title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง ชี้แจง!! กรณีเรียกเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืน | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กรมบัญชีกลาง ชี้แจง!! กรณีเรียกเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืน
จากกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับผู้สูงอายุใน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ แจ้งว่ากรมบัญชีกลางมีหนังสือเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท เนื่องจากได้รับบำนาญ กรณีลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงระเบิด
นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับผู้สูงอายุรายนางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ชาวบ้านใน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ แจ้งว่ากรมบัญชีกลางมีหนังสือเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท เนื่องจากได้รับบำนาญ กรณีลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงระเบิด นั้น
“กรมบัญชีกลาง ขอเรียนชี้แจงว่า เนื่องจากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่าจะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใด ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งแต่เดิม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข จ.บุรีรัมย์ เป็นผู้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่นางบวน โล่สุวรรณ ตลอดมา ต่อมาในปี 2563 ได้มีการดำเนินการโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ผ่านระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-social welfare) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจ่ายตรงเบี้ยชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ระหว่างกรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ดังนั้น เมื่อ อบต. มีหนังสือสอบถามกรมบัญชีกลางให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลผู้รับบำนาญ ว่าผู้สูงอายุรายดังกล่าวเป็นผู้รับบำนาญหรือไม่ กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบพบว่า เป็นผู้รับบำนาญพิเศษ พร้อมทั้งได้มีหนังสือตอบ อบต. แล้ว
อนึ่ง ในกรณีที่ได้รับเงินเบี้ยสูงอายุไปโดยไม่มีสิทธิ อบต. จะเรียกคืนเงินตามขั้นตอนและวิธีการที่ อบต. กำหนด ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมบัญชีกลางที่จะดำเนินการได้ อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางมีความห่วงใย และเข้าใจสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายคลังจังหวัดบุรีรัมย์ ประสาน อบต. เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้สูงอายุรายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฐานข้อมูลด้านสวัสดิการสังคมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความครบถ้วนในทุกมิติ และอำนวยความสะดวกด้านการเบิกจ่ายตรง ให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ ตลอดจนสามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม และบำเหน็จบำนาญ ได้ทาง CGD Application โดยดาวน์โหลดฟรีผ่านทาง Play Store สำหรับ Android หรือ App store สำหรับ iOS " โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38557 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” รับลูก ครม. มอบ SME D Bank ลุยเต็มสูบเติมทุนสินเชื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมลดค่าวิเคราะห์โครงการ 0.5% หนุนเอสเอ็มอีไทยเพิ่มสภาพคล่องฝ่าโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
“สุริยะ” รับลูก ครม. มอบ SME D Bank ลุยเต็มสูบเติมทุนสินเชื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมลดค่าวิเคราะห์โครงการ 0.5% หนุนเอสเอ็มอีไทยเพิ่มสภาพคล่องฝ่าโควิด-19
ก.อุตฯ เร่งช่วยเหลือเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตโควิด-19 เต็มสูบ ตามนโยบายรัฐบาล มอบหมาย SME D Bank เติมทุนเสริมสภาพคล่อง ผ่าน “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” วงเงิน 9,500 ล้านบาท พร้อมลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการลง 0.5%
กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งช่วยเหลือเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตโควิด-19 เต็มสูบ ตามนโยบายรัฐบาล มอบหมาย SME D Bank เติมทุนเสริมสภาพคล่อง ผ่าน “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” วงเงิน 9,500 ล้านบาท พร้อมลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการลง 0.5% หากยื่นคำขอกู้ภายใน 28 ก.พ. นี้ คาดพาผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน 5,760 ราย รักษาการจ้างงานได้ไม่น้อยกว่า 28,800 ราย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัด เดินหน้าเติมทุนเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทันทีผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) วงเงิน 9,500 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ให้เห็นชอบขยายเวลาโครงการไปถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2564 โดยคาดว่าสินเชื่อดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 5,760 ราย รักษาการจ้างงานได้ไม่น้อยกว่า 28,800 ราย และสร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 43,510 ล้านบาท
นอกจากนั้น SME D Bank ยังดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มเติม ด้วยการลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) ลง 0.5% หากยื่นกู้ก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนธุรกิจ และมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างยิ่ง จึงเห็นชอบต่อระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน อีก 1 ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมนำเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ SME D Bank เร่งเติมทุนกระจายสู่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้มีเงินทุนต้นทุนต่ำไปใช้หมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง สามารถประคองธุรกิจ ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้” นายสุริยะ กล่าว
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ SME D Bank กล่าวว่า โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ที่ประชุม ครม.ให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลานั้น ได้ปรับเงื่อนไข เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เคยได้รับวงเงินจากโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ไปแล้ว รวมถึง มีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย เกิน 50 ล้านบาท ณ วันยื่นกู้ สามารถขอเข้าใช้บริการได้ด้วย สร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งลูกค้าเดิม SME D Bank และทั่วไป เข้าถึงแหล่งทุนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน เปิดกว้างทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ นิติบุคคล 2.875% ต่อปี นาน 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท และบุคคลธรรมดา 4.875% ต่อปี นาน 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเสริมว่า ธนาคารขานรับนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้เจ้าหน้าที่ติดต่อสอบถาม และตรวจเยี่ยมกิจการลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อสำรวจผลกระทบ พร้อมแนะนำพาเข้าสู่ความช่วยเหลือของ SME D Bank ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นพาเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยแล้ว รวมถึง ลูกค้าเดิมสามารถขอพักชำระหนี้เงินต้น 6 เดือน ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นมาตรการที่ SME D Bank ออกมาช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการใช้บริการต่าง ๆ ของ SME D Bank สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www .smebank. co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android และ สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38559 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ชี้แจงกรณีผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่ง” | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
“กยศ. ชี้แจงกรณีผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่ง”
กยศ. ชี้แจงกรณีข่าวผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่งกับกองทุนและสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจสืบทรัพย์บังคับคดี เพื่อเรียกคืนทรัพย์สินพร้อมค่าเสียหายจากการถูกยึดทรัพย์บังคับคดีและขายทอดตลาด โดยกองทุนอยู่ระหว่างประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงกรณีข่าวผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่งกับกองทุนและสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจสืบทรัพย์บังคับคดี เพื่อเรียกคืนทรัพย์สินพร้อมค่าเสียหายจากการถูกยึดทรัพย์บังคับคดีและขายทอดตลาด โดยกองทุนอยู่ระหว่างประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากกรณีที่มีข่าวว่า นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยได้พาผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่งกับกองทุนและสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจสืบทรัพย์บังคับคดี เพื่อเรียกคืนที่ดินเเละบ้านพร้อมค่าเสียหายประมาณ 3,894,000 บาท ที่เกิดจากการถูกบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและบ้าน ทั้งที่ผู้กู้ยืมได้มีการชำระหนี้คืนกองทุนก่อนการขายทอดตลาดแล้วนั้น กองทุนขอชี้แจงว่า กองทุนได้ดำเนินคดีกับผู้กู้รายนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.7287/2551 ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ให้กับกองทุน แต่เนื่องจากผู้กู้ยืมมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา กองทุนจึงมีความจำเป็นต้องยึดทรัพย์บังคับคดีกับผู้กู้ยืม และจากการสืบทรัพย์ไม่พบทรัพย์สินอื่น จึงจำเป็นต้องบังคับคดีกับบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาสำนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้กู้ยืม โดยคราวสุดท้ายกำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์ จำนวน 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 ครั้งที่ 2 วันที่ 13 สิงหาคม 2562 ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กันยายน 2562 และครั้งที่ 4 วันที่ 24 กันยายน 2562 ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมได้ชำระหนี้ปิดบัญชีก่อนวันขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 1 กองทุนจึงมีคำสั่งให้สำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจประสานผู้กู้ยืมเพื่อดำเนินการถอนการยึดทรัพย์ก่อนวันขายทอดตลาด โดยสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจได้นัดหมายกับผู้กู้ยืมเพื่อไปดำเนินการถอนการยึดทรัพย์และบังคับคดี แต่เนื่องจากไม่สามารถนัดหมายวันที่ตรงกันได้ จึงมีการตกลงกันว่าสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจจะจัดทำหนังสือมอบอำนาจถอนการยึดทรัพย์และบังคับคดีให้กับผู้กู้ยืมเพื่อไปดำเนินการยื่นเรื่องที่สำนักงานบังคับคดีด้วยตนเองตามวันที่ผู้กู้ยืมสะดวก ซึ่งสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจได้ทำใบมอบฉันทะและคำแถลงถอนการยึดและการบังคับคดีเพื่อให้ผู้กู้ยืมไปยื่นถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดี โดยส่งให้ผู้กู้ยืมทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) หมายเลขอ้างอิง ED997693939TH ไปที่จังหวัดสมุทรสงครามตามที่ผู้กู้ยืมแจ้งไว้ และได้ประสานงานกับทางผู้กู้ยืมด้วยระบบการสื่อสารทางไลน์ ทั้งนี้มีผู้รับไปรษณีย์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย สำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจจึงเข้าใจว่าผู้กู้ยืมได้รับเอกสารและไปดำเนินการยื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดีแล้ว ต่อมาภายหลังจึงทราบว่าผู้กู้ยืมไม่ได้ไปดำเนินการยื่นคำแถลงถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดี ทำให้ในวันขายทอดตลาดทรัพย์ไม่มีผู้ใดไปดูแลการขายทอดตลาด สำนักงานบังคับคดีจึงได้ขายทอดตลาดทรัพย์ให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์
เมื่อผู้กู้ยืมทราบว่าทรัพย์ถูกขายทอดตลาดแล้ว จึงได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทรัพย์ดังกล่าว เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2562 ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ให้ยกคำร้องของผู้กู้ยืม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ผู้กู้ยืมได้มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่กองทุน ซึ่งกองทุนได้ประสานงานกับสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจ ผู้กู้ยืม ผู้ซื้อทรัพย์ และหุ้นส่วนของผู้ซื้อทรัพย์ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กู้ยืม ปรากฏว่ามีแนวทางให้ความช่วยเหลือหลายแนวทาง รวมทั้งการซื้อบ้านและที่ดินคืนจากผู้ซื้อทรัพย์ ซึ่งทางสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจยินดีที่จะร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างการประสานงานทุกฝ่ายเพื่อเจรจาหาทางออกที่ดีที่สุด ทั้งนี้ ยังมีเงินค่าขายทอดตลาดทรัพย์ประมาณ 1.6 ล้านบาท อยู่ที่สำนักงานบังคับคดี
กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนเป็นหน่วยงานของรัฐที่ให้โอกาสทางการศึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กู้ยืมเงินที่ขาดโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง กองทุนต้องขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจะดูแลเรื่องนี้ให้ได้ข้อยุติร่วมกันต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38562 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จ.ลำปาง 1 เดียวในภาคเหนือ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"วราวุธ" ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จ.ลำปาง 1 เดียวในภาคเหนือ
"วราวุธ" ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จ.ลำปาง 1 เดียวในภาคเหนือ
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 17.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จังหวัดลำปางโดยตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ฯ
พิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้ จัดตั้งขึ้นโดยรวบรวมความรู้และตัวอย่างด้านธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ และธรรมชาติวิทยาซึ่งเก็บไว้ให้บริการแก่ประชาชน และเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ การศึกษาวิจัยที่ถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ และแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศโดยภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งการจัดแสดงเป็น 3 โซน ประกอบด้วย
โซนชั้น 1 กิจกรรมการเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และซากดึกดำบรรพ์
โซนชั้น 2 บอกเล่าเรื่องราวในมหายุคมีโซโซอิก พร้อมจัดแสดงหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้ และมีห้องจำลองการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หลังสิ้นสุดมหายุคมีโซโซอิก เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้กำเนิดมหายุคที่ 3 คือมหายุคซีโนโซอิก บอกเล่าเรื่องราวสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
โซนชั้น 3 บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตในมหายุคพาลีโอโซอิก ผ่านหุ่นจำลองเคลื่อนไหวได้
พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จังหวัดลำปาง เป็นหนึ่งในกลุ่มอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พัฒนาโดยรอบบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดลำปาง มีลักษณะเป็นอาคาร 4 ชั้น ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 7,800 ตารางเมตร บนเนื้อที่ 10 ไร่แต่เนื่องด้วยในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)
พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จังหวัดลำปาง จึงได้ปิดให้บริการ ตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดโรคติดต่อตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งประกาศเปลี่ยนแปลง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38589 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการระดับชาติผ่าน Video Conference เตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ปี 65 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการระดับชาติผ่าน Video Conference เตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ปี 65
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการระดับชาติผ่าน Video Conference เตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ปี 65
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมฯ โดยที่ประชุมได้รับทราบแนวนโยบายการเตรียมการ การดำเนินการ กรอบระยะเวลาในการจัดประชุม ความคืบหน้า รวมถึงการพิจารณาหารือขอความเห็นชอบแผนการจัดการประชุมระดับผู้นำรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโส ในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ตลอดจนการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการค้าและการลงทุนอย่างเสรี ก้าวไปสู่สังคมดิจิทัล ส่งเสริมสุขภาวะ (well-being) เกิดความมั่นคงทางอาหารและการเกษตรการเจริญเติบโตอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และมีความรับผิดชอบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38575 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กระทรวงการคลังเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
สบน.แถลงข่าวการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” (We Win) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แถลงข่าวการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” (We Win) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแผนงานโครงการของรัฐบาล ซึ่งพันธบัตรออมทรัพย์เป็นตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดการเงินมีความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐเพื่อการดูแลประชาชน ทุกกลุ่ม พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” จะเริ่มจำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตังเป็นที่แรกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และจำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความสะดวก ดังนี้
1) รุ่นเราชนะบนวอลเล็ต สบม. วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step-up) เฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท จนถึง 5 ล้านบาท ซึ่งในทุกขั้นตอนผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องไปธนาคาร ผู้ลงทุนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังเพื่อลงทะเบียนและเตรียมโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 - 19 กุมภาพันธ์ 2564
2) รุ่นเราชนะ วงเงินจำหน่าย 55,000 ล้านบาท โดยเป็นการจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ แบบไม่จำกัดวงเงินซื้อ ตั้งแต่วันที่ 5 – 19 กุมภาพันธ์ 2564 แบ่งการจำหน่ายเป็น 2 ช่วง ดังนี้
(1) วันที่ 5-15 กุมภาพันธ์ 2564 จำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) โดยรุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.50 ต่อปี
(2) วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2564 จำหน่ายให้กับนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวง การคลังกำหนด รุ่นอายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.80 ต่อปี
ทั้งนี้ วงเงินรุ่นเราชนะที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และธนาคารตัวแทนจำหน่ายไม่นับรวมกัน ผู้ลงทุนจึงสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง
สบน. ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพผู้ลงทุนและการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้แจ้งให้ธนาคารตัวแทนจำหน่ายปรับวิธีการจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขและวิธีการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง สำหรับวอลเล็ต สบม. ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809, 5820/ 0 2265 8050 ต่อ 5315
https://www.facebook.com/pdmo.go.th/videos/235366871403149/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38570 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ประชุมหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับ นายซัยยิด อับบาส ซาเลฮี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและแนวปฏิบัติอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
รมว.วธ.ประชุมหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับ นายซัยยิด อับบาส ซาเลฮี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและแนวปฏิบัติอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
รมว.วธ.ประชุมหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับ นายซัยยิด อับบาส ซาเลฮี (H.E. Dr. Seyyed Abbas Salehi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและแนวปฏิบัติอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมประชุมหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับ นายซัยยิด อับบาส ซาเลฮี (H.E. Dr. Seyyed Abbas Salehi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและแนวปฏิบัติอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอิหร่าน โดยมีนายซัยยิด เรซา โนบัคตี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ เอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO conference โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบ VDO Conference ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเจ้าของโครงการ ต้องดำเนินตามมาตรการฯ ที่กำหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในขั้นตอนต่อไป
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา - ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยประหยัดระยะเวลาในการเชื่อมต่อระบบการเดินทางจากเดิมที่ต้องเชื่อมต่อ 2 ครั้ง (สายสีเหลือง - สายสีน้ำเงิน - สายสีเขียว) อีกทั้งยังสามารถเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายรถไฟฟ้าและการเดินทางภายในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น (2) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก ตำบลคลองขุด ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เพื่อให้เกิดความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง สร้างศักยภาพการพัฒนาให้กับจังหวัดทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุ (3) โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพสูง รองรับการเติบโตของเมือง รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ในเมืองหาดใหญ่ และแก้ไขปัญหาจราจรซึ่งเป็นปัญหาหลักของเมืองอย่างยั่งยืน และ (4) โครงการทางหลวงหมายเลข 203 (หล่มสัก - หล่มเก่า - เลย) ของกรมทางหลวง โดยมีแผนงานในการขยายช่องจราจรบนทางหลวงสายดังกล่าวให้เป็น 4 ช่องจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงสนับสนุนแผนการพัฒนาโครงข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทาง ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38592 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ นำทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
วราวุธ นำทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2564
วราวุธ นำทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น 17 และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทาง Cisco Jabber
ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเกี่ยวกับการรายงานผลการติดตามตรวจสอบการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เพื่อพิจารณารายละเอียดของข้อมูลกำลังการผลิตของโรงงานพลาสติกและปริมาณความต้องการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ จากโรงงาน 157 แห่ง การกำหนดคำจำกัดความ คำว่า ขยะพลาสติก เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนำเข้าขยะพลาสติก และเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณามอบหมายกระทรวงพาณิชย์จัดทำประกาศห้ามนำเข้าขยะพลาสติก ตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป รวมถึงพิจารณามาตรการกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38606 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในรูปแบบออนไลน์ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในรูปแบบออนไลน์
ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในรูปแบบออนไลน์
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในรูปแบบออนไลน์ โดยมีนางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม คณะผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการบรรจุใหม่ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom Video Conference ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38569 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเพื่อรับทราบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
การประชุมเพื่อรับทราบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อรับทราบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565
วันนี้ (25 มกราคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้บริหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรับทราบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์รณจักร จักรพันธุ์ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและคณะเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38600 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าโหลด อย่าแชร์! แอปฯ หมอชนะปลอม | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
อย่าโหลด อย่าแชร์! แอปฯ หมอชนะปลอม
...
แจ้งเตือนทุกคนครับ ก่อนโหลดแอปฯ หมอชนะ
โปรดดูให้ดีว่าเป็นแอปฯ ของจริงหรือไม่
.
เพราะล่าสุดมีการแชร์ข่าวปลอมในโลกออนไลน์
ว่าแอปฯ หมอชนะถูกอัปเดตใหม่
โดยใช้ชื่อว่า “หมอชนะ app ภาษาไทย – Morchana”
ซึ่งแอปฯ ดังกล่าวเป็นของปลอมนะครับ
.
แอปฯ หมอชนะ ของจริงที่รัฐบาลดูแล
จะใช้ชื่อว่า “Morchana หมอชนะ”
มีโลโก้ลักษณะคล้ายเครื่องมืออุปกรณ์แพทย์
และผู้พัฒนา คือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
.
จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนระมัดระวัง
อย่าดาวน์โหลดแอปฯ ปลอมดังกล่าวมาใช้งาน
เพราะอาจถูกหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว
จนทำให้เกิดความเสียหายต่อไปได้
.
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหมอชนะ “ของจริง” ได้ที่
iOS https://apple.co/3mTo6en
Android https://bit.ly/3mWguaS
HUAWEI AppGallery https://bit.ly/2WQ9HFa
Cr. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38563 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่ช่วงวันหยุด รับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน แม่เมาะ จ.ลำปาง | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
รมว.ทส. ลงพื้นที่ช่วงวันหยุด รับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน แม่เมาะ จ.ลำปาง
รมว.ทส. ลงพื้นที่ช่วงวันหยุด รับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน แม่เมาะ จ.ลำปาง
วันนี้ (23 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง โดย รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และของประชาชนในพื้นที่
โดยโอกาสนี้ รมว.ทส. มอบนโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน และขอความร่วมมือทุกหน่วยงานเฝ้าระวังสถานการณ์ไฟป่า เพื่อลดการเผา ลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 นอกจากนี้ ได้ขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และ กฟผ. พร้อมคณะ ที่ได้ให้การสนับสนุนและร่วมมือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงฯ เป็นอย่างดี
โอกาสเดียวกันนี้ รมว.ทส. และคณะ ได้พบปะชาวบ้าน ต.แม่เมาะ และรับข้อขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านบ้านห้วยคิง กรณีขอให้กระทรวงฯ เร่งรัดการอพยพประขาชนในพื้นที่บ้านห้วยคิง และข้อเรียกร้องจากชาวบ้านเวียงหงษ์ล้านนา กรณีขอเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ซึ่งคณะทำงานของกระทรวงฯ จะเร่งติดตามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว
หลังจากนั้นเดินทางไปยังสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ณ บริเวณหน่วยบริการแม่เมาะการประปาส่วนภูมิภาค โดยตรวจติดตามการดำเนินงานของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเช้าวันนี้สถานการณ์คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลาง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังสุขภาพในการใช้ชีวิต สวมใส่หน้ากากอนามัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38590 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยไขคำตอบ “จองซื้อหุ้น OR” ย้ำทุกคนมีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น รู้ผลภายใน 6 ก.พ.นี้ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กรุงไทยไขคำตอบ “จองซื้อหุ้น OR” ย้ำทุกคนมีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น รู้ผลภายใน 6 ก.พ.นี้
ธนาคารกรุงไทย ช่วยตอบ “4 คำถาม” นักลงทุน สำหรับจองซื้อหุ้น OR ย้ำลำดับการจอง “ไม่มีผล” ต่อการจัดสรร ทุกคนมีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นเท่ากัน รู้ผลภายใน 6 ก.พ.นี้
ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากมีประชาชนและนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้น OR จำนวนมาก ทั้งผ่านระบบ Money Connect by Krungthai และสาขาธนาคาร ซึ่งจะเปิดให้จองซื้อหุ้น OR ได้จนถึงเวลา 12.00 น.ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 นั้น ธนาคารจึงได้รวบรวม 4 ประเด็นคำถามเกี่ยวกับการจองซื้อหุ้น OR เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและนักลงทุนมากขึ้น ดังนี้
1. การจองซื้อหุ้น OR ได้คนละเท่าใด?
เริ่มจองซื้อขั้นต่ำได้ที่ 300 หุ้น ทวีคูณหรือเพิ่มขึ้นทีละ 100 หุ้น โดยไม่จำกัดจำนวนหุ้นและไม่จำกัดจำนวนครั้งในการจองซื้อ เช่น หากนักลงทุนต้องการจองซื้อหุ้น OR ต้องจองซื้อขั้นต่ำ 300 หุ้น แต่ถ้าหากต้องการมากกว่านั้น นักลงทุนสามารถจองซื้อได้ 400, 500 หรือ 600 หรือมากกว่านั้น เช่น 2,000 หุ้น 30,000 หุ้น ก็ได้
2. ถ้าทำการจองซื้อไปแล้ว ต้องการจองซื้อเพิ่มอีก สามารถทำอย่างไร?
หากต้องการจองซื้อเพิ่มครั้งต่อไป ต้องเริ่มที่ขั้นต่ำ 300 หุ้น และสามารถจองซื้อกี่ครั้งก็ได้ ซึ่งลำดับในการจองซื้อไม่มีผลต่อการจัดสรรหุ้น
3. นักลงทุนจะได้จำนวนหุ้นตามที่ขอจองซื้อไว้หรือไม่?
การจัดสรรหุ้น OR จะใช้วิธีการจัดสรรแบบ Small Lot First คือ จัดสรรให้ครบทุกคนก่อน โดยนำยอดจองซื้อจากทุกใบมารวมกัน ด้วยเลขที่บัตรประชาชน และจัดสรรให้คนละ 300 หุ้น หลังจากนั้นจะกระจายให้คนละ 100 หุ้น วนไปเรื่อยๆ จนครบจำนวนหุ้นที่ทาง OR เสนอขาย ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของ Settrade ซึ่งลำดับการจองซื้อก่อนหลังนั้น ไม่มีผลต่อการจัดสรร และจะประกาศผลการจัดสรรหุ้น ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564
4. หากไม่ได้หุ้นตามจำนวนที่ขอจองซื้อไป จะได้รับเงินคืนเมื่อใด อย่างไร?
การคืนเงินที่ไม่ได้รับการจัดสรร สามารถรับคืนได้ 2 ช่องทาง คือ โอนเข้าบัญชีธนาคาร ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 และ รับคืนเป็นเช็คเงินสด ภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564
ทั้งนี้ การจองซื้อหุ้น OR ผ่านธนาคารกรุงไทย ทำได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ จองซื้อผ่านสาขาทั่วประเทศ หรือ จองซื้อผ่าน ระบบออนไลน์ Money Connect by Krungthai โดยสามารถเข้าผ่าน Krungthai NEXT หรือ https://moneyconnect.krungthai.com/moneyConnect/#/landing ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.00 น. (เที่ยงวัน) โดยผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ทีม Marketing Strategy / โทร 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตร รับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มเกษตรกรของพระราชา | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ก.เกษตร รับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มเกษตรกรของพระราชา
ก.เกษตร รับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มเกษตรกรของพระราชา ณ ห้องประชุม 135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 25 มกราคม 2564 กรณีปรับโครงสร้างหนี้ 4 สถาบันการเงินของรัฐ
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธานการประชุม พร้อมทั้งรับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มเกษตรกรของพระราชา ณ ห้องประชุม 135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 25 มกราคม 2564 กรณีปรับโครงสร้างหนี้ 4 สถาบันการเงินของรัฐ โดยกลุ่มตัวแทนเกษตรกรดังกล่าวได้ขอเสนอชื่อเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำเพิ่มเติม ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จะมีการนัดประชุมหลักเกณฑ์การผ่อนชำระหนี้ NPL ครั้งสุดท้าย ในวันที่ 28 มกราคม 2564 เพื่อหาข้อสรุปการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เมื่อได้ข้อสรุปจึงดำเนินการเข้าสู่การประชุมในคณะรัฐมนตรี ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38571 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564
รองปลัด กษ. ร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนครั้งที่1/2564ณห้องประชุมกระทรวงคมนาคมโดยมีนายชยธรรม์พรหมศรปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานและมีอธิบดีกรมทางหลวงอธิบดีกรมทางหลวงชนบทและผู้แทนอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เข้าร่วมเพื่อขับเคลื่อนติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการรวมถึงพิจารณาการกำหนดคุณลักษณะ(Specification)ราคากลางการตรวจสอบและรับรองโรงงานผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต(RFB)และหลักนำทางยางธรรมชาติ(RGP)ให้เป็นไปตามหลักวิชาการและมาตรฐานของโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" มอบอุปกรณ์ยังชีพพร้อมให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ อช.ดอยสอยมาลัย -ไม้กลายเป็นหิน จ.ตาก | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"วราวุธ" มอบอุปกรณ์ยังชีพพร้อมให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ อช.ดอยสอยมาลัย -ไม้กลายเป็นหิน จ.ตาก
"วราวุธ" มอบอุปกรณ์ยังชีพพร้อมให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ อช.ดอยสอยมาลัย -ไม้กลายเป็นหิน จ.ตาก
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 15.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ยังชีพ และตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้พิทักษ์ป่า พนักงานดับไฟป่า และเจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติดอยสอยมาลัย -ไม้กลายเป็นหิน (เตรียมการ) อ.บ้านตาก จ.ตาก โดย รมว.ทส. ได้ให้แนวทางการดำเนินงานแก่อุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งนอกจากจะต้องปฏิบัติงานด้วยความมีวินัย อดทน ซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และนโยบายในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดแล้ว สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ทำความเข้าใจทั้งในเรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความประทับใจ ความปลอดภัย ให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ให้คงความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนสืบไป
จากนั้น รมว.ทส. พร้อมคณะ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ ไม้กลายเป็นหิน ซึ่งยาวที่สุดในโลก ความยาว 72.2 เมตร กว้าง 1.8 เมตร อายุราว 120,000 ปี และชมการสาธิตการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ในรูปแบบ การชิงเก็บ ตามนโยบายของ รมว.ทส. และปลูกต้นแดง เพิ่มพื้นที่ป่าในโอกาสนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38588 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือ หญิงชรา วัย 89 ปี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภายหลังกรมบัญชีกลางเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย 84,000 บาท | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
พม. เร่งช่วยเหลือ หญิงชรา วัย 89 ปี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภายหลังกรมบัญชีกลางเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย 84,000 บาท
พม. เร่งช่วยเหลือ หญิงชรา วัย 89 ปี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภายหลังกรมบัญชีกลางเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย 84,000 บาท
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 14.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าว หญิงชรา อายุ 89 ปี อยู่ในพื้นที่ตำบลเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ แจ้งว่ากรมบัญชีกลาง มีหนังสือเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท เนื่องจากได้รับบำนาญ กรณีลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงระเบิด นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีความห่วงใยหญิงชราดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้นางสาวนัฏญา จิตรเกาะ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการช่วยเหลือตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวง พม.
โดยวันนี้ (25 ม.ค. 64) พมจ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและชี้แจงทำความเข้าใจกับหญิงชราดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือ ในเบื้องต้นครอบครัวของหญิงชราได้ยินยอมจ่ายเงินคืน แต่ด้วยภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้ไม่มีเงินก้อน จึงขอผ่อนชำระเป็นระยะเวลา 20 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ย ทั้งนี้พมจ.บุรีรัมย์ จะได้นำข้อเรียกร้องดังกล่าวไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและช่วยเหลือตามกระบวนการต่อไป
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม ได้รับความเดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลำบาก สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ฟื้นฟูหนองปลาหมอ เพิ่มน้ำต้นทุนอีก 3.5 ล้าน ลบ.ม. บรรเทาปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งในพื้นที่ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ฟื้นฟูหนองปลาหมอ เพิ่มน้ำต้นทุนอีก 3.5 ล้าน ลบ.ม. บรรเทาปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งในพื้นที่
"วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ฟื้นฟูหนองปลาหมอ เพิ่มน้ำต้นทุนอีก 3.5 ล้าน ลบ.ม. บรรเทาปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งในพื้นที่
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 10.30 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัด
ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการปรับปรุงฟื้นฟูหนองปลาหมอ ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค บริโภค และการเกษตร ช่วยรักษาระบบนิเวศของแหล่งน้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดและเป็นแหล่งน้ำแก้มลิงบรรเทาปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นสถานที่ออกกำลังกายของชุมชนอีกด้วย โดยโอกาสนี้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่โดยรอบ ได้ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความสำคัญเและสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน ทำให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำแห่งนี้เพื่อการเกษตรและต่อยอดผลผลิตแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ช่วยลดปริมาณขยะ อีกด้วย
หนองปลาหมอ เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติของตำบลย่านยาว มีพื้นที่ประมาณ 380 ไร่ เดิมมีสภาพตื้นเขิน ในฤดูฝนเกิดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณโดยรอบหนองปลาหมอ ในฤดูแล้งปริมาณน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกไม่เพียงพอ กระทรวงฯ จึงได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมชลประทาน เข้าดำเนินการปรับปรุงฟื้นฟูเพื่อเพิ่มความจุกักเก็บจนสามารถเก็บกักน้ำได้รวมทั้งหมด 3.5 ล้าน ลบ.ม. จนเป็นแหล่งน้ำแก้มลิงที่สำคัญรองรับน้ำจากแม่น้ำยมสายเก่า ลดปัญหาอุทกภัย และเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการเพาะปลูกในฤดูแล้ง สร้างประโยชน์ให้ประชาชนกว่า 197 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเพาะปลูกและการเกษตรกว่า 2,000 ไร่ ทั่งยัง ได้วางแผนโครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำได้มากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38586 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-น้ำใจหลั่งไหล! เอกชน - รัฐ ร่วมสู้ภัยโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
น้ำใจหลั่งไหล! เอกชน - รัฐ ร่วมสู้ภัยโควิด-19
...
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปีที่ผ่านมา
เราได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน
มาปีนี้โควิดระลอกใหม่กระจายไปในวงกว้าง
และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
เรายังคงเห็นสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น
นอกจากความร่วมมือตามมาตรการของภาครัฐ
ภาคเอกชนที่พอมีกำลังยังได้สนับสนุนแบ่งปัน
สิ่งของจำเป็นให้แก่เพื่อนคนไทยด้วยกัน
ผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)
.
มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 26,400 ชิ้น
มูลนิธิการจัดการด้านความมั่นคง
ร่วมกับ บริษัท กิบไทย จำกัด
หน้ากากอนามัย N95 1,000 ชิ้น
ชุด PPE 2,000 ชุด
ตู้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย 2 ตู้
.
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มอบ
เจลแอลกอฮอล์ ขนาด 180 มล. 600 ขวด
เจลแอลกอฮอล์ ขนาด 5,000 ซีซี 10 แกลลอน
.
นายแพทย์โชคชัน สุวรรณกิจบริหาร
ที่ปรึกษาโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
ถุงมือสำหรับแพทย์ 300 ชิ้น
น้ำยาผสมเครื่องช่วยหายใจ 7 กล่อง
น้ำยาฆ่าเชื้อเครื่องมือ Virkon 39 ซอง
พลาสเตอร์ปิดแผล 11 กล่อง
ถุงมือตรวจ KENKO 1 กล่อง
.
ศบค. ได้จัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์
จำนวน 26,400 ชิ้น ให้แก่ จ.สมุทรสาคร แล้ว
ส่วนที่เหลือจะส่งมอบแก่หน่วยงานที่จำเป็น
ให้ใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ รมว.ทส." เดินหน้ามอบเงินอุดหนุนฯ เครือข่ายป่าชุมชน ร่วมพิทักษ์ป่า จ.ตาก | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"วราวุธ รมว.ทส." เดินหน้ามอบเงินอุดหนุนฯ เครือข่ายป่าชุมชน ร่วมพิทักษ์ป่า จ.ตาก
"วราวุธ รมว.ทส." เดินหน้ามอบเงินอุดหนุนฯ เครือข่ายป่าชุมชน ร่วมพิทักษ์ป่า จ.ตาก
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่จังหวัดตาก พบปะพี่น้องเครือข่ายป่าชุมชน ณบริเวณป่าชุมชนบ้านเด่นมะขาม ต.ตลุกกลางทุ่ง อ.เมือง จ.ตาก โดยได้มอบโล่รางวัลป่าชุมชนดีเด่นระดับจังหวัด การประกวดป่าชุมชนโครงการ คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ประจำปี 2563 แก่ป่าชุมชนบ้านคลองสัก และมอบหนังสือแสดงป่าชุมชน 5 โครงการ พร้อมมอบเงินอุดหนุน (เงินกู้) โครงการสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากป่าชุมชน จำนวน 10 ป่าชุมชน อีกทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการและแสดงผลผลืตสินค้าจากป่าชุมชน ร่วมทำแนวกันไฟ และลดปริมาณเชื่อเพลิง ชิงเก็บเขื้อเพลิงในพื้นที่ และปลูกต้นแดง ในพื้นที่ โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายพงศ์รัตน๋ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน
โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอขอบคุณเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดตาก ทั้งสิ้น 235 ป่าชุมชน ที่ได้ร่วมกันเฝ้าระวัง ดูแล รักษาป่า อีกทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำให้สามารถดูแลรักษาป่าจนป่ากลับฟื้นคืนสภาพชนิดพรรณไม้ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง แดง ประดู่ สมุนไพรต่างๆ เห็ดชนิดต่างๆ จนเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือ ความตั้งใจ ความเสียสละ ระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนทุกภาคส่วน ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการรักและหวงแหนป่าต้นน้ำเพื่อส่งต่อให้ลูกหลาน อย่างแท้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38587 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0)
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0)
วันนี้ (25 มกราคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาผลการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 ด้วยตนเอง ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 หมวด 1-7 โดยมีผู้อำนวยการกองต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38572 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วยขาย ! สินค้าสัตว์น้ำ ผ่าน “ตลาดประมงปลอดภัย GAP” | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ช่วยขาย ! สินค้าสัตว์น้ำ ผ่าน “ตลาดประมงปลอดภัย GAP”
...
กรมประมง จับมือ ตลาดไท จัดพื้นที่ทำเลทอง
สร้าง “ตลาดประมงปลอดภัย GAP” ให้เกษตรกร
ขายส่ง สินค้าสัตว์น้ำ จากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน GAP
ฟรี ค่าเช่านาน 3 เดือน ตั้งแต่ 20 ม.ค. – 20 เม.ย.64
.
โดยยอดขายที่ผ่านมา พบว่า
ช่วยเกษตรกรระบายผลผลิต ไปได้ถึง 284,131 กก.
คิดเป็นมูลค่า 55,693,850 บาท
.
ปัจจุบัน มีสินค้ามาจำหน่ายแล้วกว่าวันละ 5 ตัน
เช่น กุ้งขาวแวนาไม กุ้งก้ามกราม ปลากะพงขาว
จาก 5 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี นครปฐม
สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา
.
เปิดขายในเวลา 04.00 – 11.00 น. ของทุกวัน
โดยมีการ ป้องกัน และ คัดกรอง โรคโควิด-19
ตามมาตรการสาธารณสุข อย่างเข้มงวด
.
อนาคต จะขยาย “ตลาดประมงปลอดภัย GAP”
ไปสู่ตลาดในภูมิภาค และ ผลักดันให้เป็น
ศูนย์กลางการค้าส่งสินค้าสัตว์น้ำแห่งใหม่
สู่ประชาชนทั่วประเทศต่อไป
.
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กก.วล เห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กก.วล เห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
กก.วล เห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO conference โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา - ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยประหยัดระยะเวลาในการเชื่อมต่อระบบการเดินทางจากเดิมที่ต้องเชื่อมต่อ 2 ครั้ง (สายสีเหลือง - สายสีน้ำเงิน - สายสีเขียว) อีกทั้งยังสามารถเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายรถไฟฟ้าและการเดินทางภายในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น (2) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก ตำบลคลองขุด ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เพื่อให้เกิดความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง สร้างศักยภาพการพัฒนาให้กับจังหวัดทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุ (3) โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพสูง รองรับการเติบโตของเมือง รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ในเมืองหาดใหญ่ และแก้ไขปัญหาจราจรซึ่งเป็นปัญหาหลักของเมืองอย่างยั่งยืน และ (4) โครงการทางหลวงหมายเลข 203 (หล่มสัก - หล่มเก่า - เลย) ของกรมทางหลวง โดยมีแผนงานในการขยายช่องจราจรบนทางหลวงสายดังกล่าวให้เป็น 4 ช่องจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงสนับสนุนแผนการพัฒนาโครงข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาะในการเดินทาง ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง โดย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเจ้าของโครงการต้องดำเนินตามมาตรการฯ ที่กำหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท โดยปรับปรุงชื่อประกาศ คำนิยาม ชื่อพารามิเตอร์ รวมทั้งปรับปรุงวิธีการวิเคราะห์ วิธีการตรวจสอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับมาตรฐานอื่น โดยการปรับปรุงนิยามตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ซึ่งไม่รวมท่าเทียบเรือประมงพื้นบ้าน หรือท่าหลังบ้าน
-------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38573 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำ! ไม่ปิดกั้นเอกชน นำเข้าวัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ย้ำ! ไม่ปิดกั้นเอกชน นำเข้าวัคซีนโควิด-19
...
อัพเดทข่าวการนำเข้าวัคซีนโควิด-19
นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้เอกชนนำเข้าได้
โดยต้องยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีน กับ อย.
หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้ถูกต้อง
.
วัคซีนที่จะขอนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย
ต้องได้รับการประเมินจาก อย. ก่อนนำไปใช้จริง
ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผล
.
โดย อย. พร้อมอำนวยความสะดวก
เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด
แต่จำเป็นต้องเข้มงวดเรื่องกฎเกณฑ์หรือการกำกับดูแล
เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน
.
สำหรับวัคซีนที่ อย. จะรับขึ้นทะเบียน
ถือเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน
จึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
โดยกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัย
จากการใช้อย่างต่อเนื่อง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38581 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ขอประชาชนร่วมมือเข้มมาตรการป้องกันโควิด 19 คาดแนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลงใน 2 สัปดาห์ | วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564
สธ. ขอประชาชนร่วมมือเข้มมาตรการป้องกันโควิด 19 คาดแนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลงใน 2 สัปดาห์
กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าควบคุมโรคโควิด 19 ต่อเนื่อง เข้มทุกมาตรการคาดสิ้นเดือนมกราคมผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือ 2 หลัก หากสถานการณ์ดีขึ้น สัปดาห์หน้าเตรียมพิจารณาผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ขอประชาชนเข้มป้องกันการติดเชื้อ ช่
กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าควบคุมโรคโควิด 19 ต่อเนื่อง เข้มทุกมาตรการคาดสิ้นเดือนมกราคมผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือ 2 หลัก หากสถานการณ์ดีขึ้น สัปดาห์หน้าเตรียมพิจารณาผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ขอประชาชนเข้มป้องกันการติดเชื้อ ช่วยให้ผ่านสถานการณ์การระบาดจนกว่าจะถึงช่วงเริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ปลายเดือนกุมภาพันธ์
วันนี้ (10 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 245 ราย ติดเชื้อสะสม 10,298 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 8,157 ราย จำนวนนี้เป็นการคัดกรองเชิงรุก 2,791 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 882 ราย ส่วนใหญ่มาจากสมุทรสาคร ทำให้รักษารวม 6,428 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม เสียชีวิตสะสมคงที่ 67 ราย อัตราเสียชีวิต 0.65% ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ส่วนการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อสะสม 6,061 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล 1,811 ราย จำนวนนี้มีอาการหนักต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 6 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลสนาม 1,678 ราย โรงพยาบาลเฉพาะสำหรับผู้ป่วยอาการน้อย 86 ราย รักษาหายแล้ว 2,479 ราย มีผู้เสียชีวิตรอบนี้รวม 7 ราย
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า แนวโน้มผู้ป่วยยังเพิ่มขึ้นแต่ค่อนข้างคงตัว ยังพบผู้ติดเชื้อจากสมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง กทม. ฯลฯ คาดว่าจะลดลงในอีก 2 สัปดาห์ถัดไป โดยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีการติดเชื้อรายใหม่ใน 18 จังหวัด ส่วนในรอบ 7-14 วันที่ผ่านมาไม่มีผู้ติดเชื้อใน 20 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย นครนายก มหาสารคาม หนองคาย อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ระยอง ชัยภูมิ อุดรธานี กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ภูเก็ต สงขลา สตูล ตรัง นครสวรรค์ กระบี่ และนราธิวาส ทั้งนี้ ได้ตรวจคัดกรองเชิงรุกในแรงงานต่างด้าวป้องกันการพบปะกันจากการเกิดคลัสเตอร์ใหญ่ๆ ขึ้น โดยตรวจไปแล้ว 43,077 ราย พบติดเชื้อ 2,573 ราย ยังพบในเขตสุขภาพที่ 4 และเขตสุขภาพที่ 5 ส่วนเขตสุขภาพอื่นๆ ไม่พบผู้ติดเชื้อหรือพบน้อยมาก จึงยังไม่พบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนในชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ใช้มาตรการทางสังคมทำแนวกันชนไม่ให้การระบาดขึ้นไปยังภาคเหนือและภาคใต้ คาดว่าจะควบคุมการติดเชื้อได้ดีขึ้น โดยสิ้นเดือนมกราคมนี้จะให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือ 2 หลักให้ได้ ทั้งนี้ประเทศไทยจะผ่านสถานการณ์การระบาดไปได้อีกครั้งได้นั้น ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน โดยประชาชนขอให้สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ และสแกนไทยชนะ หากพบเห็นคนไม่คุ้นเคยมาหมู่บ้านให้แจ้ง อสม.ตรวจสอบและคัดกรอง
“มาตรการทางสังคม อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน สัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณา ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ อาจมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ลงโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและประชาชน แต่ยังต้องขอให้ช่วยกันรักษาระเบียบวินัยไม่ให้เกิดการติดเชื้อใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง และทำได้ดีจนถึงปลายกุมภาพันธ์ที่จะมีวัคซีนโควิด 19 ก็จะผ่านโควิดไปด้วยกันได้อย่างสง่างาม” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
**********************************10 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38189 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากจีนใน 14 ก.พ.นี้ | วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564
สธ.เตรียมยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากจีนใน 14 ก.พ.นี้
กระทรวงสาธารณสุข เผยวัคซีนโควิด 19 จากจีน 2 ล้านโดส มอบองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อและจำหน่าย ขึ้นทะเบียน อย. ภายใน 14 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนทยอยฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เตรียมเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อแห่ง
กระทรวงสาธารณสุข เผยวัคซีนโควิด 19 จากจีน 2 ล้านโดส มอบองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อและจำหน่าย ขึ้นทะเบียน อย. ภายใน 14 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนทยอยฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เตรียมเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณากลุ่มเป้าหมายและแผนการฉีดวัคซีนในวันที่ 11 มกราคม2564
วันนี้ (10 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย โดย นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ประเทศไทยมีกระบวนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน คำนึงถึงเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก ผ่านการขึ้นทะเบียนทั้งต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ก่อนให้บริการประชาชน ส่วนการได้วัคซีนเร่งด่วน 2 ล้านโดสจากซิโนแวค ประเทศจีน เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายแบบดั้งเดิม มีความปลอดภัยสูง หลังฉีดยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง คาดว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศจีนเร็วๆนี้ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
“รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณซื้อวัคซีนโควิด19 จากซิโนแวค กรมควบคุมโรคได้แสดงความต้องการใช้ไปยังองค์การเภสัชกรรมให้ซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย พร้อมทำเอกสารเพื่อยื่นขึ้นทะเบียน อย.ด้วย เนื่องจากซิโนแวคไม่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย โดยจะขึ้นทะเบียนให้ได้ภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมได้เห็นชอบสำรองงบประมาณในการสั่งซื้อไปก่อน 1 พันกว่าล้านบาท” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
ทั้งนี้ ประเทศจีนจะส่งวัคซีนมาถึงไทยภายในวันที่28 กุมภาพันธ์ ล็อตแรก 2 แสนโดส เดือนมีนาคมอีก 8 แสนโดส และเมษายนอีก 1 ล้านโดส หลังจากนั้นช่วงเดือนพฤษภาคม จะมีวัคซีนล็อตใหญ่จากแอสตราเซนเนกาอีก 26 ล้านโดส เพื่อกระจายให้ประชาชนต่อไป และเมื่อดำเนินการได้ดีจะเจรจาขอซื้อเพิ่มจากแอสตราเซนเนกาอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส จะครอบคลุมประชาชนประมาณ 30 กว่าล้านคน จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันของประเทศไทยได้ เป็นเป้าหมายและแผนงานที่ดำเนินงานไว้ การดำเนินงานถือว่าก้าวหน้าเป็นไปตามแผน
ด้านนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเพื่อหยุดการระบาดของโรคในชุมชนไม่จำเป็นต้องฉีดให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันทั้ง 100% หลักการคือฉีดเพื่อให้สังคมและชุมชนมีภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นมาระดับหนึ่ง ประมาณ 60-70% จะลดอำนาจการแพร่กระจายเชื้อลง จนหยุดการแพร่ระบาดในชุมชนได้ แต่ในระดับบุคคลอาจพบผู้ป่วยบ้าง แต่จะไม่เกิดการระบาดในชุมชน ทั้งนี้ วัคซีนโควิด 19 ที่มีการฉีดในต่างประเทศ ยังไม่มีของบริษัทใดที่ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 อย่างครบถ้วน แต่ที่ประเทศไทยต้องจัดหาวัคซีนเข้ามาก่อนนั้น เนื่องจากหากรอให้มีผลการทดลองครบถ้วนแล้วมาเจรจาจัดซื้ออาจสายเกินไป
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานจัดหาวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย จะพิจารณาจากคุณสมบัติของวัคซีน ราคา จำนวนที่จะขายให้ได้ และเวลาที่จะส่งมอบ ซึ่งการซื้ออาจต้องรอวัคซีนส่งมานาน 6 เดือน 8 เดือน หรือเป็นปี ซึ่งไทยได้หาทางเลือกเจรจาวัคซีนหลายชนิด แต่ไม่เกิน 3 ชนิด เพื่อไม่ให้เกิดความซับซ้อนในการขนส่งและการฉีด ซึ่งทั้งหมดผ่านกลไกการพิจารณาอย่างเป็นระบบ รอบคอบ และถี่ถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนผ่านคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนเพื่อคนไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาพิจารณาเรื่องการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบก่อนนำมาฉีด
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า องค์การยูนิเซฟประเมินว่าวัคซีนโควิด 19 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีจำกัด ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการให้วัคซีน คือ การลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต และปกป้องระบบสุขภาพประเทศ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีน คือ 1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน 2.ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน 3.ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 4.เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น อสม. ทหาร ตำรวจ ที่จะต้องคัดกรองผู้ที่เข้ามาจากต่างประเทศ และในพื้นที่ที่มีการระบาด โดยเริ่มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี จันทบุรี ระยอง และตราด ฉีดคนละ 2 เข็มห่างกัน 1 เดือนทั้งนี้ การพิจารณากลุ่มเป้าหมายและแผนการฉีดจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในวันที่ 11 มกราคม 2564 หากเห็นชอบจะได้ดำเนินการหรือปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อมั่นใจว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ จะพิจารณาเรื่องสถานบริการ บุคลากร และระบบการกระจายวัคซีน รวมทั้งระบบการลงทะเบียนผู้ป่วยต่อไปด้วย
นพ.โอภาสกล่าวว่า สำหรับการกระจายวัคซีนนั้น ประเทศไทยมีระบบคลังวัคซีนใหญ่ 2 แห่ง คือ กรมควบคุมโรค และองค์การเภสัชกรรม ร่วมกันกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยมีระบบควบคุมอุณหภูมิความเย็นอย่างต่อเนื่อง ไปยังโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประมาณ 11,000 แห่ง เพื่อให้ผู้ที่มีเกณฑ์ได้รับวัคซีนเข้ารับบริการใกล้บ้านมากที่สุด ส่วน กทม.จะมีศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลรัฐสังกัดอื่นๆ โรงเรียนแพทย์และภาคเอกชน โดยจะมีการอบรมเรื่องการฉีดวัคซีน การเก็บวัคซีน การเตรียมจุดบริการ ระบบการขึ้นทะเบียนโดยใช้แอปพลิเคชันและให้เจ้าหน้าที่ รพ.สต. สำรวจประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้บริการได้อย่างครบถ้วน ติดตามให้มารับวัคซีนเข็มที่ 2 ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังรับวัคซีนซึ่งจะติดตามผู้ได้รับวัคซีนทุกคนเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ตามหลักมาตรฐานสากล
ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนโควิด 19 ที่มีผลการทดสอบประสิทธิภาพในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการขึ้นทะเบียนนั้น พบว่า วัคซีนของไฟเซอร์ มีประสิทธิผล 95% โดยฉีด 2 โดส ห่างกัน 21 วัน,วัคซีนของโมเดอร์นา มีประสิทธิผล 94.5% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 28 วัน ,วัคซีนของแอสตราเซนเนกา มีประสิทธิผล 62-90% ขึ้นกับปริมาณการฉีด โดยฉีด 2 โดสห่างกัน 28 วัน ,วัคซีนของรัสเซีย มีประสิทธิผล 92% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 14-21 วัน ส่วนวัคซีนของซิโนฟาร์ม ประเทศจีน มีประสิทธิผล 79% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 21 วัน โดยวัคซีนทั้ง 5 ตัวได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศต้นทางแล้ว นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนของซิโนแวค ประเทศจีน มีประสิทธิผล 78% ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค ร่วมกันศึกษาวัคซีนเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง จึงมีการพิจารณาจองซื้อและจัดหาแหล่งวัคซีนซึ่งการจองซื้อกับบริษัทแอสตราเซนเนกา 26 ล้านโดสนั้น มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตในประเทศไทย โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิต 200 ล้านโดสต่อปี สามารถส่งต่อวัคซีนให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านได้ต่อไป
นพ.นครกล่าวว่า ส่วนผลข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิด อาจมีอาการทั่วไป เช่น ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งยังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังนั้นเป็นข้อสังเกตได้ว่าการใช้วัคซีนในช่วงเกิดการระบาดนี้เป็นการใช้ในภาวะเร่งด่วน และได้ทำการศึกษาไปพร้อมกัน ซึ่งหากมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก เช่น 1 ล้านโดส ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ยากในรูปแบบอื่นๆ อาจปรากฏขึ้นได้ ดังนั้น วัคซีนทุกตัวต้องเก็บข้อมูลเพื่อดูความปลอดภัยไปพร้อมกัน จะทำให้ทราบข้อมูลและระมัดระวัง เพื่อการหยุดยั้งการระบาดของโรค ลดอัตราป่วย และเสียชีวิต ส่วนการเก็บรักษาวัคซีนมีความแตกต่างกันไปบ้าง เช่น อุณหภูมิ เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาการนำวัคซีนมาใช้ในประเทศไทย
*********************************** 10 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38190 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38196 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่ง เร่งช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา | วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564
นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่ง เร่งช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา
นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่ง เร่งช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ห่วงใยประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย โดยได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือประชาชน ทั้งในส่วนของการขนย้าย อพยพ เร่งระบายน้ำ การมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) รายงานว่า อุทกภัยครั้งนี้กระทบประชาชนใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย สงขลา ยะลา นราธิวาส และปัตตานี รวม 31 อำเภอ 171 ตำบล 908 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 51,078 ครัวเรือน โดยนายกรัฐมนตรี กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปให้การช่วยเหลือ ซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน เตรียมความพร้อมสำรวจความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบตามเกณฑ์ที่กระทรวงการคลัง กำหนด
"นายกฯ ฝากให้กำลังใจประชาชนที่กำลังเผชิญกับอุทกภัยในขณะนี้ โดยขอให้ผ่านสถานการณ์ไปได้โดยเร็ว ยืนยันรัฐบาลจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด พร้อมกันนี้ ยังขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครอง กองทัพ รวมทั้งอาสาสมัคร ที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเข้มแข็ง โดยขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและตนเอง" น.ส.ไตรศุลี กล่าว
.........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38188 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล ชวนติดตาม นายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เผยเป้าหมายการใช้จ่ายงบ ฯ 65 ฝ่าวิกฤตโควิด19 ขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน | วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564
โฆษกรัฐบาล ชวนติดตาม นายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เผยเป้าหมายการใช้จ่ายงบ ฯ 65 ฝ่าวิกฤตโควิด19 ขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
โฆษกรัฐบาล ชวนติดตาม นายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เผยเป้าหมายการใช้จ่ายงบ ฯ 65 ฝ่าวิกฤตโควิด19 ขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนติดตามรายการพิเศษ "การมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565" โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2565 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) และ Facebook : Live NBT2HD วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 เวลา 08.30-09.00 น. โดยมีนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ร่วมพูดคุย
ในรายการ นายกรัฐมนตรีไฮไลท์การใช้จ่ายงบประมาณต้องตอบโจทย์ภารกิจเร่งด่วน คือ -สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น รักษาการจ้างงาน ช่วยเหลือ SMEs กระจายความเจริญลงไปในเมืองหลัก เมืองรอง และระดับพื้นที่ - ยกระดับขีดความสามารถของประเทศส่งเสริมอุตสาหกรรมและการบริการทางการแพทย์การท่องเที่ยว ยกระดับภาคการเกษตรอุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ - พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน ทั้งการปรับทักษะ ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงด้านสุขภาพ - เน้นปัจจัยในการพัฒนาประเทศ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงกฎหมาย พัฒนาภาครัฐดิจิทัล นวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือของเครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้วางนโยบายอย่างชัดเจนให้ทุกหน่วยงานคำนึงถึงการบริหารงบประมาณต้องคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความจำเป็นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังให้ความเชื่อมั่นว่า แม้จะจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 วงเงิน 3,100,000 ล้านบาทแบบขาดดุล ซึ่งจำนวนขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปี 64 อยู่ที่ 91,037.5 ล้านบาท แต่รัฐบาลยึดมั่นในวินัยและความมั่นคงทางการเงินการคลัง โดยงบประมาณขาดดุลจะนำมาขับเคลื่อนประเทศผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 และให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้ปกติตามศักยภาพอย่างยั่งยืนต่อไป
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 มกราคม 2564
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (26 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถานและตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาต
ขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงขุมทองเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการ เพื่อสุขภาพรายปี พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เพื่อเร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ
13. เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ
14. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 (เพิ่มเติม)
15. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2562 และแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการต่อต้านการทุจริต
16. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 และวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
18. เรื่อง การกำหนดมูลค่าแผนงานและโครงการพัฒนาตามมาตรา 20 (8)แห่งพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
19. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
20. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนธันวาคม และปี 2563
21. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2563
22. เรื่อง รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกิน 12 เดือน ซึ่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
23. เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563
24. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2563
25. เรื่อง โครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงเฉพาะพื้นที่โป่งน้ำร้อน (พ.ศ. 2564 – 2565)
26. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2564
27. เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรโรนา 2019 ระลอกใหม่และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก
28. เรื่อง มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี 2564
29. เรื่อง การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ต่างประเทศ
30. เรื่อง การขอรับความเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมือเพื่อพัฒนาความพร้อมด้านดิจิทัลสำหรับพลเมืองอาเซียน (Framework for Developing Digital Readiness among ASEAN Citizens)
31. เรื่อง การเตรียมการด้านงบประมาณสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคของไทย ปี 2565
32. เรื่อง การรับรองแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ (The Sub – Regional Meeting on Counter Terrorism and Transnational Security) ครั้งที่ 3
33. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง
34. เรื่อง ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
แต่งตั้ง
35. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม และรองโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
40. เรื่อง ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
41. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้เพิ่ม 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา อำเภอจะนะ และอำเภอนาทวี ให้มีผลบังคับใช้ตามร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่กระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 (โรงงานที่มีแรงม้ารวมของเครื่องจักรไม่เกิน 75 แรงม้า และคนงานไม่เกิน 75 คน) และโรงงานจำพวกที่ 3 (โรงงานที่มีแรงม้ารวมของเครื่องจักรมากกว่า 75 แรงม้า และมีคนงานมากกว่า 75 คน หรือเป็นโรงงานที่มีมลภาวะ) ทุกขนาด ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้ขยายโรงงาน ค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมการโอนใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมการแจ้งกรณีได้รับยกเว้นการขยายโรงงานหรือกรณีลดหรือเพิ่มเครื่องจักรแต่ไม่เข้าข่ายขยายโรงงาน หรือการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้น และค่าธรรมเนียมรายปีที่เรียกเก็บตามกำหนดเวลาที่ต้องชำระ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 15 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
4. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดเกี่ยวกับการจัดตั้งทุนหมุนเวียน โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน เพื่อประโยชน์ในการรักษาวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ. .... ที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน โดยปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 และให้โอนบรรดากิจการของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาที่สังกัดกระทรวงการคลัง (กค.) เป็น จัดตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อให้การบริหารงานเกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกำหนดวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนให้ครอบคลุมอาหารนักเรียนนอกเหนือจากอาหารกลางวันและให้รวมถึงโรงเรียนที่จัดการศึกษาภาคบังคับด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดนิยามคำว่า “กองทุน” “โรงเรียน” “นักเรียน” “อาหาร” “คณะกรรมการ” “ประธานกรรมการ” “ผู้บริหารกองทุน” และ “รัฐมนตรี”
2. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรียกว่า “ กองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน” โดยมีวัตถุประสงค์ (1) แก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ การขาดแคลนอาหาร และส่งเสริมภาวะโภชนาการในโรงเรียน (2) สนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับอาหารสำหรับนักเรียนในโรงเรียน (3) ส่งเสริมผลผลิตโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน (4) ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ (5) ส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานกองทุน (6) ประชาสัมพันธ์ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนและการดำเนินงานของกองทุน
3. กำหนดให้เงินและทรัพย์สินของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
4. กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุน ประกอบด้วย (1) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานกรรมการ (2) ผู้แทน กค. ผู้แทนสำนักงบประมาณ (สงป.) ผู้แทน สพฐ. เป็นกรรมการ (3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 3 คน ซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ กค. จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ และให้ผู้บริหารกองทุนเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ผู้บริหารกองทุนแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กองทุนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ไม่เกิน 2 คน
5. กำหนดให้คณะกรรมการบริหารกองทุนมีอำนาจหน้าที่ (1) กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของกองทุน (2) กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ตลอดจนกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้บริหารกองทุนและพนักงานโดยความเห็นชอบของ กค. (3) พิจารณาอนุมัติแผนงบประมาณรายรับและรายจ่ายประจำปีและแผนการดำเนินงานของกองทุน (4) พิจารณาจัดสรรเงินช่วยเหลือหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่โรงเรียนตามระดับอายุของนักเรียนโดยคำนึงถึงเด็กเล็กและพื้นที่ตามความจำเป็นและเหมาะสม ฯลฯ
6. กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้ ภาระผูกพัน พนักงาน และลูกจ้างของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 ไปเป็นของกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนตามพระราชบัญญัตินี้
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยเป็นการกำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอนให้ชัดเจน เพื่อประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้าและให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบความคืบหน้าของกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวกและรวดเร็ว
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมดังต่อไปนี้ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กรมพระธรรมนูญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาล องค์กรอัยการ และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
1. กำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกำหนดกรอบระยะเวลาแล้วเสร็จในการพิจารณาเรื่องในขั้นตอนต่าง ๆ ของการดำเนินคดี แต่ทั้งนี้จะให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการอำนวยความยุติธรรมหรือการดำเนินการโดยสุจริตของบุคคลใดไม่ได้ ไม่ว่าทางใด
2. กำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจัดให้มีระบบติดตามตรวจสอบหรือแจ้งความคืบหน้าของการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบโดยจะต้องเป็นระบบที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวกและรวดเร็ว
3. กำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจัดให้มีผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะเพื่อรับเรื่องร้องเรียนในกรณีที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากความล่าช้าในการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และให้ผู้รับผิดชอบดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบความคืบหน้าของการดำเนินงาน และแจ้งผลการตรวจสอบ รวมทั้งเหตุแห่งความล่าช้าไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบทุกครั้ง
4. กำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติระยะเวลาของการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมในแต่ละขั้นตอน วัดผลการดำเนินงานเทียบกับขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินงานตามที่กำหนดไว้ในกรอบระยะเวลา พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนทราบทุกปี
5. กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม ว่าเป็นขั้นตอนและระยะเวลาที่เหมาะสมตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม ตลอดจนวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือไม่ ในกรณีที่เห็นว่าขั้นตอนและระยะเวลาดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรให้มีมาตรการเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงหน่วยงานหรือระบบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานโดยเร็ว ซึ่งอย่างน้อยต้องดำเนินการทุกสามปี
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. กรมทางหลวงมีความจำเป็นต้องสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของ ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางคมนาคมสาย R3E ระหว่างประเทศที่สำคัญจากสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จึงเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่ง การค้า และการท่องเที่ยว เป็นเหตุให้ทางหลวงแผ่นดินหมาย 1020 และ 1290 มีการจราจรหนาแน่นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้ทางไม่ได้รับความสะดวกและไม่ปลอดภัยในการเดินทาง
2. การสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการสร้างทางหลวงแผ่นดินสายดังกล่าวโดยการเวนคืน ฉะนั้น เพื่อให้การสร้างทางหลวงแผ่นดินสายดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้มีมาตรฐานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้น ตลอดจนเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
3. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของ มีจุดเริ่มต้นที่ กม.0+00.000 – กม.9+103.567 รวมระยะทาง 9.103 กิโลเมตร วงเงินการก่อสร้าง 1,100,000,000 บาท มีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ประกอบด้วย ที่ดินประมาณ 180 แปลง สิ่งปลูกสร้างประมาณ 103 ราย และต้นไม้ยืนต้นประมาณ 108 ราย ค่าทดแทนและค่าเสียหายอื่น ๆ และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด รวมค่าทดแทนในการเวนคืนรวมเป็นเงินประมาณ 167,670,000 บาท
4. สำนักงบประมาณ (สงป.) เห็นว่า กรมทางหลวงจะดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความแออัดของปริมาณการจราจร และรองรับการเดินทางไปยังสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านแดนและขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างประเทศ รวมถึงสนับสนุนโครงข่ายทางหลวงอาเซียนหมายเลข 3 ไปสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ประมาณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 133,047,700 บาท โดยกรมทางหลวงมีแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและเบิกจ่ายค่าทดแทนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2567 ซึ่ง สงป. จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับแล้ว
5. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
6. คค. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของ ตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนด เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ประกอบด้วยรายละเอียดโครงการ แผนบริหารจัดการประมาณการรายจ่าย แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับ
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1423 สายเลี่ยงเมืองเชียงของ
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. วันใช้บังคับ กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เพื่อให้ ส.อ.ท. มีระยะเวลาเตรียมความพร้อม เช่น การออกกฎหมายลำดับรอง
2. บทนิยาม แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “อุตสาหกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับการประกอบอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยครอบคลุมถึงการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และครอบคลุมกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการอุตสาหกรรม
3. วัตถุประสงค์ของ ส.อ.ท. แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของ ส.อ.ท. เพื่อให้ครอบคลุมการส่งเสริมและพัฒนาการประกอบอุตสาหกรรม โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มิใช่เฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบอุตสาหกรรมรายใหญ่เท่านั้น
4. การเรียกชื่อกลุ่มสมาชิกของ ส.อ.ท. แก้ไขเพิ่มเติมการเรียกชื่อสมาชิกของ ส.อ.ท. โดยกำหนดให้ ส.อ.ท. อาจจัดให้สมาชิกที่ประกอบอุตสาหกรรมหรือส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมประเภทหรือชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ เรียกว่า “กลุ่มอุตสาหกรรม” และอาจจัดให้สมาชิกที่ประกอบอุตสาหกรรมหรือส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมในเขตท้องที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่ในกลุ่มสมาชิกเดียวกันได้ เรียกว่า “สภาอุตสาหกรรมจังหวัด”
5. องค์ประกอบคณะกรรมการ ส.อ.ท. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการ ส.อ.ท. โดยกำหนดให้คณะกรรมการ ส.อ.ท. มีจำนวนไม่เกิน 251 คน (เดิมกำหนดไว้ในข้อบังคับ ส.อ.ท.)
6. การได้มาซึ่งประธาน ส.อ.ท. และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นซึ่งประธาน ส.อ.ท. แต่งตั้ง แก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งประธาน ส.อ.ท. โดยกำหนดให้ประธาน ส.อ.ท. อาจมาจากผู้แทนสมาชิกสามัญซึ่งมาจากการเลือกตั้งของกรรมการประเภทเลือกตั้ง หรือมาจากการเลือกกันเองของกรรมการประเภทเลือกตั้ง โดยกำหนดให้ประธาน ส.อ.ท. ต้องเคยดำรงตำแหน่งกรรมการ ส.อ.ท. ประธานกลุ่มอุตสาหกรรม หรือประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด รวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่าสองวาระและต้องเป็นกรณีที่ดำรงตำแหน่งจนครบวาระด้วย และกำหนดหลักการเพิ่มเติมให้ประธาน ส.อ.ท. มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง เช่น รองประธาน เลขาธิการ เหรัญญิก และนายทะเบียน
7. วาระการดำรงตำแหน่ง แก้ไขเพิ่มเติมให้การนับวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ส.อ.ท. เริ่มนับเมื่อคณะกรรมการมีองค์ประกอบครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
8. เหตุพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ ส.อ.ท. นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แก้ไขเพิ่มเติมโดยระบุเหตุการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ ส.อ.ท. ต้องเป็นกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ ส.อ.ท. มีมติให้ออก เช่น เหตุบกพร่องต่อหน้าที่
9. การพ้นจากตำแหน่งของประธาน ส.อ.ท. แก้ไขเหตุในการพ้นจากตำแหน่งของประธาน ส.อ.ท. โดยกำหนดให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อกรรมการประเภทเลือกตั้งมีมติให้ออกจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่มีอยู่
10. การพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งที่ประธาน ส.อ.ท. แต่งตั้ง เพิ่มเหตุการพ้นจากตำแหน่ง เช่น รองประธาน เลขาธิการ และเหรัญญิก ที่ประธาน ส.อ.ท. แต่งตั้ง ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อประธาน ส.อ.ท. พ้นจากตำแหน่ง
11. การแต่งตั้งประธานกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างในกรณีที่ประธานพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ กำหนดให้มีกระบวนการในการแต่งตั้งประธาน ส.อ.ท. ขึ้นใหม่แทนประธาน ส.อ.ท. ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระหรือถูกกรรมการประเภทเลือกตั้งมีมติให้ออกจากตำแหน่ง
12. การพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการทั้งคณะ แก้ไขเพิ่มเติมให้ในกรณีกรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง นอกจากพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยให้ประธาน ส.อ.ท. กรรมการ และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นที่ประธาน ส.อ.ท. แต่งตั้งยังคงรักษาการในตำแหน่งเพื่อดำเนินกิจการของ ส.อ.ท. ต่อไปเท่าที่จำเป็นจนกว่าจะมีคณะกรรมการชุดใหม่
13. การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ แก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ ส.อ.ท. ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ส.อ.ท. ก่อน และการกำหนดหรือแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้งคณะกรรมการ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีแล้วจึงให้ใช้บังคับได้
14. ผู้รักษาการแทนประธาน ส.อ.ท. กำหนดให้กรรมการประเภทเลือกตั้งที่มีอาวุโสสูงสุด เป็นผู้รักษาการแทนประธาน ส.อ.ท. และกำหนดให้มีผู้รักษาการแทนประธาน ส.อ.ท. โดยมีหน้าที่และอำนาจเช่นเดียวกับประธาน ส.อ.ท. ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.
15. การแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราวในกรณีที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้คณะกรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลจากสมาชิกสามัญของ ส.อ.ท. เป็นคณะกรรมการชั่วคราวในวันเดียวกันกับวันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง และจะต้องดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งและแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราว
6. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดนิยามคำว่า “กรุงรัตนโกสินทร์” “เมืองเก่า” “คณะกรรมการ”
2. กำหนดให้เพิ่มพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ จากเดิม 3 บริเวณ (กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก และบริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์) เป็น 4 บริเวณ โดยเพิ่มพื้นที่ส่วนขยาย บริเวณที่ 4 พื้นที่ต่อเนื่องบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอกตั้งแต่แนวกึ่งกลางคลองรอบกรุง (คลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่าง) แนวกึ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศเหนือและทิศใต้ และแนวคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตะวันออก
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับการบริหารราชการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการพระราชวัง ผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ ให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยความเห็นชอบของประธานกรรมการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 2 คน
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีแผนการยกระดับการพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ให้เป็นดิจิทัลโดยสมบูรณ์เพื่อให้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ และมีการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลและระบบการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e - Service) ของหน่วยงานภาครัฐ โดยสามารถให้ประชาชนสามารถทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้แบบครบวงจรที่ biz.govchannel.go.th โดยไม่จำเป็นต้องไปติดต่อที่หน่วยงานราชการ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลในการลดภาระด้านเอกสาร และสามารถติดตามสถานะการดำเนินงานด้วยตนเองได้ ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 เมษายน 2562 เห็นชอบในหลักการการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล โดยอาจพิจารณาให้มีการนำร่องดำเนินการในภารกิจของหน่วยงานที่มีผลกระทบต่อประชาชน ผู้ประกอบการ และนักลงทุนเป็นสำคัญก่อน ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องออก/ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวก็ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) สำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอให้กรมสรรพสามิตในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ เป็นหน่วยงานนำร่องในการดำเนินการออกใบอนุญาตดังกล่าวผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
2. กค. พิจารณาแล้ว เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ เพื่อกำหนดช่องทางการดำเนินการเพิ่มเติมทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการขออนุญาตและการอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ให้สอดคล้องตามแผนการยกระดับการพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการอนุญาตขายสุรา พ.ศ. 2560 ดังนี้
1.1 กำหนดเพิ่มช่องทางการดำเนินการทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้ยื่นคำขอกับเจ้าพนักงานสรรพสามิตในการแจ้งผลการตรวจสอบคำขอ การแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ การส่งเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติม รวมทั้งการแจ้งผลการพิจารณาคำขอ ให้มีการแจ้งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
1.2 กำหนดวิธีการแจ้งการอนุญาตและวิธีการรับใบอนุญาตของผู้ยื่นคำขออนุญาตให้เป็นไปตามวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด ซึ่งภายหลังกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ กรมสรรพสามิตจะมีการกำหนดให้สามารถแจ้งการอนุญาตและรับใบอนุญาตผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
2. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการอนุญาตขายยาสูบ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการอนุญาตขายไพ่ พ.ศ. 2560 ดังนี้
2.1 กำหนดเพิ่มช่องทางการดำเนินการสำหรับการยื่นคำขอ ได้แก่ สถานที่อื่นที่อธิบดีประกาศกำหนด ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
2.2 กำหนดเพิ่มช่องทางการดำเนินการทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้ยื่นคำขอกับเจ้าพนักงานสรรพสามิตในการแจ้งผลการตรวจสอบคำขอ การแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ การส่งเอกสาร หรือหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงการแจ้งผลการพิจารณาคำขอ ให้มีการแจ้งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
2.3 กรณีการขอต่ออายุของใบอนุญาต โดยให้ตัดเรื่องกำหนดเวลาในการยื่นคำขอใบอนุญาตล่วงหน้าเก้าสิบวันก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการขอต่อใบอนุญาต
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างถนนขุมทอง – ลำต้อยติ่งกับทางหลวงชนบท สป. 1006
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ต้องได้มาโดยแน่ชัด รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับแล้ว
9. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 โดยเพิ่มเติมมาตรการควบคุมอาหารเพื่อควบคุมอาหารตามระดับความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบต่อผู้บริโภค เพิ่มหมวดกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร กำหนดมาตรการในการควบคุมการโฆษณาอาหารกำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร และแก้ไขบทกำหนดโทษและอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน รายละเอียด ดังนี้
1. กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. ยกเลิกบทนิยามคำว่า อาหารควบคุมเฉพาะ ตำรับอาหาร และโรงงาน และเพิ่มเติมนิยามคำว่า วัตถุสัมผัสอาหาร เอกสารกำกับอาหาร ข้อความ โฆษณา สถานที่ กระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร และอาหาร เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
3. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดกลุ่มอาหาร ได้แก่ อาหารควบคุมเฉพาะ อาหารควบคุม และอาหารจดแจ้ง กำหนดอาหารที่ต้องประเมินความปลอดภัย และกำหนดหลักเกณฑ์การใช้วัตถุสัมผัสอาหาร การจำหน่ายอาหาร การขนส่ง และการโฆษณา
4. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการอาหารให้สอดคล้องกับการแก้ไขอำนาจของรัฐมนตรีในการกำหนดกลุ่มอาหาร และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติฉบับอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
5. กำหนดให้สถานที่ผลิตอาหารต้องขอใบอนุญาตผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การขอรับใบอนุญาตผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใบอนุญาตและการขอผ่อนผัน การขอต่อใบอนุญาต
6. เพิ่มหมวด 2/1 กระบวนการพิจารณาอนุญาต
6.1 กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีอำนาจขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหาร
6.2 กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหารมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
6.3 กำหนดให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร
6.4 กำหนดให้ค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นเงินของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนด
7. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตเพื่อการส่งออกต้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับอาหารนั้นให้ผู้อนุญาต และต้องจัดเก็บเอกสารหรือหลักฐานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ รวมทั้งกำหนดห้ามจำหน่ายอาหารเพื่อการส่งออกในราชอาณาจักร
8. กำหนดการควบคุมอาหารเสื่อมคุณภาพ แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะของอาหารปลอมและอาหารผิดมาตรฐาน และแก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของผู้อนุญาตเกี่ยวกับการออกคำสั่งเพื่อควบคุมอาหารและประกาศผลให้ประชาชนทราบ
9. กำหนดมาตรการควบคุมอาหารในแต่ละกลุ่ม โดยกำหนดให้อาหารเฉพาะต้องขึ้นทะเบียน อาหารควบคุมต้องแจ้งรายการ และอาหารจดแจ้งต้องจดแจ้ง และกำหนดการขอรับใบแทนใบสำคัญของอาหารดังกล่าว รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบสำคัญการจดแจ้ง รวมทั้งกำหนดมาตรการในการควบคุมการโฆษณาอาหาร กำหนดหลักเกณฑ์การโฆษณา และกำหนดให้การโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารต้องได้รับใบอนุญาต
10. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการยึดหรืออายัดอาหาร ภาชนะบรรจุ หรือวัตถุสัมผัสอาหารที่มีเหตุสงสัยว่าอาจไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค อาหารไม่บริสุทธิ์ อาหารปลอม อาหารผิดมาตรฐาน หรืออาหารเสื่อมคุณภาพ
11. กำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งทำลายหรือดำเนินการสิ่งที่ยึดหรืออายัดไว้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ รวมทั้งกำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตครั้งละไม่เกิน 120 วัน หรือกรณีที่มีการฟ้องร้องต่อผู้รับอนุญาตต่อศาลว่าได้กระทำความผิด และมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตในกรณีผู้รับอนุญาตกระทำความผิดหรือผู้รับอนุญาตได้กระทำความผิดและเคยสั่งพักใช้ใบอนุญาตซึ่งกระทำผิดนั้นอีกภายใน 3 ปี นับแต่ถูกพักใช้ใบอนุญาต
12. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดกรณีที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน และแก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษตามระดับการควบคุมอาหารในแต่ละกลุ่มเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ
13. บทเฉพาะกาล
13.1 กำหนดให้ใบอนุญาตผลิตอาหารที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และยังมีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุ
13.2 กำหนดให้คำขออนุญาต คำขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร คำขอประเมินเอกสารวิชาการ หรือคำขอใด ที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ให้ถือเป็นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้ และหากมีคำขอดังกล่าวแตกต่างไปจากคำขอตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมคำขอให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ได้
13.3 กำหนดให้ดำเนินการออกกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศให้แล้วเสร็จภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรี
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ สธ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปีเป็นระยะเวลาหนึ่งปีแก่ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการสปา และกิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม โดยกิจการสปาปีละ 1,000 บาท และกิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ปีละ 500 บาท
ทั้งนี้ สธ. เสนอว่า
1. เนื่องจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นมา ซึ่งต่อมา สธ. ได้มีประกาศ เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 กำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] เป็นโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ โดยรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และได้มีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคซึ่งรวมถึงสถานประกอบการนวด สปา ตามพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป แม้ปัจจุบันได้มีข้อกำหนดออกตามในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 10) อนุญาตให้สามารถดำเนินกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป แต่เนื่องจากในหลาย ๆ ประเทศยังคงมีการแพร่ระบาด ของโรคดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพมีรายได้ลดน้อยลง
2. คณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ในการประชุมครั้งที่ 38 – 9 /2563 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบการยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
3. ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการสปา และกิจการนวดเพื่อสุขภาพ หรือเพื่อเสริมความงาม สธ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี พ.ศ. .... ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ซึ่งบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ เพื่อเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี ซึ่งผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพมีหน้าที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ดังนี้ กิจการสปา ปีละ 1,000 บาท กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ปีละ 500 บาท
4. สธ. ได้จัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยรายงานว่า ข้อมูลการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปี ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีประเภทกิจการสปา จำนวน 869 ร้าน กิจการนวดเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมความงาม จำนวน 9,918 ร้าน ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปีดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,828,000 บาท แต่อย่างไรก็ตาม การยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือเยียวยาและลดภาระและบรรเทาผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญในการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมร้อยละ 3 ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือร้อยละ 0.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับฝ่ายนายจ้าง ส่งเงินสมทบอัตราเดิม ร้อยละ 3 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับฝ่ายรัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม ร้อยละ 2.75 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 46 วรรคสาม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงานจึงเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
สาระสำคัญ
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ให้แก้ไขเพิ่มเติมอัตราเงินสมทบในบัญชี ก. ท้ายกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2563
(2) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 ให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีคลอดบุตร ฝ่ายละร้อยละ 0.2 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ในส่วนของรัฐบาลปรับเป็น ร้อยละ 2.3 ของค่าจ้างผู้ประกันตน ในส่วนของนายจ้างปรับเป็น ร้อยละ 2.7 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนปรับเป็นร้อยละ 0.2 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในส่วนของรัฐบาล ร้อยละ 0.25 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และในส่วนของนายจ้าง และผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 0.1 ของค่าจ้างผู้ประกันตน
ตามบัญชีอัตราเงินสมทบ บัญชี ก.
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เพื่อ
เร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เพื่อเร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ที่มา
สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ให้สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. รวมทั้งส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการสรรหา การสอบคัดเลือก และการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ หรือปฏิบัติงาน
ในหน่วยงานของรัฐเพื่อทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุและอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้
มีการบรรจุแต่งตั้ง แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น
เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สำนักงาน ก.พ. ขอรายงานการดำเนินการ จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1 การเร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ กับเรื่องที่ 2 แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของส่วนราชการ จึงจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบและสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป
ผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.
เรื่องที่ 1 เรื่อง การเร่งรัดการดำเนินการสอบเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ
1. แนวทางการเพิ่มโอกาสและช่องทางการสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ประจำปี 2564
สำนักงาน ก.พ. จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ร่วมจัดสอบให้ดำเนินการ
เสร็จสิ้นในช่วงกลางปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และมาตรการทางสาธารณสุข โดยสำนักงาน ก.พ.
จะเร่งตรวจและประกาศผลสอบภายในเดือนสิงหาคม 2564 ทั้งนี้ ได้มีแผนการเพิ่มจำนวนที่นั่งสอบจากปีที่แล้วให้สามารถรองรับจำนวนผู้สมัครสอบในปีนี้ในภาพรวมได้ถึง 847,528 ที่นั่ง (โดยยังไม่นับรวมการจัดสอบภาค ก. พิเศษ ให้แก่ส่วนราชการที่ประสงค์จะเปิดรับสมัครสอบบุคคลเข้ารับราชการโดยไม่ต้องรอผลการสอบภาค ก. ตามความต้องการของส่วนราชการ)
2. แนวทางการเรียกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
สำนักงาน ก.พ. จะเร่งประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ให้เร่งรัดการเรียกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ของส่วนราชการต่าง ๆ รวม 29,831 คน จาก 142 บัญชี ที่ส่วนราชการเองสามารถใช้เรียกบรรจุได้ทันทีเมื่อมีอัตราว่าง หรือส่วนราชการอื่นที่มีอัตราว่างในชื่อตำแหน่งเดียวกัน หรือต้องการผู้มีคุณวุฒิอย่างเดียวกันก็สามารถร่วมขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้จากส่วนราชการอื่น เพื่อนำไปพิจารณาประเมินความเหมาะสมและบรรจุผู้สอบผ่านการแข่งขันให้เข้ารับราชการได้โดยไม่จำเป็นต้องจัดสอบแข่งขันเอง อันจะช่วยลดขั้นตอนการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ขณะนี้มีส่วนราชการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดสอบแข่งขัน จำนวน 35 ส่วนราชการ โดยประกาศจำนวนอัตราว่างที่จะบรรจุ จำนวน 885 อัตรา
3. การสนับสนุนการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการโดยวิธีอื่น นอกเหนือจากวิธีการสอบแข่งขัน
สำนักงาน ก.พ. จะเร่งชี้แจงทำความเข้าใจส่วนราชการถึงช่องทางและวิธีการอื่นที่ส่วนราชการสามารถเลือกใช้เพื่อการพิจารณาบรรจุบุคคลเข้ารับราชการนอกเหนือจากวิธีการสอบแข่งขันข้างต้น อันได้แก่ การบรรจุผู้ได้รับคัดเลือก การบรรจุผู้มีความรู้ความชำนาญงานสูง (Lateral Entry) การรับโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ หรือข้าราชการ/พนักงานตามกฎหมายอื่น รวมทั้งการบรรจุกรณีพิเศษอื่น ๆ เช่น การบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล คนพิการ ทายาทของข้าราชการพลเรือนสามัญที่เสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือพิการจนต้องออกจากราชการอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นต้น ซึ่งนับเป็นทางเลือกในการสรรหาผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์
ในงานด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนภารกิจของส่วนราชการเข้ารับราชการได้ทั้งในระดับแรกบรรจุ หรือสูงกว่าระดับแรกบรรจุ
4. การสำรวจสถานะอัตราว่างของทุกส่วนราชการ
เพื่อให้การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงาน ก.พ. ได้ทำการสำรวจสภาพการบริหารจัดการอัตราว่างของข้าราชการของทุกส่วนราชการ (149 ส่วนราชการ) เพื่อให้เห็นถึงสภาพข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีตำแหน่งแรกบรรจุที่ว่างหรืออยู่ระหว่างการสรรหา ตำแหน่งที่อยู่ระหว่างการเลื่อน โอน ย้าย หรือตำแหน่งที่มีแผนปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น หรือต้องยุบเลิกตำแหน่ง รวมทั้งตำแหน่งเกษียณอายุที่อยู่ระหว่างเสนอ อ.ก.พ.กระทรวงเพื่อพิจารณาจัดสรรคืนให้กับส่วนราชการ ตลอดจนสภาพปัญหา อุปสรรค หรือข้อจำกัดที่ทำให้ส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและสนับสนุนการสรรหา การสอบคัดเลือก ตลอดจนแก้ปัญหาการบริหารทรัพยากรบุคคลให้กับส่วนราชการ โดยได้กำหนดให้ส่วนราชการรายงานผลให้ทราบภายในวันที่ 21 มกราคม 2564 และจะได้วิเคราะห์สรุปรายงานผลให้ทราบในคราวต่อไป
เรื่องที่ 2แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของส่วนราชการ
1. การจ้างพนักงานราชการตามกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ รอบที่ 5 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2567)
คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) ในการประชุมเมื่อวันที่
26 สิงหาคม 2563 มีมติเห็นชอบอนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ รอบที่ 5 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2567) จำนวน 219,849 อัตรา และกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการที่ได้รับจัดสรรเพื่อรองรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ จำนวน 1,308 อัตรา (รวมทั้งสิ้น 221,157 อัตรา) โดยส่วนราชการได้จัดทำสัญญาจ้างพนักงานราชการตามกรอบอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติแล้ว และยังมีกรอบอัตรากำลังที่ว่างประมาณ 10,537 อัตรา ซึ่งส่วนราชการ
อยู่ระหว่างขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และหากได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วก็จะสรรหาบุคคลเป็นพนักงานราชการต่อไป
2. COVID-19) ด้วยระบบพนักงานราชการ
คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 มีมติรับทราบมติ คพร. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 เห็นชอบแนวทางการเพิ่มโอกาสให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยระบบพนักงานราชการ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจ การว่างงานภายในประเทศ เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจ้างงานกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาและอยู่ระหว่างหางานทำ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน และ/หรือผู้ที่ถูกเลิกจ้างจากภาคส่วนอื่นมีโอกาสได้รับการจ้างงานและสั่งสมประสบการณ์
การทำงานในหน่วยงานของรัฐ โดยมีหลักการสำคัญ คือ เป็นการจ้างงานระยะสั้น เพื่อบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานโดยเร็ว ซึ่ง คพร. จะพิจารณาจัดสรรกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเป็นกรณีพิเศษให้แก่ส่วนราชการเพื่อจ้างพนักงานราชการได้ไม่เกิน 2 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2565) เน้นการกระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่ ตลอดจนกำหนดรูปแบบการจ้าง อัตราค่าตอบแทน วิธีการสรรหาและการบริหารการจ้างเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ส่วนราชการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว นั้น ขณะนี้ สำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ้างงานพนักงานราชการและหากได้รับงบประมาณแล้วจะเร่งดำเนินการจัดสรรกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการให้แก่ส่วนราชการตามความจำเป็น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อีกทางหนึ่ง
โดยสรุปการดำเนินการทั้งสองเรื่องดังกล่าว จะสามารถตอบสนองข้อสั่งการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานในภาคราชการพลเรือน และเพิ่มโอกาสในการทำงานของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตลอดจนเป็นช่องทางให้ส่วนราชการได้คัดเลือกบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ทักษะและสมรรถนะที่สอดคล้องกับความจำเป็นของภารกิจเข้าสู่ระบบราชการ
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การบริหารอัตรากำลัง งบประมาณ และการขับเคลื่อนภารกิจของส่วนราชการ เป็นไปอย่างยืดหยุ่น คล่องตัว สามารถตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริบทการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะประชุมหารือร่วมกันเพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการบริหารงาน การบริหารงบประมาณ และการบริหารทรัพยากรบุคคลร่วมกันทั้งระบบ นำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการแบบองค์รวม ทั้งการวางแผนการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ การใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารอัตรากำลังในภาพรวมต่อไป
13. เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2519 เรื่อง เงินบำเหน็จ (โบนัส) ประจำปีของพนักงานและลูกจ้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สำนักงานสลากฯ)
2. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากฯ เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ โดยปรับให้สำนักงานสลากฯ จากเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ 5 ประเภทจ่ายโบนัสพนักงานคงที่ เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ 2 รัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัส เนื่องจากมีกำไรจากการดำเนินงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่เห็นชอบการปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. ที่ประชุมระหว่างสำนักงานสลากฯ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และกระทรวงแรงงาน (รง.) ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากฯ ให้เชื่อมโยงกับผลงานของรัฐวิสาหกิจ โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำสำหรับรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ 2 รัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสเนื่องจากมีกำไรจากการดำเนินงาน ทั้งนี้ ให้สำนักงานสลากฯ และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของสำนักงานสลากฯ ดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและสอบถามความคิดเห็นของพนักงานก่อนนำเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ความเห็นชอบและส่ง กค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2559 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ที่กำหนดให้ต้องมีพนักงานสมัครใจเข้าสู่ระบบการจ่ายโบนัสเชื่อมโยงกับผลงานในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของพนักงานและลูกจ้างประจำ โดยผลจากการทำแบบสอบถามความคิดเห็นประจำปี 2562 ของพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากฯ พบว่า มีพนักงานและลูกจ้างประจำสมัครใจเข้าร่วมการจัดสรรโบนัสตามระบบประเมินผล จำนวนทั้งสิ้น 692 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 87.37 ของพนักงานและลูกจ้างประจำทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2562 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสดังกล่าวด้วยแล้ว
2. สำนักงานสลากฯ ได้เสนอให้ กค. พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำให้เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ โดยใช้หลักเกณฑ์สำหรับรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ 2 รัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสเนื่องจากมีกำไรจากการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
ผลการประเมินผล
การดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (คะแนน)
วงเงินบนฐานของร้อยละ
ของกำไรเพื่อจัดสรรโบนัส
(ร้อยละ)
แต่ไม่เกินจำนวนเท่า
ของเงินเดือนหรือค่าจ้าง
(เท่า)
5.0 (ดีเยี่ยม)
4.5
4.0 (ดีมาก)
3.5
3.0 (ดี)
2.5
2.0 (พอใช้)
1.5
1.0 (ปรับปรุง)
11.00
10.50
10.00
9.50
9.00
8.50
8.00
7.50
7.00
8.00
7.00
6.00
5.50
5.00
4.50
4.00
3.00
2.00
หมายเหตุ : เป็นวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการจ่ายโบนัสพนักงาน
3. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า สำนักงานสลากฯ เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีผลการดำเนินงานด้านการเงินที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2558 - ปี 2562) พบว่า มีกำไรสุทธิเฉลี่ย จำนวน 3,451 ล้านบาท และมีเงินนำส่งรายได้แผ่นดินเฉลี่ย 2,480 ล้านบาท สำหรับในปี 2562 สำนักงานสลากฯ มีสินทรัพย์รวม 43,719 ล้านบาท หนี้สินรวม 29,494 ล้านบาท รายได้รวม 8,729 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 2,666 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,063 ล้านบาท และนำส่งรายได้แผ่นดิน จำนวน 4,933 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบการจ่ายโบนัสพนักงานระบบเดิม (โบนัสคงที่) และกรณีการจัดสรรโบนัสตามระบบประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจกรณีรัฐวิสาหกิจมีกำไร สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท/เท่า
ปี
กำไรสุทธิ
ระบบเดิม
ระบบที่ กค.
เสนอมาในครั้งนี้
เงินนำส่ง
รายได้
แผ่นดิน**
คะแนน
ประเมินผล
การดำเนินงาน
รัฐวิสาหกิจ
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
กำไร
เพื่อการจัดสรรโบนัส
โบนัส
พนักงาน
กำไร
เพื่อการ จัดสรรโบนัส
โบนัส
พนักงาน
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ มอบ ‘ที่ปรึกษาฯ’ ลงเพชรบุรี เร่งติดตามตรวจโควิดเชิงรุกในสถานประกอบการ | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
‘รมว.สุชาติ’ มอบ ‘ที่ปรึกษาฯ’ ลงเพชรบุรี เร่งติดตามตรวจโควิดเชิงรุกในสถานประกอบการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตรวจคัดกรองค้นหาเชื้อโควิด –19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด -19 แก่แรงงานเชิงรุกในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม และได้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงานท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มีนโยบายในการบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อทำงานเชิงรุกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โรงพยาบาลในเครือข่ายสำนักงานประกันสังคมในการเข้าไปยังสถานประกอบการ เพื่อตรวจคัดกรองให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ โดยลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจจะทราบผลภายใน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งหากพบเชื้อจะต้องเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีมาติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด -19 แก่แรงงานเชิงรุกในสถานประกอบการ ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการและแรงงานในสถานประกอบการ ซึ่งถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี และโรงพยาบาลในเครือข่าย ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติสอดรับกับมาตรการของ ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด ซึ่งหากควบคุมสถานการณ์ในจังหวัดได้เร็วก็จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดียิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน และมีอธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และผู้แทนอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เข้าร่วม เพื่อขับเคลื่อน ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานโครงการ รวมถึงพิจารณาการกำหนดคุณลักษณะ (Specification) ราคากลาง การตรวจสอบและรับรองโรงงานผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) ให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และมาตรฐานของโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
ปลัดกอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (26 มกราคม 2564) เวลา 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เงินกองทุนสวัสดิการฯ การบริหารจัดการการใช้พื้นที่ราชพัสดุเพื่อจัดสวัสดิการเชิงธุรกิจ รวมถึงมาตรการการเยียวยาผู้ประกอบการร้านค้าภายในกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องจากได้รับผลกระทบวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมประชุม โดยในส่วนภูมิภาคได้มีการประชุมผ่านระบบ Video Conference
ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิด รพ.ราชวิถี 2 รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากกรุงเทพและปริมณฑล | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
สธ.เปิด รพ.ราชวิถี 2 รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากกรุงเทพและปริมณฑล
กระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลราชวิถี 2 รังสิต ขนาด 120 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด จากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งเป็นที่พักสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลราชวิถี 2 รังสิต ขนาด 120 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด จากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งเป็นที่พักสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19
วันนี้ (26 มกราคม 2564) ที่โรงพยาบาลราชวิถี 2 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19ของโรงพยาบาลราชวิถี 2 ซึ่งขณะนี้เปิดให้บริการเฉพาะแผนกผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2563 เนื่องจากอยู่ระหว่างการก่อสร้างหอผู้ป่วยเพิ่มเติม รองรับประชาชนพื้นที่กรุงเทพมหานครโซนเหนือ เน้นเป็นศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉินช่วยลดความแออัดจากโรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลใกล้เคียงใน จ.ปทุมธานี ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระลอกใหม่นี้ พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มแรงงานต่างด้าวในเขตสุขภาพที่ 4โดยเฉพาะที่ จ.สมุทรสาคร กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายให้โรงพยาบาลราชวิถี 2 ทำหน้าที่รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 อีกแห่งหนึ่ง
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า โดยโรงพยาบาลราชวิถี 2 แบ่งพื้นที่การให้บริการเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19ที่อาการไม่รุนแรง รวมทั้งจัดให้เป็นที่พักสำหรับบุคลากรที่มีความเสี่ยงสูงจากการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อ รวมรองรับได้ 120 เตียง รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลราชวิถี จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 4 และจังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มเติมจากโรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อลดความแออัดจากโรงพยาบาลอื่น
“ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ในประเทศ เริ่มคงที่ หลายจังหวัดไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ ส่วนที่ภาคตะวันออก เช่น จ.ระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี ได้ดำเนินการเชิงรุกคัดกรองนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษา ระบบควบคุมป้องกันโรค โดยมีโรงพยาบาลสนามรองรับถึง 3,000 เตียง ขณะนี้ ผู้ติดเชื้อกลับบ้านหมดแล้ว แต่ยังเตรียมพร้อมหากพบผู้ติดเชื้ออีก อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ดีขึ้น ได้เตรียมเสนอ ศบค.เพื่อพิจารณาผ่อนคลาย ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้” ดร.สาธิตกล่าว
******************************** 26 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38630 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เชิญชวนฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อช่วยชาติ | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เชิญชวนฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อช่วยชาติ
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ความมั่นใจวัคซีนที่นำเข้าสำหรับคนไทยมีความปลอดภัยผลิตจากเทคโนโลยีที่รู้จักมานาน มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ลดการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต เชิญชวนคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติ ร่วมกับการป้อ
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ความมั่นใจวัคซีนที่นำเข้าสำหรับคนไทยมีความปลอดภัยผลิตจากเทคโนโลยีที่รู้จักมานานมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ลดการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต เชิญชวนคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติ ร่วมกับการป้องกันตนเอง ให้เชื้อไวรัสโควิด 19 หายไปจากประเทศ
บ่ายวันนี้ (26 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภาคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแถลงข่าวเรื่อง “วัคซีนที่คนไทยต้องรู้” ว่า การเกิดภูมิคุ้มกันโรคมาจาก 2 วิธี คือการเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อไวรัสโควิด 19ในคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ป้องกันตนเอง ซึ่งบางคนอาจมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิต และการสร้างภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนเพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต ทั้งนี้ หากประชาชนในประเทศเกิดภูมิคุ้มกันจากทั้ง 2 วิธี ได้ครอบคลุมร้อยละ 60 – 70 ของประชากร ร่วมกับทุกคนยังคงมาตรการป้องกันตนเองโดยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ก็จะทำให้ไวรัสโควิด 19 ไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน และจะสลายตัวไปในที่สุด
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ขณะนี้ ทั่วโลกมีวัคซีนที่ผ่านการทดสอบระยะที่ 3แล้วจำนวน 20 บริษัท พบว่า มีประสิทธิภาพป้องกันโรคได้และมีความปลอดภัย เช่นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ใช้เทคโนโลยีmRNAซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ มีประสิทธิผลสูงร้อยละ 95 แต่มีรายงานพบเกิดผลข้างเคียงส่วนประเทศไทยได้เลือกวัคซีนจาก 2 บริษัทที่เป็นเทคโนโลยีที่คุ้นเคยมานาน คือบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าที่ใช้ไวรัสที่ไม่ก่อโรคในคน นำมาใส่พันธุกรรมที่สร้างโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของของไวรัสโคโรนา 2019เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะจดจำว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนี้ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสโควิด 19อีกครั้ง จะจำได้และกำจัดออกจากร่างกาย เมื่อฉีด 2 เข็มจะมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคร้อยละ 90 และวัคซีนของบริษัทซิโนแวคซึ่งใช้เทคโนโลยีนำเชื้อไวรัสโควิด 19 มาทำให้อ่อนแรง ไม่ก่อให้เกิดโรค แต่จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันโรค มีประสิทธิภาพกว่าร้อยละ 50 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เราใช้มานาน ใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเพียงพอที่เมื่อติดเชื้อจะช่วยให้อาการไม่รุนแรงและไม่เสียชีวิต ทำให้มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 90
“ขณะนี้ ประชาชนบางส่วนกลัวจะเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน ขอให้มั่นใจว่า หลักในการเลือกวัคซีนสำหรับคนไทย ยึดหลักความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง ควบคู่กับประสิทธิภาพในการป้องกันโรค จึงขอเชิญชวนให้มารับการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติโดยเฉพาะในประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายการฉีดครั้งนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในคนไทยมากที่สุด ร่วมกับการป้องกันตนเอง เชื้อโควิด 19 ก็จะหมดไปจากประเทศไทย” ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
*** ข้อมูลเพิ่มเติม 1. ฉีดวัคซีนช่วยชาติ 2.เหตุผลในการเลือกเทคโนโลยีวัคซีนโควิด 19 เพื่อคนไทย
******************************** 26 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38631 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! ลดเงินสมทบ เยียวยาผู้ประกันตน สู้ภัยโควิด | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
ไฟเขียว! ลดเงินสมทบ เยียวยาผู้ประกันตน สู้ภัยโควิด
...
ผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบประกันสังคม ฟังทางนี้
ครม. มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้าง
ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
.
โดยปรับลดเงินสมทบฝ่ายผู้ประกันตนตาม ม.33
จากเดิมที่จ่าย 3% หรือ ส่งสมทบสูงสุด 450 บาท/เดือน
ลดลงเหลือ 0.5% หรือ ส่งสมทบสูงสุด 75 บาท/เดือน
เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งเดือน ก.พ. – มี.ค. 64
.
สำหรับนายจ้าง ยังคงส่งเงินสมทบร้อยละ 3
หรือส่งเงินสมทบสูงสุด 450 บาท/เดือน จนถึงเดือนมี.ค. 64
.
ส่วนผู้ประกันกันตนภาคสมัครใจตาม ม.39
จากเดิมต้องส่งเงินสมทบ 432 บาท/เดือน
จะจ่ายลดลงเหลือ 38 บาท/เดือน
.
การลดส่งเงินสมทบนี้
จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้นายจ้างและผู้ประกันตน
ซึ่งคาดว่าจะมีเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ช่วงเดือนม.ค. – มี.ค. 64 รวมกว่า 23,119 ล้านบาท
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มยาตัวใหม่ ให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
เพิ่มยาตัวใหม่ ให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี
...
ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี
ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง
เพราะปีนี้กองทุนบัตรทองได้บรรจุ
“ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีทุกสายพันธุ์"
เข้ารายการบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว
.
ยาดังกล่าวผสมโซฟอสบูเวียร์/เวลพาทาสเวียร์
ออกฤทธิ์โดยตรงในการยับยั้ง
ไวรัสตับอักเสบซีทุกสายพันธ์
.
มีประสิทธิผลการรักษาที่ดี และประหยัดค่าใช้จ่าย
เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาในรูปแบบเดิม
.
ประชาชน 2 กลุ่มหลักที่ได้รับสิทธิประโยชน์
1. ทุกคนที่เคยตรวจพบว่าติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบซี และยังไม่ได้รับการรักษา
.
2. กลุ่มเสี่ยง ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
และผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด
ที่ยังไม่เคยตรวจคัดกรองมาก่อน
.
โดยสามารถไปติดต่อได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
เพื่อขอรับการตรวจคัดกรองตามขั้นตอน
หากรู้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
จะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกค้ามั่นใจ! ชวนร้านออนไลน์ขอ DBD Registered | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
ลูกค้ามั่นใจ! ชวนร้านออนไลน์ขอ DBD Registered
...
ทุกวันนี้การซื้อของออนไลน์บูมขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่คนมักสั่งสินค้าจากที่บ้าน
ถือเป็นยุคทองของการค้าขายออนไลน์
.
ร้านค้าออนไลน์จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
ว่าเป็นร้านที่มีตัวตนจริง สามารถตรวจสอบได้
.
ขอแนะนำเครื่องหมาย DBD Registered
ที่รับรองโดยความน่าเชื่อถือโดยกระทรวงพาณิชย์
เป็นสัญลักษณ์ที่การันตีว่าร้านค้าไหน
ผ่านการตรวจสอบตัวตนผู้ขายจากภาครัฐแล้ว
.
จึงขอเชิญชวนพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
เข้าไปศึกษารายละเอียดของการรับรอง
หรือลงทะเบียนขอรับเครื่องหมาย DBD Registered
ที่เว็บไซต์www.trustmarkthai.comได้ฟรี
.
เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า
และเพิ่มโอกาสการขายสินค้าให้มากขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนร่วม พม. “ปันสุข สู่ชุมชน” 28 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
เชิญชวนร่วม พม. “ปันสุข สู่ชุมชน” 28 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
เชิญชวนร่วม พม. “ปันสุข สู่ชุมชน” 28 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
วันนี้ (26 ม.ค. 64) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศรวมถึงกลุ่มเปราะบางของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้ง ผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ทำให้มีความยากลำบากอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ซึ่งจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเข้าถึง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ดำเนินโครงการ พม. Mobile “ปันสุข สู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม ด้วยการจัดรถ Mobile นำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมทั้งหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ล้างมือป้องกันโรคโควิด-19 ลงพื้นที่เข้าไปให้กับชุมชนที่มีกลุ่มเปราะบางของกระทรวง พม.
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหา
ความเดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลำบากจากโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 0 2659 6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รุกควบคุมโควิด 19 สมุทรสาคร ลดการติดเชื้อในโรงงาน เรียกคืนพื้นที่สีเขียว | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
สธ.รุกควบคุมโควิด 19 สมุทรสาคร ลดการติดเชื้อในโรงงาน เรียกคืนพื้นที่สีเขียว
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร รุกเปลี่ยนพื้นที่สีเหลืองตรวจพบโรงงานมีอัตราติดเชื้อน้อยกว่า 10% ให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะอ้อมน้อย กระทุ่มแบน พบติดเชื้อรวมเพียง 3 โรงงาน โดยออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร รุกเปลี่ยนพื้นที่สีเหลืองตรวจพบโรงงานมีอัตราติดเชื้อน้อยกว่า 10% ให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะอ้อมน้อย กระทุ่มแบน พบติดเชื้อรวมเพียง 3 โรงงาน โดยออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรค เพื่อลดการติดเชื้อในโรงงาน
วันนี้ (26 มกราคม 2564) ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ประชุมติดตามความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิด 19 ใน จ.สมุทรสาคร และให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้ระดมทีมปูพรมตรวจคัดกรองเชิงรุกโรงงานใน จ.สมุทรสาคร เพื่อค้นหาและแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษา พบ 70 กว่าโรงงานที่มีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่าร้อยละ 10 ถือเป็นพื้นที่สีเหลือง ส่วนโรงงานขนาดใหญ่มักมีการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10 ถือเป็นพื้นที่สีแดง พบประมาณเกือบ 10 โรงงาน อยู่ในพื้นที่ อ.เมืองเป็นหลัก แนวทางการดำเนินงานควบคุมโรคคือ พยายามให้ทุกพื้นที่มีผู้ติดเชื้อน้อยลง เป็นพื้นที่สีเขียวคือโรงงานไม่มีการติดเชื้อกลับมาให้มากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่สีเหลืองที่มีอัตราการติดเชื้อน้อย ซึ่งบางพื้นที่มีโรงงานติดเชื้อเพียงไม่กี่แห่ง เช่น อ.อ้อมน้อย มีโรงงานติดเชื้อ 2 แห่ง หรือ อ.กระทุ่มแบนที่มีโรงงานติดเชื้อ 1 แห่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในโรงงาน เนื่องจากมีการอยู่อย่างแออัด และรูปแบบการทำงานที่เอื้อให้เกิดการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเมื่อติดเชื้อจึงมีโอกาสแพร่เชื้อต่อได้ ในที่ประชุมจึงได้นำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปประชุมหารือในการกำหนดมาตรการให้การควบคุมป้องกันโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ที่จะนำเข้ามาล็อตแรกนั้น จังหวัดสมุทรสาครถือเป็นพื้นที่เสี่ยงที่จะมีการให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยงก่อน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เพื่อลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต
******************************* 26 มกราคม 2564
****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38628 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 หน่วยงาน ร่วมลงนาม MOU สร้างห้องเย็นผลไม้ รับโครงการ EFC ภาคตะวันออก ดันไทยผงาดมหานครผลไม้โลก! | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
3 หน่วยงาน ร่วมลงนาม MOU สร้างห้องเย็นผลไม้ รับโครงการ EFC ภาคตะวันออก ดันไทยผงาดมหานครผลไม้โลก!
กนอ. สกพอ. ปตท.ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดทำห้องเย็น ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก เล็งสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดผลไม้ ยกระดับราคา ผลักดัน EFC เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้เกษตรกรไทยในภาคตะวันออกได้ประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดทำห้องเย็น (Blast freezer & Cold storage) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor: EFC) เล็งสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดผลไม้ ยกระดับราคา ผลักดัน EFC เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้เกษตรกรไทยในภาคตะวันออกได้ประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ตามเป้าหมายของรัฐบาล
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเข้าร่วมแสดงความยินดีในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดทำห้องเย็น (Blast freezer & Cold storage) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก(Eastern Fruit Corridor: EFC)ระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า โครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่อีอีซี ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนแล้ว ภาคการเกษตรมีส่วนสำคัญเช่นเดียวกันโดยการยกระดับภาคตะวันออกเป็นมหานครผลไม้ของภูมิภาค และเป็นตลาดกลางประมูลผลไม้คุณภาพสูง มีมาตรฐานระดับโลก ด้วยการสร้างห้องเย็นจัดเก็บผลไม้ขนาดใหญ่ในพื้นที่อีอีซี สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการจัดตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ให้พัฒนาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุน การค้า บริการ การท่องเที่ยว และการเกษตร ซึ่งการจัดทำระบบห้องเย็น (Blast freezer & Cold storage) ที่ใช้เทคโนโลยีในการยึดอายุการเก็บรักษาผลผลิตเกษตรให้คงคุณภาพรสชาติเดิมได้นาน แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรผันผวน การกำหนดราคาจากพ่อค้าคนกลาง รักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตร รวมทั้งลดความเสี่ยงด้านการตลาดของเกษตรกร ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมต่อการพัฒนาโครงการฯ
“ตลาดกลางและห้องเย็นในพื้นที่สามารถรองรับผลไม้ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคอื่นที่ส่งเข้ามาวางจำหน่ายได้ โดยรูปแบบธุรกิจจะมีสินค้าของเกษตรกรโดยตรง หรืออาจจำหน่ายในนามสหกรณ์การเกษตร ผู้ค้าส่งผลไม้ ตลอดจนล้ง มาร่วมเลือกซื้อสินค้า และเมื่อตกลงซื้อจะนำผลไม้จากห้องเย็น มาจัดส่งทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบของโครงการจะมีการสร้างห้องเย็นสำหรับจัดเก็บผลไม้ อาคารคลังสินค้า อาคารโลจิสติกส์และบรรจุภัณฑ์ อาคารสำนักงานด้านศุลกากรและพื้นที่แสดงสินค้า อาคารประมูลผลไม้ โดยใช้แนวทางประชารัฐที่ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวฯจะช่วยยกระดับภาคการเกษตรในพื้นที่ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ ทั้งสามฝ่ายเห็นร่วมกันในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบห้องเย็น และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เน้นการให้บริการแก่ภาคเกษตร เพื่อเก็บรักษาและคงคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรตลอดจนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการใช้ห้องเย็น ในการสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในการเป็นมหานครผลไม้ของภูมิภาค โดยการจัดทำระบบทำความเย็นมีความสำคัญและจำเป็นมากโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีไม่เพียงพอกับปริมาณของผลผลิตที่ออกมา ซึ่งการพัฒนาโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กนอ. และ ปตท.ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม โดย สกพอ.จะส่งเสริม สนับสนุนโครงการพัฒนาระบบห้องเย็น และโครงสร้างพื้นฐาน และสนันสนุนด้านสิทธิประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่เข้าร่วมดำเนินงานกับ ปตท.รวมทั้งจะจัดหาเกษตรกร ภาคเอกชนและองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับ Supply Chain ของคลังสินค้าความเย็นทั้งหมด เช่น การคัดแยก การเช่าห้องเย็น การบริหารขนส่ง เป็นต้น
ส่วนกนอ.จะดำเนินการลงทุนพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม Smart Park เพื่อรองรับการดำเนินโครงการฯ โดยนางสาว สมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ.พร้อมสนับสนุนในการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ที่ปัจจุบันโครงการฯ มีความคืบหน้าเป็นลำดับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการร่าง TOR งานก่อสร้าง และเตรียมนำเสนอคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองและคณะกรรมการ กนอ.เพื่อพิจารณาอนุมัติ ก่อนเผยแพร่ TOR เพื่อให้มีการประกวดราคาและคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์งานก่อสร้างและควบคุมงาน โดยคาดว่าขั้นตอนทั้งหมดจนได้ผู้รับเหมาก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2564
“นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค นอกจากเป็นนิคมฯ ที่รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในที่เดียวกันแล้ว ยังเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบที่มีระบบสาธารณูปโภคเพียบพร้อม รวมทั้งอาคารต่างๆ มีมาตรฐานระดับสากล และก่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในท้องถิ่น คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตในด้านอื่นๆ”ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว
ขณะเดียวกัน ปตท.จะทำการศึกษาและพิจารณาการใช้ระบบทำความเย็นที่เหมาะสมกับผลผลิตทางการเกษตร เพื่อ รักษาคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร และสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการขายนอกฤดูกาล รวมทั้งออกแบบทางด้านเทคนิคสำหรับห้องเย็นขนาด 4,000 ตัน (ในระยะที่ 1) โดยเป็นห้องเย็นในรูปแบบของ Multi-block Model และ Multi Purposes ที่สามารถรองรับทุเรียนหรือผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากห้องเย็นให้มีการกระจายขายได้ตลอดทั้งปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 1/2564 ห้องประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมฯได้รับทราบรายงานการส่งออกน้ำตาลของไทย เดือนมกราคม - ธันวาคม 2563 รายงานสรุปผลการทำราคาน้ำตาลทรายดิบส่งมอบให้อนท. ฤดูการผลิตปี 2563/2564 แนวโน้มราคาน้ำตาลทรายดิบ (Sugar#11) ภาวะตลาดเงินดอลล่าห์สหรัฐฯ ประกอบกับพิจารณาหารือในหลายประเด็น เช่น การดำเนินการรับซื้อและจำหน่ายน้ำตาลทรายของกลางจากกรมศุลกากร เวียดนามประกาศเปิดการไต่สวนตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) ภาษีตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) น้ำตาลทรายที่นำเข้าจากไทย และการดำเนินงานของบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38618 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ในปี 2564 | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ในปี 2564
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ในปี 2564
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ในปี 2564 จำนวน 3 เรื่อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (มาตรการลดภาษีที่ดินฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นผู้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID - 19 โดยให้ลดภาษีในอัตราร้อยละ 90 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ. 2564
2. มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย (มาตรการลดค่าธรรมเนียมฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เป็นของตนเอง รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเชื่อมโยงกับการจ้างงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19 โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 ลงเหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมการจำนองจากร้อยละ 1 ลงเหลือร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับที่อยู่อาศัยใหม่ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด ที่ซื้อจากผู้ประกอบการ ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ลงประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
3. การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม (การขยายเวลายื่นแบบฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้และผู้ประกอบการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้และผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นโดยสรุปรายละเอียดมาตรการได้ ดังนี้
3.1 ขยายเวลาการยื่นและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3 เดือน จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็น 30 มิถุนายน 2564 เฉพาะการยื่นแบบ e-filing
3.2 ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และการนำส่งหรือชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับภาษีของเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2564 ที่ต้องยื่นแบบ นำส่ง หรือชำระ ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2564 โดยขยายเวลาออกไปเป็นภายในวันสุดท้ายของเดือนนั้น ๆ เฉพาะการยื่นแบบ e-filing
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการลดภาษีที่ดินฯ และมาตรการลดค่าธรรมเนียมฯ จะต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับการขยายเวลายื่นแบบฯ ที่จะต้องมีการออกประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในเร็วๆ นี้ โดยกระทรวงการคลังจะได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 02 2739020 ต่อ 3526 3548 3521 3509
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบกว่า 265,700 ล้านบาท | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
สรรพากรขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบกว่า 265,700 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2564 ครม.มีมติเห็นชอบการขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 10.3 ล้านราย ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 10.3 ล้านราย ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 และผู้ประกอบการที่ยื่นแบบฯ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายกว่า 5.1 แสนราย ให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจกว่า 265,700 ล้านบาท”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การขยายเวลาการยื่นแบบฯให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการดังกล่าว เพื่อดูแลและเยียวยาการได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยการขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนในระบบ ประมาณ 10,600 ล้านบาท และการขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการประมาณ 255,100 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดของการขยายเวลายื่นแบบฯ ดังต่อไปนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2563 (แบบ ภ.ง.ด.90 แบบ ภ.ง.ด.91) ที่ต้องยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เฉพาะแบบที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต
2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (แบบ ภ.ง.ด. 1 แบบ ภ.ง.ด. 2 แบบ ภ.ง.ด. 3 แบบ ภ.ง.ด. 53 และ แบบ ภ.ง.ด. 54) ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ถึงวันสุดท้ายของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ โดยให้เริ่มขยายเวลาสำหรับการยื่นแบบฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ถึงเดือน มิถุนายน2564 เฉพาะแบบฯ ที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต
3 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ. 30 แบบ ภ.พ. 36) ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ถึงวันสุดท้ายของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ โดยให้เริ่มขยายเวลาสำหรับการยื่นแบบฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ถึงเดือน มิถุนายน2564 เฉพาะแบบฯ ที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า “การขยายเวลายื่นแบบฯ ทางอินเทอร์เน็ต เป็นการสนับสนุนการทำธุรกรรมทางภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากที่บ้านหรือ Tax From Home ช่วยลดความแออัดและความเสี่ยงจาก COVID – 19 ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในมือประชาชนและผู้ประกอบการให้มีมากขึ้นและนานขึ้น โดยไม่ได้กระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังต้องบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระภาษีที่เลื่อนออกไป”
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38626 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
รมว.วธ.นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔
รมว.วธ.นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔
วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม รวมทั้งส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีนและคนจีนทั่วโลก นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังได้ร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ จัดการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันพิเศษนี้ โดยจะเผยแพร่คำอวยพรและการแสดงของทั้ง ๒ ประเทศ ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จองสิทธิฉีดวัคซีน “ไข้หวัดใหญ่” ผ่านแอปเป๋าตัง | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
จองสิทธิฉีดวัคซีน “ไข้หวัดใหญ่” ผ่านแอปเป๋าตัง
...
แจ้งข่าว ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง
และกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่
ปีนี้ สปสช. ปรับระบบการจองและนัด
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่รูปแบบใหม่
ผ่าน Health Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
เพื่อเพิ่มความสะดวกของบริการภาครัฐ
.
โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ - นัดฉีด
ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. - 31 มี.ค. 64
ส่วนระยะเวลาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 31 ส.ค. 64
.
หากใครที่ไม่สะดวกจองผ่านแอปฯ
ยังคงจองได้ที่หน่วยบริการประจำ
หรือโรงพยาบาลที่รับการรักษาได้เหมือนเดิม
.
กลุ่มเสี่ยงที่มีสิทธิรับบริการฉีดวัคซีน
1. หญิงมีครรภ์
2. เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี
3. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง
ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่าง
การได้รับเคมีบำบัด และผู้ป่วยเบาหวาน
4. ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
6. โรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
7. โรคอ้วน มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป
.
สำหรับหญิงมีครรภ์สามารถขอลงทะเบียน
และฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี โดยแนะนำว่า
ให้ฉีดวัคซีนเมื่อมีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
.
สอบถามเพิ่มเติมที่ สายด่วน สปสช. โทร. 1330
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมนำนโยบายจากที่ประชุม ครม. ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ มอบกรมบัญชีกลางเร่งเชื่อมโยงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมนำนโยบายจากที่ประชุม ครม. ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ มอบกรมบัญชีกลางเร่งเชื่อมโยงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมนำนโยบายจากที่ประชุม ครม. ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ มอบกรมบัญชีกลางเร่งเชื่อมโยงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
วันนี้ (26 ม.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกกระทรวง ที่ร่วมกันทำงานและมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกันทุกสัปดาห์ เพื่อปรึกษาหารือและตัดสินใจร่วมกันทั้งเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ และกฎกระทรวง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน การอนุมัติโครงการต่าง ๆ งบประมาณ ที่ผ่านมา รัฐมนตรีทุกกระทรวงยังนำนโยบายจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปขับเคลื่อนเพื่อการปฏิบัติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่า มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจหาข้อเท็จจริง พร้อมให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ จากกรมบัญชีกลางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อมิให้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก สำหรับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5นั้น รัฐบาลกำหนดมาตรการลดฝุ่นละออง PM 2.5 ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว โดยเป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ทหาร และภาคเอกชน โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกร เพื่อลดความเดือดร้อนจากปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และพยายามสร้างความเข้าใจกับพี่น้องเกษตรกรที่ยังประกอบเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม รวมทั้งสภาพอากาศมีความเชื่อมโยงกันทำให้บางครั้งฝุ่น ควัน มาจากพื้นที่ตอนในด้วย จึงมอบให้หมายให้ ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด หารือกับประเทศเพื่อนบ้านทุกพื้นที่ ทุกมิติ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวระเบียบวินัยการลงโทษของทหาร ซึ่งมีอยู่ 5 ข้อ คือ ภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กัก ขัง และ จำขัง มีระเบียบระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ย้ำว่าการลงโทษต่าง ๆ ต้องพิจารณาให้เหมาะสม พร้อมขอความร่วมมือนายทหาร นายสิบ ที่ใกล้ชิดอย่าลงโทษนอกกรอบระเบียบวินัย และขอให้พลทหารเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38622 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้ง สินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงิน 10,000 ล้านบาท มีผู้ยื่นขอกู้เต็มวงเงินแล้ว | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
ออมสินแจ้ง สินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงิน 10,000 ล้านบาท มีผู้ยื่นขอกู้เต็มวงเงินแล้ว
สินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ได้มีประชาชนยื่นขอกู้และได้รับอนุมัติเงินกู้จนเต็มวงเงิน และธนาคารได้ปิดระบบลงทะเบียนขอสินเชื่อผ่าน MyMo แล้ว
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่เดือดร้อน จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยได้มอบหมายธนาคารออมสินให้การช่วยเหลือประชาชน ผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน ตามโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน วงเงินสินเชื่อเสริมพลังฯ ได้มีประชาชนยื่นขอกู้และได้รับอนุมัติเงินกู้จนเต็มวงเงิน และธนาคารได้ปิดระบบลงทะเบียนขอสินเชื่อผ่าน MyMo แล้ว
“นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้ประชาชนยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการเยียวยาจากการระบาดระลอกใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อและโอนเงินเข้าบัญชีผู้กู้ไปแล้วกว่า 4.4 แสนราย จำนวนเงินให้กู้กว่า 11,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าสินเชื่อเสริมพลังฐานรากกว่า 3 แสนราย (ให้กู้สูงสุดรายละ 50,000 บาท) และเป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย หรือสินเชื่อฉุกเฉิน จำนวน 1.4 แสนราย (ให้กู้รายละ 10,000 บาท) ซึ่งมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเงื่อนไขครั้งนี้ ธนาคารพิจารณาจากประวัติเครดิตผู้กู้เป็นหลัก โดยได้รับความคุ้มครองการชดเชยความเสียหายบางส่วนจากรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของการนำร่องเปิดให้บริการอนุมัติสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo เพื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อได้เร็วโดยที่ลูกค้าไม่ต้องไปติดต่อที่สาขา สอดคล้องตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19” นายวิทัยกล่าว
ธนาคารฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า มาตรการสินเชื่อของธนาคารในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงได้บ้างไม่มากก็น้อย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ธนาคารออมสินขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ยื่นกู้สินเชื่อ และขออภัยผู้กู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาประวัติเครดิตที่ไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อมา ณ โอกาสนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38627 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รุกควบคุมโควิด 19 สมุทรสาคร ลดการติดเชื้อในโรงงาน เรียกคืนพื้นที่สีเขียว | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
สธ.รุกควบคุมโควิด 19 สมุทรสาคร ลดการติดเชื้อในโรงงาน เรียกคืนพื้นที่สีเขียว
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร รุกเปลี่ยนพื้นที่สีเหลืองตรวจพบโรงงานมีอัตราติดเชื้อน้อยกว่า 10% ให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะอ้อมน้อย กระทุ่มแบน พบติดเชื้อรวมเพียง 3 โรงงาน โดยออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร รุกเปลี่ยนพื้นที่สีเหลืองตรวจพบโรงงานมีอัตราติดเชื้อน้อยกว่า 10% ให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะอ้อมน้อย กระทุ่มแบน พบติดเชื้อรวมเพียง 3 โรงงาน โดยออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรค เพื่อลดการติดเชื้อในโรงงาน
วันนี้ (26 มกราคม 2564) ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ประชุมติดตามความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิด 19 ใน จ.สมุทรสาคร และให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้ระดมทีมปูพรมตรวจคัดกรองเชิงรุกโรงงานใน จ.สมุทรสาคร เพื่อค้นหาและแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษา พบ 70 กว่าโรงงานที่มีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่าร้อยละ 10 ถือเป็นพื้นที่สีเหลือง ส่วนโรงงานขนาดใหญ่มักมีการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10 ถือเป็นพื้นที่สีแดง พบประมาณเกือบ 10 โรงงาน อยู่ในพื้นที่ อ.เมืองเป็นหลัก แนวทางการดำเนินงานควบคุมโรคคือ พยายามให้ทุกพื้นที่มีผู้ติดเชื้อน้อยลง เป็นพื้นที่สีเขียวคือโรงงานไม่มีการติดเชื้อกลับมาให้มากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่สีเหลืองที่มีอัตราการติดเชื้อน้อย ซึ่งบางพื้นที่มีโรงงานติดเชื้อเพียงไม่กี่แห่ง เช่น อ.อ้อมน้อย มีโรงงานติดเชื้อ 2 แห่ง หรือ อ.กระทุ่มแบนที่มีโรงงานติดเชื้อ 1 แห่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในโรงงาน เนื่องจากมีการอยู่อย่างแออัด และรูปแบบการทำงานที่เอื้อให้เกิดการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเมื่อติดเชื้อจึงมีโอกาสแพร่เชื้อต่อได้ ในที่ประชุมจึงได้นำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปประชุมหารือในการกำหนดมาตรการให้การควบคุมป้องกันโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ที่จะนำเข้ามาล็อตแรกนั้น จังหวัดสมุทรสาครถือเป็นพื้นที่เสี่ยงที่จะมีการให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยงก่อน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เพื่อลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต
******************************* 26 มกราคม 2564
****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ทุ่มงบกว่า 20 ลบ. หนุนโครงการ OPOAI-C 1 จังหวัด 1 ชุมชน สินค้าเกษตรอุตสาหกรรม บูมเศรษฐกิจฐานราก! | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ก.อุตฯ ทุ่มงบกว่า 20 ลบ. หนุนโครงการ OPOAI-C 1 จังหวัด 1 ชุมชน สินค้าเกษตรอุตสาหกรรม บูมเศรษฐกิจฐานราก!
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ผลักดันการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร (Value Added) เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศผ่านโครงการ“OPOAI-C 1 จังหวัด 1 ชุมชนสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม”
กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผลักดันการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร(Value Added)เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศผ่านโครงการ“OPOAI-C 1จังหวัด1ชุมชนสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม”ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนร้อยละ6ต่อปีและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้นไม่น้อยกว่า300ผลิตภัณฑ์
นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเป็นการดำเนินการที่สำคัญต่อการยกระดับประเทศสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงรวมทั้งยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชนท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งมีศักยภาพในการแข่งขันและสามารถพึ่งพาตนเองได้ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีการดำเนินงานในแผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม1จังหวัด1ชุมชน(One Province One Agro-Industrial Community: OPOAI-C)ที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรไทยให้มีความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร(Value Added)ให้กับเกษตรกรในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์การเกษตรรวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์โดยการนำงานวิจัยและพัฒนา(R&D)มาเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมและสอดรับกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ20ปีในด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณพ.ศ. 2564ได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด(สอจ.)ทั้ง76จังหวัดจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าวอาทิการจัดฝึกอบรมเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายการให้ความรู้ด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตรมาตรฐานผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์การทำการตลาดทั้งแบบออนไลน์-ออฟไลน์การฝึกอบรมเชิงลึกเพื่อพัฒนาและยกระดับเกษตรกรใหม่ให้เป็นนักธุรกิจเกษตรกลุ่มStartupและกลุ่มSMEsคนตัวเล็กเป็นต้นภายใต้งบประมาณโครงการฯเบื้องต้น20.46ล้านบาทโดยดำเนินการใน76จังหวัดทั่วประเทศ
“หนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมก็คือการผลักดันภาคเกษตรให้เข้าสู่เกษตรอุตสาหกรรม(Agricultural Industry)ผ่านโครงการต่างๆที่กระทรวงฯได้ดำเนินการซึ่งโครงการOPOAI-Cสามารถพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยปีนี้ตั้งเป้าให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ6ต่อปีคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า50ล้านบาทต่อปีและสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์โดยจำนวนผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับการพัฒนาต้องไม่น้อยกว่า300ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการดำเนินงาน”ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
ทั้งนี้การดำเนินโครงการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม1จังหวัด1 (One Province One Agro-Industrial Community: OPOAI-C)จะมุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีกลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาดรวมถึงการหาช่องทางการตลาดเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาคเพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ส่งกำลังใจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครและครอบครัว ยืนยันดูแลอย่างดีที่สุด | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
ครม. ส่งกำลังใจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครและครอบครัว ยืนยันดูแลอย่างดีที่สุด
ครม. ส่งกำลังใจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครและครอบครัว ยืนยันดูแลอย่างดีที่สุด
วันนี้ (26 ม.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งติดตามรายงานการรักษามาโดยตลอด ปัจจุบันอยู่ภายใต้ความดูแลโดยคณะแพทย์ที่ได้ปรับรูปแบบรักษาที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ยืนยันว่าจะดูแลให้ดีที่สุด พร้อมอวยพรให้สุขภาพกลับมาเป็นปกติโดยไว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาครที่มีความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการประชุม ศบค. มุ่งแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะมีจำนวนมากหรือน้อย กรณีขณะนี้ที่ผู้ป่วยติดเชื้อ โควิด-19 เพิ่มจำนวนมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการเร่งตรวจสอบคัดกรองเชิงรุก เพื่อเคลียร์พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงให้ลดลงโดยเร็วที่สุด ในส่วนมาตรการผ่อนคลายยังจำเป็นต้องดูตามความเป็นไปในพื้นที่ทั้งพื้นที่จุดศูนย์กลางที่มีการแพร่ระบาดและพื้นที่โดยรอบ
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38621 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ มอบ ที่ปรึกษาฯ รุดเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ บ.ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่นฯ จ.เพชรบุรี เร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมาย | วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564
‘จับกัง1’ มอบ ที่ปรึกษาฯ รุดเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ บ.ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่นฯ จ.เพชรบุรี เร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี รุดเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บริษัท ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด อำเภอเขาย้อย จั
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2564 เวลา 09.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ บริษัท ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ฝากแสดงความห่วงใยถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงานเร่งเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายครบทุกคน ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่กับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เพื่อมาเยี่ยมให้กำลังใจและให้การช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (29 ม.ค.64) เวลาประมาณ 17.00 น.สถานที่เกิดเหตุเป็นที่ตั้งของบริษัท ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 53/4 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประกอบกิจการ ผลิตน้ำมันเครื่อง ปัจจุบันมีลูกจ้าง จำนวน 34 คน สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากสายน้ำมันที่บรรจุภัณฑ์แตก น้ำมันรั่วไหลกระเด็นไปโดนสวิตช์ไฟทำให้เกิดประกายไฟและเกิดเพลิงไหม้อาคารโรงผลิต มีลูกจ้าง 1 คน ได้รับบาดเจ็บที่แขนจากการถูกไฟลวก ขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี ส่วนการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตน ทราบชื่อ คือ นางสาววนัสนันท์ แจ้งกระจ่าง อายุ 34 ปี และสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีได้ประสานโรงพยาบาลเขาย้อยเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลแล้ว โดยกรณีดังกล่าวลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท ในกรณีที่ลูกจ้างหยุดงานตั้งแต่ 1 วันขึ้นไปได้รับค่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนไม่เกิน 1 ปี กรณีรักษาสิ้นสุดแล้วสภาพอวัยวะต่างๆ มีการสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานจะมีค่าทดแทน ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมฯ จะเข้าไปเยียวยา
นอกจากนี้ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรีจะเชิญนายจ้างไปพบเพื่อสอบข้อเท็จจริง ในวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 13.30 น.และหากนายจ้างปิดปรับปรุงโรงงานลูกจ้างต้องหยุดงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรีจะติดตามให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ในส่วนของโรงงานทางกระทรวงแรงงานมีกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สูงสุดวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี สำหรับให้บริการนายจ้างเพื่อให้กู้ยืมเงินไปแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย หรือเพื่อและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน ซึ่งทุกภาคส่วนของกระทรวงแรงงานจะดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลดูแลกลุ่มเปราะบาง พม.เข้าเป็นพี่เลี้ยงลงทะเบียน “เราชนะ” เตรียมเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยช่วยผู้สูงอายุ/ผู้พิการประกอบอาชีพ | วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564
รัฐบาลดูแลกลุ่มเปราะบาง พม.เข้าเป็นพี่เลี้ยงลงทะเบียน “เราชนะ” เตรียมเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยช่วยผู้สูงอายุ/ผู้พิการประกอบอาชีพ
รัฐบาลดูแลกลุ่มเปราะบาง พม.เข้าเป็นพี่เลี้ยงลงทะเบียน “เราชนะ” เตรียมเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยช่วยผู้สูงอายุ/ผู้พิการประกอบอาชีพ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การระบาดของโควิดระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนทุกกลุ่ม ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาเป็นระยะๆเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชน ล่าสุดได้มีการเปิดให้ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะไปแล้วเมื่อวานนี้เป็นวันแรก มีประชาชนมาลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์หลายล้านคน อย่างไรก็ตาม ต่อข้อกังวลถึงกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนว่าจะลงทะเบียนอย่างไร ทางกระทรวงการคลังแจ้งว่าจะเปิดให้ประชาชนกลุ่มนี้ไปลงทะเบียนได้ที่ธนาคารของรัฐได้ทุกสาขา คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ธนาคารกรุงไทย ในวันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป ส่วนรูปแบบการใช้เงินอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา และสำหรับกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุและผู้พิการ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่และประสานเครือข่ายอาสาสมัครร่วมลงพื้นที่ปูพรมระดับหมู่บ้านทำการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ อีกทั้ง ทางกระทรวงฯได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือรองรับกรณีไม่ได้รับสิทธิไว้ด้วย และเริ่มโครงการ “พม. รถปันสุข สู่ชุมชน” ซึ่งเป็นรถที่จะกระจายของใช้ที่จำเป็นสู่ชุมชนที่เดือดร้อนอย่างมากจากโควิด19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัดที่ ศบค. ได้กำหนดไว้ก่อนหน้า พร้อมไปกับรถปันสุข เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ทำการประเมินสภาพครอบครัวกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้คำแนะนำช่องทางการหารายได้และการช่วยเหลือด้านสวัสดิการตามภารกิจ ของกระทรวงฯ อาทิ เงินสงเคราะห์ เงินทุนประกอบอาชีพ
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการที่ประสบปัญหาในการประกอบอาชีพเนื่องจากผลกระทบจากโควิด19 ทางกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้เตรียมสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยไว้เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ผ่านกองทุนผู้สูงอายุและกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ โดยผู้สูงอายุสามารถขอกู้เพื่อประกอบอาชีพ รายละไม่เกิน 30,000 บาท 3 ปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย ต้องมีผู้คำ้ประกัน ส่วนผู้พิการขอกู้ฉุกเฉินเพื่อประกอบอาชีพ รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ยังมีการปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขอื่นๆ ซึ่งประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่พัฒนาสังคมจังหวัด หรือโทร 1300
...................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38752 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงคะแนนความโปร่งใสไทยคงที่ พร้อมเดินหน้าพัฒนาทุกกระบวนการให้ดีขึ้น | วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564
โฆษกรัฐบาลแจงคะแนนความโปร่งใสไทยคงที่ พร้อมเดินหน้าพัฒนาทุกกระบวนการให้ดีขึ้น
โฆษกรัฐบาลแจงคะแนนความโปร่งใสไทยคงที่ พร้อมเดินหน้าพัฒนาทุกกระบวนการให้ดีขึ้น
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ประเทศไทยมีคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ประจำปี 2020 อยู่ในอันดับ 104 ของโลกจาก 180 ประเทศ ตามประกาศขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา อันดับของไทยถูกปรับขึ้นลงตามปัจจัยที่ผันแปรในแต่ละปี เช่น แหล่งข้อมูลที่สำรวจ หรือจำนวนประเทศ เป็นต้น แม้ว่าปีนี้เราจะขยับลงไป 3 อันดับ แต่ไทยยังคงรักษาคะแนนรวมไว้ได้ตลอด 3 ปี ตั้งแต่ปี 2018-2020 ที่ 36 คะแนน นอกจากนี้ อันดับของไทยในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 19 จาก 31 ประเทศ ส่วนอันดับในอาเซียนดีขึ้นจากอันดับ 6 เป็นอันดับ 5
เมื่อพิจารณาคะแนนจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง พบว่าไทยมีคะแนนไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหมด 8 แหล่ง มีเพียงข้อมูลจากการสำรวจของ IMD เท่านั้น ที่คะแนนลดลงจาก 45 เหลือ 41 โดยก่อนหน้านี้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบ่อนการพนันและแรงงานลักลอบเข้าเมือง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักของคะแนนที่ลดลงจากแหล่งข้อมูลนี้ อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีได้สั่งกำชับให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอย่างเด็ดขาด ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ อย่างจริงจัง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อภาคธุรกิจและประชาชน เช่น พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีรับทราบผลคะแนนดัชนีดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องไปศึกษารายละเอียด และทบทวนการปฏิบัติงานใหม่ โดยสิ่งใดที่เป็นข้อแนะนำของ TI เช่น การสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานตรวจสอบ การสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเปิดเผยและความโปร่งใสในการได้รับสัญญา นั้น จะต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำ ๆ อีกต่อไป
///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ | วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564
นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ
นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ และชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลและประชาชนไทย ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยประชาชนไทยและได้พระราชทาน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน และ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน โดยได้พระราชทานมาแล้วรวมทั้งสิ้น 20 คัน เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 และวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น จะส่งผลให้ทำการตรวจเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังชื่นชมการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ที่สนธิกำลัง กวดขันและบูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดน อย่างเข้มข้น ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ในการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง เพิ่มความถี่การตั้งจุดตรวจ และลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนทุกด้าน เพิ่มการวางเครื่องกีดขวางตามช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลมและสำคัญในภูมิประเทศ และเครื่องมือพิเศษทุกระบบในการเฝ้าตรวจพื้นที่ เช่น CCTV และการใช้โดรน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการข้ามแดนผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบข้ามแดนของแรงงานผิดกฎหมาย การมั่วสุมผิดกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การลักลอบขนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย และยาเสพติด
โดยโฆษกฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตนตามกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเพื่อรับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสังคม
///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38750 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ และชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน | วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564
นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ และชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน
นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ และชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลและประชาชนไทย ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยประชาชนไทยและได้พระราชทาน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน และ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน โดยได้พระราชทานมาแล้วรวมทั้งสิ้น 20 คัน เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 และวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น จะส่งผลให้ทำการตรวจเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังชื่นชมการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ที่สนธิกำลัง กวดขันและบูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดน อย่างเข้มข้น ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ในการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง เพิ่มความถี่การตั้งจุดตรวจ และลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนทุกด้าน เพิ่มการวางเครื่องกีดขวางตามช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลมและสำคัญในภูมิประเทศ และเครื่องมือพิเศษทุกระบบในการเฝ้าตรวจพื้นที่ เช่น CCTV และการใช้โดรน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการข้ามแดนผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบข้ามแดนของแรงงานผิดกฎหมาย การมั่วสุมผิดกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การลักลอบขนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย และยาเสพติด
โดยโฆษกฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตนตามกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเพื่อรับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสังคม
///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมช.แรงงาน ชูผลงาน 4 เดือน พร้อมลั่นเดินหน้านโยบาย สร้าง-ยก-ให้ ดันกระทรวงแรงงานสู่กระทรวงเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563
รมช.แรงงาน ชูผลงาน 4 เดือน พร้อมลั่นเดินหน้านโยบาย สร้าง-ยก-ให้ ดันกระทรวงแรงงานสู่กระทรวงเศรษฐกิจ
- -
ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า ตั้งแต่เข้ามาทำงานเมื่อวันที่14สิงหาคม2563รวม4เดือนกว่าซึ่งได้รับมอบหมายจากพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีให้เข้ามาช่วยขับเคลื่อนกระทรวงแรงงานเนื่องจากท่านนายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะยกระดับกระทรวงแรงงานจากกระทรวงด้านสังคมไปสู่กระทรวงด้านเศรษฐกิจโดยมีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงแรงงานมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับแรงงานทั้งประเทศกว่า38.17ล้านคนที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีอาชีพมีรายได้ที่มั่นคงและให้หลุดพ้นจากความยากจนยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของCOVID-19ส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นหมายถึงภารหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของกระทรวงแรงงานที่จะช่วยให้แรงงานผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งตนเองรับผิดชอบขับเคลื่อนภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือสสปท.ซึ่งเป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่ส่งเสริมด้านความปลอดภัยทั้ง2หน่วยงานที่กำกับดูแลนั้นเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อการทำงานของแรงงานทั้งประเทศเพราะการที่จะให้แรงงานมีงานทำที่ดีมีรายได้ที่มั่นคงแรงงานต้องมีความพร้อมในด้านทักษะฝีมือมีความรู้ความสามารถจึงจะสามารถประกอบอาชีพได้
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.)จึงเป็นหัวใจสำคัญในการเป็นข้อต่อตรงกลางเนื่องจากทักษะที่เด็กจบมายังไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้างเราจึงมีหน้าที่ปรับทักษะอื่นเพิ่มเติมให้ตรงกับความต้องการของนายจ้างภายใต้แนวคิด“สร้างยกให้รวมไทยสร้างชาติ”สอดรับกับที่ท่านนายกฯที่ได้มอบนโยบายรวมไทยสร้างชาติผลงานเด่นๆในรอบ4เดือนที่ผ่านมามีหลายโครงการที่กำลังผลักดันและขับเคลื่อน เช่น การสร้างโดยเร่งพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการด้านแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC)ซึ่งEECนับได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน(SEZ)ที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่ร่วมกับภาคเอกชนหลายแห่งเช่นด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้ร่วมกับบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี(ประเทศไทย)จำกัดฝึกอบรมการติดตั้งระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ4Gและ5G ร่วมกับบริษัทซิโนเปคอินเตอร์เนชั่นแนลปิโตรเลียมเซอร์วิสคอร์ปอเรชั่นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานด้านเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติและเป็นศูนย์กลางในการฝึกด้านการเชื่อมเพื่อส่งออกแรงงานไทยสู่การทำงานในแถบเอเชียและภูมิภาคอื่นผู้ที่เข้าทำงานกับบริษัทจะได้รับค่าจ้างสูงถึง50,000บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(สพธอ.หรือETDA)อบรมให้แรงงานมีความรู้ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือe-Commerceรุ่นแรกจัดอบรมให้กลุ่มของมัคคุเทศก์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมมือกับบริษัทแคทบัซซ์ให้บริการDigital Serviceผ่านเครือข่ายFree WiFiความเร็วสูงและร่วมกับบริษัทไมโครซอฟท์(ประเทศไทย)จำกัดพัฒนากำลังแรงงานด้านดิจิทัลผ่านการเรียนรู้แบบออนไลน์
การยก เร่งยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ(Productive Labour)ทั้ง3มิติNew-skill Re-skillและUp-skillและการให้โดยร่วมกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทฝึกอบรมการดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลจัดให้ทุน377ทุนรวมกว่า35ล้านบาทฝึกจบรับเข้าทำงานทันทีอีกผลงานที่ต้องกล่าวถึงคือการประชุมขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายS-curveปีพ.ศ. 2564 – 2565โดยมีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ์เป็นประธานเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนในครั้งนี้จึงมีการติดตามงานและตั้งคณะทำงานย่อยอีกหลายคณะที่เด่นๆคือคณะทำงานเพื่อพิจารณาจัดตั้งสถาบันพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมดิจิทัล(DIDA)และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์
รมช.แรงงานยังกล่าวอีกว่าอยากให้แรงงานได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้นทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบรวมถึงพยายามดึงความร่วมมือจากภาคเอกชนให้มากขึ้นโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง บางส่วนเริ่มทำแล้วก็จะทำต่อให้เห็นนโยบายต่างๆมากขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐอย่างทั่วถึงพ้นจากความยากจนซึ่งช่วงต้นปี2564น่าจะผลักดันสวัสดิการประชารัฐสำหรับแรงงานที่ขาดโอกาสได้
“สุดท้ายที่ฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนคือต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปโควิด-19จะไม่น่ากลัวถ้าเราปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่เรียนรู้และพัฒนาตัวเองในรูปแบบใหม่ๆด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยไทยหาแหล่งวัคซีนโควิด 19 เพิ่ม ได้ล็อตแรก 2 ล้านโดส ให้กลุ่มเสี่ยงด่านหน้าโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563
สธ. เผยไทยหาแหล่งวัคซีนโควิด 19 เพิ่ม ได้ล็อตแรก 2 ล้านโดส ให้กลุ่มเสี่ยงด่านหน้าโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยข่าวดีได้เจรจาขอซื้อวัคซีนวัคซีนโควิด 19 เพิ่ม จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและแหล่งอื่น เบื้องต้นเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2564 จะได้รับล็อตพิเศษ 2 ล้านโดส เตรียมวางแผนฉีดกลุ่มเสี่ยงเป็นลำดับแรก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยข่าวดีได้เจรจาขอซื้อวัคซีนวัคซีนโควิด 19 เพิ่ม จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและแหล่งอื่น เบื้องต้นเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2564 จะได้รับล็อตพิเศษ 2 ล้านโดส เตรียมวางแผนฉีดกลุ่มเสี่ยงเป็นลำดับแรก สั่งการให้ อย.พร้อมเปิดรับขึ้นทะเบียนวัคซีนจากผู้ผลิตทุกราย
วันนี้ (31 ธันวาคม 2563) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีทุกกรม ระหว่างกักตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ถึงข่าวดีเรื่องความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีความพยายามจัดหาวัคซีนโควิด 19 จากทุกแหล่งให้ได้มากที่สุด ล่าสุดได้เจรจาขอซื้อวัคซีนจำนวน 2 ล้านโดส จากผู้ผลิต ในราคา 17 ดอลลาร์ต่อโดส เตรียมเสนอของบกลาง 1,170 ล้านบาทในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารหน้า โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้สำนักงบประมาณรับทราบแล้ว นอกจากนี้ ยังได้เจรจากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ขอซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 26 ล้านโดส รวมเป็น 52 ล้านโดส ซึ่งการนำเข้าล็อตถัดไปไม่ต้องวางเงินมัดจำล่วงหน้า ล่าสุดประเทศอังกฤษได้อนุมัติการใช้วัคซีนชนิดนี้ในประเทศแล้วช่วยให้เกิดความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยยิ่งขึ้น
นายอนุทินกล่าวว่า เบื้องต้นเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2564 จะได้รับวัคซีนโควิด 19 ล็อตพิเศษ 2 ล้านโดสเตรียมวางแผนฉีดกลุ่มเสี่ยงเป็นลำดับแรก ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ อสม. ซึ่งเป็นด่านหน้าต่อสู้กับโควิด 19 ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เร่งดำเนินการด้านระเบียบและกฎหมายรองรับ ส่วนการนำวัคซีนมาฉีดกลุ่มเป้าหมายได้มีการประชุมคณะกรรมการวิชาการจะมีความคืบหน้าชี้แจงต่อไป
“ขอให้ประชาชนมั่นใจ ทั้งหมดเกิดจากความพยายามของรัฐบาลในการเจรจาต่อรอง อนุมัติงบประมาณโดยเร็ว ทำทุกวิถีทางในการเร่งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุดและได้ใช้โดยเร็วที่สุด” นายอนุทินกล่าว
************************************** 31 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนการก่อเหตุทำร้ายบุคลากรในโรงพยาบาล ให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่ยอมความ | วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563
สธ.เตือนการก่อเหตุทำร้ายบุคลากรในโรงพยาบาล ให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่ยอมความ
กระทรวงสาธารณสุข เตือนการก่อเหตุ ทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายบุคลากรในโรงพยาบาล เป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ ยืนยันให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ล่าสุดเกิดเหตุทำร้ายบุคลากรที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
กระทรวงสาธารณสุข เตือนการก่อเหตุ ทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายบุคลากรในโรงพยาบาล เป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ ยืนยันให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ล่าสุดเกิดเหตุทำร้ายบุคลากรที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรีส่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี เยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินคดี
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจาก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี กรณีเหตุชายคลุ้มคลั่งบุกทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี จนเป็นเหตุให้ผู้ช่วยเหลือคนไข้ได้รับบาดเจ็บ ช่วงค่ำวานนี้(30 ธันวาคม 2563)โดยผู้ก่อเหตุเป็นชายอายุ 35 ปี มีประวัติถูกจับกุมในคดียาเสพติดและเคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติดมาแล้วถึง4 ครั้ง เพิ่งออกจากสถานบำบัดมาได้ไม่นานและได้กลับมาพักอาศัยอยู่กับแม่ที่เปิดเป็นร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลขณะนี้ผู้ก่อเหตุได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไว้แล้ว และโรงพยาบาลได้แจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี เยี่ยมให้กำลังใจผู้ช่วยเหลือคนไข้ ซึ่งนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ อาการปลอดภัยพร้อมติดตามการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุโดยเด็ดขาด ไม่ให้มีการยอมความ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ทั้งนี้ โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สาธารณะเป็นสมบัติของประชาชนทุกคน ที่มีไว้สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บ ไม่ควรที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดเข้าไปก่อเหตุที่เป็นอันตรายต่อบุคลากร และเครื่องมือทางการแพทย์ เหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ กระทบต่อความปลอดภัยต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
“ขอเตือนประชาชนการดื่มสุรา ใช้ยาเสพติดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุของการก่อเหตุความรุนแรงกระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะดำเนินคดี ไม่มีการยอมความกับผู้ก่อเหตุความรุนแรงในโรงพยาบาลทุกราย ขอความร่วมมือประชาชนป้องกันให้โรงพยาบาลให้เป็นพื้นที่ปลอดความรุนแรง ขอให้ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างปลอดภัย” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
************************************** 31 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงบุคคลากรทางการแพทย์ ย้ำรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลป้องกันให้คนไทยปลอดภัย เร่งเจรจาเพิ่มจัดหาวัคซีนจากหลายบริษัท | วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563
นายกฯ ห่วงบุคคลากรทางการแพทย์ ย้ำรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลป้องกันให้คนไทยปลอดภัย เร่งเจรจาเพิ่มจัดหาวัคซีนจากหลายบริษัท
นายกฯ ห่วงบุคคลากรทางการแพทย์ ย้ำรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลป้องกันให้คนไทยปลอดภัย เร่งเจรจาเพิ่มจัดหาวัคซีนจากหลายบริษัท
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19ในประเทศไทยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความเป็นห่วงประชาชนทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอพยาบาลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เสียสละดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่สุดจึงขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังดูแลป้องกันตนเองด้วยความไม่ประมาท
ทั้งนี้การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัดทั้งเป็นการติดเชื้อจากบุคคลสู่บุคคลจากการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เสี่ยงจึงเกิดการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนซึ่งมีสาเหตุจากการร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นงานเลี้ยงสังสรรค์การประชุมฯลฯหรือกิจกรรมที่ลักลอบดำเนินการเช่นการพนันการมั่วสุมเป็นต้นดังนั้นนายกฯจึงขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ในแต่ละจังหวัดซึ่งมีมาตรการออกมาอย่างเหมาะสมสำหรับพื้นที่นั้นๆอย่างไรก็ตามในช่วงนี้นายกฯขอให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีการรวมคนและการเดินทางข้ามจังหวัดและขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเสมอเว้นระยะห่างหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นล้างมือบ่อยๆให้ความร่วมมือในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายตามสถานที่ต่างๆติดตั้งแอปพลิเคชั่น“หมอชนะ”และสแกน“ไทยชนะ”เวลาเช็คอินและเช็คเอ้าท์สถานที่ต่างๆและหากมีอาการที่สงสัยว่าจะติดเชื้อขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วอย่าปล่อยให้อาการรุนแรง
ในเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19ให้กับคนไทยนายกฯได้เร่งรัดให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนในทุกช่องทางเพื่อให้ประชาชนไทยเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วที่สุดโดยกำหนดการจัดหาวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ50ของประชาชนไทยในปี2564นี้ซึ่งมีการดำเนินการในหลายแนวทางและถึงแม้ประเทศไทยจะได้จองซื้อวัคซีนของAstraZenecaจำนวน26ล้านโดสไปแล้วก็ตามแต่การจองซื้อวัคซีนนี้เป็นเพียงข้อตกลงชุดแรกทั้งนี้ไม่ได้มีการเจาะจงว่าจะทำความร่วมมือเฉพาะกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งซึ่งขณะนี้นายกฯได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นอีกหลายบริษัทและมีการกำหนดแผนการใช้วัคซีนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์การระบาดนี้โดยเร็ว
นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมว่า“ถึงแม้ว่าประเทศจะสามารถนำวัคซีนมาให้บริการกับประชาชนอย่างครอบคลุมแต่การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวยังเป็นมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าทั่วโลกจะเข้าสู่สภาวะปกติ”
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 แถลงผลงานไตรมาสสุดท้ายปี 63 สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 2 หมื่น 5 พันล้าน | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
จับกัง 1 แถลงผลงานไตรมาสสุดท้ายปี 63 สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 2 หมื่น 5 พันล้าน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยผลงานกระทรวงแรงงาน เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 ก่อเกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จำนวน 25,003,539,870 บาท
จากโครงการไทยมีงานทำ JOB EXPO THAILAND 3,441,450,000 บาท โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ฯ 258,309,870 บาท จ้างงานต่างประเทศ 8,968,200,000 บาท และการจ้างงานโดยภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 12,335,580,000 บาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยหยุดชะงักชั่วคราว การฟื้นตัวต้องค่อยเป็นค่อยไป รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งใช้มาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มาตรการดูแลภาคครัวเรือน ด้วยการจ้างงาน เพื่อให้คนไทยมีรายได้ มีความเชื่อมั่น มีกำลังในการใช้จ่ายจนเกิดการหมุนเวียนรายได้ในระดับชุมชนถึงระดับประเทศอย่างเป็นลูกโซ่ ซึ่งกระทรวงแรงงาน ใช้มาตรการที่ตรงจุด ทันการณ์ รวมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการว่างงานมาโดยตลอด
นายสุชาติฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการไทยมีงานทำ JOB EXPO THAILAND บรรจุงานแล้ว 91,772 คน สร้างรายได้รวม 3,441,450,000 บาท โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน (Co-Payment) บรรจุงานแล้ว 6,335 คน สร้างรายได้รวม 258,309,870 บาท โดยรัฐบาลให้การอุดหนุนเงินค่าจ้างครึ่งหนึ่ง จำนวน 129,154,935 บาท จ้างงานต่างประเทศ บรรจุงานแล้ว 44,841 คน สร้างรายได้รวม 8,968,200,000 บาท และการจ้างงานโดยภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บรรจุงานแล้ว 411,186 คน สร้างรายได้รวม 12,335,580,000 บาท รวมก่อเกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จำนวน 25,003,539,870 บาท (เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม 2563)
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ได้มีการปรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการใหม่เพื่อให้นักศึกษาจบใหม่ และนายจ้าง/สถานประกอบการ ได้รับประโยชน์สูงสุดและเสมอภาคกัน และเกิดการบรรจุงานโดยเร็วที่สุด ดังนี้
1.คุณสมบัติผู้จบการศึกษาใหม่ มีสัญชาติไทย และอายุไม่เกิน 25 ปี หากอายุเกิน 25 ปี ต้องจบการศึกษา ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยผู้จบการศึกษาใหม่ที่เคยทำงานและอยู่ในระบบประกันสังคม หากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถร่วมโครงการฯได้
2.เงื่อนไขสำหรับนายจ้างในการจ่ายค่าจ้าง ให้เป็นไปตามข้อตกลงการจ้างงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง โดยรัฐบาลให้การอุดหนุนเงินเดือนค่าจ้างไม่เกินร้อยละ 50 ต่อคนต่อเดือน ตามค่าจ้างจริง ทั้งนี้ รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนเป็นไปตามวุฒิการศึกษา ได้แก่ ปริญญาตรี ไม่เกิน 7,500 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่เกิน 5,750 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ไม่เกิน 4,700 บาท และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ไม่เกิน 4,345 บาท
3. ปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ลูกจ้าง
โดยการจ่ายเงินอุดหนุนจากรัฐ 3 ครั้งต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับรอบการจ่ายเงินค่าจ้างของนายจ้าง/สถานประกอบการ ดังนี้
1.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างภายในสิ้นเดือน รัฐจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป
2.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างหลังสิ้นเดือน (ภายในวันที่ 1-5 ของเดือนถัดไป) รัฐจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
3.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามกำหนด ตามข้อ 1) และข้อ 2) แต่การจัดทำเอกสาร หรือข้อมูลในระบบไม่สมบูรณ์ รัฐจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
กรณี หลังจากวันที่ 15 หากพบว่า รัฐจ่ายเงินอุดหนุนไม่ครบถ้วนให้สามารถจ่ายเพิ่มเติมได้จนกว่าจะครบตามจำนวนลูกจ้างผู้มีสิทธิ ทั้งนี้ การปรับปรุงการจ่ายเงินอุดหนุนให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่เริ่มโครงการ
4.ปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการ ให้ขยายระยะเวลาร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าจ้างแก่ลูกจ้างเป็นระยะเวลา ไม่เกิน12 เดือน ต่อ 1 คน ตลอดระยะเวลาการจ้าง 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 พฤศจิกายน 2564) กรณีจ้างหลังวันที่ 1 มกราคม 2564 จะได้รับการอุดหนุนตามระยะเวลาที่จ้างแต่ไม่เกินวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564
สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่และนายจ้างที่ร่วมโครงการแล้ว และมีสัญญาจ้างถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 หากการอุดหนุนค่าจ้างตามโครงการยังไม่ครบ 12 เดือน สามารถแจ้งความต้องการขยายระยะเวลาการจ้างงานได้ถึงวันสิ้นสุดโครงการ สูงสุดไม่เกินรายละ 12 เดือน
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการตรวจสอบความคืบหน้าการอนุมัติเข้าร่วมโครงการฯ ติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่ระบุเป็นสถานที่ทำงาน หรือผู้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วต้องการความช่วยเหลือเรื่องการรับ-จ่ายเงินค่าจ้าง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38264 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาเพิ่ม e-Withholding Tax ได้ 2% ถึงสิ้นปี 2565 พร้อมรับสิทธิ์หักรายจ่าย 2 เท่า สำหรับการลงทุนพัฒนาระบบ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ขยายเวลาเพิ่ม e-Withholding Tax ได้ 2% ถึงสิ้นปี 2565 พร้อมรับสิทธิ์หักรายจ่าย 2 เท่า สำหรับการลงทุนพัฒนาระบบ
ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2564 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) โดยลดอัตราภาษีหัก ณ ที่มีอัตรา 5% และ 3% เหลือ 2% สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) โดยลดอัตราภาษีหัก ณ ที่มีอัตรา 5% และ 3% เหลือ 2% สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะช่วยคืนสภาพคล่องให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ทำให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 24,840 ล้านบาท
ดร.เอกนิติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายจากการลงทุน และการใช้บริการระบบ e-Withholding Tax หรือระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) มาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนมีต้นทุน และภาระในการจัดทำ และการจัดเก็บเอกสารรวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีลดลง นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและการแปลงเป็นดิจิทัลของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สนับสนุนนโยบายประเทศไทย 4.0 และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19)
ดร.เอกนิติฯ กล่าวสรุปว่า ระบบ e-Withholding Tax เป็นหนึ่งในนโยบาย Tax From Home ที่กรมสรรพากรได้นำการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) มาใช้เพื่อให้การปฏิบัติการและชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องง่าย สามารถทำได้ทุกที่ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนการลงทุนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38267 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ พร้อมเคียงข้างลูกค้า จัด 3 มาตรการ ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 และน้ำท่วมใต้ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ไอแบงก์ พร้อมเคียงข้างลูกค้า จัด 3 มาตรการ ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 และน้ำท่วมใต้
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมเคียงข้างลูกค้าทุกสถานการณ์ ออก 3 มาตรการเพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 และน้ำท่วมภาคใต้
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไอแบงก์พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยโควิด-19 และภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยออกมาตรการ 3 มาตรการ เพื่อบรรเทาเดือดร้อนและแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
- มาตรการ 1 มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) สำหรับลูกค้ารายย่อย (ไม่มีสถานะเป็น NPF ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563) โดยธนาคารจะปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อเอนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันจากเดิม SPRR +12% ตลอดอายุสัญญา คิดอัตรากำไรใหม่ เท่ากับ SPRR ตามประกาศธนาคาร รวมถึงขยายระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อเอนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันออกไปไม่เกิน 5 ปี จากสัญญาคงเหลือเดิม และไม่เกินระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกหนี้
- มาตรการ 2 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ สำหรับลูกค้าธนาคารทั้งลูกหนี้อุปโภคบริโภค และลูกหนี้ธุรกิจ ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ธนาคารจะพักชำระหนี้เงินต้น และชำระเฉพาะกำไรนาน 1 ปี ขยายระยะเวลาสินเชื่อตามระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้น ยกเว้นเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระที่เกิดขึ้น และอาจจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความรุนแรงของปัญหาเป็นรายกรณี
- มาตรการ 3 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัยภาคใต้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงธนาคารจะพักชำระเงินต้นและกำไร ระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นพักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะกำไรอีก 6 เดือน ให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภค อัตรากำไร SPRR – 3.5% ต่อปี สำหรับสินเชื่อธุรกิจ อัตรากำไร SPRL – 2.75% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี ฟรี ค่าธรรมเนียม Front end Fee และจัดทำนิติกรรมสัญญา ยกเว้นบุคคลค้ำประกัน การประเมินราคาหลักประกัน (กรณีเป็นสินเชื่อเดิมแบบมีหลักประกัน) ส่วนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม พักชำระเงินต้น และชำระเฉพาะกำไรระยะเวลา 6 เดือน โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมมาตรการจะต้องเป็นลูกค้าเดิมของธนาคารที่เป็นบุคคลธรรมดาและมีสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน หรือนิติบุคคลที่มีสินเชื่อธุรกิจแบบกำหนดระยะเวลากับธนาคาร ซึ่งมีที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ หรือคู่ค้าทางธุรกิจ อยู่ในพื้นที่ประสบภัยตามพื้นที่ประกาศของราชการ และมีสถานะการชำระหนี้เป็นปกติ
สำหรับลูกค้าธนาคารที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อสอบถามและเข้าร่วมมาตรการ ได้ที่ไอแบงก์ สาขาที่ใช้บริการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ibank Call Center 1302
*หมายเหตุ:
1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม"
2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. วราวุธ อธิบายชัด บ้านแม่เกิบ อมก๋อย อยู่ในแผน คทช. พร้อมขอบคุณ ศรีสุวรรณ ที่ห่วงใยในทรัพยากรฯ ของประเทศ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
รมว. วราวุธ อธิบายชัด บ้านแม่เกิบ อมก๋อย อยู่ในแผน คทช. พร้อมขอบคุณ ศรีสุวรรณ ที่ห่วงใยในทรัพยากรฯ ของประเทศ
รมว. วราวุธ อธิบายชัด บ้านแม่เกิบ อมก๋อย อยู่ในแผน คทช. พร้อมขอบคุณ ศรีสุวรรณ ที่ห่วงใยในทรัพยากรฯ ของประเทศ
รมว. วราวุธ อธิบายชัด บ้านแม่เกิบ อมก๋อย อยู่ในแผน คทช. พร้อมขอบคุณ ศรีสุวรรณ ที่ห่วงใยในทรัพยากรฯ ของประเทศ
วันที่ 13 มกราคม 2564 เวลา 15.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.)
ได้รับเอกสารร้องเรียนจาก นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
กรณีมีข้อสงสัยว่าหมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ นั้น มีการรุกล้ำพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจ โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ ร่วมชี้แจงด้วย
รมว.ทส. ได้กล่าวว่า “หมู่บ้านแม่เกิบ จำนวน 41 ครัวเรือนนั้น ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอมก๋อย ซึ่งพื้นที่แห่งนี้อยู่ในแผนการจัดที่ดินทำกินตามโครงการ คทช. ซึ่งรัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี และ ท่าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ได้มีการสำรวจพื้นที่ เพื่อส่งต่อให้ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จะแล้วเสร็จภายในปี 2564 แน่นอน”
รมว.ทส. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับข้อห่วงใย เกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมในอนาคตนั้น ขอให้ทุกฝ่ายวางใจได้ การดำเนินงานภายใต้ คทช. ได้มีการวางกฎกติกาอย่างรอบคอบ รัดกุม หากมีใครทำผิดกติกาก็จะมีการยกเลิกสิทธิ์ทำกินไป”
“ผมและกระทรวงฯ ต้องขอขอบคุณ นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนอย่างยิ่ง ที่มีความเป็นห่วงต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสิ่งมีค่าของประเทศ ผมยังยืนยันว่าการอนุรักษ์จะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ และผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้องที่เป็นสมบัติของประชาชนคนไทยทุกคนอย่างแน่นอน” รมว.ทส. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว เลื่อนส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ไฟเขียว เลื่อนส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
...
มีข่าวดีมาบอก...
นายจ้างและลูกจ้าง ที่ส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพฟังทางนี้
.
เว็บไซต์ราชกิจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง
ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้าง
ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน
ให้สามารถหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ
เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เป็นการชั่วคราว
.
ตั้งแต่งวดนำส่งเงินของเดือน ม.ค. – มิ.ย. 64
โดยฝ่ายลูกจ้าง และนายจ้างที่ไม่ได้นำส่งเงินสมทบในช่วงนี้
ให้ถือว่าสถานภาพยังคงอยู่ และนับอายุการเป็นสมาชิกกองทุนฯ ต่อเนื่องได้
เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของลูกจ้างและนายจ้าง
และเป็นหลักประกันรายได้สู่ความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../2564/E/007/T_0001.PDF
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาแล้วจ้า! เงินกู้ปลอดดอก เพื่ออาชีพผู้สูงวัย | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
มาแล้วจ้า! เงินกู้ปลอดดอก เพื่ออาชีพผู้สูงวัย
...
ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ที่ต้องการเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพ
กองทุนผู้สูงอายุ มีเงินทุนให้แก่ท่าน
.
รายบุคคล คนละไม่เกิน 30,000 บาท
รายกลุ่ม ให้กลุ่มละไม่เกิน 100,000 บาท
แต่ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 คน
.
กองทุนจะคัดเลือกผู้ที่มีความจำเป็น
และมีความสามารถในการประกอบอาชีพ
.
ส่วนการจ่ายชำระคืนเป็นแบบรายงวด
งวดละเดือน ระยะเวลา 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ย
.
ผู้สนใจสอบถามและขอกู้ยืมได้ที่
กองทุนผู้สูงอายุ โทร. 0 2354 6100
หรือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแผน! “จัดกลุ่ม” ฉีดวัคซีนโควิด-19 | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
เปิดแผน! “จัดกลุ่ม” ฉีดวัคซีนโควิด-19
...
เร็ว ๆ นี้ วัคซีนโควิด-19 กำลังจะมาถึงประเทศไทย
สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการ คือ
การจัดกลุ่มผู้ที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อน
เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
.
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้เร่งจัดทำแผน
เพื่อจัดกลุ่มเป้าหมาย รับการฉีดวัคซีน
คนละ 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
.
1. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า
.
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด
โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้น
.
3. ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
.
4. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น อสม. ทหาร ตำรวจ
ที่ต้องคัดกรองผู้ที่มาจากต่างประเทศ และพื้นที่ที่มีการระบาด
.
กำหนดให้บริการวัคซีน ตั้งแต่เดือน ก.พ. - พ.ย. 64
พร้อมทั้งเร่งสื่อสารให้ประชาชนทราบ
ผลดีและข้อระมัดระวัง
ประสานโรงพยาบาลทุกสังกัดเพื่อร่วมให้บริการ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38279 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ รับสมัครรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 ชูนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน | วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564
กระทรวงอุตฯ รับสมัครรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 ชูนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
กระทรวงอุตสาหกรรมขอเชิญผู้ประกอบการ และ SMEs สมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 รางวัลอันทรงเกียรติสำหรับอุตสาหกรรมไทย ปีนี้เพิ่ม “เศรษฐกิจหมุนเวียน” และ “โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน” รวมเป็น 15 ประเภทรางวัล
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดงานมอบรางวัลอุตสาหกรรมเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 เป็นต้นมา โดยมีนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัล เพื่อประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการที่มีความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่กิจการอุตสาหกรรมอื่นๆ ตลอดจนเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนามาตรฐาน และการประกอบการในด้านต่างๆ อย่างมีศักยภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของประเทศโดยรวม
“ในปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมาคือ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เพิ่มรางวัลอีก 2 ประเภทรางวัล เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลด้าน BCG และส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการโลจิสติกส์ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่มุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด มุ่งแก้ไขปัญหามลพิษ และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนและสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ ในปี 2565 กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมยกระดับเป็นรางวัลด้าน BCG เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานทั้งระบบในองค์กร และอีกหนึ่งประเภทรางวัลที่เพิ่มมาในปีนี้คือ รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน เพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีสามารถสมัครเข้าร่วมประกวดกันได้มากขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการโลจิสติกส์ในองค์กร ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ และประหยัดพลังงานด้วย” นายกอบชัยฯ กล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปีนี้ สมอ. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งมีรางวัลอุตสาหกรรม รวมทั้งสิ้น 15 ประเภทรางวัล ดังนี้
1. รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 1 รางวัล
2. รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จำนวน 9 ประเภทรางวัล ได้แก่
2.1 ประเภทการเพิ่มผลผลิต
2.2 ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
2.3 ประเภทการบริหารความปลอดภัย
2.4 ประเภทการบริหารงานคุณภาพ
2.5 ประเภทการจัดการพลังงาน
2.6 ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
2.7 ประเภทอุตสาหกรรมศักยภาพ
2.8 ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม
2.9 ประเภทเศรษฐกิจหมุนเวียน
3. รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น จำนวน 5 ประเภทรางวัล ได้แก่
3.1 ประเภทการบริหารจัดการ
3.2 ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์
3.3 ประเภทการจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม
3.4 ประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล
3.5 ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาจะเข้มข้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยจะมอบรางวัลให้กับผู้ประกอบการที่มีคะแนนสูงสุดเป็น 3 อันดับแรกของแต่ละประเภทรางวัลเท่านั้น สมอ. จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2564 ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยส่งใบสมัครได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน สมอ. โทร. 0 2202 3517-8 หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ หรือฝ่ายเลขานุการคณะทำงานทุกคณะ และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.industry.go.th/industry_award/ เลขาธิการ สมอ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เยี่ยมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
“พุทธิพงษ์” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เยี่ยมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
“พุทธิพงษ์” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ร่วมลงนามถวายพระพร เยี่ยมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เมื่อวันที่13มกราคม2564นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและภริยาโดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมลงนามถวายพระพรเยี่ยมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ณศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38293 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อบรมออนไลน์ คึกคัก แรงงานสนใจเข้าฝึกแล้วกว่าสองพันคน | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
อบรมออนไลน์ คึกคัก แรงงานสนใจเข้าฝึกแล้วกว่าสองพันคน
แรงงานสนใจเข้าฝึกอบรมออนไลน์คึกคัก สมัครแล้วกว่า 2,000 คน ด้านดิจิทัลติดอันดับยอดฮิต คนแห่สมัครเพียบ
วันที่ 13 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การอบรมออนไลน์ช่วยให้แรงงานได้รับโอกาสเข้าฝึกอบรมได้เป็นจำนวนมาก สามารถเข้าอบรมพร้อมกันถึง 100 คนต่อรุ่น เพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน จึงจัดหลักสูตรพิเศษ แบบออนไลน์ ผ่านระบบ Application Zoom Meeting โดยหน่วยงานในสังกัด กพร. ที่มีความพร้อมจำนวน 50 จังหวัด ปัจจุบัน ได้รับความสนใจจากผู้ใช้แรงงานสมัครเข้าฝึกอบรมแล้วกว่า 2,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มกราคม 2564) เหลืออีกเพียง 30 จังหวัดเท่านั้น ที่ผู้สมัครยังไม่เต็ม 100 คน หลักสูตรที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก เช่น เทคนิคการสร้างร้านค้าและขายสินค้าออนไลน์ การผลิตสื่อโฆษณาและหนังสั้นด้วยสมาร์ทโฟน การสร้างอินโฟกราฟิกเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ การออกแบบและตกแต่งภาพด้วยโปรแกรม Photoshop และ Illustrator การใช้โปรแกรม Microsoft Excel Advance และภาษาพม่าเบื้องต้นเพื่อการทำงาน เป็นต้น สังเกตได้ว่า แรงงานให้ความสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น หลักสูตรการฝึกจึงต้องปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยต่อแรงงานทั่วประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ covid-19 โดยสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานทุกประเภทรวมถึงผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งการจัดหางาน การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อส่งเสริมด้านอาชีพแก่แรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน พร้อมทั้งบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ ซึ่ง กพร. ได้ปรับรูปแบบการฝึกอบรม เป็นการฝึกอบรมออนไลน์ ผ่านระบบ Application Zoom Meeting ทั้งการฝึกตามโครงการปกติและโครงการพิเศษ
การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตามโครงการปกตินั้น กพร. ปรับแผนการฝึกให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด เช่น สาขาอาชีพที่ต้องมีการฝึกภาคปฏิบัติ ต้องจัดเว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนคนเข้าฝึกภาคปฏิบัติ ส่วนภาคทฤษฎีจัดอบรมแบบออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM เป็นต้น มาตรการอื่น ๆ ให้มีการตรวจคัดกรอง การจัดเจลแอลกอฮอล์ ไว้ประจำจุดฝึกอบรม/ทดสอบมาตรฐานฝีมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น ผู้ว่างงานที่สนใจเข้าอบรมสามารถสมัครได้ที่ www.dsd.go.th เลือก สมัครฝึกอบรม และค้นหา “ของขวัญปีใหม่” (โครงการนี้รับ 100 คน/รุ่น) ส่วนการฝึกตามโครงการปกติรับ 20 คน/รุ่น ส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรที่ต้องฝึกภาคปฏิบัติด้วย สามารถสมัครได้ที่ www.dsd.go.th เลือก สมัครฝึกอบรม
“ภารกิจต่างๆ ของ กพร. ยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนต้องร่วมมือกัน ดูแลตัวเองและคนรอบข้าง หลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยง ไม่ไปในที่แออัด ปรับตัวรับวิถีชีวิตใหม่ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข อย่างไรก็ตามขอย้ำว่า ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดและเราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38275 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรค COVID - 19 | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรค COVID - 19
ครม.เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากมาตรการหรือโครงการต่างๆ ของรัฐบาล อันเนื่องมาจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวม 4 โครงการ
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล อันเนื่องมาจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจาก โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวม 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” “โครงการคนละครึ่ง” และ “โครงการกำลังใจ”
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนและประโยชน์อื่นใดที่ประชาชนได้รับในปีภาษี 2563 จากมาตรการหรือโครงการที่ประชาชนได้รับจากรัฐบาลรวม 4 มาตรการ ประกอบด้วย โครงการ“เราไม่ทิ้งกัน” ชดเชยรายได้ให้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการคนละครึ่ง” สำหรับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังเห็นชอบมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพื่อเป็นการกระตุ้นให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว เป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุข อาสาสมัครกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมถึงช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร.1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 รมต.เกษตรฯ แจงนโยบายสำคัญปี 65 | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
4 รมต.เกษตรฯ แจงนโยบายสำคัญปี 65
4 รมต.เกษตรฯ แจงนโยบายสำคัญปี 65 ต่อสำนักงบประมาณ มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และนำภาคเกษตรสู่ความยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมนำเสนอแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายการจัดทำงบประมาณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี 2565 ต่อสำนักงบประมาณ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณารายจ่ายของสำนักงบประมาณ ณ กรมชลประทาน สามเสน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ และยังเป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังต้องการการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐ หากสามารถสร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตรได้ จะสามารถสร้างความมั่นคงให้กับประเทศอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมุ่งกระตุ้นการสร้างเศรษฐกิจรากฐานให้กับประเทศ ซึ่งจากการมอบนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) กระทรวงเกษตรฯ จึงได้ดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ โดยมุ่งเน้นภาพรวมในด้านต่าง ๆ คือ 1) การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีการกระจายน้ำอย่างเหมาะสมและทั่วถึง รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นาของเกษตรกรและชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอสำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร ตลอดจนป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย 2) การป้องกันโรคระบาดจากพืชและสัตว์ ซึ่งถือเป็นการสร้างโอกาสในการแข็งขันของสินค้าเกษตร 3) การพัฒนาช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร โดยเพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์และออฟไลน์ 4) มาตรฐานการรับรองสินค้าเกษตร เพราะทั่วโลกให้ความสำคัญต่อความปลอดภัย จึงต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ 5) การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล Big Data ในการเชื่อมโยงการทำการเกษตรร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่และเกษตรกรมีข้อมูลที่ดีและเพียงพอต่อการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และวางแผนด้านการเกษตรได้อย่างทันต่อสถานการณ์ 6) การลดต้นทุนการผลิต เพื่อสร้างโอกาสในการแข็งขัน 7) การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพ การพัฒนาพันธุ์พืช สัตว์ ประมง เพื่อให้เกษตรกรมีพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์คุณภาพดี มีความหลากหลาย และเพียงพอกับความต้องการใช้ในการทำการเกษตร และ 8) การส่งเสริมอาชีพ ทั้งด้านประมงและปศุสัตว์
ด้าน ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเสริมว่า ในด้านของการตลาด กระทรวงเกษตรฯ มุ่งเน้นในการขยายตลาดให้กับเกษตรกร โดยในส่วนของ อ.ต.ก. พร้อมขับเคลื่อนภารกิจในการเป็นตลาดกลางให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นภารกิจของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเพื่อสนับสนุนภารกิจในด้านการเพิ่มปริมาณน้ำด้วย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า พร้อมดำเนินภารกิจในการส่งเสริมระบบสหกรณ์และการอบรมในด้านการทำบัญชีสหกรณ์ เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ ยังเน้นนำงานวิจัยมาช่วยพัฒนาการทำการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชากรในประเทศไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องมีการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ โดยในส่วนของกรมที่กำกับดูแล จึงต้องมีการทำงานเชิงรุก ทั้งด้านปศุสัตว์ ในการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนอาชีพและการป้องกันโรคต่าง ๆ เป็นต้น รวมถึงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เพียงพอและได้คุณภาพด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยมองเศรษฐกิจ ปี 2564 ขยายตัว 2.5% แต่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
กรุงไทยมองเศรษฐกิจ ปี 2564 ขยายตัว 2.5% แต่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยพ้นจากภาวะถดถอยในปี 2564 โดยจะขยายตัว 2.5% แต่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คาดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศตลอดไตรมาสแรกโดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยว
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยพ้นจากภาวะถดถอยในปี 2564 โดยจะขยายตัว 2.5% แต่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คาดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศตลอดไตรมาสแรกโดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยว เป็นเหตุให้รัฐต้องมีมาตรการเยียวยาโควิดรอบสอง ส่วนภาคการส่งออกกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ขณะเดียวกัน แนะธุรกิจเตรียมเผชิญกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เป็น Megatrend ของโลก
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัวที่ระดับ 2.5% พ้นจากภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในปี 2563 ที่เศรษฐกิจหดตัว 6.5% โดยแม้ว่าการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 จะกระทบการใช้จ่ายของภาคเอกชนอย่างมากในขณะนี้โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ แต่หากมาตรการที่ใช้อยู่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายใน 2-3 เดือน จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 109.6 ล้านคน-ครั้ง ต่ำลงกว่าประมาณการเดิมที่ 131.8 ล้านคน-ครั้ง แต่ก็ยังสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 91.2 ล้านคน-ครั้ง นอกจากนี้ การเยียวยาโควิดรอบสองของรัฐที่ออกมาจะมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบ
“การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้เกิดค่าเสียโอกาสไม่ต่ำกว่า 1.6 แสนล้านบาทจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้าออกไปท่ามกลางความไม่แน่นอน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่กดดันเศรษฐกิจอยู่ เช่น การขาดแคลนตู้สินค้าในการส่งออก การแข็งค่าของเงินบาท และภาวะแล้งที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์จากวัคซีนโควิด-19 ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม”
ดร.มานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เป็น Megatrend ของโลก เช่น กระแสการปรับเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือ The Great Reset ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้บริบทของความยั่งยืนบนพื้นฐานของการพัฒนาที่มีความ Greener, Smarter และ Fairer นอกจากนี้ ยังต้องจับตาท่าทีความร่วมมือระหว่างประเทศที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการค้ารอบใหม่ เช่น แนวนโยบายภายใต้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ แผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของจีนที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ตลอดจนความตกลง RCEP ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดโลก
“ธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในระยะข้างหน้า บริบทใหม่ของโลกที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศมหาอำนาจของโลกให้น้ำหนักกับประเด็นนี้มากขึ้น และอาจมาใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า ภาคธุรกิจไทยจึงต้องเตรียมการรับมือ โดยหันมาดำเนินธุรกิจบนฐานของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี ปัจจัยแวดล้อมใหม่ก็อาจส่งผลบวกต่อการค้าไทยได้เช่นกัน เช่น แนวนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ ที่จะปรับตัวเข้าสู่กฎกติกาสากลมากขึ้น ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าจะส่งผลบวกต่อการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน อีกทั้ง ความตกลง RCEP ที่จะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้า จากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้น และอานิสงส์จากการค้าระหว่างคู่เจรจาที่จะคึกคักขึ้น”
ทีม Marketing Strategy
โทร. 0 2208 4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38278 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “ความสำคัญของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562” ให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ส. | วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564
รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “ความสำคัญของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562” ให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ส.
รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “ความสำคัญของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562” ให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ส.
เมื่อวันที่13มกราคม2564นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อความสำคัญของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ.2562และการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยมีผู้บริหารฯพร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดป้องกัน(สำนักงานป.ป.ส.)เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นณห้องประชุมชิดชัยวรรณสถิตย์ชั้น3อาคาร2สำนักงานป.ป.ส.
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ในวันพุธ ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย รองปลัดกระทรวงกลาโหม
ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งประทับรักษาพระอาการประชวร ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ว ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวโครงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในภาคเกษตร บนพื้นที่สูง | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
เปิดตัวโครงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในภาคเกษตร บนพื้นที่สูง
เกษตรฯ ผนึก ADB เปิดตัวโครงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในภาคเกษตร บนพื้นที่สูง ปักหมุดเป้าหมาย ต.บัวใหญ่ จ.น่าน พร้อมรับมือภัยธรรมชาติ ทำการเกษตรแบบเท่าทันภูมิอากาศด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
นายเฉลิมชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดตัวโครงการ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เพื่อเพิ่มการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง” โดยมีนายทอง เปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นท้าทายของโลกมายาวนานนับ 10 ปี ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเกษตรที่ต้องเผชิญความท้าทายในมิติต่าง ๆ จากภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการเกษตรทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นที่สูง ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ที่ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเป็นอย่างมาก โดยได้มีการจัดแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภาคเกษตรมาตั้งแต่ปี 2552
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asia Development Bank: ADB) มาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อดำเนินโครงการ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเพื่อเพิ่มการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง (Climate Change Adaptation in Agriculture for Enhanced Recovery and Sustainability of Highlands)” โดยได้ร่วมกันคัดเลือกพื้นที่เป้าหมาย ณ ต.บัวใหญ่ อ.นาน้อย จ.น่าน เป็นพื้นที่ดำเนินโครงการ เนื่องจากเป็นพื้นที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งเป็นพื้นที่สูงที่ประสบปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและการขาดแคลนน้ำโดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดน่าน เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ ADBรับผิดชอบหลักในระดับพื้นที่ ซึ่งตลอดระยะเวลาของการพัฒนาโครงการฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
ล่าสุด ADB ได้เสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำโครงการในลักษณะเป็นจุดสาธิตการทำเกษตรบนพื้นที่สูงในพื้นที่ 6 หมู่บ้าน ณ ต.บัวใหญ่ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงการคลัง ประเทศญี่ปุ่นผ่านกองทุนเพื่อการลดความยากจนของรัฐบาลญี่ปุ่น จำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ มีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 3 ปีมีสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งได้เริ่มต้นดำเนินโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563และจะมีการสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่สูงได้เรียนรู้วิธีการและแนวทางการปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางการเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การรับมือและปรับตัวกับภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสมกับพื้นที่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
สำหรับผลสำเร็จของโครงการฯ ได้กำหนด 4 ผลผลิต คือ ผลผลิตที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานสำหรับประเมินความเปราะบางของเกษตรพื้นที่สูงดีขึ้น ผลผลิตที่ 2 มีระบบการเกษตรที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศ ผลผลิตที่ 3 ผลิตภัณฑ์การเกษตรมีคุณภาพ มูลค่าและความเชื่อมโยงกับตลาดเพิ่มขึ้น และ ผลผลิตที่ 4 ส่วนราชการท้องถิ่นและชุมชนเกษตรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น
“กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่สูงได้เรียนรู้วิธีการและแนวทางการปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางการเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรับมือและปรับตัวกับภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสมของพื้นที่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อีกทั้งยังพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการร่วมกันดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดทำโครงการฯ รวมถึงธนาคารพัฒนาเอเชีย ตลอดจนสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียที่ให้การสนับสนุนความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อช่วยกันพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่สูงให้สามารถปรับตัวและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสามารถเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่การทำเกษตรในพื้นที่สูงอื่น ๆ ต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
รมว.วธ.ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
รมว.วธ.ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38271 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยัน! แอปฯ “หมอชนะ” ปลอดภัย ไม่ละเมิดสิทธิ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ยืนยัน! แอปฯ “หมอชนะ” ปลอดภัย ไม่ละเมิดสิทธิ
...
นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักแอปพลิเคชัน “หมอชนะ”
เครื่องมือที่ช่วยดูแลและป้องกันตนเองจากโรคโควิด
ด้วยระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสืบสวนโรค
.
แต่หลายคนอาจกังวลใจว่าแอปฯ หมอชนะ
จะปลอดภัย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่
.
กระทรวงดีอีเอสออกมายืนยันแล้วนะครับ
ว่าพื้นฐานการออกแบบแอปฯ หมอชนะ
ได้ระวังเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
แม้ทำหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหว แต่จะไม่ระบุชื่อผู้ใช้
ทำให้ไม่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลแน่นอน
.
ส่วนรูปถ่ายในแอปฯ เป็นเพียงการยืนยันตัวตน
จะไม่ถูกนำไปเป็นฐานข้อมูลของรัฐบาลแต่อย่างใด
รวมถึงแอปฯ หมอชนะ ไม่สามารถบันทึกเสียง
ผ่านไมโครโฟนของโทรศัพท์ได้ตามที่หลายคนกังวล
.
และขอย้ำว่า การไม่โหลด "หมอชนะ" ไม่ผิดกฎหมาย
คนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถใช้ระบบปกติ
คือ การทำเอกสารข้ามจังหวัด เพื่อบันทึกข้อมูลได้เช่นกัน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลตรวจโควิด-19 เชิงรุกในกลุ่มแรงงานประมง | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
รัฐบาลตรวจโควิด-19 เชิงรุกในกลุ่มแรงงานประมง
วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุกในกลุ่มแรงงานประมงอย่างเข้มข้น โดยใช้การตรวจ 2 ครั้ง คือ การเจาะเลือด และการป้ายเนื้อเยื่อหลังจมูก ทั้งเจ้าของเรือและแรงงานในเรือทุกคน เมื่อผ่านกระบวนการตรวจแล้ว ทุกคนจะต้องกลับลงเรือแล้วออกไปลอยลำ 3 วันเพื่อรอผลตรวจ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราไม่ให้มีการลักลอบพบเจอบุคคลภายนอกเรือได้ หากเรือลำใดปลอดโรคจะได้รับหนังสืออนุญาตให้ทำการได้ตามปกติ แต่หากเรือลำใดพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 แม้แต่คนเดียว แรงงานทั้งหมดในเรือลำนั้นจะต้องถูกกักกันโรคตามระบบของสาธารณสุขและรักษาผู้ป่วยจนหายดี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้บริโภคอาหารทะเลไทยทุกคน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38263 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (13 ม.ค.64) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2564 หวังดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มรายได้ประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาให้ประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ขณะที่ประชาชนที่เป็นเกษตรกรอยู่ในภาคการเกษตรมีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน จึงต้องหาวิธีการใหม่ เพื่อใช้พื้นที่เกษตรให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวาระของโลก อาทิ การลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน ภัยพิบัติ การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น นายกรัฐมนตรียังชื่นชมแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 โดยเน้นดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจ BCG ใช้จุดเด่นและศักยภาพของประเทศไทยในเรื่องของการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น โดยจะประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และจะต้องสำเร็จภายใน 5 ปี ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ รวมถึงให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความปลอดภัยในด้านสาธารณสุข และจะนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้น “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนด้วยความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบบ “ทำน้อยได้มาก” และยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” หนุนสุพรรณบุรี ผลิตจิ้งหรีดคุณภาพป้อนตลาดโลก | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
“รมช.ประภัตร” หนุนสุพรรณบุรี ผลิตจิ้งหรีดคุณภาพป้อนตลาดโลก
“รมช.ประภัตร” หนุนสุพรรณบุรี ผลิตจิ้งหรีดคุณภาพป้อนตลาดโลก
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ภาคเอกชนผู้ผลิต/แปรรูป และจำหน่ายจิ้งหรีด-ผลิตภัณฑ์ (ขวัญใจฟาร์ม และเปี่ยมสุขฟาร์ม) กลุ่มเกษตรกรจังหวัดสุพรรณบุรี กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เป็นต้น เพื่อเตรียมการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงจิ้งหรีดในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเสริมสร้างรายได้ กระจายโอกาส ช่วยแก้ปัญหาความยากจน ตลอดจนวางเป้าให้เป็นฐานการผลิตป้อนตลาดโลก โดยมีประเด็นสำคัญ คือส่งเสริมให้มีการตั้งฟาร์มมาตรฐาน GAP เพื่อผลิตจิ้งหรีดคุณภาพ นำร่องที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวม 200 รายๆ ละ 5 กล่อง ภายหลังการดำเนินงานในระยะแรกจะมีการประเมินเพื่อขยายผลไปในวงกว้างต่อไป โดยคัดเลือกเกษตรกรเป้าหมาย มอบให้นายกเทศบาลตำบลเป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับด้านระบบงานส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีด มอบหมายกรมปศุสัตว์ โดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมกับ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ เป็นผู้ประสานงานที่ส่วนกลาง และให้ "ขวัญใจฟาร์ม" และ "เปี่ยมสุขฟาร์ม" เป็นผู้รับซื้อผลผลิตในราคาประกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตลอดจนมอบให้ มกอช. ร่วมกับกรมปศุสัตว์ให้คำแนะนำด้านการจัดทำมาตรฐานฟาร์ม GAP แก่เกษตรกร และให้กรมปศุสัตว์ โดยสำนักพัฒนาอาหารสัตว์ คิดสูตรอาหารสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในท้องถิ่นราคาถูก มาผสมอาหารสัตว์ใช้เองนำไปเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสมกับระยะการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตของสัตว์เลี้ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์
ทั้งนี้ ได้มีการประชุมวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมเกษตรกรให้มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ สร้างรายได้ โดยเตรียมเดินหน้าขับเคลื่อนร่วมกัน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยนเรศวรยินดีให้คำแนะนำและพร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรได้มีอาชีพที่มั่นคง อย่างไรก็ตามภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) คลี่คลายแล้ว พร้อมเดินหน้าเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38287 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564 | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายครั้งที่1/2564ในฐานะกรรมการ(ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่างๆที่สำคัญดังนี้1)เห็นชอบการผ่อนผันขยายระยะเวลาการนำส่งเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตามระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ. 2563สำหรับเงินที่เรียกเก็บของฤดูการผลิตปี2562/2563 2)อนุญาตให้บริษัทน้ำตาลครบุรีจำกัด(มหาชน)ทดลองเดินเครื่องจักร3)เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเรื่องกำหนดแบบคำขออนุญาตขนย้ายน้ำตาลทรายหนังสืออนุญาตขนย้ายน้ำตาลทรายและหนังสือกำกับการขนย้ายน้ำตาลทรายพ.ศ. .... 4)เห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักรพ.ศ. .... 5)เห็นชอบการกำหนดพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยปลูกจำนวน4พันธุ์และ6)ขอทบทวนมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายครั้งที่12/2563เมื่อวันที่28ตุลาคม2563เรื่องมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในประเด็นที่ไม่มีการกำหนดโทษโรงงานที่รับอ้อยไฟไหม้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดรวมถึงการแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการรับอ้อยเข้าหีบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัน BCG ขับเคลื่อนไทย เตรียมประกาศวาระชาติ | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
ดัน BCG ขับเคลื่อนไทย เตรียมประกาศวาระชาติ
...
วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนา BCG Model
เคาะยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศด้วย BCG ปี 2564-2569
.
1. สร้างความยั่งยืนของทรัพยากร ด้วยการอนุรักษ์
ควบคู่กับการใช้ประโยชน์ อย่างสมดุล
2. พัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทรัพยากร
และจุดเด่นที่แต่ละชุมชนท้องถิ่นมี
.
3. ยกระดับอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเน้นหลัก “ทำน้อยได้มาก”
4. เสริมสร้างความสามารถในการเท่าทัน
ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
.
BCG เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว
มุ่งเน้นการพัฒนา 4 + 1 ด้าน คือ ด้านเกษตรและอาหาร
ด้านสุขภาพและการแพทย์ ด้านพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ
ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
และความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม
.
นายกฯ ย้ำว่า เป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยมีรายได้สูง
สร้างผลผลิตและมิติใหม่ในภาคการเกษตร
ที่สอดคล้องกับวาระของโลก เช่น การลดปริมาณขยะ
การลดใช้พลังงานฟอสซิล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภัยพิบัติ และการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น
.
เน้นดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG
ผสานกับจุดเด่นด้านการเกษตร สาธารณสุข ท่องเที่ยว
เตรียมประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ
และตั้งเป้าทำให้สำเร็จภายใน 5 ปี
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38288 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำปัญหายาเสพติด-ลักลอบการเล่นพนัน ต้องช่วยกันแก้ไข พร้อมเป็นห่วงประชาชนช่วงอากาศหนาวให้ระมัดระวังการจุดฟืนไฟในบ้าน | วันพุธที่ 13 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำปัญหายาเสพติด-ลักลอบการเล่นพนัน ต้องช่วยกันแก้ไข พร้อมเป็นห่วงประชาชนช่วงอากาศหนาวให้ระมัดระวังการจุดฟืนไฟในบ้าน
นายกรัฐมนตรีย้ำปัญหายาเสพติด-ลักลอบการเล่นพนัน ต้องช่วยกันแก้ไข พร้อมเป็นห่วงประชาชนช่วงอากาศหนาวให้ระมัดระวังการจุดฟืนไฟในบ้าน
วันนี้ (13 ม.ค. 64) เวลา 11.00 น. ณ ทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ย้ำรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่เพื่อดูแลให้ประชาชนเข้าถึงโอกาส สร้างความเป็นธรรม เช่น วัคซีนโควิด-19 พร้อมเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เอง หากท้องถิ่นต้องการจะจัดซื้อ จัดหา วัคซีนจากต่างประเทศ แต่ที่สำคัญต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจากประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้การรับรอง ขอยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ แต่ในช่วงเวลานี้จำเป็นต้องใช้งบประมาณอย่างเพราะรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาด้านอื่น ๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่ารัฐบาลกำลังหารือกับหลายประเทศเพื่อเพิ่มช่องทางในการหาวัคซีนมากขึ้น แต่จะต้องระมัดระวังในเรื่องผลข้างเคียง ขณะที่วัคซีนที่ประเทศไทยนำเข้ามาผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นวัคซีนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และจะมีการผลิตวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงจำนวนยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยลดลงแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของประชาชนที่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐมากยิ่งขึ้น ทั้งการตรวจสอบคัดกรอง การลดการเดินทางโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ รัฐบาลเองได้เตรียมตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์ โดยได้กำชับทุกฝ่ายไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ขณะเดียวกันก็ต้องลดความต้องการยาเสพติด เพื่อป้องกันการลักลอบซื้อ-ขายยาเสพติด สิ่งสำคัญคือในชุมชนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ซึ่งตนเองได้เปิดช่องทางให้แจ้งเบาะแสโดยตรงถึงนายกรัฐมนตรีด้วย นายกรัฐมนตรีให้ข้อคิดถึงการเล่นพนันว่า ทั้งเสียหายและเสียเวลา ยิ่งกว่าไฟไหม้บ้านหรือโจรปล้นบ้าน เพราะเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่งผลกระทบถึงครอบครัวและตนเอง ซึ่งปัจจุบันยังมีการจับกุมการแอบลักลอบเล่นการพนันกลุ่มย่อยตามโรงแรม รีสอร์ท วอนอย่าลักลอบเล่นการพนัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนให้รักษาสุขภาพ เนื่องจากพบอากาศหนาวเย็นในหลายพื้นที่ ขอให้ทุกคนสวมใส่เสื้อกันหนาวและระมัดระวังเรื่องการจุดฟืนไฟในห้องนอนด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! กรมธนารักษ์จับสลากบัญชีรายชื่อผู้ได้รับสิทธิและบัญชีรายชื่อสำรอง โครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ - ธนารักษ์” | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
เริ่มแล้ว! กรมธนารักษ์จับสลากบัญชีรายชื่อผู้ได้รับสิทธิและบัญชีรายชื่อสำรอง โครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ - ธนารักษ์”
กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการเปิดจองสิทธิโครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ - ธนารักษ์” บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สป. 623 (บางส่วน) ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 20-0-00 ไร่ ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 58 ปี ขึ้นไป
วันนี้ (15 มกราคม 2564) ณ กรมธนารักษ์ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการเปิดจองสิทธิโครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ - ธนารักษ์” บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สป. 623 (บางส่วน) ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 20-0-00 ไร่ ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 58 ปี ขึ้นไป ระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 – 4 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยเปิดให้จองสิทธิใน 2 ช่องทางประกอบด้วย 1) จองผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยให้ผู้สูงอายุหรือตัวแทนแสดงความประสงค์และจัดส่งเอกสาร (upload) ผ่านเว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ https://www.treasury.go.th หรือสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการ และเว็บไซต์เครือข่ายพันธมิตรโครงการฯ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี https://med.mahidol.ac.th และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด https://www.dad.co.th และ 2) จองผ่านเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (Walk in) ณ กรมธนารักษ์ และ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ อาคารบี โดยจองไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวต่อว่า จากการสรุปผลการจองสิทธิ มีผู้ลงทะเบียนในระบบผ่านทุกช่องทางจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,316 ราย และสำหรับรูปแบบในการจับสลากบัญชีรายชื่อผู้ได้รับสิทธิและบัญชีรายชื่อสำรองแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กล่าวคือ
กลุ่มที่ 1 ระดับราคา 1,820,000 2,100,000 2,800,000 และ 2,999,999 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้จองสิทธิมากกว่าจำนวนห้องพัก จะมีการจับสลากผู้ได้รับสิทธิ ตามจำนวนห้องพักและจับสลากผู้ได้รับสิทธิสำรองในจำนวนคงเหลือ (โดยไม่มีการตัดสิทธิของผู้จองสิทธิ)
กลุ่มที่ 2 ระดับราคา 1,999,999 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้จองสิทธิน้อยกว่าจำนวนห้องพัก ผู้จองจะได้รับสิทธิทุกราย อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการตรวจสอบรายชื่อ จะได้มีการจับสลากเรียงลำดับผู้ได้รับสิทธิในรูปแบบเดียวกันกับระดับราคาในกลุ่มที่ 1
สำหรับห้องระดับราคา 1.99 ล้านบาท ที่ยังคงว่างอยู่จำนวน 82 ห้อง/ราย กรมธนารักษ์จะเปิดระบบผ่านเว็บไซต์กรมธนารักษ์เพื่อให้ผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อสำรองแต่ละระดับราคาเป็น 1.99 ล้านบาท แสดงความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงระดับราคาหลังประกาศรายชื่อใน 7 วัน และหากจำนวนผู้แสดงความประสงค์มากกว่าจำนวนห้องพักจะมีการจับสลากอีกครั้ง ทั้งนี้ ในการจับสลากดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ และจัดทำบัญชีรายชื่อสำรองเท่านั้น ซึ่ง บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) จะนำบัญชีรายชื่อดังกล่าวไปบริหารจัดการห้องพักต่อไป นายยุทธนากล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขยายเวลารับสมัครสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน จนถึง 25 กุมภาพันธ์ 2564 | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
กสร. ขยายเวลารับสมัครสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน จนถึง 25 กุมภาพันธ์ 2564
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพิ่มโอกาสให้สถานประกอบกิจการได้มีเวลายื่นใบสมัครเพื่อคัดเลือกเป็น สปก.ดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน โดยขยายเวลาไปจนถึง 25 กุมภาพันธ์ 2564 หวังให้นำรางวัลไปสร้างความภาคภูมิใจร่วมกันหลังเจอพิษ COVID-19
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กรมได้ดำเนินโครงการส่งเสริมสถานประกอบกิจการให้มีระบบการบริหารจัดการที่ดีด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี พ.ศ. 2564 โดยมุ่งเน้นให้นายจ้างและลูกจ้างได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์และรูปแบบการจัดสวัสดิการแรงงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด มีมาตรฐานโดยใช้กลไกทวิภาคี และการมีส่วนร่วมในองค์กร ซึ่งในปีนี้ได้เชิญชวนสถานประกอบกิจการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 15 มกราคม 2564 แต่ด้วยปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อการรับสมัครฯ ซึ่งนายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการอาจจะต้องเตรียมแผนรองรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว จึงทำให้ยังไม่มีเวลาได้ยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับสถานประกอบกิจการที่สนใจได้มีเวลาจัดเตรียมเอกสารประกอบการพิจารณา รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนด กรมจึงขยายเวลาการเปิดรับสมัครออกไปอีกจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมุ่งหวังให้สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลนำไปเป็นเครื่องมือในการสร้างความภาคภูมิใจร่วมกันระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง เพราะรางวัลนี้ถือเป็นรางวัลที่แสดงถึงความเอื้ออาทร ความสมานฉันท์ และความเห็นอกเห็นใจกันทั้ง 2 ฝ่ายที่ส่งผลสะท้อนถึงการร่วมกันสู้วิกฤติโควิดที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ และนำพาองค์กรให้รอดพ้นไปด้วยกันได้
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะขยายเวลาการเปิดรับสมัครออกไปแล้ว วิธีการตรวจประเมิน ยังเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางข้ามจังหวัดไปตรวจประเมินถึงสถานที่จริงได้ โดยกำหนดใช้วิธีพิจารณาผลงานจากแฟ้มเอกสาร หรือแผ่นซีดี หรือแฟลชไดร์ฟข้อมูล หรือไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และใช้วิธีการประชุมทางไกลผ่านโปรแกรมออนไลน์ เพื่อซักถามหากมีข้อสงสัยระหว่างคณะทำงานพิจารณาประเมินผลคะแนนฯ กับผู้นำเสนอผลงาน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโทรศัพท์ 0 2246 2118, 0 2643 4471, 0 2643 4477 เว็บไซต์ http://relation.labour.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38327 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางรายได้ให้เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางรายได้ให้เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล
กระทรวงเกษตรฯ บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางรายได้ให้เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล
เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีนายชนินทร์ รุ่งแสง คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายพลเชษฐ์ ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะรองประธานคณะทำงานเข้าร่วมการประชุม เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้และเป็นทางเลือกใหม่ในการปลูกพืชของเกษตรกร ตามนโยบายสำคัญของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้หลักตลาดนำการผลิต
นายระพีภัทร์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนเพื่อสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล เป็นการขับเคลื่อนอย่างบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคการศึกษา อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ธ.ก.ส. สภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาหอการค้าฯ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนต่ำ ไปสู่พืชทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และมีตลาดรองรับที่แน่นอน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวลของชุมชน ซึ่งในหลายพื้นที่ของประเทศไทยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็ว สามารถใช้เป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าชีวมวลตามนโยบายของกระทรวงพลังงานได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจัดทำแนวทางส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานชีวมวลในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชเป้าหมาย พร้อมทั้งพิจารณากรอบแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อ “มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางรายได้ของเกษตรกรไทย” ภายใต้หลักการตลาดนำการผลิตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38328 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์–1 มีนาคม 2564 ในวันทำการ ระหว่างเวลา 09.00–15.00 น.
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์–1 มีนาคม 2564 ในวันทำการ ระหว่างเวลา 09.00–15.00 น. ณ สำนักบริหารทรัพยากรบุคคล ชั้น 7 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จังหวัดนนทบุรี ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.glo.or.th หรือสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2528-9818 ตั้งแต่เวลา 07.30–15.30 น. เว้นวันหยุดราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบ กสร. เดินหน้าตรวจค้ามนุษย์ พบเมืองสองแควใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย สั่งลงดาบทันที | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รมว.แรงงาน มอบ กสร. เดินหน้าตรวจค้ามนุษย์ พบเมืองสองแควใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย สั่งลงดาบทันที
สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เดินหน้าตรวจการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในสถานประกอบกิจการ พบนายจ้างเมืองสองแควใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย สั่งแจ้งความดำเนินคดีทันที พร้อมย้ำนายจ้างมีโทษหนักปรับขั้นต่ำ 4 แสน ต่อลูกจ้างหนึ่งคน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาการค้ามนุษย์ จับกุม ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด คุ้มครองผู้เสียหาย ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ตนจึงได้สั่งการไปยังกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ดำเนินการเชิงรุกในทุกพื้นที่ เพิ่มการประสานความร่วมมือระหว่างทีมสหวิชาชีพ และภาคประชาสังคม เดินหน้าตรวจการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในสถานประกอบกิจการ และต้องบูรณาการงานอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานเชิงรุกตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยการผนึกกำลังร่วมกับ ฝ่ายปกครอง และทีมสหวิชาชีพของจังหวัดพิษณุโลกเข้าตรวจสถานประกอบกิจกลุ่มเสี่ยงพบนายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องในเรื่องการจ้างแรงงานเด็กเข้าทำงาน 1 แห่ง ซึ่งมีพนักงานเป็นเด็กเสริฟอายุต่ำกว่า 18 ปี 5 คน ทั้งนี้ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพิษณุโลก ได้แจ้งข้อกล่าวหาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในเรื่อง การใช้แรงงานเด็กในสถานบริการ การใช้แรงงานเด็กระหว่างเวลา 22.00 - 06:00 น. และการจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และแจ้งความดำเนินการคดีกับนายจ้างเรียบร้อยแล้ว จึงขอย้ำเตือนนายจ้าง เจ้าของประกอบการให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะหากฝ่าฝืนจะมีโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็ก โดยมีโทษต่ำสุดปรับตั้งแต่ 400,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี ถึง 4 ปี ต่อลูกจ้างหนึ่งคน หรือทั้งปรับทั้งจำ หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 10 พื้นที่หรือที่ กองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2245 7170, 0 2246 6389 หรือสายด่วน 1506 กด 3
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลงพื้นที่ป่าชุมชนหนองวัวซอ ย้ำชุมชนมีความสำคัญดูแลรักษาป่าและน้ำ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
วราวุธ ลงพื้นที่ป่าชุมชนหนองวัวซอ ย้ำชุมชนมีความสำคัญดูแลรักษาป่าและน้ำ
วราวุธ ลงพื้นที่ป่าชุมชนหนองวัวซอ ย้ำชุมชนมีความสำคัญดูแลรักษาป่าและน้ำ
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 9.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่มอบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการป่าชุมชน และพบปะเครือข่ายป่าชุมชนหนองวัวซอ พร้อมมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนจำนวน 11 ชุมชน โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม และมีนายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ ณ โครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ อ่างเก็บน้ำห้วยตาดข่า จังหวัดอุดรธานี ซึ่งรมว.ทส. ได้ปลูกต้นพะยูง ในโอกาสนี้ด้วย
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนชุมชนหนองวัวซอ ที่ร่วมมือกันดูแลพื้นที่ป่าชุมชน ทำให้พื้นที่โดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ และมีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภคและใช้ในการเกษตรตลอดปี ซึ่งเป็นไปตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ จัดการ ฟื้นฟูให้ป่ามีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น และมีการใช้ทรัพยากรและผลผลิตจากป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความมั่นคงของคนในชุมชน ได้เรียนรู้การอยู่อย่างสมดุลกับธรรมชาติและดำรงชีพอยู่ได้อย่างมีความสุข และให้ทรัพยากรป่าไม้อยู่ร่วมกับคนไทยต่อไปตราบนานเท่านาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด! มาตรการลดภาระ - เยียวยาโควิดระลอกใหม่ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
เปิด! มาตรการลดภาระ - เยียวยาโควิดระลอกใหม่
...
ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
มีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายและเยียวยาประชาชน
ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของ ครม.
และเตรียมนำไปสู่การปฏิบัติจริงนับจากนี้
.
เริ่มกันที่ “มาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย”
ลดค่าน้ำ–ไฟ 2 เดือน ให้ประชาชนและกิจการขนาดเล็ก
ช่วยค่าโทร. ค่าเน็ต/ เร่งจ้างงานเด็กจบใหม่
ช่วยเหลือผู้ประกอบการ 5 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
ที่เปิดโรงงานเป็นพื้นที่กักกัน (Factory Quarantine)
.
เลื่อนสิทธิเราเที่ยวด้วยกันออกไป ถึง เม.ย. 64
จัดหาอุปกรณ์ป้องกันโควิดเพิ่มเติม
พร้อมดูแลแรงงานทั้งในและนอกระบบประกันสังคม
เช่น ลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือ 3%
รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง/ลาออก
.
สำหรับ “มาตรการเสริมสภาพคล่อง”
ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป
เช่น ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้
บรรเทาภาระหนี้สินจากแบงค์รัฐ เป็นต้น
อ่านรายละเอียด มติ ครม. เพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38232
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เตือนภัย! ยาเสพติดชนิดใหม่ ฤทธิ์แรงตายเร็ว
อนุมัติงบ ! ช่วยเกษตรกรโคนม
ร่วมระลึกพระคุณครูแบบ New normal
เตรียมเปิด “คนละครึ่ง” รอบเก็บตก 20 ม.ค. นี้
คอนเฟิร์ม! เงิน 4 โครงการเยียวยาจากรัฐ ไม่ต้องเสียภาษี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.วราวุธ ตรวจราชการครบจังหวัดที่60 มอบระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.หนองบัวลำภู | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รมว.วราวุธ ตรวจราชการครบจังหวัดที่60 มอบระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.หนองบัวลำภู
รมว.วราวุธ ตรวจราชการครบจังหวัดที่60 มอบระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.หนองบัวลำภู
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานและมอบโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ศูนย์ฝึกอาชีพเรือนจำชั่วคราวบ้านห้วยเตย พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปและมอบแนวทางการดำเนินงาน รวมถึงมอบถุงยังชีพ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ชั้นเยี่ยม โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม และมีนางศิวพร ฉั่วสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ฝึกอาชีพเรือนจำชั่วคราวบ้านห้วยเตย (วัดพัชรกิติยาภาราม) จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งได้เยี่ยมชมฟาร์มห้วยเตย เรือนจำท่องเที่ยวเชิงเกษตร และปลูกต้นรวงผึ้งในโอกาสนี้ด้วย
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า น้ำเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินการหลายอย่าง ซึ่งโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงทรัพยากรน้ำอย่างทั่วถึง โดยการพัฒนาระบบกระจายน้ำเพื่อนำน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มีอยู่ในพื้นที่ ให้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของชุมชน ทั้งนี้ ขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ชุมชน วัดพัชรกิติยาภาราม เรือนจำชั่วคราวบ้านห้วยเตย กรมราชทัณฑ์ ในการดูแลบำรุงรักษาเพื่อให้โครงการมีความยั่งยืน และได้กล่าวทิ้งท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ ขอให้ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย มีความอดทน และมีความซื่อสัตย์ในการทำงาน เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38347 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 1/2564 | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 1/2564
รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 1/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศร์ โดยการประชุมฯ ดังกล่าว ได้มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จำนวน 2 เรื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. หารือสำนักงบประมาณ ล็อคเป้า ปีงบ 65 พลิกฟื้นครอบครัวเปราะบางหลังโควิด | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รมว.พม. หารือสำนักงบประมาณ ล็อคเป้า ปีงบ 65 พลิกฟื้นครอบครัวเปราะบางหลังโควิด
รมว.พม. หารือสำนักงบประมาณ ล็อคเป้า ปีงบ 65 พลิกฟื้นครอบครัวเปราะบางหลังโควิด
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดยมีผู้แทนจากสำนักงบประมาณ นำโดย นายอนันต์ แก้วกำเนิด รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และคณะ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อรับข้อเสนอแนะทิศทางการจัดทำงบประมาณของประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้เน้นย้ำว่า ให้ทุกหน่วยงานจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ โควิด-19 และให้เกิดการบริหารงบประมาณที่คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ตรงกับปัญหา และความต้องการของประชาชน เน้นนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้การทำงานให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนโยบายดังกล่าว กระทรวง พม. มั่นใจ พร้อมขานรับนโยบายมาขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเชิงลึก เพื่อดูแลคนกลุ่มเปราะบางแก้ไขปัญหาความยากจนของครัวเรือน จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ที่สะท้อนให้เห็นกระบวนการส่งต่อความช่วยเหลือ เสริมพลังกลุ่มเปราะบางอย่างบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ โดยให้ข้าราชการ พม. และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ขับเคลื่อนการทำงานในลักษณะการวิเคราะห์สาเหตุปัญหารายครัวเรือน (Case Management) และจัดทำเป็นแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน ร่วมกับเจ้าของปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนที่ตรงจุด ครบคลุมทุกมิติ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้มีที่อยู่อาศัย มีอาชีพ-รายได้ และสามารถดูแลครอบครัวได้ ทั้งนี้ ให้ข้าราชการ พม. ทุกคน ตั้งแต่ปลัดกระทรวง จนถึงระดับปฏิบัติงาน รับผิดชอบครัวเรือนเปราะบางโดยข้าราชการ 1 คน สนับสนุนการทำงานของ อพม. 25 คน และ อพม. 1 คน ดูแล 10 ครัวเรือน โดยเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้ระยะเวลา 6 เดือน 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหารายครัวเรือนที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ โดยนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ มุ่งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางให้ทุกครอบครัวมั่นคงมีความสุข เพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์กระทรวงที่ว่า สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แจ้งข่าวดี ฝึกฟรี มีให้ทุนอบรม “การดูแลผู้สูงอายุ” การันตีมีงานทำ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
ก.แรงงาน แจ้งข่าวดี ฝึกฟรี มีให้ทุนอบรม “การดูแลผู้สูงอายุ” การันตีมีงานทำ
รมช.แรงงาน เผย โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและกล้วยน้ำไทมูลนิธิ จัดโครงการอบบรมออนไลน์ หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ ฝึกฟรี! จบแล้วมีงานทำ ส่งมอบโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส ขาดทุนทรัพย์ หรือว่างงาน
วันที่ 15 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงาน สาขาการดูแลผู้สูงอายุร่วมกับบริษัทในเครือโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและกล้วยน้ำไทมูลนิธิ เพื่อการบูรณาการภารกิจร่วมกัน ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ในการพัฒนาแรงงานเพื่อพัฒนาบุคลากรหรือแรงงานที่ให้บริการด้านการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันยังขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงสนับสนุนส่งเสริมการสร้างทักษะฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐาน เพื่อการประกอบอาชีพทั้งในและต่างประเทศ
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้โรงเรียนฝึกพนักงาน โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จัดโครงการเรียนออนไลน์หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มอบทุนการศึกษาให้ผู้ที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยขณะที่เรียนจะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ รวมถึงมีที่พัก อาหาร และมีชุดยูนิฟอร์มให้ระหว่างที่เข้ารับการฝึกภาคปฏิบัติ ซึ่งเมื่อจบการศึกษาหลักสูตรนี้แล้วจะได้ทำงานดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ กับบริษัท จูเนียร์ และซีเนียร์ โฮมเฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งบริษัทในเครือโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยไม่ต้องคืนทุน แถมมีรายได้ 13,000-15,000 บาท รวมถึงค่าทำงานล่วงเวลาหรือโอที วันละ 800 บาท หลังจากที่ทำงานครบ 2 ปี ก็สามารถไปทำงานที่อื่นได้ตามต้องการ
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่สนใจสมัครเพื่อขอรับทุนเข้าศึกษาหลักสูตรดังกล่าว จะต้องเป็นเพศหญิง อายุ 18-35 ปี เป็นผู้ด้อยโอกาส ขาดแคนทุนทรัพย์ ว่างงาน ตกงาน วุฒิการศึกษา ม.3 ขึ้นไป มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน มีความประพฤติดี รักการบริการและช่วยเหลือผู้อื่น น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 40 ไม่มากกว่า 75 กิโลกรัม และส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 155 เซนติเมตร สนใจรับทุนเรียน ติดต่อได้ที่ 098-983-0414 Line@ : https://lin.ee/ioaDGJW เว็บไซต์ : www.kluaynamthaischool.com หรือ Facebook : โรงเรียนฝึกพนักงาน โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
“ในขณะที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก ทั้งทางตรงและทางอ้อม และทุกคนกำลังพยายามป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ และกังวลกับโอกาสในการหางานทำกับสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน หลักสูตรนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการทำงาน สร้างรายได้ให้ตัวเองและครอบครัวท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อฝึกจบมีงานทำทันที” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือทูตกัมพูชาแก้ปัญหาโควิด19 | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือทูตกัมพูชาแก้ปัญหาโควิด19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือทูตกัมพูชาแก้ปัญหาโควิด19
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 นายอูก ซอร์พวน (H.E. Mr. Ouk Sorphorn) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย เข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้ขอบคุณประเทศไทยที่ได้ดูแลชาวกัมพูชาในประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และขอให้รัฐบาลไทยดูแลชาวกัมพูชาที่ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลไทยมีนโยบายอยู่แล้ว ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวตอบว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกคนในประเทศไทย และได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชาสนับสนุนประเทศไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases (ACPHEED) ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมที่จะดำเนินการสร้างศูนย์ดังกล่าวเพื่อสร้างมั่นคงด้านสุขภาพให้กับภูมิอาเซียนและสามารถตอบโต้ต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการชำระค่าเช่าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ด้วยแอปพลิเคชัน (Application) ด้านที่ราชพัสดุ TRD Smart Pay | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
กรมธนารักษ์เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการชำระค่าเช่าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ด้วยแอปพลิเคชัน (Application) ด้านที่ราชพัสดุ TRD Smart Pay
กรมธนารักษ์เพิ่มช่องทางการรับชำระค่าเช่าและเงินอื่นๆ เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) ด้านที่ราชพัสดุ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคาร 7 แห่ง
วันนี้ (15 มกราคม 2564) ณ กระทรวงการคลัง นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า จากการที่กรมธนารักษ์ได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการชำระค่าเช่าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) มาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีช่องทางการชำระค่าเช่าและเงินอื่นๆ เกี่ยวกับที่ราชพัสดุผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ทั้งสิ้น จำนวน 15 ช่องทาง โดยในปี 2564 ได้เพิ่มช่องทางการรับชำระค่าเช่าและเงินอื่นๆ เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) ด้านที่ราชพัสดุ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคาร 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และสามารถเปิดให้บริการได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรมธนารักษ์มีผู้เช่าที่ราชพัสดุทั่วประเทศ ประมาณ 182,000 ราย แบ่งเป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุ ประมาณ 160,000 ราย และผู้เช่าอาคารราชพัสดุ ประมาณ 22,000 ราย มีผลการจัดเก็บรายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการบริหารจัดการด้านที่ราชพัสดุ ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยการให้บริการรับชำระค่าเช่าผ่านแอปพลิเคชัน (Application) จะเป็นทางเลือกที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางไปชำระค่าเช่า อีกทั้ง ยังเป็นทางเลือกใหม่ของผู้เช่าที่ราชพัสดุ ที่ต้องปรับพฤติกรรมเข้าสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) โดยการสร้างระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับการให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน (Application) ภายใต้ชื่อ “TRD Smart Pay” สามารถดาวน์โหลดไว้บนโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต โดยมีช่องทางให้เลือกชำระ 2 ช่องทาง ประกอบด้วย การชำระเงินออนไลน์ผ่านบัญชีธนาคารต่างๆ (Page to Page) และการชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต/เดบิต (Payment Gateway) ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการแต่อย่างใด
นอกจากนี้ กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างจัดทำใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) รองรับการให้บริการชำระเงินค่าเช่าผ่านแอปพลิเคชัน (Application) และบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ด้านที่ราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ เพื่อลดปัญหาการจัดการข้อมูลหรือเอกสารที่อยู่ในรูปของกระดาษ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร สร้างความมั่นใจในการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องอีกด้วย อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38350 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำทีม ปชป.ลงใต้ มอบถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ปัตตานี ยะลา นราธิวาส 10,000 ชุด พร้อมกำชับ พณ.จว. ดูแลสินค้าอย่าให้ขาดแคลนและฉวยโอกาสขึ้นราคาเด็ดขาด | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
จุรินทร์ นำทีม ปชป.ลงใต้ มอบถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ปัตตานี ยะลา นราธิวาส 10,000 ชุด พร้อมกำชับ พณ.จว. ดูแลสินค้าอย่าให้ขาดแคลนและฉวยโอกาสขึ้นราคาเด็ดขาด
จุรินทร์ นำทีม ปชป.ลงใต้ มอบถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ปัตตานี ยะลา นราธิวาส 10,000 ชุด พร้อมกำชับ พณ.จว. ดูแลสินค้าอย่าให้ขาดแคลนและฉวยโอกาสขึ้นราคาเด็ดขาด
วันที่ 14 มกราคม 2564 เวลา 13.30 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะลงพื้นที่มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ โดยเวลา 13.30 น.ที่โรงเรียนวัดโคกหญ้าคา ตำบลคลองใหม่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 14.25 น. มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ณ โรงเรียนบ้านบินยา หมู่ 2 ตำบลคลองใหม่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 15.50 น. มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ณ อบต.มะนังดาลำ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จากนั้น 16.45 น. ตรวจเยี่ยมโครงการพาณิชย์ลดราคา! เพื่อประชาชน New Year Grand Sale 2021 ณ ร้านอีฟ แอนด์ อาร์ม มินิมาร์ท อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี 17.20 น. มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ณ โรงเรียนบ้านกลาพอ ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า นำคณะพรรคประชาธิปัตย์และถุงยังชีพทั้งหมดรวมแล้ว 2,000 ชุด 4 จุด โดยมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ที่มีตนเป็นประธาน ได้มีการจัดถุงยังชีพสำหรับลงไปช่วยเหลือพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 10,000 ชุด โดย 2,000 ชุดนี้อยู่ในจำนวนนั้นด้วย จะมาช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในฐานะของมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นอกจากที่ส่วนราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่ดำเนินการตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานอยู่แล้ว
นายจุรินทร์ บอกด้วยว่า ครั้งนี้จะไปตรวจโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ล็อตที่ 8 ที่อำเภอสายบุรีด้วย ซึ่ง ล็อต 8 ลดราคามาตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมและจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2564 มีสินค้าที่เข้าร่วมรายการ ถึง 22,000 รายการ ลดสูงสุดถึงร้อยละ 85 ส่วน ภาคบริการมีมากกว่า 500 บริการ ที่ร่วมลดราคาลดสูงสุดถึงร้อยละ 87
" นอกจากนั้นยังได้กำชับให้พาณิชย์จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมไปตรวจตราเรื่องสินค้าอย่าให้เกิดการขาดแคลนเพราะพื้นที่น้ำท่วมหลายครั้งจะพบปัญหาการขาดแคลนสินค้าตามมา รวมทั้งเข้าไปตรวจตราอย่าให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าซ้ำเติมผู้ประสบอุทกภัยเกิดขึ้นเด็ดขาด" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38329 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.