title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตรปลัดกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38386
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือในบริบทด้านยุติธรรม
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือในบริบทด้านยุติธรรม รมว.ยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือในบริบทด้านยุติธรรม ในวันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องรับรอง ๓ - ๐๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะ ให้การต้อนรับ นายซัยยิด เรซา โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการร่วมกัน โดยติดตามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางอาญาในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งความประสงค์ที่จะพัฒนาความร่วมมือ ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกับฝ่ายไทย โดยการหารือข้อราชการระหว่างกันในครั้งนี้นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศไทยและอิหร่านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในบริบทด้านยุติธรรมให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค(TheAPEC Food Security Ministerial Meeting) ปี 65
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค(TheAPEC Food Security Ministerial Meeting) ปี 65 “รัฐมนตรีเกษตรฯ” ร่วมประชุมเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2565 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ.2565 ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายกรัฐมนตรีฯ (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นประธาน ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom Application) ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 135 ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งเอเปค ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง จีนไทเป เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี ชิลี เปรู เวียดนาม และรัสเซีย ทั้งนี้ ความร่วมมือในกรอบเอเปคเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและวิชาการกับสมาชิกเอเปคที่เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทย ทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ การประชุมกรอบความร่วมมือเอเปค (APEC) หรือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation) ในปี 2565 รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการประชุมที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยประจำปี 2565 แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1. ระดับนโยบาย ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านความมั่นคงอาหาร ซึ่งกำหนดจัดขึ้นทุก 2 ปี และ 2. ระดับปฏิบัติการ ได้แก่ กลไกคณะทำงานด้านการเกษตรภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเปค 5 คณะทำงาน ประกอบด้วย 2.1) หุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านความมั่นคงอาหาร (Policy Partnership on Food Security: PPFS) โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นหน่วยงานหลัก 2.2) คณะทํางานว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตร (Agricultural Technical Cooperation Working Group: ATCWG) โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นหน่วยงานหลัก 2.3) กรอบการหารือเชิงนโยบายระดับสูงว่าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตร (High Level Policy Dialogue on Agricultural Biotechnology: HLPDAB) โดยมีกรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานหลัก 2.4) คณะทํางานด้านมหาสมุทรและการประมง (Ocean and Fisheries Working Group: OFWG) โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลัก และกรมประมง เป็นหน่วยงานสนับสนุน และ 2.5) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานและการทําให้ได้มาตรฐาน กรอบความร่วมมือด้านความปลอดภัยอาหาร (Sub-Committee on Standards and Conformance: SCSC) - Food Safety Cooperation Forum (FSCF) โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลัก และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เป็นหน่วยงานสนับสนุน พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้องข้างต้น ประสานงานในการเตรียมการเป็นเจ้าการประจัดประชุมเอเปค ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีลงนามในคำสั่ง ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการระดับชาติฯ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นกรรมการและเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38395
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรปรับโฉม My Tax Account ผู้เสียภาษีสามารถตรวจเช็คข้อมูลค่าลดหย่อนบนระบบได้ด้วยตนเอง รวม 9 รายการ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 สรรพากรปรับโฉม My Tax Account ผู้เสียภาษีสามารถตรวจเช็คข้อมูลค่าลดหย่อนบนระบบได้ด้วยตนเอง รวม 9 รายการ กรมสรรพากรพัฒนาระบบ My Tax Account ใหม่ ช่วยให้ผู้เสียภาษีเข้าถึงข้อมูลและบริการบนอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ด้วยตนเองได้ถึง 9 รายการ ก่อนยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ตรวจสอบสถานะการขอคืนภาษี และการนำส่งเอกสารหลักฐานประกอบขอคืนภาษี กรมสรรพากรพัฒนาระบบ My Tax Account ใหม่ ช่วยให้ผู้เสียภาษีเข้าถึงข้อมูล และบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ด้วยตนเองได้ถึง 9 รายการ ก่อนยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ตรวจสอบสถานะการขอคืนภาษี และการนำส่งเอกสารหลักฐานประกอบการขอคืนภาษี พร้อมเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้เข้มขึ้น นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษี กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบ My Tax Account ให้เป็นช่องทางเข้าถึงข้อมูลและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียภาษีบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ระบบนี้ช่วยให้ผู้เสียภาษีตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ด้วยตนเองก่อนการยื่นแบบแสดงรายการ โดยได้เพิ่มข้อมูล ค่าลดหย่อนรวมเป็น 9 รายการ ประกอบด้วย เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เบี้ยประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ เงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation เงินสะสมกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เบี้ยประกันสุขภาพบิดา มารดา ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัย (กรณีกู้คนเดียว) และเงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รวมทั้งข้อมูลเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับข้าราชการ และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ได้รับจากกรมบัญชีกลาง ผู้เสียภาษีสามารถนำข้อมูลที่ปรากฏในระบบ My Tax Account ไปใช้ประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำ รวมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการขอคืนภาษี และการนำส่งเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาคืนภาษีได้อีกด้วย” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับข้อมูลที่แสดงบนระบบ My Tax Account เป็นข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับจากหน่วยงานภายนอกหากพบว่าไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ผู้เสียภาษีสามารถติดต่อ ไปยังหน่วยงานที่ส่งข้อมูลให้แก่กรมสรรพากรได้ ที่สำคัญกรมสรรพากรได้พัฒนาระบบการยืนยันตัวตน เพื่อยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มีความปลอดภัย ป้องกันการสวมรอยในการเข้าทำรายการ เพราะนอกจากการเข้าใช้งานโดยกรอก Username และ Password ของระบบ e-Filing พร้อมทั้งระบุ Laser ID หลังบัตรประจำตัวประชาชน (กรณีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย) แล้ว ยังมีการยืนยันตัวตนด้วยรหัส One Time Password (OTP) เพิ่มขึ้น เพื่อให้เจ้าของข้อมูลมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลมากยิ่งขึ้นด้วย” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพเอเปค 2565
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ไทยเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพเอเปค 2565 ไทยเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพเอเปค 2565 วันนี้ (18 มกราคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2565 ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงปลายปี และเป็นการประชุมแบบพบหน้ากันเต็มรูปแบบ (physical meeting) ครั้งแรกหลังจากปี 2561 ที่ปาปัวนิวกีนี (ปี 2562 ชิลีต้องยกเลิกการประชุมไปเนื่องจากเกิดเหตุการณ์จลาจลในประเทศ และปี 2563-2564 มาเลเซียและนิวซีแลนด์จัดการประชุมทางไกลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19) เพื่อความพร้อมนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านเป็นรองประธานกรรมการ พร้อมกรรมการจากกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศเป็นกรรมการและเลขานุการ รวมทั้งคณะอนุกรรมการอีก 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านสารัตถะ 2. ด้านพิธีการและอำนวยการ 3. ด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร และ 4. ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านสารัตถะ กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในกรอบเอเปค และกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการร่วมกันเพื่อพัฒนาหัวข้อหลัก (theme) ประเด็นสำคัญ (priorities) และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม (deliverables) เพื่อให้การเตรียมการด้านสารัตถะเป็นไปอย่างครอบคลุมรอบด้าน และเป็นประโยชน์ ซึ่งคาดว่าไทยจะผลักดัน 5 เรื่อง คือ การส่งเสริมการค้าการลงทุนอย่างเสรี การก้าวไปสู่สังคมดิจิทัล สุขภาวะ ความมั่นคงทางการทหารและการเกษตร การเจริญเติบโตอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และรับผิดชอบ ด้านพิธีการและอำนวยการ กระทรวงการต่างประเทศได้เริ่มดำเนินการสำรวจสถานที่จัดการประชุม ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยพิจารณาความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ อาทิ การรักษาความปลอดภัยและการจราจร ความพร้อมด้านสถานที่และอุปกรณ์ การบริหารจัดการสถานที่ รวมทั้งความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร ในช่วงเวลาที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 จะมีผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค คู่สมรส รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญ และภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมจำนวนมาก โดยแผนการรักษาความปลอดภัยและการจราจรจะยึดตามแนวปฏิบัติที่ได้ดำเนินการ ด้านประชาสัมพันธ์ วางแผนการประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ช่วงก่อนการจัดการประชุม ระหว่างการประชุม และหลังการประชุม โดยจะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อความเป็นเอกภาพได้ผลการสื่อสารในวงกว้าง ภายใต้แนวคิด “เข้าใจ เข้าถึง และมีส่วนร่วม” รวมทั้ง จะสร้างเครือข่ายกับภาคเอกชน เช่น บริษัทสื่อแนวใหม่ และดึงภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบกรอบการดำเนินงานเพื่อให้การจัดการประชุมฯ มีความพร้อมและประสบความสำเร็จโดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่บัดนี้จนถึงเดือนตุลาคม ปี 2565 นายกรัฐมนตรีย้ำให้ทุกหน่วยงานวางแผนการทำงานและบูรณาการกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคและจะใช้โอกาสนี้สร้างความมั่นใจต่อประชาคมโลกของไทย ในภาวะหลังโควิด-19 ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38401
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น วันนี้ (18 ม.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 64 มีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามมติฯ ดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยในพื้นที่จังหวัดชายแดน ให้เพิ่มความเข้มข้นในการจัดให้มีการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าไปในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด ด้วยการใช้กลไกทางปกครอง กลไกภาคประชาชน/ประชาสังคมที่มีอยู่ สำหรับในพื้นที่จังหวัดตอนใน ให้ตรวจตรา กำกับดูแลสถานประกอบการ รวมทั้งภาคเอกชน มิให้จ้างแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในห้วงเวลานี้ ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ดำเนินการตามมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติที่ประชุมฯ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38387
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้เสียหายคดีแชร์ Forex-๓D เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม ไม่ทิ้งคดี ด้าน รมว.ยุติธรรม ขอให้ผู้เสียหายที่ตกหล่นรีบเข้ามาแจ้งความ ให้ข้อมูลภายใน ๓ สัปดาห์ เพราะหากคดีสิ้นสุดแล้วและมีการเฉล
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ผู้เสียหายคดีแชร์ Forex-๓D เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม ไม่ทิ้งคดี ด้าน รมว.ยุติธรรม ขอให้ผู้เสียหายที่ตกหล่นรีบเข้ามาแจ้งความ ให้ข้อมูลภายใน ๓ สัปดาห์เพราะหากคดีสิ้นสุดแล้วและมีการเฉล ผู้เสียหายคดีแชร์ Forex-๓D เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม ไม่ทิ้งคดี ด้าน รมว.ยุติธรรม ขอให้ผู้เสียหายที่ตกหล่นรีบเข้ามาแจ้งความ ให้ข้อมูลภายใน ๓ สัปดาห์เพราะหากคดีสิ้นสุดแล้วและมีการเฉลี่ยทรัพย์คืน ในวันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมตัวแทนผู้เสียหายจากการหลอกลวงให้ร่วมลงทุนแชร์ Forex-๓D นำดอกไม้เข้าขอบคุณ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่สามารถจับกุม นายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้บริหารบริษัท FOREX-๓D ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีแชร์ลูกโซ่ FOREX หลังจากหลบหนีคดีเกือบ ๒ ปี พร้อมยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบบุคคลรอบข้างของนายอภิรักษ์ เพราะเกรงว่าจะมีการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลที่ ๓ เนื่องจากทรัพย์สินที่ถูกยึดมามีเพียง ๑,๑๐๐ ล้านบาท จากความเสียหายทั้งหมด กว่า ๒ พันล้านบาท นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า การจับกุมนายอภิรักษ์ ใช้เวลาในการติดตามตัวอยู่นาน เนื่องจากนายอภิรักษ์หลบหนีออกไปนอกประเทศ ก่อนที่จะลักลอบกลับเข้ามา จนสามารถจับกุมได้เมื่อ วันที่ ๑๕ มกราคม ที่ผ่านมา โดยขณะนี้มีผู้เสียหายกลุ่มแรก กว่า ๘ พันคน ทรัพย์สินกว่า ๒ พันล้านบาท เข้าสู่กระบวนการและให้ปากคำกับดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทราบว่ายังมีผู้เสียหายมากกว่านี้อีก จึงขอให้ผู้เสียหายที่ตกหล่นรีบเข้ามาแจ้งความ ให้ข้อมูลภายใน ๓ สัปดาห์ เพราะหากคดีสิ้นสุดแล้วและมีการเฉลี่ยทรัพย์คืนก็จะเกิดปัญหาไม่สามารถได้รับเงินคืนได้ ส่วนที่มีการยื่นให้เร่งรัดการตรวจสอบบุคคลรอบข้างของผู้ต้องหา จะเร่งดำเนินการ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใส และขณะนี้ นายอภิรักษ์ ถูกคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูล ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า สำนวนคดีแรกพนักงานอัยการได้ส่งสอบไปแล้วกว่า ๘ พันราย ซึ่งขณะนี้อัยการได้ส่งสำนวนกลับมาให้ดีเอสไอเป็นระยะเวลา ๓ สัปดาห์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติม พร้อมกันนี้จะใช้เวลาอีก ๔ เดือน ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและบัญชีทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ต้องใช้เวลานานเนื่องจากคาดว่าผู้ต้องหามีการโอนถ่ายทรัพย์สินไปในหลายรูปแบบ ซึ่งจะต้องสอบอย่างละเอียด หากบุคคลนั้นไม่สามารถตอบที่มาของทรัพย์สิน จะดำเนินการยึดทรัพย์ทันที ส่วนขณะนี้มีบุคคลสาธารณะ ดารา ที่มีชื่อเสียงอีก ๖ คน ที่ขณะนี้ยังอยู่ในฐานะผู้เสียหาย เข้ามาให้ปากคำเพิมเติ่ม นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ระบุว่า เหลือเพียงอีก ๓ สัปดาห์ที่ดีเอสไอ เพิ่มเวลาในการให้ผู้เสียหายในคดีนี้เข้ามาแจ้งความเพิ่มเติม จึงอยากให้ ดารา บุคคลสาธารณะ หรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเสียหายรีบเข้ามาแจ้งความ ทั้งนี้ นายอภิรักษ์ ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ใน ๓ คดี คือ คดีฉ้อโกงประชาชน พรบ. คอมพิวเตอร์ และฟอกเงิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. นำข้าราชการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ปลัดวธ. นำข้าราชการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตทั่วประเทศ ปลัดวธ. นำข้าราชการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้นำผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวนำแสดงเจตจำนงสุจริต และร่วมทำสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมโดยพร้อมเพรียงกัน มีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ร่วมประกาศเจตจำนงว่า จะน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือนมาเป็นหลักยึดในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยจะใฝ่หาความรู้ในการปฏิบัติงานทั้งความรู้ในหลักวิชาการ ความรู้ในการบริหารงานตามภาระหน้าที่ และความรู้คิดวินิจฉัยที่ถูกต้องด้วยเหตุผล หลักวิชาและหลักธรรม พร้อมทั้งนำมาใช้ในการบริหาร ปฏิบัติงานของแผ่นดินให้สำเร็จตรงตามเป้าหมายด้วยความถูกต้องเป็นธรรม โปร่งใสและเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมทั้งไม่ให้และไม่รับของขวัญ ของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของราชอาณาจักรไทยสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยก 2 เกาะ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ยก 2 เกาะ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล ... หากจะพูดถึง จ.นครศรีธรรมราช และ จ.ปัตตานี หลายคนอาจจะนึกถึงวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของภาคใต้ แต่รู้หรือไม่ว่า? ทั้ง 2 จังหวัดก็มี “เกาะ” ที่สวยงาม . “เกาะกระ” ตั้งอยู่ใน อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่ที่มีแนวปะการังสวยงาม สภาพสมบูรณ์ เป็นแหล่งวางไข่ของเต่าตนุ และเต่ากระ สัตว์น้ำที่ต้องอนุรักษ์ เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ . “เกาะโลซิน” ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปัตตานี เป็นเกาะที่เล็กที่สุดในประเทศไทย มีภูเขาหินปูนอยู่ใต้น้ำ แต่มีส่วนที่โผล่พ้นน้ำเพียงเล็กน้อย มีแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ และยังเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญอีกด้วย . ดังนั้น เพื่อคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สงวนรักษาไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติเดิม ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของปะการัง และสัตว์ทะเลหายาก . รัฐบาลจึงได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวง กำหนดให้บริเวณหมู่เกาะกระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และบริเวณเกาะโลซิน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง . ห้ามทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ปล่อยน้ำเสีย สารแขวนลอย ตะกอนแขวนลอย ทำเหมืองแร่ในทะเล สำรวจ ขุด ถมทะเล ทิ้งสมอเรือ และให้ควบคุมเรือเข้าออก เป็นต้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38380
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม VDO Conference ร่วมกับจังหวัดสมุทรสาคร ติดตามการบริหารสถานการณ์โควิด-19 พร้อมดูแลแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติที่ไม่มีงานทำ ช่วงโควิด-19 ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีประชุม VDO Conference ร่วมกับจังหวัดสมุทรสาคร ติดตามการบริหารสถานการณ์โควิด-19 พร้อมดูแลแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติที่ไม่มีงานทำ ช่วงโควิด-19 ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีประชุม VDO Conference ร่วมกับจังหวัดสมุทรสาคร ติดตามการบริหารสถานการณ์โควิด-19 พร้อมดูแลแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติที่ไม่มีงานทำ ช่วงโควิด-19 ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่ตลาดกลางกุ้งเตรียมกลับมาเปิดอีกครั้ง 27 ม.ค. นี้ วันนี้ (18 มกราคม 2564) เวลา 10.30 น. ณ ห้องศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference กับจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา และรับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ อธิบดีกรมควบคุมโรคและปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมประชุมด้วย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครที่ทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความเสียสละ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังให้มากที่สุดเพราะยังพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่อยู่มาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็ระมัดระวังตนเองไม่ให้ป่วยโดยมีการตรวจหาเชื้อ covid19 อยู่เสมอ เพราะยังมีงานอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ขอยืนยันขณะนี้นายกรัฐมนตรีปลอดภัยไม่มีเชื้อ covid-19 โอกาสนี้ นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สรุปรายงานภาพรวมสถานการณ์ covid-19 ของจังหวัดสมุทรสาครว่า นับตั้งแต่การพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกที่ตลาดกลางกุ้ง 1 ราย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 และพบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนมากจนมีคำสั่งล็อคดาวน์ ตลาดกลางกุ้ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 ถึงปัจจุบันนี้พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,679 ราย ประกอบด้วยทั้งคนไทยและต่างด้าว รักษาหายป่วยจำนวน 3,059 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 1,619 ราย เสียชีวิต 1 ราย สำหรับโรงพยาบาลสนาม หรือศูนย์ห่วงใยคนสาคร มีทั้งหมด 9 แห่ง มีเตียงรองรับ 3,620 เตียง พร้อมใช้งาน 5 แห่ง จำนวน 1,560 เตียง และใช้งานแล้ว 556 เตียง ยังคงเหลือที่สามารถใช้งานได้อีก 1,004 เตียง และยังมีโรงพยาบาลสนามเตรียมพร้อมอีก 4 แห่ง จำนวน 2,060 เตียงยืนยันมีโรงพยาบาลและเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในพื้นที่จัดตั้งศูนย์ห่วงใยแรงงานสาคร Factory Quarantine มีทั้งหมด 15 แห่งด้วย ซึ่งพร้อมดูแลแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติในพื้นที่ สำหรับในพื้นที่ตลาดกลางกุ้งมีแรงงานต่างชาติอาศัยอยู่2,847 ราย ได้มีการกักกันแยกไว้ที่โรงพยาบาลสนาม 1,547 ราย ซึ่งมีผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ด้วย ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถแพร่เชื้อ ในวันที่ 22 ม.ค. 64 จะตรวจเพิ่มเติมอีกครั้งหากพบผู้ติดเชื้อจะทำการคัดแยกมาที่โรงพยาบาลสนาม รวมทั้งมีกำหนดทำ Big Cleaning Day ในวันที่ 26 ม.ค. 64 เพื่อให้ตลาดกลางกุ้งจะกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค. 64 สำหรับการจัดตั้งจุดคัดกรองทางบกและทางน้ำ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีพร้อมกำชับประชาชนให้ใช้แอปพลิเคชันหมอชนะและไทยชนะ เพื่อบันทึกการเดินทาง ขณะเดียวกันจังหวัดสมุทรสาครยังคงใช้มาตรการปิดสถานที่เสี่ยงในหลายๆ แห่ง ยกเว้นสถานที่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น ร้านค้าปลีก โดยไม่ให้กระทบต่อการจ้างงานแต่ยังอยู่ภายใต้มาตรการของ ศบค. ทั้งนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของจ. สมุทรสาคร ได้รับการสนับสนุนทั้งจากทางภาครัฐและเอกชน รวมทั้งได้เสริมในส่วนของล่าม ยานพาหนะ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องดื่ม อาหาร แอลกอฮอล์ อีกทั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลพันท้ายนรสิงห์ ยังให้ใช้พื้นที่ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม จำนวน 1,000 เตียงด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า มีความห่วงใยและได้สั่งการให้กองทัพช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แสดงความเป็นห่วงทั้งแรงงานต่างชาติและแรงงานไทยที่ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ในช่วงนี้ ขอให้จังหวัดประสานกับกระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบตัวเลขแรงงานต่างชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและที่ไม่ถูกกฎหมาย เพื่อจะได้ทราบตัวเลขที่แท้จริง รวมทั้งฝากจังหวัดและภาคเอกชนช่วยดูแลแรงงานเท่าที่จะทำได้ เช่น คงการจ้างงาน เพื่อให้ยังอยู่ได้โดยไม่ต้องออกจากพื้นที่ ลดความเสี่ยงการกระจายเชื้อไปพื้นที่อื่น สำหรับการเปิดตลาดกลางกุ้งในครั้งนี้ ต้องมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะจะต้องคัดกรองคนในพื้นที่ ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ขนส่ง รวมไปถึงชาวประมงที่นำเรือขึ้นฝั่งด้วย เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ให้เกิดการแพร่เชื้ออีก รวมทั้งอาจจัดตั้งให้มีตลาดกลางซื้อ-ขายสินค้าเพิ่มเติม เพื่อให้สินค้าอาหารทะเลสามารถกระจายไปได้มากขึ้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวในช่วงท้าย ขอให้ช่วยกันรณรงค์สวมใส่หน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า บันทึกการเดินทางผ่านแอพลิเคชันป้องกันโควิด-19 มั่นใจว่า มีการผลิตหน้ากากออกมาเพียงพอเนื่องจากมีการส่งเสริมให้พื้นที่ท้องถิ่น ชุมชน ช่วยกันผลิตหน้ากากผ้าเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน พร้อมฝากไปยังหน่วยงานชี้แจงประชาสัมพันธ์ อาการบ่งชี้ของโควิด-19 คือ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส นอกเหนือจากจะมีไข้ เจ็บคอ เพื่อลดความกังวลของประชาชน รวมทั้งขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมวัคซีนโควิด-19 ซึ่งรออนุมัติจากองค์การอาหารและยาทั้งจากประเทศต้นทางและปลายทาง และอยู่ในการบริหารของสถาบันวัคซีน ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยทุกคน ......................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ปี พ.ศ. 2565
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 พม. ร่วมประชุมเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ปี พ.ศ. 2565 พม. ร่วมประชุมเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ปี พ.ศ. 2565 วันนี้ (18 ม.ค. 64) เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2564 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom Application) ณ ห้องประชุม ชั้น 9 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายเตรียมการและการดำเนินการในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย โดยที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อแผนจัดการประชุม แนวทาง และกรอบระยะเวลาที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเขตเศรษฐกิจเอเปคในช่วงปี 2565 และให้ความเห็นชอบต่อการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการด้านสารัตถะ ด้านพิธีการและอำนวยการ ด้านการรักษาความปลอดภัยและจราจร และด้านประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งมอบหมายภารกิจแก่อนุกรรมการแต่ละด้านดำเนินการหารือในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการระดับชาติชุดดังกล่าว ได้กำหนดการประชุมหารือครั้งที่ 2/2564 ในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2564 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการประชุมเอเปค ประกอบด้วยการประชุมสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) การประชุมระดับนโยบาย คือ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค การประชุมรัฐมนตรีเอเปค (ต่างประเทศและพาณิชย์) การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค การประชุมรัฐมนตรีการคลังเอเปค และการประชุมรัฐมนตรีรายสาขาต่าง ๆ 2) การประชุมระดับปฏิบัติ ได้แก่ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค การประชุมระดับคณะกรรมการและคณะทำงานต่าง ๆ และ 3) การประชุมภาคเอกชนได้แก่ การประชุมสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council หรือ ABAC) นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวง พม. จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี 2565 (Women and the Economy Forum 2022: WEF2022) ซึ่งประกอบด้วย การประชุมหุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านการเพิ่มการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบเศรษฐกิจ (PPWE) การประชุมสภาคณะผู้บริหารหุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านการเพิ่มการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบเศรษฐกิจ (PPWE Management Council Meeting : PMCM) การประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน ด้านสตรีและเศรษฐกิจ (Public Private Dialogue on Women and the Economy : PPDWE) และการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรีและเศรษฐกิจ (ระดับรัฐมนตรี) (High Level Policy Dialogue on Women and the Economy : HLPDWE)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38405
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนอย่าหลงเชื่อ แอปฯ ลงทะเบียน "เราชนะ"
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 เตือนอย่าหลงเชื่อ แอปฯ ลงทะเบียน "เราชนะ" ... แจ้งเตือนประชาชน ระวังตกเป็นเหยื่อข่าวปลอม จากกรณีที่ได้มีการเผยแพร่ข่าว ลงทะเบียนผ่าน "แอปพลิเคชันเราชนะ" โดยยืนยันว่า แอปฯ ดังกล่าว “ไม่เกี่ยวข้อง” กับโครงการ “เราชนะ” แต่อย่างใด . สำหรับโครงการเราชนะ หรือมาตรการเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ จะเสนอให้ ครม. พิจารณาในสัปดาห์นี้ จึงจะมีรายละเอียดที่ชัดเจนออกมา . ดังนั้น เมื่อรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ก่อนปักใจเชื่อ ควรตรวจสอบหาแหล่งที่ของข่าว ให้ชัดเจน และไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ให้เกิดความสับสน และความเข้าใจผิด . รัฐบาลขอเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมแอบอ้าง และเจตนาหลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจผิด หยุดการกระทำดังกล่าว หากพบว่ามีการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายทันที #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไขข้อข้องใจ! ทีมพัฒนาแอปหมอชนะยุติบทบาท ฝึกฟรี! จบแล้วมีงานทำ หลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ ยก 2 เกาะ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล รับรอง! รพ. สนาม มีมาตรฐานและปลอดภัย นั่งรถไฟวิถีใหม่ จองก่อน 3 วัน - เว้นระยะห่าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ประกาศเพิ่ม 3 เมือง เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง เมืองเก่าฉะเชิงเทรา เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่า ส่งเสริมคุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 คกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ประกาศเพิ่ม 3 เมือง เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง เมืองเก่าฉะเชิงเทรา เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่า ส่งเสริมคุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรม คกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ประกาศเพิ่ม 3 เมือง เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง เมืองเก่าฉะเชิงเทรา เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่า ส่งเสริมคุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรมเก่า วันนี้ (18 ม.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าเพิ่มเติม 3 เมือง ประกอบไปด้วย เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ครอบคลุมพื้นที่บริเวณสำคัญของเมืองเก่าแต่ละเมืองด้วย เช่น เมืองเก่าอุทัยธานี จะครอบคลุมวัดอุโปสถาราม เขาสะแกรัง ย่านชุมชนตรอกยาจีน และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง เมืองเก่าตรัง จะครอบคลุมบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง วิหารคริสตจักรตรัง อาคารสโมสรข้าราชการ หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และตึกแถวย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา ครอบคลุมป้อมและกำแพงเมืองฉะเชิงเทราบริเวณริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา ตำหนักกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ อนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร อาคารไม้สัก 100 ปี และย่านการค้าตลาดสดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ รวมถึงเมืองเก่าฉะเชิงเทราได้พิจารณาเพิ่มเติมการกำหนดขอบเขตพื้นที่ต่อเนื่องเป็นระยะ 200 เมตรจากขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าให้สอดรับกับแผนพัฒนาพื้นที่ตามแผนการดำเนินโครงการเขตพัฒนาพิเศษตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) อีกด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 5 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าสกลนคร เมืองเก่าระนอง เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าตาก และเมืองเก่าแพร่ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยรองนายกรัฐมนตรีย้ำให้ทุกจังหวัดที่เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่านำแผนแม่บทฯ ไปขับเคลื่อนเพื่ออนุรักษ์และพัฒนามรดกวัฒนธรรมเมืองเก่าต่อไป .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38390
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส. ลงพื้นที่พิษณุโลก “กำชับเข้มต้องเป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน”
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ​รมว.ทส. ลงพื้นที่พิษณุโลก “กำชับเข้มต้องเป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน” ​รมว.ทส. ลงพื้นที่พิษณุโลก “กำชับเข้มต้องเป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน” รมว.ทส. ลงพื้นที่พิษณุโลก “กำชับเข้มต้องเป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน” วันนี้ (8 ม.ค.64) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ขวัญกำลังใจ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานและมอบแนวทางในการดำเนินงาน ภายใต้สถานการณ์การป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโควิด-19 ตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในแต่ละจังหวัดอย่างเคร่งครัด โดย รมว.ทส. ได้เน้นย้ำให้ เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ของแต่ละจังหวัด รวมถึงประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอให้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานให้ชัดเจน เพื่อรักษาสมรรถนะและเป้าหมายการทำงานให้ได้ตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม และเร่งป้องกัน แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมี นายธีรัชสิทธิ์ วงศ์วาน ผู้อำนวยการสำนักงานฯ ให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงาน พร้อมด้วย ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ทสจ.พล. นอกจากนี้ รมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นรวงผึ้งบริเวณหน้าสำนักงานฯ ในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38158
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2563 - 7 มกราคม 2564
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2563 - 7 มกราคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2563 - 7 มกราคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 351 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.61 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2563 - 7 มกราคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 351 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.61 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 207 คดี ค่าปรับ 1.73 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 84 คดี ค่าปรับ 2.69 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.04 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 18 คดี ค่าปรับ 0.11 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.58 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 0.37 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,122.590 ลิตร ยาสูบ จำนวน 3,720 ซอง ไพ่ จำนวน 189 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,905.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 3,096 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 30 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 7 มกราคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 7,549 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 138.42 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 4,302 คดี ค่าปรับ 40.40 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 2,289 คดี ค่าปรับ 53.33 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 179 คดี ค่าปรับ 1.90 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 268 คดี ค่าปรับ 16.23 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 32 คดี ค่าปรับ 1.53 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 330 คดี ค่าปรับ จำนวน 8.44 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 149 คดี ค่าปรับ 16.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 168,440.305 ลิตร ยาสูบ จำนวน 187,355 ซอง ไพ่ จำนวน 11,669 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 494,213.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 79,235 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 467 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38159
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาสมาชิกสหกรณ์โคนมภาคใต้-ตะวันตก น้ำนมดิบล้น ให้ อ.ส.ค. รับซื้อ 40 ตัน ผลิตนมยูเอชที
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 รมช.มนัญญา ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาสมาชิกสหกรณ์โคนมภาคใต้-ตะวันตก น้ำนมดิบล้น ให้ อ.ส.ค. รับซื้อ 40 ตัน ผลิตนมยูเอชที รมช.มนัญญา ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาสมาชิกสหกรณ์โคนมภาคใต้-ตะวันตก น้ำนมดิบล้น ให้ อ.ส.ค. รับซื้อ 40 ตัน ผลิตนมยูเอชที นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของโรงงานผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ยูเอชที และเป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และตัวแทนสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก ว่าเป็นการร่วมกันหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการรับซื้อน้ำนมดิบของสมาชิกสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก สืบเนื่องจากสถานการณ์ COVID -19 ทำให้เกษตรกรโคนมได้รับผลกระทบ น้ำนมดิบล้นกว่าวันละ 40 ตัน โดยเบื้องต้น องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จะรับซื้อน้ำนมดิบ 40 ตัน นำไปผลิตเป็นนมยูเอชที และบริหารจัดการต่อไป รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายขยายการรับน้ำนมดิบของเกษตรกรโคนมภาคใต้มากขึ้น โดยจะมีการสร้างโรงงานใหม่ สามารถรองรับน้ำนมดิบได้มากถึงวันละ 200 ตัน ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค. มีข้อจำกัดในปริมาณการสำรองน้ำนมดิบของเกษตรกร และปริมาณการผลิตนมยูเอชที รวมถึงปริมาณกล่อมนมที่มีจำกัด จึงต้องร่วมกันหารือ ต้องประสานกับหลายหน่วยงาน เพื่อให้ได้แนวทางที่ดีต่อทุกฝ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38166
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ห่วงแรงงาน เผย บอร์ดแพทย์ สปส.เห็นชอบแนวทางคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกพื้นที่ควบคุมสูงสุด
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 รมว.สุชาติ ห่วงแรงงาน เผย บอร์ดแพทย์ สปส.เห็นชอบแนวทางคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกพื้นที่ควบคุมสูงสุด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย คณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม มีมติเห็นชอบ แนวทางการคัดกรองการติดเชื้อโควิด -19 ให้แก่แรงงานในสถานประกอบการได้รับบริการทางการแพทย์เชิงรุก ค้นหาผู้ประกันตนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในสถานประกอบการ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการระบาดใหม่อย่างรวดเร็วในขณะนี้ รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ คณะกรรมการการแพทย์ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมจึงได้มีการประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีคัดกรองการติดเชื้อโควิด – 19 ให้ผู้ประกันตนได้รับบริการทางการแพทย์เชิงรุก เพื่อการค้นหาผู้ประกันตนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในสถานประกอบการ สำหรับจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามระดับความรุนแรงที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) มีคำสั่ง นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัดที่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นการทำงานเชิงรุกร่วมกันในการเข้าไปยังสถานประกอบการเพื่อตรวจคัดกรองให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 เพื่อให้ทราบผลภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดในวันที่ 9 มกราคมนี้เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนะ! เตรียมเอกสารแสดงตัว เข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุด
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 แนะ! เตรียมเอกสารแสดงตัว เข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุด .. หลังจากมีประกาศข้อกำหนดในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 5 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง สมุทรสาคร) ผู้ที่จะเดินทางเข้า-ออกจะต้องมี “เอกสารรับรองความจำเป็น” . ยื่นคำขอต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้แก่ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน . ส่วนผู้ที่ต้องขนส่งสินค้าจำเป็น สินค้านำเข้าส่งออก ผู้ที่ทำงานด้านการแพทย์ ธนาคาร การศึกษา ขนส่ง ให้แสดง “เอกสารรับรองการปฏิบัติหน้าที่” . ยื่นคำขอที่ผู้ประกอบการ นายจ้าง บริษัท หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณี . ผู้ที่มีความจำเป็นต้องติดต่อราชการ ให้แสดง “เอกสารรับรองการติดต่อราชการ” ออกให้โดยหัวหน้าส่วนราชการ หรือหน่วยงานที่ไปติดต่อราชการ . ผู้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากมีความล่าช้าอาจจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือเกิดความเสียหายร้ายแรง ให้บันทึกข้อมูลการปฏิบัติไว้เป็นหลักฐาน . อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชน งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตจังหวัด และปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ระวังสุดตัว! รุกตรวจโควิด-19 เรือประมง ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ เฮ! ขึ้น’ด่วนฟรี ช่วงหยุดยาว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อุณหภูมิลดอีก! สธ.แนะรักษาร่างกายให้อบอุ่น ป้องกันเจ็บป่วย ห่วงแยกอาการจากโควิด 19 ได้ยาก
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 อุณหภูมิลดอีก! สธ.แนะรักษาร่างกายให้อบอุ่น ป้องกันเจ็บป่วย ห่วงแยกอาการจากโควิด 19 ได้ยาก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ห่วงอากาศเย็นลง อาจเจ็บป่วยง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ทำให้แยกอาการจากโรคโควิด 19 ได้ยาก แนะสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ช่วยป้องกันโรค และดูแลสุขภาพให้อบอุ่นแข็งแรง คนมีโรคประจำตัวพกยาตลอดเวลา วันนี้ (8 มกราคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงวันที่ 8-12 มกราคม 2564 กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนประเทศไทยจะมีอากาศหนาวเย็นลง อุณหภูมิลดลง 5-7 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคตะวันเฉียงเหนือ ภาคเหนือ อากาศที่หนาวเย็นลงและแห้ง อาจทำให้ประชาชนเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ และผู้ป่วยโรคหอบหืด หรือมีภาวะหลอดลมอักเสบ หากเจ็บป่วยจะมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ อาจมีอาการรุนแรง หายใจหอบเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจมีเสียงหวีดจากภาวะหลอดลมตีบได้ จึงขอให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังพกยาประจำตัวติดไว้เสมอ สำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ ซึ่งในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2563 เป็นช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สูงถึง 85,108 ราย คิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั้งปีที่มี 120,726 ราย เสียชีวิต 3 ราย อีกทั้งขณะนี้ประเทศไทยยังเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด 19 การเจ็บป่วยโรคทางเดินหายใจอาจทำให้แยกอาการจากโรคโควิด 19 ได้ยาก ต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ ขอให้ประชาชนยังคงสวมหน้ากากผ้าที่สะอาดหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง สามารถช่วยป้องกันโรคโควิด 19 และโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว นอนหลับพักผ่อนให้เพียง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะไม่ได้ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น แต่เป็นปัจจัยเสริมให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอากาศหนาวเย็นได้ ******************************* 8 มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จังหวัดพิษณุโลก
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ทส. เปิดสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จังหวัดพิษณุโลก ทส. เปิดสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จังหวัดพิษณุโลก 8 มกราคม 2564 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานเปิดสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทส. นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) นายบุญทรง แทนธานี นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายวราวุธ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ พบเกินมาตรฐานในหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน รัฐบาลได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศและในพื้นที่วิกฤต ทั้งนี้ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติดังกล่าว กำหนดแนวทางการพัฒนาเครือข่ายการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2567 ซึ่งจังหวัดพิษณุโลกเป็นหนึ่งใน 17 จังหวัดภาคเหนือที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินมาตรการควบคุมมลพิษฝุ่นละอองจากไฟป่าและการเผาในที่โล่ง ดังนั้น เพื่อให้ภาครัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นสามารถประเมินสถานการณ์คุณภาพอากาศได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่งผลให้การจัดการคุณภาพอากาศของประเทศและระดับจังหวัดมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประชาชนได้รับการปกป้องรวมถึงการแจ้งเตือนสถานการณ์คุณภาพอากาศ และสามารถเฝ้าระวังและป้องกันสุขภาพของตนเองได้ จึงได้ดำเนินการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อให้พร้อมสำหรับการตรวจวัดและรายงานข้อมูลคุณภาพอากาศได้ทันท่วงที นายวราวุธ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งหวังให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญในการลดมลพิษจากแหล่งกำเนิด ทั้งจากการเผาในที่โล่ง ฝุ่นละอองไฟป่า การจราจร และแหล่งกำเนิดอื่นๆ ตลอดจนสร้างความตระหนักและการรับรู้ของประชาชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมลดกิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เพื่อคุณภาพอากาศ ที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จังหวัดพิษณุโลก สามารถตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศ ตามวิธีมาตรฐานที่ถูกต้องและแม่นยำ โดยพารามิเตอร์ในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน (PM2.5) ฝุ่นละอองขนาด 10 ไมครอน (PM10) ก๊าซโอโซน (O3) ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) โดยแจ้งผลการตรวจวัดแบบออนไลน์ในเว็บไซต์ www.air4thai.com และแอปพลิเคชัน Air4Thai ในโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำเข้มคัดกรองพนักงาน หลังพบติดเชื้อโควิดในที่ทำงานหลายกรณี
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 สธ.ย้ำเข้มคัดกรองพนักงาน หลังพบติดเชื้อโควิดในที่ทำงานหลายกรณี สธ.ย้ำเข้มคัดกรองพนักงาน หลังพบติดเชื้อโควิดในที่ทำงานหลายกรณี กระทรวงสาธารณสุข เผย 20 จังหวัดไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่เกิน 7 วัน ส่วนการติดเชื้อ ในแรงงานต่างด้าวยังจำกัดอยู่ที่ภาคกลาง ห่วงพบการติดเชื้อในสถานที่ทำงานเพิ่มขึ้น แนะภาครัฐและเอกชนคัดกรองพนักงาน แยกผู้มีอาการป่วย ลดกิจกรรมเสี่ยงแพร่เชื้อ เน้นทำงานที่บ้าน ถ้าประชาชนร่วมมือกันเข้มมาตรการป้องกันโรคคาดปลายมกราคมจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง วันนี้ (8 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวรปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยนายแพทย์โอภาสกล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มขึ้น 205 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 131 ราย การค้นหาเชิงรุกแรงงานต่างด้าว 58 ราย และมาจากต่างประเทศเข้าสถานกักกันโรค 16 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อสะสม 9,841 ราย รักษาหายแล้ว 5,255 ราย สถานการณ์โดยรวมยังคงเพิ่มขึ้น แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเริ่มลดลง แต่ยังประมาทไม่ได้ มาตรการป้องกันส่วนบุคคลยังมีความสำคัญ ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือเว้นระยะห่าง กระทรวงสาธารณสุขจะค้นหาเชิงรุกและจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อต่อไป นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2563 มีผู้ติดเชื้อสะสม 5,604 ราย โดย จ.สมุทรสาครมีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 2,981 ราย ภาคตะวันออก 1,597 กทม. 519 ราย จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีผู้เสียชีวิต 7 ราย แม้อัตราการเสียชีวิตจะต่ำกว่าการระบาดครั้งแรก แต่จะต้องลดผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด โดยขณะนี้นอนรักษาในโรงพยาบาล 2,599 ราย มีอาการหนักและใช้เครื่องช่วยหายใจ 8 ราย อยู่โรงพยาบาลสนาม 1,703 ราย และอยู่โรงพยาบาลเฉพาะผู้ป่วยอาการน้อย (Hospitel) 81 ราย ทั้งนี้ โรงพยาบาลสนามและ Hospitel เป็นการแยกผู้ติดเชื้ออาการน้อยหรือไม่มีอาการออกมา เพื่อสังเกตอาการไม่ให้ปะปนกับคนในชุมชนช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดมากๆ เช่น สมุทรสาคร ชลบุรี จันทบุรี ระยอง และตราด ส่วนผู้รักษาหายแล้วมีจำนวน 1,306 ราย ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ เมื่อผ่านไป 8-10 วันจะไม่แพร่เชื้อต่อ มาตรฐานการรักษาของกรมการแพทย์ถือว่าหายแล้ว นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 ในระลอกใหม่ กระจายใน 57 จังหวัด แบ่งสถานการณ์ตามจำนวนผู้ป่วยออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 1.จังหวัดที่มีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 50 ราย (สีแดง)มี 8 จังหวัด2.จังหวัดที่มีผู้ป่วยสะสม 11-50 ราย (สีส้ม) มี 10 จังหวัด3.จังหวัดที่มีผู้ป่วยสะสม 1-10 ราย(สีเหลือง) มี 19 จังหวัด 4.จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา (สีเขียว) มี 20 จังหวัด และ5.จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อน (สีขาว) มี 20 จังหวัด สำหรับการตรวจเชิงรุกแรงงานต่างด้าว ภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ตรวจมากกว่า 2 หมื่นราย พบการติดเชื้อน้อยมาก แสดงว่าส่วนใหญ่ยังจำกัดวงอยู่ที่ จ.สมุทรสาครและภาคกลางเป็นหลัก แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจจับการระบาดให้ได้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ยังมีผู้ป่วยเพิ่มเติม หลายจังหวัดควบคุมได้ดี ในการค้นหาผู้ป่วย การติดตามผู้สัมผัส ประชาชนร่วมมือสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น และลดการเดินทาง ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คาดว่าปลายเดือนมกราคมน่าจะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างชัดเจน นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก จะยังพบผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีคนไทยที่ทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมีการติดเชื้อจึงเดินทางกลับเข้ามาโดยช่วงแรกเป็นการลักลอบเดินทางเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติและมารายงานตัว ขณะนี้ได้แจ้งให้กลับเข้ามาตามช่องทางที่ถูกกฎหมาย เพื่อกักกัน 14 วัน โดยฝ่ายความมั่นคง สาธารณสุข และประชาชนยังต้องร่วมมือเพื่อช่วยกันควบคุมสถานการณ์พื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคหลายกรณี ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญมากในระยะนี้ เนื่องจากพบการติดเชื้อในพนักงานสถานประกอบการหรือกิจการบางประเภท เช่น กรณีโรงงานเขตบางขุนเทียน กทม. ที่มีแรงงานเมียนมาไปงานแต่งงาน จ.สมุทรสาคร แล้วนำมาติดเพื่อนร่วมงานทั้งแรงงานต่างด้าวและคนไทยในที่ทำงาน หรือกรณีสถานบันเทิงย่านปิ่นเกล้า กทม. ขณะนี้มีการติดเชื้อรวม 121 ราย ลูกค้าที่ติดเชื้อก็นำไปแพร่เชื้อต่อในสถานที่ทำงานและคนในครอบครัว และกรณีพนักงานธนาคารใน กทม. อายุ 24 ปี ที่ติดเชื้อจากผู้ป่วยกรณีตลาดจ.สมุทรสาคร โดยมีการสังสรรค์ทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อ เป็นต้น ดังนั้น ขอให้สถานที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตรวจคัดกรองพนักงานและสังเกตอาการเจ็บป่วย หากพบผู้ป่วยให้แยกออกจากผู้ที่ไม่ป่วย และต้องคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกัน เช่น การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากไม่มีการสวมหน้ากาก ลดกิจกรรมที่เกิดโอกาสการติดเชื้อ และส่งเสริมการทำงานที่บ้าน นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีสนามชนไก่ จ.อ่างทอง มีผู้ติดเชื้อสะสม 101 รายพบผู้ติดเชื้อใน 8 จังหวัด ได้แก่ อ่างทอง 70 ราย พระนครศรีอยุธยา 13 ราย สิงห์บุรี 6 ราย ลพบุรี 5 ราย สุพรรณบุรี 3 ราย ขอนแก่น 2 ราย สระบุรี 1 ราย และนนทบุรี 1 ราย ดังนั้น ผู้ที่มีกิจกรรมในช่วงปลายเดือนธันวาคมต่อถึงมกราคม โดยไปสนามชนไก่ในพื้นที่ภาคกลางไม่ว่าจะเป็นแห่งใดก็ตาม ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะผู้ไปสนามชนไก่มักมีพฤติกรรมไปหลายแห่งเช่นเดียวกับสถานบันเทิง เหมือนผู้ติดเชื้อล่าสุดที่ จ.สุพรรณบุรี เป็นชายอายุ 27 ปี มีประวัติไปสนามชนไก่ จ.พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และลพบุรี จึงเข้ารับการตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จึงพบเชื้อและนำเข้าสู่การรักษา ทำให้เห็นว่าแม้จะไม่ได้ไปที่ จ.อ่างทอง แต่หากไปสนามชนไก่แห่งอื่น ก็มีโอกาสเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ จึงขอให้งดกิจกรรมที่เสี่ยงและเฝ้าระวังสังเกตอาการให้ครบ 14 วัน นับจากวันสุดท้ายที่ได้ไปสนามชนไก่ ******************************* 8 มกราคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38172
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ชื่นชม วัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร และอีกหลายวัด พร้อมให้ความช่วยเหลือตั้ง รพ. สนามดูแลประชาชน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางฯ และเป็นที่พึ่งของประชาชนมาช้านาน
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 "อนุชา" ชื่นชม วัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร และอีกหลายวัด พร้อมให้ความช่วยเหลือตั้ง รพ. สนามดูแลประชาชน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางฯ และเป็นที่พึ่งของประชาชนมาช้านาน "อนุชา" ชื่นชม วัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร และอีกหลายวัด พร้อมให้ความช่วยเหลือตั้ง รพ. สนามดูแลประชาชน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางฯ และเป็นที่พึ่งของประชาชนมาช้านาน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชื่นชมกรณีที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดโกรกกราก ต.โกรกกราก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ได้ทำการปรับพื้นที่วัดเพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม นับเป็นแบบอย่างที่ดีที่วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ ยังคงเป็นที่พึ่งและเป็นศูนย์กลางของคนในชุมชนทุกยุคทุกสมัย อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง แสดงออกถึงพลังความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อของสังคมไทย เมื่อเกิดเหตุทุกข์ภัยใด ๆ มีผลกระทบได้รับความเดือดร้อน ประชาชนจะมีความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือกันเกื้อกูลกันมาโดยตลอด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 2 ที่เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายและกระจายสู่วงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งสถานพยาบาลในพื้นที่อาจไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ติดเชื้อที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น ตนจึงขอความร่วมมือไปยังวัดทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมในการให้บริการปรับพื้นที่เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง เพื่อบรรเทาความแออัดแก่โรงพยาบาลหลักและอำนวยความสะดวกแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ พบว่ามีอีกหลายวัดพร้อมให้บริการเตรียมปรับพื้นที่เป็น รพ.สนาม เช่น วัดช่องลม และวัดเทพนรรัตน์ ในพื้นที่ อ.เมืองสมุทรสาคร ซึ่งได้จัดเตรียมอาคารที่พักสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาไว้ด้วย นอกจากนี้ วัดในพื้นที่ จ.ชลบุรี 4 แห่ง ได้เตรียมปรับพื้นที่เป็น รพ.สนาม เช่นกัน ประกอบด้วย 1. วัดคลองมือไทร อ.บ่อทอง จัดเตรียมศาลาสำหรับ 100-150 เตียง 2. วัดกุณฑีธาร อ.บ้านบึง จัดเตรียมอาคารสวนพุทธธรรมปฏิบัติธรรม สำหรับ 100 เตียง 3. วัดเขาช่องลม อ.ศรีราชา ปรับพื้นที่ว่างเปล่า 5 ไร่ 4. วัดยุคลราษฎร์สามัคคี อ.พานทอง จัดเตรียมศาลา สำหรับ 50 เตียง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามมาตรการที่รัฐกำหนด และติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เป็นหลัก เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปฏิบัติให้ปลอดจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative SME) ประจำปี 2564
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ขอเชิญผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative SME) ประจำปี 2564 กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative SME) ประจำปี 2564 กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative SME) ประจำปี 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เชื่อกฎหมายปลดล็อกกระท่อมผ่านสภาเดือน ก.พ. มั่นใจ ส.ส.รัฐบาล - ฝ่ายค้านเห็นด้วย ยันต้องมีกฎหมายรองป้องกันเด็กและเยาวชน -คนต้มน้ำท่อมทำ ๔ คูณ ๑๐๐ ควบคุมคนปลูกเพื่ออุตสา
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 รมว.ยุติธรรม เชื่อกฎหมายปลดล็อกกระท่อมผ่านสภาเดือน ก.พ. มั่นใจ ส.ส.รัฐบาล - ฝ่ายค้านเห็นด้วย ยันต้องมีกฎหมายรองป้องกันเด็กและเยาวชน -คนต้มน้ำท่อมทำ ๔ คูณ ๑๐๐ ควบคุมคนปลูกเพื่ออุตสา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.​ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติให้โทษ ในวันศุกร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.​ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติให้โทษ โดยมีการวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับผู้นำชุมชนจาก ๓ จังหวัด คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พัทลุง และตรัง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่..) พ.ศ.... ได้พิจารณาเสร็จแล้วทั้ง ๘ มาตรา โดยตัดบทลงโทษที่เกี่ยวกับพืชกระท่อมออกทั้งหมด และได้พิจารณาลดเวลาการบังคับใช้กฎหมายจากเดิม ๑๘๐ วันเหลือ ๙๐ วัน และต้องมีการออกกฎหมายรอง คือ พ.ร.บ.พืชกระท่อม เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนนำไปใช้ รวมทั้งการกำหนดไม่ให้คนนำไปใช้ผลิตเป็นลักษณะอื่น เช่น ๔ คูณ ๑๐๐ เพราะหากไม่มีกฎหมายควบคุมจะดูเป็นว่าประมาทเกินไป แต่หากทำกฎหมายรองไม่ทัน ประชาชนจะสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีอะไรควบคุม ซึ่งทางส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทำให้เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด โดยหลังจากที่ กมธ.ชุดนี้ ตรวจร่างอีกครั้งในวันที่ 15 ม.ค.นี้ จะส่งร่าง พ.ร.บ. เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สองและสาม โดยสมัยการประชุมสภาจะปิดสิ้นเดือน ก.พ. ซึ่งตนเชื่อว่าการพิจารณาของสภาฯ จะเสร็จภายในสมัยประชุมนี้ จากนั้นจะส่งให้กับทางวุฒิสภาพิจารณาต่อไป ส่วนกฎหมายรองนั้นอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนขอชี้แจงกับประชาชนว่า พ.ร.บ.พืชกระท่อม ที่เป็นกฎหมายรองจะเขียนเรื่องการขออนุญาตสำหรับการปลูก แต่สำหรับชาวบ้านที่ปลูกไม่กี่ต้นจะใช้คำว่าขึ้นทะเบียน หรือรายงานให้ ป.ป.ส. ในพื้นที่ทราบ แต่การปลูกเพื่ออุตสาหกรรมต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง ส่วนการดูแลเด็กและเยาวชนน่าจะใช้กฎหมายลักษณะเดียวกับเหล้าและบุหรี่ ทั้งนี้มีคนถามตนว่าทำไมไม่ปลดล็อก ๑๐๐% ตนขอชี้แจงว่า พืชกระท่อมถูกห้ามมาเป็นเวลานานกว่า ๗๗ ปี หากปลดล็อกทีเดียวบางครั้งคนที่เขาไม่เห็นด้วยจะท้วงติง แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยก็ตาม แต่หากเราไม่ฟังก็อาจจะพ่ายแพ้ได้ "กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เริ่มยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ตั้งแต่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ถึงวันนี้ ๑ ปีแล้ว ที่เราดำเนินการมา เหลือแค่อีก ๓ ขั้นตอน ร่างนี้จะเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์ ซึ่ง กมธ.ได้ให้คำมั่นสัญญาจะทำให้สำเร็จ และตนก็เชื่อว่า ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน รวมทั้ง ส.ว. ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ ทำให้เชื่อว่าจะทำกฎหมายนี้สำเร็จอย่างแน่นอน ทั้งนี้ หากสถานการณ์โควิด-19 เบาบางลง ตนจะลงพื้นที่ไปเยี่ยมในพื้นที่ " นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. ขานรับนโยบายรัฐบาลป้องกันโควิด-19 ระบาด ออกมาตรการทำงานที่บ้าน ลั่นไม่กระทบภารกิจ
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ธพส. ขานรับนโยบายรัฐบาลป้องกันโควิด-19 ระบาด ออกมาตรการทำงานที่บ้าน ลั่นไม่กระทบภารกิจ ธพส. ผู้บริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ขานรับนโยบายรัฐบาล ออกมาตรการและแนวทางปฏิบัติให้พนักงาน และลูกจ้างในสังกัดปฏิบัติงานในสถานที่พักอาศัย เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และรัฐบาลได้มีข้อกำหนดและมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ โดย ธพส. ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของพนักงานและลูกจ้างในสังกัด รวมถึงลดความแออัดในที่ทำงาน จึงขานรับนโยบายของรัฐบาล ออกมาตรการและแนวทางปฏิบัติให้แก่พนักงาน และลูกจ้างในสังกัดที่มีความใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ผู้ที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทางมาทำงาน และผู้ที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติงานที่สำนักงานของ ธพส. สามารถปฏิบัติงานในสถานที่พักอาศัย หรือ Work From Home ได้เท่าที่จำเป็น โดยไม่ส่งผลกระทบต่องาน ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ส่วนพื้นที่บริเวณศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ที่ ธพส. เป็นผู้ดูแลอยู่นั้น ยังคงมีการใช้มาตรการต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้านคือ ด้านการคัดกรองการเข้า-ออกอาคาร ด้านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ด้านการขนย้ายผู้มีความเสี่ยง และด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น สำหรับประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่ต้องการเข้ามาติดต่อกับ ธพส. สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 2142 2222 และ 0 2142 2203 ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธพส. โทร.0 2142 2264
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชม ส.ค.ส. จากเยาวชน ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีในโอกาสปีใหม่ 2564 และวันเด็กแห่งชาติ อวย พรให้เด็กทุกคนมีความสุขในวันเด็กและตลอดไป ให้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีชม ส.ค.ส. จากเยาวชน ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีในโอกาสปีใหม่ 2564 และวันเด็กแห่งชาติ อวย พรให้เด็กทุกคนมีความสุขในวันเด็กและตลอดไป ให้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชม ส.ค.ส. จากเยาวชน ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีในโอกาสปีใหม่ 2564 และวันเด็กแห่งชาติ อวยพรให้เด็กทุกคนมีความสุขในวันเด็กและตลอดไป ให้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง วันนี้ (8 ม.ค.64) ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชม ส.ค.ส. ของเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 และวันเด็กแห่งชาติ โดยเด็กและเยาวชนได้เขียนข้อความอวยพรและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการทำงานด้วย เช่น “สู้ ๆ นะคะ ลุงตู่” และมีการเขียนความในใจถึงนายกรัฐมนตรี เช่น “นายกเป็นคนดี และนายกดูแลประชาชนได้ดีมากค่ะ หนูประทับใจในตัวลุงตู่มาก หนูรักนายก” เป็นต้น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวรู้สึกเสียดายที่ปีนี้จัดงานวันเด็กไม่ได้ ซึ่ง ส.ค.ส.ที่เด็ก ๆ ส่งมา น่าชื่นใจ นายกฯ ก็ได้ส่งกลับไปให้เด็ก ๆ ด้วยเหมือนกัน โดยวันพรุ่งนี้จะมีการถ่ายทอดงานวันเด็กที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับเด็ก ๆ ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ ซึ่งเด็กทุกคนคืออนาคตของชาติ ในวันหน้าจะเป็นเยาวชน แล้วเข้าสู่วัยแรงงาน เมื่อจบการศึกษาก็จะมีงานทำ จะเป็นอนาคตที่ดูแลพ่อแม่ พี่น้อง และครอบครัวต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวอวยพรให้เด็ก ๆ ทุกคนมีความสุขในวันเด็กและตลอดไป ให้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“วราวุธ” รมว.ทส. ลุยต่อลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ย้ำ การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สร้างความร่วมมือและเร่งแก้ปัญหาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ​“วราวุธ” รมว.ทส. ลุยต่อลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ย้ำ การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สร้างความร่วมมือและเร่งแก้ปัญหาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน ​“วราวุธ” รมว.ทส. ลุยต่อลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ย้ำ การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สร้างความร่วมมือและเร่งแก้ปัญหาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน “วราวุธ” รมว.ทส. ลุยต่อลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ย้ำ การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สร้างความร่วมมือและเร่งแก้ปัญหาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน วันนี้ (8 ม.ค.64) เวลา 13.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตาม (ปกท.ทส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม สร้างขวัญกำลังใจและมอบอุปกรณ์ยังชีพแก่ผู้พิทักษ์ป่า พนักงานดับไฟป่า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์หมอกควันไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูนี้ และได้กำชับให้ปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารโควิด-19 โดยมี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติรามคำแหงให้การต้อนรับ พร้อมด้วย ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับฟังปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมให้แนวทางการดำเนินงานว่า “หัวใจสำคัญในการทำงานจะต้องมีความอดทน มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเรียนรู้ ทำความเข้าใจวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความร่วมมือกัน และเร่งแก้ปัญหาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน” และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนด้วย นอกจากนี้ รมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นไม้บริเวณหน้าสำนักงานฯ ในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุม "กมธ.ปลดล็อกกระท่อม" ถกครบ ๘ มาตรา ลดระยะเวลาบังคับใช้เหลือ ๙๐ วัน นัดประชุมทบทวนอีกครั้ง ๑๕ ม.ค.นี้ ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมสภาให้ทันสมัยนี้
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุม "กมธ.ปลดล็อกกระท่อม" ถกครบ ๘ มาตรา ลดระยะเวลาบังคับใช้เหลือ ๙๐ วัน นัดประชุมทบทวนอีกครั้ง ๑๕ ม.ค.นี้ ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมสภาให้ทันสมัยนี้ รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุม "กมธ.ปลดล็อกกระท่อม" ถกครบ ๘ มาตรา ลดระยะเวลาบังคับใช้เหลือ ๙๐ วัน นัดประชุมทบทวนอีกครั้ง ๑๕ ม.ค.นี้ ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมสภาให้ทันสมัยนี้ ในวันศุกร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และประธาน กมธ. เป็นประธานในการประชุม โดยมีวาระการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ฯ เป็นรายมาตรา ซึ่งมีทั้งหมด ๘ มาตรา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องเร่งทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะเคยมีการทำกฎหมายเมื่อ ๔๐ ปีก่อน แต่ยังไม่สำเร็จ แต่ในขณะนี้ตนมั่นใจว่า กมธ. เห็นความสำคัญของพี่น้องประชาชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ของทุกท่าน สังคมเรียกร้อง และที่ตนได้ไปพบผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการ ซึ่งไม่มีใครขัดในการปลดล็อกกระท่อม เป็นแนวทางที่เราต้องพิจารณาร่วมกัน กระทรวงยุติธรรม โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้ยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเราได้กำหนดระยะเวลาไว้อยู่แล้ว แต่อาจจะมีติดขัดบ้างเพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ตนยืนยันว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต้องลงมือทำทันที โดยในมาตรา ๒ การกำหนดให้ พ.ร.บ.นี้บังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ที่ประชุมได้อภิปรายหารือถึงการกำหนดวันบังคับให้สั้นลงกว่าเดิม โดยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะเลขานุการ กมธ. ชี้แจงว่า ตอนแรกที่สำนักงาน ป.ป.ส. เสนอไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทางกฤษฎีการมีความเป็นห่วง จึงเสนอให้กำหนดระยะเวลาดังกล่าว เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวและเพื่อให้มีระยะเวลาในการร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ซึ่งอยู่ในขั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติ โดยเสียงข้างมากในที่ประชุมเห็นด้วยกับการปรับแก้ระยะเวลา นายกนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานที่ปรึกษา กมธ. ได้เสนอให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังการประกาศใช้ เพราะสารสกัดต่างๆ หรือการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆมีกฎหมาย และระเบียบควบคุมอยู่แล้ว เช่น องค์การอาหารและยา (อ.ย.) และระเบียบของกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนเจตนารมณ์ของการแก้ปัญหาเรื่องนี้เกี่ยวกับปัญหาของชาวบ้านที่ใช้ตามวิถีชีวิตจะได้ไม่ตกเป็นจำเลยสังคม ตนมองว่าพืชกระท่อมเป็นสมุนไพร เป็นพืชที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจเยอะมาก แต่มีการอคติทางวิชาการหรืออะไรก็ตาม ตนอยากให้ใช้ความหลากหลายทางชีวะภาพพัฒนาประเทศในอนาคต และไม่อยากให้บล็อกพืชกระท่อม ตั้งเงื่อนไขในการปลูกเพื่ออุตสาหกรรม อาจจะทำให้ชาวบ้านปลูกไม่ได้ เราต้องไม่คิดว่ากระท่อมเป็นยาเสพติดแต่เป็นสมุนไพรและทำอย่างไรให้เราใช้ได้ร่วมกันไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า ตนสนับสนุนกับการให้บังคับใช้ทันที หรือเต็มที่ตนคิดว่าไม่น่าจะเกิน ๖๐ วัน เพราะทางคณะกรรมการกฤษฎีการมีงานด้านกฎหมายเป็นร้อยๆ ฉบับ ตนคิดว่า ๖๐ วันน่าจะเหมาะสม นายมารุต มัสยวาณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า ตนคิดว่าอะไรทำได้ก็ควรทำ ประกาศใช้ทันทีหรือ ๓๐ วันก็ได้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนอยากให้เวลาการทำงานกับหน่วยงานที่จะต้องออกกฎหมายรองสักเล็กน้อย การทำเร็วถือว่าดีแต่ว่าต้องทำให้ทัน หากเราผลีผลามไปประชาชนส่วนใหญ่อาจจะไม่เข้าใจ อาจจะหาว่าเราใจร้อนไป ตนคิดว่าเราพบกันครึ่งทาง ๙๐ วัน แล้วไปบริหารเวลาโดยบูรณาการร่วมกันได้หรือไม่ ที่ผ่านมาตนทำอะไรต้องเร็วอยู่แล้ว ไม่เคยไปกีดกันใคร อะไรที่ทำได้ตนทำหมด แต่อยากให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย การที่มาตัดลดระยะเวลาปกติไม่ค่อยมีใครทำกันอยู่แล้ว แต่ตนให้เกียรติ กมธ. ทุกท่านในการอภิปรายเสนอความเห็น นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธาน กมธ. อภิปรายว่า ทำอย่างไรจะทำให้กฎหมายที่ส่งเสริมพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจ และคนที่ตั้งใจจะทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจจะได้คิดล่วงหน้าว่าจะทำผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง และต้องเตรียมการเพาะปลูกอย่างไร สำนักงาน ป.ป.ส. สามารถออกระเบียบควบคุมได้ทันเวลาหรือไม่ จากนั้นเสียงที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับระยะเวลาการบังคับใช้ ๙๐ วัน และที่ประชุมได้พิจารณาร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ครบทั้ง ๘ มาตรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการยกเลิกบทลงโทษเกี่ยวกับพืชกระท่อม และกมธ. ได้นัดประชุมอีกครั้งในวันที่ ๑๕ ม.ค.นี้ เพื่อทบทวน ก่อนเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายและลงมติในวาระที่สองและสามต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระวังสุดตัว! รุกตรวจโควิด-19 เรือประมง
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ระวังสุดตัว! รุกตรวจโควิด-19 เรือประมง .. การระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่นี้ เกิดในพื้นที่อาหารทะเล จึงเป็นธรรมดา ที่ประชาชนจะเกิดความไม่แน่ใจ . เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้รักอาหารทะเล รัฐบาลจึงเดินหน้าตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 “ทุกคนในเรือประมง” ทั้งเจ้าของและแรงงาน อย่างเข้มข้น ! . ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ การเจาะเลือด (rapid test) และตรวจซ้ำ ด้วยการป้ายเนื้อเยื่อหลังจมูก (swap) . ระหว่างรอฟังผลการตรวจ ทุกคนจะต้องกลับไปอยู่ในเรือ และออกไปลอยลำอยู่กลางน้ำ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวัง ไม่ให้มีการลักลอบพบกับคนนอกเรือ . เมื่อผลตรวจออกแล้ว เรือลำไหน ไม่มีผู้ป่วย จะได้รับหนังสืออนุญาต ให้ทำประมงได้ตามปกติ . เรือลำใด พบคนป่วยโควิด-19 แม้แต่คนเดียว ทุกคนบนเรือจะต้องเข้าระบบกักกันโรค ของสาธารณสุข และรักษาผู้ป่วยจนหายดี . เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ให้แก่ผู้ค้า ผู้ซื้อ และ ผู้บริโภค ว่าอาหารทะเลไทย ปลอดภัยจากโควิด-19 ตั้งแต่ต้นทาง . #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง แนะ! เตรียมเอกสารแสดงตัว เข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุด ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ เฮ! ขึ้น’ด่วนฟรี ช่วงหยุดยาว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเงื่อนไขโครงการ “จ้างงานเด็กจบใหม่” ขยายถึงสิ้นปี 64
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ปรับเงื่อนไขโครงการ “จ้างงานเด็กจบใหม่” ขยายถึงสิ้นปี 64 วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบปรับเงื่อนไขโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่โดยภาครัฐและเอกชน หรือ Co-Payment เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ไม่สามารถเข้าโครงการได้และหลายคนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องออกจากงาน จากเดิมที่ต้องเป็นนักศึกษาจบใหม่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม และจบการศึกษาปี 2562 เป็นไม่จำกัดว่าอยู่ในระบบประกันสังคมหรือไม่ และมีอายุไม่เกิน 25 ปี หากเกิน 25 ปี ต้องจบการศึกษาหลังปี 2562 และให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด โดยรัฐบาลอุดหนุนเงินเดือน ไม่เกินร้อยละ 50 ต่อคนต่อเดือน พร้อมขยายเวลาโครงการจนถึง 31 ธ.ค. 64 เพื่อจ้างงานต่อเนื่องครบ 1 ปี “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38156
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดกิจกรรมวันเด็กทำเนียบรัฐบาลแบบ New Normal “ลุงตู่” นำตัวแทนเด็กเยี่ยมชมห้องทำงาน พร้อมพูดคุยกับเยาวชน เสาร์ 9 ม.ค. นี้
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 เปิดกิจกรรมวันเด็กทำเนียบรัฐบาลแบบ New Normal “ลุงตู่” นำตัวแทนเด็กเยี่ยมชมห้องทำงาน พร้อมพูดคุยกับเยาวชน เสาร์ 9 ม.ค. นี้ เปิดกิจกรรมวันเด็กทำเนียบรัฐบาลแบบ New Normal “ลุงตู่” นำตัวแทนเด็กเยี่ยมชมห้องทำงาน พร้อมพูดคุยกับเยาวชน เสาร์ 9 มกราคม นี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2564 ณ ทำเนียบรัฐบาล ในปีนี้ จัดรูปแบบ “New Normal” เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และให้สอดคล้องกับมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค. ) โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเปิดห้องทำงานพร้อมนำ “หลานๆ” ซึ่งเป็นตัวแทนเด็กเยี่ยมชมห้องทำงาน พร้อมพานั่ง “เก้าอี้นายกฯ” ด้วยตนเอง ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นจะร่วมสนทนากับตัวแทนเยาวชน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนของรัฐบาล รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจด้วย โดยเผยแพร่ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) และสื่อออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์ ในวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 ระหว่างเวลา 10.00-11.30 น. โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยอีกว่า นอกจากช่วงเวลา “นายกรัฐมนตรีพูดคุยกับเยาวชน” แล้ว ยังมีสาระเกี่ยวกับงานวันเด็กที่น่าสนใจ อาทิ การนำเสนอคลิปแสดงศักยภาพและความสามารถของเยาวชนที่หลากหลาย ภายใต้ แนวคิด “The Future is You” และ “From all walks of life” การบรรเลงเพลงโดยวง Thai Youth Orchestra สารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นิทานคุณธรรม การ์ตูนชุดสังวรธรรม รวมทั้งผลงานของกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ สำหรับของขวัญวันเด็ก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะได้กระจายส่งมอบให้กับเด็กและเยาวชนทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างๆจังหวัด ในนามของขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีด้วย “ท่านนายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะร่วมในรายการ “นายกรัฐมนตรีพูดคุยกับเยาวชน” ซึ่งจะเป็นพื้นที่เปิดและเวทีสำหรับน้องๆ ผู้แทนเยาวชน ที่จะร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม เพราะนายกรัฐมนตรีเชื่อในพลังของเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งจะเผยถึงแนวคิดสำคัญของคำขวัญวันเด็กปี 2564 “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดี มีคุณธรรม” โฆษกรัฐบาลกล่าว .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเพิ่มความเชื่อมั่น มีงบประมาณเพียงพอดูแลปัญหาโควิด-19 ระลอกใหม่ อนุมัติงบ 4,661 ล้านบาทสนับสนุนสาธารณสุขดูแลครอบคลุมทั้งวัสดุห้องปฏิบัติการเวชภัณฑ์ วัคซีน บุคลากรทางการแพทย์
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 รัฐบาลเพิ่มความเชื่อมั่น มีงบประมาณเพียงพอดูแลปัญหาโควิด-19 ระลอกใหม่ อนุมัติงบ 4,661 ล้านบาทสนับสนุนสาธารณสุขดูแลครอบคลุมทั้งวัสดุห้องปฏิบัติการเวชภัณฑ์ วัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ รัฐบาลเพิ่มความเชื่อมั่น มีงบประมาณเพียงพอดูแลปัญหาโควิด-19 ระลอกใหม่ อนุมัติงบ 4,661 ลบ. สนับสนุนสาธารณสุขดูแลครอบคลุมทั้งวัสดุห้องปฏิบัติการเวชภัณฑ์ วัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ ตั้งเป้า ทุกคนในไทยปลอดภัยจากโรค ลดผลกระทบเศรษฐกิจเพิ่มความมั่นคงประเทศ วันที่ 8 ม.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังคงมียังคงรุนแรง ซึ่งข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8% ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 21% ซึ่งทวีปยุโรปมีจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อสูงสุด ในขณะที่ประเทศไทยเองเกิดการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ มีความเสี่ยงสูงที่จะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจจะมีการแพร่กระจายในพื้นที่ใหม่อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ พร้อมกับดูแลป้องกันบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนอย่างเต็มที่และมีงบประมาณเพียงพอสำหรับดำเนินการ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 “นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแผนงานและโครงการอย่างเคร่งครัด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณทั้ง 4,661 ล้านบาท จะจัดสรรแก่หน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการระบาดระลอกใหม่ ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมอนามัย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้ งบประมาณหลักจะอยู่ในส่วนของค่าวัสดุ วงเงิน 2,101 ล้านบาท เช่น วัสดุวิทยาศาสตร์สนับสนุนห้องปฏิบัติการ ค่าอุปกรณ์ป้องกันเชื้อ ค่ายาในการรักษาโรคโควิด-19 ค่าเวชภัณฑ์ในการปฏิบัติการในพื้นที่ต่าง ๆ ค่าวัสดุอุปกรณ์สำหรับ อสม. ซึ่งการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 1,228 ล้านบาท ตามที่มีรายงานข่าวไปก่อนหน้านี้ก็อยู่ในส่วนนี้ด้วย นอกจากนี้เป็นงบประมาณสำหรับค่าตอบแทน เช่น ค่าเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์ ค่าล่วงเวลา ค่าล่าม วงเงิน 1,625 ล้านบาท ค่าใช้สอยอื่น 872 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นค่าตอบแทนเสี่ยงภัยค้างจ่ายปี 2563 ค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินจากสิทธิผู้ป่วยค้างจ่าย และค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ปีงบประมาณ 2563 “เป้าหมายการดำเนินการครั้งนี้ คือ ทุกคนในประเทศไทย ลดป่วย ลดการเสียชีวิต โดยเฉพาะการปกป้องกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคร่วม กลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาส ให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อโควิด-19 สามารถควบคุมการระบาดระลอกใหม่ ช่วยลดผลกระทบทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สังคม และเพิ่มความมั่นคงของประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เดินหน้าเทรนแรงงาน ย้ำ! สโลแกน “ฝึกฟรี มีงานทำ”
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ก.แรงงาน เดินหน้าเทรนแรงงาน ย้ำ! สโลแกน “ฝึกฟรี มีงานทำ” รมช.แรงงาน ชูผลงาน กพร. ผู้ผ่านการฝึกมีงานทำกว่าร้อยละ 70 ก้าวสู่ผู้ประกอบการ และประกอบอาชีพอิสระ มีรายได้ปีละกว่า 4 แสนบาท ขับเคลื่อนภารกิจต่อเนื่อง ฝึกทักษะ ยกระดับมาตรฐานฝีมือรับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมตามแบบประชา วันที่ 6 มกราคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นอีกหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานไทยมีงานทำ จากผลงานการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ปีละกว่า 4 ล้านคน มีการติดตามการมีงานทำจากกลุ่มผู้ผ่านการฝึกอบรมที่เป็นแรงงานนอกระบบ พบว่าผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมมีงานทำร้อยละ 70 และมีรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 4 แสนบาท ดังนั้นจะเห็นได้ว่า หากเป็นกลุ่มผู้ที่ว่างงาน หรือเป็นแรงงานกลุ่มเปราะบาง เมื่อมีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ความสามารถที่สูงขึ้น จะมีโอกาสในการสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ช่วยให้แรงงานเหล่านี้มีอาชีพที่มั่นคง และมีรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ท้ายที่สุดคือการก้าวผ่านเส้นความยากจนไปได้ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอีกด้วย รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า กพร. นำเสนอผู้ผ่านการอบรมที่ประสบความสำเร็จ และเป็นตัวอย่างบางส่วนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่กำลังมองหางานทำ และยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไร รัฐบาลมีหน่วยงานที่สามารถช่วยเหลือแรงงานเหล่านี้ได้ จึงขอเชิญชวนให้เข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีหน่วยงานตั้งอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทั้ง 76 จังหวัดและในกรุงเทพมหานคร ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานก็สามารถเลือกหลักสูตรที่มีการฝึกยาวประมาณ 2-4 เดือน ผู้ที่มีความรู้บ้างแล้ว ก็ฝึกยกระดับฝีมือ หรือผู้ที่ทำงานแล้ว แต่ต้องการวัดระดับทักษะฝีมือ สามารถเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติได้ เมื่อผ่านการทดสอบมาตรฐาน แรงงานจะได้รับโอกาสปรับอัตราค่าจ้าง การันตีรายได้ที่ไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ซึ่งมีกำหนดไว้ถึง 83 สาขาอาชีพและอัตราค่าจ้างนี้ สูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอีกด้วย นายพรหมพรรค คณะรัตน์ ผ่านการฝึกอบรมช่างประกอบโครงอลูมิเนียม (560 ชั่วโมง) จากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพัทลุง (สนพ.พัทลุง) เมื่อปี 2548 ปัจจุบัน เป็นเจ้าของกิจการ รับทำเหล็กดัด ประตู หน้าต่าง และงานอลูมิเนียม มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 30,000 บาท นายธวัชชัย ขนาด (ช่างโจ้) ผ่านการฝึกอบรมยกระดับฝีมือ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก จาก สนพ.บึงกาฬ ปัจจุบัน เปิดร้านจำหน่าย ติดตั้ง ซ่อมล้างแอร์บ้าน/สำนักงาน/คอนโดและรีสอร์ท เคยเป็นพนักงานบริษัท ทำงานด้านช่างไฟฟ้า ต่อมาบริษัทลดพนักงาน ตนจึงตกงาน กลับมาหางานทำที่บ้าน จึงมีเพื่อนแนะนำให้มาฝึกอบรมช่างเครื่องปรับอากาศ ด้วยตนเองมีพื้นฐานด้านช่างไฟฟ้าอยู่บ้างแล้ว จึงเลือกสมัครฝึกยกระดับฝีมือ ระยะเวลาฝึกเพียง 30 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศฯ เพื่อการันตีฝีมืออีกด้วย “ดีใจที่ได้ทำงานอยู่ที่บ้าน อยู่กับครอบครัว และมีรายได้เพียงพอสำหรับดูแลคนในครอบครัว รายได้ประมาณวันละ 2,000-3,000 บาท” ธวัชชัยกล่าว นายไพทูรย์ ศรีนนทวรนัน เล่าว่า ผ่านการฝึกอบรมเตรียมเข้าทำงาน การบำรุงรักษาระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและหัวฉีดในรถจักรยานยนต์ จาก สนพ.สมุทรสงคราม ใช้เวลาฝึกอบรม 6 เดือน เคยเป็นไต้ก๋งเรือใช้ชีวิตอยู่กับทะเล ดูแล้วไม่มั่นคง จึงตัดสินใจลาออกแล้วกลับมาทำงานที่บ้าน เข้าฝึกอบรมเพราะต้องการหาความรู้เพิ่ม หลังจากฝึกจบ ลงทุนเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีลูกค้า เนื่องจากแก้ไขปัญหาเครื่องยนต์ยังไม่ชำนาญ ลูกค้าจึงมาใช้บริการน้อย ต้องค่อยๆ ศึกษาและแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าจะมั่นคงได้ถึงทุกวันนี้ จึงอยากบอกน้องๆ ว่า การทำงานช่วงเริ่มต้นจะลำบากหน่อย ให้อดทน ต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ รวมถึงการเรียนรู้ตลอดเวลาจะช่วยเปิดให้เรามองเห็นโอกาสมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ปัจจุบันมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 40,000 บาท นายดุสิต พรมศิริ ผ่านการฝึกอบรมยกระดับฝีมือ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร เมื่อปี 2560 และช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก เมื่อปี 2563 จาก สนพ.ศรีสะเกษ และเข้ารับทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน พร้อมเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถ เล่าว่า ประกอบอาชีพช่างไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เคยเข้าอบรมหรือทดสอบมาตรฐาน ทราบข่าวจากการประกาศข่าวด่วน ว่าคนที่ทำอาชีพช่างไฟฟ้าต้องมีใบรับรอง จึงจะสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย จึงไปสมัครฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐาน เมื่อผ่านการอบรมและได้ใบรับรองความรู้ความสามารถช่างไฟฟ้ามาแล้ว ทำให้รู้วิธีการทำงานที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีใบการันตีความสามารถ ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น ปัจจุบัน รับเดินสายไฟฟ้าภายในบ้าน ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด รับติดตั้ง/ล้าง/ซ่อมแอร์ พันมอเตอร์ปั้มน้ำ/พัดลม และรับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ด้วย จึงมีลูกค้ามากขึ้นและมีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,000 บาท นายพศวัต พานรอต ผ่านการฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างไฟฟ้า และได้รับใบรับรองความรู้ความสามารถแล้ว จาก สนพ.อ่างทอง ปัจจุบัน รับเหมางานด้านการติดตั้ง ซ่อมแซมระบบไฟฟ้า มีรายได้เฉลี่ย 7,000-8,000 บาทต่อครั้ง “ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ยังมีผู้ที่ผ่านการอบรมและนำความรู้ไปประกอบอาชีพอีกมาก ไม่สามารถนำมากล่าวได้หมด แต่ต้องการบอกให้แรงงานทุกคนได้รับรู้ว่า เมื่อเราเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้ทันต่อเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ต่างๆ เป็นการสร้างโอกาสให้กับตนเอง จะมีชีวิตที่ดีและมั่นคง สามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ การทำงานแบบ New Normal ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย ” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ เดินหน้าลุยงานในภารกิจ แถลงนโยบายจัดเก็บรายได้เข้ารัฐหมื่นล้านในปี 2564 และการดำเนินงานในเชิงสังคมให้ประชาชน และประเทศชาติ
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 กรมธนารักษ์ เดินหน้าลุยงานในภารกิจ แถลงนโยบายจัดเก็บรายได้เข้ารัฐหมื่นล้านในปี 2564 และการดำเนินงานในเชิงสังคมให้ประชาชน และประเทศชาติ กรมธนารักษ์ตั้งเป้าหมายเก็บรายได้เข้ารัฐประมาณ 10,000 ลบ. ในปีงบประมาณ 2564 ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานเพื่อเก็บรายได้เข้าประเทศตามเป้าที่ตั้งไว้ สำหรับโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ก็จะเร่งผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม กรมธนารักษ์ตั้งเป้าหมายเก็บรายได้เข้ารัฐประมาณ 10,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2564 ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้กรมธนารักษ์มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานเพื่อเก็บรายได้เข้าประเทศตามเป้าที่ตั้งไว้ สำหรับโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ก็จะเร่งผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม พร้อมที่จะเจรจาเมื่อเกิดปัญหาติดขัดใดๆ การบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และแก้ไขปัญหาการบุกรุกในที่ดินราชพัสดุ รวมทั้งการบริหารจัดการงานในภารกิจที่จะสามารถสร้างประโยชน์ในเชิงสังคมด้วย วันนี้ (6 มกราคม 2564) ณ กรมธนารักษ์ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ และผู้บริหารกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ ที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ดำเนินโครงการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในสังคม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัย และที่ทำกินโดยดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุด้วยการรับรองสิทธิด้วยการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุภายใต้โครงการ “ธนารักษ์ประชารัฐ” ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐได้ด้วย ตลอดจนเปิดตลาดชุมชนในพื้นที่แต่ละจังหวัดไปในคราวเดียวกันผ่านโครงการ “เปลี่ยนชุมชนเป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ” โดยการสร้างโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการในชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้ในทุกระดับ นายยุทธนา กล่าวต่อว่า สำหรับปีงบประมาณ 2564 กรมธนารักษ์เร่งรัดดำเนินงานเพื่อจัดเก็บรายได้ตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ และเน้นการบริการจัดการในเชิงสังคมให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ ดังนี้ 1. ดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุประมาณ 3 หมื่นราย ที่กรมธนารักษ์ดำเนินการจัดให้เช่าแล้วเสร็จเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 มีประมาณเกือบ 10,000 ราย พร้อมแจกสัญญาเช่า ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ นครราชสีมา และเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งเมื่อรัฐรับรองสิทธิการใช้ที่ดินของราชการ โดยสร้างประโยชน์ในที่ดินนั้นให้แก่ประชาชนแล้ว ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย ทำการเกษตรกรรม หรือประกอบกิจการต่างๆ ในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็จะเป็นส่วนช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐได้อีกทางหนึ่งด้วย 2. ดำเนินการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะดำเนินการจัดระเบียบการใช้ที่ราชพัสดุสำหรับหน่วยงานของราชการที่นำไปใช้ประโยชน์ เช่น การใช้พื้นที่เพื่อเชิงพาณิชย์ การเปิดเป็นร้านค้าสวัสดิการเชิงพาณิชย์ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานของราชการ รวมทั้งประชาชนและเอกชนที่นำที่ราชพัสดุซึ่งได้รับการเช่าแล้วนำไปใช้ผิดประเภท เช่น เช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแล้วนำไปประกอบกิจการการค้า ซึ่งจะต้องเสียค่าเช่าที่ราชพัสดุในอัตราที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ทางกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะทำให้จัดเก็บค่าเช่าเข้ากรมธนารักษ์ได้มากขึ้น 2.1 เร่งรัดการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจได้ใช้ประโยชน์อยู่ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 โดยกรมธนารักษ์จะพิจารณาว่ามีสัญญาเช่ากับรัฐวิสาหกิจต่างๆ ซึ่งมีการเก็บค่าเช่าเท่าไร และการใช้ประโยชน์แบบใด เพื่อนำมาประกอบการเก็บค่าเช่าให้เหมาะสม อนึ่ง กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการร่วมกับรัฐวิสาหกิจในการจัดทำรังวัดพื้นที่แล้วเสร็จตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 โดยจะเริ่มทำสัญญาเก็บค่าเช่าได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นไป 2.2 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับโอนจากการยึดของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตามคำสั่งศาล นำมาเปิดประมูลเพื่อให้เอกชน ประชาชนเข้ามาประมูลในระบบออนไลน์โดยร่วมกับ บมจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยคาดว่าจะเปิดประมูลให้กับผู้สนใจได้ภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 2.3 ดำเนินการเปิดประมูลที่ดินราชพัสดุในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ พื้นที่จังหวัดตาก หนองคาย และมุกดาหาร เป็นต้น 2.4 การเปิดประมูลสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี 2.5 การเร่งรัดสัญญาร่วมดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา 2.6 การเปิดประมูลที่ดินราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ เพื่อนำมาหารายได้เข้ารัฐ ซึ่งบางพื้นที่เป็นพื้นที่ใจกลางเมือง อาทิ สุขุมวิท สีลม หรือในต่างจังหวัด เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เชียงราย เชียงใหม่ และนครสวรรค์ เป็นต้น และมุ่งเน้นการติดตามค่าเช่าที่ราชพัสดุทั่วประเทศไม่ให้คงค้าง เพื่อสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเข้ารัฐให้เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ นายยุทธนา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากที่กรมธนารักษ์มีนโยบายตั้งเป้าเก็บรายได้เข้ารัฐแล้วยังมีนโยบายในเชิงสังคมเพื่อสนับสนุนให้ประชาชน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสังคมโดยรวมมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยเน้นสังคมผู้สูงอายุ ดังนี้ - การดำเนินการโครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามา-ธนารักษ์” บนที่ราชพัสดุ จังหวัดสมุทรปราการ กรมธนารักษ์ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งโครงการดังกล่าว กรมธนารักษ์ได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนที่ราชพัสดุที่มีศักยภาพเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยจะดำเนินการจับสลากบัญชีรายชื่อผู้ได้รับสิทธิและบัญชีรายชื่อสำรอง ในวันที่ 15 มกราคม 2564 ณ กรมธนารักษ์ และจะดำเนินการก่อสร้างประมาณเดือนเมษายน 2564 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2565 - กรมธนารักษ์เตรียมขยายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของข้าราชการพลเรือนทุกประเภทบนที่ราชพัสดุ ไม่ต่ำกว่า 1 พัน ยูนิต สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ แปลงพระโขนง และแปลงยานนาวา สำหรับในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย นครนายก อุบลราชธานี อุดรธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ยะลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นนทบุรี นครราชสีมา และจันทบุรี ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านที่อยู่อาศัยให้กับบุคลากรดังกล่าวด้วย - ดำเนินการสำรวจบ้านทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในพื้นที่ของส่วนราชการ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 95 แห่ง ทั่วประเทศ มาทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยอาจให้เอกชนเข้ามาประมูลเพื่อทำประโยชน์ ตลอดจนเพื่อการท่องเที่ยวในชุมชนนั้นๆ และยังช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยต้นเดือนกุมภาพันธ์จะดำเนินการเปิดประมูลบ้านขุนพิทักษ์บริหาร หรือบ้านเขียว อยุธยา และบ้านพายัพ ซอยสามเสน 5 กรุงเทพมหานคร - โครงการ “เปลี่ยนชุมชนเป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ” ก็ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 เบาบางลงแล้ว กรมธนารักษ์จะสานต่อโครงการดังกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน และช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฐานรากในชุมชนต่างๆ แข็งแกร่งมากขึ้น โดยการสร้างโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการในชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้ในทุกระดับ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการจัดหาที่ราชพัสดุให้กับรัฐวิสาหกิจชุมชน และกองทุนหมู่บ้านในชุมชนเช่าเพื่อให้มีพื้นที่ในการสร้างรายได้ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจฐานราก และคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน - เร่งการเปิดพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ขอนแก่น เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และการท่องเที่ยว (Land Mark) โดยจะเปิดให้เข้าชมได้ในเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นการเผยแพร่ทรัพย์สินมีค่าของรัฐสู่ประชาชนและผู้สนใจ ด้วยภารกิจของกรมธนารักษ์ มีเป้าประสงค์ที่จะดูแล บริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และสังคมอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยในปีงบประมาณ 2564 กรมธนารักษ์จะนำที่ราชพัสดุทั้งหมด 12.6 ล้านไร่ ซึ่งอยู่ในการครอบครองดูแลของหน่วยงานราชการต่างๆ และกรมธนารักษ์บริหารจัดการเพียง 4% โดยจะนำที่ราชพัสดุมาบริหารจัดการเองเพิ่มขึ้นเป็น 10% ทำให้กรมธนารักษ์มีรายได้จากค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้นและจะเป็นผลดีที่ทำให้กรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้เข้ารัฐได้สูงขึ้นอีกด้วย อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมหารือส่งเสริม Startup
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 บีโอไอร่วมหารือส่งเสริม Startup นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการบีโอไอ พร้อมคณะร่วมหารือกับนายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Thai Venture Capital) และ CEO บริษัท InnoSpace (ประเทศไทย) จำกัด นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ(ที่3จากซ้าย) พร้อมคณะ ร่วมหารือกับนายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Thai Venture Capital)และCEOบริษัทInnoSpace(ประเทศไทย) จำกัด เพื่อสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup)ของไทย ณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38109
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ขอบคุณบุคลากรสาธารณสุข ทุกวันเป็นวันทำงาน ทุ่มเทดูแลประชาชน
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 อนุทิน ขอบคุณบุคลากรสาธารณสุข ทุกวันเป็นวันทำงาน ทุ่มเทดูแลประชาชน อนุทิน ขอบคุณบุคลากรสาธารณสุข ทุกวันเป็นวันทำงาน ทุ่มเทดูแลประชาชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารนัดแรกปี 2564 ขอบคุณบุคลากรสาธารณสุข ที่ทุ่มเท ทุกวันเป็นวันทำงาน ผลักดันนโยบายเพื่อสุขภาพประชาชน ทั้ง 3 หมอ สังคมผู้สูงอายุ ควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ลดอุบัติเหตุปีใหม่ ข่าวดีคนไทยจะได้รับวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส วันนี้ (6 มกราคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 1/ 2564 โดยมีดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง ร่วมประชุม นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ได้ประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข นัดแรกของปี 2564 ออนไลน์ เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการกักกันตัวเอง ผลตรวจ 2 ครั้งเป็นลบ วันนี้จะตรวจอีกครั้ง ซึ่งผู้บริหารส่วนหนึ่งที่อยู่ในระหว่างกักตัวก็ได้ร่วมประชุมออนไลน์เช่นกัน และขอขอบคุณบุคลากรที่ได้ทุ่มเท เสียสละ ทำงานดูแลสุขภาพประชาชนตลอดปีที่ผ่านมา ทุกวันเป็นวันทำงาน ไม่มีโอกาสได้พักผ่อนใช้เวลากับครอบครัว เพื่อให้นโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขไปสู่ประชาชน ทั้งเรื่อง 3 หมอ การจัดระบบบริการสุขภาพที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ การรณรงค์ลดอุบัติเหตุและความรุนแรงการบาดเจ็บในช่วงเทศกาลปีใหม่ การติดตามความก้าวหน้าการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 และการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 เราทำดีที่สุดแล้ว โรงพยาบาลต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(UHOSNET)ได้สนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้ภารกิจบรรลุเป้าหมาย เป็นสิ่งที่พิสูจน์การทำงานเพื่อส่วนรวม เป็นความภาคภูมิใจที่ทุกฝ่ายยอมรับว่ามีกระทรวงสาธารณสุขคอยดูแล และจะช่วยกันทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมในเวลาอันรวดเร็ว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ข่าวดีของคนไทยที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19เพิ่มอีก 35 ล้านโดส ทำให้ภาพรวมวัคซีนของไทยมี 63 ล้านโดส สำหรับวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า คาดว่าปลายเดือนมกราคม 2564 นี้ จะผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คนไทยจะได้รับวัคซีนที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สำหรับภาคเอกชนนั้น กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้กีดกันการนำเข้า แต่ต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การนำเข้าวัคซีนโควิด19 จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ส่วนวัคซีน 2 ล้านโดสที่ซื้อจากประเทศจีนจะเริ่มฉีด 2 แสนโดสในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีแผนที่จะให้กับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องทำงานในพื้นที่ควบคุมสูงสุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อมีอาการรุนแรง สำหรับชุดทดสอบ(Rapid Test)ที่ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ด้วยตนเอง ยังไม่เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์และอย.ได้แจ้งเตือนแล้ว ขอให้ประชาชนระวังการให้ผลลบปลอม จะทำให้ชะล่าใจ นำเชื้อมาสู่ครอบครัว เสียเงินโดยไม่จำเป็น การตรวจที่ปลอดภัยขอให้รับการตรวจจากโรงพยาบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือ ผู้พ้นโทษที่ผ่านการอบรมโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังกรมราชทัณฑ์”
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 กรมการจัดหางาน เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือ ผู้พ้นโทษที่ผ่านการอบรมโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังกรมราชทัณฑ์” กรมการจัดหางาน บูรณาการการทำงานร่วมกับกรมราชทัณฑ์ เตรียมพร้อมช่วยเหลือส่งเสริมการมีงานทำ/การประกอบอาชีพแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และอภัยโทษลดโทษปล่อยตัว พ.ศ. 2563 ซึ่งผ่านการอบรมโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังกรมราชทัณฑ์” ที่ประสงค์จะหางานทำ นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขอให้เตรียมการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และอภัยโทษลดโทษปล่อยตัว พ.ศ. 2563 ที่อาจจะติดต่อขอรับความช่วยเหลือ ซึ่งล่าสุดได้สั่งการสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมแล้ว ที่ผ่านมากรมการจัดหางาน มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการมีงานทำโดยการจัดสาธิต การฝึกทักษะอาชีพอิสระระยะสั้นแก่ผู้ต้องขังก่อนพ้นโทษ จัดวิทยากรบรรยายให้ความรู้ แนะแนวอาชีพ ให้ข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน ให้คำปรึกษา แนะนำการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ การหาทำเล การคำนวณ การหาแหล่งเงินทุน และบริหารจัดการ รับลงทะเบียนและบริการจัดหางานให้แก่ผู้พ้นโทษที่ประสงค์จะหางานทำ โดยมีการประสานงานข้อมูลกับศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) ของกรมราชทัณฑ์ ทั้งนี้ กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการให้บริการแนะแนวและส่งเสริมการมีงานทำให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้ง กลุ่มเด็กและเยาวชนในสถานพินิจ ผู้ถูกคุมประพฤติและผู้ต้องขัง เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานให้กลุ่มเป้าหมายได้รู้จักตนเอง รู้จักอาชีพ รู้แหล่งฝึกอาชีพ รู้ทิศทางตลาดแรงงาน ทั้งสามารถวางแผนการเลือกประกอบอาชีพ/เลือกศึกษาต่อได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และหรือได้รับการส่งเสริมให้มีงานทำ มีรายได้ หรือได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือระหว่างถูกคุมขัง เพื่อให้โอกาสบุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี มีหลักประกันความมั่นคงปลอดภัยของสังคม ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป “สำหรับผู้ที่สนใจโครงการและกิจกรรมแนะแนวอาชีพและส่งเสริมอาชีพ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กองส่งเสริมการมีงานทำ กรมการจัดหางาน www.doe.go.th/vgnew หรือติดต่อขอรับบริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยบ่อนไก่ จ.อ่างทองติดโควิดรวม 76 ราย สถานบันเทิงปิ่นเกล้ารวม 105 ราย
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 สธ.เผยบ่อนไก่ จ.อ่างทองติดโควิดรวม 76 ราย สถานบันเทิงปิ่นเกล้ารวม 105 ราย สธ.เผยบ่อนไก่ จ.อ่างทองติดโควิดรวม 76 ราย สถานบันเทิงปิ่นเกล้ารวม 105 ราย กระทรวงสาธารณสุขแจงผู้ติดเชื้อโควิด19 โรงงานสมุทรสาคร 900 ราย เป็นยอดที่รายงานไปก่อนหน้านี้ย้ำทุกคนช่วยแจ้งเบาะแสการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย เผย ครม.อนุมัติงบจัดซื้อวัคซีน 2 ล้านโดสมาถึงล็อตแรก ก.พ.นี้ ขณะที่การติดเชื้อบ่อนไก่ อ่างทองเพิ่ม28 ราย รวมเป็น 76 ราย สถานบันเทิงย่านปิ่นเกล้า รวมเป็น 105 ราย วันนี้ (6 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด19 ในประเทศไทย โดย นพ.โอภาสกล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 365 ราย สะสม 9,331 ราย หายกลับบ้าน 4,418 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 3,585 ราย จำนวนนี้มีอาการหนัก 16 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 66 ราย การระบาดระลอกใหม่รวม 56 จังหวัด สถานการณ์ยังอยู่ใน จ.สมุทรสาคร กทม. ปริมณฑล และภาคตะวันออกเป็นหลัก โดยจะค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน จ.สมุทรสาครและใกล้เคียงเพิ่มเติม กรณีกระแสข่าวพบผู้ติดเชื้อในโรงงานอาหารกระป๋องที่ จ.สมุทรสาคร กว่า 900 รายนั้น เป็นการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในโรงงานบริษัท พัทยา ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด จ.สมุทรสาคร3,000 ราย เป็นผู้ติดเชื้อที่รายงานไปแล้วจำนวน 500 กว่าราย และ 400 กว่าราย เมื่อ 2-3 วันก่อน โดยเมื่อพบผู้ติดเชื้อในโรงงานหรือตลาดจะไม่ให้ออกนอกพื้นที่เหมือนกรณีตลาดกลางกุ้ง และได้รับความร่วมมือจากเจ้าของโรงงานตั้งโรงพยาบาลสนามดูแลผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย เมื่อได้รับการดูแล 10 วันจะไม่แพร่เชื้อต่อ ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในโรงงานจะดูแลและตรวจหาเชื้อเป็นระยะ เพื่อแยกผู้ติดเชื้อกับไม่ติดเชื้อต่อไป ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องที่โรงงานดังกล่าวผลิตมีมาตรการฆ่าเชื้อตามมาตรฐาน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ประชาชนรับประทานได้ไม่ต้องกังวล นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพบแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองที่ กทม. มาจากการที่พลเมืองดีพบเห็นความผิดปกติ มีการพาคนแปลกหน้าไปบ้านเช่า จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและจับกุมได้ ตรวจพบติดเชื้อ7 ราย ดังนั้น ประชาชนมีส่วนสำคัญในการแจ้งเบาะแสการนำแรงงานผิดกฎหมายเข้ามาจะช่วยควบคุมโรคได้ดีขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น สำหรับความคืบหน้าการตรวจหาเชื้อของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและคณะผู้บริหารได้ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 แล้วผลเป็นลบ โดยจะยังกักตนเองต่อเนื่องให้ครบ 14 วันตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป นพ.โอภาสกล่าวว่า สำหรับวัคซีนโควิด19 ของแอสตราเซนเนกา อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คาดว่าปลายเดือนมกราคมจะสำเร็จ ตามแผนเดิมจะส่งมอบช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน แต่สถานการณ์ระลอกใหม่ขณะนี้ การรอวัคซีนอาจช้าเกินไป นายกรัฐมนตรีมอบให้เร่งเจรจาหาวัคซีนแหล่งอื่นมาเสริม เบื้องต้นเจรจาได้วัคซีนโควิด 19 มาจำนวน 2 ล้านโดส จะมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งงบการจัดซื้ออยู่ในงบกลางที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ วงเงิน 4,600 ล้านบาท เกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีน 1,288 ล้านบาทโดยประมาณ โดยประเทศไทยยึดหลักนำวัคซีน ที่มีมาตรฐานปลอดภัยและประสิทธิภาพเป็นหลัก นพ.โสภณกล่าวถึงความคืบหน้าการระบาดที่ จ.ระยองพบผู้ติดเชื้อรวม 443 คน ส่วนใหญ่มีประวัติไปในสถานที่เสี่ยง ได้แก่ บ่อนการพนัน 225 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 รองลงมาคือ ตลาด ฟิตเนส โต๊ะสนุ๊ก สนามบอลซุ้มไก่ ร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานที่ชุมชน และได้กระจายไปหลายจังหวัด โดยได้การค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนยังคงพบเจออย่างต่อเนื่อง สำหรับสนามชนไก่ จ.อ่างทอง พบเพิ่มเติมอีก28 ราย รวมเป็น 76 ราย ขณะที่สถานบันเทิงร้านอาหารย่านปิ่นเกล้า กทม. พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 23 ราย รวมเป็น 105 ราย ซึ่งขณะนี้ได้ปิดสถานบันเทิงในพื้นที่เสี่ยงแล้ว ส่วนจังหวัดอื่นที่ยังเปิดสถานบันเทิงต้องดำเนินการตามมาตรการ คือ มีการสแกนไทยชนะ มีจุดเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ สอดส่องให้มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา ต้องลดความหนาแน่น ทั้งนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแนวโน้มผู้ติดเชื้อประเทศไทยเพิ่มขึ้น ต้องยกระดับป้องกันควบคุมโรคและมาตรการทางสังคม เพื่อสกัดกั้นการแพร่เชื้อ เช่น ประกาศ 28 จังหวัดควบคุมสูงสุดไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อมากกว่านี้ และลดโอกาสกลุ่มเสี่ยงไม่ให้เสียชีวิต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรได้เฮ ! “เฉลิมชัย” ฉับไวสั่งเตรียมพร้อมเยียวยาเกษตรกรกว่า 7 ล้านราย
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 เกษตรกรได้เฮ ! “เฉลิมชัย” ฉับไวสั่งเตรียมพร้อมเยียวยาเกษตรกรกว่า 7 ล้านราย เกษตรกรได้เฮ ! “เฉลิมชัย” ฉับไวสั่งเตรียมพร้อมเยียวยาเกษตรกรกว่า 7 ล้านราย ใช้ฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า เน้นรวดเร็วครอบคลุมถูกต้อง หลังนายกฯ ประกาศจะช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบโควิด19 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (6 ม.ค.) ว่า หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมาเรื่องการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 โดยมอบหมายให้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นในสองเดือนนี้ นั้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมในการเยียวยาเกษตรกรเพื่อความรวดเร็วทันทีที่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเยียวยาอย่างไร ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)ในฐานะนายทะเบียนตรวจสอบรายชื่อเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในโครงการเยียวยาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเกษตรกรเกือบ 8 ล้านรายได้รับเงินเยียวยารายละ 15,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน มิ.ย - ส.ค. โดยรัฐมนตรีเกษตรฯ ยังมอบนโยบายให้เกษตรกรรายใหม่และที่ตกหล่นสามารถลงทะเบียนได้ครบถ้วนโดยต้องครอบคลุมไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและทุกขั้นตอนต้องตรวจสอบความถูกต้อง สำหรับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด19 ในปี 2563 สศก. ในฐานะนายทะเบียนจัดส่งรายชื่อเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและได้ตรวจสอบแล้ว ให้ ธ.ก.ส. โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย เกษตรกรกลุ่มพืช กลุ่มปศุสัตว์ กลุ่มประมง กลุ่มหม่อนไหม กลุ่มชาวไร่อ้อย และกลุ่มชาวไร่ยาสูบ โดย 2 กลุ่มหลังขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังตามลำดับโดยส่งทะเบียนเกษตรกรผ่าน สศก. ก่อนส่งให้ ธกส. โอนตรงให้เกษตรกร นายอลงกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ ได้พัฒนาปฏิรูปการบริหารและการบริการด้วยเทคโนโลยี เช่น จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ มีบิ๊กดาต้าทำให้มีฐานข้อมูลเกษตรกร พร้อมดำเนินการในทุกภารกิจโดยเฉพาะการเยียวยาเกษตรกรกลางปีที่แล้วสามารถส่งฐานข้อมูลเกษตรกรให้ ธกส. ภายใน 5 วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเยียวยาเกษตรกร โดยรัฐมนตรีเกษตรฯ มีความห่วงใยเกษตรกรอย่างมากจากผลกระทบโควิด19 และย้ำให้ช่วยเหลือเยียวยาถึงมือเกษตรกรให้เร็วที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือน! ระวังแอปแอบอ้างให้ลงทะเบียนกู้เงินฉุกเฉิน
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ธ.ก.ส. เตือน! ระวังแอปแอบอ้างให้ลงทะเบียนกู้เงินฉุกเฉิน ธ.ก.ส. เตือนพี่น้องเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ระมัดระวังแอปพลิเคชันแอบอ้างใช้โลโก้ ธ.ก.ส.หลอกให้ประชาชนเข้ามาขอสินเชื่อฉุกเฉิน ย้ำ! อย่าดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าวมาใช้งาน เพราะอาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปก่อให้เกิดความเสียหายได้ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้จัดทำแอปพลิเคชัน โดยใช้ชื่อแอปพลิเคชันว่า “ลงทะเบียนกู้เงิน ธกส. สินเชื่อฉุกเฉิน 10,000 บาท” โดยแอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ของธนาคารและมีข้อความว่า “สินเชื่อฉุกเฉิน 50,000 บาท” เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าไปดาวน์โหลดใช้ผ่านทาง Play Store ในระบบปฏิบัติการ Android นั้น ขอเรียนแจ้งว่า ธ.ก.ส. มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันดังกล่าวแต่อย่างใด จึงขอให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปโปรดอย่าหลงเชื่อและดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าวมาใช้งาน เนื่องจากอาจถูกหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล และถูกนำไปใช้จนก่อให้เกิดความเสียหายได้ โดยหากท่านได้ดาวน์โหลดแอปพิเคชันดังกล่าวไปแล้ว ให้รีบถอนการติดตั้งโดยเร็ว อนึ่ง ขอให้พี่น้องเกษตรกรและประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้งานด้านธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟนและระบบดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบันเกิดกรณีผู้ไม่หวังดีใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านบ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายได้ หากพบเห็นการกระทำที่ไม่น่าไว้วางใจหรือแอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ของ ธ.ก.ส. สามารถแจ้งได้ที่ Call Center 02 555 0555 ทั้งนี้ โครงการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ได้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการแล้ว หากท่านสนใจผลิตภัณฑ์สินเชื่อของธนาคารสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือค้นหาได้ที่ เว็บไซต์ www.baac.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38113
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังชี้แจงประเด็นมาตรการเยียวยาจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่างๆ
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 คลังชี้แจงประเด็นมาตรการเยียวยาจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่างๆ ตามที่ได้ปรากฏข่าวเผยแพร่ทางสื่อเกี่ยวกับผลกระทบจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ แต่กลับไม่มีมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลที่ชัดเจนเพื่อลดผลกระทบจากคำสั่งปิดกิจการชั่วคราว นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวเผยแพร่ทางสื่อเกี่ยวกับผลกระทบจากคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ แต่กลับไม่มีมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลที่ชัดเจนเพื่อลดผลกระทบจากคำสั่งปิดกิจการชั่วคราว กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 28 จังหวัด นั้น เป็นการบริหารจัดการเพื่อควบคุมการระบาดและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้มีการยกระดับมาตรการในการควบคุมการระบาดของโรค เช่น การจำกัดเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการ การปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด และการขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นต้น โดยเป็นแนวทางในการดูแลสาธารณสุขที่เพียงพอและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุขไปพร้อมๆ กัน และขอให้มั่นใจว่าประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง มีนโยบายทางการเงินและนโยบายทางการคลังที่พร้อมจะดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการระบาดอย่างใกล้ชิด และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่เหมาะสมต่อไป โฆษกกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาครัฐมีแหล่งเงินทั้งในส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 จำนวนกว่า 1.39 แสนล้านบาท และเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ในส่วนที่เหลือ จำนวน 4.7 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2563) และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 2.9 แสนล้านบาท ที่จะดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ต่อไป นอกจากนี้ ตามที่มีข่าวปรากฏในภายหลังว่า กระทรวงการคลังจะมีมาตรการเยียวยาแจกเงินจำนวน 4,000 บาท ขอเรียนว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของกระทรวงการคลังได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3558 3569 3566 3557
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรฯ ฝ่าวิกฤตประชุม Video Conference มอบแนวทางปฏิบัติงานปี 2564 ให้แก่ ทสจ.และ สสภ. ย้ำ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 กระทรวงทรัพยากรฯ ฝ่าวิกฤตประชุม Video Conference มอบแนวทางปฏิบัติงานปี 2564 ให้แก่ ทสจ.และ สสภ. ย้ำ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กระทรวงทรัพยากรฯ ฝ่าวิกฤตประชุม Video Conference มอบแนวทางปฏิบัติงานปี 2564 ให้แก่ ทสจ.และ สสภ. ย้ำ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กระทรวงทรัพยากรฯ ฝ่าวิกฤตประชุม Video Conference มอบแนวทางปฏิบัติงานปี 2564ให้แก่ ทสจ.และ สสภ. ย้ำ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน วันนี้ (6 มกราคม 2563) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุม Video Conference มอบแนวทางปฏิบัติงานปี 2564 ให้แก่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด 76 จังหวัด และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 – 16 โดยมีรองปลัดกระทรวงฯ และผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม ชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันขับเคลื่อน ให้การดำเนินงานของกระทรวงฯ ในปีที่ผ่านมาได้รับการยอมรับจากประชาชน และในปี 2564 ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต อดทน ขยันหมั่นเพียร ปฏิบัติงานในเชิงรุก ยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุกระดับ ทุกมิติ และให้มีการประเมินคุณภาพการดำเนินงาน ภายใต้นโยบาย ทส. ยกกำลัง 2 บวก 4 ทั้งนี้ เพื่อปกป้อง และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นสำคัญ พร้อมเน้นย้ำให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค ปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ของแต่ละจังหวัด รวมถึงประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเคร่งครัด และขอให้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานให้ชัดเจน เพื่อรักษาสมรรถนะและเป้าหมายการทำงานให้ได้ตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม สำหรับการขับเคลื่อนงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้นโยบาย ทส. ยกกำลัง 2 บวก 4 รมว.ทส. ได้มอบนโยบายให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด 76 จังหวัด และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 – 16 เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะในระดับพื้นที่ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานโดยมีเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน ตลอดจนสร้างการรับรู้ไปสู่ประชาชนให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งงานสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการในปี 2564 มีดังนี้ 1. การจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชน เป้าหมาย 53 พื้นที่ 31 จังหวัด 374,047 ไร่ 2. การปลูกป่า เป้าหมาย 4 แสนไร่ การสร้างฝาย เป้าหมาย 9,699 แห่ง การจัดการระบบกระจายน้ำ : พื้นที่ป่าต้นน้ำ เป้าหมาย 10 โครงการ 3. การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 เป้าหมายลดการเกิดลงร้อยละ 20 4. การจัดการน้ำเสีย และขยะในภาวการณ์ระบาด COVID – 19 ให้ทำความเข้าใจกับประชาชน และลดความเสี่ยงของประชาชน 5. สถานการณ์ภัยแล้ง ให้ติดตามสถานการณ์และประสานความพร้อม/การช่วยเหลือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานภายนอก ทุกวัน 6. ด้านงบประมาณ ให้เร่งรัดการดำเนินการ ปี 2564 ให้ทันท่วงที พร้อมจัดลำดับความสำคัญของงานในการเตรียมเสนอของบประมาณ ปี 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเลื่อนจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ออมสินเลื่อนจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ธนาคารออมสิน มีความห่วงใยและให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของเด็กและผู้ปกครอง จึงขอเลื่อนการจัดกิจกรรมและการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ออกไปก่อน รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 ได้มีมติเลื่อนการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ เนื่องจากในปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระจายอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่นั้น ธนาคารออมสิน มีความห่วงใยและให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของเด็กและผู้ปกครอง จึงขอเลื่อนการจัดกิจกรรมและการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ออกไปก่อนด้วยเช่นกัน รวมถึงเลื่อนการเปิดรับฝากเงินและแจกของที่ระลึกในโอกาสนี้ให้กับเด็ก ณ ธนาคารออมสินทุกสาขา โดยจะกำหนดวันจัดงานและเปิดให้เด็กฝากเงินเป็นกรณีพิเศษเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งจะประกาศให้ทราบในโอกาสต่อไป.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทยอยส่ง “ยาฟาวิพิราเวียร์” ให้โรงพยาบาลรับมือโควิด-19
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ​ทยอยส่ง “ยาฟาวิพิราเวียร์” ให้โรงพยาบาลรับมือโควิด-19 วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมความพร้อมด้านยาและเวชภัณฑ์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส โดยได้จัดเตรียมยา ฟาวิพิราเวียร์ จำนวนกว่า 480,000 เม็ด ทยอยจัดส่งไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ และตรวจติดตามคุณภาพของยาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้วิจัยและพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ ในระดับห้องปฏิบัติการเสร็จแล้ว คาดว่าในเดือนก.พ. 64 จะเริ่มผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อทดสอบประสิทธิผลการรักษา ซึ่งเป็นการศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบ เพื่อยื่นขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในเดือน ก.ย. 64 หากได้รับขึ้นทะเบียน จะเป็นยาสำหรับการสำรองใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38103
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-มองโกเลีย พร้อมสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 นายกฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-มองโกเลีย พร้อมสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน นายกฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-มองโกเลีย พร้อมสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน วันนี้ (วันพุธที่ 6 มกราคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายทูมูร์ อามาร์ซานา (H.E. Mr. Tumur Amarsanaa) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลียมีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีการจัดตั้งกลไกการประชุมความร่วมมือทวิภาคีไทย-มองโกเลีย การจัดทำแผนงานร่วม (Work Plan) ระยะเวลา 5 ปี ตลอดจน ความร่วมมือทางวิชาการและความร่วมมือเพื่อการพัฒนา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันมากขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ก้าวหน้าอย่างรอบด้าน เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ยืนยันพร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับมองโกเลียให้มีความก้าวหน้าต่อไป โดยเฉพาะด้านวิชาการ การแพทย์ และสาธารณสุข นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันของรัฐบาลไทยเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมองโกเลียสนใจขอร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการจัดการ และด้านวัคซีนกับไทยด้วย โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคี โดยเฉพาะการเร่งรัดหาข้อสรุปความตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด-19 และการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนด้านการค้าระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าด้านเกษตรกรรม และการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำความเชื่อมั่นของภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในมองโกเลีย ซึ่งเป็นผลสะท้อนจากการขยายการลงทุนในมองโกเลียอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอให้รัฐบาลมองโกเลียช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคเอกชนไทย โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนมองโกเลียเช่นกัน ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "โครงการเราชนะ" และ "ม33 เรารักกัน" มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้วเกือบ 3 แสนล้านบาท จากการใช้จ่ายของประชาชนกว่า 41 ล้านคน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 โฆษกรัฐบาลเผย "โครงการเราชนะ" และ "ม33 เรารักกัน" มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้วเกือบ 3 แสนล้านบาท จากการใช้จ่ายของประชาชนกว่า 41 ล้านคน โฆษกรัฐบาลเผย "โครงการเราชนะ" และ "ม33 เรารักกัน" มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้วเกือบ 3 แสนล้านบาท จากการใช้จ่ายของประชาชนกว่า 41 ล้านคน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยเพิ่มวงเงินเยียวยา 2,000 บาทต่อคน ใน โครงการ ”เราชนะ” สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มที่มีแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และโครงการ “ม33 เรารักกัน” ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ประชาชนยังสามารถใช้จ่ายได้ถึง 30 มิ.ย. 2564 นั้น โดยโครงการ ”เราชนะ” มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งสิ้น 33.1 ล้านคน แยกเป็นกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.7 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง 8.4 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบเป๋าตัง 8.6 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ 2.4 ล้านคน ทั้งนี้เป็นผู้ที่ใช้จ่ายครบวงเงินตามสิทธิ์ในโครงการแล้วมีจำนวน 17.6 ล้านคน โดย ณ วันที่ 1 มิ.ย. 2564 โครงการ "เราชนะ"ทำให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วมูลค่ากว่า 257,997 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการและผู้ให้บริการได้รับประโยชน์มากกว่า 1.3 ล้านร้านค้าและกิจการ แยกเป็นมูลค่าการใช้จ่ายในร้านอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นร้อยละ 19.1 ของมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมด ร้านธงฟ้าคิดเป็นร้อยละ 34.4 ร้าน OTOP คิดเป็นร้อยละ 4.1 ร้านค้าทั่วไปและอื่นๆคิดเป็นร้อยละ 40.4 ร้านค้าบริการคิดเป็นร้อยละ 1.9 และขนส่งสาธารณะคิดเป็นร้อยละ 0.1 ขณะที่โครงการ "ม33 เรารักกัน"มี ผู้ได้รับสิทธิ์รวมทั้งสิ้น 8.14 ล้านคนมียอดใช้จ่ายสะสมแล้ว ณ วันที่ 31 พ.ค. 2564 กว่า 39,317 ล้านบาท ผ่านร้านค้าทั้งสิ้น 1.07 ล้านร้านค้า ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการเพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มเป้าหมายจำนวนกว่า 41 ล้านคน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ โครงการ "เราชนะ"และโครงการ “ม33 เรารักกัน” มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในเศรษฐกิจแล้ว 297,314 ล้านบาท "นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเพื่อช่วยผู้ประกอบการ อาทิ เช่น มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ซึ่งรัฐสภาได้ผ่าน พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 และ พ.ร.ก ซอฟต์โลน วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อวงเงิน 250,000 ล้านบาท และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ 100,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ เสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการ SME ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจตลอดเวลา เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ "คนละครึ่ง" ระยะที่ 3 และโครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" เป็นต้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะออกมาในครึ่งปีหลังนี้ด้วย หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น ” โฆษกรัฐบาลกล่าว .............................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติง อย่านำการจัดหาวัคซีนโยงการเมือง ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชนทุกคน ขยายการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเป็น 150 ล้านโดส
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรีติง อย่านำการจัดหาวัคซีนโยงการเมือง ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชนทุกคน ขยายการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเป็น 150 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีติง อย่านำการจัดหาวัคซีนโยงการเมือง ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชนทุกคน ขยายการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเป็น 150 ล้านโดส วันนี้ (9 มิ.ย. 64) เวลา 19.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ว่า รัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนและเร่งติดต่อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 150 ล้านโดส จากเดิมตั้งเป้าจัดหาวัคซีนในระยะแรก 65 ล้านโดส ขอให้ความมั่นใจว่า วัคซีนทุกชนิดจะต้องได้รับมาตรฐาน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการตรวจสอบคุณภาพ ขึ้นทะเบียน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดซื้อจัดหาวัคซีนเองได้ เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขประจำจังหวัดเป็นผู้จัดสรรการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเสี่ยงตามที่ ศบค. กำหนด ซึ่งคาดว่า จะมีการจัดส่งวัคซีนเพิ่มเติมจาก Sinovac AstraZeneca Pfizer Johnson & Johnson Biontech Moderna Sputnik V ในไตรมาสที่ 3 นี้ นายกรัฐมนตรียังเผยว่า วานนี้มีการฉีดวัคซีนในประเทศไทยแล้วกว่า 400,000 โดส จากจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ 500,000 โดส ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับแผนการกระจายวัคซีนทุกวัน ที่สำคัญ คือ ทุกจังหวัดจะต้องได้รับการกระจายวัคซีนตามสัดส่วนของประชากร หากพื้นที่ใดเป็นพื้นที่สีแดง มีคลัสเตอร์การแพร่ระบาดจำนวนมาก ก็จะได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจังหวัดภูเก็ตที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวจะต้องได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเปิดจังหวัดรับนักท่องเที่ยวภายในเดือนกรกฎาคม โดยมีเป้าหมายให้ประชากรในภูเก็ตได้รับการฉีดวัคซีนกว่าร้อยละ 60 – 70 ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่า ในระยะแรกจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่าแสนคน รวมทั้งได้จัดเตรียมแผนการคัดกรองและ Passport Visa ไว้แล้ว ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรรี ยังชี้แจงว่า แม้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละวันเช่นเดียวกัน ซึ่งมีการบริหารเตียงว่างเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนักในแต่ละวัน ขณะนี้มีผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา 47,644 คน ทั้งในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม พร้อมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ และวอนอย่านำการจัดหาวัคซีนโยงการเมือง รัฐบาลให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชนทุกคน พร้อมขอให้ทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกัน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส. ประชุมพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุญาต พร้อมกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมาย และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เข้าใช้ประโยชน์
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ​ทส. ประชุมพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุญาต พร้อมกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมาย และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เข้าใช้ประโยชน์ ​ทส. ประชุมพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุญาต พร้อมกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมาย และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เข้าใช้ประโยชน์ ทส. ประชุมพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุญาต พร้อมกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมาย และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เข้าใช้ประโยชน์ วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) เวลา 09.00 น. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2564 ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผ่านระบบ Video Conference โดยมี คณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมประชุม และมีกรมป่าไม้เป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อพิจารณาการขอใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนฯ และการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามโครงการ คทช. โดยในที่ประชุม ปกท.ทส. ได้ขอความร่วมมือและกำชับให้แต่ละจังหวัดเร่งรัดการพิจารณาในระดับจังหวัด เพื่อให้การพิจารณาขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ยังคงค้างอยู่ สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชนตามโครงการ คทช. ขอให้แต่ละจังหวัดเร่งรัดการดำเนินการเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ คทช. ให้กับแต่ละจังหวัดนำไปจัดสรรเป็นที่ดินทำกินให้กับราษฎรในพื้นที่ได้ภายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ ขอให้การดำเนินงานต่าง ๆ เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมป่าไม้ พิจารณาทบทวนถึงแนวทางการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ทันกับสถานการณ์มากขึ้น สามารถสร้างรายได้ส่งกลับเข้าหลวงได้ โดยคำนึงถึงกฎหมายและความรู้สึกของประชาชนประกอบด้วย รวมถึงในการอนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ควรกำหนดให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ และสอดรับกับการเตรียมการประกาศให้ประเทศไทยเป็นประเทศ Net Zero Carbon ในช่วงปลายปี 2564 นี้ นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีทบทวนและติดตามผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และสรุปสถานะคำขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้จากฐานข้อมูล (Database) การอนุญาต รวมถึงผลการดำเนินงานโครงการจัดที่ดินทำกินของรัฐบาล และผลการดำเนินการตามมติที่ประชุมครั้งที่ 4/2564 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๔
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันพุธที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๔ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า ในส่วนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ มีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๒๓ แห่ง สำหรับเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๒๗ แห่ง พบการแพร่ระบาดจำนวน ๑๒ แห่งคงเดิม โดยเริ่มพบแนวโน้มของผู้ต้องขังที่หายป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้มียอดผู้ที่หายป่วย ๑๗,๘๓๓ราย หรือกว่า ๖๐% จากยอดผู้ป่วยสะสม ๓๐,๐๓๗ ราย ซึ่งกรมราชทัณฑ์ มีโรงพยาบาล จำนวน ๒ แห่ง คือ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลเรือนจำกลางบางขวาง ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มสีแดงและสีเหลืองจากเรือนจำ/ทัณฑสถาน ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด ภายใต้การดูแลรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ โดยถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการหนัก จะดำเนินการส่งต่อการรักษาไปยังโรงพยาบาลภายนอก เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งนี้ นอกจากการรักษาตามกระบวนการแล้ว ยังคุมเข้มในส่วนของมาตรการคัดกรองผู้ติดเชื้อ ด้วยการ SWAB ก่อนเข้าเรือนจำ โดยเฉพาะผู้ต้องขังเข้าใหม่ในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาด ซึ่งต้องแยกผู้ต้องขังที่ตรวจพบเชื้อไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกไม่นำเข้าเรือนจำ/ทัณฑสถาน และถ้าไม่พบเชื้อจะนำตัวเข้าสู่ห้องกักโรค เป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๒๑ วัน โดยต้องทำการ SWAB เพื่อยืนยันผลว่าไม่พบเชื้ออีกครั้ง จึงจะปล่อยตัวเข้าสู่เรือนจำชั้นใน และในส่วนของเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาดแล้ว จะต้องดำเนินการแยกส่วนคุมขังผู้ต้องขังเข้าใหม่ออกจากเรือนจำ/ทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน โดยอาจพิจารณาพื้นที่เรือนจำเก่า เรือนจำชั่วคราว หรือเรือนจำ/ทัณฑสถานใกล้เคียงเพื่อรับตัว สำหรับด้านการฉีดวัคซีน กรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขังไปแล้ว ๒๐,๓๓๖ ราย ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน จำนวน ๑๑ แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๔) คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี เรือนจำกลางระยอง เรือนจำกลางนครปฐม เรือนจำพิเศษพัทยา โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำอำเภอไชยา เรือนจำอำเภอธัญบุรี เรือนจำพิเศษมีนบุรี และเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ๑๒ แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดปทุมธานี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรือนจำกลางชลบุรี เรือนจำกลางราชบุรี เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา ทัณฑสถานบำบัดพระนครศรีอยุธยา ทัณฑสถานวัยหนุ่มพระนครศรีอยุธยา เรือนจำกลางเขาบิน และเรือนจำจังหวัดระนอง ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยผู้ต้องขังที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการรับวัคซีน ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้รับการรักษาจนอาการเป็นปกติแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42578
รัฐบาลไทย-กรมบัญชีกลางอนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2)
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 กรมบัญชีกลางอนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) กรมบัญชีกลางอนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2563 และคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 89 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 แจ้งเวียนแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ให้แก่หน่วยงานของรัฐได้รับทราบและปฏิบัติตามแล้วนั้น ปรากฏว่ามีหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ได้รับทราบหนังสือแจ้งเวียนภายหลังวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 และหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างล่วงเลยมาจนถึงขั้นตอนการประกาศเชิญชวนหรือออกหนังสือเชิญชวน หรือประกาศผลผู้ชนะหรือผู้ได้รับการคัดเลือกแล้ว โดยไม่ได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และหนังสือแจ้งเวียน ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐทำหนังสือขออนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และหนังสือแจ้งเวียนตังกล่าว เข้ามาที่กรมบัญชีกลางเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (คณะกรรมการวินิจฉัย) พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนต่าง ๆ ต่อไปได้ และสามารถก่อหนี้ผูกพันได้โดยเร็ว สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของภาครัฐ อีกทั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 และหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 89 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้เผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวน หรือออกหนังสือเชิญชวนไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 “สำหรับกรณีการผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และหนังสือแจ้งเวียนข้างต้น ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำรายงานสรุปจำนวนและชื่อโครงการที่ได้รับยกเว้น มายังกรมบัญชีกลางตามแบบฟอร์มที่กำหนดภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน จังหวัดพิษณุโลก คืบหน้ากว่า 89% คาดก่อสร้างแล้วเสร็จเดือนกันยายน 2564
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 กรมทางหลวงชนบท กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน จังหวัดพิษณุโลก คืบหน้ากว่า 89% คาดก่อสร้างแล้วเสร็จเดือนกันยายน 2564 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เผยความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพาน ข้ามแม่น้ำน่าน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มุ่งเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างยั่งยืน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เผยความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มุ่งเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างยั่งยืน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564 นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จังหวัดพิษณุโลกเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศาสนาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริเวณโดยรอบแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่สำคัญมีปริมาณการจราจรที่หนาแน่น ทช. จึงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางระหว่างแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่องเป็นวงรอบ รวมถึงช่วยบรรเทาความแออัดของการจราจรบริเวณสะพานนเรศวร สอดรับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งปัจจุบันโครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าวมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 89 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเทพื้นสะพานและทางเท้า หลังจากนั้นจะดำเนินการติดตั้งราวสะพานและระบบไฟฟ้าแสงสว่างต่อไป คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2564 โดยสะพานดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ เชื่อมต่อไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดนางพญา และวัดราชบูรณะ ตัวสะพานมีความยาวรวม 120 เมตร ผิวทางกว้าง 7 เมตร รองรับการจราจร 2 ช่องจราจร (ไป-กลับ) แต่ละด้านของสะพานมีทางเท้าและทางจักรยาน กว้างด้านละ 3 เมตร สำหรับโครงสร้างสะพานช่วงข้ามแม่น้ำมีลักษณะเป็นสะพานเหล็กโค้ง (Steel Arch Bridge) เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อสร้างเสาตอม่อในแม่น้ำอันอาจจะเป็นอุปสรรคต่อประเพณีการแข่งเรือยาวที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในส่วนของราวสะพานและเสาไฟฟ้าแสงสว่างนั้นได้รับการออกแบบให้มีความสวยงาม โดยนำรูปแบบทางจิตรกรรมของท้องถิ่นมาประยุกต์ ประกอบกับลักษณะทางโครงสร้างของสะพานที่มีสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามและแตกต่างจากสะพานอื่น ซึ่งเมื่อก่อสร้างสะพานแล้วเสร็จจะเป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ร่วมวางพวงมาลาเนื่องในวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และวันอานันทมหิดล
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 กระทรวงมหาดไทย ร่วมวางพวงมาลาเนื่องในวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และวันอานันทมหิดล กระทรวงมหาดไทย ร่วมวางพวงมาลาเนื่องในวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และวันอานันทมหิดล วันนี้ (9 มิ.ย. 64) เวลา 08.00 น. ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สวนหลวงพระราม 8 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายนรวีร์ ขันธหิรัญ ผู้อำนวยการกองสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เนื่องในวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และวันอานันทมหิดล ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคจากการประกอบอาชีพฯ เห็นชอบร่างนโยบายยุทธศาสตร์และแผนฯ ระดับชาติ ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 คกก.โรคจากการประกอบอาชีพฯ เห็นชอบร่างนโยบายยุทธศาสตร์และแผนฯ ระดับชาติ ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เห็นชอบร่างนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนการเฝ้าระวังฯระดับชาติ (พ.ศ.2564-2580) และร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ พัฒนามาตรการเฝ้าระวังควบคุมโรคฯ ผ่านเครือข่าย คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เห็นชอบร่างนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนการเฝ้าระวังฯระดับชาติ (พ.ศ.2564-2580) และร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ พัฒนามาตรการเฝ้าระวังควบคุมโรคฯ ผ่านเครือข่าย เน้นจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้ประชาชนแจ้งเหตุการณ์ผิดปกติ พัฒนามาตรฐานอาชีวเวชกรรมและเวชกรรมสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมถึงระดับท้องถิ่น เฝ้าระวังควบคุมกิจการอันตรายในระดับพื้นที่ วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมระดับชาติ (พ.ศ.2564-2580) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการ (Action Plan) ระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2562) และระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 14 (1) พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 ที่กำหนดให้คณะกรรมการฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ร่างนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติดังกล่าวประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการป้องกันควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนามาตรการเฝ้าระวังสุขภาพ เน้นจัดการที่แหล่งกำเนิดมลพิษ ยกเลิกการใช้วัสดุหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย พัฒนาค่ามาตรฐานและมาตรการเฝ้าระวังมลพิษสิ่งแวดล้อม พัฒนามาตรการการเงินการคลัง มาตรการทางสังคมและกฎหมายเพื่อลดโรค พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ, ยุทธศาสตร์ที่ 2 การขับเคลื่อนการป้องกันควบคุมโรคฯ แบบบูรณาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยส่งเสริมให้มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการระบบเฝ้าระวังและข้อมูล ทั้งกำลังคน ห้องปฏิบัติการ รวมถึงให้ผู้ประกอบอาชีพและประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และร่วมแจ้งเหตุการณ์ผิดปกติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การควบคุมกำกับบริการอาชีวเวชกรรมและเวชกรรมสิ่งแวดล้อม โดยจัดให้มีบริการตรวจวัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีมาตรฐาน มีระบบบริการทันสมัย พัฒนามาตรฐานการให้บริการอาชีวเวชกรรมและเวชกรรมสิ่งแวดล้อม สร้างระบบประเมินมาตรฐานการให้บริการ พัฒนาความร่วมมือกับเครือข่าย พัฒนารูปแบบบริการนอกโรงพยาบาล และพัฒนาระบบบริการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคฯ กลุ่มอาชีพอิสระ ผู้สูงอายุ และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างการมีส่วนร่วมในการป้องกันควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาช่องทางให้ภาคประชาชนทำงานกับรัฐ เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมสุขภาพระดับชาติและระดับท้องถิ่นให้เกิดข้อบัญญัติการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีการเฝ้าระวังในพื้นที่พัฒนานวัตกรรมใหม่ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีรูปแบบที่หลากหลาย น่าสนใจ และเข้าถึงง่าย *********************************** 9 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 5.1 ล้านโดส ผู้เชี่ยวชาญสรุปผล 12 รายเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับวัคซีน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 สธ.เผยฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 5.1 ล้านโดส ผู้เชี่ยวชาญสรุปผล 12 รายเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขเผยผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 พร้อมกันทั่วประเทศรวม 2 วัน ฉีดได้ 888,975 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. รวม 5.1 ล้านโดส คณะผู้เชี่ยวชาญสรุปผลกรณีมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน เป็นเหตุการณ์ร่วม อยู่ระหว่างสอบสวนโรค กระทรวงสาธารณสุขเผยผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 พร้อมกันทั่วประเทศรวม 2 วัน ฉีดได้ 888,975 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. รวม 5.1 ล้านโดส คณะผู้เชี่ยวชาญสรุปผลกรณีมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน เป็นเหตุการณ์ร่วม อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 15 ราย ยืนยันวัคซีนมีความปลอดภัย ฉีดเป็นวงกว้าง สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ช่วยหยุดการระบาด วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ภาพรวมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 8 มิถุนายน 2564 จัดสรรวัคซีนโควิด 19 ทั้งหมด 6,756,493 โดส แบ่งเป็นวัคซีนซิโนแวคจำนวน 4,982,313 โดส และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจำนวน 1,774,180 โดส สามารถฉีดวัคซีนโควิด 19 รวมสะสม 5,107,069 โดส เฉพาะวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ฉีดได้ 472,128 โดส รวม 2 วันที่เริ่มฉีดวัคซีนจำนวนมากพร้อมกันทั่วประเทศ (วันที่ 7-8 มิถุนายน 2564) รวม 888,975 โดส นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนมีการติดตามเรื่องความปลอดภัย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อาการเล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงและเสียชีวิต ดังนั้นเมื่อมีการฉีดวัคซีนโควิด 19จำนวนมากเป็นวงกว้าง ทำให้มีโอกาสพบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ กรณีที่อาการรุนแรงและเสียชีวิตจะมีการส่งตรวจหาสาเหตุว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ โดยนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งในระดับเขต จากการเฝ้าระวังต่อเนื่องถึงขณะนี้พบกรณีเสียชีวิตภายหลังการรับวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีน 28 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2564 มีรายงานการเสียชีวิต 27 ราย สรุปผลแล้ว 12 รายว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน เป็นเหตุการณ์ร่วมที่เกิดขึ้น คือ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 8 รายImmune Thromboticthrombocytopenic purpura 1 ราย ลิ่มเลือดอุดตันในปอด 1 ราย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (purulent meningitis) 1 รายและเลือดออกในช่องท้อง 1 ราย ส่วนที่เหลืออีก 15 รายอยู่ระหว่างการส่งตรวจชันสูตร และสอบสวนโรค “การเสียชีวิตอาจเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนก็ได้ จึงต้องสอบสวนเชิงลึกหาสาเหตุ อย่างกรณีการเสียชีวิตที่ จ.ปทุมธานี เมื่อตรวจชันสูตรแล้วพบการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัคซีน สำหรับหญิงอายุ 46 ปีที่เสียชีวิตล่าสุด นับเป็นรายที่ 28 จะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญต่อไป ทั้งนี้ ภายหลังการฉีดวัคซีนขอให้ประเมินอาการตนเอง ถ้าปวดหัวเล็กน้อยสามารถกินยาพาราเซตามอลแล้วพักผ่อน หากอาการดีขึ้นไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการปวดหัวรุนแรงตั้งแต่แรก มีความกังวลว่าจะเป็นมาก สามารถไปโรงพยาบาลได้ทันทีไม่ต้องรอ ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนมีความปลอดภัย เมื่อฉีดเป็นวงกว้าง จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่และหยุดการระบาดได้ในที่สุด” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว *********************************** 9 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยซีคอนบางแคและสายใต้ใหม่ ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิดผู้ประกันตน ม.33
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยซีคอนบางแคและสายใต้ใหม่ ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิดผู้ประกันตน ม.33 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนซีคอนบางแคและอาคารเอสซีพลาซ่า (สายใต้ใหม่) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด -19 สำหรับผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ร่วมตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนซีคอนบางแคและอาคารเอสซีพลาซ่า (สายใต้ใหม่) ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 6 มีศักยภาพการฉีดวันละ 1,000 คน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกรจากโรงพยาบาลบางปะกอก 8 เป็นผู้ดำเนินการ นางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงาน และสถานประกอบการ ในเบื้องต้นได้กำหนดจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากสถานประกอบการจำนวน 24,000 กว่าแห่งทั่วกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7 -26 มิ.ย.64 ซึ่งสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 ได้จัดเตรียมสถานที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม 23 แห่ง โดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน ซึ่งทุกศูนย์ให้บริการระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น. ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้ให้ฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการแต่ละแห่งสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนและแจ้งความประสงค์ผ่านระบบ e-service ของสำนักงานประกันสังคมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นสำนักงานประกันสังคมได้จัดลำดับคิวการฉีดวัคซีนให้สถานประกอบการแต่ละแห่ง และแจ้งกลับไปยังสถานประกอบการ เพื่อให้ฝ่ายบุคคลของแต่ละสถานประกอบการแจ้งให้พนักงานของตนเองทราบเพื่อให้เข้ารับการฉีดตามลำดับคิว นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยยังได้ส่ง SMS แจ้งวัน เวลา สถานที่และลำดับคิวการฉีดให้แก่ผู้ประกันตนแต่ละรายอีกทางหนึ่งด้วย เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัด และสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนตามจุดที่สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร “ในวันนี้ ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้มาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 ไปด้วยกัน”นางธิวัลรัตน์ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยันใช้งบ พ.ร.ก. เงินกู้ ฯ อย่างมีประสิทธิภาพ
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ยืนยันใช้งบ พ.ร.ก. เงินกู้ ฯ อย่างมีประสิทธิภาพ .... นายกฯ กล่าวถึงการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณตามพ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจุบันอนุมัติงบประมาณไปแล้ว 984,000 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้วกว่าร้อยละ 73 และยังคงเหลือเงินกู้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท . สำหรับ ร่าง พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้กำหนดการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ 3 แผนงาน ประกอบด้วย 1. แผนงานหรือโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศวงเงิน 30,000 ล้านบาท 2. แผนงานหรือโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง วงเงิน 300,000 ล้านบาท 3. แผนงานหรือโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค วงเงิน 170,000 ล้านบาท . พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดผลให้มากที่สุด #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่ม 'ฟ้าทะลายโจร' ในบัญชียาหลักด้านสมุนไพร รักษาผู้ป่วยโควิด
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เพิ่ม 'ฟ้าทะลายโจร' ในบัญชียาหลักด้านสมุนไพร รักษาผู้ป่วยโควิด .... เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้แจงกรณีกลุ่มคนชราลงทะเบียนผ่านแอปฯ หมอพร้อม แต่ชื่อหายจากระบบทำให้ไม่ได้ฉีดวัคซีน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 สธ. ชี้แจงกรณีกลุ่มคนชราลงทะเบียนผ่านแอปฯ หมอพร้อม แต่ชื่อหายจากระบบทำให้ไม่ได้ฉีดวัคซีน รองปลัด สธ. ระบุ รพ.เสนางคนิคม จ.อำนาจเจริญ ปรับระบบการฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีน 1 หลอด เปิดฉีดเมื่อครบ 10 คน ทั้งนี้ได้ประสานทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่แล้ว ยืนยันทุกคนที่ลงทะเบียนจะได้ฉีดวัคซีนแน่นอน วันที่ 9 มิถุนายน 2564 นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนชราลงทะเบียนผ่านแอปฯ หมอพร้อม แต่ชื่อหายจากระบบทำให้ไม่ได้ฉีดวัคซีน โดยเปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานจากนายแพทย์ปัณณธร เลิศเอกธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ ว่า โรงพยาบาลเสนางคนิคม ได้ปรับระบบการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่นัดหมายผ่านหมอพร้อมในเดือนมิถุนายนทั้งหมด ให้มารับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ในวันที่ 7 – 8 มิถุนายน 2564 เนื่องจากแต่ละวันมีจำนวนนัดฉีดเพียงวันละ 2 – 5 คน ซึ่งวัคซีน 1 หลอดต้องเปิดฉีดเมื่อครบ 10 คน เพื่อไม่ให้สูญเสียวัคซีน จึงปรับการฉีดเป็นวันละ 3 ตำบล คือวันที่ 7 มิถุนายน ตำบลเสนางคนิคม โพนทอง และนาเวียง รวม 360 คน และวันที่ 8 มิถุนายน ตำบลบ้านไร่สีสุก, หนองไฮ และหนองสามสี รวม 280 คน โดยองค์การบริหารส่วนตำบลได้จัดรถรับส่ง อำนวยความสะดวกผู้ที่จะมารับการฉีดวัคซีนจากทุกตำบล สำหรับกรณีที่เป็นข่าวเกิดจากความเข้าใจผิดในระบบนัดและการประชาสัมพันธ์ที่อาจไม่ทั่วถึง โดยผู้รับบริการเป็นกลุ่มเป้าหมายของตำบลหนองสามสี มีนัดหมายฉีดใหม่ ช่วงบ่ายวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ขณะนี้ ทางโรงพยาบาลเสนางคนิคมได้ประสานให้มารับการฉีดวัคซีนในช่วงบ่ายวันที่ 7 มิถุนายน แล้ว โดยนายแพทย์ประภาส วีระพล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ ได้ลงเยี่ยมพื้นที่ รับฟังปัญหาจากผู้รับบริการ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเข้าใจระบบ และขอโทษทางโรงพยาบาลที่ทำให้เป็นข่าว ยืนยันว่าวัคซีนที่จัดสรรให้กลุ่มผู้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมมีเพียงพอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำเวที UN ไทยพร้อมร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคเอดส์และรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 นายกฯ ย้ำเวที UN ไทยพร้อมร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคเอดส์และรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564 นายกฯ ย้ำเวที UN ไทยพร้อมร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคเอดส์และรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564 วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) เวลา 04.30 น. (หรือวันที่ 8 มิถุนายน เวลา 15.30 น. เวลาท้องถิ่น นครนิวยอร์ก) ณ สำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงว่าด้วยโรคเอดส์ (High Level Meeting on HIV/AIDS) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ทุกภาคส่วนร่วมกันติดตามและสานต่อความก้าวหน้าของการดำเนินการตามปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ ปี 2559 และร่วมรับรองปฏิญญาฉบับใหม่ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการยุติปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ภายในปี 2573 พร้อมแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายของโรคนี้ เนื่องจากในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลกและยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ด้วย โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่ได้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอ 3 มุมมองของไทยที่จะเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนี้ 1. พัฒนาด้านนวัตกรรมและขยายความครอบคลุม ด้วยการให้บริการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อเอชไอวีด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ และการจัดสรรชุดบริการป้องกันแบบผสมผสาน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มเป้าหมายหลักต่าง ๆ ทั้งนี้ การมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการให้บริการที่ครอบคลุม 2. มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การตีตรา และการเลือกปฏิบัติ ซึ่งความร่วมมือและความเข้าใจของทุกฝ่ายมีส่วนสำคัญต่อการลดอุปสรรคของการเข้าถึงบริการป้องกัน ตรวจวินิจฉัย และรักษาการติดเชื้อ 3. ผลักดันการมีส่วนร่วมของสังคม เป็นหัวใจของการรับมือกับปัญหาโรคเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทุกฝ่ายควรมีส่วนร่วมในการกำหนด พัฒนานโยบาย และการให้บริการที่เกี่ยวกับโรคในทุกระดับให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ไทยพร้อมจะร่วมรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564 เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมตามที่กำหนดไว้ และในปีหน้าที่ไทยจะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกับทุกประเทศในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์โรคเอดส์ปี 2564 และปฏิญญาฉบับใหม่เพื่อนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างยั่งยืนภายในปี 2573 อนึ่ง การประชุม High Level Meeting on HIV/AIDS ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุก 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปฏิญญาฯ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อการดำเนินการที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทนจากแต่ละประเทศเข้าร่วมประชุม และมีผู้นำระดับประเทศร่วมกล่าวถ้อยแถลง ซึ่งปีนี้มีกำหนดการประชุมระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2564 ณ สำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 6 แนวทาง บริหารจัดการวัคซีน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เปิด 6 แนวทาง บริหารจัดการวัคซีน ....
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงใย ลูกจ้างบริษัทน้ำตาลกุมภวาปี จ.อุดรธานี ถูกเลิกจ้าง สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจสอบช่วยเหลือสิทธิประโยชน์โดยเร็ว
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 รมว.เฮ้ง ห่วงใย ลูกจ้างบริษัทน้ำตาลกุมภวาปี จ.อุดรธานี ถูกเลิกจ้าง สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจสอบช่วยเหลือสิทธิประโยชน์โดยเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย ลูกจ้างบริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัดอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล ถูกเลิกจ้าง สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมช่วยเหลือตามภารกิจ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างของบริษัทน้ำตาลกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กรณีประกาศปิดตัวหยุดกิจการเนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว จึงได้ให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เข้าไปติดตามสาเหตุการประกาศหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รับรายงานจากการตรวจสอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุดรธานีว่า บริษัท น้ำตาลกุมภวาปี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 73 หมู่ 11 ถนนโพนทอง ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล มีลูกจ้าง จำนวน 280 คน ได้มาขอคำปรึกษาหารือกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุดรธานีเกี่ยวกับการปิดบริษัทเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน นายชัยวัธน์ ศรมณี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า บริษัทฯ ได้จัดประชุมชี้แจงการสิ้นสุดสัญญาจ้างและปิดกิจการให้กับลูกจ้างทั้งหมดตามโครงการ MIRAI : จากกันด้วยดีสู่อนาคตใหม่ โดยแบ่งการชี้แจงออกเป็น 6 จุด ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 สาเหตุการปิดกิจการเนื่องจากผลการประกอบกิจการขาดทุนต่อเนื่องหลายปี จึงจำเป็นต้องมีการปิดกิจการ และแจ้งสิ้นสุดสัญญาจ้างงานในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยมีเงื่อนไข คือ 1) ลูกจ้างที่แจ้งสมัครใจลาออก ระหว่างวันที่ 8-12 มิถุนายน 2564 นายจ้างจะจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย เงินช่วยพิเศษ เงินช่วยเหลือลาออกของบริษัทตามเงื่อนไข ภายในวันที่ 24-30 มิถุนายน 2564 2) ลูกจ้างที่ไม่สมัครใจลาออก นายจ้างจะเลิกจ้างโดยได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย และจะไม่ได้เงินช่วยเหลือพิเศษ เงินช่วยเหลือลาออกของบริษัท และจะจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้างในวันที่ 3 กรกฎาคม 2564 นายอภิญญา กล่าวต่อว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือตามภารกิจที่เกี่ยวข้องการให้คำปรึกษาข้อกฎหมาย สิทธิประโยชน์ เช่น การใช้สิทธิประกันการว่างงาน การหาตำแหน่งงานว่างให้ การฝึกทักษะทางด้านอาชีพตามความต้องการ การขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019)
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) จากบริษัท แมช.ซี ออร์แกนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในวันพุธที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ โถงกลาง ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) จากบริษัท แมช.ซี ออร์แกนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดยมี นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และนายสำรวม บุญเสริม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านบริหารทรัพยากรบุคคล เข้าร่วม สำหรับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) ของบริษัท แมช.ซี ออร์แกนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้นำมามอบให้ประกอบด้วย ๑. ถุงมือ MAZZEE GLOVE จำนวน ๕๐๐ กล่อง ๒. ชุด PPE (๕๐ แกรม) จำนวน ๕๐๐ ชุด ๓. แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ จำนวน ๕๐ แกลลอน ๔. ทิชชู่แอลกอฮอล์ จำนวน ๑๐๐ แพ็ค ๕. หน้ากาก N95 จำนวน ๕๐๐ ชิ้น ๖. หน้ากากอนามัย Union จำนวน ๕๐ กล่อง ๗. หน้ากากอนามัย จำนวน ๑๐๐ กล่อง ๘. น้ำดื่ม MAZZEE จำนวน ๑๐๐ แพ็ค ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะนำอุปกรณ์ดังกล่าว ไปใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42579
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกาะเสม็ด ต้นแบบการฉีดวัคซีนในรพ.สต.ครั้งแรก ปูพรมฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นภายในวันเดียว เร่งสร้างความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยว
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เกาะเสม็ด ต้นแบบการฉีดวัคซีนในรพ.สต.ครั้งแรก ปูพรมฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นภายในวันเดียว เร่งสร้างความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิดที่เกาะเสม็ดแบบปูพรม ต้นแบบการฉีดวัคซีนใน รพ.สต. ครั้งแรก วันเดียวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายบนเกาะ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน ประชาชน กลุ่มแรงงานต่างด้าว รวมกว่า 1,800 คน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิดที่เกาะเสม็ดแบบปูพรม ต้นแบบการฉีดวัคซีนใน รพ.สต. ครั้งแรก วันเดียวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายบนเกาะ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน ประชาชน กลุ่มแรงงานต่างด้าว รวมกว่า 1,800 คน เร่งสร้างความเชื่อมั่นเดินหน้าภาคเศรษกิจท่องเที่ยวให้กลับคืนโดยเร็ว วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) ที่ รพ.สต.บ้านเกาะเสม็ด จ.ระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุภาพที่ 6 และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับประชาชนบนเกาะเสม็ด โดย ดร.สาธิตกล่าวว่า เกาะเสม็ดถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดระยอง และของประเทศไทย ในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.5 ล้านคน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ และประเทศมากกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี และขณะนี้รัฐบาลได้ให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ โดยเริ่มการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ได้ลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ไว้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา รวมถึงวัคซีนได้ทยอยเข้ามาและกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้จัดสรรวัคซีนลงพื้นที่เกาะเสม็ดอย่างเร่งด่วน โดยให้ รพ.สต.บ้านเกาะเสม็ด เป็นผู้ประสาน และลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิดในพื้นที่ให้เกิดความครอบคลุมมากที่สุด ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน ผู้ประกอบการ ประชาชน รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่อาศัยและทำงานบนเกาะ ได้ประมาณ 1,800 คน ให้ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เพื่อความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ของคนบนเกาะ เรียกความเชื่อมั่นเพื่อให้สามารถเดินหน้าภาคการท่องเที่ยว และเปิดเกาะรับนักท่องเที่ยวในรูปแบบนิวนอมอล ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้โดยเร็วต่อไป ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้เป็นการฉีดแบบปูพรมครอบคลุมทั้งคนไทยและกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยใช้พื้นที่ รพ.สต.บ้านเกาะเสม็ด ซึ่งเป็นการฉีดที่รพ.สต.ครั้งแรกของประเทศ ทำการฉีดให้เสร็จภายใน 1 วัน โดยได้ระดมสรรพกำลังทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจากโรงพยาบาลระยอง โรงพยาบาลชุมชน จำนวน 80 คน และกำลังหนุนจากอสม.ในพื้นที่และใกล้เคียง ร่วมกันให้บริการประชาชนโดยเป็นรอบ รอบละประมาณ 30 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 06.30 น.หมุนเวียนรอบละ 100 คน ภายใต้กระบวนการและขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ อาทิ จุดคัดกรอง ซักประวัติ เป็นต้น จุดเด่นคือมีพยาบาลทำการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนถึงที่โดยไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายและเฝ้าระวังสังเกตอาการต่อเนื่องในจุดที่นั่งอยู่เพื่อความรวดเร็ว ลดความแออัดและเป็นระเบียบ ส่วนการนัดหมายในเข็มที่ 2 ในอีกประมาณ 3 สัปดาห์ที่รพ.สต.บ้านเกาะเสม็ด นอกจากนี้ได้มีการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้เตรียมเรือสปีดโบ๊ท ไว้บริเวณท่าเรือหน้าด่าน และ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ สำหรับเคลื่อนย้ายและส่งต่อผู้ที่พบอาการไม่พึงประสงค์หลังการวัคซีนไปยังโรงพยาบาลระยอง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หากมีความจำเป็น "การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องจัดการคู่ขนานกับการควบคุมโรคที่จะต้องทำคู่กัน ซึ่งการฉีดวัคซีนบนเกาะเสม็ดจะเป็นต้นแบบการฉีดวัคซีนในพื้นที่พิเศษบนเกาะ ให้กับกลุ่มเป้าหมายครบทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการจัดบริการใน รพ.สต.แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อสร้างความปลอดภัยความมั่นใจให้กับคนที่ทำงานบนเกาะเสม็ดและผู้เดินทาง ในการดึงนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง" ดร.สาธิตกล่าว นอกจากนี้ในช่วงบ่าย ดร.สาธิตได้ไปเยี่ยมชมจุดให้บริการฉีดวัคซีนของภาคเอกชน และในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่สนับสนุนพื้นที่ฉีดวัคซีนให้กับพนักงานกลุ่มแรงงาน เนื่องจากจังหวัดระยองเป็นหนึ่งในจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศ มีนักลงทุนและแรงงานจำนวนมาก จึงต้องมีการนำวัคซีนโควิดเข้าไปฉีดเพื่อลดอัตราการป่วยด้วยโรคโควิด 19 ที่รุนแรง และการเสียชีวิตเนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกำลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจประเทศ ในส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนของจังหวัดระยองตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ถึง 8 มิถุนายน 2564 ฉีดไปแล้ว 43,315 คน เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 27,742 คน เข็มที่ 2 จำนวน 15,573 คน ยอดการลงทะเบียนฉีดวัคซีนในกลุ่มประชาชนทั่วไปผ่านระบบต่าง ๆ 79,967 คน ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนได้ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่จัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนในพื้นที่เกาะถึงที่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองครอบครัวและชุมชนก่อนที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว และสร้างรายได้สร้างงานให้กลับมาเป็นปกติ *********************************** 8 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด วันนี้ (9 มิ.ย. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป ซึ่งมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้ดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตามประกาศ ศบค. อย่างเคร่งครัด โดยในส่วนของการจัดหาวัคซีนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ให้จัดหาจากกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุขแก่ประชาชน โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง และหลักเกณฑ์หรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือนายกรัฐมนตรีกำหนด และเป็นไปตามแนวทางหรืออยู่ในการกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดหาวัคซีนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านงบประมาณและรายได้ที่แตกต่างกัน รวมถึงการสนับสนุนและให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่ในการเข้ารับบริการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวมของประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42569
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด สปสช. ไฟเขียวเบิกจ่าย “ฟ้าทะลายโจร” รักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการน้อย
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 บอร์ด สปสช. ไฟเขียวเบิกจ่าย “ฟ้าทะลายโจร” รักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการน้อย บอร์ด สปสช. รับทราบประกาศฯ บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ฉบับที่ 2 ใช้ ‘ฟ้าทะลายโจร’ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการน้อย พร้อมมีมติสนับสนุนเบิกจ่าย เป็นสิทธิประโยชน์ใหม่แก่ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2564 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เป็นประธาน มีมติรับทราบประกาศฯ บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ฉบับที่ 2 ซึ่งให้ใช้ยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรและยาจากผงฟ้าทะลายโจร สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทั้งนี้ คาดว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายในการรับยาฟ้าทะลายโจร ประมาณ 5.26 หมื่นราย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 15.78 ล้านบาท โดย สปสช. ได้กำหนดอัตราการจ่ายชดเชยแก่หน่วยบริการรายละ 300 บาท นายอนุทิน กล่าวว่า การบรรจุยาฟ้าทะลายโจรเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้สามารถเบิกจ่ายยาดังกล่าวให้กับผู้ใช้สิทธิประกันสุขภาพของประเทศได้ ซึ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือนอกจากจะเป็นทางเลือกในการรักษาแล้ว ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ยาจากสมุนไพรเพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยาจากสมุนไพรภายในประเทศ ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางยา ลดการพึ่งพายาแผนปัจจุบันที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศลงไปได้ในอีกทางหนึ่ง นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ยาฟ้าทะลายโจรได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติอยู่แล้ว แต่ได้กำหนดข้อบ่งชี้เอาไว้ในการบรรเทาอาการของโรคหวัด เช่น เจ็บคอ น้ำมูกไหล มีไข้ เท่านั้น โดยล่าสุดราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรได้ในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย เพื่อลดการเกิดโรคที่รุนแรง ทั้งนี้ บอร์ด สปสช. ได้รับทราบประกาศฯ และเห็นชอบให้ใช้ยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และยาจากผงฟ้าทะลายโจร แก่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้ โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ รายการงบที่เตรียมไว้จ่ายเพิ่มเติมเป็นค่ายาสำหรับรายที่อาการรุนแรงปานกลางถึงมาก ซึ่งมีวงเงินทั้งสิ้น 28.8 ล้านบาท โดยการอนุมัติสิทธิประโยชน์นี้ จะไม่เป็นภาระงบประมาณแต่อย่างใด ////////////8 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM emphasizes fair distribution of vaccines to ensure effectiveness of COVID-19 disease control
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 PM emphasizes fair distribution of vaccines to ensure effectiveness of COVID-19 disease control PM emphasizes fair distribution of vaccines to ensure effectiveness of COVID-19 disease control June 8, 2021, at 1300hrs, at Thai Khu Fah Building, Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha gave an update on COVID-19 vaccination, which is the Government’s national agenda, that the number of vaccines given on June 7, the kickoff day for mass vaccination nationwide, is over 400,000 doses. Cumulative number of people who have been inoculated is approx. 4.6 million, 3.2 million of whom received the 1st shot, and 1.4 million received both shots. The Prime Minister, as head of the Center for COVID-19 Situation Administration (CCSA), emphasized CCSA’s principle on fair distribution of vaccines to ensure effectiveness of the disease control. Every province has been allocated the COVID-19 vaccines for them to start provincial mass vaccination all at the same time. Quantity of vaccines allocated to each province is subject to number of populations, ages, number of infected patients, risk groups and professions, and the province’s specific status as tourism or economic area. Each province is responsible for its own allocation of vaccines to hospitals in respective area, and people who have registered for vaccination should be vaccinated according to the date registered. The Prime Minister also apologized for an inconvenience the change or delay of vaccination may have caused, and ordered concerned agencies to immediately solve the problem. He also affirmed that more vaccines would be available in the following months, as the Government has set the target to acquire 100 million doses and more of BioScience’s AstraZeneca, Sinovac, Pfizer, and Johnson & Johnson, as well as other vaccines to be made available under negotiations with other countries. Locally-made vaccines are also expected to become available next year.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของบเยียวยาเกษตรกรจากผลกระทบโรคลัมปี สกิน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ของบเยียวยาเกษตรกรจากผลกระทบโรคลัมปี สกิน กระทรวงเกษตรฯ ของบเยียวยาเกษตรกรจากผลกระทบโรคลัมปี สกิน มอบกรมปศุสัตว์ผนึก “ม.จุฬาฯ-ม.เกษตรฯ” เป็นแกน AIC เร่งพัฒนาวัคซีนสัตว์จากพืช (Plant based Vaccine) ตั้งเป้า 2 เดือนรู้ผล นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (9 มิ.ย) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์เร่งเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน พร้อมกับเร่งพัฒนาวัคซีนลัมปี สกินจากพืชด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า plant based vaccine ความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นที่เป็นศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มทดสอบวัคซีนได้ภายใน 2 เดือน และถ้าได้ผลดีจะให้โรงงานวัคซีนของกรมปศุสัตว์ผลิตวัคซีนดังกล่าวทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการผลิตวัคซีนสัตว์จากพืช ทางด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่เกิดการระบาดของโรคลัมปี สกิน กับโค-กระบือของเกษตรกร ในหลายพื้นที่ของประเทศ จนทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือได้รับผลกระทบจากความสูญเสียโค-กระบือไปนั้น กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรเจ้าของโค-กระบือเหล่านั้น จึงได้เตรียมการเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน ดังนี้ ในกรณีที่เป็นการชดเชยกรณีสัตว์ตายหรือป่วยตาย โดยดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และมีขั้นตอน คือ 1. รวบรวมข้อมูลความเสียหาย 2. รวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ปศุสัตว์อำเภอ) 3. รวมรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ปศุสัตว์จังหวัด) 4. ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ ปศุสัตว์จังหวัด หรือกรมปศุสัตว์ ทั้งนี้ ชดเชยตามจริงแต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว เป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากของเกษตรกร ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1) อายุน้อยกว่า 6 เดือน : โค 6,000 บาท กระบือ 8,000 บาท 2) อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี : โค 12,000 บาท กระบือ 14,000 บาท 3) อายุมากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี : โค 16,000 บาท กระบือ 18,000 บาท 4) อายุมากกว่า 2 ปี : โค 20,000 บาท กระบือ 22,000 บาท อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายใด ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคลัมปี สกิน และมีความประสงค์จะขอรับการเยียวยา ขอให้ติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ใกล้บ้าน หรือศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ทางโทรศัพท์ 0-2653-4444 ต่อ 3315 และ e-mail : [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เผยหน่วยสกัดกั้นยาเสพติด​พื้นที่​อากาศ​ยาน​ ตรวจ​ยึดไอซ์ก่อนส่งไปออสเตรเลีย ป.ป.ส.เตรียมขยายผลประสานตำรวจรวบคนส่ง-ผู้รับปลายทาง
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เผยหน่วยสกัดกั้นยาเสพติด​พื้นที่​อากาศ​ยาน​ ตรวจ​ยึดไอซ์ก่อนส่งไปออสเตรเลีย ป.ป.ส.เตรียมขยายผลประสานตำรวจรวบคนส่ง-ผู้รับปลายทาง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เผยหน่วยสกัดกั้นยาเสพติด​พื้นที่​อากาศ​ยาน​ ตรวจ​ยึดไอซ์ก่อนส่งไปออสเตรเลีย เตรียมขยายผลประสานตำรวจรวบคนส่งและผู้รับปลายทาง พร้อมร่วมประชุม 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อหารือแผนแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้เร่งดำเนินการในการสืบสวนสอบสวน จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมบูรณาการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ขยายผลไปถึงต้นตอและใช้มาตรการริบทรัพย์สินดำเนินการตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เวลา 14.00 น. ชุดปฏิบัติการ​สกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่อากาศยาน (Airport Interdiction Task Force : AITF) ประกอบด้วย ป.ป.ส. , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.), กรมศุลกากร และศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย (ศรภ.) ร่วมกันตรวจยึดกล่องพัสดุไปรษณีย์ด่วนพิเศษระหว่างประเทศ (EMS) มีปลายทางส่งไปยังผู้รับเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จากการตรวจสอบกล่องพัสดุ พบยาเสพติดประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) หรือไอซ์ น้ำหนักประมาณ 750 กรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในอะไหล่รถจักรยานยนต์​ จำนวน 3 ชิ้น จึงตรวจยึดของกลาง รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้ เจ้าพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีต่อไป และสืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มผู้ส่ง และประสานตำรวจออสเตรเลียดำเนินการในส่วนของผู้รับปลายทางด้วย นายวิชัย กล่าวอีกว่า ตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ให้สำนักงาน ป.ป.ส.ประสานกับประเทศกลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ คือ จีน เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ​(UNODC) ประชุมหารือถึงสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน เพราะถือว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศที่จะต้องร่วมกันแก้ไข ซึ่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ตนได้หารือกับ นายเจรามี ดักลาส ผู้แทนประจำ UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และได้ประสานกับประเทศในกลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ โดยเบื้องต้นจะจัดให้มีการประชุมร่วมกันในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 โดยระบบวีดีโอคอนเฟอเร็นซ์ จากสำนักงาน ป.ป.ส.ไปยังประเทศดังกล่าว โดยจะมีนายสมศักดิ์​ เทพสุทิน​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ เป็นประธานการประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42568
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42585
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก จ.ชลบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก จ.ชลบุรี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก จ.ชลบุรี ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก จ.ชลบุรี จ.ชลบุรี : วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก (Eastern Industrial Pollutions Research and Warning Center) และดูพื้นที่ว่างบางส่วนของอาคารศูนย์เก็บเอกสารของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมปรับปรุง และใช้ประโยชน์ของพื้นที่ต่อไป โดยมีนางสาววิชุดา สัมฤทธิ์ผล นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ ให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM discloses key cabinet resolutions
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 PM discloses key cabinet resolutions PM discloses key cabinet resolutions June 8, 2021, at 1300hrs, at Thai Khu Fah Building, Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha disclosed some of the resolutions made at the cabinet meeting, gist of which is as follows: 1. “Jub Khu Goo Ngern (Loan Pairing)”, which has been launched on June 7, 2021, following the cabinet’s resolution assigning concerned agencies to implement measures to assist over 120,000 restaurant entrepreneurs across the country. The scheme will enable these restaurant entrepreneurs to get access to a special-conditioned soft loan from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG), SME Bank, Government’s Savings Bank, Krung Thai Bank, and Bank of Agriculture and Agricultural Cooperative in a bid to help sustain their businesses without laying off the employees. The scheme will be implemented under the collaboration of Ministry of Commerce, Ministry of Finance, and the private sector. 2. The cabinet also approved a loan under the Royal Decree authorizing Ministry of Finance to seek loan for economic and social problem solving, remedy, and rehabilitation as a result of spread of COVID-19, B.E. 2563 (1-trillion Baht Loan), for procurement of medical equipment to be used for COVID-19 screening test and treatment, i.e., COVID-19 test kits, pulse oximeters, ventilators, ambulances, and advanced cardiovascular life supports. According to the Prime Minister, the cabinet has so far approved the total amount of 984,000 million Baht (73% of which have been disbursed) out of the 1-trillion Baht loan. 3. The cabinet approved the budget of over 2.2 billion Baht for a scheme to employ 10,000 new graduates (undergraduate level) as temporary state employees in a bid to alleviate their plights during the COVID-19 situation. Successful candidates will be hired by state agencies, especially in the provincial areas, with the employment contract of not over one year. They will receive 18,000 Baht in salary, and full benefits earned by a state employee. 4. The cabinet also acknowledged the “Phuket Sandbox”, as proposed by the Committee for Economic Situation Administration (CESA), to reopen Phuket to vaccinated foreign tourists. The Phuket Sandbox will be taken as a kickoff project for other 9 provinces to be reopened for vaccinated foreign tourists in the 3rd and 4th semesters of this year. As of now, over 60% of Phuket population have been vaccinated. Tourists who wish to visit the province without a 14-day quarantine must have COVID-19 vaccination certificate valid a minimum of 14 days to one year before their arrival in Phuket, and must travel from any of the medium to low-risk countries identified by Ministry of Public Health.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อนุมัติเงินสงเคราะห์ 11.8 ล้านบาท เยียวยาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ก.แรงงาน อนุมัติเงินสงเคราะห์ 11.8 ล้านบาท เยียวยาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ก.แรงงานอนุมัติเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 11.8 ล้านบาท เยียวยาความเดือดร้อนให้ลูกจ้างบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 858 คน และบริษัทอื่นๆ อีก 29 คน ที่ถูกเลิกจ้างและยังไม่ได้รับค่าจ้าง ค่าทำงาน นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ในฐานะโฆษกกรม เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยถึงการช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของลูกจ้างจำนวนมากที่ถูกบริษัทเลิกจ้าง ทั้งจากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจซ้ำเติมลูกจ้างหากยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งรัด ติดตามการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้กำหนดเป็นนโยบายและมาตรการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแรงงานตามกฎหมายอย่างเร่งด่วน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้จัดประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ครั้งที่ 6/2564 ในวันที่ 9 มิถุนายน 2564 พิจารณาอนุมัติเงินสงเคราะห์กรณีอื่นนอกจากค่าชดเชยของลูกจ้าง จำนวน 887 คน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 11,814,904.36 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 858 คน และบริษัทอื่นๆ อีก 29 คน ในการเยียวยาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง นางโสภา เกียรตินิรชา โฆษก กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นกลไกที่กระทรวงแรงงานจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนเพื่อช่วยให้ผู้ใช้แรงงานได้มีเงินในการดำรงชีพอันเนื่องมาจากการถูกเลิกจ้างขาดรายได้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศซึ่งหากลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างกรณีไม่ได้รับค่าชดเชย หรือสิทธิประโยชน์อื่น เช่น ค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นต้น สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน1506กด3หรือ 1546
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๔
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 รมว.ยุติธรรม ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ ในวันพุธที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ โดยมี ว่าที่ ร.ต. ธนกฤต จิตรอารีย์​รัตน์​ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าและหารือการดำเนินงานในเรื่องการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ การนำผู้ต้องขังไปทำงานภายนอกเรือนจำ การวางแผนฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (JSOC) นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ติดตามผลการดำเนินงานตามแผนงาน หรือโครงการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่เริ่มมอบนโยบาย จนถึงปัจจุบัน เพื่อเตรียมการรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19”
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564 “สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19” กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงาน ผ่านการติวเข้มทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อเติมวัคซีนความรู้เฉพาะทางด้านอาชีวอนามัย ประยุกต์ใช้งานโปรแกรมดิจิทัลเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงงาน กรุงเทพฯ9มิถุนายน2564 -กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(DIPROM)หรือ“ดีพร้อม”เร่งช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงานผ่านการติวเข้มทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อเติมวัคซีนความรู้เฉพาะทางด้านอาชีวอนามัยประยุกต์ใช้งานโปรแกรมดิจิทัลเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงงานพร้อมปรับใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการสถานประกอบการให้ปลอดภัยห่างไกลโควิด-19รวมทั้งแชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ประกอบการต้นแบบเพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19คาดว่าสามารถช่วยพยุงเอสเอ็มอีทั่วประเทศให้พร้อมรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงานได้ นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในปัจจุบันระลอกใหม่นี้ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนรวมถึงผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะที่กำกับและดูแลโรงงานสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้เห็นถึงความสำคัญและได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือในการส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีดิจิทัลและองค์ความรู้ต่างๆเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปขณะเดียวกันเพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผมจึงได้สั่งการให้“ดีพร้อม”เร่งจัดคอร์สเฉพาะกิจเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเน้นเสริมความรู้ที่จำเป็นสำหรับบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆรวมถึงการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงานและสถานประกอบการให้ได้อย่างทันท่วงที นายณัฐพลรังสิตพลอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ระรอกใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศไทยยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกเป็นหลักโดยฟันเฟืองสำคัญที่เป็นรากฐานของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและจีดีพีของไทยกว่าร้อยละ35คือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งยังต้องพึ่งพาแรงงานในการผลิตสินค้าเช่นเดียวกับโรงงานขนาดใหญ่และอาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้ ดังนั้น“ดีพร้อม”ได้ขานรับนโยบายและความห่วงใยของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้สำรวจปัญหาและความต้องการจริงของเอสเอ็มอีทั่วประเทศและนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำโครงการเร่งด่วน“ช่วยเอสเอ็มอีแบบดีพร้อมนำธุรกิจปลอดภัยห่างไกลโควิด-19”ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในแบบฉบับของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เน้นทำได้ฟรีทำได้ไวและใช้ได้จริงโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเน้นชู3มิติตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบันได้แก่1)การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจด้วยการลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต(Lean)และลดความแออัดในโรงงานด้วยโปรแกรมดิจิทัลเฉพาะทางที่พัฒนาโดยคนไทย2)การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมและวิธีบริหารจัดการโซ่อุปทานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผลิตและ3)การเสริมความรู้และเทคนิคด้านสุขอนามัยและอาชีวอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดระหว่างโรงงานและชุมชนโดยมีไฮไลท์สำคัญคือการแชร์ประสบการณ์จากผู้ประกอบการต้นแบบในการรับมือและพลิกฟื้นจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงานที่เกิดขึ้นจริงพร้อมจัดทัพที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัยแก่ผู้ประกอบการตามความต้องการโดยโครงการนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่10 - 18มิถุนายน2564ในรูปแบบการอบรมออนไลน์ผ่านFacebook LiveทางFanpage : DIPromStationของดีพร้อมเองเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมฟังได้อย่างสะดวกและทั่วถึง ทั้งนี้การดำเนินโครงการในครั้งนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันแก่โรงงานและสถานประกอบการที่ต้องอาศัยแรงงานในกระบวนการผลิตให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่อาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลงโดยมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในเชิงรุกผ่านการพัฒนาความรู้ในเชิงทฤษฎีและเสริมด้วยการใช้โปรแกรมดิจิทัลเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้จริงอีกทั้งยังนำเอาองค์ความรู้ในภาคอุตสาหกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการองค์กรให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19ได้อย่างมั่นคงและรอดพ้นจากความเสี่ยงคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรมได้โดยตลอดรอดฝั่งนายณัฐพลกล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการช่วยเอสเอ็มอีแบบดีพร้อมนำธุรกิจปลอดภัยห่างไกลโควิด-19สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่0 2202 4579หรือwww.dip.go.thหรือwww.facebook.com/dipindustry #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#กระทรวงอุตสาหกรรม#กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม#industryprmoi #ดีพร้อมนำเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง รวบตัวผู้เสพได้ 6 ราย เตรียมขยายผลจับเอเย่นต์ค้ายาในพื้นที่ต่อไป
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 รมว.ยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง รวบตัวผู้เสพได้ 6 ราย เตรียมขยายผลจับเอเย่นต์ค้ายาในพื้นที่ต่อไป นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง ได้ผู้เสพ 6 ราย ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญ วอนช่วยเป็นหูเป็นตาหากพบเบาะแสแจ้งสายด่วน 1386 จากกรณีมีประชาชนในพื้นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เกรงกลัวจะได้รับความเดือดร้อน หลังมีการนัดหมายซื้อขายยาเสพติดในพื้นที่สวนยางของตัวเอง จึงเขียนป้ายประชดเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติด เพราะเคยร้องเรียนผ่านหน่วยที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานแต่เรื่องยังเงียบ นั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานกรณีดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 6 (ปปส.ภาค 6) ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลร้องเรียนพบว่า วันที่ 29 มกราคม 2564 ประชาชนในพื้นที่หมู่ 9 บ้านชุมแสง ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ร้องเรียนว่ามีการซื้อขายเสพยาเสพติดกันทั่วไป และยังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ให้การสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดยาเสพติด และมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีฐานะร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ รวมทั้งมีผู้เกี่ยวข้องเคยต้องโทษคดียาเสพติดและถูกจำคุก ปัจจุบันพ้นโทษออกมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 ตรวจสอบพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐตามผู้ร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบการกระทำผิดใด ๆ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบถึงปัญหา และกำลังดำเนินการแก้ไขให้มีความรวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังเกิดเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมชุดสายตรวจ สภ.แก่งโสภาได้เข้าตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยนำตู้แดงไปติดที่บริเวณพื้นที่จุดเสี่ยงในหมู่บ้าน และเมื่อคืนวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการกวาดล้างในพื้นที่ จนสามารถจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ 6 ราย พร้อมเตรียมขยายผลไปยังเอเย่นต์ที่ค้ายาในพื้นที่ต่อไป “ผมยืนยันว่ารัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด เราทำงานเชิงรุกในด้านยาเสพติดทุกมิติ เช่น การตัดวงจรยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดนที่จะใช้ชายแดนไทยเป็นทางผ่านไปประเทศอื่น ๆ เวลานี้ยาเสพติดมีต้นทุนต่ำการผลิตจึงมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการลักลอบขนยาเสพติดเพิ่มไปด้วย ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่หากพบเจอผู้ค้ายาเสพติดหรือมีข้อมูลให้แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายสมศักดิ์ กล่าว นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สำนักงาน ปปส.ภาค 6 ร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ได้จัดทำโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน นำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด (ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ) จำนวน 6,009 หมู่บ้าน/ชุมชน ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ได้จำนวน 8,465 คดี ยึดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 97 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึด/อายัด จำนวน 13,110,879 บาท และนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษายาเสพติดได้จำนวน 6,851 ราย นอกจากนี้กรมการปกครอง ได้ดำเนินการสำรวจความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ผลการสำรวจปรากฏข้อมูลว่าหมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายของโครงการมีการเปลี่ยนแปลงสถานะจากมีปัญหายาเสพติดเป็นไม่มีปัญหายาเสพติด ร้อยละ 50.8 และภาคประชาชนพึงพอใจโครงการดังกล่าวร้อยละ 99
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามขั้นตอน ยึดกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ และวินัยการเงินการคลัง เน้นจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในทุกมิติ
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรียืนยันเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามขั้นตอน ยึดกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ และวินัยการเงินการคลัง เน้นจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในทุกมิติ นายกรัฐมนตรียืนยันเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามขั้นตอน ยึดกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ และวินัยการเงินการคลัง เน้นจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในทุกมิติ วันนี้ (9 มิ.ย. 64) เวลา 19.30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯ และยินดีรับฟังความคิดเห็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละท่าน พร้อมให้ความเชื่อมั่นถึงการจัดเตรียมงบประมาณภาครัฐ เพื่อแก้ไขบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเบิกจ่ายเป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันรัฐบาลทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ มีทั้งการตรวจสอบ ประชุมหารือจากหลายคณะด้วยกัน นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการวางแผนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ในอนาคต ทั้งการลงทุน เขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ EEC โครงสร้างพื้นฐาน ระบบดิจิทัล สำหรับการดําเนินการภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยทําให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 หดตัวลดลงที่ -6.1% ซึ่งน้อยกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ที่ -8.1% ซึ่งการ ดําเนินโครงการภายใต้แผนงานที่ 2 เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ จะทําให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังปี 2564 ด้วย ในส่วนงบประมาณด้านสาธารณสุข ได้อนุมัติค่าเสี่ยงภัย อสม. ค่าเครื่องมือแพทย์กว่า 30,000 รายการ และค่าปรับปรุงก่อสร้างโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์กว่า 786 แห่ง เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน ไม่มีการตัดงบประมาณด้านสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลพยายาอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกมิติ กระตุ้นการจ้างงาน ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน สมาคมแรงงาน กองทุนประกันสังคม และกองทุนต่าง ๆ ขณะเดียวกัน เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กว่า 5 ล้านราย ลดปัญหาหนี้สิน โดยใช้กลไกผ่านธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ ปรับกฎ/กติกา ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน Soft Loan แก่ผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ให้สามารถกู้เงินได้ รวมถึงกระบวนการประนอมหนี้ คลินิกแก้หนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเม็ดเงินผ่านการบริโภค ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 203,040 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการร้านค้าจำนวนกว่า 1.14 ล้านร้านค้า ผ่านโครงการคนละครึ่ง ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ร้านค้าหาบเร่ แผงลอย โดยมีบรรทัดฐานของรายได้เป็นตัวกำหนด ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ และวินัยการเงินการคลัง ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รุกช่วยเหลือชุมชน-ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เปิดช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT ผ่าน Live สดทางเพจเฟซบุ๊ก ช่วงเม.ย.-พ.ค.กระแสตอบรับดี
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 วธ.รุกช่วยเหลือชุมชน-ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เปิดช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT ผ่าน Live สดทางเพจเฟซบุ๊ก ช่วงเม.ย.-พ.ค.กระแสตอบรับดี วธ.รุกช่วยเหลือชุมชน-ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เปิดช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT ผ่าน Live สดทางเพจเฟซบุ๊ก ช่วงเม.ย.-พ.ค.กระแสตอบรับดี วธ.รุกช่วยเหลือชุมชน-ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เปิดช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT ผ่าน Live สดทางเพจเฟซบุ๊ก ช่วงเม.ย.-พ.ค.กระแสตอบรับดี มีผู้ชมกว่า ๕ หมื่นคน มีผู้เข้าถึงเพจเกือบ 8 แสนคน ยอดจำหน่าย-สั่งจองสินค้ากว่า 5 ล้านบาท เตรียมขยายให้ สวจ.เปิด Live สดช่วยผู้ประกอบการแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้ทุกกระทรวง หน่วยงาน เร่งหามาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นอกจากจะร่วมกับชาวชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร ( บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) กว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ เครือข่ายด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมทั่วประเทศ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน จัดทำโครงการปันน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน นำความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นไปมอบให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่องให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้แล้ว ยังได้มอบนโยบายให้ทางสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.) ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาชุมชนคุณธรรมฯ ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรม เครือข่ายต่างๆ ในการพัฒนาสินค้าหรือหาช่องทางจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า ล่าสุด สป.วธ. ได้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand:CPOT) ในการจำหน่ายแบบอี-คอมเมิร์ซ ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการจำหน่ายทางโซเชียลมีเดีย ผลิตภัณฑ์ CPOT ผ่านทางเว็บไซต์ www.cpotshop.com และผ่านเพจ Facebook เพจ CPOT ด้วยการแพร่ภาพสด (Live) ภายใต้แนวคิด “สุดยอดของดีจากชุมชน ส่งตรงถึงมือคุณ” เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาชุมชน ผู้ประกอบการและเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถออกร้านได้ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 โดยวธ.ได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ CPOT จากชุมชนทั่วประเทศ เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ของใช้ ของตกแต่งบ้านและผลิตภัณฑ์สมุนไพรมาจำหน่ายในราคาพิเศษ ทั้งนี้ หลังจากที่วธ.ได้เผยแพร่ภาพสด (Live) ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 7 ครั้ง จำนวน ๒๗ ชุมชน ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าชมขณะเผยแพร่ภาพสดและเข้าชมย้อนหลังกว่า 50,000 คน และมีผู้เข้าถึงกว่าเพจ CPOT เกือบ 800,000 คน และยอดจำหน่าย สั่งจอง ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ล่าสุดได้มอบให้สป.วธ.ขยายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด(สวจ.) เปิด Live สดช่วยผู้ประกอบการแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้มี สวจ.ที่ดำเนินการ Live สดช่วยผู้ประกอบการแล้ว อาทิ สวจ.อุตรดิตถ์ สวจ.สุรินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า โครงการนี้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชุมชนผู้ประกอบการและเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CPOT อีกทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมให้ทุกฝ่ายได้ปรับตัวในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเข้าถึงลูกค้าในยุค New Normal และการจำหน่ายแบบอี-คอมเมิร์ซ รวมไปถึงเป็นการรองรับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของชุมชนเชื่อมโยงกับชุมชนอื่น หรือจังหวัดใกล้เคียง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลาย ทั้งนี้ จึงขอเชิญประชาชน ผู้สนใจร่วมให้กำลังใจและเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ ชุมชนและเครือข่ายทางวัฒนธรรมได้ทาง Facebook เพจ CPOTและติดตามรับชมการแพร่ภาพสด (Live) ได้ทุกวันอังคาร เวลา 12.00 น.พร้อมร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลในทุกสัปดาห์โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอสตราเซนเนกา เข็มสอง ห่าง 16 สัปดาห์ ดียังไง?
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 แอสตราเซนเนกา เข็มสอง ห่าง 16 สัปดาห์ ดียังไง? .... จากการศึกษาพบว่า การให้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซนเนกา เข็มที่ 1 กับ 2 ห่างกัน 6-12 สัปดาห์ ได้ผลภูมิต้านทางดีกว่าระยะเวลาที่สั้นกว่านี้ . ในอังกฤษ ฉีดวัคซีนชนิดนี้ในพื้นที่ระบาดมากและวัคซีนไม่พอ ให้ห่างกัน 16 สัปดาห์ เพื่อให้ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกมากที่สุด . การศึกษาใน สกอตแลนด์ พบว่า วัคซีนแอสตราเซนเนกา เพียงเข็มเดียว มีประสิทธิภาพ 80% พอได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ประสิทธิภาพเพิ่มเป็น 90% การปูพรมเข็มแรกให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยเติมเข็มที่ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมการระบาดมากกว่า . หลักการของวัคซีน คือ ยิ่งห่างนาน ยิ่งกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดี เพื่อหวังผลให้ประสิทธิภาพอยู่นาน . การระบาดในประเทศไทยขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น ต้องควบคุมโรคให้เร็วที่สุด จำเป็นต้องให้ประชาชนได้รับวัคซีนเข็มแรกมากที่สุดก่อน แล้วค่อยเติมเข็มที่ 2 เพื่อให้ภูมิสูงขึ้นและอยู่นาน ดังนั้น จึงกำหนดระยะห่างเข็มที่ 2 ไว้ที่ 16 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทยโดยรวม Cr : ยง ภู่วรวรรณ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม.เห็นชอบบทบาทกลาโหมอาเซียน ร่วมแก้ปัญหาทะเลจีนใต้อย่างสร้างสรรค์ รับมือภัยพิบัต โรคระบาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ​ครม.เห็นชอบบทบาทกลาโหมอาเซียน ร่วมแก้ปัญหาทะเลจีนใต้อย่างสร้างสรรค์ รับมือภัยพิบัต โรคระบาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ ​ครม.เห็นชอบบทบาทกลาโหมอาเซียน ร่วมแก้ปัญหาทะเลจีนใต้อย่างสร้างสรรค์ รับมือภัยพิบัต โรคระบาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (8 มิถุนายน 2564) ว่า ครม.เห็นชอบร่างปฏิญญาสมัยพิเศษของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนครั้งที่ 15 (15th ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 8 (8th ADMM - Plus) รวม 2 ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมที่กระทรวงกลาโหม บูรไน เป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน 2564 ด้วยระบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ ทั้ง 2 ฉบับ เป็นการแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายร่วมกันเนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งกลไกการประชุม ADMM และ ADMM - Plus เพื่อส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจและพัฒนาความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.ร่างปฏิญญาบันดาร์ เสรี เบกาวัน เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 15 ปี ของการก่อตั้งกลไกการประชุม ADMM เพื่อส่งเสริมการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สันติภาพ และความมั่งคั่งของอาเซียน มีสาระสำคัญ อาทิ - ร่วมกันแก้ปัญหาในประเด็นทะเลจีนใต้อย่างสร้างสรรค์และสันติ โดยยึดมั่นในการสนับสนุนความมั่นคงทางทะเล ความปลอดภัย เสรีภาพการเดินเรือและการบินข้ามน่านฟ้า เพื่อนำไปสู่การแก้ไขข้อพิพาททะเลจีนใต้อย่างสันติ - เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของอาเซียนและภาคีภายนอก เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ผ่านศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน รวมทั้งเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุข - รับรองร่างเอกสารความร่วมมือริเริ่มใหม่ที่เสนอโดยประเทศสมาชิกอาเซียน จำนวน 8 ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับการติดตามการดำเนินความร่วมมือภายใต้กรอบการประชุม ADMM และ ADMM - Plus โดยไม่มีการลงนามในเอกสาร 2. ร่างปฏิญญาบันดาร์ เสรี เบกาวัน ของการประชุม ADMM – Plus เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 15 ปี ของการก่อตั้งกลไกการประชุม ADMM เพื่อส่งเสริมการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สันติภาพ และความมั่งคั่ง ของอาเซียน มีสาระสำคัญ อาทิ - พันธมิตรอาเซียนและประเทศคู่เจรจาให้การสนับสนุนต่อการดำเนินงานของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โรคระบาด และการบรรเทาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ - แสวงหาความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารของภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของหน่วยงานด้านความมั่นคง ในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ของภูมิภาค ..................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ. กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ขอประชาชนมั่นใจความปลอดภัยของวัคซีน ร่วมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาดโควิด-19
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ผอ. กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ขอประชาชนมั่นใจความปลอดภัยของวัคซีน ร่วมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาดโควิด-19 ผอ. กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ขอประชาชนมั่นใจความปลอดภัยของวัคซีน ร่วมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาดโควิด-19 วันนี้ 9มิถุนายน2564เวลา13.10น.ณโถงกลางตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาลนายแพทย์เฉวตสรรนามวาทผู้อำการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขกล่าวถึงภาพรวมการฉีดวัคซีนทั่วประเทศตั้งแต่วันที่28กุมภาพันธ์- 8มิถุนายน2564มีจำนวนวัคซีนที่จัดสรรออกไปดังนี้ขิโนแวคจำนวน4,982,313โดส แอสตร้าเซนเนก้า1,774,180โดสรวมทั้งสิ้นการจัดสรรวัคซีน2ชนิดจำนวน6,700,000กว่าโดสในส่วนการฉีดวัคซีนcovid19ระหว่างวันที่7- 8มิถุนายน2564รวมทั้งสิ้นจำนวน888,000กว่าโดสซึ่งจะเห็นว่าสามารถฉีดได้เกินกว่าวันละ400,000โดสสรุปยอดรวมการฉีดวัคซีนวันที่28กุมภาพันธ์- 8มิถุนายน2564จำนวน5,107,069โดส นายแพทย์เฉวตสรรนามวาทผู้อำการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกล่าวว่าภายหลังการฉีดวัคซีนจะมีระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์เช่นแพ้วัคซีนหรือผลข้างเคียงซึ่งอาการเหล่านี้จะมีการแยกที่ชัดเจนเพราะมีความสำคัญในการที่จะดูแลประชาชนที่แตกต่างกันตามอากาศที่เกิดขึ้นโดยระบบติดตามเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวมีการดำเนินการที่มีความรวดเร็วแม้พบอาการเล็กน้อยก็สามารรายงานมาได้ซึ่งจะมีการรวบรวมอาการต่างๆไว้แต่ถ้าอาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องติดตามดูข้อมูลลึกแต่หากเข้าข่ายอาการที่รุนแรงหรือเสียชีวิตก็จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดว่าสาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นมาจากอะไร ทั้งนี้ในบางส่วนของอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจจะเป็นแค่ปฏิกิริยาของร่างกายหรือที่เรียกว่า"ผลข้างเคียง"โดยปฏิกิริยาของร่างกายคือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายซึ่งวัคซีนก็เป็นหนึ่งในสิ่งแปลกปลอมที่ใส่เข้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อประโยชน์กระตุ้นให้ร่างกายรู้จักว่าเวลาที่มีสารกระตุ้นแบบนี้ซึ่งจำลองหรือเอาสารที่มาจากตัวเชื้อก็ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาในร่างกายจริงๆซึ่งปรียบเสมือนทหารป้องกันที่จะเข้าไปต่อสู้เอาชนะทำให้ลดการเสียชีวิตลดการป่วยลดการตืดเชื้อส่งผลไปถึงหยุดการแพร่กระจายหรือลดการแพร่กระจายทำให้การระบาดหยุดไปได้ ขณะนี้มีการรายงานเข้ามาเสียชีวิต27รายและล่าสุดเมื่อเช้านี้รายงานเพิ่ม1รายรวมเป็นเสียชีวิต28รายโดยขอชี้แจงว่าไม่ได้เป็นผลมาจากวัคซีนซึ่งตามหลักการเมื่อมีอาการรุนแรงก็จะต้องมีการหาสาเหตุให้ชัดเจนโดยระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ในระดับพื้นที่จะมีการรวบรวมข้อมูลรายงานสถานการณ์ว่าเกิดเหตุอะไรในเบื้องต้นโดยมีการจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญในระดับเขตหากมีอาการที่เข้าข่ายดังกล่าวผู้เชี่ยวชาญจะต้องดูสาเหตุว่าเป็นอย่างไรและมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ซึ่งจะรู้สาเหตุที่แท้จริงต้องมีทั้งกระบวนการที่ดูในเรื่องของกระบวนการดูแลรักษาการส่งตรวจในโรงพยาบาลหรือการตรวจผ่าชันสูตรหลังเสียชีวิตสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากนอกจากดูรูปลักษณ์ภายนอกการผ่าแล้วชิ้นเนื้อที่ต้องส่งตรวจเพื่ออธิบายสาเหตุก็มีความสำคัญเช่นกันส่วนกรณีที่เกิดขึ้นที่ปทุมธานีที่มีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนนั้นหลังการตรวจชันสูตรแล้วพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองซึ่งเป็นสาเหตุคนละเรื่องกับเรื่องของวัคซีนทั้งนี้ในส่วนผู้เสียชีวิต27รายดังกล่าวที่รายงานเข้ามาจำนวน12รายมีการสรุปสาเหตุชัดเจนแล้วพบว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของวัคซีนจึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีนและจะมีการติดตามในเรื่องดังกล่าวมารายงานให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความมั่นใจและได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในวงกว้างเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทำให้หยุดการระบาดได้ในที่สุด ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกล่าวว่ากรณีผู้ที่มีโรคประจำตัวเกือบทุกโรคสามารถฉีดได้อยู่แล้วโดยในวันที่มาฉีดมีสุขภาพแข็งแรงดีไม่ได้อ่อนเพลียหรือมีอาการกำเริบของโรคแต่หากบุคคลใดมีความกังวลใจและมีการรักษากับแพทย์เป็นประจำอยู่อาจขอคำปรึกษากับแพทย์เพิ่มเติมได้แต่โดยส่วนใหญ่ทุกกรณีของโรคประจำตัวถ้าไม่ได้มีอาการกำเริบก็สามารถฉีดได้โดยไม่ต้องเลื่อนนัดส่วนกรณีที่มีอาการปวดหัวหรือเป็นไมเกรนหลังจากรับวัคซีนแล้วนั้นขอให้ใช้การประเมินของตัวเองก่อนซึ่งโดยปกติแล้วหากปวดหัวเล็กน้อยก็สามารถรับทานยาพาราเซตามอลและพักผ่อนอาการก็ดีขึ้นแต่ถ้าทานยาพาราฯหรือพักผ่อนแล้วอาการไม่ดีขึ้นและมีการการปวดที่รุนแรงตั้งแต่ต้นรวมทั้งมีความกังวลก็สามารถติดต่อพบแพทย์ได้เลยโดยไม่ต้องรอ -------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแค
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 อนุทิน ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแค รองรับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” และโครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย” ตั้งเป้าวันละ 3,000 คน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแค รองรับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” และโครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย” ตั้งเป้าวันละ 3,000 คน และเตรียมหารือไหลเวียนเพิ่มจำนวนวัคซีนไปยังศูนย์ฉีดที่มีความพร้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันควบคุมโรค วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแค กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแคซึ่งเป็นความร่วมมือ ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา โรงเรียนแพทย์ เอกชน และสถานประกอบการ อาทิ กรุงเทพมหานคร หอการค้าไทย เดอะมอลล์ บางแค เครือโรงพยาบาลBDMS กรุงเทพดุสิตเวชกาล และคณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โดยมี ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ได้มาเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเดอะมอลล์ บางแค เห็นถึงความพร้อมของสถานที่ ความตั้งใจของบุคลากรที่มากด้วยประสบการณ์ และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เตรียมหารือเพิ่มจำนวนวัคซีนไปยังศูนย์ฉีดที่มีความพร้อม ให้เกิดการไหลเวียนของวัคซีน สามารถรองรับประชาชนได้ถึงวันละ 3,000 คน ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” และโครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย” โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ที่ยังคงพบการระบาดต่อเนื่อง หากสามารถควบคุมการแพร่กระจายโรคในพื้นที่ กทม.ได้ ก็จะสามารถควบคุมการระบาดหลักของประเทศไทยได้ นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในการจัดสรรวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ ตามที่ ศบค. กำหนดแผนการจัดสรร โดยเทียบอัตราส่วนประชากรแต่ละจังหวัด และพิจารณาปัจจัยเสี่ยงของแต่ละพื้นที่การบริหารจัดการเป็นหน้าที่ของหัวหน้าส่วนแต่ละจังหวัด ซึ่งวัคซีนที่รัฐบาลนำมาฉีดให้ประชาชนขณะนี้ ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูง และจะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายของรัฐบาลคือ 100 ล้านโดส ภายในปี 2564 เพื่อฉีดให้คนไทยทุกคนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ ได้มีการนัดหมายทำข้อตกลงความร่วมมือภายในสัปดาห์นี้ และจะทยอยส่งมอบทั้งสิ้น 20 ล้านโดสตามข้อตกลง ภายในปีนี้เช่นกัน สำหรับกรณีข่าวหญิงอายุ 46 ปีเสียชีวิต มีประวัติรับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้านั้น ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุขมีการเฝ้าระวังติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด19(AEFI) โดยมีการสอบสวนโรค ชันสูตร รวบรวมข้อมูล นำสู่เข้าที่ประชุมคณะกรรมการ AEFI เพื่อพิจารณาว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ให้เกิดความชัดเจน หากทราบผลการพิจารณาจะชี้แจงสร้างความเข้าใจกับครอบครัว สังคม ต่อไป *********************************** 9 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มสิทธิ! ตรวจ - รักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หลังฉีดวัคซีนโควิด-19
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เพิ่มสิทธิ! ตรวจ - รักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 .... ปัจจุบัน มีประชาชนให้ความสนใจ และร่วมใจกันเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนภายหลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว . ล่าสุด รัฐบาลได้เพิ่มสิทธิประโยชน์การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab) เพื่อตรวจและรักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่มีอาการหลอดเลือดอุดตัน ภายหลังได้รับวัคซีน (ภาวะ VITT) ซึ่งครอบคลุมการเบิกจ่าย 4 รายการ ได้แก่ 1. การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง CBC 2. การตรวจวินิจฉัย Heparin-PF4 antibody (lgG) ELISA assay 3. การตรวจวินิจฉัย Heparin induced Platelet activation test (HIPA) และ 4. ยา Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG) ซึ่งให้เบิกจ่ายตามระบบ VMI . แม้ว่าภาวะ VITT จะมีอัตราการเกิดที่ต่ำมาก (1 : 125,000 – 1 : 1,000,000 ของผู้ได้รับวัคซีน) แต่ สปสช. จำเป็นต้องขยายสิทธิ เพื่อดูแลประชาชนที่มีอาการข้างเคียงให้ได้รับการดูแลทั้งกระบวนการ . ดังนั้น ขอให้ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ในช่วง 4 - 30 วัน หากมีอาการดังต่อไปนี้ ปวดศีรษะรุนแรง แขนขาชาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หายใจลำบากหรือติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก เป็นต้น ต้องรีบเข้ารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง โดย สปสช. จะสนับสนุนค่าตรวจรวมทั้งค่ารักษาให้ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ย้ำ รพ./สถานบริการฉีดวัคซีน ต้องลงข้อมูลในระบบหมอพร้อม ยืนยัน สธ. มีระบบติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน ขอประชาชนมั่นใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีน
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ​ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ย้ำ รพ./สถานบริการฉีดวัคซีน ต้องลงข้อมูลในระบบหมอพร้อม ยืนยัน สธ. มีระบบติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน ขอประชาชนมั่นใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีน ​ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ย้ำ รพ./สถานบริการฉีดวัคซีน ต้องลงข้อมูลในระบบหมอพร้อม ยืนยัน สธ. มีระบบติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน ขอประชาชนมั่นใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีน วันนี้ (9 มิถุนายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า ศบค. มีความเป็นห่วงใยประชาชนจากที่ได้ปูพรมฉีดวัคซีน 2 วันที่ผ่านมา ได้มีการติดตามควบคู่กันไปกับอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบทางมีการจัดการบริหารข้อมูล ติดตามหลังการฉีดวัคซีนไม่เฉพาะเฝ้าระวังในบริเวณที่ฉีดวัคซีน 30 นาทีเท่านั้น หลังฉีดจะมีการติดตาม 7 วันหรือ 14 วัน ด้วย รวมทั้ง การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หรือ Adverse events following immunization (AFFI) การติดตามหลังฉีดวัคซีน ภายใต้ระบบข้อมูลคือ MOPH Immunization Center (Moph IC) ของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยังกล่าวว่า หากประชาชนที่ได้รับวัคซีนแล้วมีอาการผิดปกติ ก็สามารถติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งในแต่ละจังหวัด อาทิ สสจ. สปสช. จะมีคณะอนุกรรมการจังหวัด มีกรรมการผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาวิชาชีพ ทำการสอบสวนโรคและพิจารณาชดเชยแยกตามความรุนแรง ไปจนถึงในกรณีที่มีการเสียชีวิต ที่สำคัญคือ ประชาชนที่รายงานอาการไม่พึงประสงค์จะได้รับการดูแลโดยด่วน รวมทั้งได้รับเยียวยาค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา มีระบบประกันที่จะชดเชยให้กับทุกคน ผู้เช่วยโฆษก ศบค. ยังฝากไปยังโรงพยาบาลหรือสถานที่บริการฉีดวัคซีน ต้องลงข้อมูลในระบบหมอพร้อม รวมถึงมีการดูแล เฝ้าระวังให้ประชาชนปลอดภัยและสร้างมั่นใจในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนด้วย ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” ส่งมอบแนวไม้ไผ่กันคลื่นให้ชาวเพชรบุรี หวังแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 “วราวุธ” ส่งมอบแนวไม้ไผ่กันคลื่นให้ชาวเพชรบุรี หวังแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างยั่งยืน “วราวุธ” ส่งมอบแนวไม้ไผ่กันคลื่นให้ชาวเพชรบุรี หวังแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างยั่งยืน “วราวุธ” ส่งมอบแนวไม้ไผ่กันคลื่นให้ชาวเพชรบุรี หวังแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างยั่งยืน วันนี้ (3 มิถุนายน 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น จังหวัดเพชรบุรี ส่งมอบโมเดลจำลองโครงการ และโมเดลทุ่นดักขยะให้กับตัวแทนชุมชนในพื้นที่ พร้อมร่วมปลูกป่าชายเลน (ต้นแสมและโกงกาง) บริเวณหลังแนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น โดยมี ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม ณ บริเวณตลาดกลางท่าเทียบเรือบางแก้ว จังหวัดเพชรบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวย้ำถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ยังคงพบเห็นได้ในหลายพื้นที่ ว่าต้องรักษาสมดุลธรรมชาติและป้องกันผลกระทบต่อประชาชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทุกโครงการ และมาตรการต่างๆ จะต้องผ่านความเห็นชอบของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ก่อน การแก้ไขปัญหาจะใช้ความคิด และความร่วมมือของพี่น้องชาวจังหวัดเพชรบุรีเป็นสำคัญ โดยได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาออกเป็น 3 มาตรการ คือ มาตรการขาว เขียว และเทา 4 แนวทาง คือ แนวทางการปรับสมดุลชายฝั่ง แนวทางการฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง แนวทางการป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งจะมีแนวทางที่ชัดเจนว่าหาดไหนใช้แนวทางใดในการแก้ปัญหา จะได้ไม่มีการแก้ไขปัญหาซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานดังเช่นในอดีต ในภาพรวมของประเทศยังคงเหลือพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกถึง 87 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร ซึ่งในวันนี้ ได้ส่งมอบ แนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2564 ระยะทางปักกว่า 4,310 เมตร ในพื้นที่ตำบลปากทะเล 2,770 เมตร และตำบลบางแก้ว 1,540 เมตร ให้กับจังหวัดเพชรบุรี ได้ดูแลร่วมกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งประโยชน์จากแนวปักไม้ไผ่ดังกล่าว นอกจาก จะช่วยแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่หาดโคลนแล้ว ยังมีส่วนช่วยเร่งการตกตะกอนและเพิ่มพื้นที่หาดเลนหลังแนวไม้ไผ่ อันจะส่งผลให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นอีกด้วย และหลังจากนี้ จะต้องมีการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ที่ยังคงเหลืออยู่อีกประมาณ 7.69 กิโลเมตร ต่อไป ทั้งนี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงพี่น้องประชาชน จังหวัดเพชรบุรีว่า “ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเกิดได้ทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การทำอย่างฝืนธรรมชาติ แต่ต้องกลมกลืนกับธรรมชาติและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน การปักแนวไม้ไผ่ ชะลอคลื่น คือ การใช้วัสดุธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ ซึ่งง่ายต่อการจัดการและดูแล รักษาสมดุลธรรมชาติ และยังเกิดประโยชน์แก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการปกครอง ชี้แจงกรณีคนตาบอดไม่มีบัตรประชาชนทำให้ไม่สามารถเข้ารักษาโควิด-19 ได้ฟรี
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กรมการปกครอง ชี้แจงกรณีคนตาบอดไม่มีบัตรประชาชนทำให้ไม่สามารถเข้ารักษาโควิด-19 ได้ฟรี กรมการปกครอง ลงพื้นที่เร่งตรวจสอบกรณีคนตาบอดจำนวนหนึ่งที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ทำให้หน่วยงานรัฐไม่รับคนตาบอดไปตรวจหาเชื้อโควิดและรับไปรักษา โดยนายกสมาคมคนตาบอดไทยจะรวบรวบข้อมูลคนตาบอดที่ประสบปัญหาการเข้ารักษาโรคโควิด-19 เพื่อแจ้ง ปค.ต่อไป เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 นายสมยศ พุ่มน้อย รองอธิบดีฝ่ายการทะเบียนและเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมการปกครอง ชี้แจงกรณีนายพัฒน์ธนชัยฯ นายกสมาคมคนตาบอดไทย เรียกร้องให้รัฐเร่งช่วยเหลือคนตาบอดจำนวนหนึ่งที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ทำให้หน่วยงานรัฐไม่รับคนตาบอดไปตรวจหาเชื้อโควิดและรับไปรักษา ซึ่งสมาคมฯ ได้ตรวจพบ 1 รายติดเชื้อโควิด และต้องพาไปรักษาที่ รพ.เอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนอีก 1 รายส่งไปตรวจหาเชื้อ ถ้าผลตรวจออกมาพบว่าติดเชื้อ ต้องส่งตัวไปรักษาเช่นเดียวกัน จึงขอให้รัฐเข้ามาช่วยเหลือคนตาบอดที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาขนให้ได้มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาโควิด-19 ด้วยนั้น นายสมยศ พุ่มน้อย รองอธิบดีฝ่ายการทะเบียนและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า การขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน บุคคลอายุเกิน 70 ปี และบุคคลที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย เช่น บุคคลพิการ จะขอมีบัตรก็ได้ ทั้งนี้มีผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนคนพิการกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จำนวน 1,985,002 คน มีบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว จำนวน 1,964,340 คน ศูนย์ประสานงานเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อเร่งรัดให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นกลุ่มคนเปราะบาง (ผู้พิการทางสายตา) โดยมีแนวทางการดำเนินการ ดังนี้ 1. กรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นบุคคลที่ยังไม่มีรายการในทะเบียนบ้าน (ท.ร. 14) ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในเชิงรุก ด้วยการให้นายทะเบียนเดินทางไปรับคำร้องในพื้นที่ ตรวจสอบพยานหลักฐานและสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มชื่อและรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน กรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นบุคคลสัญชาติไทย 2. กรณีที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามข้อ 1 แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่แล้ว ให้นายทะเบียนตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และประสานให้หน่วยบริการเคลื่อนที่ (mobile Unite) ออกไปให้บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนในพื้นที่กรณีเร่งด่วน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 3. การติดตามให้ความช่วยเหลือ ปค. (ศูนย์ประสานงานฯ) ได้ติดต่อกับนายพัฒน์ธนชัย สระกวี นายกสมาคมประชาคมคนตาบอดไทย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 เวลา 11.30 น. และเวลา 13.00 น. นายพัฒน์ธนชัยฯ แจ้งว่า ไม่มีข้อมูลของบุคคลที่ประสบปัญหาดังกล่าว ทราบเพียงแต่ว่าเป็นบุคคลที่ไม่เคยแจ้งการเกิด และไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ส่วนข้อมูลอื่นๆ อาทิ ชื่อตัว-ชื่อสกุล ภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย สถานะของครอบครัว ฯลฯ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและจะแจ้งให้ ปค. ทราบ ทั้งนี้ ปค. (ศูนย์ประสานงานฯ) จะได้ติดตามเรื่องและให้ความช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหาสถานะบุคคลดังกล่าวเป็นการเร่งด่วนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. เดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox)
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ศบศ. เดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) ศบศ. เดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) วันนี้ (4 มิ.ย.64) เวลา 13.30 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ VDO Conference โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบ ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) ตามข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะมีกำหนดดำเนินการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 โดยมีกำหนดแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ ต้องกักตัว ดังนี้ (1) เปิดรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสตามเกณฑ์ของวัคซีนแต่ละชนิด มีระยะเวลาการฉีด มากกว่า 14 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี และเป็นผู้เดินทางจากกลุ่มประเทศต้นทางที่มีความเสี่ยงต่า – ปานกลาง ตามหลักเกณฑ์ ของกระทรวงสาธารณสุข (2) กำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางเข้าได้ ในขณะที่เด็กอายุระหว่าง 6 – 18 ปี จะต้องได้รับการตรวจเชื้อเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ต (3) มีเอกสารรับรองการ ฉีดจากประเทศต้นทาง โดยวัคซีนจะต้องขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของประเทศไทย หรือได้รับการรับรองโดย WHO (4) มีการติดตั้งแอบพลิเคชันแจ้งเตือน (5) พำนักในโรงแรมที่พักที่ผ่านมาตรฐาน SHA+ ในเวลา 14 คืน และภายหลังการ พำนักตามระยะเวลาที่กำหนดสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นในประเทศไทยได้ และ (6) รายงานตัวและรับการตรวจเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข และสามารถทำกิจกรรมท่องเที่ยวได้ภายใต้มาตรการป้องกันตามมาตรฐาน DMHTTA ขณะเดียวกัน มีการดำเนินการเตรียมพื้นที่รองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวภายใต้แผนการพัฒนา เมืองภูเก็ต (Better Phuket Initiatives) อาทิ (1) การปรับปรุงภูมิทัศน์ (2) โครงการสร้างคุณค่าและประสบการณ์โดย การท่องเที่ยววิธีชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านได้รับผลประโยชน์ (3) การพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรทางการท่องเที่ยว และ (4) การดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ท่องเที่ยว ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ ททท. นาเสนอรายละเอียดของแผนการดำเนินงานต่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป 2. เห็นด้วยกับข้อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง เข้าสู่ประเทศไทย ตามข้อเสนอของทีมปฏิบัติการเชิงรุกทาบทามทั้งบริษัทเอกชนไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจผ่านการสร้างรายได้ การลงทุน และเพิ่มโอกาสการจ้างงานภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy global citizen) ซึ่งรวมถึงนักลงทุนที่มีกาลังซื้อสูง ภายใต้โปรแกรม (Flexible Plus Program) (2) ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy pensioner) (3) กลุ่มที่ต้องการทางานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand professional) และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (High-skilled professional) อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมีรายละเอียดที่ต้องหารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ หลายประการ ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทารายละเอียดของแผนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และนำเสนอ ศบศ. พิจารณาต่อไป --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42430
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งรพ.สนาม ทั่วประเทศ รองรับผู้ติดเชื้อโควิด
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ตั้งรพ.สนาม ทั่วประเทศ รองรับผู้ติดเชื้อโควิด วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามความพร้อมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ เพื่อบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และจำนวนผู้ป่วย พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลสนาม เบื้องต้นได้ขยายโรงพยาบาลสนามและจัดหาโรงแรมเพื่อจัดทำเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว หรือ Hospitel ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแล้วกว่า 25,000 เตียง สำหรับเป็นที่รักษาและดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการไม่มาก พร้อมยืนยันว่าจะพัฒนาระบบรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทุกคนให้ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเร่งจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติมโดยร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับคนไทยอีกด้วย รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เดินหน้าโครงการ “แบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัย COVID–19” ช่วยเพชรบุรี
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 “เฉลิมชัย” เดินหน้าโครงการ “แบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัย COVID–19” ช่วยเพชรบุรี “อลงกรณ์” เผยรัฐบาลจัดสรรวัคซีนเพิ่มให้เพชรบุรีเริ่มฉีดมิถุนายนนี้ พร้อมเปิดตลาดกลางสินค้าเกษตรออนไลน์สัปดาห์หน้าภายใต้ยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” วันนี้ (4 มิ.ย.2564) เวลา 10.00 น. นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีมอบข้าวสารและผลผลิตทางการเกษตรภายใต้โครงการ “แบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัย COVID – 19” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อบรรเทาปัญหาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ น้ำพริกเครื่องแกง พริกสด มะเขือ แฟง ฟักทอง สับปะรดดอนขุนห้วย ไข่ไก่ มะนาว กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง และภาชนะใส่อาหาร โดยมี นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายไพโรจน์ พ่วงทอง สมาชิกวุฒิสภา นายชาญณรงค์ พวงสั้น เกษตรจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยส่วนราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี นายกเทศมนตรีเทศบาลเขาย้อย นายกอบต.ตำบลหนองชุมพลเหนือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ และเยี่ยมให้กำลังใจแก่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ที่ประกอบอาหารภายในวัดศีลคุณาราม ตำบลหนองชุมพลเหนือ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะที่ช่วยเหลือจังหวัดเพชรบุรีและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากการประสานงานล่าสุดได้รับการยืนยันจาก นายอรรถพร พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ว่า รัฐบาลได้จัดสรรวัคซีนเพิ่มให้ จ.เพชรบุรีล็อตที่ 2 อีก 49,000 โด๊ส รวมทั้งวัคซีนที่จะฉีดให้กับผู้ลงทะเบียน “หมอพร้อม” โดยจะเริ่มฉีดตามกำหนดในเดือนมิถุนายนนี้ และหวังว่ารัฐบาลจะจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอต่อการฉีดให้ชาวเพชรบุรีไม่น้อยกว่า 70% ให้ทันวันที่ 1 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่ชาวเพชรบุรีจะเปิดเมืองภายใต้ยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” นอกจากนี้ยังได้มีการประชุมหารือร่วมกับเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ประธานสหกรณ์การเกษตรท่ายาง และผู้จัดการตลาดเกษตร เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดโครงการตลาดกลางสินค้าเกษตรออนไลน์ ที่ตลาดกลางสินค้าเกษตรหนองบ้วยและบ้านลาด ซึ่งจะเปิดการขายแบบซอล์ฟโอเพนนิ่งก์ (Soft Opening) ในสัปดาห์หน้าภายใต้เพชรบุรีโมเดล “1 ปิด 1 เปิด” คือการระดมพลชาวเพชรบุรีปิดโควิด-19 และเปิดเศรษฐกิจให้เร็วที่สุดไปพร้อมๆ กัน.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมยื่นขึ้นทะเบียน ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ ของไทยในเดือน มิ.ย. นี้
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เตรียมยื่นขึ้นทะเบียน ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ ของไทยในเดือน มิ.ย. นี้ วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ความคืบหน้าการวิจัย พัฒนา และผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดยองค์การเภสัชกรรม ก้าวหน้าสู่ระดับอุตสาหกรรมแล้ว โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาประสิทธิภาพกับอาสาสมัคร เพื่อวิเคราะห์ความเท่าเทียมกันเมื่อเปรียบเทียบกับยาต้นแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถยื่นจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ประมาณเดือนมิ.ย. – ก.ค. 64 และผลิตยาเพื่อรองรับความต้องการใช้งานได้ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พัฒนากระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบยาฟาวิพิราเวียร์ ในระดับห้องปฏิบัติการ และขยายขนาดการผลิตสู่กึ่งระดับอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านยาให้กับประเทศไทย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42419
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. มุ่งมั่นสู่การให้บริการเป็นเลิศ ผ่านการประเมิน 3 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กสร. มุ่งมั่นสู่การให้บริการเป็นเลิศ ผ่านการประเมิน 3 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผ่านเกณฑ์การประเมินรางวัลเลิศรัฐ 2564 ขั้นตอนที่ 1 จากคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการฯ จำนวน 3 รางวัล นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกาศรายชื่อหน่วยงานผ่านเกณฑ์การประเมิน รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 ขั้นตอนที่ 1 ซึ่งมีสาขาบริการภาครัฐและสาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของรางวัลดังกล่าว โดยในปีนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานผ่านเกณฑ์การประเมินรางวัลในขั้นตอนที่ 1 จำนวน 3 รางวัล จากมติคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 ได้แก่ รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม จากผลงาน นิคมอุตสาหกรรมต้นแบบ GOOD LABOUR PRACTICES : GLP โดยผ่านกลไกการบริหารแบบมีส่วนร่วม รางวัลการบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทพัฒนาการบริการ จากผลงาน "TLS" "GLP": คุ้มครองสิทธิพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และ รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลเปิดใจใกล้ชิดประชาชน สำหรับรางวัลเลิศรัฐ เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการมอบให้หน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐในการอำนวยความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน รวมทั้งกระตุ้นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารราชการให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีความมุ่งมั่นสู่การให้บริการเป็นเลิศ ในการพัฒนาการบริการตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มีความต้องการพัฒนาการให้บริการโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทันต่อความต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการ ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ส่งเสริม สนับสนุน ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคยกระดับมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ผู้ใช้แรงงาน ตามหลักการปฏิบัติงานของกรมที่ว่า "กสร.คุ้มครองสิทธิ พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรอบแผนพัฒนาชาติ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กรอบแผนพัฒนาชาติ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ปี 2566 - 2570 เพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย ให้เท่าทันและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” โดยมีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค วิถีชีวิตที่ยั่งยืน และปัจจัยสนับสนุนไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน และเมื่อผ่านการระดมความคิดเห็นแล้ว จะเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบและรายงานต่อรัฐสภาต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกระทรวงยุติธรรม เผย เงินกองทุนยุติธรรมมีเพียงพอ ไม่กระทบต่อการช่วยเหลือประชาชน
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 โฆษกกระทรวงยุติธรรม เผย เงินกองทุนยุติธรรมมีเพียงพอ ไม่กระทบต่อการช่วยเหลือประชาชน นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม เผยว่า กองทุนยุติธรรมเป็นทุนหมุนเวียนที่ได้รับเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาลหรือเงินที่ได้รับจากงบประมาณ และยังมีเงินหลักประกันการปล่อยตัวชั่วคราวที่ได้รับกลับคืนมาเมื่อคดีถึงที่สุด จากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ในวันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายในส่วนของสำนักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม จำนวน 30 ล้านบาท และปรากฏการแสดงความคิดเห็นทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า “กองทุนยุติธรรมซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวและจ้างทนายถูกตัดงบจาก 150 ล้านบาทเหลือ 30 ล้านบาท ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม คนจนต้องติดคุกรอไปก่อน” นั้น นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กองทุนยุติธรรมเป็นทุนหมุนเวียนที่ได้รับเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาลหรือเงินที่ได้รับจากงบประมาณ และยังมีเงินหลักประกันการปล่อยตัวชั่วคราวที่ได้รับกลับคืนมาเมื่อคดีถึงที่สุด ดังนั้น เงินงบประมาณประจำปีจึงเป็นเพียงแหล่งรายได้ส่วนหนึ่งในการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กองทุนยุติธรรมมีร่างแผนใช้จ่ายประจำปีเป็นเงินจำนวน 263 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากเงินงบประมาณ 30 ล้านบาท และเงินที่ติดตามกลับคืนจากคดีที่ถึงที่สุดระหว่างปีงบประมาณ อีกประมาณ 100 ล้านบาท จึงคาดว่าจะนำเงินสะสมมาสมทบค่าใช้จ่ายประมาณ 133 ล้านบาท โดยที่กองทุนมีเงินทุนสะสมอยู่ 648.9 ล้านบาท ดังนั้น การที่กองทุนยุติธรรมได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 30 ล้านบาทในปี 2565จึงไม่มีผลกระทบต่อการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนแต่อย่างใด และการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวก็เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ให้หน่วยรับงบประมาณนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบการใช้จ่าย นอกจากนี้ กองทุนยุติธรรมยังได้มีความร่วมมือกับสำนักงานศาลยุติธรรมในการใช้หนังสือรับรองการชำระเงินในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทดแทนการใช้เช็คเป็นหลักประกันการปล่อยตัวชั่วคราว รวมทั้ง พัฒนาระบบการยื่นคำขอปล่อยตัวชั่วคราวผ่านระบบออนไลน์ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2564 ส่งผลให้กองทุนยุติธรรมลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง และสามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระบวนการพิจารณาให้ความช่วยเหลือของกองทุนยุติธรรมในปัจจุบันก็สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยมีคำขอรับความช่วยเหลือ ร้อยละ 88.13 ที่พิจารณาเสร็จได้ตามระยะเวลามาตรฐาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าปี 2563 ที่ทำได้ร้อยละ 78.18 และปี 2662 ที่ทำได้ร้อยละ 65.26 อย่างไรก็ตาม หากประชาชนต้องการติดต่อขอรับความช่วยเหลือของกองทุนยุติธรรรม สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์ 02 -1415454 (ส่วนกลาง) หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของสำนักงานกองทุนยุติธรรม ได้แก่ Website :กองทุนยุติธรรม https://jfo.moj.go.th/ หรือ Facebook : กองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม และยังสามารถยื่นคำขอรับความช่วยเหลือออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Justice Care
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42427
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” พลิกโฉมระบบจองซื้อหลักทรัพย์ผ่าน Krungthai NEXT สะดวกและง่ายในคลิกเดียว
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 “กรุงไทย” พลิกโฉมระบบจองซื้อหลักทรัพย์ผ่าน Krungthai NEXT สะดวกและง่ายในคลิกเดียว กรุงไทยพลิกโฉมระบบจองซื้อหลักทรัพย์ผ่าน Krungthai NEXT ด้วยบริการ Money Connect by Krungthai แบบ Single Sign-On เข้าระบบได้ทันทีไม่ต้อง Log in ซ้ำ ตอบโจทย์พฤติกรรมนักลงทุนยุคดิจิทัล ประเดิมเตรียมให้ลูกค้าจองซื้อหุ้นกู้ CPALL เริ่มวันที่ 11 มิ.ย.นี้ นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เห็นได้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในหลายด้าน สะท้อนจากตัวเลขการซื้อขายหุ้นผ่านทางระบบออนไลน์ที่มีการขยายตัวและมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดจองซื้อหุ้น "OR" หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) สำหรับประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านระบบออนไลน์ Money Connect by Krungthai ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยมีตัวเลขยอดจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 70-80% ซึ่งในอนาคตธนาคารตั้งเป้าหมายเปิดให้ทำธุรกรรมจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านช่องทางออนไลน์ 100% จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ธนาคารจึงพัฒนาระบบจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์ Money Connect by Krungthai ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT ให้สามารถใช้งานได้สะดวกรวดเร็วและตอบโจทย์การลงทุนทุกมิติ โดยปรับระบบเป็นแบบ Single Sign-On เพียงเปิดแอปฯ Krungthai NEXT เลือกฟีเจอร์บริการ และคลิกที่ปุ่ม Money Connect ก็สามารถ Log in เข้าเลือกดูรายการหลักทรัพย์ที่มีการเปิดเสนอขายและสามารถทำรายการจองซื้อได้ทันที โดยไม่ต้องกรอก Username และ Password เพื่อ Log in ซ้ำ อีกทั้งยังชำระเงินโดยการตัดบัญชีธนาคารได้ทันที ช่วยให้ลูกค้าลงทุนได้ง่ายในทุกขั้นตอน ไม่ต้องส่งใบจองซื้อหรือเอกสารแนบให้กับธนาคาร เพียงอัพเดทแอปฯ Krungthai NEXT เวอร์ชั่นล่าสุดก็สามารถทำรายการจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านมือถือได้ง่ายๆ ลดการเดินทาง ลดการติดต่อสาขา และเลี่ยงการสัมผัสเงินสด โดยในวันที่ 11, 14-15 มิถุนายน นี้ ธนาคารจะเปิดจองซื้อหุ้นกู้ CPALL ด้วยระบบ Money Connect by Krungthai แบบ Single Sign-On ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งหุ้น หุ้นกู้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund: IFF) อีกด้วย สำหรับนักลงทุนและประชาชนที่สนใจแต่ยังไม่มีบัญชีธนาคารกรุงไทย หรือไม่มีบัญชีผู้ใช้งาน Krungthai NEXT เพียงดาวน์โหลดแอปฯ Krungthai NEXT และเปิดบัญชีออนไลน์ Krungthai NEXT Savings ก็สามารถเข้าใช้บริการ Money Connect by Krungthai เพื่อจองซื้อหลักทรัพย์ได้ทันที ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42392
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา ลดภาษีจ้างงานผู้พ้นโทษ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ขยายเวลา ลดภาษีจ้างงานผู้พ้นโทษ วันอาทิตย์ที่ 16 พฤาภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่างกฎหมาย ซึ่งเป็นการขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จ้างงานผู้ที่เพิ่งพ้นโทษไม่เกิน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเข้าทำงาน โดยยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานผู้พ้นโทษ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาท/คน/เดือน ในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2564 เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนให้ผู้พ้นโทษ สามารถกลับคืนสู่สังคม มีอาชีพสุจริต มีรายได้มั่นคงพึ่งพาตนเองได้ และใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจในตลาดแรงงานที่ขาดแคลน ลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” ประจำปี 2564 พี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยที่รักทุกท่าน “ข้าว”เป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประเทศทั้งในด้านการบริโภคและเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าและข้าวไทยสร้างภาพลักษณ์ในตลาดโลกมาอย่างน่าภาคภูมิสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพทำนาของชาวนาไทยที่สืบสานวัฒนธรรมประเพณีของไทยในอดีตจนถึงปัจจุบันการทำนาจากรุ่นสู่รุ่นและความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างข้าวและชาวนาไทยรวมทั้งความมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวไทยให้สูงขึ้นในทุกๆด้าน คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่5มิถุนายนของทุกปีเป็น“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงให้ความสำคัญต่อกิจการข้าวและเป็นการเชิดชูเกียรติรวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ชาวนาไทยทุกคน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรตามยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ปีเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันรวมทั้งสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยการพัฒนาความมั่นคงทางการเกษตรให้มีการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืนโดยมีเป้าหมายเป็นฐานการผลิตอาหารที่มั่นคงปลอดภัยและเป็นฐานการผลิตที่มีผลิตภาพสูงรวมทั้งเพื่อช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้แก่ชาวนาไทยผู้เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติและผู้ผลิตข้าวเป็นอาหารเลี้ยงประชากรโลก ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเยียวยารวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งสู่ฐานรากรวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้นผ่านนโยบายและโครงการต่างๆและยึดหลักการ“ตลาดนำการผลิต”พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมทางการเกษตรเข้ามาช่วยมากขึ้นเพื่อให้พี่น้องชาวนาสามารถทำนาได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งสร้างรายได้และความมั่นคงให้แก่ชาวนาโดยรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับสภาวการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปปัญหาภัยแล้งน้ำท่วมและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ด้วยเจตนามุ่งมั่นในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยทุกคน เนื่องในโอกาส“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยทุกคนพร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลอีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ทุกท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญมีพลังกายและพลังใจที่เข้มแข็งเพื่อร่วมเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาข้าวไทยให้เป็นข้าวคุณภาพสำหรับประชากรโลกตลอดไป สวัสดีครับ ___________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42442
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ยกเลิกผู้ค้ำ ลดดอกเบี้ยลูกหนี้
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 กยศ. ยกเลิกผู้ค้ำ ลดดอกเบี้ยลูกหนี้ วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ข่าวดีสำหรับนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการกู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. โดยผู้กู้ใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 นี้เป็นต้นไป ไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกัน ส่วนมาตรการบรรเทาภาระผู้กู้ที่กำลังผ่อนชำระอยู่ ประกอบด้วย ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี สำหรับผู้ไม่เคยผิดนัดชำระ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. – 31 ธ.ค. ขยายเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิด จากสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. เป็นสิ้นสุด 31 ธ.ค. ชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ผิดนัดชำระหนี้ในปี 2563 และ 2564 ยกเว้นคดีที่กำลังจะขาดอายุความในปีนี้ งดการขายทอดตลาดสำหรับทรัพย์สินที่กรมบังคับคดียึดไว้แล้วจนถึงสิ้นปี 2564 ผู้สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และไลน์ทางการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42400
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลาก เตือนประชาชนการซื้อสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เสี่ยงต่อการไม่ได้รับสลากมาขึ้นเงินรางวัล
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สำนักงานสลาก เตือนประชาชนการซื้อสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เสี่ยงต่อการไม่ได้รับสลากมาขึ้นเงินรางวัล ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอกรณีข้าราชการครู ชาว จ.ชัยภูมิ ซื้อสลากงวดวันที่ 1 มิถุนายน 2564 หมายเลข 292972 จากแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่ออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยไม่ได้รับสลากมาครอบครอง ปรากฏว่าสลากดังกล่าว ถูกรางวัลที่ 1 วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) เวลา 11.00 น. พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ กรณีข้าราชการครู ชาวจังหวัดชัยภูมิ ท่านหนึ่งไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ว่าได้ซื้อสลากงวดวันที่ 1 มิถุนายน 2564 หมายเลข 292972 จากแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่ออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยไม่ได้รับสลากมาครอบครอง ปรากฏว่าสลากดังกล่าว ถูกรางวัลที่ 1 แต่ผู้ขายคือแพลตฟอร์มที่ปรากฎเป็นข่าว ได้ติดต่อขอจ่ายเงินรางวัลบางส่วน จำนวน 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลือจะขอจ่ายเป็นเช็คให้งวดละ 500,000 บาท ทุก 15 วันจนครบ โดยอ้างว่าสลากที่ถูกรางวัลถูกพนักงานในบริษัทขโมยงัดตู้เซฟ และนำสลากที่ถูกรางวัลดังกล่าวไป แต่ก็ยังมิได้มีการแจ้งความ ต่อมาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ประสานข้อมูลกับสถานีตำรวจภูธรบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ พบว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ปรากฏในสื่อ นั้น ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงการซื้อขายหมายเลขโดยไม่มีตัวสลากมอบให้กับผู้ซื้อ แต่อ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เข้าข่ายเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงมอบอำนาจให้นิติกร ไปร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดทุกฐานความผิดจากพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น พันตำรวจเอกบุญส่งฯ กล่าวในตอนท้ายว่า สำนักงานฯ ได้มีการประกาศและประชาสัมพันธ์ เตือนผู้ซื้อสลากอย่างต่อเนื่อง ให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อสลากกินแบ่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ หากยังไม่ได้รับสลากมาไว้ในครอบครอง เมื่อถูกรางวัลท่านอาจไม่สามารถนำสลากมารับเงินรางวัลได้ จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เมื่อยังมิได้รับสลากมาไว้ในครอบครอง ทำให้เกิดปัญหาในการขึ้นเงินรางวัล ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในการรับเงินรางวัล ผู้ซื้อควรจะได้รับสลากมาไว้ในการครอบครองทันที่ที่ซื้อ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นได้อีก นอกจากนี้ สำนักงานฯ ขอเตือนตัวแทนจำหน่าย และผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ การนำสลากไปขายต่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ เป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขในสัญญา และหลักเกณฑ์การรับสลากไปจำหน่าย ทั้งนี้ จากการตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ตั้งแต่งวดวันที่ 1 มีนาคม – 16 พฤษภาคม 2564 สำนักงานฯ ได้ดำเนินการยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายรายย่อย สมาคม องค์กร ที่นำสลากไปขายต่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แล้วจำนวน 3,415 ราย และยกเลิกการลงทะเบียนของผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ จำนวน 314 ราย รวมทั้งสิ้น 3,729 ราย จำนวนสลากทั้งหมด 108,786 ฉบับ และกรณีตัวแทนจำหน่ายสลากขายสลากเกินราคาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงการฉ้อโกงประชาชน ขณะนี้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ) ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว รวมทั้งสิ้น 744 ราย ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42412
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา “ทำบัตร – เปลี่ยนบัตรประชาชน ถึง 31 ส.ค. นี้
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ขยายเวลา “ทำบัตร – เปลี่ยนบัตรประชาชน ถึง 31 ส.ค. นี้ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นกระจายไปในหลายพื้นที่ และมีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ มีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน และลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ในสถานที่บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน ที่มีผู้ขอรับบริการจำนวนมาก กระทรวงมหาดไทย จึงได้ขยายเวลาการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรก การขอมีบัตรใหม่ กรณีบัตรหมดอายุ หรือเปลี่ยนบัตร กรณีบัตรชำรุดเสียหาย ในทุกท้องที่จังหวัด และ กทม. จากเดิมที่จะต้องดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรภายในวันที่ 30 เม.ย. 64 เป็น 120 วัน หรือสิ้นสุดในวันที่ 31 ส.ค. 64 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาแรงงานต่างด้าว ตรวจโควิด-19 ทำทะเบียนประวัติ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ขยายเวลาแรงงานต่างด้าว ตรวจโควิด-19 ทำทะเบียนประวัติ วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ แม้ทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาด แต่อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคและกิจการ SME ในไทย ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป รัฐบาลจึงผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถทำงานในประเทศต่อไปได้เป็นกรณีพิเศษ โดยกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องผ่านการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลและทำทะเบียนประวัติพร้อมใบอนุญาตทำงาน ซึ่งได้ขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 16 มิ.ย.64 ส่วนการจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตร จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 มี.ค.65 ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและควบคุมโรค ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน รับมอบห้องความดันลบ ส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน ช่วยผู้ป่วยโควิด-19
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 รมช.แรงงาน รับมอบห้องความดันลบ ส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน ช่วยผู้ป่วยโควิด-19 - - วันที่ 4 มิถุนายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นตัวแทนรับมอบห้องความดันลบ (Negative pressure unit) จากมูลนิธิเพื่อสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับ สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า โดยมีนายแพทย์ณัฏฐชัย สุวจิตตานนท์ นายปริญญา ตลาโสร์ และนายธัชพร วัดอักษร ผู้แทนสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าและมูลนิธิเพื่อสถาบันพระปกเกล้า เป็นตัวแทนส่งมอบ ซึ่งจะมอบห้องความดันลบ ให้แก่ โรงพยาบาลชุมชน จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ปัว จังหวัดน่าน โรงพยาบาลแม่สาย และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อใช้เป็นห้องพักรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ห้องความดันลบ เป็นห้องจำเป็นในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด -19 ซึ่งเป็นเชื้อโรคอุบัติใหม่ที่สามารถแพร่กระจายได้ในอากาศ การมีห้องความดันลบจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งมูลนิธิเพื่อสถาบันพระปกเกล้า ได้ร่วมกับสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า ออกแบบห้องความดันลบขึ้น เพื่อมอบให้แก่โรงพยาบาลชุมชน และจะจัดส่งทีมวิศวกรจาก มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ไปติดตั้งที่โรงพยาบาลทั้ง 4 แห่ง ภายในกลางเดือนมิถุนายน 2564 รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลหลายแห่งมีความต้องการห้องความดันลบเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หากเป็นไปได้ต้องการให้ถ่ายทอดความรู้นี้ให้แก่ครูฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อนำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดให้แก่แรงงาน เพื่อร่วมกันจัดทำห้องความดันลบเพิ่มเติม แล้วส่งมอบให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ลดการสูญเสียชีวิตของผู้ป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ด้วย “ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเพื่อสถาบันพระปกเกล้าและสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า ที่มอบห้องความดันลบช่วยเหลือผู้ป่วยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ โรงพยาบาลทั้ง 4 แห่ง และพร้อมที่จะร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ให้แก่แรงงาน เพื่อเป็นประโยชน์และดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป และขอเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และทุกๆ คน เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42420