title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ก.อุตฯ”คุมเข้มมาตรการสกัด‘ฝุ่น PM2.5’ สั่งตรวจสอบโรงงานทั่วประเทศเสี่ยงปล่อยฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน” | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
“ก.อุตฯ”คุมเข้มมาตรการสกัด‘ฝุ่น PM2.5’ สั่งตรวจสอบโรงงานทั่วประเทศเสี่ยงปล่อยฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน”
กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มมาตรการสกัด‘ฝุ่น PM2.5’ สั่งตรวจสอบโรงงานทั่วประเทศเสี่ยงปล่อยฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน”
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พื้นที่ กทม.และปริมณฑลในระยะเร่งด่วน สั่งตรวจสอบ-บังคับใช้กฎหมายในโรงงานควบคุมมลพิษ ชงมาตรการจูงใจหนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมอัดโปรสินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปีงบประมาณ 2562-2564 รวม 6,000 ล้านบาท!
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการรายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของรัฐบาลที่ได้บูรณาการความร่วมมือจากหลายฝ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาไว้ทั้ง 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และภาคเกษตรอุตสาหกรรม ทั้งมาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว
โดยในส่วนของมาตรการเร่งด่วนในภาคอุตสาหกรรม ให้ตรวจสอบ เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายกับโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้หม้อน้ำ หรือแหล่งกำเนิดความร้อน และอุปกรณ์การเผาไหม้ในพื้นที่ กทม. และจังหวัดปริมณฑล พร้อมกับขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบ ควบคุมระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับแผนการผลิตและขอความร่วมมือให้มีการติดตั้งระบบตรวจสอบ การระบายมลพิษอากาศแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง (CEMS) และเชื่อมโยงข้อมูลมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) รวมทั้ง การปรับแต่งการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากหม้อน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และลดปัญหามลพิษทางอากาศ และสำหรับในระยะยาวจะดำเนินการขยายผลการติดตั้งระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง (CEMS) โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุมพื้นที่และประเภทการประกอบกิจการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมจำพวก 3 เตาเผาที่มีการใช้เชื้อเพลิง ชีวมวล และหม้อน้ำตามขนาดที่กำหนด รวมถึงการทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานให้เข้มงวดมากขึ้น ตลอดจนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกกฎหมายรายงานการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR)
มาตรการในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้จัดทำมาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านมาตรฐานที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า ที่ประกาศใช้แล้ว 37 มาตรฐาน จากทั้งหมด 63 มาตรฐาน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2564 พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อรองรับการทดสอบรถยนต์หรือชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการ ส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถบัสไฟฟ้า ภายในประเทศ และการกำหนดอัตราค่าไฟคงที่ทุกช่วงเวลาสำหรับการชาร์ตยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งจัดทำแผนการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังมีมาตรการในภาคเกษตรอุตสาหกรรม ด้วยการกำหนดนโยบายลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ : อ้อยสด เป็นร้อยละ 20:80 ในฤดูการผลิตปี 2563/2564 โดยมีมาตรการกำหนดราคาอ้อยสดกับราคาอ้อยไฟไหม้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้ชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยไฟไหม้หันกลับมาตัดอ้อยสด จัดซื้อรถสางใบอ้อย เพื่อให้ชาวไร่อ้อยรายเล็กได้ยืมไปใช้ และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร โดยโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปีงบประมาณ 2562-2564 วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวมระยะเวลา 3 ปี เป็นจำนวน 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำ และการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย จัดซื้อรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย รถแทรกเตอร์ รถบรรทุกอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตรอื่น ๆ
“กระทรวงฯ มีการตรวจสอบ และติดตามสถานการณ์โรงงานที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิด ฝุ่นละออง PM2.5 ทั่วประเทศ โดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้พลังงานในหม้อน้ำ หม้อต้ม ที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนและอุปกรณ์การเผาไหม้อื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้จัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้สำหรับหม้อน้ำและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน เพื่อการอนุรักษ์พลังงานและลดฝุ่นละออง PM2.5 ของโรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งการปรับแต่งการเผาไหม้นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้วยังช่วยลดปัญหา ฝุ่นละอองแก่โรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ ได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจ ติดตาม โรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสร้างปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้โรงงานลดการปล่อยมลพิษรวมถึงฝุ่น PM2.5 ให้เหลือน้อยที่สุด” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรต่อเวลาอีก 3 ปี สำหรับการขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ตทุกประเภทภาษี | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
สรรพากรต่อเวลาอีก 3 ปี สำหรับการขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ตทุกประเภทภาษี
กรมสรรพากรต่อเวลาให้อีก 3 ปี สำหรับการขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแต่ละประเภท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567
กรมสรรพากรต่อเวลาให้อีก 3 ปี สำหรับการขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแต่ละประเภท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้ประกาศขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด โดยขยายเวลาต่อไปอีก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี และการนำส่งภาษีตามประมวลรัษฎากรสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และ ภ.ง.ด.94) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.51 ภ.ง.ด.52 ภ.ง.ด.54 และ ภ.ง.ด.55) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) และภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ www.rd.go.th ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือนำส่งภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ในทุกขั้นตอน เพราะง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)และสำหรับผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชำระภาษี หากชำระภาษีผ่าน QR Code หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตามเงื่อนไขของธนาคาร”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร.1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" เน้นย้ำ สคบ.บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ทำงานเชิงรุก หากพบการหลอกลวง ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
"อนุชา" เน้นย้ำ สคบ.บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ทำงานเชิงรุก หากพบการหลอกลวง ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ สคบ.บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ทำงานเชิงรุก หากพบการหลอกลวง ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ทำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้จ่ายซื้อของทางสื่อออนไลน์มากขึ้น ในฐานะประธานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคุมเข้มการขายสินค้าทางสื่อออนไลน์ กำชับให้ทำงานเชิงรุกอย่างครอบคลุม ให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมมือป้องกันแก้ปัญหา และให้ความรู้กับผู้บริโภคได้รู้เท่าทันกลโกงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงให้เฝ้าระวังสินค้าที่ผิดกฎหมาย คัดกรองผู้ขายสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวง ทั้งนี้ หากพบเจอให้รีบแจ้งที่ สายด่วน สคบ. 1166 เพื่อดำเนินการเอาผิดทันที
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นคดีอาญามากขึ้น มีผู้บริโภคถูกฉ้อโกงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ซื้อสินค้ามาแล้วเกิดปัญหาแต่หาตัวตนของผู้ขายไม่ได้ ปิดเว็บไซต์หนี หรือผู้บริโภคโอนเงินไปแล้วกลับไม่ส่งสินค้ามาให้ เป็นต้น โดยได้เน้นย้ำให้ สคบ. บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดมากขึ้น หากพบว่ามีการหลอกลวง หรือทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งกฎหมายของ สคบ. หรือประสานหน่วยงานอื่นนำกฎหมายที่ดูแลอยู่ไปดำเนินการบังคับใช้
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย พี่น้องประชาชนต่างได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน ขอให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์อย่าซ้ำเติมความเดือดร้อนด้วยการขายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ฉ้อโกงผู้บริโภค ขอให้ซื่อสัตย์ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ก้าวผ่านสถานการณ์ไปด้วยกัน" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
-----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38351 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. ส่วนหน้า รับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยจากไทยเบฟ เพื่อสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนาม 9 แห่ง ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
ศบค.มท. ส่วนหน้า รับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยจากไทยเบฟ เพื่อสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนาม 9 แห่ง ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ศบค.มท. ส่วนหน้า รับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยจากไทยเบฟ เพื่อสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนาม 9 แห่ง ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 เวลา 14.30 น. นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร ในฐานะหัวหน้าผู้ปฏิบัติหน้าที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย ส่วนหน้า (ศบค.มท. ส่วนหน้า) เป็นผู้แทนรับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือ และหน้ากากอนามัยเพื่อสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนามในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยมี นายนุสรณ์ ตั้นพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุรากระทิงแดง (1988) จำกัด ในฐานะผู้แทนบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมส่งมอบ
นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า ในนามของ ศบค.มท. ส่วนหน้า ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครเป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแลการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขอขอบคุณบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนแอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย Surgical mask และ N95 ตลอดจนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีความจำเป็น เพื่อใช้ในภารกิจโรงพยาบาลสนามในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครหรือ “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” รวมถึงโรงพยาบาลสนามในเขตพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวม 9 แห่ง ซึ่งจะได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการต่อไป โดยจะสนับสนุนการปฏิบัติงานตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังมั่นใจ กบข. โชว์ผลงานปี 63 สร้างผลตอบแทนกองสมาชิก 4.79% แผนหลัก 4.93% ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากวิกฤตโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
คลังมั่นใจ กบข. โชว์ผลงานปี 63 สร้างผลตอบแทนกองสมาชิก 4.79% แผนหลัก 4.93% ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากวิกฤตโควิด-19
กบข.เผยผลดำเนินงานปี 2563 สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนส่วนสมาชิกสูงถึง 4.79% ผลตอบแทนแผนหลัก 4.93% ท่ามกลางความผันผวนสืบเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 ตอกย้ำความสำเร็จจากกลยุทธ์กระจายการลงทุนไปหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ และประสิทธิภาพของ 8 โมเดลลงทุน
กบข. เผยผลการดำเนินงานปี 2563 สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนส่วนสมาชิกสูงถึง 4.79% ผลตอบแทนแผนหลัก 4.93% ท่ามกลางความผันผวนสืบเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 ตอกย้ำความสำเร็จจากกลยุทธ์กระจายการลงทุนไปหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ และประสิทธิภาพของ 8 โมเดลลงทุน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผลตอบแทนการลงทุนของ กบข. ในปี 2563 ที่ผ่านมาถือว่าน่าชื่นชม กบข. สามารถทำผลตอบแทนให้กองทุนส่วนสมาชิกสูงถึง 4.79% และ 4.93% สำหรับแผนหลัก ซึ่งสมาชิกกว่า 90% อยู่ในแผนนี้
“ส่วนตัวผมมั่นใจใน กบข. อยู่แล้ว ผมเป็นสมาชิกตั้งแต่ทำงานอยู่สภาพัฒน์ฯ เกษียณแล้วผมก็ยังใช้บริการออมต่อกับ กบข. ยอดเงินของผมใน กบข. ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ส่งเงินสะสมเพิ่มเพราะเกษียณแล้ว ในส่วนการกำกับดูแล ผมมั่นใจในคณะกรรมการ กบข. ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผมเชื่อว่าทุกท่านดูแล กบข. อย่างมืออาชีพ” นายอาคมฯ กล่าว
ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานของ กบข. ในปี 2563 ชนะทุกกลุ่มตัวชี้วัดที่คณะกรรมการกำหนด ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านสมาชิก ด้านองค์กร และที่สำคัญที่สุดคือด้านการลงทุน ขณะที่กระทรวงการคลังให้การสนับสนุนการบริหารกองทุน กบข. ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสกระจายการลงทุนให้ กบข.
“อยากให้สมาชิก กบข. ใช้บริการออมเพิ่มและเลือกแผนลงทุนกับ กบข. ตามหลักการลงทุนที่ดี อายุน้อยก็อาจจะเลือกแผนที่มีความเสี่ยงได้มากกว่าคนที่อายุมาก เพราะอีกหลายปีกว่าจะเกษียณ สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า แต่ที่สำคัญคือควรออมเพิ่มด้วย เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์ทวีค่าเงินออมแล้วยังลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ผมเองออมเพิ่มเต็มอัตรากับ กบข. มานานแล้ว” นายกฤษฎาฯ กล่าว
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. เปิดเผยว่า ปี 2563 เป็นปีที่ท้าทาย กบข. เป็นอย่างมาก วิกฤติโควิด-19 ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง หน่วยงานภาครัฐและธนาคารกลางเกือบทุกประเทศออกมาตรการการคลังและการเงินเพื่อเยียวยาและลดผลกระทบ ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องล้นระบบ ขณะที่มาตรการล็อคดาวน์ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่โลกลงทุนไม่เคยสัมผัสมาก่อน เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนมีความแม่นยำ นำข้อมูลจากทุกมิติมาประกอบการตัดสินใจ กบข. จึงพัฒนา 8 โมเดลลงทุนนำมาใช้งานร่วมกับประสบการณ์ของทีมลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจในการทำ Tactical ด้านการลงทุนในหลายจังหวะที่มีโอกาส ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในปีที่ผ่านมาคือการย้ำให้เห็นว่าการบริหารการลงทุนของ กบข. ดำเนินมาอย่างมีประสิทธิภาพ
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.04 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2563)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓
ในวันศุกร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๔๑๙ ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓ โดยมีคณะกรรมาธิการฯ เข้าร่วมการประชุม
โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างรายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยที่ประชุม ได้มีการปรับแก้ไขร่างรายงานในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงกำหนดเวลาที่พืชกระท่อมจะถูกถอดจากยาเสพติดให้โทษ ตาม
พระราชบัญญัตินี้
นอกจากนี้ ประธานกรรมาธิการ ได้ประสานงานเพื่อบรรจุร่าง พระราชบัญญัตินี้ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเพื่อส่งให้วุฒิสภาได้พิจารณาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนภัย! ยาเสพติดชนิดใหม่ ฤทธิ์แรงตายเร็ว | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
เตือนภัย! ยาเสพติดชนิดใหม่ ฤทธิ์แรงตายเร็ว
...
เป็นเรื่องที่ต้องรีบเตือนภัย สำหรับยาเสพติดชนิดใหม่
ที่ปัจจุบันกลุ่มวัยรุ่นนิยมนำมาเสพจนเกิดอันตรายถึงชีวิต
.
“ยาเคนมผง” เป็นสารเสพติดที่มีส่วนผสมของสารหลายชนิด
ผสมกันจนมีลักษณะละเอียดคล้ายนมผง
เช่น เคตามีน ที่ออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง
และเฮโรอีน ที่กดประสาทอย่างรุนแรง เช่นกัน
.
เมื่อผู้เสพเสพยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะทำให้มีอาการประสาทหลอน จนถึงหัวใจหยุดเต้น
ยิ่งถ้าดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
ทำให้เสียชีวิตได้ทันที แม้จะเสพเป็นครั้งแรกก็ตาม
.
แอดมินขอฝากให้ทุกคนร่วมเป็นหูเป็นตา
สังเกตพฤติกรรมบุตรหลาน หรือคนรอบข้าง
หากพบว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงเสพยา ให้รีบพูดคุยด้วยเหตุผล
หรือขอรับคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนยาเสพติด 1165
.
สำหรับผู้ที่ต้องการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ติดต่อได้ที่
สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี
โทร. 0 2531 0080 – 4
หรือ โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ส่วนภูมิภาค 6 แห่ง
ได้แก่ จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา ปัตตานี
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุม VDO Conference กับ ผวจ. บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานความมั่นคง จ.ตาก ที่ รพ.แม่สอด แนะแนวทางทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ พร้อมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
นายกฯ ประชุม VDO Conference กับ ผวจ. บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานความมั่นคง จ.ตาก ที่ รพ.แม่สอด แนะแนวทางทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ พร้อมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า
นายกฯ ประชุม VDO Conference กับ ผวจ. บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานความมั่นคง จังหวัดตาก ที่ รพ.แม่สอด แนะแนวทางทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ พร้อมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า ย้ำรัฐบาลเร่งรัดจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามแผน
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 10.30 น. ณ ห้องศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference กับโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา และรับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ผู้แทนหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ร่วมกันทำงานอย่างหนักในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งจังหวัดและอำเภอจะเป็นหน่วยงานจัดทำแนวทางปฏิบัติ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การทำงานในพื้นที่มีความสอดคล้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยรัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ ในการเร่งรัดจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับประชาชนให้ได้ตามแผนที่วางไว้ เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า
จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 100 ราย ติดเชื้อภายในจังหวัด 19 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 81 ราย จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 32 ราย จำนวนผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาลแม่สอด 67 ราย ทั้งนี้ โรงพยาบาลแม่สอดมีศักยภาพและความพร้อมด้านสาธารณสุข โดยแผนระยะที่ 1 โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลพบพระ และโรงพยาบาลแม่ระมาด จัดเตรียมเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 108 เตียง ซึ่งปัจจุบันมีการใช้รักษาผู้ป่วยประมาณ 50 เตียง ควบคู่กับการจัดเตรียมสถานพักฟื้น (Hospitel) 1 แห่ง จำนวน 60 เตียง แผนระยะที่ 2 หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น จะมีการยกระดับโดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทางแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และเพิ่มจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วยเป็น 302 เตียง แผนระยะที่ 3 จัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม โดยทางจังหวัดเริ่มดำเนินการจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมสร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงถึงความจำเป็นในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งคาดว่าโรงพยาบาลสนามจะสามารถรับผู้ป่วยได้ 200 เตียง สำหรับการจัดเตรียม Local Quarantine ได้มีการจัดเตรียมโรงแรมไว้ 2 แห่ง จำนวน 244 ห้อง ปัจจุบันมีผู้อยู่ใน Local Quarantine จำนวน 101 ห้อง และอยู่ระหว่างการจัดหาสถานที่เพิ่มเติม
โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ยังได้เผยถึงการแก้ไขปัญหาการลักลอบข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมายในเชิงรุก ซึ่งมักพบคนไทยที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศเมียนมาลักลอบกลับเข้าประเทศไทย เนื่องจากมีการล็อกดาวน์ในประเทศเมียนมา และสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในเมียนมามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จังหวัดตากร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข และฝ่ายตุลาการ ได้ประสานงานไปยังคนไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศเมียนมาให้ทราบถึงความผิด หากลักลอบเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือให้แจ้งทางการหากต้องการเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งจะดำเนินการควบคุมตัวตามจุดต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคัดกรองโรค หากพบผู้ป่วยติดเชื้อก็จะนำส่งโรงพยาบาล หากไม่มีป่วยติดเชื้อจะต้องเข้าสู่ Local Quarantine เพื่อสังเกตอาการ 14 วัน ระหว่างนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและแจ้งข้อกล่าวหา โดยที่ผ่านมาจังหวัดตากได้นำคนไทยกลับมา 152 ราย พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 65 รายซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแม่สอด ทั้งนี้ การคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ถือเป็นมาตรการสำคัญในการตรวจหาเชื้อเพื่อสกัดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงปัจจุบันตรวจหาเชื้อเชิงรุกไปแล้ว 20,096 ราย พบผู้ติดเชื้อ 3 ราย การค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในด่านพรมแดนมิตรภาพไทย - เมียนมา 7,600 ราย พบผู้ติดเชื้อชาวเมียนมา 29 ราย และได้ประสานไปยังสาธารณสุขเมียนมาเพื่อดำเนินการรักษาผู้ติดเชื้อต่อไป ขณะเดียวกันได้ดำเนินการเฝ้าระวังและค้นหาผู้ติดเชื้อกลุ่มแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อำเภอแม่สอด โดยมีเป้าหมาย 400 คนต่อสัปดาห์
สำหรับมาตรการการลักลอบข้ามแดน มีหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 กองร้อยทหารพรานและกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมชุดลาดตระเวน กระจายตรึงกำลังระยะทาง 500 กิโลเมตรตลอดแนวชายแดน 5 อำเภอ จังหวัดตาก พร้อมชุดลาดตระเวนเพิ่มเติม จุดตรวจสกัดของฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตั้งด่านตรวจในพื้นที่ชุมชน 175 จุดด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แนะถึงมาตรการป้องกันโควิด-19 ในโรงงาน รวมถึงโรงพยาบาลสนาม ต้องเลือกพื้นที่เหมาะสม ไม่แออัด สิ่งสำคัญต้องได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนเป็นอาสาสมัครแจ้งเหตุ เมื่อพบผู้ต้องสงสัยในพื้นที่ โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย พร้อมย้ำ ฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ให้เตรียมพื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ช่วยดูแลบุคคลที่เดินทางเข้ามา และส่งตรวจคัดกรองต่อไป ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยความร่วมมือของคนในพื้นที่ด้วย
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลประชาชนให้พ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ฝากให้จังหวัดตากช่วยคิดว่าสิ่งใดที่ทางจังหวัดสามารถทำได้เอง หรือมีสิ่งใดที่ต้องการให้รัฐสนับสนุน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ฝากให้ทุกคนรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี ใส่หน้ากากให้ถูกวิธี รอบคอบและระมัดระวังตนเองไม่ให้ติดโรค และที่สำคัญที่สุด เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ได้พระราชทานเครื่องมือต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนคนไทยทั่วประเทศ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รุกเดินหน้า 8 ร่างมาตรฐานใหม่ รมช.ประภัตร ผลักดัน มกอช.เร่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรฯ ครบทุกมิติลดการนำเข้า รุกตลาดส่งออกต่างประเทศ | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ รุกเดินหน้า 8 ร่างมาตรฐานใหม่ รมช.ประภัตร ผลักดัน มกอช.เร่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรฯ ครบทุกมิติลดการนำเข้า รุกตลาดส่งออกต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรฯ รุกเดินหน้า 8 ร่างมาตรฐานใหม่ รมช.ประภัตร ผลักดัน มกอช.เร่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรฯ ครบทุกมิติลดการนำเข้า รุกตลาดส่งออกต่างประเทศ
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ครั้งที่ 1/2564 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อดำเนินการประกาศ เป็นมาตรฐานทั่วไปของประเทศ ซึ่งการปฏิบัติการสร้างมาตรฐานสินค้าจะเป็นกลไกลสำคัญในการช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าและมูลค่าการส่งออกทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและยังสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิต โดยมาตรฐานใหม่ จำนวน 8 เรื่อง ได้แก่ 1.น้ำนมควายดิบ 2.การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มควายนม 3.แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มควายนม 4.การชันสูตรโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร 5.การปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำยางสด 6.แนวทางปฏิบัติสำหรับการบรรจุหีบห่อและการขนส่งผักและผลไม้สด 7.การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงเชือดชำแหละจระเข้ และ 8.แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรการปฏิบัติเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเล
ด้านนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างมาตรฐานใหม่ 8 เรื่อง คือ 1.น้ำนมควายดิบ เพื่อช่วยส่งเสริมการเลี้ยงควายนมให้เป็นอาชีพทางเลือก ช่วยส่งเสริมด้านการตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมเพื่อให้เป็นสินค้าทดแทนการนำเข้าประเภทเนยและชีสที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท 2.การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มควายนม 3.แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรการปฏิบัติเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มควายนม เพื่อกำหนดเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มควายนม ครอบคลุมข้อกำหนดตั้งแต่องค์ประกอบฟาร์ม การจัดการฟาร์ม บุคลากร สุขภาพสัตว์ สวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม และการบันทึกข้อมูล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควายนมมีสุขภาพดี และได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพ ในการนำไปใช้ผลิตเป็นอาหารที่ปลอดภัยต่อการบริโภค 4.การชันสูตรโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เพื่อกำหนดการชันสูตรโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรทางห้องปฏิบัติการ ที่มีความสอดคล้องกับคู่มือการชันสูตรโรคสัตว์บกขององค์การสุขภาพสัตว์โลก เพื่อให้ได้ให้มาตรฐานการชันสูตรโรคที่เป็นปัจจุบัน และมีความเหมาะสมกับการตรวจติดตาม และเฝ้าระวังโรคของประเทศไทย ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บตัวอย่าง การนำส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ และการชันสูตรโรค ซึ่งมี 2 วิธีการหลัก คือ การตรวจหาเชื้อ (Identification of the Agent) และการตรวจทางวิทยาเซรุ่ม (Serological Test) 5.การปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำยางสด กำหนดการปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำยางสด ตั้งแต่ขั้นตอนการรับน้ำยางสด การทดสอบคุณภาพน้ำยางสด การควบคุมการปฏิบัติงาน จนถึงการขนส่งเพื่อจำหน่าย เพื่อให้ได้น้ำยางสดที่มีคุณภาพ เหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปขั้นกลาง โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน 6.แนวทางปฏิบัติสำหรับการบรรจุหีบห่อและการขนส่งผักและผลไม้สด มีข้อกำหนดสอดคล้องกับมาตรฐาน Codex เรื่อง Recommended International Code of Practice for Packaging and Transport of Fresh Fruits and Vegetables (CXC 44-1995) ได้แก่ (1) การบรรจุหีบห่อเพื่อรักษาคุณภาพของผลิตผลระหว่างการขนส่งและการจำหน่าย (2) วิธีปฏิบัติในการลดอุณหภูมิเบื้องต้น (3) การออกแบบ สภาวะ และวิธีการขนส่งและขนถ่าย ของอุปกรณ์ขนส่ง (4) การดูแลรักษาความสะอาดและซ่อมบำรุงพาหนะและภาชนะบรรจุขนาดใหญ่สำหรับขนส่งหรือตู้คอนเทนเนอร์ และ (5) การปฏิบัติที่ถูกต้องในการขนถ่ายผลิตผล การรักษาอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ การไหลเวียนของอากาศ และการดัดแปรสภาพบรรยากาศในภาชนะบรรจุขนาดใหญ่สำหรับขนส่งหรือตู้คอนเทนเนอร์ 7.การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงเชือดชำแหละจระเข้ กำหนดครอบคลุมตั้งแต่การจับบังคับและการขนส่งจระเข้มีชีวิตจากฟาร์มสู่โรงเชือด เพื่อให้ได้ผลิตผลจระเข้ส่วนที่จะนำไปบริโภคที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งมาตรฐานฯนี้ใช้กับจระเข้ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจากฟาร์มที่ได้รับอนุญาต หรือแจ้งประกอบกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ และ 8.แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเล แนวปฏิบัตินี้ เพื่อใช้อธิบายและขยายความทางวิชาการ ครอบคลุมเหตุผล และแนวทางการปฏิบัติในแต่ละข้อกำหนดของมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเล (มกษ. 9055-2562)
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในการจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตร จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การปฏิบัติ ทางการเกษตรที่ดีสำหรับโกโก้ 2.การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มปศุสัตว์เพื่อการบริโภค และ 3. การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงกุ้งทะเล พร้อมกับเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการวิชาการพิจารณามาตรฐานสินค้าเกษตร ทั้ง 3 มาตรฐานดังกล่าวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานอุทยานฯภูเรือ เน้นบริการสร้างความประทับใจให้ประชาชน | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
วราวุธ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานอุทยานฯภูเรือ เน้นบริการสร้างความประทับใจให้ประชาชน
วราวุธ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานอุทยานฯภูเรือ เน้นบริการสร้างความประทับใจให้ประชาชน
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 16.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอุทยานแห่งชาติภูเรือ มอบแนวทางการดำเนินงาน ให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน และปลูกต้นสนสามใบบริเวณอุทยาน โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม ณ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จังหวัดเลย
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลอุทยานแห่งชาติให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว การดูแลทรัพยากรและนักท่องเที่ยวไปพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ และขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมีวินัย มีความอดทน และซื่อสัตย์ ยึดถือกฎระเบียบของอุทยานอย่างเคร่งครัด และได้กล่าวเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับความปลอดภัยและความประทับใจ เพื่อให้อุทยานแห่งชาติเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38355 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วม NT- สตช. หารือแนวทางการบูรณาการระบบวิทยุ PS-LTE | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
ดีอีเอส ร่วม NT- สตช. หารือแนวทางการบูรณาการระบบวิทยุ PS-LTE
ดีอีเอส ร่วม NT- สตช. หารือแนวทางการบูรณาการระบบวิทยุ PS-LTE
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ ผู้แทนจากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. เพื่อพิจารณา เรื่อง แนวทางการบูรณาการระบบวิทยุ PS-LTE ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ย้ำ ไม่ว่าแล้งแค่ไหน พี่น้องประชาชนต้องมีน้ำกินน้ำใช้ พร้อมส่งมอบน้ำบาดาลเกษตรแปลงใหญ่ ให้บ้านหนองอุมลัว จ.เลย | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
วราวุธ ย้ำ ไม่ว่าแล้งแค่ไหน พี่น้องประชาชนต้องมีน้ำกินน้ำใช้ พร้อมส่งมอบน้ำบาดาลเกษตรแปลงใหญ่ ให้บ้านหนองอุมลัว จ.เลย
วราวุธ ย้ำ ไม่ว่าแล้งแค่ไหน พี่น้องประชาชนต้องมีน้ำกินน้ำใช้ พร้อมส่งมอบน้ำบาดาลเกษตรแปลงใหญ่ ให้บ้านหนองอุมลัว จ.เลย
วันนี้ (15 ม.ค. 64) เวลา 15.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการศึกษาพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ (โครงการต่อยอด) ที่บ้านหนองอุมลัว อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นพื้นที่ 1 ใน 17 แห่ง ที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการต่อเนื่องในระยะที่ 2 ต่อจากโครงการนำร่องการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ 6 พื้นที่ต้นแบบ โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม และมีนายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ให้การต้อนรับ ณ บ้านหนองอุมลัว อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า โครงการศึกษาพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่แห่งนี้ ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาลที่มีระดับความลึกตั้งแต่ 100-120 เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 5.5 แรงม้า จำนวน 4 บ่อ มีระบบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่น้อยกว่า 5,120 วัตต์ จำนวน 4 ชุด เครื่องผลิตไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ ถังเหล็กเก็บน้ำ ขนาดความจุ 120 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 ถัง พร้อมท่อกระจายน้ำ ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านการพัฒนาน้ำบาดาลของประเทศไทย ที่จะเป็นต้นแบบให้นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำกับพื้นที่อื่นๆ โดยกลุ่มเกษตรกร ที่มีอยู่เดิมจะได้ขยายกลุ่มและขยายพื้นที่ทำกินได้มากขึ้น มีน้ำบาดาลใช้ในการเกษตรได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ รมว.ทส. ได้กำชับให้ผู้นำท้องถิ่นทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนและกลุ่มเกษตรกรว่า การใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่จะต้องช่วยกันดูแลรักษา และเน้นปลูกพืชใช้น้ำน้อย แต่ให้ผลผลิตที่สามารถจำหน่ายได้ราคาสูง เพราะเมื่อเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ก็จะสามารถเลี้ยงดูครอบครัว และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชนได้อย่างทั่วถึง รวมถึงกล่าวทิ้งท้ายว่าจังหวัดเลยเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลป่า เพื่อจะได้มีน้ำกินน้ำใช้ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 8 - 14 มกราคม 2564 | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 8 - 14 มกราคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 8 - 14 มกราคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 750 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.62 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 8 - 14 มกราคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 750 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.62 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 410 คดี ค่าปรับ 3.43 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 212 คดี ค่าปรับ 3.99 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 18 คดี ค่าปรับ 0.21 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 45 คดี ค่าปรับ 3.41 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 3 คดี จำนวน ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 48 คดี ค่าปรับ 1.52 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 0.97 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,684.123 ลิตร ยาสูบ จำนวน 8,584 ซอง ไพ่ จำนวน 893 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 99,413.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 2,953 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 75 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 14 มกราคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 8,299 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 152.04 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 4,712 คดี ค่าปรับ 43.83 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 2,501 คดี ค่าปรับ 57.32 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 197 คดี ค่าปรับ 2.11 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 313 คดี ค่าปรับ 19.64 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 35 คดี ค่าปรับ 1.62 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 378 คดี ค่าปรับ จำนวน 9.96 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 163 คดี ค่าปรับ 17.56 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 172,124.428 ลิตร ยาสูบ จำนวน 195,939 ซอง ไพ่ จำนวน 12,562 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 593,626.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 82,188 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 542 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. อนุทินฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปากีสถาน พัฒนาสาธารณสุขต่อเนื่อง เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงทุกภาคส่วน | วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564
รอง นรม. อนุทินฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปากีสถาน พัฒนาสาธารณสุขต่อเนื่อง เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงทุกภาคส่วน
รอง นรม. อนุทินฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปากีสถาน พัฒนาสาธารณสุขต่อเนื่อง เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงทุกภาคส่วน
วันนี้ (15 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอะศิม อิฟติคัร อะห์มัด (H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นางสาว ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสรุสรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวต้อนรับและชื่นชมบทบาทการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ปากีสถานที่มีมาอย่างยาวนาน ยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีให้ครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งไทยยินดีที่จะสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดในขณะนี้
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ ซึ่งไทยและปากีสถานต่างเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา โดยในปี 2564 นี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน พร้อมชื่นชมรัฐบาลไทยที่สามารถบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมั่นว่าไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะศักยภาพทางสาธารณสุขและการให้ความสำคัญกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเน้นหลักความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนถึงประชาชน (People-to-people level) เพื่อให้เข้าถึงทุกระดับ อาทิ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธและความร่วมมือทางวัฒนธรรม ซึ่งปากีสถานมีแหล่งวัฒนธรรมและโบราณคดีทางพุทธศาสนายุคอารยธรรมคันธาระ (Gandhara) เช่น เมืองตักสิลา ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาที่ใกล้เคียงกัน ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองประเทศเห็นถึงศักยภาพที่จะขยายโอกาสทางการค้า ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ให้ความสนใจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจะพิจารณาแนวทางส่งเสริมการค้าภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อีกทั้งเห็นว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของปากีสถานในอาเซียนและสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงการจัดการด้านสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด-19 โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวถึงสถานการณ์ในปากีสถานว่า รัฐบาลปากีสถานได้ใช้นโยบาย Smart lockdown เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีฯ เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดและการพัฒนาและจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับการจัดสรร และการพัฒนาวัคซีน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 มกราคม 2564
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (19 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความ ปลอดภัยในการทำงานบนเรือ พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพชรบูรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติ ของวัด พ.ศ. ….
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดไม้ทรงคุณค่า พ.ศ. ….
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง เชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัด เชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่ คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอ เมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ….
10. เรื่อง ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. ….
11. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
12. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
13. เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ภายใต้ มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน)
15. เรื่อง การนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก
16. เรื่อง ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน
17. เรื่อง กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบ บูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
18. เรื่อง ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567
19. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ของกระทรวงพาณิชย์
20. เรื่อง ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564
21. เรื่อง รายงานสถานการณ์เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็ก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
22. เรื่อง ผลการดำเนินงานตามนโยบายของส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และ
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค)
23. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 (ครั้งที่ 151)
24. เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและ บริการ พ.ศ. 2542
25. เรื่อง ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับ รายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป “โครงการจัดหา
อากาศยาน (ทดแทน) เพื่อใช้ในภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวง”
26. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม
ครั้งที่ 2/2564
27. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจอง ล่วงหน้า (AstraZeneca) เพิ่มเติม
ต่างประเทศ
28. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน คณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children: ACWC) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิสตรี
29. เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตก ลงให้การสนับสนุนทางการเงิน สำหรับโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทาง ชีวภาพและการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน
30. เรื่อง ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการรับรองเอกสารร่างแถลงการณ์ (Communique) สำหรับการประชุม Global Forum for Food and Agriculture (GFFA) ครั้งที่ 13 และการประชุม Berlin Agriculture Ministers’ Conference ครั้งที่ 13
31. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
32. เรื่อง การบริจาคเงินสมทบกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ (Peacebuilding Fund) ของ สหประชาชาติ
33. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 17
แต่งตั้ง
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
37. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์
38. เรื่อง แต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้ สูญจากบัญชีลูกหนี้
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของ สำนักงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 186 (พ.ศ. 2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหนี้สูญของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปและหนี้สูญของสถาบันการเงิน
2. โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์ทางการเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยเปลี่ยนแปลงการจัดชั้นลูกหนี้จาก 6 ชั้น (ได้แก่ ปกติ กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือควรระวังเป็นพิเศษ ต่ำกว่ามาตรฐาน สงสัย สงสัยจะสูญ และสูญ) เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) ไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Performing) (2) มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Under-Performing) และ (3) มีการด้อยค่าด้านเครดิต (Non-Performing) อันส่งผลต่อหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงิน เนื่องจากกฎกระทรวงฉบับที่ 186ฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์โดยอ้างอิงจากการจัดชั้นสินทรัพย์ ทางการเงินตามหลักเกณฑ์เดิมของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันลูกหนี้จำนวนมากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
3. ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหนี้สูญของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป และหนี้สูญของสถาบันการเงิน ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์ทางการเงินตามข้อ 2. และเพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
4. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้
4.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้มิได้ทำให้สูญเสียรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากหนี้สูญเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้ว
4.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการจำหน่ายหนี้สูญของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและมาตรฐานการบัญชี และเจ้าหนี้สามารถจำหน่ายหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญ จากบัญชีลูกหนี้ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญในข้อ 4 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 186 ฯ ดังนี้ เพิ่มวงเงินสำหรับใช้บังคับหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนเกิน 2,000,000 บาทขึ้นไป (จากเดิมกำหนดให้หนี้ที่จะจำหน่ายของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนเกิน 500,000 บาทขึ้นไป) และกำหนดขั้นตอนให้ต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควร โดยมีหลักฐานการติดตามทวงถาม อย่างชัดแจ้ง แต่ไม่ได้รับชำระหนี้ หรือฟ้องลูกหนี้ในคดีแพ่งหรือยื่นคำขอเฉลี่ยหนี้ในคดีแพ่งที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ รายอื่นฟ้อง โดยมีหมายบังคับคดีของศาลแล้วและมีรายงานการบังคับคดีครั้งแรกของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า มีการบังคับคดีแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใดจะชำระหนี้ได้
2. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญในข้อ 5 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 186 ฯ ดังนี้ เพิ่มวงเงินสำหรับใช้บังคับหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนไม่เกิน 2,000,000 บาทขึ้นไป (จากเดิมกำหนดให้หนี้ที่จะจำหน่ายของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนไม่เกิน 500,000 บาทขึ้นไป) และกำหนดขั้นตอนให้ต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควร โดยมีหลักฐานการติดตามทวงถามอย่างชัดแจ้ง แต่ไม่ได้รับชำระหนี้ ฟ้องลูกหนี้ในคดีแพ่งและศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องนั้นแล้ว หรือยื่นคำขอเฉลี่ยหนี้ในคดีแพ่งที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องและศาลมีคำสั่งรับคำขอนั้นแล้ว หรือฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องนั้นแล้ว หรือยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องหรือในคดีที่ผู้ชำระบัญชีร้องขอให้ ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลมีคำสั่งรับคำขอรับชำระหนี้นั้นแล้ว
3. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญในข้อ 6 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 186 ฯ ดังนี้
3.1 กำหนดวงเงินสำหรับใช้บังคับหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญรายย่อยของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนไม่เกิน 200,000 บาท (จากเดิมกำหนดให้หนี้ที่จะจำหน่ายของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนไม่เกิน 100,000 บาท)
3.2 กำหนดให้การจำหน่ายหนี้สูญที่มีจำนวนไม่เกิน 200,000 บาท ไม่ต้องดำเนินการ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1. หรือข้อ 2. ถ้าปรากฏว่า มีหลักฐานการติดตามทวงถามตามสมควรแล้ว แต่ไม่ได้รับชำระหนี้ และหากจะฟ้องลูกหนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้มกับหนี้ที่จะได้รับ
4. กำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงินในส่วนของหนี้จากการให้สินเชื่อที่ได้กันสำรองครบร้อยละ 100 ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด และมีลักษณะหนึ่งลักษณะใดดังต่อไปนี้ เช่น เป็นลูกหนี้ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่น้อยกว่า 360 วันหรือ 12 เดือน หรือเป็นลูกหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์การตัดสินทรัพย์ออกจากบัญชีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
5. กำหนดให้กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับสำหรับการจำหน่ายหนี้สูญในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่ม ในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ และให้เสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้แจ้งคณะกรรมการประสานงาน สภาผู้แทนราษฎรทราบด้วย ทั้งนี้ ให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปยังคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประสานการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการของรัฐสภาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง สคก. ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามมติที่ประชุมร่วมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน โดยได้เพิ่มบทเฉพาะกาลไว้ในร่างมาตรา 166 วรรคท้าย เพื่อเร่งรัดให้ ก.ตร. กำหนดการประเมินความพึงพอใจในการบริการประชาชนให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และตัดร่างมาตรา 152 วรรคสอง ออก ตามความเห็นของกะทรวงการคลัง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 แล้ว รายละเอียดดังนี้
1. หน้าที่และอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กำหนดหน้าที่และอำนาจของ ตช. ไว้เช่นเดิม แต่มีการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของ ตช. ได้แก่ ภารกิจของกองบังคับการตำรวจรถไฟ ภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภารกิจงานจราจรเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการจราจร การกวดขันวินัยจราจร และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกในความผิดฐานจอดรถโดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไปให้แก่ส่วนราชการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้นโดยตรงรับไปดำเนินการ และโอนอัตรากำลังนั้นไปปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นภารกิจหลักของ ตช. เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของตำรวจสอดคล้องกับหน้าที่และอำนาจอย่างแท้จริง และให้บริการ แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการรับโอนภารกิจไปดำเนินการ จึงมีการกำหนดระยะเวลาในการโอนภารกิจแต่ละภารกิจที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ ก.ตร. พิจารณาทบทวนหน้าที่และอำนาจของ ตช. หรือข้าราชการตำรวจในส่วนที่มีกฎหมายกำหนดให้ ตช. หรือข้าราชตำรวจมีหน้าที่เกี่ยวกับการอนุญาตหรือการจดทะเบียน โดยหากพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่มีความจำเป็นต้องกำหนดให้ ตช. หรือข้าราชการตำรวจมีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวไว้ ให้รายงานเหตุผลและความจำเป็นต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณา
2. การจัดระเบียบราชการใน ตช. กำหนดให้ในการแบ่งส่วนราชการของ ตช. อย่างน้อยต้องมีหน่วยงาน ดังนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค กองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัด และสถานีตำรวจ เพื่อให้ความสำคัญแก่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบริการและอำนวยความยุติธรรม แก่ประชาชนโดยตรง และกำหนดให้ ตช. ต้องจัดอัตรากำลังให้แก่สถานีตำรวจและตำรวจภูธรจังหวัดตามลำดับให้ครบถ้วนตามกรอบอัตรากำลังก่อน รวมทั้งได้กำหนดระดับของสถานีตำรวจออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สถานีตำรวจ ที่มีผู้กำกับการ และสถานีตำรวจที่มีรองผู้กำกับการหรือตำแหน่งเทียบเท่า โดยคำนึงถึงปริมาณงาน ความหนาแน่นของประชากรในเขตรับผิดชอบ จำนวนอัตรากำลังและสถานที่ตั้งของสถานีตำรวจ เพื่อเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน
3. การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ กำหนดหลักการในการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการตำรวจเพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
3.1 แบ่งข้าราชการตำรวจออกเป็น 2 ประเภท คือ ข้าราชการตำรวจที่มียศ และข้าราชการตำรวจที่ไม่มียศ
3.2 แบ่งสายงานออกเป็น 5 กลุ่มสายงาน คือ กลุ่มสายงานบริหาร กลุ่มสายงานอำนวยการและสนับสนุน กลุ่มสายงานสอบสวน กลุ่มสายงานป้องกันและปราบปราม และกลุ่มสายงานวิชาชีพเฉพาะ เพื่อให้เกิดการสร้างความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจในแต่ละสายงานและเป็นการสร้างความก้าวหน้าในสายงานนั้น ๆ
3.3 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้งและการเลื่อนตำแหน่งไว้ให้ชัดเจนในกฎหมายว่าการจะแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดจะต้องเป็นข้าราชการตำรวจยศใด และเคยดำรงตำแหน่งใดมาแล้วจำนวนกี่ปี และในการแต่งตั้งจะต้องคำนึงถึงความอาวุโสในการดำรงตำแหน่ง ความรู้ความสามารถที่มีผล ต่อการปฏิบัติงาน และความพึงพอใจในบริการที่ประชาชนได้รับ และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน เพื่อเป็นการลดการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาและทำให้ข้าราชการตำรวจสามารถมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
3.4 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้งและการเลื่อนตำแหน่งของสายงานสอบสวนไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถเติบโตก้าวหน้าในสายงานตามความรู้ความสามารถได้
3.5 กำหนดให้ข้าราชการตำรวจสามารถร้องทุกข์ ต่อ ก.พ.ค.ตร. ในกรณีที่เห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเรียงลำดับอาวุโสหรือในการแต่งตั้ง รวมทั้งกำหนดบทลงโทษผู้ที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดหรือแอบอ้างอำนาจของบุคคลใด หรือเรียก รับ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือกระทำการใดอันมิชอบ เพื่อให้มีการแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งผู้ใดให้ดำรงตำแหน่ง โดยระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
3.6 กำหนดห้ามมิให้สั่งให้ข้าราชการตำรวจที่สังกัดสถานีตำรวจ หรือตำรวจภูธรจังหวัดไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการอื่น เว้นแต่ในคำสั่งนั้นจะสั่งให้ข้าราชการตำรวจอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจแทน เพื่อให้ความสำคัญแก่หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนโดยตรง นอกจากนี้ หากผู้บังคับบัญชาผู้ใดรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มาปฏิบัติราชการติดต่อกันเกินสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการตำรวจผู้นั้น เพื่อให้การบริหารอัตรากำลังที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทำหน้าที่ทั้งในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารราชการตำรวจและกำกับดูแล ตช. ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบแบบแผน รวมทั้งกำหนดนโยบายและมาตรฐาน การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ และจัดระบบราชการตำรวจ กำกับดูแลการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจของผู้บังคับบัญชาทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และกฎ ก.ตร. โดยเคร่งครัด ตลอดจนดูแลการเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการตำรวจไปให้สถานีตำรวจให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่และกำกับดูแลการจัดสรรงบประมาณให้แก่ส่วนราชการในหน่วยปฏิบัติให้เพียงพอ โดยมีนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เป็นประธานกรรมการ มีกรรมการที่เป็นข้าราชการตำรวจ ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ มีกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 5 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการ ก.พ. อัยการสูงสุด และเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกกรรมการ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิไว้ให้ชัดเจนในกฎหมาย รวมทั้งกำหนด ห้ามผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใดสั่งการ ข่มขู่ หรือชักจูงด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เลือกหรือมิให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นหลักประกันในการได้มาซึ่งกรรมการ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นอิสระ โดยปราศจากการครอบงำหรือการแทรกแซง
5. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เพื่อเป็นที่พึ่งของข้าราชการตำรวจในการปลดเปลื้องทุกข์ของข้าราชการตำรวจที่เกิดจากผู้บังคับบัญชา โดยมีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะต่อ ก.ตร. เพื่อให้ ก.ตร. ดำเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารงานบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ และพิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรม ซึ่ง ก.พ.ค.ตร. จะประกอบด้วยกรรมการจำนวน 7 คนซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือก ก.พ.ค.ตร. และเป็นผู้ซึ่งสามารถทำงานได้เต็มเวลา เพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวมีความเป็นอิสระจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ ก.ตร.
6. คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบ หรือการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ เพื่อเป็นกลไกในการปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ประชาชนอันเกิดจากข้าราชการตำรวจ โดย ก.ร.ตร. ประกอบด้วยประธานและกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมจำนวน 9 คน และมี จเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ
7. การให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดระบบบริหารงานใน ตช. โดยกำหนดให้ ตช. จัดระบบบริหารงานให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน และกำหนดให้เงินอุดหนุนที่ อปท. จัดสรรให้แก่สถานีตำรวจให้ใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจและกิจการในสถานีตำรวจนั้น โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา และการรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่นหรือชุมชน กองบัญชาการตำรวจนครบาลหรือตำรวจภูธรจังหวัดจะจัดให้มีแผนหรือมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นหรือชุมชน โดยในการจัดทำแผนหรือมาตรการดังกล่าวให้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าสถานีตำรวจ อปท. และชุมชน และเมื่อ ก.ตร. และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนหรือมาตรการดังกล่าวแล้ว ให้ สงป. และ ตช. พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนหรือมาตรการดังกล่าว
8. กองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา จัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ
9. บัญชีอัตราเงินเดือน ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในการ รับเงินเดือนของข้าราชการตำรวจ โดยตัดอัตราเงินเดือนขั้นต่ำในระดับที่ไม่ได้มีการรับในอัตรานั้นออก แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนแต่อย่างใด
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยใน การทำงานบนเรือ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจในการออกประกาศฯ ซึ่งไม่อาจกระทำได้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงานไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 มิถุนายน 2563) เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) โดยเห็นควรให้ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) เข้ารับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564
2. คค. โดยกรมเจ้าท่าได้เตรียมความพร้อมโดยได้จัดจ้างที่ปรึกษา (สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เพื่อยกระดับการปฏิบัติตามพันธกรณีและจากการประเมินเบื้องต้นของที่ปรึกษาฯ ตามรายงานความก้าวหน้า ครั้งที่ 3 (Progress Report) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 พบว่า ประเทศไทยมีหน้าที่ปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือ ค.ศ. 1978 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยังขาดกฎระเบียบที่รองรับการปฏิบัติในการกำหนดหลักเกณฑ์การเข้ายาม (Watchkeeping) ชั่วโมงการพักผ่อน (Hours of rest) และความเหนื่อยล้าจากการทำงาน (Fatigue) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ ที่ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีต้องปฏิบัติตาม
3. ดังนั้น กรมเจ้าท่าพิจารณาแล้ว เห็นควรปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่าสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อให้เจ้าของเรือจัดทำมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ ให้สอดคล้องและเป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือ ค.ศ. 1978 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล ค.ศ. 2006 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (Maritime Labour Convention 2006, MLC as amended) ซึ่งจะช่วยให้ กรมเจ้าท่าสามารถกำกับดูแลให้เจ้าของเรือดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และคุ้มครองคนประจำเรือบนเรือไทย ให้มีสวัสดิภาพการทำงานให้มีความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน บนเรือ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ พ.ศ. 2561
2. กำหนดนิยาม “ความปลอดภัยในการทำงาน” “การบ่งชี้อันตราย” และ “การประเมิน ความเสี่ยง”
3. กำหนดให้เจ้าของเรือกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือให้สอดคล้องกับประมวลข้อบังคับการบริหารจัดการเพื่อความปลอดภัย (International Safety Management Code) ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงาน การบาดเจ็บ และโรคที่เกิดจากการทำงาน
4. กำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้ายามและกำหนดชั่วโมงการพักผ่อนให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือ ค.ศ. 1978 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (International Convention on Standards of Training, Certification and Watchkeeping for Seafarers 1978, STCW as amended) และอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล ค.ศ. 2006 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (Maritime Labour Convention 2006, MLC as amended)
5. กำหนดให้เจ้าของเรือกำหนดมาตรการในการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ อธิบดีกรมเจ้าท่ากำหนด โดยเจ้าของเรือต้องจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและเพียงพอ รวมถึงสอดคล้องต่อการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ รวมถึงกำหนดให้คนประจำเรือมีหน้าที่ใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ และปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยที่เจ้าของเรือกำหนด
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้ง สีประจำสาขาวิชาดังกล่าวเพิ่มขึ้น และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พศ. เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งมีสาระสำคัญการให้เช่าที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา หรือที่วัดที่กันไว้เป็นที่จัดประโยชน์ ที่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า เกินสามปี จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก พศ. [กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดิม] และกำหนดให้การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกิน 3,000 บาทขึ้นไป ให้เก็บรักษาโดยวิธีการฝากไว้กับธนาคาร หรือ นิติบุคคลที่ พศ. ให้ความเห็นชอบ
2. จากการใช้บังคับกฎกระทรวงในข้อ 1. พบว่า ที่ผ่านมาในการกำกับดูแลการให้เช่าที่ดินของวัดของมหาเถรสมาคมและ พศ. นั้น ทำได้เพียงในส่วนของการให้เช่าที่ดินโดยไม่รวมถึงการให้เช่าอาคารซึ่งปลูกบนที่ดินดังกล่าว ทำให้วัดสามารถให้เช่าที่ดินของวัดได้ตามกฎหมายโดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมและ พศ. ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 57/2528 เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 [การให้เช่าที่ดินของวัด ตามข้อ 4 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511)ฯ และมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 14/2521] โดยเรื่องดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาการแสวงหาประโยชน์ในที่ดินของวัดจนทำให้วัดขาดประโยชน์ที่ควรได้รับโดยชอบธรรม นอกจากนี้ การกำหนดให้วัดสามารถเก็บรักษาเงินสดได้เพียง 3,000 บาทนั้น ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายภายในวัด ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎกระทรวงในข้อ 1. เกี่ยวกับการให้เช่าที่ดินของวัดให้ครอบคลุมถึงกรณีการให้เช่าอาคารที่ปลูกบนที่ดินดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาการแสวงหาประโยชน์ในที่ดินของวัด และแก้ไขจำนวนเงินที่วัดสามารถเก็บรักษาได้ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติในประเด็นอื่น ๆ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. …. ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 บัญญัติให้การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. ในคราวประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงในข้อ 2. แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โดยมีสาระสำคัญที่แตกต่างจากกฎกระทรวงเดิม ดังนี้
ประเด็น
กฎกระทรวงเดิม
ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
1. การมอบอำนาจให้ พศ. จัดประโยชน์แทนวัด
ไม่มีการกำหนดเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้ พศ. จัดประโยชน์แทนวัดได้
กำหนดให้วัดสามารถมอบอำนาจให้ พศ. จัดประโยชน์ในศาสนสมบัติของวัดทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแทนวัดได้
2. การให้เช่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
กำหนดให้การให้เช่าที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา หรือที่วัดที่กันไว้เป็นที่จัดประโยชน์ ที่มีกำหนดระยะเวลาการเช่าเกินสามปี ต้องได้รับความเห็นชอบจาก พศ. (กรมการศาสนา ศธ. เดิม)
กำหนดให้การให้เช่าที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา ที่วัดที่กันไว้เป็นที่จัดประโยชน์หรือ “สิ่งปลูกสร้าง” ที่มีกำหนดระยะเวลาการเช่าเกินสามปีต้องได้รับความเห็นชอบจาก พศ. และได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคม
3. การเช่าที่ดินของวัดเพื่อเป็นทางเข้าออก
ไม่มีการกำหนดเกี่ยวกับการเช่าที่ดินของวัดเพื่อเป็นทางเข้าออกไว้
กำหนดให้ในกรณีที่มีผู้ขอเช่าที่ดินของวัดเพื่อเป็นทางเข้าออก ไม่ว่าจะกำหนดระยะเวลาการเช่ากี่ปีก็ตาม ให้วัดจัดทำเป็น “สัญญาภาระจำยอม” เท่านั้น โดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก พศ. และได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคม
4. การเก็บรักษาเงินของวัด
กำหนดให้การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกิน 3,000 บาทขึ้นไป ให้เก็บรักษาโดยฝากธนาคาร หรือนิติบุคคลที่ พศ. ให้ความเห็นชอบ
กำหนดให้การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกิน “100,000 บาทขึ้นไป” ให้เก็บรักษาโดยฝากธนาคาร หรือวิธีการอื่นใดตามที่มหาเถรสมาคมกำหนด
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดไม้ทรงคุณค่า พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดไม้ทรงคุณค่า พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ “ไม้ทรงคุณค่า” หมายความว่า ไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ และให้หมายความรวมถึงไม้อื่นใดที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไปตามลักษณะหรือชนิดที่กำหนดในกฎกระทรวงและมาตรา 5 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทส. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดไม้ทรงคุณค่า พ.ศ. …. เพื่อกำหนดลักษณะและชนิดของไม้ทรงคุณค่า
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. และให้ดำเนินการต่อไป ประกอบกับพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มาตรา 16 บัญญัติให้การเสนอแนะในการออกกฎกระทรวงของคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่ง ทส. ได้รับฟังความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ โดยผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักจัดการป่าชุมชน https://www.forest.go.th/community ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และมีหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การสร้างความรู้ความเข้าใจ เรื่อง ป่าชุมชน และรับฟังความคิดเห็นกฎหมายอนุบัญญัติตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 19 – 20 ธันวาคม 2562 โดยมีผู้แทนเครือข่ายชุมชน ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และผู้แทนภาคประชาชนเข้าร่วมประชุม โดยส่วนใหญ่เห็นชอบในหลักการของร่างกฎกระทรวงฯ
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดไม้ทรงคุณค่า พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “แผนจัดการป่าชุมชน” หมายความว่า แผนจัดการป่าชุมชนที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนจัดทำขึ้นโดยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนประจำจังหวัด
2. กำหนดให้พันธุ์ไม้ที่มีลักษณะหรือชนิดดังต่อไปนี้เป็นไม้ทรงคุณค่า
2.1 ไม้ยืนต้นที่มีขนาดความโตตั้งแต่ 200 เซนติเมตรขึ้นไปโดยวัดรอบลำต้นตรงที่ระดับความสูง 130 เซนติเมตรจากพื้นดิน เว้นแต่ต้นไม้ที่ลำต้นมีลักษณะผิดปกติ เช่น เป็นพูพอน ปุ่ม ตา หรือกิ่วคอดตรงที่ระดับความสูง 130 เซนติเมตร ให้วัดโดยรอบลำต้นตรงที่ถัดจากที่มีลักษณะผิดปกติขึ้นไปใกล้ชิดที่สุด
2.2 ต้นไม้ที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ เชิงวัฒนธรรมประเพณี ไม้ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาในท้องถิ่น พันธุ์ไม้ที่หาได้ยากหรือใกล้สูญพันธุ์ หรือที่มีความสำคัญเชิงนิเวศในป่าชุมชน
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
3. ให้ ทส. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย
1) ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ….
1.1) กำหนดให้พื้นที่ภายในบริเวณที่วัดจากแนวเส้นศูนย์กลางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (ถนนสายเชียงใหม่ – ลำพูน) ออกไปทั้งสองด้าน ด้านละ 40 เมตร ตั้งแต่สะพานลำเหมืองพญาคำ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสุดเขตตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน และบริเวณวัดเมืองกาย ตำบลวัดเกต และบริเวณบ้านป่ายาง หมู่ที่ 3 ตำบลหนองหอย ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยจำแนกพื้นที่ออกเป็น 3 บริเวณ คือ
(1) บริเวณที่ 1 หมายถึง พื้นที่ภายในบริเวณที่วัดจากแนวเส้นศูนย์กลางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (ถนนสายเชียงใหม่ – ลำพูน) ออกไปทั้งสองด้าน ด้านละ 10 เมตร
(2) บริเวณที่ 2 หมายถึง พื้นที่ภายในบริเวณที่วัดจากแนวเส้นศูนย์กลางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (ถนนสายเชียงใหม่ – ลำพูน) ออกไปทั้งสองด้าน ด้านละ 40 เมตร แต่ไม่รวมพื้นที่ในบริเวณที่ 1
(3) บริเวณที่ 3 หมายถึง พื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่ 1 และ 2 ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดเมืองกาย ตำบลวัดเกต และบริเวณบ้านป่ายาง หมู่ที่ 3 ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
1.2) กำหนดห้ามดำเนินการฟัน ตัด โค่น หรือกระทำการอื่นใดที่อาจเป็นอันตรายต่อต้นยางนาหรือต้นขี้เหล็กในพื้นที่บริเวณที่ 1 และ 3
1.3) กำหนดห้ามก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ในพื้นที่บริเวณที่ 1 และกำหนดให้การก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ในบริเวณที่ 2 และ 3 ต้องมีความสูงไม่เกิน 12 เมตร โดยมีสีภายนอกที่กลมกลืนกับธรรมชาติหรือสภาพแวดล้อม
1.4) กำหนดห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารให้เป็นอาคารบางประเภทในพื้นที่บริเวณที่ 2 เช่น โรงแรม สถานบริการ โรงงาน โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น
1.5) กำหนดให้การก่อสร้างอาคาร ห้องแถว หรือตึกแถว ที่มีความยาวด้านหน้าอาคารรวมไม่เกิน 36 เมตร หรือการก่อสร้างหรือดัดแปลงเพื่อทดแทนอาคาร ห้องแถว หรือตึกแถวเดิมที่มีสภาพชำรุด ในพื้นที่บริเวณที่ 2 ให้ดำเนินการก่อสร้างหรือดัดแปลงโดยมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
1.6) กำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจังหวัดเชียงใหม่ และของจังหวัดลำพูน ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีหน้าที่กำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้ความเห็นชอบกับการนำแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติ
1.7) กำหนดให้จังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตามข้อ 1.1) เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดต่อไป
2. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็น ฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดให้ “สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ” เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 73 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา เพื่อมอบหมายให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งที่สนับสนุนโครงการหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
10. เรื่อง ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีที่ กค. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยเป็นการยกเลิกกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 69 (พ.ศ. 2521) ฉบับที่ 77 (พ.ศ. 2533) และฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่าย พลเรือน พุทธศักราช 2478 เพื่อให้สอดคล้องกับระบบจำแนกตำแหน่งใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. 2551 รวมทั้งปรับปรุงลักษณะรูปแบบเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553
สาระสำคัญของร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี
1. กำหนดให้ยกเลิกกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 69 (พ.ศ. 2521) ฉบับที่ 77 (พ.ศ. 2533) และฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478
2. ปรับปรุงแก้ไขลักษณะ ชนิด และประเภท ของเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร และการกำหนดเครื่องหมายแสดงระดับตำแหน่งบนกะบังหมวกแก๊ปทรงอ่อน รวมทั้งยกเลิกเครื่องหมายพิเศษ รูปอาร์มสำหรับเครื่องแบบทำงานชนิดเครื่องแบบขาวของพนักงานศุลกากรชาย และเครื่องแบบทำงานชนิดเครื่องแบบลำลองของพนักงานศุลกากรหญิงที่ปฏิบัติงานประจำ ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว
11. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยกำหนดเพิ่มเติมการคุ้มครองผู้เสียหายให้ครอบคลุมทุกความผิดมูลฐาน รวมทั้งกำหนดการคุ้มครองสิทธิผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตลอดจนกำหนดกระบวนการดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดซึ่งถูกรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ยกเลิกความในวรรคหกของมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 เพื่อให้การขอคืนหรือชดใช้คืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายครอบคลุมทุกความผิดมูลฐาน (เดิม ไม่มีบทบัญญัติที่คุ้มครองผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ อนามัย หรือชื่อเสียง ไว้อย่างชัดเจน)
2. กำหนดให้เลขาธิการขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย โดยให้ยื่นก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และเมื่อศาลมีคำสั่งให้คืนหรือชดใช้ทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการให้เป็นไป ตามคำสั่งศาลโดยเร็ว และกำหนดให้ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานที่ได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ อนามัย หรือชื่อเสียง ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายด้วย
3. กำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินอาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนก่อนศาลมีคำสั่ง โดยแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาซึ่งส่วนได้เสียโดยสุจริตและตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะ
4. กำหนดกระบวนการดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดซึ่งถูกรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น โดยให้ศาลมีอำนาจสั่งให้สำนักงาน ปปง. นำทรัพย์สินที่รวมเข้ากันนั้นออกขายทอดตลาดและให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินตามมูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
12. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะกำกับดูแลศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. เป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนชื่อองค์กร ปรับปรุงวัตถุประสงค์หน้าที่และอำนาจของสถาบัน ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ตลอดจนปรับปรุงบทบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับ การดำเนินงานของสถาบันฯ และเพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลส่งเสริมและสนับสนุนศิลปหัตถกรรมไทยอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. เปลี่ยนชื่อองค์กร จาก “ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)” เป็น “สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)” เรียกโดยย่อว่า “ส.ศ.ท.” เพื่อให้สื่อถึงบทบาทและภารกิจขององค์กร และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Sustainable Arts and Crafts Institute of Thailand (Public Organization)” เรียกโดยย่อว่า “SACIT”
3. กำหนดให้สถาบันมีที่ตั้งของสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือในจังหวัดใกล้เคียง และอาจตั้งสำนักงานสาขาได้ตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
4. ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของสถาบัน โดยกำหนดให้สถาบันมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริม สนับสนุนให้มีการประกอบอาชีพผสมผสานเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย และส่งเสริม สนับสนุน ด้านการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
5. แก้ไขหน้าที่และอำนาจของสถาบัน โดยกำหนดให้สถาบันมีหน้าที่และอำนาจ เช่น ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มศิลปหัตถกรรมไทย และสนับสนุนด้านการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐาน รวมทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์การพัฒนารูปแบบ และการบรรจุผลิตภัณฑ์ ตลอดจนผสมผสานหรือประยุกต์เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยกับภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาครูสร้างสรรค์งานหัตถศิลป์ และครู่ช่างศิลปหัตถกรรม ในการพัฒนางานหัตถกรรมให้สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
6. กำหนดให้ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบันประกอบด้วยทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาตามมาตรา 46 เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรอื่น รวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินการ และดอกผลของเงินหรือรายได้จากทรัพย์สินของสถาบัน
7. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ โดยมีประธานกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารงาน ผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยพื้นบ้านอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบัน กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวนหนึ่งคน ได้แก่ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินแปดคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูง เป็นที่ประจักษ์ในด้านที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อกิจการของสถาบัน และให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง และยกเลิกคณะที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการ
8. กำหนดให้สถาบันจัดทำงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่สิ้นปีบัญชีทุกปี
9. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศหรือคำสั่งใดที่ออกตาม พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชกฤษฎีกานี้ จนกว่าจะมีระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
13. เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำ ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าและปัญหาในการดำเนินการขับเคลื่อนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย การเข้าถึงบทบัญญัติในกฎหมาย และการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
2. เห็นชอบการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่มีผู้รักษาการหลายคนยังไม่ตรงกัน เนื่องจากยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างผู้รักษาการร่วมกันในกฎหมายฉบับนั้น ตามรายชื่อกฎหมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบ และระยะเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด (ตามเอกสารท้ายหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร 0913/1 ลงวันที่ 6 มกราคม 2564)
3. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและการเข้าถึงบทบัญญัติในกฎหมาย ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย และเผยแพร่ข้อมูลกฎหมายและกฎเกณฑ์ ตามรายชื่อกฎหมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบ และระยะเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด (ตามเอกสารท้ายหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร 0913/1 ลงวันที่ 6 มกราคม 2564) โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบ เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
4. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบว่า มีกรณีที่ต้องมีการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อที่ประชาชนจะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายตามมาตรา 22 หรือไม่ โดยให้เร่งออกกฎหรือดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังนี้
(1) ภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 สำหรับกฎหมายที่มีผลใช้บังคับก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562
(2) ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ สำหรับกฎหมายที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในการออกกฎหรือดำเนินการดังกล่าว หน่วยงานของรัฐต้องคำนึงถึงระยะเวลาใน การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี รวมตลอดทั้งระยะเวลาที่เหมาะสมในการออกกฎนั้นด้วย
ข้อเท็จจริง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ได้กำหนดภารกิจและหลักเกณฑ์สำหรับหน่วยงานของรัฐให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนี้
1.1 หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย ได้แก่ การตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย และการตรวจสอบเนื้อหาของร่างกฎหมาย
1.2 การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
1.3 การเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมาย
2. สคก. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้รับผิดชอบการขับเคลื่อน การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 จึงขอรายงานความคืบหน้าในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และโดยที่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายมีภารกิจหน้าที่บางประการที่ต้องดำเนินการทันทีตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงจำเป็นต้องเร่งรัดและกำหนดแนวทางดำเนินการของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามกำหนดเวลาและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ประกอบกับมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอาจเสนอแนะการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปกฎหมายตามมาตรา 258 ค. ด้านกฎหมาย (1) และ (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. รายงานผลการดำเนินการในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 โดยสรุปมีดังนี้
1.1 การดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
หน่วยงานได้ประกาศรายชื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์และระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์แล้ว แต่ยังปรากฏว่ามีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไม่สอดคล้องกัน ดังต่อไปนี้
(1) ข้อมูลระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่หน่วยงานประกาศไม่ตรงตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด รวมทั้งข้อมูลหน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายยังไม่ครบถ้วน เนื่องจากมีบางหน่วยงานที่ยังไม่ได้กำหนดข้อมูลดังกล่าว
(2) ข้อมูลหน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่มีผู้รักษาการหลายคนยังไม่ตรงกัน เนื่องจากยังไม่ได้ข้อยุติระหว่าง ผู้รักษาการร่วมกันในกฎหมายฉบับนั้น สคก. จึงได้พิจารณาภารกิจตามกฎหมายและได้กำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตลอดจนระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างผู้รักษาการร่วม
1.2 การดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าถึงบทบัญญัติในกฎหมาย
(1) ข้อมูลที่เผยแพร่ในส่วนกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่มีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 หน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการมีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลกฎหมายและกฎเกณฑ์ในความรับผิดชอบของตนให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งปรากฏว่ามีบางหน่วยงานที่ยังไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลกฎหมายและกฎเกณฑ์ในความรับผิดชอบของตนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลในระบบกลางเพื่อประโยชน์ในการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562
(2) ข้อมูลที่เผยแพร่ในส่วนคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมายสำหรับที่มีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 หน่วยงานที่มีกฎหมายในความรับผิดชอบไม่เกิน 5 ฉบับ มีหน้าที่จัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมายในความรับผิดชอบของตนภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งปรากฏว่ามีบางหน่วยงานที่ยังไม่ได้จัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมายในความรับผิดชอบของตน ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลในระบบกลางเพื่อประโยชน์ในการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562
1.3 การดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
(1) โดยที่มาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้กฎหมายที่มิใช่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ต้องมีการออกกฎ หรือกำหนดให้รัฐต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อที่ประชาชนจะสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย หรือได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายนั้นได้ หากมิได้มีการออกกฎดังกล่าวหรือมิได้ดำเนินการนั้นภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่กฎหมายนั้นมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป หรือภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 สำหรับกฎหมายที่มีผลใช้บังคับก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 และบทบัญญัติในเรื่องนั้นก่อภาระหรือเป็นผลร้ายต่อประชาชน ให้บทบัญญัติดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลบังคับ แต่ในกรณีที่บทบัญญัติในเรื่องนั้นให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับได้ โดยไม่ต้องมีกฎหรือดำเนินการดังกล่าว
(2) ดังนั้น หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายใด มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่ากฎหมายนั้นมีกรณีต้องมีการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อประชาชนจะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 22 หรือไม่ และหากมีกรณีต้องออกกฎหรือดำเนินการใด ให้กระทำภายในเวลาที่พระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนด ทั้งนี้ หากมิได้ออกกฎหรือดำเนินการใดจนเป็นเหตุให้บทบัญญัติของกฎหมายเป็นอันสิ้นผลบังคับลง หรือเป็นผลให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับโดยไม่ต้องมีกฎ หรือดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา 22 วรรคสอง หน่วยงานของรัฐหรือผู้มีหน้าที่ย่อมต้องรับผิดชอบ และรับผิดทั้งในทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง หากเกิดความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน หรือต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
1.4 การเผยแพร่คำแปลกฎหมายในเว็บไซต์ของ สคก. ก่อนที่จะมีระบบกลาง สคก. ได้ดำเนินการเผยแพร่คำแปลกฎหมายในเว็บไซต์ www.Krisdika.go.th ไว้แล้ว จำนวน 429 ฉบับ ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำนวน 9 ฉบับ พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด จำนวน 357 ฉบับ และกฎหมายลำดับรอง จำนวน 63 ฉบับ
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอดังนี้
1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) โดยเห็นชอบกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ดังนี้
จากเดิม
(1) ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
- SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกษตรแปรรูป (Food/Non-food)
- SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน หรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว หรือธุรกิจที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV)
- SMEs ผู้ประกอบการใหม่ หรือมีนวัตกรรม หรือธุรกิจผลิต หรือบริการอื่น ๆ หรือธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก
(2) เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยได้รับการอนุมัติและใช้วงเงินสินเชื่อโครงการที่ มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ดำเนินการ ดังนี้ (1) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และ (2) โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan
(3) เป็นการให้สินเชื่อใหม่ ทั้งลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ และไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Re-Finance) มาจากสถาบันการเงินอื่น
(4) เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย (ไม่รวมกิจการในกลุ่ม) สินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาท ณ วันยื่นคำขอกู้
เป็น
(1) ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลในกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
- SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกษตรแปรรูป (Food/Non-food)
- SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน หรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว หรือธุรกิจที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV)
- SMEs ผู้ประกอบการใหม่ หรือมีนวัตกรรม หรือธุรกิจผลิต หรือบริการอื่น ๆ หรือ ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก
(2) เป็นการให้สินเชื่อใหม่ ทั้งลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ และไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Re-Finance) มาจากสถาบันการเงินอื่น
ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการคงเดิม
2. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการโดยให้มีผลการรับคำขอกู้ ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 และสิ้นสุดวันรับคำขอกู้ภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. อก. ได้บูรณาการกับ ธพว. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 โดยมีรายละเอียดโครงการฯ ดังนี้
รายการ
รายละเอียด
วัตถุประสงค์
เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็ก เพื่อสร้างและกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในชุมชนอย่างทั่วถึง รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวชุมชน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และเกษตรแปรรูป (Food/Non-food) ซึ่งเป็นการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนตามนโยบาย Local Economy ของรัฐบาล
วงเงินสินเชื่อรวม
50,000 ล้านบาท
วงเงินสินเชื่อต่อราย
วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย (แบ่งเป็นบุคคลธรรมดา วงเงินสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท และบุคคลธรรมดาที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและนิติบุคคล วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท)
กลุ่มเป้าหมาย
1. ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
1.1 SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกษตรแปรรูป (Food/Non-food)
1.2 SMEs ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว หรือธุรกิจที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV)
1.3 SMEs ผู้ประกอบการใหม่ หรือมีนวัตกรรม หรือธุรกิจผลิตหรือบริการอื่นๆ หรือธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก
2. เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยได้รับการอนุมัติและใช้วงเงินสินเชื่อโครงการ ที่มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ธพว. ดำเนินการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan
3. เป็นการให้สินเชื่อใหม่ ทั้งลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ และไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้
(Re-Finance) มาจากสถาบันการเงินอื่น
4. เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย (ไม่รวมกิจการในกลุ่ม) ไม่เกิน 50 ล้านบาท ณ วันยื่นคำขอกู้
ระยะเวลาการกู้ยืม
ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี
ระยะเวลา
ดำเนินโครงการ
สิ้นสุดรับคำขอกู้ภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อ รวมของโครงการ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน
อัตราดอกเบี้ย
คิดอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้แตกต่างกัน เพื่อเป็นมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบนิติบุคคลปรับตัวเข้าสู่ระบบบัญชีเดียว ดังนี้
(1) กรณีผู้กู้เป็นบุคคลธรรมดาปีที่ 1 - 3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ MLR-1.875 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.875) ปีที่ 4 – 7 ให้เป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว. กำหนด
(2) กรณีผู้กู้เป็นนิติบุคคล ปีที่ 1 - 3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ MLR – 3.875 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.875) ปีที่ 4 - 7 ให้เป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว. กำหนด
การคิดอัตราดอกเบี้ยระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีความแตกต่างกันเนื่องจากบุคคลธรรมดามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสินเชื่อ (Credit Risk Cost) สูงกว่านิติบุคคลถึงร้อยละ 2.27 ประกอบกับต้นทุนทางการเงินของ ธพว. มีแนวโน้มสูงขึ้น
การขอรับงบประมาณ
ชดเชยจากรัฐบาล
1. รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้แก่ ธพว. ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ใน 3 ปีแรก รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท (วงเงิน 50,000 ล้านบาท X อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อปี X ระยะเวลา 3 ปี)
2. ธพว. สามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ได้รับชดเชย เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้ และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้
3. ให้ ธพว. แยกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติ
(Public Account Service : PSA)
ผลเชิงเศรษฐกิจ
ที่คาดว่าจะได้รับ
ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 50,000 ล้านบาท โดยช่วยให้ SMEsเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 15,000 ราย (วงเงินเฉลี่ยต่อราย 3.33 ล้านบาท)
รักษาการจ้างงานได้ไม่น้อยกว่า 75,000 คน (อัตราการจ้างเฉลี่ยต่อราย 5 คน)และ สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ได้ประมาณ 229,000 ล้านบาท (ปัจจุบัน อก. ยังไม่ได้มีการประเมินผลสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าหมายเพียงใด)
2. ผลการดำเนินโครงการฯ ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 มียอดอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 24,606 ราย วงเงินจำนวน 40,440.86 ล้านบาท (เป้าหมาย 50,000 ล้านบาท) และมียอดเบิกจ่าย จำนวน 24,353 ราย วงเงินจำนวน 40,087.22 ล้านบาท โดยมีปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 เนื่องจากผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจซึ่งเป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือ ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
2.2 ในช่วงดำเนินโครงการ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ไม่มีหลักประกัน จึงใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน แต่ บสย. มีวงเงินไม่เพียงพอในการค้ำประกัน ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จึงเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากมีหลักเกณฑ์กำหนดให้กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะต้องไม่ได้รับการอนุมัติและใช้วงเงินสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan รวมทั้งต้องมีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย (ไม่รวมกิจการในกลุ่ม) ไม่เกิน 50 ล้านบาท ณ วันยื่นคำขอกู้ ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ขัดกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และกลุ่มเป้าหมายเดิมไม่สามารถ ยื่นขอกู้ได้
3. โดยที่โครงการฯ ยังมีวงเงินคงเหลือ 9,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 5,760 ราย (วงเงินเฉลี่ยต่อราย1.65 ล้านบาท) รักษาการจ้างงานได้ไม่น้อยกว่า 28,800 คน (อัตราการจ้างเฉลี่ยต่อราย 5 คน) และสร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 43,510 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการฯ จะสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินโครงการในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 แต่ยังมีวงเงินโครงการคงเหลืออยู่ และยังมีความจำเป็นต่อผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น อก. (ธพว.) จึงขอขยายระยะเวลาโครงการต่อไปอีก 1 ปี (ให้มีผลการรับคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 และสิ้นสุดวันรับคำขอกู้ภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2564) และขอปรับปรุงหลักเกณฑ์กลุ่มเป้าหมาย โดยตัดหลักเกณฑ์ (ซึ่งเป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการตามข้อ 2.1 และ 2.2) ที่กำหนดให้กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SMEs จะต้องไม่ได้รับการอนุมัติและใช้วงเงินสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan และต้องมีวงเงินสินเชื่อรวม ทุกสถาบันการเงินต่อราย (ไม่รวมกิจการในกลุ่ม) ไม่เกิน 50 ล้านบาท ณ วันยื่นคำขอกู้
15. เรื่อง การนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก เมืองโบราณศรีเทพ และ ให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ลงนามในเอกสารนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
รายละเอียด ดังนี้
ข้อมูลทั่วไป –ชื่อประเทศภาคีสมาชิก : จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย - ชื่อแหล่ง : เมืองโบราณศรีเทพ
ข้อมูลแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม - ขอบเขตของแหล่งที่เสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก : แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง 3 แหล่ง ได้แก่ เมืองโบราณศรีเทพ (เมืองในและเมืองนอก) โบราณสถานเขาคลังนอก และโบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์
- พื้นที่แหล่งวัฒนธรรมรวม 866.475 เฮกตาร์ (ประมาณ 8.66 ตารางกิโลเมตร) และ มีพื้นที่กันชน 4,871.204 เฮกตาร์ (ประมาณ 48.71 ตารางกิโลเมตร)
เหตุผลที่สมควรสำหรับการมีคุณค่าความโดดเด่นเป็นสากล (1) เมืองโบราณศรีเทพมีรูปแบบ ผังเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ โดยผังเมืองขยายเป็น 2 ชั้นซ้อนกัน เรียกว่า เมืองในและเมืองนอก (2) ศาสนสถานเขาคลังนอกที่แสดงถึงความเป็นมณฑลจักรวาลที่หลงเหลือหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์ (3) ศาสนสถานถ้ำถมอรัตน์ที่มีความสำคัญของศาสนสถานประเภทถ้ำ (4) ประติมากรรม “สกุลช่างศรีเทพ” ที่มีความโดดเด่นและแตกต่าง จากประติมากรรมในยุคสมัยเดียวกัน โดยเป็นประติมากรรมสลักลอยตัว เอียงตน และมีลักษณะสีหน้าผสมผสาน
เกณฑ์ที่เหมาะสม เกณฑ์สำหรับการนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจำนวน 2 ข้อ ดังนี้ (1) เกณฑ์ข้อที่ 2 : ความสำคัญของการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือ ในพื้นที่ในวัฒนธรรมใด ๆ ของโลกผ่านการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรมหรือทางเทคโนโลยี อนุสรณ์ศิลป์ การวางแผนผังเมืองหรือการออกแบบภูมิทัศน์ เนื่องจากเมืองโบราณศรีเทพ มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 เป็นเมืองที่มี การสร้างกำแพงเมือง คูเมือง และมีการติดต่อรับคติความเชื่อทางศาสนา ทั้งพุทธศาสนาแบบเถรวาท มหายาน และศาสนาฮินดู ที่ปรากฏหลักฐานทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมต่าง ๆ เช่น ศาสนสถาน เขาคลังนอก ศาสนสถานถ้ำถมอรัตน์ (2) เกณฑ์ข้อที่ 3 : เป็นประจักษ์พยานหลักฐานที่ยอดเยี่ยมหรือหาที่เสมือนไม่ได้ของประเพณีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมทั้งที่ยังคงอยู่หรือสูญหายไปแล้ว ซึ่งมีเหตุผลสนับสนุน คือ เมืองโบราณศรีเทพที่มีความสำคัญมากในสมัยทวารวดีที่ยังคงหลงเหลือหลักฐานทางโบราณคดีและงานศิลปกรรม สามารถแสดงความเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม มีการติดต่อสัมพันธ์กับวัฒนธรรมใกล้เคียงตั้งแต่วัฒนธรรมอินเดีย วัฒนธรรมเขมร และวัฒนธรรมทวารวดีจากแหล่งอื่น ๆ รวมทั้งเมืองโบราณศรีเทพยังแสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของชุมชนที่ ต่างศาสนาในระยะเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางที่เชื่อมโยงเส้นทางสัญจร
แผนการบริหารจัดการเมืองโบราณศรีเทพ เป็นไปตามแผนแม่บทการอนุรักษ์ของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพฉบับปัจจุบันและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการอนุรักษ์มรดกโลกทางวัฒนธรรม เมืองโบราณศรีเทพ ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมศิลปากร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อแสดงถึงการปกป้องและอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องนำเสนอเอกสารฯ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อเข้าวงรอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งมีกำหนดการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2564
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานที่ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกรวม 5 แหล่ง ได้แก่ (1) นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา (2) เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (3) แหล่งโบราณคดี บ้านเชียง (4) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ – ห้วยขาแข้ง และ (5) ป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีเคยเห็นชอบการเสนอสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกในลักษณะเดียวกัน คือ พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 และ 21 มกราคม 2563) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก
16. เรื่อง ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภาค 9 และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัดสงขลา พร้อมอาคารที่พักและสิ่งปลูกสร้างประกอบ
2. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 ด้วย
3. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ป.ป.ช. รายงานว่า
1) เดิมสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษาสงขลา กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.) ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สข.1100 (บางส่วน) ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ประมาณ 151 ไร่ 1 งาน 29.7 ตารางวา ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แจ้งความประสงค์ไปยัง กปส. เพื่อขอใช้ที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 66.6 ตารางวา เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลา พร้อมอาคารที่พักและสิ่งปลูกสร้างประกอบ ซึ่งเป็นการก่อสร้างอาคาร 4 ชั้น พื้นที่ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร และอาคารดังกล่าวเป็นอาคารของส่วนราชการจึงไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2) กปส. ได้แจ้งความยินยอมให้สำนักงาน ป.ป.ช. ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุดังกล่าว และแจ้งว่าได้ส่งคืนที่ราชพัสดุให้กับสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สงขลาเรียบร้อยแล้ว
3) สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุดังกล่าวจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังด้วยแล้ว แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าชายเลนซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และ วันที่ 17 ตุลาคม 2543) ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. จึงขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติณะรัฐมนตรีดังกล่าว
17. เรื่อง กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เสนอดังนี้
1. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 24,400 ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่ มุ่งผลสัมฤทธิ์
2. ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 เรื่องแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
สาระสำคัญ
กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2565 ประกอบด้วย (ก) งบสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) จำนวน 14,640 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนทุนแบบให้มีการแข่งขัน (Competitive Funding) สำหรับการทำวิจัยที่เน้นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ และ (ข) งบสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund) จำนวน 9,760 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐาน (Basic Research Fund) และ Functional-based Research Fund เพื่อสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงาน โดยมีเป้าหมาย 4 แพลตฟอร์ม 17 โปรแกรมที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ ตั้งแต่การพัฒนากำลังคน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ
แนวทางการจัดสรรงบประมาณของกรอบวงเงินดังกล่าวเป็นแบบวงเงินรวม (Block grant) และ การจัดสรรงบประมาณต่อเนื่องแบบหลายปี (Multi-year budgeting) มีการกระจายอำนาจให้หน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยบริหารและจัดการทุน (Program Management Unit: PMU) เพื่อให้การดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเกิดความคล่องตัว มีความยืดหยุ่นและดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และตรงกับหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปะจำปี พ.ศ. 2565 เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนช่วยให้งบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่อย่างจำกัดสามารถสร้างผลงาน หรือแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศได้ในเวลาที่เหมาะสม
18. เรื่อง ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 [เป็นการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่ให้เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าวต่อคณะรัฐมนตรีทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้การบริหารจัดการข้าวสอดคล้องกันทั้งระบบและมีการพัฒนาต่อเนื่อง] ซึ่ง นบข. ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ได้มี มติเห็นชอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. วิสัยทัศน์ คือ ไทยเป็นผู้นำการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์ ตลาดนำการผลิต โดยแบ่งข้าวออกเป็น 7 ชนิด ตามความต้องการของตลาด 3 ประเภท ดังนี้ 1) ตลาดพรีเมียม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิและข้าวหอมไทย 2) ตลาดทั่วไป ได้แก่ ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง และข้าวนึ่ง และ 3) ตลาดเฉพาะ ได้แก่ ข้าวเหนียวและข้าวสีหรือข้าวคุณลักษณะพิเศษ
2. ยุทธศาสตร์ข้าวไทย มี 4 ด้าน สรุปได้ ดังนี้
ประเด็นยุทธศาสตร์
รายละเอียด
1. ยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการตลาดต่างประเทศ
1.1 ตลาดนำการผลิต
เป้าหมาย คือ ประเทศไทยมีชนิดข้าวที่หลากหลายสามารถ
ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
กลยุทธ์ เช่น 1) การจัดทำฐานข้อมูลตลาดข้าวเชิงลึก 2) การเชื่อมโยงข้อมูลแนวโน้มความต้องการของตลาดกับ ภาคการผลิต และ 3) การผลักดันผลผลิตสู่ตลาดเป้าหมาย
1.2 การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทย
เป้าหมาย คือ ข้าวไทยเป็นหนึ่งด้านคุณภาพและมาตรฐาน
กลยุทธ์ เช่น 1) การกำหนดมาตรฐานสินค้าข้าวเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาพันธุ์ข้าว 2) การพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับสำหรับสินค้าข้าวไทย และ 3) การผลักดันให้มีห้องปฏิบัติการของรัฐสำหรับ ตรวจวิเคราะห์สารตกค้างหรือสารปนเปื้อน
1.3 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์เพื่อการส่งออกข้าวไทย
เป้าหมาย คือ ลดต้นทุนการส่งออกเพื่อให้แข่งขันได้ กลยุทธ์ เช่น 1) การปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
2) การเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ
เพื่อลดต้นทุนการขนส่งข้าว 3) การพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล
การขนส่ง และ 4) การตรวจรับรองมาตรฐานข้าวตั้งแต่ต้นทาง
ไปจนถึงปลายทาง
1.1 การส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์
เป้าหมาย คือ เพิ่มโอกาสและช่องทางตลาดของข้าวไทยให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง
กลยุทธ์ เช่น 1) การอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคในการส่งออกข้าวไทย 2) การส่งเสริมการค้าข้าวในรูปแบบที่สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของประเทศผู้ซื้อ 3) การเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรข้าวไทย และ 4) การส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ส่งออกข้าวไทยและผู้นำเข้าเพื่อสร้าง “Brand Loyalty”
2. ยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการตลาดภายในประเทศ
2.1 ตลาดนำการผลิต
เป้าหมาย เช่น 1) เกษตรกรมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจวางแผนการผลิตข้าวได้ตรงตามความต้องการของตลาด และ 2) มีการจัดชั้นคุณภาพข้าวเปลือก ข้าวสาร เพื่อเป็นเกณฑ์ในระบบการค้า
กลยุทธ์ เช่น 1) การจัดทำฐานข้อมูลความต้องการใช้และบริโภคเชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลการส่งออกเป็น Single Demand Base 2) การจัดชั้นคุณภาพข้าวเปลือกและข้าวสาร และ 3) การส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)
2.2 เพิ่มประสิทธิภาพระบบการค้าข้าวและยกระดับกลไก การซื้อขายสู่มาตรฐานสากล
เป้าหมาย เช่น 1) มีกระบวนการผลิตข้าวสารที่ได้รับการพัฒนา
สู่มาตรฐานสากล และ 2) ผู้ผลิตและผู้ค้าข้าวไทยมีศักยภาพ
และขีดความสมารถในการแข่งขันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การปรับปรุงกฎระเบียบการค้าข้าวและฐานข้อมูลผู้ประกอบการค้าข้าว 2) การจัดระบบการตรวจรับรองมาตรฐานคุณภาพข้าวสารที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และ 3) การส่งเสริมและพัฒนากระบวนการผลิตข้าวของโรงสีสู่มาตรฐานสากล
2.3 บริหารสมดุลอุปสงค์อุปทานข้าวและสร้างกลไกป้องกันความเสี่ยงด้านราคา
เป้าหมาย เช่น 1) การลดความผันผวนของราคาข้าว ชาวนาได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมคุ้มค่ากับการลงทุน และ 2) กลไกตลาดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดการแข่งขันสูงขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การสร้างหลักประกันรายได้ให้ชาวนา และ 2) การเพิ่มสภาพคล่องให้กับโรงสีและผู้ค้าข้าวในการดูดซับผลผลิตในช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดมาก
2.4 พัฒนาระบบการเชื่อมโยงและรณรงค์การบริโภค
เป้าหมาย เช่น 1) ชาวนามีความรู้ด้านการตลาดและการสร้าง Brand สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และ 2) การลดปัญหาสภาพคล่องของคู่ค้าในระบบการค้าข้าว
กลยุทธ์ เช่น 1) การจัดทำฐานข้อมูลการผลิตและการใช้ข้าวระดับจังหวัด และ 2) การส่งเสริมการให้ใบประทวนสินค้าข้าวเป็นหลักทรัพย์
3. ยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการผลิต
3.1 สร้างความเข้มแข็งให้ชาวนาและองค์กรชาวนาพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพียงพอและอยู่ดีมีสุข
เป้าหมาย คือ 1) ชุมชนข้าวมีความเข้มแข็งในระดับมาตรฐาน ไม่น้อยกว่า 10,000 กลุ่ม ในปี 2567 และ 2) มีชาวนาปราดเปรื่อง ปราชญ์ชาวนา และชาวนารุ่นใหม่ ไม่น้อยกว่า 130,000 ราย ในปี 2567
กลยุทธ์ เช่น 1) การยกระดับชาวนาให้เป็นชาวนาปราดเปรื่อง
และปราชญ์ชาวนา และ 2) การขยายและสร้างศูนย์ข้าวชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตข้าวของชุมชน
3.2 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการ ผลิตข้าว
เป้าหมาย เช่น 1) ปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกแต่ละชนิดเท่ากับ
หรือสูง ต่ำกว่าปริมาณความต้องการตลาดไม่เกินร้อยละ 10 ของแต่ละปี และ 2) ต้นทุนการผลิตข้าวทุกชนิด เฉลี่ยไม่เกิน ไร่ละ 3,000 บาท หรือเฉลี่ยไม่เกินตันละ 6,000 บาท ในปี 2567
กลยุทธ์ เช่น 1) การขยายโครงสร้างพื้นฐานการผลิตข้าวโดยเพิ่มแหล่งน้ำในไร่นา จัดรูปแปลงและปรับพื้นที่นา และปรับปรุงบำรุงดินให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวสำคัญ และ 2) การกำหนดเขตส่งเสริมการปลูกข้าวตามศักยภาพของพื้นที่ (Zoning) และ 3) การเพิ่มศักยภาพการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ให้เพียงพอ
3.3 เพิ่มศักยภาพการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าว และเทคโนโลยีการผลิตข้าว
เป้าหมาย เช่น 1) ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ตรงตามความต้องการของตลาด อายุเก็บเกี่ยวสั้น ผลผลิตต่อไร่สูงมาก ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ ในปี 2567 และ 2) มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุนการผลิตข้าวและผลผลิตต่อไร่ ไม่น้อยกว่า 10 เทคโนโลยีในปี 2567
กลยุทธ์ เช่น 1) ยกระดับและเร่งรัดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตข้าวให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และ 2) การเสริมสร้างพัฒนาองค์กรวิจัย สนับสนุนงบประมาณ เครื่องมืออุปกรณ์ บุคลากรในการวิจัยข้าวและนักวิจัยรุ่นใหม่
4. ยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว
4.1 การส่งเสริมนวัตกรรมให้ตรงกับความต้องการของตลาด
เป้าหมาย เช่น 1) มีผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว
ที่มีการนำงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้
และตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น และ 2) มีงานวิจัย
เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว มีมากขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการ และ 2) การส่งเสริมให้มีระบบหรือช่องทางในการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีอยู่แล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4.2 การสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคทราบถึงคุณประโยชน์
เป้าหมาย คือ ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรับรู้ถึงคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าวเพิ่มมากขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว 2) การพัฒนาตลาดเสมือนจริงผ่านช่องทางเว็บไซต์ และ 3) การประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์และคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจาก ข้าวผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4.3 การส่งเสริมการเชื่อมโยงตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เป้าหมาย คือ การค้าผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว
ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศมีมูลค่า เพิ่มมากขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าวผ่านช่องทางออนไลน์ และ 2) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับห้างค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีศักยภาพ
4.4 การอำนวยความสะดวกให้นักวิจัยและผู้ประกอบการ
เป้าหมาย คือ 1) มีแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนาผลิตภัณธ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว และ 2) การดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าวเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
กลยุทธ์ เช่น 1) การสนับสุนแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว และ 2) การปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งระบบการให้บริการของภาครัฐ ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
19. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ของกระทรวงพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ของกระทรวงพาณิชย์
2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
สภาพปัญหา
แนวทางแก้ไขปัญหา
1. กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19)
ด้านการเกษตร
1) ช่องทางการตลาดของสินค้าประมงลดลงในช่วงโควิด-19
จัดทำผลิตภัณฑ์แปรรูปและหาช่องทางด้านการตลาดเพิ่มขึ้น
2) การส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น มันสำปะหลัง มีมูลค่าการค้าชายแดนลดลง
- ปี 2561 17,000 ล้านบาท
- ปี 2562 19,000 ล้านบาท
- ปี 2563 5,000 ล้านบาท
3) สถานการณ์โควิด – 19 ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบมีปริมาณน้อยลง เนื่องจากสามารถนำเข้าผ่านช่องเม็กได้ช่องทางเดียวและเสียช่องทางการส่งออกไป สปป. ลาว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 17,000 ล้านบาท
4) ความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับประเทศเพื่อนบ้านลดลง
เร่งสร้างผลผลิตด้านการเกาตรให้เกิดความหลากหลาย
ด้านแรงงาน
สถานบริการต้องลดจำนวนแรงงานลง ส่งผลให้แรงงานภาคบริการถูกเลิกจ้าง
- สร้างอาชีพที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง
- พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
- พัฒนาเส้นทางคมนาคมในแหล่งท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม
2. กลุ่มโครงสร้างการพัฒนาจังหวัดด้านต่าง ๆ
ด้านเศรษฐกิจ
ปัจจุบันการซื้อขายในจังหวัดมีมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ หากสามารถเจรจากับกัมพูชาเพื่อเปิดเขาพระวิหารให้มีทางขึ้นฝั่งไทยได้ จะทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนไทยมาท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและสวนทุเรียนที่สามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้ด้วย
- ควรเปิดด่านช่องอานม้าที่อำเภอน้ำยืน เนื่องจากจะทำให้มูลค่าการส่งออกและนำเข้ารวมกันไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
- ควรสร้างนิคมอุตสาหกรรมและสร้างอุตสาหกรรมให้สอดรับกับพื้นที่ รวมทั้งนำสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มาใช้เพื่อดึงดูด นักลงทุน เช่น สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี
- ขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยการวิจัยและ แปรรูปผลิตภัณฑ์และนำออกจำหน่าย
ด้านการเกษตร
1) ปัญหาใบด่างมันสำปะหลังและราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน
ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรและการผลิตเกษตรอินทรีย์
2) ปัญหาสินค้า เนื้อโค เนื้อหมู ราคาค่อนข้างสูง
ควรจัดตั้งตลาดกลางเพื่อรองรับสินค้าเกษตร
ด้านภัยแล้งและน้ำท่วม
1) ปัญหาภัยแล้งและเพลี้ยระบาด
2) ปัญหาน้ำท่วมและการเยียวยาพื้นที่น้ำท่วม
- เพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
- เพิ่มเครื่องสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้สามารถทำนาในฤดูแล้งได้
ด้านโลจิสติกส์
การก่อสร้างถนนสาย 24 ซึ่งเป็นถนนที่ผ่านไปสู่อำเภอเดชอุดม
หากก่อสร้างถนนสาย 24 ไปอำเภอสิริธรจะลดระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้เป็นศูนย์กลางของอินโดจีน เนื่องจากถนนสายนี้จะเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม
2. ประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ
สภาพปัญหา
แนวทางแก้ไขปัญหา
1. ด้านโลจิสติกส์
ถนนเชื่อมเส้นทางการค้าชายแดนและภายในจังหวัดมีสภาพคับแคบ ไม่สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการสัญจรของยานพาหนะที่เพิ่มขึ้นได้
- ก่อสร้างถนนวงแหวนด้านทิศเหนือของจังหวัด
- ก่อสร้างและปรับปรุงถนนสายหลักเขาพระวิหาร ทางหลวงหมายเลข 221
- ก่อสร้างเพิ่มเส้นทางจราจรทางหลวงหมายเลข 220 ศรีสะเกษ-ขุขันธ์
- เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งสินค้าทางการเกษตร
- สนับสนุนรถโมบายขนส่งสินค้า
2. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
1) ประชาชนมีรายได้ลดลงจากการถูกเลิกจ้างในช่วง โควิด-19
2) ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำและผลผลิตทางการเกษตร เช่น พริก หอม และกระเทียม กำลังจะออกสู่ตลาด
3) ปัญหาการจัดสรรที่ดินทำกิน
4) กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อขาดแคลนโรงฆ่าสัตว์ที่มีมาตรฐาน
- สนับสนุนให้มีโครงการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน
- เตรียมการรองรับแรงงานจากภาคกลางและ ภาคตะวันออกที่ถูกเลิกจ้างและกลับภูมิลำเนา
- สนับสนุนการออกหนังสือรับรองที่ดินทำกินให้กับประชาชน
- สนับสนุนระบบชลประทานและระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรและประชาชน
- สนับสนุนกลุ่มเลี้ยงโคในจังหวัดศรีสะเกษเพื่อให้ เกิดการแปรรูปผลผลิตออกสู่ตลาด
3. ด้านสาธารณภัย
อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ ประสบปัญหาภัยแล้งและขาดน้ำในการอุปโภคและบริโภค โดยมีลุ่มน้ำห้วยทับทันเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคของจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ
- ดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำตื้นเขิน
- ก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำและผันน้ำจากลำห้วยทับทันมาในแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่
- ก่อสร้างระบบประปาเพื่อกระจายน้ำให้แก่ประชาชนในพื้นที่
4. ด้านความมั่นคง
1) ความไม่ชัดเจนของแนวเขตระหว่างประเทศ
2) การลักลอบตัดไม้ของคนต่างด้าวและของผิดกฎหมาย โดยเฉพาะไม้เศรษฐกิจที่มีราคาแพง เช่น ไม้พะยูง
3) การลักลอบข้ามพรมแดน
- สนับสนุนให้เปิดจุดผ่อนปรนเพื่อการค้าชายแดนและส่งเสริมการท่องเที่ยวของ 2 ประเทศ บริเวณเขา พระวิหารและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ศรีสะเกษ
- ออกมาตรการเพื่อควบคุมการลักลอบข้ามพรมแดนและการลักลอบตัดไม้ โดยเฉพาะไม้พะยูงและสิ่งของผิดกฎหมาย
3. พณ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้มีการนำผลการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษของ พณ. ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) และกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) นำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างประเด็นปัญหาที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ
พม. (เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด)
การสร้างอาชีพที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง
กษ. (เช่น สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานประมงจังหวัด)
การเร่งสร้างผลผลิตด้านการเกษตรให้เกิดความหลากหลาย
การทำผลิตภัณฑ์แปรรูปและหาช่องทางด้านการตลาดเพิ่ม
คค. (เช่น แขวงทางหลวงชนบท)
การก่อสร้างถนนวงแหวน
การก่อสร้างถนนสาย 24 ไปอำเภอสิริธร
การเร่งรัดการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่
ทส.
การออกมาตรการเพื่อควบคุมการลักลอบข้ามพรมแดนและ การลักลอบตัดต้นไม้
มท. (เช่น กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น)
การสนับสนุนให้มีโครงการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน
รง. (เช่น สำนักงานแรงงานจังหวัด)
การเตรียมการรองรับแรงงานจากภาคกลางและภาคตะวันออกที่ ถูกเลิกจ้างและกลับภูมิลำเนา
อก. (เช่น สภาอุตสาหกรรมจังหวัด)
การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและสร้างอุตสาหกรรมให้สอดรับกับพื้นที่
20. เรื่อง ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564 (เช่น ปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการที่จะให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ ) [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (17 มิถุนายน 2545) ที่กำหนดให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) จัดเก็บข้อมูลและสถิติตัวเลข รวมทั้งสำรวจและสอบถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายหลัก ๆ ของรัฐบาล แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีทราบ] โดย สสช. ได้สอบถามประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 46,600 คน ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2563 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
อันดับ
ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาลในปี 2564
ร้อยละ
ความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับในปี 2563
ร้อยละ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เตือนแรงงานต่างด้าว และนายจ้าง ตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศก่อนตัดสินใจให้ดำเนินการแทน | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
กระทรวงแรงงาน เตือนแรงงานต่างด้าว และนายจ้าง ตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศก่อนตัดสินใจให้ดำเนินการแทน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตือนแรงงานต่างด้าว และนายจ้าง อย่าหลงเชื่อนายหน้าเถื่อน หลอกเดินเรื่องทำเอกสารต่อวีซ่า/ขออนุญาตทำงาน พร้อมเผยกระบวนการนายหน้าเถื่อนมีทั้งคนไทย และคนต่างด้าวหลอกลวงกันเอง โดยอาศัยความไม่รู้ข้อมูล
ชูความสะดวกสบายเป็นจุดขาย สร้างความเดือดร้อนช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19
นายสุชาติฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและมาตรฐานสากล และการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ในปี 2564
“กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยทั้งของผู้ใช้แรงงานไทย และแรงงานต่างด้าว อย่างเท่าเทียมกัน จึงขอเตือนให้แรงงานต่างด้าวหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจใช้บริการนายหน้าที่อ้างว่า สามารถติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว และหน่วยงานราชการไทย เพื่อดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทาง การต่ออายุวีซ่า และใบอนุญาตทำงานได้ เนื่องจากปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีมาตรการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เว้นระยะห่างจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ แรงงานต่างด้าวและนายจ้างจึงหันไปใช้บริการสาย/นายหน้าให้ดำเนินการแทน มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง และอาจถูกหลอกลวงได้ ซึ่งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศที่ถูกกฎหมายกับกรมการจัดหางานได้“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 250 แห่ง เป็นผู้รับอนุญาตฯ ที่บริษัทตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 75 แห่ง และส่วนภูมิภาค 175 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2564)
“กรมการจัดหางาน จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง หากพบผู้กระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือสามารถหาลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง จะต้องระวางมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานฯที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th หรือแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ที่ถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ด้วยการลดค่าน้ำประปา - ค่าไฟฟ้า เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเวลา 2 เดือน มีผลตั้งแต่เดือน ก.พ. – มี.ค. 64 แบ่งเป็น ส่วนลดร้อยละ 10 สำหรับค่าน้ำประปา และใช้ไฟโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สูงสุดไม่เกิน 90 หน่วย/เดือน หากใช้ไฟเกิน 150 หน่วย/เดือน จะได้รับส่วนลดโดยใช้ค่าไฟฟ้าเดือนธ.ค. 63 เป็นฐาน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา กว่า 23 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38423 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารับมือ COVID-19 ระลอกใหม่ | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารับมือ COVID-19 ระลอกใหม่
สมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระบาดระลอกใหม่ ตามแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. ล่าสุด
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไรวัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ลูกค้า และประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงพร้อมออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ ธปท. ได้ออกแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ดังนี้
1.ขยายเวลาให้ลูกหนี้รายย่อยสมัครรับความช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จากเดิมที่ครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
2.เปิดให้นายจ้างหรือเจ้าของกิจการสมัครขอรับความช่วยเหลือแทนลูกจ้างหรือพนักงานที่เป็นลูกหนี้ธนาคารได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ที่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง
สำหรับลูกค้ากลุ่มอื่นๆ เช่นลูกค้า SMEs และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารพาณิชย์พร้อมให้ความช่วยเหลือและผ่อนปรนเงื่อนไขตามความเหมาะสม โดยลูกค้าสามารถติดต่อกับธนาคารพาณิชย์ที่ใช้บริการ ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งสาขา เว็บไซต์ หรือ ติดต่อผ่าน call center ของแต่ละธนาคาร เพื่อหารือในรายละเอียดของมาตรการช่วยเหลือได้
“ธนาคารพาณิชย์พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ธนาคารพาณิชย์ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอย่างรวดเร็ว และปรับมาตรการช่วยเหลือเป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกค้าโดยทั่วไป มาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม และมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งแต่ละธนาคารมีทั้งมาตรการที่เหมือนกันและแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าของแต่ละธนาคารที่ไม่เหมือนกัน ทำให้สามารถความช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นภายใต้การกลับมาระบาดระลอกใหม่ มั่นใจได้ว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงเดินหน้าช่วยหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าและเศรษฐกิจของประเทศสามารถข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้”
สมาคมธนาคารไทย
โทร. 0-2558-7500
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ดูแลลูกค้าเดิมต่อเนื่อง ออกสินเชื่อใหม่ ‘จ่ายดี มีเติม’ ช่วยเสริมสภาพคล่อง เดินหน้ากิจการก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
SME D Bank ดูแลลูกค้าเดิมต่อเนื่อง ออกสินเชื่อใหม่ ‘จ่ายดี มีเติม’ ช่วยเสริมสภาพคล่อง เดินหน้ากิจการก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19
ME D Bank เคียงข้างดูแลลูกค้าเดิมต่อเนื่องให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ “จ่ายดี มีเติม” เพื่อให้ลูกค้านำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุง หมุนเวียนในธุรกิจเดิมที่เคยขอสินเชื่อไปแล้ว
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เคียงข้างดูแลลูกค้าเดิมต่อเนื่องให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ “จ่ายดี มีเติม” เพื่อให้ลูกค้านำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุง หมุนเวียนในธุรกิจเดิมที่เคยขอสินเชื่อไปแล้ว กำหนดคุณสมบัติสำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) และมีประวัติชำระหนี้ดี วงเงินกู้สูงสุดเท่ากับวงเงินเดิมทุกประเภทที่มีอยู่กับธนาคาร แต่ไม่เกิน 15 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย กรณีหลักประกันตามที่ธนาคารกำหนด MLR+0.5 ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลากู้ยืมนานสูงสุด 10 ปี กรณีที่ใช้ บสย. คิดอัตราดอกเบี้ย MLR+1.5 ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลากู้ยืมนานสูงสุด 7 ปี สนใจติดต่อได้ที่สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงจัดหาวัคซีนโควิด 19 ไม่ล่าช้า ยึดหลักปลอดภัย มีคุณภาพ | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
สธ.แจงจัดหาวัคซีนโควิด 19 ไม่ล่าช้า ยึดหลักปลอดภัย มีคุณภาพ
กระทรวงสาธารณสุขแจงการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ไม่ได้ล่าช้า ดำเนินการอย่างรอบคอบ ยึดหลักปลอดภัย มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ในราคาไม่แพง เจรจากับผู้ผลิตหลายบริษัท ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างสยามไบโอไซเอนซ์และแอสตร้าเซนเนก้า เพราะคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ มีศัก
กระทรวงสาธารณสุขแจงการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ไม่ได้ล่าช้า ดำเนินการอย่างรอบคอบ ยึดหลักปลอดภัย มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ในราคาไม่แพง เจรจากับผู้ผลิตหลายบริษัท ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างสยามไบโอไซเอนซ์และแอสตร้าเซนเนก้า เพราะคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ มีศักยภาพสูงในการผลิตภาวะเร่งด่วน ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ดำเนินการในราคาทุน
วันนี้ (19 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงการจัดหาวัคซีนโควิด 19
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีต่อการแพทย์และการสาธารณสุข ที่ทรงวางรากฐานและพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่น้อยหน้าประเทศใดในโลก รวมถึงพระราชทานทรัพย์ในวาระต่างๆ เพื่อพัฒนาสิ่งก่อสร้าง เวชภัณฑ์ในการดูแลประชาชนให้ครอบคลุม โดยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานคำแนะนำและกำลังใจในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 อีกทั้งได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาทใช้ในการปรับปรุงสถานที่ เวชภัณฑ์/ครุภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อรองรับในช่วงโควิด 19 ระบาด อาทิ รถพยาบาล รถเก็บตัวอย่างตรวจเชื้อชีวนิรภัย 20 คัน ชุดป้องกันส่วนบุคคล หน้ากากอนามัย ถุงยังชีพ และเจลแอลกอฮอล์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสนับสนุนให้การควบคุมป้องกันโรคเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
“ขณะนี้มีข้อสงสัยถึงกระบวนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ในประเด็นต่างๆ ทั้งการได้มาวัคซีนล่าช้า ราคาแพง ไม่ครอบคลุมประชาชน หรือมีการติดต่อบริษัทวัคซีนเพียง 1-2 บริษัทเท่านั้น กระทรวงสาธารณสุขขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน ยืนยันว่า การดำเนินการจัดหาวัคซีนอาศัยข้อมูลที่มีหลักฐานชัดเจน มีการเจรจากับหลายบริษัทที่ผลิตวัคซีน ยึดหลักคุณภาพและความปลอดภัย” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มการระบาดของโรคโควิค 19 รัฐบาลเห็นว่าวัคซีนเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันในระดับที่สามารถจะลดการแพร่เชื้อได้ แต่ไม่ใช่เป็นเครื่องมือทั้งหมดของการควบคุมการแพร่ระบาด โดยยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนไม่ได้ล่าช้า แต่เริ่มกระบวนการจัดหามาตั้งแต่กลางปี 2563 โดยตั้งคณะทำงานต่างๆ ขึ้นมาศึกษาและติดตามข้อมูล ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัย แต่ช่วงเวลานั้นข้อมูลค่อนข้างจำกัดและวัคซีนไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป จึงต้องมีการคาดการณ์และวางแผน โดยตั้งเป้าในปี 2564 จะหาวัคซีนมาฉีดให้คนไทยครอบคลุม 50% ของประชากร โดยมาจาก 3 ช่องทาง คือ ช่องทางแรกผ่านโครงการCOVAX จำนวน 20 % โดยได้มีการเจรจากับโคแวกซ์หลายครั้ง เป็นการประสานหน่วยงานระหว่างประเทศ จึงอาจมีความยุ่งยากในการจองซื้อบางประการ แต่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาและรอความคืบหน้า
ช่องทางที่สอง การจองซื้อและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อให้สามารถผลิตในประเทศ โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด จำนวน 26 ล้านโดส หรือ 20% ของประชากร และช่องทางที่ 3 จากบริษัทอื่นๆ อีก 10% โดยได้ติดตามผลการทดลองเป็นระยะ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเรื่องสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองภายในประเทศที่จะมีประโยชน์ในระยะยาว ยืนยันว่าไม่ได้เลือกแค่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่มีการวางแผนล่วงหน้าและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือแนวทางตามสถานการณ์ เช่น มีการได้วัคซีนจากซิโนแวค มาฉีดในช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน และยังมีการเจรจาขอซื้อเพิ่มเติมจากแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อให้ได้วัคซีนครบ 50% ของประชากรในปลายปี 2564 และขยายให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้นในปีต่อไป ถือว่าไม่ได้ล่าช้าเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ แต่มีความรอบคอบในการดำเนินการ
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนทั่วไปใช้เวลาราว 10 ปี แต่การนำวัคซีนโควิด 19 มาฉีดให้คนไทย เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน ได้ปรับกระบวนการต่างๆ ให้เร็วขึ้น แต่ยังคงความรอบคอบ โดยวัคซีนต้องมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ผ่านกระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณา ไม่ดำเนินการไปตามกระแสกดดันหรือทำตามประเทศอื่น ขณะนี้มีบริษัทนำข้อมูลมายื่นขึ้นทะเบียนให้ อย.แล้ว 2 แห่ง โดยแอสตร้าเซนเนก้าก็อยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ ยังมีการเจรจากับอีก 4 บริษัทเพิ่มเติม ซึ่งต้องนำข้อมูลหลักฐานมาแสดงกับ อย.ด้วย
สำหรับราคาของวัคซีนนั้น ช่วงต้นของการระบาดประมาณการว่าราคาวัคซีนต่อโดสอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาทแต่จากการจองซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้าอยู่ที่ 5 ดอลลาร์ต่อโดส หรือประมาณ 150 บาท ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆจะเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขมีความรอบคอบ ในการนำวัคซีนมาฉีดโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพความปลอดภัย เพื่อให้คนไทยได้รับการป้องกันโรคและมีความปลอดภัยในการได้รับวัคซีน
ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า การที่บริษัท สยามไบโอไซนเอนซ์ จำกัด เป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีศักยภาพและความพร้อมในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีรูปแบบViral Vector ในภาวะเร่งด่วนมากที่สุด โดยผ่านการประเมินคุณสมบัติจากแอสตร้าเซนเนก้า เช่น สามารถเป็นฐานการผลิตให้ได้ 200 ล้านโดสต่อปี เป็นต้น ไม่ใช่เลือกเอกชนรายใดก็ได้มาทำโดยรัฐบาลได้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเกือบ 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้แสดงเจตจำนงไว้ในสัญญาว่า เมื่อผลิตวัคซีนได้ตามมาตรฐานที่แอสตร้าเซนเนก้ากำหนด จะคืนวัคซีนให้เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับการสนับสนุน
***********************************19 มกราคม 2564
*************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 4 โครงการเยียวยาของรัฐบาล | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 4 โครงการเยียวยาของรัฐบาล
วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2563 และ 2564 สำหรับผู้ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ตามโครงการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั้ง 4 โครงการ คือ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการกำลังใจ และโครงการคนละครึ่ง โดยคาดว่า จะช่วยลดภาระของประชาชน กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นเงินกว่า 30,300 ล้านบาท ดังนั้น ประชาชนจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเสียภาษีเงินได้ และไม่ส่งต่อข่าวบิดเบือนจนอาจเกิดความสับสน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแผน E-commerce ชาติ ตั้งเป้า 5.35 ล้านล้าน | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
เคาะแผน E-commerce ชาติ ตั้งเป้า 5.35 ล้านล้าน
...
จากสถานการณ์โรคโควิด ส่งผลให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะการซื้อขายออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
.
แผนปฏิบัติการอีคอมเมิร์ซแห่งชาติ ปี 2564 - 2565
ได้รับการผลักดันเพื่อขับเคลื่อนการค้าออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม
ตั้งเป้าสร้างรายได้ในปี 2565 มูลค่า 5.35 ล้านล้านบาท
.
4 ยุทธศาสตร์ของแผนอีคอมเมิร์ซแห่งชาติ ประกอบด้วย
1) การพัฒนาแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (e-Marketplace)
2) การพัฒนาสภาพแวดล้อมให้พร้อมรองรับ
การเติบโตของการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(Ecosystem and Enabling Factors)
.
3) การสร้างความเชื่อมั่นในธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(Trust and Sustainability)
4) การพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถใช้ประโยชน์
จากธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Competency Building)
.
ควบคู่ไปกับการผลักดันการค้าออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ เช่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมทวิภาคีไทย – กัมพูชา พิจารณา (ร่าง) สุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน ในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
พม. ร่วมประชุมทวิภาคีไทย – กัมพูชา พิจารณา (ร่าง) สุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน ในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
พม. ร่วมประชุมทวิภาคีไทย – กัมพูชา พิจารณา (ร่าง) สุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ระหว่างไทย – กัมพูชา
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 64 เวลา 09.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานฝ่ายไทย และ H.E. Chou Bun Eng Secretary of State รองประธานคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์แห่งชาติ ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา ในการประชุมทวิภาคีไทย – กัมพูชา เพื่อพิจารณา (ร่าง) สุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ระหว่างไทย – กัมพูชา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการรายงานผลการดำเนินงานในการจัดทำเอกสารสุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้มีความตกลงที่จะมีความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ระหว่างสองประเทศ ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เมื่อปี พ.ศ. 2547 ทั้งสองประเทศได้มีความตกลงที่จะจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานร่วมกันใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1) การช่วยเหลือ ในการส่งกลับ 2) การคืนสู่สังคม และ 3) การช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยประสานงานหลักในการดำเนินการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ของฝ่ายไทย ดำเนินการยก (ร่าง) ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการส่งกลับและคืนสู่สังคมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ชาวกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2561 และได้มีการหารือตกลงร่วมกันในเวทีการประชุมทวิภาคีในการบริหารจัดการรายกรณีการส่งกลับและคืนสู่สังคม หรือ Case Management Meeting (CMM) เมื่อเดือนกันยายน 2561 ณ เมืองเสียมเรียบ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในขั้นตอนดังกล่าว หลังจากนั้น ได้มีการจัดประชุม CMM ครั้งที่ 2 ระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2562 ณ กรุงเทพฯ โดยได้มีการจัดลงนามเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานการส่งกลับ และคืนสู่สังคมเรียบร้อยแล้ว
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานเรื่องกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ระหว่างไทย – กัมพูชา นั้น กระทรวง พม. ได้ขอความร่วมมือสำนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ดำเนินการยกร่าง โดยได้ดำเนินการจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและส่งให้ฝ่ายกัมพูชาทราบในเบื้องต้น และได้มีการขอปรับแก้ข้อความในบางประเด็นฝ่ายไทยจึงดำเนินการหารือร่วมกันและดำเนินการจัดการประชุมพิจารณาร่างสุดท้ายของเอกสารขั้นตอนดังกล่าว ก่อนที่จะจัดประชุมทวิภาคีไทย – กัมพูชา ในครั้งนี้ ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้ มีการพิจารณา (ร่าง) เอกสารสุดท้ายของขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ระหว่างไทย – กัมพูชา ประกอบด้วยเนื้อหาหลักเดิม 10 ข้อ โดยฝ่ายกัมพูชาขอเพิ่ม 1 ข้อ รวมเป็น 11 ข้อ ได้แก่ 1. วัตถุประสงค์ 2. หน่วยประสานงานกลาง 3. เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจ 4. การคัดแยกผู้เสียหาย 5. กระบวนการทางอาญา 6. การแบ่งปันข้อมูลการสืบสวนสอบสวน 7. ความร่วมมือระหว่างประเทศ 8. ค่าใช้จ่าย 9. การแก้ไข SOP 10. การยุติข้อพิพาท (ฝ่ายกัมพูชาขอเสนอเพิ่ม) และ 11. การมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้
ที่ประชุมยังได้พิจารณาการลงนามในเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงานดังกล่าวอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศอ.ปส.มท.แจ้งทุกจังหวัด-อำเภอทั่วประเทศ เฝ้าระวังการแพร่ระบาดยาเสพติด “เคนมผง” | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ศอ.ปส.มท.แจ้งทุกจังหวัด-อำเภอทั่วประเทศ เฝ้าระวังการแพร่ระบาดยาเสพติด “เคนมผง”
ศอ.ปส.มท.แจ้งทุกจังหวัด-อำเภอทั่วประเทศ เฝ้าระวังการแพร่ระบาดยาเสพติด “เคนมผง”
วันนี้ (19 ม.ค. 64) นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยปรากฏข่าวสารการแพร่ระบาดของยาเสพติด“เคนมผง” ซึ่งมีส่วนผสมของคีตามีนและสารเสพติดชนิดต่าง ๆ เช่น ไดอาซีแพม (Diazepam) ไอซ์ เฮโรอีน ยาอีโคเคน เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์รุนแรงเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายผู้เสพและเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต ซึ่งในเบื้องต้นพบการแพร่ระบาดของเคนมผงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิดดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยโดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกระทรวงมหาดไทย (ศอ.ปส.มท.) ได้แจ้งให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดและศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอทั่วประเทศ กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานติดตามข่าวสารและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเคนมผงอย่างใกล้ชิด
นายสมคิด จันทมฤก กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญและบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นต่อเนื่องในทุกพื้นที่ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแสเกี่ยวกับเคนมผงและยาเสพติดอื่นในพื้นที่ สามารถแจ้งสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 หรือสายด่วน ป.ป.ส. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานชุด PPE. 7 แสนชุดแก่บุคลากรการแพทย์ | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานชุด PPE. 7 แสนชุดแก่บุคลากรการแพทย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานชุด PPE. 7 แสนชุดแก่บุคลากรการแพทย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 7 แสนชุด ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ใช้ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ขณะปฏิบัติหน้าที่ ดูแลประชาชน
วันนี้ (19 มกราคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉายร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ณ อาคารกองกิจการในพระองค์ พระที่นั่งอัมพรสถาน และให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) จำนวน 7 แสนชุด ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งชุด PPE. มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ทำให้มีความปลอดภัยขณะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งขณะให้การดูแลรักษาผู้ป่วย/ ผู้ติดเชื้อ การเก็บตัวอย่างเพื่อเฝ้าระวัง ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก ซึ่งทำให้การป้องกันควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 7 แสนชุดที่ได้รับพระราชทาน ประกอบด้วย เสื้อคลุมแขนยาว (Isolation Gown) 4 แสนชุด ชุดสวมคลุมร่างกายชิ้นเดียว มีฮู้ดคลุมคอและศีรษะ (Coverall Gown)1 แสนชุด และเสื้อคลุมแขนยาวชนิดใช้ซ้ำได้ (Reusable Isolation Gown)2 แสนชุด โดยกระทรวงสาธารณสุข จะกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต รวม 4.9 แสนชุด กรุงเทพมหานคร 7 หมื่นชุด และเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) 1.4 แสนชุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เผย 4 วัน อนุมัติสินเชื่อเสริมพลังฐานราก 110,000 ราย พร้อมปรับหลักเกณฑ์ให้คนเคยกู้สินเชื่อฉุกเฉินกู้อีกได้ ดีเดย์ 23 ม.ค.64 เป็นต้นไป ผ่าน MyMo | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ออมสิน เผย 4 วัน อนุมัติสินเชื่อเสริมพลังฐานราก 110,000 ราย พร้อมปรับหลักเกณฑ์ให้คนเคยกู้สินเชื่อฉุกเฉินกู้อีกได้ ดีเดย์ 23 ม.ค.64 เป็นต้นไป ผ่าน MyMo
ตามที่รัฐบาลได้ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารออมสินมีมาตรการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อประชาชนรายย่อย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารออมสินมีมาตรการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อประชาชนรายย่อย สินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดรายละ 50,000 บาท ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นกู้เป็นจำนวนมาก เพียง 4 วัน (15-18 มกราคม 2564) ธนาคารฯ ได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว 110,000 ราย ซึ่งถือเป็นการให้กู้ยืมแบบดิจิทัล (Digital lending) ที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก สะดวกและอนุมัติรวดเร็ว โดยขณะนี้ยังคงได้รับความสนใจอย่างมากมายและคาดว่าจะยังมีผู้สนใจอยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนรายย่อยและรองรับความต้องการที่มีเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเร่งด่วนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ รวมถึงได้รับการอนุมัติที่รวดเร็ว ธนาคารจึงปรับหลักเกณฑ์การเข้าถึงสินเชื่อขึ้นใหม่เป็นกรณีพิเศษ โดยให้ผู้ที่เคยกู้สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา COVID-19 (สินเชื่อฉุกเฉิน) เมื่อปี 2563 สามารถยื่นกู้ได้อีก ซึ่งการพิจารณาวงเงินสินเชื่อขึ้นอยู่กับเครดิตและประวัติการชำระ เปิดให้ลงทะเบียนขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ได้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564 นี้เป็นต้นไป
“การปรับเกณฑ์การให้สินเชื่อในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของธนาคารที่จะช่วยรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า คนที่มีอาชีพอิสระที่เคยกู้สินเชื่อฉุกเฉินและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในระลอกใหม่นี้ สามารถยื่นขอสินเชื่อเสริมพลังฐานรากได้ โดยให้รายละ 20,000 บาท หรือต้องมีประวัติการผ่อนชำระดีในช่วงที่ผ่านมา และไม่มีประวัติหนี้เสีย ซึ่งธนาคารจะพิจารณาช่วยเหลืออย่างเต็มที่” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดอำพันธุ์ ประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
รองปลัดอำพันธุ์ ประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564
รองปลัดอำพันธุ์ ประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 1/2564
ณ ห้องประชุมอาคารสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯ
ได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การดำเนินการตามมติคณะกรรมการน้ำตาลทราย
2. บริษัท ไทยแอดวานซ์การเกษตร จำกัด ขอรับสิทธิซื้อน้ำตาลทรายเพื่อผลิตสินค้าส่งออกปี 2564
3. การเพิกถอนสิทธิซื้อน้ำตาลทรายผลิตสินค้าส่งออก
4. การจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบภายในราชอาณาจักร
5. รายงานสถานการณ์การจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในและภายนอกประเทศ
6. สรุปปริมาณการขนย้ายน้ำตาลทรายที่ได้รับสิทธิของบริษัทผู้ผลิตสินค้าส่งออกปี 2563 ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563
7. รายงานการจำหน่ายและการขนย้ายน้ำตาลทรายดิบ เพื่อจำหน่ายภายในราชอาณาจักรปีการผลิต 2563/2564 และก่อนฤดูกาลผลิตปี 2563/2564
8. ผลการให้สิทธิซื้อน้ำตาลทรายเพื่อผลิตสินค้าส่งออกปี 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ธ.ก.ส. พร้อมดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่
ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเกษตรกรรับมือปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่โดยพักชำระหนี้ 6 เดือน - 1 ปี ให้กับเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชน ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) องค์กร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ)
ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเกษตรกรรับมือปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่โดยพักชำระหนี้ 6 เดือน - 1 ปี ให้กับเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชน ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) องค์กร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ) ที่ได้รับผลกระทบและอยู่ในพื้นที่ 28 จังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมสูงสุดและที่ภาครัฐจะประกาศเพิ่ม พร้อมขยายเวลาเปิดรับคำขอสินเชื่อฉุกเฉิน รายละไม่เกิน 10,000 บาท และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างธุรกิจ ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ระลอกใหม่ โดย ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการเพิ่มเติมจากการพักชำระหนี้ต้นเงินทั้งระบบ เป็นเวลา 1 ปี ที่ดำเนินไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการ วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวและอยู่ในพื้นที่ 28 จังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมสูงสุดและที่รัฐบาลประกาศเพิ่มเติม โดยธนาคารจะดำเนินการ 1) พักชำระต้นเงินสำหรับเกษตรกร 1 ปี 2) พักชำระต้นเงินผู้ประกอบการ SMEs สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการ วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน ระยะเวลา 6 เดือน กรณีเป็นสินเชื่อใหม่ที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2563 ถึงพฤษภาคม 2564 ให้พักชำระต้นเงินสินเชื่อฉุกเฉินโควิด-19 ที่ถึงกำหนดชำระออกไปอีก 6 เดือน รวมถึงพักชำระต้นเงินสินเชื่อผู้ที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้นอกระบบออกไปอีก 1 ปี
สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ระลอกใหม่ ในภาพรวม ธ.ก.ส.ได้เตรียมวงเงินสนับสนุนรวมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นในครัวเรือน ผ่านโครงการสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรและครอบครัวของเกษตรกร ในอัตราดอกเบี้ยคงที่เพียงร้อยละ 0.1 ต่อเดือน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท กำหนดชำระคืนไม่เกิน 2 ปี 6 เดือนนับจากวันกู้ มีระยะเวลาปลอดการชำระ 6 เดือน ไม่ต้องใช้หลักประกัน และสามารถแบ่งงวดชำระได้ตามความสามารถในการชำระคืน โดยขยายเวลาในการขอสินเชื่อดังกล่าวได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อนำไปลงทุนและฟื้นฟูการผลิต ผ่านโครงการสินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องดอกเบี้ยต่ำ สำหรับผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 ต่อปี วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท (ทั้งนี้คณะกรรมการธนาคารจะให้การอนุมัติสินเชื่อฉุกเฉินและสินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องดอกเบี้ยต่ำก่อนการเปิดให้บริการภายในเดือนมกราคม 2564) นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ได้เตรียมสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างธุรกิจ ประกอบด้วย สินเชื่อระยะสั้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Jump Start Credit) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ (Sufficient Loan) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ในช่วง 3 เดือนแรก เดือนถัดไปดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ในช่วง 3 เดือนแรก เดือนถัดไปดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี สินเชื่อ SMEs (Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี และสินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน
นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระหนี้ผ่านโครงการชำระดีมีคืน สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติ ที่มีหนี้คงเหลือ ณ 31 ตุลาคม 2563 ยกเว้นสัญญาเงินกู้ตามโครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล โดยกรณีเป็นเกษตรกร ทันทีที่ชำระหนี้จะได้รับคืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ไม่เกินรายละ 5,000 บาท กรณีเป็นกลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จะได้รับเงินคืนในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง แต่ไม่เกินแห่งละ 50,000 บาท วงเงินงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินงบประมาณ
และโครงการลดภาระหนี้ สำหรับลูกค้าที่มีสถานะหนี้เป็นหนี้ค้างชำระเกินกว่า 15 เดือน ซึ่งมีหนี้คงเหลือ ณ 31 ตุลาคม 2563 ยกเว้นสัญญาเงินกู้ตามโครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล โดย ธ.ก.ส. จะนำดอกเบี้ยที่คืนให้มาลดภาระหนี้ด้วยการตัดชำระต้นเงิน และหลังจากตัดชำระหนี้แล้ว มีเงินคงเหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรในวันถัดไป ซึ่งในกรณีลูกค้าเกษตรกร จะได้รับคืนดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และกรณีกลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จะได้รับคืนดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ไม่จำกัดวงเงินที่จะคืน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 รวมทั้งยังจัดทำมาตรการเพื่อผ่อนคลายภาระหนี้ โดยการบริหารจัดการหนี้และขยายเวลาการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับที่มาของรายได้ ทั้งในส่วนของเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ
นายสุรชัยกล่าวอีกว่า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเป็นการดำเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมของกระทรวงสาธารณสุข ธ.ก.ส. ได้จัดเตรียมช่องทางสำหรับผู้ที่ประสงค์จะใช้บริการกับ ธ.ก.ส. โดยสามารถแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้(ในพื้นที่ 28 จังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมสูงสุดและที่รัฐบาลประกาศเพิ่มเติม) ได้ผ่าน LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ www.baac.or.th Call Center 0 2555 0555 และ ธ.ก.ส. พื้นที่ 28 จังหวัด สำหรับสินเชื่อฉุกเฉินสามารถส่งคำขอได้ทาง LINE Official BAAC Family สินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อระยะสั้นฤดูการผลิตใหม่ สินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบและสินเชื่อ SMEs (Soft Loan ธปท. ระยะที่ 2) สามารถติดต่อขอสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และกรณีสินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพและสินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด สามารถติดต่อได้ทั้งทาง LINE Official BAAC Family และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และหลังจากรับเรื่องแล้ว ธ.ก.ส. จะนัดหมายเพื่อทำสัญญา ณ ธ.ก.ส. สาขาในพื้นที่ภูมิลำเนาของลูกค้า ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ไม่มีนโยบายการอนุมัติสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากเป็นเพียงการแสดงความประสงค์ขอใช้บริการดังกล่าว ดังนั้น ขอให้โปรดระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่นอกเหนือจากช่องทางที่ ธ.ก.ส. กำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38431 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษ เรื่อง “โลกาภิวัฒน์กับผลกระทบต่อสังคมไทยในปัจจุบัน” ให้กับผู้อบรมหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบกชุดที่ 66 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษ เรื่อง “โลกาภิวัฒน์กับผลกระทบต่อสังคมไทยในปัจจุบัน” ให้กับผู้อบรมหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบกชุดที่ 66
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษ เรื่อง “โลกาภิวัฒน์กับผลกระทบต่อสังคมไทยในปัจจุบัน” ให้กับผู้อบรมหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบกชุดที่ 66
เมื่อวันที่19มกราคม2564 ดร.ปิยนุช วุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้เกียรติบรรยายในหัวข้อ“โลกาภิวัฒน์กับผลกระทบต่อสังคมไทยในปัจจุบัน”ให้กับนักศึกษาหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบกชุดที่๖๖ปีการศึกษา๒๕๖๔จำนวน๑๕๖คนผ่านระบบVDO Conferenceณวิทยาลัยการทัพบกถนนเทิดดำริเขตดุสิตกรุงเทพฯ
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ เพื่ออำลา ยืนยันไทยและสหรัฐฯ พร้อมสานต่อความร่วมระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าและการลงทุน | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ เพื่ออำลา ยืนยันไทยและสหรัฐฯ พร้อมสานต่อความร่วมระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าและการลงทุน
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ เพื่ออำลา ยืนยันไทยและสหรัฐฯ พร้อมสานต่อความร่วมระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าและการลงทุน
วันนี้ (19 มกราคม 2564) เวลา 15.00 น. นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร (H.E. Mr. Michael George DeSombre) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ เป็นอย่างดีทำให้มีพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นับเป็นมิตรที่มีความใกล้ชิด และเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย รวมทั้งยินดีที่ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายมีตัวเลขความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้นำคณะนักธุรกิจสมาชิกสภาธุรกิจสหรัฐฯ – อาเซียน (U.S. – ASEAN Business Council: USABC) เข้าพบหารือเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้จัดสัมมนา “Select USA: Helping Thai Corporate Go Global” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (14 มกราคม 2564) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่ช่วยพัฒนาความพร้อมให้ภาคเอกชนไทย และส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันของทั้งสองประเทศ พร้อมขอให้สหรัฐฯ มั่นใจในเสถียรภาพ และขอให้เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ภายในประเทศอย่างดีที่สุดภายใต้หลักสากล
ด้านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศที่ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ประเทศไทยนับเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค และตลอดการดำรงตำแหน่งทำให้ได้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความร่วมมือทางทหาร พร้อมยืนยันว่าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ จะยังคงพร้อมสานต่อความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป และแม้จะพ้นจากหน้าที่ไปแล้ว แต่จะยังคงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนไทยที่ต้องการขยายการลงทุนไปยังสหรัฐฯ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และครอบครัวประสบความสุขและความสำเร็จ พร้อมฝากความปรารถนาดี ไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภริยา และครอบครัวด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เมื่อพ้นจากหน้าที่ จะสานต่อผลประโยชน์ และเกื้อกูลให้ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ดำเนินไปอย่างราบรื่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ เลขาฯ ติดตาม Job expo ปลื้ม!! ยอดบรรจุงานกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจ นโยบายจ้างงานเชิงรุกช่วยเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิดโดยเร็ว | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
รมว.สุชาติ มอบ เลขาฯ ติดตาม Job expo ปลื้ม!! ยอดบรรจุงานกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจ นโยบายจ้างงานเชิงรุกช่วยเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิดโดยเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการบรรจุงาน Job expo Thailand 2020 ปลื้ม!! ยอดบรรจุงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มั่นใจ นโยบายจ้างงานเชิงรุกจะช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 เวลา 13.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conference) ติดตามความคืบหน้าผลการบรรจุงาน Job Expo Thailand 2020 ณ ห้องประชุมตรีเทพ 2 ชั้น 14 กรมการจัดหางาน โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นประธานการประชุม พร้อมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุมด้วย โดยนายสุเทพกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาการว่างงานเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ซึ่งภายหลังจากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเห็นชอบการปรับแก้คุณสมบัติและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) เพื่อให้นักศึกษาจบใหม่มีโอกาสได้งานทำ และนายจ้าง/สถานประกอบการเกิดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งได้รับประโยชน์สูงสุด เสมอภาคกัน และเกิดการบรรจุงานโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้จากข้อมูลกรมการจัดหางาน ณ วันที่ 18 ม.ค.64 พบว่า สามารถบรรจุงานในภาพรวมได้แล้วจำนวน 857,888 คน จากเป้าหมาย 1 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 28,000 ล้านบาท ซึ่งหากคำนวณตามหลักเศรษฐศาสตร์เม็ดเงินนี้จะสามารถหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 5 รอบ คิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 141,009,721,350 บาท
นายสุเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เล็งเห็นว่าในปี 2564 จะต้องกำหนดนโยบายแบบเชิงรุก ได้แก่ ประการแรก ต้องรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่ยังสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อพยุงสภาพเศรษฐกิจของประเทศให้เดินต่อไปได้ จึงเน้นไปที่อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าส่งออกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต้องหยุดกิจการเพราะการติดเชื้อโควิด -19 ของแรงงานในสายการผลิต เป็นที่มาของการออกนโยบายตรวจเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ โดยมุ่งเป้าไปที่จังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมส่งออกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้โรงงานเหล่านี้สามารถเดินหน้าผลิตสินค้าได้ และเป็นที่เชื่อมั่นต่อลูกค้าชาวต่างประเทศว่า สินค้าที่ส่งออกไปมาจากโรงงานที่แรงงานปลอดเชื้อโควิด 100 เปอร์เซนต์ ประการที่สอง มุ่งหารายได้เข้าประเทศโดยการหาตลาดแรงงานในต่างประเทศเพิ่ม เพราะแรงงานไทยเราเป็นที่ยอมรับและต้องการของต่างประเทศ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทยที่สามารถควบคุมและป้องกันโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมาเราส่งออกแรงงานไทยมาอย่างต่อเนื่องทั้งประเทศอิสราเอล สวีเดน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาลเป็นแสนล้านบาทต่อปี และประการสุดท้าย ส่งเสริมการจ้างงานในประเทศอย่างต่อเนื่องส่งเสริมการจ้างงานในประเทศอย่างต่อเนื่องโดยจะจัดงาน Job Expo Thailand ปีละหนึ่งครั้ง เพื่อให้ภาคแรงงานมีงานทำอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38442 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเยี่ยมชมกิจการโรงพยาบาลเมดพาร์ค | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
บีโอไอเยี่ยมชมกิจการโรงพยาบาลเมดพาร์ค
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (ที่ 5 จากซ้าย) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บีโอไอเยี่ยมชมกิจการโรงพยาบาลเมดพาร์ค ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
ในกิจการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ ด้านไต และด้านมะเร็ง กิจการบริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ และศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ โดยโรงพยาบาลมีเป้าหมายยกระดับเป็นสถาบันการแพทย์ที่มีความเป็นเลิศด้านการบริการทางการแพทย์ การเรียนการสอน และการวิจัย เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี ศ.น.พ.สิน อนุราษฎร์ ประธานกรรมการบริหาร และทีมแพทย์ให้การต้อนรับ ณ โรงพยาบาลเมดพาร์ค เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดสายตรงนายกฯ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการทำผิดกฎหมาย | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
เปิดสายตรงนายกฯ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการทำผิดกฎหมาย
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะบ่อนการพนัน แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง และการค้าประเวณี โดยเชิญชวนประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิดโดยตรงถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สายด่วนรัฐบาล โทร.1111 /ตู้ ปณ. 1111 ปณ. ทำเนียบรัฐบาล /เว็บไซต์ www.1111.go.th /Mobile Application PSC1111 ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ android และจุดบริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ผู้ที่แจ้งเบาะแส จะได้รับความคุ้มครองและรักษาข้อมูลเป็นความลับ ส่วนผู้กระทำผิด ผู้เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ จะต้องเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีต่อไป
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีผลักดันเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายรัฐ ปี 64 หวังทำให้ไทยพ้นกับดับรายได้ปานกลาง พร้อมตั้งคณะกรรมการหารือเมียนมาแก้ไขปัญหาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีผลักดันเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายรัฐ ปี 64 หวังทำให้ไทยพ้นกับดับรายได้ปานกลาง พร้อมตั้งคณะกรรมการหารือเมียนมาแก้ไขปัญหาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
นายกรัฐมนตรีผลักดันเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายรัฐ ปี 64 หวังทำให้ไทยพ้นกับดับรายได้ปานกลาง พร้อมตั้งคณะกรรมการหารือเมียนมาแก้ไขปัญหาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
วันนี้ (19 ม.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ความสำคัญของเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในปี 2564 โดยมุ่งพัฒนาให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง และมีรายได้เพียงพอต่อพี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะภาคการเกษตร ซึ่งไทยมีศักยภาพด้านการเกษตร สุขภาพ การท่องเที่ยว โดยจะใช้เศรษฐกิจ BCG เป็นแรงขับเคลื่อนด้วย
นายกรัฐมนตรียังแถลงเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ยังได้อนุมัติแผนงานช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะมอบให้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงรายละเอียดโครงการ “เราชนะ” เพื่อทำความเข้าใจแก่ผู้ได้รับสิทธิ วิธีการลงทะเบียน โดยรัฐบาลมุ่งเน้นดูแลประชาชนให้มากที่สุดตามงบประมาณที่มีอยู่ แต่จะต้องจัดสรรงบประมาณไว้บางส่วนเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอนาคตด้วย สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ แม้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะสูงขึ้นแต่ยังสามารถควบคุมได้ เตรียมความพร้อมมาตรการคัดกรองตรวจสอบโรค การจัดพื้นที่ควบคุมสังเกตอาการ ที่มีเพิ่มเติมขึ้นมาคือ Factory Quarantine การใช้โรงงานอุตสาหกรรมเป็นพื้นที่ควบคุมตัวสังเกตอาการ ทั้งนี้ รัฐบาลยังต้องดูการประเมินผลสถานการณ์เป็นระยะ ๆ ขอเพียงประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล และไม่เผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวายนั้น ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้เดินหน้าปรับปรุงเจรจาความร่วมมือกับประเทศเมียนมา โดยมอบหมายให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ดูแลกติกาการคุ้มครองการลงทุนของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงตั้งคณะกรรมการโดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือกับทางเมียนมาต่อไป
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งจะเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันที่ 20 มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
โครงการคนละครึ่งจะเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันที่ 20 มกราคม 2564
กระทรวงการคลังจะนำสิทธิที่เหลือของโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวนรวม 1.34 ล้านสิทธิ มาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันพุธที่ 20 มกราคม 2564
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะนำสิทธิที่เหลือของโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวนรวม 1.34 ล้านสิทธิ มาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันพุธที่ 20 มกราคม 2564
สำหรับการลงทะเบียนรอบเพิ่มเติมนี้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จากการไม่ใช้สิทธิภายใน 14 วัน สามารถลงทะเบียนได้ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ระหว่างเวลา 06.00 น. - 23.00 น. จนกว่าจะครบจำนวน ซึ่งผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้รับข้อความ SMS แจ้งยืนยันการได้รับสิทธิแล้วจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยจึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ จะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564 จนถึง
วันที่ 31 มีนาคม 2564
นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 18 มกราคม 2564 เวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 66,967 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 34,260.9 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 32,760.1 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ
โฆษกกระทรวงการคลังยังขอเน้นย้ำให้ประชาชนและร้านค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผู้ไม่หวังดีที่เสนอจะช่วยหาประโยชน์จากโครงการโดยไม่ได้ทำการซื้อขายสินค้าจริง เนื่องจากภาครัฐยังติดตามตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากตรวจพบจะดำเนินการระงับการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที รวมทั้งจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มารับบริการในโรงพยาบาลเริ่มลดลง พบมากจากการค้นหาเชิงรุก | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มารับบริการในโรงพยาบาลเริ่มลดลง พบมากจากการค้นหาเชิงรุก
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด 19 ผู้ติดเชื้อที่มารับบริการในโรงพยาบาลเริ่มคงตัว แต่ยังพบจำนวนมากจากการคัดกรองเชิงรุก ให้ทุกจังหวัดเร่งค้นหาเชิงรุกในสถานประกอบการและชุมชนที่มีแรงงานต่างด้าว แนะสถานประกอบการใช้แนวทางป้องกันโรคในที่ทำงานตรง
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด 19 ผู้ติดเชื้อที่มารับบริการในโรงพยาบาลเริ่มคงตัว แต่ยังพบจำนวนมากจากการคัดกรองเชิงรุก ให้ทุกจังหวัดเร่งค้นหาเชิงรุกในสถานประกอบการและชุมชนที่มีแรงงานต่างด้าวแนะสถานประกอบการใช้แนวทางป้องกันโรคในที่ทำงานตรงกับระดับความเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรค
บ่ายวันนี้ (19 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 171 รายการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2563 มีผู้ติดเชื้อสะสม 8,357 ราย หายป่วย 5,416 ราย เสียชีวิตสะสม 10 ราย อัตราการเสียชีวิต 0.12% ภาพรวมตัวเลขสะสมเพิ่มขึ้นในระดับคงตัว สัปดาห์นี้ยังพบการติดเชื้อใน 17 จังหวัด หากแนวโน้มลดลงเรื่อยๆอาจมีการผ่อนปรนมาตรการให้ประชาชนดำรงชีวิตใกล้เคียงปกติ แต่ยังคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันโรค
นพ.เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สถานการณ์ใน จ.สมุทรสาคร แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงมา 2 วัน อยู่ในหลักร้อยราย ยังคงเข้มการตรวจเชิงรุกในโรงงานต่างๆ ต่อเนื่อง สำหรับกรุงเทพมหานครแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเช่นกัน ถือเป็นสัญญาณที่ดี ยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง และคัดกรองเชิงรุก โดยพื้นที่ที่รายงานผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 5 อันดับ คือ เขตบางขุนเทียน 106 ราย เขตบางแค 27 ราย เขตบางพลัด 27 ราย เขตจอมทอง 25 ราย และเขตธนบุรี 21 ราย ส่วนเขตที่ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยยืนยันมี 2 เขต คือ เขตสัมพันธวงศ์ และเขตสะพานสูง
สำหรับสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อที่มารับบริการในโรงพยาบาลภาพรวมยังคงตัว มีแนวโน้มลดลง โดยวันนี้พบ 33 ราย ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากจากการคัดกรองเชิงรุก ส่วนใหญ่มาจาก จ.สมุทรสาคร ต้องเข้มข้นมาตรการป้องกันโรคในองค์กรและคัดแยกผู้ติดเชื้อจากที่พัก การเฝ้าระวังการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย เพิ่มการรองรับคนไทยกลับประเทศ รวมทั้งให้ทุกจังหวัดเร่งค้นหาเชิงรุกในสถานประกอบการและชุมชนที่มีแรงงานต่างด้าว พร้อมจัดให้มีมาตรการรองรับการกักตัวผู้ติดเชื้อไม่มีอาการและผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนจังหวัดที่ยังพบผู้ติดเชื้อในระบบบริการและพื้นที่ควบคุมสูงสุดต้องยกระดับการค้นหาเชิงรุกในชุมชน และเข้มงวดในการกำกับติดตามการกักตัวของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำแนวทางสำหรับมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันสถานที่ทำงานต้านโควิด ในฐานชีวิตใหม่ :New Normal โดยสถานประกอบการสามารถนำไปประโยชน์ ในเรื่องของการประเมินความเสี่ยง สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ http://envocc.ddc.moph.go.th/contents/view/959 ขณะนี้มีหน่วยงานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กนำไปปฏิบัติ ทำให้การเว้นระยะห่างในที่ทำงานได้มาตรฐาน สามารถจัดการป้องกันควบคุมโรคได้ตรงกับระดับความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาดได้
***********************************19 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนคนไทย โหลดใช้แอป 'หมอชนะ' ไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
ชวนคนไทย โหลดใช้แอป 'หมอชนะ' ไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนโหลดใช้งาน แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ร่วมกับการสแกน QR Code ไทยชนะ เพื่อเช็คอินตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้บันทึกการเดินทางของผู้ใช้งานแม่นยำและเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น และช่วยให้กรมควบคุมโรคและบุคลากรทางการแพทย์สอบสวนโรคได้อย่างรวดเร็ว โดยแอปฯ ดังกล่าวถูกออกแบบอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย ร่วมกันมอบสิทธิโดยไม่คิดค่าดาต้า หรือ ค่าอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้เปิดใช้งานแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวกและต่อเนื่อง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการเราชนะ | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
โครงการเราชนะ
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง ได้แก่ โครงการเราชนะ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง ได้แก่ โครงการเราชนะ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
โครงการเราชนะ (โครงการฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยจะสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชน จำนวนประมาณ 31.1 ล้านคน วงเงินไม่เกิน 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2564 วงเงินโครงการรวม 210,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มสนับสนุนวงเงินให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยวงเงินช่วยเหลือเพื่อลดภาระค่าครองชีพดังกล่าว จะก่อให้เกิดการนำไปใช้เพื่อการใช้จ่ายสำหรับการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคที่จำเป็น และค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง อันจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน
การพิจารณาคัดกรองผู้ได้รับสิทธิ์จะพิจารณาจากความสามารถด้านรายได้ การมีระบบคุ้มครองทางสังคม และความช่วยเหลือจากภาครัฐที่ได้รับไปแล้วเป็นสำคัญ ซึ่งความช่วยเหลือจะครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หาบเร่ แผงลอย รับจ้าง เกษตรกร เป็นต้น โดยผู้ได้รับสิทธิ์จะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการฯ
2. ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ทั้งที่มีคุณสมบัติครบและไม่ครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการฯ
3. ไม่เป็นข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐที่ได้รับค่าตอบแทนจากหน่วยงานของรัฐโดยตรง ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการฯ ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐให้หมายความถึงหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
4. ไม่เป็นข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการฯ
5. ไม่เป็นผู้รับบำนาญปกติหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ
6. ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 300,000 บาท ตามฐานข้อมูลที่มีล่าสุด
7. ไม่มีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ตามฐานข้อมูลที่มีล่าสุด
ทั้งนี้ เพื่อความรวดเร็วในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าของชีพให้แก่ประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ ภาครัฐจะคัดกรองและตรวจสอบข้อมูลกลุ่มที่มีฐานข้อมูลอยู่แล้วเป็นอันดับแรก ได้แก่ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ได้ให้ความยินยอมให้นำข้อมูลไปประมวลผลหรือเปิดเผยเพื่อดำเนินมาตรการอื่น ๆ ของรัฐได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลดังกล่าวสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์ 2564 ในช่วงเวลา 06.00 – 23.00 น.
เนื่องจากโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ภาครัฐจึงเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถสะสมวงเงินช่วยเหลือและสามารถใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 โดยรูปแบบการจ่ายเงินจะมีลักษณะเป็นการจ่ายรายสัปดาห์เพื่อให้เกิดการกระจายการใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลาได้ ทั้งนี้ ภาครัฐจะดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ในรูปแบบของวงเงินช่วยเหลือผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้
1. กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับวงเงินช่วยเหลือตลอดระยะโครงการฯ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยแบ่งเป็น
1.1 กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ได้รับอยู่แล้ว 800 บาท/เดือน จะได้วงเงินช่วยเหลือเพิ่มอีก 675 บาท/สัปดาห์ (หรือ 2,700 บาท/คน/เดือน) วงเงินต่อคนตลอดระยะโครงการฯ จำนวน 5,400 บาท
1.2 กลุ่มที่มีรายได้เกิน 30,000 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี ได้รับอยู่แล้ว 700 บาท/เดือน จะได้วงเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกคนละ 700 บาท/สัปดาห์ (หรือ 2,800 บาท/คน/เดือน) วงเงินต่อคนตลอดระยะโครงการฯ จำนวน 5,600 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับวงเงินช่วยเหลือทุก ๆ วันศุกร์ของแต่ละสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะครบวงเงิน
2. กลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ได้ให้ความยินยอมให้นำข้อมูลไปประมวลผลหรือเปิดเผยเพื่อดำเนินมาตรการอื่น ๆ ของรัฐได้ (กลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ฯ) ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับวงเงินช่วยเหลือผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เป็นรายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาทต่อสัปดาห์ วงเงินต่อคนตลอดระยะโครงการ (หรือจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2564) จำนวน 7,000 บาท ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ฯ สามารถเข้าตรวจสอบสิทธิ์ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 และจะเริ่มได้รับวงเงินช่วยเหลือทุก ๆ วันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะครบวงเงิน
3. กลุ่มผู้ที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบฐานข้อมูลกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ฯ (กลุ่มผู้ที่ไม่มีข้อมูลฯ) หลังจากลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com และผ่านการคัดกรองตามเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ก่อน จึงจะได้รับวงเงินช่วยเหลือเป็นรายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาทต่อสัปดาห์ วงเงินต่อคนตลอดระยะโครงการ (หรือจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2564) จำนวน 7,000 บาท ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่ไม่มีข้อมูลฯ สามารถตรวจสอบสิทธิ์ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 และจะเริ่มได้รับวงเงินช่วยเหลือทุก ๆ วันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะครบวงเงิน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯ สามารถใช้วงเงินช่วยเหลือได้ที่ (1) ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ (2) ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง และ (3) ร้านค้าและผู้ให้บริการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเราชนะ ทั้งนี้ สำหรับร้านค้าและผู้ให้บริการที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่าน www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม - 31 มีนาคม 2564
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทีมวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์คิดค้นนวัตกรรม เพื่อควบคุมและป้องกันโควิด-19 พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี | วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทีมวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์คิดค้นนวัตกรรม เพื่อควบคุมและป้องกันโควิด-19 พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทีมวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์คิดค้นนวัตกรรม เพื่อควบคุมและป้องกันโควิด-19 พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี
วันนี้ (19 ม.ค. 64) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมนิทรรศการตัวอย่างผลงานวิจัยและนวัตกรรมในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงาน ประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ “ฮาวทูแยก - แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ” โดยสำนักนายกรัฐมนตรี โอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมเยี่ยมชมด้วย
คณะผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมนำแพทย์ และทีมนักวิจัยและพัฒนา เสนอผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย เครื่องตรวจวินิจฉัย “ลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย” “ปัญญาประดิษฐ์ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชน” รวมทั้งผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2564 ได้แก่ “เครื่องผลิตละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อ” จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “ระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสแบบไฮบริดควบคุมผ่านอินเตอร์เนตของสรรพสิ่งสำหรับการให้บริการบริเวณสถานที่สาธารณะ” จากคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทีมแพทย์และคณะวิจัยและพัฒนา รัฐบาลพร้อมผลักดันการคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ สามารถนำไปสู่กระบวนแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งการวิเคราะห์แหล่งที่มาทำให้สามารถระบุสายพันธุ์ไวรัส ช่วยในการควบคุมให้มีประสิทธิมากขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การจัดทำมาตรการตรวจสอบคัดกรองที่เข้มข้น ซึ่งไทยมีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ จึงต้องไม่ประมาทและควบคุมโรคตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งอยากเห็นการต่อยอดงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาทิ การนำระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสใช้ในสถานศึกษา โรงพยาบาล การพัฒนาเครื่องปรับอากาศให้สามารถพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อได้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เตรียมรับรองมาตรฐานวัคซีนจาก AstraZeneca โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด สามารถผลิตได้ โดยคาดไทยจะได้รับวัคซีนในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เป็นการใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังต้องควบคุมเพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อดูแลประชาชนทั้งประเทศ ในอนาคตยังมีการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพดีเพิ่มเติมได้อีก
จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับมอบอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อประกอบด้วย ถังขยะสีแดงแบบลดการสัมผัสและถุงขยะสีแดงอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เพื่อรณรงค์การกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนำผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและผู้บริหารบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด นำเสนอโครงการ “ฮาวทูแยก – แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ” เพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ โดยจะนำไปใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการติดเชื้อไวรัส-19 สูง คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ที่สำคัญคือ วินัยและความร่วมมือของประชาชน ในการช่วยกันกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกต้อง ทั้งหน้ากากอนามัยและขยะติดเชื้ออื่น ๆ ซึ่งแนวคิดในการจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะในท้องถิ่นก็เพื่อความลดความเสี่ยงในการขนย้ายขยะ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวชื่นชมการผลิตเสื้อกาวน์จากเม็ดพลาสติกโดยคนไทย มีราคาถูก สามารถซักทำความสะอาดนำมาใช้ใหม่ได้ถึง 20 ครั้ง ยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย สร้างรายได้ในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นผลมาจากข้อริเริ่มของนายกรัฐมนตรีที่เสนอ ในโอกาสหารือกับสมาคมสิ่งทอไทยที่ผ่านมาด้วย
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 มกราคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (5 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference
ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่อำเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น อำเภอกุดรัง อำเภอบรบือ อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอจังหาร อำเภอเชียงขวัญ อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอโพนทอง อำเภอเมยวดี อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร อำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอเมืองมุกดาหาร อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้านและค้ำยัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ การทำ วิธีแสดง และการใช้เครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
7. เรื่อง โครงการเตรียมงานฉลองครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (6 พฤษภาคม 2566)
8. เรื่อง ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
9. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป
10. เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563
11. เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562และประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ 2563 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
12. เรื่อง รายงานผลการดำเนินโครงการเงินช่วยเหลือเกษตกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตฤดูการผลิตปี 2562/2563
13. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563
14. เรื่อง รายงานผลดำเนินงานตามมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเมื่อสิ้นสุดโครงการ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2562-23 มิถุนายน 2563 ระยะเวลารวม 1 ปี
15. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนพฤศจิกายน 2563
16. เรื่อง วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
17. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
18. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) ครั้งที่ 1/2564
19. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ต่างประเทศ
20. เรื่อง ผลการประชุมด้านเศรษฐกิจในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37
21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ รัฐเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดียโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
22. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
แต่งตั้ง
23. เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับองค์การยูเนสโก
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
27. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และโดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้
ปีที่
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดบูรณาการดำเนินมาตรการเข้มข้นในพื้นที่ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงกักตนเอง 14 วัน และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับแพทย์ เพื่อหยุดยั้งก | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดบูรณาการดำเนินมาตรการเข้มข้นในพื้นที่ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงกักตนเอง 14 วัน และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับแพทย์ เพื่อหยุดยั้งก
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดบูรณาการดำเนินมาตรการเข้มข้นในพื้นที่ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงกักตนเอง 14 วัน และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับแพทย์ เพื่อหยุดยั้งการระบาดโควิด-19
วันนี้ (5 ม.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 64 ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้กำหนดกรอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 16) ลงวันที่ 3 ม.ค. 64 เพื่อให้จังหวัดและกรุงเทพมหานครถือปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแนวทางที่ ศบค. กำหนด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ดำเนินการเพิ่มเติม 3 ด้าน คือ 1) เน้นย้ำขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเต็มขีดความสามารถ หรือ DMHTT ได้แก่ เว้นระยะระหว่างกัน สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ 2) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความตระหนักแก่ประชาชนให้ความร่วมมือหากทราบว่าตนเองได้เคยเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการพบผู้ติดเชื้อหรือ "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" ขอให้กักกันตนเองและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่นเป็นเวลา 14 วัน หากพบว่ามีอาการผิดปกติให้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลใกล้บ้านและให้ข้อมูลที่แท้จริงกับแพทย์ และ 3) ปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่กวดขันไม่ให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคฯ โดยเคร่งครัด โดยให้ผวจ. และนายอำเภอ เข้มงวดกวดขันและประสานการปฏิบัติร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านร่วมในการหาข่าว/เบาะแสกรณีดังกล่าวด้วย
และสำหรับจังหวัดและกรุงเทพมหานครที่กำหนดให้เป็น "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" ให้ดำเนินการ ดังนี้ 1) ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยให้ ผวจ.ใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อโดยความเห็นชอบของ คกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาสั่งปิดสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นใดที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค 2) การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้ ผวจ.เสนอ คกก.โรคติดต่อจังหวัดกำหนดมาตรการจัดระเบียบการเข้าใช้บริการ จำนวนผู้นั่งบริโภคในร้าน การจัดสถานที่ จัดให้มีระบบบันทึกผู้ใช้บริการโดยใช้แอปพลิเคชันไทยชนะหรือจดบันทึกข้อมูลให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติและมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ในกรณี คกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ในพื้นที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดเวลาห้ามนั่งบริโภคในร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้กำหนดห้ามนั่งบริโภคในร้านระหว่างเวลา 21.00 - 06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยให้เป็นลักษณะของการจำหน่ายแล้วนำกลับไปบริโภคที่อื่น 3) การตรวจคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัด ให้ดำเนินการตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และต้องไม่เป็นการก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ โดย ผวจ. ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) บูรณาการและประสานการปฏิบัติ จัดเจ้าหน้าที่ร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจ ตั้งจุดตรวจ/ด่านตรวจในเส้นทางคมนาคมที่เป็นเส้นทางหลักพื้นที่รอยต่อระหว่าง "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" กับ "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และพื้นที่รอยต่อระหว่าง "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" กับ "พื้นที่ควบคุม" หากพบบุคคลที่มีความเสี่ยงหรือเดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด ให้บันทึกข้อมูลเพื่อสามารถสืบค้นได้ และดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และมอบหมายนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บูรณาการกับทุกภาคส่วน จัดตั้งจุดตรวจคัดกรองการเดินทางในเส้นทางรองในตำบล หมู่บ้าน และชุมชน ให้ประสานสอดคล้องกับการจัดตั้งจุดตรวจ/ด่านตรวจในเส้นทางหลัก พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัด และขอความร่วมมืองดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น หรือเป็นกรณีการขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ผลผลิตทางการเกษตร ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ การปฏิบัติงานเกี่ยวกับระบบสื่อสารโทรคมนาคม สาธารณูปโภค สาธารณูปการ โดยต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ รวมทั้งรับการตรวจคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด อันอาจทำให้ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและต้องใช้ระยะเวลาการเดินทางมากกว่าปกติ
นอกจากนี้ ในกรณีจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและมีแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น ให้จังหวัดประชุม คกก.โรคติดต่อจังหวัดเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เตรียมพร้อมวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการบริหารจัดการ โดยให้พิจารณาความเหมาะสมของสถานที่และชี้แจงสร้างความเข้าใจกับประชาชนด้วย และ ให้ ผวจ. ประสานกับผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ แสวงหาความร่วมมือการปฏิบัติการดูแลผู้ใช้แรงงานร่วมกับการปฏิบัติการของภาคราชการ โดยแนะนำให้มีการนำมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากพบกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงให้ดำเนินการตามแนวทางที่ทางราชการกำหนด โดยพิจารณาร่วมกันระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38097 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - ศรีลังกา เดินหน้าความสัมพันธ์ทุกมิติ | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
ไทย - ศรีลังกา เดินหน้าความสัมพันธ์ทุกมิติ
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ประเทศไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน และสามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคของกันและกันได้ โดยไทยพร้อมร่วมมือกับศรีลังการับมือกับโรคโควิด-19 และจะสนับสนุนศรีลังกาในฐานะประธานความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล สำหรับความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ด้านศรีลังกาเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในมิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และความร่วมมือในภูมิภาค พร้อมทั้งชื่นชมรัฐบาลไทยที่ควบคุมสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้ดี และจะนำประสบการณ์ของไทยไปประยุกต์ใช้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ครอบคลุมในหลายสาขา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งไทยยินดีที่จะถ่ายทอด แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม ขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
ยุติธรรม ขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2919 ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference)
ในวันอังคารที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2919 ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมบังคับคดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหวิทยาลัย สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นด้านกฎหมายในระยะเร่งด่วน รวมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะด้านการปฏิรูปกฎหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังภาวะวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ของคณะอนุกรรมการฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38101 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรยืนยันเงินที่ได้รับจากโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน ได้รับการยกเว้นภาษี | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
กรมสรรพากรยืนยันเงินที่ได้รับจากโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน ได้รับการยกเว้นภาษี
ตามที่มีสื่อมวลชนรายงานข่าวว่าประชาชนที่ได้รับเงินจากโครงการ “คนละครึ่ง” จำนวน 3,000 บาท ในปี 2563 และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ได้รับส่วนลดค่าที่พักโรงแรม และคูปองค่าอาหาร ให้ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ นั้น
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับประชาชนที่ได้รับเงินจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดยให้กรมสรรพากรยกร่างกฎหมายเสนอต่อไป แต่เนื่องจากมีการขยายมาตรการหลายครั้ง จึงต้องประมวลมาตรการทั้งหมดเพื่อร่างกฎหมายเสนอกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว โดยจะมีการยกเว้นภาษีสำหรับเงินที่ได้รับในปีภาษี 2563 ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปี 2564 และเงินได้ที่ได้รับในปีภาษี 2564 ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปี 2565 ด้วย”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38079 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอปรับโหมดรับสถานการณ์โควิด-19 แนะผู้ประกอบการใช้ e-Services ทุกการติดต่อสำนักงาน | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
บีโอไอปรับโหมดรับสถานการณ์โควิด-19 แนะผู้ประกอบการใช้ e-Services ทุกการติดต่อสำนักงาน
บีโอไอรับมือสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 แนะนำผู้ประกอบการที่ต้องการจะติดต่อกับสำนักงานให้ใช้ระบบ e-Services แทน เช่น e-Submission ระบบการส่งจดหมาย/เอกสารแบบออนไลน์ e-Investment ระบบการยื่นขอรับการส่งเสริมแบบออนไลน์
บีโอไอปรับโหมดรับสถานการณ์โควิด-19
แนะผู้ประกอบการใช้e-Servicesทุกการติดต่อสำนักงาน
บีโอไอรับมือสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ในปี2564แนะนำผู้ประกอบการที่ต้องการจะติดต่อกับสำนักงานให้ใช้ระบบe-Servicesแทน เช่นe-Submissionระบบการส่งจดหมาย/เอกสารแบบออนไลน์e-Investmentระบบการยื่นขอรับการส่งเสริมแบบออนไลน์ พร้อมเปิดทุกช่องทางติดต่อผ่านสื่อสมัยใหม่รับยุคNew Normal
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการดำเนินการให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการวางแนวทางปฏิบัติด้านมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในปี2564นี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นหนังสือ จดหมาย เอกสารต่างๆ ผ่านระบบe-Submission(ระบบรับหนังสือออนไลน์) ผ่านhttps://doc.boi.go.thซึ่งเป็นส่วนหนึ่งด้านบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ของบีโอไอ พร้อมทั้งยังเปิดบริการCall Centerหมายเลข0 2553 8111ตั้งแต่วันที่5มกราคม2564เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางมายังสำนักงาน และยังมีส่วนช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19ในขณะนี้
สำหรับระบบการยื่นเอกสารออนไลน์นี้รวมไปถึงการยื่นเอกสารต่อสำนักงานบีโอไอในภูมิภาคทั้ง7แห่งด้วย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี โดยเริ่มใช้มาตั้งแต่ต้นปี2563นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่สามารถดำเนินการได้ เช่นe-Investmentระบบยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนe-Taxระบบยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลRMTSระบบยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบEMTระบบขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถติดต่อบีโอไอผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ ทั้งทางโทรศัพท์ อีเมล โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ รวมถึงการให้บริการผ่านระบบการประชุมออนไลน์อีกด้วย
************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38090 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ให้ ผู้ประกอบการไทย | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
ของขวัญปีใหม่ให้ ผู้ประกอบการไทย
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่เพื่อลดภาระและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการไทย ได้แก่ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. ถึงวันที่ 30 เม.ย. 2564 ลดหย่อนภาษี 1.25 เท่า สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ ให้สินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนรายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือทางการแพทย์ หุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ การท่องเที่ยว และ Tech Startup นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ผู้สนใจสอบถามได้ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ หรือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยคนไทยได้วัคซีนโควิด 19 ล็อตแรก กุมภาพันธ์นี้ | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
สธ.เผยคนไทยได้วัคซีนโควิด 19 ล็อตแรก กุมภาพันธ์นี้
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ล็อตแรก 2 ล้านโดส ในเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายนนี้ โดย 2 แสนโดสแรกฉีดให้กลุ่มเสี่ยงพื้นที่ควบคุมสูงสุด และได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ให้ได้วัคซีนครอบคลุมประชาชนไทยร้อยละ 50 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ล็อตแรก 2 ล้านโดส ในเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายนนี้ โดย 2 แสนโดสแรกฉีดให้กลุ่มเสี่ยงพื้นที่ควบคุมสูงสุด และได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ให้ได้วัคซีนครอบคลุมประชาชนไทยร้อยละ 50 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
วันนี้ (5 มกราคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหา/ซื้อและเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนหลายแห่งเพื่อให้ได้วัคซีนตามเป้าหมายครอบคลุมประชาชนไทยร้อยละ 50 ภายในปี 2564 ผลการเจรจาภายในเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ไทยจะได้รับวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค ประเทศจีน จำนวน 2 ล้านโดส ถ้าเป็นไปตามแผนภายในเดือนกุมภาพันธ์จะได้รับวัคซีน 2 แสนโดสแรก ฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง และในเดือนมีนาคมจะได้รับอีก 8 แสนโดส เดือนเมษายนอีก 1 ล้านโดสโดยมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมาย
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า การทำสัญญาจองซื้อวัคซีนล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 26 ล้านโดสนั้น จากเดิมจะได้รับวัคซีนในไตรมาสที่ 2 แต่จากการเจรจาจะได้วัคซีนมาเร็วกว่ากำหนด ทยอยส่งตามแผนการฉีดวัคซีน โดยมีองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดส่งและกระจายวัคซีนไปยังสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศนอกจากนี้ ยังมีการจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น ๆ จากCOVAX Facility อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขและเจรจาต่อรอง และได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เพื่อให้ได้วัคซีนครอบคลุมประชาชนไทยร้อยละ 50 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
********************************** 5 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พุทธิพงษ์" มั่นใจ 7 ม.ค.นี้ กดปุ่มควบรวมTOT-CAT ตั้ง NT แน่นอน ชี้ประชาชนจะได้ใช้บริการโทรคมนาคม ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ นำไทยก้าวสู่ประเทศดิจิทัลอย่างแข็งแกร่ง | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
"พุทธิพงษ์" มั่นใจ 7 ม.ค.นี้ กดปุ่มควบรวมTOT-CAT ตั้ง NT แน่นอน ชี้ประชาชนจะได้ใช้บริการโทรคมนาคม ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ นำไทยก้าวสู่ประเทศดิจิทัลอย่างแข็งแกร่ง
"พุทธิพงษ์" มั่นใจ 7 ม.ค.นี้ กดปุ่มควบรวมTOT-CAT ตั้ง NT แน่นอน ชี้ประชาชนจะได้ใช้บริการโทรคมนาคม ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ นำไทยก้าวสู่ประเทศดิจิทัลอย่างแข็งแกร่ง
นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยืนยันว่า การควบรวมระหว่างบริษัททีโอทีจำกัด(มหาชน)และกสทโทรคมนาคมจำกัด(มหาชน)หรือCATให้เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(National Telecom Public Company Limited:NT)จะดำเนินการตามกำหนดเดิมแน่นอนและตนได้หารือปัญหาต่างๆกับสหภาพแรงงานฯแล้วซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยวันที่7ม.ค. 2564นี้NTจะถูกจดทะเบียนอย่างสมบูรณ์
โดยหลังจากการควบรวมเป็นNTจะเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุดมูลค่าสินทรัพย์มากถึง300,000ล้านบาท แบ่งเป็น1.เสาโทรคมนาคมกว่า25,000ต้นทั่้วประเทศ 2.เคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศเชื่อมต่อไปยังทุกทวีป
3.ถือครองคลื่นความถี่หลักเพื่อให้บริการรวม6ย่านมีปริมาณ600เมกะเฮิรตซ์4.ท่อร้อยสายใต้ดินมีระยะทางรวม4,ุ600กิโลเมตร5.สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง4ล้านคอร์กิโลเมตร6.Data Center 13แห่งทั่วประเทศและ7.ระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่เข้าถึงจากทุกประเทศในโลก
ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่มีประสิทธิภาพในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัลทุกพื้นที่ที่สำคัญNTจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่Thailand 4.0เป็นประเทศดิจิทัลอย่างแข็งแกร่งและส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่ SMEsและระดับStartupด้วย
“NTจะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง5G และดาวเทียมทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุขการเกษตรและคมนาคมโดยNTจะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน5Gที่ประมูลได้ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกันเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ”นายพุทธิพงษ์กล่าว
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38102 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก
"รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก
"รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย
The Prime Minister's Industry Award 2021"
สมัครตั้งแต่บัดนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดย
คณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2564
ประกาศผลและมอบรางวัลเดือนสิงหาคม 2564
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมโดยสแกน QR Code หรือ สอบถามได้ที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 3429 , 0 2202 3518 และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ http://www.industry.go.th/industry_award/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38080 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หารือแนวทางการพัฒนางานบริการ e-Service และงานบริการ สำหรับให้บริการผ่านระบบ Citizen Portal | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หารือแนวทางการพัฒนางานบริการ e-Service และงานบริการ สำหรับให้บริการผ่านระบบ Citizen Portal
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือ การพัฒนางานบริการ e-Service และงานบริการ สำหรับให้บริการบนระบบ Citizen Portal ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในวันอังคารที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหารือ การพัฒนางานบริการ e-Service
และงานบริการ สำหรับให้บริการบนระบบ Citizen Portal ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ผ่านการประชุมทางไกล video conference โดยมีผู้บริหารจากสำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมหารือดังกล่าว
เพื่อรับทราบภาพรวมการดำเนินงาน ระบบศูนย์กลางบริการประชาชนฯ (Citizen Portal)
แนวทางการพัฒนางานบริการ e-Service ของหน่วยงาน สำหรับให้บริการ ผ่านระบบ Citizen Portal
ซึ่งเป็นระบบศูนย์กลางในการบริการประชาชนในการติดต่อราชการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร
โดยมีการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
เพื่อพัฒนาปรับปรุงการให้บริการของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ
สามารถอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน
รวมทั้งยกระดับการให้บริการและการให้ข้อมูลภาครัฐที่ครบถ้วน
ถูกต้อง และมีความทันสมัย นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือเพื่อกำหนดแนวทาง
และแผนการดำเนินการในการพัฒนางานบริการร่วมกันในระยะต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38100 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ เข้มสถานประกอบการ 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด ป้องกันเฝ้าระวังโควิด – 19 บุคลากร ก.อุตฯ เหลื่อมเวลาทำงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน ร้อยละ 50 เริ่ม 5 ม.ค. นี้ | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
“สุริยะ เข้มสถานประกอบการ 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด ป้องกันเฝ้าระวังโควิด – 19บุคลากร ก.อุตฯ เหลื่อมเวลาทำงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน ร้อยละ 50 เริ่ม 5 ม.ค. นี้
“สุริยะ เข้มสถานประกอบการ 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด ป้องกันเฝ้าระวังโควิด – 19บุคลากร ก.อุตฯ เหลื่อมเวลาทำงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน ร้อยละ 50 เริ่ม 5 ม.ค. นี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่มีการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ออกเป็นวงกว้างกระจายในหลายเขตพื้นที่ และรัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องกำหนดและบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเข้าแก้ไขและระงับยับยั้งสถานการณ์ดังกล่าวด้วยมาตรการทางกฎหมาย และการขอความร่วมมือทั้งผู้ประกอบการเอกชน และประชาชน อย่างเข้มข้น นั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการที่รัฐบาลออกมาเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงอุตสาหกรรมได้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างใกล้ชิด โดยขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น โรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ทั้งที่อยู่ในหรือนอกนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร ผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รวมทั้งเหมืองแร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่ ใน 28 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชุมพร ชลบุรี ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ราชบุรี ระนอง ระยอง ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี สระแก้ว สระบุรี อ่างทอง เป็นต้น ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคดังกล่าวในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว ไม่ให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ในหรือนอกโรงงาน โดยในพื้น 28 จังหวัด มีสถานประกอบการ 49,391 โรงงาน จำนวนคนงานกว่า 3,020,000 คน
โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ 1. ปรับเวลาการปฏิบัติงานของคนงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 2. คัดกรองพนักงานทุกคน (ตรวจวัดอุณหภูมิ / ตรวจสอบประวัติการเดินทาง) 3. สุ่มตรวจหาเชื้อโควิดในพนักงาน 4. เตรียมสถานที่กักตัวผู้ที่ติดเชื้อ 5. ประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันโควิด DMHTT (Distancing / Mask Wearing / Hand Washing / Testing / Thai Cha Na) 6. ใช้แอปพลิเคชัน หมอชนะในการ Monitor ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือติดการแถลงข่าวของรัฐบาลเพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ในส่วนของบุคลากรข้าราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน ดังนี้
1. ปรับเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 2. Work From Home ร้อยละ 50 ของบุคลากร โดยพิจารณาให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนงานขยับเวลาการทำงาน เพื่อลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง ลดความแออัดในการใช้สถานที่ด้วยการปฏิบัติงานที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับ
การทำงาน อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอปพลิเคชันไลน์ หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้มีข้อติดขัด หรือเกิดปัญหากับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน ทั้งนี้ แม้ว่าจะปรับมาตรการในการทำงาน แต่ภารกิจในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ก็ยังจะสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้มีความต่อเนื่อง และมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด – 19 อย่างได้ผล 3. คัดกรองเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานในกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรวจวัดอุณหภูมิ) 4. ประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันโควิด DMHTT (Distancing / Mask Wearing / Hand Washing / Testing / Thai Cha Na) 5. รณรงค์ให้ใช้ Application หมอชนะในการ Monitor ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 ของไทย ทำให้เกิดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน กระทรวงอุตสาหกรรมตระหนักถึงความจำเป็นต่อป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีการออกประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม และหนังสือขอความร่วมมือสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุด และบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามแนวป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำการปรับมาตรการในการทำงานจะไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้" นายสุริยะ กล่าว
..............................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38093 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยรวมพลัง “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ซื่อสัตย์ต่อตนเอง รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมยืนยัน “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยรวมพลัง “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ซื่อสัตย์ต่อตนเอง รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมยืนยัน “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยรวมพลัง “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ซื่อสัตย์ต่อตนเอง รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมยืนยัน “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี
วันนี้ (5 ม.ค. 64) เวลา 12.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมอบให้หมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทำมาตรการเพิ่มเติม หรือยืดระยะเวลามาตรการเดิม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 40 ล้านคนในทุกพื้นที่ ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้มีการขอความร่วมมือจากสมาคมโรงแรม ที่พักต่าง ๆ ในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ไม่ให้มีการเก็บเงินมัดจำเมื่อมีการยกเลิกการจองห้องพัก พร้อมย้ำว่า “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี เพื่อเป็นการผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามสื่อมวลชนถึงความจำเป็นต้องมีโรงพยาบาลสนามว่า ต้องสร้างความเข้าใจแก่คนในชุมชน ในท้องถิ่น เพราะโรงพยาบาลมีมาตรการในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดที่ชัดเจนเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป มีระบบการคัดกรองที่ดี เพียงแต่ต้องมีการตั้งโรงพยาบาลสนาม กระจายในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง เพื่อให้สามารถให้บริการผู้ป่วยให้โรคอื่น ๆ อีกด้วย และเพิ่มเติมหากโรงพยาบาลทั่วไปไม่เพียงพอ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำว่ามาตรการต่าง ๆ คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ ทุกคนต้องร่วมมือกัน “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 โดยทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง เข้าสู่การตรวจสอบคัดกรองโรค ไม่ปิดบังการเดินทางของตัวเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในสถานที่อื่นเพิ่มเติม คำนึงถึงครอบครัวและสังคมส่วนรวม ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอย่างหนัก และต้องรับฟัง ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐด้วย
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38096 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ รับฟังแนวทางการทำงาน เดินหน้าลดสถิติผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ เล็งสร้างงาน สร้างอาชีพ สั่งเรือนจำ เพิ่มวิชาโหราศาสตร์ หลังการอบรมภาษาอังกฤษ - จีน | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ รับฟังแนวทางการทำงาน เดินหน้าลดสถิติผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ เล็งสร้างงาน สร้างอาชีพ สั่งเรือนจำ เพิ่มวิชาโหราศาสตร์หลังการอบรมภาษาอังกฤษ - จีน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ รับฟังแนวทางการทำงาน เดินหน้าลดสถิติผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ เล็งสร้างงาน สร้างอาชีพ สั่งเรือนจำ เพิ่มวิชาโหราศาสตร์หลังการอบรมภาษาอังกฤษ - จีน ได้ผลตอบรับดี
ในวันจันทร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ เพื่อรับฟังปัญหา รายงานสรุปผลการดำเนินงานปี ๒๕๖๓ และติดตามนโยบาย โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ คณะกรรมการราชทัณฑ์ และข้าราชการ ร่วมประชุม
โดยนายอายุตม์ ได้รายงานผลการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๓ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คือ ๑.การพัฒนาเแนวทางบริหารจัดการสาธารณูปโภค เช่น การอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพื้นที่เรือนจำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสังคม การจัดอบรมภาษาต่างประเทศ โดยภาษาอังกฤษ มี ๒๓ เรือนจำ ทัณฑสถาน ผู้ผ่านการอบรม ๒,๐๓๘ คน ภาษาจีน ๓ เรือนจำ ทัณฑสถาน ผู้ผ่านการอบรม ๑๖๙ คน และการจัดอบรมบัญชีครัวเรือนให้ผู้ต้องขัง ๑๖ เรือนจำ ๑,๔๙๔ คน การฝึกวิชาชีพเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ ๔ หลักสูตร คือ การเลี้ยงสุนัขเพื่อพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง รุ่นที่ ๑ ในเรือนจำทัณฑสถาน ๘๐ แห่ง ผู้ต้องขังเข้าร่วม ๒,๔๘๔ คนจำนวนสุนัขในโครงการ ๓๓๗ ตัว การส่งเสริมฝึกวิชาชีพปลูกทุเรียน รุ่นที่ ๑ ในเรือนจำทัณฑสถาน ๒๒ แห่ง มีผู้ต้องขังเข้าร่วม ๖๓๕ คน ทุเรียน ๕๓๓ ต้น การส่งเสริมการเลี้ยงไก่ชน รุ่นที่ ๑ ในเรือนจำทัณฑสถาน ๔๕ แห่ง ผู้ต้องขังเข้าร่วม ๑,๓๕๒ คน จำนวนไก่ชน ๓๑๒ ตัว โครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ (โคขุน) รุ่นที่ ๑ ในเรือนจำทัณฑสถาน ๒๓ แห่ง ผู้ต้องขังเข้าร่วม ๔๖๕ คน จำนวนโคเนื้อ(โคขุน) ๑๐๗ตัว
นายอายุตม์ กล่าวอีกว่า นโยบายกรมราชทัณฑ์ ปี ๒๕๖๔ คือ ๑. การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้เป็นมาตรฐาน พัฒนาสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ทั้งด้านเรือนนอน โรงเลี้ยงอาหาร สถานพยาบาล และการกำจัดขยะและสิ่งปฏิกูล ๒. การแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ จัดทำข้อมูลพื้นที่และอัตราความจุของเรือนจำ ทัณฑสถานทั่วประเทศให้เป็นปัจจุบัน การจัดทำเตียงนอน ๒ ชั้น การพักการลงโทษกรณีปกติ และกรณีมีเหตุพิเศษ การเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาด ๓. พัฒนาองค์กรให้ทันสมัยและโปร่งใส ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมันใหม่ ใช้ระบบขายสินค้าและเงินฝากผู้ต้องขังด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ติดตั้งระบบเยี่ยมญาติทางไกลด้วยแอปพลิเคชันไลน์ และการใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ พัฒนาบุคคลาการมีการอบรมให้ความรู้ให้ทันสมัย และ ๔. การคืนคนดีสู่สังคมและติดตามผู้พ้นโทษ
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า สถิติที่ผ่านมา มีผู้ต้องขังส่วนหนึ่งประมาณ ๓๕% อยากทำงาน แต่ไม่มีงานอะไรให้ทำ ส่วนอีก ๑๕% ไม่อยากทำงานและกลับไปทำผิดซ้ำอีก ตนได้เคยไปติดตามผู้ต้องขังที่เข้าเข้าออกเรือนจำ ๘-๙ ครั้ง เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จะประกอยอาชีพอะไร ซึ่งหากไม่รีบแก้ปัญหาจะเสียเวลาและเปล่าประโยชน์ในการทำงาน ในส่วนของการสร้างอาชีพ อย่างการเลี้ยงไก่ชน คนอาจจะมองดูเหมือนเป็นการพนัน แต่ตนพยายามให้เห็นในมุมที่เป็นประโยชน์
ตนพยายามส่งเสริมวิชาชีพให้ผู้ต้องขัง คนกลุ่มนี้จะได้มีโอกาส มีที่ยืนในสังคม ต้องลดสถิติผู้กระทำผิดซ้ำให้ได้ พยายามผลักดันกันเต็มที่ทั้งการเรียนการสอน การเลี้ยงสัตว์ ที่ไปทำอาชีพได้ รวมถึงการฝึกเพาะปลูก เช่น การปลูกทุเรียน เรามีเรือนจำหลายจังหวัดมีพื้นที่ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ หากปลูกแล้วมีผลผลิต แสดงว่าปลูกได้ ชาวบ้านจะได้ปลูกตาม เป็นการนำร่อง จากนี้ต้องฝากกรมราชทัณฑ์เพิ่มหลักสูตรวิชาโหราศาตร์ เพราะมีต้นทุนที่ต่ำมาก การหัดให้ผู้ต้องขังนั่งสมาธิ และอ่านหนังสือโหราศาสตร์ ขณะที่การขายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต้องเป็นมาตรฐาน และพยายามยกระดับให้เป็นแบรนด์เนมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้สูงขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38099 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมูไทยยืนหนึ่งในอาเซียนปลอดโรค ASF | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
หมูไทยยืนหนึ่งในอาเซียนปลอดโรค ASF
วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพอใจผลสำเร็จจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือ ASF ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดกับเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ “ปลอดจากโรค ASF” เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ท่ามกลางการแพร่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลก โดยที่ผ่านมา รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งยกระดับแผนปฏิบัติการป้องกันโรค ASF ให้เป็นวาระแห่งชาติ และสนับสนุนงบกลางกว่า 1,700 ล้านบาท ทำให้หมูไทยสะอาดปลอดภัยเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 22,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 300 จากปีที่ผ่านมา
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 มาตรการ ฉลองอย่างไร ห่างไกลโควิด-19 | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
5 มาตรการ ฉลองอย่างไร ห่างไกลโควิด-19
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลรณรงค์เชิญชวนประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ตนเองและคนรอบข้าง เมื่อไปร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่ตามสถานที่ต่าง ๆ ประกอบด้วย D : Distancing เว้นระยะห่างระหว่างกัน / M : Mask Wearing สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา / H : Hand washing ล้างมือบ่อย ๆ / T : Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้างาน และ T – Thaichana ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชันไทยชนะเพื่อเก็บข้อมูลการเข้าใช้บริการพื้นที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เดินทางไปท่องเที่ยว หรือกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวนี้ ขอให้ติดตามสถานการณ์เป็นรายวัน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยวัคซีนลอตแรก 2 ล้านโดส สำหรับผู้ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย พร้อมเตรียมแผนจัดหาวัคซีนให้เพียงพอแก่ประชาชนทั้งประเทศ | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยวัคซีนลอตแรก 2 ล้านโดส สำหรับผู้ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย พร้อมเตรียมแผนจัดหาวัคซีนให้เพียงพอแก่ประชาชนทั้งประเทศ
นายกรัฐมนตรีเผยวัคซีนลอตแรก 2 ล้านโดส สำหรับผู้ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย พร้อมเตรียมแผนจัดหาวัคซีนให้เพียงพอแก่ประชาชนทั้งประเทศ
วันนี้ (5 ม.ค. 64) เวลา 12.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณให้กระทรวงสาธารณสุขรองรับวัคซีนที่จะเข้ามาในระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส แบ่งเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม จำนวน 8 แสนโดส สำหรับประชาชน 4 แสนคน เดือนเมษายน จำนวน 1 ล้านโดส สำหรับประชาชน 5 แสนคน และปลายเดือนพฤษภาคม อีก 26 ล้านโดส สำหรับประชาชน 13 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านมาตรฐานจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ โดยได้ติดตามการฉีดวัคซีนในประเทศต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยปลอดภัยให้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรีเผยว่าได้มีการสั่งจองวัคซีนจากแอสตราเซเนก้า (AstraZeneca) เพิ่มอีกจำนวน 35 ล้านโดส ซึ่งจะต้องฉีดคนละ 2 โดส ห่างกันระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยจัดลำดับการฉีดวัคซีนตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กลุ่มที่สำคัญที่สุด คือกลุ่มผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ผู้ปฏิบัติงานการตรวจคัดกรองโรค ปฏิบัติงานด้านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีอาการป่วยเรื้อรังซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงสูงเมื่อป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และอื่น ๆ ตามความจำเป็น สำหรับวัคซีนลอตต่อไป อาจมีการติดต่อหารือเพื่อแสวงหาวัคซีนจากประเทศอื่น ๆ เพื่อความรวดเร็วตามความต้องการ
นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชานุญาตให้สามารถผลิตวัคซีนได้ ซึ่งคาดว่าจะผลิตได้ปีละ 200 ล้านโดส และน่าจะเพียงพอต่อการแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ
รวมทั้งได้มีการอนุญาตให้ภาคเอกชน อาทิ โรงพยาบาลเอกชน สามารถจัดซื้อ จัดหาวัคซีนเองได้ แต่จะต้องผ่านมาตรฐานการรองรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมการใช้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีย้ำสิ่งที่สำคัญขณะนี้ คือ การจำกัดการแพร่ระบาดให้มากที่สุด และการนำตัวผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาควบคุมรักษาพยาบาล ขณะที่วัคซีนใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ยาและเวชภัณฑ์มีเพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วยไว้อยู่แล้ว
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38095 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนคนไทย โหลดใช้แอป 'หมอชนะ' ประเมินโควิด-19 ด้วยตัวเอง | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
ชวนคนไทย โหลดใช้แอป 'หมอชนะ' ประเมินโควิด-19 ด้วยตัวเอง
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนโหลดใช้งาน แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อติดตามและประเมินความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่มีระบบเก็บข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้งานด้วยเทคโนโลยี GPS และ Bluetooth เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบและประเมินระดับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จากสถานที่ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ วิเคราะห์ระดับความเสี่ยงของผู้ที่มาเข้ารับการรักษา ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เพื่อจัดลำดับความเร่งด่วนของการรักษา-ส่งตรวจได้แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เพียงค้นหาคำว่า“หมอชนะ” ทั้งระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ และ ไอโอเอส และปฏิบัติตามคำแนะนำ ก็สามารถใช้งานได้ทันที
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38082 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ดำเนินคดีบ่อนการพนันและกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท พร้อมยืนยันไม่ล็อกดาวน์ 5 จังหวัด | วันอังคารที่ 5 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ดำเนินคดีบ่อนการพนันและกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท พร้อมยืนยันไม่ล็อกดาวน์ 5 จังหวัด
นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ดำเนินคดีบ่อนการพนันและกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท พร้อมยืนยันไม่ล็อกดาวน์ 5 จังหวัด
วันนี้ (5 ม.ค. 64) เวลา 12.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เป็นการประชุมในระบบ Video Conference เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามมาตรการสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงการเว้นระยะห่าง การสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีคนหมู่มาก
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการขจัดกระบวนการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะบ่อนการพนันต่าง ๆ ทั้งบ่อนขนาดใหญ่ บ่อนวิ่ง สั่งการให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอบสวนถึงผู้ให้การสนับสนุนเป็นนายทุนเบื้องหลัง ผู้ที่อำนวยความสะดวก และผู้ที่ละเว้น ปล่อยปะละเลยการกระทำความผิด ด้วยให้มีคณะกรรมการ ประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตรวจสอบขบวนการดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามมาตรการทางกฎหมายทุกฉบับที่มีอยู่ พร้อมทั้งมอบหมายให้ด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแนวชายแดนต่าง ๆ เข้มงวดตรวจสอบ ระวังบุคคลที่เดินทางออกไปเล่นการพนันในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านด้วย
นายกรัฐมนตรียังยืนยันมาตรการต่าง ๆ จาก ศบค. นั้น ได้ผ่านการปรึกษาร่วมกับทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังข้อเสนอจากฝ่ายเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน อาทิ สมาคมหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมโรงแรมไทย เพื่อประมวลข้อมูลจากทุกหน่วยงาน เพื่อหามาตรการและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการทั้งป้องกันการแพร่ระบาดและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลต้องดูแลคนหมู่มาก
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้มีการแบ่งพื้นที่ควบคุม แต่ทุกพื้นที่ต้องยึดหลักสาธารณสุข เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ตรวจอุณหภูมิร่างกาย ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะเมื่อเข้าใช้ สถานประกอบการต่าง ๆ ขณะที่แอปพลิเคชันหมอชนะนั้นเพื่อควบคุมดูแล ติดตามการเดินทาง ซึ่งยังมีรายละเอียดแต่ละพื้นที่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจ ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง สังเกตอาการหลังจากเดินทางไปยังพื้นที่ควบคุมสูงสุด และต้องปฏิบัติตามมาตรการในพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงมาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ที่ต้องปฏิบัติ อาทิ การงดใช้อาคารเรียน และให้เรียนออนไลน์ สำหรับโรงเรียนที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธารและกระทรวงสาธารณสุขจัดหามาตรการเพิ่มเติม การห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เว้นแต่ได้รับอนุญาตโดยการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ มีมาตรการป้องกัน การปิดสถานบริการลักษณะผับ/บาร์/คาราโอเกะ การอนุญาตให้สามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้เวลา 06.00 – 21.00 น. หลังจากนั้นจะต้องซื้อกลับไปทานที่บ้าน ห้างสรรพสินค้า/ศูนย์จัดแสดงสินค้าสามารถเปิดให้บริการได้แต่ต้องมีมาตรการป้องที่เคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขอให้งดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เว้นแต่มีเหตุจำเป็นโดยต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานแก่เจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจระหว่างทางและในพื้นที่แต่ละจังหวัด ลงทะเบียนแอปพลิเคชันไทยชนะอยู่เสมอ รวมถึงการงดดื่มสุรา เพราะเป็นอาจทำให้บาดเจ็บสูญเสียจากการใช้ยานพาหนะ จากสถิติในช่วงเทศกาลปีนี้ที่กลับเพิ่มสูงขึ้น โดยการสูญเสียส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ถนนสายรอง ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจตามจุดต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมทั้งมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถพิจารณาปิดการสถานที่บริการเพิ่มเติมได้ตามสถานการณ์แต่ต้องคำนึงไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีการล็อกดาวน์ 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด นั้น เน้นใช้มาตรการพื้นที่ที่เข้มงวดแทน
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38094 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1′ แจงชัด ‘หมอบูรณ์’ กรณีขอเงินชราภาพ คืน ยัน สปส.กำลังดำเนินการตามกรอบ กม.รู้ทุกเรื่อง เพราะเป็นคณะอนุ ด้วย วอนช่วยสื่อสารเรื่องจริง คนในกลุ่ม | วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564
จับกัง1′ แจงชัด ‘หมอบูรณ์’ กรณีขอเงินชราภาพ คืน ยัน สปส.กำลังดำเนินการตามกรอบ กม.รู้ทุกเรื่อง เพราะเป็นคณะอนุ ด้วย วอนช่วยสื่อสารเรื่องจริง คนในกลุ่ม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กรณี ‘หมอบูรณ์’ แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน เรียกร้องให้คืนเงินสมทบชราภาพเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยัน ‘หมอบูรณ์’ นั้น มีชื่อร่วมเป็นอนุกรรมการฯ วอนขอให้ช่วยสื่อสารให้คนในกลุ่มให้เข้าใจความคืบหน้าในข้อมูล
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ห้องประชุมกลุ่มงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ น.สพ.บูรณ์ อารยพล แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน นำตัวแทนกลุ่มเข้าพบ ยื่นข้อเรียกร้องให้คืนเงินสมทบชราภาพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนจากผลกระทบโควิด-19 ว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ใช้แรงงานและผู้ประกันตน ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้สามารถนำเงินกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ได้บางส่วน ในเรื่องนี้ ผมจะขอกล่าวว่า ในเรื่องที่จะนำเงินชราภาพออกมาช่วยเหลือ ผู้ประกันตนบางส่วนก่อนนั้น นโยบายรัฐบาล โดย ท่าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการกำชับมาที่ผมตั้งแต่รับตำแหน่งแรกๆแล้ว และผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการสั่งการให้ สำนักงานประกันสังคม รีบไปดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากข้อเรียกร้องกรณีผู้ประกันตนเรียกร้องให้สามารถนำเงินกองทุนประกันสังคม (กองทุนชราภาพ) ออกมาใช้บางส่วน และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล การแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกันตนดังกล่าวข้างต้น ความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้ สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เป็นเรื่องเร่งด่วนทันที เพื่อหาแนวทางดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกันตน โดยคณะกรรมการประกันสังคมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) โดยแต่งตั้งให้ น.สพ.บูรณ์ อารยพล หรือ ‘หมอบูรณ์’ ร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย และมีการประชุมติดตามรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามขั้นตอนของกรอบกฎหมายมาโดยตลอด ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการประชุมหลายครั้งและได้พิจารณาศึกษาแนวทางการช่วยเหลือใน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ส่วนในระยะยาว สำนักงานประกันสังคมจะต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนชราภาพของผู้ประกันตนมาใช้บางส่วนก่อนกำหนดได้ ภายใต้กรอบขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งในขั้นตอนของสำนักงานประกันสังคม ขั้นตอนของกระทรวงแรงงาน และขั้นตอนของคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีระยะเวลาที่ชัดเจน
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้ประชุมคณะทำงานดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นแนวทางในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา และจะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ต่อไป
“ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน โดยท่านได้กำชับให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงมาติดตามปัญหาด้วยตนเอง เพื่อดูแลพี่น้องแรงงานให้เหมือนคนครอบครัว การที่หมอบูรณ์ แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน ยื่นข้อเรียกร้องให้คืนเงินสมทบชราภาพเพื่อนำเงินบางส่วนมาใช้นั้น ยืนยัน ว่า ได้ติดตามเร่งรัดการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคมมาอย่างใกล้ชิด แต่ไม่เข้าใจว่า’หมอบูรณ์’ ซึ่งก็ร่วมเป็นอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) ด้วย เข้าร่วมประชุมทุกครั้ง รู้ขั้นตอนการดำเนินงานทุกอย่างแต่ทำไมไม่สื่อสารกับเพื่อนสมาชิก กลับเป็นแกนนำ นำเพื่อนสมาชิกไปเที่ยวเรียกร้องตามที่ต่างๆ จึงขอให้หมอบูรณ์ช่วยนำความคืบหน้าจากที่ประชุมที่ตนเป็นคณะทำงานอยู่ไปสื่อสารให้เพื่อนในกลุ่มได้รับรู้ถึงขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานประกันสังคมภายใต้กฎหมายซึ่งมีกรอบของระยะเวลาที่ชัดเจนอยู่แล้ว” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38545 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย.แจงการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 ไม่ล่าช้า | วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564
อย.แจงการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 ไม่ล่าช้า
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยืนยันการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 ยึดหลักความปลอดภัย คุณภาพมาตรฐาน มีประสิทธิผล การขึ้นทะเบียนไม่ล่าช้า อำนวยความสะดวกเต็มที่ เอกสารต้องครบถ้วนเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยืนยันการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 ยึดหลักความปลอดภัย คุณภาพมาตรฐาน มีประสิทธิผล การขึ้นทะเบียนไม่ล่าช้า อำนวยความสะดวกเต็มที่ เอกสารต้องครบถ้วนเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน
นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้สัมภาษณ์ว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 อย่างเต็มที่ ได้ระดมสรรพกำลังทั้งผู้เชี่ยวชาญภายในและภายนอกมาร่วมพิจารณา เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด ยึดหลักว่าต้องเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิผล ไม่สามารถผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือลดหย่อนการกำกับดูแล เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน
สำหรับวัคซีนโควิด 19 ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า อย. ได้รับเอกสารการขอขึ้นทะเบียน ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 และได้จัดส่งเอกสารให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีน จนมีการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 รวมเวลาการพิจารณาประมาณ 1 เดือน ซึ่งวัคซีนที่ อย. รับขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินที่จะต้องมีระบบการกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์สุรโชคกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีผู้มายื่นขออนุมัติวัคซีนโควิด 19 จาก อย. จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด โดยมีองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้มายื่นขอ ซึ่ง อย. รอเอกสารเพิ่มเติมให้ครบถ้วน ยืนยันว่าไม่ปิดกั้นบริษัทใดมายื่นขออนุญาตและพร้อมให้คำปรึกษาหรือตอบข้อสงสัย เพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตอย่างเต็มที่
ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ด้านการจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัทซิโนแวค ประเทศจีน (Sinovac Biotech Limited, People’s Republic of China) ซึ่งองค์การฯ ดำเนินการตามที่ได้มอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข ขณะนี้ได้แจ้งยื่นขออนุญาตขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไปแล้ว อยู่ระหว่างการประสานรวบรวมข้อมูลประกอบการยื่นขอขึ้นทะเบียนเพิ่มเติม โดยการดำเนินการนี้องค์การฯ จะทำหน้าที่จัดซื้อตามจำนวนที่กรมควบคุมโรคแจ้งความต้องการมาเพื่อนำไปฉีดตามแผนการจัดสรรของประเทศ
“การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด 19 นี้ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและแข่งกับเวลา ภายใต้สถานการณ์มีความต้องการใช้ทั่วโลก อีกทั้งวัคซีนที่มีอยู่เพิ่งเสร็จจากงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการผลิตของแต่ละบริษัท และทั่วโลกมีความต้องการใช้สูง ทราบมาว่าขณะนี้ มีบริษัทเอกชนรายอื่นที่ได้ขอขึ้นทะเบียนวัคซีนจากผู้ผลิตประเทศจีนเช่นเดียวกัน” นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว
************************************* 23 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38546 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่องเที่ยวจับมือสาธารณสุข เร่งเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ ให้บริการตามมาตรฐานการท่องเที่ยววิถีใหม่ รองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 | วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564
ท่องเที่ยวจับมือสาธารณสุข เร่งเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ ให้บริการตามมาตรฐานการท่องเที่ยววิถีใหม่ รองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
ท่องเที่ยวจับมือสาธารณสุข เร่งเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ ให้บริการตามมาตรฐานการท่องเที่ยววิถีใหม่ รองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
วันที่ 23 ม.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อจากไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองกับกับมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวนั้น ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเร่งดำเนินโครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ซึ่งเป็นโครงการที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปรับปรุงสถานประกอบการให้สอดคล้องกับการท่องเที่ยววิถีใหม่ หรือ New Normal ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวควบคู่กับมาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย
สำหรับการตรวจประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA ดำเนินการใน 2 แนวทาง คือ การตรวจโดยคณะกรรมการตรวจประเมิน และการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า เมื่อผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมโครงการผ่านการตรวจสอบจะได้รับตราสัญลักษณ์ SHA ในสถานประกอบการ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ททท. ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติทราบว่า ตั้งแต่ เริ่มเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2563 เป็นต้นมา มีสถานประกอบการในภาคการท่องเที่ยวสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 9,894 แห่ง ผ่านการประเมินและได้รับตราสัญลักษณ์ SHA แล้ว 7,950 แห่ง หรือคิดเป็น 80.35%
กลุ่มกิจการที่สมัครร่วมโครงการและผ่านการประเมินมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. โรงแรมและที่พักสถานที่จัดการประชุม ร่วมโครงการ 3,747 แห่ง ผ่านการประเมิน 2,991แห่ง คิดเป็น 79.82% 2.ภัตตาคาร/ร้านอาหาร เข้าร่วมโครงการ 2,688 แห่ง ผ่านการประเมิน 2,128 แห่ง คิดเป็น 78.86% 3. บริษัทนำเที่ยว ร่วมโครงการ 1,103 แห่ง ผ่านการประเมิน 868 แห่ง คิดเป็น 78.69%
สำหรับปี 2564 ททท. และกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายว่า จะเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรฐาน SHA ให้ได้มากที่สุด มีการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ SHA ในด้านของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจะมีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานที่ทางการดำเนินการอยู่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในสินค้าและบริการท่องเที่ยวของไทย
“SHA เป็นมาตรฐานที่เหมือนสัญลักษณ์แสดงว่าผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวได้ปรับปรุงทั้งสินค้าและบริการโดยมีมาตรฐานด้านสาธารณสุขเป็นหัวใจหลัก ซึ่งจะเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว เป็นกลไกสำคัญสำหรับการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในระยะต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วาระการออมแห่งชาติเดินหน้าฉลุย นายกฯ ชื่นชมทุกฝ่ายร่วมมือ ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน เป็นนักเรียน แสนกว่าราย | วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564
วาระการออมแห่งชาติเดินหน้าฉลุย นายกฯ ชื่นชมทุกฝ่ายร่วมมือ ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน เป็นนักเรียน แสนกว่าราย
วาระการออมแห่งชาติเดินหน้าฉลุย นายกฯ ชื่นชมทุกฝ่ายร่วมมือ ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน เป็นนักเรียน แสนกว่าราย
วันที่ 23 ม.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ ผนวกกับเป้าหมายร้อยละ 60 ของประชากรวัยทำงานเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณ การส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมอย่างเป็นระบบตั้งแต่ในวัยเยาว์ และในกลุ่มผู้มีอาชีพอิสระจึงเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และได้ชื่นชมผลงานการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวเพราะประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งนี้ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้เป็นหน่วยงานหลักที่ส่งเสริมการออมในกลุ่มผู้ฝากรายย่อย โดยรัฐออกเงินสมทบ 50% - 100% ตามจำนวนเงินฝากและช่วงอายุของสมาชิก เริ่มออมตั้งแต่ 50 บาทต่อเดือน จำนวนสมาชิก กอช. นับจากปี 59 จนถึงสิ้นปี 63 มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 4 แสนคน เป็นมากกว่า 2.4 ล้านคน อาชีพที่สนใจสมัครสูงสุดคือ อาชีพเกษตร 48% ผู้ประกอบอาชีพอิสระ 31% อาชีพค้าขาย 6%
นอกจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น ในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถสมัครสมาชิกได้ ที่อำเภอ คลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ทางกอช. ยังจับมือกับธนาคารออมสินทำสมุดเงินออมให้กับสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการอัพเดทความเคลื่อนไหวของเงินออม ซึ่งสมาชิกสามารถติดต่อขอรับสมุดเงินออมสะสม (Passbook) ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ มากไปกว่านั้น สำหรับกลุ่มเป้าหมายเยาวชนเพื่อสร้างนิสัยการออมและรู้จักวางแผนการเงินตั้งแต่วัยเรียน กอช. ได้ลงนามความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้ ได้นำร่องกับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว จำนวน 119 โรงเรียน และมีนักเรียนนักศึกษาเป็นสมาชิก ร้อยละ 6 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อจบการศึกษาแล้วนักเรียนสามารถออมเงินต่อได้ และสามารถนำเงินออมไปลดหย่อนภาษีได้เมื่อเข้าทำงาน
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เราตระหนักว่าการมีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉินเป็นเรื่องจำเป็นมาก การสร้างนิสัยการออมและการมีทักษะการวางแผนการเงินจึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความใส่ใจ และอยากให้ประชาชนมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องนี้ มากไปกว่านั้น สำหรับสมาชิก กอช. ที่ในช่วงนี้ไม่สามารถส่งเงินออมอย่างต่อเนื่องได้ ทาง กอช. ได้ยืนยันว่า สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงสภาพเดิม อย่างไรก็ตาม ควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพื่อรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38544 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส การกระทำผิดเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่าน 1111 แล้วกว่า 237 เรื่อง | วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส การกระทำผิดเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่าน 1111 แล้วกว่า 237 เรื่อง
นายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส การกระทำผิดเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่าน 1111 แล้วกว่า 237 เรื่อง
วันที่ 23 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบข้อมูลที่ประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส เรื่องแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน และกิจกรรมใด ๆ ที่จะสุ่มเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผ่าน 1111 ทั้ง 5 ช่องทางแล้วเป็นจำนวนถึง 237 เรื่อง
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานการรับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือปล่อยปละละเว้นการกระทำผิดกฎหมาย บ่อน ค้าประเวณี แรงงานผิดกฎหมาย รวมทั้งเรื่องราวร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่านทั้ง 5 ช่องทาง 1111 ได้แก่ 1) สายด่วน 1111 2) ตู้ ปณ. 1111 ทำเนียบรัฐบาล 3) เว็บไซต์ www.1111.go.th 4 แอปพลิเคชัน PSC1111 5 ) จุดบริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 7 -22 มกราคม 2564 จำนวน 32,245 เรื่อง แบ่งเป็นเบาะแสแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย 25 เรื่อง เบาะแสบ่อนการพนัน 132 เรื่อง เบาะแสการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ 80 เรื่อง ส่วนอีกจำนวน 32,008 เรื่องนั้น เป็นการที่ประชาชนได้แจ้งเรื่องร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ รวมถึงสอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะทั่วไปเกี่ยวกับโควิด-19
โดยขอให้ประชาชนผู้ให้ข้อมูล/แจ้งเบาะแส วางใจและมั่นใจว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส โดยจะปกปิดชื่อผู้แจ้ง กำหนดเป็นเรื่องลับ ไม่ให้ผู้แจ้งต้องได้รับภัยจากการแจ้งเบาะแสหรือการให้ข้อมูล
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงประสิทธิภาพกระบวนการส่งข้อมูลเบาะแส โดยให้แจ้งข้อมูลและเบาะแสการเข้าเมืองผิดกฎหมาย แรงงานผิดกฎหมาย ไปยังคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีการเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนข้อมูลและเบาะแสเกี่ยวกับบ่อนการพนันให้แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในส่วนข้อมูลการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 9 พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จะส่งไปยังส่วนศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคง (ศปม.) ซึ่งมีกองบัญชาการทหารสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ให้รายงานผลการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบในทุกระยะด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ย้ำ ! ฝึกอาชีพออนไลน์กับ ก.แรงงาน เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมช.แรงงาน ย้ำ ! ฝึกอาชีพออนไลน์กับ ก.แรงงาน เพิ่มช่องทางสร้างรายได้
- -
วันที่ 20 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการ หลายแห่งต้องหยุดกิจการชั่วคราว บางแห่งเลิกกิจการ แรงงานหลายแสนคนถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ปรับเปลี่ยนอาชีพใหม่ จึงต้องหาความรู้เพิ่มเพื่อความอยู่รอดในยุค New Normal ธุรกิจหลายประเภทเดิมที่มีการขายหน้าร้านต้องปิดลงและปรับรูปแบบเป็นการขายสินค้าทางออนไลน์ ลดการพบเจอหน้าผู้คนโดยตรง แต่ใช้การสื่อสารผ่านระบบดิจิทัลแทน ทำให้แรงงานที่จำเป็นต้องหยุดงานเริ่มมองหารายได้ช่องทางอื่น รวมถึงพนักงานประจำที่เมื่อต้องหยุดอยู่บ้าน หรือ work from home มีเวลาเพิ่มขึ้น การสวมบทบาทหลายอาชีพเพื่อหารายได้เสริม พบว่า หลายคนได้เริ่มต้นทำธุรกิจทางออนไลน์ไปแล้ว เช่น เป็นอาชีพแม่ค้าออนไลน์ บางคนเปิดร้านขายอาหารก็จัดส่งอาหารถึงบ้านลูกค้า เป็นต้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า หลายอาชีพก้าวสู่ออนไลน์ไปแล้ว อีกทั้งการเรียนรู้ออนไลน์ก็ทำได้ง่ายขึ้น สามารถเรียนรู้หรือฝึกอบรมออนไลน์ได้หลายเรื่องในแต่ละวัน ดังนั้นกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ที่มีภารกิจหลักด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ จึงไม่หยุดนิ่งต่อการพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการฝึกให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการและสามารถต่อยอดอาชีพให้แก่แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งแรงงานมีการปรับตัวในเรื่องนี้มากขึ้น จากที่ผ่านมามีเปิดอบรมแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Application Zoom Meeting มีคนเข้าอบรมเป็นจำนวนมาก บางรายสนใจเข้าฝึกหลายหลักสูตร ก็สามารถลงทะเบียนเข้าอบรมในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกันได้ นอกจากนี้ การอบรมออนไลน์ช่วยให้ภาครัฐประหยัดค่าใช้จ่าย และแรงงานได้รับโอกาสฝึกอบรมได้เพิ่มขึ้น
นางสาวโชติรส ขวัญเมือง (นุช) อายุ 40 ปี เล่าว่า ตนเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบกิจการที่ต้องปิดร้านขายอาหารประเภทสลัดและสเต็ก เพราะพิษของโควิด-19 ซึ่งต้องเปลี่ยนรูปแบบการขายใหม่เป็นการรับออเดอร์ทางออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ค แล้วทำตามออเดอร์เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่เคยมานั่งกินที่ร้าน อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งของร้าน จึงสามารถนำอาหารไปส่งได้ แต่รายได้ก็ลดลงไปมาก จึงมองหาสินค้าอื่นเพิ่ม ด้วยการขายเซรามิกผ่านระบบออนไลน์ด้วยการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ โดยดูตัวอย่างจากคนอื่น ๆ ที่ไลฟ์สดขายสินค้าแล้วทำตาม ปัจจุบันมีโอกาสเข้าอบรมเรื่อง เทคนิคการสร้างร้านค้าและขายสินค้าออนไลน์ จากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานชุมพร อบรมระหว่างวันที่ 18-22 มกราคม 2564 รวม 5 วัน ได้เรียนรู้วิธีการสร้างเว็บไซต์เพื่อเพิ่มช่องทางการขายใน Lazada การเตรียมตัว หลักการขาย การขยายกลุ่มลูกค้า มีเทคนิคการขาย การนำเสนอสินค้าในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก่อนอบรมนึกไม่ออกเลยว่าจะเพิ่มลูกค้าได้อย่างไร เมื่อวิทยากรแนะนำ ทำให้มองเห็นภาพและมีช่องทางในการทำตลาด “การอบรมจึงมีประโยชน์มาก คาดหวังว่าจะสามารถขายสินค้าได้มากขึ้นและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น” นุชกล่าว
การเรียนรู้มีหลายรูปแบบ ซึ่ง กพร. มีหลายหลักสูตรให้เลือก หลักสูตรที่เป็นทฤษฎีก็จัดคอร์สอบรมออนไลน์ สาขาอาชีพที่ต้องฝึกปฏิบัตินั้น ต้องฝึกจริงที่หน่วยงานของ กพร. มีอยู่ทุกจังหวัด สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือดูหลักสูตรฝึกอบรมที่ www.dsd.go.th เมนู สมัครฝึกอบรม
“จากการรณรงค์ให้ผู้คนเว้นระยะห่างกัน สวมหน้ากาก ใช้เจลแอลกอฮอล์ และล้างมือบ่อยๆ ผนวกกับการตระหนักรู้และใส่ใจเรื่องสุขอนามัยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะกลายเป็นความเคยชินโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ แต่เชื่อมั่นได้ว่า ทุกคนจะสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่นี้ได้แน่นอน” รมช.แรงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าประมงปลอดภัยในพื้นที่ตลาดไท | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าประมงปลอดภัยในพื้นที่ตลาดไท
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าประมงปลอดภัยในพื้นที่ตลาดไท หวังผลักดันเป็น "ตลาดประมงปลอดภัย GAP" และเป็นโมเดลต้นแบบในการขยายไปสู่ตลาดในภูมิภาคอื่น
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดสินค้าประมงปลอดภัยในพื้นที่ตลาดไท ณ ตลาดไท ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สร้างความตื่นตระหนกต่อพี่น้องประชาชนถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยในการบริโภคสินค้าสัตว์น้ำ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังเกิดการระบาดระลอกใหม่ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 จนถึงขณะนี้มีการติดเชื้อของประชาชนในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานและสถานที่ที่มีการติดเชื้อ ได้แก่ ตลาดซื้อขายสัตว์น้ำ จ.สมุทรสาคร ทำให้มีผลกระทบมาถึงผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดสำคัญ ได้แก่ กุ้งขาว กุ้งก้ามกราม และปลากะพงขาว ซึ่งจะต้องส่งผลผลิตเข้าไปในตลาดสมุทรสาครจำนวนมาก ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีสถานที่จำหน่าย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้เล็งเห็นปัญหาและผลกระทบดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับตลาดไทจัดพื้นที่ทำเลที่ดีที่สุด ให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนำผลผลิตจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP มาจำหน่ายในลักษณะขายส่ง เพื่อให้เกิดตลาดที่มีคุณภาพของสินค้าที่ผู้บริโภคเชื่อถือได้ และมีกระบวนการดำเนินการที่เป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องการป้องกันและคัดกรองเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อให้สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่ผู้มาทำกิจกรรมเกิดความมั่นใจ โดยตลาดไทได้ยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้กับเกษตรกรเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม - 20 เมษายน 2564 สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้ามาซื้อสินค้าสัตว์น้ำ "ตลาดประมงปลอดภัย GAP" ตลาดจะเริ่มจำหน่ายสินค้า เวลา 04.00 - 11.00 น. (เกษตรกรเข้าตลาดได้ 02.00 น.) ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้ มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ความสนใจและแจ้งความประสงค์เข้าร่วมจำหน่ายสินค้า จำนวน 20 กลุ่ม แบ่งออกเป็น กลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งขาวแวนาไม จำนวน 7 กลุ่ม กลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม จำนวน 12 กลุ่ม และกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงขาว จำนวน 1 กลุ่ม โดยเป็นเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จาก 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา ปริมาณสัตว์น้ำที่นำมาจำหน่ายเริ่มต้นที่วันละ 5 ตัน หรือ 5,000 กิโลกรัม ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณสัตว์น้ำที่นำมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาต่อไป
“ผมขอชื่นชมและขอบคุณตลาดไท ที่ได้ให้โอกาสเกษตรกรและร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเปิดพื้นที่ตลาดประมงปลอดภัย GAP ให้เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายและจัดระบบตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวดเพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อด้วยสินค้าที่มีการรับรอง GAP ทุกราย อย่างไรก็ตาม คาดว่าจากการดำเนินการในครั้งนี้จะเป็นโมเดลต้นแบบให้ขยายไปสู่ตลาดในภูมิภาคอื่นด้วยเช่นกัน จึงได้มอบหมายให้แต่ละพื้นที่จังหวัดไปดำเนินการเรื่อง Demand Supply ในพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อให้ทางกรมประมงดูการกระจายสินค้าและผลผลิตในภาพรวมที่ไม่ให้เกิดผลกระทบเรื่องราคาด้วย" นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จนทำให้เกิดผลกระทบเป็นจำนวนมากนั้น ที่ผ่านมากรมประมงได้ดำเนินการแก้ไขโดยการเปิดพื้นที่กรมประมงให้เกษตรกรมาขายกุ้ง และในส่วนของภูมิภาคได้ให้สำนักงานประมงจังหวัดทั่วประเทศเปิดให้เกษตรกรมาขายกุ้งโดยตรง ซึ่งขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ม.ค. 64) สามารถระบายผลผลิตช่วยเหลือเกษตรกรไปได้ถึง 284,131 กิโลกรัม มูลค่า 55,693,850 บาท นอกจากนี้ ยังมีการขอความร่วมมือห้องเย็นโรงงานแปรรูปในการรับซื้อกุ้ง และประสานความร่วมมือไปยังทุกภาคส่วนในการช่วยประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจในการบริโภคกุ้งและสินค้าสัตว์น้ำและช่วยเป็นแหล่งจำหน่ายกุ้งอีกด้วย
"สำหรับการดำเนินการร่วมกับตลาดไทในครั้งนี้ จะเป็นอีกช่องทางการกระจายสินค้าสัตว์น้ำให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยในอนาคตคาดหวังที่จะผลักดันให้ “ตลาดประมงปลอดภัย GAP” เป็นศูนย์กลางค้าส่งสินค้าสัตว์น้ำแห่งใหม่ เพื่อกระจายสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศต่อไป" นายมีศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38449 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนงานประกวดข้าว ปักหมุดส่งเสริมข้าวไทยสู่ตลาดโลก เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 29 ม.ค. 64 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนงานประกวดข้าว ปักหมุดส่งเสริมข้าวไทยสู่ตลาดโลก เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 29 ม.ค. 64
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนงานประกวดข้าว ปักหมุดส่งเสริมข้าวไทยสู่ตลาดโลก เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 29 ม.ค. 64
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าว กำหนดจัดงาน "การประกวดข้าวเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกของตลาดข้าวโลก ประจำปี 2564" ระหว่างวันที่ 14 – 15 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายทอดพร้อมประชาสัมพันธ์การพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลก
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดข้าวมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศมีการพัฒนาศักยภาพในการผลิตข้าว เพื่อบริโภคภายในประเทศ และสามารถส่งออกจนเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการส่งออกข้าวในตลาดโลก และส่งออกข้าวดีมีคุณภาพติดอันดับโลกมาเป็นระยะเวลานาน เพื่อให้มีการสรรหาข้าวพันธุ์ดีมีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มอบหมายให้กรมการข้าวจัดการประกวดข้าวเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกของตลาดข้าวโลก ครั้งที่ 1 ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 14 – 15 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายทอดพร้อมประชาสัมพันธ์การพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกโดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจส่งข้าวเข้าร่วมประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2564 ณ อาคารจักรพันธ์ กรมการข้าว กรุงเทพฯ
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า การจัดงานดังกล่าว จะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการพัฒนาข้าวไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยมีการเชื่อมโยงหน่วยงานหลายภาคส่วน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย เกษตรกร และผู้เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สำหรับตัวอย่างข้าวที่ส่งเข้าประกวดปีนี้กำหนดไว้ 3 ประเภท ได้แก่ 1.ข้าวหอมมะลิไทย 2.ข้าวหอมไทย และ 3.ข้าวขาวพื้นนุ่ม โดยข้าวที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นข้าวพันธุ์แท้ ไม่มีข้าวพันธุ์อื่นปน ไม่ละเมิดสิทธิทางปัญญา และไม่ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมายหรือมีการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMOs) ทั้งนี้ คณะกรรมการตัดสินการประกวดจะพิจารณาจากคุณภาพทางกายภาพ เช่น ความยาวเมล็ด ท้องไข่ คุณภาพการสี พิจารณาคุณภาพทางเคมี เช่น ปริมาณอมิโลส ความหอม และพิจารณาคุณภาพการหุงต้มและรับประทาน เช่น เนื้อสัมผัสและรสชาติ โดยจะมีการพิจารณาตัดสินและมอบรางวัลในวันที่ 15 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร โดยกิจกรรมภายในงาน จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านข้าว การออกบูธนำเสนอผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว และออื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้น
ผู้ที่สนใจสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้มากกว่า 1 ประเภท ตัวอย่างข้าวเปลือกแห้งประเภทละ 15 กิโลกรัม สามารถสมัครได้ด้วยตนเอง หรือสมัครทางไปรษณีย์ได้ที่ กรมการข้าว เลขที่ 2177 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือ www.ricethailand.go.th หรือโทรศัพท์ 0-2579-3642 ในวันและเวลาราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38460 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม ครั้งที่ ๑๐ (๔/๒๕๖๔) | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม ครั้งที่ ๑๐ (๔/๒๕๖๔)
ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม ครั้งที่ ๑๐ (๔/๒๕๖๔)
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม ครั้งที่ ๑๐ (๔/๒๕๖๔) โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) คณะกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๑๖ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38461 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หมอยง” แจงข้อสงสัยวัคซีนโควิด 19 ยันไทยนำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินอย่างเหมาะสม | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
“หมอยง” แจงข้อสงสัยวัคซีนโควิด 19 ยันไทยนำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินอย่างเหมาะสม
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยา แจงประเทศไทยใช้วัคซีนโควิด 19 เบื้องต้น 28 ล้านโดส เหมาะสมกับสถานการณ์ ฉีดให้กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว และบุคลากรด่านหน้า เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิต ย้ำยังไม่มีผลการศึกษาเรื่องป้องกันการติดโรค
ส่วนการใช้ในภาวะฉุกเฉินพิจารณาเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ชี้วัคซีนเป็นมาตรการเสริม ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล
วันนี้ (20 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอบข้อสงสัยเรื่องวัคซีนโควิด 19 ใน 4 ประเด็นสำคัญ ว่า ประเด็นแรกเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนที่นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินนั้น หากเป็นยามปกติในโรคปกติ การคิดค้นวัคซีนใหม่จะเป็นไปตามขั้นตอนคือ ในสัตว์ทดลอง ศึกษาความปลอดภัย กระตุ้นภูมิต้านทานได้ จะขออนุญาตทดลองในมนุษย์ ซึ่งมี 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 ศึกษาความปลอดภัย ระยะที่ 2 กระตุ้นภูมิต้านทานได้จริงหรือไม่ และระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน โดยจะแบ่งกลุ่มให้วัคซีนจริงและและวัคซีนหลอก แล้วติดตามไปอีกเป็นปี เพื่อดูประสิทธิภาพ แต่ในภาวะโรคระบาด ไม่สามารถรอจนสิ้นสุดการวิจัยได้ จึงกำหนดว่า ถ้ามีผู้ป่วยเกิดขึ้น ตามจำนวนเป้าหมาย ก็จะมาดูข้อมูล ทั้งกลุ่มที่ให้วัคซีนจริงและวัคซีนหลอกว่า มีการติดโรคกลุ่มละกี่คน เพื่อคำนวณเรื่องประสิทธิภาพ
“โรคโควิด 19 เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ อาการน้อยมาก น้อย ปานกลางจนถึงมาก วัคซีนแต่ละตัวกำหนดนิยามการติดโรคต่างกัน บางตัวมีอาการน้อยมากมากถือว่าติดโรค บางวัคซีนคิดตั้งแต่ป่วยน้อยหรือปานกลางจึงจะถือว่าติดโรค การดูประสิทธิภาพจึงต้องดูผลของการป่วยระดับใดของแต่ละตัว ทั้งนี้ เมื่อได้ผลเบื้องต้นของระยะที่ 3 จะขออนุมัติใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของแต่ละประเทศ จะเป็นผู้พิจารณาข้อมูลอย่างละเอียด โดยเน้นเรื่องความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากมีผลดีมากกว่าการปล่อยให้ติดโรค ก็จะอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน เมื่อการศึกษามีความก้าวหน้าหรือสมบูรณ์มากขึ้นก็สามารถยื่นข้อมูลเพิ่ม เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ใช้ในภาวะปกติได้ ส่วนกลุ่มคนที่รับฉีดวัคซีนต้องติดตามไปอย่างน้อย 2 ปี ถ้าเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต้องรายงานตามระบบ” ศ.นพ.ยงกล่าว
ประเด็นที่สอง รูปแบบของวัคซีนที่จะนำมาฉีดในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังนำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน มี 3 รูปแบบ คือ 1.ชนิด mRNA โดยใช้รหัสพันธุกรรม RNA ของไวรัสโควิด 19 มาห่อหุ้มด้วยตัวนำ Nano Particle วัคซีนกลุ่มนี้คือ ของบริษัทไฟเซอร์ และบริษัทโมเดอร์นา เป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งไม่เคยใช้ในมนุษย์มาก่อน 2.ไวรัสเวคเตอร์ เป็นการนำสารพันธุกรรมไวรัสโควิด 19 มาฝากกับไวรัสที่ไม่ก่อโรคหรือถูกทำหมันแล้ว ได้แก่ ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า สปุตนิกของรัสเซีย และแคนไซโนของจีน ซึ่งรูปแบบนี้เคยใช้ในวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา ที่ฉีดหลายแสนคนในแอฟริกา และ 3.วัคซีนเชื้อตาย โดยเพาะเลี้ยงไวรัสจำนวนมากแล้วทำให้ไวรัสตาย นำมาใส่สารช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และฉีดให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน แต่ต้องให้หลายครั้ง การเพาะเชื้อต้องทำในห้องชีวนิรภัยระดับสูง ข้อดีคือ เรารู้จักรูปแบบนี้มานานกว่า 70 ปี ทั้งวัคซีนโปลิโอ ไวรัสตับอักเสบเอ พิษสุนัขบ้า อาการข้างเคียงต่างๆ ศึกษาง่ายกว่าวัคซีนชนิดใหม่ที่ไม่เคยศึกษามาก่อน แต่การผลิตจำนวนมากไม่สามารถลดต้นทุนให้ถูกลงเท่า 2 รูปแบบแรก ประเทศไทยจึงเลือกทางสายกลางในการนำวัคซีนไวรัสเวคเตอร์และวัคซีนชนิดเชื้อตายที่เคยมีการใช้มาบ้างเข้ามาใช้
ประเด็นที่สาม กลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนนั้น เนื่องจากผลการศึกษาวัคซีนทุกตัวเป็นเรื่องประสิทธิผลลดอาการรุนแรงและลดการเสียชีวิต ยังไม่มีผลการศึกษาที่บอกว่าจะลดการติดโรคหรือลดการแพร่เชื้อ คือ ไม่ได้บอกว่าฉีดแล้วจะไม่เป็นโรค เหมือนกรณีวัคซีนคอตีบที่ฉีดแล้วจะไม่เป็นโรคคอตีบ ยังติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ ดังนั้น จุดมุ่งหมายในการฉีดวัคซีนโควิด 19 จึงไม่ใช่ฉีดให้คนหนุ่มสาวเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุ เพราะยังไม่มีข้อมูลว่าจะป้องกันการติดโรค แต่จะฉีดให้กลุ่มที่เสี่ยงที่ติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง นอนในโรงพยาบาลและเสียชีวิตสูง คือ ผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว บุคลากรด่านหน้า เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากร ส่วนที่ไม่ให้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากยังไม่มีการศึกษา และยังไม่รู้ว่าจะต้องลดโดสลงครึ่งหนึ่งหรือไม่ ในสตรีตั้งครรภ์ก็เช่นกัน ยังไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ แต่หากอยู่ในวงระบาดอย่างหนักก็อาจมีการพิจารณาเป็นรายกรณี
ศ.นพ.ยง กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สี่ เรื่องผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนนั้น ต้องแยกก่อนว่ามีอาการไม่พึงประสงค์ และอาการข้างเคียงของวัคซีน อาการข้างเคียงคือผลที่เกิดขึ้นจากวัคซีนจริง แต่อาการไม่พึงประสงค์ อาจเกิดจากตัววัคซีนหรือไม่ก็ได้ ต้องมีคณะกรรมการด้านความปลอดภัยพิจารณา เพื่อพิสูจน์ว่าอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีนหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องจะเป็นอาการข้างเคียง เช่นเดียวกับที่มีข่าวการเสียชีวิตหลังการฉีดที่นอร์เวย์ 29 รายนี้เป็นอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน จึงต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่
“วัคซีนจากแอสตราเซนเนกา 26 ล้านโดส และซิโนแวค 2 ล้านโดส ขณะนี้ถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากเราฉีดให้แก่กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ คือ ผู้สูงอายุ มีประมาณ 10 ล้านคน คนที่มีโรคประจำตัว และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า รวมแล้วประมาณ 13-14 ล้านคน ฉีดคนละ 2 โดส จำนวน 28 ล้านโดสก็ถือว่ามีความเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย เนื่องจากมีจำนวนน้อย ดังนั้น เมื่อเรารอจนถึงใกล้สิ้นปี หรือปีหน้า ตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ เนื่องจากจะมีวัคซีนออกมามากขึ้น เราก็สามารถเลือกวัคซีนที่ดีที่สุด ราคาเหมาะสมที่สุด มาฉีดเพิ่มเติมหลังจากนี้ได้ ซึ่งปี 2564 วัคซีนเป็นเพียงมาตรการเสริมจากมาตรการที่เราทำดีอยู่แล้ว คือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง จึงขอทุกคนช่วยกันมีระเบียบวินัยในการป้องกันโรคต่อไป จะช่วยให้ผ่านวิกฤตไปด้วยกันได้” ศ.นพ.ยงกล่าว
******************************** 20 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38475 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเกณฑ์ใหม่! ช่วย SME เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
ปรับเกณฑ์ใหม่! ช่วย SME เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
...
ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ SME ครับ
เพราะรัฐบาลได้ขยายเวลาโครงการสินเชื่อ
เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan)
ออกไปอีก 1 ปี เป็นสิ้นสุดวันที่ 18 ธ.ค. 64
พร้อมปรับหลักเกณฑ์ใหม่ให้เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
.
เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME มีเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับนำไปลงทุนหรือปรับปรุงกิจการ
โดยรัฐจะชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้ 2% ใน 3 ปีแรก
และมีกำหนดระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี
.
หลักเกณฑ์ผู้ร่วมโครงการที่ปรับใหม่
1. เป็นผู้ประกอบการ SME ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ
ธุรกิจเกษตรแปรรูป การท่องเที่ยว
ธุรกิจที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV)
หรือเป็นผู้ประกอบการใหม่ที่มีนวัตกรรม
ธุรกิจผลิตหรือบริการอื่น ๆ รวมถึงธุรกิจค้าปลีก – ส่ง
.
2. เป็นสินเชื่อใหม่ ทั้งลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่
และไม่ใช่ลูกหนี้ที่ Re-finance มาจากสถาบันการเงินอื่น
.
โครงการดี ๆ แบบนี้ นอกจากจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 แล้ว
ยังช่วยรักษาการจ้างงานและสร้างเงินทุนหมุนเวียน
ในระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 40,000 ล้านบาท
.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
Call Center 1357
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38470 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อำนวยความสะดวกงานยุติธรรม ผ่านช่องทางออนไลน์ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
อำนวยความสะดวกงานยุติธรรม ผ่านช่องทางออนไลน์
...
อีกหนึ่งของขวัญปีใหม่ 2564 จากใจรัฐบาล
เปิดให้บริการประชาชนด้านงานยุติธรรมต่าง ๆ
เช่น ปรึกษากฎหมาย ร้องเรียน/ร้องทุกข์ แจ้งเบาะแส
ให้ข้อมูล คำแนะนำ ขอรับเงินช่วยเหลือกองทุนยุติธรรม
ขอรับเงินช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญา
ขอรับการคุ้มครองพยานในคดีอาญา
.
ขอไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท ขอรับการตรวจพิสูจน์ DNA
และแจ้งความคดีพิเศษ เป็นต้น ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ดังนี้
.
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปรับเกณฑ์ใหม่! ช่วย SME เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
รับซื้อ “ไฟฟ้าโซลาร์รูฟ” ขยับเพิ่ม 2.20 บาท/หน่วย
หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า เพิ่ม 3 เมือง
เคาะแผน E-commerce ชาติ ตั้งเป้า 5.35 ล้านล้าน
เตือนอย่าหลงเชื่อ แอปฯ ลงทะเบียน "เราชนะ"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สทนช. - กต. แจงมีการติดตามการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปีกับจีน ยืนยันรัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเน้นย้ำถึงการปกป้องผลกระทบกับประชาชนริมน้ำโขง โดยการบริหารจัดการน้ำโขง 1-2 ปีที่ผ่านมา ก้าวหน้าเป็นรูปธรรม | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
สทนช. - กต. แจงมีการติดตามการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปีกับจีน ยืนยันรัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเน้นย้ำถึงการปกป้องผลกระทบกับประชาชนริมน้ำโขง โดยการบริหารจัดการน้ำโขง 1-2 ปีที่ผ่านมา ก้าวหน้าเป็นรูปธรรม
สทนช. - กต. แจงมีการติดตามการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปีกับจีน ยืนยันรัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเน้นย้ำถึงการปกป้องผลกระทบกับประชาชนริมน้ำโขง โดยการบริหารจัดการน้ำโขง 1-2 ปีที่ผ่านมา ก้าวหน้าเป็นรูปธรรม
วันนี้ (20 ม.ค.64) นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขง ของรัฐบาลไม่มีการรักษาสมดุลย์อำนาจระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบประเทศจีนและส่งผลต่อระดับน้ำโขงที่เชียงแสนลดลงว่า การบริหารจัดการน้ำโขง ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลได้ร่วมผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปี ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรน้ำของประเทศจีน กับ สนทช. ในฐานะฝ่ายเลขาฯ คณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ (JWG) กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง สาขาทรัพยากรน้ำ ได้มีการลงนามความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลอดทั้งปี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.63 จากเดิมเริ่มต้นเพียงช่วงฤดูฝนเท่านั้น
ส่วนกรณีเขื่อนจิ่นหงลดการะบายน้ำนั้น สทนช.ได้รับข้อมูลอุทกวิทยาจากสถานียุนจิ่นหง พบว่ามีระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ 31 ธ.ค.63 จึงได้เร่งติดต่อผ่านผู้ประสานงานของรัฐบาลจีน แต่ด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี ทำให้เกิดการแจ้งยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าช้า ซึ่ง สทนช.กำลังปรับปรุงระบบการได้ข้อมูลยืนยันให้รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงเร็วๆ นี้ สถานีเชียงกกที่อยู่บริเวณพรมแดนระหว่างลาว-เมียนมาร์-จีน จะเป็นอีกสถานีตรวจวัดระดับน้ำที่สำคัญ และจะทำให้ไทยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเน้นย้ำถึงการปกป้องผลกระทบกับประชาชนริมน้ำโขง ทั้งนี้ สทนช.มีแผนการดำเนินการสร้างเวทีสร้างการมีส่วนร่วมภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารแม่น้ำโขงในประเทศเพิ่มเติม เพื่อให้การจัดการน้ำโขงเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปัจจุบันด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานงานกับสทนช.อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับระดับน้ำในแม่น้ำโขงตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยล่าสุดตั้งแต่ 11 ม.ค. 64 เป็นต้นมา สทนช. แจ้งว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว (2 เมตร) ทั้งนี้ การซ่อมเขื่อนในจีนย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศท้ายน้ำ สทนช. จึงได้แจ้งความกังวลของไทยต่อฝ่ายจีนในทันทีที่ได้รับแจ้งข้อมูลจากจีน ทั้งผ่านกลไกทวิภาคี กรอบความร่วมมือ Mekong - Lancang Cooperation (MLC) และองค์กรความร่วมมือ Mekong River Commission (MRC) และกล่าวย้ำขอให้ฝ่ายจีนแจ้งข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการใดๆ ที่จะสร้างผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงสายประธานให้ประเทศท้ายน้ำทราบ ทั้งนี้ยืนยัน กต.ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ไทยประสบความสำเร็จในการผลักดันให้จีนแจ้งข้อมูลระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำจิ่งหงและหมานอัน วันละ 2 ครั้ง ตลอดทั้งปี ทั้งผ่านกลไกทวิภาคี กลไก MRC และ MLC ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 63 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจีนดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับซื้อ “ไฟฟ้าโซลาร์รูฟ” ขยับเพิ่ม 2.20 บาท/หน่วย | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รับซื้อ “ไฟฟ้าโซลาร์รูฟ” ขยับเพิ่ม 2.20 บาท/หน่วย
...
โอกาสดีมาแล้ว สำหรับประชาชนที่สนใจจะติดตั้ง
ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
บนหลังคา Solar Rooftop ที่บ้านตนเอง
.
ปีนี้ รัฐบาลยังคงสนับสนุนให้ประชาชน
สามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ได้เองในบ้านเรือนอย่างต่อเนื่อง
หากไฟฟ้าเหลือใช้ยังสามารถขายไฟฟ้า
เข้าระบบให้แก่ กฟน. และ กฟภ. ได้อีกต่อ
.
จากเดิม รัฐจะรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนในอัตรา 1.68 บาท/หน่วย
มาปีนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ได้ปรับราคารับซื้อไฟฟ้าอัตราใหม่ เป็น 2.20 บาท/หน่วย
โดยมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป ระยะเวลา 10 ปี
.
โดยมีเป้าหมายรับซื้อเบื้องต้น 50 เมกะวัตต์
ซึ่งระเบียบดังกล่าว จะครอบคลุมกลุ่มครัวเรือน
ที่เข้าร่วมโครงการไปแล้ว และผู้เข้าร่วมโครงการใหม่
.
สำหรับประชาชนพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ
ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://spv.mea.or.th
หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม - ขอรับบริการการติดตั้ง
ระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์หลังคา
โทร. 0 2878 5385 ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า
การไฟฟ้านครหลวง MEA ได้ทุกวันในเวลาทำการ
.
ในส่วนภูมิภาค สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2590 9733 ถึง 43, 53, 63
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปรับเกณฑ์ใหม่! ช่วย SME เข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า เพิ่ม 3 เมือง
อำนวยความสะดวกงานยุติธรรม ผ่านช่องทางออนไลน์
เคาะแผน E-commerce ชาติ ตั้งเป้า 5.35 ล้านล้าน
เตือนอย่าหลงเชื่อ แอปฯ ลงทะเบียน "เราชนะ"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SOM) | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SOM)
กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SOM) สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13 ผ่านการประชุมออนไลน์ โดยเน้นย้ำนโยบาย “3S : Safety, Security & Sustainability” “Big Data ด้านเกษตร” รวมทั้งสนับสนุนการจั
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Officials’ Meeting : SOM) สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13 (13th Berlin Agriculture Ministers’ Conference) ผ่านการประชุมออนไลน์ลักษณะเหมือนจริง (Virtual event) ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสฯ เป็นการหารือรายละเอียดของร่างแถลงการณ์ (Communique) เพื่อให้รัฐมนตรีเกษตรรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 มกราคม นี้ โดยได้หารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้ภาคเกษตรและระบบอาหาร รับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญและยังคงเน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบาย
3 S คือ Safety, Security และ Sustainability ของภาคเกษตรและระบบอาหารให้มีความยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมความปลอดภัยอาหารให้ได้มาตรฐานสากลและถูกหลักโภชนาการ การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพ ความปลอดภัยชีวภาพ และให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดี และการสนับสนุนการทำเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคระบาดพืชและสัตว์ และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ทำการเกษตร รวมถึงสนับสนุนการเข้าไปมีส่วนร่วมด้านดินใน Global Soil Partnership (GSP) ภายใต้ FAO และด้านน้ำในเวทีระดับโลก เช่น World Water Forum, Global Water Partnership (GWP) และ UNESCO-IHP เพื่อสนับสนุนการจัดการทรัพยากรดินและน้ำอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในการจัดเก็บข้อมูล Big Data ด้านดิน น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคและโรคระบาดของพืชและสัตว์ อันจะนำไปสู่การวางแผนการผลิตที่แม่นยำ ตอบสนองความมั่นคงอาหารที่ยั่งยืน โดยในส่วนของประเทศไทย ได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agricultural Big Data: NABC) เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านการเกษตรของประเทศ และนำข้อมูล Big Data มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ และภัยพิบัติทางการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการจัดทำปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือนระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดเพื่อวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ขณะเดียวกัน ได้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนการจัดการทรัพยากรดินและน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของภาคเกษตรและระบบอาหาร โดยประเทศไทยพร้อมมีส่วนร่วมตามพันธกรณีต่าง ๆ และจะทำงานร่วมกับ FAO และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพร้อมสนับสนุนการนำนโยบายด้านระบบอาหารโลกไปผลักดันให้เกิดผลปฏิบัติจริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย SDG 2 (Zero Hunger), SDG 13 (Climate Change) และ SDG 15 (Life on Land) และเป้าหมายของการประชุมสุดยอดระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลก (2021 UN Food Systems Summit) ซึ่งประเทศไทยได้แต่งตั้งผู้ดำเนินการเตรียมการจัดประชุมระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลก (National Dialogues Convenor) เพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหาร และนำไปจัดทำนโยบายและกิจกรรมเพื่อรายงานต่อที่ประชุมระดับผู้นำฯ ในช่วงปลายปีนี้ด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38474 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปรายการ“เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชมการบันทึกเทป ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38456 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เมื่อประชาชนเดือดร้อน...ทหารพร้อมจะอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
เมื่อประชาชนเดือดร้อน...ทหารพร้อมจะอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอ
#สู้ไปด้วยกัน
#สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
#ทหารของพระราชา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมเปิดโครงการ ‘Ship to Shore Rights South East Asia Programme’ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมเปิดโครงการ ‘Ship to Shore Rights South East Asia Programme’
ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมพิธีเปิดตัวโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Ship to Shore Rights South East Asia Programme) ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
วันนี้(20ม.ค. 64)เวลา09.30น.นายสุทธิสุโกศลปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนางสาวภัทรพรสมันตรัฐผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงานร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดตัวโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Ship to Shore Rights South East Asia Programme)ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์โปรแกรมZoomณห้องประชุมแสงสิงแก้วชั้น5อาคารกระทรวงแรงงาน
โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งสิ้น5ปี(พ.ศ. 2563 - 2567)โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและมีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO)องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน(IOM)โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(UNDP)เป็นผู้ดำเนินโครงการใน7ประเทศได้แก่กัมพูชาอินโดนีเซียลาวเมียนมาฟิลิปปินส์ไทยและเวียดนามเพื่อส่งเสริมการโยกย้ายถิ่นฐานในภาคประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ปลอดภัยและปกติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งก่อนหน้านี้ILOได้ดำเนินโครงการต่อต้านรูปแบบการทำงานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลหรือโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง(Ship to Shore Rights Project)ในประเทศไทยเป็นประเทศแรกเมื่อปี2559และจบโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม2563โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานและเอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยเป็นประธานร่วมในคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว
ในช่วงพิธีเปิดMs Chihoko Asada-Miyakawaผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกล่าวชื่นชมการทำงานของรัฐบาลไทยในการให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด– 19ได้เป็นอย่างดีและการดำเนินการโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งที่ผ่านมาแสดงถึงความสำเร็จของประเทศไทยมีพัฒนาการด้านกฎหมายและยังเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่ให้สัตยาบันพิธีสารส่วนเสริมอนุสัญญาILOฉบับที่29ว่าด้วยแรงงานบังคับค.ศ.1930และอนุสัญญาILOฉบับที่188ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมงค.ศ. 2007รวมทั้งยกย่องว่าประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ปลัดกระทรวงแรงงานได้กล่าวสารผ่านวีดิทัศน์ว่ารัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานมีความพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีให้กับประเทศอื่นๆในภูมิภาคและยินดีที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
20 มกราคม2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส มอบหมายผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยื่นแจ้งความนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า คดี ม.112 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมว.ดีอีเอส มอบหมายผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยื่นแจ้งความนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า คดี ม.112
รมว.ดีอีเอส มอบหมายผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยื่นแจ้งความนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า คดี ม.112
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มอบหมายนายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ นายทศพล เพ็งส้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยื่นแจ้งความที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ฐานความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” และด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 2560 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ณ ชั้น 4 ศูนย์ราชการ อาคาร B แจ้งวัฒนะ
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38466 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกข้อสงสัยฝ่ายค้านในการประชุมสภาฯ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกข้อสงสัยฝ่ายค้านในการประชุมสภาฯ
โฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกข้อสงสัยฝ่ายค้านในการประชุมสภาฯ
วันนี้ (20 ม.ค. 64) เวลา 14.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าการทำงานของรัฐบาลในการปฏิรูป เพื่อให้การบริหารราชการ เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว สร้างความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชน โดยวานนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติฉบับปรับปรุงแก้ไข รวมถึงการดำเนินการเรื่อง พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาหารือของรัฐสภาเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
โฆษกรัฐบาลเผยว่า การเปิดประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาลที่กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 16 – 19 ก.พ. 64 และลงมติวันที่ 20 ก.พ. 64 จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลได้ชี้แจงถึงการทำงานของแต่ละกระทรวง รวมทั้งการทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลพร้อมตอบทุกคำถาม และข้อสงสัยของฝ่ายค้าน เพื่อให้ประชาชนได้มั่นใจว่าการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีความตั้งใจจริง โฆษกรัฐบาลยังย้ำว่า “เป็นหน้าที่สำคัญของรัฐบาลที่จะต้องชี้แจงข้อมูลแก่พี่น้องประชาชนโดยตรง ให้มีความรวดเร็ว ถูกต้อง ชัดเจน”
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38471 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (20 มกราคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) หมวด 1-6 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมวางกรอบการดำเนินงาน PMQA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และแนวทางการสมัครและหลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รายงานผลการดำเนินงานการประเมินตนเองตามเกณฑ์ PMQA 4.0 ของปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา โดยมีผู้อำนวยการกองต่างๆ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุณชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา หารือ มส. การดำเนินงานทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กิจการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมต.อนุชา หารือ มส. การดำเนินงานทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กิจการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
รมต.อนุชา หารือ มส. การดำเนินงานทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กิจการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 14.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะ ประกอบด้วย นางสาว ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบถวายสักการะ กรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมเด็จพระวันรัต กรรมการมหาเถรสมาคมเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารปฏิบัติหน้าที่ ประธานที่ประชุมมหาเถรสมาคม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำเรียนถวาย ข้อหารือมหาเถรสมาคม เกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแล
และ กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินงานร่วมกับมหาเถรสมาคมในการทำนุบำรุงศาสนาทุกด้าน ในส่วนของคณะสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย แต่อยู่ในระหว่างการหารือมาตรการเยียวยา ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมและการให้ความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกิจการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เป็นธรรมในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุม มส. ขอให้พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้หลัก "รู้รัก สามัคคี" ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับในวิถีชีวิตของกันและกัน เพื่อการอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
สำหรับกรณีที่พบว่ามีพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าเป็นเรื่องของคณะที่จะพอจารณาดำเนินการปกครองและการโทษทางพระวินัยให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง และมติที่มหาเถรสมาคมกำหนด
-----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38477 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ประชุมพิจารณาแผนปฏิบัติงานบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
ปลัดเกษตรฯ ประชุมพิจารณาแผนปฏิบัติงานบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
ปลัดเกษตรฯ ประชุมพิจารณาแผนปฏิบัติงานบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รุดหน้าดำเนินโครงการฯ ตามแผนงานภายใต้สถานการณ์ COVID-19
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมดังกล่าวฯ เป็นการหารือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาแผนปฏิบัติงานโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ซึ่งได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ฯ โดยเห็นควรปรับลดกรอบวงเงินของโครงการจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 วงเงิน 9,805.7075 ล้านบาท เป็น 3,550.9175 ล้านบาท และปรับเป้าหมาย เกษตรกร 32,000 ราย และจ้างงานระดับตําบล 16,000 ราย และขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 เป็นธันวาคม 2564 พร้อมทั้งเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแลหน่วยงานรับผิดชอบ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ฯ อย่างเคร่งครัด และจะมีการเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมโดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ (5 ประสาน สืบสาน เกษตรทฤษฎีใหม่) ที่ขาดแหล่งน้ำหรือมีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตรเข้าร่วมโครงการฯ ได้
สำหรับ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 บรรเทาปัญหาการว่างงาน ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคการเกษตรกรรมไปสู่ภาคอื่น ๆ และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่นในการเป็นแหล่งผลิตอาหาร ทั้งนี้ ผลการรับสมัครเกษตรกรและแรงงานที่เข้าร่วมโครงการ ฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 5 มกราคม 2564) มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 33,544 ราย ผ่านการคัดเลือก 20,583 ราย โดยจะเปิดรับสมัครเกษตรกรรอบใหม่เพื่อให้ครบตามเป้าหมายโครงการ และสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38462 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะนักลงทุนจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์ ลดเสี่ยง เลี่ยงโควิด | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
กรุงไทยแนะนักลงทุนจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์ ลดเสี่ยง เลี่ยงโควิด
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ธนาคารแนะนำนักลงทุนจองซื้อหุ้นกู้หุ้นสามัญ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือหลักทรัพย์อื่นๆ ผ่านบริการ Money Connect by Krungthai
ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ธนาคารได้แนะนำและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า นักลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้หุ้นสามัญ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือ หลักทรัพย์อื่นๆ สามารถลงทุนได้ผ่านบริการ Money Connect by Krungthai ซึ่งเป็นระบบจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์ ที่ช่วยให้ทุกการลงทุนเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ง่าย และประหยัดเวลาในการเดินทาง โดยลูกค้าของธนาคารสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT หรือเว็บไซต์ https://moneyconnect.krungthai.com/ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา
ผู้ที่สนใจลงทุนสามารถเตรียมความพร้อมก่อนการลงทุนได้ โดยผู้ลงทุนที่ยังไม่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงไทย ติดต่อใช้บริการได้ทุกสาขาทั่วประเทศ สำหรับลูกค้านักลงทุนที่มีบัญชี KTB netbank และ Krungthai NEXT สามารถ Log in เข้าไปจองซื้อด้วย Username และ Password ซึ่งหากลืม Password สามารถ Reset Password ได้ด้วยตนเองที่หน้า Log in ของ Money Connect by Krungthai โดยการยืนยันตัวตนด้วย เลขที่บัตรประชาชน เลขที่บัตร ATM รหัสบัตร ATM ก็สามารถรับ Username และ Password เพื่อเข้าจองซื้อได้ทันที
ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทุนสามารถจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านช่องทางออนไลน์ และชำระเงินโดยการตัดบัญชีผ่านทาง Money Connect by Krungthai ได้ทันที เพื่อความสะดวก ปลอดภัยในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และเลี่ยงการสัมผัสเงินสด สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111
ทีม Marketing Strategy
โทร.0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38463 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 ด้วยความรอบคอบ มั่นใจประชาชนไทยต้องได้รับวัคซีนที่ปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานสากล | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
โฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 ด้วยความรอบคอบ มั่นใจประชาชนไทยต้องได้รับวัคซีนที่ปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานสากล
โฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 ด้วยความรอบคอบ มั่นใจประชาชนไทยต้องได้รับวัคซีนที่ปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานสากล
วันนี้ (20 ม.ค. 64) เวลา 14.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโครงการ “เราชนะ” ที่โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ประมาณ 210,200 ล้านบาท มุ่งเน้นเยียวยาประชาชนกลุ่มเปราะบางจำนวน 31.1 ล้านคน เน้นช่วยเหลือประชาชนควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนการให้เงินสด กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายโดยเฉพาะร้านค้าหาบเร่/แผงลอย ตลาดสด ซึ่งในอนาคตจะมีการพิจารณามาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมภายใต้งบประมาณที่มีอยู่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 3 เป็นต้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยทั้ง 66 ล้านคน โดยกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันกลั่นกรองมาตรการช่วยเหลือกลุ่มต่าง ๆ ตามความเหมาะสม อาทิ สำนักงานประกันสังคม มีมาตรการลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตน และมาตรการช่วยเหลือกลุ่มที่อยู่ในผู้ประกันตน มาตรา 33 รวมถึงผู้ถูกเลิกจ้างเนื่องจากสถานประกอบการปิดตัวลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐและธนาคารพาณิชย์ ออกมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาว สำหรับผู้ประกอบการรวมถึงพี่น้องประชาชน รวมถึงมาตรการค้ำประกันเงินกู้เพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วยเช่นกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลรับทราบความเดือดร้อนจากการปิดกิจการ/กิจกรรม ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อลดลง ก็จะปลดล็อก ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขประจำจังหวัด และศบค. จะประชุมประเมินเพื่อบริหารสถานการณ์ทั้งสาธารณสุขและเศรษฐกิจให้มีความสมดุลกัน
ในโอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในขณะนี้โดยยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่นำการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจด้านสาธารณสุข การดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2563 มีคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติประกอบไปด้วย บุคลากรทางแพทย์ สาธารณสุข ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวข้องกับวัคซีน ร่วมกันประเมินสถานการณ์ ทั้งการสั่งจองซื้อวัคซีนโควิด-19 จากบริษัทที่มีความสามารถในการวิจัยพัฒนาที่เป็นไปด้วยความถูกต้องตามหลักเกณฑ์สากลเป็นที่น่าเชื่อถือ ทำสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ทั้งนี้ ประชากรในประเทศไทยทั้งหมด 66 ล้านคน จะได้รับการฉีดวัคซีนคนละ 2 โดส จะมีวัคซีนประมาณ 130 กว่าล้านโดส ซึ่งบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ถูกเลือกจาก AstraZeneca ให้เป็นผู้ผลิตวัคซีน เนื่องจากมีความเหมาะสมและมีความพร้อมจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสามารถผลิตวัคซีนได้ถึง 200 ล้านโดสต่อปี เพียงพอแน่นอน เบื้องต้นได้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ได้ 70 ล้านโดส สำหรับประชากรประมาณ 35 ล้านคน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้คนไทยร้อยละ 50 ของประเทศ ได้รับวัคซีน มั่นใจว่าวัคซีนโควิด-19 ที่นำมาฉีดให้แก่ประชาชนนั้นต้องเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ ไม่เกิดผลข้างเคียงอันตราย
ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังย้ำว่า รัฐบาลที่เตรียมความพร้อมในการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเน้นจัดทำงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2565 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อดำเนินนโยบายต่าง ๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดูแลพี่น้องประชาชนให้ผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปและเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ New Normal นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพอนามัยแล้ว รัฐบาลจะต้องดูแลพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38469 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยฟรีค่าธรรมเนียม Krungthai e-Withholding Tax Plus ถึงสิ้นปี 65 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
กรุงไทยฟรีค่าธรรมเนียม Krungthai e-Withholding Tax Plus ถึงสิ้นปี 65
กรุงไทยขานรับนโยบายภาครัฐ หนุนใช้ระบบหักภาษี ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งลดอัตราภาษีเหลือ 2% เปิดฟรีค่าธรรมเนียมบริการ Krungthai e-Withholding Tax Plus ถึงสิ้นปี 65
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Withholding Tax โดยลดอัตราภาษีหัก ณ ที่มีอัตรา 5% และ 3% เหลือ 2% สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายจากการลงทุน และการใช้บริการระบบ e-Withholding Tax หรือระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) มาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 นั้น
ธนาคารกรุงไทย พร้อมดำเนินงานตามนโยบายภาครัฐ เปิดให้บริการ Krungthai e-Withholding Tax Plus ซึ่งเป็นบริการใหม่ของธนาคารภายใต้ความร่วมมือกับกรมสรรพากร โดยเป็นตัวแทนในการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งข้อมูลการหักภาษี ณ ที่จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังกรมสรรพากร โดยที่ผู้ประกอบการไม่ต้องออกและจัดส่งหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ไปยังคู่ค้า พร้อมสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ ด้วยระบบข้อความแจ้งเตือนยืนยันการหักเงินและการนำส่งข้อมูล อีกทั้งยังสามารถเรียกดูรายงานการนำส่งข้อมูล หรือดาวน์โหลดเอกสารหลักฐานการนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผ่านช่องทาง Krungthai Corporate online ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับผู้ประกอบการที่สมัครใช้บริการ Krungthai e-Withholding Tax Plus ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 มิถุนายน 2564 ฟรีค่าธรรมเนียมการจัดการข้อมูลและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตั้งแต่วันที่สมัคร จนถึง 31 ธันวาคม 2565 สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการ ได้ที่ตัวแทนธนาคารผู้ดูแลลูกค้า หรือติดต่อผ่านทางช่องทางธุรกิจ Krungthai Corporate Call Center 02-111-9999 อีเมล [email protected]
ทีม Marketing Strategy / โทร 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38464 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวาระครบรอบ ๑๕๑ ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวาระครบรอบ ๑๕๑ ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ
รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวาระครบรอบ ๑๕๑ ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น.นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวาระครบรอบ ๑๕๑ ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ โดยมีพระเทพวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธี ณ ศาลาอุรุพงศ์ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38472 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เพื่อสรุปความคืบหน้าผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นไปตามนโยบายและมติการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมและรายงานผลงานดำเนินงานตามนโยบายหลักของรัฐบาล โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38453 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า เพิ่ม 3 เมือง | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า เพิ่ม 3 เมือง
...
เรื่องดี ๆ ที่ชวนส่งต่อความภาคภูมิใจ
เมื่อที่ประชุม คกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
เห็นชอบประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าเพิ่มเติม 3 เมือง ได้แก่
เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
โดยมีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณสำคัญของเมืองเก่าแต่ละเมือง
.
“เมืองเก่าอุทัยธานี”
วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) เขาสะแกกรัง
ย่านชุมชนตรอกยาจีน และชุนชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง
.
“เมืองเก่าตรัง”
บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง วิหารคริสตจักรตรัง
อาคารสโมสรข้าราชการ หอนาฬิกาจังหวัดตรัง
สถานีรถไฟตรัง และตึกแถวย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง
.
“เมืองเก่าฉะเชิงเทรา”
ป้อมและกำแพงเมืองฉะเชิงเทราบริเวณริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง
วัดโสธรวรารามวรวิหาร ศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา
ตำหนักกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์
อนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร อาคารไม้สัก 100 ปี
และย่านการค้าตลาดสดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จ.ฉะเชิงเทรา
.
ปัจจุบันมีการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าแล้ว 36 เมือง
ซึ่งการประกาศนี้ จะเป็นกลไกสำคัญ
เพื่อให้บริเวณเมืองเก่าได้รับการคุ้มครองดูแล
พัฒนาพื้นที่ให้สอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน
ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ คงคุณค่าเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เผยผลสำรวจ : ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ และเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ในระดับมาก-มากที่สุด | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
เผยผลสำรวจ : ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ และเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ในระดับมาก-มากที่สุด
เผยผลสำรวจ : ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจและเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในระดับมาก-มากที่สุด
วันที่ 20 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศในระดับมากถึงมากที่สุดที่ ร้อยละ 45.5 และประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในระดับมากถึงมากที่สุดที่ ร้อยละ 47.2 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 46,600 คน ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2563
ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564 ได้แก่
-ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาลในปี 2564 ใน 5 อันดับแรก คือ ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา (ร้อยละ 79.4) เพิ่มมาตรการ/สวัสดิการต่าง ๆ เช่น โครงการคนละครึ่ง เบี้ยยังชีพคนชรา (ร้อยละ 27.1) แก้ปัญหาด้านการเกษตร เช่น จัดหาตลาดรองรับผลผลิต แก้ปัญหาราคาพืชตกต่ำ (ร้อยละ 19.7) แก้ปัญหาการว่างงาน (ร้อยละ 15.1) ชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 (ร้อยละ 12.9)
-ความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับในปี 2563 ใน 5 อันดับแรกของ คือ ค่าครองชีพสูง เช่น สินค้าอุปโภค บริโภค ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (ร้อยละ 75.2) ปัญหาจากการทำการเกษตร เช่น ต้นทุนสูง ผลผลิตราคาตกต่ำ (ร้อยละ 40.4) ไม่มีเงินทุนในการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 27.8) รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย / รายได้ลดลง (ร้อยละ 19.8) และหนี้สินในระบบ/นอกระบบ (ร้อยละ 15.0)
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 17 มิถุนายน 2545 ที่ให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความต้องการของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมสะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการที่จะให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งจะเป็นข้อมูลให้รัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น นำไปเป็นแนวทางในการติดตาม วางแผนกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38458 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมชง ครม. อนุมัติเงินชดเชยค่าทดแทนที่ดินโครงการฝายหัวนา จ.ศรีสะเกษ รมว.เฉลิมชัย มุ่งจบปัญหาภายใน ปี 2564 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมชง ครม. อนุมัติเงินชดเชยค่าทดแทนที่ดินโครงการฝายหัวนา จ.ศรีสะเกษ รมว.เฉลิมชัย มุ่งจบปัญหาภายใน ปี 2564
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมชง ครม. อนุมัติเงินชดเชยค่าทดแทนที่ดินโครงการฝายหัวนา จ.ศรีสะเกษ รมว.เฉลิมชัย มุ่งจบปัญหาภายใน ปี 2564
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ครั้งที่ 2 / 2564 ณ ห้องประชุม สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (กรรมการในส่วนกลาง) และผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปยังห้องประชุมโครงการชลประทานศรีสะเกษ (กรรมการ ในส่วนภูมิภาค และผู้แทนกลุ่มราษฎร) ว่า การสร้างฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐและประชาชนมาเป็นระยะเวลานาน ดร.เฉลิมชัย มีความเป็นห่วงในความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้สั่งการให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาจังหวัดศรีสะเกษขึ้น และได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนถึงการประชุมวันนี้ ได้ข้อสรุปสำคัญในการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้กับราษฎรเจ้าของที่ดินทั้งในส่วนที่มีเอกสารสิทธิ์ และไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วที่สุด
“สำหรับการประชุมในวันนี้ มีการพิจารณามติเห็นชอบเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. การพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชย กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ จำนวน 82 แปลง เนื้อที่ 422 – 1 – 15 ไร่ โดยจะจ่ายไร่ละ 125,000 บาท รวมเป็นเงิน 52,785,937.50 บาท 2. การพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชย กรณีที่ดินบริเวณหัวงาน (ไม่มีเอกสารสิทธิ์) จำนวน 22 แปลง เนื้อที่ 206 – 2 – 02 ไร่ โดยจะจ่ายไร่ละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 9,292,725 บาท 3.การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชย โดยจะมีผู้แทนของกลุ่มต่าง ๆ ร่วมเป็นกรรมการ ให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยให้ถูกต้องตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ จำนวนเนื้อที่ และจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อเป็นการเยี่ยวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทมาอย่างยาวนาน กระทรวงเกษตรฯ จะนำมติการประชุมในวันนี้ เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด” นายธนากล่าว
นอกจากนี้ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ยังได้มีมติเห็นชอบการพิจารณาวาระเพิ่มเติม ในส่วนของการยกเว้นค่าธรรมเนียม ภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นรายละเอียดการดำเนินงานของกรมที่ดิน ให้กับราษฎรเจ้าของที่ดินทั้งในส่วนที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย สำหรับกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิสมบูรณ์อยู่แล้ว เมื่อนำเสนอสู่คณะกรรมการฯ ต้องผ่านขั้นตอนของการคัดค้านความถูกต้องในบรรดาทายาทของเจ้าของที่ดินเองก็สามารถมีสิทธิคัดค้านภายในระยะเวลา 30 วัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38465 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบแอลกอฮอล์ออแกนิค จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งต่อให้กลุ่มเป้าหมาย ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
พม. รับมอบแอลกอฮอล์ออแกนิค จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งต่อให้กลุ่มเป้าหมาย ใช้ป้องกันโรคโควิด-19
พม. รับมอบแอลกอฮอล์ออแกนิค จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งต่อให้กลุ่มเป้าหมายใช้ป้องกันโรคโควิด-19
วันนี้ (20 ม.ค. 64) เวลา 11.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีรับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ออแกนิค 75 % ชนิดน้ำ ขนาด 3.8 ลิตร จำนวน 1,008 แกลลอน จากผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทน บริษัท มะหาคัท จำกัด เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนในชุมชนต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
นางพัชรี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในรอบที่ 2 ของประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้บูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ออแกนิค 75 % ชนิดน้ำ ขนาด 3.8 ลิตร จำนวน 1,008 แกลลอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทมะหาคัท จำกัด (การรวมตัวของอาจารย์ช่างตัดผมมืออาชีพบริการตัดผมแบบ Delivery ผ่าน Application MAHACUT) มามอบให้กระทรวง พม. เพื่อนำไปส่งมอบให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในชุมชนต่างๆ
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติและบริษัทมะหาคัท จำกัด ที่มีความห่วงใยประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ออแกนิค โดยกระทรวง พม. จะนำไปส่งมอบให้ถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในชุมชนต่างๆ โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ขอเชิญชวนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 02-659-6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง อีกทั้ง หากประชาชนพบเห็นการรวมกลุ่มกันเพื่อกระทำการที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน โทร. 191 และ 1599 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38467 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ขยายระยะเวลา “มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต” | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
EXIM BANK ขยายระยะเวลา “มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต”
ในปี 2563 ที่ผ่านมา EXIM BANK ได้ออกมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยอัตราพิเศษแก่ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ระยะเวลาการขออนุมัติสินเชื่อสิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2563
EXIM BANK ขยายระยะเวลา “มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต”
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา EXIM BANK ได้ออกมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยอัตราพิเศษแก่ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ระยะเวลาการขออนุมัติสินเชื่อสิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2563 วงเงินอนุมัติแล้วมีจำนวนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม EXIM BANK จึงขานรับนโยบายจากภาครัฐ ขยายระยะเวลาขออนุมัติ “มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตลอดจนการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นวงเงินกู้ระยะยาว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก รวมถึงผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 2% ระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 7 ปี รวมระยะเวลา Grace Period 1 ปี สามารถใช้หนังสือค้ำประกัน บสย. เป็นหลักประกันร่วมกับบุคคลค้ำประกันได้ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. 4 ปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม Front-end Fee แถมวงเงิน Forward Contract 1.5 เท่าของวงเงินสินเชื่อ โดยขยายระยะเวลาให้บริการตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 มิถุนายน 2564
“การขยายระยะเวลาให้บริการมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจมาตรการของ EXIM BANK เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 เพิ่มเติมจากมาตรการพักชำระหนี้ เงินต้น-ดอกเบี้ย ในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง และมาตรการฟื้นฟูกิจการลูกค้าที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากผลกระทบของโควิด-19 เพื่อช่วยให้ลูกค้าและผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถดำเนินกิจการและเติบโตต่อไปได้ ขณะที่ธนาคารจะพิจารณาผ่อนผันและประคับประคองให้ลูกค้าที่มีปัญหาสภาพคล่องสามารถยืดระยะเวลาคืนหนี้หรือได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ชะลอการเกิดหนี้ NPLs ในระบบธนาคาร และขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจและภาคการส่งออกของไทยยังสามารถขยายตัวได้ พร้อมรับโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Extends “Investment and Production Efficiency Enhancement Credit” Scheme
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), referred to EXIM Thailand’s launch of an Investment and Production Efficiency Enhancement Credit Scheme in 2020, which offered a credit facility with a special interest rate to entrepreneurs in all industrial sectors. The scheme expired in December 2020, with more than 3,000 million baht in credit lines approved as of the end of 2020. However, due to the new wave of COVID-19 pandemic which has directly and indirectly ravaged Thai economy, EXIM Thailand has responded to the government policy by extending the availability period of the Scheme to relieve entrepreneurs’ hardship so that they can carry on their business operations and to prevent any potential economic risks.
The Investment and Production Efficiency Enhancement Credit Scheme offers a long-term credit facility to assist entrepreneurs in export-related businesses and importers of machinery and equipment for national development in their access to financial sources or improvement of machinery and equipment or modification of factories with a view to reduction of cost and uplifting production efficiency, with credit line of up to 100 million baht per entrepreneur, special interest rate of 2% per annum in the first 2 years, and a maximum tenor of 7 years including a grace period of 1 year. The credit facility can be secured by a letter of guarantee from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) together with a personal guarantee. Free! TCG guarantee fee for 4 years and front-end fee, in conjunction with granting of forward contract in the amount of 1.5 times that of credit facility. Extended availability period of the scheme will be from today until June 30, 2021.
“The extension of the Investment and Production Efficiency Enhancement Credit Scheme is part of EXIM Thailand’s packages to assist our clients and entrepreneurs in export-related businesses amid the virus spreading, which is in addition to the principal-interest debt suspension scheme for clients in the red, orange and yellow zones as well as the post-COVID-19 business rehabilitation packages for clients affected by the pandemic. This aims to support and enable our clients and entrepreneurs with potential to continue their business operations and keep growing. Meanwhile, the Bank will relax conditions for and take care of clients who have been in lack of liquidity so that they are allowed to extend the repayment period or undergo debt restructuring. This should help slow down NPL incurrence in the banking industry and drive expansion of Thai export and economy gearing up for global economic recovery that will come with fresh business opportunities,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ผ่านร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เตรียมเสนอรัฐสภาต่อไป | วันพุธที่ 20 มกราคม 2564
ครม. ผ่านร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เตรียมเสนอรัฐสภาต่อไป
ครม. ผ่านร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เตรียมเสนอรัฐสภาต่อไป
วันที่ 20 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วและให้เสนอรัฐสภาต่อไป พร้อมกันให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปยังคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประสานการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการของรัฐสภาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ และการพิจารณาบำเหน็จความชอบให้มีหลักการที่ชัดเจน โดยได้เพิ่มบทเฉพาะกาลไว้ในร่างมาตรา 116 วรรคท้าย เพื่อเร่งรัดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กำหนดการประเมินความพึงพอใจในการบริการประชาชนให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้านกระบวนการยุติธรรม ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจและภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้าย และการพิจารณาบำเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน โดยพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
พร้อมกันนี้คณะรัฐมนตรียังเห็นควรให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนที่มีมติเห็นควรให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางอาญาตามร่างพระราชบัญญัตินี้แล้ว โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดให้นำเงินกองทุนไปใช้จ่ายได้เฉพาะในส่วนที่มีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่อาจใช้จากเงินงบประมาณได้ กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการนำเงินค่าปรับส่งเข้ากองทุน และการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินประจำปีของกองทุน ไปยังคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประสานการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38457 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณให้ดำเนินการจ่ายชดเชย | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณให้ดำเนินการจ่ายชดเชย
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณให้ดำเนินการจ่ายชดเชยแก่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณให้ดำเนินการจ่ายชดเชยแก่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้จ่ายค่าชดเชยพื้นที่ที่ได้รับกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด โดยพิจารณาจาก 1) ผลการพิจารณาเห็นชอบการพิจารณาอุทธรณ์การทำประโยชน์ในลักษณะท้องถิ่นที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ตามหลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล และ 2) ผลการพิจารณาเห็นชอบการพิจารณาอุทธรณ์การทำประโยชน์ในลักษณะท้องถิ่นถูกต้องตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ประกอบผลการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลกับคณะทำงานพิจารณาคำร้องคัดค้านประกาศอำเภอ (ระดับอุทธรณ์) ทั้ง 3 จังหวัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล
ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการราษีไศลดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จะดำเนินการชดเชยจากกรอบงบประมาณเหลือจ่าย ซึ่งจะดำเนินการหลังตรวจสอบพิสูจน์สิทธิการครอบครองและทำประโยชน์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนแล้วต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตบุกจับบุหรี่เถื่อนรายใหญ่ ในเขตพื้นที่หัวหิน คิดเป็นเงินค่าปรับกว่า 169 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
สรรพสามิตบุกจับบุหรี่เถื่อนรายใหญ่ ในเขตพื้นที่หัวหิน คิดเป็นเงินค่าปรับกว่า 169 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต บุกทลายสถานที่เก็บบุหรี่เถื่อนในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์พบบุหรี่เถื่อนของกลาง จำนวน 201,200 ซอง จำนวนมูลค่าของกลาง 16,096,000 บาท
กรมสรรพสามิตดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต บุกทลายสถานที่เก็บบุหรี่เถื่อนในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์พบบุหรี่เถื่อนของกลาง จำนวน 201,200 ซอง จำนวนมูลค่าของกลาง 16,096,000 บาท จำนวนมูลค่าภาษีที่รัฐเสียหาย 11,267,200 บาท และคิดเป็นเงินค่าปรับจำนวน 169,008,000 บาท
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม สั่งการไปยัง นายวิโรจน์รัตน์ แจ่มวรรณา ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปราม 1 บูรณาการร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 และสรรพสามิตพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ นำกำลังเจ้าหน้าที่สรรพสามิตบุกทลายสถานที่เก็บบุหรี่เถื่อนในเขตพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 จุด สืบเนื่องจากกรมสรรพสามิตได้รับแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตผ่านสายด่วน 1713 ผู้แจ้งให้ข้อมูลว่ามีผู้ใช้ Line เพื่อจำหน่ายบุหรี่หนีภาษี โดยใช้ไอดีไลน์ “@Jackkee” ซึ่งบุหรี่ดังกล่าว มีการลักลอบนำเข้ามาจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และจะนำบุหรี่ไปเก็บไว้ที่บ้านพัก เพื่อรอจำหน่ายให้แก่ลูกค้า จึงได้ดำเนินการสืบสวนหาข่าวทั้งจากทางออนไลน์ของศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ กรมสรรพสามิต และลงพื้นที่แกะรอยติดตามแหล่งที่ตั้งของสถานที่เก็บบุหรี่เถื่อน พร้อมทั้งวางแผนทลายสถานที่เก็บบุหรี่และจับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 2 จุด โดยตรวจค้นพบบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษี จำนวนทั้งสิ้น 201,200 ซอง มีมูลค่าของกลางประมาณ 16,096,000 บาท มูลค่าภาษีที่รัฐเสียหายประมาณ 11,267,200 บาท และคิดเป็นเงินค่าปรับจำนวน 169,008,000 บาท และ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. จุดที่ 1 ตรวจพบบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษีสรรพสามิต จำนวน 1,200 ซอง มูลค่าของกลางประมาณ 96,000 บาท มูลค่าภาษีประมาณ 67,200 บาท คิดเป็นค่าปรับประมาณ 1,008,00 บาท
2. จุดที่ 2 ตรวจพบบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษีสรรพสามิต จำนวน 200,000 ซอง (เป็นการขยายผลการจับกุมจากจุดที่ 1 มูลค่าของกลางประมาณ 16,000,000 บาท มูลค่าภาษี ประมาณ 11,200,000 บาท คิดเป็นค่าปรับ 168,000,000 บาท
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่า สำหรับผลการปราบปรามในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รอบ 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 –28 มกราคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 9,595 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 177.19 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 5,438 คดี ค่าปรับ 49.67 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 2,858 คดี ค่าปรับ 67.01 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 222 คดี ค่าปรับ 2.75 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 393 คดี ค่าปรับ 25.83 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 37 คดี ค่าปรับ 1.65 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 448 คดี ค่าปรับ จำนวน 11.80 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 199 คดี ค่าปรับ 18.48 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 254,065.641 ลิตร ยาสูบ จำนวน 215,736 ซอง ไพ่ จำนวน 15,940สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 771,866 ลิตร น้ำหอม จำนวน 82,416 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 648 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38726 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ทยอยมอบของขวัญปีใหม่จากใจกระทรวงแรงงาน นายจ้าง-ลูกจ้างแฮปปี้ได้อบรมฟรี ช่วยคลายทุกข์ช่วง COVID | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
กสร. ทยอยมอบของขวัญปีใหม่จากใจกระทรวงแรงงาน นายจ้าง-ลูกจ้างแฮปปี้ได้อบรมฟรี ช่วยคลายทุกข์ช่วง COVID
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ทยอยมอบของขวัญปีใหม่จากใจ ก.แรงงาน ภายใต้แคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” นายจ้าง-ลูกจ้างแฮปปี้ได้อบรมฟรี ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงวิกฤต COVID ทั้งยังได้ความรู้กลับไปพัฒนางานความปลอดภัยในสถานประกอบการ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “ความปลอดภัยในการทำงานที่อับอากาศ สำหรับผู้อนุญาต” รุ่นที่ 1 ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ผ่านระบบสัญญาณภาพทางไกล (Video Conference) ว่า การอบรมนี้เป็นหนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564 ของกระทรวงแรงงานที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความตั้งใจมอบเป็นของขวัญให้แก่ พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” โดยให้กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจัดฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้กับลูกจ้าง-นายจ้างทั่วประเทศ ฟรี โดยมุ่งหวังให้นำความรู้ไปพัฒนางานด้านความปลอดภัยในการทำงานเพื่อลดอัตราการประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยจากการทำงาน หรือไม่เกิดขึ้น
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมครั้งนี้เป็นการเสริมสร้างทักษะความรู้ในเรื่องความปลอดภัยในการทำงานที่อับอากาศ สำหรับผู้อนุญาต ซึ่งเป็นหลักสูตรหนึ่งที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศพ.ศ. 2562 สอดรับกับแนวคิดของกรม ที่มุ่งหวังพัฒนาคนให้มีความรู้มีสมรรถนะในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย รวมทั้งสร้างการรับรู้มาตรการเชิงป้องกันให้มีความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยฝึกอบรมที่ได้ขึ้นทะเบียนจากกรมในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างจัดอบรมให้ จำนวน 9 รุ่น ซึ่งจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่เป็นประโยชน์ สร้างความสุข เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงวิกฤติ COVID-19 ให้กับนายจ้าง-ลูกจ้างในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ การอบรมภายใต้แคมเปญ“ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” กรมจะทยอยจัดให้ครบตามเป้าหมาย 10,000 คน ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และให้มีหลักสูตรที่หลากหลายคำนึงถึงทักษะความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนางานด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการให้มากที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38713 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ “เราชนะ” บรรเทาภาระประชาชน | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
โครงการ “เราชนะ” บรรเทาภาระประชาชน
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติโครงการ “เราชนะ” บรรเทาภาระประชาชน ในวงเงินคนละไม่เกิน 3,500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ ม.ค. - ก.พ.64 โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ที่ใช้งานแอปพลิเคชั่นเป๋าตังอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยใช้งานแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ในวันที่ 29 ม.ค. – 12 ก.พ. 2564 ในช่วงเวลา 6.00 – 23.00 น. โดยวงเงินที่ได้รับจะสามารถใช้จ่ายได้ถึงเดือน พ.ค. 2564 ทั้งนี้ ผู้ที่จะได้รับสิทธิจะต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐ มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี และมีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาสัมพันธ์การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
ประชาสัมพันธ์การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ
ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.– 12 ก.พ.2564 จะเปิดรับลงทะเบียนออนไลน์สำหรับประชาชนที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการเราชนะว่า ในระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2564 จะมีการเปิดรับลงทะเบียนออนไลน์สำหรับกลุ่มประชาชนที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน จะสามารถลงทะเบียนผ่านทาง www.เราชนะ.com เวลา 06.00 – 23.00 น. และสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันที่ไม่ได้ยืนยันตัวตนภายในวันที่ 27 มกราคม 2564 ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการเราชนะ จะต้องดำเนินการลงทะเบียนออนไลน์ตามรายละเอียดที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยประชาชนทั้ง 2 กลุ่มข้างต้นที่ผ่านการคัดกรองและตรวจสอบสิทธิ์จะสามารถทยอยได้รับวงเงินสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป และจะได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดีจนครบวงเงินสิทธิ์
สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันที่ยืนยันตัวตนสำเร็จภายในวันที่ 27 มกราคม 2564 ไม่ต้องลงทะเบียนออนไลน์ เนื่องจากข้อมูลของท่านจะถูกนำไปคัดกรองและตรวจสอบเพื่อพิจารณาสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการเราชนะโดยอัตโนมัติ โดยสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป และจะสามารถแสดงความประสงค์เพื่อรับวงเงินสิทธิ์ได้ ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 โดยท่านจะได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดีจนครบวงเงินสิทธิ์
สำหรับกลุ่มประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ต้องลงทะเบียนออนไลน์ เนื่องจากท่านจะได้รับวงเงินสิทธิ์อัตโนมัติ โดยจะได้รับวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 และจะทยอยได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมเป็นรายสัปดาห์ทุกวันศุกร์จนครบวงเงินสิทธิ์
ทั้งนี้ โครงการเราชนะไม่ได้จำกัดจำนวนผู้ได้รับวงเงินสิทธิ์ ท่านสามารถลงทะเบียนผ่านทาง www.เราชนะ.com ได้ตลอดระยะเวลาและช่วงเวลาที่เปิดรับลงทะเบียนออนไลน์
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38704 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนธันวาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนธันวาคม 2563
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 917 ราย ใน 74 จังหวัด
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 917 ราย ใน 74 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (543 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (147 ราย) ภาคเหนือ (115 ราย) ภาคตะวันออก (64 ราย) และภาคใต้ (48 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 387,706 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 9,538.59 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 24,602.64 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 870 ราย ใน 74 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 807 ราย ใน 74 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 1 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี) โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (71 ราย) กรุงเทพมหานคร (61 ราย) และขอนแก่น (49 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 136 ราย ใน 45 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 110 ราย ใน 36 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (18 ราย) อุดรธานี (8 ราย) อุบลราชธานี (7 ราย) และกรุงเทพมหานคร (7 ราย)
(3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 172,974 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,878.96 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 24,745 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 576.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.87 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 28,092 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 645.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.65 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 8,289 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2563 จำนวน 542 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 0 2255 1898
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
• ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38734 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
การประชุมคณะทำงานกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ชั้น 6 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (29 มกราคม 2564) เวลา 10.00 น. นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 เพื่อพิจารณาโครงการที่จะขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2564 จากสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะทำงานกองทุนฯ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ชั้น 6 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38708 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปฏิบัติการอีคอมเมิร์ซแห่งชาติ ยกระดับการค้าออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564
ปฏิบัติการอีคอมเมิร์ซแห่งชาติ ยกระดับการค้าออนไลน์
วันศุกร์ที 29 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าแผนปฏิบัติการอีคอมเมิร์ซแห่งชาติ ปี 2564 – 2565 ขับเคลื่อนการค้าออนไลน์ซึ่งเหมาะกับวีถีชีวิตแบบ New Normal ด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ พัฒนาแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ พัฒนาสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเติบโตของการค้าออนไลน์ สร้างความเชื่อมั่นในธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้ใช้ประโยชน์จากธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยดำเนินการควบคู่กับการผลักดันการค้าออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปั้นเด็ก Gen Z to be CEO พัฒนาตลาดสดและร้านธงฟ้าขายสินค้าผ่านออนไลน์ สร้างยี่ปั้วออนไลน์ ดันสินค้า SME ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ 5.35 ล้านล้านบาท ภายในปี 2565
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38723 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.