title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันมีวัคซีนโควิดรองรับฉีดทั่วประเทศ 7 มิ.ย.
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สธ.ยันมีวัคซีนโควิดรองรับฉีดทั่วประเทศ 7 มิ.ย. กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ฉีดวัคซีนโควิดพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่มีเลื่อนนัด เผยมีวัคซีน 3.54 ล้านโดสจัดส่งทั่วประเทศ และมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ทยอยส่งมอบส่งให้ทุกจังหวัดต่อเนื่องทุกสัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ฉีดวัคซีนโควิดพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่มีเลื่อนนัด เผยมีวัคซีน 3.54 ล้านโดสจัดส่งทั่วประเทศ และมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ทยอยส่งมอบส่งให้ทุกจังหวัดต่อเนื่องทุกสัปดาห์จากจุดฉีดวัคซีนทั้งต่างจังหวัด และกทม. กว่า 1,000 จุด คาดสัปดาห์หน้าทำสัญญาจองวัคซีนไฟเซอร์อีก 20 ล้านโดส วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ทุกคนในแผ่นดินไทย ทั้งคนไทยและต่างชาติที่สมัครใจโดยไม่คิดมูลค่า ต้องฉีดอย่างน้อย 50 ล้านคนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายจัดหาวัคซีนในปี 2564 จำนวน 100 ล้านโดส, ปี 2565 เพิ่มอีก 50 ล้านโดสรวมเป็น 150 ล้านโดส ขณะนี้ได้จัดหาวัคซีนซิโนแวคแล้ว 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส รวมเป็น 67 ล้านโดสการจัดหาเพิ่มเติมอยู่ในขั้นตอนลงนามสัญญาคำสั่งจองวัคซีนกับบริษัทไฟเซอร์ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการลงนามในสัญญาจองวัคซีน และวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ในขั้นตอนการเตรียมทำสัญญาจองวัคซีนโดยวัคซีน 2 ตัวนี้คาดว่าจะได้รวม 25 ล้านโดส และจะมีแผนจัดหาซื้อซิโนแวคอีก 8 ล้านโดส ก็จะได้ครบ 100 ล้านโดส นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แผนการฉีดหลักของประเทศไทยเริ่มที่เดือนมิถุนายน เมื่อมีการระบาดก่อนหน้านี้จึงนำวัคซีนซิโนแวคมาฉีดตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์จนถึงปัจจุบันประมาณ 4 ล้านโดส โดยพื้นที่ กทม.ฉีดแล้ว 1 ล้านโดสทำให้ชะลอการระบาดได้ส่วนหนึ่ง สำหรับการฉีดวัคซีนวันที่ 7 มิถุนายนนี้ เป็นการเริ่มฉีดพร้อมกันจำนวนมากทั่วประเทศมีวัคซีนแล้ว 3.54 ล้านโดส (แอสตร้าเซนเนก้า 2.04 ล้านโดส และซิโนแวค 1.5 ล้านโดส) และจะมีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ทยอยส่งมอบ กระจายไปทุกจังหวัดต่อเนื่องทุกสัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายนมี 8.4 แสนโดส และสัปดาห์ที่ 4 อีก 2.58 ล้านโดส ภาพรวมเดือนมิถุนายนจะมีวัคซีน 6 ล้านโดสเป็นตามแผนที่ ศบค.กำหนด รวมตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนจนถึงเดือนมิถุนายนจะฉีดวัคซีนได้ประมาณ 10 ล้านโดส ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง สำหรับพื้นที่ กทม.จะได้รับการจัดสรรวัคซีน 2.5 ล้านโดส โดยจัดสรรตรงให้ กทม. 1 ล้านโดส และจัดสรรผ่านกลุ่มต่างๆ คือ สำนักงานประกันสังคมในการฉีดผู้ประกันตนพื้นที่ กทม. 1 ล้านโดส และกลุ่มมหาวิทยาลัย 11 แห่งของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) 5 แสนโดส เพื่อให้กทม.ที่มีการระบาดมากได้รับการจัดสรรวัคซีนที่เพียงพอในการควบคุมการระบาด เบื้องต้นกระจายวัคซีนไปตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายนแล้ว “หลักการกระจายวัคซีนคือ 1.ทุกจังหวัดจะมีวัคซีนทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค เฉลี่ยตามจำนวนประชากรและประชากรแฝงในพื้นที่ 2.จังหวัดที่มีการระบาดมากจะจัดวัคซีนเสริมเพื่อควบคุมโรค อาจมีการปรับแผนตามสถานการณ์โรคที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว เช่น มีการระบาดในบางพื้นที่หรือบางกลุ่มเพิ่มขึ้น 3.จังหวัดกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยว กลุ่มแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ หรือชายแดนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานผู้ประกันตน รวมถึงคนที่นัดฉีดวัคซีนผ่านหมอพร้อมแล้วจะได้ฉีดแน่นอน ไม่มีการเลื่อน ขอให้ไปรับวัคซีนตามที่กำหนด” นายแพทย์โอภาสกล่าว ทั้งนี้ จุดฉีดวัคซีนในจังหวัดต่างๆ มี 993 จุด กทม.อย่างน้อย 25 จุด สำนักงานประกันสังคม 25 จุดมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 11 จุด และจุดฉีดกลาง 10 แห่ง เช่น สถานีกลางบางซื่อ สถาบันราชานุกูล โรงพยาบาลศรีธัญญาศูนย์การแพทย์บางรัก เป็นต้น แต่ละจุดฉีดสามารถปรับเปลี่ยนเพิ่มหรือลดลงได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของประชาชน โดยทุกจุดฉีดวัคซีนทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาล อยู่ภายใต้การกำกับของแพทย์และสถานพยาบาล รวมถึงมาตรการของกรมควบคุมโรคที่กำหนด คือ การคัดกรองประวัติ การลงนามยินยอมการฉีดวัคซีน การสังเกตอาการ 30 นาที และติดตามภายหลังฉีด 30 วัน ภาพรวมทุกจุดมีศักยภาพสูง บางจุดฉีดได้เกิน1 หมื่นรายต่อวัน สำหรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ฉีดในคนอายุ 18 ปีขึ้นไปไม่จำกัดอายุสูงสุดเหมือนกัน ดังนั้น การฉีดจะอยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์โดยยึดหลักวิชาการทางการแพทย์ ********************************* 4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ยันจัดส่งวัคซีนโควิดให้ทุกจังหวัดต่อเนื่อง พร้อมฉีด 7 มิ.ย. ไม่มีเลื่อนนัด
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ปลัด สธ. ยันจัดส่งวัคซีนโควิดให้ทุกจังหวัดต่อเนื่อง พร้อมฉีด 7 มิ.ย. ไม่มีเลื่อนนัด ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยทยอยจัดส่งวัคซีนโควิด 19 ให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศต่อเนื่อง ตามการส่งมอบของผู้ผลิต ล่าสุดส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1.8 ล้านโดส เพิ่มเติมจากล็อต 2.4 แสนโดส และมีของซิโนแวค 3 ล้านโดส จัดส่งวัคซีนฉีดประชาชนต่อเนื่อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยทยอยจัดส่งวัคซีนโควิด19 ให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศต่อเนื่อง ตามการส่งมอบของผู้ผลิต ล่าสุดส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1.8 ล้านโดส เพิ่มเติมจากล็อต 2.4 แสนโดส และมีของซิโนแวค 3 ล้านโดส จัดส่งวัคซีนฉีดประชาชนต่อเนื่อง เริ่มฉีดพร้อมกันจำนวนมาก 7 มิ.ย.นี้ ไม่มีการเลื่อนนัด บ่ายวันนี้ (4 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัด เรื่องการกระจายวัคซีนโควิด 19 นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า วันนี้ได้ประชุมสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกจังหวัดถึงแนวทางการจัดส่งวัคซีนโควิด19 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อต 2.4 แสนโดสไปจังหวัดต่างๆ เฉลี่ย 3,600 โดส และมีบางจังหวัดเข้าใจว่าเป็นวัคซีนที่จะได้รับตลอดเดือนมิถุนายน ซึ่งความจริงเป็นการส่งออกไปล่วงหน้า เพราะจะมีการทยอยจัดส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตที่ผลิตในประเทศไทย1.8 ล้านโดส ไปเพิ่มเติมให้ทุกจังหวัดในช่วงบ่ายวันนี้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศจะทยอยส่งมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นล็อตๆ ตามข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิต ตลอดเดือนมิถุนายนจะมีแอสตร้าเซนเนก้าประมาณ4-5 ล้านโดส และมีซิโนแวคอีกประมาณ 3 ล้านโดสดังนั้น ทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีนโควิด ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค เพื่อฉีดให้แก่ประชาชนเริ่มฉีดในวันที่ 7 มิถุนายนนี้จำนวนมากพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่มีการเลื่อนนัดฉีดแต่อย่างใด “ขอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการวัคซีนโควิด19 ระดับจังหวัด บูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม เป็นต้น เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนดต่อไป” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ********************************* 4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ลุงป้อม’ห่วงใยชาวแฟลตดินแดง สั่ง รมว.เฮ้ง ดูแลมอบหน้ากากอนามัย 100,000 ชิ้น ป้องกันโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ‘ลุงป้อม’ห่วงใยชาวแฟลตดินแดง สั่ง รมว.เฮ้ง ดูแลมอบหน้ากากอนามัย 100,000 ชิ้น ป้องกันโควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนชาวแฟลตดินแดงที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากโควิด มอบที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ชุมชนเคหะดินแดง 2 มอบหน้ากากอนามัย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เคหะชุมชนดินแดง 2 เพื่อมอบหน้ากากอนามัยให้แก่ นายวิชาญ เขียวแก้ว ประธานชุมชนเคหะดินแดง 2 เป็นผู้รับมอบ โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นางต้องใจ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ บริเวณลานอเนกประสงค์เคหะชุมชนดินแดง 2 นางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ลงพื้นที่เคหะชุมชนดินแดง 2 เพื่อมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 100,000 ชิ้น แก่ประธานชุมชน เพื่อนำไปส่งมอบแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทางกระทรวงแรงงานได้รับอนุเคราะห์และจากการประสานจากหน่วยงานภาคเอกชน และคณะบุคคลต่าง ๆ อาทิ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สมาคมจัดหางานไทยไปต่างประเทศ บริษัทไทยนิปปอน สตีล เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด บริษัทนำคนต่างด้าวฯ ทีเอ็มซีแอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด บริษัทศักดิ์สยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท เอชไอพี ดิจิตอล จำกัด และบริษัท รักษาความปลอดภัย เอชไอพี คราวด์ จำกัด คุณดาวเรือง เลขวรนันท์ ฯลฯ ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดหายหรือสิ่งของจำเป็น ต่อพี่น้องประชาชน โดยนำหน้ากากอนามัยมามอบให้กระทรวงแรงงานนำไปส่งมอบให้แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันโควิด-19 ทั้งนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ฝากความห่วงใยมายังชาวแฟลตดินแดง ที่มีพี่น้องประชาชนอาศัยอยู่เกือบ 30,000 ราย และเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้โควิด -19 ให้ก้าวข้ามไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 เป็นวันแรก
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 เป็นวันแรก วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ วันนี้เป็นวันแรกที่ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน สามารถลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ ผ่านไลน์ “หมอพร้อม” หรือติดต่อ ร.พ.ใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษา ร.พ.ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล และ อสม. ในพื้นที่ โดยแผนการฉีดวัคซีนอยู่ระหว่างวันที่ 7 มิ.ย. – 31 ก.ค. ส่วนประชาชนที่มีอายุ 18-59 ปี ลงทะเบียนได้ในวันที่ 1 ก.ค. และเริ่มฉีดในเดือน ส.ค. เป็นต้นไป ทั้งนี้ การได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม จะช่วยป้องกันโรคได้ร้อยละ 60 – 80 และป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42395
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน มีมติเห็นชอบตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG ภาคครัวเรือน ออกไปอีก 3 เดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 64 โดยตรึงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 14.37 บาท/กิโลกรัม เพื่อให้มีราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 318 บาท/ถัง 15 กิโลกรัม เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่ประชาชนต้องกักตัว หรือ ทำงานจากที่บ้าน ประกอบกับราคา LPG ในตลาดโลก มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนและมีความต้องการใช้ก๊าซโพรเพนซึ่งเป็นสารประกอบในก๊าซปิโตรเลียมเหลวลดลงด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42376
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างกฎกระทรวงกำหนดรูปแบบร้านขายถังก๊าซหุงต้ม
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ร่างกฎกระทรวงกำหนดรูปแบบร้านขายถังก๊าซหุงต้ม วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. ... เพื่อจัดระเบียบร้านขายถังก๊าซหุงต้มให้มีความปลอดภัยต่อประชาชนและอาคารใกล้เคียงมากขึ้น โดยมีสาระสำคัญ เช่น ห้ามตั้งร้านในอาคารชุด อาคารสรรพสินค้า อาคารแสดงสินค้า หรือสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ร้านที่ตั้งห่างจากอาคารอื่นไม่เกิน 6 เมตร ให้เก็บก๊าซได้ไม่เกิน 2,400 ลิตร ที่ห่างเกิน 6 เมตร เก็บได้ไม่เกิน 12,000 ลิตร โดยร้านที่เก็บก๊าซปริมาณ 500 ลิตรขึ้นไป จะต้องมีระบบป้องกันภัยแบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงที่ฉีดได้ครอบคลุมบริเวณที่เก็บถังก๊าซ และไม่ให้มีการถ่ายเทก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้ม เป็นต้น ทั้งนี้ ร้านที่ประกอบกิจการอยู่แล้วจะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงภายใน 1 ปีหลังจากที่มีผลใช้บังคับ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3”
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3” ... เตรียมตัวให้พร้อมกับการลงทะเบียนรับสิทธิโครงการ คนละครึ่ง เฟส 3 ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายในลักษณะร่วมจ่าย โดยรัฐจะสนับสนับสนุนให้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่าย หรือไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน วงเงินรวม 3,000 บาท ตลอดโครงการ ระยะเวลาใช้จ่ายตั้งแต่เดือนก.ค. - ธ.ค. 64 โดยแบ่งวิธีรับสิทธิ ลงทะเบียน ดังนี้ . อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) SME มีเฮ ขยายเวลาพักชำระหนี้ถึงสิ้นปี 64 ช่วยผู้ประกอบการฝ่าโควิด-19 เปิดแนวทางลดภาระผู้ปกครองรับเปิดเทอม อนุมัติแล้ว "วัคซีนซิโนแวค" ฉีดในภาวะฉุกเฉิน มาแล้ววัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปีสกิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบอนุมัติวงเงิน 68 ล้านบาท จัดโครงการสร้างรายได้ด้วย “แฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19” เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ธุรกิจแฟรนไชส์ และ SMEs ขนาดเล็ก กลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ตั้งเป้าช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ผ่าน กิจกรรมหลัก คือ งานแฟรนไชส์สร้างอาชีพ Road Show 2021 รวม 15 จังหวัดทั่วประเทศ และงาน DBD Franchise & SME Expo 2021 โดยคาดว่าจะเป็นทางเลือกเพื่อสร้างรายได้แก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ ที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 10,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชน โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนพ.ค. – ธ.ค. 64 รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดี แอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้รัฐบาลไทย พร้อมกระจายวัคซีนทั่วประเทศ ยืนยันระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 64 นี้เป็นต้นไป
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 นายกฯ ยินดี แอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้รัฐบาลไทย พร้อมกระจายวัคซีนทั่วประเทศ ยืนยันระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 64 นี้เป็นต้นไป นายกฯ ยินดี แอสตร้าเซนเนก้าส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้รัฐบาลไทย พร้อมกระจายวัคซีนทั่วประเทศ ยืนยันระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 64 นี้เป็นต้นไป วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่วันนี้รัฐบาลไทยได้รับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นไปตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมีความเชื่อมั่นที่จะดำเนินตามภารกิจในการจัดสรรวัคซีน และเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบถ้วนตามที่ได้จัดให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการระดมฉีดวัคซีนทุกจุดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้วัคซีนเข้าถึงประชาชนที่พร้อมฉีด เกิดภูมิคุ้มกันโรคในระดับประเทศ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้เร่งทำความเข้าใจ และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่า จากนี้ไปไทยจะมีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดให้ประชาชนตามที่ได้วางแผนไว้ โดยจะกระจายวัคซีนให้สอดคล้องกับจำนวนที่ได้รับการส่งมอบอย่างทันท่วงที โดยคำนึงถึงสถานการณ์เร่งด่วนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และพิจารณาให้มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้ จากการเตรียมความพร้อมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ประมาณ 860,000 คนต่อวัน โดยในกรุงเทพฯ มีจุดฉีดวัคซีนมากกว่า 150 แห่ง และใน 76 จังหวัดมีจุดฉีดวัคซีนมากกว่า 1,475 แห่งทั่วประเทศ “ยืนยันว่า ไทยจะมีวัคซีนที่สามารถฉีดปูพรมให้ประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ตามวาระแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ ซึ่งจะได้กระจายวัคซีนไปตามจังหวัดต่าง ๆโดยเร็วที่สุด โดยผู้ที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม จะได้ฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42422
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายจำนวนผู้รับสิทธิและเวลาการใช้จ่ายโครงการเราชนะ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ขยายจำนวนผู้รับสิทธิและเวลาการใช้จ่ายโครงการเราชนะ วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการเราชนะเพิ่มเติมอีก 2,400,000 คน โดยไม่ใช่การเปิดรับลงทะเบียนใหม่ แต่เป็นผู้ที่เคยลงทะเบียนไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบคัดกรอง รวมทั้งผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ /ผู้ที่อยู่ระหว่างการทบทวนสิทธิ เพื่อให้ครอบคลุมจำนวนกลุ่มเป้าหมายโครงการจากเดิมที่อนุมัติไปแล้ว 31,100,000 คน เพิ่มเป็น 33,500,000 คน โดยมีกรอบวงเงินเพิ่มขึ้น อีกกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการใช้จ่ายวงเงินสิทธิโครงการเราชนะ ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64 เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเร่งรัดใช้เงิน และบรรเทาผลกระทบกรณีที่ไม่สามารถเดินทางออกไปใช้จ่ายในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ได้ รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการแก้หนี้นอกระบบให้แก่เกษตรกร
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 โครงการแก้หนี้นอกระบบให้แก่เกษตรกร วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเดินหน้าบรรเทาปัญหาหนี้นอกระบบให้แก่เกษตรกรผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการแก้หนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครอบครัว โดยให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 100,000 บาท ระยะเวลาชำระผ่อนชำระคืนนาน 10 ปี 2) โครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ให้ผู้กู้ในโครงการแก้หนี้นอกระบบได้มีโอกาสสร้างอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก ระยะเวลาชำระหนี้คืนไม่เกิน 10 ปี และ 3) โครงการชำระดีมีวงเงิน หรือ สมาร์ท แคช (Smart Cash) เป็นสินเชื่อให้ผู้กู้ในโครงการแก้หนี้นอกระบบที่ชำระหนี้ตรงเวลารายละไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระหนี้คืน ไม่เกิน 12 เดือน ผู้สนใจติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met via a video conference on June 1, 2021
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 The cabinet met via a video conference on June 1, 2021 The cabinet met via a video conference on June 1, 2021 The cabinet met via a video conference on June 1, 2021. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Kratom Act, B.E. … The cabinet approved the draft Kratom Act, B.E. …, as proposed by Ministry of Justice and scrutinized by Office of Council of State, to be submitted to the Parliament. Gist The draft Kratom Act, B.E. …, prescribes definitions, measures, and regulations related to cultivation, selling, import, or export of Kratom (scientific name:Mitragyna speciosa(Korth.)Havil.) to ensure utmost economic benefits to the people. It also prescribes measures related to advertising and consumption of Kratom of people under 18 years old and those under the risk groups to protect their health. Title: Observance of National Convention and Exhibition Day The cabinet approved April 26 of every year as “National Convention and Exhibition Day”, but not a national holiday, as proposed by Thailand Convention and Exhibition Bureau (TCEB), and ordered for TCEB to take into consideration observations of Ministry of Tourism and Sports, Ministry of Public Health, and Office of the National Economic and Social Development Council (NESDC). Gist As the Government has placed great importance on tourism industry, through MICE and business tourism, for economic development and national competitiveness enhancement, April 26 has been set to observe the importance of convention and exhibition, which would contribute to the cooperation of concerned sectors on organization of MICE activities, and promotion of the country’s image. April 26, 1882 was the day Thailand held its first-ever exhibition at Sanam Luang Royal Plaza to commemorate the centential of Rattanakosin Era.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันศุกร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๔ โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบว่ามีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้น เป็นจำนวน ๑๒๔ แห่ง โดยปัจจุบัน นอกจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังมีโรงพยาบาลเรือนจำกลางบางขวางที่เป็นโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลรักษาผู้ป่วยเดิมอยู่ก่อนแล้ว มาทำหน้าที่รองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเหลืองในเรือนจำเขตพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งประกอบด้วย เรือนจำกลางบางขวาง และเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ที่สามารถส่งต่อการรักษาได้อย่างรวดเร็วและแบ่งแยกแดนเพื่อใช้ในการรักษาไม่ให้ปะปนกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาดูแลรักษาเสมือนโรงพยาบาลภายนอก พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบวงจร สามารถดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ผู้บัญชาการเรือนจำ/ทัณฑสถาน ยึดแนวทางการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดเตรียมพื้นที่และพิจารณา ทำ รพ. สนาม โดยให้ยึดหลักการคือ การจัดทำ รพ.สนาม จะดำเนินการเฉพาะกรณีที่พบผู้ติดเชื้อแล้วมีแนวโน้มขยายตัว ทั้งนี้ในกรณีที่พบในที่กักตัวในขั้นแรกรับ ให้ประเมินสถานการณ์และจัดเตรียมพื้นที่ไว้ด้วย นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการเรือนจำ/ทัณฑสถาน ใช้อำนาจหน้าที่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องแต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2564 กักตัวผู้ต้องขังที่จะได้รับปล่อยตัวไว้ก่อนในกรณีที่ผล SWAB ยังไม่ออก เมื่อผลแจ้งว่าปลอดเชื้อจึงจะดำเนินการปล่อยตัวตามกระบวนการต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42432
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. สนับสนุน รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ สู้ภัย COVID-19 ส่งมอบเก้าอี้นั่งจุดพักคอย พร้อมเสื้อทีมของโรงพยาบาล และน้ำดื่ม ธอส. เตรียมให้บริการประชาชน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ธอส. สนับสนุน รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ สู้ภัย COVID-19 ส่งมอบเก้าอี้นั่งจุดพักคอย พร้อมเสื้อทีมของโรงพยาบาล และน้ำดื่ม ธอส. เตรียมให้บริการประชาชน ธอส.ส่งความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ สนับสนุนเก้าอี้นั่งจุดพักคอย น้ำดื่มธนาคาร และหน้ากากอนามัยและสายคล้องเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาใช้บริการและผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่งความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ สนับสนุนเก้าอี้นั่งจุดพักคอย จำนวน 500 ตัว เพื่อบริการประชาชนผู้มารับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 และเสื้อทีมของโรงพยาบาล จำนวน 400 ตัว สำหรับบุคลากรทางการแพทย์สวมใส่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ มูลค่ารวม 135,000 บาท พร้อมส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด และหน้ากากอนามัยและสายคล้องเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาใช้บริการและผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง โดยโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตหนองจอก เป็นอีกหนึ่งโรงพยาบาลสำคัญที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ตลอดจนให้บริการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์มีความพร้อมด้านสถานที่ให้มีความปลอดภัยแก่ประชาชนที่นัดหมายเข้ามาฉีดวัคซีนประมาณวันละ 500 คน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จึงได้มอบเงินสนับสนุนเพื่อสู้ภัย COVID-19 ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ รวมเป็นเงินจำนวน 135,000 บาท สำหรับนำไปใช้ในการจัดหาเก้าอี้จำนวน 500 ตัว เพื่อรองรับการเข้าใช้บริการของประชาชนในจุดพักคอยก่อนเข้ารับบริการโดยวางเก้าอี้แบบเว้นระยะห่างเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาด พร้อมนำไปจัดทำเสื้อทีมของโรงพยาบาลจำนวน 400 ตัว เพื่อมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลได้สวมใส่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน นอกจากนี้ ธอส. ยังได้ส่งมอบน้ำดื่มของธนาคารจำนวน 20,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยและสายคล้องที่จัดทำโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคารให้กับโรงพยาบาลนำไปส่งต่อให้กับผู้ปฏิบัติงานของโรงพยาบาลและประชาชนที่มาใช้บริการต่อไป โดยมี นายแพทย์สุรชัย ภูพิพัฒน์ผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ และมีผู้บริหารระดับสูงและผู้ปฏิบัติงานของธนาคารร่วมในพิธีส่งมอบ สำหรับกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ที่ ธอส.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่ารวมกว่า 5,000,000 บาท ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ 1,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่กทม. กับกิจกรรม “เรามีเรา” และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องจำนวน 10,420 ชุด การสนับสนุนงบประมาณ 700,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล สำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วย ICU ความดันลบแบบห้องแยก และส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 10,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และส่งมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องรวมถึงน้ำดื่มของธนาคารจำนวน 5,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ 200,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สำหรับจัดซื้อเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่นใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 และส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 5,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง การส่งมอบน้ำดื่มธนาคาร จำนวน 50,000 ขวด และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง ให้แก่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทย ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 15,600 ขวด และหน้ากากอนามัยและสายคล้อง พร้อมด้วยอาหารจำนวน 500 กล่อง ให้แก่สถาบันบำราศนราดูร ส่งมอบน้ำดื่มให้แก่จำนวน 7,200 ขวด อบต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ส่งมอบถุงยังชีพ ธอส. ให้แก่ เขตห้วยขวาง เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนวัดอุทัยธาราม ซึ่งเป็นชุมชนใกล้ธนาคาร รวมถึงสนับสนุนน้ำดื่มและอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ น้ำดื่มธนาคารทุกขวดที่นำไปมอบให้แก่โรงพยาบาล หรือหน่วยงานต่างๆ ได้รับการผลิตด้วยมาตรฐานคุณภาพ และมีความสะอาด โดยศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นศูนย์ที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะทางสังคมให้แก่ผู้พิการเพื่อให้มีความสามารถเพิ่มเติมและมีรายได้เลี้ยงดูแตนเองและครอบครัวต่อไป ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ยังสามารถมีรายได้ในระยะนี้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42426
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64)
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) . ปัจจุบันการระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มขยายวงกว้าง ทีมด่านหน้าอย่างชาว อสม. ยังคงเฝ้าระวัง และคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาในชุมชนตนเอง พร้อมลงพื้นที่สร้างความเข้าใจเรื่องวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง . เพื่อเป็นการสร้างขวัญ และกำลังใจที่ดีให้แก่ชาว อสม. ล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติค่าตอบแทนให้แก่ชาว อสม. ต่อเนื่องอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) วงเงินรวมไม่เกิน 1,575.4950 ล้านบาท . สำหรับ โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นั้น ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมี.ค. 63 - มิ.ย. 64 เป็นระยะเวลา 16 เดือน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3” Kick Off "เรามีเรา" ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 “ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!! ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะเร่งด่วน 5 พฤษภาคม 2564 โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42437
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับฟังความเห็นปรับปรุงสิทธิกองทุนชราภาพเพื่อผู้ประกันตน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เปิดรับฟังความเห็นปรับปรุงสิทธิกองทุนชราภาพเพื่อผู้ประกันตน วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นจากนายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชน เพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เช่น การเลือกรับประโยชน์ทดแทนบำเหน็จชราภาพหรือบำนาญชราภาพ การคืนเงินสมทบกรณีชราภาพบางส่วนเมื่อผู้ประกันตนออกจากงาน หรือการนำเงินสมทบกรณีชราภาพบางส่วน ไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เป็นต้น โดยนายจ้างหรือผู้ประกันตนที่สนใจ สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือ แสดงความคิดเห็นผ่าน QR code ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ - 30 เม.ย. 64 ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42378
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชู 2 สมุนไพร “ฟ้าทะลายโจรและกระชาย” เดินหน้าร่วมกับมหิดลวิจัยเต็มรูปแบบรักษาโควิด 19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สธ. ชู 2 สมุนไพร “ฟ้าทะลายโจรและกระชาย” เดินหน้าร่วมกับมหิดลวิจัยเต็มรูปแบบรักษาโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินหน้าต่อยอดพัฒนางานวิจัย 2 สมุนไพร คือ ฟ้าทะลายโจรและกระชาย ใช้สมุนไพรไทยรักษาอาการเพื่อต่อสู้กับโรคไวรัสโควิด 19 พร้อมเปิดตัวงาน “สมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด” กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินหน้าต่อยอดพัฒนางานวิจัย 2 สมุนไพร คือ ฟ้าทะลายโจรและกระชาย ใช้สมุนไพรไทยรักษาอาการเพื่อต่อสู้กับโรคไวรัสโควิด 19 พร้อมเปิดตัวงาน “สมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด” ถ่ายทอดองค์ความรู้การดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ระหว่างวันที่ 2–14 มิถุนายน 2564 ณ ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดกิจกรรมเผยแพร่องค์ความรู้การส่งเสริมสุขภาพด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในภาวะวิกฤตทางการแพทย์และสาธารณสุข ครั้งที่ 1 “สมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด”จัดระหว่างวันที่ 2-14 มิถุนายน 2564 ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายอนุทินกล่าวว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย ทุกหน่วยงานและทุกกรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันควบคุมโรค ดูแลรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ใช้องค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ศึกษาวิจัยสมุนไพรไทยเพื่อใช้เป็นยาทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 พบว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจร มีผลยับยั้งเชื้อไวรัส และมีฤทธิ์ต้านการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส หากนำมาใช้ร่วมรักษากับการแพทย์แผนปัจจุบันในผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มีระดับความรุนแรงน้อย (ไม่มีภาวะปอดอักเสบ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นตามลำดับ และแทบไม่พบผลข้างเคียงอีกด้วย นายอนุทินกล่าวต่อว่า มีสมุนไพรอีก 1 ชนิดที่เป็นความหวังในการรักษาโควิด 19 ในอนาคตอันใกล้ คือ กระชาย จากงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล (Excellent Center for Drug Discovery : ECDD) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (TCELS) ที่ได้คัดกรองสารสกัดและสารประกอบธรรมชาติจากพืชสมุนไพรไทยในท้องถิ่น 122 ชนิด พบสารสกัด 6 ชนิด มีศักยภาพยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อก่อโรคไวรัสโคโรนา (SARS-CoV-2) ที่ปริมาณความเข้มข้นของยาในระดับน้อย ๆ และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ โดยสารสกัดจากกระชายมีฤทธิ์แรงที่สุด “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย” (Excellence Center for Thai Herbal Product Innovation: ECTHPIn) ที่จัดตั้งโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, ECDD มหาวิทยาลัยมหิดล, TCELS และสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ จะร่วมกันพัฒนาต่อยอดสมุนไพรกระชายอย่างจริงจัง นำงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรม ยกระดับการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีนวัตกรรมด้านคุณภาพ ทางด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ถูกต้องให้กับประชาชน ในภาวะวิกฤตการระบาดไวรัสโควิด 19 โดยร่วมกับ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ภาคีเครือข่ายแพทย์แผนไทย และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร จัดกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย เวทีเสวนาวิชาการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์แผนไทย กิจกรรมแบ่งฐานให้ความรู้ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เช่น ฐานการใช้ยาฟ้าทะลายโจรและกระชาย การทำน้ำตรีผลา ฐานตำรับยาสมุนไพรรักษาอาการไข้ คลินิกตรวจสุขภาพรักษาโรคด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ด้านนายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ยินดีสนับสนุนพื้นที่จัดงาน สมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคนไทยให้แข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคที่ดีในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รักสุขภาพที่จะได้นำความรู้ด้านสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทยไปปรับใช้กับการดูแลสุขภาพ โดยศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เข้มข้นด้านความสะอาดและปลอดภัยตามมาตรการป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในศูนย์การค้า ********************4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน รับมอบอาหารจาก ซีพีเอฟ หนุนบุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนสู้โควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 รมว.แรงงาน รับมอบอาหารจาก ซีพีเอฟ หนุนบุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนสู้โควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานจากซีพีเอฟ สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตน จำนวน 45 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สร้างภูมิคุ้มกัน ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 ให้ก้าวข้ามสถานการณ์ไปด้วยกัน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับมอบอาหารสำเร็จพร้อมรับประทานจาก คุณประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร และคุณพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมที่ให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตน จำนวน 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายสุชาติกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 จึงได้ให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการความร่วมมือกับสำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลในเครือข่ายสำนักงานประกันสังคม เพื่อดำเนินการกระจายวัคซีนแก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่ 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร “วันนี้ กระทรวงแรงงาน ขอขอบคุณภาคเอกชน อย่างซีพีเอฟ ที่ร่วมแรงร่วมใจกับภาครัฐ สนับสนุนอาหารสำเร็จพร้อมทานมามอบแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมที่ให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตน ที่ร่วมกันปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละในการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ประกันตน ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยอาหารที่ได้รับมอบในวันนี้จะนำไปส่งให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมที่ให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนจำนวน 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มส่งอาหารตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปล่อยปลา 3 ล้านตัว ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำใน กทม.
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ปล่อยปลา 3 ล้านตัว ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำใน กทม. วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ความเจริญของถนนหนทางและบ้านเรือนในเขตชุมชนเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงดำเนินโครงการฟื้นฟูทรัพยากรปลาน้ำจืด โดยปล่อยพันธุ์ปลา 5 ชนิด ได้แก่ ปลาตะเพียนขาว ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลากาดำ และปลาหมอไทย รวม 3 ล้านตัว ในแหล่งน้ำสาธารณะของพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันออก ครอบคลุม 3 เขต ได้แก่ หนองจอก มีนบุรี และลาดกระบัง พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนให้เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้พันธุ์ปลาเหล่านี้เติบโตเป็นแหล่งอาหาร สร้างอาชีพ เสริมรายได้ ให้แก่ประชาชนและชุมชนได้อย่างยั่งยืน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ ETDA และ Shopee Thailand รุกตลาดออนไลน์ขายสินค้า “ทอฝัน By พม.” จากฝีมือกลุ่มสตรี ครอบครัว และคนพิการ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 พม. จับมือ ETDA และ Shopee Thailand รุกตลาดออนไลน์ขายสินค้า “ทอฝัน By พม.” จากฝีมือกลุ่มสตรี ครอบครัว และคนพิการ พม. จับมือ ETDA และ Shopee Thailand รุกตลาดออนไลน์ขายสินค้า “ทอฝัน By พม.” จากฝีมือกลุ่มสตรี ครอบครัว และคนพิการ วันนี้ (4 มิ.ย. 64) เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวออนไลน์ โครงการประชาสัมพันธ์ “ผลิตภัณฑ์ออนไลน์ของกลุ่มอาชีพในยุคดิจิทัล” โดยมี นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นางสาวสกาวเดือน วงศ์ตระกูล Senior, Government Relations Shopee Thailand (บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด) ร่วมแถลงข่าว นายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก รวมทั้งกลุ่มสตรีและครอบครัว เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่มีความยากลำบากในการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ให้เพียงพอต่อการเลี้ยงดูตนเองและสมาชิกครอบครัวในสังคมที่มีการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ตระหนักถึงการส่งเสริมการประกอบอาชีพและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ด้วยการดำเนินธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ จึงได้ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพในยุคดิจิทัล โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ การวางแนวทางการตลาด การปรับโลโก้ Rebranding แบรนด์สินค้า “ทอฝัน By พม.” และการนำสินค้ามาทำการตลาดออนไลน์ และ Shopee Thailand เป็นแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมและให้การสนับสนุนแบรนด์สินค้า “ทอฝัน By พม.” เข้าสู่ช่องทางตลาดออนไลน์ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแบรนด์สินค้า “ทอฝัน By พม.” เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพจากกลุ่มอาชีพสตรีและครอบครัว ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว สค. จำนวน 17 กลุ่ม และผลิตภัณฑ์จากกลุ่มคนพิการ ภายใต้การสนับสนุนของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ซึ่งขณะนี้ มีผลิตภัณฑ์เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 53 รายการสินค้า 72 SKU (Stock Keeping Unit) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จักรสาร สมุนไพร อาหาร และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น โดยผ่านการคัดเลือกคุณภาพในลักษณะ “All Product One Brand” ภายใต้ชื่อ “ทอฝัน By พม.” และในอนาคต จะมีสินค้าให้เลือกซื้อเพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสนับสนุนแบรนด์สินค้า “ทอฝัน By พม.” สินค้าที่ลงมือทำด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ถักทอด้วยความฝัน ผ่านช่องทางออนไลน์ทาง เพจ Facebook ชื่อ “ทอฝัน by พม.” และ Shopee Thailand ทาง ร้าน torfun.shop
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42418
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้ง รพ.สนามรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองที่อิมแพค เมืองทองธานี
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ตั้ง รพ.สนามรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองที่อิมแพค เมืองทองธานี วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ที่ภาคเอกชนแสดงเจตจำนงส่งมอบสถานที่ให้เป็นเวลา 2 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ค. – มิ.ย. 64 เพื่อใช้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเหลือง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงและเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว ช่วยลดภาระของโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้มีพื้นที่รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหนักได้มากขึ้น โดยโรงพยาบาลสนามนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,200 เตียง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข จะเข้าไปจัดการพื้นที่ ทั้งระบบระบายอากาศ ระบบระบายน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย กล้องวงจรปิด ให้เป็นไปตามมาตรฐานต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้นภาษีส่งเสริม SME สู่เศรษฐกิจดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ยกเว้นภาษีส่งเสริม SME สู่เศรษฐกิจดิจิทัล วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่างกฎหมาย ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคล แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เป็นจำนวนเท่ากับรายจ่ายที่ใช้ซื้อ หรือจ้างทำ หรือใช้บริการ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท ในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 – 31 ธ.ค.2565 โดยมุ่งหวังให้ SME ไทยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินกิจการและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42424
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร บุกบางสะพานน้อย ชื่นชมฟาร์มวัวชวนชื่น บางสะพาน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร บุกบางสะพานน้อย ชื่นชมฟาร์มวัวชวนชื่น บางสะพาน รมช.ประภัตร บุกบางสะพานน้อย ชื่นชมฟาร์มวัวชวนชื่น บางสะพาน พัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อกำแพงแสนและบีฟมาสเตอร์ ยกเป็นฟาร์มต้นแบบได้มาตรฐานครบวงจร เตรียมหนุนโครงการโคเนื้อไทยสู้ภัยโควิด กู้เศรษฐกิจไทย สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโคเนื้อของภูมิภาค พร้อมแจงกระท วันนี้ (4 มิ.ย.64) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามงานด้านปศุสัตว์ ณ ฟาร์มวัวชวนชื่น อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายวิวัฒน์ ไชยชะอุ่ม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมติดตาม ว่า ฟาร์มวัวชวนชื่นเป็นฟาร์มที่ดำเนินการได้อย่างดีและประสบความสำเร็จในการเลี้ยงวัว คือ 1. มีผลผลิตที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงมาตรฐาน/ผลงานที่ได้รับการยอมรับจาก ลูกค้า 2. มีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ สร้างรายได้ที่มั่นคง และ 3. มีการปรับปรุงพัฒนากิจการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพฟาร์มโดยมีการขยายกิจการและขนาดฟาร์มอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน “ฟาร์มชวนชื่นเป็นฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อแบบครบวงจรที่มีคุณภาพและสามารถเป็นตัวอย่างและต้นแบบให้กับเกษตรกรเครือข่ายของกรมปศุสัตว์ เป็นแหล่งเรียนรู้ สถานที่ศึกษาดูงานของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ นักเรียน นักศึกษา ในเรื่องการเลี้ยงการจัดการ และการพัฒนาโคเนื้อให้มีคุณภาพ สามารถพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อที่ดี โดยเกษตรกรที่สนใจสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาโคเนื้อควบคู่กับการทำการเกษตรเชิงเดี่ยวให้ดียิ่งขึ้นได้ต่อไป รวมถึงการดูแลสุขภาพสัตว์ การควบคุมป้องกันโรค การถ่ายพยาธิ การทำวัคซีนตามโปรแกรมปศุสัตว์ในระบบมาตรฐานฟาร์ม และนอกจากมีการเลี้ยงโคแล้ว ยังมีการนำมูลโคเป็นปุ๋ยใช้ในแปลงหญ้า สวนปาล์ม สวนยาง และสวนมะพร้าว ซึ่งเป็นการลดต้นทุนโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมี ในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช สำหรับกรณีการระบาดของโรคลัมปี – สกิน นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลกำลังเตรียมมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน และได้สั่งการเน้นย้ำไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้ทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่ดูแลเกษตรกรอย่างเต็มที่ เพื่อหยุดยั้งการระบาดที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด โดยขณะนี้ กรมปศุสัตว์ได้ประสานงานกับทางจังหวัดต่างๆ ที่มีการระบาดของโรค เพื่อพิจารณาประกาศภัยพิบัติในพื้นที่แล้ว และพร้อมที่จะเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบตามมาตรการต่างๆ ในเบื้องต้น รวมถึงเรื่องวัคซีน 60,000 โด๊สที่นำเข้ามา คณะกรรมการฯ กำลังพิจารณาการส่งมอบวัคซีนไปตามจุดต่างๆ และได้เขียนเรื่องเพิ่มเติมแล้ว ว่าต้องการวัคซีนเพิ่มอีกเท่าไหร่ เพื่อใช้ในการควบคุมการระบาดในครั้งนี้ นอกจากนี้ ตนต้องขอเน้นย้ำอีกครั้ง เพื่อให้เกิดการเข้าใจที่ถูกต้องสู่เกษตรกรและประชาชน โรคลัมปี - สกิน เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน ”รมช.ประภัตรกล่าว ด้านนายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ฟาร์มชวนชื่นเป็นฟาร์มปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อกำแพงแสนและพันธุ์บีฟมาสเตอร์ โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ในการพัฒนาและวิจัยโคพันธุ์กำแพงแสน โดยใช้แม่พันธุ์กำแพงแสนเป็นแม่พื้นฐาน และมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างโคพันธุ์บีฟมาสเตอร์ให้เป็นพันธุ์แท้ โดยผสมแบบยกระดับสายเลือดจากแม่พันธุ์กำแพงแสนที่มีอยู่ เพราะเล็งเห็นว่าโคพันธุ์บีฟมาสเตอร์ จะเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่สามารถเลี้ยงในประเทศไทยได้ ในปัจจุบันมีโคอยู่ในฟาร์มชวนชื่นทั้งหมด 1,154 ตัว ในจำนวนนี้มีโคลูกผสมพันธุ์บีฟ มาสเตอร์ อยู่จำนวน 647 ตัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42429
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ขยายโครงการเยียวยาเกษตรชาวสวนลำไย ปี 2563
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ​ขยายโครงการเยียวยาเกษตรชาวสวนลำไย ปี 2563 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไยประสบปัญหาเนื่องจากภาวะลำไยล้นตลาดในช่วงปี 2563 ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้เห็นชอบเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ โดยดำเนินการไปแล้ว 202,013 ครัวเรือน ล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายจำนวนเกษตรกรชาวสวนลำไย ที่จะได้รับการเยียวยาเพิ่มขึ้นอีก 160 ครัวเรือน รวมเป็น 202,173 ครัวเรือน เพื่อให้ครอบคลุมเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ภายใต้หลักการเดิม โดย ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรง พร้อมทั้งขยายระยะเวลาโครงการจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค. 64 เป็นสิ้นสุด 30 เม.ย. 64 อีกด้วย รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42393
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมอนุมัติเลข 4 หลัก หนุน สธ.-หมอพร้อม เพื่อช่องทางบริการฉีดวัคซีน โควิด-19
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส เตรียมอนุมัติเลข 4 หลัก หนุน สธ.-หมอพร้อม เพื่อช่องทางบริการฉีดวัคซีน โควิด-19 ดีอีเอส เตรียมอนุมัติเลข 4 หลัก หนุน สธ.-หมอพร้อม เพื่อช่องทางบริการฉีดวัคซีน โควิด-19 เมื่อวันที่4มิถุนายน2564นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประธานประชุมคณะทำงานพิจารณาการขอรับการจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ(แบบสั้น4หลัก)ครั้งที่3-2564ณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ประชุมพิจารณาการขอรับจัดสรรหมายเลขโทรศัพท์แบบสั้น4หลักของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ตามที่สธ.แจ้งว่าปัจจุบันสธ.ได้มีการพัฒนาLine Official Accountหมอพร้อมเพื่อสนับสนุนระบบการจองฉีดวัคซีนแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในระยะที่2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ60ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว7กลุ่มโรคจำนวน16ล้านคนระยะที่3สำหรับประชาชนทั่วไปดังนั้นสธ.มีแผนในการจัดตั้งCall Centerเพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการให้ข้อมูลที่อุปสรรคจากการจองฉีดวัคซีนผ่านหมอพร้อมในการนี้คณะทำงานได้เล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารเพื่อบริการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ซึ่งการเพิ่มหมายเลข4หลังนั้นเป็นช่องทางที่ง่ายต่อการจดจำดังนั้นจึงขอเชิญผู้แทนจากสธ.มาชี้แจงความเป็นจำเป็นในการขอรับหมายเลขเพื่อพิจารณาในลำดับถัดไป **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลื่อนเปิดภาคเรียน เป็น 1 มิ.ย. 64
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เลื่อนเปิดภาคเรียน เป็น 1 มิ.ย. 64 วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศเลื่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2564 จากเดิมวันที่ 17 พ.ค. เป็นวันที่ 1 มิ.ย.64 เนื่องจากอาจกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาส่วนใหญ่ โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานช่วงวันที่ 17-30 พ.ค. ให้สถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา เตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเรียน เช่น อาคารสถานที่ การจัดการเรียนการสอน สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ปกครองในการเลื่อนเปิดเทอม และจัดกิจกรรมเสริมให้แก่ผู้เรียนผ่านระบบออนไลน์ หรือระบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับความพร้อมของผู้เรียน โดยพิจารณาตามประกาศของ ศบค. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน กรอบวงเงิน 85,500 ล้านบาท ประกอบด้วย การเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม “โครงการ ม33เรารักกัน” และวงเงินช่วยเหลือ “โครงการเราชนะ” โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือ อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และมีระยะเวลาใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 64 นอกจากนี้ ยังเห็นชอบโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยช่วยลดภาระค่าครองชีพเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค. - ธ.ค. 64 ทั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ในช่วงวิกฤตนี้ได้ในระดับหนึ่ง “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42405
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม ชั่วคราว วันที่ 5 มิถุนายน 2564 เวลา 00.30 – 08.00 น.
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม ชั่วคราว วันที่ 5 มิถุนายน 2564 เวลา 00.30 – 08.00 น. ธนาคารออมสินจะปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (CardM) ของธนาคารออมสินเป็นการชั่วคราว ในวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 00.30 - 08.00 น. รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ธนาคารฯ จะปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (CardM) ของธนาคารออมสินเป็นการชั่วคราว ในวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 00.30 - 08.00 น. ซึ่งการปิดระบบในช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้ลูกค้าไม่สามารถใช้ บัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม ของธนาคารออมสิน ทำรายการ ฝาก-ถอน และโอนเงินทุกประเภท ผ่านเครื่อง ATM เครื่อง ADM และเครื่อง VTM ทั้งของธนาคารออมสินและต่างธนาคาร ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบคอมพิวเตอร์ในการบริการลูกค้า และรองรับการขยายตัวของปริมาณธุรกรรมทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น ธนาคารออมสิน ต้องขออภัยลูกค้าในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ โดยในช่วงปิดระบบนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้บริการโอนเงิน และชำระค่าสินค้าและบริการผ่านแอป MyMo ได้ตามปกติ แต่ยังไม่ทำรายการถอนเงินสดผ่านเครื่อง ATM / ADM / VTM ได้ชั่วคราวเช่นกัน หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society https://www.gsb.or.th/news/gsbpr27/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมความพร้อมรับน้ำมากกว่าปกติต้นฤดูฝน ปี 64
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เตรียมความพร้อมรับน้ำมากกว่าปกติต้นฤดูฝน ปี 64 วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมความพร้อมบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2564 ซึ่งคาดการณ์ว่าช่วงต้นฤดูฝนจะมีฝนมากกว่าปกติ ดังนั้น เพื่อบรรเทาความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จะประสานกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง นำสถิติข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลฝนคาดการณ์ในระบบ One Map กำหนดพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่ฝนทิ้งช่วง พร้อมกับปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเขื่อนระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำ รองรับน้ำหลาก เร่งขุดคูคลองและกำจัดผักตบชวา ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำสายหลัก เพื่อให้การระบายน้ำในช่วงฤดูฝนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ​ รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42386
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมด้วยสำนักงานยุติธรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมให้การช่วยเหลือกรณีน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบ หายตัวปริศนา เสียชีวิตบนเขากลางป่า จังหวัดมุกดาหาร
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมด้วยสำนักงานยุติธรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมให้การช่วยเหลือกรณีน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบ หายตัวปริศนา เสียชีวิตบนเขากลางป่า จังหวัดมุกดาหาร กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมด้วยสำนักงานยุติธรรมจังหวัดมุกดาหาร เตรียมลงพื้นที่ติดตามกรณีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยในคดีแล้ว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบ ได้หายตัวปริศนาไปในช่วงที่พ่อแม่ออกจากบ้านไปทำงานที่ไร่ตั้งแต่เช้าตรู่จึงปล่อยให้น้องชมพู่อยู่กับพี่สาวอายุ 13 ปี แต่มาทราบภายหลังว่าได้หายตัวไป จนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ได้พบเป็นศพเสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟ จังหวัดมุกดาหาร ตามที่เป็นข่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงความห่วงใยและติดตามอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทราบว่ากรณีนี้ ทางสำนักงานยุติธรรมจังหวัดมุกดาหารได้มีการลงพื้นที่และรับคำขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 พร้อมทั้งประสานติดตามผลการสืบสวนจากพนักงานสอบสวน ที่สถานีตำรวจภูธรกกตูมและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งได้รับแจ้ง ณ ขณะนั้น ว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพราะไม่ทราบแน่ชัด ว่าสาเหตุการตายเกิดจากอะไร จึงยังไม่สามารถที่จะแจ้งความคืบหน้าของคดี ณ เวลานั้นได้ จนกระทั่งมีข่าวล่าสุดว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้แล้ว ซึ่งในวันที่ 4 มิถุนายน 2564 สำนักงานยุติธรรมจังหวัดมุกดาหาร จะลงพื้นที่ติดตามเรื่องกับพนักงานสอบสวนต่อไป นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรณีผู้เสียหายในคดีอาญา หากถูกผู้อื่น กระทำให้เสียชีวิตโดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ทายาทมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ (1) ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จำนวน 50,000 บาท (2) ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท (3) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู จำนวน 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 110,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ประจำจังหวัดมุกดาหารเป็นสำคัญ "กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ หรือผู้เสียหายในคดีอาญา เพื่ออำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย โดยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และ ส่วนภูมิภาค (สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือ ติดต่อที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยาย ทล.304 สาย ฉะเชิงเทรา - ต.เขาหินซ้อน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กรมทางหลวงขยาย ทล.304 สาย ฉะเชิงเทรา - ต.เขาหินซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงและสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 และสำนักก่อสร้างสะพาน ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 304 สาย ฉะเชิงเทรา - ต.เขาหินซ้อน ตอน อ.พนมสารคาม - ต.เขาหินซ้อน รวมสะพานข้ามแยกทางหลวงหมายเลข 319 (ถนนสุวินทวงศ์) พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งแต่ กม. ที่ 102+500 - กม. ที่ 126+000 ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากจังหวัดฉะเชิงเทราเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่อยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development: EEC) ทั้งนี้ด้วยศักยภาพของพื้นที่และความพร้อมต่าง ๆ จึงมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนจำนวนมาก เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สูงขึ้น โครงการขยายทางหลวงหมายเลข 304 จึงเป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ ทล. เล็งเห็นความจำเป็นที่จะดำเนินการก่อสร้างใหม่ เพื่อให้มีความสะดวกและปลอดภัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้เส้นทาง ทล. ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงสายดังกล่าว โดยแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 ระหว่าง กม. ที่ 102+500 - กม. ที่ 113+000 ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร และตอนที่ 2 ระหว่าง กม. ที่ 113+000 - กม. ที่ 126+000 ระยะทาง 13 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษจากเดิม 4 ช่องจราจรเป็น 6 - 7 ช่องจราจร ผิวทางคอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้างข้างละ 1.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้างข้างละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบกดร่อง (DEPRESSED MEDIAN) สลับกับเกาะกลางแบบยก (RAISED MEDIAN) กว้างประมาณ 13 เมตร สำหรับในพื้นที่ชุมชนออกแบบเป็น 6 ช่องจราจร กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบยก (RAISED MEDIAN) กว้าง 5.10 เมตร มีทางบริการขนาด 2 ช่องจราจร กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร พร้อมงานก่อสร้างสะพานคอนกรีตอัดแรง 3 แห่ง สะพานลอยคนเดินข้าม 2 แห่ง และติดตั้ง ไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบโครงการก่อสร้างประมาณ 2,314 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าแล้วกว่า 60% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคม 2565 ทั้งนี้มีบางช่วงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงที่สำคัญของประเทศ แก้ไขปัญหาการจราจรและรองรับการจราจรที่มีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต ช่วยส่งเสริมศักยภาพการกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออกในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42414
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2564
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 225 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.63 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 225 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.63 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 129 คดี ค่าปรับ 1.41 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 49 คดี ค่าปรับ 1.64 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 4 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 3.05 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 1 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.19 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 8 คดี ค่าปรับ 0.28 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,027.140 ลิตร ยาสูบ จำนวน 2,978 ซอง ไพ่ จำนวน 42 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 56,850.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 1,177 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 20 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 3 มิถุนายน 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 18,292 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 417.69 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 10,452 คดี ค่าปรับ 92.73 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 5,145 คดี ค่าปรับ 203.74 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 393 คดี ค่าปรับ 6.37 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 878 คดี ค่าปรับ 52.83 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 79 คดี ค่าปรับ 3.15 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 928 คดี ค่าปรับ จำนวน 25.51 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 417 คดี ค่าปรับ 33.36 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,615,573.919 ลิตร ยาสูบ จำนวน 606,393 ซอง ไพ่ จำนวน 32,885 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,510,394.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 109,738 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,669 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42415
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน เก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ยึดกรอบตามมาตรา 17 พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน เก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ยึดกรอบตามมาตรา 17 พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 ดีอีเอส เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน เก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ยึดกรอบตามมาตรา 17 พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 เมื่อวันที่4มิถุนายน2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเสนอแนะแนวทางการดำเนินการให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยมีนายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยที่ประชุมร่วมพิจารณาในประเด็นข้อมูลความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะทำงานเสนอแนะแนวทางการดำเนินการให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งที่ประชุมมอบหมายฝ่ายเลขาฯประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับแนวทางในการให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยยึดกรอบการดำเนินภารกิจตามมาตรา17ของพรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม2544สำหรับมาตรา17มีสาระสำคัญคือให้คณะกรรมการมีหน้าที่จัดให้มีการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและให้มีอำนาจกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีการบริการโทรคมนาคมอาทิจัดให้มีบริการโทรคมนาคมในพื้นที่ชนบทพื้นที่ที่มีผลตอบแทนการลงทุนต่ำพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ให้บริการหรือมีแต่ไม่ทั่วถึงและเพียงพอรวมทั้งจัดให้มีบริการในสถานศึกษาศาสนสถานสถานพยาบาลหรือการให้บริการในลักษณะตามที่คณะกรรมการกำหนดแก่ผู้มีรายได้น้อยตลอดจนบริการโทรคมนาคมที่อำนวยความสะดวกแก่คนพิการเด็กคนชราและผู้ด้อยโอกาสทางสังคมเป็นต้น ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยนำถกประเด็นแก้ความไม่เท่าเทียมเข้าถึงวัคซีนโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ไทยนำถกประเด็นแก้ความไม่เท่าเทียมเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ในการประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ผ่านระบบออนไลน์ เรื่อง “A Vaccine for All” ประเทศไทยได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 โดยเน้น การเพิ่มกำลังผลิตและกระจายวัคซีนที่ทั่วถึง ซึ่งไทยสามารถเป็นแหล่งผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของภูมิภาค ช่วยสนับสนุนความพยายามของประชาคมโลกได้ พร้อมเสนอให้ประเทศต่าง ๆ เร่งส่งเสริมระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก และสมัชชาสหประชาชาติ ให้เข้าถึงวัคซีนและยารักษาโรคที่เท่าเทียมกับการดำเนินการด้านการพัฒนาและฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคม รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3”
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3” ดีเดย์ 14 มิ.ย.นี้! เปิดลงทะเบียน “คนละครึ่งเฟส 3” เตรียมตัวให้พร้อมกับการลงทะเบียนรับสิทธิโครงการ คนละครึ่ง เฟส 3 ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายในลักษณะร่วมจ่าย โดยรัฐจะสนับสนับสนุนให้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่าย หรือไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน วงเงินรวม 3,000 บาท ตลอดโครงการ ระยะเวลาใช้จ่ายตั้งแต่เดือนก.ค. - ธ.ค. 64 โดยแบ่งวิธีรับสิทธิ ลงทะเบียน ดังนี้ . อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ให้ค่าตอบแทน อสม. เพิ่มอีก 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 64) Kick Off "เรามีเรา" ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 “ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!! ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะเร่งด่วน 5 พฤษภาคม 2564 โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42438
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสามอบถุงยังชีพ “มีแล้วแบ่งปัน” แก่ชาวบ้านแฟลตดินแดง ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสามอบถุงยังชีพ “มีแล้วแบ่งปัน” แก่ชาวบ้านแฟลตดินแดง ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบถุงยังชีพ “มีแล้วแบ่งปัน” กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 ให้แก่ผู้แทนคณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดง 2 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีมอบถุงยังชีพ “มีแล้วแบ่งปัน” กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 ให้แก่ผู้แทนคณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดง 2 โดยมี นายวิชาญ เขียวแก้ว ประธานชุมชนเคหะดินแดง 2 และกรรมการแฟลตเป็นตัวแทนประชาชนในเคหะชุมชนดินแดง 2 เป็นผู้รับมอบ ซึ่งถุงยังชีพ “มีแล้วแบ่งปัน” ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องอุปโภคโภคบริโภค และของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง นม ยารักษาโรค หน้ากากอนามัย และเครื่องอุปโภคอื่น ๆ จำนวน 520 ชุด เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ บริเวณโถงด้านล่างอาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายสุชาติกล่าวต่อว่า กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ “มีแล้วแบ่งปัน” ในวันนี้ กระทรวงแรงงานจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะชาวชุมชนแฟลตดินแดง ทั้งนี้ ชุมชนเคหะดินแดง 2 มีอาคารที่พักจำนวน 55 อาคาร ห้องพัก 5,962 ห้อง มีประชาชนพักอาศัยทั้งสิ้น 29,810 คน มีประชาชนติดเชื้อโควิด-19 และรักษาตัวในสถานพยาบาลของรัฐ จำนวน 30 ราย มีครัวเรือนที่กักตัวและให้ความช่วยเหลือ 30 ครัวเรือน ประมาณ 120 คน กลุ่มเปราะบาง ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 300 ครัวเรือน มีผู้พิการที่ต้องดูแลช่วยเหลือ 100 ครัวเรือน ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ในภาพรวมภายในบริเวณเคหะชุมชนดินแดง 2 มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ส่วนใหญ่มีอาการไม่น่าเป็นห่วง รักษาตามกำหนดระยะเวลาสามารถกลับบ้านได้ สำหรับมาตรการป้องกันโควิด-19 คณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดง 2 มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยได้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกจากที่พัก มีการตรวจคัดกรองโควิด-19 แก่แม่ค้าพ่อค้าในตลาดกลางเคหะชุมชนดินแดง 2 รวมทั้งกำชับให้มีการปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค.อย่างเคร่งครัดอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลหวังให้ไทยผลิตทั้งวัคซีนและยาโควิด-19 ได้เอง
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 รัฐบาลหวังให้ไทยผลิตทั้งวัคซีนและยาโควิด-19 ได้เอง วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลวางแผนบริหารจัดการด้านวัคซีนและยาป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 อย่างรอบด้าน โดยการป้องกันระยะเร่งด่วน คือ สั่งซื้อวัคซีนให้เพียงพอ รับถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในประเทศในระยะยาว จนไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ซึ่งขณะนี้ดำเนินการได้ 5 รุ่นการผลิต และผ่านข้อกำหนดคุณภาพเบื้องต้นแล้ว สำหรับด้านการรักษา ในระยะเร่งด่วนนั้นจะสั่งซื้อ ยาฟาวิพิราเวียร์ จากประเทศญี่ปุ่นและกระจายไปสู่หน่วยบริการต่างๆทั้งรัฐและเอกชนอย่างเพียงพอ ส่วนระยะยาวได้ให้องค์การเภสัชกรรม เจรจาเรื่องสิทธิบัตรเพื่อให้ไทยสามารถผลิตยาชนิดนี้ใช้เองภายในประเทศได้ต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42401
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาสัมพันธ์สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ประชาสัมพันธ์สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่ ครม.มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการ โดยประชาชนแต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้ 1 โครงการเท่านั้น นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) ระยะที่ 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ครอบคลุมประชาชนประมาณ 51 ล้านคน โดยประชาชนแต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้ 1 โครงการเท่านั้น สำหรับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 กลุ่มผู้มีบัตรฯ ประมาณ 13.65 ล้านคน จะช่วยเหลือค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ หากผู้มีบัตรฯ ประสงค์จะรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แทน จะต้องสละสิทธิการเป็นผู้มีบัตรฯ โดยขอให้นำบัตรฯ มาคืนที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด ภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เพื่อไม่ให้เกิดการรับสิทธิซ้ำซ้อนระหว่างโครงการ ซึ่งการคืนบัตรฯ ดังกล่าวจะถือเป็นการสละสิทธิไม่สามารถรับสวัสดิการผ่านบัตรฯ ได้อีก หากผู้มีบัตรฯ คืนบัตรฯ หลังวันที่ 7 มิถุนายน 2564 จะไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำว่าสำหรับผู้มีบัตรฯ ที่สละสิทธิแล้ว และประสงค์ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com ตามต้องการ เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ หากผู้ที่ได้ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และได้รับสิทธิโครงการใดโครงการหนึ่งไว้แล้วมีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนไปรับสิทธิอีกโครงการหนึ่งแทน จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิอีกโครงการหนึ่ง ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และถือเป็นการสละสิทธิโครงการที่ได้รับสิทธิเดิม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3503 3516 3506 3502 3536 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42417
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้​รับทราบ​รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน ในภาพรวมมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้น เป็นจำนวน 123 แห่ง และยังสามารถควบคุมจำนวนของเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อให้คงที่อยู่ที่ 13 แห่ง ซึ่งมีผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเริ่มได้รับการรักษาจนหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการ SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำในกลุ่มผู้ต้องขังจากสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดเดิม เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว อันจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยหนักให้น้อยลง รวมถึงการตรวจพบเชื้อในกลุ่มผู้ต้องขังเข้าใหม่ที่มาจากภายนอก ซึ่งได้ดำเนินการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น และแยกผู้ติดเชื้อให้อยู่ในพื้นที่ควบคุมเฉพาะ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อเข้าสู่เรือนจำ ภายใต้การดำเนินการตามกรอบนโยบายหลักในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด คือ การระวังอย่าให้เชื้อเข้าสู่เรือนจำ การรักษาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วและทั่วถึงเพื่อไม่ให้มีการเสียชีวิต และการตรวจเชื้อและปฏิบัติตามมาตรการเข้มงวด อย่าให้มีการนำเชื้อออกสู่ภายนอก สำหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกอบรม นั้น ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมอบหมายให้กรมราชทัณฑ์กำกับดูแลเรือนจำ/ทัณฑสถานทุกแห่งปฏิบัติตาม SOPs อย่างเคร่งครัด ในกรณีพบผู้ติดเชื้อในบริเวณสถานที่กักโรคขอให้ส่งตัวออกไปรับการรักษาพยาบาลกับหน่วยงานสาธารณสุข หากไม่สามารถส่งตัวออกไปรักษาพยาบาลได้ ขอให้จัดหาสถานที่เรือนจำชั่วคราวเพื่อการกักตัวหรือรักษาผู้ติดเชื้อในทันที รวมทั้งได้ขอให้เรือนจำ/ทัณฑสถานที่ยังไม่มีการแพร่ระบาด ดำเนินการซักซ้อมการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมอบหมายให้กรมราชทัณฑ์ประสานงานกับกรมคุมประพฤติอย่างใกล้ชิดก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขังออกจากเรือนจำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ด้วยการลดค่าน้ำประปา - ค่าไฟฟ้า เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเวลา 2 เดือน มีผลตั้งแต่เดือน พ.ค. – มิ.ย. 64 แบ่งเป็น ส่วนลดร้อยละ 10 สำหรับค่าน้ำประปา และใช้ไฟโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สูงสุดไม่เกิน 90 หน่วย/เดือน หากใช้ไฟเกิน 150 หน่วย/เดือน จะได้รับส่วนลดโดยใช้ค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย. 64 เป็นฐาน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา กว่า 23 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานทะเบียนราษฎรดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 งานทะเบียนราษฎรดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. ... เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนตามวิถีปกติใหม่ โดยให้สามารถขอรับบริการงานทะเบียนราษฎรได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน ในระยะแรกจะให้บริการ 3 ประเภทได้แก่ การตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลผ่านระบบฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐ การจองคิวขอรับบริการงานทะเบียนล่วงหน้า และการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทาง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมเป็นเวลา 1 ปี สำหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน สามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนยืนยันตัวตน พร้อมรับรหัสเข้าใช้งาน ได้ที่สำนักงานทะเบียนอำเภอ หรือท้องถิ่น ทั่วประเทศ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มสิทธิคุ้มครองความเสียหายจากการฉีดวัคซีนโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เพิ่มสิทธิคุ้มครองความเสียหายจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ช่วยเหลือกรณีได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขหรือภายหลังรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดอาการหรือผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ แบ่งเป็น กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร จ่ายไม่เกิน 400,000 บาท สูญเสียอวัยวะหรือพิการ จ่ายไม่เกิน 240,000 บาท และบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายไม่เกิน 100,000 บาท โดยเริ่มให้ความคุ้มครองตั้งแต่วัคซีนเข็มแรกที่ฉีดให้คนไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นเรื่องได้ที่โรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และเขตต่าง ๆ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยจะมีคกก.ตรวจสอบและจ่ายเงินช่วยเหลือภายใน 5 วัน หลังยื่นคำร้อง “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ สานสายใยผูกผัน “วันครอบครัว”
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ​ สานสายใยผูกผัน “วันครอบครัว” วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพพื้นฐานของมนุษย์ โดยวันที่ 14 เม.ย. ของทุกปี ถือเป็น “วันครอบครัว” เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว และส่งเสริมการใช้เวลาร่วมกัน โดยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกัน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ทุกครอบครัวควรปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ตนเองและครอบครัวห่างไกลจากเชื้อโรค มีสุขภาพแข็งแรง และดำเนินชีวิตร่วมกับครอบครัวและผู้อื่นได้อย่างมีความสุข “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งแก้ปัญหาข่าวปลอม นำกลไก IA/IR chat หนุนทุกกระทรวง-ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตอบชี้แจงภายใน 24 ชั่วโมง
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส เร่งแก้ปัญหาข่าวปลอม นำกลไก IA/IR chat หนุนทุกกระทรวง-ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตอบชี้แจงภายใน 24 ชั่วโมง ดีอีเอส เร่งแก้ปัญหาข่าวปลอม นำกลไก IA/IR chat หนุนทุกกระทรวง-ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตอบชี้แจงภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อวันที่4มิถุนายน2564นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ครั้งที่2/2564 ณห้องประชุมMDES 1ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยที่ประชุมร่วมพิจารณาวาระสำคัญถึงแนวทางการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการป้องกันและปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อออนไลน์ซึ่งที่ประชุมนำเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จฯต่อคณะกรรมการอาทิการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมได้แก่การแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/ส่วนราชการ ร่วมเป็นคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมให้ทุกกระทรวงฯจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและแต่ละกระทรวงขึ้นโดยด่วนและให้กระทรวงดิจิทัลฯประสานงานกับกรมประชาสัมพันธ์และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในการนำข่าวปลอมลงในกลไกIA/IR chatที่มีอยู่เพื่อให้กระทรวงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตอบชี้แจงภายใน24ชั่วโมง รวมทั้งพิจารณาประเด็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​วิธีปฏิบัติก่อนเข้า ร.พ. เมื่อติดโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ​วิธีปฏิบัติก่อนเข้า ร.พ. เมื่อติดโควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่กำลังกักตัวรอผลตรวจ หรือ รอรถจาก ร.พ. มารับ ควรแยกตัวออกจากสมาชิกในบ้าน เช่น การทานอาหาร ห้องนอน กรณีห้องน้ำหากเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้เป็นคนสุดท้ายแล้วทำความสะอาด รวมทั้งแยกของใช้ จาน ช้อนส้อม เสื้อผ้า แยกการซักล้างและจัดเก็บ แยกขยะและมัดปากถุงให้เรียบร้อย ไม่เปิดแอร์ ควรเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ หมั่นสังเกตอาการตนเอง วัดอุณหภูมิ ดื่มน้ำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ ตลอดจนออกกำลังกาย หากิจกรรมผ่อนคลายทำ สำหรับผู้ที่รอผลตรวจหากทราบผลว่าติดเชื้อให้กรอกข้อมูลในไลน์ @sabaideebot จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับโดยเร็ว “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model)
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2/2564 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล Zoom Meeting ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯ ได้รายงานความคืบหน้า โครงการมาตรการและแนวทางในการขับเคลื่อนของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG model ทั้ง 3 คณะ ได้แก่ 1) อนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) 2) อนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ 3) อนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) รวมถึงพิจารณากำหนดเป้าหมายและแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การจัดประชุมฯ ดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42421
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยัน ยังไม่เก็บค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคเกษตรกรรม
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ยืนยัน ยังไม่เก็บค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคเกษตรกรรม วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ จากกระแสความกังวลเกี่ยวกับภาระของประชาชนที่มีรายได้น้อยจากการจัดเก็บค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคเกษตรกรรม ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 รัฐบาลยืนยันว่า ยังไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำอย่างแน่นอน เนื่องจากยังต้องผ่านการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้มาตรการที่รัดกุม เหมาะสม และเป็นธรรม ซึ่งหลักการเบื้องต้นคือ การใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในครัวเรือน และการทำเกษตรและปศุสัตว์รอบแรกของปี จะไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำ แต่หากทำรอบที่ 2 ในเนื้อที่มากกว่า 66 ไร่ จะเก็บค่าใช้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายวางแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้ง เพราะจะส่งผลกระทบต่อการรักษาระบบนิเวศ การผลักดันน้ำเค็ม และทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำได้ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42380
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิด 19 ระลอกใหม่
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิด 19 ระลอกใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบมาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิด 19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท โดยอนุมัติให้ ธ.ออมสินและธ.ก.ส. ออกสินเชื่อวงเงินแห่งละ 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราว ให้พนักงาน/ลูกจ้างหน่วยงานเอกชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร ที่มีรายได้ลดลงหรือขาดรายได้เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยสนับสนุนสินเชื่อไม่ต้องใช้หลักประกัน สูงสุดรายละไม่เกิน 10,000 บาท ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก และคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปี โดยมีระยะเวลาให้สินเชื่อถึงวันที่ 31 ธ.ค. 64 ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ หรือ call center และสำนักงานของ ธ.ออมสิน และ ธกส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประเดิมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตที่ผลิตในประเทศไทยเข็มแรก
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สธ.ประเดิมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตที่ผลิตในประเทศไทยเข็มแรก กระทรวงสาธารณสุขประเดิมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตที่ผลิตในประเทศไทยเข็มแรกให้กับหญิงอายุ 69 ปี ที่ลงทะเบียนเบียนฉีดวัคซีนล่วงหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วน ดร.แดเนียล ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เข้ารับการฉีด กระทรวงสาธารณสุขประเดิมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล็อตที่ผลิตในประเทศไทยเข็มแรกให้กับหญิงอายุ 69 ปี ที่ลงทะเบียนเบียนฉีดวัคซีนล่วงหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วน ดร.แดเนียล ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เข้ารับการฉีดเพื่อสร้างความมั่นใจวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าวัคซีนที่ผลิตในประเทศอื่น วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่โถงอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขโดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้นำวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยล็อตแรกที่ได้รับการส่งมอบอย่างเป็นทางการเมื่อเช้านี้ ฉีดให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข บุคลากรสาธารณสุขประชาชนที่ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านระบบon site ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยวัคซีนเข็มแรกได้ฉีดให้กับนางจุไรรัตน์ เรวงค์อายุ 69 ปี รวมทั้งดร.แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยได้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19ของแอสตร้าเซนเนก้าล็อตดังกล่าวด้วย โดยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ฉีดให้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยมีมาตรฐานเดียวกับวัคซีนที่ผลิตในประเทศอื่นของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีนเป็นไปตามแผนที่ ศบค.กำหนด โดยกระจายไปทุกจังหวัด ตามจำนวนประชากรและสถานการณ์การระบาด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยส่งให้ทุกสัปดาห์หรือทุกครั้งที่มีการส่งมอบ ไม่มีการเก็บไว้ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่รับมาในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน ได้กระจายไปทุกจังหวัดแล้ว ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้รับในวันนี้ 1.8 ล้านโดสได้ส่งออกไปจังหวัดต่าง ๆ แล้วในช่วงบ่าย และทยอยส่งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะได้รับวัคซีนของซิโนแวคในวันที่ 5 มิถุนายน จำนวน 5 แสนโดส และในวันที่ 10 มิถุนายนจะได้รับอีก 1 ล้านโดส กระจายออกไปให้จังหวัดทันที ********************************* 4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42435
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ.รับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยล็อตแรก 1.8 ล้านโดส
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สธ.รับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยล็อตแรก 1.8 ล้านโดส กระทรวงสาธารณสุขรับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยล็อตแรก 1.8 ล้านโดส กระจายส่งทุกจังหวัดตามแผนที่ ศบค.กำหนด ส่วนล็อตถัดๆ ไป กรมควบคุมโรคจะหารือบริษัทผู้ผลิต เพื่อจะทยอยส่งเป็นรายสัปดาห์ ยันทุกจังหวัดมีวัคซีนรองรับคิกออฟวันที่ 7 มิถุนายน กระทรวงสาธารณสุขรับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยล็อตแรก 1.8 ล้านโดส กระจายส่งทุกจังหวัดตามแผนที่ ศบค.กำหนด ส่วนล็อตถัดๆ ไป กรมควบคุมโรคจะหารือบริษัทผู้ผลิต เพื่อจะทยอยส่งเป็นรายสัปดาห์ ยันทุกจังหวัดมีวัคซีนรองรับคิกออฟวันที่ 7 มิถุนายน ไม่มีการเลื่อนฉีดวัคซีน วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค รับมอบวัคซีนโควิด 19 จากนายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วม นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรก 1.8 ล้านโดสจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ตามแผนการส่งมอบและการเก็บรักษาที่มีการตกลงสัญญา เป็นล็อตที่ผลิตในประเทศไทย โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยทั้งในและนอกประเทศ เป็นการยืนยันคุณภาพของวัคซีนว่ามีมาตรฐานในระดับสากล โดยจะมีการทยอยส่งมอบวัคซีนเป็นงวดๆ ตามแผนภายในเดือนมิถุนายน และกระทรวงสาธารณสุขจะส่งวัคซีนไปทุกจังหวัด ฉีดให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง “ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 มาตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน และจะฉีดต่อไปให้ครอบคลุมจำนวนประชากรมากที่สุด และไม่ได้จบสิ้นในปีนี้ตราบใดที่โควิดเป็นโรคระบาดทั่วโลก นายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่าต้องมีวัคซีนให้กับคนไทยและผู้อาศัยในประเทศไทยทุกคนโดยเป็นภารกิจของรัฐบาล” นายอนุทินกล่าว นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดส่งวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศแล้ว โดยจะมีวัคซีนทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคส่งไปถึงโรงพยาบาลและสถานที่ฉีดต่างๆภายในสัปดาห์นี้ ยืนยันว่าทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีนไปเตรียมการฉีดล่วงหน้าและมีวัคซีนฉีดให้กับประชาชนในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นวันคิกออฟการฉีดวัคซีนโควิด 19 จำนวนมากพร้อมกันทุกพื้นที่ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ทั้งนี้ บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด จะทยอยส่งมอบวัคซีนให้เป็นงวดๆ รวมตลอดเดือนมิถุนายนประมาณ 6 ล้านโดส “การจัดสรรวัคซีนขึ้นกับจำนวนวัคซีนที่เข้ามาแต่ละงวด จัดสรรบนหลักการทั่วถึงและเป็นธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน คือ จัดสรรให้ทุกจังหวัดและปรับเกลี่ยโดยพิจารณาทั้งอัตราส่วนวัคซีนต่อประชากร ความรุนแรงของสถานการณ์ระบาด และพื้นที่จำเพาะตามนโยบายรัฐเช่น พื้นที่การท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นต้น ทำให้มีการกระจายวัคซีนไปตามแผนที่ ศบค.กำหนด ไม่มีที่ไหนต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนเราวางแผนเป็นรายสัปดาห์เพื่อสนับสนุนวัคซีนอย่างพอเพียง และติดตามผลการฉีดด้วย” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยเริ่มเดือนมิถุนายน ส่วนการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนมีนาคม - พฤษภาคม เป็นการฉีดรองรับสถานการณ์และทดสอบระบบมีวัคซีนซิโนแวคเป็นตัวหลักที่ผ่านการรับรองจาก อย.และองค์การอนามัยโลก มีการกระจายไปยังพื้นที่แล้ว 5 ล้านโดสและฉีดไปแล้ว 4 ล้านโดส นายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วัคซีนที่ผลิตและส่งมอบมีการควบคุมคุณภาพ ผ่านการตรวจสอบมากกว่า 60 รายการในแต่ละล็อตการผลิต โดยส่งตรวจคุณภาพทั้งห้องปฏิบัติการที่อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วันนี้ถือเป็นการส่งมอบวัคซีนล็อตแรกจำนวน 1.8 ล้านโดส จากนั้นจะมีการทยอยส่งมอบเรื่อยๆ ตามที่ได้สัญญาไว้กับรัฐบาล โดยจะหารือร่วมกับกรมควบคุมโรคในการทยอยจัดส่งเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้จำนวนส่งมอบเป็นไปตามแผน *********************************4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42428
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​มาตรการใน 6 พื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ​มาตรการใน 6 พื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุดและเข้มงวด วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ศบค. ยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยกำหนดให้ 6 จังหวัด ได้แก่ กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เป็นพื้นที่สีแดงเข้มพร้อมออกมาตรการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มเกิน 20 คน ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มให้ซื้อกลับเท่านั้นและเปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม สถานที่ออกกำลังกายในร่มให้ปิดบริการ ส่วนกลางแจ้งเปิดได้ไม่เกิน 3 ทุ่ม ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้ไม่เกิน 3 ทุ่ม โซนสวนสนุกปิดให้บริการ ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ถนนคนเดิน ตลาดนัดกลางคืน เปิดได้ไม่เกิน 5 ทุ่ม ร้านสะดวกซื้อที่ปกติเปิด 24 ชม. ให้เปิด ตี 4 – 5 ทุ่ม และงดเดินทางออกนอกพื้นที่หากไม่มีเหตุจำเป็น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาผู้ประกันตนม.33 สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง ยื่นสมัคร ม.39 ได้
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ขยายเวลาผู้ประกันตนม.33 สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง ยื่นสมัคร ม.39 ได้ วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบขยายเวลาให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2562 - 31 ธ.ค. 2563 และประสงค์ที่จะอยู่ในระบบประกันสังคมต่อไป สามารถแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจตามมาตรา 39 ทดแทนได้ จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2564 และให้ขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมี.ค. 2563 – งวดเดือนพ.ค. 2564 ออกไปถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยคาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกันตน กว่า 207,000 คน ที่ต้องการรักษาสถานภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีหลักประกันด้านสุขภาพและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ผ่านกองทุนประกันสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่ม รับมือโควิดระลอกใหม่
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่ม รับมือโควิดระลอกใหม่ วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมความพร้อมด้านยาและเวชภัณฑ์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ เช่น จัดซื้อยา ฟาวิพิราเวียร์ เพิ่มอีก 3,500,000 เม็ด หน้ากาก N95 จำนวน 2,000,000 ชิ้น และชุด PPE จำนวน 2,000,000 ชุด เป็นต้น โดยจะทยอยจัดส่งไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ให้มีใช้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะจัดสรรหน้ากากอนามัย Surgical Mask ที่ใช้ในระบบสาธารณสุขเพิ่มเป็น 1,500,000 ชิ้นต่อวัน จากเดิม 1,000,000 ชิ้นต่อวัน สำหรับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น พนักงานเปล แม่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขที่ต้องออกติดตามดูแลสุขภาพคนในชุมชน รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42387
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ย้ำ วัคซีนไม่ขาด ผู้ประกันตนได้ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เหมือนเดิม จะเริ่มเปิดใหม่วันจันทร์ที่ 14 มิ.ย.นี้
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รมว.เฮ้ง ย้ำ วัคซีนไม่ขาด ผู้ประกันตนได้ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เหมือนเดิม จะเริ่มเปิดใหม่วันจันทร์ที่ 14 มิ.ย.นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศเลื่อนการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 45 ศูนย์ออกไป ย้ำ วัคซีนไม่ขาด ผู้ประกันตนได้ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เหมือนเดิม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศเลื่อนการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 45 ศูนย์ออกไป ซึ่งในเรื่องนี้ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความเป็นห่วงผู้ประกันตนและเข้าใจดีว่าผู้ประกันตนประสงค์อยากจะฉีดวัคซีนโดยเร็ว จึงได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานปรับปรุงจุดบกพร่องทั้ง 2 ประการอย่างเร่งด่วน ทั้งกรณีสถานที่บางแห่งที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากไม่มีแอร์ อากาศร้อน จะยกเลิกสถานที่ดังกล่าวโดยจะยุบรวมมาอยู่ในสถานที่ที่มีความพร้อมและมีแอร์คอนดิชั่น ส่วนกรณีเรื่องข้อมูลของผู้ประกันตนที่ฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการส่งมาให้เกิดความสับสนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงจากเหตุผลหลายประการ อาทิ ลงทะเบียนซ้ำซ้อนหลายแห่ง การไปฉีดวัคซีนจากที่อื่นมาก่อนแล้ว ผู้ประกันตนไม่พร้อมมาฉีดตามวัน เวลา ที่กำหนด แต่ฝ่ายบุคคลไม่ได้แจ้งกลับมา หรือกรณีที่ผู้ประกันตนมีสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมจะฉีด เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้ประสานไปยังสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้ประกันตนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนอย่างแท้จริง หากว่าสถานประกอบการใดยังไม่พร้อมก็จะให้รอไปก่อน เราจะดำเนินการฉีดให้สถานประกอบการที่มีความพร้อมไปก่อน โดยจะเริ่มดำเนินการฉีดอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายนนี้ “ผมขอย้ำว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับผู้ประกันตนไม่ขาด ผมกับท่านรองนายกฯ อนุทิน ทำงานกันอย่างใกล้ชิดและปรึกษาหารือกันมาโดยตลอด เพื่อให้การฉีดวัคซีนซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ สามารถควบคุมการแพร่ระบาด เกิดประโยชน์สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า โดยกระทรวงแรงงานจะเร่งดำเนินการเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับมาเปิดบริการฉีดได้ใหม่ในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42660
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐ-เอกชน ร่วมมือฝ่าวิกฤตโควิด-19 เดินหน้ามาตรการเข้มป้องกัน-ควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน!
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รัฐ-เอกชน ร่วมมือฝ่าวิกฤตโควิด-19 เดินหน้ามาตรการเข้มป้องกัน-ควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน! กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ผนึกกำลังขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงานด้วยหลักการ “Online - Onsite - Upgrade - Vaccine" นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุมผ่านออนไลน์ในระบบZoomถึงมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา2019 (COVID-19)โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมผู้บริหารกระทรวงแรงงานประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายสุริยะกล่าวว่าตามที่ศบค.มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงแรงงานกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงมหาดไทยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานทั้งในระดับประเทศและจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในโรงงานและปกป้องเศรษฐกิจของประเทศโดยจากการหารือมีความเห็นร่วมกันว่าการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานจะทำด้วยหลักการ“Online - Onsite - Upgrade -Vaccine” 1. Online -ให้โรงงานประเมินตนเองพร้อมเร่งประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือโรงงานทั่วประเทศประเมินตนเองผ่านPlatform online : Thai Stop Covid plusและThai Save Thaiให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายน2564โดยกลุ่มเป้าหมายแรกเป็นโรงงานที่มีคนงานตั้งแต่200คนขึ้นไปซึ่งมีจำนวน3,304รายให้แล้วเสร็จภายใน15มิถุนายน2564ซึ่งจากรายงานล่าสุดพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการประเมินตนเองผ่านPlatformดังกล่าวณวันที่10มิถุนายน2564เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน1,722รายหรือคิดเป็นร้อยละ52แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการ ให้ความสำคัญและเริ่มดำเนินการเพิ่มมากขึ้น 2. Onsite –จัดทีมแนะนำและติดตามการประเมินตนเองโดยให้สำนักอุตสาหกรรมจังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่ของกระทรวงแรงงานกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงมหาดไทยและBOIร่วมกันจัดทีมสุ่มตรวจประเมินโรงงานในพื้นที่(On-site)ให้ได้ร้อยละ10-20ของสถานประกอบการเป้าหมายอาทิสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญในพื้นที่สถานประกอบการที่มีการระบาดของโรคโควิด-19สถานประกอบการที่ได้คะแนนการประเมินตนเองในแฟลตฟอร์มThai Stop Covid Plusต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานโดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกำกับและติดตามผลการประเมินตนเองของโรงงานในพื้นที่และรายงานข้อมูลตามแผนการตรวจประเมินเสนอผลการรายงานมายังกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นรายสัปดาห์โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน30มิถุนายน2564 3.Upgrade –จัดมาตรการลดความเสี่ยงเพิ่มศักยภาพด้วยการจัดทำมาตรการฟื้นฟูสถานประกอบการจากโควิด-19หลังจากโรงงานประเมินตนเองผ่านแฟลตฟอร์มThai Stop Covid Plusและการลงพื้นที่On-siteประเมินโรงงานเป้าหมายจะมีมาตรการเพื่อช่วยUpgradeสถานประกอบการให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานรวมทั้งมีมาตรการเสริมแกร่งเพื่อช่วยให้โรงงานสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในสถานการณ์ปัจจุบันโดยจะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยผลักดันการดำเนินงานต่อไป 4. Vaccine-เร่งรัดฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในโรงงานเร่งผลักดันการเป็นศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนในพื้นที่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมและโรงงานขนาดใหญ่ที่มีคนงานมากกว่า2,000คน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการเร่งฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมรวมถึงประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมส่งออกที่จะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาในไตรมาส3และ4โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯยุโรปและจีนซึ่งขยายตัวมากกว่าร้อยละ10จากการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงซึ่งขณะนี้มีความพร้อมเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนฯให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมแล้วรวมจำนวน27แห่งผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบแล้ว6แห่ง(นิคมอุตสาหกรรมสินสาครนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้(ชลบุรี)นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดสวนอุตสาหกรรมบางกะดีและโรงไฟฟ้าแม่เมาะ)และอยู่ระหว่างขอความเห็นชอบ21แห่งทั้งนี้จะขอความอนุเคราะห์จากศบค.พิจารณาให้ความสำคัญต่อการจัดสรรวัคซีนให้กับศูนย์ฉีดวัคซีนฯพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่จะร่วมสุ่มตรวจOnsiteในโรงงานกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น ด้านนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่ากระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19โดยร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางเพื่อกำหนดมาตรการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรและแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงานซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานรวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่แรงงานให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติเพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีการขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็วนอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมของศูนย์กระจายฉีดวัคซีนในสถานประกอบกิจการโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมและการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา33ตลอดจนแผนการตรวจเยี่ยมศูนย์กระจายฉีดวัคซีนในนิคมอุตสาหกรรมสวนอุตสาหกรรมบางกะดีจังหวัดปทุมธานีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้จังหวัดชลบุรีและนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยองอีกด้วย #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน#กระทรวงอุตสาหกรรม#กระทรวงแรงงาน#industryptmoi #มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด19ในสถานประกอบกิจการโรงงาน#OnlineOnsiteUpgradeVaccine
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ประเดิมฉีดวัคซีน (LSDV) เข็มแรก/ล็อตแรก ป้องกันโรคลัมปี - สกิน ช่วยเกษตรกรมหาสารคาม ยืนยันวัคซีนกระจายครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร ประเดิมฉีดวัคซีน (LSDV) เข็มแรก/ล็อตแรก ป้องกันโรคลัมปี - สกิน ช่วยเกษตรกรมหาสารคาม ยืนยันวัคซีนกระจายครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง รมช.ประภัตร ประเดิมฉีดวัคซีน (LSDV) เข็มแรก/ล็อตแรก ป้องกันโรคลัมปี - สกิน (วันที่ 12 มิถุนายน 2564) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เทศบาลตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม Kick off และกำกับดูแลการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคลัมปี - สกิน (Lumpy Skin Vaccine : LSDV) พร้อมมอบสารกำจัดแมลงพาหะ แร่ธาตุก้อน และหญ้าแห้งอัดฟ่อน แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค - กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคดังกล่าว โดยมีนายธญัญวัฒน์ ชาญพินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม มาตรการหลักในการควบคุมโรคของกรมปศุสัตว์ 1.หมั่นสังเกตอาการสัตว์เลี้ยง 2.กางมุ้ง - เก็บกวาด ทำความสะอาดคอกเป็นประจำ 3.กำจัดแมลง แยกสัตว์ป่วยออกจากฝูง เพื่อดูแลเฉพาะ และห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ อย่างเด็ดขาด 4.รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ 5.บริหาร "วัคซีน" ให้ตรงเป้าและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการฉีดวัคซีนลัมปี - สกิน ในสัตว์ชนิดโค - กระบือ พ.ศ.2564 เพื่อให้เป็นแผนเดียวกัน มีความปลอดภัยต่อสัตว์และเป็นไปตามหลักวิชาการ มีการประเมินความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนในพื้นที่ และประเมินประสิทธิภาพความคุมโรคหลังจากฉีดวัคซีน " สำหรับมาตรการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค - กระบือเสียชีวิตจากโรคลัมปี - สกินนั้น มาตรฐานเดิมสำหรับอัตราเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเจ้าของโค - กระบือ ตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัวเป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากเกษตรกร สัตว์อายุ น้อยกว่า 6 เดือน โคจ่ายเงินเยียวยา 6,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 8,000 บาทต่อตัว จ่ายตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัวต่อราย, อายุ 6 เดือนถึง 1 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 12,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 14,000 บาทต่อตัว, อายุมากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 16,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 18,000 บาทต่อตัว, อายุมากกว่า 2 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 20,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 22,000 บาทต่อตัวนั้น ตนกำลังพิจารณานำเรื่องหารือ กับกรมบัญชีกลาง เพื่อขอปรับเรทการจ่ายเงินชดเชยให้เพิ่มมากขึ้นจากมาตรฐานเดิม และจากเดิมจ่ายเงินชดเชย ต่อการตายเพียงไม่เกิน 2 ตัว ก็จะเสนอให้ปรับจ่ายตามจำนวนการเสียชีวิตจริง" รมช.ประภัตร กล่าว รมช.ประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้มีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน (LSDV) มาแล้ว ล็อตแรก 60,000 โด๊ส ล็อตที่สอง 300,000 โด๊ส และขณะนี้มีภาคเอกชน พร้อมสนับสนุนการนำเข้าวัคซีนเพิ่มอีกนับล้านโด๊ส เพื่อให้เพียงพอ และสามารถหยุดการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรมปศุสัตว์ก็พร้อมผลักดันภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีน เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ทั้งนี้ วัคซีนล็อตแรกได้ถูกกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามความเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้ รมช.ประภัตรยังได้แนะนำโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกร ในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำเกษตรกรรม โดยมีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยหากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ในหลวง-พระราชินี พระราชทาน “ถุงพระราชทานกำลังใจ” อาหาร นมและน้ำดื่ม แก่บุคลากรทางการแพทย์ รพ.บุษราคัม
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 ในหลวง-พระราชินี พระราชทาน “ถุงพระราชทานกำลังใจ” อาหาร นมและน้ำดื่ม แก่บุคลากรทางการแพทย์ รพ.บุษราคัม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เชิญถุงพระราชทานกำลังใจ อาหาร นมและน้ำดื่ม ไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบุษราคัม กระทรวงสาธารณสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เชิญถุงพระราชทานกำลังใจ อาหาร นมและน้ำดื่ม ไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบุษราคัม กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 วันนี้ (12 มิถุนายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พลตรี นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผู้อำนวยการกองโครงการในพระองค์และสารนิเทศ กองกิจการวัง กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นผู้แทนพระองค์เชิญถุงพระราชทานกำลังใจ เครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 900 ถุง กล่องขนมพระราชทาน 18 ลัง อาหารกึ่งสำเร็จรูป 80 ลัง น้ำผลไม้ดอยคำ 50 ลัง นมยูเอชทีสวนจิตรลดา 50 ลัง ขนม 160 ลัง คุกกี้สวนจิตรลดา 20 ลัง และน้ำดื่มสวนจิตรลดา 200 แพ็ค ไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลบุษราคัม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีนายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุษราคัม ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบุษราคัมเข้าร่วมพิธี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างใกล้ชิด ทรงรับรู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยและความอ่อนล้า จากการทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า การได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ต่างรู้สึกซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงห่วงใยและพระราชทานความช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทั้งนี้ สำหรับโรงพยาบาลบุษราคัมให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม-11 มิถุนายน 2564 รวม 2,074 ราย รักษาหายกลับบ้านรวม 1,171 ราย ส่งรักษาต่อ 98 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 805 ราย เหลือจำนวนเตียงว่าง 1,356 เตียง หลังจากเปิดระยะ2 เฟส 2 เมื่อ 28 พฤษภาคม 64 ได้มีการแยกกลุ่มผู้ป่วยชาย หญิง ออกเป็นสัดส่วน โดยผู้ป่วยชายจะเข้ารับการดูแลรักษาในเฟส 2 ส่วนผู้ป่วยหญิงจะอยู่เฟส 1 ยกเว้นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ พ่อแม่ลูกที่เป็นครอบครัวเดียวกัน จะจัดให้อยู่เฟสเดียวกัน โดยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา กทม.ได้มีการจัดระบบนำผู้ป่วยเข้าระบบของ กทม.ได้มากขึ้น ทำให้มีการส่งผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลบุษราคัมไม่มาก ขณะเดียวกันในเขตปริมลฑล สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี และอยุธยา ยังพบมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการประสานไปยังผู้ตรวจราชการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ให้ส่งผู้ป่วยจากโรงพยาบาลสนามที่มีจำนวนมาก หรือผู้ป่วยที่ดีขึ้นอยู่ในโซนสีเหลืองจากโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป มาที่รักษาต่อที่โรงพยาบาลบุษราคัม เพื่อลดความแออัด ขณะเดียวกันจะรับผู้ป่วยจาก hospitel และจากสถาบันบำราศนราดูรด้วย ****************************** 12 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งเดินหน้า โครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รมว.แรงงาน สั่งเดินหน้า โครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม รมว.แรงงาน มอบหมาย 2 กรมฯ ใต้สังกัด จูงมือโน้มน้าวสถานประกอบการ เปลี่ยนไปใช้การจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทการจ้างเหมาบริการ แทนการส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป้าหมายช่วยคนพิการมีงานทำ มีรายได้ บรรเทาความเดือดร้อนได้ทันที นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชน และให้ความช่วยเหลือแรงงานกลุ่มเปราะบาง ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่ยังมีทั้งศักยภาพ และความต้องการในการทำงาน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสการมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ อย่างเหมาะสมและยั่งยืน “ตามพ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จ้างคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในอัตรา 114,245 บาทต่อปี ตามจำนวนคนพิการที่ไม่ได้จ้าง ซึ่งกองทุนฯจะนำเงินดังกล่าว ไปส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการต่อไป อย่างไรก็ดีในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย รวมทั้งกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มคนพิการ ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือให้คนพิการมีงานทำ มีรายได้สามารถดูแลตนเองและครอบครัว โดยได้รับการจ้างงานจากสถานประกอบการในรูปแบบอื่น ที่เป็นทางเลือกตามกฎหมายและสามารถดำเนินการได้ จึงมอบหมายกรมการจัดหางาน ให้ประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้สถานประกอบการเลือกใช้วิธีการจ้างเหมาบริการคนพิการปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐในจังหวัดที่คนพิการอาศัยอยู่ ซึ่งเป็น 1 ในกิจกรรมการดำเนินการตามมาตรา 35 ที่จะทำให้คนพิการเกิดรายได้ทันที สามารถมีงานทำและได้รับการจ้างงานโดยตรง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ โดยมีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานร่วมบูรณาการภารกิจ ตามนโยบายท่านรัฐมนตรี เพื่อสำรวจความต้องการจ้างงานของสถานประกอบการ รวมทั้งสร้างการรับรู้แนวทางการดำเนินการตามมาตรา 35 และโน้มน้าวให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันมาใช้การส่งเสริมการจ้างงงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทการจ้างเหมาบริการ โดยจ้างงานคนพิการเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่นที่มีภารกิจสาธารณะประโยชน์ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของท้องถิ่น/เทศบาล เป็นต้น ซึ่งช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกล ได้รับโอกาสมีอาชีพ มีงานทำอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป “สำหรับสถานประกอบการที่สนใจร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม มาตรา 35 สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปชช. ขอบคุณลุงตู่ ภายหลังดูพิธีเปิด EURO 2020 ประเดิมแมตซ์แรกอิตาลี-ตุรกี เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้ผ่อนคลาย มีความสุขมากขึ้น
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 ปชช. ขอบคุณลุงตู่ ภายหลังดูพิธีเปิด EURO 2020 ประเดิมแมตซ์แรกอิตาลี-ตุรกี เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้ผ่อนคลาย มีความสุขมากขึ้น ปชช. ขอบคุณลุงตู่ ภายหลังดูพิธีเปิด EURO 2020 ประเดิมแมตซ์แรกอิตาลี-ตุรกี เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้ผ่อนคลาย มีความสุขมากขึ้น นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ภายหลังการถ่ายทอดสดฟุตบอล EURO 2020 คู่แรกเมื่อคืนที่ผ่านสร้างความสุขให้คนไทยเป็นอย่างมาก ต่างขอบคุณรัฐบาลที่ดำเนินการจัดหาช่องทางให้สามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอล EURO 2020 ทำรู้สึกผ่อนคลายความกังวลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มากขึ้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนชมติดตามการถ่ายทอดสดฟุตบอล EURO 2020 อีก 50 แมตซ์ จนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 ทางช่อง NBT2HD อย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัว ขออย่านัดรวมตัวกันมาดูการถ่ายทอดสดฟุตบอล เพื่อความปลอดภัยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ยังคงปฎิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล จะพยายามมอบความสุขให้กับประชาชนมากขึ้นผ่านรูปแบบต่างๆ ขอเพียงแต่ทุกคนร่วมมือกัน อีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลายในไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนกับการแข่งขันฟุตบอล ทีมชนะไม่ใช่ทีมที่มีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเก่ง แต่เป็นทีมที่มีความสามัคคี มีทีม team work ที่ดี ...............................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นำทีมฝ่าสายฝน สู้ลัมปี - สกิน Kick off เริ่มฉีดวัคซีนมั่นใจสถานการณ์คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นำทีมฝ่าสายฝน สู้ลัมปี - สกิน Kick off เริ่มฉีดวัคซีนมั่นใจสถานการณ์คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว รมช.ประภัตร ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นำทีมฝ่าสายฝน สู้ลัมปี - สกิน (วันที่ 12 มิถุนายน 2564) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตำบลกุดสิมคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ กำกับดูแลการฉีดวัคซีนป้องกันโรคลัมปี - สกิน (Lumpy Skin Vaccine : LSDV) พร้อมมอบสารกำจัดแมลงและเวชภัณฑ์สัตว์แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค - กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคดังกล่าว โดยมีนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม สำหรับมาตรการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรค 5 มาตรการของกรมปศุสัตว์ มีดังนี้ 1.การควบคุมการเคลื่อนย้ายโค - กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคอย่างเคร่งครัด 2.การเฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด 3.การป้องกันและควบคุมแมลงพาหนะนำโรค ให้เกษตรกรป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลงทั้งบนตัวสัตว์ และโดยรอบฟาร์ม 4.การรักษาสัตว์ป่วยตามอาการ 5.การใช้วัคซีนควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ โรคสงบโดยเร็ว ซึ่งการใช้วัคซีนเป็นเพียงมาตรการหนึ่งที่กรมปศุสัตว์ โดยคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนฯ พิจารณากำหนดแผนการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการฉีดวัคซีนลัมปี - สกิน ในสัตว์ชนิดโค - กระบือ พ.ศ.2564 เพื่อให้เป็นแผนเดียวกัน มีความปลอดภัยต่อสัตว์และเป็นไปตามหลักวิชาการ มีการประเมินความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนในพื้นที่ และประเมินประสิทธิภาพความคุมโรคหลังจากฉีดวัคซีน " มาตรการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค - กระบือเสียชีวิตจากโรค ลัมปี - สกินนั้น มาตรฐานเดิมอัตราเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเจ้าของโค - กระบือ ตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัวเป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากเกษตรกร สัตว์อายุ น้อยกว่า 6 เดือน โคจ่ายเงินเยียวยา 6,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 8,000 บาทต่อตัว จ่ายตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัวต่อราย อายุ 6 เดือนถึง 1 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 12,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 14,000 บาทต่อตัว อายุมากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 16,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 18,000 บาทต่อตัว อายุมากกว่า 2 ปี โคจ่ายเงินเยียวยา 20,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยา 22,000 บาทต่อตัวนั้น ตนกำลังพิจารณานำเรื่องหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อขอปรับเรทการจ่ายเงินชดเชยให้เพิ่มมากขึ้นจากมาตรฐานเดิม และจากเดิมจ่ายเงินชดเชยต่อการตายเพียงไม่เกิน 2 ตัว ก็จะเสนอให้ปรับจ่ายตามจำนวนการเสียชีวิตจริง" รมช.ประภัตร กล่าว นอกจากนี้ รมช.ประภัตรยังได้แนะนำโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำเกษตรกรรม โดยมีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยหากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่ ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี - สกิน ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการระบาด 18 อำเภอ มียอดสัตว์ป่วยสะสม 10,026 ตัว เกษตรกรได้รับผลกระทบ 5,599 ราย เพื่อการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้ออกประกาศเรื่อง กำหนดเขตโรคระบาดชนิดลัมปี - สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโคและกระบือ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 และเพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดดังกล่าว จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย 18 อำเภอ 132 ตำบล 7 ชุมชน 1,358 หมู่บ้าน ประกาศ ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ฝ่าดีเปรสชั่นลุยฝนลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่เกิดโรคอุบัติใหม่
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร ฝ่าดีเปรสชั่นลุยฝนลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่เกิดโรคอุบัติใหม่ รมช.ประภัตร ฝ่าดีเปรสชั่นลุยฝนลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่เกิดโรคอุบัติใหม่ "ลัมปี - สกิน" แห่งแรกของประเทศ พร้อม Kick off การฉีดวัคซีน (LSDV) มั่นใจสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว (วันที่ 12 มิถุนายน 2564) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านท่าเสียว ตำบลแสนสุข อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานพิธีเปิด โครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae) พร้อม Kick off ฉีดวัคซีนจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม "การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการแก้ปัญหาโรคระบาดลัมปี - สกิน ให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกรให้ฟันฝ่าปัญหาไปด้วยกัน โดยการฉีดวัคซีนเป็นมาตรการหนึ่งในการระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค โดยจะต้องมีการฉีดให้เป็นไปตามแผนทางทางกรมปศุสัตว์วางไว้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนฯ พิจารณากำหนดแผนการฉีดวัคซีน ที่เป็นไปตามหลักวิชาการ ตามระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการฉีดวัคซีนลัมปี - สกิน ในสัตว์ชนิดโค - กระบือ พ.ศ.2564 เพื่อให้เป็นแผนเดียวกัน มีความปลอดภัยต่อสัตว์ และมีการประเมินความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนในพื้นที่ และประเมินประสิทธิภาพความคุมโรคหลังจากฉีดวัคซีนด้วย" รมช.ประภัตร กล่าว รมช.ประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมโรคเพื่อแก้ปัญหาการระบาดแล้วยังมีมาตรการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรค ที่เป็นมาตรการของกรมปศุสัตว์ ที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วยคือ การควบคุมการเคลื่อนย้ายโค - กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคอย่างเคร่งครัด การเฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด การป้องกันและควบคุมแมลงพาหนะนำโรค ให้เกษตรกรป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลงทั้งบนตัวสัตว์ และโดยรอบฟาร์ม และการรักษาสัตว์ป่วยตามอาการด้วย เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ โรคสงบโดยเร็ว ส่วนมาตรการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค - กระบือเสียชีวิตจากโรคลัมปี - สกินนั้น เบื้องต้นการเยียวยาเกษตรกรจากกรณีโค- กระบือเสียชีวิตด้วยโรคลัมปี- สกินเดิมมีอัตราเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเจ้าของโค-กระบือตามจริงแต่ไม่เกินรายละ2ตัวและจะจ่ายเงินเยียวตามอายุของสัตว์อย่างไรก็ตามตนจะได้นำเข้าหารือกับกรมบัญชีกลางเพื่อเพิ่มวงเงินเยียวยาให้เกษตรกรได้มากขึ้นและจ่ายตามจำนวนสัตว์เสียชีวิตจริง รมช.ประภัตรยังได้แนะนำโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำเกษตรกรรม โดยมีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยหากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่ นอกจากนี้ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ลงพื้นที่หมู่ 19 อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานมอบเวชภัณฑ์รักษาสัตว์ป่วย อาหารครบส่วน (TMR) บำรุงสุขภาพสัตว์แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค - กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42670
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย 1) หัวหน้างานการเงิน อู่สวนสยาม เขตการเดินรถที่ 2 2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 519 เขตการเดินรถที่ 2 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 519 เขตการเดินรถที่ 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ย้ำวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพ องค์การอนามัยโลกรับรอง
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 “อนุทิน” ย้ำวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพ องค์การอนามัยโลกรับรอง รองนายกรัฐนมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขย้ำวัคซีนโควิด 19 ทั้ง 2 ชนิดที่ประชาชนได้รับมีประสิทธิภาพ องค์การอนามัยโลกให้การรับรอง ขอให้ประชาชนมั่นใจ วันนี้ (12 มิถุนายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์อรรฆศิลป์อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง และผู้อำนวยการศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ ว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สามารถให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนได้วันละ 11,000 ราย ตั้งแต่วันที่24 พฤษภาคม 2564 จนถึงขณะนี้ ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว 209,234 ราย โดยวัคซีนโควิด19 ทั้งของซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ที่นำมาฉีดให้ประชาชน เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความรุนแรง และการเสียชีวิต องค์การอนามัยโลกให้การรับรอง และในการฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดขั้นตอนมาตรฐาน ซึ่งต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการหลังการฉีด 30 นาที มีแพทย์และพยาบาลให้การดูแลเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายวัคซีนตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานและจังหวัด ตามรอบการจัดส่ง ส่วนเรื่องการบริหารการฉีดเป็นเรื่องของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้การฉีดเป็นไปอย่างต่อเนื่องสำหรับการปูพรมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรครูนั้น ซึ่งเป็นการร้องขอของกระทรวงศึกษาธิการ โดย กทม.และปริมลฑล เริ่มฉีดมาตั้งวันที่ 8 มิถุนายน 2564 จะเร่งฉีดให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ จำนวน 45,000 คนเพื่อให้เปิดเรียนได้ตามกำหนด ในต่างจังหวัดสามารถไปรับการฉีดได้ตามระบบของการขึ้นทะเบียนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาหลังได้รับวัคซีนอาจทำให้มีอาการปวดเมื่อย มีไข้ บางรายอาจท้องเสีย อ่อนเพลีย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พบได้หากอาการไม่ดีขึ้นขอให้ไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับทุกคน จึงขอให้ประชาชนคลายความวิตกกังวล นายแพทย์สมศักดิ์อรรฆศิลป์อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อมีความพร้อมในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับกลุ่มขนส่งสาธารณะ กระทรวงคมนาคม ที่ดำเนินการฉีดวัคซีนในช่วงทดสอบระบบ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งกลุ่มองค์กรขอให้ประสานผ่านกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่มีการรับwalk inเพื่อลดปัญหาการรอคิวและลดความแออัดซึ่งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-20.00 น. ทั้งนี้ ในช่วงนี้จะมีการเร่งให้บริการกับกลุ่มครูเนื่องจากจะมีการเปิดเรียนหลัง 14 มิถุนายน 2564 ******************************12 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฯ ประกาศเพิ่มบริการ ขบวนรถเชิงสังคมจำนวน 18 ขบวนรองรับช่วงเปิดเทอม เริ่ม 14 มิถุนายน นี้ เป็นต้นไป
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 การรถไฟฯ ประกาศเพิ่มบริการ ขบวนรถเชิงสังคมจำนวน 18 ขบวนรองรับช่วงเปิดเทอม เริ่ม 14 มิถุนายน นี้ เป็นต้นไป การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ประกาศเปิดเดินขบวนรถชานเมืองและขบวนรถท้องถิ่นเพิ่มเติมอีก 18 ขบวน ในเส้นทางสายสายเหนือ 4 ขบวน สายตะวันออกเฉียงเหนือ 8 ขบวน และสายใต้ 6 ขบวน เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่พี่น้องประชาชน ตลอดจนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งมีสถานบันการศึกษาเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนในหลายพื้นที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม จึงได้ประกาศเปิดเดินขบวนรถชานเมืองและขบวนรถท้องถิ่นเพิ่มเติมอีก 18 ขบวน ในเส้นทางสายสายเหนือ 4 ขบวน สายตะวันออกเฉียงเหนือ 8 ขบวน และสายใต้ 6 ขบวน เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยมีขบวนรถที่ให้บริการในเส้นทางต่าง ๆ ดังนี้ 1. สายเหนือ 4 ขบวน - ขบวนรถธรรมดาที่ 207/208 กรุงเทพ - นครสวรรค์ - กรุงเทพ (เปลี่ยนเป็น อยุธยา - นครสวรรค์ - อยุธยา) - ขบวนรถธรรมดาที่ 209/210 กรุงเทพ - บ้านตาคลี - กรุงเทพ 2. สายตะวันออกเฉียงเหนือ 8 ขบวน - ขบวนรถชานเมืองที่ 339/340 กรุงเทพ - ชุมทางแก่งคอย - กรุงเทพ - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 419 นครราชสีมา - อุบลราชธานี - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 420 อุบลราชสีมา - ลำชี - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 423 ลำชี - สำโรงทาบ - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 424 สำโรงทาบ - นครราชสีมา - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 425/422 ลำชี - อุบลราชธานี - ลำชี 3. สายใต้ 6 ขบวน - ขบวนรถธรรมดาที่ 251/252 ธนบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ - ธนบุรี - ขบวนรถธรรมดาที่ 259/260 ธนบุรี - น้ำตก - ธนบุรี - ขบวนรถธรรมดาที่ 485/486 ชุมทางหนองปลาดุก - น้ำตก - ชุมทางหนองปลาดุก (เปลี่ยนเป็น กาญจนบุรี - น้ำตก - กาญจนบุรี) ทั้งนี้ รฟท. ยังดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในการให้บริการแก่ผู้โดยสารทั้งในขบวนรถโดยสาร สถานีรถไฟทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตลอดการเดินทาง สำหรับผู้โดยสารที่ประสงค์เดินทาง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๔
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันเสาร์ที่๑๒มิถุนายน๒๕๖๔เวลา๐๙.๐๐น.ณห้องประชุม๑ชั้น๒กรมราชทัณฑ์ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม๕แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์Covid-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมครั้งที่๒๕/๒๕๖๔โดยมีนายนิยมเติมศรีสุขรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนายวัลลภนาคบัวรองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯนายอายุตม์สินธพพันธุ์อธิบดีกรมราชทัณฑ์นางสาวศิริประกายวรปรีชารองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล(Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมพบว่ากรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนวันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ซึ่งมีสถานพินิจฯและศูนย์ฝึกและอบรมฯที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค(สถานพินิจฯสีขาว)เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน๓๒แห่งสำหรับเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดมีจำนวน๑๒๙แห่งเท่าเดิมขณะที่ยังพบการแพร่ระบาด๑๒แห่งคงเดิมและในวันนี้มียอดผู้รักษาหายเพิ่ม๑,๗๕๙รายทำให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์๗,๘๗๕รายโดยมีเรือนจำ/ทัณฑสถานบางแห่งที่เคยเป็นพื้นที่แพร่ระบาดเดิมมีผู้ติดเชื้อที่ยังคงรักษาอยู่ต่ำกว่า๑๐๐รายต่อเนื่องกันหลายวันแล้วซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยการดำเนินการต่อจากนี้นอกจากจะมีการวางแผนป้องกันการนำเชื้อก่อนเข้าเรือนจำ/ทัณฑสถานอย่างเป็นระบบรวมถึงกระบวนการรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทั้งในกลุ่มสีเขียวสีเหลืองและสีแดงให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องทั่วถึงและรวดเร็วเพื่อลดความรุนแรงของอาการและลดอัตราการเสียชีวิตแล้วยังต้องดำเนินการวางแผนเพื่อคืนพื้นที่เรือนจำสีแดงซึ่งมีการแพร่ระบาดเดิมที่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้แล้วเพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดเชื้อจนสามารถรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ได้ตามปกติที่ต้องมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ด้านการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขังทางกรมราชทัณฑ์ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขมาแล้วกว่า๔๐,๐๐๐โดสและยังอยู่ระหว่างการจัดสรรเพิ่มเติมจนครอบคลุมทั้งหมดได้ดำเนินการจัดส่งไปยังเรือนจำ/ทัณฑสถานเป้าหมายในระยะแรกไปแล้วจำนวน๓๗แห่งโดยเรือนจำ/ทัณฑสถานส่วนใหญ่ได้ดำเนินการฉีดจนแล้วเสร็จแต่ยังมีเรือนจำ/ทัณฑสถานบางแห่งที่ได้รับวัคซีนไปแล้วยังอยู่ระหว่างการดำเนินการซึ่งได้เร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ 10 มาตรการรับมือช่วงฤดูฝน ป้องกันก่อนเกิดภัย รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการน้ำต่อเนื่องจนถึงฤดูแล้งหน้า
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำ 10 มาตรการรับมือช่วงฤดูฝน ป้องกันก่อนเกิดภัย รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการน้ำต่อเนื่องจนถึงฤดูแล้งหน้า นายกรัฐมนตรีย้ำ 10 มาตรการรับมือช่วงฤดูฝน ป้องกันก่อนเกิดภัย รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการน้ำต่อเนื่องจนถึงฤดูแล้งหน้า นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอกประยุทธื จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งบูรณาการหน่วยงานทั้งฝ่ายปกครองและทหาร เตรียมความพร้อมรับสถานกาณ์ช่วงฤดูฝน รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการน้ำต่อเนื่องจนถึงฤดูแล้งหน้า รวมทั้งให้สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำทั้งเพื่อการอุปโภค-บริโภค การเกษตร อุตสาหกรรมและการรักษาสภาพแวดล้อมด้วย สำหรับการวางแผนรับมือสถานการณ์ฤดูฝน ในเชิงป้องกันก่อนเกิดภัย ประกอบด้วย 10 มาตรการ ดังนี้ 1. คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนทิ้งช่วง โดยจะมีการประเมินพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เพื่อเตรียมแผนในเชิงป้องกันล่วงหน้า 2. การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก รวมทั้งการจัดทำแผนการชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการผันน้ำเข้าทุ่ง 3. ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่-กลางและเขื่อนระบายน้ำ โดยติดตามสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ – กลาง เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการบริหารจัดการน้ำรวมทั้ง จัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำแหล่งน้ำขนาดใหญ่ – กลาง ในช่วงภาวะวิกฤติ 4. ซ่อมแซมปรับปรุงอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ำสถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน โดยตรวจสอบสภาพความมั่นคง และซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำ รวมทั้งระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง 5. ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ สำรวจ และดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เกิดจากการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับปรุงคูคลอง เพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำ และระบายน้ำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว 6. ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา กำจัดวัชพืชในแม่น้ำ และคูคลอง ทั่วประเทศด้วยการบูรณาการเครื่องจักรเครื่องมือในการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชของทุกหน่วยงาน 7. เตรียมพร้อม/วางแผนเครื่องจักรเครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ เตรียมพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและเข้าช่วยเหลือได้ทันสถานการณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง 8. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำ วางแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 9. การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ 10 ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในช่วงปี 2561 ถึงปัจจุบัน ว่ารัฐบาลขับเคลื่อนแผนงานโครงการด้านน้ำตามแผนแม่บทน้ำ 20 ปีไปแล้ว 125,162 โครงการ วงเงิน 314,182 ล้านบาท มีผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญ เช่น การเพิ่มน้ำต้นทุน ระบบส่งน้ำ การพัฒนาและขยายเขตประปาหมู่บ้าน 3,214 แห่ง พัฒนาน้ำบาดาลเกษตรและธนาคารน้ำใต้ดิน ได้น้ำ 100 ล้าน ลบ.ม. ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 135,170 ไร่ ซึ่งมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์แล้ว 2,274,737 ครัวเรือน รวมทั้งยังจะมีการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่และโครงการสำคัญรวม 526โครงการภายในปี 2564- 2566 นี้ด้วย ............................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 วันแรกในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 เปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 วันแรกในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จะเปิดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนวันแรกในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน2564 เป็นต้นไป โดยประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิภาครัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จะเปิดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนวันแรกในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน2564 เป็นต้นไป โดยประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิภาครัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ (นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ) ยกเว้นสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 1,500 บาทต่อคน ในแต่ละรอบรอบแรกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และรอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จนถึงวันที่31 ธันวาคม 2564 หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ ประชาชนสัญชาติไทยที่มีบัตรประจำตัวประชาชน อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือไม่ใช้สิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน2564 เป็นต้นไป เวลา 06.00 น. -22.00 น. จนกว่าจะครบจำนวนไม่เกิน 31 ล้านคน ผู้ที่เคยรับสิทธิโครงการของรัฐ อาทิ ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น หรือที่เคยใช้บริการกระเป๋าตังสุขภาพ หรือ วอลเล็ต สบม. สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นการยืนยันเข้าร่วมโครงการ หรือจะลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com ก็ได้สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการดังกล่าวข้างต้นสามารถลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ SMS แจ้งสิทธิภายใน 3 วันจากนั้น ขอให้ท่านยืนยันตัวตนผ่านช่องทาง ได้แก่ (1) ผู้ที่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนกับธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน (ธนาคารกรุงไทยฯ) แล้ว สามารถสแกนใบหน้าเพื่อใช้งานแอปพลิเคชันได้เลย หรือ (2) ผู้ที่มีแอปพลิเคชัน KrungthaiNextสามารถยืนยันตัวตนผ่าน KrungthaiNext ได้หรือ (3) ผู้ที่ไม่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนกับธนาคารกรุงไทยฯ ให้นำบัตรประจำตัวประชาชนไปยืนยันตัวตนที่สาขาหรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทยฯและสแกนใบหน้าอีกครั้งหนึ่งก็จะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ในเวลา 06.00 น. – 23.00 น. กรณีผู้รับสิทธิคนละครึ่งระยะที่ 3 แล้ว หากต้องการจะเปลี่ยนไปรับสิทธิโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” (จะเปิดให้ลงทะเบียนสำหรับประชาชนในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 06.00 น. -22.00 น.) จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 28 มิถุนายน2564 เวลา 22.00 น. ซึ่งถือเป็นการสละสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่ได้รับสิทธิทันที สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป(ผู้ประกอบการร้านค้าทั่วไป ผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ที่มีสัญชาติไทยไม่เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์)ผู้ประกอบการของกองทุนหมูบ้านหรือชุมชนเมืองหรือวิสาหกิจชุมชน ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และผู้ให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป เวลา 06.00 น. – 22.00 น. นอกจากนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าทั่วไปและผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ในวันและเวลาเดียวกัน โดยผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com ตามที่ต้องการเข้าร่วม หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขาหรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยฯ โดยธนาคารกรุงไทยฯ จะช่วยติดตั้งและแนะนำการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”เพื่อรับชำระเงินจากการขายสินค้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3503 3516 3506 3502 3536 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่โรงพยาบาลกลาง วันที่ 10 มิถุนายน 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 800 กล่อง ให้แก่ โรงพยาบาลกลาง ณ อาคารอนุสรณ์ 100 ปี เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ได้แก่ -ร้านสีส้ม (สถานีบางหว้า) อยู่ริมถนนเพชรเกษม ใกล้ทางเข้าโครงการศุภาลัย ปาร์ค เพชรเกษม ประมาณ 2 ช่วงตึก พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/mT581FZupucFUNwb9 -ร้านเจ๊นิด (สถานีบางหว้า) อยู่ใกล้บริเวณทางออก 2 สถานีบางหว้า พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/EjYDxAgPdTRuXCcH7 -ร้านหลีเฮงเย็นตาโฟ 70 ปี (สถานีวัดมังกร) เสาชิงช้า อยู่ตรงข้ามกับ โรงพยาบาลกลาง ฝั่งถนนเสือป่า พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/sZekEE1rJUTFtQng7 -ร้านขาหมูตีสาม (สถานีวัดมังกร) อยู่ริมถนนเจริญกรุง ตรงข้ามกับจุดตัดถนนผดุงด้าว พิกัดร้าน https://g.page/khamooteesam?share -ร้านบุรินทร์กินข้าว (สถานีสนามไชย) อยู่บริเวณ ถ. บ้านหม้อ ใกล้กับร้านบีเซฟ มินิมาร์ท พิกัดร้าน https://g.page/BurinKinKao?share ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42642
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. มุ่งมั่นขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็ก สอดรับเจตนาวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก 12 มิถุนายน 2564
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 กสร. มุ่งมั่นขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็ก สอดรับเจตนาวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก 12 มิถุนายน 2564 กสร.สร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาการใช้แรงงานเด็ก เนื่องในวันต่อต้านแรงงานเด็กโลก พร้อมทั้งดำเนินมาตรการในการคุ้มครองแรงงานเด็ก เพื่อขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับเด็กซึ่งเป็นแรงงานสำคัญในอนาคตของสังคม นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีและโฆษกกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่ 12 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและขจัดการใช้แรงงานเด็ก โดยเฉพาะการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่ การบังคับใช้แรงงาน การค้าประเวณีหรือผลิตสื่อลามก การใช้แรงงานเด็กในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายโดยเฉพาะยาเสพติด และการให้เด็กทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จิตใจ ความปลอดภัย หรือศีลธรรม จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในฐานะหน่วยงานหลักในการคุ้มครองแรงงาน และเป็นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้ดำเนินมาตรการเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย โดยดำเนินการตามมาตรการในการคุ้มครองแรงงานเด็กอย่างเคร่งครัด ได้แก่ กำหนดเป้าหมายให้พนักงานตรวจแรงงานทั่วประเทศเข้าตรวจแรงงานในสถานประกอบกิจการต่างๆ ที่มีการใช้แรงงานเด็กอายุ 15 – 17 ปี อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย การรับคำร้องกรณีการละเมิดสิทธิด้านแรงงาน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยการดำเนินคดีทุกคดีหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็ก การจัดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม กับ 13 องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกิจการดังกล่าว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทย ที่จะดูแลคุณภาพชีวิตแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การส่งเสริมความรู้กฎหมายแรงงาน และสิทธิด้านแรงงานให้แก่เด็กในสถานศึกษาผ่านโครงการเตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และมาตรการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิเด็กด้านแรงงาน และความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก เช่น การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และรณรงค์การใช้แรงงานเด็ก โฆษก กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการดูแลให้แรงงานเด็กให้ได้รับการคุ้มครองและเป็นธรรมจากการจ้างงานแล้ว กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยังเห็นถึงความสำคัญของเด็กซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ โดยในประเด็นนี้กรมสนับสนุนให้แรงงานสตรี ซึ่งอีกหน้าที่หนึ่งคือเป็นมารดาผู้ดูแลบุตร จะต้องได้รับการคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในเรื่องการลาคลอด ที่กำหนดให้มารดาสามารถลาเพื่อทำการเลี้ยงดูบุตรได้เป็นเวลา 98 วัน นอกจากนี้กรมได้ส่งเสริมให้มีการจัดมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ โดยให้สถานประกอบกิจการจัดพื้นที่เพื่อการเลี้ยงดูเด็กในสถานประกอบกิจการ ทุกจังหวัดทั่วประเทศอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ด้วยระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) ในวันศุกร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ด้วยระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยมีนายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการกอง/สำนัก สังกัดสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของปลัดกระทรวงยุติธรรม จากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รูปแบบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี แบบอิเล็กทรอนิกส์ สถิติการรับ-ส่ง หนังสือราชการผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (E-document) MailGoThai การปฏิบัติงาน ณ พี่พักอาศัย (Work From Home) ในภาพรวม การให้บริการระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ และการจัดหาโน๊ตบุ๊กเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน รวมทั้ง การจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับเจ้าหน้าที่ ผลการดำเนินงานเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และการให้บริการประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานกองทุนยุติธรรม เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงท่าเรือโดยสารเจ้าพระยา พร้อมเปิดใช้ 29 สถานีเรือเต็มรูปแบบ ภายในปี 66”
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงท่าเรือโดยสารเจ้าพระยา พร้อมเปิดใช้ 29 สถานีเรือเต็มรูปแบบ ภายในปี 66” ... วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เวลา 13.30 น. ณ กระทรวงคมนาคม ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบแอพพลิเคชันซูมร่วมกับท่านอธิบดีกรมเจ้าท่าและคณะผู้บริหารกรมเจ้าท่า เพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าเรือท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการพัฒนาเพื่อยกระดับท่าเรือให้เป็นสถานีเรือ(Smart Pier)เชื่อมโยงระบบขนส่งอื่น โดยท่านอธิบดีกรมเจ้าท่าได้รายงานสรุปความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงท่าเรือต่าง ๆ ดังนี้ 1. ท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 3 ท่า ท่ากรมเจ้าท่า, ท่าสะพานพุทธ, ท่าน้ำนนทบุรี อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 8 ท่า •ท่าช้าง (ผลงานร้อยละ 70) แล้วเสร็จภายใน 31 ก.ค. 64 •ท่าเตียน (ผลงานร้อยละ 60) แล้วเสร็จภายใน 31 ก.ค. 64 •ท่าราชินี (ผลงานร้อยละ 60) แล้วเสร็จภายใน 31 ก.ค. 64 •ท่าสาทร (ผลงานร้อยละ 40) แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค. 64 •ท่าพระราม7 (ผู้รับจ้างเตรียมดำเนินการปรับปรุง) แล้วเสร็จภายใน 30 พ.ย. 64 •ท่าพายัพ (ผู้รับจ้างเตรียมดำเนินการปรับปรุง) แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค. 64 •ท่าเกียกกาย (ผลงานร้อยละ 0.5) แล้วเสร็จภายใน 31 พ.ค. 65 •ท่าบางโพ (ผลงานร้อยละ 0.1) แล้วเสร็จภายใน 31 พ.ค. 65 แผนดำเนินการปรับปรุงในปี 2565 แล้วเสร็จในปี 2566 จำนวน 8 ท่า ได้แก่ ท่าราชวงศ์, ท่าสี่พระยา, ท่าพระปิ่นเกล้า, ท่าพระราม5, ท่าเขียวไข่กา, ท่าสะพานกรุงธน, ท่าพรานนก, ท่าเทเวศร์(ท่าข้ามฟาก) พร้อมทั้งดำเนินการติดตั้งระบบ Sofe ware และระบบการให้บริการบนท่าเรือทั้ง 19 ท่า ให้เป็น Smart Pier 2. ท่าเรือท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลที่อยู่ระหว่างดำเนินการ •ท่าเรือปากเมง จ.ตรัง (ผลงานร้อยละ 73) จะแล้วเสร็จภายใน พ.ค. 64 พร้อมเปิดให้บริการ ส.ค. 64 •ท่าเรือศาลด่าน จ.กระบี่ (ผลงานร้อยละ 70) จะแล้วเสร็จภายใน พ.ค. 64 พร้อมเปิดให้บริการ ส.ค. 64 •ท่าเรือท้องศาลา และท่าเรือหาดริ้น อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี (ผลงานร้อยละ 8.6) กำหนดแล้วเสร็จ 5 ธ.ค. 65 •ท่าเรือปากคลองจิหลาด จ.กระบี่ (ผลงานร้อยละ 10.12) กำหนดแล้วเสร็จ 19 ม.ค. 65 •ท่าเรือเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี (ขั้นตอนการอนุมัติจ้าง) คาดว่าจะดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค. 66 นอกจากนี้ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้เน้นย้ำให้ข้าราชการกรมเจ้าท่าโดยเฉพาะผู้ที่ต้องปฎิบัติงานดูแลพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการเรือโดยสาร ผู้ให้บริการ ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 ให้ครบทุกคน เพื่อเป็นการป้องกันทั้งในส่วนของผู้ปฏิบัติงานเองและผู้โดยสาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42616
รัฐบาลไทย-การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ปรับอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตามสภาวะตลาด
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ปรับอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตามสภาวะตลาด ... เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ปรับอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า และการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ • อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประเภทตู้สินค้า ตู้มีสินค้า ขนาดตู้ 20 ฟุต 38 บาท 40 ฟุต 76 บาท มากกว่า 40 ฟุต 86 บาท ตู้สินค้าเปล่า ขนาดตู้ 20 ฟุต 23 บาท 40 ฟุต 46 บาท มากกว่า 40 ฟุต 52 บาท • อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ท่าเรือกรุงเทพ เรือลากจูงตั้งแต่ 2,000 แรงม้า ขึ้นไป 1,202 บาท / ชั่วโมง ท่าเรือแหลมฉบัง 1,435 บาท / ชั่วโมง (กรณีเศษของชั่วโมงแต่ไม่ถึง 30 นาที จะคิด 30 นาที และหากเกิน 30 นาที แต่ไม่ถึง 1 ชั่วโมง คิดเป็น 1 ชั่วโมง) ทั้งนี้ กทท. จะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียม ทุกวันที่ 1 ของเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และตุลาคมของทุกปี ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี พ.ศ. 2547 และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ 5 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่แผนกวิเคราะห์ต้นทุน กองบัญชีงบประมาณ ฝ่ายการเงินและบัญชี โทร. 0-2269-5620
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบ Video Conference กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 รมว.วธ ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบ Video Conference กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบ Video Conference กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกล (Video Conference) กับนายเหงียน วัน หุ่ง (H.E. Mr. Nguyen Van Hung) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมี นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ผู้แทนเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอุรุษยา อินทรสุขศรี ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และบทเพลงให้กำลังใจ สนับสนุนภารกิจสู้ภัยโควิด 19
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 สาธิต รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และบทเพลงให้กำลังใจ สนับสนุนภารกิจสู้ภัยโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุด PPE หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ ยาฟ้าทะลายโจร สนับสนุนภารกิจดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมมอบกำลังใจผ่านบทเพลง “พลัง” จากศิลปินค่ายข้าวสารเอ็นเตอร์เทนเมนท์ สู่บุคลากรทางการแพทย์ วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานรับมอบชุดPPE 250 ชุด หน้ากากอนามัย 500 กล่อง แอลกออฮอล์ 200 แกลลอน และยาฟ้าทะลายโจร เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19ของบุคลากรทางการแพทย์ จากผู้บริหารและตัวแทนศิลปินจากค่ายข้าวสารเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งภายหลังการรับมอบได้ร่วมร้องเพลงให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า ผ่านบทเพลง “พลัง” ดร.สาธิตกล่าวว่า ในนามกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและศิลปินที่มามอบสิ่งของสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า กระทรวงสาธารณสุขมีระบบบริหารจัดการเตรียมจัดส่งไปยังผู้ปฏิบัติงานซึ่งทำงานหนักอยู่ตอนนี้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การให้กำลังใจผ่านเสียงเพลง ถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นการฟังเสียงเพลงที่ให้ความสำคัญกับคนทำงาน โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต เพราะบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งปฏิบัติงานมาหลายเดือน อาจมีภาวะเครียดสะสม อ่อนล้า หมดไฟ อย่างน้อยที่สุดการให้กำลังใจคือสิ่งที่สามารถมอบให้กันได้ ขอให้บทเพลงนี้ ได้เป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนได้สู้ต่อไป ฝ่าฟันจนเอาชนะสถานการณ์นี้ร่วมกันให้ได้ในเร็ววัน “น้ำใจที่หลั่งไหลกันมามากมาย เราจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและผู้ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในแต่ละพื้นที่โดยเร็วที่สุด สำหรับประชาชนสามารถส่งกำลังใจได้หลายช่องทางทั้งสื่อออนไลน์ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องมีต้นทุนหรือสามารถส่งให้แก่โรงพยาบาลสนามและสถานพยาบาลใกล้บ้านได้” ดร.สาธิตกล่าว ****************************** 11 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ชัยวุฒิ" จับตาพนันออนไลน์ช่วงฟุตบอลยูโร-โคปาฯ ลั่นเอาจริงจับทุกเว็บ ฮึ่ม “พริตตี้-คอลัมนิสต์-เนตไอดอล” โฆษณาแอบแฝงโดนด้วย
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 "ชัยวุฒิ" จับตาพนันออนไลน์ช่วงฟุตบอลยูโร-โคปาฯ ลั่นเอาจริงจับทุกเว็บ ฮึ่ม “พริตตี้-คอลัมนิสต์-เนตไอดอล” โฆษณาแอบแฝงโดนด้วย "ชัยวุฒิ" จับตาพนันออนไลน์ช่วงฟุตบอลยูโร-โคปาฯ ลั่นเอาจริงจับทุกเว็บ ฮึ่ม “พริตตี้-คอลัมนิสต์-เนตไอดอล” โฆษณาแอบแฝงโดนด้วย นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดเผยว่าตนได้ประสานงานศูนย์ปราบการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปอส.ตร.)เพื่อดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ทุกประเภทโดยเฉพาะการเล่นพนันฟุตบอลออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมและพบว่ามีการเปิดเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนเข้าไปเล่นการพนันแพร่ระบาดอย่างหนักที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอสและศปอส.ตร.ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดเป็นจำนวนมากตลอดจนการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ไปยังโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายในการร่วมมือกันเฝ้าระวังและรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์พนันต่างๆ “ผมกำชับให้ทุกหน่วยงานร่วมกันปราบปรามการพนันทุกรูปแบบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นอย่างต่อเนื่องเพราะการพนันถือเป็นปัญหาระดับชาติและส่งผลไปสู่ปัญหาในครอบครัวเนื่องจากมีการมอมเมาประชาชนทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนสร้างความเสียหายมากมายทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม”นายชัยวุฒิกล่าว รมว.ดีอีเอสกล่าวด้วยว่าจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ายอดการเล่นพนันทั้งออฟไลน์และออนไลน์จะสูงมากขึ้นในช่วงที่มีการแข่งขันทัวนาเมนทร์สำคัญดังนั้นช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติยุโรปหรือยูโร2020ที่จะมีขึ้นในวันที่12มิ.ย.นี้รวมถึงรายการโกปาอาเมริกา2021หรือฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ที่จะเริ่มในช่วงไล่เลี่ยกันตนจึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบและค้นหาเว็บไซต์ที่กระทำผิดทั้งในลักษณะการพนันหรือการแอบแฝงโดยการทายผลการแข่งขันฟุตบอลซึ่งหากพบการกระทำผิดกฎหมายจะดำเนินปิดทุกเว็บไซต์ “ผมไม่ได้ขู่ผมทำจริงเพราะมีสถิติบ่งบอกว่าในช่วงที่มีมหกรรมการกีฬาใหญ่ๆจะมีพวกที่อาศัยจังหวะมอมเมาประชาชนด้วยการจัดให้มีการทายผลการแข่งขันเรื่องนี้ผมจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพราะต้องการให้ใช้โลกโซเชียลสังคมออนไลน์กันอย่างสร้างสรรค์และมีประโยชน์ให้มากที่สุด"นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวอีกว่านอกจากนี้ขอเตือนไปยังผู้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียโฆษณาให้ประชาชนเข้าไปเล่นการพนันไม่ว่าจะเป็นพริตตี้คอลัมนิสต์หรืออินฟูลเรนเซอร์ทั้งหลายหากพบว่าเข้าข่ายเชิญชวนให้เล่นการพนันถือว่ามีความผิดด้วยเช่นกันจึงขอให้งดการกระทำที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อในทุกประเภททั้งนี้ผู้ที่มีเบาะแสพนันออนไลน์สามารถแจ้งได้ที่เพจกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมhttps://www.facebook.com/prmdes.official/และสายด่วนกระทรวงดีอีเอส1212ตลอด24ชมโดยข้อมูลจะถูกปกปิดเป็นความลับ. ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42656
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คิกออฟ “จับคู่กู้เงิน” ต่อลมหายใจ ร้านอาหารฝ่าโควิด
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 คิกออฟ “จับคู่กู้เงิน” ต่อลมหายใจ ร้านอาหารฝ่าโควิด .... การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้บางรายต้องเผชิญกับปัญหารายได้ลดลง และขาดสภาพคล่อง . ดังนั้น เพื่อประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ รัฐบาลจึงได้เปิดตัวโครงการ "จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับร้านอาหาร" เปิดทางให้ผู้ประกอบการทั้งที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และในฐานะบุคคลธรรมดา กว่า 120,000 ราย ได้เข้าถึงแหล่งเงินเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน ผ่อนปรนภาระหนี้สิน ถือเป็นการต่อลมหายใจให้ผู้ประกอบการ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่ต้องปลดลูกจ้าง . ซึ่งได้ผนึกความร่วมมือกับสถาบันการเงิน 5 แห่ง ได้แก่ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ,ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank) ,ธนาคารกรุงไทย ,ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน . มาทำหน้าที่ปล่อยกู้เป็นการเฉพาะแบบผ่อนปรนเงื่อนไขให้มากที่สุด อาทิ ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ, ปลอดหลักทรัพย์ค้ำประกันในบางกรณี เพื่อให้โครงการนี้สามารถช่วยร้านอาหารได้จริง ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการและเจรจากับสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่งได้ทั้งในส่วนกลางส่วนภูมิภาค ตั้งแต่วันนี้ - 20 มิ.ย. 64 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมแผน Phuket sandbox รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 เตรียมแผน Phuket sandbox รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ .... ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใน จ.ภูเก็ต มีแนวโน้มดีขึ้นและสามารถควบคุมได้ มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกกว่า 4 แสนคน หรือร้อยละ 60 ของประชากรทั้งจังหวัด และประชาชนบางส่วนก็เริ่มทยอยฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้ว . เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ล่าสุด รัฐบาลเตรียมแผนเปิดประเทศไทยอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ภายใต้โครงการ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) . โดย จ.ภูเก็ต จะเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เป็นพื้นที่นำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีใบรับรองการฉีดวัคซีนที่ฉีดครบโดสอย่างน้อย 14 วัน ก่อนการเดินทาง และมีใบอนุญาตเข้าประเทศอย่างถูกต้อง โดยขณะที่อยู่ในพื้นที่จะต้องตรวจหาเชื้อโควิดอีกครั้ง . สำหรับแผนการตอนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เบื้องต้น จะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ 1.Pre - arrival 2.Arrival 3.Stay และ 4.Departure . ระยะต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำแผนดังกล่าว ไปปรับปรุงรายละเอียดให้เกิดความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก่อน จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศบค. ชุดใหญ่ และนำเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติต่อไป . ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้ฟื้นคืนกลับมาโดยเร็ว #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย เร่งยกระดับการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย เร่งยกระดับการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย เร่งยกระดับการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายรัคมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียที่ได้มาดำรงตำแหน่งในไทย โดยอินโดนีเซียเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมาอย่างต่อเนื่อง มีความร่วมมือที่แน่นแฟ้นทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ หวังว่าความรู้และประสบการณ์ของเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และยกระดับความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังฝากความปรารถนาดีไปยังประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และภริยา พร้อมขอบคุณรัฐบาลอินโดนีเซียที่ให้การสนับสนุนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ในการอำนวยความสะดวกในการนำคนไทยกลับประเทศไทยตลอดช่วงสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียกล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาดำรงตำแหน่งในไทย พร้อมยืนยันจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อินโดนีเซีย ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งในระดับทวิภาคีและอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีและกรอบความร่วมมือในอาเซียนและพหุภาคีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความร่วมมือด้านการประมง ความมั่นคง การศึกษา รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมและดนตรี ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยต่างเห็นพ้องว่า ทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่จะต่อยอดจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ และขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนให้เพิ่มขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ผ่านการส่งเสริมการค้า และหาแนวทางลดอุปสรรคทางการค้าในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ สินค้าเกษตร และประมง โดยนายกรัฐมนตรียินดีสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในอินโดนีเซีย และขอให้อินโดนีเซียช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทยในอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยเชิญชวนให้มีการลงทุนในไทย เพิ่มเติม ซึ่งเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียกล่าวว่ายินดีสนับสนุนการลงทุนในไทย และมีภาคเอกชนของอินโดนีเซียหลายแห่งสนใจ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียยังหารือถึงความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยหวังว่าเมื่อสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสองฝ่ายจะขับเคลื่อนกิจกรรมและความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การศึกษาและการฝึกอบรมด้านความมั่นคงและป้องกันประเทศ รวมทั้งการปราบปรามยาเสพติด ให้มีความคืบหน้าต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันความร่วมมือกับอินโดนีเซียและอาเซียนในการแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา โดยไทยสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน และหวังว่าปัญหาในเมียนมาจะสามารถแก้ไขด้วยสันติวิธี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใช้ รพ.สต. เป็นหน่วยฉีดวัคซีนโควิด นำร่องที่เกาะเสม็ด
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ใช้ รพ.สต. เป็นหน่วยฉีดวัคซีนโควิด นำร่องที่เกาะเสม็ด .... โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. ถือเป็นสถานพยาบาลที่ใกล้ชิดกับคนในชุมชน และ รพ.สต. หลายแห่งก็พร้อมที่จะยกระดับขึ้นเป็นหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ . ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้ รพ.สต. บ้านเกาะเสม็ด จ.ระยอง เป็นต้นแบบการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ใน รพ.สต. เป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งวันเดียวสามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายบนเกาะได้ 100 % . นอกจากนี้ รูปแบบการบริหารจัดการฉีดวัคซีนในพื้นที่ดังกล่าว จะนำไปใช้เป็นต้นแบบการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่พิเศษบนเกาะต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met via a video conference on June 8, 2021
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 The cabinet met via a video conference on June 8, 2021 The cabinet met via a video conference on June 8, 2021 The cabinet met via a video conference on June 8, 2021. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Ministerial Regulations prescribing Industrial Standard, B.E. … The cabinet approved in principle two draft Ministerial Regulation prescribing Industrial Standard, B.E. … (Ministerial Regulation prescribing Industrial Standard for Portland Cement, B.E. …, and Ministerial Regulation prescribing Industrial Standard for White Portland Cement, B.E. …), as proposed by Ministry of Industry. Gist The Ministerial Regulation prescribing Industrial Standard for Portland Cement, B.E. …, and Ministerial Regulation prescribing Industrial Standard for White Portland Cement, B.E. …, were approved under the Industrial Product Standards Act, B.E. 2511. Title: Draft Commerce Ministerial Announcement on revocation of Commerce Ministerial Announcement on certificate requirement and administrative measures for importation of 3-D printers into the kingdom, B.E. 2559, B.E. … The cabinet approved in principle the draft Commerce Ministerial Announcement on revocation of Commerce Ministerial Announcement on certificate requirement and administrative measures for importation of 3-D printers into the kingdom, B.E. 2559, B.E. …, as proposed by Ministry of Commerce. Gist The draft Commerce Ministerial Announcement on revocation of Commerce Ministerial Announcement on certificate requirement and administrative measures for importation of 3-D printers into the kingdom, B.E. 2559, B.E. …, has been approved with an aim to streamline related business operations, and address law redundancy, as 3-D printer product standards have already been stipulated in the Trade Control on Weapons of Mass Destruction related Items Act, B.E. 2562. Title: Request for the FY2021 budget (contingency fund for emergency) for procurement of machineries to address flood and drought problems The cabinet approved 426.472 million Baht from the FY2021 budget (contingency fund for emergency) for procurement of machineries to address flood and drought problems. This is as proposed by Office of National Water Resources. Gist The budget of 426.472 million Baht will be used for procurement of 32 hydraulic pumps in a bid to address flood and drought disaster.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดระบบฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุ เน้นครอบคลุมและปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 จัดระบบฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุ เน้นครอบคลุมและปลอดภัย .... การปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นจำนวนมาก เพื่อให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุระยะต่อไป เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น . กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทำแนวทางการจัดการระบบฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้สูงอายุทั่วประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มผู้สูงอายุที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ดี สามารถไปรับบริการในจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่กำหนดไว้ได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป 2. กลุ่มผู้สูงอายุติดบ้าน ที่ยังเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองแต่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ไม้เท้า เปลนั่ง (wheel chair) เป็นต้น จะประสานไปยังองค์การปกครองท้องส่วนท้องถิ่น มูลนิธิต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานเอกชน ร่วมมือกันจัดรถรับส่งผู้สูงอายุไปยังจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมจัดให้มีช่องทางด่วน เพื่อลดเวลาการรอคอย 3. กลุ่มผู้สูงอายุติดเตียงในชุมชน รวมทั้งผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ ไม่ต้องเดินทางออกไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายนอก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดทีมบุคลากรทางการแพทย์เข้าไปให้บริการ ซึ่งระบบต่าง ๆ จะมีมาตรฐานเทียบเท่ากับการฉีดวัคซีนโควิด-19ในสถานพยาบาล . สำหรับการติดตามอาการหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น กลุ่มผู้สูงอายุที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ดี จะใช้ระบบหมอพร้อม และ application smart อสม. ส่วนกลุ่มติดบ้านติดเตียง จะให้บุคลากรทางสาธารณสุขหรือ อสม. เป็นผู้ติดตามอาการหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันที่ 1, 7, 30 และ 60 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.สนับสนุนน้ำดื่มธนาคาร 30,000 ขวด พร้อมหน้ากากอนามัยและสายคล้อง ให้จุดบริการวัคซีน COVID-19 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ธอส.สนับสนุนน้ำดื่มธนาคาร 30,000 ขวด พร้อมหน้ากากอนามัยและสายคล้อง ให้จุดบริการวัคซีน COVID-19 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา ธอส.สนับสนุนน้ำดื่มธนาคาร 30,000 ขวด พร้อมหน้ากากอนามัยและสายคล้องแก่จุดบริการฉีดวัคซีน COVID-19 ทั้งในและนอก รพ. เพื่อช่วยเหลือและดูแลบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่รับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ระลอกใหม่ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรได้ร่วมมือกันสนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนCOVID-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด กรุงเทพมหานคร จึงได้กำหนดให้มีหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีน COVID-19 นอกโรงพยาบาล จำนวน 25 แห่ง เพื่อรองรับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเพื่อเป็นการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำดูแลประชาชนที่รอรับการฉีดวัคซีนรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และจิตอาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยบริการฉีดวัคซีน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จึงได้ร่วมสนับสนุนน้ำดื่มธนาคารรวม 30,000 ขวด และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องให้กับ 2 หน่วยงานที่เป็นจุดให้บริการฉีดวัคซีนทั้งในและนอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้รับมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด พร้อมหน้ากากอนามัยและสายคล้องที่จัดทำโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคาร เพื่อมอบให้กับประชาชนที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและผู้ปฏิบัติงานของโรงพยาบาล โดยมีนายนพดล ศรีหทัย บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวไทยพีบีเอส (Thai PBS)ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ ซึ่งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็น 1 ใน 25 หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย สามารถให้บริการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 1,000 - 2,000 คน/วัน 2. คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา ได้รับมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 10,000 ขวด พร้อมหน้ากากอนามัยและสายคล้องที่จัดทำขึ้นโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคารโดยมี นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์ กรรมการผู้อำนวยการคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบซึ่งคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาเป็นจุดบริการฉีดวัคซีน COVID-19 ซึ่งเป็นช่องทางที่รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ให้บริการประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม สำหรับกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ที่ ธอส.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่ารวมกว่า 5,000,000 บาท ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ใน การรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงและน้ำดื่มธนาคารจำนวน20,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ1,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่กทม.กับกิจกรรม“เรามีเรา” และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องจำนวน10,420 ชุด การสนับสนุนงบประมาณ 700,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล สำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วย ICU ความดันลบแบบห้องแยก พร้อมมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 10,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องรวมถึงน้ำดื่มของธนาคารจำนวน5,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ 200,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สำหรับจัดซื้อเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่นใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19และมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 5,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องการสนับสนุนงบประมาณ 135,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ เพื่อจัดหาเก้าอี้นั่งจุดพักคอย พร้อมเสื้อทีมของโรงพยาบาล น้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยและสายคล้องการส่งมอบน้ำดื่มธนาคาร จำนวน 50,000 ขวด และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง ให้แก่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนCOVID-19 กรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทยณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย การส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 15,600 ขวด และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง พร้อมด้วยอาหารจำนวน500 กล่องให้แก่สถาบันบำราศนราดูรการส่งมอบน้ำดื่มให้แก่จำนวน 7,200 ขวด อบต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ การส่งมอบถุงยังชีพ ธอส. ให้แก่เขตห้วยขวางเพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่นชุมชนวัดอุทัยธาราม ซึ่งเป็นชุมชนใกล้ธนาคารรวมถึงสนับสนุนน้ำดื่มและอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไปทั้งนี้ น้ำดื่มธนาคารทุกขวดที่นำไปมอบให้แก่โรงพยาบาล หรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับการผลิตด้วยมาตรฐานคุณภาพ และมีความสะอาด โดยศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ จังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นศูนย์ที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะทางสังคมให้แก่ผู้พิการเพื่อให้มีความสามารถเพิ่มเติมและมีรายได้เลี้ยงดูแตนเองและครอบครัวต่อไป ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19ให้ยังสามารถมีรายได้ในระยะนี้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ การประชุมคณะอนุกรรมการวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ (Zoom) วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ (Zoom) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการวันภาษาไทยแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันการศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกาะหลีเป๊ะ เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็ม 2 ให้พนักงาน/ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบนิวนอมอล เดือนกรกฎาคม
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 เกาะหลีเป๊ะ เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็ม 2 ให้พนักงาน/ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบนิวนอมอล เดือนกรกฎาคม กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับกลุ่มพนักงาน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ประชาชน บนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ตั้งเป้าจะทยอยฉีดให้ครบ 100% เตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวรูปแบบนิวนอมอล ช่วงเดือนกรกฎาคม ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับกลุ่มพนักงาน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ประชาชน บนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ตั้งเป้าจะทยอยฉีดให้ครบ 100% เตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวรูปแบบนิวนอมอล ช่วงเดือนกรกฎาคม ปีนี้ วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) ที่ เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 12 พร้อมด้วยนพ.สมบัติ ผดุงวิทย์วัฒนา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสตูล ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนบนเกาะหลีเป๊ะ อย่างใกล้ชิด โดย นพ.สุเทพ ให้สัมภาษณ์ว่า เกาะหลีเป๊ะ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ในช่วงสถานการณ์ปกติมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาประมาณ 1 ล้านคนต่อปี สร้างงานและรายได้ให้จังหวัดสตูลมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด 19 แม้บนเกาะจะไม่เคยพบผู้ติดเชื้อ และจังหวัดสตูลมีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดในประเทศ แต่ยังได้รับผลกระทบการท่องเที่ยวซบเซาอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนมาเพื่อป้องกัน ควบคุมโรค จ.สตูลได้รับการจัดสรรวัคซีนมาแล้วจำนวน 22,200 โดส เป็นวัคซีนซิโนแวค 17,200 โดส แอสตร้าเซนเนก้า 5,000 โดส คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสตูลจึงได้จัดสรรวัคซีนลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ และทำการจัดฉีดเข็มที่ 1ให้กับกลุ่มพนักงานผู้ประกอบการ ผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่ไปเมื่อวันที่ 20-21 พฤษภาคม 2564 จำนวน 720 โดส หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของประชากรบนเกาะ เพื่อสร้างความมั่นใจ และความปลอดภัย เตรียมพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวและฟื้นคืนการท่องเที่ยวของเกาะหลีเป๊ะ สำหรับวันที่ 10-11 มิถุนายน 2564 เป็นการฉีดวัคซีนในเข็มที่ 2 จำนวน 720 โดสและเพิ่มเติมเข็มที่ 1 อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งตั้งเป้าว่าจะทำการทยอยฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 100% ให้ทันเดือนกรกฎาคม สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวรูปแบบอย่างนิวนอมอลพร้อมกับจังหวัดภูเก็ตตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยผู้ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจะต้องผ่านการคัดกรองเพื่อความปลอดภัย ซึ่งผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถเดินทางเข้ามาได้ง่ายขึ้น “จากที่ได้มาติดตามดูการฉีดวัคซีน โควิด 19 พบว่า ประชาชนในพื้นที่มีความยินดีและดีใจที่ได้ฉีดวัคซีนเพราะหวังว่าการฉีดวัคซีนจะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการซึ่งอยากให้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว เพื่อที่จะได้กลับมาทำงานและมีรายได้เหมือนเดิม” นายแพทย์สุเทพกล่าว ด้านนายแพทย์สมบัติ กล่าวว่า การจัดฉีดวัคซีนบนเกาะหลีเป๊ะได้ใช้สถานที่ของโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะมีบุคลากรสาธารณสุขจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล,สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง,โรงพยาบาลท่าแพ,รพ.สต.ต่างๆ รวม 12 คน เจ้าหน้าที่บนเกาะ 8 คน และยังได้ความร่วมมือจากเครือข่ายโรงพยาบาลทหาร เจ้าหน้าที่ไลฟ์การ์ด และอสม.ในการให้บริการประชาชน นอกจากนี้ผู้ประกอบการรีสอร์ทยังได้สนับสนุนที่พัก และอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานในครั้งนี้ด้วย ในส่วนการนัดหมายผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนจะเป็นการนัดหมายผ่านไลน์กลุ่มผู้ประกอบการในการนำพนักงานมาฉีด เนื่องจากเป็นเกาะขนาดเล็กสื่อสารกันง่ายและชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะส่วนใหญ่เป็นพนักงานของรีสอร์ทต่างๆ สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนมีการเตรียมหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เภสัชกร ยาสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง เตรียมพร้อมท่อช่วยหายใจ และระบบส่งต่อทางเรือไปยังโรงพยาบาลละงู หากผู้ป่วยมีอาการมากจะประสานสายด่วน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน 1669เพื่อลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศไปยังโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาพบผู้ที่มีอาการหลังฉีดวัคซีนเป็นอาการเล็กน้อยเพียง 3-4 คน มีอาการเวียนศีรษะซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่นานก็หาย ใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิม ******************************11 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย รัฐ – เอกชน จับมือเดินหน้ามาตรการป้องกันควบคุมโควิดแก่ลูกจ้างในโรงงาน ขับเคลื่อนธุรกิจโดยเร็ว
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 รมว.สุชาติ เผย รัฐ – เอกชน จับมือเดินหน้ามาตรการป้องกันควบคุมโควิดแก่ลูกจ้างในโรงงาน ขับเคลื่อนธุรกิจโดยเร็ว นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ประชุมหารือร่วมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ช่วยภาคธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ซึ่งรัฐบาล โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงาน เป็นเจ้าภาพ ในการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานประกอบกิจการโรงงาน ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11 ล้านคน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ตอบสนองนโยบายรัฐบาล โดยดำเนินการขอความร่วมมือให้นายจ้างในระบบประกันสังคมสำรวจ และกรอกข้อมูลความต้องการรับวัคซีนโควิด-19 ของผู้ประกันตนผ่านระบบ Web Service ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.-3 มิ.ย.64 ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวมีผู้ประกันตนมาตรา 33 แสดงความประสงค์ขอรับวัคซีนเป็นจำนวน 6,012,662 ราย คิดเป็นร้อยละ 77.5 และในวันนี้กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีประชุมร่วมกันในวาระสำคัญพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรและแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงาน “กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางเพื่อกำหนดมาตรการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรและแรงงานในสถานประกอบกิจการโรงงาน ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่แรงงาน ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีการขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็ว ”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์ ให้แก่โรงพยาบาลประจำจังหวัด 76 จังหวัด
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์ ให้แก่โรงพยาบาลประจำจังหวัด 76 จังหวัด สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์ PAPR (Powered Air Purifying Respirator) รุ่น Easy Clean ให้แก่โรงพยาบาลประจำจังหวัดในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์PAPR (Powered Air Purifying Respirator) รุ่น Easy Clean ให้แก่โรงพยาบาลประจำจังหวัดในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 76 จังหวัด จำนวน 456 ชุดเพื่อปกป้องคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ให้เกิดความปลอดภัย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) ณ ห้องเทวะเวสม์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์PAPR (Powered Air Purifying Respirator) รุ่น Easy Clean ให้แก่โรงพยาบาลประจำจังหวัดในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 76 จังหวัด จังหวัดละ 6 ชุด รวมจำนวนทั้งสิ้น 456 ชุด เพื่อปกป้องคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเห็นถึงความสำคัญ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชุดดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 บางส่วนที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือเข้ารับการตรวจพิเศษด้วยโรคอื่นๆ หรือคลอดบุตร บุคลากรด้านการแพทย์จึงจำเป็นต้องมีชุดป้องกันการติดเชื้อที่มีมาตรฐาน เพื่อใช้ประจำในห้องผ่าตัด ในการนี้ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธี พร้อมกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ต่อเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขขอพระองค์ทรงพระเจริญ ****************************** 11 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พบบุคลากรติดโควิค-19 อีก 2 รายวันนี้
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 กระทรวงเกษตรฯ พบบุคลากรติดโควิค-19 อีก 2 รายวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ พบบุคลากรติดโควิค-19 อีก 2 รายวันนี้ วางมาตรการเข้มสั่งกักตัวตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด วันที่11มิถุนายน2564ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าได้มีการตรวจพบบุคลากรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดโควิค-19จำนวน2รายโดยเป็นบุคลากรที่ปฎิบัติหน้าที่สังกัดกองกลางสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งในเบื้องต้นบุคลากรทั้ง2คนได้ถูกส่งตัวเพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วนแล้ว "หลังจากที่พบว่าบุคลากรของกระทรวงเกษตรฯติดโควิด-19ได้สั่งการให้ปิดที่ทำงานกองกลางทันทีและให้ผู้ใกล้ชิดบุคลากรทั้งสองตรวจเชื้อพร้อมกับกักตัว14วันตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังประสานไปยังกรมปศุสัตว์เพื่อทำการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในอาคารทั้งหมดเป็นการเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดต่อไป"ดร.ทองเปลวกล่าว อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังคงเน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติงานตามแนวทางที่กำหนดอย่างเข้มงวดเพื่อให้การป้องกันและควบคุมจำกัดการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีแนวทางคือ 1)ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการที่บ้าน(Work form Home) 2)การจัดประชุมกำหนดให้ดำเนินการในรูปแบบการประชุมออนไลน์โดยที่ห้องประชุมให้มีเพียงประธานการประชุมฝ่ายเลขานุการฯและเจ้าหน้าที่ควบคุมการสื่อสารรวมจำนวนไม่เกิน10คนและให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม 3)การเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานอื่นๆขอให้ประชุมผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น 4)เพิ่มความเข้มงวดในการเข้า-ออกบริเวณพื้นที่ของหน่วยงาน 5)เน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามหลักDMHTT (D : Social Distancingเว้นระยะห่างM : Maskสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านหรืออยู่ในพื้นที่สาธารณH : Handล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์T : Testingการตรวจเร็วรักษาเร็วควบคุมโรคได้เร็วและT : Thai cha naใช้แอพไทยชนะ)อย่างเคร่งครัด และ6)กำชับเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่เสี่ยงตามข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา9แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีที่มีการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงยกเว้นเหตุราชการให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ของจังหวัดนั้นโดยเฉพาะการกักกันในสถานที่ตามระนะเวลาซึ่งเจ้าพนักงานฏรคติดต่อหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขกำหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คอบอลเตรียมเฮ รมต.อนุชา มั่นใจ คนไทยได้ดู EURO 2021 แน่นอน
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 คอบอลเตรียมเฮ รมต.อนุชา มั่นใจ คนไทยได้ดู EURO 2021 แน่นอน คอบอลเตรียมเฮ รมต.อนุชา มั่นใจ คนไทยได้ดู EURO 2021 แน่นอน วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 09.00 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณีที่มีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาผู้ออกอากาศการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล EURO 2021 ซึ่งจะมีกำหนดการแข่งขันระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน - 11 กรกฎาคม 2564 นี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคืนความสุขให้ประชาชนภายหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยเฉพาะสนับสนุนด้านการกีฬาที่เป็นการแข่งขันระดับโลกอย่างฟุตบอล EURO ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือรายละเอียดการจัดซื้อลิขสิทธิ์ และเปิดรับคู่สัญญาที่มีความพร้อมเพื่อให้สามารถดำเนินการถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับชมโดยเร็วที่สุด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ประสานทาง NBT2HD ซึ่งมีความพร้อมในการถ่ายทอดสด โดยจะเป็นแม่ข่ายหลักนำเสนอการแข่งขันตามตารางที่สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปกำหนด มั่นใจว่าประชาชนจะได้ชมฟรีตลอดระยะเวลาการแข่งขัน ซึ่งหากเป็นไปได้จะพยายามให้ทันนัดแรกในคืนนี้ -----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ขุดลอก ขยายร่องน้ำ รับมืออุทกภัยและภัยแล้ง
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ขุดลอก ขยายร่องน้ำ รับมืออุทกภัยและภัยแล้ง ... นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความสำเร็จภารกิจการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำ บริเวณแม่น้ำยม หมู่ที่ 1 ตำบลสบสาย อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ และความคืบหน้าพื้นที่ขุดลอกแม่น้ำวัง ตำบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ขยายพื้นที่รับน้ำตามนโยบายรัฐบาลและมาตรการของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 ปฏิบัติภารกิจขุดลอกแม่น้ำยม หมู่ที่ 1 ตำบลสบสาย อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เพื่อแก้ไขความตื้นเขินของแม่น้ำจากตะกอนดินและวัชพืช ทำให้ขาดแคลนน้ำทำการเกษตร อุปโภคบริโภค ในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งในช่วงฤดูน้ำหลากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลให้พืชผลได้รับความเสียหาย โดยได้เริ่มขุดลอก ตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 533 + 050 ถึง กิโลเมตรที่ 535 + 100 ระยะทาง 2,050 เมตร ขุดลอกร่องน้ำความกว้าง 40 - 70 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 139.50 - 140.00 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 55,000 ลูกบาศก์เมตร โดยขุดลอกเพื่อเพิ่มความกว้างและความลึกของร่องน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการรับน้ำ และการระบายน้ำ พร้อมนำวัสดุที่ได้จากการขุดลอกทำการซ่อมแซมตลิ่งพังที่เกิดจากน้ำกัดเซาะ ทั้งนี้ การขุดลอกได้ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมใช้งาน ก่อให้เกิดประโยชน์กับการส่งน้ำเข้าโรงสูบน้ำพลังไฟฟ้า การเกษตรกรรมประมาณ 1,400 ไร่ ประชาชนประมาณ 550 ครัวเรือนมีน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคในช่วงหน้าแล้งได้ตลอดทั้งปี อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติม ถึงภารกิจขุดลอกแม่น้ำวัง ตำบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ซึ่งได้เปิดหน่วยโดยใช้เครื่องจักรเป็นรถขุด ชม.8 และ รถขุด ชม.11 มีนายสุรชัย ใยดี นายช่างโลหะชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ ดำเนินการขุดลอกเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนจากความตื้นเขินของแม่น้ำ จากตะกอนทรายและวัชพืช ทำให้ปัญหาในการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรในฤดูแล้ง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่ใช้น้ำในการทำเกษตรกรรม และอุปโภคบริโภคขณะนี้ได้เริ่มขุดลอก ตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 268 + 150 ถึง กิโลเมตรที่ 265 + 550 ระยะทาง 2,550 เมตร ขุดลอกร่องน้ำความกว้าง 40 - 50 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 242.00 - 244.00 เมตร (จากระดับทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 60,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 100 วัน ซึ่งการขุดลอกพื้นที่ดังกล่าว จะเกิดประโยชน์กับโรงสูบน้ำพลังงานไฟฟ้า จำนวน 1 โรง พื้นที่ใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรม ประมาณ 1,500 ไร่ และประชาชน ประมาณ 800 ครัวเรือน สามารถมีใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคได้ตลอดทั้งปี ขณะนี้ขุดลอกได้แล้ว 6.61 % ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน ทั้งนี้ การขุดลอก พัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำ กรมเจ้าท่ายังคงเร่งสำรวจและวางแผนการขุดลอก หมุนเวียนในหลายพื้นที่ เพื่อฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำให้กลับมามีประสิทธิภาพในการขยายพื้นที่รับน้ำ และการระบายน้ำ ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกปลอดภัย เป็นแหล่งน้ำที่เกิดประโยชน์กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42617
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ​กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันศุกร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๔ โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนวันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งมีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๒๖ แห่ง สำหรับเรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่ไม่พบการแพร่ระบาดมีจำนวน ๑๒๙ แห่งเท่าเดิม ขณะที่ยังพบการแพร่ระบาด ๑๒ แห่งคงเดิม และในวันนี้มียอดผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเพิ่มขึ้นมากถึง ๓,๐๒๑ ราย ซึ่งเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาของโรคในผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ ตามแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้กลุ่มผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ แยกกักตัวดูแลในสถานที่ควบคุมอย่างน้อย ๑๔ วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ โดยถ้าไม่มีอาการผิดปกติ ให้จำหน่ายจากโรงพยาบาลหรือสถานที่ควบคุมได้ โดยให้การรักษาตามอาการและสังเกตอาการใกล้ชิดจนครบกำหนดเนื่องจากส่วนใหญ่หายได้เอง ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ได้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว โดยการให้ยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรและยาผงฟ้าทะลายโจร พร้อมสังเกตอาการเป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๑๔ วัน นับจากวันตรวจพบเชื้อ จนพบว่าไม่มีอาการผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่หายจากการติดเชื้อกลุ่มดังกล่าว ยังต้องถูกกักตัวเพื่อสังเกตอาการต่ออีกระยะเวลา ๑๔ วัน จึงจะส่งตัวกลับเข้าแดนปกติ ซึ่งปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ มียอดหายป่วยสะสมแล้ว ๒๑,๕๕๙ ราย หรือ ๗๐% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด ๓๐,๔๘๘ ราย และยังคงมีแนวโน้มของจำนวนผู้หายป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีกว่า ๙๐% ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาทั้งหมด ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เริ่มน้อยลง ทั้งจากการ SWAB ซ้ำในกลุ่มเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการระบาดเดิม และจากผู้ต้องขังรับเข้าใหม่ที่มีการวางมาตรการคัดกรองอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้นำเชื้อเข้าไปแพร่ระบาดในเรือนจำ/ทัณฑสถาน รวมถึงการวางแนวทางการรักษาในกลุ่มผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยการให้ยาและการเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อลดอัตราของผู้ป่วยหนัก และลดอัตราการเสียชีวิตลง ควบคู่ไปกับการวางแผนการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ตามนโยบายเน้นหนักของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้ให้ความสำคัญ ในการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขังให้ได้รับวัคซีนเพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันโดยเร็วที่สุด ปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว จำนวน ๔๐,๐๐๐ โดส และยังอยู่ระหว่างการจัดสรรเพิ่มเติมจนครอบคลุมทั้งหมด ควบคู่กับแผนการฉีดวัคซีนของประชาชนทั่วไป ซึ่งได้ดำเนินการฉีดวัคซีน แก่ผู้ต้องขังไปแล้ว ๒๓,๓๒๙ ราย ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน จำนวน ๑๘ แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๔) คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี เรือนจำกลางระยอง เรือนจำพิเศษพัทยา ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เรือนจำกลางนครปฐม ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำอำเภอไชยา เรือนจำอำเภอธัญบุรี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทัณฑสถานหญิงธนบุรี เรือนจำพิเศษธนบุรี เรือนจำพิเศษมีนบุรี และเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ๒๑ แห่ง ซึ่งได้สั่งการเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ ร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 บีโอไอ ร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (ที่ 5 จากซ้าย ) ร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ ของบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ จำกัด ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์เต็มรูปแบบแห่งที่สองนอกประเทศจีน พร้อมเปิดตัวรถคันแรกAll New HAVAL H6 Hybrid SUVจากสายการผลิตในประเทศไทย และไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวาของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (xEV)ทั้งแบบHybrid Electric Vehicle (HEV), Plug-In Hybrid Electric Vehicle (PHEV)และBattery Electric Vehicle (BEV)ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการจำหน่ายภายในประเทศประมาณร้อยละ 60 และส่งออกไปต่างประเทศร้อยละ 40
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42626
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตรลงพื้นที่สุพรรณบุรี พร้อมสนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ในสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาขาดแคลนน้ำ
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตรลงพื้นที่สุพรรณบุรี พร้อมสนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ในสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาขาดแคลนน้ำ รมช.ประภัตรลงพื้นที่สุพรรณบุรี พร้อมสนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ในสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาขาดแคลนน้ำ (วันที่ 11 มิ.ย. 64) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตำบล หนองสะเดา อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ ซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง ทำให้น้ำน้อยในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งนี้ ได้นำข้าวสารอาหารแห้งและต้นพริกจำนวน 20,000 ต้น มามอบให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในเบื้องต้น โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม นอกจากนี้ รมช.ประภัตร ยังได้เตรียมส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนา โดยจะส่งเสริมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การหาพันธุ์พืชและสัตว์ ไปจนถึงการหาตลาดรับซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยโครงการที่จะส่งเสริมในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี มีดังนี้ 1.โครงการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรปลูกพริก 2.โครงการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีด 3.โครงการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรเลี้ยงปลาดุก 4.โครงการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่ - เป็ดไข่ 5.โครงการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรเลี้ยงวัว โดยทุกโครงการฯ นั้น รมช.ประภัตรได้เน้นย้ำกับหน่วยงานในพื่นที่ ให้ลงพื้นที่ให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ และสำรวจความต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรในทันที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” เปิดงาน Kick Off เริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนเมืองอุทัยธานี
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 “รมช.มนัญญา”เปิดงาน Kick Offเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนเมืองอุทัยธานี “รมช.มนัญญา”เปิดงานKick Offเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนเมืองอุทัยธานี นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานKick Offเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนจังหวัดอุทัยธานีปี2564ณเครือข่ายกลุ่มแปลงใหญ่ทุเรียนห้วยคตสวนลุงโสพลกังวาฬหมู่1ตำบลทองหลางอำเภอห้วยคตจังหวัดอุทัยธานีโดยมีนายธีรวุฒิศรีพนมวัลย์ประธานแปลงใหญ่ทุเรียนห้วยคตกล่าวรายงานพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและเกษตรกรเข้าร่วมว่าจังหวัดอุทัยธานีเป็นแหล่งผลิตทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่มีรสชาติที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นมีความโดดเด่นแตกต่างจากแหล่งผลิตทุเรียนทั่วไปคือมีความหวานมันรสชาติเข้มข้นกลิ่นหอมละมุนเนื้อละเอียดนุ่มลิ้นทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างจังหวัดเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวันซึ่งมีแหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ที่อำเภอบ้านไร่อำเภอห้วยคตและอำเภอลานสักซึ่งเป็นอำเภอที่มีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งปลูกไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดโดยเฉพาะทุเรียนซึ่งเป็นไม้ผลที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จังหวัดอุทัยธานีมาโดยตลอดโดยมีการบูรณาการร่วมกันเป็นอย่างดีในการส่งเสริมและพัฒนาให้การปลูกไม้ผลทุเรียนมีการยกระดับและขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น สำหรับอำเภอห้วยคตเป็นแหล่งผลิตไม้ผลที่สำคัญของจังหวัดอุทัยธานีมีพื้นที่ปลูกไม้ผลทั้งหมด1,520ไร่เกษตรกร256ครัวเรือนชนิดไม้ผลที่สำคัญได้แก่ทุเรียนเงาะมังคุดมะม่วงส้มโอมะยงชิดลำไยโดยเฉพาะทุเรียนมีแนวโน้มขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นทุกปีมีพื้นที่ปลูกทั้งสิ้น415ไร่คิดเป็นร้อยละ27.30ของพื้นที่ปลูกไม้ผลทั้งหมดโดยมีแหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ที่ตำบลทองหลางซึ่งสร้างรายได้และมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างมาก รมช.มนัญญากล่าวต่อว่าการจัดงานKick Offเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนจังหวัดอุทัยธานีในวันนี้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุเรียนของจังหวัดอุทัยธานีเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัดมีรสชาติที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นนุ่มลิ้นผู้บริโภคกลับมาซื้อซ้ำโดยเฉพาะพันธุ์หมอนทองเริ่มมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน–กรกฏาคม2564โดยคาดการณ์ผลผลิตเฉพาะสวนลุงโสพลในปีนี้อยู่ที่ประมาณ6,000ก.ก.ราคาจำหน่ายก.ก.ละ160บาทคิดเป็นมูลค่า960,000บาทซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้อำเภอห้วยคตเป็นอย่างมาก โอกาสนี้รมช.มนัญญาได้เยี่ยมชมสวนทุเรียนลุงโสพลกังวาฬก่อนตัดทุเรียนเพื่อเปิดงานKick Offเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนจังหวัดอุทัยธานีจากนั้นเดินทางไปยังสวนผสมผสานของนางสาววิภาบูโกซึ่งปลูกแปลงยาสูบทุเรียนน้อยหน่า โกโก้และกล้วยหอม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42636
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมช่วยเหลือเยียวยานักเรียนอุเทนถวายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต และมุ่งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในสถานศึกษาเพื่อลดการละเมิดสิทธิ
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมช่วยเหลือเยียวยานักเรียนอุเทนถวายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต และมุ่งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในสถานศึกษาเพื่อลดการละเมิดสิทธิ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมช่วยเหลือเยียวยานักเรียนอุเทนถวายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ตามแนวทาง "ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน" และมุ่งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในสถานศึกษาเพื่อลดการละเมิดสิทธิ สืบเนื่องจากกรณี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ถูกรุ่นพี่จำนวน 12 คนทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย ปทุมวัน กรุงเทพฯ และเสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2564 ตามที่เป็นข่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ห่วงใยและสั่งการให้เร่งดูแลการเคารพสิทธิมนุษยชนและละเมิดสิทธิมนุษยชนในสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างสังคมสู่เป้าหมาย "ลดการละเมิดสิทธิในสังคม" ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มีความยินดีและให้การสนับสนุนทางมหาวิทยาลัย ในการเสริมสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ และสิทธิมนุษยชน ของนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรของทางมหาวิทยาลัย เพื่อให้สังคมมุ่งสู่เป้าหมาย "ลดการละเมิดสิทธิในสังคม" อีกทั้ง เพื่ออำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สำหรับการช่วยเหลือเยียวยา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มีความห่วงใยครอบครัวและพร้อมช่วยเหลือตามแนวทาง "ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน" โดยประสานพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี และประสานทายาทของผู้เสียหายเพื่อแจ้งสิทธิค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 พร้อมทั้งให้คำแนะนำการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา พร้อมกับหลักเกณฑ์การฟ้องคดีแพ่งฐานละเมิด รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามบทบาทภารกิจกรมฯ เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหายได้รับทราบถึงสิทธินั้น ทั้งนี้ นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรณีผู้เสียหายในคดีอาญา หากถูกผู้อื่นกระทำให้เสียชีวิตโดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ทายาทมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ (1) ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จำนวน 50,000 บาท (2) ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท (3) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู จำนวน 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,000 บาท โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และ ส่วนภูมิภาค (สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือ ติดต่อที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.แต่งตั้งข้าราชการเป็นผู้อำนวยการกอง-วัฒนธรรมจังหวัด-ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรใหม่ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง รวม 10 ราย
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 วธ.แต่งตั้งข้าราชการเป็นผู้อำนวยการกอง-วัฒนธรรมจังหวัด-ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรใหม่ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง รวม 10 ราย วธ.แต่งตั้งข้าราชการเป็นผู้อำนวยการกอง-วัฒนธรรมจังหวัด-ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรใหม่ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง รวม 10 ราย วธ.แต่งตั้งข้าราชการเป็นผู้อำนวยการกอง-วัฒนธรรมจังหวัด-ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรใหม่ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง รวม 10 ราย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการประกาศคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูงและประเภทอำนวยการ ระดับสูงใน วธ. ไปเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 จำนวน 10 ราย โดยมีข้าราชการที่มีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งครบถ้วนดังประกาศสมัครเข้ารับการคัดเลือก และขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญได้ดำเนินการคัดเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ล่าสุดได้ลงนามคำสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 150/2564 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2564 เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 57 มาตรา 63 มาตรา 132 และมาตรา 137 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2551 และหนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่เกี่ยวข้อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูงใน วธ. จำนวน 10 ราย ดังนี้ 1 นางพนารัตน์ คนขยัน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน 2.นางอภิญญา สุวรรณ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดตรัง แต่งตั้งให้เป็นวัฒนธรรมจังหวัดยะลา 3.นางสาวสุกัญญา โพธิเสถียร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน แต่งตั้งให้เป็นวัฒนธรรมจังหวัดนราธิวาส 4.นางสมมารถ คำถนอม นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสระบุรี แต่งตั้งให้เป็นวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี 5.นางวันทนีย์ มีแสง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอ่างทอง แต่งตั้งให้เป็นวัฒนธรรมจังหวัดอ่างทอง 6.นายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการกองโบราณคดี กรมศิลปากร 7.นางสาวสุกัญญา เบาเนิด นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา 8.นายธนภัทร จิตสุทธิผล นายช่างเทคนิคอาวุโส กลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น 9.นายวิเชต ลิ้มภักดี นายช่างเทคนิคอาวุโส กลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี และ 10. นายพงศ์ธันว์ สำเภาเงิน นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ กองโบราณคดี แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ทั้งนี้ ข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งถือเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีคุณสมบัติเฉพาะตรงตามตำแหน่ง สามารถทำงานด้านวัฒนธรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงงานของกรมศิลปากรได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางหลวงแนวใหม่ เชื่อมจังหวัดกระบี่ - พังงา
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางหลวงแนวใหม่ เชื่อมจังหวัดกระบี่ - พังงา ลดระยะเวลาการเดินทาง ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวพื้นที่ภาคใต้ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงขนาด 4 ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่ ระหว่างอำเภอปลายพระเยา จังหวัดกระบี่ - อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เนื่องจากปัจจุบันการใช้เส้นทางนี้ยังขาดโครงข่ายทางหลวงสายหลักที่เชื่อมต่อในแนวตะวันออก - ตะวันตก ทำให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าไม่ได้รับความสะดวก ต้องเดินทางอ้อมเป็นระยะไกล อีกทั้งโครงข่ายปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นทางหลวงสายรองขนาด 2 ช่องจราจรผ่านพื้นที่เนินและพื้นที่เขา ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทล. ได้เล็งเห็นความสำคัญจึงออกแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่ เพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงหมายเลข 44 บริเวณ อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ ต่อไปยัง อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 4 รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายที่เชื่อมโยงกับทางหลวงหมายเลข 44 สายกระบี่ - ขนอม ซึ่งจะเป็นเส้นทางลัดในการเดินทางระหว่างจังหวัดพังงาและกระบี่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ โดยครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ 2 จังหวัด ได้แก่ อำเภอปลายพระยา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และอำเภอทับปุด จังหวัดพังงา จุดเริ่มต้นโครงการอยู่บนทางหลวงหมายเลข 44 ประมาณ กม. ที่ 29+738 (ถนนเซาท์เทิร์น) บริเวณบ้านโคกเจียก อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ แนวเส้นทางจะวางแนวออกจากถนนเซาท์เทิร์นมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อ้อมลงมาทางด้านใต้ของเขาบางหมวย ตัดผ่านพื้นที่สวนปาล์มและทางหลวงหมายเลข 4035 (ถนนอ่าวลึก - พระแสง) ที่บริเวณบ้านปากน้ำตัดผ่านถนนทางเข้าอ่างเก็บน้ำคลองหยาบริเวณร่องเขาเกราะ ผ่านพื้นที่บริเวณบ้านปากหยา บ้านศรีพระยา และบ้านควรเศียร ตัดผ่านทางหลวงชนบทหมายเลข กบ.1015 บริเวณบ้านช่องแบก ตัดอ้อมบริเวณด้านทิศใต้ของวัดเขาหัวสิงห์ ผ่านพื้นที่ตำบลนาเหนือบริเวณบ้านบางไทร และตำบลเขาใหญ่ บริเวณบ้านทุ่งสูง ตัดอ้อมไปทางด้านเหนือของวัดนาเหนือ ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 4040 (ถนนนาเหนือ - ปากลาว) ไปบรรจบกับแนวเส้นทางของโครงการทางเลี่ยงเมืองทับปุดที่เป็นของโครงการในอนาคตของ ทล. ที่มีการสำรวจและออกแบบรายละเอียดไว้แล้ว บริเวณบ้านไสเสียด มีระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้างประมาณ 1,900 ล้านบาท โครงการได้ออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินแล้วเมื่อปี 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และมีแผนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2565 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 สำหรับรูปแบบถนนเป็นทางขนาด 4 ช่องจราจรไป-กลับ กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.5 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบกดเป็นร่อง (Depressed Median) มีเขตทางโดยทั่วไปกว้าง 60 เมตร ในบริเวณจุดกลับรถใต้สะพานมีทางคู่ขนานกำหนดเขตทางเป็น 90 เมตร ส่วนบริเวณจุดตัดทางแยกจะมีเขตทางกว้างกว่าช่วงปกติโดยเป็นไปตามลักษณะทางเรขาคณิตและระยะการมองเห็นที่ปลอดภัยบริเวณทางแยก ซึ่งในการออกแบบได้พิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศที่แนวเส้นทางตัดผ่าน สำหรับการออกแบบจุดตัดทางแยกตามแนวเส้นทางประกอบด้วย จุดตัดถนนโครงการกับทางหลวงหมายเลข 44 ที่ กม. 0+000 (จุดเริ่มต้นโครงการ) ทางหลวงหมายเลข 4035 ที่ กม. 5+490 ทางหลวงหมายเลข 4 ที่ กม. 22+233 ทางหลวงหมายเลข 4040 (เดิม) ที่ กม. 25+561 เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่ง อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของพื้นที่และของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 เปิดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 .... นายกรัฐมนตรี ระบุ เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 เกิดความเท่าเทียม และ มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากที่สุด จึงได้ใช้หลักการกระจายวัคซีน >>> 1. ทุกจังหวัดได้รับวัคซีน เพื่อให้เริ่มต้นพร้อมกัน 2. จำนวนวัคซีนที่ได้ ขึ้นกับ จำนวนประชากร อายุ จำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง อาชีพ และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยว พื้นที่เศรษฐกิจ โดยจังหวัดเป็นผู้จัดสรรวัคซีนแก่โรงพยาบาล 3. ทุกคนที่จองคิวไว้แล้ว ต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันนัดหมายเดิมให้ได้มากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง จะแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด . ข้อจำกัดของเราขณะนี้ คือ วัคซีนไม่ได้เข้ามาทีเดียว แต่ทยอยมาเป็นรอบ ๆ ในเดือนต่อไปจะมีวัคซีนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่ต้องเลื่อนคิวรับวัคซีนอีก . สำหรับเป้าหมาย 100 ล้านโดส ยังไม่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลได้ทำสัญญากับแอสตราเซนเนกาไว้ 61 ล้านโดส ซิโนแวก 6 ล้านโดส และจะจัดหาเพิ่มอีก 8 ล้านโดส นอกจากนี้ คาดว่าจะทำสัญญากับไฟเซอร์ และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน รวมกว่า 25 ล้านโดส รวมทั้งยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่จะได้รับจากการเจรจาทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจะมีวัคซีนที่ผลิตโดยคนไทยเองด้วย #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) นายท่าปล่อยรถโดยสาร สาย 18 เขตการเดินรถที่ 7 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 156 เขตการเดินรถที่ 8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรม ระยองนำร่อง
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรม ระยองนำร่อง ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรม ระยองนำร่อง นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ที่เป็นวันแรกของการกระจายการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ โดยเริ่มกับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเสี่ยง 7 โรค ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก นับถึงวันที่10 มิ.ย. มีจำนวนฉีดวัคซีนสะสม 5.66 ล้านโดส ซึ่งภายในช่วงเวลา4วัน นับจากวันที่ 6 มิ.ย. ที่มีจำนวน 4.21 ล้านโดส เพิ่มขึ้น 1.45 ล้านโดส ซึ่งจากนี้ไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ความมั่นใจว่า จะได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตมากขึ้นและสามารถทยอยกระจายไปยังสถานบริการสาธารณสุขและจุดบริการต่างๆ เพื่อดำเนินการฉีดให้ได้ตามแผน นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมด้วยแล้ว นำร่องพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง และชุมชนรอบข้างพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น 25,000 คน จาก 1)นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 2)นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) 3)นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย 4) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง 5)นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และ 6)ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ตั้งเป้าวัคซีนให้ได้วันละประมาณ 1,000 คน มากไปกว่านั้น ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาไทย ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ นับตั้งแต่วันที่ จาก 29 พ.ค. ถึง 6 มิ.ย. ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้ว จำนวนกว่า 1,600 คน และมีรอการฉีดอีก 2 พันกว่าคน ซึ่งเมื่อดำเนินการในกลุ่มนี้แล้วเสร็จ ทางกรมการกงสุลจะพิจารณาเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้ง -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42632