00 -17.00 น. (เวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น) หมายเลขโทรศัพท์ 0120-250-198 เว็บไซต์ https://www.support.otit.go.jp/soudan/th/ สำหรับปัญหาหรือข้อกังวลเรื่องการตั้งครรภ์หรือเรื่องอื่นๆ ในการดำรงชีพสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่เว็บไซต์www.moj.go.jp/isa/content/930004512.pdf และ www.clair.or.jp/j/multiculture/association/consultation_list.html
สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเป็นผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น สามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร. 02-245-6708 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42451 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่เรือนจำพิเศษพัทยา ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ผู้ต้องขัง มั่นใจหลังจากนี้จะไม่เกิดคลัสเตอร์เรือนจำ เล็งเปลี่ยนกฎหมายยาเสพติดแก้ปัญหาจำนวนผู้ต้องขังแออัด | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่เรือนจำพิเศษพัทยา ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ผู้ต้องขัง มั่นใจหลังจากนี้จะไม่เกิดคลัสเตอร์เรือนจำ เล็งเปลี่ยนกฎหมายยาเสพติดแก้ปัญหาจำนวนผู้ต้องขังแออัด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ต้องขัง ที่เรือนจำพิเศษพัทยา เพื่อป้องกันแพร่ระบาดตามมาตรการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิดระบาดในเรือนจำ
วันที่ 5 มิถุนายน 2564 เวลา 10.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ติดตามพร้อมเป็นประธานในพิธีเปิดการฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ต้องขัง ที่เรือนจำพิเศษพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อป้องกันแพร่ระบาดตามมาตรการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิดระบาดในเรือนจำ โดยมีว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายนริศ นิรามัยวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้าร่วมงานด้วย
โดย รมว.ยุติธรรม ได้นำเข็มฉีดยาฉีดเข้าไปที่หุ่นเชื้อไวรัสจำลอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพิธีเปิด พร้อมกล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีความต้องการให้ผู้ต้องขังในเรือนจำ กลุ่มเปราะบาง เช่น ในเรือนจำพิเศษพัทยา ซึ่งอยู่ในเมืองท่องเที่ยว คือจังหวัดชลบุรีต้องปลอดโควิด จึงเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนทั่วประเทศในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ซึ่งขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข ที่ทยอยส่งวัคซีนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ขณะที่คลัสเตอร์ในเรือนจำที่มีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิดเป็นจำนวนมากนั้น ตนมั่นใจว่าหลังจากได้รับวัคซีนยอดผู้ติดเชื้อจะลดลง และจากการดูแลรักษาพร้อมกับตัวเลขที่รายงานในแต่ละวัน อย่างเช่นวันนี้ประมาณ 300 กว่าคน เท่านั้น
ขณะที่ การบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดพื้นที่สีแดง แต่เป็นเรือนจำสีขาว คือยังไม่มีผู้ติดเชื้อ ประมาณ 38 เรือนจำ จำเป็นต้องใช้วัคซีนจำนวนพอสมควร จึงประสานขอวัคซีนกับกรมควบคุมโรคแล้ว ซึ่งพร้อมทยอยส่งให้เร็วนี้ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ต้องมีมาตรการป้องกันและเตรียมความพร้อมอย่างเข้มงวดในการฉีด
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรถึงจุดอ่อนของการป้องกันโควิดในเรือนจำ ซึ่งเกิดขึ้นจากความแออัดที่ยังไม่ได้มาตรฐานในการเว้นระยะห่าง 1.2 ตารางเมตร ต่อคน ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งฉีดวัคซีน โดยขอให้มั่นใจว่าในคลัสเตอร์เรือนจำต่อจากนี้ จะไม่มีการติดทีเดียวมาก ๆ อีก เพราะได้มีการบริหารจัดการร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ จึงอยากให้ญาติของผู้ต้องขังทั้งหลาย ที่มีอยู่กว่าสามล้านหนึ่งแสนกว่าคน มั่นใจได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงญาติพี่น้องที่อยู่ในเรือนจำ
ขณะที่การแก้ไขเรื่องความหนาแน่นแออัดในเรือนจำ มีแผนจะเสนอร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยปรับมาตรฐานโทษใหม่ เช่น คดีนำยาบ้าข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เดิมมีโทษขั้นต่ำจำคุก 15 ปี ให้เปลี่ยนโทษตามดุลพินิจของศาล มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ซึ่งจะทำให้มีผู้ได้รับพักโทษหรือพ้นโทษออกไปสูงถึง 30,000 คน และในส่วนนี้จะจัดให้มีงานทำในนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ซึ่งเบื้องต้นได้หารือการสร้างนิคมฯกับทางหอการค้าแต่ละจังหวัดแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการขนส่งวัคซีนไปยังเรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล นายสมศักดิ์ เชื่อว่าไม่มีปัญหาในส่วนนี้ เพราะวัคซีนต้องถูกควบคุมโดยอุณหภูมิติดลบ 70 องศา จึงมีการวางแผนเวลาขนส่งแบบวันต่อวัน และให้ขนส่งผ่านทางเครื่องบินเพื่อความรวดเร็วที่สุด โดยตอนนี้ยังต้องการวัคซีนอีก 6.2 แสนโดส เพื่อฉีดให้ผู้ต้องขังในพื้นที่สีแดงกว่า 3.1 แสนคน และในส่วนของเจ้าหน้าที่เรือนจำด้วย
“การฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มเรือนจำสีขาว กลุ่มเบาะบางที่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน มะเร็งและเบาหวาน เป็นต้น ขณะนี้มี 14 เรือนจำจะทำให้เสร็จก่อนวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ซึ่งการฉีดวัคซีนที่เรือนจำพิเศษพัทยาวันนี้ มียอดทั้งหมด 480 โดส จากจำนวนผู้ต้องขังกว่า 3,252 คน” นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจง งบสู้โรคโควิด19 แสนกว่าล้านบาท จ่ายแล้ว 8.7หมื่นลบ. สำรองอีก3หมื่นลบ.ใน พ.ร.ก.เงินกู้ฯ | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รัฐบาลแจง งบสู้โรคโควิด19 แสนกว่าล้านบาท จ่ายแล้ว 8.7หมื่นลบ. สำรองอีก3หมื่นลบ.ใน พ.ร.ก.เงินกู้ฯ
รัฐบาลแจง งบสู้โรคโควิด19 แสนกว่าล้านบาท จ่ายแล้ว 8.7หมื่นลบ. สำรองอีก3หมื่นลบ.ใน พ.ร.ก.เงินกู้ฯ
วันนี้( 5มิ.ย.64)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าจากที่ได้ติดตามการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณพ.ศ.2565พบว่ายังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขให้แก่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด19จึงขอชี้แจงเพื่อให้ประชาชนได้สบายใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างสูงสุดและได้จัดสรรวงเงินที่จะใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด19เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านสาธารณสุขเบื้องต้นจำนวนทั้งสิ้น1.17แสนล้านบาทและในส่วนของร่างพ.ร.บ.งบประมาณ65ยังจัดงบประมาณด้านการแพทย์และสาธารณสุขตามภารกิจของหน่วยงานที่ประกอบด้วยงบของกระทรวงสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินกองทุนภูมิปัญหาการแพทย์แผนไทยวงเงินรวมอีก 2.95แสนล้านบาท
โดยในช่วงปีงบประมาณ2563 – 2564รัฐบาลจัดสรรวงเงินงบประมาณจากทั้งงบกลางกรณีฉุกเฉินและพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับกระทบจากการระบาดของโควิด19ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน87,862ล้านบาทแบ่งเป็น
-ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภาคสนามและอสม. 22,146ล้านบาท
-การจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์1,824 ล้านบาท
-ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด29,304ล้านบาท
-ค่าใช้จ่ายด้านวัคซีนทั้งการวิจัยพัฒนาในประเทศรวมไปถึงค่ารักษากรณีอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนด้วย21,134ล้านบาท
-การเฝ้าระวังป้องกันและค้นหาเชิงรุก6,483ล้านบาท
-การจัดตั้งสถานกักตัวของรัฐ(State Quarantine - SQ)และสถานที่กักกันโดยองค์กรต่างๆ(Organizational Quarantine - OQ) 6,452ล้านบาท
-การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน519ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีเงินกู้ตามพระราชกำหนดฉบับเพิ่มเติมที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ25พ.ค.ที่ผ่านมาอีกจำนวน30,000ล้านบาท(จากกรอบวงเงินกู้5แสนล้านบาท)เพื่อเตรียมพร้อมรับความไม่แน่นอนของการระบาดของโรคโควิด19ซึ่งการใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาโควิด19จากพ.ร.ก.เงินกู้จะทำได้เร็วกว่าและทันสถานการณ์มากกว่าการรอใช้จากพ.ร.บ.งบประมาณปี2565ที่กว่าจะเริ่มใช้ในเดือนต.ค. 2564
"ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและมีงบประมาณเพืยงพอในการจัดการสถานการณ์โควิด19 ทั้งการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์วัคซีนเพื่อบริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19และการดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาได้เน้นย้ำว่ารัฐบาลจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงการบริหารประเทศทั้ง2ช่วงเวลาทั้งช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด19และหลังสถานการณ์ เพี่อขับเคลื่อนประเทศต่อเนื่องในทุกมิติทั้งความมั่นคงเศรษฐกิจสังคมและสุขภาพ"นางสาวรัชดาฯกล่าว
————————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิร่วมโครงการ “บอกดิน2” ถึงสิ้นมิ.ย.นี้ | วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิร่วมโครงการ “บอกดิน2” ถึงสิ้นมิ.ย.นี้
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิร่วมโครงการ “บอกดิน2” ถึงสิ้นมิ.ย.นี้ แจ้งข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนให้ภาครัฐช่วยจัดการให้ถูกต้องตามกฎหมาย สะดวก ประหยัด สร้างความเสมอภาค
วันที่5มิ.ย. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจากที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้นำไปสู่การขับเคลื่อนหลายโครงการสำคัญซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินทำกินการมีที่ดินทำกินโดยมีเอกสารสิทธิรับรองถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยโดยกรมที่ดินได้ดำเนินโครงการบอกดินที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิหรือมีส.ค. 1น.ส.3น.ส.3กและต้องการให้ภาครัฐเข้าไปบริหารจัดการที่ดินให้ถูกต้องสามารถแจ้งข้อมูลผ่านทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ให้ภาครัฐเข้าไปดำเนินการที่เกี่ยวกับเอกสารสิทธิให้ถูกต้องตามกฎหมายได้
โดยปีงบประมาณ2564ดำเนินการมาเป็นปีที่2ในชื่อโครงการ“บอกดิน2” เริ่มโครงการตั้งแต่1มี.ค.—30มิ.ย. 2564ซึ่งเดือนมิ.ย.จะเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณนี้ที่จะให้แจ้งข้อมูลจึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิแจ้งข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือดำเนินการให้มีเอกสารสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสำหรับการแจ้งข้อมูลที่ดินตามโครงการบอกดิน2ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลและตำแหน่งที่ตั้งที่ดินของตนเองโดยใช้สมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตและแจ้งข้อมูลผ่าน4ช่องทางได้แก่1.ทางเว็บไซต์: https://bokdin2.dol.go.th 2.ทางLINE Official Accountแอดไลน์ไอดี: @teedinคลิกที่เมนู“บอกดิน” 3.ทางMobile Application “SMARTLANDS”คลิกเมนู“บอกดิน”และ4.สแกนเข้าระบบบน“บัตรบอกดิน”ได้ที่สำนักงานที่ดินทั้ง461แห่งทั่วประเทศ
โดยขณะที่แจ้งข้อมูลต้องเดินทางไปยังแปลงที่ดินที่ต้องการแจ้งข้อมูลยืนรอประมาณ1นาทีจากนั้นเข้าระบบบอกดินผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งจาก4ช่องทางตามที่สะดวกแล้วกดแจ้งตำแหน่งที่ดินกรอกข้อมูลส่วนตัวแล้วกดส่งจากนั้นกรมที่ดินจะตรวจสอบในรายละเอียดรวบรวมข้อเท็จจริงหลักฐานต่างๆและแจ้งกลับให้ผู้ครอบครองทราบว่าจะมีวิธีดำเนินการอย่างไรและให้ความช่วยเหลือต่อไปโดยประชาชนที่ต้องการทราบข้อมูลโครงการเพิ่มสามารถสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์0-2141-5555
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าโครงการบอกดิน2 ที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินของตนเองนี้นอกจากจะมีความสะดวกแล้วยังลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินลดปัญหาการแอบอ้างเพื่อเก็บเงินจากประชาชนในการติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐลดข้อโต้แย้งที่เกิดจากการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากประชาชนไม่สามารถแจ้งตำแหน่งที่ดินด้วยระบบแผนที่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างฐานข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินในประเทศไทยเช่นการจัดทำแผนโครงการตามนโยบายรัฐซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการในด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชนอย่างเหมาะสมกับสภาพของที่ดินและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“ปีงบประมาณ2563กรมที่ดินเปิดรับการแจ้งข้อมูลและตำแหน่งที่ตั้งที่ดินผ่านโครงการบอกดินในช่วงเดือนก.ค.-ก.ค. 2563มีประชาชนแจ้งข้อมูล11,899รายส่วนปีงบประมาณ2564ที่เปิดให้แจ้งข้อมูลตั้งแต่เดือนมี.ค.ถึงขณะนี้มีผู้แจ้งข้อมูลแล้ว76,542รายโดยเดือนมิ.ย.นี้จะเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ2564ที่จะเปิดให้แจ้งข้อมูลจึงขอเชิญชวนประชาชนที่มีที่ดินแต่ยังไม่มีเอกสารสิทธิมาร่วมโครงการแจ้งข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยแลให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
----------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย พัฒนาแอปพลิเคชัน “BKP iService” เพิ่มความสะดวก สามารถตรวจสอบสถานะตู้สินค้า | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทย พัฒนาแอปพลิเคชัน “BKP iService” เพิ่มความสะดวก สามารถตรวจสอบสถานะตู้สินค้า
...
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดำเนินการพัฒนาแอปพลิเคชัน “BKP iService” ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการในการตรวจสอบสถานะการบรรทุกขนถ่ายตู้สินค้า ตารางการทำงานของเรือบรรทุกตู้สินค้า และเวลาเข้า-ออกของเรือบรรทุก ตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) ได้ตลอดเวลาจากทุกสถานที่ ข้อมูลมีความถูกต้องและแม่นยำ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเดินทางมาติดต่อสอบถามข้อมูลการใช้บริการที่ ทกท. ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “BKP iService” ได้ทั้งในระบบ IOS และ Android โดย เริ่มเปิดให้บริการระบบตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กทท. กำลังดำเนินการพัฒนาระบบให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่ สถานะสินค้าต่างๆ ที่จัดเก็บในโรงพักสินค้า วันเปิดตู้สินค้า วันบรรจุสินค้า ประมาณการค่าใช้จ่าย และการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้บริการ สามารถเข้าถึงข้อมูลการให้บริการของ กทท. เป็นการยกระดับการให้ บริการโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานให้เป็นมาตรฐานสากล เพิ่มความสะดวก และความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เสริมการค้าการขนส่ง รองรับปริมาณการจราจรในอนาคต สร้างถนนสนับสนุน เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ต่อเนื่อง คาดในปี 2564 เริ่มก่อสร้างอีก 2 โครงการ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
กรมทางหลวงชนบท เสริมการค้าการขนส่ง รองรับปริมาณการจราจรในอนาคต สร้างถนนสนับสนุน เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ต่อเนื่อง คาดในปี 2564 เริ่มก่อสร้างอีก 2 โครงการ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone : SEZ)
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone : SEZ) สอดรับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านงานทางตามยุทธศาสตร์ ของกระทรวงคมนาคมและการพัฒนาจังหวัดที่อยู่ใกล้กับบริเวณเขตชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ทช. ได้ดำเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจชายแดน (Special Economic Zone : SEZ) อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง แก้ไขปัญหาการจราจร ส่งเสริมทั้งด้านการค้า การท่องเที่ยว และการขนส่งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ผ่านมามีโครงการที่ ทช. ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ จำนวน 18 โครงการ รวมระยะทาง 195.617 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างทางต่างระดับ จำนวน 1 แห่ง ประกอบด้วยในพื้นที่จังหวัดตาก สระแก้ว ตราด หนองคาย นครพนม สงขลา และเชียงราย ซึ่งขณะนี้ ทช. ยังมีโครงการสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หรือ SEZ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 1 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างถนนสาย ง2 และ ง3 ผังเมืองรวมเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ระยะทางรวม 7.535 กิโลเมตร ปัจจุบันการก่อสร้างมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 67 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนของผิวจราจร งานทางเท้า ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 และจะเปิดใช้ในช่วงต้นปี 2565 นอกจากนี้ ทช. ยังมีโครงการที่จะเตรียมดำเนินการก่อสร้างอีกจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย มห.3019 แยก ทล.212 - บางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร (ตอนที่ 1) ระยะทางรวม 14.211 กิโลเมตร โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.1012 - บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง อำเภอจุน จังหวัดเชียงรายและพะเยา ระยะทางรวม 43.709 กิโลเมตร โดยขณะนี้ทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2564 รวมทั้งยังมีโครงการถนนสายเชื่อมศูนย์ซ่อมอากาศยาน - ศูนย์กลางการค้าส่งชายแดนบริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 - ทล.212 อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ระยะทาง 23.102 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 - 2571 ทช. มีแผนที่จะเตรียมดำเนินการก่อสร้างเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หรือ SEZ อย่างต่อเนื่อง รวมระยะทาง 139.023 กิโลเมตร พร้อมโครงการก่อสร้างทางต่างระดับ จำนวน 2 แห่ง อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญชวนร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
ขอเชิญชวนร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ ๑ – ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔
#ทรงพระเจริญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ จับมือเครือข่ายพันธมิตร จัดงานสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน 2021 ครั้งที่ 5 หวังลดความเหลื่อมล้ำ-ละเมิดสิทธิในภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ จับมือเครือข่ายพันธมิตร จัดงานสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน 2021 ครั้งที่ 5 หวังลดความเหลื่อมล้ำ-ละเมิดสิทธิในภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ จับมือเครือข่ายพันธมิตร จัดงานสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน 2021 ครั้งที่ 5 เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดกิจกรรมเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายส่งเสริมการดำเนินงานและสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงได้จัดงานสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Bangkok Business and Human Rights Week : BBHR Week 2021) ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2560 โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้จับมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme) สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) และผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Thai Representative to ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights) เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดกิจกรรมเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชน ที่สนใจเข้าร่วมมากกว่า 3,000 คน
โดยกิจกรรมในปีนี้จะจัดในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งได้รับเกียรติจากสมาพันธรัฐสวิสและศูนย์อาเซียนเพื่อการหารือและการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมเป็นเจ้าภาพ โดยมี 2 กิจกรรม คือ 1. The ASEAN - Swiss Forum on SDG 12 (Responsible Consumption and Production) and Business & Human Rights: A Peer- Learning Event (กำหนดจัดวันที่ 31 พฤษภาคม 2564) และ 2. The United Nations Responsible Business and Human Rights Forum – New Decade of Action? (RBHR Forum 2021) (กำหนดจัดวันที่ 1-4 มิถุนายน 2564) สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2564 Bangkok Business & Human Rights Week 2021- BBHR WEEK สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://www.rbhrforum.com พร้อมบริการล่ามแปลภาษาอาเซียน10 ภาษา
นายเรืองศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ประเทศไทยต้องผลักดันให้เกิดการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ SMEs เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ การสร้างกลไกหรือหน่วยงานเพื่อติดตามตรวจสอบการลงทุนของธุรกิจสัญชาติไทยในต่างประเทศ และที่สำคัญต้องมีการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และประชาชน และยิ่งในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด จนส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เพิ่มอัตราการว่างงาน และปัญหาความยากจน ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันเพื่อประกันว่าจะเกิดการเคารพสิทธิมนุษชนในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนปฏิบัติตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากเชื้อไวรัสนี้ และทำให้สังคมกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42288 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชน ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังจากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการจากทางราชการ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชน ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังจากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการจากทางราชการ
ขอเตือนประชาชนได้ระมัดระวังข่าวปลอมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง เช่น โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ในลักษณะข้อความสั้น หรือข้อมูลที่มีการส่งต่อผ่าน Social Media
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ขอเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังข่าวปลอมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง เช่น โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ในลักษณะข้อความสั้น (SMS) หรือข้อมูลที่มีการส่งต่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หรืออาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน โดยโฆษกกระทรวงการคลังขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการของกระทรวงการคลัง ได้แก่ www.เราชนะ.com www.mof.go.th www.fpo.go.th Facebook Fanpage “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” และ Facebook Fanpage “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง: Fiscal Policy Office”
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 96,377 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 17.0 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 139,974 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 19,165 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 255,516 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42271 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
มาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2564 ครม.มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของ คกก.กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2564 และ 18/2564 ตามที่เสนอ มอบหมายให้ ก.คลังดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพและและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2564 และ 18/2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการ ครอบคลุมประชาชนประมาณ 51 ล้านคน โดยประชาชนแต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้ 1 โครงการ ดังมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) ระยะที่ 3 สำหรับกลุ่มผู้มีบัตรฯ ประมาณ 13.65 ล้านคน โดยจะช่วยเหลือค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน วงเงินรวม 16,380.19 ล้านบาท ทั้งนี้ หากผู้มีบัตรฯ ประสงค์จะรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แทน จะต้องสละสิทธิการเป็นผู้มีบัตรฯ โดยขอให้นำบัตรฯ มาคืนที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด ภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 และจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ) เช่น ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนหรือเดินทางไปใช้จ่ายวงเงินที่ได้รับผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้) เป็นต้น (ผู้ได้รับสิทธิเราชนะกลุ่ม 4) ประมาณ 2.5 ล้านคน โดยจะช่วยเหลือค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าฯ และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นวงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หากผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ ประสงค์รับสิทธิตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แทน จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าว ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และถือเป็นการสละสิทธิตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โดยประชาชนที่เข้าร่วมโครงการไม่เกิน 31 ล้านคน จะได้รับสิทธิภาครัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ (นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ) ยกเว้นสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 1,500 บาทต่อคน ในแต่ละรอบ รอบละ 3 เดือน หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ เป็นวงเงินรวม 93,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมจ่ายคนละครึ่งนี้จะช่วยเติมกำลังซื้อของประชาชน โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นเงิน 186,000 ล้านบาท
4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นโครงการใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ได้รับสิทธิไม่เกิน 4 ล้านคน ที่ชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา
ทำผมทำเล็บ ยกเว้นสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001-60,000 บาท ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e-Voucher จะคืนเป็นวงเงินใน g-Wallet ทุกต้นเดือนถัดไป โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้ โดยวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการรวม
28,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นเงิน 268,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการทั้ง 4 โครงการดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายได้เร็วที่สุดในวันที่ 1 กรกฎาคม จนถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงวันเริ่มใช้จ่าย กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ทราบต่อไป นอกจากนี้ สำหรับการลงทะเบียนและการใช้จ่ายของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีรายละเอียดและระยะเวลาดำเนินโครงการในเบื้องต้น ดังนี้
1) ประชาชนผู้สนใจที่มีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีบัตรประจำตัวประชาชน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ได้ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ได้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 06.00 น. – 22.00 น. โดยผู้ที่เคยใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com ตามต้องการ ส่วนประชาชนที่ไม่เคยใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ของโครงการที่ต้องการเข้าร่วม ทั้งนี้ หากผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ประสงค์จะเปลี่ยนไปรับสิทธิอีกโครงการหนึ่งแทน จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิอีกโครงการหนึ่ง ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และถือเป็นการสละสิทธิโครงการที่ได้รับสิทธิเดิม
2) ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนที่สาขาหรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ยกเว้นผู้ที่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนกับธนาคารกรุงไทยฯ หรือผู้ที่มีแอปพลิเคชัน KrungthaiNext และเมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมแต่ละโครงการได้ในเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ในเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อนำมาคำนวณสิทธิได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และใช้ e-Voucher ได้ในช่วงเดือนสิงหาคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป เวลา 06.00 น. – 22.00 น. โดยผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com ตามต้องการ หรือสาขาหรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยฯ
กระทรวงการคลังคาดว่า การดำเนินการโครงการทั้ง 4 โครงการดังกล่าว ครอบคลุมประชาชน 51 ล้านคนจะช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ จากการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน 473,000 ล้านบาท อีกทั้งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่พี่น้องประชาชน เพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3514 3513
โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3/โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3509 3525
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 02-111-1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) พร้อมจำหน่ายสลากผ่านตัวแทนจำหน่ายสลาก ร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers ในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี จำนวน 51 จุด เริ่มงวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) พร้อมจำหน่ายสลากผ่านตัวแทนจำหน่ายสลาก ร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers ในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี จำนวน 51 จุด เริ่มงวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแถลงข่าวโครงการ GLO Official Sellers สร้างจุดจำหน่ายให้ประชาชนสามารถหาซื้อสลากได้ตามราคา 80 บาท นำร่องพื้นที่ กรุงเทพฯ และนนทบุรี มีตัวแทนจำหน่ายสลากร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers จำนวน 51 จุด
วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) เวลา 09.00 น. ที่ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 3 อาคารออกรางวัล สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พันตำรวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงข่าวโครงการ GLO Official Sellers สร้างจุดจำหน่ายให้ประชาชนสามารถหาซื้อสลากได้ตามราคา 80 บาท นำร่องพื้นที่ กรุงเทพฯ และนนทบุรี มีตัวแทนจำหน่ายสลากร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers จำนวน 51 จุด โดยการจ่ายเงินในการซื้อ-ขายสลาก จะเป็นการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อป้องกันการซื้อ-ขายสลากเกินราคาที่กำหนด 80 บาท ซึ่งนำไปสู่การลดความรุนแรงของปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันกับการจำหน่ายสลากผ่านโครงการ คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในงวดแรก งวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้
พันตำรวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กล่าวว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันมีผู้นำสลากกินแบ่งรัฐบาลไปจำหน่ายเกินราคาหน้าสลากเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยที่ได้จากการสำรวจเกินกว่าราคา 80 บาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบกับประชาชนผู้ซื้อ สำนักงานฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความตั้งใจจริงในการหาแนวทาง/มาตรการต่างๆ มาสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของโครงการ GLO Official Sellers ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจุดจำหน่ายให้ประชาชนสามารถหาซื้อสลากได้ตามราคา 80 บาท และลดความรุนแรงของปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคาอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการสร้างความร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย(รายเดิม) ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติ พร้อมยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นตัวแทนจำหน่ายสลาก ร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers ของสำนักงานฯ และจะต้องผ่านการคัดเลือกให้จำหน่ายสลากในพื้นที่นำร่องของโครงการฯ เพื่อให้การควบคุม การติดตามประเมินผล เป็นไปอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วยเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 50 เขต (เขตละ 1 ราย) และจังหวัดนนทบุรี จำนวน 6 อำเภอ (อำเภอละ 1 ราย) ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้ประกาศรับสมัครตัวแทนจำหน่ายสลากประเภทบุคคลทั่วไปส่วนกลาง (รายเดิม) และตัวแทนจำหน่ายสลากบุคคลทั่วไป จังหวัดนนทบุรี (รายเดิม) เข้าร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 มียอดผู้สมัครทั้งสิ้น 520 ราย แบ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากในเขตกรุงเทพมหานคร 460 ราย และจังหวัดนนทบุรี 60 ราย
ในส่วนของการตรวจสอบ สำนักงานฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดจำหน่ายของผู้สมัคร ระหว่างวันที่ 22-31 มีนาคม 2564 วันที่ 7 เมษายน 2564 และวันที่ 19-20 เมษายน 2564 รวมถึงการตรวจสอบคุณสมบัติและเกณฑ์การพิจารณาตามที่ประกาศไว้ ผลปรากฏว่ามีผู้สมัครผ่านเกณฑ์ รวมทั้งสิ้น 275 ราย แบ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 241 ราย และจังหวัดนนทบุรี จำนวน 34 ราย และได้ทำการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นเครือข่าย GLO Official Sellers และทำการคัดเลือก (Random) ตัวแทนจำหน่ายสลาก ไปเมื่อวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเครือข่าย ได้รับการคัดเลือกเป็นเครือข่าย GLO Official Sellers Sellers จำนวน 51 ราย ประกอบด้วย พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 46 ราย ( 46 เขต) และ จังหวัดนนทบุรี 5 ราย ( 5 อำเภอ) สำหรับอีก 5 ราย (4 เขต 1 อำเภอ) ได้แก่ เขตคลองสามวา คันนายาว สะพานสูง ภาษีเจริญ และไทรน้อย ไม่มีผู้ได้รับคัดเลือก เนื่องจากไม่มีผู้สมัครผ่านเกณฑ์ ไม่เข้ารับการอบรม และขอสละสิทธิ์หลังจากได้รับคัดเลือก
สำหรับตัวแทนจำหน่ายสลากร่วมเครือข่าย GLO Official Sellers จะได้รับการเพิ่มสลากให้ จำนวน 20 เล่ม รวมสลากที่ได้รับไปจำหน่ายต่องวด จำนวน 25 เล่ม เพื่อสนับสนุนการจำหน่ายสลาก ณ จุดจำหน่าย สำหรับการจ่ายเงินในการซื้อ-ขายสลาก จะเป็นการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อป้องกันการซื้อ-ขายสลากเกินราคาที่กำหนด 80 บาท โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันกับการจำหน่ายสลากผ่านโครงการ พร้อมนี้จะได้รับสิ่งของที่มีตราสัญลักษณ์เครือข่าย GLO Official Sellers เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ว่าเป็นจุดจำหน่าย เครือข่าย GLO Official Sellers ประกอบด้วย แผงจำหน่ายสลาก ป้ายประชาสัมพันธ์ (Roll up) เสื้อกั๊ก ตราประทับสัญลักษณ์ และป้ายอะคริลิคประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้สำนักงานฯ จะดำเนินการประชาสัมพันธ์จุดจำหน่ายตามแผนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมการจำหน่ายของตัวแทน โดยจะเริ่มจำหน่ายในงวดแรก งวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ ภายใต้ข้อปฏิบัติตามสัญญา ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ประกาศ และเงื่อนไขต่างๆ ที่สำนักงานฯ กำหนด หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามสำนักงานฯ จะดำเนินการกับตัวแทนจำหน่ายอย่างเข้มงวด โดยจะบอกเลิกสัญญา และยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่าย และเรียกคืนทรัพย์สินที่สำนักงานฯ มอบให้ทั้งหมด รวมทั้งริบหลักประกันทั้งจำนวนทันที
ผู้อำนวยการ กล่าวในตอนท้ายว่า การแถลงข่าวในวันนี้ได้ดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และดำเนินการขออนุญาตต่อคณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัดนนทบุรี เรียบร้อยแล้ว สำหรับความคาดหวังในการดำเนินโครงการ GLO Official Sellers ของสำนักงานฯ คือการแก้ไขและลดความรุนแรงของปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคาให้เกิดเป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือทำให้ประชาชนสามารถซื้อสลากได้ตามราคาที่กำหนด ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูลจุดจำหน่ายในเขตพื้นที่ต่างๆ ได้ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th โดยจากนี้ไปสำนักงานฯ จะติดตามผลอย่างใกล้ชิดทุกพื้นที่ทุกจุดจำหน่าย หากโครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดี จะได้พิจารณาขยายพื้นที่โครงการฯ ไปยังจังหวัดต่างๆ ต่อไป และหากว่ามีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ สำนักงานฯ จะพิจารณาทบทวนด้วยความรอบคอบ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
พิธีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมลงนามถวายพระพร ณ ห้องโถง ชั้น ๑ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความก้าวหน้า วัคซีนโควิด-19 ของไทย | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
ความก้าวหน้า วัคซีนโควิด-19 ของไทย
...
วัคซีน ChulaCOV19
พัฒนาโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ได้รับการรับรองจาก อย. ถ่ายทอดสู่โรงงานเกือบ 100% แล้ว กำลังจะเริ่มทดลองในมนุษย์ ระยะที่ 1 คาดว่าจะผลิตออกมาใช้ได้ ประมาณกลางปี 2565 กำลังการผลิต 10 - 20 ล้านโดสต่อเดือน
.
และกำลังพัฒนาวัคซีน Version 2 ที่ป้องกันโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ควบคู่กันไปด้วย
.
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนของคณะเภสัช จุฬาฯ ซึ่งกำลังปรับปรุงโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2565 กำลังการผลิต 1 - 5 ล้านโดสต่อเดือน
Cr. Warat Karuchit
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ พร้อมรับมอบวัคซีนล็อตแรก และเปิดเผยแนวทางกระจายและฉีดวัคซีน ตามสถานการณ์พื้นที่กลุ่มเสี่ยงและเน้นผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ พร้อมรับมอบวัคซีนล็อตแรก และเปิดเผยแนวทางกระจายและฉีดวัคซีน ตามสถานการณ์พื้นที่กลุ่มเสี่ยงและเน้นผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมรับมอบวัคซีนล็อตแรก และเปิดเผยแนวทางกระจายและฉีดวัคซีน ตามสถานการณ์พื้นที่กลุ่มเสี่ยงและเน้นผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 เวลา 15.00 น. นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยแนวทางการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และผู้ต้องขัง ภายหลังได้รับแจ้งจากกรมควบคุมโรคว่า จะมีการส่งมอบวัคซีนให้กรมราชทัณฑ์ตามที่ประสานขอวัคซีนไป
นายวัลลภ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ได้รายงานต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมถึงความคืบหน้า กรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้ประสานกรมควบคุมโรคเพื่อขอรับการสนับสนุนวัคซีน สำหรับนำมาฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยล่าสุดได้รับแจ้งจากกรมควบคุมโรคว่า จะสามารถส่งมอบวัคซีนให้กรมราชทัณฑ์ตามที่ประสานขอวัคซีนไปในจำนวนแรกประมาณ 100,000 โดส ภายในวันนี้
เพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์ในการขอวัคซีนและสอดคล้องกับแนวทางที่มีการหารือในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จึงขอแจ้งแนวทางการกระจายและฉีดวัคซีนของกรมราชทัณฑ์เบื้องต้น โดยมอบหมายให้ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานหลักในการเก็บรักษาวัคซีน และให้ทุกเรือนจำและทัณฑสถาน เร่งสำรวจจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และผู้ต้องขัง โดยการกระจายและฉีดวัคซีนจะเน้นในจังหวัดพื้นที่ กลุ่มเสี่ยงสีแดงและเป็นเรือนจำที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโรค เน้นผู้ต้องขังในกลุ่มเปราะบาง (สูงอายุ ป่วย มีโรคประจำตัว) และผู้ต้องขังที่ไม่ติดเชื้อ เรียงลำดับมากไปน้อยตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับ ทั้งนี้ ได้กำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานเร่งประสานโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่เข้ามาดำเนินการฉีดวัคซีนด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังตามแนวทางดังกล่าวได้ในห้วงต้นเดือนมิถุนายน 2564 และฉีดวัคซีนได้ครบถ้วนภายในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะได้รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้เป็นระยะๆ เพื่อให้สังคมคลายความกังวลใจและเชื่อมั่นในมาตรการป้องกันเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42298 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ออกหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง อิงดัชนีหุ้น ”แบรนด์หรู” ระดับโลก พร้อมคุ้มครองเงินต้น | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
“กรุงไทย” ออกหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง อิงดัชนีหุ้น ”แบรนด์หรู” ระดับโลก พร้อมคุ้มครองเงินต้น
ธนาคารกรุงไทยเปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ "Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note" หุ้นกู้ที่มี อนุพันธ์แฝง อายุ 5 ปี อ้างอิงดัชนีหุ้นสินค้าและบริการระดับ Luxury เสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจ
ธนาคารกรุงไทยเปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ "Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note" หุ้นกู้ที่มี อนุพันธ์แฝง อายุ 5 ปี อ้างอิงดัชนีหุ้นสินค้าและบริการระดับ Luxury เสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ เปิดโอกาส สร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจ Luxury ชั้นนำทั่วโลก พร้อมคุ้มครองเงินต้น 100% เมื่อถือจนครบกำหนดลงทุน ขั้นต่ำ 5 ล้านบาท เปิดขาย 7-11 มิถุนายนนี้
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินและการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ "Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note" หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง อายุ 5 ปี จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี Solactive Luxury Dynamic Factors 10% Daily Risk Control Index (SOLUX10F) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าและบริการระดับ Luxury ชั้นนำทั่วโลก อาทิ HERMES, LVMH, FERRARI, PORSCHE, RICHEMONT, KERING, DIAGEO, MONCLER, BURBERRY, PANDORA, ESTEE LAUDER และ L’ORÉAL เป็นต้น (อ้างอิงจากบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในดัชนี SOLUX10F ณ 30 เม.ย. 2564) เปิดขายในวงจำกัดให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุน รายใหญ่ ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100% หากถือจนครบกำหนด ลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท
"ธุรกิจสินค้าและบริการกลุ่ม Luxury ทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก Pent-up Demand หลังการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อันเป็นผลพวงจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจกลุ่ม Luxury”
นางลัดดาวัลย์ เมฆสุภะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Markets Solutions and Innovation เปิดเผยว่า ธนาคาร ใช้จุดแข็งด้านตลาดเงินตลาดทุน มุ่งเน้นออกผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Wealth ของธนาคาร ที่มีความคุ้นเคยและเชื่อมั่นกับสินค้าและบริการแบรนด์เนม Luxury ระดับโลกอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน อาจยังมีความกังวลกับความผันผวนของตลาด หุ้นกู้ Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากเปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรจากหุ้นกลุ่ม Luxury ทั่วโลกในขาขึ้น แต่หากดัชนีให้ผลตอบแทนติดลบ ธนาคารจะคุ้มครองเงินต้น 100%
ทั้งนี้ ธนาคารจะเสนอขายหุ้นกู้ Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note ตั้งแต่วันที่ 7- 11 มิถุนายน 2564 ลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท สอบถามเพิ่มเติมโทร. 02-208-4691 และ 02-208-4673 หรือติดต่อธนาคารกรุงไทยทุกสาขาการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีตรวจสภาพและบันทึกข้อมูลเบื้องต้น และพิธีบวงสรวงต้อนรับทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว กลับสู่ประเทศไทย | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีตรวจสภาพและบันทึกข้อมูลเบื้องต้น และพิธีบวงสรวงต้อนรับทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว กลับสู่ประเทศไทย
พิธีตรวจสภาพและบันทึกข้อมูลเบื้องต้น และพิธีบวงสรวงต้อนรับทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว กลับสู่ประเทศไทย
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๖.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีตรวจสภาพและบันทึกข้อมูลเบื้องต้น และพิธีบวงสรวงต้อนรับทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว กลับสู่ประเทศไทย โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กรรมการติดตามโบราณวัตถุของประเทศไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำ เพื่อความสุขของประชาชน | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
กรมเจ้าท่า ขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำ เพื่อความสุขของประชาชน
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าภารกิจขุดลอกบำรุงรักษาทางน้ำในพื้นที่ภาคอีสาน บริเวณแม่น้ำเสียวและแม่น้ำสงคราม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดอุทกภัย การบริหารจัดการน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม
กรมเจ้าท่า : สำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ : สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอก เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 จุดที่ 1 หน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำเสียว ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ใช้เครื่องจักรเป็นรถขุด ขก.3 และรถขุดตักดินเช่าเอกชน มีนายสุรชัย แนวถาวร นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ ขุดลอกตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 72+750 ถึง กิโลเมตรที่ 74+550 ระยะทาง 1,800 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 20-120 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 118 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 97,339 ลูกบาศก์เมตรปัจจุบันคืบหน้าการขุดลอกได้ระยะทาง 820 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 44,285 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 50.70 เพื่อแก้ไขปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ ที่เกิดจากตะกอนดินและวัชพืช ส่งผลทำให้การกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร การอุปโภค บริโภค ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และในช่วงฤดูน้ำหลากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร
จุดที่ 2 หน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำสงคราม ตำบลทุ่งฝน อำเภอทุ่งฝน จังหวัดอุดรธานี ตำบลคำสะอาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เปิดหน่วยขุดลอกเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ใช้เครื่องจักรเป็นรถขุด ขก.5 และรถขุดตักดินเช่าเอกชน มีนายสุรศักดิ์ แก้วบุญศรี นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ ขุดลอกตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 427+500 ถึง กิโลเมตรที่ 430+650 ระยะทาง 3,150 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 20-40 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 155 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 91,666 ลูกบาศก์เมตร ผลการปฏิบัติงานขุดลอก ปัจจุบันขุดลอกได้ระยะทาง 1,524 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 41,990 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 45.80 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน
อย่างไรก็ตาม การขุดลอกได้มีการดำเนินการหมุนเวียนในพื้นที่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย เป็นไปตามแผนพัฒนาและบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้ำของกรมเจ้าท่า เพื่อให้แม่น้ำมีประสิทธิการระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง และสามารถระบายน้ำได้ดีในฤดูน้ำหลาก ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกและปลอดภัย มีน้ำอุปโภคและบริโภคได้ตลอดทั้งปี และภายหลังการขุดลอก กรมเจ้าท่าได้ร่วมรณรงค์กับหน่วยงานในพื้นที่สนับสนุนพันธุ์ปลาท้องถิ่นปล่อยลงสู่แม่น้ำเพื่อเป็นการรักษาระบบนิเวศแม่น้ำ อีกทั้งวัสดุจากการขุดลอกได้นำไปปรับปรุงตลิ่งที่กัดเซาะบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย และยังสามารถเพิ่มพื้นที่ในการปลูกพืชผักสวนครัวสามารถสร้างรายได้เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนได้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42293 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เผยแอสตร้าเซนเนก้าทยอยส่งวัคซีนตามกำหนด | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
"อนุทิน" เผยแอสตร้าเซนเนก้าทยอยส่งวัคซีนตามกำหนด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยแอสตร้าเซนเนก้าส่งเอกสารวัคซีนให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พิจารณารับรองคุณภาพแล้ว ทยอยส่งมอบวัคซีนจนครบ 6 ล้านโดสภายในมิถุนายนนี้ กระจายวัคซีนตามการพิจารณาของ ศบค.
วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งว่า สามารถจัดส่งวัคซีนโควิด 19 ได้ตามกำหนด ขณะนี้ส่งเอกสารไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อตรวจรับรองคุณภาพแล้วทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สำหรับวันที่ 7 มิถุนายน 2564 มีวัคซีนฉีดให้คนไทยตามกำหนด ผู้ที่ลงทะเบียนนัดหมายแล้วได้รับการฉีดแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนตัวใดยืนยันว่ามีประสิทธิภาพเหมือนกันในการลดป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะจัดส่งวัคซีนตามแผนการกระจายวัคซีน ที่มี ศบค.และนายกรัฐมนตรีพิจารณา ตามจำนวนวัคซีนที่มี ส่งออกทั้งหมด ไม่มีการเก็บวัคซีนไว้ ส่วนจังหวัดหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับวัคซีนไปต้องมีแผนการฉีดวัคซีนที่ชัดเจน โดยให้พิจารณาการฉีดตามหลักวิชาการทางการแพทย์ โดยวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจะทยอยส่งมอบ ภายในเดือนมิถุนายนต้องได้รับ 6 ล้านโดสตามที่กำหนด
*****************************1 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายน 2564 | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายน 2564
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส.ชี้ความต้องการตลาดโลกและสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเดือน มิ.ย.2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.ชี้ความต้องการของตลาดโลก และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายน 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง สุกร กุ้งขาวแวนนาไม และโคเนื้อ มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2564โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 10,637 -10,680 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.92 - 1.33 เนื่องจากความต้องการบริโภคข้าวเหนียวเพิ่มขึ้นในเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างของชาวจีน ประกอบกับสต็อกข้าวเหนียวของผู้ประกอบการเริ่มลดลง น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 17.14 - 17.24 เซนต์/ปอนด์ (11.89 - 11.96 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.60 - 1.20 เนื่องจากคาดว่าปริมาณการผลิตและการส่งออกเอทานอลของประเทศบราซิลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพบว่ายอดการส่งออกเอทานอลในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.2 จากปีก่อน ทำให้โรงงานน้ำตาลของบราซิลปรับเพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตเอทานอล ขณะที่ความต้องการใช้น้ำตาลของโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจีนได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การนำเข้าน้ำตาลอีก 0.6 ล้านตันเป็น 4.5 ล้านตัน จากการที่ผลผลิตน้ำตาลภายในประเทศลดลง ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 58.08 – 58.80 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.82 – 2.07 เนื่องจากปริมาณยางพาราที่ออกสู่ตลาดมีแนวโน้มลดลงกว่าที่คาดการณ์ จากการขาดแคลนแรงงานกรีดยางและภูมิอากาศฝนตกชุก ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากการเข้าถึงและการกระจายวัคซีน ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลเยนของประเทศญี่ปุ่น และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 5.16 - 5.22 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.09 - 5.33 เนื่องจากผลผลิตน้ำมันปาล์มของประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับ 2 ของโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,642 - 8,706 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.24 - 1.96 เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวและสต็อกข้าวของอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณข้าวส่วนเกินระบายออกสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 11,235 - 11,381 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.51 - 2.77 เนื่องจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้เกิดปัญหาการส่งออกข้าวไทย โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรป ประกอบกับความต้องการใช้ของผู้ประกอบการ อาทิ ร้านอาหารและภัตตาคาร ลดลงจากนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.59 - 7.63 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.20 - 0.80 เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูการ เก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่นที่ 1 ปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาด ขณะที่ผู้ประกอบการได้มีการนำเข้าวัตถุดิบอื่นเพื่อผลิตอาหารสัตว์ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศทรงตัวมันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.89 - 1.93 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.52 – 2.58 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ลานมันสำปะหลังเส้นปิดการรับซื้อ และผลผลิตที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้อาจมีคุณภาพลดลงจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น สุกร ราคาอยู่ที่ 75.08 -76.28 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.44 – 2.01 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังรุนแรงต่อเนื่อง และมาตรการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรลดลง กุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 137.20 - 138.32 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.20 - 2.00 เนื่องจากมีปัจจัยกดดันราคาจากมาตรการควบคุมร้านอาหารเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คาดว่าจะยังคงเข้มงวดในพื้นที่เสี่ยงสูง และความกังวลของผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศที่ซบเซา ส่งผลให้ความต้องการบริโภคกุ้งในประเทศลดลง และโคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 98.24– 98.31 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.01 - 0.08 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ความต้องการบริโภคเนื้อโคลดลงตามแนวโน้มเนื้อสัตว์ประเภทอื่น จากอาหารตามธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ผลผลิตเนื้อโคอาจลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกินในโคและกระบือ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42281 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ครั้งที่ 2/2564 | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ครั้งที่ 2/2564
กระทรวงเกษตรฯ ติดตามการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ พร้อมทบทวนคู่มือการดำเนินโครงการฯ และแผนการปฏิบัติงานให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลังครั้งที่2/2564โดยมีวาระพิจารณาสำคัญเกี่ยวกับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ตามที่ครม.ได้อนุมติโครงการไปเมื่อวันที่25พฤษภาคม2564ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง400,000ไร่งบประมาณ1,329,223,200บาทมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรใช้พันธุ์มันสำปะหลังสะอาดและทนต่อโรคควบคุมการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังไม่ให้ขยายตัวไปยังพื้นที่อื่นและช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลังโดยที่ประชุมได้พิจารณาทบทวนคู่มือการดำเนินโครงการฯและแผนการปฏิบัติงานให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้โครงการสำเร็จได้ตามตามวัตถุประสงค์โครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42304 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19
ในวันอังคารที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยภาพรวม มีเรือนจำและทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๒๑ แห่ง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงค่อนข้างมากในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากแนวทางการตรวจหาเชื้อซ้ำในกลุ่มผู้ต้องขังที่ยังไม่พบเชื้อในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาด ซึ่งดำเนินการตรวจตามรอบในทุกๆ ๗ วัน จึงอาจจะพบยอดผู้ติดเชื้อที่แตกต่างกันค่อนข้างมากจากวันก่อน ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางการตรวจเชิงรุก ที่จะช่วยทำให้การคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อเพื่อทำการรักษาได้รวดเร็วมากขึ้นสำหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกอบรม นั้น ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามการพัฒนาระบบรายงานข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำให้เรือนจำและทัณฑสถานนำเข้าข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อให้ข้อมูลในระบบเป็นไปด้วยความถูกต้อง นอกจากนี้ ได้ขอให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เร่งดำเนินการแผนการ SWAB ในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มในพื้นที่สีแดงให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เพื่อการติดตามผลศูนย์ฝึกฯ/สถานพินิจฯ สีขาวได้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งมอบหมายให้กรมราชทัณฑ์ จัดทำกระบวนการ/ขั้นตอนในการดูแลและประสานส่งต่อผู้ต้องขัง เพื่อส่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำ ทัณฑสถาน และกรมพินิจฯนำไปปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42300 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงอุตฯ ออกนโยบายเร่งด่วนสนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ รับมือวิกฤติสุขภาพและแนวโน้มความต้องการในไทยที่สูงขึ้น” | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
“กระทรวงอุตฯ ออกนโยบายเร่งด่วนสนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ รับมือวิกฤติสุขภาพและแนวโน้มความต้องการในไทยที่สูงขึ้น”
“กระทรวงอุตสาหกรรม ออกนโยบายเร่งด่วนสนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ รับมือวิกฤติสุขภาพและแนวโน้มความต้องการในไทยที่สูงขึ้น”
กรุงเทพฯ1มิถุนายน2564 –กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือดีพร้อม(DIPROM)เดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ตามยุทธศาสตร์การดำเนินงานประจำปีแผนงานเร่งด่วนให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ในปัจจุบันตั้งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์กว่า100รายภายในปี2564ผ่าน4มาตรการเร่งด่วนได้แก่การส่งเสริมด้านบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตการส่งเสริมการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมโดยคาดว่าจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการฝ่าวิกฤติโควิด-19ในประเทศไทยให้มีเครื่องมือแพทย์ที่เพียงพอ
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือดีพร้อม(DIPROM)เร่งขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระยะยาวของทางกระทรวงที่ต้องการยกระดับศักยภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เครื่องมือและการให้บริการทางการแพทย์ให้เทียบเท่ากับระดับสากลโดยเน้นการยกระดับการแพทย์สร้างศูนย์ทดสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ส่งเสริมการอำนวยความสะดวกในการตรวจและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของไทยให้กับผู้ประกอบการอย่างถูกต้องรวดเร็วในราคาที่เป็นธรรมเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้นประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศไทยในปัจจุบันที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาโดยกระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญและเร่งการสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ในการพัฒนาและผลักดันให้พร้อมรับมือวิกฤติสุขภาพได้อย่างมีสิทธิภาพสูงสุดเพื่อเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอวที่จะช่วยประเทศไทยผ่านวิกฤติโควิด-19ครั้งนี้ไปให้ได้
นายณัฐพลรังสิตพลอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าดีพร้อม(DIPROM)เร่งดำเนินการปรับแผนและรูปแบบการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของงบประมาณประจำปี2564เพื่อให้สอดรับนโยบายทางกระทรวงอุตสาหกรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19โดยหนึ่งในนั้นคือการเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์อย่างครอบคลุมในหลายมิติให้มีความสอดคล้องสถานการณ์และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างความพร้อมในการเป็นรากฐานที่สำคัญรองรับต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันและอนาคตด้วยการผลักดันให้เกิดความพร้อมในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ผ่าน4มาตรการเร่งด่วนดังนี้
1. การส่งเสริมด้านบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้มีความพร้อมและองค์ความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมรวมไปถึงสร้างความรู้ความเข้าใจด้านกฎระเบียบและข้อบังคับของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์
2. การส่งเสริมด้านการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เป็นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับAIและIoTรวมถึงในกลุ่มของการบำบัดฟื้นฟูวินิจฉัยและการรักษาโดยต้นแบบผลิตภัณฑ์ร้อยละ25ของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมนั้นจะครอบคลุมทั้งในด้านของการรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19อาทิชุดอุปกรณ์จ่ายอากาศแบบต่อเนื่องสำหรับหน้ากากชนิดครอบเต็มใบหน้า(PAPR)เครื่องทวนสอบเครื่องช่วยหายใจ(Ventilator Tester)ระบบปรึกษาข้อมูลสุขภาพทางไกลระบบAIในการวิเคราะห์โรคปอดและเครื่องดูดละอองฝอยน้ำลาย(เครื่องมือทันตกรรม)ทั้งนี้การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ดำเนินการโดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างสถานประกอบการภาคการศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์รวมไปถึงสถาบันฯและสมาคมต่างๆที่เกี่ยวข้อง
3. การส่งเสริมสถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตให้สามารถที่จะลดต้นทุนลดของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิตรวมถึงสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อการใช้งานในปัจจุบันอีกทั้งส่งเสริมในเรื่องการวางแผนการตลาดเพิ่มมูลค่าและยอดขายอีกครั้ง
4. การส่งเสริมการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้รวมถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันการสร้างและรวบข้อมูลเครือข่ายหน่วยทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ให้เกิดความพร้อมทุกมิติอีกทั้งยังร่วมกันพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ดีพร้อมได้ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการวิจัยและนวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการผ่านการเชื่อมโยงหน่วยงานอื่นๆอาทิสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.)หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.)สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ(สอวช.)อีกทั้งยังช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทยและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)เป็นอีกหนึ่งช่องทางหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจอีกด้วย
ทั้งนี้ดีพร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี2564ต้องสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการและบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือการแพทย์ได้กว่า100ผู้ประกอบการอย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตั้งแต่ปี2559 – 2563ดีพร้อมสามารถยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์กว่า400รายอาทิการพัฒนาชุดอุปกรณ์จ่ายอากาศแบบต่อเนื่องสำหรับหน้ากากชนิดครอบเต็มใบหน้าบริษัททีเอ็มดีดีจำกัดโดยทางดีพร้อมได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านวัสดุในการผลิตระบบในการปรับอัตราการไหลของอากาศแบตเตอรี่ในการใช้งานและการใช้งานร่วมกับชุดกรองเชื้อไวรัสและแบคทีเรียฯลฯนายณัฐพลกล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42307 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM expresses condolences over the passing of Ukrainian Ambassador to Thailand | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
PM expresses condolences over the passing of Ukrainian Ambassador to Thailand
PM expresses condolences over the passing of Ukrainian Ambassador to Thailand
Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha expressed condolences over the passing ofH.E. Mr. Andrii Beshta, Ambassador of Ukraine to Thailand on May 30, 2021 in Satun province, shortly before the end of his tenure in the country.
H.E. Mr. Andrii Beshta had assumed the position as Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary of the Republic of Ukraine to Thailand since 2015, and his tenure would end during the 3rdweek of June 2021. Throughout his tenure in Thailand, the Ambassador took on a crucial role in strengthening relations and cooperation between Thailand and Ukraine. He was also known to have a special bond with the country.
The Prime Minister feels sad for the passing of a good friend of Thailand, and will deliver an official letter of condolences at the first opportunity. He also ordered concerned agencies to proceed and facilitate the requests of his family in a fitting manner.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. เผยดัชนีอุตฯ เม.ย. 64 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับ เม.ย. 63 4 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 4.38 กำลังผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.48 | วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564
อก. เผยดัชนีอุตฯ เม.ย. 64 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับ เม.ย. 63 4 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 4.38 กำลังผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.48
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน 2564 มีระดับอยู่ที่ 91.88 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน 2564 มีระดับอยู่ที่ 91.88 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจของโลกมีแนวโน้มดีขึ้นจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19โดยเฉพาะคู่ค้าหลักของไทย ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเชื่อมั่นในภาคการผลิตการบริโภค ส่งผลให้การส่งออกเดือน เม.ย. มีมูลค่าเหนือระดับ 2 หมื่นล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ โดยรวม 4 เดือนแรกปี 2564 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 4.38 และมีอัตรา การใช้กำลังผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.48
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือนเมษายน 2564 MPI อยู่ที่ระดับ 91.88 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดผลกระทบจากการระบาดรอบแรกของไวรัส โควิด-19 มากที่สุด จากทิศทางเศรษฐกิจของโลกที่ดีขึ้นสะท้อนได้จากตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มภาคการผลิตของประเทศเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการผลิตในภาพรวมและกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงสามารถดำเนินการได้อย่างปกติ และเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นตามทิศทางการส่งออกที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจึงถือได้ว่าเป็นกลจักรสำคัญที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวข้ามผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้ นายสุริยะกล่าว
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI ในเดือนเมษายน 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ได้แก่ รถยนต์ ที่ขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 288.06 จากรถปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล โดยตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 4 เดือนแรกปี 2564 ขยายตัวเฉลี่ย ร้อยละ 4.38 อัตราใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.48 เนื่องจากในปีก่อนมีการหยุดผลิตชั่วคราวของผู้ผลิตรายหลาย หลังการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เครื่องใช้ไฟฟ้า ในครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ75.61 จากความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเนื่องจาก Work From Home เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นจึงมีความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เหล็ก ขยายตัวร้อยละ 29.2 ขยายตัวเกือบทุกรายการสินค้า
เนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลงโดยจีนซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกมีนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมในประเทศให้ดีขึ้นจึงสั่งปิดโรงงานเหล็กที่ผลิตไม่ได้ตามมาตรฐานส่งผลให้ปริมาณการผลิตลดลง ประกอบกับในช่วงนี้สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กของโลกปรับตัวสูงขึ้น จากทั้งสองปัจจัยหลักข้างต้นจึงทำให้การผลิตเหล็กของไทยเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาเหล็กและความต้องการที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
นายทองชัย กล่าวต่อว่า การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2564 มีมูลค่า 16,178.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 45.69 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2563 และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 13.09 เป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 36 เดือน โดยกลุ่มสินค้าเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.44 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้น 1.46 และสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.43 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ เป็นต้น การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 26.82 สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งจากตัวเลขทั้งภาคการส่งออกและการนำเข้าสะท้อนให้เห็นถึงภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตัวเลข MPI ในเดือนถัดไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่มีดัชนีผลผลิตขยายตัวในเดือนเมษายน 2564
รถยนต์และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 288.06 จากรถปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล เป็นหลัก จากในปีก่อนมีการหยุดผลิตชั่วคราวของผู้ผลิตหลายราย หลังการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจากการแพร่ระบาดโควิด-19
เบียร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 515.18 เนื่องจากสงกรานต์ปีนี้ไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ แม้ว่าจะมีการควบคุมในบางพื้นที่
เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 57.38 ผู้ผลิตมีการพัฒนาสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการและจัดรายการส่งเสริมการขายกระตุ้นการจำหน่ายในประเทศให้เพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ของประเทศคู่ค้าหลักเริ่มคลี่คลายทำให้การดำเนินการส่งออกกลับมาเป็นปกติหลังจากการปิดช่องทางขนส่ง
เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.23 จากเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบสังกะสี และเหล็กเส้นข้ออ้อยเป็นหลัก จากที่ปีก่อนลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อตามความต้องการใช้หดตัว รวมทั้งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวในปีก่อนบรรทุกรถโดยสาร และยางนอกรถกระบะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42272 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.