title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ห่วงใยประชาชน สั่งการทุกจังหวัดดำเนินแนวทางป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 มท.1 ห่วงใยประชาชน สั่งการทุกจังหวัดดำเนินแนวทางป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2564 มท.1 ห่วงใยประชาชน สั่งการทุกจังหวัดดำเนินแนวทางป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2564 วันนี้ (29 ม.ค. 64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 10 – 12 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ตามประเพณีปฏิบัติของชาวไทยเชื้อสายจีน จะมีการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ ด้วยการจุดธูปเทียนบูชา เซ่นไหว้ เผากระดาษเงินกระดาษทอง จุดพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุการเกิดอัคคีภัย รวมถึงอุบัติภัยขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลดังกล่าว ยังเป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนของชาวไทยเชื้อสายจีน จึงมักจะมีการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทั้งทางบก และทางน้ำ สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากอัคคีภัยและอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว จึงได้สั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ 1) ด้านเตรียมความพร้อม โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง สำรวจ ตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันของทุกภาคส่วนให้เกิดความชัดเจน เข้มงวดตรวจตราอาคารสถานที่ โป๊ะ ท่าเทียบเรือโดยสาร ที่มีสภาพไม่มั่นคง แข็งแรง อาจก่อให้เกิดสาธารณภัยได้โดยง่าย และซ่อมแซมให้มั่นคงแข็งแรงตามอำนาจหน้าที่ เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และระบบสื่อสารเตรียมความพร้อม ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งกำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานออกเฝ้าระวัง ตรวจตรา อาคารบ้านเรือน พื้นที่ชุมชน สถานประกอบการ และสถานบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีการจัดงานเฉลิมฉลอง และมีการจุดพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิงโดยเคร่งครัด รวมไปถึงประสานการปฏิบัติกับเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดตามมาตรการความปลอดภัยทางถนน ได้แก่ ความเร็วเกินกำหนด ขับรถย้อนศร ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่มีใบขับขี่ แซงในที่คับขัน เมาสุรา ไม่สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย และใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ อย่างเคร่งครัด โดยจัดให้มีจุดตรวจตามจุดที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุตามสภาพพื้นที่ และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางปฏิบัติตนในการป้องกันและระงับอัคคีภัยเบื้องต้น รวมทั้งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกประเภท ให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษในการจุดธูปเทียนบูชา เซ่นไหว้ เผากระดาษเงิน กระดาษทอง ตลอดจนการจุดประทัด ตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ง่าย ตลอดจนบทลงโทษทางกฎหมายกรณีการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน และ 2) ด้านการเผชิญเหตุ ให้จัดชุดเจ้าหน้าที่และสั่งใช้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และประสานการปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนจิตอาสา เฝ้าระวังสถานที่ และกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น การจุดประทัด ดอกไม้เพลิง รวมทั้งความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอุบัติภัยในกรณีอื่น ๆ ได้โดยง่าย และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์กู้ภัยและไฟฟ้าส่องสว่าง เตรียมความพร้อมในพื้นที่ หรือชุมชนแออัดที่มีความเสี่ยงภัย เพื่อเฝ้าระวังเหตุ และพร้อมปฏิบัติงานได้ในทันทีที่เกิดภัย รวมทั้งจัดระเบียบการจราจรและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร รักษาความสงบเรียบร้อย และเฝ้าระวังความปลอดภัยบริเวณที่มีประชาชนหนาแน่น โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน และสถานที่ท่องเที่ยว โดยหากเกิดอัคคีภัย อุบัติภัยหรือสาธารณภัยอื่นที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก ให้ดำเนินการตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และรายงานให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางทราบทันที พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงการเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) จึงให้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติของกระทรวงวัฒนธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานเทศกาลอย่างเคร่งครัดด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.กล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่ข้าราชการใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ในการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 รมว.วธ.กล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่ข้าราชการใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ในการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ รมว.วธ.กล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่ข้าราชการใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ในการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Video Conference วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่ข้าราชการใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ในการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Video Conference โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและข้าราชการบรรจุใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมรับฟัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ​รัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนอย่างรอบคอบโดยใช้เหตุผลทางสาธารณสุข โดยมีคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติซึ่งประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความรู้ความชำนาญ ร่วมกันประเมินสถานการณ์มาตั้งแต่ช่วงปี 2563 จากการคำนวณ ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน รับวัคซีนคนละ 2 โดส รวมประมาณ 130 ล้านโดส เพื่อดูแลประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เบื้องต้นจึงได้จัดหาวัคซีน 70 ล้านโดสให้แก่กลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน เช่น ผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อน และบุคลากรทางการแพทย์ จากนั้นจึงให้บริษัทในไทยที่มีศักยภาพรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และผลิตวัคซีนใช้เองภายในประเทศได้ ราว 200 ล้านโดสต่อปี “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! วงเงินบัตรทองปี 65 สองแสนล้านบาท
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 เคาะ! วงเงินบัตรทองปี 65 สองแสนล้านบาท ... มีข่าวดีมาบอก กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ปี 2565 จากการประชุม ครม. นัดล่าสุด วงเงินรวมกว่า 201 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้คนไทยทุกคนสามารถ เข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง โดยมีรายการต่าง ๆ ดังนี้ . 1. ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว . 2. ค่าบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ ผู้มีสิทธิจำนวน 445,964 คน . 3. ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง . 4. ค่าบริการเพื่อควบคุม ป้องกัน และรักษา โรคเรื้อรัง ผู้มีสิทธิจำนวน 9,7,280 คน (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง จิตเวชเรื้อรัง) . 5. ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับ หน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 207 แห่ง . 6. ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับ ผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน . 7. ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับ การบริการระดับปฐมภูมิ ที่มีแพทย์ประจำครอบครัว(ทีม PHC) . 8. ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น . 9. ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับบริการ กรณีโรคโควิด -19 เป้าหมายบริการ ตรวจคัดกรอง และบริการรักษาพยาบาล . 10. เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการ และผู้ให้บริการเป้าหมาย 1,657 คน . 11. ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค เป้าหมาย 66,210,000 คน . รวมทั้ง งบประมาณบริหารงานสำนักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) . โดยสิทธิประโยชน์ใหม่ที่ประชาชนจะได้รับ เช่น การผ่าตัดปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยโรคตับแข็ง ระยะกลาง - ท้าย, การตรวจคัดกรองยีนส์ HLA-B*5801 ก่อนเริ่มยา Allopurinol ในผู้ป่วยโรคเกาต์ . นอกจากนี้ ยังเพิ่มรายการอุปกรณ์ Extracorporeal Membrane ในการรักษาภาวะหัวใจ/ปอดล้มเหลวเฉียบพลัน #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ลดค่าเทอม บรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครอง ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ลดค่าเทอม บรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครอง ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ลดค่าเทอม บรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครอง ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 นายอรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ชี้แจง ได้ให้คณะทำงานเร่งตรวจสอบการเก็บค่าธรรมเนียมของโรงเรียนเอกชนทุกโรงเรียนว่า โรงเรียนใดอยู่ในข่ายที่แสวงหากำไรเกินควรหรือไม่ ได้มีหนังสือถึง ศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้น ศธจ.กรุงเทพมหานคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล สงขลา และ ผอ. สช. 5 จังหวัดชายแดนใต้) และผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนในระบบ ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษและการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง ให้โรงเรียนพิจารณา ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมการศึกษารายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครองและไม่จําเป็นต้อง ใช้จ่ายเนื่องจากปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ควรพิจารณาคืนตามสัดส่วนที่เป็นจริง ได้แก่ ค่าอาหารและค่าอาหารว่าง ค่าทัศนศึกษาเป็นต้น รายการค่าธรรมเนียมอื่นรายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครองไม่ได้ดําเนินการใด ควรพิจารณาคืนตามความเหมาะสม ได้แก่ ค่าเรียนคอมพิวเตอร์/ค่าอินเตอร์เน็ต/ค่าใช้บริการ ICT ค่าเรียนเสริมภาษาต่างประเทศ ค่าซักฟอก ค่าเรียนว่ายน้ำ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ยื่นขอการสนับสนุนค่าบำรุงการศึกษา (ค่าหน่วยกิต) ให้แก่นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทุกชั้นปี ทั้งสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐและเอกชนให้ได้รับการสนับสนุนค่าบำรุงการศึกษา ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 362,161 คน อัตราปีการศึกษาละ 5,000 บาท / ต่อคน (2,500บาท/ภาคเรียน) เป็นระยะเวลา 1 ปี ตามโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ไปแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอน และกระบวนการลำดับต่อไป ทั้งนี้หากได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนดังกล่าว จะช่วยให้นักเรียน นักศึกษาระดับ ปวส. ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามประกาศกระทรวงลงวันที่ 12 มีนาคม 2563 ดังนี้ 1. ให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณาลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ของสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกเก็บจากนักศึกษา เป็นกรณีพิเศษ 2. ให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เร่งด่วน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการบริหารลงเพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปสนับสนุนการจ้างงานของนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ในกิจการของสถาบันอุดมศึกษาตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับลดค่าบริการต่างๆ ที่เรียกเก็บจากประชาชน เป็นกรณีพิเศษ 3. ให้หน่วยงานและสถาบันอุดมศึกษาพิจารณากำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ลดค่าธรรมเนียมการศึกษา จัดตั้งกองทุน 250 ล้าน เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ แจกซิมฟรี เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อการศึกษาแบบออนไลน์ จัดหาคอมพิวเตอร์/แท็ปเล็ต ทั้งแบบให้ยืมใช้งาน หรือแบบซื้อในราคาพิเศษ และลดค่าบำรุงหอพัก ในมหาวิทยาลัย 10% และประสานกับหอนอกเพื่อลดค่าเช่า เป็นต้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขยายเวลาผ่อนผันการชำระค่าเทอมและจัดตั้งกองทุน สนับสนุนการศึกษา เป็นต้น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา ลดค่าธรรมเนียมหอพัก มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จัดตั้งกองทุนสวัสดิการนักศึกษาเพื่อช่วยเหลือนิสิตนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ ลดค่าเทอม แจกซิมการ์ดเพื่อการเรียนออนไลน์ และจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานตามธรรมชาติของแต่ละรายวิชา เป็นต้น ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ปี 2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 เฮ! ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ปี 2564 ... มาแล้วครับ อีกหนี่งข่าวดีที่หลายคนรอคอย มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และค่าธรรมเนียมการโอน – จำนองอสังหาริมทรัพย์ ที่ ครม. เห็นชอบ เพื่อบรรเทาภาระประชาชนในช่วงโควิดระบาด . แบ่งเป็น 2 มาตรการ ดังนี้ 1.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2564 ในอัตรา 90% สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม/ที่อยู่อาศัย/ใช้ประโยชน์อื่น ๆ รวมถึงที่ดิน - ที่อยู่อาศัยที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า ไม่ได้ทำประโยชน์ . 2.ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน – จำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01% เฉพาะการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคาร ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ ที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท . โดยทั้ง 2 มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ นับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38736
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทย เดินหน้าคว้ารางวัลระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทย เดินหน้าคว้ารางวัลระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทยได้รับรางวัล Best Sustainability Bond ระดับภูมิภาคประจำปี พ.ศ. 2563 ในการจัดอันดับ Deals of the Year - Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards 2020 ของสำนักข่าว The Asset พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทย เดินหน้าคว้ารางวัลระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทยได้รับรางวัล Best Sustainability Bond ระดับภูมิภาคประจำปี พ.ศ. 2563 ในการจัดอันดับ Deals of the Year - Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards 2020 ของสำนักข่าว The Asset กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เริ่มออก Sustainability Bond ครั้งแรกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และได้มีการออกอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเม็ดเงินระดมทุนที่ได้ไปใช้สำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนโครงการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) จนในปัจจุบันมีวงเงินคงค้างอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะดำเนินการออก Sustainability Bond ต่อไปเพื่อให้มียอดเงินคงค้างขั้นต่ำอยู่ในระดับ 100,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่พันธบัตรดังกล่าวในตลาดตราสารหนี้ และสนับสนุนการพัฒนาตลาด ESG Bond ให้ยั่งยืน นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 ที่ผ่านมาธนาคาร JP Morgan ได้นำ Sustainability Bond ของประเทศไทย (ESGLB35DA) เข้าไปคำนวณรวมดัชนี Government Bond Index - Emerging Market (GBI-EM Index) เนื่องจากธนาคาร JP Morgan เห็นว่า Sustainability Bond เป็น Benchmark Bond ที่มีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดีและเพียงพอสำหรับรองรับการซื้อ-ขายในตลาดรอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การจัดทำ GBI-EM Index ดังกล่าว ในการนี้ สบน. ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและช่วยให้ประเทศไทยได้รับรางวัลในครั้งนี้ สบน. คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนา Sustainability Bond จะเป็นก้าวที่สำคัญในการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยตระหนักถึงการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน (Sustainable Development Goals) ขององค์กรสหประชาชาติต่อไป สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 271 7999 ต่อ 5810
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ 3 พื้นที่เมืองเก่า อนุรักษ์คุณค่าทางประวัติศาสตร์
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ประกาศ 3 พื้นที่เมืองเก่า อนุรักษ์คุณค่าทางประวัติศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าเพิ่มเติม 3 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าอุทัยธานี ประกอบด้วย วัดอุโปสถาราม เขาสะแกกรัง ย่านชุมชนตรอกยาจีน และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง เมืองเก่าตรัง ประกอบด้วย บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง วิหารคริสตจักรตรัง อาคารสโมสรข้าราชการ หอนาฬิกาจังหวัด สถานีรถไฟตรัง และตึกแถวย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ป้อมและกำแพงเมืองริมน้ำบางปะกง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ศาลหลักเมือง ตำหนักกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ อนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร อาคารไม้สัก 100 ปี และตลาดสดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป้าหมายเพื่อคุ้มครองดูแลพื้นที่ให้พัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์คุณค่ามรดกทางประวัติศาสตร์ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมแนวทางรองรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 พม. เตรียมแนวทางรองรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ พม. เตรียมแนวทางรองรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ เมื่อวันที่27 ม.ค. 64 ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เปิดเผยว่า ด้วยรัฐบาลได้ประกาศมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ผ่านโครงการเราชนะ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่ครอบคลุมประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ด้วยการสนับสนุนวงเงินเยียวยา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ. ถึง มี.ค. 2564) นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ในฐานะหน่วยงานรัฐที่มีภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย จึงได้เตรียมแนวทางสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ โดยมอบหมายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด ร่วมกับทีม พม. One Home ในจังหวัด ประชาสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเครือข่ายอื่นๆ ในพื้นที่ และสายด่วน พม. โทร.1300 เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเปราะบางทุกคนที่มีสิทธิ์ได้รับทราบและลงทะเบียนโครงการดังกล่าว อีกทั้งช่วยเหลือผู้รับบริการในสถานรับรองของกระทรวง พม. ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้เข้าถึงสิทธิ์ตามโครงการฯ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเปราะบางขาดคุณสมบัติที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ กระทรวง พม. ได้เตรียมมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ได้แก่ 1) ประเมินครอบครัวเพื่อช่วยเหลือสวัสดิการตามภารกิจกระทรวง พม. อาทิ เงินสงเคราะห์ เงินทุนประกอบอาชีพ เป็นต้น 2) เสริมพลัง สร้างความเข้าใจ และแนะนำทางเลือกของครอบครัวสำหรับการมีรายได้ และอาชีพ และ 3) ติดตามการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ทุกจังหวัด ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (29 มกราตม 2564)​ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพฒน์ ปลัดกระทรวงฯ และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมิ 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษารายละเอียดและผลกระทบเกี่ยวกับการส่งออกไม้สักสวนป่าและไม้พะยูง และได้ให้ข้อสังเกตของคณะกรรมการฯเพื่อให้หน่วยงานดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาเกี่ยวกับร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ ซึ่งถ่ายทอดเชื่อมโยงจากบทบัญญัติของนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนแล้ว เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทของหน่วยงานต่างๆ เป็นแนวทางปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายตามที่นโยบายป่าไม้แห่งชาติกำหนดไว้ รวมทั้งได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม (ฉบับ..) พ.ศ. … ซึ่งกำหนดให้ไม้กฤษณาเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก. ไม้หวงห้ามธรรมดา และกำหนดให้ไม้เทียนทะเลเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ข. ไม้หวงห้ามพิเศษ อันเป็นการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้กฤษณาและไม้เทียนทะเลที่ขึ้นตามป่าธรรมชาติ และปกปักษ์รักษาไม้กฤษณาและไม้เทียนทะเลให้คงอยู่ ทั้งนี้ ในการประชุมยังมีการนำเสนอให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับประกาศของกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ตามประเภทหนังสือแสดงสิทธิเพื่อให้ไม้ที่ปลูกขึ้นในที่ดินดังกล่าวไม่เป็นไม้หวงห้าม พ.ศ. 2563 โดยในการพิจารณาที่ประชุมได้ให้ข้อสังเกต ของคณะกรรมการฯเพื่อให้หน่วยงานดำเนินการต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน หนุนวิสาหกิจชุมชน ลำปาง ปลูก-เก็บเกี่ยวกัญชา ส่งแปรรูปเป็นยาแผนไทย
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 อนุทิน หนุนวิสาหกิจชุมชน ลำปาง ปลูก-เก็บเกี่ยวกัญชา ส่งแปรรูปเป็นยาแผนไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพชรลานนา จ.ลำปาง ปลูก เก็บเกี่ยวกัญชามีมาตรฐาน ปลอดภัย ถูกกฎหมาย ส่งผลิตเป็นน้ำมันกัญชาและส่วนประกอบในตำรับยาแผนไทย สร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์กัญชาให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพชรลานนา จ.ลำปาง ปลูก เก็บเกี่ยวกัญชามีมาตรฐาน ปลอดภัย ถูกกฎหมาย ส่งผลิตเป็นน้ำมันกัญชาและส่วนประกอบในตำรับยาแผนไทย สร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์กัญชาให้กับตัวแทนวิสาหกิจชุมชน วันนี้ (29 มกราคม 2564) ที่วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพชรลานนา จ.ลำปาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากรรองปลัดกระทรวงสาธารสุข แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้ากลุ่มผู้ปลูกกัญชาทางการแพทย์ โดยนายอนุทินสัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชาและสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่อให้มีการกระบวนการเพาะปลูกกัญชาเหมาะสมกับพื้นที่ และต่อยอดให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับประชาชน ชุมชน ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ถูกกฎหมาย เก็บเกี่ยวส่งให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข นำไปผลิตเป็นน้ำมันกัญชา และใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาทางการแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้าน นายอนุทินกล่าวต่อว่า วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพชรล้านนา ได้ร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปลูกกัญชาสายพันธุ์ไทย ระบบแปลงเปิด ใช้กลไกตามธรรมชาติ ในพื้นที่ 3,908 ตรม. จำนวน 2,000 ต้น/รอบ/ปี ได้เก็บเกี่ยวรอบแรกและส่งมอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเด่นชัย จ.แพร่ กองพัฒนายาแผนไทย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี และโรงพยาบาลคูเมือง จ.บุรีรัมย์แล้ว 3,664.19 กิโลกรัม ส่วนรอบที่ 2 ปลูกแล้ว 2,000 ต้น (อายุ 3 เดือน) “ผมมั่นใจว่าพืชกัญชา จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการเสริมสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร โดยใช้วิสาหกิจชุมชนเป็นต้นแบบในการสร้างโอกาส ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ถูกคุกคามจากภัยโควิด 19 เพื่อนำประโยชน์มาใช้ทางการแพทย์ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ และยังเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการดูแลตัวเอง ครอบครัว สร้างความแข็งแรงให้กับเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ” นายอนุทินกล่าว ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า จังหวัดลำปาง มีคลินิกกัญชาทางการแพทย์แบบผสมผสานแผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทยในสถานพยาบาล 15 แห่ง ข้อมูลวันที่ 28 สิงหาคม – 25 ธันวาคม 2563 มีผู้รับการรักษา 1,235 คน ส่วนใหญ่ที่รักษาด้วยยากัญชาแผนปัจจุบันคือ โรคลมชักในเด็กรักษายาก, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง, โรคมะเร็งที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด และปวดเส้นประสาทที่รักษาด้วยวิธีการต่างๆ แล้วไม่ได้ผลส่วนการรักษาด้วยตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ได้แก่ นอนไม่หลับ ปวดเรื้อรัง และมะเร็ง เป็นต้น ********************************* 29 มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38744
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางชี้แจง!! กรณีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน และการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเก็บรักษาเงิน กรณีการก่อสร้างโรงพยาบาล
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 กรมบัญชีกลางชี้แจง!! กรณีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน และการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเก็บรักษาเงิน กรณีการก่อสร้างโรงพยาบาล จากกรณีมีการเสนอข่าวระบุว่าประธานชมรมแพทย์ชนบท เผยระเบียบ ว.318 กระทบโครงการก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยอ้างว่ากระทรวงการคลังได้มีนโยบายรัดเข็มขัด โดยการรีดงบประมาณที่ตกค้างจากทุกหน่วยงานนำมากองคืนที่งบกลาง นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการเสนอข่าวที่ระบุว่า “ประธานชมรมแพทย์ชนบท เผยระเบียบ ว.318 กระทบโครงการก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยอ้างว่ากระทรวงการคลังได้มีนโยบายรัดเข็มขัด โดยการรีดงบประมาณที่ตกค้างจากทุกหน่วยงานนำมากองคืนที่งบกลาง ซึ่งหนึ่งในนั้นคืองบก่อสร้างที่กันเงินไว้และไม่สามารถสร้างเสร็จหรือเบิกจ่ายได้ทันในวันที่ 30 กันยายน 2563 โดยหนังสือสั่งการฉบับดังกล่าวเรียกว่า “ว 318” ซึ่งได้กำหนดกฎเหล็กไว้ว่า โครงการในปีงบ 2555 – 2562 ที่ทำไม่แล้วเสร็จในวันที่ 30 กันยายน 2563 งบประมาณนั้นจะถูกพับไป โดยไม่สามารถขอกันงบได้อีก ส่งผลให้โครงการก่อสร้างของหลายสิบโรงพยาบาลต้องหยุดชะงัก” นั้น กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนําเงิน ส่งคลัง พ.ศ. 2551 กำหนดให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง สามารถพิจารณาอนุญาตให้ส่วนราชการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามภารกิจได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ต่อมาพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ และได้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี หรือได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2555-2562 จะต้องดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 หากเบิกจ่ายไม่ทันระยะเวลาดังกล่าว งบประมาณนั้นต้องถูกพับไปโดยผลของกฎหมาย ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการที่เบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2562 ไม่แล้วเสร็จอีกเป็นจำนวนมาก กรมบัญชีกลางจึงมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค 0402.5/ ว 318 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 แจ้งเวียนเพื่อให้ส่วนราชการทราบและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อมิให้งบประมาณของส่วนราชการถูกพับไปโดยผลของกฎหมายตามที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 กำหนด หนังสือเวียนดังกล่าวจึงไม่ใช่กรณีที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งเรียกงบประมาณกลับคืนไปเป็นงบกลางตามที่เป็นข่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”สั่ง กรอ.ปรับกฎหมายคุมโรงงานปล่อยมลพิษอากาศ คาดโรงงานกว่า 600 โรง ต้องติดเซนเซอร์ปลายปล่องรายงานผล 24 ชั่วโมง
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 “สุริยะ”สั่ง กรอ.ปรับกฎหมายคุมโรงงานปล่อยมลพิษอากาศ คาดโรงงานกว่า 600 โรง ต้องติดเซนเซอร์ปลายปล่องรายงานผล 24 ชั่วโมง “สุริยะ” สั่งการให้ กรอ. ปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 จากเดิมที่ใช้บังคับเฉพาะโรงงานในวงจำกัด เป็นครอบคลุมโรงงานที่เข้าข่ายทั่วประเทศ “สุริยะ” สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 จากเดิมที่ใช้บังคับเฉพาะโรงงานในวงจำกัด เป็นครอบคลุมโรงงานที่เข้าข่ายทั่วประเทศ สั่งติดเครื่องตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากปล่องฯ แบบอัตโนมัติพร้อมรายงานผล 24 ชั่วโมง คาดกว่า 600 โรงงานต้องติดตั้ง หวังหยุดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ได้ในระยะยาว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่กลายเป็นปัญหาในระดับชาติทำให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเชิงรุก โดยเฉพาะมาตรการเร่งด่วนในภาคอุตสาหกรรม ที่ให้มีการตรวจสอบ เฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายกับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศอย่างเข้มงวด พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบ ควบคุมระบบบำบัดมลพิษทางอากาศให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ และให้มีการติดตั้งระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring Systems : CEMS) ที่เชื่อมโยงข้อมูลมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งสั่งการให้ขยายผลการติดตั้งระบบ CEMS ให้ครอบคลุมโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศโดยการปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ต้องติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 เพื่อให้สามารถตรวจสอบ ติดตามปริมาณการปลดปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุมเป็นการกำกับดูแลเฝ้าระวังเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้ใช้ประกาศกระทรวงฯที่กำหนดให้โรงงานประเภทต่างๆ ต้องติดตั้งเครื่องมือ หรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษ เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 กับโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในกำกับของ กรอ. โดยพื้นที่ที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ได้แก่โรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จังหวัดระยอง ล่าสุดมีโรงงานที่ติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring Systems : CEMS) ในพื้นที่จังหวัดระยองจำนวน 5 โรง 33 ปล่อง และโรงงานในจังหวัดต่างๆ ที่ติดตั้งด้วยความสมัครใจอีกจำนวน 74 โรง รวมมีโรงงานที่ติดตั้งระบบ CEMS จำนวนทั้งสิ้น 79 โรงงาน 228 ปล่อง โดย กรอ.จะดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าว ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างเร่งด่วน ซึ่งคาดว่าหลังจากประกาศกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ จะมีโรงงานทั่วประเทศติดตั้งระบบCEMSไม่น้อยกว่า 600 โรง 1,200 ปล่อง เพิ่มเติมจากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น และเพื่อให้การควบคุมและกำกับดูแลการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิดของโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีประสิทธิภาพครอบคลุมปัญหาด้านฝุ่นละออง กรอ.ได้ดำเนินการตรวจวัดการระบายฝุ่นจาก -2- ปล่องโรงงาน ทั้งฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particle ; TSP) ฝุ่นขนาดเล็กขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน(PM10) และฝุ่นขนาดเล็กขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตลอดจนฝุ่นในบรรยากาศบริเวณชุมชนรอบโรงงาน เพื่อเฝ้าระวังและติดตามปัญหาผลกระทบด้านฝุ่นละอองต่อประชาชน และนำข้อมูลผลตรวจวัดฝุ่นละอองทั้งหมดนำไปใช้ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ แนวทาง และการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละอองและสารมลพิษต่างๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมต่อไป “กรอ. ได้จัดส่งแบบสำรวจข้อมูลโรงงานเพื่อประกอบการปรับปรุงกฎหมายฯไปยังผู้ประกอบการโรงงานทุกแห่ง เพื่อรับทราบข้อมูลโรงงาน ขนาดหน่วยการผลิต เชื้อเพลิงที่ใช้การดำเนินกิจการ เช่น ชีวมวล ถ่านหิน น้ำมันเตา หรือก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งระบบการบำบัดของเสีย เพื่อนำมาปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้เหมาะสม อีกทั้งนำมาพัฒนาช่องทางและรูปแบบการปฏิบัติงานด้านการกำกับดูแลการระบายมลพิษโรงงาน ให้รองรับการขยายขอบเขตการบังคับติดตั้ง CEMS ทั่วประเทศ คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในต้นปี 2565” นายประกอบ กล่าว ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงานที่กรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่งไฟล์ข้อมูลไปที่อีเมล [email protected] ภายในวันที่ 30 มกราคม 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านขั้นตอนการปรับปรุงกฎหมายและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียแล้ว จะนำร่างประกาศดังกล่าวนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อลงนาม ก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เผยลูกค้าลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือจาก COVID-19 [M 9, M 10 และ M 12] ระลอกใหม่ ณ วันที่ 27 ม.ค. 64 รวม 96,500 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 90,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ธอส. เผยลูกค้าลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือจาก COVID-19 [M 9, M 10 และ M 12] ระลอกใหม่ ณ วันที่ 27 ม.ค. 64 รวม 96,500 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 90,000 ล้านบาท ธอส.เผยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการช่วยเหลือระยะแรกตาม “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” (เงินงวดที่ชำระจะตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) นานสูงสุด 6 เดือน กว่า 96,500 บัญชี ธนาคารอาคารสงเคราะห์เผยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการช่วยเหลือระยะแรกตาม “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” เพื่อลดเงินงวดผ่อนชำระ (เงินงวดที่ชำระจะตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) นานสูงสุด 6 เดือน จำนวนกว่า 96,500 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 90,000 ล้านบาท โดยมาตรการที่ 9 [ M 9 ] สำหรับลูกค้าที่เคยเข้าร่วมหรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส. ยังคงเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะแรกถึงวันที่ 29 มกราคม 2564 เวลา 22.00 น. ส่วนลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือ ของ ธอส. เตรียมลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการที่ 11 [ M 11 ] ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.00 น.เป็นต้นไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากธนาคารได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ตามนโยบายของกระทรวงการคลังผ่าน “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” ด้วย 4 มาตรการ ลดเงินงวดผ่อนชำระ (เงินงวดที่ชำระจะตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) นานสูงสุด 6 เดือน โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะแรกผ่าน Application : GHB ALL ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 จำนวน 2 มาตรการ [ M 9 และ M 10 ] และแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการผ่านสาขา 1 มาตรการ [ M 12 ] ล่าสุด ณ วันที่ 27 มกราคม 2564 เวลา 24.00 น. มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการรวมจำนวนกว่า 96,500 บัญชี เงินต้นคงเหลือกว่า 90,000 ล้านบาท แบ่งเป็น มาตรการที่ 9 [ M 9 ] สำหรับลูกค้าที่เคยเข้าร่วมหรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการช่วยเหลือ ตาม “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” และ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” จำนวน 94,000 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 87,500 ล้านบาท โดย [ M 9 ] จะเปิดให้ลูกค้าที่เคยเข้าร่วมหรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการช่วยเหลือของ ธอส. พร้อมกับมีสถานะบัญชีปกติ และไม่อยู่ระหว่างการประนอมหนี้ สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะแรกได้จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2564 เวลา 22.00 น. ส่วน มาตรการที่ 10 [ M 10 ] สำหรับลูกหนี้สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการจำนวน 2,500 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือ 2,400 ล้านบาท ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการได้จนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 และ มาตรการที่ 12 [ M 12 ] สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs สินเชื่อประเภทแฟลต มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการจำนวน 40 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 290 ล้านบาท ยื่นคำขอเข้ามาตรการได้ที่สาขาทั่วประเทศภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ขณะที่ มาตรการที่ 11 [ M 11 ] สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส. ธนาคารจะเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการระยะแรกผ่าน Application : GHB ALL ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 22.00 น. โดยลูกค้าที่มีสิทธิ์แจ้งความประสงค์ขอใช้ [ M 11 ] ต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส. โดยมีสถานะบัญชีปกติ และไม่อยู่ระหว่างการประนอมหนี้ สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อลดเงินงวดผ่อนชำระ (เงินงวดที่ชำระจะตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 6 เดือน (กุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2564) ทั้งนี้ ลูกค้าที่ต้องการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการระยะแรก ต้องอัพโหลดหลักฐานยืนยันว่า มีผลกระทบทางรายได้ผ่านทาง Application : GHB ALL ให้ธนาคารพิจารณา เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย หรือ Statement เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38705
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. โชว์ผลการดำเนินงานปี 63 ทำให้คนไทยมีบ้าน ปล่อยสินเชื่อใหม่ 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.57% สูงกว่าเป้าหมายถึง 15,791 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ธอส. โชว์ผลการดำเนินงานปี 63 ทำให้คนไทยมีบ้าน ปล่อยสินเชื่อใหม่ 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.57% สูงกว่าเป้าหมายถึง 15,791 ล้านบาท ธอส.เผยผลการดำเนินงานปี 2563 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้านได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 225,151 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 67 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคาร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการดำเนินงานปี 2563 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้านได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 225,151 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 67 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 9,850 ล้านบาท คิดเป็น 4.57% และสูงกว่าเป้าหมายถึง 15,791 ล้านบาท สินเชื่อคงค้าง 1,320,308 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 1,399,138 ล้านบาท เงินฝากรวม 1,162,687 ล้านบาท และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 47,572 ล้านบาท คิดเป็น 3.60% ของยอดสินเชื่อรวม กำไรสุทธิ 10,494 ล้านบาท ลดลง 21.41% ขณะที่ปี 2564 เดินหน้าด้วยแนวคิดหลัก “Be Simple, Make it Simple” หรือการทำให้คนไทยเข้าถึงการมีบ้านได้ง่ายๆ กับ ธอส. ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 3% ภายใต้ยุทธศาสตร์ มุ่งยกระดับบริการธนาคารสู่ Digital Service Bank นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ในปี 2563 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2562 ว่า แม้ในปี 2563 จะเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย แต่ ธอส. ยังคงสามารถสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านตามพันธกิจได้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนเงินสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ทำได้สูงสุดในรอบ 67 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารที่ 225,151 ล้านบาท 140,386 บัญชี เพิ่มขึ้น 4.57% สูงกว่าเป้าหมายถึง 15,791 ล้านบาท และแบ่งเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่สำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท จำนวน 88,007 ราย ทำให้มียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,320,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.18% มีสินทรัพย์รวม 1,399,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.41% เงินฝากรวม 1,162,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 47,572 ล้านบาท คิดเป็น 3.60% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลงจากปี 2562 ที่มี NPL อยู่ที่ 4.09% ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ได้รับกระทบจาก COVID-19 ตามนโยบายรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้การเกิด NPL อยู่ในอัตราที่ลดต่ำลง ซึ่งในปี 2563 ธอส. ช่วยเหลือลูกค้าผ่าน 10 มาตรการ มีจำนวนสูงสุด 687,489 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 576,139 ล้านบาท ขณะเดียวกันธนาคารยังได้ทยอยตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจาก COVID-19 ในอนาคต และเพื่อรองรับมาตรฐาน TFRS 9 เป็นจำนวน 96,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.18% หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 202.76% สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธนาคารและความพร้อมในการรองรับผลกระทบจาก COVID-19 ในอนาคต อย่างไรก็ตามในปี 2563 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 10,494 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2,858 ล้านบาท หรือ 21.41% เนื่องจากธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง เพื่อช่วยเหลือลูกค้า ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งมากที่ 15.30% (ณ พฤศจิกายน 2563) สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารยังคงปล่อยสินเชื่อได้สูงกว่าเป้าหมายแม้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีที่ผ่านมา คือ ธอส. นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายสลากออมทรัพย์ มาออกผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาดและตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละอาชีพ ทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Social Solution สำหรับผู้มีรายได้น้อย อาทิ มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. ยอดอนุมัติและทำนิติกรรมสูงสุดถึง 28,540 ล้านบาท โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน 28,900 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อในกลุ่ม Business Solution สำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ผลิตภัณฑ์ที่มียอดอนุมัติและทำนิติกรรมสูงสุดคือ สินเชื่อ D Plus ไตรมาส 3-4 จำนวน 21,970 ล้านบาท รวมถึงแรงส่งจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการจัดทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายของผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์” นายฉัตรชัย กล่าว สำหรับปี 2564 ธอส. ยังคงเดินหน้าด้วยแนวคิดหลัก “Be Simple, Make it Simple” หรือการทำให้คนไทยเข้าถึงการมีบ้านได้ง่าย ๆ กับ ธอส. สอดคล้องกับพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยเตรียมจำหน่ายสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดใหม่ นำมาจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ตั้งเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่จำนวน 215,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากเป้าหมายในปี 2563 สินเชื่อคงค้างที่ 1,374,116 ล้านบาท ภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2563 คือ การยกระดับบริการธนาคารสู่ Digital Service Bank ในปี 2564 และก้าวไปสู่การเป็น Digital Bank อย่างเต็มรูปแบบในปี 2566 ตาม Roadmap “บันได 3 ขั้น” ด้วยการนำบริการหลักทั้งสินเชื่อและเงินฝากขึ้น Digital Platform เพื่อให้บริการลูกค้าโดยไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา ตั้งเป้าลดจำนวนธุรกรรมที่เคาน์เตอร์ภายในสาขาให้เหลือ 5% ของจำนวนธุรกรรมทั้งหมด ส่วนจำนวนธุรกรรมผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ ตู้ชำระเงินกู้ LRM หรือ QR Non Cash Payment ที่หน้าสาขาเหลือ 15% และเพิ่มจำนวนธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL เป็น 80% ภายในปี 2565 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ GHB New Normal Services ในเฟสที่ 3 ซึ่งมีกำหนดให้บริการในเดือนมีนาคม 2564 รวมถึงเดินหน้าโครงการ Virtual Branch หน่วยบริการสินเชื่อไร้ที่ทำการโดยลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่สาขาแต่ยังคงได้รับบริการเสมือนอยู่ที่สาขา ซึ่งเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2564 มีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ผ่านโครงการจำนวน 10,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันธนาคารยังให้ความสำคัญกับการดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากปัญหาโควิด-19 อย่างใกล้ชิดผ่าน “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” ด้วย 4 มาตรการ ลดเงินงวดผ่อนชำระ (เงินงวดที่ชำระจะตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) นานสูงสุด 6 เดือน โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ล่าสุด ณ วันที่ 28 มกราคม 2564 เวลา 24:00 น. มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการแล้วรวมจำนวนกว่า 102,000 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 95,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส. ธนาคารจะเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการที่ 11 ผ่าน Application : GHB ALL ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.00 น. ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 22.00 น. เพื่อลดเงินงวดผ่อนชำระ(เงินงวดที่ชำระจะตัด เงินต้นและตัดดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 6 เดือน(กุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2564) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ ให้บริการ MOC Online One Stop Service ช่วยประชาชนรับบริการจากรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ด้วยระบบออนไลน์ของกระทรวงพาณิชย์
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 จุรินทร์ นำ ให้บริการ MOC Online One Stop Service ช่วยประชาชนรับบริการจากรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ด้วยระบบออนไลน์ของกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ นำ ให้บริการ MOC Online One Stop Service ช่วยประชาชนรับบริการจากรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ด้วยระบบออนไลน์ของกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศทุกประเทศและสำนักงานพาณิชย์ทุกจังหวัดซึ่งเป็นทีมเซลล์แมนทั้งหมด แถลงข่าวเปิดตัว MOC Online One Stop Service บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวด้วยระบบออนไลน์ ของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์และลดขั้นตอนการรับบริการของประชาชน นายจุรินทร์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ปีนี้มีแผนงานสำคัญ 1 ใน 14 แผนคือการเปิดให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวด้วยระบบออนไลน์ของกระทรวงพาณิชย์ “MOC Online One Stop Service” เกิดจากการรวบรวมบริการออนไลน์บนเว็บไซต์แอพพลิเคชั่นต่างๆของกระทรวงพาณิชย์รวม 9 หน่วยงาน นำมาไว้ที่จุดเดียว ผ่าน www.moc.go.th การให้บริการแบบ One Stop Service ให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียวด้วยระบบออนไลน์ ทั้งสิ้น 85 บริการ 4 ด้าน 1.จดทะเบียนธุรกิจ 22 บริการ 2.ทรัพย์สินทางปัญญา 11 บริการ 3.การค้าระหว่างประเทศ 28 บริการ 4.การค้าในประเทศ 24 บริการรวม 85 บริการ โดยผ่านการสำรวจจากทุกภาคส่วนทั้งผู้รับบริการ เกษตรกร ภาคการผลิต การส่งออก ภาคบริการและภาคธุรกิจทั่วไป รูปแบบของการให้บริการในหลายบริการนี้ ผู้รับบริการไม่จำเป็นต้องไปที่กระทรวงพาณิชย์หรือไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดแต่มาขอรับบริการผ่านระบบได้จบในจุดเดียว ทั้งเรื่องทะเบียนธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญา การขอใบอนุญาตใบขนสินค้าเกษตร หรือบริการอื่นๆในเวลาที่รวดเร็ว และที่สำคัญ 85 บริการนี้จะรวมการให้บริการเรื่องสถิติข้อมูลข่าวสารที่สำคัญนอกเหนือจากตัวเลขจะมีการให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่ตนเน้นเป็นพิเศษเพราะนำไปใช้ประกอบในการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆทั้งภาคการเกษตรและภาคอื่นที่เกี่ยวข้อง ช่วยวิเคราะห์ในภาคการลงทุนภาคธุรกิจได้ด้วยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญและจะมีการให้บริการผ่านการแชท (Chat) โดยมีเจ้าหน้าที่ให้บริการตอบคำถามและต่อไปจะให้บริการได้ 24 ชม.ให้ผู้รับบริการสะดวกที่สุด 1.เพื่อสะท้อนการมุ่งมั่นตั้งใจของการให้บริการกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการพัฒนาการให้บริการให้ง่ายต่อการรับบริการและสะดวกรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 2.เพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของ 1 ใน 14 แผนงานของกระทรวงพาณิชย์ที่แถลงไว้ว่าจะเป็นผลงานของปี 2564 ที่ได้ผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ต้นปี ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 3.เพื่อสนองนโยบาย e-Government ของรัฐบาลในยุค New Normal ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องการเห็นทุกกระทรวงพัฒนาไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยในการงานราชการเพื่อให้บริการพี่น้องประชาชน 4.มุ่งหวังในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลกซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความยากง่ายในการทำธุรกิจของไทยตัวหนึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในปี 2563 อันดับของประเทศไทยสูงขึ้นถึง 6 อันดับ ทำให้ประเทศไทยเข้ามาสู่ลำดับที่ 21 ของโลก หวังว่าจากนี้ไปภายใต้การร่วมมือของกระทรวงพาณิชย์ในการให้บริการประชาชนให้เกิดความง่ายในการทำธุรกิจการลงทุนในประเทศ อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้นต่อไป และเราจะไม่หยุดเท่านี้เราจะเร่งพัฒนาเพิ่มเติมอีกให้เร็วขึ้นกว่านี้ สะดวกกว่านี้ ง่ายกว่านี้และเพิ่มการให้บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวด้วยระบบออนไลน์ให้มีการบริการมากขึ้นกว่า 85 บริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต่างด้าว 3 สัญชาติ แห่ลงทะเบียนออนไลน์ ผ่านครึ่งทางกว่า 2 แสน 5 หมื่นคน
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ต่างด้าว 3 สัญชาติ แห่ลงทะเบียนออนไลน์ ผ่านครึ่งทางกว่า 2 แสน 5 หมื่นคน รมว.แรงงาน แจงยอดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติ ครม. วันที่ 29 ธันวาคม 2563 หลังผ่านครึ่งทางของ การลงทะเบียนออนไลน์ ตั้งแต่ 15 ม.ค. 64 เป็นต้นมา มีแรงงานต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้ว ทั้งสิ้น 251,755 คน และต้อง เข้าตรวจคัดกรองโควิด-19 พร้อมจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายใน 16 เม.ย. 64 ย้ำ ผู้ที่ยังไม่ดำเนินการ รีบยื่นบัญชีฯ ก่อน หมดเขต 13 ก.พ. 64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวมาโดยตลอด ด้วยแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนการผลิต เชื่อมโยงถึงเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันที่ประเทศไทยต้องพบกับการระบาดระลอกใหม่ ของเชื้อโควิด – 19 จำเป็นต้องผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทุกระดับในสังคม เพื่อมีส่วนร่วม มีบทบาท ในการช่วยกันเร่งเยียวยาเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวโดยเร็ว “กระทรวงแรงงาน ได้แก้ปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว โดยบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ได้อยู่และทำงานในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงานและสามารถตรวจสอบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งผลตอบรับการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นไปในทิศทางที่ดีมาก มีผู้ลงทะเบียนประมาณวันละกว่า 15,000 คน ทั้งนี้ ขอย้ำเตือนแรงงานต่างด้าว และนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว ที่ยังไม่แจ้งบัญชีรายชื่อให้รีบดำเนินการยื่นบัญชีฯ ผ่านระบบออนไลน์ภายในวันที่ 13 ก.พ. 64 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ และไม่สามารถอยู่ในประเทศไทย เพื่อทำงานได้อีกต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ข้อมูลจากระบบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ทางอิเล็กทรอนิกส์ https://e-workpermit.doe.go.th ของกรมการจัดหางาน ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 มีคนต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้วรวม 251,755 คน แบ่งเป็นกรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 62,415 ราย เป็นคนต่างด้าว จำนวน 236,223 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 142,932 คน กัมพูชา 67,945 คน และลาว 25,346 คน และกรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง โดยคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลด้วยตนเอง จำนวน 17,882 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 9,671 คน กัมพูชา 6,904 คน และลาว 1,307 คน “ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เห็นชอบการทบทวนแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง ที่ยื่นบัญชีรายชื่อฯแล้ว เข้าตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 กับโรงพยาบาลของรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ส่วนการตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม 6 โรค และประกันสุขภาพ หากมีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการพร้อมกับการตรวจคัดกรองโรคโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ให้ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ไม่เกินวันที่ 18 ตุลาคม 2564 พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการตรวจโรคโควิด – 19 เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าวและความมั่นคงของประเทศ และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 เมื่อคนต่างด้าวได้รับการรับรองผลว่าไม่เป็นโรคโควิด - 19 และผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ดังกล่าวแล้ว กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มีนายจ้าง ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวในระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 และคนต่างด้าวไปจัดทำทะเบียนประวัติและรับบัตรประจำตัว คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลัง ณ สถานที่ ที่กรมการปกครองหรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ส่วนคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง ให้ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร.38/1) ตามวิธีการที่กรมการปกครอง หรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 เมื่อมีนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ประสงค์จะรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าทำงาน ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 13 กันยายน 2564 และคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยุ่ด้านหลัง ณ สถานที่ ที่กรมการปกครองหรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” มอบนโยบายบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2564 “ฟรุ้ตบอร์ด” (Fruit Board)
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 “เฉลิมชัย” มอบนโยบายบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2564 “ฟรุ้ตบอร์ด” (Fruit Board) “เฉลิมชัย” มอบนโยบายบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2564 “ฟรุ้ตบอร์ด” (Fruit Board) ขานรับอนุมัติโครงการและงบประมาณกว่า 400 ล้าน เร่งพัฒนาและรับมือผลไม้ฤดูกาลใหม่ “เฉลิมชัย” มอบนโยบายบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2564 “ฟรุ้ตบอร์ด” (Fruit Board) ขานรับอนุมัติโครงการและงบประมาณกว่า 400 ล้าน เร่งพัฒนาและรับมือผลไม้ฤดูกาลใหม่ พร้อมเร่งเครื่องบุกตลาด ออนไลน์ออฟไลน์ ปรับแผนโลจิสติกส์เพิ่มขนส่งทางรางสู่เอเซียและยุโรป พร้อมเร่งปั้นนิคมอุตสาหกรรมผลไม้ ดึง AIC และ ส.อ.ท.ร่วมขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาผลไม้ไทยอย่างยั่งยืน รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งวันนี้ (29 ม.ค.) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ครั้งที่ 2/2564 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายทินกร อ่อนประทุม คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายชาตรี บุญนาค รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ และคณะกรรมการ ประชุมทางไกลออนไลน์ ผ่านระบบ ZOOM Application โดยนายอลงกรณ์ ได้ย้ำถึงแนวทาง 5 ยุทธศาสตร์ 15 นโยบายหลักของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการบริหารงานปี 2564 และขอให้ใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการทำงานยุคโควิด19 ต่อคณะกรรมการ fruit board โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ประสานการจัดทำแผนการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานผลไม้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จากสวนถึงผู้บริโภค รวมทั้งปรับแผนโลจิสติกส์ (logistics plan) ระบบการขนส่งกระจายผลไม้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเพิ่มแผนขนส่งทางรางเชื่อมไทยเชื่อมโลก เชื่อมทางรถไฟจีนที่ลาวและที่ด่านผิงเสียงชายแดนเวียดนามสู่ตลาดจีน เกาหลี รัสเซีย มองโกเลีย เอเซียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป แผนการวิจัยและพัฒนาผลไม้ตลอดห่วงโซ่อุปทานใช้วิทยาการสมัยใหม่และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนสร้างมูลค่าเพิ่มแผนแรงงาน แผนระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค แผนสื่อสารประชาสัมพันธ์และการตลาดโดยให้เร่งนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ พิจารณาในการประชุมคราวหน้า เป็นการปรับกลยุทธ์การทำงานต่อเนื่องจากฤดูกาลผลิตปีที่แล้ว เพื่อรับมือกับผลกระทบจากโควิด19 ปีที่ 2 และรับมือกับผลผลิตผลไม้ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้กว่า 24% จากรายงานการคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ทั้งนี้ ที่ประชุมฟรุ้ทบอร์ดได้เห็นชอบโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี 2564 งบประมาณ 492 ล้านบาท และมอบหมายกรมการค้าภายในนำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพิจารณาให้ความเห็นชอบในต้นเดือนกุมภาพันธ์ต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามโครงการฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย กิจกรรมสนับสนุนด้าน (1) การกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตและการเชื่อมโยงการจำหน่ายช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก (2) การเพิ่มช่องการจำหน่าย (3) การรวบรวมรับซื้อผลผลิตเพื่อส่งออก (4) การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และรณรงค์การบริโภคผลไม้ ซึ่งเป็นมาตรการรองรับสำหรับการบริหารจัดการรวมทั้งปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยเน้นการแก้ไขปัญหาเชิงรุกล่วงหน้า อาทิ ปัญหาผลผลิตออกมาพร้อมกันในช่วงต้นฤดูร้อน ปัญหาโลจิสติกส์ การขนส่งผลไม้ทั้งทางบก ทางอากาศ และทางเรือจากค่าบริการที่เพิ่มขึ้น ตู้คอนเทนเนอร์ที่ขาดแคลน ปัญหาแรงงาน และประเด็นความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนกรณีการปนเปื้อนโควิด19 ของสินค้าเกษตรที่จีนนำเข้าจากบางประเทศจึงต้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) รวมถึงมาตรการเพิ่มการสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศพร้อมกับประชาสัมพันธ์และทำการตลาดล่วงหน้าออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้ยังให้ส่งเสริมการแปรรูปผลไม้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสนับสนุนให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมผลไม้ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันออกโดยประสานงานกับศูนย์AIC ทุกจังหวัด และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมขับเคลื่อน นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเพิ่มจำนวนครัวเรือนเป้าหมายเกษตรกรในโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จาก 202,013 ครัวเรือน เป็น 202,173 ครัวเรือน โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 วงเงินงบประมาณ 3,440,049,735 บาท และขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ จากเดิม 31 มกราคม 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2564 เพื่อให้การดำเนินการเยียวยาชาวสวนลำไยในส่วนที่ยังตกหล่นครบถ้วนถูกต้องเป็นธรรม โดยจะนำเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ ต่อไป ส่วนการโอนเงินเยียวยาตามมติครม. 25 สิงหาคมนั้น ธ.ก.ส.รายงานว่าโอนเสร็จแล้วกว่า 99% เหลือเฉพาะเกษตรกรที่ติดขัดปัญหาไม่กี่ร้อยรายจาก 2 แสนราย ที่ประชุมยังรับทราบรายงานโครงการกระจายผลไม้ Pre – order โดย ประธานคณะอนุกรรมการ E- commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายกฤชฐา โภคาสถิต) และการนำเสนอแผนงานของสมาคมทุเรียนไทยในการส่งเสริมการส่งออกทุเรียนไทยในช่วงการระบาดของ Covid-19 พร้อมทั้งจัดทำคลิปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคทุเรียนไทย "กินทุเรียนไทย มั่นใจปลอดไวรัส Covid-19" เป็นภาษาจีน-ไทย-อังกฤษ โดยขอให้ช่วยเผยแพร่ในตลาดเป้าหมายด้วย สำหรับแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ช่วงวิกฤตการณ์ Covid–19 ที่ผ่านมานั้น ในคราวประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 1/2564 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 – 2566 ซึ่งเป็นแนวทางบริหารจัดการผลไม้ในระยะปานกลาง (3 ปี) ที่เน้นความสอดคล้องตามยุคสมัยปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารที่อำนวยความสะดวกมากขึ้นในยุค 4.0 ตลอดจนให้เข้ากับสถานการณ์การระบาดของโรค COVID – 19 โดยเน้นช่องทางการซื้อขายออนไลน์ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกระจายได้สูง เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนวิถีการขายแบบใหม่ ไม่ต้องพึ่งพ่อค้าคนกลาง โดยให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ทุกจังหวัดส่งเสริมและสนับสนุนอำนวยความสะดวกเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถกระจายผลผลิตด้วยวิธีการค้าออนไลน์ให้มากขึ้นต่อไป เน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง การเก็บเกี่ยวและการจัดการในสวนผลไม้จนถึงการขนส่งไปยังผู้บริโภคให้มีการปฏิบัติที่ปลอดภัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ครั้งที่ 43-1/2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ครั้งที่ 43-1/2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ครั้งที่ 43-1/2564 วันนี้ (29 มกราคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ครั้งที่ 43-1/2564 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทะเบียนโครงการเราชนะครึ่งวันแรกกว่า “5 ล้านคน” ระบบลื่นปรื้ด ไม่มีสะดุด
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ลงทะเบียนโครงการเราชนะครึ่งวันแรกกว่า “5 ล้านคน” ระบบลื่นปรื้ด ไม่มีสะดุด กรุงไทยเผยประชาชนสนใจลงทะเบียนโครงการเราชนะจำนวนมาก ยอดลงทะเบียนครึ่งวันแรกกว่า 5 ล้านคน ระบบรองรับได้ ไม่สะดุด สะท้อนศักยภาพที่เตรียมความพร้อมเต็มที่ ชี้ประชาชนทยอยลงทะเบียนได้ไม่มีเต็ม จนถึง 12 ก.พ. ผู้ลงทะเบียนตรวจรับสิทธิได้ 8 ก.พ. “กรุงไทย”เผยประชาชนสนใจลงทะเบียน “โครงการเราชนะ”จำนวนมาก ยอดลงทะเบียนครึ่งวันแรกกว่า 5 ล้านคน ระบบรองรับได้ ไม่สะดุด สะท้อนศักยภาพที่เตรียมความพร้อมเต็มที่ ชี้ประชาชนทยอยลงทะเบียนได้ “ไม่มีเต็ม” จนถึง 12 กุมภาพันธ์ ผู้ลงทะเบียนตรวจรับสิทธิได้ 8 กุมภาพันธ์ และเริ่มใช้สิทธิ 18 กุมภาพันธ์นี้ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้เตรียมความพร้อมทุกด้านอย่างเต็มที่ สำหรับการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ โดยการลงทะเบียนวันแรกสำหรับประชาชนทั่วไป ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2564 ที่เปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 06.00 น. มีประชาชนสนใจเข้ามาลงทะเบียนจำนวนมาก ในช่วงเช้ามียอดการลงทะเบียนแล้วจำนวน 5 ล้านคน ซึ่งระบบมีศักยภาพสามารถรองรับได้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ ประชาชนสามารถทยอยเข้ามาลงทะเบียนผ่าน เว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้เรื่อยๆ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น . จนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 โดยประชาชนไม่จำเป็นต้องรีบลงทะเบียนในวันแรก เนื่องจากไม่ได้จำกัดจำนวนผู้ได้รับสิทธิ ไม่มีเต็ม และไม่มีการปิดรับลงทะเบียนก่อนกำหนด ซึ่งหลังจากลงทะเบียนแล้ว เริ่มทยอยตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป หากได้รับสิทธิวงเงินจะเข้าในแอปพลิเคชันเป๋าตัง สัปดาห์ละ 1,000 บาท จนครบวงเงิน 7,000 บาท และเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 และสามารถสะสมใช้ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม การเปิดลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์นั้น เป็นช่องทางสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกันเท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับวงเงินเยียวยาโดยอัตโนมัติได้รับวงเงินเข้าบัตรเป็นรายสัปดาห์ จำนวนสัปดาห์ละ 675 บาท หรือ 700 บาท เริ่มเข้าวันแรก 5 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถสะสมได้ถึง 31 พฤษภาคม 2564 ส่วนกลุ่มที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ไม่ต้องลงทะเบียน แต่ต้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิผ่าน www.เราชนะ.com และแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะเปิดให้ตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป หากได้รับสิทธิวงเงินจะเข้าในแอปพลิเคชันเป๋าตัง สัปดาห์ละ 1,000 บาท เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สะสมใช้ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 “โครงการเราชนะมุ่งให้ความช่วยเหลือเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ประชาชนสามารถทยอยดำเนินการได้ทั้งกลุ่มที่ต้องลงทะเบียนรับสิทธิ และกลุ่มที่ต้องตรวจสอบสิทธิ ไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการในวันแรก เนื่องจากโครงการ ไม่มีเต็ม และไม่มีการปิดลงทะเบียนก่อนกำหนด” ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้สิทธิโครงการเราชนะกับร้านอาหาร และร้านค้าทั่วไป เช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่ง และยังสามารถใช้สิทธิกับร้านบริการ เช่น ร้านตัดผม ร้านนวดสปา และคลินิกทำฟัน รวมถึงสามารถใช้สิทธิกับการเดินทางขนส่ง ทั้งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก รถเมล์ รถตู้ให้บริการ และรถสองแถวได้ โดยร้านค้า ร้านบริการ และผู้ให้บริการรถเดินทางขนส่ง สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ที่ www.เราชนะ.com โดยเลือกเมนู "สมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะ สำหรับร้านค้า" แล้วกรอกข้อมูลร้านค้า เมื่อสมัครสำเร็จ ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ไว้สำหรับใช้รับการชำระเงิน จากแอปพลิเคชันเป๋าตัง ทีม Marketing Strategy โทร 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38735
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลยกโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เป็นวาระแห่งชาติในการขับเคลื่อนประเทศ โดยพัฒนาเศรษฐกิจจากจุดแข็งคือความอุดมสมบูรณ์ที่ประเทศไทยมี ได้แก่ อนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล ลดของเสียจากกระบวนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสร้างภูมิคุ้มให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง สำหรับการขับเคลื่อนในระยะ 5 ปีจากนี้ จะเน้นใน 4 สาขา ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน และการท่องเที่ยว ครอบคลุมการจ้างงานร้อยละ 50 ของการจ้างงานทั้งประเทศ และคาดว่าโมเดลเศรษฐกิจ BCG จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้นได้ถึง 4.4 ล้านล้านบาท ในอีก 6 ปีข้างหน้า “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดพัฒนาสื่อปลอดภัยฯเห็นชอบตั้งอนุกรรมการ 3 ชุด พร้อมให้ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกฯปี 2551 พัฒนาการทำงานมีประสิทธิภาพ-บูรณาการเชื่อมโยงส่วนกลางและจังหวัดมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 บอร์ดพัฒนาสื่อปลอดภัยฯเห็นชอบตั้งอนุกรรมการ 3 ชุด พร้อมให้ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกฯปี 2551 พัฒนาการทำงานมีประสิทธิภาพ-บูรณาการเชื่อมโยงส่วนกลางและจังหวัดมากขึ้น บอร์ดพัฒนาสื่อปลอดภัยฯเห็นชอบตั้งอนุกรรมการ 3 ชุด พร้อมให้ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกฯปี 2551 พัฒนาการทำงานมีประสิทธิภาพ-บูรณาการเชื่อมโยงส่วนกลางและจังหวัดมากขึ้น เผยผลงานปี 2563 ดำเนินงาน 556 โครงการ มีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน 459 หน่วยงาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้รับมอบหมายจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติให้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระยะที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ซึ่งเป็นข้อมูลจากหน่วยงานราชการ 20 กระทรวง ส่วนราชการ 76 จังหวัด องค์กรและภาคีเครือข่าย 30 องค์กรมีการดำเนินงาน 556 โครงการในส่วนกลางและภูมิภาคและการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยมีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน 459 หน่วยงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯระยะที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อเสนอแนะ เช่น มีการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์และประเด็นการพัฒนาสำคัญของแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เข้ากับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดยกย่องเชิดชูผลงานสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดทำแพลตฟอร์มเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์และหลักสูตรรู้เท่าทันสื่อสำหรับสถานศึกษา อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมอบหมายให้วธ.รวบรวมข้อเสนอแนะจากกรรมการฯทั้งหมดและวิเคราะห์สรุปและจัดทำเป็นแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ต่อไป นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดใหม่ 3 คณะทดแทนคณะอนุกรรมการชุดเดิมที่มีการยกเลิกไป เพื่อขับเคลื่อนแผนด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการบูรณาการและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างส่วนกลางและจังหวัดมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้เป็นปัจจุบัน ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการจัดทำและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานและอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานต่างๆและผู้ทรงคุณวุฒิ 2.คณะอนุกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานต่างๆในจังหวัด และ3.คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ.2551 มีรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมที่กำกับดูแลกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เป็นประธานและอนุกรรมการประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ วธ.จะเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการฯทั้ง 3 ชุดต่อประธานกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป ขณะเดียวกันที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ.2551 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และเกิดความชัดเจนในเรื่องบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ให้คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ.2551 ไปยกร่างแก้ไขระเบียบดังกล่าวและเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติภายในเดือนพฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ขานรับนโยบาย ก.อุตฯ เดินหน้าเติมทุนดอกเบี้ยถูก 1%ต่อปี เสิร์ฟสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” ยกระดับข้ามผ่านโควิด
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 SME D Bank ขานรับนโยบาย ก.อุตฯ เดินหน้าเติมทุนดอกเบี้ยถูก 1%ต่อปี เสิร์ฟสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” ยกระดับข้ามผ่านโควิด SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าหน่วยร่วมเติมทุนโครงการสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท เปิดโอกาสนิติบุคคลที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนนาน 7 ปี SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าหน่วยร่วมเติมทุนโครงการสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท เปิดโอกาสนิติบุคคลที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนนาน 7 ปี เพื่อเสริมสภาพคล่อง ยกระดับธุรกิจ ก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 สู่ธุรกิจยุค New Normal นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีมติอนุมัติโครงการสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท สนับสนุนให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำ โดยมี SME D Bank เป็นหน่วยร่วมทำหน้าที่ดำเนินการวิเคราะห์และอนุมัติสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ของกองทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง สำรองเป็นค่าใช้จ่าย หรือลงทุน ขยาย ปรับปรุง กิจการ ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนการเติบโตสู่ยุค New Normal สำหรับสินเชื่อดังกล่าว คิดอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ระยะเวลากู้นานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนิติบุคคลที่เป็นผู้ผลิต ให้บริการ ค้าปลีกค้าส่ง หรือผู้ใช้ในธุรกิจ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, 2. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, 3. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์, 4. กลุ่มธุรกิจผู้ผลิต/ผู้ใช้หุ่นยนต์ เครื่องจักรอัตโนมัติ หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), 5. กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว หรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และ 6. กลุ่มธุรกิจ Tech Startup รวมถึง ธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ (กอป.) กำหนด ทั้งนี้ คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ แบ่งเป็น การผลิตสินค้าหรือการให้บริการ ต้องจ้างงานไม่เกิน 200 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดิน มูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาท ส่วนการค้าปลีกหรือการค้าส่ง ต้องจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดิน มูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท ต้องมีระบบบัญชีเดียว หรือแจ้งความประสงค์ที่จะเข้าสู่ระบบบัญชีเดียว มีประวัติการชำระหนี้ปกติอย่างน้อย 12 งวด โดยผู้ขออนุมัติสินเชื่อไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ณ วันที่ยื่นใบคำขอเข้าร่วม อีกทั้ง ผู้ขอสินเชื่อต้องไม่อยู่ระหว่างได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย, กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 10,000 ล้านบาท, โครงการฟื้นฟูฯ สำหรับ SMEs คนตัวเล็ก วงเงิน 8,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน วงเงิน 3,000 ล้านบาท ผู้สนใจสินเชื่อเสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.thaismefund.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โทร.02-202-3879 และ Call Center ของ SME D Bank โทร.1357 “รัฐบาลให้ความสำคัญของการส่งเสริมเอสเอ็มอียกระดับปรับธุรกิจด้วยการใช้เทคโนโลยียุคใหม่ จึงได้อนุมัติสินเชื่อเสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมี SME D Bank เป็นหน่วยร่วมดำเนินการพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งโครงการนี้จะเป็นอีกกลไกสำคัญช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถดำเนินธุรกิจในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในต่างประเทศและต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ให้สามารถฟื้นตัว และเข้มแข็งได้ในเร็ววัน” นางสาวนารถนารี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38727
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรเฮ! ชดเชยลำไย – แก้ไขกระเทียมล้นตลาด
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 เกษตรกรเฮ! ชดเชยลำไย – แก้ไขกระเทียมล้นตลาด ... ผลจากโรคโควิด-19 และสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ชาวสวนลำไยต้องเดือดร้อน เพราะผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เก็บเกี่ยวได้ช้ากว่าปกติ และมีปริมาณมากจนล้นตลาด . ธกส. โดยความเห็นชอบของ ครม. จึงได้ขยายโครงการเยียวยาชาวสวนลำไย ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ออกไปจากเดิมสิ้นสุด 31 ธ.ค. 63 เป็น 31 ม.ค. 64 ครอบคลุมชาวสวนลำไย 202,013 ครัวเรือน . ส่วนปัญหา “กระเทียม” ล้นตลาด จะเข้มงวดการนำเข้าให้เป็นไปตามข้อตกลง โดยปัจจุบันไทยผลิตได้ 80,000 ตัน แต่บริโภค 170,000 ตัน จึงต้องนำเข้า 60,000 ตัน หากมีการลักลอบนำเข้า จะมีความผิด จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท . นอกจากนี้ยังให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อรับซื้อกระเทียมจากเกษตรกรมาเก็บไว้ เพื่อรอเวลาขายในช่วงที่ราคาดี . ส่วนในระยะยาวจะส่งเสริมให้ปลูกกระเทียมออร์แกนิค และนำไปใช้สร้างนวัตกรรมทางอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่า #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38716
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาแรงงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ​รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาแรงงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ​รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาแรงงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33 วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564 นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33 โควิดรอบใหม่ ดังนี้ 1. ลดอัตราเงินสมทบ เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการจ่ายเงินสมทบ ดังนี้ -จากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 3 (มกราคม 2564) -จากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 0.5 (กุมภาพันธ์-มีนาคม 2564) 2. ออกกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยและหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อเป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น โดยให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน 3. ดูแลผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด-19 หากแพทย์ประเมินอาการแล้วสงสัยว่าเข้าข่ายป่วย โรคโควิด-19 แพทย์จะส่งตรวจโดยผู้ประกันตนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถเข้ารับการรักษา ใน รพ. ตามสิทธิประกันสังคม ตลอดจนการส่งต่อเพื่อการรักษา รวมถึงได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เนื่องจากถูกกักตัวและการหยุดงานเพื่อการรักษาตัว คนต่างด้าวสิทธิในการลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง 30 วันทำงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน หากต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์ต่อไปอีก ประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ไม่เกิน 90 วันต่อครั้ง 4. เพิ่มสิทธิการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยออกประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีคัดกรองการติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) เชิงรุกในสถานประกอบการ สำหรับจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจความต้องการของประชาชน ปี พ.ศ. 2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ผลสำรวจความต้องการของประชาชน ปี พ.ศ. 2564 วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ผลสำรวจความต้องการของประชาชน ประจำปี 2564 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.5 พึงพอใจต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาต่างๆ ในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 47.2 เชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในระดับมาก-มากที่สุด ส่วนความต้องการของประชาชน 5 อันดับแรก คือ ควบคุมราคาสินค้าและลดค่าน้ำค่าไฟ เพิ่มมาตรการสวัสดิการต่างๆ เช่น คนละครึ่ง เบี้ยยังชีพ แก้ปัญหาด้านการเกษตร แก้ปัญหาว่างงาน และ ชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยการสำรวจครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป 46,600 คน ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 23 พ.ย. – 8 ธ.ค. 2563 ซึ่งรัฐบาลจะนำไปเป็นข้อมูลในการวางแผนนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พักหนี้เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงสูง พร้อมเปิดให้ขอสินเชื่อฉุกเฉินและเสริมสภาพคล่อง 29 ม.ค. นี้
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ธ.ก.ส. พักหนี้เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงสูง พร้อมเปิดให้ขอสินเชื่อฉุกเฉินและเสริมสภาพคล่อง 29 ม.ค. นี้ บอร์ด ธ.ก.ส. สั่งเร่งขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งการพักชำระหนี้ต้นเงินกู้เกษตรกร 1 ปี ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร ผู้กู้เงินสินเชื่อฉุกเฉิน 6 เดือน และผู้เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ 1 ปี บอร์ด ธ.ก.ส. สั่งเร่งขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งการพักชำระหนี้ต้นเงินกู้เกษตรกร 1 ปี ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร ผู้กู้เงินสินเชื่อฉุกเฉิน 6 เดือน และผู้เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ 1 ปี พร้อมเติมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นผ่านสินเชื่อฉุกเฉินให้กับเกษตรกรและครอบครัว วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.1 % ต่อเดือน ปลอดชำระหนี้ 6 เดือน และสินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี เริ่มเปิดรับคำขอสินเชื่อ 29 ม.ค.นี้ นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส. มีมติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เห็นชอบมาตรการและมอบหมาย ธ.ก.ส. เร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ระลอกใหม่ในประเทศไทย โดยพักชำระหนี้ให้กับสัญญาเงินกู้ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2564 ในพื้นที่ 28 จังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมสูงสุดตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และจังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ลูกค้าเกษตรกรและลูกค้ารายคน ที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากงวดชำระเดิม 2) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) สหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ) กลุ่มเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชน และองค์กร ที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากงวดชำระเดิม 3) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ลูกค้าที่กู้เงินตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากงวด ชำระเดิม 4) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ ที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากงวดชำระเดิม นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อเติมเงินเข้าสู่ระบบ ทั้งในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นในชีวิตประจำวัน และการฟื้นฟูเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วยโครงการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับเกษตรกรและครอบครัวของเกษตรกร วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่เพียงร้อยละ 0.1 ต่อเดือน กำหนดชำระคืนไม่เกิน 2 ปี 6 เดือนนับจากวันกู้ ไม่ต้องใช้หลักประกัน และสามารถแบ่งงวดชำระได้ตามความสามารถในการชำระคืน (รายเดือน / 3 เดือน / 6 เดือน) โดยปลอดชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก นับจากวันกู้ เริ่มเปิดให้ขอสินเชื่อทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2564 และโครงการสินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) กลุ่มเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชน องค์กร และสหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ) ในพื้นที่ 28 จังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมสูงสุด ตามประกาศ ศบค. และจังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติม อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 12 เดือนนับตั้งแต่วันเบิกรับเงินกู้ แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2565ปลอดชำระต้นเงินไม่เกิน 6 เดือนแรกนับแต่วันกู้ เริ่มเปิดให้ขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 ธันวาคม 2564 ที่ ธ.ก.ส. สาขาในพื้นที่ของท่าน ทั้งนี้ สามารถแจ้งความจำนงค์เข้าร่วมโครงการข้างต้นกับ ธ.ก.ส. ผ่านช่องทาง LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ www.baac.or.th โดยในกรณีแสดงความประสงค์ขอพักชำระหนี้จะปรากฏข้อความ “ธ.ก.ส. ได้รับข้อมูลของท่านเรียบร้อยแล้ว” เป็นการดำเนินการเสร็จสิ้น หากลูกค้าแสดงความประสงค์ขอสินเชื่อ ให้เลือกประเภทสินเชื่อที่ต้องการและกด “ถัดไป” จะปรากฏข้อความ “ธ.ก.ส. ได้รับข้อมูลของท่านเรียบร้อย” เป็นการดำเนินการเสร็จสิ้น และช่องทาง Call Center 02 555 0555 หรือที่ สาขา ธ.ก.ส.ในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38728
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เห็นชอบผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เผย ผลสำรวจสถาบันโลวี ออสเตรเลีย จัดอันดับไทย เป็นประเทศที่รับมือการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลก
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ศบค. เห็นชอบผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เผย ผลสำรวจสถาบันโลวี ออสเตรเลีย จัดอันดับไทย เป็นประเทศที่รับมือการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลก ศบค. เห็นชอบผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 กำหนดพื้นที่สถานการณ์ 5 ระดับ เผย ผลสำรวจสถาบันโลวี ออสเตรเลีย จัดอันดับไทย เป็นประเทศที่รับมือการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลก วันนี้ (29 ม.ค.64) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผลการประชุม ศบค. ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธานฯ สรุปสาระสำคัญดังนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในไทยวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 802 ราย (ติดเชื้อในประเทศ 781 ราย และติดเชื้อจากต่างประเทศ 21 ราย) ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม 17,023 ราย หายป่วยแล้ว 11,396 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย (15 ธ.ค.63 - 29 ม.ค. 64) มีผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,786 ราย (แบ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 4,458 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 7664 ราย และจากต่างประเทศ 664 ราย) โดยส่วนใหญ่พบที่จังหวัดสมุทรสาคร 98% ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 1.2% และอื่น ๆ 0.8% โดยมีจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อสะสมรวม 63 จังหวัด โฆษก ศบค. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. กล่าวน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ในการสนับสนุนทางด้านการแพทย์ให้กับกระทรวงสาธารณสุขและประชาชน พร้อมเน้นย้ำถึงผลสำรวจของสถาบันโลวี (Lowy Institute) ประเทศออสเตรเลีย ที่จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก จากการสำรวจทั้งหมด 98 ประเทศ โดยนิวซีแลนด์ เป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุดอยู่ในอันดับที่ 1 รองลงมาคือเวียดนาม ไต้หวัน และไทยตามลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของประเทศไทย โดย ผอ.ศบค. ขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันทำงานด้วยความเสียสละ อดทน อดกลั้น เพื่อประเทศชาติ และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ที่ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว พร้อมแสดงความห่วงใยถึงเด็กโดยเฉพาะเรื่องการเปิดสถานศึกษาซึ่งเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และเรื่องวัคซีนที่ต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ต้องมีการวางแผนกระจายวัคซีนให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงวัคซีน โดยให้นำแผนมาเสนอในสัปดาห์หน้าเพื่อการพิจารณาเตรียมการต่อไป และนายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำให้สื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวของกับโควิด-19 ของทุกหน่วยงาน ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ ซึ่งจะทำให้กระบวนการทำงานประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น สำหรับแนวปฏิบัติในการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเป็นการกำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์ 5 ระดับ ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีมาตรการดังนี้ 1. ปิดสถานที่และเข้มงวดการควบคุมกำกับ ได้แก่ สถานบริการ สถานประกอบการคล้ายสถานบริการผับ บาร์ คาราโอเกะ สนามมวย สถานที่ออกกำลังกายในร่ม ห้าง ฟิตเนส สนามชนไก่ ชนวัว กัดปลา บ่อน สนามพระเครื่อง กิจการอาบน้ำ อาบอบนวด สปา นวดแผนไทย โรงเรียน โรงเรียนกวดวิชา สถาบันการศึกษา สนามเด็กเล่น สวนสนุก เครื่องเล่นเด็ก ตู้เกมส์ ร้านเกมส์ ร้านอินเทอร์เน็ต การประชุมงานเลี้ยง กิจกรรมประเพณีที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก การจัดงานแสดงสินค้า สถานีขนส่งสาธารณะ 2. เปิดสถานที่ เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค มีดังนี้ ตลาด ตลาดนัด จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการและกำกับการเว้นระยะห่าง ร้านอาหาร เปิดบริการได้ไม่เกิน 21.00 น. งดดื่มสุราในร้าน ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จำกัดเวลาเปิดไม่เกิน 21.00 น. ศูนย์เด็กเล็กและสถานที่พักผู้สูงอายุ เฉพาะเข้าพักเป็นการประจำ สถานประกอบการ โรงแรม พร้อมกำกับมาตรการป้องกันโรคในองค์กร จัดให้มีระบบติดตามตัวของผู้เดินทางเข้าออกทุกคน พื้นที่ควบคุมสูงสุด (4 จังหวัด - กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี) ยังคงไม่เปิดให้บริการผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานบันเทิง บ่อนการพนัน อาบอบนวด และงดการจัดกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อนุญาตให้เปิดร้านนวด นวดแผนไทย สปา และฟิตเนส โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ ในส่วนของร้านอาหาร เครื่องดื่ม สามารถนั่งรับประทานอาหารได้โดยจำกัดเวลาไม่เกิน 23.00 น. และงดการดื่มสุราในร้าน อนุญาตให้มีการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม โดยให้จัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานทั้ง On site Online และ On air กรณีโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนทั้งโรงเรียนไม่เกิน 120 คน สามารถเปิดเรียนได้ปกติทุกพื้นที่ แต่จะต้องกำกับมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด การจัดประชุม สัมมนา จัดเลี้ยง กำกับจำนวนผู้ร่วมกิจกรรม ไม่เกิน 100 คน งดการดื่มสุราและการแสดงดนตรีที่มีการเต้นรำ ในส่วนของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ รวมถึง ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า จัดนิทรรศการ สามารถเปิดให้บริการตามเวลาปกติได้ภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่กำหนด สำหรับแรงงานต่างด้าว งดการเดินทาง เคลื่อนย้าย และจะต้องใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ หากมีกรณีจำเป็นจะต้องเคลื่อนย้าย เช่น แรงงานที่จะต้องทำการก่อสร้างต่างพื้นที่ จะต้องขออนุญาตคณะกรรมการโรคติดต่อจัหวัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด พื้นที่ควบคุม (20 จังหวัด - กาญจนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สิงห์บุรี ตราด ตาก นครนายก นครปฐม ปราจีนบุรี เพชรบุรี ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม สระแก้ว สระบุรี สุพรรณบุรี อยุธยา อ่างทอง) อนุญาตให้เปิดผับ บาร์ คาราโอเกะได้ แต่จำกัดการจำหน่ายสุราและนั่งรับประทานในร้านได้ไม่เกิน 23.00 น. แสดงดนตรีได้ แต่งดการเต้นรำ ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานได้ แต่จำกัดเวลาการจำหน่ายสุราและการนั่งรับประทานในร้านได้ไม่เกิน 23.00 น. เน้นย้ำให้รักษาระยะห่าง ไม่ดื่มแก้วเดียวกัน และจะต้องล้างมือบ่อย ๆ ในส่วนของการเรียนการสอนสามารถดำเนินการได้โดยปกติ การจัดประชุมสัมมนาจำกัดผู้เข้าร่วมได้ไม่เกิน 300คน และ ห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดได้ตามปกติ แต่จะต้องงดการส่งเสริมการขาย ที่ทำให้เกิดการรวมตัวเป็นจำนวนมาก คนไทยเดินทางข้ามจังหวัด เน้นการตรวจคัดกรอง ติดตามกำกับกรณีเดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่เฝ้าระวังสูง (17 จังหวัด - กำแพงเพชร ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร นครราชสีมา นครสวรรค์ นราธิวาส บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบูรณ์ ยะลา ระนอง สงขลา สุโขทัย สุราษฎร์ธานีอุทัยธานี) อนุญาตให้เปิดบริการฟิตเนส สปา ร้านนวด อาบอบนวด และอนุญาตให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะสามารถเปิดได้ถึง 24.00 น. ร้านอาหารสามารถจำหน่ายสุราได้ไม่เกิน 24.00 น. คนไทยสามารถเดินทางข้ามจังหวัด เน้นการตรวจคัดกรอง ติดตามกำกับกรณีเดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่เฝ้าระวัง (35 จังหวัด - กระบี่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง นครพนม นครศรีธรรมราช น่าน บึงกาฬ ปัตตานี พะเยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก แพร่ ภูเก็ต มหาสารคามมุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี) ผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมเกือบทั้งหมด ดำเนินกิจการ/กิจกรรมได้เกือบปกติ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขึ้นอีก คนไทยเดินทางข้ามจังหวัด เน้นการตรวจคัดกรอง ติดตามกำกับกรณีเดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด โฆษก ศบค. กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ทันต่อการผ่อนคลายมาตรการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ต่อไป และย้ำให้ทุกคนมีวินัย ช่วยกันดูแล เพื่อให้คงอยู่ในมาตรการผ่อนคลายไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องการให้เกิดการระบาดขึ้นอีก เนื่องจากจะกระทบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงกรณีการผ่อนคลายการจัดการแข่งขันกีฬาภายใต้มาตรการป้องกันยับยั้งโควิด-19 โดยมีหลักการในการพิจารณาผ่อนคลายการจัดการแข่งขันกีฬาและกิจกรรมระดับชาติและนานาชาติ ดังนี้ 1. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากต่างประเทศจะต้องกักตัว เป็นเวลา14 วัน 2. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนจะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 3. ผู้จัดกิจกรรมต้องสร้าง Bubble ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ 4. ทุกกิจกรรมยังไม่อนุญาตให้มีผู้เข้าชม และ 5. เน้นมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 D-M-H-T-T สำหรับกิจกรรมที่สมควรได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการ ได้แก่ การแข่งขันฟุตบอลอาชีพไทยลีก ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. - เม.ย. 64 การแข่งขันวอลเลย์บอล ไทยแลนด์ ลีก ระหว่างวันที่ 13 ก.พ. - 11 พ.ย. 64 การแข่งขันจักรยานชิงแชมป์ประเทศไทย และประเภทนานานาชาติ ในเดือน ก.พ. - พ.ย. 64 การประกวด Miss Grand International 2020 ระหว่างวันที่ 1 - 28 มี.ค. 64 และ การแข่งขันกอล์ฟ LPGA พื้นที่จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 3 - 9 พ.ค. 64 อีกทั้งที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งพื้นที่ Organizational Quarantine (OQ) ในพื้นที่ 14 กองร้อย ตชด. เพื่อรองรับบุคคลที่ลักลอบเข้าประเทศ ได้แก่ อ. แม่สอด จ.ตาก จ.เชียงราย จ.ระนอง จ.สงขลา จ.จันทบุรี จ.สระแก้ว และ จ.หนองคาย ซึ่งสามารถรองรับได้กว่า 84,000 คน ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านวัคซีนได้ปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ได้เพิ่มความเข้มข้นสำหรับมาตรการค้นหาเคสผู้ป่วยเพิ่มเติม เช่น เข้าสุ่มตรวจ Anti-body ในพื้นที่ใหญ่ ที่มีโรงงาน หอพัก อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ถ้าพบผลบวกจะทำการตรวจ PCR และนำผู้ติดเชื้อไปรักษาตัว กรณีที่หอพักและที่ทำงานไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ให้มีการกำหนดเส้นทางที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการสัมผัสกับผู้อื่น และการตรวจในพื้นที่โรงงานขนาดเล็ก ให้มีการสุ่มตรวจทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ แรงงาน และคนในพื้นที่ด้วย -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุม อก 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (29 มกราคม 2564) เวลา 09.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เพื่อทราบข้อกำหนดและประกาศที่เกี่ยวข้อง การรายงานสถานการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ตามแนวชายแดน ความคืบหน้าการจัดหาและการเตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีนโควิค – 19 และการดำเนินการให้เป็นไปตามข้ออนุมติของนายกรัฐมนตรีตามการเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และหน่วยงานผู้แทนภาครัฐเข้าร่วมประชุมฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุม อก 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตากใบโมเดล
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ตากใบโมเดล รมช.ธรรมนัส ติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาการเกษตรแบบครบวงจรในพื้นที่อำเภอตากใบ “ตากใบโมเดล” เพื่อพัฒนาอำเภอตากใบให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างพร้อมเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงาน โครงการพัฒนาการเกษตรแบบครบวงจรในพื้นที่อำเภอตากใบ “ตากใบโมเดล” ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นราธิวาส ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เล็งเห็นว่าอำเภอตากใบ เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาทางด้านการเกษตร มีพื้นที่ชลประทาน และทรัพยากรดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ทางด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน พบว่า มีการปลูกยางพารา ร้อยละ 13.43 ปาล์มน้ำมัน ร้อยละ 11.44 ไม้ผลผสม ร้อยละ 5.56 มะพร้าว ร้อยละ 5.85 และนาข้าว ร้อยละ 17.07 นอกจากนี้ อำเภอตากใบยังเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิกระดังงา ที่ตำบลเกาะสะท้อน ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองของอำเภอตากใบ อีกทั้งยังมีสินค้าทางการประมงที่ขึ้นชื่อ คือ ปลากุเลาเค็ม มีการผลิตด้านปศุสัตว์ที่มีคุณภาพ และยังเป็นอำเภอที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย สามารถรวบรวมขายส่งสินค้าทางการเกษตรในพื้นที่ในอำเภอตากใบและรอบนอก เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างดี “เพื่อเป็นการพัฒนาพื้นที่อำเภอตากใบอย่างครบวงจร ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการพัฒนาพื้นที่อย่างเป็นระบบ โดยการบูรณาการจากทุกภาคส่วน เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเกษตร เช่น ทรัพยากรดิน/น้ำ พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพสินค้า ส่งเสริมการผลิตสินค้าทางการเกษตร เพื่อมุ่งหวังให้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพัฒนาอำเภอตากใบให้เป็นพื้นที่ตัวอย่าง ในการพัฒนาพื้นที่ขยายผลโครงการพระราชดำริ อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มีเนื้อที่ 174,797 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตร 89,627 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 72 ของพื้นที่ แยกเป็นด้านพืช ด้านปศุสัตว์ และด้านการประมง มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำนรา ซึ่งอำเภอตากใบนั้น มีการพัฒนาด้านการเกษตรจนถึงด้านการตลาดแบบครบวงจร และที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของโครงการพระราชดำริที่สำคัญ เช่น พื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้แก่ โครงการหมู่บ้านปศุสัตว์ – เกษตรมูโนะ โครงการพัฒนาพื้นที่บ้านโคกอิฐ – โคกใน ยูโย โคกงู โคกกระท่อม และพื้นที่ขยายผลอื่น ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบของโครงการพระราชดำริ สามารถนำผลสำเร็จของโครงการมาเป็นแบบอย่าง และขยายผลในการพัฒนาพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอความร่วมมือผู้ป่วยโควิด 19 ไม่ปกปิดข้อมูล ช่วยป้องกันการระบาด
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 สธ.ขอความร่วมมือผู้ป่วยโควิด 19 ไม่ปกปิดข้อมูล ช่วยป้องกันการระบาด กระทรวงสาธารณสุขของความร่วมมือผู้ป่วยโควิด 19 ไม่ปกปิดข้อมูล ช่วยป้องกันการระบาดของโรค แนะงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานปาร์ตี้ ควรงดไปก่อน เนื่องจากมีการใช้ภาชนะร่วมกัน ไม่มีการป้องกันตัวเอง อาจเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ กระทรวงสาธารณสุขของความร่วมมือผู้ป่วยโควิด 19 ไม่ปกปิดข้อมูล ช่วยป้องกันการระบาดของโรค แนะงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานปาร์ตี้ ควรงดไปก่อน เนื่องจากมีการใช้ภาชนะร่วมกัน ไม่มีการป้องกันตัวเอง อาจเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ ย้ำใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ คือวัคซีนป้องกันโรคที่ดีที่สุดตอนนี้ วันนี้ (29 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 802 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 781 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 692 ราย และจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 89 ราย ส่วนอีก 21 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมการระบาดระลอกใหม่ (วันที่ 15 ธันวาคม 2563–29 มกราคม 2564) 12,786 ราย หายป่วยเพิ่ม 109 ราย สะสม 7,456 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม 5,314 ราย ไม่เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 16 ราย ทั้งนี้ สถานการณ์โดยรวมในสัปดาห์นี้ (วันที่ 23 – 29 มกราคม 2564) พบจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 7 วัน มี 35 จังหวัด และมีการปรับพื้นที่เฝ้าระวังทั้ง 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่เฝ้าระวังสูง 17 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 20 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 4 จังหวัด ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดคือ จังหวัดสมุทรสาคร นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า กระบวนการสอบสวนโรคมีสวนสำคัญเพื่อให้ได้ไทม์ไลน์ผู้ป่วยที่ชัดเจนส่งผลดีต่อการป้องกันแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง เพราะการสอบสวนโรคคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์การระบาด ทำให้ทราบขอบเขตการระบาด หาสาเหตุการเกิด โดยจะสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยทั้งหมด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง ดังนั้น ขอความร่วมมือผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกราย อย่าปกปิดข้อมูลของตนเอง ต้องโหลดแอพพลิเคชั่นหมอชนะ เนื่องจากมีผลต่อการควบคุมป้องกันโรคทำให้สามารถค้นหาผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้ป่วยได้ ขอย้ำเตือนการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานปาร์ตี้ควรงดหรือเลื่อนไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการใช้ภาชนะร่วมกัน พูดคุยเสียงดัง อยู่ในพื้นที่แออัดเป็นเวลานาน ไม่มีการป้องกันตัวเอง อาจเกิดการติดเชื้อและเกิดแพร่ระบาดของโรคได้ สำหรับความก้าวหน้าการฉีดวัคซีน ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ประเทศสิงค์โปร์ ฉีดไปแล้ว 2% ของประชากรในประเทศ รวมทั้งอินโดนีเชีย 0.14% และพม่า 0.13% ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านทยอยฉีดวัคซีน จะช่วยให้ประเทศไทยทราบประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของวัคซีน เพราะทุกประเทศมีการศึกษา ติดตามข้อมูลวัคซีนหลังฉีด ขอประชาชนอย่ากังวลใจ ประเทศไทยไม่ได้ล่าช้ายังคงกำหนดการฉีดวัคซีนเป็นไปตามแผนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้วัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคขณะนี้ คือการเว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้เมาท์ชิลด์หรือเฟสชิลด์เพียงอย่างเดียว ******************************** 29 มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสนอ เมืองโบราณศรีเทพ เป็นมรดกโลก
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 เสนอ เมืองโบราณศรีเทพ เป็นมรดกโลก วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเสนอชื่อ เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เข้าสู่บัญชีมรดกโลก เนื่องจากเป็นเมืองสำคัญที่แสดงให้เห็นเทคโนโลยีการออกแบบและวางผังเมืองในสมัยทวารวดี ยังมีหลักฐานมณฑลจักรวาลตามคติพุทธที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีประติมากรรมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เข้าเกณฑ์ความเป็นมรดกโลกในด้านการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์และประจักษ์หลักฐานที่ยอดเยี่ยมของอารยธรรม โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองมรดกโลกแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ และป่าดงพญาเย็น ทั้งนี้ การเป็นมรดกโลก เป็นการยกระดับการดูแลรักษาแบบอนุรักษ์ควบคู่กับการใช้ประโยชน์ ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2564
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส.ชี้การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในไทยและการเข้าสู่เทศกาลวันตรุษจีน ส่งผลราคาสินค้าเกษตรเดือน ก.พ.2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้การระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยและการเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันตรุษจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า น้ำตาลทรายดิบ และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกุมภาพันธ์ 2564โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 12,104 - 12,276 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.09 - 4.55 เนื่องจากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งขัน ทำให้ประเทศคู่ค้ามีการนำเข้าข้าวหอมมะลิไทยมากขึ้น ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 11,073 - 11,721 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.95 - 10.04 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงและมีความต้องการใช้ข้าวเหนียวเพื่อทำขนมไหว้เจ้าเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 8.15 - 8.19 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50 - 1.00 เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีน้อย ขณะที่ความต้องการใช้ยังขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศและการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 53.85 – 54.15 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.94 – 1.50 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำยางพาราข้นเพื่อนำไปผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่แน่นอนและเกิดการกลายพันธุ์ ขณะที่ปริมาณยางพาราออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการ และราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.03-2.08 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50 – 2.97 เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนด้านความต้องการของโรงงานแปรรูปมันสำปะหลังยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และมาตรการส่งเสริมการใช้เอทานอลภายในประเทศที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 6.80 - 6.95 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.57 - 2.72 เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง ประกอบกับการคาดการณ์ว่าแนวโน้มการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่จะเริ่มคลี่คลาย และมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานทดแทน (ไบดีเซล) ในภาคการขนส่งเพิ่มขึ้น และสุกร ราคาอยู่ที่ 76.39-77.03 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.95 – 2.80 เนื่องจากการเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ทำให้ความต้องการบริโภคสุกรเพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับมีการประกาศจากภาครัฐเรื่องเปิดการเรียนการสอนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 หลังปิดการเรียนชั่วคราวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,827 - 8,856 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.28 - 1.72 เนื่องจากปัญหาการล็อกดาวน์ของท่าเรือในประเทศคู่ค้าบางประเทศ ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เพื่อใช้การส่งออกข้าวทางเรือ ส่งผลให้ประเทศคู่ค้ามีการปรับแผนการซื้อข้าวเท่าที่จำเป็น น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 15.87 - 16.12 เซนต์/ปอนด์ (10.51 - 10.68 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 2.00 - 3.50 เนื่องจากคาดการณ์ว่าค่าเงินเรียลของประเทศบราซิลจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้ผลิตน้ำตาลในประเทศบราซิลส่งออกน้ำตาลเพิ่มขึ้น และยังมีความกังวลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงไตรมาสแรก ที่อาจจะทำให้การบริโภคน้ำตาลทั่วโลกลดลง 2 - 3 ล้านตัน ส่งผลให้นักลงทุนและนักเก็งกำไร ทำการขายตั๋วซื้อน้ำตาล และกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 132.15 – 136.15 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 4.79 – 7.59 เนื่องจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ความต้องการในประเทศยังคงชะลอตัวจากภาคการท่องเที่ยวที่ซบเซา ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้ประชาชนจับจ่ายซื้อของโดยเฉพาะไก่สดและเนื้อหมู ส่งผลให้ความต้องการบริโภคกุ้งลดลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีวอนสังคมช่วยกันเฝ้าระวังการ์ดอย่าตก เน้นคลายล็อกดาวน์บางพื้นที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีวอนสังคมช่วยกันเฝ้าระวังการ์ดอย่าตก เน้นคลายล็อกดาวน์บางพื้นที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป นายกรัฐมนตรีวอนสังคมช่วยกันเฝ้าระวังการ์ดอย่าตก เน้นคลายล็อกดาวน์บางพื้นที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป วันนี้ (29 มกราคม 2564) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อ ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณประชาชนที่ติดตามข่าวสารในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งรัฐบาลต้องปรับมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสกัดกั้นควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด การรักษาการพยาบาล การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับมือควบคุมได้อยู่ ด้วยการตรวจหาเชื้อในวงกว้างเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อนำเข้าสู่ในระบบการควบคุมรักษาป้องกันการแพร่ระบาดและการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเข้มงวดกวดขันจากการกระทำความผิดจากการลักลอบการเล่นการพนันบอลต่าง ๆ นั้น ได้มีการติดตามจับกุมดำเนินคดีต่อไป ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนร่วมกัน ในฐานะที่ต้องทำงานร่วมกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดหาวัคซีน ซึ่งวันนี้ได้มีการเจรจาคาดว่า จะได้รับตามกำหนดเวลา ยังต้องกำหนดกันว่าจะฉีดกันอย่างไร ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิในการเข้าถึงเข้าถึงวัคซีนทุกคน รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตในประเทศไทย ซึ่งในวันข้างหน้าอาจจะมีการเพิ่มการผลิตวัคซีนตัวอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการอย่างเคร่งครัดตั้งการ์ดไว้สูง ยังต้องระวังเหมือนเดิม ประเทศยังสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน งบวิจัยและพัฒนากับสถาบันทางการแพทย์ รวมทั้งสนับสนุนบริษัทอื่นๆในการที่จะรับวัคซีน ไม่ใช่เฉพาะวัคซีน covid อย่างเดียว เพื่อประโยชน์ในเรื่องของการผลิตวัคซีนอื่น ๆ ด้วย ในอนาคต นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการผ่อนคลาย ปรับระดับของจังหวัดต่างๆ ในพื้ที่ 4 ระดับ รวมทั้งการเปิดสถานที่ทำการ การเปิดโรงเรียน ซึ่งต้องขอความร่วมมือทุกคน พร้อมทั้งจะให้มีสายตรวจมากขึ้นในการตรวจสอบสถานที่ที่มีความเสี่ยง หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการ ต้องถูกดำเนินการโดยเด็ดขาด นายกรัฐมนตรียังกำชับว่า การผ่อนคลายในสถานประกอบการธุรกิจเพื่อให้เกิดความปกติของประชาชนโดยรวมแต่ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุดสิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าปกปิด ขอให้เฝ้าระวังในสถานที่มีการผ่อนคลายไปบ้างแล้ว ต้องระมัดระวังมากที่สุด ทั้งการดื่มสุรา ต้องระวังตัวเองให้มากขึ้น ขอให้รักตัวเอง รักครอบครัวและคนอื่นๆ ....................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ทส. ลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 ทส. ลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ก.อุตฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 ผู้บริหาร ก.อุตฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 วันนี้ 1 มกราคม พ.ศ.2564 เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมลงนามถวายพระพร ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง พร้อมทั้งสักการะองค์พระนารายณ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38035
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๔ รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ ๙๐๔ ในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๔ในนามกระทรวงวัฒนธรรม ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38033
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔ รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธี ณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๔ โดยยืดหลักปฏิบัติ New Normal ถ่ายทอดสดออนไลน์ ทาง Facebook Live เพจ WBTV และกรมการศาสนา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดระบบรายงานเตียง-เวชภัณฑ์ มีเพียงพอดูแลผู้ป่วยโควิด 19
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 สธ.จัดระบบรายงานเตียง-เวชภัณฑ์ มีเพียงพอดูแลผู้ป่วยโควิด 19 สธ.จัดระบบรายงานเตียง-เวชภัณฑ์ มีเพียงพอดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข เผยโควิด 19 กรณี สถานบันเทิง กทม.พบผู้ป่วยเพิ่มรวม 49 ราย เสียชีวิต 1 ราย เหตุจากป่วยหลายวันก่อนมาโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มบ่อนพนันพบผู้ป่วยเพิ่ม 2 จังหวัด คือลำพูน และสระแก้ว ทั้ง 2 กรณีมีประวัติไป ระยองก่อนพบเชื้อ สั่งการให้ทุกจังหวัดสำรวจ สำรองเตียง ยา เวชภัณฑ์เพิ่มรองรับ กรณีผู้ป่วยอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ให้ทุกโรงพยาบาลเตรียมความพร้อมและรายงานทรัพยากรเข้าระบบ เพื่อบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอ วันนี้ (1 มกราคม 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทยและการเตรียมความพร้อมรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19โดยนายแพทย์โอภาส กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี โปรดเกล้าฯ รับนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และนางชุลีพร วิจิตร์แสงศรี ภริยาผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ พร้อมทั้งพระราชทานของเยี่ยมและดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยทั้งสองราย สำหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 279 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 273 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกัน 6 ราย รักษาหายเพิ่ม 33 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 7,163 ราย หายป่วยรวม 4,273 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 2,827 ราย มีผู้ป่วยอาการหนัก 11 ราย เสียชีวิตรวม 63 ราย มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น 2 จังหวัดคือ ลำพูนและสระแก้ว ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อกระจาย 53 จังหวัด ภาพรวมการระบาดยังอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร ภาคตะวันออก รวมถึง กทม.และปริมณฑล แม้มีการกระจายไปจังหวัดอื่น แต่สามารถติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการออกมาครบพบการติดเชื้อร้อยละ 2 ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโควิด 19 (ศปค.สธ.) มีข้อแนะนำให้พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 ปิดการดำเนินงานเป็นเวลา 14 วัน ในสถานบันเทิง ร้านอาหารประเภทนั่งรับประทาน อนุญาตให้จำหน่ายอาหารกลับไปรับประทานที่บ้านได้ โดยจะเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และ ศบค.พิจารณา เนื่องจากพบการระบาดหลายครั้งในร้านอาหารและสถานบันเทิง ทั้งนี้ การควบคุมโรคโควิด 19 ต้องอาศัยทั้งมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุข และมาตรการทางสังคม ความร่วมมือจากประชาชนในการงดกิจกรรมพบปะกันจำนวนมาก งดการเดินทาง ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสามารถชะลอและลดการติดเชื้อได้ในเวลารวดเร็ว ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรณีสถานบันเทิงร้านอาหารย่านปิ่นเกล้า กทม. มีผู้ป่วยรวม 49 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย เหตุจากป่วยหลายวันก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติไปสถานบันเทิงวันที่ 20 ธันวาคม เริ่มมีไข้วันที่ 24 ธันวาคม วันที่ 30 ธันวาคมรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ ผลตรวจพบเชื้อโควิด 19 วันที่ 31 ธันวาคม ส่งรักษาต่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต ดังนั้น ผู้มีประวัติเสี่ยง หากมีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัย เดินทางด้วยรถส่วนตัว เพื่อเข้ารับการตรวจรักษา หากมาช้าเกิน 48 ชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตได้จึงแนะนำว่าหากระยะนี้พนักงานร้านอาหารหรือสถานบันเทิงมีอาการป่วยให้หยุดงาน และไม่ไปให้บริการร้านอื่น เพราะจะมีโอกาสแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น ขอให้ผู้ที่ทำงานผับ บาร์ คาราโอเกะพื้นที่ กทม. โซนกรุงธนเหนือ รอยต่อบางใหญ่ นนทบุรี รับคำปรึกษาและการตรวจ โควิด 19 ที่สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) โทรนัดคิวตรวจที่เบอร์ 0-2521-1668 หรือ 061-642-4406 ในเวลาราชการ นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พบผู้ป่วยที่ จ.จันทบุรี 5 ราย และ จ.ตราด 3 ราย (สามีไปเล่นการพนันแล้วติดเชื้อ นำมาติดภรรยาและลูก) ล่าสุดวันนี้มีการรายงานผู้ติดเชื้ออีก 2 จังหวัด คือ จ.สระแก้วและ จ. ลำพูน โดยที่ จ.สระแก้วพบผู้ป่วย 2 ราย มีประวัติไปการเล่นพนันในบ่อนหลายแห่ง เช่น อ.เมือง จ.ระยอง อ.นายายอาม อ.ท่าใหม่อ.สอยดาว จ.จันทบุรี และ อ.เขาสมิง จ.ตราด ส่วนที่ จ.ลำพูน พบ 1 ราย มีประวัติไปเที่ยวและไปสถานบันเทิง ที่ จ.ระยองนอกจากนี้ ยังพบการติดเชื้อจากร้านหมูกระทะใน จ.ระยอง ที่เกี่ยวเนื่องจากบ่อนพนัน 3 ราย ผู้ป่วยรายแรกเป็นเจ้าของร้านหมูกระทะมีประวัติไปเล่นพนันวันที่ 17 ธันวาคม เมื่อทราบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก จึงไปตรวจและพบเชื้อ รายที่ 2 เป็นพนักงานร้านหมูกระทะ ไม่มีอาการป่วย ติดเชื้อจากการทำงานสัมผัสใกล้ชิดเจ้าของร้าน และรายที่ 3 เป็นพนักงานบริษัท ไปรับประทานหมูกระทะกับเพื่อนวันที่ 28 ธันวาคม ผลตรวจพบเชื้อ “จุดนี้สะท้อนว่าหากไม่มีการกักกันโรคทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อได้ ดังนั้น ผู้ที่เคยไปสถานที่ลักลอบเล่นพนัน จ.ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้กักกันตัวเองให้ครบ 14 วันนับจากวันสุดท้ายที่ไปบ่อน สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้อื่น หากครบ 14 วันถือว่าปลอดภัย แต่หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เดินทางโดยรถส่วนตัว”นายแพทย์โสภณกล่าว ด้านนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ระลอกใหม่ มีผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิต 3 ราย ได้แก่ ระยอง เป็นชายอายุ 45 ปีกทม. ชายอายุ 44 ปี และตาก ชายอายุ 70 ปี โดยทั่วประเทศมีผู้ป่วยอาการหนักที่ยังนอนในโรงพยาบาลขณะนี้มี 11 ราย ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ป่วยอาการปานกลางและรุนแรงหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยพบผู้ป่วยอาการรุนแรงในภาคตะวันออก มากกว่า จ.สมุทรสาคร เนื่องจากโรคประจำตัวและปัจจัยต่างๆ และคาดจะพบผู้ป่วยกระจายไปอีกหลายจังหวัด ได้เตรียมพร้อมทรัพยากรและเตียงสำรองไว้อย่างเพียงพอ ปัจจุบันมีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 รวม 22,690 เตียง อยู่ในสังกัดและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สำหรับพื้นที่ กทม.และปริมณฑลมีเตียงรองรับ 2,778 เตียง รองรับผู้ป่วยอาการรุนแรงจากพื้นที่โดยรอบด้วยขณะนี้มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 277 ราย มีอาการหนักเพียง 8 ราย ต้องอยู่ในไอซียูและใส่ท่อช่วยหายใจ เมื่อคำนวณจากข้อมูลการรักษา คือ ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยใช้เวลารักษาในโรงพยาบาล 14 วัน อาการปานกลางจนถึงรุนแรงอยู่โรงพยาบาล 17 วัน ดังนั้น พื้นที่ กทม.และปริมณฑลสามารถรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ได้เพิ่มจำนวน 276-480 รายต่อวัน เฉพาะห้องไอซียูรองรับเพิ่มได้วันละ 24 ราย ทั้งประเทศรองรับผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มได้ 1,103-1,920 รายต่อวัน เฉพาะห้องไอซียูรองรับเพิ่มได้ 96 รายต่อวัน “เรามีระบบริหารจัดการเตียงและเวชภัณฑ์ โดยให้ทุกโรงพยาบาลรายงานภาพรวมของทรัพยากรทั้งหมดและการใช้ในแต่ละวันเข้ามาในระบบ เพื่อข้อมูลเป็นปัจจุบัน ทำให้ทราบว่ามีเตียงเท่าไร มีเครื่องช่วยหายใจเพียงพอหรือไม่ เวชภัณฑ์ต่างๆ หน้ากากและชุดป้องกันมีมากน้อยเท่าไร เพื่อจัดสรรให้เพียงพอ เบื้องต้นมีการสำรองไว้เพียงพอประมาณ 2-4 เดือน ไม่พอมีระบบช่วยเหลือทั้งในระดับจังหวัดและระดับเขตสุขภาพ” นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าว ทั้งนี้ ขอแนะนำประชาชน หลีกเลี่ยงการไปที่ชุมชน โดยเน้นการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ถ้ามีประวัติเสี่ยงการสัมผัสโรค ให้ไปขอรับการตรวจ มีวินัยป้องกันตนเองโดยเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากาก ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขไม่ปิดบริการแต่อาจลดบริการลงบ้างเพื่อลดความแออัด ป้องการการแพร่กระจายเชื้อ ขอให้โทรศัพท์สอบถามเพื่อนัดคิวหรือเลื่อนนัด รวมถึงขอรับบริการพบแพทย์ออนไลน์ได้ และบริการส่งยาทางไปรษณีย์ เพื่อลดการมาโรงพยาบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38037
รัฐบาลไทย-ผู้บริหารระดับสูง มท. ร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ผู้บริหารระดับสูง มท. ร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564 ผู้บริหารระดับสูง มท. ร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564 วันนี้ (1 ม.ค. 64) เวลา 08.00 น. ที่ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนางกุลยา เผ่าจินดา ภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564 พร้อมกันนี้ ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38039
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์”พร้อมภริยาและคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564 “พุทธิพงษ์”พร้อมภริยาและคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 “พุทธิพงษ์”พร้อมภริยาและคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 เมื่อวันที่1มกราคม2563นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมภริยาและคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีและร่วมลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่พ.ศ.2564 ณห้องแดงอาคารหน่วยราชการในพระองค์904ด้านตะวันออกศาลาว่าการพระราชวังในพระบรมมหาราชวังจากนั้นได้ร่วมถ่ายภาพกับนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผู้บริหารกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวง *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38040
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ. ๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ. ๒๕๖๔ รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ. ๒๕๖๔ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๒๒.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธี ณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยยืดหลักปฏิบัติ New Normal ถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ และออนไลน์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ HD1 WBTV และ Facebook กรมการศาสนา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38031
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564 คณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 คณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 เมื่อวันที่1มกราคม2563นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงฯเข้าร่วมถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีและร่วมลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่พ.ศ.2564 ณศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564 นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2564 วันนี้ (1 ม.ค. 64) เวลา 08.30 น. ณ ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ด้านตะวันออก ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมในพิธีตามลำดับพิธีดังนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ จำนวน 2 แจกัน ในนาม 1) นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี 2) นายกรัฐมนตรีและภริยา จากนั้น ภริยานายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ในนามคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ นายกรัฐมนตรีและภริยา ลงนามถวายพระพร นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ฯ เสร็จพิธี ---------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว!! ต่างด้าว 3 สัญชาติกลุ่มผ่อนผันตามมติครม. แจ้งบัญชีรายชื่อผ่านระบบออนไลน์ 15 มกรานี้
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 เริ่มแล้ว!! ต่างด้าว 3 สัญชาติกลุ่มผ่อนผันตามมติครม. แจ้งบัญชีรายชื่อผ่านระบบออนไลน์ 15 มกรานี้ กระทรวงแรงงาน เปิดให้นายจ้างแจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าวที่ต้องการจ้าง และคนต่างด้าวลงทะเบียนแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้รับการผ่อนผัน ตามมติ ครม. 29 ธ.ค. 63 เริ่มวันแรก 15 ม.ค. 64 ถึง 13 ก.พ.64 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ และไม่สามารถอยู่ในประเทศไทย เพื่อทำงานได้อีกต่อไป นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนคนไทยและผู้ใช้แรงงานที่เป็นคนต่างด้าวเป็นอย่างยิ่ง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายจังหวัด รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด มีการปรับแผนปฏิบัติการเชิงรุก รวมทั้งความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน “ตามที่กระทรวงแรงงานได้เสนอแนวทางเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่ เพื่อชะลอการนำเข้าแรงงานต่างด้าว และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานของนายจ้าง/สถานประกอบการ พร้อมกับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จากภายนอกประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายเป็นคนต่างด้าว 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน 2.คนต่างด้าวที่ไม่ได้ทำงาน 3.ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี โดยนายจ้าง/สถานประกอบการ ต้องแจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าวที่ต้องการจ้าง และคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้างแจ้งข้อมูลบุคคล ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th ได้ตั้งแต่ วันที่ 15 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นขั้นตอนแรก เพื่อเข้าสู่กระบวนการ ตรวจสุขภาพ/ซื้อประกันสุขภาพ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงาน และจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการว่า สำหรับขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่ - กรณีคนต่างด้าวมีนายจ้าง รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี มีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้ 1.แจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว - ให้นายจ้างแจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบรูปถ่ายคนต่างด้าว พิมพ์เอกสารใบแจ้งชำระเงินค่าใบอนุญาตทำงาน ระหว่างวันที่ 15 มกราคม ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 2.ตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพ - ให้นายจ้างพาคนต่างด้าวเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี ค่าใช้จ่ายรวม กิจการทั่วไป 7,200 บาท และกิจการประมงทะเล 7,300 บาท โดยต้องดำเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 3.ยื่นคำขออนุญาตทำงาน - ให้นายจ้างชำระค่าคำขอใบอนุญาตทำงาน จำนวน 1,900 บาท ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7 -11 หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน และพิมพ์ใบรับคำขออนุญาตทำงาน เพื่อไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 4.จัดทำทะเบียนประวัติ – ให้นายจ้างพาคนต่างด้าวไปทำทะเบียนประวัติ (ทร. 38/1) และบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลัง โดยนำใบรับคำขออนุญาตทำงานไปยื่นเป็นหลักฐาน ณ สถานที่ที่กรมการปกครอง หรือกรุงเทพมหานคร กำหนด ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 สำหรับค่าใช้จ่ายทำทะเบียนประวัติ 20 บาท และค่าบัตรชมพู 60 บาท - กรณีคนต่างด้าวยังไม่มีนายจ้าง รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี มีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้ 1. คนต่างด้าวแจ้งข้อมูลบุคคล ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th - ให้คนต่างด้าวแนบรูปถ่าย และพิมพ์หลักฐานการรับแจ้งข้อมูลบุคคลจากระบบออนไลน์ ซึ่งให้บริการ 4 ภาษา คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา ระหว่างวันที่ 15 มกราคม ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 2. ตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพ - คนต่างด้าวใช้แบบแจ้งข้อมูลบุคคล เพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี ค่าใช้จ่ายรวม 7,200 บาท โดยต้องดำเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 3.จัดทำทะเบียนประวัติ - คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค จะต้องไปทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร. 38/1) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง หรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 สำหรับค่าใช้จ่ายทำทะเบียนประวัติ 20 บาท และค่าบัตรสีชมพู 60 บาท (ในขั้นตอนนี้คนต่างด้าวยังไม่ได้รับบัตรสีชมพู) 4.คนต่างด้าวหานายจ้างและยื่นคำขออนุญาตทำงาน - ให้นายจ้างแจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบรูปถ่ายคนต่างด้าว พิมพ์เอกสารจากในระบบออนไลน์ เพื่อไปชำระค่าคำขอรับใบอนุญาตทำงาน จำนวน 1,900 บาท ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7 -11 หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน และพิมพ์ใบรับคำขออนุญาตทำงาน เพื่อไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ (บัตรสีชมพู) ภายในวันที่ 13 กันยายน 2564 5.ปรับปรุงทะเบียนประวัติ - คนต่างด้าวนำใบรับคำขออนุญาตทำงานไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลัง ณ สถานที่ที่กรมการปกครอง หรือกรุงเทพมหานคร กำหนด ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานกิจการประมงทะเล ต้องไปทำหนังสือคนประจำเรือ หรือ Sea book ณ กรมประมง เป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยมีค่าธรรมเนียม 100 บาท และเมื่อกรมประมงพิจารณาเรียบร้อยแล้วจะได้รับหนังสือคนประจำเรือ เป็นหลักฐานใช้คู่กับบัตรสีชมพูในการอยู่และทำงานในประเทศ ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหาร ก.อุตฯ รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ”
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ผู้บริหาร ก.อุตฯ รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” ผู้บริหาร ก.อุตฯ รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” วันนี้ (14 มกราคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติสำหรับผู้ที่ประกอบคุณงามความดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมานะบากบั่นอดทนและเสียสละอย่างสูง จนบังเกิดผลดีต่อส่วนรวม ในงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมี นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้แทนในการมอบ ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมหารือสตาร์ทอัพญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 บีโอไอร่วมหารือสตาร์ทอัพญี่ปุ่น นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (กลาง) ร่วมหารือกับ Mr. Sano Shotaro อัครราชทูตฝ่ายการพาณิชย์ญี่ปุ่น และผู้บริหารของบริษัท Umitron สตาร์ทอัพด้านการพัฒนาระบบเกษตรและประมงอัจฉริยะ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (กลาง) ร่วมหารือกับMr. Sano Shotaroอัครราชทูตฝ่ายการพาณิชย์ญี่ปุ่น และผู้บริหารของบริษัทUmitronสตาร์ทอัพด้านการพัฒนาระบบเกษตรและประมงอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีIoTและAIซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการออกไปการสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมภายใต้โครงการสนับสนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลในเอเชีย หรือAsia Digital Transformation (ADX)โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้เลือกสตาร์ทอัพ 7 โครงการให้ทำความร่วมมือกับประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมทางเศรษฐกิจ ทำให้สตาร์ทอัพญี่ปุ่นสนใจมาร่วมพัฒนาธุรกิจ ณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38308
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 64 เวลา 14.30 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38324
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยโรงพยาบาลสนาม มีระบบตามมาตรฐานให้ความสำคัญป้องกันนำเชื้อออกสู่ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 สธ.เผยโรงพยาบาลสนาม มีระบบตามมาตรฐานให้ความสำคัญป้องกันนำเชื้อออกสู่ชุมชน กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานที่ใช้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เน้นห่างไกลชุมชน ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งสถาปนิก วิศวกร นักระบาดวิทยา และทางการแพทย์ แยกระบบบำบัดน้ำเสียชัดเจน ป้องกันการติดเชื้อไปสู่ชุมชน เร่งใช้กลไกประชาคม ท้องถิ่น อสม.ทำความเข้าใจชุมชน ถึงเหตุ กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานที่ใช้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เน้นห่างไกลชุมชน ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งสถาปนิก วิศวกร นักระบาดวิทยา และทางการแพทย์ แยกระบบบำบัดน้ำเสียชัดเจน ป้องกันการติดเชื้อไปสู่ชุมชน เร่งใช้กลไกประชาคม ท้องถิ่น อสม.ทำความเข้าใจชุมชน ถึงเหตุผลการจัดเตรียมรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก วันนี้ (14 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ นพ.สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าวถึงการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19โดย นพ.ธเรศ กล่าวว่า การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เน้นความปลอดภัย โดยมีหลักเกณฑ์ในการจัดตั้ง ทั้งระบบตัวอาคารระบบจัดการน้ำเสีย และระบบระบายอากาศ มีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขประจำ รวมทั้งการจัดโซนนิ่งให้ห่างจากชุมชน ช่วยรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมากๆ มาอยู่รวมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ไม่มีอาการ เพื่อให้โรงพยาบาลปกติมีเตียงในการดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ในพื้นที่ต่อไปได้ “ขณะนี้จัดตั้งมีโรงพยาบาลสนามแล้ว 8 แห่งใน 5 จังหวัด ทุกแห่งทำตามแนวทางความปลอดภัย ไม่ให้มีการนำเชื้อสู่ภายนอกหรือชุมชน ทั้งนี้ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจะมีอสม.ช่วยทำความเข้าใจประชาชนถึงเหตุผลความจำเป็นในการจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามไว้รองรับหากมีผู้ป่วยจำนวนมากๆ แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องจัดตั้ง จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้” นพ.ธเรศกล่าว ด้าน นพ.สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทั้งสถาปนิก วิศวกร รวมทั้งนักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้หารือและกำหนดแนวทางต้นแบบจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อความปลอดภัยต่อชุมชนและประชาชน โดยการดำเนินการแบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ 1. การสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินการโรงพยาบาลสนามโดยมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลกับคนในชุมชนผ่านกลไกประชาคม ท้องถิ่น และ อสม. หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ ไม่มีการปกปิดข้อมูล หรือแจ้งเหตุที่คิดว่าไม่ปลอดภัยได้ เพื่อการตรวจสอบ และแก้ไขไม่ให้เกิดการติดเชื้อออกมาสู่ชุมชน 2. อาคาร สถานที่ และสิ่งแวดล้อม จุดสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลสนามมี 5 ลักษณะ คือ พื้นที่ที่โล่งว่างเปล่าห่างไกลชุมชน, โรงยิม หอประชุม สนามกีฬาที่ห่างไกลจากชุมชน, พื้นที่โล่งในโรงพยาบาล, อาคารหอผู้ป่วยที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ และสถานกักกันของรัฐทางเลือกที่เปลี่ยนแปลงเป็นโรงพยาบาลสนาม 3.ด้านกฎหมาย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจัดตั้งอย่างถูกต้อง ภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่กำหนดสถานที่ และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอนุญาตให้จัดตั้งเฉพาะกรณีโรคโควิด 19 เท่านั้น โดยได้รับการยกเว้นจาก พ.ร.บ.สถานพยาบาล และ 4.การรักษาพยาบาล ได้ยึดแนวทางมาตรฐานการรักษาของกรมการแพทย์ เพื่อให้คนป่วยปลอดภัยที่สุด หากเกิดเหตุฉุกเฉินมีระบบส่งต่อ “เรามีต้นแบบโรงพยาบาลสนาม ที่นำไปปรับใช้ในแต่ละพื้นที่ได้ แบ่งเป็นโซนสีเหลืองสำหรับผู้ติดเชื้อส่วนสีเขียวของเจ้าหน้าที่ และโซนสีส้มคือห้องน้ำและขยะติดเชื้อ ซึ่งออกแบบให้มีระบบท่อบำบัดแยกต่างหากไม่ไปเกี่ยวข้องกับกับท่อน้ำเสียของสถานที่นั้นๆ โดยมีการใส่คลอรีนและน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อบำบัด และทดสอบน้ำในละแวกใกล้เคียงว่ามีเชื้อโควิด 19 หรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติงานในโซนผู้ติดเชื้อ เมื่อกลับออกมาต้องอาบน้ำและถอดชุด ป้องกันการติดเชื้อเข้ามาในส่วนปฏิบัติงาน และผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้วก่อนกลับบ้าน ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้มีเชื้อเปื้อนเสื้อผ้ากลับไปสู่ชุมชน" นพ.สามารถกล่าว *************************** 14 มกราคม 2564 *********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขย้ำคนไทยการ์ดไม่ตก ป้องกันติดเชื้อในครอบครัว
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 กระทรวงสาธารณสุขย้ำคนไทยการ์ดไม่ตก ป้องกันติดเชื้อในครอบครัว กระทรวงสาธารณสุขคาดสัปดาห์นี้แนวโน้มโควิด 19 ดีขึ้น ถ้าคนไทยการ์ดไม่ตก ป้องกันการติดเชื้อในครอบครัว ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล วันนี้(14 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า ประเทศไทยพบการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 13 มกราคม 2564 ผู้ป่วยยืนยันสะสม 7,025ราย โดยในวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 271 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 259 ราย แบ่งเป็น คัดกรองเชิงรุก 181 ราย และพบจากการเฝ้าระวัง 78 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 12 ราย กลับบ้านได้ 717 ราย รักษาในโรงพยาบาล 2,110 ราย มีผู้ป่วยที่ยังใส่ท่อช่วยหายใจ 13 คน มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.13 ซึ่งต่ำกว่าระลอกแรก เนื่องจากอาการของโรคไม่ได้รุนแรง ผู้ป่วยอายุน้อย และมีการป้องกันตัวเอง สำหรับรายละเอียดของผู้เสียชีวิต รายแรกเป็นชายอังกฤษ อายุ 71 ปี มีโรคประจำตัว เบาหวาน ไทรอยด์ มะเร็งปอด โดยเดินทางมาจากประเทศอังกฤษวันที่ 5 มกราคม 2564 ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2564 มีอาการไม่สบาย ไข้ ไอ จากนั้นอาการแย่ลง และเสียชีวิตในวันที่ 13 มกราคม 2564 รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้างมีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว วันที่ 3 มกราคม 2564 มีไข้ ปวดหัว ไอ วันที่ 5 มกราคม 2564 เข้า โรงพยาบาลในจังหวัดนนทบุรี พบเชื้อโควิด 19 วันที่ 10 มกราคม 2564 อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว เสียชีวิตในวันที่ 13 มกราคม 2564 แนวโน้มการระบาดแต่ละช่วงรายสัปดาห์หากในสัปดาห์นี้ ( วันที่ 10 – 16 มกราคม 2564 ) ซึ่งเหลืออีก 2 วัน หากพบผู้ป่วยไม่เกิน 1,000 คน คาดว่าแนวโน้มผู้ป่วยเริ่มคงที่และน่าจะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากคนไทยทุกคน การ์ดต้องไม่ตก สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน 100% ล้างมือบ่อยๆ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ สิ่งที่สำคัญคือการเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ พบมีการติดเชื้อในครอบครัวรวมถึงเด็กเล็กสาเหตุเกิดจากคนในครอบครัวไปบ่อน สถานบันเทิง ซึ่งเป็นสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเท มีคนอยู่กันเป็นจำนวนมาก และสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว เมื่อกลับมาบ้านแล้วไม่มีการป้องกันตัวเองทำให้เกิดการแพร่เชื้อในครอบครัว จึงขอให้ผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูงหรือผู้ที่ไปในสถานที่เสี่ยง ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมร่วมกันกับบุคคลในครอบครัว ไม่กอด ไม่หอมเด็กเล็ก ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อกลับถึงบ้านให้รีบล้างมือ อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที ป้องกันการแพร่ระบาดในครอบครัว ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการระหว่างรอผลตรวจขอให้อยู่บ้านกักตัวให้ครบ 14 วัน โดยไม่เดินทางไปแหล่งชุมชน ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ แยกของใช้ส่วนตัว หากมีไข้, ไอ, หายใจลำบาก, เจ็บคอ, ปวดหัว, จมูกไม่ได้กลิ่น, ลิ้นไม่รับรส ให้รีบพบแพทย์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วน 1422 *************************** 14 มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38321
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย – พลังงาน – ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุม VCS กับผู้ว่าราชการจังหวัด – นายอำเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนโครงการสำคัญ ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์กับประชาชนทุ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 กระทรวงมหาดไทย – พลังงาน – ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุม VCS กับผู้ว่าราชการจังหวัด – นายอำเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนโครงการสำคัญ ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์กับประชาชนทุ กระทรวงมหาดไทย – พลังงาน – ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุม VCS กับผู้ว่าราชการจังหวัด – นายอำเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนโครงการสำคัญ ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์กับประชาชนทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง วันนี้ (14 ม.ค.64) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานร่วมการประชุมชี้แจงข้อราชการสำคัญ โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมการประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) และ DOPA Channel กับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมประชุม นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มงานส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเศรษฐกิจฐานราก ปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 วงเงิน 2,400 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปี 2564 มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้กลไกการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานทดแทนหรือการอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะสมกับกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสหกรณ์กลุ่มเกษตรกร ที่มีความพร้อมในการบริหารจัดการเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสม และเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงการใช้พลังงานแบบพึ่งพาตนเองในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งการจัดสรรเงินกองทุนฯ นี้จะช่วยเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดการกระจายไปยังทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง โดยกระทรวงพลังงานจะสนับสนุนการทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการให้มากที่สุด นายกุลิศ สมบัติศิริ กล่าวว่า การจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังกล่าว ในส่วนของจังหวัด วงเงินจังหวัดละ 25 ล้านบาท โดยเทคโนโลยีพลังงานทดแทนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1) สถานีพลังงานชุมชน เป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานภายใต้แนวคิด ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ โดยสามารถขอรับการสนับสนุนเทคโนโลยีเดี่ยวหรือหลายเทคโนโลยีที่ประกอบกัน โดยมีรูปแบบของการร่วมจ่าย (Co-Pay) เช่น ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แบบเคลื่อนที่ เตาชีวมวลประสิทธิภาพสูง และระบบผลิตแก๊สชีวภาพจากของเสีย เป็นต้น 2) ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ่อบาดาล โซล่าเซลล์ขนาด 2.5 กิโลวัตต์ และถังพักน้ำขนาดบรรจุ 20 ลูกบาศก์เมตร และ 3) ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับพื้นที่ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้า ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย กลุ่มชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงเรียนในสังกัดรัฐบาล โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการ จะเสนอโครงการผ่านคณะทำงานบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเชิงพื้นที่ทำการกลั่นกรอง เรียงลำดับความสำคัญเสนอคณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) เพื่อนำเสนอไปยัง คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาลใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ด้วยการพิจารณาจัดตั้งชุดปฏิบัติการมวลชนลงพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนในการลดต้นเหตุการณ์เกิดไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ร่วมกันระหว่าง ทส. ฝ่ายปกครอง ทหาร และจิตอาสาพระราชทาน รวมถึงส่งเสริมบทบาทเครือข่ายภาคประชาชน อปท. และผู้นำชุมชน รวมทั้งขอให้การลดและควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ เช่น การจราจร ภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปด้วย 2) การปลูกป่า/สร้างฝาย/ระบบกระจายน้ำ : พื้นที่ป่าต้นน้ำ โดยให้ทุกจังหวัดเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าตามคู่มือที่ ทส. ได้จัดทำไว้ ตามแผน 2.68 ล้านไร่ในปี 2570 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในและนอกเขตป่าร่วมกับชุมชน อปท. และทุกภาคส่วนตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าระดับจังหวัดให้แล้วเสร็จ ภายในเดือน ม.ค.64 การสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ป่าต้นน้ำ การจัดทำโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการปลูกป่าต้นน้ำ อีกทั้งพิจารณาประสาน อปท. ร่วมกับชุมชน จัดตั้งเรือนเพาะชำชุมชน 3) การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ภายใต้ คทช. โดยเร่งรัดให้เกิดการอนุญาตการเข้าทำประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 375 พื้นที่ หรือ 1,890,648 ไร่ ใน 63 จังหวัด รวมถึงสำรวจพื้นที่สนับสนุนแหล่งน้ำ และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ คทช. นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่จำนวน 4.75 ล้านไร่ ในการสำรวจและรังวัดแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้ครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 64 และ 4) การขออนุญาตการใช้ประโยชน์ของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยการขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ก่อสร้างไปก่อนได้รับการอนุญาตนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งส่วนราชการที่ยื่นคำขอจัดเตรียมรายละเอียดประกอบคำขอให้ถูกต้องครบถ้วน ให้กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หรือสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่โดยเร่งด่วน ส่วนการขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (โครงการใหม่) ขอให้เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ภายใน 31 ม.ค. 64 โดย ทส. จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 64 พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำแนวนโยบายและโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงและรัฐบาลกำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนตามวัตถุประสงค์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติงบ ! ช่วยเกษตรกรโคนม
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 อนุมัติงบ ! ช่วยเกษตรกรโคนม ... ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ผู้ประกอบการและแรงงาน ในกิจการผลิตภัณฑ์นม กว่า 120,000 ราย . เนื่องจากปริมาณการบริโภคลดลง 30% แม้จะพยายามยืดอายุ โดยแปรรูปเป็นนม ยู เอช ที บรรจุกล่อง ให้ผลิตภัณฑ์นมมีอายุนานได้ถึง 10 เดือนแล้ว ยังมีนมเสียไป 213 กล่อง คิดเป็นมูลค่าราว 1,477 ล้านบาท . รัฐบาลจึงเห็นชอบมาตรการเพื่อแก้ปัญหา โดย . @ ระยะเร่งด่วน อนุมัติงบกลาง เพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็น 1,477 ล้านบาท ให้หน่วยงานที่มีโรงเรียนในสังกัด เพื่อซื้อนมให้เด็กนักเรียน ดังนี้ - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,098 ล้านบาท - กระทรวงศึกษาธิการ 326 ล้านบาท - กรุงเทพมหานคร 50.8 ล้านบาท - เทศบาลเมืองพัทยา 2.45 ล้านบาท . @ ระยะกลางและยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งศึกษาเพื่อพัฒนาการเพิ่มมูลค่าน้ำนมดิบ เช่น แปรรูปตามความต้องการตลาด (วิปครีม ชีส อาหารสัตว์) รณรงค์การบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น . . ทั้งหมดนี้ จะทำให้ เด็กไทยได้ดื่มนมมากขึ้น เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง และลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และช่วยให้เกษตรกรโคนม จำหน่ายน้ำนมดิบได้ ผู้ประกอบการ ยังคงดำเนินกิจการ จ้างงานได้ต่อเนื่อง อุตสาหกรรมนมไทย เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง . #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คอนเฟิร์ม! เงิน 4 โครงการเยียวยาจากรัฐ ไม่ต้องเสียภาษี
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 คอนเฟิร์ม! เงิน 4 โครงการเยียวยาจากรัฐ ไม่ต้องเสียภาษี ... มั่นใจได้เลยครับ สำหรับใครที่กังวลว่า เงินที่ได้จากการร่วมโครงการเยียวยาของรัฐ จะถูกนำมาคิดภาษีในปี 2563 หรือไม่? . ล่าสุด ครม. มีมติเห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินที่ได้รับจากโครงการเยียวยาของรัฐบาล จากผลกระทบของโรคโควิด-19 ทั้ง 4 โครงการ 1.โครงการเราไม่ทิ้งกัน 2.โครงการเราเที่ยวด้วยกัน 3.โครงการกำลังใจ 4.โครงการคนละครึ่ง . เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ลดภาระค่าครองชีพประชาชน รวมถึงช่วยสนับสนุนทุกภาคส่วน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างแท้จริง . ดังนั้น ข่าวลือที่ว่า หากรับเงินช่วยเหลือจากรัฐ จะต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้น จึงเป็นข่าวปลอม ไม่ควรแชร์ต่อ ขอให้ช่วยกันแชร์ข่าวจริงที่เชื่อถือได้นะครับ #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.สาธารณสุข ย้ำให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลไทยจะจัดหา วัคซีนไวรัสโควิด-19 ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ โดย WHO ได้ประกาศยืนยัน ประสิทธิภาพของวัคซีนเกิน 50 % ขึ้นไปสามารถใช้ได้
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ก.สาธารณสุข ย้ำให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลไทยจะจัดหา วัคซีนไวรัสโควิด-19 ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ โดย WHO ได้ประกาศยืนยัน ประสิทธิภาพของวัคซีนเกิน 50 % ขึ้นไปสามารถใช้ได้ กระทรวงสาธารณสุข ย้ำให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลไทยจะจัดหา วัคซีนไวรัสโควิด-19 ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ โดย WHO ได้ประกาศยืนยัน ประสิทธิภาพของวัคซีนเกิน 50 % ขึ้นไปสามารถใช้ได้ วันนี้ (14 ม.ค.64) นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงประเด็นวิจารณ์ที่รัฐบาลไทยจะซื้อวัคซีนSinovacจากประเทศจีนที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า 60%ซึ่งต่ำมาก หากเทียบกับของไฟเซอร์ หรือโมเดน่าที่อยู่ระหว่าง80 - 90. %โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย) แจ้งว่าข้อมูลการวิจัยวัคซีนจีนในบราซิลยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ในการพิจารณาคุณภาพ ทั้งนี้ จากข้อมูลในการแถลงของสถาบันบูตันตัน เป็นการเสนอข้อมูลประสิทธิภาพในภาพรวม ของการทดลองในอาสาสมัครบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าคนปกติ ทำให้ได้ผลในด้านการป้องกันการติดเชื้อเพียงร้อยละ 50.4 อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องการป่วย โดยกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนสามารถป้องกันการป่วยได้ 78 % และป้องกันอาการรุนแรงถึง 100 % ดังนั้น ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามที่มีผลการทดลองเฟส 3 เป็นผลการทดลองในระยะต้นทั้งสิ้น การทดลองในเฟส 3 จะสมบูรณ์แบบได้ ต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง จึงจะได้ข้อสรุปถึงประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของการใช้วัคซีน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน สำหรับข้อดีของวัคซีนจากประเทศจีน คือเป็นการใช้เชื้อตายฉีดเข้าร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ถือเป็นรูปแบบดั้งเดิม เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ โปลิโอ และมีข้อมูลว่า ประเทศจีนนำไปฉีดให้กลุ่มทหาร และบุคลากรทางการแพทย์หลายแสนคน ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงทั้งนี้ การพิจารณาการนำวัคซีนมาใช้ ต้องดูคุณสมบัติหลายด้าน เช่น คุณภาพ ประสิทธิภาพ ราคา จำนวนปริมาณ ระยะเวลาในการจัดส่ง รวมถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุข จะจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ และต้องไม่พบอาการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งWHOได้ประกาศว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนเกิน 50 % ขึ้นไปสามารถใช้ได้ ขอประชาชนไม่ตระหนก กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานขอข้อมูลจากชิโนแวคเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อแผนการฉีดวัคซีนโควิด19 ขณะเดียวกันคณะกรรมการอาหารและยา (อย) ยืนยันว่า ยา วัคซีน ที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย ต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้จริง ใน 3 ด้าน คือ 1.คุณภาพ 2.ความปลอดภัย และ 3.ประสิทธิภาพ โดยผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจะต้องแสดงข้อมูลต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินคุณสมบัติและประสิทธิภาพสำหรับการขึ้นทะเบียนวัคซีน ขณะนี้ อย. ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศ ร่วมกันตรวจสอบและพิจารณาครบถ้วนครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะกรณีวัคซีนโควิด19 เป็นเรื่องเร่งด่วน จึงให้มีการยื่นเอกสารบางส่วนเพื่อพิจารณาควบคู่กันไป และหากข้อมูลครบถ้วนจึงจะประกาศผลการรับรอง ปัจจุบันมีบริษัทยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาประเมินข้อมูล คาดว่าจะสามารถอนุมัติขึ้นทะเบียนได้เร็ว ๆ นี้ และบริษัท ไซโนแวค ไบโอเทค มีองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้รับอนุญาตในการขึ้นทะเบียน และส่งมอบเอกสารบางส่วนพิจารณาแล้ว นอกจากนี้ อย. ยินดีและพร้อม ที่จะให้ผู้ผลิต บริษัทนำเข้ายา หรือโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงภาคเอกชนต่างๆ ที่สนใจยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 โดยสามารถยื่นเอกสารเพื่อประเมินคุณภาพประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ อย.ได้อำนวยความสะดวก โดยขบวนการจะเร็วขึ้นแต่ไม่ได้ข้ามขั้นตอน ระดมสรรพกำลังผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้น บนพื้นฐานความปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่วมระลึกพระคุณครูแบบ New normal
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ร่วมระลึกพระคุณครูแบบ New normal ... วันครูปีนี้ เตรียมระลึกพระคุณครูในรูปแบบออนไลน์ ตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” . ส่วนกลางจัดงาน 3 เฟส เฟสแรก งานวันครูออนไลน์ 16 ม.ค.64 เฟสสอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน www.วันครู.com เฟสสาม ยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพ . ส่วนภูมิภาคจัดงานตามความเหมาะสม กับบริบทและสถานการณ์ ยึดมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของสาธารณสุข . สำหรับคำขวัญวันครูที่นายก ฯ มอบไว้ในปีนี้ “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” เชิญชวนทุกคนร่วมทำความดี เป็นจิตอาสา และแชร์ความรู้สึกดี ๆ ส่งต่อถึงคุณครูทุกคน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 หารือข้อราชการสำคัญกับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “ต้องไม่มีบ่อนการพนันในพื้นที่” พร้อมสร้างความตระหนักประชาชนให้รักษาสุขอนามัย
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 มท.1 หารือข้อราชการสำคัญกับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “ต้องไม่มีบ่อนการพนันในพื้นที่” พร้อมสร้างความตระหนักประชาชนให้รักษาสุขอนามัย มท.1 หารือข้อราชการสำคัญกับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “ต้องไม่มีบ่อนการพนันในพื้นที่” พร้อมสร้างความตระหนักประชาชนให้รักษาสุขอนามัย วันนี้ (14 ม.ค. 64) เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการสำคัญผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) กับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และมีจำนวนผู้ติดเชื้อฯ ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีข้อสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการบูรณาการและประสานการทำงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดและนโยบายของ ศบค. เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสถานการณ์ที่มีเอกภาพเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อให้การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นไปอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง จึงเน้นย้ำการดำเนินมาตรการสำคัญในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคฯ ในพื้นที่ ได้แก่ มาตรการป้องกันการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ต้องประสานการปฏิบัติและวางมาตรการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น ทั้งหน่วยทหาร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศให้มีความเข้มงวด ตั้งเครื่องกีดขวาง ตรวจตราลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง หากพบการลักลอบเข้าประเทศให้ดำเนินการตามกฎหมาย และในพื้นที่ตอนใน ให้บูรณาการและสั่งการประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดและจุดคัดกรองโรคบุคคลและการขนส่งสินค้า รวมถึงคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าพื้นที่ตามมาตรการสาธารณสุข และมอบหมายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านขอความร่วมมือประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนช่วยกันสอดส่องบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัดต้องบูรณาการทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วนรณรงค์สร้างความรับรู้และขอความร่วมมือประชาชนตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาสุขอนามัย ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี รักษาระยะห่างระหว่างกัน ไม่พบปะหรือไปยังสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก และล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือสม่ำเสมอ ให้เป็นพื้นฐานการใช้ชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อสัมผัสร่างกาย รวมทั้งกำชับให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน และอสม. หมั่นสร้างความรู้ความเข้าใจประชาชนในการปฏิบัติตนให้ถูกวิธีตามหลักสุขอนามัยพื้นฐานด้วย ถ้าทุกคนทำได้เป็นพื้นฐาน เศรษฐกิจของเราจะดีขึ้น ประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังลักลอบกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มบุคคลที่ลักลอบเล่นการพนันหรือทำกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคฯ และเข้มงวดกวดขัน กำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตาม ตรวจสอบ ห้ามไม่ให้มีการลักลอบเล่นการพนันทุกประเภท หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพื้นที่ใดปล่อยปละละเลยจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในด้านการดำเนินมาตรการทางสาธารณสุขกรณีหากพบผู้ติดเชื้อฯ ต้องดำเนินกระบวนการสอบสวนโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดและดำเนินการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active case finding) ในพื้นที่เสี่ยง และคัดแยกผู้มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรคให้กักตัวตามมาตรการสาธารณสุข พร้อมขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” เพื่อสามารถติดตามและสอบสวนโรคได้อย่างแม่นยำ และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ และสร้างความมั่นใจการดำเนินการของรัฐบาลในการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง สำหรับในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม ต้องดำเนินมาตรการป้องกันเชิงรุกอย่างสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคฯ ในวงกว้าง หากพบการติดเชื้อต้องเร่งดำเนินการสอบสวนโรคอย่างเคร่งครัด ส่วนในเรื่องการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น (เทศบาล) เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง นายกเทศมนตรี ผู้บริหาร และสมาชิกสภาเทศบาล ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้ปลัดเทศบาลเป็นผู้บริหารราชการท้องถิ่นตามกฎหมาย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการตามที่ ศบค. กำหนด ซึ่ง ศบค.มท. ได้มีหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน เว้นแต่มีสถานการณ์พิเศษในพื้นที่ ให้เร่งหารือมายัง ศบค.มท. เพื่อหารือ ศบค. พิจารณา และหากมีการออกคำสั่งมาตรการในพื้นที่ให้รายงานมายัง ศบค.มท.ทันที เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ในข้อสั่งการเชิงนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการลักลอบเล่นการพนัน ต้องไม่อนุญาต และไม่มีบ่อนการพนันโดยเด็ดขาด รวมทั้งต้องไม่ละเลยเรื่องการลักลอบเล่นพนัน ถ้ามีการลักลอบเล่นต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด จากนั้น อธิบดีและหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำเสนอแนวทางการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดำเนินมาตรการเชิงรุกในพื้นที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยามที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 พวกเราทุกคนต้องช่วยกันดำเนินมาตรการที่เข้มข้นและกำหนดมาตรการที่ดีและเหมาะสมที่สุดกับการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน และขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครในพื้นที่ทุกคนที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และทุกภาคส่วนที่ทำงานอย่างหนัก ขอเป็นกำลังใจ และเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38326
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 รมว.วธ.ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ รมว.วธ.ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน และมีผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38317
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.สุขภาพจิตแห่งชาติ ผนึกกำลังขับเคลื่อนป้องกันการฆ่าตัวตาย
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 คกก.สุขภาพจิตแห่งชาติ ผนึกกำลังขับเคลื่อนป้องกันการฆ่าตัวตาย คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ เห็นชอบจัดตั้งคณะทำงาน ที่มาจากทุกภาคส่วน ร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตาย ช่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะเครียด-เศร้า-เหงา-ทุกข์ ก้าวผ่านวิกฤตจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ เห็นชอบจัดตั้งคณะทำงาน ที่มาจากทุกภาคส่วน ร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตาย ช่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะเครียด-เศร้า-เหงา-ทุกข์ ก้าวผ่านวิกฤตจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ที่เกิดขึ้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานและจัดหาแนวทางการ ดำเนินงานขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม ผู้แทน องค์กรภาคเอกชน เป็นต้น ร่วมกันดูแลทั้งด้านสุขภาพจิตใจ สุขภาพร่างกาย และด้านเศรษฐกิจสังคม เน้นเสริมสร้างพลังใจ สร้างความรับรู้และให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านสิทธิ สวัสดิการทางสังคมและสุขภาพพื้นฐานเพื่อหาทางออก เป็นการ “ซื้อเวลา” สร้างกระบวนความคิดและเกิดการตัดสินใจใหม่ ลดการฆ่าตัวตาย, คัดกรอง ค้นหา และเฝ้าระวังประชาชนกลุ่มเสี่ยง ด้านสาธารณสุข เช่น ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ผู้มีปัญหาสุรายาเสพติด และผู้เคยมีประวัติฆ่าตัวตาย, พัฒนารูปแบบการจัดการในจังหวัดที่มีกลุ่มเสี่ยงเพื่อลดจำนวนผู้ฆ่าตัวตาย และพัฒนาระบบเทคโนโลยี นวัตกรรม ภายใต้ยุทธศาสตร์การป้องกัน การฆ่าตัวตายระดับชาติ ปี 2564-2565 “การลดการฆ่าตัวตาย ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ในการรับฟังปัญหา เฝ้าระวัง รักษาและให้คำแนะนำ ผ่อนคลายความทุกข์แก่ประชาชนที่มีภาวะความเครียด ความเหงา ความเศร้า ความทุกข์ ให้ก้าวผ่าน ปรับตัวกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทย มีการพยายามฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 53,000 – 54,000 คน และกระทำการฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 4,000 คน คิดเป็น 6-6.5 ต่อแสนประชากร ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยพบเป็นเพศชายมากกว่าหญิง เป็นกลุ่มวัยทำงาน กับผู้สูงอายุ และกลุ่มอาชีพผู้ใช้แรงงาน/กลุ่มรับจ้าง เกษตรกรรม รวมทั้งกลุ่มไม่มีรายได้ สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของการฆ่าตัวตาย พบว่าส่วนมากเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาสุราและสารเสพติด ความเจ็บป่วยเรื้อรังทางกายและจิต ตลอดจนปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจในปี 2563 นั้น มีความสัมพันธ์กับสาเหตุการฆ่าตัวตายมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ที่ประชุม ยังเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดมาตรฐานผู้ให้บริการด้านจิตวิทยาการปรึกษาทั้งแบบเฉพาะหน้าและผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการบริการสาธารณสุข ในเชิงการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายด้วย และที่ประชุมยังพิจารณาให้จัดตั้งคณะทำงานและแนวทางการดำเนินงานเพื่อบูรณาการระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชไร้บ้าน ร่วมกันทำงานเป็นเครือข่ายช่วยประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้ผู้ป่วยจิตเวชไร้บ้านได้รับการคุ้มครองสิทธิและรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐานสากล ป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อตนเองและสังคม โดยผลักดันให้พร้อมลดภาระงบประมาณ และทรัพยากรด้านบุคลากรลง และผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุมตั้งแต่ระบบการนำส่งผู้ป่วย การรักษา การใช้สิทธิรักษาพยาบาล ตลอดจนติดตามอาการรักษาอาการฟื้นฟูผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาชีพหรือดูแลตนเองได้ และสามารถอยู่ในครอบครัวและอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ****************************14 มกราคม 2564 ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประสานความร่วมมือกับ ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อน ๔ ประเด็นใหญ่ ป้องกันไฟป่า PM 2.5 ปลูกป่าต้นน้ำ จัดทำที่ดินทำกิน และการขอใช้พื้นที่เขตป่าสงวน
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ทส. ประสานความร่วมมือกับ ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อน ๔ ประเด็นใหญ่ ป้องกันไฟป่า PM 2.5 ปลูกป่าต้นน้ำ จัดทำที่ดินทำกิน และการขอใช้พื้นที่เขตป่าสงวน ทส. ประสานความร่วมมือกับ ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อน ๔ ประเด็นใหญ่ ป้องกันไฟป่า PM 2.5 ปลูกป่าต้นน้ำ จัดทำที่ดินทำกิน และการขอใช้พื้นที่เขตป่าสงวน วันนี้ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๔) ณ ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference System) กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ในการขอความร่วมมือหน่วยงานระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญและเป็นประเด็นเร่งด่วน ในโอกาสที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประชุมชี้แจงข้อราชการสำคัญกับผู้ว่าราชการจังหวัด โดยประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ขอประสานความร่วมมือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังหน่วยงานระดับพื้นที่ของกระทรวงมหาดไทย ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่นั้น มี ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ ๑. ไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาจัดตั้งชุดปฏิบัติการมวลชนลงพื้นที่สร้างการรับรู้ ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนในการลดต้นเหตุการเกิดไฟป่า หมกควัน และ PM 2.5 โดยชุดปฏิบัติการนี้จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง ทส. ฝ่ายปกครอง ทหาร และจิตอาสาพระราชทาน รวมถึง ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายภาคประชาชน อบต. นายอำเภอ ผู้นำชุมชน ให้เข้ามาร่วมดำเนินการด้วย โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดจะเป็นหน่วยงานสนับสนุนทางวิชาการ นอกจากนั้น ขอให้แต่ละจังหวัดลดและควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างเข้มงวด โดยขอให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจัดทำข้อมูลแปลงเกษตรที่มีการเผาซ้ำซาก รายงานผู้ว่าราชการจังหวัด ในการนี้ หน่วยงานของ ทส. จะจัดทำแผนและผลการป้องกันแก้ไขไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 รวมถึงรายงานคุณภาพอากาศ จุดความร้อน รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ เช่น การจราจร ภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปด้วย ๒. การปลูกป่า/สร้างฝาย/ระบบกระจายน้ำ : พื้นที่ป่าต้นน้ำ ขอให้ทุกจังหวัดเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ตามคู่มือที่ ทส. ได้จัดทำไว้ กำหนดไว้ ๒.๖๘ ล้านไร่ในปี ๒๕๗๐ โดยปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕ เร่งรัดดำเนินการในพื้นที่ต้นน้ำ ๑๒ จังหวัดเร่งด่วน ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช และนครราชสีมา โดยจังหวัดอื่นดำเนินการในส่วนของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในและนอกเขตป่าร่วมกับชุมชน อปท. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ นอกจากนั้น ได้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าระดับจังหวัดให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๔ และขอให้มอบหมายนายอำเภอ ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ ทส. และเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ป่าต้นน้ำ พร้อมทั้ง ขอให้มีโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการปลูกป่าต้นน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียว อีกทั้ง ขอให้พิจารณาประสานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับชุมชน ในการจัดตั้งเรือนเพาะชำชุมชน เพื่อจัดเตรียมกล้าไม้สำหรับฟื้นฟูป่าในพื้นที่ด้วย ๓. การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ภายใต้ คทช. ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดให้เกิดการอนุญาตการเข้าทำประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยในปี​ ๕๘ - ๖๔ กำหนดเป้าหมาย​ จำนวน ๓๗๕ พื้นที่ หรือ ๑,๘๙๐,๖๔๘ ไร่ ใน ๖๓ จังหวัด รวมถึง ขอให้มอบหมายเกษตรจังหวัดและนายอำเภอที่เกี่ยวข้องประสาน หน่วยงานของ ทส. ในพื้นที่ ในการสำรวจพื้นที่สนับสนุนแหล่งน้ำ และขอให้มีการประสานหน่วยงานอื่นในการสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ คทช. ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่จำนวน ๔.๗๕ ล้านไร่ ในการสำรวจและรังวัดแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้ครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๔ ๔. การขออนุญาตการใช้ประโยชน์ของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ก่อสร้างไปก่อนได้รับการอนุญาตนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งส่วนราชการที่ยื่นคำขอ จัดเตรียมรายละเอียดประกอบคำขอให้ถูกต้อง ครบถ้วน ให้กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หรือ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่โดยเร่งด่วน ส่วนการขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (โครงการใหม่) ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ภายใน ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ พร้อมทั้งกำกับให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ตรวจสอบพื้นที่รวมถึงเอกสารให้ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อทยอยเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดลงนามภายใน ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โดย ทส. จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๔
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38312
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยรัฐบาลจัดงบฉุกเฉิน 96 ล้าน ลง จ.ตาก รับโควิด
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 อนุทิน เผยรัฐบาลจัดงบฉุกเฉิน 96 ล้าน ลง จ.ตาก รับโควิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยรัฐบาลจัดงบประมาณฉุกเฉิน 96 ล้านบาท สนับสนุนการทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้ จ.ตาก รับมือโควิด 19 พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และ นำชุดป้องกันโควิดสำหรับบุคลากรที่ปฏ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยรัฐบาลจัดงบประมาณฉุกเฉิน 96 ล้านบาท สนับสนุนการทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้ จ.ตาก รับมือโควิด 19 พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และ นำชุดป้องกันโควิดสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานมอบให้พื้นที่ วันนี้ (14 มกราคม 2564) ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ในพื้นที่ จ.ตาก พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ได้นำชุดCover All 1,400 ชุด แอลกอฮอล์เจล 5,000 ชิ้น หน้ากาก N95 1,200 ชิ้น หน้ากากอนามัย 20,000 ชิ้น ไปมอบเพื่อใช้งานในพื้นที่ นายอนุทินกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยสถานการณ์โควิดในพื้นที่ อ.แม่สอดจ.ตากฝากแสดงความห่วงใยและความปรารถนาดีและส่งกำลังใจ ถึงทีมแพทย์พยาบาลผู้ปฏิบัติหน้าที่ การที่ลงพื้นที่วันนี้นอกจากจะมาเห็นสภาพที่แท้จริงของการทำงานแล้วยังมาให้กำลังใจ เนื่องจากพื้นที่แม่สอดจ.ตาก เป็นหน้าด่านชายแดน การป้องกันโรครวมถึงควบคุมโรคในพื้นที่จึงความสำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณฉุกเฉินเพื่อจัดหาเวชภัณฑ์ ครุภัณฑ์ต่างๆ อาทิ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุกหัวใจ รถฉุกเฉิน รถพยาบาล เตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เป็นต้น มูลค่าประมาณ 96 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่ นายอนุทิน กล่าวต่อว่า จังหวัดตากพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มพบการผู้ติดเชื้อที่ จ.ตากในระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2563 ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสม 100 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 85 ราย ชาวเมียนมา 15 ราย ซึ่งผู้ติดเชื้อในระลอกใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดเชื้อมาจากบ่อนคาซิโนในประเทศเมียนมา ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และพื้นที่ได้เข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนป้องกัน ผู้ลักลอบเข้าประเทศ รวมถึงให้คนไทยจากฝั่งเมียนมาแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศ ที่สำคัญขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายและรับการกักตัวเฝ้าระวังอาการตามกระบวนการสาธารณสุข เพื่อเป็นการป้องกันควบคุม และสกัดกั้นโรคโควิด 19 ไม่ให้มาแพร่สู่คนในประเทศ เป็นการช่วยประเทศชาติได้ทางหนึ่ง เราพร้อมจะดูแลรักษาคนไทยอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสาธารณสุขจะต้องระดมสรรพกำลัง ตื่นตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่อยู่เสมอ “พวกเราทำหน้าที่อย่างทุ่มเทไม่มีภารกิจใดสำคัญไปกว่าบ้านเมือง ขอให้มั่นใจว่าหากเรามีความพร้อม ความตื่นตัว ใส่ใจภารกิจ จะไม่มีคำว่าแพ้ ผมมั่นใจในความทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์ของทุกคน” นายอนุทินกล่าว ******************************14 มกราคม 2564 *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางสร้างความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติ จัดหาประกันภัยคุ้มครองทุกราย พร้อมเกาะติดสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย จากผลกระทบโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 บอร์ดนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางสร้างความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติ จัดหาประกันภัยคุ้มครองทุกราย พร้อมเกาะติดสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย จากผลกระทบโควิด-19 บอร์ดนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางสร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติจัดหาประกันภัยคุ้มครองทุกราย พร้อมเกาะติดสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย จากผลกระทบโควิด-19 มั่นใจมาตรการรัฐ ดูแลครอบคลุม เปิดความคืบหน้าโครงการรับต่างชาติกลุ่ม STV น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (14 ม.ค. 2564) เมื่อเวลา 13.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ได้มอบหมายให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ที่ห้องประชุม 301ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยว ความคืบหน้าของมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตลอดจนพิจารณาอนุมัตินโยบายด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านกลไกต่าง ๆ โดยเฉพาะการมีประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยจะพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดหาประกันภัยนั้นจะมาจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท ต่อคนต่อการเข้ามาประเทศไทยในแต่ละครั้ง เพื่อสมทบในกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมถึงจัดให้มีการประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศไทย โดยจะจัดเก็บรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะได้จัดทำรายละเอียดต่อไป ขั้นตอนหลังจากนี้ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ดำเนินการจัดทำประกาศกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจัดเก็บในรายละเอียด แล้วนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติปรับปรุงมาตรฐานการท่องเที่ยวตามที่คณะอนุกรรมการจัดทำมาตรฐานการท่องเที่ยว ภายใต้คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ เพื่อให้มาตรฐานการท่องเที่ยวของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงปรับปรุงระยะเวลาการรับรองมาตรฐานให้เหมาะสมเนื่องจากบางมาตรฐานให้ระยะเวลาสั้นเกินไป ปัจจุบันประเทศไทยมีมาตรฐานการท่องเที่ยวทั้งหมด 56 มาตรฐานสำหรับที่จะมีการปรับปรุงมีทั้งหมด 5 มาตรฐาน ประกอบด้วย 1. มาตรฐานด้านที่พักเพื่อการท่องเที่ยว ประเภทโรงแรม 2.มาตรฐานที่พักแบบพำนักระยะยาว 3. มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการเที่ยว 4. มาตรฐานบริการอาหารเพื่อการท่องเที่ยว และ 5. มาตรฐานสถานที่จำหน่ายของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยวประเภทสินค้าอัญมณี สำหรับการปรับปรุงด้านระยะเวลาการรับรองนั้น จากทั้งหมด 56 มาตรฐาน จะมีการปรับปรุงระยะเวลารับรองมาตรฐานให้เหลือ 2 กลุ่มคือ กลุ่มรับรองให้ 3 ปี และ 1 ปี จากเดิมที่มี 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่รับปรุงให้ 1, 2 และ 3 ปี ซึ่งภายหลังปรับปรุงนั้นจะทำให้กลุ่มที่ได้รับการรับรอง 3 ปี มีทั้งหมด 54 มาตรฐาน และได้รับการรับรอง 1 ปีมี 2 มาตรฐาน รวมถึงได้เห็นชอบ แผนการพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2564 - 65 ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปรับตัวเข้ากับการท่องเที่ยววิถีใหม่ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของวาระเพื่อทราบอื่น ๆ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยในปี 2563 (ม.ค.-ธ.ค.) ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับสถานการณ์ทั่วโลกซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19โดยนักท่องเที่ยวทั่วโลก (ม.ค. - ต.ค.63) ลดลง 900 ล้านคน หรือลดลง 72% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลง 33.21 ล้านคน หรือ ลดลง 83.22% ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยที่เที่ยวในประเทศ ตลอดทั้งปีอยู่ที่ 90.32 ล้านคน-ครั้ง ลดลง 82.42 ล้านคน-ครั้ง หรือลดลง 47.71% การลดลงดังกล่าวส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการและลูกจ้างในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำให้รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีผลบังคับแล้วหลายมาตรการทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการด้านภาษี เช่น การลดภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ ส่งเสริมเสถียรภาพการจ้างงาน มาตรการลดภาระทางการเงิน เช่น การลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม การให้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน การขยายเวลาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟแก่ผู้ประกอบการโดยไม่คิดดอกเบี้ย ตลอดจนมาตรการด้านการเงินที่ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้าง และขณะนี้มาตรการเพิ่มเติมต่าง ๆ ก็ได้ทยอยเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ซึ่งโครงการได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2563 ซึ่งตามโครงการมีขั้นตอนการยื่นเอกสาร การตรวจคัดกรอง การกักตัวที่เข้มงวดก่อนอนุญาตให้ท่องเที่ยวในประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 11 ม.ค. 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภท STV เข้ามายังประเทศไทยผ่านการดำเนินการของบริษัท ลองสเตย์ จำกัด แล้ว 1,114 คนเฉพาะเดือน ม.ค. 2564 มีนักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทย 123 คน “ที่ประชุมได้รับรายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนภายใต้มาตรการรับท่องเที่ยวกลุ่ม STV เพื่อให้การท่องเที่ยวยังเดินหน้าไปได้ควบคู่กับการดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยทราบว่าปัจจุบันมีทั้งโรงแรมและโรงพยาบาลใน 10 จังหวัด ที่สามารถเป็น ASQ และ ALQ ตามโครงการได้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับภาครัฐและเอกชนจัดแพลตฟอร์ม ASQ Paradise ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจอง ASQ การช้อปปิ้งออนไลน์ การให้ข้อมูลก่อนเดินทางและกิจกรรมระหว่างกักตัวของผู้ร่วมโครงการ ซึ่งระบบที่พัฒนาขึ้นจะรองรับนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยได้มากขึ้นและปลอดภัย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 รัฐมนตรีฯ สุริยะ นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร รัฐมนตรีฯ สุริยะ นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร วันนี้ (14 มกราคม 2564) เวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ และนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และลงนามถวายพระพร ขอทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง #ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน #กระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันนี้ (14 มกราคม 2564) เวลา 11.20 น. นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร นางนันทวรรณ ชื่นศิริ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร นางสาวดวงสุดา ศรียงค์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร และคณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐเริ่มกระตุ้นดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 2563 แต่คาดว่า COVID-19 รอบใหม่อาจฉุดลงอีกครั้ง
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐเริ่มกระตุ้นดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 2563 แต่คาดว่า COVID-19 รอบใหม่อาจฉุดลงอีกครั้ง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล พบว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 Current Situation Index ผู้ประกอบการฯมีภาวะความเชื่อมั่นดีขึ้น โดยมีดัชนีเท่ากับร้อยละ 46.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยพบว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 Current Situation Index ผู้ประกอบการฯมีภาวะความเชื่อมั่นดีขึ้น โดยมีดัชนีเท่ากับร้อยละ 46.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ร้อยละ 42.8) แต่ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 ติดต่อกัน 7 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประกาศใช้มาตรการ LTV ได้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการฯยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ผู้ประกอบการฯ ที่ดำเนินการสำรวจในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งยังไม่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบสอง มีค่าเท่ากับร้อยละ 54.4 ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ (ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ร้อยละ 52.9) สูงกว่าค่ากลางที่ระดับร้อยละ 50.0 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบฯขณะนั้นเริ่มมีความหวังต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบสองนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ใน 6 เดือนแรกของปี 2564 ปรับตัวลดลงกว่าผลที่สำรวจข้างต้นได้ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปี 2563 ผู้ประกอบการยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แม้ว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯภาพรวมได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับร้อยละ 49.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 43.1 ขณะที่ผู้ประกอบการฯกลุ่ม Non-listed Companies กลับมีค่าดัชนีเท่ากับ 42.1 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 42.4 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies จะมีระดับความเชื่อมั่นที่สูงกว่าร้อยละ 50 ในด้าน ยอดขาย การจ้างงาน และการเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการฯกลุ่ม Non-listed Companies ไม่มีความเชื่อมั่นด้านใดเลยที่เกินกว่าร้อยละ 50 ซึ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies จะเป็นผู้บทบาทหลักในการลงทุนและการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) มีค่าเท่ากับ 54.4 ที่เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสก่อนหน้า แสดงเห็นว่าในภาพรวมผู้ประกอบการมีมุมมองเชิงบวกสำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยุ่อาศัยในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าวัคซีนป้องกัน COVID-19 จะนำมาใช้อย่างกว้างขวางและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากขึ้น แต่จะเห็นได้ชัดว่า มุมมองเชิงบวกเช่นนี้ เป็นผลมาจากกลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies ที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับร้อยละ 59.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.0 แต่สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการฯ Non-listed Companies มีค่าดัชนีเพียงร้อยละ 46.5 แม้จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยที่ระดับ 45.2 แต่ได้แสดงให้เห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการ Non-listed Companies ยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2564 ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies มีความเชื่อมั่นมากขึ้นชัดเจนในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านยอดขาย การลงทุน และการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ขอให้ขีดเส้นใต้ไว้หลายๆ เส้นว่า “การสำรวจความเชื่อมั่นฯนี้ ดำเนินการในช่วงปลายปี 2563 ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่” ดังนั้นจึงคาดได้ว่า ในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ปี 2564 นี้ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการคงจะปรับลดลงจากการสำรวจช่วงปลายปีอย่างแน่นอน โดยเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการเปิดขายโครงการใหม่ เพื่อลดจำนวนอุปทานเหลือขายที่ยังมีอยู่มากในตลาด และรอดูผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากช่วงการสำรวจ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ประเมินว่า การเปิดตัวปี 2564 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนประมาณ 89,000 หน่วย แบ่งเป็นแนวสูง 36,000 -37,000 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30-40% และแนวราบ 52,000 หน่วย แต่ถ้าโควิดยืดเยื้ออาจจะลดลงอีก 10,000 หน่วย เหลือ 79,000 หน่วย เท่ากับปีนี้จะอยู่ระหว่าง 79,000 -89,000 หน่วย สูงกว่าปี 2563 ที่เปิดรวม 71,500 หน่วย แม้ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการยังคงต้องเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะสต็อกพร่องลงจากปีก่อน โดยมีการคาดการณ์ผ่านการจำลองหลายสถานการณ์ (Scenario) เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงภาพรวมแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดีที่สุด (best) คือ ตลาดจะโต 5-10% ระดับกลาง (base) ตลาดทรงตัวบวกลบไม่เกิน 0.5 % และระดับแย่ที่สุด (worst) ติดลบ 10 % เท่ากับปี 2563 เท่ากับภาพรวมตลาดทั่วประเทศลดลงถึง 20% ซึ่งรุนแรงพอควร เพราะต่ำสุดในรอบ 5 ปี ใกล้เคียงกับช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 “มีความเป็นไปได้ว่าปี 2564 จะติดลบถึง10 % ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะปีนี้กำลังซื้อที่อั้นอยู่อาจมีไม่มากเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบในแง่ของรายได้ต่อเนื่องมานาน ส่งผลให้ดีมานด์ใหม่ของที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบรุนแรง”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38314
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุทธิพงษ์”ชง 2 คณะอนุกรรมการ “เพิ่มขีดความสามารถ - สร้างความเป็นธรรม” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 พุทธิพงษ์”ชง 2 คณะอนุกรรมการ “เพิ่มขีดความสามารถ - สร้างความเป็นธรรม” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ พุทธิพงษ์”ชง 2 คณะอนุกรรมการ “เพิ่มขีดความสามารถ - สร้างความเป็นธรรม” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่14มกราคม2564นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเสนอแนะนโยบายและกำหนดมาตรการทางเศรษฐกิจสังคมและกฎหมายสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งที่1/2564ณห้องประชุมMDES1ชั้น9โดยที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและมอบหมายงานจำนวน2คณะฯประกอบด้วย คณะอนุฯเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานซึ่งขอบเขตหน้าที่ของคณะอนุฯ คือ 1.วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ 2.เสนอแนะมาตรการส่งเสริมและสร้างบรรยากาศการลงทุนของธุรกิจบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ 3.เสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการไทยและขจัดข้อจำกัดในการกำกับดูแลธุรกิจบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการต่างประเทศ ส่วนคณะอนุฯสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ มีอธิบดีกรมสรรพากรเป็นประธานขอบเขตหน้าที่หลักคือ 1.รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงของธุรกิจบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ไทยและต่างประเทศ 2.ศึกษาความแตกต่างที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมหรือได้เปรียบเสียเปรียบในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ 3.ระบุปัญหาและข้อจำกัดของการบังคับใช้กฎหมายกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและเสนอแนวทางสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการ *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ เห็นชอบ 4 โครงการก่อสร้างกรุงเทพมหานคร เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำดิบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 อนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ เห็นชอบ 4 โครงการก่อสร้างกรุงเทพมหานคร เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำดิบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี อนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ เห็นชอบ 4 โครงการก่อสร้างกรุงเทพมหานคร เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำดิบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี วันนี้ (14 ม.ค. 2564) เวลา 10.15 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 1/2564 เพื่อพิจารณาโครงการขนาดใหญ่และโครงสร้างสำคัญก่อนเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับแผนหลักการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. (สมอยึดหลัง) คลองบางไผ่ จากบริเวณคลองพระยาราชมนตรีถึงบริเวณสุดเขต กทม. 2) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมวางระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบจากบริเวณประตูระบายน้ำมีนบุรีถึงบริเวณประตูระบายน้ำหนองจอก 3) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองบางนา จากคลองเคล็ดถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และเป็นประโยชน์ให้ประชาชนสามารถใช้ทางเดินหลังเขื่อนเป็นเส้นทางสัญจรได้ และ 4) โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากถนนรัชดาภิเษกถึงคลองลาดพร้าว เพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเมื่อเกิดฝนตกหนักให้ระบายออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้เร็วขึ้นโดยอาศัยประสิทธิภาพการสูบน้ำของอุโมงค์ระบายน้ำ และเห็นชอบ สถานีสูบน้ำดิบพร้อมระบบท่อส่งน้ำเพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย 1. สถานีสูบน้ำ ตำบลตาเซะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 2. อาคารโรงประปา กำลังผลิต 1,200 ลบ.ม./ชั่วโมง โดยใช้ในการผลิตน้ำประปาปริมาณ 10.52 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และ 3. ระบบท่อหลัก ที่ได้ออกแบบด้วยหลักการ “ระบบโครงข่ายท่อ” (Pipe Network) เพื่อให้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศที่ต้องกระจายน้ำไปทุกทิศทาง และป้องกันความเสียหายของการส่งน้ำจากการก่อวินาศกรรม มีความยาวรวมทั้งสิ้น 162.15 กิโลเมตร คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะสามารถส่งน้ำไปยังพื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดปัตตานี อันได้แก่ อำเภอหนองจิก อำเภอแม่ลาน อำเภอโคกโพธิ์ และอำเภอเมืองปัตตานีได้ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการอุปโภค-บริโภค และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในส่วนโครงการขนาดใหญ่ จำนวน 11,524 รายการ ของ 9 กระทรวง 23 หน่วยงาน โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการเพื่อเสนอ กนช. เพื่อขอรับงบประมาณต่อไป ---------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลงพื้นที่สวนรุกขชาติไทย-ลาว เร่งปรับปรุงภูมิทัศน์ คืนความสุขให้ประชาขน พร้อมตรวจเยี่ยมสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จ.หนองคาย
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 วราวุธ ลงพื้นที่สวนรุกขชาติไทย-ลาว เร่งปรับปรุงภูมิทัศน์ คืนความสุขให้ประชาขน พร้อมตรวจเยี่ยมสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จ.หนองคาย วราวุธ ลงพื้นที่สวนรุกขชาติไทย-ลาว เร่งปรับปรุงภูมิทัศน์ คืนความสุขให้ประชาขน พร้อมตรวจเยี่ยมสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จ.หนองคาย วันนี้ (14 ม.ค. 64) เวลา 17.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสวนรุกขชาติ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว รับฟังการบรรยายสรุป มอบแนวทางการดำเนินงานให้ดูแลและปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม เพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และมอบถุงยังชีพให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม และมีนายประเสริฐลือชาธนานนท์ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ให้การต้อนรับ นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายในการดำเนินงานหลายด้าน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีปัญหาต่างกันไป จึงขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ำการป้องกันมากกว่าการแก้ไข และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ จากนั้น เวลา 17.30 น. ได้เดินทางไปยังสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศหนองคาย บริเวณสวนสาธารณะหนองถิ่น จังหวัดหนองคาย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์มลพิษทางอากาศจากหมอกควันข้ามแดน ซึ่งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศมีมาตรฐานที่สามารถตรวจวัดเทียบเท่าในระดับสากล จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าจะได้ข้อมูลที่เที่ยงตรงและแม่นยำ โดยจะดำเนินการติดตั้งให้ครบทุกจังหวัดภายในปี 2564 ทั้งนี้ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดน ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีส่วนที่อยู่เหนือความควบคุมของประเทศไทยร่วมด้วย แต่สำหรับพื้นที่ในตัวจังหวัดหนองคายได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแก้ไขปัญหาเรื่องจุดความร้อน ลดการเผาไหม้ในที่โล่ง รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38322
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการเรียนรู้ “อัตลักษณ์ชุมชน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยใช้โปรแกรม ZOOM ระยะที่ ๑
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 รมว.วธ.เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการเรียนรู้ “อัตลักษณ์ชุมชน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยใช้โปรแกรม ZOOM ระยะที่ ๑ รมว.วธ.เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการเรียนรู้ “อัตลักษณ์ชุมชน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยใช้โปรแกรม ZOOM ระยะที่ ๑ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการเรียนรู้ “อัตลักษณ์ชุมชน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยใช้โปรแกรม ZOOM ระยะที่ ๑ ซึ่งจัดโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมเปิด “คนละครึ่ง” รอบเก็บตก 20 ม.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 เตรียมเปิด “คนละครึ่ง” รอบเก็บตก 20 ม.ค. นี้ ... กาปฏิทินนับถอยหลังรอได้เลย สำหรับผู้ที่พลาดสิทธิลงทะเบียน โครงการ “คนละครึ่ง” รอบที่ผ่านมา . เพราะรัฐบาลเตรียมเปิดให้ลงทะเบียน โครงการคนละครึ่งรอบเก็บตกเพิ่มเติม วันที่ 20 มกราคม 2564 นี้ และจะเริ่มใช้จ่ายได้ภายในวันที่ 25 มกราคม . คาดว่าจะมีสิทธิคงเหลือมากกว่า 1 ล้านสิทธิ แบ่งเป็นสิทธิที่คงเหลือจากเฟสแรก 500,000 สิทธิ และเฟส 2 อีก 500,000 สิทธิ ซึ่งมาจากที่ผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านทั้ง 2 รอบ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ยืดระยะเวลาปล่อยกู้ซอฟท์โลนถึงกลางปีนี้ ช่วย SMEs อาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ครม. ยืดระยะเวลาปล่อยกู้ซอฟท์โลนถึงกลางปีนี้ ช่วย SMEs อาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ครม. ยืดระยะเวลาปล่อยกู้ซอฟท์โลนถึงกลางปีนี้ ช่วย SMEs อาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วันที่ 14 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทบทวนมติ ครม. เกี่ยวกับมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 และมาตรการช่วยเหลือ SMEs โดยอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาการขอสินเชื่อและพิจารณาสินเชื่อออกไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ปีนี้ รายละเอียดดังนี้ 1. มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) วงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย) ให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยยังคงเหลือวงเงินภายใต้โครงการ อีก 2,142 ล้านบาท 2. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ซึ่งธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อ จำนวน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่มีรายได้ประจำหรือเกษตรกรรายย่อย ให้ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งรวม 2 ธนาคาร มีวงเงินคงเหลือทั้งสิ้น 14,365 ล้านบาท ธนาคารออมสินยังเหลือวงเงิน 2,990 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ยังมีวงเงินคงเหลืออีก 11,375 ล้านบาท 3. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ของธนาคารออมสิน จำนวน 5,000 ล้านบาท ให้จัดสรรวงเงินที่เหลือ 2,987 ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินไปดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ และรวมถึงบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ภัยทางเศรษฐกิจ และภัยทางธรรมชาติ 4. โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก ของธนาคารออมสิน : ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วงเงินดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก จำนวน 10,000 ล้านบาท ยังคงมีวงเงินสินเชื่อคงเหลืออยู่อีกจำนวน 7,425 ล้านบาท หากรวมวงเงินจากโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ฯ ธนาคารออมสินที่เหลือ 2,987 ล้านบาท จะมีวงเงินในการปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ รวมทั้งสิ้น 10,412 ล้านบาท ทั้งนี้ การขยายมาตรการสินเชื่อในโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบรายย่อย ผู้ประกอบการอิสระ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมทั้งลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความไม่แน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีเซลส์ – ไบโอ เจเนเทค – วิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสารสกัดกัญชาและกัญชง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สู่เชิงพาณิชย์
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ทีเซลส์ – ไบโอ เจเนเทค – วิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสารสกัดกัญชาและกัญชง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สู่เชิงพาณิชย์ ทีเซลส์ – ไบโอ เจเนเทค – วิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสารสกัดกัญชาและกัญชง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สู่เชิงพาณิชย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) ร่วมมือกับ บริษัท ไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็น ภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน โดยทั้ง 3 ฝ่าย ร่วมลงนามความร่วมมือพัฒนาและเตรียมความพร้อมของกลุ่มยาที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ และเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ทั้งในลักษณะที่เป็นยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ภายใต้สัญญา 5 ปี โดยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "การพัฒนาและเตรียมความพร้อมของกลุ่มยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชง" โดยจัดงานผ่านทางออนไลน์ Live ผ่าน Facebook TCELS THAILAND ในวันที่ 13 ม.ค. 64 ณ อาคารเอสเจ อินฟินิท วัน บิสซิเนส คอมเพล็กซ์ ได้รับเกียรติจาก ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน), นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ นายธนารัตน์ จิตต์พายัพ ที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก, เกษตรอินทรีย์ บ้านทุ่งแพม ซึ่งเป็นผู้แทน นายณัฐวรรธน์ วรพนิตกุล ประธานวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก, เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ร่วมลงนามฯ และ นายชัยรัตน์ แสงจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์และบริหารองค์กร, นางสาวนิจพร จงอุดมฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ นางอรพินทร์ พญาพิทักษ์สกุล ประธานที่ปรึกษา วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก, เกษตรอินทรีย์ บ้านทุ่งแพม ร่วมเป็นพยานในการลงนามครั้งนี้ ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อที่ให้องค์ความรู้เกี่ยวกับ “การนำกัญชาไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และการต่อยอดในภาคอุตสาหกรรม” โดย ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และ หัวข้อ “การพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์” โดย รศ.ดร.ภก.เนติ วระนุช ผู้อำนวยการสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “ทีเซลส์ (TCELS) มีพันธกิจในการสนับสนุนบ่มเพาะงานวิจัย และนวัตกรรม เพื่อทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการด้านการแพทย์ และสุขภาพ ร่วมถึงผลักดันผลงานวิจัยให้นำไปใช้ได้จริง เชื่อมโยงและนำพาเครือข่ายร่วมกันพัฒนาธุรกิจและการลงทุน ให้พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยทีเซลส์ (TCELS) ให้การสนับสนุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทย ให้เกิดพัฒนายาจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนายาใช้เองภายในประเทศ ลดการนำเข้าและเพิ่มการส่งออก” “ด้วยประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นสมบัติและทรัพยากรสำคัญ จึงมีการนำผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมาใช้ในด้านการแพทย์แผนไทยมายาวนาน เช่น กัญชา ซึ่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ได้ระบุว่าผู้ที่สามารถปลูกและผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (ในประเทศ) ได้แก่ 1. หน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัย จัดการเรียนการสอนทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และให้บริการทางการแพทย์ เภสัชกรรม วิทยาศาสตร์ และเกษตรกรรมเพื่อการแพทย์หรือเภสัชกรรม 2. บุคคลต่อไปนี้ ซึ่งต้องดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ 2.1) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ศึกษาวิจัยหรือจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์, 2.2) ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ซึ่งดำเนินการภายในหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันอุดมศึกษา และ 2.3) ผู้ขออนุญาตอื่น ตามที่กำหนดในกฏกระทรวง ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน” “และเมื่อ 14 ธ.ค. พ.ศ. 2563 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการปลดล็อก "กัญชา กัญชง" มีผลในวันที่ 15 ธ.ค. 2563 โดยสรุป ส่วนที่ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด ได้แก่ 1. กัญชาและกัญชงในส่วนของใบที่ไม่ติดกับช่อดอก เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่ง ก้าน และราก 2. เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือ สารสกัดจากเมล็ดกัญชง 3. สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก แต่ส่วนที่ยังเป็นยาเสพติด ได้แก่ ช่อดอกกัญชาและกัญชง รวมทั้งเมล็ดกัญชา ซึ่งยังไม่ปลดล็อกจากยาเสพติด สำหรับส่วนที่ปลดล็อกจากยาเสพติดสามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ ใบ อาจนำไปทำผสมเป็นแชมพูและสบู่ เป็นต้น” ดร.ศิรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดยการพัฒนายาจากสารธรรมชาติเพื่อให้เป็นยาใหม่ได้นั้น ประกอบด้วย กระบวนการวิจัยพัฒนายาใหม่ ซึ่งมีความซับซ้อนและยังต้องใช้เวลายาวนาน จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขามาร่วมกันตลอดกระบวนการของการวิจัยและค้นพบยา การพัฒนาตัวยาและผลิตภัณฑ์ การศึกษาวิจัยทางคลินิก และการขึ้นทะเบียนยาเพื่อจำหน่าย โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือ ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชาและกัญชง ซึ่งต้องเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกที่ได้มาตรฐาน การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งทีเซลส์ (TCELS) ได้ให้การสนับสนุนสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากกัญชา ซึ่งจะต้องมีการนำมาศึกษาทางคลินิกเพื่อดูประสิทธิภาพและความปลอดภัย และต้องมีการขึ้นทะเบียนยา จึงจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยเครือข่ายของผู้เล่นในภาคอุตสาหกรรมและเงินลงทุนจำนวนมากจึงจะสามารถสร้างอุตสาหกรรมการผลิตยาใหม่ในห้ประเทศได้” “โดยบทบาทของทีเซลส์ (TCELS) จะให้การสนับสนุนด้านการวางแผนเพื่อผลักดันการพัฒนาการผลิตเชิงพาณิชย์ของกลุ่มยาที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเป็นส่วนประกอบ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากสารสกัดกัญชาและกัญชงที่ได้การทำการวิจัยในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไปศึกษาต่อในการทดลองทางคลินิก รวมถึงมีหน้าที่ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไปให้การสนับสนุนในการประสานงานกับหน่วยงานราชการเครือข่าย และส่งเสริมต่อยอดผลิตภัณฑ์บริการจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ อีกทั้งทีเซลส์ (TCELS) จะจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือ เช่น การจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ” ดร. ศิรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงงานรับจ้างผลิตยาชีววัตถุและวางระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาชีววัตถุ เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการพัฒนาและเตรียมความพร้อมของกลุ่มยาที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ และเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ทั้งในลักษณะที่เป็นยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเป็นส่วนประกอบ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือเป็นเวลา 5 ปี” “ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ทีเซลส์ (TCELS) ให้การสนับสนุนด้านการวางแผน เพื่อผลักดันการพัฒนาการผลิตเชิงพาณิชย์ของกลุ่มยาที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชง เพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเป็นส่วนประกอบ พร้อมให้การสนับสนุนในการประสานงานกับหน่วยงานราชการ ประสานงานกับเครือข่าย และส่งเสริมต่อยอดผลิตภัณฑ์บริการจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ตลอดจนจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือ เช่น การจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น” นายมารุต กล่าวอีกว่า “ในส่วนของ “บริษัท ไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” จะให้การสนับสนุนในการบริหารจัดการและประสานงานให้เกิดความร่วมมือระหว่างคู่สัญญาทั้งสามฝ่ายและหน่วยงานภายนอก รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการทดลองทางคลินิค (Clinical Trials) ผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์ เป็นต้น” “ไบโอ เจเนเทคฯ ยังจะดำเนินการกำหนดด้านนโยบายและแผนในการพัฒนาและเตรียมความพร้อมเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ของกลุ่มยาที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชง รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงเป็นส่วนประกอบอีกด้วย” “ขณะที่ วิสาหกิจชุมชนบ้านทุ่งแพม จังหวัดแม่ฮ่องสอน จะให้การสนับสนุนด้านสายพันธุ์กัญชาและกัญชง การปลูก และการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นกัญชาและกัญชงเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสกัดสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) และสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) รวมทั้งดำเนินการวางแผนและเตรียมความพร้อมด้านการผลิตวัตถุดิบกัญชาและกัญชงเพื่อรองรับการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ของกลุ่มยาและกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชง” นายมารุต กล่าวในตอนท้ายว่า “ในกรณีที่มีการพัฒนาโครงการย่อยภายใต้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ คู่สัญญาทั้งสามฝ่ายตกลงทำสัญญาเป็นข้อตกลงโครงการย่อยโดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีรายละเอียดอย่างน้อย ประกอบด้วยแผนการดำเนินงาน ขอบเขตการดำเนินงานของแต่ละฝ่าย ระยะเวลาการดำเนินงาน งบประมาณการดำเนินงาน และการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ฯลฯ เป็นรายกรณีไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ”
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” วันที่ 14 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยการจัดงานวันครู ประจำปี 2564 ในปีนี้จัดรูปแบบ “New Normal” สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานวันครู โดยให้จัดกิจกรรมวันครูออนไลน์ ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” ประกอบด้วย พิธีระลึกพระคุณ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดีหรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา ให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณชน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันครู ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ว่า “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” พร้อมเชิญชวนทุกคนที่มีครูร่วมระลึกถึงพระคุณครู และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันครูออนไลน์กับคุรุสภา ร่วมทำความดี เป็นจิตอาสา และร่วมแชร์ความรู้สึกดี ๆ ส่งต่อถึงพระคุณของครู โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยอีกว่า สำหรับกิจกรรมการจัดงานในปีนี้ มีดังต่อไปนี้ ส่วนกลางประกอบด้วย 3 เฟส ดังนี้ เฟสแรก การจัดงานวันครูออนไลน์ วันที่ 16 มกราคม 2564 ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตรออนไลน์ พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ครูผู้วายชนม์ พิธีบูชาบูรพาจารย์และระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การอ่านสารเนื่องในโอกาสวันครูของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิธีคารวะครูอาวุโสของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปาฐกถาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ครั้งที่ 4 เรื่อง “พลังครูไทยวิถีใหม่ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช รักษาการนายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุรุสภา” และทาง YouTube Channel “TBL Suandusit” ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เฟส 2 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทาง www.วันครู.com เผยแพร่นิทรรศการการพัฒนาวิชาชีพ การเสวนาทางวิชาการออนไลน์ และการเรียนหลักสูตรออนไลน์การพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพ ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม - 30 เมษายน 2564 และ เฟส 3 กิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะกำหนดจัด หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้นแล้ว สำหรับในส่วนภูมิภาค ให้จัดงานวันครูตามความเหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ โดยยึดปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. ในแต่ละพื้นที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกล้วยไม้ และซีดีเพลงเทิดเกียรติคุณครู จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมวันครูด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่อง “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ”
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่อง “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ” ตามที่ได้ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ” ตามสื่อต่างๆ นั้น กระทรวงการคลัง ขอเรียนว่า แอปพลิเคชันดังกล่าว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโครงการเราชนะของรัฐบาลและกระทรวงการคลังแต่อย่างใด นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ” ตามสื่อต่างๆ นั้น กระทรวงการคลัง ขอเรียนว่า แอปพลิเคชันดังกล่าว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโครงการเราชนะของรัฐบาลและกระทรวงการคลังแต่อย่างใด ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความสับสน และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโครงการเราชนะของรัฐบาล จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังในการอ่าน ส่ง หรือแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่มิได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ กระทรวงการคลังขอเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมแอบอ้างโดยมีเจตนาหลอกลวงหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขอให้หยุดการกระทำดังกล่าวโดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และหากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาโครงการเราชนะในวันอังคารที่ 19 มกราคม 2564 นี้ และจะมีการแถลงข้อมูลที่เป็นทางการอย่างชัดเจน โดยสามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการเราชนะ ได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3558 3569 3566 3557
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาใช้สิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” ถึง เม.ย. นี้
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 ขยายเวลาใช้สิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” ถึง เม.ย. นี้ ... สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น อาจทำให้หลายคนที่ใช้สิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” กังวลว่าทริปที่จองไว้จะล่ม เพราะเลื่อนเดินทางไม่ได้ . แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะรัฐบาลได้เห็นชอบ ให้ปรับปรุงเงื่อนไขโครงการสำหรับผู้ที่จองห้องพัก ในช่วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ 2564 สามารถเลื่อนวันจองออกไปได้ โดยไม่เสียสิทธิ จนถึงเดือน เมษายน 2564 . นอกจากนี้ยังเตรียมพิจารณาขยายระยะเวลาโครงการ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว หลังจากที่สถานการณ์โควิดระลอกใหม่เริ่มคลี่คลาย . หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เราเที่ยวด้วยกัน Call Center โทร. 0 2111 1144 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยืนยันใช้ประโยชน์จากแอป “หมอชนะ” ในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 สธ. ยืนยันใช้ประโยชน์จากแอป “หมอชนะ” ในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขยืนยันใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันหมอชนะ ในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 วันที่ 16 ม.ค.64 วันเดียวแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยงแล้ว 3,283 ราย เตรียมหารือทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้พัฒนาซอฟท์แวร์และผู้ใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน กระทรวงสาธารณสุขยืนยันใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันหมอชนะ ในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19วันที่ 16 ม.ค.64 วันเดียวแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยงแล้ว 3,283 ราย เตรียมหารือทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้พัฒนาซอฟท์แวร์และผู้ใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน วันนี้ (17 มกราคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้ลงนามความร่วมมือที่จะบริหารจัดการแพลทฟอร์ม เพื่อติดตามและประเมิน ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคโควิด 19 เนื่องจาก อยู่ในระหว่างการพัฒนาร่วมกัน ระหว่างกลุ่มผู้พัฒนาซอฟท์แวร์กับผู้ใช้งานในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข อาจมีบางประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต้องมีการหารือและทำความเข้าใจเพิ่มเติมต่อไป โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์กังวลเกี่ยวกับสถานะของผู้ติดเชื้อ จะได้นำไปทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้แอปพลิเคชันหมอชนะ มีประโยชน์สูงสุดสำหรับประชาชนในการป้องกันควบคุมโรค นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่นี้ รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการนำแอปพลิเคชันหมอชนะ มาช่วยในการติดตามสอบสวนโรคได้เป็นอย่างดีและเป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารถึงประชาชนกลุ่มเสี่ยง เพิ่มเติมจากการใช้ไทยชนะตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากแอปพลิเคชันหมอชนะสามารถติดตามการเดินทางผู้ที่มีความเสี่ยงใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้ โดยในวันที่ 16 มกราคม 2564 ได้มีการแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่น จำนวน 3,283 เครื่อง โดยส่งข้อความไปยัง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้มีความเสี่ยงต่ำที่ไปในสถานที่เดียวกับผู้ติดเชื้อ ให้รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อประเมินความเสี่ยงและให้สังเกตอาการ 14 วัน หากมีอาการป่วย ให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะ และพบแพทย์ใกล้บ้านทันที หรือสอบถามที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือสายด่วน 1422 และกลุ่มที่ 2 ผู้มีความเสี่ยงสูงที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะ และพบแพทย์ใกล้บ้านทันที หรือสอบถามที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือสายด่วน 1422 ทั้งนี้ มีการใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันหมอชนะ 2 รูปแบบดังนี้คือ แบบที่ 1 เมื่อทีมสอบสวนพบผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 จะถ่ายภาพ QR code และ ส่งมาที่กรมควบคุมโรค เพื่อสืบค้นหาเครื่องใกล้เคียง ที่ลงแอปพลิเคชั่นในช่วงเวลาที่คาดว่าจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อส่งข้อความให้เฝ้าอาการระวังตนเองและการปฏิบัติตัว พร้อมสถานที่หรือเบอร์ติดต่อสอบถามกลับ แบบที่ 2 การสืบค้นหาเครื่องใกล้เคียงที่ลงแอปพลิเคชัน จากสถานที่ที่ผู้ป่วยยืนยันเดินทางไปในช่วงเวลาที่คาดว่ามีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อได้ และดำเนินการส่งข้อความไปเช่นเดียวกับแบบที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังพบการระบาดของโควิด 19 อยู่ในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สวมหน้ากาก เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ล้างมือบ่อยๆ และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบปรึกษาแพทย์ หรือ สอบถามโทร 1422 ****************************** 17มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ให้ความมั่นใจ “หมอชนะ” ไม่ละเมิดข้อมูล-ทีมผู้พัฒนายังสนับสนุน
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 ดีอีเอส ให้ความมั่นใจ “หมอชนะ” ไม่ละเมิดข้อมูล-ทีมผู้พัฒนายังสนับสนุน ดีอีเอส ให้ความมั่นใจ “หมอชนะ” ไม่ละเมิดข้อมูล-ทีมผู้พัฒนายังสนับสนุน “พุทธิพงษ์”สยบดราม่า“หมอชนะ”ยืนยันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังร่วมกันทำงานทั้งกลุ่มผู้พัฒนาแอปและสพร.เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นการปรับปรุงแอปล่าสุดหลังจากถ่ายโอนการดูแลให้รัฐคือเพิ่มความมั่นใจเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลโดยให้ทีมผู้พัฒนาตัดฟังชั่นการทำงานของแอปหมอชนะออกหลายจุดเพื่อให้ใช้งานง่ายและไม่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าปัจจุบันกลุ่มผู้พัฒนาแอป“หมอชนะ”ได้แก่กลุ่มCode For Publicและกลุ่มทีมงานอาสาหมอชนะMor Chana Volunteer Teamได้มีการส่งต่อ“หมอชนะ”จากกลุ่มอาสาสมัครมาสู่การกำกับดูแลจากทางรัฐบาลอย่างเต็มตัวแล้วเนื่องจากหลังการนำมาใช้งานเพื่อรับมือการระบาดโควิด-19รอบใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคม2563ซึ่งเป็นการระบาดในประเทศที่รุนแรงกว่ารอบแรกทำให้ปริมาณผู้ใช้งานจากประชาชนทั่วไปเพิ่มมากขึ้นทางศูนย์ปฏิบัติการศบค.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้ให้ผู้พัฒนาปรับปรุงโดยยกเลิกการขอข้อมูลส่วนบุคคลในการลงทะเบียนเช่นชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ออกไม่ให้มีการได้มาหรือเก็บข้อมูลนั้นไว้เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจนอกจากนั้นยังตัดฟังก์ชั่นการทำงานของแอปหมอชนะออกหลายจุดเพื่อให้ใช้งานง่ายและไม่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนโดยมีการใช้งานเพียงการตรวจสอบหาบุคคลที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับผู้ติดเชื้อเพื่อแจ้งเตือนเท่านั้น “การพัฒนาแอปหมอชนะเกิดจากการร่วมมือกันของอาสาสมัครที่อยากให้มีแอปพลิเคชั่นในลักษณะติดตามตัวผู้ใช้งานเพื่อมาช่วยในการควบคุมการระบาดของโควิด-19โดยมีการพัฒนามาตั้งแต่เดือนมีนาคม2563โดยดีอีเอสได้ตรวจสอบแล้วว่ามีความมั่นคงปลอดภัยและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้ให้การรับรองและมอบหมายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(สพร.)เป็นผู้ดูแลและสนับสนุนพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในคลาวด์ของสพร.รวมทั้งตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลข้อมูลมาตรวจสอบด้วยซึ่งแอปหมอชนะได้มีการใช้งานแล้วในกลุ่มภาคเอกชนบริษัทโรงงานต่างๆมาระยะหนึ่ง”นายพุทธิพงษ์กล่าว ทั้งนี้เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่ในประเทศและรัฐบาลต้องการควบคุมมาตรการเข้มงวดเฉพาะจุดในพื้นที่การระบาดเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนในวงกว้างจึงเห็นความจำเป็นให้นำแอปหมอชนะมาใช้ติดตามผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพื่อให้เข้ามารับการตรวจสอบ โดยในการนำหมอชนะมาให้ประชาชนใช้นอกจากเพิ่มการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลแล้วบางฟังก์ชั่นการใช้งานรวมถึงการจัดระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลไม่ได้นำมาใช้ทำให้มีผลต่อองค์กรที่ใช้งานแอปหมอชนะมาก่อนหน้านี้สามารถใช้งานได้น้อยลง “ดังนั้นกลุ่มอาสาสมัครผู้พัฒนาแอปหมอชนะจึงได้ออกคำชี้แจงเพื่อให้ทุกคนทราบว่าได้มอบแอปนี้ให้รัฐบาลนำไปใช้งานแล้วไม่ได้อยู่ในความดูแลของกลุ่มโดยทางกลุ่มยังให้การสนับสนุนการใช้งานของรัฐบาลต่อไป”นายพุทธิพงษ์กล่าว รมว.ดีอีเอสกล่าวย้ำว่าขณะนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังร่วมกันทำงานทั้งกลุ่มผู้พัฒนาแอปและสพร.เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นทำให้คลาวด์เก็บข้อมูลที่สพร.เริ่มไม่พอมาตั้งแต่ต้นปีนี้กระทรวงดิจิทัลฯจึงต้องให้ใช้คลาวด์กลางภาครัฐ(GDCC)ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน)หรือNTมารองรับในการเก็บข้อมูล ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าการใช้งานของแอปหมอชนะนั้นศบค.และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกระทรวงดิจิทัลฯและสพร.ซึ่งรับผิดชอบในการทำงานของแอปพลิเคชั่นด้านเทคนิคก็กำกับดูแลตามหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่ดาวน์โหลดหมอชนะเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง โดยเมื่อเย็นวันที่15มกราคมที่ผ่านมาเพจเฟซบุ๊กCode for Publicและเพจเฟซบุ๊กทีมงานอาสาหมอชนะMor Chana Volunteer Teamได้ออกแถลงการณ์การส่งต่อแอปหมอชนะจากกลุ่มอาสาสมัครไปสู่การกำกับดูแลจากทางรัฐบาลอย่างเต็มตัวโดยส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่ากลุ่มผู้พัฒนาจะไม่ได้เป็นผู้ดูแลแอปหมอชนะอีกต่อไปอย่างเป็นทางการและทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามที่ทางทีมผู้พัฒนาวางแผนกันไว้ว่าจะดูแลเพียงส่วนของโปรแกรมระบบเปิดในการพัฒนา(Open Source)ซึ่งหลังจากนี้ก็จะยังพัฒนาโอเพ่นซอร์สตัวเดิมต่อไปและเมื่อดูจากแถลงการณ์ในข้อที่ระบุว่า“การดำเนินการการส่งต่อให้รัฐบาลครั้งนี้คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลเป็นสำคัญเช่นเดิมดังนั้นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนอย่างเช่นเบอร์โทรศัพท์ข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบทิ้งออกจากฐานข้อมูลรวมถึงตัวแอปได้ปิดฟีเจอร์ยืนยันตัวตนเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวอร์ชัน2.0.1ทำให้ผู้ใช้ใหม่จะไม่มีวิธีในการใส่เบอร์โทรตัวเองเข้าระบบอีกต่อไป”จะเห็นว่าทางกลุ่มผู้พัฒนาได้ดำเนินการตามคำร้องขอของรัฐบาลแล้วเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ กระทรวงคลัง เตรียมพร้อมระบบลงทะเบียน ก่อนคลอดมาตรการช่วยเหลือประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 นายกฯ กำชับ กระทรวงคลัง เตรียมพร้อมระบบลงทะเบียน ก่อนคลอดมาตรการช่วยเหลือประชาชน นายกฯ กำชับ กระทรวงคลัง เตรียมพร้อมระบบลงทะเบียน ก่อนคลอดมาตรการช่วยเหลือประชาชน เมื่อวันที่ 17 ม.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมระบบรองรับการลงทะเบียนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาประชาชน ไม่ว่าจะเป็น โครงการคนละครึ่ง เพิ่ม 1 ล้านสิทธ์ และโครงการเราชนะ เยียวยาประชาชน 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน โดยให้ดูความพร้อมของระบบเพื่อบริการประชาชน ลดช่องโหว่ต่างๆให้ได้มากที่สุด พร้อมอธิบายชี้แจงวิธีการลงทะเบียนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ทุกช่องทางการสื่อสาร เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าใจ รวมถึงป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของภาครัฐ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับทั้ง 2 โครงการ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติในวันที่ 19 ม.ค.นี้ โดยคาดว่าโครงการคนละครึ่งละครึ่ง จะเปิดให้ลงทะเบียนรับ 1 ล้านสิทธิ์ในวันที่ 20 ม.ค. ขณะที่โครงการเราชนะ ได้วางแผนจะเปิดให้ลงทะเบียนในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือ ต้นเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณารายละเอียดขอบเขต เงื่อนไขโครงการ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก้ไขข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะจากสื่อออนไลน์ ที่มีการส่งต่อข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด สับสน และขอให้ประชาชนติดตามความคืบหน้า รายละเอียดมาตรการต่างๆจากการประกาศของหน่วยงานราชการ เลือกบริโภคข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และไม่ส่งต่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช็คก่อนแชร์ --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย เพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 นายกฯ ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย เพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี นายกฯ ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย เพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการประชุมเพื่อพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลของการพัฒนาดังกล่าวต้องแลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดของเหลือทิ้งที่สร้างมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ จึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะ “ทำมากได้น้อย” เนื่องจากไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG" หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นการเชื่อมโยงหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการสานพลังของจตุภาคีทั้งภาคประชาชน เอกชน หน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายต่างประเทศ โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรม กิจกรรมหลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย (1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา เพิ่มพูนทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (2) บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และบริโภค อย่างยั่งยืน (3) ลดและใช้ประโยชน์ของทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (4) สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นต้นน้ำ จนถึงภาคการผลิตและบริการ และ (5) สร้างภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2561 รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างแรงงานรวมกัน 16.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการจ้างงานรวมของประเทศ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน “ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มีศักยภาพเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปีข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ BCG Model คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” คณะกรรมการบริหารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป แต่ธรรมชาติจะเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทุกสรรพสิ่งบนโลก เป็นพื้นฐานของความอยู่ดีกินดีของมนุษย์รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำตามหลักการหมุนเวียน ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นการตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่เป็นอันดับแรก ใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน นำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ หรือการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ยกระดับมาตรฐานและให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบ “ทำน้อยได้มาก” แทน ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก เน้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปเพิ่มศักยภาพของชุมชน ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต/บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบกรอบแผนยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” สำหรับการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (Post COVID-19 Strategy) พร้อมให้นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้าคือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การแปรปรวนของภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากร ด้วยเหตุนี้การพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะสามารถสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนแรงกดดันหรือข้อจำกัดเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการเร่งรัดพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว” -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38369
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ร่วมแถลงจับกุม "อภิรักษ์ โกฎธิ" CEO คดีแชร์ Forex-๓D - และการจับกุมสินค้าวิทยุสื่อสารละเมิดลิขสิทธิ์ยี่ห้อดัง มูลค่ากว่า ๕๐ ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ร่วมแถลงจับกุม "อภิรักษ์ โกฎธิ" CEO คดีแชร์ Forex-๓D - และการจับกุมสินค้าวิทยุสื่อสารละเมิดลิขสิทธิ์ยี่ห้อดัง มูลค่ากว่า ๕๐ ล้านบาท เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ร่วมแถลงจับกุม "อภิรักษ์ โกฎธิ" CEO คดีแชร์ Forex-๓D - และการจับกุมสินค้าวิทยุสื่อสารละเมิดลิขสิทธิ์ยี่ห้อดัง มูลค่ากว่า ๕๐ ล้านบาท ในวันศุกร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฏัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน ผู้อำนวยการกองคดีทรัพย์สินทางปัญญา และนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ร่วมแถลงข่าวกรณีการเข้าค้นและจับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ การหลอกลวงให้ร่วมลงทุนใน Forex-๓D และกรณีเข้าค้นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าประเภทวิทยุสื่อสาร ย่านการค้าบ้านหม้อพลาซ่า สืบเนื่องจาก พันตำรวจโท กรวัชร์ฯ มอบหมายให้ นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๑๕๓/๒๕๖๒ ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่อง จนพิสูจน์ทราบแหล่งที่หลบซ่อนตัวของ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ๓๙๓/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓ จึงได้จัดกำลังลงพื้นที่ เพื่อตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารายดังกล่าว ผลการตรวจค้นจับกุมที่คอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พบนายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ต้องหา จึงได้จับกุมนายอภิรักษ์ฯ พร้อมยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก อาทิ รถลัมโบร์กินี่ สมุดบัญชีเงินฝาก โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาหรู เครื่องประดับ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค กระเป๋าแบรนด์เนม เป็นต้น นอกจากนี้ พันตำรวจโท กรวัชร์ฯ และพันตำรวจเอก อัครพลฯ ได้สั่งการให้ พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน ผู้อำนวยการกองคดีทรัพย์สินทางปัญญา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันนำหมายศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เข้าทำการตรวจค้นร้านค้าเป้าหมายย่านการค้าตลาดบ้านหม้อ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บและจำหน่ายสินค้าประเภทวิทยุสื่อสาร เครื่องรับ - ส่งวิทยุคมนาคม แบตเตอรี่ เสาอากาศ และอุปกรณ์เสริม ซึ่งปลอมเครื่องหมายการค้าได้เป็นจำนวนมาก สืบเนื่องจากกองคดีทรัพย์สินทางปัญญา ได้รับแจ้งจากบริษัทมาซูวัลเลย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จํากัด ตัวแทนผู้เสียหาย ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัทไอคอม อินคอร์ปอเรเต็ด (นิติบุคคลประเทศญี่ปุ่น) เจ้าของเครื่องหมายการค้า ICOM (ไอคอม) และโมโตโรล่า อิงค์ (นิติบุคคลประเทศสหรัฐอเมริกา) เจ้าของเครื่องหมายการค้า (MOTOROLA) ขอให้ทำการสืบสวนดำเนินคดีกับร้านค้าในแหล่งจำหน่าย หรือย่านการค้าตลาดบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ที่จำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหาย เป็นเหตุให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก กองคดีทรัพย์สินทางปัญญาได้สืบสวน เฝ้าติดตามจนพบหลักฐานในการกระทำความผิด จึงได้เข้าทำการตรวจค้นร้านค้าเป้าหมายและสถานที่เก็บสินค้ารวม ๔ จุด ได้แก่ ๑. ร้านโยเทเลคอม ๒. ร้านนานาวิทยุสื่อสาร ๓. อาคารพาณิชย์ในซอยเจ้าคุณเทเวศร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ และ ๔. บ้านเลขที่ ๒๕๐/๖๐๘ หมู่บ้านกรีนวิลล์ ถนนพุทธมณฑลสาย ๒ ผลการตรวจค้นพบและยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวนทั้งสิ้น ๓๗,๖๙๔ ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า ๕๐ ล้านบาท ------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นั่งรถไฟวิถีใหม่ จองก่อน 3 วัน - เว้นระยะห่าง
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 นั่งรถไฟวิถีใหม่ จองก่อน 3 วัน - เว้นระยะห่าง ... ผู้ที่จะใช้บริการรถไฟเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่าง ๆ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ต้องจองตั๋วล่วงหน้าก่อนวันเดินทางไม่เกิน 3 วัน . เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารจะเดินทางแน่นอน เกิดความสะดวกและปลอดภัย และง่ายต่อการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ . รถไฟทุกเที่ยว จะลดจำนวนผู้โดยสารลงครึ่งหนึ่ง หรือเว้นระยะห่างของที่นั่งอย่างน้อย 1 ที่นั่ง เริ่มตั้งแต่ 13 ม.ค. 64 จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หากต้องการตรวจสอบเวลาการเดินรถไฟ คลิกที่นี่ http://procurement.railway.co.th/checktime/checktime.asp #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยประชาชนในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิลดลง
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 นายกฯ ห่วงใยประชาชนในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิลดลง นายกฯ ห่วงใยประชาชนในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หลายพื้นที่มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิลดลง เนื่องด้วยพยากรณ์อากาศในช่วงวันที่ 17 - 19 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลง และมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลงตั้งแต่ 2 ถึง 3 องศาเซลเซียส ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 4 ถึง 6 องศาเซลเซียส นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงความห่วงใย โดยขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง และหากพื้นที่ใดมีความจำเป็นที่จะต้องก่อไฟเพื่อช่วยให้อุ่นขึ้น ก็ขอให้ดูแลระมัดระวังในเรื่องอัคคีภัยด้วย --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38368
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้ยังมีความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงการรวมตัวกันโดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเวลานี้ ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างดียิ่ง นอกจากนี้รัฐบาลก็กำลังเร่งพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ รวมถึงการเร่งเตรียมการในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขั้นต่อไป ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่อยากเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากเหตุของการรวมตัวกันเพื่อชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้ จึงขอความร่วมมือประชาชนปฎิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันด้วยอีกทางหนึ่ง -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38367
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสปท. ไม่หวั่นโควิด-19 ลุยอบรมสถานประกอบกิจการผ่านออนไลน์ ฟรี!
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 สสปท. ไม่หวั่นโควิด-19 ลุยอบรมสถานประกอบกิจการผ่านออนไลน์ ฟรี! รมช.แรงงาน ชวนสถานประกอบกิจการพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัยในการทำงาน ผ่านระบบออนไลน์ ฟรี รับวิถี New Normal ห่างไกลโควิด-19 วันที่ 18 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงทวีความรุนแรง สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย และอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. มีความห่วงใยต่อผู้ที่ต้องการเข้าร่วมสัมมนาวิชาการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชีวิตตามวิถีใหม่ หรือ New normal โดยปรับรูปแบบจัดฝึกอบรมผ่านทาง Facebook Live (Facebook Fanpage: สสปท-TOSH) เพื่อเปิดโอกาสให้สถานประกอบกิจการได้มีโอกาสเข้ารับการอบรม นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดอบรมสัมมาดังกล่าว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด มุ่งสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยเชิงป้องกัน สู่ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และความผาสุกที่ยั่งยืน ปี 2564 (Forward Culture of Prevention for Safety Thailand 2021) ระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นการอบรมสัมมนาหัวข้อ Safety for Creation ป้องกันโควิด ฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย (JSA) และการจัดทำขั้นตอนปฏิบัติงานที่ปลอดภัยแบบ One Page WI เทคนิคการทำงานในที่อับอากาศอย่างปลอดภัย การจัดเก็บสารเคมีอันตรายอย่างไรให้ปลอดภัย และมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง ซึ่งสามารถเลือกหัวข้ออบรมได้ตามต้องการ โดยผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ปลูกจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน และนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน รวมถึงขยายผลเนื้อหาที่เข้ารับการฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติงานรับทราบต่อไป สำหรับสถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องความปลอดภัยฯ และเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันสร้างสรรค์วัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงป้องกันสามารถดูรายละเอียดและหัวข้อการฝึกอบรมได้ที่ www.tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0 2448 9111 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย สานต่อความสัมพันธ์พร้อมให้ความร่วมมือด้านกฎหมายและด้านยาเสพติด
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย สานต่อความสัมพันธ์พร้อมให้ความร่วมมือด้านกฎหมายและด้านยาเสพติด รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย สานต่อความสัมพันธ์พร้อมให้ความร่วมมือด้านกฎหมายและด้านยาเสพติด ในวันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องรับรองประจำกระทรวงยุติธรรม (ห้อง ๓-๐๒) ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายทูมูร์ อามาร์ซานา (Mr. Tumur Amarsanaa) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการร่วมกัน โดยเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย ประสงค์ที่จะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านกฎหมายและด้านยาเสพติด รวมทั้งสนใจการใช้น้ำมันกัญชาในทางการแพทย์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคี โดยเฉพาะการเร่งรัดจัดทำความตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาให้มีผลเป็นรูปธรรม โดยฝ่ายมองโกเลียหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศไทยในครั้งนี้ จะเป็นประตูสู่ความสัมพันธ์กับประเทศในอาเซียนต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. แจงสมาชิก ส่งเงินออมสะสมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อจะได้รับสิทธิเงินสมทบตามช่วงอายุ”
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 “กอช. แจงสมาชิก ส่งเงินออมสะสมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อจะได้รับสิทธิเงินสมทบตามช่วงอายุ” กอช. แจงสมาชิกควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ไม่พลาดสิทธิการรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ กอช. มีความยืดหยุ่นสูง สมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม สิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แจงสมาชิกควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ไม่พลาดสิทธิการรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ กอช. มีความยืดหยุ่นสูง สมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม สิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ สมาชิกสามารถส่งเงินออมได้เมื่อพร้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กังวลในการส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง แต่อย่างใดสมาชิกสามารถส่งเงินออมสะสมได้เมื่อพร้อม สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงสภาพเดิม ทั้งนี้ สมาชิกควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี เพื่อรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ทุกวัน หรือ สมาชิกส่งเงินออมสะสม ได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” เพื่อลดการเดินทางห่างไกลโควิด-19 หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางห่วงใย ย้ำ! มาตรการ Social Distancing เกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 กรมบัญชีกลางห่วงใย ย้ำ! มาตรการ Social Distancing เกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ กรมบัญชีกลางมีความห่วงใยในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และพร้อมสนับสนุนนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ กรมบัญชีกลางมีความห่วงใยในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และพร้อมสนับสนุนนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มของผู้ป่วยเก่าที่จำเป็นต้องเดินทางมารับยาที่โรงพยาบาล จึงได้นำหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการกรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และหลักเกณฑ์การต่ออายุการรับรองมาตรฐานการรักษาพยาบาลโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 เผยแพร่ให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวได้ทราบอีกครั้ง โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 1. ผู้ป่วยเก่าของสถานพยาบาลสามารถรับยาที่บ้านได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทางมายังสถานพยาบาลในช่วงที่เกิดการระบาดของโรค การจัดส่งยาให้ดำเนินการได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้ 1.1 จัดส่งยาให้ผู้ป่วยโดยตรง โดยใช้ไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือไปรษณีย์ด่วนพิเศษ หรือไปรษณีย์ตอบรับปลายทาง โดยให้เก็บเลขพัสดุที่จัดส่งไว้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ 1.2 จัดส่งยาไปยังหน่วยบริการปฐมภูมิหรือสถานที่ที่สถานพยาบาลของทางราชการได้จัดเตรียมไว้ และเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ส่งมอบยาให้ผู้ป่วย โดยให้ออกใบรับยาไว้เป็นหลักฐานเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ 2. การต่ออายุรับรองมาตรฐานการรักษาพยาบาลโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ยังสามารถดำเนินการต่ออายุได้ โดยให้สถานพยาบาลที่ใบรับรองการต่ออายุการรับรองมาตรฐานการรักษาฯ มีอายุเหลือไม่ถึง 6 เดือน ปฏิบัติตามแนวทางตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4 /ว 150 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 จนกว่ากรมบัญชีกลางจะแจ้งให้สถานพยาบาลปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเดิม “ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้เวียนแจ้งหลักเกณฑ์ฯ รายละเอียดตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4 /ว 102 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2563 หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4 /ว 130 ลงวันที่ 3 เมษายน 2563 และตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4 /ว 150 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเรียบร้อยแล้ว หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ และกรมบัญชีกลางขอเป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38393
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น วันนี้ (18 ม.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 64 มีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามมติฯ ดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยในพื้นที่จังหวัดชายแดน ให้เพิ่มความเข้มข้นในการจัดให้มีการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าไปในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด ด้วยการใช้กลไกทางปกครอง กลไกภาคประชาชน/ประชาสังคมที่มีอยู่ สำหรับในพื้นที่จังหวัดตอนใน ให้ตรวจตรา กำกับดูแลสถานประกอบการ รวมทั้งภาคเอกชน มิให้จ้างแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในห้วงเวลานี้ ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ดำเนินการตามมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติที่ประชุมฯ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลวาระครบรอบ 151 ปีชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลก 20 ม.ค.นี้ ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลวาระครบรอบ 151 ปีชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลก 20 ม.ค.นี้ ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลวาระครบรอบ 151 ปีชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลก 20 ม.ค.นี้ ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร พร้อมเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชมถ่ายทอดสดทางเฟซบุคไลฟ์กรมการศาสนา วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลวาระครบรอบ 151 ปีชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลก 20 ม.ค.นี้ ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร พร้อมเชิญชวนพุทธศาสนิกชนชมถ่ายทอดสดทางเฟซบุคไลฟ์กรมการศาสนาร่วมน้อมรำลึกถึงคุณูปการพร้อมนำหลักคำสอนมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมใหญ่สมัยสามัญองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 40 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ได้มีมติประกาศยกย่องพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ และมีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 150 ปีชาตกาล วันที่ 20 มกราคม 2563 วาระปี 2563-2564 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) โดยกรมการศาสนา(ศน.)เสนอต่อยูเนสโก เนื่องจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระเถรานุเถระสายวิปัสสนากรรมฐานที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยให้ความเคารพนับถือ และเป็นผู้นำกองทัพธรรม เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังพุทธศาสนิกชนชาวไทย ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ซึ่งหลักคำสอนของท่านได้ชี้แนะวิธีบำบัดทุกข์และเข้าถึงความสงบด้วยการเจริญสมาธิ ส่งผลให้ชาวไทยและชาวต่างชาติหันมาสนใจศึกษาแนวทางที่ท่านได้วางหลักไว้จนปรากฏผลเป็นรูปธรรมและแผ่ขยายในวงกว้างจากระดับประเทศสู่ภูมิภาคจนถึงสังคมโลก ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนาได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในวาระดังกล่าวตลอดทั้งปี 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมเฉลิมฉลองในปี 2564 จัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 151 ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต วันที่ 20 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะได้น้อมรำลึกถึงคุณูปการของท่านในฐานะบุคคลสำคัญของโลก ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนาร่วมกับหน่วยงานต่างๆจัดพิธีบำเพ็ญกุศลในวาระดังกล่าวในวันที่ 20 มกราคม 2564 เวลา 13.30 น. ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพ โดยมีกิจกรรมเจริญพระพุทธมนต์และการแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับชีวประวัติ วัตรปฏิบัติ และหลักคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนา ขอเชิญพุทธศาสนิกชนรับชมการถ่ายทอดสดพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวาระครบรอบ 151 ปี ชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลก โดยรับฟังพระธรรมเทศนา ทางออนไลน์และปฏิบัติธรรม เพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชา ณ บ้านหรือที่ทำงาน ทั้งนี้ เข้าร่วมและชมพิธีบำเพ็ญกุศลได้ตั้งแต่เวลา 13.15 น. ผ่านช่องทาง FacebookLive กรมการศาสนา https://www.facebook.com/Drathai.gov เนื่องจากเป็นการจัดกิจกรรมในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า กิจกรรมเฉลิมฉลองในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมรำลึกถึงคุณูปการและน้อมนำหลักคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาปฏิบัติและปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและเป็นการเผยแพร่คุณความดี วัตรปฏิบัติ และคุณูปการของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตที่มีต่อสังคมไทยและสังคมโลก รวมทั้งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องในโอกาสที่ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก ประจำวาระปี 2563-2564 อีกด้วย ...................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส-ทีมพัฒนา จับมือแถลงส่งมอบแอปหมอชนะให้รัฐบาลเพื่อความยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ดีอีเอส-ทีมพัฒนา จับมือแถลงส่งมอบแอปหมอชนะให้รัฐบาลเพื่อความยั่งยืน ดีอีเอส-ทีมพัฒนา จับมือแถลงส่งมอบแอปหมอชนะให้รัฐบาลเพื่อความยั่งยืน “พุทธิพงษ์”แถลงร่วมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้พัฒนาแอปหมอชนะเปิดเหตุผลการถ่ายโอนหมอชนะให้รัฐเพราะมองอนาคตการใช้ประโยชน์จากแอปได้อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณและกำลังคนมาอัดฉีดในระยะยาวซึ่งภาครัฐคือคำตอบดีที่สุดด้านกรมควบคุมโรคเผยแอปหมอชนะเคาะ3สีแจ้งสถานะกลุ่มเสี่ยง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(18ม.ค. 64)ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อติดตามข้อสรุปในการดูแลระบบแอปพลิคชั่นหมอชนะหลังจากกลุ่มผู้พัฒนาได้ถ่ายโอนการดูแลให้กับรัฐโดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แก่นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯนพ.ปรีชาเปรมปรีรองอธิบดีกรมควบคุมโรคนายสุพจน์เธียรวุฒิผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(สพร.)รวมทั้งนายอนุชิตอนุชิตานุกูลและนายสมโภชน์อาหุนัยตัวแทนกล่มผู้พัฒนาแอปหมอชนะ “สืบเนื่องจากประเด็นที่มีคำถามจากสังคมการใช้แอปหมอชนะขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนว่าการทำงานตั้งแต่ทีมงานพัฒนาหมอชนะ9-10เดือนที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็ยังหารือด้วยดีกันอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในวันนี้ได้เชิญผู้แทนที่เกี่ยวข้องมาอย่างครบถ้วนซึ่งยังทำงานร่วมกันมาด้วยดีโดยตลอด”นายพุทธิพงษ์กล่าว ทั้งนี้แอปหมอชนะมีการพัฒนากันมาเป็นลำดับที่ผ่านมาทำเพื่อรองรับการใช้งานหลายเรื่องซึ่งการที่รัฐบาลนำมาใช้งานรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากจำเป็นต้องมีทีมงานพื้นที่ในการเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ที่รองรับการใช้งานที่มากขึ้นซึ่งเจตนารมย์ที่ส่งมอบหมอชนะให้รัฐบาลเป็นของผู้พัฒนาตั้งแต่แรกเพื่อให้มีการบริหารจัดการกันเป็นระบบมีผู้รับผิดชอบอย่างจริงจังโดยกลุ่มผู้พัฒนาที่เป็นทีมงานอาสาก็ยังสนับสนุนการพัฒนากับรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินการในระยะยาวและบุคลากรที่ทำงานกันแบบประจำแบบ24ชั่วโมงเข้ามาเสริมจากเดิมเป็นการทำงานในรูปแบบทีมพัฒนาอาสาจึงมีการขยับบทบาทออกไปเป็นที่ปรึกษา รมว.ดิจิทัลฯย้ำด้วยว่าความเชื่อมั่นเป็นเรื่องสำคัญมากฟังก์ชั่นสีต่างๆในการแจ้งสถานะแจ้งเตือนประชาชนกรมควบคุมโรคจะเข้ามาเร่งให้มีการแจ้งเตือนได้รวดเร็วขึ้นยิ่งใช้เยอะข้อมูลยิงแม่นยำรวดเร็วดังนั้นอยากขอให้ประชาชนช่วยกันใช้แอปหมอชนะกันเยอะๆเพื่อการแจ้งเตือนเข้ามาในระบบและส่งแจ้งเตือนกลุ่มเสี่ยงจะยิ่งรวดเร็วขึ้น”นายพุทธิพงษ์กล่าว “ยืนยันว่าเราและนักพัฒนาได้มีการหารือกันตั้งแต่ต้นใครออกข่าวอย่างไรมาเราไม่ทราบแต่ตอนนี้ยืนยันว่านักพัฒนาไม่ได้ถอนตัวเขาก็ยังอยู่กับเราไม่ได้ทิ้งกันไปไม่มีการถอนตัวซึ่งถอนตัวไม่ได้เพราะเริ่มพัฒนาร่วมกันมาตั้งแต่แรกในปัจจุบันเมื่อมีการใช้งานมากขึ้นจากหลักแสนเป็น5-6ล้านคนจำเป็นต้องมีงบประมาณในการขยายการดำเนินงานมีกรอบงบประมาณแล้วซึ่งผู้คิดกรอบงบประมาณคือผู้พัฒนานั่นเองโดยที่ผ่านมาก็ได้มีการใช้งบประมาณกลางเป็นค่าเช่าคลาวด์ แต่ผู้พัฒนาไม่คิดค่าแรงเลยและเมื่อต้องใช้งานกันอย่างจริงจังก็ต้องมีเงินเพื่อเป็นงานประจำมีที่เก็บข้อมูลที่รองรับจำนวนผู้ใช้งานได้และการทำงานต่อจากนี้ของนักพัฒนาต่อจากนี้ก็ยังทำงานร่วมกันอยู่ไม่ได้หายไปไหนยังสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลต่อไป”นายพุทธิพงษ์กล่าว นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯกล่าวว่ารัฐและทีมผู้พัฒนาฯทำงานร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อปีที่ผ่านมาและเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและศบค.ต้องการใข้แอปมาช่วยติดตามกลุ่มเสี่ยงกระทรวงฯจึงได้รับนโยบายมาเมื่อยอดใช้งานทะลุ5ล้านคนช่วงหลังปีใหม่ว่าต้องมีการขยายพื้นที่การใช้งานบนระบบคลาวด์เพราะเรามีระบบคลาวด์กลางภาครัฐอยู่แล้วส่วนข้อมูลผู้ใช้งานมีแต่กรมควบคุมโรคเรียกใช้ได้ เมื่อมีกรณีพบผู้ติดเชื้อ นพ.ปรีชาเปรมปรีรองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่าที่ผ่านมากรมควบคุมโรคและทีมผู้พัฒนาได้ทำงานร่วมกันมาโดยตลอดโดยในการแจ้งเตือนสถานะเสี่ยงของผู้ใช้งานนั้นมีประเด็นสำคัญ2เรื่องได้แก่1.ข้อมูลส่วนบุคคลและ2.ฐานของข้อมูลจะต้องดูแลโดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องซึ่งในที่นี้คือกรมควบคุมโรคซึ่งการเปลี่ยนสีQR codeเพื่อเปลี่ยนการแจ้งเตือนสถานะจากสีเขียวนั้นต้องผ่านกระบวนการยืนยันหลังการสอบสวนโรคของผู้ป่วยยืนยันก่อน โดยการอัพเดทสถานะจะมี3สีได้แก่QR codeสีแดงผู้ป่วยยืนยัน, QR codeสีส้มผู้มีความเสี่ยงสูงในการใกล้ชิดผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังติดตามสังเกตอาการและมารับการตรวจเชื้อและQR codeสีเขียวคือประชาชนทั่วไปหรือกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำอาจได้รับข้อความแจ้งเตือนเฝ้าระวังตนเอง ดังนั้นขอให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องเรื่องสีQR codeว่าแอปจะไม่สามารถเปลี่ยนสีเองได้เพราะแอปคุยกันเองไม่ได้ต้องมีการรวบรวมข้อมูลทั้งจากคนของกรมฯที่ลงไปอยู่ในระดับเขตและจังหวัดข้อมูลในไทม์ไลน์ของผู้ใช้แอปหมอชนะและการแปลงข้อมูลหลังการสอบสวนโรคจากนั้นกรมฯจะแจ้งส่วนงานที่เกี่ยวข้องให้เปลี่ยนสีของสถานะQR codeของกลุ่มเสี่ยง นายสุพจน์เธียรวุฒิผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(สพร.)กล่าวว่าตลอดการทำงาน8-9เดือนที่ผ่านมาเป็นแบบอย่างของความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนซึ่งเมื่อมีการใช้งานมากขึ้นก็จำเป็นต้องบริหารจัดการให้เป็นระบบรองรับจำนวนคนใช้งานที่มากขึ้นและการทำงานก็จะเป็นในแบบรูปแบบเดิมมีการร่วมมือการพัฒนาหมอชนะตั้งแต่ต้นและส่วนเรื่องการดูแลข้อมูลสพร.ก็ยังเป็นผู้ดูแลข้อมูลและอยากขอให้ประชาชนช่วยกันดาวน์โหลดแอปหมอชนะมาใช้งาน นายอนุชิตอนุชิตานุกูลหนึ่งในกลุ่มผู้พัฒนาแอปหมอชนะกล่าวว่าทีมอาสาฯมองว่าถึงเวลาที่แอปนี้ต้องมีการดูแลอย่างเป็นทางการจากที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะอาสาสมัครอีกทั้งคำแนะนำการใช้งานต่างๆการสื่อสารจำเป็นต้องมีเอกภาพชัดเจนควรต้อง“สื่อสารจากรัฐบาล”เพื่อสร้างความชัดเจน นายสมโภชน์อาหุนัยทีมผู้พัฒนาแอปหมอชนะกล่าวว่ากลุ่มคนทำงานอาสาสมัครมุ่งพัฒนาแอปเพื่อประโยชน์ต่อประเทศทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเป็นเครื่องมือหนึ่งดังนั้นจำเป็นต้องรณรงค์ให้ประชาชนเข้ามาช่วยกันใช้งานเพื่อให้แอปหมอชนะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและเมื่อถึงจุดหนึ่งจำเป็นต้องให้รัฐเป็นผู้นำในการรณรงค์การใช้งานและมีความเป็นเอกภาพ ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส เผยขั้นตอนตรวจสอบข่าวปลอม กระตุ้นประชาชนให้รู้ทันข่าวก่อนแชร์ ผ่านรายการสถานีประชาชน ทางช่องไทยพีบีเอส
วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564 รองปลัดฯ ดีอีเอส เผยขั้นตอนตรวจสอบข่าวปลอม กระตุ้นประชาชนให้รู้ทันข่าวก่อนแชร์ ผ่านรายการสถานีประชาชน ทางช่องไทยพีบีเอส รองปลัดฯ ดีอีเอส เผยขั้นตอนตรวจสอบข่าวปลอม กระตุ้นประชาชนให้รู้ทันข่าวก่อนแชร์ ผ่านรายการสถานีประชาชน ทางช่องไทยพีบีเอส เมื่อวันที่18มกราคม2564นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะผอ.ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม(Anti-Fake Center)ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสถานีประชาชนของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส(Thai PBS)เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้แก่ประชาชนถึงขั้นตอนกระบวนการตรวจสอบข่าวต่างๆของหน่วยงานก่อนมีการประชาสัมพันธ์และส่งต่อเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบโดยที่ผ่านมาศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้มีการเปิดอบรมประชาชนให้รู้ทันข่าวก่อนแชร์เพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในพื้นที่4ภาคทั่วประเทศ ได้แก่เชียงใหม่อุดรธานีพังงาและอยุธยา ณห้องประชุม ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะพร้อมกันนี้รองปลัดฯจะเข้าร่วมสนทนาเพื่อพูดคุยถึงการตรวจข่าวสารที่ถูกต้องกับทางรายการฯอีกครั้งในวันที่26มกราคม2564ช่วงเวลา14.05 – 15.00น. *********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยรับมอบน้ำยาฆ่าเชื้อ Anti – ViBac เพื่อสนับสนุนภารกิจในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 กระทรวงมหาดไทยรับมอบน้ำยาฆ่าเชื้อ Anti – ViBac เพื่อสนับสนุนภารกิจในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 กระทรวงมหาดไทยรับมอบน้ำยาฆ่าเชื้อ Anti – ViBac เพื่อสนับสนุนภารกิจในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อวันที่ 15 ม.ค.64 เวลา 13:00 น. ที่สำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (สนง.ศบค.มท.) นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้อำนวยการ สนง.ศบค.มท. เป็นผู้แทนนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบน้ำยาฆ่าเชื้อ Anti - ViBac จาก นางสาวธัญญพัฒน์ นิธิโชติธนกิจ ประธานกรรมการบริษัท ฐานดี เอสเตท จำกัด พร้อมด้วย นายรังสี ลิมปิโชติกุล ผู้ช่วยฝ่ายบริหาร และนายจักรกิจ ม่วงสาย เลขานุการฝ่ายบริหาร โดยมี นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี เลขานุการ สนง.ศบค.มท. นายเกนุชา บุญเกิด คณะทำงาน ศบค.มท. และนายศรัณย์ศักดิ์ ศรีเครือเนตร เลขานุการกรม กรมการปกครอง ร่วมรับมอบ นางสาวธัญญพัฒน์ นิธิโชติธนกิจ กล่าวว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดเป็นจำนวนมาก บริษัท ฐานดี เอสเตท จำกัด ตระหนักถึงปัญหาของสถานการณ์ดังกล่าว จึงขอมอบน้ำยาฆ่าเชื้อโรค Anti - ViBac ขนาด 500 มิลลิลิตร จำนวน 100 ขวด ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนของเชื้อโรคบนพื้นผิวต่าง ๆ ให้กับกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนภารกิจการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเป็นการสนับสนุนภารกิจของสำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้สำหรับป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อไป นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า ขอขอบคุณ บริษัท ฐานดี เอสเตท จำกัด ที่ได้ให้การสนับสนุนน้ำยาฆ่าเชื้อโรค Anti - ViBac เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ซึ่งจะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไขข้อข้องใจ! ทีมพัฒนาแอปหมอชนะยุติบทบาท
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ไขข้อข้องใจ! ทีมพัฒนาแอปหมอชนะยุติบทบาท ... เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากกับกระแสข่าว กลุ่มอาสาสมัครพัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ประกาศยุติบทบาท และส่งต่อให้ภาครัฐดูแลเต็มตัว . เรื่องนี้มีคำยืนยันจากกระทรวงดีอีเอส ว่า ทุกฝ่ายทั้งดีอีเอส สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และกลุ่มผู้พัฒนาแอปฯ หมอชนะ “ยังทำงานร่วมกัน” . แต่การส่งต่อแอปฯ หมอชนะ ให้ภาครัฐกำกับอย่างเต็มตัว เกิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 63 หลังจากโรคโควิดระลอกใหม่ระบาด มีความรุนแรงขึ้น โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณการใช้งานแอปฯ หมอชนะ สูงขึ้นตามไปด้วย . หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงให้ผู้พัฒนาแอปฯ คือ กลุ่ม Code For Public และ กลุ่มทีมงานอาสาหมอชนะ Mor Chana Volunteer Team ดำเนินการปรับปรุงระบบ โดยยกเลิกการขอข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อสกุล เบอร์โทรศัพท์ ในการลงทะเบียน ไม่ให้เก็บข้อมูลนั้นไว้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ . นอกจากนี้ ยังขอให้ผู้พัฒนาตัดฟังก์ชั่นการทำงานออกหลายจุด เพื่อให้ใช้งานง่าย และไม่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน เหลือเพียงการตรวจสอบหาผู้ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับผู้ติดเชื้อ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเท่านั้น . ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อมีปริมาณผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ทำให้คลาวด์เก็บข้อมูลเดิมเริ่มไม่เพียงพอ จึงต้องใช้คลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) มารองรับการเก็บข้อมูล ซึ่งดูแลโดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) . ดังนั้น ข้อมูลที่กลุ่มผู้พัฒนาแอปฯ หมอชนะเผยแพร่ออกมา จึงเป็นคำชี้แจงให้ทุกคนทราบว่า ได้มอบแอปฯ นี้ให้กับภาครัฐ และไม่ได้อยู่ในความดูแลของกลุ่มแล้ว โดยทางกลุ่มยังสนับสนุนการใช้งานของภาครัฐต่อไป . จากข้อมูลยืนยันได้ว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายยังร่วมกันทำงาน เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ . ยึดหลัก “การไม่ละเมิดข้อมูลและสิทธิส่วนบุคคล” และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับรอง! รพ. สนาม มีมาตรฐานและปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 รับรอง! รพ. สนาม มีมาตรฐานและปลอดภัย ... หลายคนที่รู้สึกกังวลใจ เรื่องมาตรฐานและความปลอดภัยของ รพ.สนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แอดมินอยากให้อ่านข้อมูลนี้ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น . รพ.สนามจะถูกออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา เช่น สถาปนิก วิศวกร นักระบาดวิทยา แพทย์ การจัดตั้งจะเน้นความปลอดภัย ทั้งตัวอาคาร การจัดการน้ำเสีย และการระบายอากาศ ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ชุมชน . ข้อคำนึงในการเลือกพื้นที่เพื่อจักตั้ง รพ.สนาม - พื้นที่ที่โล่งว่างเปล่าห่างไกลชุมชน - โรงยิม หอประชุม สนามกีฬาที่ห่างไกลจากชุมชน - พื้นที่โล่งในโรงพยาบาล - อาคารหอผู้ป่วยที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ - สถานกักกันของรัฐทางเลือกที่แปลงเป็น รพ.สนาม . ทั้งหมดจะต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เฉพาะกรณีโรคโควิด-19 เท่านั้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดส. DGA จับมือเคลียส์ข้อสงสัยแอปพลิเคชัน “หมอชนะ”
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 สธ. ดส. DGA จับมือเคลียส์ข้อสงสัยแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” สธ. ดส. DGA จับมือเคลียส์ข้อสงสัยแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2564 นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ ช่วยการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 เฉพาะวันที่ 16 มกราคม 2564 วันเดียวแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยงแล้ว 3,283 ราย เตรียมหารือทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้พัฒนาซอฟท์แวร์และผู้ใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เป็นความร่วมมือของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ลงนามความร่วมมือที่จะบริหารจัดการแพลทฟอร์ม เพื่อติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคโควิด 19 รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ เพิ่มเติมจากแอปพลิเคชันไทยชนะ ช่วยให้ติดตามการเดินทางผู้ที่มีความเสี่ยงใกล้ชิดกับผู้ป่วยและเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงประชาชนกลุ่มเสี่ยง โดยในวันที่ 16 มกราคม 2564 วันเดียวได้มีการแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่น จำนวน 3,283 เครื่อง โดยส่งข้อความไปยัง 2 กลุ่ม คือผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำและผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แนะนำการปฏิบัติตัว /การสังเกตอาการ/ การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ /มีข้อสงสัยให้โทรสายด่วน 1422 กระทรวงสาธารณสุขใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันหมอชนะ 2 รูปแบบคือ แบบที่ 1เมื่อทีมสอบสวนพบผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 จะถ่ายภาพ QR code ส่งมาที่กรมควบคุมโรค เพื่อค้นหาเครื่องใกล้เคียงที่คาดว่าจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อส่งข้อความให้เฝ้าอาการระวังตนเองหรือปฏิบัติตัว พร้อมสถานที่หรือเบอร์ติดต่อสอบถามกลับ แบบที่ 2 การสืบค้นหาเครื่องใกล้เคียง จากสถานที่ที่ผู้ป่วยยืนยันเดินทางไปในช่วงเวลาที่คาดว่ามีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อได้และดำเนินการส่งข้อความไปเช่นเดียวกับแบบที่หนึ่ง ขณะที่นายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการเป็นผู้ดูแลแอปพลิเคชันหมอชนะ ในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ของการทำงานร่วมกันอย่างดีระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคการศึกษา ที่สอดประสานความร่วมมือเพื่อต่อสู้ต่อสถานการณ์ COVID-19 ไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเดียวกันในการผลักดันแอปพลิเคชันนี้ให้เป็นเครื่องมือสำหรับคุณหมอเพื่อช่วยติดตาม สืบสวนโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม สะดวกสบายและง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพื่อให้ประชาชนได้มีเครื่องมือในการเฝ้าระวังตนเองและได้รับการแจ้งเตือนว่าที่ผ่านมาได้เคยไปสัมผัส หรือไปร่วมกิจกรรมกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างใกล้ชิดหรือไม่ เพื่อให้สามารถป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที โดยคำนึงถึงการไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนเป็นสำคัญ DGA จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนเท่าที่จำเป็นตามการประกาศแจ้งในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทุกประการ และแน่นอนที่สุดการใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ จะเป็นในลักษณะเชิญชวน รณรงค์ให้ช่วยกันดาวน์โหลด เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนเองในการเฝ้าระวังการติดเชื้อ COVID-19 ผ่านการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วนจึงกำหนดให้การพัฒนาเป็นลักษณะ Opensource Code ทั้งหมด ตลอดจนยังมีการตั้งคณะกรรมการธรรมภิบาลข้อมูลที่มีองค์ประกอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายวิชาชีพเพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของความโปร่งใสในการทำงาน โดยปัจจุบันหมอชนะได้มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 5 ล้านคน นอกจากนี้ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังร่วมกันทำงาน ทั้งกลุ่มผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น การปรับปรุงแอปล่าสุดหลังจากถ่ายโอนการดูแลให้ภาครัฐคือ เพิ่มความมั่นใจเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล โดยให้ทีมผู้พัฒนาตัดฟังชั่นการทำงานของแอปหมอชนะออกหลายจุด เพื่อให้ใช้งานง่าย และไม่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน ปัจจุบันกลุ่มผู้พัฒนาแอป “หมอชนะ” ได้แก่ กลุ่ม Code For Public และกลุ่มทีมงานอาสาหมอชนะ Mor Chana Volunteer Team ได้มีการส่งต่อ “หมอชนะ” จากกลุ่มอาสาสมัครมาสู่การกำกับดูแลจากทางรัฐบาลอย่างเต็มตัวแล้ว เนื่องจากหลังการนำมาใช้งานเพื่อรับมือการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นการระบาดในประเทศที่รุนแรงกว่ารอบแรก ทำให้ปริมาณผู้ใช้งานจากประชาชนทั่วไปเพิ่มมากขึ้น ทาง ศูนย์ปฏิบัติการ ศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้ให้ผู้พัฒนาปรับปรุงโดยยกเลิกการขอข้อมูลส่วนบุคคลในการลงทะเบียน เช่น ชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ออก ไม่ให้มีการได้มาหรือเก็บข้อมูลนั้นไว้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ นอกจากนั้นยังตัดฟังก์ชั่นการทำงานของแอปหมอชนะออกหลายจุด เพื่อให้ใช้งานง่าย และไม่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน โดยมีการใช้งานเพียงการตรวจสอบหาบุคคลที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับผู้ติดเชื้อเพื่อแจ้งเตือนเท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่ในประเทศ และรัฐบาลต้องการควบคุมมาตรการเข้มงวดเฉพาะจุดในพื้นที่การระบาด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนในวงกว้าง จึงเห็นความจำเป็นให้นำแอปหมอชนะมาใช้ติดตามผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพื่อให้เข้ามารับการตรวจสอบ โดยในการนำแอปหมอชนะมาให้ประชาชนใช้ นอกจากเพิ่มการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลแล้ว บางฟังก์ชั่นการใช้งานรวมถึงการจัดระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลไม่ได้นำมาใช้ ทำให้มีผลต่อองค์กรที่ใช้งานแอปหมอชนะมาก่อนหน้านี้ สามารถใช้งานได้น้อยลง “ดังนั้นกลุ่มอาสาสมัครผู้พัฒนาแอปหมอชนะ จึงได้ออกคำชี้แจงเพื่อให้ทุกคนทราบว่าได้มอบแอปนี้ให้รัฐบาลนำไปใช้งานแล้ว ไม่ได้อยู่ในความดูแลของกลุ่ม โดยทางกลุ่มยังให้การสนับสนุนการใช้งานของรัฐบาลต่อไป” ขณะนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังร่วมกันทำงานทั้งกลุ่มผู้พัฒนาแอป และ สพร. เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น และเพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คลาวด์เก็บข้อมูลที่ สพร. เริ่มไม่พอมาตั้งแต่ต้นปีนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ จึงต้องให้ใช้คลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT มารองรับในการเก็บข้อมูล ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจได้ว่า การใช้งานของแอปหมอชนะนั้น ศบค. และ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล กระทรวงดิจิทัลฯ และ สพร. ซึ่งรับผิดชอบในการทำงานของแอปพลิเคชั่นด้านเทคนิค ก็กำกับดูแลตามหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่ดาวน์โหลดหมอชนะ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง ....................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38378
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝึกฟรี! จบแล้วมีงานทำ หลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ฝึกฟรี! จบแล้วมีงานทำ หลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ ... รับสมัครต่อเนื่องเป็นปีที่สองแล้ว สำหรับโครงการให้ทุนสร้างอาชีพ พัฒนาฝีมือแรงงานไทยขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน . กระทรวงแรงงานร่วมกับ ร.พ.กล้วยน้ำไท จัดอบรมหลักสูตรวิชาชีพ “การดูแลผู้สูงอายุ” โดยมอบทุนฝึกอบรมระยะสั้น 6 เดือน แก่ผู้ด้อยโอกาส ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือว่างงาน . ผู้ที่จะสมัครเข้าอบรม ต้องเป็นเพศหญิงอายุ 18 - 35 ปี จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ ม.3 มีสุขภาพแข็งแรง รักการบริการ และช่วยเหลือผู้อื่น . ระหว่างอบรมมีที่พัก อาหาร และชุดยูนิฟอร์มให้ เมื่อเรียนจบ จะได้ทำงานดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ กับบริษัทในเครือ ร.พ.กล้วยน้ำไท เป็นเวลา 2 ปี . ค่าตอบแทน 13,000 - 15,000 บาทต่อเดือน ค่าทำงานล่วงเวลา วันละ 800 บาท หลังครบ 2 ปี สามารถไปทำงานที่อื่นได้ตามต้องการ . ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ โทร. 0 2245 4035 และ ร.พ. กล้วยน้ำไท โทร. 08 9983 0414 #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เตือนอย่าหลงเชื่อ แอปฯ ลงทะเบียน "เราชนะ" ไขข้อข้องใจ! ทีมพัฒนาแอปหมอชนะยุติบทบาท ยก 2 เกาะ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล รับรอง! รพ. สนาม มีมาตรฐานและปลอดภัย นั่งรถไฟวิถีใหม่ จองก่อน 3 วัน - เว้นระยะห่าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. ๒๕๖๕
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ฝากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานที่บ้านอย่างใกล้ชิด ในช่วงโควิด-19
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ปลัด พม. ฝากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานที่บ้านอย่างใกล้ชิด ในช่วงโควิด-19 ปลัด พม. ฝากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานที่บ้านอย่างใกล้ชิด ในช่วงโควิด-19 วันนี้ (18 ม.ค. 64) เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการนำเสนอข่าวจำนวนมากเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้เด็กและเยาวชนต้องเรียนหนังสือออนไลน์และใช้ชีวิตในบ้านพักอาศัยตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีหลายครอบครัวที่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้ไม่มีคนคอยดูแลบุตรหลาน ทั้งนี้ ตนมีความห่วงใยสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนเหล่านี้โดยกระทรวง พม. มีภารกิจสำคัญในการปกป้องและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน จึงขอย้ำเตือนพ่อ แม่ ผู้ปกครอง รวมทั้งเพื่อนบ้านและคนในชุมชน ช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่อง ดูแลพฤติกรรมบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการถูกกระทำความรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ ยังขอให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เป็นหูเป็นตาช่วยกันดูแลสอดส่องและแจ้งเหตุแก่เจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อเกิดเหตุ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือทันท่วงที นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ประสบปัญหาบุตรหลาน ถูกกระทำความรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศ หรือพบเห็นปัญหาดังกล่าว สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ได้ขยายการให้บริการทั่วประเทศ โทรที่ไหนติดที่นั่น เพื่อการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หรือติดต่อด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38400
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. มุ่งมั่นเป็นองค์กรสีขาว ประกาศนโยบาย “ไม่เสพ ไม่ค้า ไม่ผลิต ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท”
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 กสร. มุ่งมั่นเป็นองค์กรสีขาว ประกาศนโยบาย “ไม่เสพ ไม่ค้า ไม่ผลิต ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท” กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประกาศนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมนำข้าราชการและบุคลากรในสังกัดปฏิญาณตน “ไม่เสพ ไม่ค้า ไม่ผลิต ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท” สร้างองค์กรสีขาว พื้นที่ปลอดภัยยาเสพติด เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นายจ้าง ลูกจ้าง นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การดำเนินภารกิจการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ ถือเป็นนโยบายที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งด้วยรัฐบาลตระหนักเสมอว่าเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้มีความมั่นคง มีความสุข มีสุขภาพดี อยู่ในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ดีห่างไกลจากยาเสพติด ดังนั้น การที่จะผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเข้าสู่สถานประกอบการให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น กรมต้องแสดงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรสีขาว เป็นพื้นที่ปลอดภัยยาเสพติด เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างการรับรู้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการ และประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นต้นแบบ และเป็นตัวอย่างที่ดีในการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในสถานที่ทำงาน อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การเป็นองค์กรต้นแบบที่ดี เพื่อให้สถานประกอบกิจการนำไปเป็นแบบอย่างในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และทำให้สถานที่ทำงานเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากยาเสพติดนั้นต้องสร้างจิตสำนึกให้แก่ข้าราชการและบุคลากรในสังกัด รวมถึงต้องประกาศนโยบายในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้บุคลากรได้ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดให้เป็นรูปธรรม ดังนั้น กรมจึงได้กำหนดจัดโครงการ “กสร. สีขาว พื้นที่ปลอดภัยยาเสพติด” ซึ่งมีกิจกรรมสำคัญคือ การประกาศนโยบายของผู้บริหาร การปฏิญาณตนและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของบุคลากรในสังกัด รวมถึงการสุ่มตรวจทดสอบหาสารเสพติดจากปัสสาวะของบุคลากรที่มาร่วมโครงการ ทั้งนี้ กรมจะดำเนินการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดจากปัสสาวะของบุคลากรทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคให้ครบ 100% ต่อไป สุดท้ายขอฝากไว้ว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศนั้น ทุกภาคส่วนของสังคมต้องร่วมมือกันจึงขอเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการเข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว โดยสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือกองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์:0 2246 0080 หรือ สายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. ชื่นชมและให้กำลังใจคุณไยไหม หญิงไทยสู้ชีวิตในฝรั่งเศส
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 รมว. พม. ชื่นชมและให้กำลังใจคุณไยไหม หญิงไทยสู้ชีวิตในฝรั่งเศส รมว. พม. ชื่นชมและให้กำลังใจคุณไยไหม หญิงไทยสู้ชีวิตในฝรั่งเศส วันนี้ (18 ม.ค. 64) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ไลน์วีดีโอพูดคุยและให้กำลังใจกับคุณพิสมัย อ็องเจอลินี (ไยไหม) หญิงไทยสู้ชีวิตวัย 42 ปี จากอำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ที่ได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่เมือง Digne les bains ประเทศฝรั่งเศส อยู่ห่างจากกรุงปารีสกว่า 800 กิโลเมตร ซึ่งคุณไยไหมได้ทำแฟนเพจ Facebook และ ช่อง YouTube ชื่อ "ไหมไทยในฝรั่งเศส" โดยมียอดผู้ติดตามหลายแสนคน นายจุติ กล่าวต่อไปว่า เมื่อ 14 ปีที่แล้ว คุณไยไหมได้พบรักและแต่งงานกับสามีชาวฝรั่งเศส จากนั้นได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้ มีลูกสาวด้วยกัน วัย 10 ขวบ คุณไยไหมได้ทำงานมาหลากหลายรูปแบบ โดยไม่เลือกงาน ทั้งงานในโรงงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานเสริฟ ซักอบรีด และนวดแผนไทย ซึ่งปัจจุบัน ได้เปิดร้านขายอาหารทอดแบบไทยๆ ในเมืองเล็กๆของฝรั่งเศส ท่ามกลางความหนาวเย็นติดลบ 2 องศาเซลเซียส และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ด้วยอัธยาศัยการขายของคุณไยไหมที่มีความเป็นไทย เน้นการทักทายด้วยความเป็นกันเอง การไหว้กล่าวขอบคุณทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาไทยและการจดจำลูกค้าได้ดี จึงสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ อีกทั้งยังชอบใส่ชุดไทย เล่าเรื่องเมืองไทย และมีน้ำใจแบบไทยๆ ต่อทุกคน จนทำให้สื่อท้องถิ่นของฝรั่งเศสเข้ามาติดตามทำข่าว นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอชื่นชมและเป็นกำลังใจในการสู้ชีวิตของคุณไยไหม และได้แสดงออกซึ่งความเป็นไทยทั้งการพูดจา กิริยา มารยาท และการแต่งกาย เพื่อให้คนต่างชาติได้รับรู้และเข้าใจถึงความเป็นไทยในต่างแดน และขอเป็นกำลังใจในการสู้ชีวิตสำหรับคนไทยทุกคนในต่างประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38404