title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เรียกนายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยชี้แจง | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางบก เรียกนายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยชี้แจง
กรมการขนส่งทางบก เรียกนายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกลุ่มบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากรด่านหน้าภาคการขนส่งสาธารณะสวมเสื้อวิน รถจักรยานยนต์สาธารณะเพื่อจะเข้าฉีดวัคซีน COVID-19 ณ สถานีกลางบางซื่อ
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อสั่งการของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีพบกลุ่มบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากรด่านหน้าภาคการขนส่งสาธารณะ แต่สวมเสื้อวินรถจักรยานยนต์สาธารณะเพื่อจะเข้าฉีดวัคซีน COVID-19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แต่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธการให้บริการ เนื่องจากไม่พบประวัติการลงทะเบียนนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน พยานบุคคล พบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวเดินทางมาพร้อมกับสมาชิกผู้ขับรถแต่ละวินซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย นำโดยนายกสมาคมฯ และเลขาธิการสมาคมฯ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงได้เชิญ นายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 15.00 น. โดยนายเฉลิมฯ ให้การยอมรับว่าบุคคลดังกล่าวเป็นภรรยา ลูก และบุคคลใกล้ชิดของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะที่เดินทางมากับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนจากการลงทะเบียนผ่านหัวหน้าวินและสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ซึ่งเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสมาชิก ทำให้เข้าใจผิดว่าสามารถนำบุคคลใกล้ชิดซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับผู้ขับขี่เข้ารับการฉีดวัคซีนได้โดยสวมเสื้อวินของผู้ขับขี่ ทางสมาคมฯ รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้ทำหนังสือยื่นต่อ ขบ. ผ่านไปยัง นายสรพงษ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการบริหารศูนย์ฉีดวัคซีนโควิดสถานีกลางบางซื่อ แสดงความขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและให้คำมั่นว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก โดย ขบ. ได้รายงานต่อรองปลัดกระทรวงคมนาคมเพื่อทราบข้อเท็จจริงซึ่งไม่ติดใจเอาความ เนื่องจากสมาคมฯ ได้แสดงความรู้สึกเสียใจและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งกลุ่มบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด แต่ขอให้เน้นย้ำสมาคมฯ ให้กำกับดูแลสมาชิกให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก โดยผู้ต้องการฉีดวัคซีนให้ลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้เตรียมไว้
ทั้งนี้ ในส่วนของแนวปฏิบัติในการเข้ารับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ตามเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งต้องการดูแลบุคลากรด่านหน้าในระบบขนส่งสาธารณะเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้แก่ประชาชน โดยได้มอบให้ ขบ. เป็นหน่วยงานกลางในการรับลงทะเบียนแจ้งความจำนงจากผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ผ่านผู้ประกอบการขนส่ง หัวหน้าวิน สหกรณ์ นิติบุคคล หรือสมาคมที่สังกัดอยู่ หรือลงทะเบียนโดยตรงกับ ขบ. ทั้งช่องทางออนไลน์และการเดินทางมาลงทะเบียนด้วยตนเอง โดยรายชื่อผู้ลงทะเบียนทั้งหมดจะถูกตรวจสอบเพื่อตรวจสอบยืนยันการเป็นผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะ ก่อนส่งให้กระทรวงคมนาคมเพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุขจัดสรรวัคซีน COVID-19 ให้ตามลำดับ โดยผู้ได้รับสิทธิฉีดวัคซีนจะได้รับข้อความ SMS ภายใน 2 - 3 วันหลังจากลงทะเบียน เพื่อแจ้งวันที่และเวลาในการเข้ารับการฉีดวัคซีน และในวันเข้ารับการฉีดวัคซีนจะต้องแสดงใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ หรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ และต้องแต่งกายด้วยชุดที่ใช้ในการประกอบอาชีพให้บริการรถโดยสารสาธารณะแต่ละประเภท เพื่อให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและให้เข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อสามารถฉีดวัคซีน COVID-19 เข็มแรกให้แก่บุคลากรด่านหน้าในระบบขนส่งสาธารณะทั้งทางบก น้ำ ราง อากาศแล้วกว่า 100,000 ราย ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนบุคลากรด่านหน้าในระบบขนส่งสาธารณะที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2564 โดยจะให้บริการเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าและได้รับข้อความ SMS แจ้งวันที่และเวลาตามการจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
การระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
กระทรวงการคลังตรวจพบธุรกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ในวันที่ 11 มิ.ย.2564 จึงได้ทำการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการเพิ่มเติม จำนวน 120 ราย
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการเราชนะว่า กระทรวงการคลังได้ตรวจพบธุรกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ในวันที่ 11 มิถุนายน 2564 จึงได้ทำการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการเพิ่มเติม จำนวน 120 รายและขอให้ผู้ประกอบการที่ถูกระงับสิทธิ์ชั่วคราวดังกล่าว ชี้แจงข้อเท็จจริงมายังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (โครงการเราชนะ) ภายในวันที่25 มิถุนายน 2564 ตามข้อความแนะนำที่ปรากฏขึ้นในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้วกระทรวงการคลังจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
กระทรวงการคลังจะเข้มงวดในการติดตามตรวจสอบประชาชนและผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการอย่างใกล้ชิดโดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้นในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของแต่ละโครงการอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของรัฐในอนาคตและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 100,139 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้วจำนวน17.1 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 146,812 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 20,162 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 267,113 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้วจำนวน 22.3 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 021111122(ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42658 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. นายอนุทินฯ หารือ เอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ผลักดันการจัดทำข้อตกลงด้านการประกันสังคม พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ควบคุมโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
รอง นรม. นายอนุทินฯ หารือ เอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ผลักดันการจัดทำข้อตกลงด้านการประกันสังคม พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ควบคุมโควิด-19
รอง นรม. นายอนุทินฯ หารือ เอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ผลักดันการจัดทำข้อตกลงด้านการประกันสังคม พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ควบคุมโควิด-19
วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับรองเทวะเวสม์ อาคาร 1 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นางซีบีย์ เดอ การ์ตีเย ดีฟว์ (H.E. Ms. Sibille de Cartier d’Yves) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเบลเยียมที่มีมาอย่างยาวนาน โดยรองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ จะมีส่วนสำคัญในการสานต่อและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ อย่างเต็มที่ ตลอดจนผลักดันให้เกิดความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
เอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ แม้จะมีภารกิจมาก ยินดีที่ไทยและเบลเยียมมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นต่อกัน โดยเอกอัครราชทูตฯ ย้ำความตั้งใจของเบลเยียมในการผลักดันการจัดทำข้อตกลงด้านการประกันสังคมระหว่างเบลเยียม-ไทย โดยเฉพาะประเด็นอัตราค่าใช้จ่าย พร้อมเสนอให้มีการหารือร่วมกันเพิ่มเติม ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียด เพื่อจะได้หารือร่วมกันต่อไป
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนแนวทางการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกัน โดยเอกอัครราชทูตเบลเยียมฯ ชื่นชมความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 และประทับใจการ Quarantine ผู้เดินทางเข้าประเทศของไทย ซึ่งมีการจัดการที่เป็นระบบ อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ขอให้เชื่อมั่นในการจัดการโควิด-19 ของรัฐบาลไทย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ในคลัสเตอร์ต่าง ๆ ดีขึ้น อาทิ คลัสเตอร์เรือนจำและทัณฑสถาน จำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มผู้ต้องขังของไทยมีตัวเลขที่ดีขึ้น โดยไทยได้ใช้กลยุทย์ Bubble and Seal แยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาให้เร็วที่สุด พร้อมยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงวัคซีนของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยทูตฝรั่งเศสขอนำเข้าวัคซีนจอห์นสันฯ 1 หมื่นโดสฉีดประชากรในไทย | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
“อนุทิน” เผยทูตฝรั่งเศสขอนำเข้าวัคซีนจอห์นสันฯ 1 หมื่นโดสฉีดประชากรในไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยทูตฝรั่งเศสหารือขอนำเข้าวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 หมื่นกว่าโดส ฉีดให้คนฝรั่งเศสในประเทศไทย ระบุภูเก็ตและสมุยฉีดวัคซีนเกิน 60% หากฉีดครบเตรียมเสนอ ศบค.เปิดพื้นที่ท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยทูตฝรั่งเศสหารือขอนำเข้าวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 หมื่นกว่าโดส ฉีดให้คนฝรั่งเศสในประเทศไทย ระบุภูเก็ตและสมุยฉีดวัคซีนเกิน 60%หากฉีดครบเตรียมเสนอ ศบค.เปิดพื้นที่ท่องเที่ยว ย้ำแอสตร้าเซนเนก้าส่งวัคซีนทุกสัปดาห์ตามกำหนด
วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 09.30 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค หารือร่วมกับนางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทย จากนั้นในเวลา 10.30 น. หารือกับนายตีแยรี มาตู เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เกี่ยวกับการดูแลประชากรทั้ง 2 ประเทศที่อยู่ในประเทศไทย
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ได้ขอให้ประเทศไทยช่วยดูแลรักษาคนเบลเยียม โดยเก็บค่ารักษาจากประกันสังคมของเบลเยียม และขอให้พิจารณาการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้คนเบลเยียมที่มีครอบครัวและพำนักในประเทศไทยในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงวัคซีน จึงได้ให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทุกคนในประเทศ โดยแนะนำการลงทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อรับวัคซีนในโอกาสต่อไป เนื่องจากไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย ส่วนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้หารือเรื่องการนำเข้าวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันที่ได้ขึ้นทะเบียนกับอย.ไว้แล้ว จำนวน 1 หมื่นกว่าโดสเพื่อฉีดให้คนฝรั่งเศสอายุ 45 ปีขึ้นไปที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งทางกรมควบคุมโรคเห็นชอบแล้ว โดยจะนำเข้ามาในปลายเดือนมิถุนายนนี้
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามความสามารถ เชื่อว่าภายใน 2-3 เดือนจะเห็นผลโดยจังหวัดภูเก็ตฉีดไป 60% แล้ว การติดเชื้อ การเจ็บป่วยหนัก และการเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญส่วนเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ฉีดแล้ว 65% คาดว่าจะฉีดกลุ่มเป้าหมายครบทั้งหมดในเวลาอันสั้น จากนั้นจะรายงาน ศบค.เมื่อฉีดครบแล้วและเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อเปิดเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวตามนโยบายต่อไป
สำหรับการเปิดภาคเรียนวันที่ 14 มิถุนายนนั้น มีการฉีดวัคซีนกลุ่มครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อวันละ 4-5 พันคน หากอนาคตมีวัคซีนของไฟเซอร์เข้าจะฉีดในกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งได้ให้กรมควบคุมโรควางแผนประสานความร่วมมือกับทางโรงเรียนเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนแทนนำนักเรียนมายังจุดฉีดโดยนำแพทย์ พยาบาล ไปฉีดถึงโรงเรียน และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ฉุกเฉิน รถพยาบาล ยาแก้แพ้ต่างๆทำให้มีความสะดวกและคล่องตัวมากกว่า หากวัคซีนซิโนแวคมีผลการศึกษาฉีดได้ถึง 3 ขวบก็จะขยายการฉีดด้วยเช่นกัน
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดส่งวัคซีนตามแผนของ ศบค. โดยจะจัดส่งให้ประกันสังคม1 ล้านโดสในกรณีที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าตามแผน ซึ่งไม่ต้องกังวลเนื่องจากมีสัญญาในการจัดส่งให้ไทยทุกสัปดาห์ ตามสัญญา ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่จัดส่งให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นความภาคภูมิใจที่วัคซีนผลิตในประเทศได้ไปช่วยต่างชาติ
****************************** 11 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42650 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดใช้จ่าย “เราชนะ” และ “ม33 เรารักกัน” หมุนเวียนเกือบ 3 แสนล้านบาท | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
ยอดใช้จ่าย “เราชนะ” และ “ม33 เรารักกัน” หมุนเวียนเกือบ 3 แสนล้านบาท
....
หลังจากที่รัฐบาลเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเพิ่มวงเงินเยียวยา 2,000 บาทต่อคน ผ่านโครงการ ”เราชนะ” และโครงการ “ม33 เรารักกัน” ซึ่งมีผู้รับสิทธิกว่า 41,000,000 โดยทั้ง 2 โครงการผู้รับสิทธิสามารถใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64
.
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด โฆษกรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับยอดการใช้จ่ายผ่านโครงการ ดังกล่าวที่ได้รายงานต่อที่ประชุมครม. ทราบแล้ว ดังนี้
.
โครงการ ”เราชนะ” มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิ 33,100,000 คน ซึ่งมีผู้ที่ใช้จ่ายครบวงเงินตามสิทธิในโครงการแล้ว จำนวนกว่า 17,600,000 คน ทำให้โครงการ “เราชนะ” ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิ.ย. 64 มียอดใช้จ่ายสะสมกว่า 257,997 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการและผู้ให้บริการได้รับประโยชน์มากกว่า 1,300,000 ร้านค้า
.
ขณะที่โครงการ “ม33 เรารักกัน” มีผู้ได้รับสิทธิรวม 8,140,000 คน มียอดใช้จ่ายสะสมแล้ว ณ วันที่ 31 พ.ค. 64 กว่า 39,317 ล้านบาท ผ่านร้านค้าทั้งสิ้น 1,070,000 ร้านค้า
.
เมื่อนำยอดใช้จ่ายสะสมทั้ง 2 โครงการรวมกัน พบว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้วกว่า 297,314 ล้านบาท
.
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่ออกมาเพื่อช่วยผู้ประกอบการ เช่น มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ เสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการ SME ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 3 และโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็นต้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะออกมาในครึ่งปีหลังนี้ด้วย หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดีขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42654 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข
รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข
วันนี้ (11 มิถุนายน 2564) เวลา 10.30 น. ณ ห้องรับรองเทวะเวสม์ อาคาร 1 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายตีแยรี มาตู (H.E. Mr. Thierry Mathou) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่อย่างเป็นทางการ ชื่นชมการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสอย่างแข็งขันและเชื่อมั่นว่าภายใต้การดำรงตำแหน่งของเอกอัครราชทูตฯ จะสามารถขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตฯ อย่างเต็มที่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ที่ดำเนินมาอย่างมีพลวัตต่อเนื่องกว่า 165 ปี ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตลอดจนเห็นควรยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างรอบด้านและก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ด้านเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ ขอบคุณรัฐบาลไทย ที่จะดูแลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชาชนฝรั่งเศสในประเทศไทย ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเห็นควรจัดทำ Road Map เพื่อวางแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลทั้งสองประเทศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญระหว่างกัน และเอกอัครราชทูตฯ สนใจมุ่งผลักดันแนวคิด “สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health)” โดยเชิญประเทศไทยให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพคน สัตว์ สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการป้องกันโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
โอกาสนี้ ทั้งสองยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวทางการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกัน โดยไทยประสงค์ที่จะมีความร่วมมือกับฝรั่งเศสด้านวัคซีน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อเป็นส่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42634 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 – 10 มิถุนายน 2564 | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 – 10 มิถุนายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 – 10 มิถุนายน 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 648 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 23.13 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 4 – 10 มิถุนายน 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 648 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 23.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 380 คดี ค่าปรับ 3.16 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 160 คดี ค่าปรับ 16.79 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 17 คดี ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 28 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท น้ำหอม 4 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 41 คดี ค่าปรับ 0.93 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 18 คดี ค่าปรับ 1.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 4,503.840 ลิตร ยาสูบ จำนวน 39,806 ซอง ไพ่ จำนวน 421 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 14,657.000 ลิตร น้ำหอม 10,766 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 57 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 10 มิถุนายน 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 18,940 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 440.82 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 10,832 คดี ค่าปรับ 95.89 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 5,305 คดี ค่าปรับ 220.53 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 410 คดี ค่าปรับ 6.46 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 906 คดี ค่าปรับ 53.34 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 83 คดี ค่าปรับ 3.21 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 969 คดี ค่าปรับ จำนวน 26.44 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 435 คดี ค่าปรับ 34.95 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,620,077.759 ลิตร ยาสูบ จำนวน 646,199 ซอง ไพ่ จำนวน 33,306 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,525,051.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 120,504 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,726 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! จ้างพนักงานราชการ 10,000 อัตรา บรรเทาการว่างงานบัณฑิตจบใหม่ | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
ไฟเขียว! จ้างพนักงานราชการ 10,000 อัตรา บรรเทาการว่างงานบัณฑิตจบใหม่
....
ข่าวดีสำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งจบ ป.ตรี ครับ รัฐบาลเตรียมจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 10,000 อัตรา เพื่อเพิ่มโอกาสการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเข้าทำงานในกลุ่มงานบริหารทั่วไปใน 28 ส่วนราชการ ทั้งหน่วยงานในระดับภูมิภาค จังหวัด หรือส่วนกลางที่มีภารกิจสำคัญและเร่งด่วน
.
โดยมีระยะเวลาการจ้างงานไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำสัญญาจ้าง หรือไม่เกิน 30 ก.ย. 65 และจะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาท/เดือน ตลอดสัญญา พร้อมสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับพนักงานราชการปกติ ยกเว้นการลาไปอุปสมบท หรือประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 120 วัน
.
ขณะนี้แต่ละหน่วยงานกำลังเร่งดำเนินการจ้างพนักงานราชการและจัดทำแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเดือน ส.ค. 64 โดยคำนึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาตรวจเชื้อโควิด – ขออนุญาตทำงานให้คนต่างด้าวถึง 13 ก.ย. 64 | วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564
ขยายเวลาตรวจเชื้อโควิด – ขออนุญาตทำงานให้คนต่างด้าวถึง 13 ก.ย. 64
....
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงอยู่ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ที่ยังไม่ได้ขออนุญาตอยู่ต่อเพื่อทำงานในประเทศไทยได้ทันตามเวลากำหนดไว้ และเสี่ยงต่อการเป็นแรงงานผิดกฎหมาย
.
และเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงเห็นชอบขยายระยะเวลาให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ต้องจัดทำทะเบียนประวัติ ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพและยื่นขออนุญาตทำงาน จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 16 มิ.ย. 64 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 13 ก.ย. 64
.
นอกจากนี้ ยังขยายเวลาให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนไม่มีงานทำ จำนวน 53,800 คน ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร.38/1) พร้อมกับทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มี.ค. 65 (จากเดิมภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64)
.
เมื่อแรงงานต่างด้าวดำเนินการครบทุกขั้นตอนและได้รับบัตรประจำตัวแล้ว จะสามารถอยู่ในประเทศและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จนถึงวันที่ 13 ก.พ. 66 โดยจะได้รับความคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ การคุ้มครองตามสิทธิที่พึงได้รับ
.
ผู้มีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42645 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณชาวนาไทยที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พัฒนาข้าวไทย-เพิ่มผลิตภาพข้าวไทยให้สูงขึ้น เชื่อมั่นการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่-พัฒนาศูนย์ข้าวชุมชน จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนา | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
นายกฯ ขอบคุณชาวนาไทยที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พัฒนาข้าวไทย-เพิ่มผลิตภาพข้าวไทยให้สูงขึ้น เชื่อมั่นการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่-พัฒนาศูนย์ข้าวชุมชน จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนา
นายกรัฐมนตรีขอบคุณชาวนาไทยที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ พัฒนาข้าวไทย-เพิ่มผลิตภาพข้าวไทยให้สูงขึ้น เชื่อมั่นการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่-พัฒนาศูนย์ข้าวชุมชน จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนา ขับเคลื่อนการผลิตข้าวของประเทศอย่างเป็นระบบ
วันนี้ (7 มิ.ย.64) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำนายศักดิ์ดา เขตกลาง ชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564 คณะกรรมการกลางศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าวจากนายกรัฐมนตรีเนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2564 ซึ่งมีนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายด้านข้าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับข้าวและพี่น้องชาวนามาโดยตลอด จึงมีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพข้าวและรายได้ของชาวนา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำแผนการผลิตและการตลาดข้าวแบบครบวงจร เพื่อบริหารจัดการข้าวตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต ซึ่งได้แยกตลาดข้าวทั่วไปกับตลาดเฉพาะ เพื่อให้สามารถดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ให้ลดราคาข้าวลงมาให้ได้ ซึ่งในเรื่องนี้ ผู้นำชาวนาก็ต้องรับทราบและไปหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยการพัฒนาภาคการเกษตรตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายเน้นใช้การเกษตรสร้างมูลค่าเพื่อพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องยกระดับภาคการเกษตรสู่อุตสาหกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และทันต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ต้องมีการพัฒนาเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็ง พัฒนาทรัพยากรการผลิตทางการเกษตร พัฒนาสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในด้านการสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนาและองค์กรชาวนาพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพียงพอและอยู่ดีมีสุขนั้น ได้กำหนดเป้าหมายให้ “ชุมชนข้าว” ประกอบด้วยสหกรณ์การเกษตรข้าว วิสาหกิจชุมชนข้าว ศูนย์ข้าวชุมชน กลุ่มชาวนา ไม่น้อยกว่า 10,000 กลุ่ม ต้องมีความเข้มแข็งระดับมาตรฐานในปี 2567 โดยให้ชุมชนชาวนาเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายขยายผล โดยมีชุมชนข้าวประกอบด้วย 1) ศูนย์ข้าวชุมชน (ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน) 2) ชุมชนแปลงขยายพันธุ์ข้าว 3) ชุมชนข้าวแปลงใหญ่ 4) ชุมชนข้าวอินทรีย์ ขณะที่ในส่วนของการพัฒนาชาวนา จะมีการพัฒนาชาวนาในชุมชนข้าวเป้าหมายที่กำหนดเพื่อให้มีจำนวนชาวนาปราดเปรื่อง (Smart Farmers) ปราชญ์ชาวนา (Super Farmers) และชาวนารุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) เพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเกษตรกรชาวนา โดยเฉพาะชาวนาที่มีแปลงที่นาจำนวนน้อย ซึ่งชาวนาในส่วนนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงได้มีการรวมแปลงเป็นชุมชนข้าวแปลงใหญ่เพื่อให้ชาวนามีรายได้ที่ทั่วถึงกัน ซึ่งที่สำคัญคือต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายด้านเครื่องจักรกลการเกษตรให้มากที่สุด พร้อมกับต้องรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้ได้เพราะเป็นรายได้ของชาวนา และปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล จึงขอให้เกษตรกรชาวนาได้ปรับวัฒนธรรมในการทำนา โดยให้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน โดยรัฐบาลจะดูแลเกษตรกรชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ เอสเอ็มอี และภาคอื่น ๆ ของประเทศไปพร้อมกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่าการรวมกลุ่มของชาวในรูปแบบนาแปลงใหญ่ และพัฒนาศูนย์ข้าวชุมชนให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาการผลิตข้าวและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีจะช่วยให้พี่น้องชาวนามีความสามารถในการผลิต และช่วยขับเคลื่อนการผลิตข้าวของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยขอขอบคุณชาวนาไทยที่ได้ทุ่มเท แรงกายแรงใจ เพื่อพัฒนาข้าวไทยและเพิ่มผลิตภาพข้าวไทยให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความยั่งยืนให้ภาคเกษตรไทยมาโดยตลอด พร้อมย้ำว่า “ใจของนายกรัฐมนตรีไม่เคยทิ้งเกษตรกร”
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2562 เห็นชอบให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความสำคัญของข้าวในฐานะที่เป็นพืชอาหารหลักและมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวนาไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักให้กับประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พร้อมกำชับ รมว.แรงงาน ปูพรมฉีด 45 จุด ทั่วกรุง เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พร้อมกำชับ รมว.แรงงาน ปูพรมฉีด 45 จุด ทั่วกรุง เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เขตดินแดง ก
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เวลา 10.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมพร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ในวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงาน และสถานประกอบการ ในเบื้องต้นได้กำหนดจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7 – 26 มิ.ย.64 ซึ่งวัคซีนล็อตแรกจำนวน 1 ล้านโดส จะฉีดให้กับผู้ประกันตนที่แจ้งความประสงค์ต้องการรับวัคซีนโควิด-19 กับนายจ้าง และบันทึกลงระบบ e-service ตามที่สำนักงานประกันสังคมได้ทำการสำรวจตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้จัดลำดับคิวการฉีดวัคซีนไว้เรียบร้อยตามลำดับที่นายจ้างได้แจ้งความประสงค์ผ่านระบบ และได้ประสานนายจ้างจัดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จากสถานประกอบการจำนวน 24,568 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร เข้ารับการฉีดวัคซีนตามจุดที่สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร เช่น สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาคารซันทาวเวอร์ ศูนย์กีฬาบางขุนเทียน และตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถานประกอบการที่ลูกจ้าง/ผู้ประกันตนทำงานอยู่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 ได้จัดเตรียมสถานที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม 23 แห่ง โดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน ซึ่งทุกศูนย์ให้บริการระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น.
นายสุชาติกล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้ประกันตนทุกคนมั่นใจ กระทรวงแรงงานพร้อมดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการวัคซีนโควิด-19 อย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการนัดหมายให้เข้ารับการฉีดวัคซีนในล็อตแรก หากสำนักงานประกันสังคมได้รับการจัดสรรวัคซีน จะนัดหมายให้เข้ารับการฉีดในล็อตถัดไป เรียงตามลำดับการลงทะเบียน ทั้งนี้ หากท่านไม่มาตามกำหนดเวลา จะถือว่าสละสิทธิ์ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 รวมถึงการเข้ารับการรักษา ติดต่อสายด่วน 1506 กด 6 และ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ติดต่อสายด่วน 1506 กด 7 เจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42488 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ เพื่อพิจารณาความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงการประเมินของกองทุนยุติธรรม ประจำปีบัญชี ๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๘ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม และคณะกรรมการฯ เข้าร่วมฯ
ในการนี้ ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงการประเมินของกองทุนยุติธรรม ประจำปีบัญชี ๒๕๖๔ ผลการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาของสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ความคืบหน้าด้านคดี รวมทั้งผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๖๓ (ฉบับสมบูรณ์)
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้หารือร่วมกันในการพิจารณาจัดทำ/ทบทวนแผนงานด้านดิจิทัลและระบบฐานข้อมูล ประกอบด้วย ๑. แผนปฏิบัติการดิจิทัลกองทุนยุติธรรม (พ.ศ.๒๕๖๓ - ๒๕๖๕) ฉบับทบทวน และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดิจิทัล ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๕ และ ๒. แผนพัฒนาระบบฐานข้อมูลกองทุนยุติธรรม (พ.ศ.๒๕๖๓ - ๒๕๖๕) ฉบับทบทวนและ (ร่าง) แผนพัฒนาระบบฐานข้อมูล ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๕
นอกจากนี้ ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการด้านกองทุนยุติธรรม ระยะที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๖๓ – ๒๕๖๕) ฉบับทบทวนและ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกองทุนยุติธรรม ประจำปีบัญชี ๒๕๖๕ ตลอดจนแบบรายงานผลการสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42490 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างใช้โลโก้ธนาคาร ปล่อยเงินกู้ทาง Facebook | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างใช้โลโก้ธนาคาร ปล่อยเงินกู้ทาง Facebook
ธ.ก.ส.เตือนเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังการแอบอ้างโดยใช้ตราสัญลักษณ์ของธนาคารทำการปล่อยเงินกู้ผ่านทาง Facebook ย้ำ ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีดังกล่าวและไม่มีนโยบายปล่อยเงินกู้ผ่าน Facebook แต่อย่างใด
ธ.ก.ส. เตือน ! เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังการแอบอ้างโดยใช้ตราสัญลักษณ์ของธนาคารทำการปล่อยเงินกู้ผ่านทาง Facebook ย้ำ ! ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีดังกล่าวและไม่มีนโยบายปล่อยเงินกู้ผ่าน Facebook แต่อย่างใด โดยมี Facebook Page ที่เป็นทางการของธนาคารคือ “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” มุ่งเน้นการสื่อสารผลิตภัณฑ์ บริการและกิจกรรมต่าง ๆ กับลูกค้าเท่านั้น หากพบเห็นการแอบอ้างต่าง ๆ สามารถแจ้ง ได้ที่ Call Center 02 555 0555
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ช่องทาง Facebook โดยใช้ชื่อบัญชี “Sara Sourour” แอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ของธนาคาร และมีการโพสต์เสนอเงินกู้ตามช่องแสดงความคิดเห็น นั้น
ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชี Facebook ดังกล่าว อีกทั้งธนาคารไม่มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อผ่านทาง Facebook จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อบุคคลดังกล่าว
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มี Facebook Page ที่เป็นทางการคือ “ธกส BAAC Thailand” เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า และ Facebook Page “ธกส บริการด้วยใจ” เพื่อเป็นช่องทางสอบถามข้อมูล ให้ความช่วยเหลือและรับข้อร้องเรียนจากลูกค้า อีกทั้งยังมี LINE Official : BAAC Family ที่เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งหากถูกต้องตามหลักเกณฑ์จึงจะนัดหมายทำสัญญาต่อไป โดยจุดสังเกต LINE Official : BAAC Family จะมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวที่บริเวณหน้าชื่อและมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 8 ล้านคน
นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า ในปัจจุบันมีการหลอกลวงจากมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ธ.ก.ส. จึงขอให้ท่านใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ หากพบเห็นการแอบอ้างต่าง ๆ หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงช่องทางเว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42486 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตอบโจทย์ตลาดสมุนไพร | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ตอบโจทย์ตลาดสมุนไพร
“เฉลิมชัย” ตอบโจทย์ตลาดสมุนไพร สั่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาพืชสมุนไพรไทย มุ่งส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดการรวมกลุ่มกันผลิตภายใต้ระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในไทยพบว่าตั้งแต่ปี2560 - 2563มีอัตราการเติบโตประมาณ10%ต่อปีขณะที่พื้นที่ปลูกสมุนไพรมีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยมีปัจจัยมาจากความต้องการของตลาดและนโยบายการส่งเสริมทั้งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงสาธารณสุขที่มีนโยบายส่งเสริมให้โรงพยาบาลของรัฐนําสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรคควบคู่กับการใช้ยาแผนปัจจุบันเป็นต้นและจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ยังส่งผลทําให้ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้หันมาให้ความสนใจในการบริโภคสมุนไพรซึ่งพบว่ามูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศมีอัตรการเติบโตเฉลี่ย10.3%ภายหลังประกาศใช้แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยฉบับที่1พ.ศ.2560 - 64ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตมากกว่าจีนที่เติบโตเฉลี่ย5.06%ญี่ปุ่น0.85%และเกาหลีใต้5.43%ขณะที่ในตลาดโลกพบว่ามีมูลค่าการบริโภคสมุนไพรมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯได้เล็งเห็นโอกาสทางการตลาดของพืชสมุนไพรที่มีทิศทางการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นซึ่งนับเป็นผลดีกับเกษตรกรจึงมีนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาพืชสมุนไพรไทยและพืชทางเลือกอื่นๆโดยเน้นให้เกิดความเชื่อมโยงในการพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นทางกลางทางและปลายทางโดยใช้หลักการ“ตลาดนําการผลิต”ที่เน้นผลิตพืชที่มีศักยภาพมีความต้องการของตลาดและที่สำคัญสอดล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมุนไพรไทยซึ่งเป็นภูมิปัญญาและทรัพยากรของประเทศ
ด้านดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่ากระทรวงเกษตรฯได้มีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาพืชสมุนไพรไทยเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการวัตถุดิบสมุนไพรและคณะทํางานขับเคลื่อนพัฒนาผลิตผลสมุนไพรที่มีศักยภาพมาขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังได้จัดทำแผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกพืชสมุนไพร(Land Suitability)ที่สำคัญและเป็นที่ต้องการของตลาดจำนวน24ชนิดได้แก่ขมิ้นชันไพลบัวบกกระชายดำฟ้าทะลายโจรกระชายเหลืองกระวานข่าขิงคำฝอยตะไคร้บุกพริกไทยและว่านชักมดลูกกระเจี๊ยบแดงเก๊กฮวยดีปลีบอระเพ็ดพญายอเพชรสังฆาตมะระขี้นกมะลิมะแว้งเครือมะแว้งต้น
“จากการที่ได้เปิดให้เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรมาขึ้นทะเบียนพบว่าเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนรวม2,866ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดการรวมกลุ่มกันผลิตภายใต้ระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดตั้งเกษตรแปลงใหญ่สมุนไพรได้ถึง34แปลงใน21จังหวัดเกษตรกรสมาชิก1,531รายคิดเป็นพื้นที่5,500ไร่และเพื่อยกระดับการผลิตในปี2565กรมส่งเสริมการเกษตรได้เสนอของบประมาณจัดทำโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตสินค้าพืชสมุนไพรเพื่อขยายกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง77จังหวัดด้วย"ดร.ทองเปลวกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช้าก่อน! ไม่มีฉีดวัคซีนโควิดแบบ Walk in ที่สถานีกลางบางซื่อ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ช้าก่อน! ไม่มีฉีดวัคซีนโควิดแบบ Walk in ที่สถานีกลางบางซื่อ
....
การให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ประชาชน ณ สถานีกลางบางซื่อนั้น ยังไม่มีรูปแบบ Walk in แต่จะให้บริการประชาชน 2 กลุ่มหลัก คือ
- กลุ่มองค์กรที่ประสานมายังกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 5,000 คน/วัน
- กลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนนัดหมายเข้ารับบริการฉีดวัคซีน ผ่านผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ ดีแทค (DTAC) เอไอเอส (AIS) ทรู (TRUE) และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000 คน/วัน
.
สำหรับศูนย์ฉีดวัคซีนดังกล่าว จะเริ่มให้บริการประชาชนตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. – 31 ส.ค. 64 เวลา 09.00 – 20.00 น. โดยผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน จะต้องยืนยันตัวตนโดยแสดง QR Code ที่ได้รับจากการจองคิวผ่านเครือข่ายมือถือทั้ง 4 เครือข่ายพร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42482 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยรับมอบวัคซีนจาก บ.แอสตร้าเซนเนก้า แล้ว 1.8 ล้านโดส | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ไทยรับมอบวัคซีนจาก บ.แอสตร้าเซนเนก้า แล้ว 1.8 ล้านโดส
....
ข่าวดีที่หลายคนรอคอย! บ.แอสตร้าเซเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศไทยให้กับรัฐบาลล็อตแรกแล้ว จำนวน 1.8 ล้านโดส เพื่อนำไปกระจายสู่จังหวัดต่าง ๆ สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง พร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิ.ย. 64
.
พร้อมกันนี้ นายเจมส์ ทีก ประธาน บ.แอสตร้าเซเนก้า (ประเทศไทย) ได้ยืนยันว่า หลังจากนี้จะทยอยส่งวัคซีนให้ประเทศไทยจนครบตามสัญญา ซึ่งวัคซีนทุกล็อตที่ได้มีการส่งมอบจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างเคร่งครัด
.
ดังนั้น แผนการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะยังคงเป็นไปตามเดิม ไม่มีการเลื่อนฉีดวัคซีนแต่อย่างใด โดยรัฐบาลจะเดินหน้าฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด ให้ครอบคลุมประชาชนในประเทศอย่างน้อย 70% ในปี 2564
Cr. กระทรวงสาธารณสุข
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42479 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 พื้นที่กรุงเทพมหานคร สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ปูพรมฉีดคนทำงานในระบบประกันสังคม 45 จุดในกทม. ตามนโยบายรัฐบาล | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 พื้นที่กรุงเทพมหานคร สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ปูพรมฉีดคนทำงานในระบบประกันสังคม 45 จุดในกทม. ตามนโยบายรัฐบาล
นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 พื้นที่กรุงเทพมหานคร สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ปูพรมฉีดคนทำงานในระบบประกันสังคม 45 จุดในกทม. ตามนโยบายรัฐบาล สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ
วันนี้ (7 มิถุนายน 2564) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ปูพรมฉีดคนทำงานในระบบประกันสังคม 45 จุดในพื้นที่กทม. สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสียสละ ตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ประชาชนปลอดภัย และขอบคุณประชาชนที่สมัครใจมาฉีดวัคซีนกันมากขึ้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ขออย่าประมาท ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยัน นับจากวันที่ 7 มิถุนายน นี้ จะมีการฉีดวัคซีนปูพรมพร้อมกันทุกจังหวัด ทั่วประเทศ โดยจะปรับปริมาณวัคซีนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของแต่ละพื้นที่ และครอบคลุมบุคลากรทุกกลุ่ม รวมถึงบุคลากรครู ผู้ประกันตนมาตรา 33 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง
นายกรัฐมนตรียังยืนยันอีกด้วยว่า รัฐบาลจะทยอยส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง ณ วันนี้มีสถานที่ให้บริการมากกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฉีดวัคซีนบางส่วนแล้ว จำนวนประมาณ 4 ล้านคน คาดว่า เดือนมิถุนายนนี้จะสามารถฉีดเพิ่มขึ้นอีกตามจำนวนวัคซีนที่มีเข้ามา อย่างไรก็ตามหากในพื้นที่ใดที่มีคลัสเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นรัฐบาลก็มีการเตรียมวัคซีนรองรับสถานการณ์ดังกล่าวไว้แล้ว ขณะนี้มีทั้งวัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า ที่กำลังทยอยเข้ามาซึ่งเป็นไปตามแผนและห้วงเวลาที่กำหนด รวมทั้งมีการลงนามสัญญาสั่งจองวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไฟเซอร์ และอื่น ๆ ที่คาดว่าจะมาอีกประมาณ 25 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนซิโนแวคอีกจำนวน 8 ล้านโดส เพื่อให้ครบ 100 ล้านโดสตามที่กำหนดจากเดิม 61 ล้านโดส ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบัน ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 4.2 ล้านโดส และในเดือนมิถุนายนนี้ จะทยอยฉีดวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าที่เข้าให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะมีการจัดหาวัคซีนสำรองรองรับตามสถานการณ์ความจำเป็นด้วย
สำหรับการลงทะเบียนสำหรับรับบริการฉีดวัคซีนนั้น สามารถผ่านหลายช่องทางทั้งระบบหมอพร้อม แอปพลิเคชันอื่นๆ รวมถึงผ่านระบบประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยรัฐบาลจะบริหารจัดการวัคซีนที่มีอยู่ในแต่ละเดือน รวมทั้งที่ทยอยเข้ามาให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างเหมาะสมรวมถึงประชากรแฝงที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่ และจังหวัดที่มีกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยว กลุ่มแรงงาน และกลุ่มต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หรือชายแดนด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแรงงานผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม โดยจะปรับปริมาณวัคซีนและการฉีดให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับจำนวนความต้องการของประชาชน ภายใต้การกำกับและให้คำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนจังหวัดและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในการที่จะทำให้ทุกคนได้เข้าถึงวัคซีนที่มีอยู่ และจะเพิ่มเติมให้มากที่สุดทั้งปีนี้และปีหน้า เพียงทุกคนรวมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรับฟังข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ มีภูมิต้านทานก่อนที่จะนำไปโพสหรือเผยแพร่ต่อ เชื่อมั่นหากทุกคนร่วมมือกันทั้งภาครัฐเอกชนและประชาชนจะทำให้ประเทศฟื้นตัวได้เร็วขึ้น รวมทั้งร่วมมือกันให้การแพร่ระบาด Covid-19 ลดลงให้ได้ พร้อมอวยพรให้ประชาชนทุกคน บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนมีความสุขและปลอดภัย ตลอดจนให้กิจการต่าง ๆ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งขอความร่วมมือกิจการร้านค้า และร้านอาหารต่าง ๆ ตลอดจนกิจการโรงแรม ให้ระมัดระวังป้องกันตนเองไม่ให้ไม่ติดเชื้อ ซึ่งจะเป็นการช่วยรัฐบาลอีกทางหนึ่งในการร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลพร้อมที่จะดูแลเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังประชุมหารือกันเพื่อหาแนวทางในการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้มีรายได้และอาชีพ สามารถดำรงชีพอยู่ได้ให้มากที่สุด
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดเงื่อนไข “ยิ่งใช้ยิ่งได้” รับ e-Voucher คืนสูงสุด 7,000 บาท | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
เปิดเงื่อนไข “ยิ่งใช้ยิ่งได้” รับ e-Voucher คืนสูงสุด 7,000 บาท
....
ชวนมาทำความรู้จักโครงการใหม่แกะกล่อง ซึ่งอยู่ในมาตรการเยียวยาโควิด-19 รอบใหม่ ที่ผู้คนให้ความสนใจก็คือ "ยิ่งใช้ยิ่งได้"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42481 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผ่อนรถไม่ไหว มีทางออก กับมหกรรมไกล่เกลี่ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ผ่อนรถไม่ไหว มีทางออก กับมหกรรมไกล่เกลี่ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์
....
มาแล้วอีกหนึ่งช่องทางช่วยลดภาระของลูกหนี้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ ในการชำระหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔ โดยมีนายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม คณะอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๘ ชั้น ๑๐ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการให้ความช่วยเหลือประชาชน ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ (ภาพรวมทั่วประเทศ) ประกอบด้วย ผลการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจกองทุนยุติธรรม ผ่านระบบ JFReport แบ่งเป็นผู้มาขอรับคำปรึกษากฎหมาย และผู้มาขอรับความช่วยเหลือตามภารกิจของกองทุนยุติธรรม กรณีการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย กรณีการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดฯ และกรณีการสนับสนุนในการให้ความรู้ทางกฎหมาย พร้อมทั้งพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานครฯ คณะที่ ๑ จำนวน ๑๘ ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ณ สถานีกลางบางซื่อ
วันนี้ (7 มิ.ย. 64) เมื่อเวลา 08.30 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ณ สถานีกลางบางซื่อ โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องของการฉีดวัคซีน โดยได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ มีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ 1.ผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนประมาณ 7 ล้านคน 2. ช่องทางเสริมระบบหมอพร้อม โดยการลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน ในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ 3. การกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ โดยการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ อาทิ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยสามารถยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรวัคซีนได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึงแน่นอน โดยวันนี้ ถือเป็นวาระที่ดีที่เราทุกคนจะต้องให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาช่วยอำนวยความสะดวก ในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลแก่ประชาชนไม่เฉพาะที่สถานีกลางบางซื่อ แต่รวมถึงศูนย์ฉีดวัคคซีน ทั่วกรุงเทพฯ ด้วย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภายหลังจากเปิดให้สถานีกลางบางซื่อเป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” มาระยะหนึ่ง ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้ให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะทุกประเภทและส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม เข้ามารับบริการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยมากกว่า 10,000 คนต่อวัน โดยรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายฉีดวัคซีนแบบปูพรม ในกรุงเทพฯที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคนหรือ 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้ภายใน 2 เดือน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามเร่งจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนได้เพียงพอตามเป้าหมาย ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามารับบริการฉีดวัคซีน จะต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมเพื่อรับคิว หรือลงทะเบียนผ่านผู้ให้บริการระบบมือถือ เพื่อมารับบริการที่สถานีกลางบางซื่อ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดเตรียมพื้นที่ของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 14,294 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บวัคซีน และพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอีกด้วย รวมทั้งได้เตรียมโต๊ะจำนวน 400 ตัว เก้าอี้ 5,000 ตัว และรถพยาบาลจากโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กรณีฉุกเฉิน โดยภายในพื้นที่แบ่งเป็น 4 จุด จุดแรกเป็นจุดคัดกรอง แบ่งเป็น 4 โซน จุดที่ 2 เป็นพื้นที่ลงทะเบียนข้อมูลและเซ็นใบยินยอม รองรับได้ 260 โต๊ะ จุดที่ 3 จุดฉีดวัคซีน รองรับได้ 100 โต๊ะ จุดที่ 4 จุดพักรอสังเกตอาการ มีประมาณ 1,400 ที่นั่ง โดยจะสามารถรองรับการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 900 คนต่อชั่วโมง หรือ 10,000 คนต่อวัน เป็นอย่างน้อย โดยตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 6 มิถุนายน สามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 154,637 คน แบ่งเป็นบุคลากรด้านการขนส่ง 133,894 คน และหน่วยงานอื่นๆ อีก 20,743 คน
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ดูแลการเดินทางมายังสถานีกลางบางซื่อ ให้มีความหลากหลายและสะดวกสบาย เช่น เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้า BTS ระบบเรือโดยสาร และรถขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยได้จัดรถโดยสารปรับอากาศ รับ-ส่งประชาชน จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) ท่าน้ำบางโพ-สถานีเตาปูนสายสีม่วง 2) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 3) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว-รถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิต หรือรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หรือหมอชิต 2 เพื่อเชื่อมมายังสถานีกลางบางซื่อ นอกจากนี้ยังจัดรถ Shuttle Bus จำนวน 6 คัน เพื่อรับ-ส่งผู้ใช้บริการภายในสถานีกลางบางซื่อด้วย ส่วนผู้ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ก็มีลานจอดรถที่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอกว่า 1,500 คัน ทั้งนี้ “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” เปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน จนถึงสิ้นปี 2564 โดยให้บริการในระหว่างเวลา 09.00-20.00 น.
ทั้งนี้ การจัดตั้ง “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” ในครั้งนี้ ไม่กระทบต่อแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่จะเริ่มเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในเดือนกรกฎาคม 2564 และเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยกระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการเปิดให้บริการจะเป็นไปตามกำหนดเดิมอย่างแน่นอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42506 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยครึ่งวันแรกคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศราบรื่น ฉีดแล้ว 1.4 แสนคน | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
สธ.เผยครึ่งวันแรกคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศราบรื่น ฉีดแล้ว 1.4 แสนคน
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดำเนินงานคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 ครึ่งวันแรกจาก 986 จุดฉีดทั่วประเทศ ฉีดวัคซีนแล้ว 143,116 คน ภาพรวมราบรื่นดี ไม่แออัด ส่วนศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อวันนี้ ฉีดให้ผู้พิการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ครูในกทม. ประชาชนที่จองคิวในระบบ
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดำเนินงานคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 ครึ่งวันแรกจาก 986 จุดฉีดทั่วประเทศ ฉีดวัคซีนแล้ว 143,116 คน ภาพรวมราบรื่นดี ไม่แออัด ส่วนศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อวันนี้ ฉีดให้ผู้พิการเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ครูในกทม. ประชาชนที่จองคิวในระบบต่างๆ รวม 1 หมื่นคน
วันนี้ (7 มิถุนายน 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลการดำเนินการคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 จำนวนมากพร้อมกันทั่วประเทศครึ่งวันแรก รวม 986 จุดฉีดทั่วประเทศ ข้อมูลถึงเวลา 12.00 น. พบว่า มีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งหมด 143,116 คน แบ่งเป็นผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี 73,273 คน กลุ่ม 7 โรคเรื้อรังอายุน้อยกว่า 60 ปี 21,924 คน อสม.และบุคลากรทางการแพทย์ 12,081 คน และอื่นๆ โดยวันนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นจุดฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
“วันนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีน 1 หมื่นคน ได้แก่ ผู้พิการ 250 คน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ 750 คน ครูในกรุงเทพฯ 4 พันคน และประชาชนที่จองคิวในระบบต่างๆ 5 พันคน ระบบการจัดฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้มารับการฉีดวัคซีนได้รับความสะดวกสบาย จากการให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม- 6 มิถุนายน 2564 รวม 155,028 คน ใช้อัตรากำลังเจ้าหน้าที่ 374 คนต่อวัน ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่สนับสนุนอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ประชาชนรับบริการอย่างรวดเร็วเฉลี่ย 51 นาทีต่อคน” นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมวันนี้ประชาชนให้ความสนใจมารับบริการ สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่แออัด ถือว่าเรียบร้อยดี โดยจะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และรายงานผลการฉีดวัคซีนให้ทราบอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนให้ตรงกับวันที่นัดหมายมากที่สุดตามนโยบายของรัฐบาล ยกเว้นหากมีเหตุขัดข้องบางประการจะนัดหมายวันถัดไปแทน
************************************7 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42496 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ชวน ผู้สนใจไปทำงานประเทศญี่ปุ่น สมัครสอบภาษาญี่ปุ่นและทักษะฝีมือด้านงานบริบาล | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
รมว.แรงงาน ชวน ผู้สนใจไปทำงานประเทศญี่ปุ่น สมัครสอบภาษาญี่ปุ่นและทักษะฝีมือด้านงานบริบาล
กระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น เปิดโอกาส ให้แรงงานที่เคยไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น และผู้สนใจได้เข้าร่วมสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาลและทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาลเพื่อสมัครทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ ให้แรงงานไทยที่เคยไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นครบ 3 ปี และต้องการไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นในสาขาอื่นที่ไม่ได้ผ่านการฝึกงานมาก่อน และผู้สนใจทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (แรงงานฝีมือ) เตรียมความพร้อมตนเองล่วงหน้า สำหรับสมัครสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาล และทักษะฝีมือด้านงานบริบาล ที่จะมีกำหนดการจัดสอบวันที่ 12 มิถุนายน 2564 โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท Prometric Japan Co.,Limited เป็นผู้จัดทดสอบ โดยผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบได้ที่ http://ac.prometric-jp.com/testlist/nc/index.html
“พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งมุ่งเน้นประโยชน์และความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงแรงงานมีการจัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ที่แรงงานไทยที่มีทักษะเฉพาะมีโอกาสในอาชีพ ทั้งมีแนวโน้มขยายจำนวนจัดส่งเพิ่มมากขึ้นได้ โดยได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศญี่ปุ่น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น 1,700 คน และ Re-entry 137 คน รวมทั้งสิ้น 1,837 คน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับแรงงานไทยอายุ 17 ปี หรือมากกว่า 17 ปีขึ้นไป ที่สนใจร่วมการทดสอบเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาล และทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาล ที่มีกำหนดการจัดสอบ วันที่ 12 มิถุนายน 2564 ณ อาคารเกษมนครา อาคารที่ 2 ห้อง STN 10988 ชั้น 6 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า ถนนมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ค่าธรรมเนียมการสอบ 574 บาท โดยมีขอบข่ายการทดสอบ 2 ด้าน ได้แก่ 1.การผ่านการประเมินทักษะฝีมือด้านการบริบาล เพื่อรับรองว่าผู้สมัครผ่านระดับการประเมินที่สามารถให้การบริบาลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามกายภาพและสภาพจิตใจ โดยผู้ทดสอบต้องตอบคำถามข้อเขียน เรื่องหลักการบริบาลพื้นฐาน กลไกของจิตใจและร่างกาย ทักษะการสื่อสาร และการบริบาลร่างกาย รวมทั้งข้อเขียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการโดยวิธีใช้คอมพิวเตอร์ 2.การผ่านการประเมินทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นด้านการบริบาลเพื่อยืนยันว่าผู้สมัครมีระดับความเชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นที่สามารถปฏิบัติงานด้านการบริบาลและใช้เครื่องมือเครื่องใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหา โดยมีการทดสอบ เรื่องศัพท์เทคนิคของการบริบาล การสื่อสารด้านการบริบาล และเอกสารด้านการบริบาล ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบร้อยละ 60 ของคะแนนรวมในแต่ละการทดสอบ
“ขอให้ผู้ที่สนใจ ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อการโฆษณาชักชวนไปทำงานต่างประเทศ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์จากกระบวนการจัดสอบภาษาและทดสอบทักษะฝีมือในสาขาอาชีพต่างๆ ของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (แรงงานฝีมือ) ในประเทศไทย และผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.doe.go.th/overseas หรือ ติดต่อกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 6708 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน กรมการจัดหางาน 1694” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานรัฐสภา - รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ประธานรัฐสภา - รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19
ประธานรัฐสภา - รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 และนมผงสำหรับเด็ก พม. ปันสุข พร้อมเร่งช่วยเหลือประชาชนเดือดร้อนจากเหตุภัยพิบัติพายุฤดูร้อน
วันที่ 5 มิถุนายน 2564 ที่ห้องประชุมศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลกนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคมพร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ ห้องประชุมศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เพื่อมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น จากมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม พร้อมทั้งนมผงสำหรับเด็ก พม. ปันสุข ให้กับจังหวัดพิษณุโลก โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกาณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนางพัชรีอาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้นและผงสำหรับเด็ก พม. ปันสุข ให้กับจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ พิจิตร อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี และสุพรรณบุรี
นายจุติกล่าว่า จากนั้น ตนได้เข้าร่วมประชุม ทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก เพื่อมอบแนวทางในการขับเคลื่อนงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพ การซ่อมสร้างที่อยู่อาศัย และการสงเคราะห์ครอบครัวยากจน นอกจากนี้ ได้เดินทางไปลงพื้นที่ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองพระ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อพบปะเยี่ยมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุภัยพิบัติพายุฤดูร้อนและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจกระทรวง พม. ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยรวมน้ำใจสู้ภัยโควิด-19โดยความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลหนองพระ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) และ กระทรวง พม. ทั้งนี้ ได้มอบถุงยังชีพเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนในเบื้องต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ตรวจเยี่ยม รพ.สวนเบญจกิติฯ ฉีดวัคซีน COVID-19 วันแรก | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ตรวจเยี่ยม รพ.สวนเบญจกิติฯ ฉีดวัคซีน COVID-19 วันแรก
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทยลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีน โรงพยาบาลสวนเบญจกิติเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ในวันแรกของการฉีดวัคซีนเต็มรูปแบบวาระแห่งชาติ ตามที่ ศบค. กำหนดนโยบาย
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีน โรงพยาบาลสวนเบญจกิติเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ในวันแรกของการฉีดวัคซีนเต็มรูปแบบวาระแห่งชาติ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กำหนดนโยบาย โดยให้บริการสำหรับพนักงานการยาสูบแห่งประเทศไทย อดีตพนักงาน ครอบครัวพนักงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนและได้รับการยืนยันวันที่ฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อมหรือ SMS แล้ว ซึ่งโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ได้จัดเตรียมอาคาร 2 เป็นสถานที่สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีน เปิดให้บริการวันละ 120 คน รอบเช้า เวลา 09.00 - 11.30 น. และรอบบ่าย เวลา 13.00 - 15.00 น.
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ มีความพร้อมในการเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน เนื่องจากมีสถานที่กว้างขวางสะดวกสบาย ไม่แออัด มีสถานที่จอดรถเพียงพอ มีคณะผู้บริหารโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด และมีการให้บริการที่รวดเร็วเป็นระบบ ผู้รับบริการจึงไม่ต้องใช้เวลารอนาน นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ยังพร้อมที่จะให้บริการประชาชนทุกระดับประทับใจ ด้วยบริการทางการแพทย์แบบครบวงจรที่มีมาตรฐานเทียบเท่าเอกชน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งการรักษาโรคทั่วไป แพทย์เฉพาะทาง คลินิกชะลอวัย ศูนย์ไตเทียม คลินิกผิวหนัง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บนทำเลที่ตั้งใกล้กับสวนเบญจกิติ สวนสาธารณะแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงความคืบหน้าคดีส่งออกยาเสพติด เผยไทยเป็นแค่ทางผ่านเพราะทุกอย่างเอื้ออำนวย ยืนยันทำงานเต็มที่แม้กฎหมายที่เป็นเครื่องมือสำคัญยังไม่เสร็จ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม แถลงความคืบหน้าคดีส่งออกยาเสพติด เผยไทยเป็นแค่ทางผ่านเพราะทุกอย่างเอื้ออำนวย ยืนยันทำงานเต็มที่แม้กฎหมายที่เป็นเครื่องมือสำคัญยังไม่เสร็จ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงความคืบหน้าคดีส่งออกยาเสพติด เผยจับกุมในประเทศไทยได้มากกว่าหลุดไปเมืองนอก แต่ของที่ออกไปมูลค่าสูงกว่าเดิมถึง 10 เท่า เตรียมประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อเวลา 11.00 น. ณ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ดินแดง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ว่าที่ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวสถานการณ์ภาพรวมการสกัดกั้นและการลักลอบส่งออกยาเสพติด ความคืบหน้าคดีส่งออกยาเสพติดไปต่างประเทศ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการส่งออกยาเสพติดไปยังต่างประเทศ ยาเสพติดมาจากแหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ส่งเข้ามาประเทศไทยผ่านทางชายแดน และลักลอบนำส่งลงเรือที่ท่าเรือในประเทศไทย และมีบางส่วนส่งจากประเทศเพื่อนบ้านไปยังประเทศที่สามด้วยเช่นกัน สาเหตุที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้แหล่งผลิตยาเสพติด มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกและรวดเร็ว รวมทั้ง ยังมีท่าเรือสากลที่มีขนาดใหญ่และมีจำนวนตู้สินค้าผ่านท่าเรือจำนวนมาก แม้ว่าจะมีวิศวกรผลิตยาที่ถูกจับในประเทศไทย แต่มีน้อยมากและโทษจำคุกสูงถึงตลอดชีวิต โดยยาเสพติดส่วนใหญ่ที่มีการส่งออกเป็น ไอซ์และเฮโรอีน โดยรวมทั้งหมดมียาเสพติดที่ถูกจับและมีการส่งผ่านประเทศไทยทั้งหมดรวม 19 ประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ 22 คดี ออสเตรเลีย 20 คดี อิสราเอล 14 คดี นิวซีแลนด์ 11 คดี และสิงคโปร์ 10 คดี
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การจะป้องกันให้เรื่องยาเสพติดเป็นศูนย์ทำได้ยาก เพราะมีเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งตนจะเชิญ 6 ประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขงคุยแนวทางกันอีกครั้ง ซึ่งการจะทลายเครือข่ายยาเสพติดนั้นจะต้องใช้เวลา โดยเราจะเน้นที่การขยายผลจับกุมยึดทรัพย์สินเครือข่าย และเรามีแนวทางหลักๆ คือ การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน การให้ความรู้เด็กและเยาวชน ทำให้ยาบ้ามีราคาถูกเพราะคนนิยมน้อยลง แต่กำลังการผลิตทำได้มากขึ้นและต้นทุนถูกมาก และยังเน้นเรื่องของการฟื้นฟูผู้ติดยา มาตรการทางกฎหมายที่เข้มข้นมากขึ้น และการศึกษาเทคโนโลยีและแนวทางใหม่ๆเพื่อให้ทันสถานการณ์ ที่ผ่านมาการสกัดจับยาเสพติดที่ใช้ประเทศไทยส่งออกทำได้จำนวนมาก ซึ่งที่จับได้ในต่างประเทศมีจำนวนน้อยแต่มีราคาสูงกว่าเดิมถึง 10 เท่า ทำให้ข่าวการจับกุมในต่างประเทศมีมูลค่าสูง
"ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ เราทำงานอย่างเต็มที่ ในการอภิปรายของ ส.ส. ในสภาช่วงการพิจารณางบประมาณรายจ่าย 2565 ว่างบประมาณของ ป.ป.ส. ถูกตัดลดลงไปกว่า 1,500 ล้านบาท แต่ตนไม่ได้สนใจตรงนั้น การทำงานบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานยังไม่ลดลง และเรายังไม่มีเครื่องมือที่สำคัญอย่าง ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของรัฐสภา เรายังทำงานได้มีประสิทธิภาพและเน้นไปที่การยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด แม้ว่าวันนี้จะได้มากกว่า 4,500 ล้านบาทแล้ว แต่เรายังไม่พอใจ เพราะยังขาดเครื่องมือที่สำคัญอย่างกฎหมาย หากได้มาการทำงานของเราจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้อีก แต่หากมีทุกอย่างครบแล้วเรายังทำงานให้ดีไม่ได้ก็ต้องพิจารณาตัวเอง แต่ตนเชื่อว่าทำได้แน่นอน"นายสมศักดิ์ กล่าว
นายวิชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ส. มีการขยายผลจับกุมทุกคดี แต่การนำเข้ายาเสพติดนั้นจะสามารถขยายผลจับกุมได้บ่อยครั้งกว่าการส่งออก เนื่องจาก ทุกคดีมีผู้รอรับยาเสพติดในประเทศ แตกต่างกับการลักลอบส่งออกยาเสพติด ผู้ส่งยาเสพติดจะอำพรางใช้การส่งผ่านหลายบริษัท และใช้ผู้อื่นดำเนินการแทนการสืบสวนพบว่า มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกยาเสพติด โดยกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคนไทย ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มแอฟริกันตะวันตก และกลุ่มประเทศปลายทางมาดำเนินการเอง รูปแบบการซุกซ่อนยาเสพติด ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะลักลอบลำเลียงไปกับตัวบุคคล ซุกซ่อนยาเสพติดในร่างกาย การกลืน พันรอบตัว และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทางโดยทำเป็นช่องลับ ซุกซ่อนในเครื่องอุปโภค บริโภค ปะปนกับเสื้อ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด รูปแบบการซุกซ่อนยาเสพติดได้เปลี่ยนแปลงไปใช้การส่งผ่านพัสดุระหว่างประเทศ ผ่านบริษัทขนส่งพัสดุภัณฑ์ภายในประเทศ ก่อนจะนำไปส่งต่อบริษัทขนส่งระหว่างประเทศอีกที เพื่อสกัดการสืบสวนเชื่อมโยงถึงตัวผู้ส่ง
นายวิชัย กล่าวอีกว่า การติดต่อสื่อสารของกลุ่มผู้ลักลอบส่งยาเสพติด จะใช้วิธีการ สั่งการทางแอพพลิเคชั่นไลน์หรือการสนทนาผ่านแอพพลิเคชั่นเฟซบุคโดยจะใช้บัญชีผู้ใช้ปลอม (อวตาร) ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้ เครื่องมือและอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสืบสวนยุคปัจจุบัน รูปแบบการโอนเงิน จากการสืบสวนก่อนนี้ กลุ่มผู้ลักลอบส่งยาเสพติดจะใช้การโอนเงินผ่านเคาท์เตอร์ธนาคาร ตู้ ATM แอพพลิเคชั่นธนาคาร และปัจจุบันกลุ่มนี้หันมาใช้การฝากเงินสดผ่านตู้รับฝากอัตโนมัติ โดยว่าจ้างผู้อื่นเป็นผู้ฝาก ข้อมูลการสกัดกั้นจับกุมคดียาเสพติดในประเทศไทย ตั้งแต่ปลาย ปี พ.ศ. 2562 ถึงปัจจุบัน สกัดกั้นยาเสพติดได้มากขึ้น จำแนกเป็น ไอซ์ 60,818 กก. เฮโรอีน 4,298 กก. และยาบ้า 1,182,910,461 เม็ด สืบเนื่องมาจาก นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการบูรณาการปราบปรามยาเสพติด และความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42489 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม จัดฝึกอบรมทบทวนการตรวจค้นอาวุธและวัตถุอันตราย (Recurrent Screener) | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม จัดฝึกอบรมทบทวนการตรวจค้นอาวุธและวัตถุอันตราย (Recurrent Screener)
และหัวหน้าควบคุม (Screening Supervisor) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รุ่นที่ 1 - 12
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมทบทวนการตรวจค้นอาวุธและวัตถุอันตราย (Recurrent Screener) และหัวหน้าควบคุม (Screening Supervisor) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รุ่นที่ 1 - 12 จำนวน 260 คน โดยกลุ่มพัฒนาบุคคลและสวัสดิการ กรมท่าอากาศยาน ได้จัดฝึกอบรมดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 7-19 มิถุนายน 2564 ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ (Video Conference) ซึ่งได้รับเกียรติจากนายสำอาง มั่นหมาย และ นายสุรวัจน์ บุญรอด วิทยากร (Instructor) จากบริษัท รักษาความปลอดภัยการ์ดฟอร์ซ อะวิเอชั่น จำกัด เป็นวิทยากรในการบรรยายฝึกอบรมดังกล่าว ณ ห้องประชุมจันทรางศุ ชั้น 10 และห้องประชุมศูนย์ค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือประสบภัย กรมท่าอากาศยาน
สำหรับการฝึกอบรมทบทวนการตรวจค้นอาวุธและวัตถุอันตราย (Recurrent Screener) และหัวหน้าควบคุม (Screening Supervisor) มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความรู้ ทักษะการปฏิบัติงานด้านการตรวจค้น และกฎระเบียบ ข้อบังคับที่ปรับปรุงใหม่ รวมถึงสร้างความตระหนักด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน ให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจอาวุธและวัตถุอันตรายได้คงความรู้ ทักษะ สมรรถนะ สำหรับปฏิบัติงานในการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน
โดยหัวข้อในการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 4 ส่วนดังนี้
1. การฝึกอบรมความตระหนักรู้ด้านการรักษาความปลอดภัย (Security Awareness)
2. การฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ (Security Screener)
3. การฝึกอบรมเฉพาะด้านของหัวหน้าควบคุม (Screening Supervisor)
4. ภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจอาวุธและวัตถุอันตราย (English for Airport Screener)
ซึ่งการฝึกอบรมดังกล่าวเป็นไปตามการบังคับใช้แผนฝึกอบรมการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ (National Civil Aviation Security Training Programme for the Kingdom of Thailand : NCASTP) ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และแผนฝึกอบรมการรักษาความปลอดภัยด้านการบินกรมท่าอากาศยาน (Aviation Security Training Programme for Department of Airport : ASTP for DOA) ซึ่งกำหนดให้ต้องได้รับการฝึกอบรมทบทวนทุกปี เพื่อทำให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตรวจอาวุธและวัตถุอันตรายของกรมท่าอากาศยานคงไว้ซึ่งความรู้และคุณสมบัติของใบรับรองพนักงานตรวจค้นตามที่กำหนดไว้ในแผนฝึกอบรมการรักษาความปลอดภัยด้านการบินกรมท่าอากาศยาน (ASTP for DOA) และมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการตรวจค้นอยู่เสมอ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์พร้อม! เปิดให้ลูกค้าสแกน คิวอาร์โค้ด เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 3 | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ไอแบงก์พร้อม! เปิดให้ลูกค้าสแกน คิวอาร์โค้ด เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 3
ไอแบงก์พร้อมเปิดระบบให้ลูกค้าสแกนคิวอาร์โค้ดลงทะเบียนร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยประเภทสินเชื่อบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19 ระลอกใหม่
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมเปิดระบบให้ลูกค้าสแกน คิวอาร์โค้ด ลงทะเบียน เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 3 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยประเภทสินเชื่อบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ ครอบคลุมลูกค้าที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการนี้มีแนวทางให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
• สินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันภายใต้กำกับ (ยกเว้นสินเชื่อสวัสดิการพนักงานบุคคลภายนอก (MOU)/สินเชื่อบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/สินเชื่อ เสริมสร้างธุรกิจรายย่อยมุสลิม (MSMEs)) ลูกค้าสามารถขอลดค่างวดไม่เกิน 30% ของค่างวดเดิมระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
• สินเชื่อที่อยู่อาศัย / อเนกประสงค์ มีหลักประกัน ลูกค้าสามารถเลือกลดค่างวดไม่เกิน 30% ของค่างวดเดิม ระยะเวลา 6 เดือน หรือ พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) 6 เดือน หรือ พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) 3 เดือน และให้ปรับลดอัตรากำไรในระยะเวลาที่พักชำระหนี้ลง 25% เฉพาะบัญชีสินเชื่อที่อยู่ในช่วงการชำระค่างวดด้วยอัตรากำไรอ้างอิง SPRL (SPRL ของธนาคาร ปัจจุบัน = 7.40 ต่อปี) โดยทั้ง 3 ทางเลือกจะไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบระยะยาว เช่น ถูกพักงาน หรือ ถูกให้ออกจากงาน ลูกค้าสามารถขอพักชำระเงินต้นและกำไร 3 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลา และให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
• สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ พักชำระค่างวด 3 เดือนและขยายระยะเวลา 3 เดือน
สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบระยะยาว ลูกค้าสามารถเลือกขอพักชำระค่างวด 3 เดือน หรือ ในกรณีที่ไม่สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ ลูกค้าสามารถขอคืนรถ เพื่อขายทอดตลาด หากราคาขายประมูลจริงได้ต่ำกว่าภาระหนี้ธนาคารจะพิจารณาลดภาระหนี้ตามความเหมาะสม
สำหรับลูกค้าที่สนใจร่วมมาตรการสามารถลงทะเบียนโดยการสแกน คิวอาร์โค้ด กรอกข้อมูลแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ibank Call Center 1302
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดงาน “EXIM Stakeholders Day” ครั้งแรกของการใช้เทคโนโลยีการประชุมออนไลน์เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ร่วมออกแบบภาพอนาคตของ EXIM BANK และประเทศไทย | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
EXIM BANK จัดงาน “EXIM Stakeholders Day” ครั้งแรกของการใช้เทคโนโลยีการประชุมออนไลน์เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ร่วมออกแบบภาพอนาคตของ EXIM BANK และประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดงาน “EXIM Stakeholders Day: เสียงของท่าน สำคัญกับเรา” โดยใช้เทคโนโลยีการประชุมออนไลน์ เชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนกว่า 100 คน
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดงาน “EXIM Stakeholders Day: เสียงของท่าน สำคัญกับเรา” โดยใช้เทคโนโลยีการประชุมออนไลน์ เชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนกว่า 100 คน ประกอบด้วยหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ถือหุ้น ผู้แทนกระทรวงที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจทั้งหมด ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เป็นพันธมิตรด้านต่าง ๆ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงินต่าง ๆ ตลอดจนลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและนักลงทุนทุกระดับ ตั้งแต่รายใหญ่ จนถึงรายกลาง และรายย่อย ร่วมให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงาน เพื่อร่วมกันออกแบบภาพอนาคตของ EXIM BANK เพื่อการพัฒนาประเทศไทยในยุค New Normal และอนาคตข้างหน้า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564
ในโอกาสนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้แถลงทิศทางใหม่ (New Direction) แนวทางขยายความร่วมมือมากยิ่งขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement) และรูปแบบการทำงานแนวใหม่ในเชิงรุก (Smart Working) บนแนวนโยบาย Dual-track Policy ซึ่ง EXIM BANK จะดำเนินบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)” ควบคู่กับการเป็น “ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)” เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศไทย พร้อมทั้งเปิดเวทีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาครัฐและเอกชนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำแผนวิสาหกิจ 5 ปี (ปี 2565-2569) แผนปฏิบัติการประจำปี 2565 และปรับทิศทางการดำเนินงาน EXIM BANK ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน
“โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในยุค New Normal ทำให้องค์กรต่าง ๆ รวมถึง EXIM BANK ต้องปรับตัวและดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่งเพื่อเป็นกลไกสำคัญของภาครัฐในการช่วยเหลือเยียวยาภาคธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ งาน EXIM Stakeholders Day จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกของการใช้เทคโนโลยีสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับและทุกภาคส่วน ซึ่งต่างก็เผชิญกับความท้าทายและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจโลกยุคใหม่นี้ด้วยแง่มุมที่แตกต่างกันไป เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือ จุดร่วมของการพัฒนาองค์กร EXIM BANK ที่ตอบโจทย์สังคม ช่วยเยียวยา ฟื้นฟู และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและโลกอย่างสมดุลและยั่งยืน” ดร.รักษ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches First-time “EXIM Stakeholders Day” Online Linking All Sectors to Join Crafting EXIM Thailand and Thailand’s Future
Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) organized “EXIM Stakeholders Day: Your Voices Matter to Us” via online meeting on June 7, 2021. The event drew more than 100 stakeholders from all sectors, i.e. regulators, shareholders, representatives from all ministries in charge of national economic affairs, government agencies and public entities that are the Bank’s business alliances comprising the Federation of Thai Industries, Thai Chamber of Commerce and Board of Trade of Thailand, Thai National Shippers’ Council, Thai Bankers’ Association, other financial institutions, as well as customers, exporters and investors at all levels, from large to medium and small ones, to share information and exchange experiences on business operations. This has aimed to encourage all sectors to jointly design the future of EXIM Thailand toward national development in the New Normal context and beyond.
On this occasion, Dr. Rak Vorrakitpokatorn, EXIM Thailand President, unveiled New Direction for Greater Stakeholder Engagement and Smart Working Style under the Dual-track Policy thereby EXIM Thailand will take the role of “Thailand Development Bank” in conjunction with that of “One Stop Trading Facilitator for SMEs” to drive Thailand’s trade and investment strategies. A forum was held for stakeholders from both public and private sectors to brainstorm and give recommendations for use to formulate the 5-Year Enterprise Plan (2022-2026) and operational plan 2022, and realign the business direction of EXIM Thailand whose role is instrumental to the country’s sustainable development in economic, social and environmental dimensions and responds to the demands and expectations of its stakeholders in all sectors.
“The ever changing world in the New Normal age has prompted various organizations, including EXIM Thailand, to adapt to the new environments and stay strong so as to be a government key mechanism in assisting and rejuvenating the business sectors so that they can continue their business operations. The first EXIM Stakeholders Day event has thus been launched, with the use of a technological platform for the first time for exchange of ideas among the stakeholders at all levels and from all sectors who have been challenged by the business world of the new era in different perspectives. Our ultimate target is to reach a consensus on development of EXIM Thailand that can respond to demands and heal as well as revive all sectors in the society with a view to driving the economic, social and environmental growth of Thailand and the world at large on a balanced and sustainable basis,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://bit.ly/2T6vqtW
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42502 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ นำผู้ได้รับพักโทษ เข้าโครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” เสริมทักษะชีวิตต่อยอดวิชาชีพ เพื่อดำเนินชีวิตตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ นำผู้ได้รับพักโทษ เข้าโครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” เสริมทักษะชีวิตต่อยอดวิชาชีพ เพื่อดำเนินชีวิตตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ นำผู้ได้รับพักโทษ เข้าโครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” เสริมทักษะชีวิตต่อยอดวิชาชีพ เพื่อดำเนินชีวิตตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง และนำความรู้ความสามารถไปดำเนินชีวิตและใช้ประกอบอาชีพต่อไป
นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ เร่งให้ความรู้แนวคิด “โคก หนอง นา โมเดล” แก่ผู้ถูกคุมความประพฤติที่ได้รับพักโทษ กรณีมีเหตุพิเศษ และนักโทษเด็ดขาดที่มีโทษระยะสั้น เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขพิเศษ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยผ่านอบรมโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์” จึงต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตรตามที่กรมคุมประพฤติกำหนด ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโมเดลต้นแบบที่ได้น้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานไว้ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อใช้บริหารจัดการน้ำและพื้นที่ทำการเกษตร รวมถึงการนำความรู้ความสามารถไปดำเนินชีวิตและใช้ประกอบอาชีพต่อไป
อย่างไรก็ตาม โครงการโคก หนอง นา โมเดล เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแก้ไขฟื้นฟูผู้ถูกคุมความประพฤติ ที่ได้รับการพักโทษ ซึ่งกรมคุมประพฤติ มุ่งหวังที่จะสร้างจุดเปลี่ยนในชีวิตให้กับผู้ถูกคุมประพฤติ โดยน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้จริงในการดำเนินชีวิต มุ่งเน้นให้ปรับเปลี่ยนแนวความคิด ได้เรียนรู้ทักษะชีวิต เพื่อมองเห็นคุณค่าในตนเอง ผ่านการวางเป้าหมายในชีวิต จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต รวมทั้งเป็นการสร้างกำลังใจและสร้างโอกาสในการกลับคืนสู่สังคมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42487 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดอบรมนักเรียนแกนนำเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมผ่าน Zoom ทั่วประเทศ หวังป้องกัน-แก้ไขปัญหารับ-ส่ง เผยแพร่ข้อมูลไม่เหมาะสมของเด็ก เยาวชน และประชาชนในยุคดิจิทัล โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
วธ.เปิดอบรมนักเรียนแกนนำเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมผ่าน Zoom ทั่วประเทศ หวังป้องกัน-แก้ไขปัญหารับ-ส่ง เผยแพร่ข้อมูลไม่เหมาะสมของเด็ก เยาวชน และประชาชนในยุคดิจิทัล โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาของเด็ก เยาวชน และประชาชน โดยใช้มิติทางวัฒนธรรมในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาของเด็ก เยาวชน และประชาชน โดยใช้มิติทางวัฒนธรรมในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค โดยมีนางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom จากส่วนกลางไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกแห่ง ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๖๔ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นแกนนำนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมจำนวน ๓๐๘ คน
ปลัด วธ. กล่าวว่า การเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมและการสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรม เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมให้กับคนในชาติได้ตระหนักและเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมในการรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทย และร่วมเฝ้าระวังกระแสวัฒนธรรมที่เบี่ยงเบนที่มากับสื่อ และโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ที่ถือเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น วธ. จึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน ประชาชนในการรู้เท่าทันสังคมโลก สามารถเลือกสรร กลั่นกรอง นำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองที่ดีในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งร่วมเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
“ปัจจุบันสังคมออนไลน์เป็นอีกช่องทางในการติดต่อสื่อสาร มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่วนหนึ่ง คือ มีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ดังนั้น ทาง วธ. ได้เชิญวิทยากรที่มีความรู้จากสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สถาบันพัฒนาศักยภาพสมองเด็กแบบองค์รวมด้วยวินัยเชิงบวก และภาคส่วนต่าง ๆ มาถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ให้นักเรียนทั่วประเทศมีการพัฒนาและรู้เท่าทันสื่ออย่างปลอดภัย โดยการขับเคลื่อนเครือข่ายศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม วธ.เน้นบูรณาการจากกลุ่ม หรือองค์กรร่วมกันเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมในพื้นที่ ในฐานะเจ้าของวัฒนธรรม ร่วมกันคิด ร่วมระดมสมอง ร่วมรับผิดชอบ บริหารจัดการและแก้ปัญหาให้ตรงจุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด”ปลัดวธ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดงบ 2,800 ล้าน ไทยทุ่มพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ใช้เองในประเทศ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
เปิดงบ 2,800 ล้าน ไทยทุ่มพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ใช้เองในประเทศ
....
เมื่อผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่า โรคโควิด-19 น่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ที่วนเวียนมาทุกปี รัฐบาลจึงทุ่มงบประมาณกว่า 2,800 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ไทยผลิตวัคซีนใช้เองได้ในระยะยาว
.
แบ่งเป็นงบชุดแรก 1,810.68 ล้านบาท ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.63 จัดสรรให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ นำไปสนับสนุนการวิจัยแก่หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ได้แก่
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42480 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี
“รมช.มนัญญา” ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามความก้าวหน้าโครงการสำคัญตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมอบนโยบายแก่ข้าราชการในสังกัดสำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี ณ ห้องประชุมสำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าโครงการที่สำคัญ อาทิ 1. โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน เพื่อสานต่ออาชีพการเกษตร ผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 55 ราย สหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 8 แห่ง 2. โครงการซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 3 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเมืองอุทัยธานีจำกัด สหกรณ์การเกษตรสว่างอารมณ์ จำกัด และสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.อุทัยธานี จำกัด 3. การส่งเสริมการปลูกกัญชงในสถาบันเกษตรกร ส่งเสริมให้ปลูกกัญชงพัน KATANI จากประเทศอเมริกา โดยมีสหกรณ์การเกษตรเมืองอุทัยธานี จำกัด และสหกรณ์การเกษตรลานสัก จำกัด เป็นผู้ยื่นขออนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์จำนวนทั้งสิ้น 168 กิโลกรัม ซึ่งได้ดำเนินการขออนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยสหกรณ์แจ้งความประสงค์ขออนุญาตปลูกกัญชงจำนวน 8 สหกรณ์ รวมพื้นที่ปลูกทั้งสิ้น 84 ไร่ 1 งาน 4. โครงการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐ ในการเป็นผู้ผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) สหกรณ์กองทุนสวนยางปฏิรูปที่ดินน้ำดี จำกัด และ 5. โครงการพัฒนาเกษตรปลอดภัยในพื้นที่นิคมสหกรณ์ สมาชิกเข้าร่วมโครงการจำนวน 65 ราย พื้นที่ทำการเกษตร 1,058 ไร่
ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญของสหกรณ์จังหวัด จะต้องมีความรอบรู้ มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานอยู่เสมอ และเข้าใจหลักการบริหารอย่างแท้จริง ทั้งบุคลากรในองค์กร บริหารงบประมาณที่ได้รับให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด บริหารแผนงานโครงการให้บรรลุเป้าหมาย และบริหารจัดการเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม รมช.เกษตรฯ มีความเป็นห่วงเกษตรกรในเรื่องสถานการณ์น้ำ เนื่องจากเกิดฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำมีน้อย จึงสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย หรือพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทดแทนการทำนาปรัง เพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42504 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับหน่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กรุงเทพมหานคร ฉีดวัคซีดให้ผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่บ้านบางแคกว่า 100 คน | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
พม. ร่วมกับหน่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กรุงเทพมหานคร ฉีดวัคซีดให้ผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่บ้านบางแคกว่า 100 คน
พม. ร่วมกับหน่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กรุงเทพมหานคร ฉีดวัคซีดให้ผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่บ้านบางแคกว่า 100 คน
วันนี้ (7 มิ.ย. 64) เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นลำดับแรก วันนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้ร่วมกับหน่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ทีมบุคลากรทางการแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข 47 และศูนย์บริการสาธารณสุข 62 กทม. ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค กทม.
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ มีผู้บริหารกระทรวง พม. ได้แก่ นางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ รองปลัดกระทรวง พม. นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ และนางจตุพร โรจนพานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. ได้เดินทางมาลงพื้นที่ ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค กทม. เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์และเยี่ยมให้กำลังใจผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล ซึ่งมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้สูงอายุ รวม 129 คน แบ่งเป็นผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก จำนวน 41 คน และผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง จำนวน 88 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก รวม 55 คน ทั้งนี้ ผู้สูงอายุในศูนย์ฯ ได้กล่าวแสดง ความรู้สึกและขอบคุณเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ และรัฐบาลที่ให้ความสำคัญและมาอำนวยความสะดวกในการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวง พม. จะเร่งให้มีการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแลอย่างทั่วถึงและเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 145 เขตการเดินรถที่ 3
2) พนักงานการเงินค่าโดยสาร เขตการเดินรถที่ 4 อู่พระราม 9
3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42505 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตน ม.33 ล็อตแรก เริ่ม 7 มิ.ย. นี้ | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
พร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตน ม.33 ล็อตแรก เริ่ม 7 มิ.ย. นี้
....
วันที่ 7 มิ.ย. นี้ ถือเป็นวันแรก ที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ลงทะเบียนกับสถานประกอบการผ่านระบบ e-service ของสำนักงานประกันสังคมไว้แล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในสถานประกอบการ
.
สำหรับจุดบริการฉีดวัคซีนที่จัดเจรียมไว้ในพื้นที่ กทม. มี 45 จุด เช่น สนามกีฬาศูนย์เยาวชน ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ,เอเชียทีค ,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,เซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี และตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถานประกอบการที่ลูกจ้าง/ผู้ประกันตนทำงานอยู่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลในเครือประกันสังคม จำนวน 20 แห่ง ได้อีกด้วย
.
ขณะนี้ ได้เตรียมความพร้อมสถานที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไว้ให้บริการเรียบร้อยครบถ้วนทุกจุดแล้ว โดยช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 7 มิ.ย. นี้ นายกรัฐมนตรี และคณะ จะเดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ณ สนามกีฬาศูนย์เยาวชน ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ด้วย
.
ขณะเดียวกัน ยังได้มีการกระจายวัคซีนฉีดไปยังจังหวัดเศรษฐกิจและพื้นที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง นครปฐม สมุทรสาคร เชียงใหม่ และเพชรบุรี เป็นต้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42483 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ. โอภาสฯ ชี้ ดีเดย์ ฉีดวัคซีนครั้งใหญ่วันแรกตามวาระแห่งชาติบรรยากาศดี ยอดเป็นไปตามเป้า | วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564
นพ. โอภาสฯ ชี้ ดีเดย์ ฉีดวัคซีนครั้งใหญ่วันแรกตามวาระแห่งชาติบรรยากาศดี ยอดเป็นไปตามเป้า
นพ. โอภาสฯ ชี้ ดีเดย์ ฉีดวัคซีนครั้งใหญ่วันแรกตามวาระแห่งชาติบรรยากาศดี ยอดเป็นไปตามเป้า
วันนี้ (7 มิถุนายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้เปิดเผยถึงบรรยากาศ และรายละเอียดเกี่ยวกับการประกาศให้วันนี้เป็นวันฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ ไทยเริ่มฉีดวัคซีนครั้งใหญ่วันแรกอย่างเป็นทางการ ตามนโยบายที่ได้กำหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ
โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้บริหารหลายหน่วยงาน ได้ไปตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่สถานีกลางบางซื่อ ได้มีการเปิดแคมเปญการฉีดวัคซีน โดยนายกรัฐมนตรีได้ video conference ให้กำลังใจตรวจเยี่ยมจุดฉีดใหญ่ๆ อีก 4 จุด ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และนครราชสีมา
สรุปสถานการณ์ ที่สถานีกลางบางซื่อ มีผู้พิการจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้นัดหมายมา 250 คน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ 750 คน ครูในเขต กทม 4,000 คน ประชาชน 5,000 คน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะฉีดให้ได้ 10,000 คน ทั้งนี้ การบริการที่สถานีกลางบางซื่อมีมาตั้งแต่ 24 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2564 ยอดรวมผู้รับบริการแล้ว ทั้งสิ้น 155,028 คน โดยใช้อัตรากำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 374 คน ต่อวัน โดยรับการสนับสนุนจากรัฐ และเอกชน ภาพรวมประชาชนรับบริการใช้เวลา 51 นาที ต่อคน
อีกจุดคือที่ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง อาคารกีฬาเวสน์ จัดเตรียมพื้นที่เพื่อฉีดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยสำนักงานประกันสังคมรับผิดชอบ
ทั้งนี้ จนถึง เวลา 12.00 วันนี้ มีการรายงานเข้ามาจาก 986 จุด ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วทั้งสิ้น 143,116 คน ใช้เวลาฉีด 2-3 ชั่วโมง สถานการณ์ฉีดเป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่แออัด มีบางจุดที่มีปัญหาบ้างเล็กน้อย เช่น ผู้มีรายชื่อตกหล่นจากการลงทะเบียนในแอป “หมอพร้อม”แต่เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการแก้ปัญหาให้เรียบร้อย ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 73,273 ราย ผู้ป่วยในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี จำนวน 21,924 ราย อสม.และบุคลากรทางการแพทย์อีก 12,081 ราย ซึ่งมีพี่น้องประชาชนสนใจเข้ามารับบริการด้วยดี กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สำนักงานประกันสังคม จะประเมิน และสรุป รวบรวมข้อมูล แจ้งต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง
ในตอนท้าย นพ. โอภาสได้ตอบคำถามจากสื่อมวลชนกรณีการเข้ารับการฉีดวัคซีน กรณีมีบางท่านได้รับการติดต่อเลื่อนวันฉีดวัคซีน ขอยืนยันได้รับฉีดวัคซีนแน่นอน และจะพยายามให้ตรงกับวันนัดหมายมากที่สุด ทั้งนี้ ในการนัดหมายครั้งแรก บางจุดอาจมีการนัดหมายเกินกว่าโควต้าที่ได้รับ ขอให้ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครได้ปรับให้สอดคล้องเหมาะสม และเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนดไว้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมง ผนึกประมงพื้นบ้าน - ประมงพาณิชย์ แปลงขยะทะเลกว่า 197 ตัน เป็นทุนสร้างรายได้ สู่ชุมชนประมง | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กรมประมง ผนึกประมงพื้นบ้าน - ประมงพาณิชย์ แปลงขยะทะเลกว่า 197 ตัน เป็นทุนสร้างรายได้ สู่ชุมชนประมง
“5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” เดินหน้าสำเร็จ กรมประมง ผนึกกำลัง ประมงพื้นบ้าน - ประมงพาณิชย์ ทะเลสะอาด แปลงขยะทะเลกว่า 197 ตัน เป็นทุนสร้างรายได้ สู่ชุมชนประมง สร้างความยั่งยืนให้ทรัพยากร
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพประมงไทย แถลงวันนี้ (2 มิ.ย.) ว่า หลายปีที่ผ่านมาทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและจัดการปัญหาขยะทะเล โดยประเทศไทย ติดอันดับต้นๆ ของโลกที่มีการทิ้งขยะลงทะเลมากที่สุด ขณะนี้หลายหน่วยงานในประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญและได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณขยะ สอดคล้องกับวาระแห่งชาติ ภายใต้แผนแม่บทการจัดการขยะแห่งชาติฉบับที่ 2559 – 2564 ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน ตามมติที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในการร่วมมือมุ่งมั่นฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานสู่มิติใหม่ ภายใต้“5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” คือ 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3. ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety-Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน) 4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” และ 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา สอดคล้องกับมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เห็นชอบในโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การนำขยะมารีไซเคิลหมุนเวียนให้เกิดรายได้ใช้พัฒนาชุมชน ด้วย “โครงการทะเลปลอดอวน” และ “โครงการขยะคืนฝั่ง” กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่ดูแลด้านประมง ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี โดยในปี 2562 กรมประมงจึงได้ร่วมกับพี่น้องชาวประมงทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลโดยตรง ในการริเริ่มนำแนวคิดการไม่สร้างขยะในท้องทะเล และการเก็บขยะในท้องทะเล มาแปลงเป็นทุน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ภายใต้การบริหารจัดการของชุมชนประมง จนปัจจุบันสามารถบริหารจัดการและกำจัดออกจากทะเลไปจำนวน 196,876 กิโลกรัม สร้างรายได้นำไปพัฒนาชุมชน
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะในทะเลนั้น ได้ดำเนินงานภายใต้นโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้เน้นย้ำในเรื่องของการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม โดยกรมประมง ผู้ประกอบการและชาวประมง บูรณาการงานร่วมกันอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ช่วยลดโอกาสในการปนเปื้อนของมลพิษในสัตว์น้ำ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเริ่มต้นจากชาวประมงพาณิชย์ขยายผลไปสู่ชาวประมงทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกรมประมงได้ดำเนินโครงการในการกำจัดขยะทะเล ภายใต้การขับเคลื่อนของอธิบดีกรมประมง มาแล้ว จำนวน 2 โครงการ คือ
1. โครงการ Net Free Seas หรือเรียกว่า โครงการทะเลปลอดอวน ซึ่งกรมประมงได้ร่วมกับมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation : EJF) ในการพยายามจัดการและแก้ไขปัญหาขยะที่เกิดจากเศษอวนประมง โดยการนำเศษอวนเอ็นจากเรือประมงพื้นบ้าน กลับมารีไซเคิลแปรสภาพใช้ประโยชน์และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยปัจจุบัน ได้มีการนำร่องจัดทำโครงการ Net Free Seas ในพื้นที่ชุมชนชายฝั่งทะเลในจังหวัดทางภาคตะวันออกและภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา และพังงา โดยมีชุมชนประมงพื้นบ้านที่จัดตั้งเป็นองค์กรประมงท้องถิ่น ทั้งหมด 47 ชุมชน มีชาวประมงเข้าร่วมโครงการกว่า 700 คน โดยชุมชนประมงท้องถิ่นในพื้นที่สามารถรวบรวมนำเศษอวนที่กลายเป็นขยะในพื้นที่แล้ว ส่งขายให้กับโรงงาน ในราคา 10 บาท/กิโลกรัม เพื่อนำมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติก และแปลงไปเป็นของใช้ต่างๆ ได้มากกว่า 12 รายการ เช่น ที่เปิดขวดที่รองแก้ว ที่กดลิฟท์ ส่วนประกอบของกระดานโต้คลื่น พรมปูพื้น ฯลฯ ซึ่งถูกนำไปจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศแล้วกว่า 100,000 ชิ้น สามารถลดขยะที่เกิดจากเศษอวนไปได้มากถึง 14,000 กิโลกรัม ซึ่งชุมชนจะมีรายได้ตอบแทน โดยการดำเนินโครงการจะถูกปรับให้เหมาะสมกับวิถีชุมชน แต่ละชุมชนมีส่วนร่วมและมีสิทธิ์ในการให้คำแนะนำและตัดสินใจในรูปแบบการบริหารจัดการรายได้ที่ได้รับจากการขายเศษอวนผ่านโครงการและระบบการจัดการ รีไซเคิลขยะจากอวนที่ไม่ซับซ้อนชาวบ้านสามารถดำเนินการเองได้ เอื้อให้เกิดการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนได้ในระยะยาว
โครงการดังกล่าว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาขยะจากเศษอวนประมงเพื่อเป็นการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลและช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากขยะ ช่วยสร้างช่องทางการเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนชาวประมง และเป็นการริเริ่มการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้แก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพชีวิตในชุมชนให้ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยสนับสนุนความพยายามของชุมชนในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลผ่านการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจผ่านโครงการเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์และปลูกฝังพฤติกรรมการแก้ปัญหาขยะทะเลและการรีไซเคิลให้เป็นวิถีชุมชนที่ยั่งยืน และในอนาคตมีแผนจะขยายผลไปยังชุมชนในจังหวัดใกล้เคียงในฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนประมงในพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนชุมชนประมงท้องถิ่นชายฝั่งกับกรมประมงทั้งหมดแล้ว จำนวน 751 ชุมชน
2. โครงการ “ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา” โดยกรมประมงร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รณรงค์ให้ชาวประมงดูแลรักษาสภาพแวดล้อมในพื้นที่เขตทะเลและชายฝั่งให้สะอาด นำขยะทะเลคืนฝั่ง ภายใต้กรอบแนวคิด “รับรู้ต้นตอปัญหา เกิดจิตสำนึกตระหนัก ให้ความเห็นร่วม สมัครเข้าทำกิจกรรม สร้างสัมพันธ์ ให้ความร่วมมือ ยึดปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO) ของกรมประมง จำนวน 30 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนกิจกรรมฯ ดังกล่าว ปัจจุบันมีชาวประมงเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 4,328 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564) มีขั้นตอนการดำเนินการโดยผู้ควบคุมเรือประมงทุกลำที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ จะต้องจดบันทึกรายงานขยะที่เก็บมาแต่ละครั้ง แนบพร้อมการส่งสมุดบันทึกการทำประมง (LB) เพื่อให้ศูนย์ PIPO ตรวจสอบและบันทึกปริมาณขยะลงในระบบ นอกจากนี้ยังได้ประสานงานไปยังท่าเทียบเรือทุกแห่งที่จดทะเบียนกับกรมประมง ให้จัดจุดรวบรวม คัดแยกขยะจากทะเล และประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงที่ออกเรือ ลดการใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ยาก ไม่เทเศษสิ่งของเหลือใช้ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ ของใช้ในเรือประมงลงสู่ทะเล ซึ่งจากดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 ปี ได้มีการสรุปรายงานผลปริมาณขยะ คืนฝั่งที่เก็บมาได้ปัจจุบันทั้งหมดจำนวน 182,876 กิโลกรัม (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564) แบ่งเป็นขยะที่เก็บในเรือประมงจำนวน 139,682 กิโลกรัม ขยะจากทะเล 43,194 กิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่ประเภทขยะที่พบมากที่สุดคือ เศษอวน รองลงมาเป็นขวดพลาสติก ขวดแก้ว และขยะอื่นๆ ทั้งนี้ขยะที่รวบรวมไว้จะมีการส่งต่อไปสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อให้คุ้มค่าที่สุด หรือนำกลับมาใช้ใหม่ หรือกำจัดด้วยวิธีที่ถูกต้อง
“จากการดำเนินการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมประมงได้มุ่งผลักดันกิจกรรมฯ ดังกล่าว ในด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง จนประสบความสำเร็จเห็นผลเชิงประจักษ์ โดยล่าสุดกรมประมงได้ส่งผลงานกิจกรรมฯ ดังกล่าว เข้าร่วมชิงรางวัลเลิศรัฐประจำปี 2564 ประเภทรางวัล การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม เพื่อแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจระหว่างภาครัฐ และพี่น้องชาวประมง ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อม ท้ายนี้ กรมประมงขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงในความตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยกันเก็บขยะจากทะเลคืนฝั่ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบและขยายผลไปสู่ชาวประมงทุกกลุ่มให้ปรับเปลี่ยนวิถีการทำประมงใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเนื่องในโอกาสวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก กรมประมงและพี่น้องชาวประมง ขอแสดงเจตจำนงค์ว่าพวกเราพร้อมที่จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้คืนความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม” อธิบดีกรมประมง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจงการตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข การใช้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งได้พิจารณาจัดสรรอย่างเหมาะสม | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีชี้แจงการตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข การใช้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งได้พิจารณาจัดสรรอย่างเหมาะสม
นายกรัฐมนตรีชี้แจงการตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข การใช้เงินเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งได้พิจารณาจัดสรรอย่างเหมาะสม รวมทั้งได้วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศมาโดยตลอด
วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) เวลา 18.50 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดย นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ในปี 2565 ซึ่งถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564 ตามเหตุผลและความจำเป็น ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขที่รวมถึงกองทุนหลักประกันสุขภาพ กองทุนแพทย์ฉุกเฉิน กองทุนภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ซึ่งสูงกว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหม และค่าใช้จ่ายที่ถูกปรับลดลงเพียงร้อยละ 1.97 ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ต้องการให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน
ด้านงบประมาณทางสังคม การเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณอุดหนุนเด็กแรกเกิดสูงขึ้นทุกปี ในปี 2565 มีเด็กกว่าสองล้านคนได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยลดความสำคัญกับงบประมาณด้านการศึกษาเลย แต่เนื่องจากจำนวนนักเรียนลดลง จากอัตราการเกิดลดลง รัฐบาลมีโครงการสนับสนุนอาหารเสริม สำหรับนักเรียน 6.87 ล้านคน และสนับสนุนอาหารกลางวันให้นักเรียน 5.88 ล้านคน เป็นงบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 25,400 ล้านบาท มีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งมีการเพิ่มงบประมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้แก่ผู้ใช้แรงงาน การจ่ายค่าตอบแทนให้ อสม. ซึ่งมีการพิจารณาสบทบเพิ่มเติมอีก มีงบประมาณเบี้ยผู้พิการ มีงบประมาณบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ งบประมาณสามหมื่นล้านบาท มีการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการในสังคม มีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยทั้งในเมืองในชนบท เบี้ยยังชีพผู้สูงอาชีพ 11 ล้านคน อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ให้ลำดับความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารสถานการณ์โควิดกว่า 117,862 ล้านบาท รัฐบาลได้จัดงบประมาณและเงินกู้ที่มีความสำคัญกับการแพทย์และการสาธารณสุข ทั้งค่าตอบแทนแพทย์และ อสม การจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด ค่าใช้จ่ายวัคซีน และการจัดซื้อจัดหานำมาใช้ในประเทศ รวมถึงการป้องกันการแพ้วัคซีน การจัดตั้งสถานกักตัวของรัฐ SQ การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข และสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังมีเงินกู้จำนวนสามหมื่นล้านบาท จะเห็นว่ารัฐบาลเห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนและเป็นการวางแผนล่วงหน้าเพื่อการแก้ไขสถานการณ์โควิด พรบ.เงินกู้จะใช้ได้เร็วกว่า ทันต่อสถานการณ์กว่า แต่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดที่เกิดขึ้น และจัดการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการพัฒนาศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน และการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดซื้ออาวุธ เราไม่ได้ซื้อเฉพาะยุทธโธปกรณ์อย่างเดียว ได้แบ่งเป็นงบประมาณเพื่อการฝึกอบรม และซ่อมบำรุง ประเทศไทยอยู่ใจกลางของอาเซียน จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนายุทธโธปกรณ์ ซึ่งไม่ได้หวังถึงประโยชน์ส่วนตัวคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น
ในค่าใช้จ่ายวัคซีน มีการจัดสรรงบประมาณจากหลายส่วน ซึ่งได้ดำเนินการใช้งบประมาณอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ต้องขออนุมัติ และมีการตรวจสอบตามกฎระเบียบ ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ประโยชน์ในประเทศด้วย และได้ทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศด้วย
ด้านการจัดลำดับความน่าเชื่อถือในระดับสากล นายกฯ เผยว่า ประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ไม่ประเทศในโลกที่ได้รับการประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินและการคลังในลำดับเท่าเดิม แม้อยู่ในสถานการณ์โควิด-19 โดยบริษัท S&P Global Ratings บริษัท Moody’s Investors Serviceและบริษัท Fitch Ratings ได้คงอันดับของไทยไว้ที่ BBB+ และคงอันดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ จาก Japan credit rating Agency และ Rating and Investment Information ประเมินระดับความน่าเชื่อถือไทยในระดับ A- และให้มุมมองความน่าเชื่อถือไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการเงินและการคลังที่แข็งแกร่ง มีการปรับกฎเกณฑ์และกติกาเพื่อความเหมาะสมในตลอดหลายปีผ่านมานี้
และในส่วนเงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2564 รัฐบาลชำระหนี้เงินกู้ไปแล้ว 2.53 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินที่รัฐบาลกู้มา ได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ โดยใช้ในการดูแลด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีน การคัดกรอง การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด การเฝ้าระวัง การควบคุม การป้องกัน การค้นหา การตรวจคัดกรองโรค การจัดหาครุภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และ อสม. นอกจากนี้ เงินกู้ดังกล่าว ยังถูกจัดนำใช้กับการดูแลพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการผ่านโครงการต่างๆ ไม่วาจะ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการม. 33 เรารักกัน โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มมากกว่า 50 ล้านคน ซึ่งท่านรองนายกรัฐมนตรีจะได้มาชี้แจงเพิ่มเติมเป็นการต่อไป
สำหรับเงินกู้ตั้งแต่ปี 2559 ถึง ปัจจุบัน รัฐบาลได้นำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปกว่า 2.1 ล้านล้านบาท จำนวน 162 โครงการ ซึ่งกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นการกู้เพื่อการลงทุนวงเงินงบประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างการเจริญเติบโตของประเทศ การจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน อาทิ การมีรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่พักอาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยทั้งเช่า เช่าซื้อและซื้อ ต่างอยู่ในแผนงานโครงการทั้งสิ้น ระบบประปา ไฟฟ้า พลังงานที่จะต้องกระจายความเจริญไปในภูมิภาคต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.การคมนาคม ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสีต่างๆ ใน กทม. และปริมณฑล โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนามบิน ตลอดจน รถเมล์ NGV ส่วนในเรื่องถนน ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ขยายและซ่อมแซมเส้นทางเก่า และมอบหมายให้สร้างถนนสายใหม่ที่ไม่ผ่านแหล่งชุมชุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ กระจายความเจริญและให้ผู้คนเข้าถึงมากขึ้น
2. การไฟฟ้าและการประปา มีโครงการให้เปลี่ยนสายไฟฟ้าลงดินใน กทม. และหลายจังหวัด โครงการขยายเขตไฟฟ้าในครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำยังเกาะต่างๆ ในส่วนของการประปา ได้แก่ โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วน ประกอบด้วยโครงการจัดทำประปาหมู่บ้าน ระบบชลประทานเพื่อการเก็บกักน้ำ โครงการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคและการเกษตร โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในทุกภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลยังคงแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเติมน้ำให้เขื่อนซึ่งดำเนินการแล้ว การสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติมทั้งน้ำบนดินและใต้ดิน การพักน้ำ การสร้างประตูน้ำเพิ่มเติม ทั้งหมดนี้อยู่ในแผนแล้วทั้งสิ้น เพราะนี่คือ อนาคตของประชาชนชาวไทย เพราะฉะนั้น จะเห็นว่ารัฐบาลได้ใช้เงินกู้อย่างมีประโยชน์และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อประเทศและประชาชน
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลยืนยันในการนำงบประมาณที่ใช้เป็นไปตามกฎหมาย มีการจัดลำดับความสำคัญ และแผนการรับรอง อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้ายและฝ่ายรัฐบาลที่ช่วยนำเสนอ โดยรัฐบาลพร้อมรับฟัง สนับสนุน และร่วมมือกับทุกฝ่าย จึงหวังว่าทุกคนจะร่วมมือกันเพื่อเดินหน้าต่อสู้กับสงครามเชื้อโรค สงครามไซเบอร์ และข่าวปลอม สำหรับเรื่องการศึกษา จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการชี้แจงรายละเอียดในวันต่อไป พร้อมยืนยันว่าได้มีการสั่งการให้ปรับปรุงหลักสูตรและกฎระเบียบเพื่อความเหมาะสมแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42326 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. ออก 4 มาตรการต่อเนื่องเยียวยาผู้เช่าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ พร้อมจัดสถานที่ตรวจคัดกรองโควิด-19ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ธพส. ออก 4 มาตรการต่อเนื่องเยียวยาผู้เช่าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ พร้อมจัดสถานที่ตรวจคัดกรองโควิด-19ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ
ธพส. เดินหน้าเยียวยาผู้เช่าร้านค้าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ อย่างต่อเนื่อง ออก 4 มาตรการช่วยเหลือ ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าลดค่าเช่าคืนเงินมัดจำ และขยายสัญญาเช่า เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ประกอบการ
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้บริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ เดินหน้าเยียวยาผู้เช่าร้านค้าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ อย่างต่อเนื่อง ออก 4 มาตรการช่วยเหลือ ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าลดค่าเช่าคืนเงินมัดจำ และขยายสัญญาเช่า เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบพร้อมสนับสนุนสถานที่ อาหารและเครื่องดื่ม สำหรับบุคลากรที่ให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เปิดเผยว่าธพส. ได้คำนึงถึงผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อผู้เช่าร้านค้าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ทำให้ขายสินค้าและบริการได้ลดลง จากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดต่างๆ อาทิ นโยบาย Work From Home เพื่อลดความแออัด การเว้นระยะห่าง รวมถึงการห้ามรับประทานอาหารภายในร้าน ที่ออกมาก่อนหน้านี้
โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา ธพส. ได้ออกมาตรการลดค่าเช่าเพื่อเป็นการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ร้อยละ 50 และร้อยละ 100 ในกรณีที่ผู้เช่ายังไม่เปิดให้บริการ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2563ซึ่งในปี 2564 นี้ ธพส.ยังคงออกมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564ดังนี้
(1) ผู้เช่าพื้นที่พาณิชย์สามารถขอหยุดประกอบการโดย ธพส. ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าและค่าบริการส่วนกลาง สำหรับผู้เช่าพื้นที่พาณิชย์ที่เปิดดำเนินการตามปกติให้ปรับลดค่าเช่าและค่าบริการส่วนกลางลงร้อยละ 50
(2) ขยายระยะเวลาสัญญาให้กับผู้เช่าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ที่ ธพส. ทำสัญญาให้เช่า ให้บริการ หรือให้สิทธิ และได้ชำระค่าเช่า ค่าบริการ หรือค่าสิทธิล่วงหน้า ตามระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบ
(3) คืนเงินประกัน เงินมัดจำ เงินค่าเช่าและค่าบริการที่ได้ชำระล่วงหน้า สำหรับผู้เช่าและผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ในกรณีมีการเลื่อนหรือยกเลิกการเช่าหรือใช้บริการพื้นที่
(4) ปรับลดค่าบริการพื้นที่ลานอเนกประสงค์และพื้นที่ประชาสัมพันธ์ไม่เกินร้อยละ 30
นอกจากนี้ ธพส. ยังได้ประสานความร่วมมือกับ ศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ร่วมกับกองควบคุมโรค สำนักงานเขตหลักสี่ จัดให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก สำหรับประชาชนทั่วไป เฉลี่ยวันละ 1,000 คน ณ บริเวณชั้น 1 อาคารจอดรถBCศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2564 เวลา 08.00 - 14.00 น.ซึ่งนอกจากการสนับสนุนพื้นที่การให้บริการแก่ประชาชนผู้เข้ารับการตรวจแล้ว ธพส. ยังสนับสนุนค่าอาหาร และเครื่องดื่มให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อีกด้วย
ดร.นาฬิกอติภัค กล่าวทิ้งท้ายว่า“จากมาตรการเยียวยาต่างๆ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารและพนักงาน ธพส. ทุกคน ร่วมกันทำด้วยความเต็มใจ เพื่อให้ความช่วยเหลือกับ ผู้เช่าพื้นที่ ผู้ใช้บริการพื้นที่พาณิชย์ ผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนชุมชนโดยรอบศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ แม้จะต้องยอมเสียสละตัดลดโบนัสประจำปี เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมาดำเนินการตามแผนงาน เป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19และเป็นกำลังใจให้กับทุกคนสามารถก้าวผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ทส. จัดพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564” | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
“ทส. จัดพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564”
“ทส. จัดพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564”
“ทส. จัดพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564”
วันที่ 2 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะผู้บริหารระดับสูงร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี โดยกิจกรรมครั้งนี้ ได้จัดภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เข้มงวด ณ อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ยังได้เชิญชวน ข้าราชการ และบุคลากรของกระทรวง รวมถึง ประชาชนทั่วไป ร่วมลงนามถวายพระพรผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ http://www.mnre.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบ สำนักงาน ป.ป.ส. เร่งขยายผลสอบเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ หลังจับผีน้อยคาสนามบินอินชอน พบยาไอซ์มูลค่า 341 ล้านบาท | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม มอบ สำนักงาน ป.ป.ส. เร่งขยายผลสอบเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ หลังจับผีน้อยคาสนามบินอินชอน พบยาไอซ์มูลค่า 341 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการสูงสุด สาธารณรัฐเกาหลี (SPO) เพื่อขยายผลไปถึงผู้สั่งการ พร้อมสอบเส้นทางการเงินก่อนทำการยึดทรัพย์สินต่อไป
สืบเนื่องจาก วันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เวลา 17.15 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำสนามบิน อินชอน (เกาหลีใต้) ได้ตรวจยึดยาเสพติด (ยาไอซ์) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม ประมาณ 4,040.49 กรัม มูลค่ากว่า 12.14 พันล้านวอน หรือประมาณ 341ล้านบาทไทย พร้อมจับกุมผู้ต้องหาที่ส่งมาจากประเทศไทย นั้น
ล่าสุด วันที่ 2 มิถุนายน 2564 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้เร่งสั่งการให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการสูงสุด สาธารณรัฐเกาหลี (SPO) เพื่อขยายผลไปถึงผู้สั่งการ และเครือข่ายที่ร่วมลักลอบคนยาเสพติดไปประเทศเกาหลีใต้ เพื่อหาพยานหลักฐานเตรียมดำเนินคดี พร้อมสอบเส้นทางการเงิน เพื่อทำการยึดทรัพย์สินต่อไป
ขณะที่ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ป.ป.ส. ได้ประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการสูงสุดเกาหลีใต้ ที่ประจำอยู่ในสำนักงาน ป.ป.ส. มาโดยตลอด จนขยายผลทราบว่า ของกลางดังกล่าว (ยาไอซ์) ถูกส่งมาจากบริษัทส่งสินค้า ซอยอิทาปัจ 13 ถนนเพชรเกษม เขตบางแค ซึ่งระบุตัวผู้ส่งชัดเจนแต่อยู่ระหว่างการสอบสวน โดยมีการส่งยาเสพติดผ่านทางเครื่องบิน โดยนักค้ายาเสพติดกลุ่มนี้จะมีการติดต่อซื้อขายยาเสพติดผ่าน แอปพลิเคชั่น ไลน์ กับเฟซบุ๊ก ก่อนขนส่งยาเสพติดผ่านพัสดุ และจัดส่งบริษัท ขนส่งพัสดุเอกชนแห่งหนึ่งโดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ SPO (เกาหลีใต้) รายงานว่า กลุ่มผู้รับสินค้าดังกล่าวเป็นคนไทยที่ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งสำนักงานป.ป.ส. กำลังเร่งดำเนินการขยายผลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. มอบอาหารและเครื่องดื่มให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รฟม. มอบอาหารและเครื่องดื่มให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
จำนวน 400 ชุด ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
วันที่ 1 มิถุนายน 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย นายถนอม รัตนเศรษฐ ผู้ช่วยผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นผู้แทน รฟม. มอบอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 400 ชุด ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยมี นางจตุพร เนียมสุข ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุน ส่งมอบกำลังใจ และความห่วงใยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เสียสละในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 และ รฟม. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน
ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42309 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอคนไทยร่วมใจเดินหน้าตามแผนงานร่วมกัน แจงงบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 715,451 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.5 | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีขอคนไทยร่วมใจเดินหน้าตามแผนงานร่วมกัน แจงงบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 715,451 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.5
นายกรัฐมนตรีขอคนไทยร่วมใจเดินหน้าตามแผนงานร่วมกัน แจงงบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 715,451 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.5
วันนี้(2มิ.ย. 64)เวลา20.00น.ณห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรอาคารรัฐสภาถนนสามเสนเขตดุสิตกรุงเทพฯพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่1)เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2565ชี้แจงกรณีงบประมาณเงินกู้1ล้านล้านบาทว่าขณะนี้ได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น715,451ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ87.5และจะทยอยจ่ายในส่วนที่เหลือตามที่ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาทั้งค่าใช้จ่ายในการเตรียมความพร้อมสถานพยาบาลค่าสถานที่กักตัวการสาธารณสุขหลักประกันสุขภาพค่าตอบแทนอสม.อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการเฝ้าระวังและการจัดหาวัคซีนโดยดำเนินการตามขั้นตอนมีการกำชับสาธารณสุขในการบริหารจัดการให้เพียงพอควบคุมการบริหารร่วมกันซึ่งทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ
ในส่วนของการช่วยเหลือเยียวยาได้ใช้จ่ายเงินกู้ในส่วนของการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประกอบการภาคประชาชนมีกรอบวงเงินคงเหลือ11,101ล้านบาทที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือประชาชนไป2รอบรวมจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั้งนี้วงเงินให้ความช่วยเหลือสามารถตรวจสอบได้ขณะเดียวกันแผนงานในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมมีกรอบวงเงินกู้คงเหลือ7,549ล้านบาทนอกจากนี้ยังมีโครงการในกลุ่มกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนท่องเที่ยวและอุตสาหรรมรวมทั้งในส่วนอุดมศึกษามหาวิทยาลัยโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดอยู่ภายใต้การใช้เงินในงบประมาณดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีชี้แจงเพิ่มเติมกรณีงบประมาณขาดดุล3ปีว่าไม่สามารถลดงบประมาณในปี2563และ2564ให้เหลือแต่รายจ่ายด้านบุคลากรได้เนื่องจากมีรายจ่ายในการดูแลเกษตรกรภัยพิบัติรวมถึงโครงการต่างๆที่มีความต่อเนื่องของแต่ละกระทรวงที่มีภาระหน้าที่ที่เหมือนเป็นรายจ่ายประจำไปแล้วทั้งการดูแลกลุ่มเปราะบางเด็กสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ให้กับประชาชนซึ่งในส่วนดังกล่าวไม่สามารถตัดได้ นอกจากนี้ยังได้มีการสนับสนุนเกษตรแปลงใหญ่เครื่องจักรเพิ่มเติมในส่วนของท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือในการเก็บเกี่ยวลดต้นทุนในการผลิตพร้อมขอความร่วมมือให้ทุกคนดำเนินการไปตามแผนงาน
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42354 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กระทรวงเกษตรฯขับเคลื่อนแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล
กระทรวงเกษตรฯขับเคลื่อนแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวลครั้งที่3/2564ณห้องประชุม123กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผ่านระบบทางไกลออนไลน์(Zoom)โดยมีนายชนินทร์รุ่งแสงที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายประเสริฐสินสุขประเสริฐอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและนายพลเชษฐ์ตราโชรองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรรองประธานคณะทำงานฯและผู้แทนจากกระทรวงพลังงานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)สภาเกษตรกรฯสภาอุตสาหกรรมฯการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าร่วมการประชุม
สำหรับการประชุมในครั้งนี้เพื่อนำผลการวิเคราะห์แนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน
ให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวลไปขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยเน้นส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกลุ่มพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่นาดอน
นอกเขตชลประทานและพื้นที่ยางพาราในพื้นที่ไม่เหมาะสม(S3/N)เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกร ภาคเกษตรและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันในการยกร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดของโครงการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากซึ่งมีแนวทางการดำเนินโครงการฯทั้งระยะสั้นและระยะยาวในการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42355 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Keynote Address by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit (2nd P4G Summit) | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
Keynote Address by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit (2nd P4G Summit)
Keynote Address by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit (2nd P4G Summit)
Mr. Chairman and distinguished guests,
I wish to express my appreciation to President Moon for inviting me to this Summit. Given the ongoing COVID-19 pandemic situation, it is unfortunate that we cannot travel and meet in person. I do hope that we will be able to do so in the near future, as intended. Having said that, this P4G Summit serves as an opportunity for us to discuss and exchange views towards achieving a truly green COVID-19 recovery.
The COVID-19 has impacted the international community in all aspects and has been a critical obstacle to achieving the SDGs. The pandemic recovery measures should therefore correspond with the implementation of SDGs and the promotion of sustainable development, in particular the “One Health” approach, which takes into account both humans and nature.
In addressing these challenges, Thailand has adopted the Sufficiency Economy Philosophy (SEP) as a development approach, which focuses on empowering human, building resilience, and promoting balance between humans and nature to ensure inclusive development while leaving no one behind.
Earlier this year, Thailand announced the implementation of the BCG Economic Model or Bio-Circular-Green Economy in a holistic manner, as our national agenda. It serves as one of crucial approaches for the country to recover from the COVID-19 pandemic and to build Thailand back better and greener by utilising science, technology, and innovation, upgrading industrial capacity, improving productivity, reducing resource loss throughout the supply chains, turning waste into value, and minimising environmental impacts. The model encourages collaboration from all sectors, which is driven by a quadrilateral partnership consisting of government, private sector, academia and the people to achieve recovery alongside balanced and sustainable growth.
I believe that the BCG Economic Model is an approach that well corresponds to the Summit’s purposes and supports sustainable development, a shared goal of humankind. Looking ahead, the BCG Economic Model will be a key agenda in promoting cooperation and building partnerships between Thailand and the international community at all levels, especially in the APEC framework, of which Thailand will assume the chairmanship next year.
On the environmental aspect, the COVID-19 has hampered relevant cooperation in multilateral fora. I therefore would like to take this opportunity to encourage every country to accelerate its efforts in accordance with its commitment under international laws to address all kinds of challenges and to express our collective will to push forward for tangible outcomes at related meetings this year, particularly the COP 26, which will take place in the United Kingdom this November.
An important example of Thailand’s efforts to address these significant challenges is the drafting an Act on Climate Change, a comprehensive law that encompasses all aspects of climate change. This legal framework will provide opportunities for more engagement from the private sector and communities. In the meantime, the Thai government has already set a target of 15 million electric vehicle usage, or around one-third of total domestic vehicles, by the year 2035 to reduce pollution as well. More examples of the Thai government's actions to quickly achieve its goals are setting fair carbon credit pricing, planting 100 million trees to increase forest areas, increasing renewable energy usage, reducing both wastes and marine debris under national strategies and master plans, and supporting trades and green industries by taking into account the human rights principles in doing businesses which consist of respect, protection and remedy.
Ladies and Gentlemen,
Apparently, the COVID-19 crisis has uncovered wide-ranging gaps of inequality both within and among countries. Therefore, I would like to invite every country to have consultations on new pathways, especially in technology and innovation exchanges, across all levels and beneficial platforms, in order to resolve the ongoing problems and to achieve truly green and sustainable growth.
Finally, I commend the Republic of Korea (ROK)’s New Southern Policy Plus and view that Thailand and the ROK should strengthen our partnership through knowledge and technology exchanges under Thailand’s BCG Economic Model and the ROK’s Green New Deal policy, along with other countries' green recovery approaches through international platforms, including APEC, of which Thailand will assume the chairmanship in 2022.
Thank you.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42328 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร พร้อมนำข้อมูล/ข้อเสนอ ไปหารือเพิ่มเติม ย้ำรัฐบาลบริหารทั้ง 2 ช่วง ระหว่างสถานการณ์แพร่ระบาดและหลังสถานการณ์ เร่งสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร พร้อมนำข้อมูล/ข้อเสนอ ไปหารือเพิ่มเติม ย้ำรัฐบาลบริหารทั้ง 2 ช่วง ระหว่างสถานการณ์แพร่ระบาดและหลังสถานการณ์ เร่งสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ
นายกรัฐมนตรีขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร พร้อมนำข้อมูล/ข้อเสนอ ไปหารือเพิ่มเติม ย้ำรัฐบาลบริหารทั้ง 2 ช่วง ระหว่างสถานการณ์แพร่ระบาดและหลังสถานการณ์ เร่งสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 19.27 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารก็จะนำไปศึกษาเพิ่มเติม ยืนยันรัฐบาลจะนำงบประมาณไปใช้สำหรับโครงการที่มีความสำคัญและโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์โควิดและสถานการณ์ปกติใหม่ ( New Normal) หลังโควิด-19 คลี่คลายด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้ใช้โอกาสนี้ ชี้แจงการใช้งบประมาณ และการดำเนินงานของรัฐบาลที่เน้นสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ ความยากจน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กับประชาชนและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการทางการเงินการคลังต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ เช่น เราชนะ คนละครึ่ง ม.33 เรารักกัน การพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ การลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ลดเงินสมทบประกันสังคม พร้อมเร่งรัดการแก้ไขหนี้สินของประชาชนและผู้ประกอบการผ่าน พรก. Soft Loan และมาตรการพักทรัพย์/พักหนี้ พรก. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเพิ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อลดภาระหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับประชาชนและผู้ประกอบการได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ กยศ. ให้กับนักเรียนประมาณ 3 ล้านราย ซึ่งในอนาคตยังจะเร่งรัดการออกมาตรการใหม่ ๆ เพิ่มเติมด้วย
รัฐบาลยังจะเน้นการจัดสวัสดิการต่าง ๆ กับประชาชนตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ได้แก่ งบประมาณอุดหนุนเลี้ยงดู เด็กแรกเกิดที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการสนับสนุนอาหารเสริม (นม) สนับสนุนอาหารกลางวัน โครงการหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า งบประมาณเบี้ยผู้พิการ งบประมาณบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้กับประชาชน การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งการดูแลผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดโครงการลงทุนเพื่อการวางโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางทั่วภูมิภาคและเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งโครงการสร้างเมืองใหม่ ลดปัญหาจราจร ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล โครงการลงทุนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขภัยแล้ง สนับสนุนเกษตรแปลงใหญ่ พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและ ผันน้ำสนับสนุนการเกษตร
นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ 5G ที่ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 5จี เมื่อเดือน ก.พ 2563 ซึ่งเริ่มทยอยเปิดใช้งานตั้งแต่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ทั้งบริการพร้อมเพย์และแอปพลิเคชันเป๋าตัง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดที่เป็นส่วนสำคัญในการปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศ ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ เป็นไปโดยง่ายและสะดวกมากขึ้น เปิดโอกาศให้คนไทยทุกกลุ่ม สามารถทำธุรกิจและทำการติดต่อค้าขายทางออนไลน์ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนากฎหมายที่รองรับการประกอบธุรกรรมทางออนไลน์ด้วย
ขณะเดียวกันก็วางโครงสร้างพื้นฐานด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนในการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการพัฒนาสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนให้รับบริการจากภาครัฐได้ง่าย สะดวก ทุกที่ทุกเวลา ด้วย
..............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42350 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมคณะทำงานจัดทำหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางราง จัดประชุมคณะทำงานจัดทำหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง
ครั้งที่ 4 - 1/2564
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ทำหน้าที่ประธานในการประชุมคณะทำงานจัดทำหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง ครั้งที่ 4-1/2564 พร้อมด้วย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร ณ ถลาง กรมการขนส่งทางราง และผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมประชุมทางไกลผ่านโปรแกรม Microsoft Team และมีผู้อำนวยการกองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุงทาง กรมการขนส่งทางรางเป็นเลขานุการ
ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพระบบขนส่งทางราง อาชีพผู้ขับเคลื่อนรถจักร (Locomotive Driver) และอาชีพผู้ขับเคลื่อนรถซ่อมบำรุง (Track Vehicle Driver) ซึ่งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดำเนินการศึกษาโครงการดังกล่าว โดยในอนาคตเมื่อผลการศึกษาแล้วเสร็จ กรมการขนส่งทางรางจะทำงานร่วมกันกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในการผลักดันให้เกิดมาตรฐานอาชีพ ซึ่งรวมถึงมาตรฐานอาชีพ ช่างซ่อมบำรุงรถขนส่งทางรางด้วย โดยสามารถกำหนดหรือปรับปรุงร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องตามความในร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....
ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางได้ขอความร่วมมือหน่วยงานผู้ให้บริการเดินรถขนส่งทางรางออกใบรับรอง (Certificate) ผู้ขับรถไฟหรือรถไฟฟ้าที่มีการให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการออกใบอนุญาตขับรถไฟ/รถไฟฟ้า (License) ในระยะแรกก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับใบรับรองพนักงานขับรถไฟตามหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตพนักงานขับรถ รวมถึงแนวทางในการแก้ไขระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อรองรับความต้องการพนักงานขับรถไฟที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการรถไฟทางคู่แล้วเสร็จ พร้อมทั้งมีการจัดหารถจักรและล้อเลื่อนเพิ่มเติมมาให้บริการ ส่งผลให้มีจำนวนขบวนรถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าเพิ่มมากขึ้นตามนโยบายรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งการออกใบอนุญาตขับรถไฟนี้ จะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการ และผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางรางมีความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่งด้วยระบบขนส่งทางรางเพิ่มมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กระจายวัคซีนโควิดตามแผนของ ศบค. ยืนยันมีเพียงพอ ฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิถุนายน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
สธ. กระจายวัคซีนโควิดตามแผนของ ศบค. ยืนยันมีเพียงพอ ฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิถุนายน
กระทรวงสาธารณสุข เผยการกระจายวัคซีนโควิด 19 ยึดตามนโยบายของ ศบค. ขณะนี้กระจายแล้วกว่า 1 ล้านโดส โดยเร่งจัดส่งให้จังหวัดที่อยู่ไกล การขนส่งลำบากก่อน ยืนยันมีวัคซีนเพียงพอรองรับการฉีดพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 7 มิถุนายน
กระทรวงสาธารณสุข เผยการกระจายวัคซีนโควิด 19 ยึดตามนโยบายของ ศบค. ขณะนี้กระจายแล้วกว่า 1 ล้านโดสโดยเร่งจัดส่งให้จังหวัดที่อยู่ไกล การขนส่งลำบากก่อน ยืนยันมีวัคซีนเพียงพอรองรับการฉีดพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 7 มิถุนายน ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค
วันนี้ (2 มิถุนายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ว่า เดือนมิถุนายนเป็นเดือนเริ่มต้นการฉีดวัคซีนโควิด 19 ล็อตใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้กระจายวัคซีนให้ทุกจังหวัดตามแผนที่ได้รับมอบหมายจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ศบค. เพื่อรองรับการฉีดในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 นี้ ซึ่งวานนี้ (1 มิถุนายน 2564) กรมควบคุมโรคได้จัดส่งไปยังหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศแล้ว 1.1 ล้านโดส และจะทยอยจัดส่ง อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยหารทุกจังหวัดเท่ากัน ตามด้วยอัตราส่วนจำนวนประชากร และตามสถานการณ์ระบาดในพื้นที่ ซึ่งจะปรับเพิ่มลดบางจังหวัดที่ติดเชื้อมากน้อย โดยนายกรัฐมนตรีให้ยึดหลักการกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรม วัคซีนที่ส่งไปมี 2 ชนิดคือ แอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ซึ่งมีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก
“สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า การจัดส่งเป็นไปตามสัญญา ที่กรมควบคุมโรคได้ทำความตกลงกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า รองรับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการฉีด เพื่อทำให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ การจัดส่งวัคซีนสอดคล้องประสิทธิภาพการฉีดของเรา โดยจะมีการส่งเป็นรายสัปดาห์” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การกระจายวัคซีน เริ่มจากหารเท่ากันทุกจังหวัดก่อน จังหวัดที่มีการระบาดมากจะได้รับการจัดสรรมาก เช่น กทม.และปริมณฑล และพื้นที่จำเพาะตามนโยบาย เช่น พื้นที่ท่องเที่ยวภูเก็ต ซึ่งมีการฉีดเข็มแรกไปแล้วได้ 50% ของเป้าหมาย หรือชลบุรี พัทยา เกาะสมุยจะได้เพิ่มเติม มีการปรับเกลี่ยวัคซีน โดยการจัดสรรขึ้นอยู่กับวัคซีนที่มีและความต้องการในการฉีด ต้องปรับตามสถานการณ์ ดังนั้นทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีน โดยจังหวัดที่อยู่ไกล การขนส่งลำบาก จะได้รับการจัดสรรก่อน ขณะนี้กระจายแล้ว 1 ล้านกว่าโดส หลายพื้นที่ได้รับวัคซีนแล้ว แต่อาจมีบางพื้นที่อยู่ระหว่างการขนส่ง โดยจะทยอยไปเรื่อยๆ
“ศบค.ให้แผนประจำเดือน แต่เราทอนมาเป็นรายสัปดาห์ ส่งไปแล้วติดตามดูสต๊อกว่าเหลือเท่าไรเพื่อความยืดหยุ่นและปรับการจัดส่ง ส่วนแผนการฉีดของแต่ละพื้นที่เขามีตัวเลขอยู่แล้ว ขอให้ฉีดอย่างเหมาะสม ทั้งการฉีดและการมีวัคซีนต้องเหมาะสมกัน โดยกลุ่มเป้าหมายยังคงเดิม คือ ผู้ที่จองผ่านแอปพลิเคชัน ผู้สูงอายุผู้ที่มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง รวมถึงกลุ่มที่ต้องได้รับการฉีดก่อน เช่น บุคลากรทางการศึกษา, แรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดำเนินการ” นพ.โอภาสกล่าว
ทั้งนี้ วัคซีนที่จัดส่งไปในแต่ละพื้นที่ มีทั้งซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า จะปรับตามความเหมาะสมพื้นที่ ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ข้อบ่งชี้ไม่ต่างกัน ใช้ได้ทั้งสองตัวแต่ขึ้นกับเหตุผลของแต่ละคน เช่น ฉีดซิโนแวคแล้วแพ้เข็มสองเปลี่ยนเป็นแอสตร้าฯ แต่การฉีดจะขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ
*****************************2 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42348 |
รัฐบาลไทย-งบประมาณ 2565 : สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ วาระแรก เห็นด้วย 268 เสียง นายกรัฐมนตรียืนยันการจัดทำงบประมาณ ยึดโยงประชาชนและประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ | วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564
งบประมาณ 2565 : สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ วาระแรก เห็นด้วย 268 เสียง นายกรัฐมนตรียืนยันการจัดทำงบประมาณ ยึดโยงประชาชนและประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ
งบประมาณ 2565 : สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ วาระแรก เห็นด้วย 268 เสียง นายกรัฐมนตรียืนยันการจัดทำงบประมาณ ยึดโยงประชาชนและประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 23.50 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยที่ประชุม ได้มีการลงคะแนนเห็นด้วย 268 ไม่เห็นด้วย 201 และงดออกเสียง 2
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสมาชิกสภาฯ ที่ให้ความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนและผลประโยชน์ของชาติ และเป็นการดำเนินการบริหารต่อเนื่องจากปี 2564 ซึ่งความเห็นและข้อสังเกตที่สมาชิกทุกท่านอภิปรายไว้ ขอฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญที่ได้แต่งตั้งขึ้น นำไปใช้ประกอบพิจารณา ตรวจสอบรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ 2565 ให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ รวมทั้งเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนตามที่มุ่งหวังไว้ทุกประการ
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาแล้ววัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปีสกิน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
มาแล้ววัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปีสกิน
...
โรคอุบัติใหม่อย่าง "ลัมปีสกิน" เป็นโรคติดเชื้อไวรัส ที่เกิดขึ้นเฉพาะในโค - กระบือ สาเหตุมาจากแมลงดูดเลือด เช่น เห็บ ยุง แมลงวัน เป็นต้น แต่ไม่เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน
.
เมื่อ โค - กระบือติดเชื้อโรคดังกล่าว จะส่งผลทำให้มีตุ่มขึ้นทั่วร่างกาย เกิดการอักเสบ อาจเป็นหมันชั่วคราวหรือถาวร แท้งลูก มีปริมาณน้ำนมลดลง และตายได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้มีอาชีพเลี้ยงโค - กระบือเป็นอย่างมาก
.
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งช่วยเหลือในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพ่นยาฆ่าเชื้อ พ่นสารกำจัดแมลง รวมทั้งออกมาตรการเข้มงวดเรื่องการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนทุกแห่ง
.
ล่าสุด ได้จัดหาวัคซีน LSDV ซึ่งเป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคลัมปีสกิน ล็อตแรก จำนวน 60,000 โดส และพร้อมกระจายไปยังปศุสัตว์จังหวัดต่าง ๆ
.
ระยะแรก เน้นพื้นที่ที่พบการระบาดเป็นหลักก่อน และจะเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 300,000 โดส เพื่อให้เพียงพอ และเกิดความมั่นคงด้านวัคซีนภายในประเทศ
.
สำหรับเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่ หรือ สายด่วนแจ้งโรคระบาดกรมปศุสัตว์ โทร. 06 3225 6888
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดแนวทางลดภาระผู้ปกครองรับเปิดเทอม
อนุมัติแล้ว "วัคซีนซิโนแวค" ฉีดในภาวะฉุกเฉิน
ความก้าวหน้า วัคซีนโควิด-19 ของไทย
ประกาศ! เรื่องที่ต้องรายงานนายกฯ ทุกครั้ง
เปิดแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งเป้า 100 ล้านโดส ในปี 64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42311 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจที่ใส่ใจทรัพยากรประเทศ ของโลกมากขึ้น ย้ำเดินหน้า 4 อุตสาหกรรมใหม่ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมใหม่ของโลก | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรี เน้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจที่ใส่ใจทรัพยากรประเทศ ของโลกมากขึ้น ย้ำเดินหน้า 4 อุตสาหกรรมใหม่ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมใหม่ของโลก
นายกรัฐมนตรี เน้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจที่ใส่ใจทรัพยากรประเทศ ของโลกมากขึ้น ย้ำเดินหน้า 4 อุตสาหกรรมใหม่ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมใหม่ของโลก
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 19.37 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ย้ำรัฐบาลสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมใหม่ 4 อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูงและมีแนวโน้มเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของโลก
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนใน 4 อุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดย รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ จำนวน 15 ล้านคัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี 2578 (2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งตอนนี้มี ผู้นำในธุรกิจนี้สนใจและแสดงความจำนงมาในไทยแล้ว ซึ่งทำให้ไทยได้ต่อยอดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมให้มีมูลค่าสูงขึ้นได้ (3) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าการบริการทางการแพทย์ และ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมไทยและสร้างระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังเดินหน้าขยายอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมที่ไทยเราแข็งแกร่งและเป็นแชมป์เปี้ยนอยู่แล้ว ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่มเกษตร อาหาร และปิโตรเคมี
การดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้จัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ชุมชน ให้สามารถอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน ที่ สปก. ที่ราชพัสดุ ที่สาธารณประโยชน์ ตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 60,419 ราย 74,612 แปลง 665,000 ไร่ รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมให้ด้วย เช่น นอกจากทำอาชีพการเกษตรแล้ว ถ้าปลูกต้นไม้ในพื้นที่ ชุมชนสามารถมีรายได้เสริมจากโครงการคาร์บอนเครดิตด้วยอีกทาง
ทั้งนี้ รัฐบาลยังมุ่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ส่งเสริมการใช้เกษตรอินทรีย์หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ส่งเสริมการจัดการขยะด้วยหลัก 3Rs และการจัดการน้ำเสียชุมชนอย่างถูกหลักสุขาภิบาล
ขณะเดียวกัน ก็เร่งขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพ รวมทั้งขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ผ่านการเจรจาและทำข้อตกลง ควบคู่ไปกับการเร่งรัดพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรมให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากลของประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลเน้นโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า BCG (บีซีจี) หรือที่ ”เศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน – เศรษฐกิจสีเขียว” (Bioeconomy-Circular Economy-Green Economy) เพื่อปรับเปลี่ยนประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจที่ใส่ใจทรัพยากรของโลกมากขึ้น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ทรัพยากรตลอดห่วงโซ่ การผลิตสินค้าและบริการด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้ง ขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าผ่านการเจรจาและทำข้อตกลง โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพ รวมทั้งขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42351 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญในการจัดการและการจัดหาวัคซีนโรคโควิด-19 และใช้อำนาจ ศบค. ภายใต้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกฯ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญในการจัดการและการจัดหาวัคซีนโรคโควิด-19 และใช้อำนาจ ศบค. ภายใต้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
นายกฯ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญในการจัดการและการจัดหาวัคซีนโรคโควิด-19 และใช้อำนาจ ศบค. ภายใต้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) เวลา 17.50 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดย นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า รัฐบาลได้ไตร่ตรองร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2565 ที่ได้เสนอไปอย่างถี่ถ้วน ซึ่งจะชี้แจงภาพรวมงบประมาณอีกครั้ง ในส่วนตัวเลขสถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประมาณ 5 แสนราย ผู้ป่วยยืนยันทั่วโลก 170 ล้านราย รักษาหายป่วยแล้ว 152 ล้านราย เสียชีวิต 3 ล้าน 5 แสนราย ประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐ อินเดีย บราซิล ฝรั่งเศส ก็ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนสูง ส่วนสถานการณ์ในประเทศสมาชิกอาเซียนไทยได้นำข้อมูลของทุกประเทศมาวิเคราะห์ว่าจะบริหารวัคซีนอย่างไร ส่วนยอดในประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลง มีจำนวนคลัสเตอร์ที่รัฐบาลพยายามบริหารจำนวนเตียงผู้ป่วย โรงพยาบาลสนาม เพิ่มเตียงรักษาพยาบาล ปรับเรื่องการฉีดวัคซีน สถานที่ และจำนวนวัคซีน ซึ่งจะได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาจำนวนวัคซีน และช่วงเวลาจนถึงเดือนธันวาคม 2564 รัฐบาลพยายามหาวัคซีนทางเลือกอื่น ๆ ให้ได้จำนวนเพิ่มเติม ทั้งจากเดิมที่มีสองชนิดคือ Sinovac และ Astrazeneca ซึ่งจะได้จำนวนเพิ่มเติมในเดือนมิถุนายนนี้ คิดว่าจะเป็นไปตามแผน และในส่วนของวัคซีนจากบริษัทอื่น Sinopharm ซึ่งจะมีเพิ่มมาอีก ส่วน Pfizer จะมาในไตรมาสที่สามหรือสี่ อย่างไรก็ตามการส่งออกวัคซีนต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลต้นทาง และได้ผ่านกระบวนการการนำเข้าทาง อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับงบประมาณในการจัดหาวัคซีน ได้ใช้งบพิเศษเพิ่มเติมทั้งพระราชกำหนดเงินกู้เเละงบกลาง จึงไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ พร้อมทั้งในส่วนของการใช้อำนาจผ่าน ศบค. ไม่ได้ให้อำนาจแก่ นรม. ผู้เดียว มีการหารือกับทุกภาคส่วนทั้งจากแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอยืนยันในขีดความสามารถของวัคซีนที่มีอยู่ ทั้ง Sinovac Astrazeneca และ Sinopharm ซึ่งมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน แต่มีข้อจำกัดของวัคซีนแตกต่างกันไป ซึ่งทุกอย่างปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ในไทย และสถานการณ์โลก การแพร่ระบาดในสถานการณ์โลก ไทยพยายามทำอย่างดีที่สุดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ และงบประมาณของวัคซีนมีไม่จำกัด ในส่วนของหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลมีภาระในการใช้จ่ายหลายส่วน อาทิ หนี้จำนำข้าว ซึ่งรัฐบาลได้ใช้จ่ายไปเจ็ดแสนห้าพันล้านแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแนวทางลดภาระผู้ปกครองรับเปิดเทอม | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
เปิดแนวทางลดภาระผู้ปกครองรับเปิดเทอม
...
เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวทางการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ภายใต้หลัก “คืนเงิน – ผ่อนผัน – ช่วยเด็กยากจน – ลดภาระผู้ปกครอง” ดังนี้
.
1.กรณีที่ได้มีการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา และอื่น ๆ ไปแล้ว ให้คืนเงินดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19
.
2.หากมีความจำเป็นต้องเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา และอื่น ๆ เพื่อใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อาจพิจารณาผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการเรียกเก็บเงินดังกล่าวตามความเหมาะสม
.
3.พิจารณาให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ปกครองของนักเรียน - นักศึกษา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ตามความจำเป็น เหมาะสม
.
4.ให้หน่วยงานต้นสังกัดหรือที่กำกับโรงเรียนหรือสถานศึกษา แจ้งเวียนไปยังสถานศึกษาในสังกัดให้ปฏิบัติตามประกาศนี้
.
โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42329 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันการใช้จ่ายงบประมาณทำเพื่อและประชาชนทุกกลุ่มเร่งเดินหน้าเบิกจ่ายดูแลผู้มีรายได้น้อย | วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันการใช้จ่ายงบประมาณทำเพื่อและประชาชนทุกกลุ่มเร่งเดินหน้าเบิกจ่ายดูแลผู้มีรายได้น้อย
นายกรัฐมนตรียืนยันการใช้จ่ายงบประมาณทำเพื่อและประชาชนทุกกลุ่มเร่งเดินหน้าเบิกจ่ายดูแลผู้มีรายได้น้อย
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 23.26 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นายกรัฐมนตรี เผย โครงการคนละครึ่ง เป็นการขับเคลื่อนไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ค้าปลีก ตราบใดที่มีงบประมาณเพียงพอรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าประชาชนผู้มีรายได้น้อย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการกู้เงินของรัฐบาล ยังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ซึ่งไม่เกินร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นก็เป็นไปตาม GDP และการลงทุนที่นำมาใช้จ่ายในการดูแลประชาชน สำหรับเงินกู้ตั้งแต่ปี 2557 – 2564 รัฐบาลได้ชำระหนี้ไปแล้ว 2.53 ล้านล้านบาท โดยการกู้เงินตาม พรก. เงินกู้ฯ ได้มีการเบิกจ่ายไปจนเกือบครบแล้ว เพื่อนำไปดูแลประชาชนและนำไปใช้ในด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะการป้องกัน รักษา คัดกรอง รวมถึงการจัดหาวัคซีน ขณะเดียวกัน เงินกู้ต่าง ๆ จากปี 2559 จนถึงปัจจุบันรัฐบาลได้มีการลงทุนทางโครสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคม กว่า 2.11 ล้านล้านบาท จำนวน 162 โครงการ ร้อยละ 70 เป็นการกู้เพื่อการลงทุนในวงเงินงบประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท อาทิ ด้านคมนาคม การนำสายไฟฟ้าลงดิน การทำความสะอาดคูคลอง สร้างที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อย เพิ่มแหล่งน้ำทางการเกษตร การป้องกันอุทกภัย เป็นต้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าสถานะทางการเงินของประเทศไทยยังได้รับประเมินอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังเท่าเดิมเมื่อเทียบกับก่อนวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการโอนเงินกู้จากแผนงานฟื้นฟูฯ ไปยังแผนงานเยียวยาฯ เนื่องจากรัฐบาลต้องดูแลประชาชนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ อาทิ การลดค่าน้ำประปา-ไฟฟ้า โครงการเราชนะ โดยครอบคลุมประชาขนกลุ่มเป้าหมาย 33 ล้านคน และยังทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงกรณีประเทศไทยไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX เนื่องจากประเทศไทยไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับวัคซีนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะเป็นประเทศที่มีฐานะปานกลางและอาจต้องเสียเงินซื้อวัคซีนในราคาที่แพงกว่า
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้แจงกรณีการออกคำสั่งเหมืองทองอัครา ครอบคลุมไปถึงกิจการเหมืองแร่ทุกประเภทที่จะต้องดำเนินการตามกติกา ซึ่งหลายบริษัทเข้ามาชี้แจงแก้ไขเพื่อให้ดำเนินการต่อได้แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างอนุญาโตตุลาการ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน
..............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42356 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันพุธที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้ รับทราบภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน มีเรือนจำและทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๒๒ แห่ง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นจากวันก่อนค่อนข้างมาก ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนการ SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำในกลุ่มผู้ต้องขังที่ไม่พบเชื้อ ในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาด ที่จะดำเนินการตรวจตามรอบในทุกๆ ๗ วัน จึงส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและลดลงตามรอบการตรวจดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เป็นไปเพื่อให้การค้นหาผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว อันจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และผู้ป่วยหนักให้น้อยลง ทั้งนี้ สำหรับผู้ติดเชื้อในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกอบรมฯ ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามการพัฒนาระบบการรายงานข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำให้เรือนจำและทัณฑสถานนำเข้าข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อให้ข้อมูลในระบบเป็นไปด้วยความถูกต้อง อีกทั้งขอให้เรือนจำกลางบางขวางและเรือนจำจังหวัดนนทบุรีบูรณาการร่วมกันในกระบวนการบริหารจัดการผู้ป่วย สำหรับในด้านการจัดระบบการส่งผู้พ้นโทษกลับสู่สังคมนั้น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมราชทัณฑ์ ได้จัดทำแนวทางการปล่อยตัวผู้พ้นโทษติดเชื้อโควิดที่ต้องรักษาตัวหรือกักตัวต่อเนื่อง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะได้แจ้งให้ผู้บัญชาการเรือนจำ ทัณฑสถาน และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนปฏิบัติต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมอบและปล่อยคาราวานรถขนส่งสินค้าเกษตรคุณภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค ตาม “โครงการแบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19” ครั้งที่ 1 | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รับมอบและปล่อยคาราวานรถขนส่งสินค้าเกษตรคุณภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค ตาม “โครงการแบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19” ครั้งที่ 1
รมว.เฉลิมชัย ปล่อยคาราวานรถสินค้าเกษตรคุณภาพ ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสนับสนุนเรือนจำ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ตลอดจนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด–19
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับมอบและปล่อยคาราวานรถขนส่งสินค้าเกษตรคุณภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค ตาม “โครงการแบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19” ครั้งที่ 1 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตนและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ อาคารส่งเสริมการเกษตรเบญจสิริกิติ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ เพื่อส่งมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ตลอดจนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด–19 ทั้งโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสนับสนุนเรือนจำ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 19 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงพยาบาลสนามบุศราคัม เมืองทองธานี โรงพยาบาลสนามที่โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์รังสิต โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชกรมแพทย์ทหารอากาศ สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง โรงพยาบาลสนาม สนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โรงพยาบาลสนาม ปตอ.1 กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เรือนจำกลางพิเศษธนบุรี เรือนจำจังหวัดนนทบุรี และจุดตู้ปันสุข บริเวณด้านหน้ากรมส่งเสริมการเกษตร (ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
"จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีความห่วงใยเกษตรกรและพี่น้องประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถอยู่ในขณะนี้จึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้ประสานงานหลักในการดำเนิน “โครงการแบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19” โดยการนำสินค้าเกษตรคุณภาพและมีความปลอดภัย ส่งตรงถึงบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ตลอดจนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด–19 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงเน้นย้ำถึงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นหลัก จึงขอให้เกษตรกรรักษามาตรฐานการผลิตต่อไป เมื่อผ่านพ้นวิกฤตไปแล้ว ผู้บริโภคจะจดจําและเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรของเกษตรกรไทย" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสินค้าเกษตรคุณภาพและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งมอบในครั้งนี้ ประกอบด้วย ข้าวสาร 13.3 ตัน ผัก 4.5 ตัน ผลไม้ 7.5 ตัน ไข่ไก่ 10,000 ฟอง สินค้าแปรรูปพร้อมทาน 2,500 ซอง และน้ำดื่ม 85,000 ขวด โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร สหกรณ์การเกษตร เกษตรกร โลตัส ภาคีเครือข่าย รวมถึงกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบเงินจำนวน 500,000 บาท เพื่อร่วมสนับสนุน “โครงการแบ่งปันน้ำใจ เกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19” ในการช่วยเหลือซื้อสินค้าจากเกษตรกรที่มีปัญหาด้านการตลาด ในช่วงวิกฤติการระบาดของโรคโควิด–19 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งต่อไปยังบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และเรือนจำ ทั้ง 19 แห่งด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
ทรงพระเจริญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยศาลมีคำสั่งลบ 8 บัญชีโซเชียลตัวเอ้ป่วนชาติ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ดีอีเอส เผยศาลมีคำสั่งลบ 8 บัญชีโซเชียลตัวเอ้ป่วนชาติ
ดีอีเอส เผยศาลมีคำสั่งลบ 8 บัญชีโซเชียลตัวเอ้ป่วนชาติ
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสเปิดชื่อผู้ใช้โซเชียลที่ศาลมีคำสั่งปิดรวม8บัญชีตัวเอ้จอมปล่อยเฟคนิวส์ป่วนชาติพร้อมทำความเข้าใจผู้ให้บริการถึงวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพ์ฯและประกาศกระทรวงดิจิทัลฯเรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือนการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลจี้ควรดำเนินการภายใน24ชม.
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(2มิ.ย. 64)ได้เชิญผู้ให้บริการมารับทราบคำสั่งศาลที่มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ในบัญชีผู้ใช้บริการในเว็บไซต์เฟซบุ๊กและรหัสประจำตัวผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ก(Facebook ID)และข้อมูลหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์(IP ADDRESS)ที่มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต(ISP)เชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กจำนวน8บัญชีออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้แก่1. Pavin Chachavalpongpun 2. Andrew MacGregor Marshall 3.รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง4. Suda Rangkupan 5.ป้าหนิงDK 6. Aum Neko 7. KTUK –คนไทยยูเคและ8. Pixel HELPERสำหรับบัญชีสำคัญทั้ง8บัญชีป็นบัญชีเฟซบุ๊กเป็นหลักโดยคำสั่งศาลในครั้งนี้ครอบคลุมไปถึงว่าแม้จะปิดและเปิดใหม่ในคอนเทนท์เดียวกันหรือโดยบุคคลเดียวกันก็ต้องปิดตามคำสั่งนี้ส่วนผู้กระทำความผิดแม้ว่าจะอยู่ต่างประเทศหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันทำงานถือเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรอีกทั้งกรณีที่ผู้อื่นนำคอนเทนท์ที่ศาลมีคำสั่งปิดไปโพสต์หรือแชร์ต่อก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน
นายชัยวุฒิกล่าวว่ากระทรวงฯยังได้ทำความเข้าใจกับผู้ให้บริการเกี่ยวกับประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเรื่องหลักเกณฑ์ระยะเวลาและวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการพ.ศ. 2560และประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือนการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2560ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องระงับการแพร่หลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา14 (2) (3)แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2560และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลโดยรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หากมีเหตุล่าช้าก็ต้องดำเนินการภายใน24ชั่วโมง
พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าในการโพสต์ข้อมูลต่างๆบนอินเทอร์เน็ตจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่กระทำผิดกฎหมายเนื่องจากปัจจุบันกระทรวงฯให้ความสำคัญและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัดโดยนอกเหนือจากเจ้าของบัญชีโซเชียลซึ่งเป็นผู้เผยแพร่โดยการโพสต์/แชร์ข้อมูลเท็จและเนื้อหาที่กระทบความมั่นคงแล้วกรณีที่ศาลมีคำสั่งปิดกั้นข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่กระทบความมั่นคงแต่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต(ไอเอสพี)และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่ให้ความร่วมมือเท่ากับเป็นการรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดก็จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายด้วย
ทั้งนี้กระทรวงฯให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและตระหนักว่าขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายต้องใช้เวลาและตัวผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต/แพลฟตอร์มล่าช้าต้องมีการประสานให้ดำเนินการให้เร็วอีกทั้งมีข้อปัญหาทางเทคนิคยกตัวอย่างเฟซบุ๊กที่ไม่ปิดกั้นให้ครบทุกยูอาร์แอลตามที่มีคำสั่งศาลเป็นต้นดังนั้นจึงเตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินการและศึกษาในการแก้ไขกฎหมายควบคู่กันเพื่อให้ปัญหาเฟคนิวส์สร้างความเสียหายหมดไปโดยเร็วที่สุด
“หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา15ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา14ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตามมาตรา14ให้รัฐมนตรีออกประกาศกําหนดขั้นตอนการแจ้งเตือนการระงับการทําให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนําข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ถ้าผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าตนได้ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามวรรคสองผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”นายชัยวุฒิกล่าว
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ลุงป้อม’ห่วงเยาวชนภาคใต้ ส่งที่ปรึกษา รมว.เฮ้ง มอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย สู้ภัยโควิด-19 แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
‘ลุงป้อม’ห่วงเยาวชนภาคใต้ ส่งที่ปรึกษา รมว.เฮ้ง มอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย สู้ภัยโควิด-19 แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ห่วงใยเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี มอบหมายที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ส่งมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย เ
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จังหวัดเพชรบุรี และ ศอบต. ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย และอาหารฮาลาลแก่เยาวชนชายแดนใต้ ซึ่งเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ณ พื้นที่สวนสาธารณะ บางเค็ม และมณฑลทหารบกที่ 15 อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
นางธิวัลรัตน์กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย แก่ลูกจ้าง ในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งทางกระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากสภากาชาดไทยให้ความอนุเคราะห์ชุดธารน้ำใจ ซึ่งเป็นอาหารฮาลาลให้เยาวชนชายแดนใต้ได้รับประทาน โดยมี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรี สถานีกาชาดที่ 8 เพชรบุรี หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมเป็นตัวแทนในการมอบ ผู้แทนแรงงานจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นผู้รับมอบในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ฝากความห่วงใยมายังเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้โควิด -19 ให้ก้าวข้ามไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย WHO รับรองวัคซีนซิโนแวคใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้ว | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
สธ. เผย WHO รับรองวัคซีนซิโนแวคใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกรับรองวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินตัวที่ 6 มีความปลอดภัย มีประสิทธิผล และมาตรฐานการผลิตระดับสากล ใช้ได้ในอายุ 18 ปีขึ้นไป
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกรับรองวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินตัวที่ 6 มีความปลอดภัย มีประสิทธิผล และมาตรฐานการผลิตระดับสากล ใช้ได้ในอายุ 18 ปีขึ้นไป ตั้งแต่เดือนมิถุนายนองค์การเภสัชกรรมจะทยอยนำเข้าวัคซีนซิโนแวค 11 ล้านโดสเพิ่มจากวัคซีนหลัก เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านโดส
วันนี้ (2 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิด19 ของซิโนแวค จำนวน 6 ล้านโดสเป็นวัคซีนที่รัฐบาลสั่งซื้อ 5.5 ล้านโดส และวัคซีนที่รัฐบาลจีนบริจาค 5 แสนโดส ได้กระจายและดำเนินการฉีดวัคซีนตามแผนอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการระบาด โดยในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน2564 จะมีวัคซีนซิโนแวคจำนวน 11 ล้านโดส ทยอยส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องเดือนละประมาณ 2.5-3 ล้านโดส ในเบื้องต้นวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายนนี้ จำนวน 5 แสนโดสจากการบริจาคของรัฐบาลจีน กลางเดือนมิถุนายนเข้ามา 1 ล้านโดส และปลายเดือนมิถุนายนอีก 1 ล้านโดส วัคซีนซิโนแวคที่จัดซื้อเข้ามานี้ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ให้มีการจัดหาวัคซีนเพิ่มจากวัคซีนหลักคือ แอสตร้าเซนเนก้า ให้ครอบคลุมประชาชนไม่น้อยกว่า 100 ล้านโดส
นายอนุทินกล่าวต่อว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ระบุว่าองค์การอนามัยโลกได้อนุมัติใช้วัคซีนซิโนแวค-โคโรนาแวค (Sinovac-CoronaVac) ป้องกันโรคโควิด 19 ที่ผลิตโดยบริษัทซิโนแวค ประเทศจีนในกรณีฉุกเฉิน (WHO Emergency Use Listing : EUL) หลังผ่านการพิจารณาแล้วว่าวัคซีนมีความปลอดภัย มีประสิทธิผล และมีกระบวนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปโดยไม่กำหนดอายุสูงสุด สอดคล้องกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติให้คำแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งวัคซีนมีประสิทธิผลป้องกันอาการป่วยที่มีอาการได้ 51% และป้องกันการป่วยที่รุนแรงและอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ 100% ถือเป็นวัคซีนตัวที่ 6 ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ประกอบด้วย วัคซีนของไฟเซอร์, แอสตร้าเซนเนก้า, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, โมเดอร์นา, ซิโนฟาร์ม และซิโนแวค ตามลำดับทั้งนี้ วัคซีนซิโนแวคมีข้อดีคือ เก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิ2–8 องศาเซลเซียส ทำให้บริหารจัดการได้ง่าย ปัจจุบันทั่วโลกฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้วกว่า 400 ล้านโดส ไม่พบผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากวัคซีนแต่อย่างใด
*****************************2 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นเร่งด่วน เป็นธรรมและทั่วถึง ย้ำบริหารสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้ ศบค. ยืนยันให้เกียรติทุกพรรคทุกคนในการทำงาน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกฯ ยืนยันจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นเร่งด่วน เป็นธรรมและทั่วถึง ย้ำบริหารสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้ ศบค. ยืนยันให้เกียรติทุกพรรคทุกคนในการทำงาน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นเร่งด่วน เป็นธรรมและทั่วถึง ย้ำบริหารสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้ ศบค. ยืนยันให้เกียรติทุกพรรคทุกคนในการทำงาน
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 15.47 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ยืนยันให้เกียรติรัฐมนตรีทุกคนและทุกพรรค และสามารถพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีได้ทุกโอกาส ที่ผ่านมาได้มีพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอด เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งการควบคุมการแพร่ระบาด การจัดหาและการกระจายวัคซีน ภายใต้การทำงานร่วมกันในศบค. ด้วยการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสาธารณสุข พลเรือน ตำรวจ ทหาร รับฟังข้อเสนอแนะของบุคลาทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อนำมติที่เห็นชอบร่วมกันไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรียังยืนยันการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวกรณีกฎหมาย 31 ฉบับนั้น เป็นไปเพื่อประสิทธิภาพในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพราะกฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อร้ายแรงอันตรายให้กรอบอำนาจเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงสาธาณสุขไม่สามารถที่จะไปสั่งการหน่วยงานอื่นได้ ทั้งตำรวจ ทหาร หรือกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น และการเข้ามาดูแลการบริหารงบประมาณและวัคซีน ก็เพื่อหาแนวทางจัดหางบประมาณมาให้เพียงพอต่อการจัดหาวัคซีน ทั้งงบวงเงินกู้ 4 หมื่นกว่าล้านบาท และงบกลาง โดยพิจารณาตามความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ นายกรัฐมนตรียืนยันการใช้จ่ายงบกลางเป็นไปตามกลไลที่มีการตรวจสอบคัดกรองแผนงานโครงการต่าง ๆ ก่อนดำเนินการทั้งสิ้น เพื่อให้คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลักครอบคลุมทุกภาค ทุกจังหวัด และทุกกลุ่มจังหวัด รวมถึงการแก้ปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ตลอดจนการดูแลการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่และปริมาณน้ำ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า โครงการที่เสนอมามาจากความต้องการของพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัที่เห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อประชาชน รัฐบาลก็พร้อมจัดสรรและสนับสนุนงบประมาณให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ส่วนโครงการที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอมา รัฐบาลก็มีการจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนโดยเป็นโครงการที่รายละเอียดชัดเจนครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย นายกรัฐมตรียังให้การสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจในการจัดสั่งซื้อและจัดสั่งจองทั้งหมดตั้งแต่ที่มีการเริ่มดำเนินการของวัคซีน ซึ่งเมื่อมีการรับรองก็มีการทยอยนำเข้ามาบางส่วนแล้วตามกำหนดและจะเร่งแจกจ่ายต่อไปในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้วางแผนไว้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 ที่เกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในกรุงเทพมหานคร ที่พบในแคมป์คนงาน ตลาดสดว่า เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจจะมีคัสเตอร์ที่อยู่ในพื้นที่แออัด ซึ่งเมื่อมีคนแออัดมากก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นที่สุด ดังนั้น รัฐบาลกำลังหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุม คัดกรอง แยกคน แต่ยังสามารถควบคุมในพื้นที่จำกัดได้ โดยเฉพาะคลัสเสตอร์กลุ่มเสี่ยง 39 คลัสเตอร์ รวมถึงการหาแนวทางในการดูแล กรมราชทัณฑ์ และในแต่ละจังหวัด
นายกรัฐมนตรียังย้ำวัคซีนใช้สำหรับคนที่ยังไม่เป็นโรคโควิด 19 แต่หากนำวัคซีนไปให้กับผู้ที่ติดโรคโควิด 19 อาจทำให้อาการแย่ลงได้ ขณะนี้ได้มีการนำพืชสมุนไพรของไทยซึ่งจะเป็นรายได้ของประเทศต่อไปในอนาคต เช่น “ฟ้าทะลายโจร” มาใช้ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องดังกล่าวทั้งหมดทุกขั้นตอน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำขอให้ทุกคนอย่าสร้างความเกลียดชัง วันนี้ประเทศไทยต้องการความเป็นหนึ่งเดียว
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณีสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณีสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
สศค.ออกหนังสือขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 ให้กับลูกหนี้ตามความเหมาะสมและตามสมควรที่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แต่ละรายจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ของตนเอง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ที่เริ่มกลับมาแพร่ระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 และจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ความรุนแรงของการแพร่ระบาดก็ยังไม่บรรเทาเบาบางลง รวมทั้งยังได้มีการแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ การจ้างงาน และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยในวงกว้าง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) จึงได้ออกหนังสือขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 ให้กับลูกหนี้ตามความเหมาะสมและตามสมควรที่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แต่ละรายจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ของตนเองได้ โดยการ (1) ลดค่างวดหรือขยายระยะเวลาการชำระหนี้ (2) เปลี่ยนประเภทหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว (3) พักชำระค่างวดหรือพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน หรือพักเงินหรือพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย หรือวิธีการอื่นใดที่จะสามารถช่วยบรรเทาภาระหนี้กับลูกหนี้ได้ นอกจากนี้ ยังได้ขยายระยะเวลาการส่งรายงานงบการเงินสำหรับรอบปีบัญชี พ.ศ. 2563 ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ สศค. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เป็นลูกหนี้ของกลุ่มธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนคนไทยผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน ดังเช่นเมื่อครั้งที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563
ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42331 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42370 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานล็อตใหญ่กว่า 30 ล้านบาท หลังบอร์ดไฟเขียว | วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564
สมอ. ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานล็อตใหญ่กว่า 30 ล้านบาท หลังบอร์ดไฟเขียว
บอร์ด สมอ. ไฟเขียวให้ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า กระจกนิรภัยรถยนต์ หมวกกันน็อค และของเล่น มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท พร้อมกำชับให้ สมอ. ดำเนินการทำลายตามกฎหมายโรงงานอย่างเคร่งครัด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดสมอ.เมื่อวันที่28พฤษภาคม2564ที่ผ่านมาว่ากระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าโดยถือเป็นภารกิจสำคัญนอกเหนือจากการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือสมอ.ดำเนินการควบคุมและกำกับติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19เพื่อมิให้เป็นการซ้ำเติมประชาชนที่กำลังอยู่ในภาวะเดือดร้อนและได้กำชับบอร์ดสมอ.ให้เร่งรัดดำเนินการด้านมาตรฐานโดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กล่าวเพิ่มเติมว่าในการประชุมบอร์ดสมอ.เมื่อวันที่28พฤษภาคม2564ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบให้สมอ.ควบคุมสินค้า2รายการเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและคุ้มครองเศรษฐกิจของประเทศได้แก่เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักรกลและเตารีดไฟฟ้าสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยเนื่องจากสมอ.ได้มีการทบทวนแก้ไขมาตรฐานให้มีความทันสมัยเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันประกอบกับในรอบปี2561-2563มีการนำเข้าเหล็กชนิดนี้เข้ามาในประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า87,000ล้านบาทและนำเข้าเตารีดไฟฟ้าเป็นมูลค่ากว่า2,000ล้านบาทดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้มีการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศสมอ.จึงขอความเห็นชอบบอร์ดควบคุมสินค้าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บอร์ดสมอ.ยังเห็นชอบให้จัดทำมาตรฐานทั้งที่เป็นมาตรฐานใหม่และมาตรฐานเดิมที่นำมาทบทวนแก้ไขปรับปรุงรวมทั้งสิ้น34มาตรฐานได้แก่ คอนกรีตแห้งสำเร็จรูป,คอนกรีตแห้งสำหรับสภาพแวดล้อมทางทะเล,เสื้อชูชีพ,เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทำความสะอาดพื้นผิว,กระทะไฟฟ้าที่ใช้ในร้านอาหาร ,หม้อทอดไฟฟ้า,เครื่องเลเซอร์กำจัดขน,เครื่องตัดผม(ปัตตาเลี่ยน) ,ดวงโคมไฟฟ้า,ภาชนะเหล็กหล้าไร้สนิมสำหรับอาหาร,เลื่อยไฟฟ้า และเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมเป็นต้น และเห็นชอบในการทุบทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานของผู้ประกอบการจำนวน12รายที่คดีถึงที่สุดแล้วเป็นมูลค่ากว่า30ล้านบาท ได้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องทำความสะอาดผิวหน้า,เครื่องเล่นแผ่นดิสก์,บัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์,ชุดสายพ่วง,หม้อต้มแว็กซ์,กล่องรับสัญญาณดิจิตอลทีวี ,ของเล่น,หมวกกันน็อคและกระจกนิรภัยรถยนต์เป็นต้นทั้งนี้สมอ.ได้ส่งให้ผู้รับกำจัดซากที่ได้รับอนุญาตตามพรบ.โรงงานฯดำเนินการทำลายสินค้าดังกล่าว เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42359 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งปิดพื้นที่บางส่วนของลานจอดรถ MRT สถานีห้วยขวาง | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รฟม. แจ้งปิดพื้นที่บางส่วนของลานจอดรถ MRT สถานีห้วยขวาง
เพื่อดำเนินการก่อสร้างที่จอดรถยนต์อัตโนมัติ ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 9 กันยายน 2564
เนื่องด้วย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมดำเนินการก่อสร้างที่จอดรถยนต์อัตโนมัติ หรือ Robot Parking ในบริเวณลานจอดรถสถานีห้วยขวาง ของรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 9 กันยายน 2564 จึงมีความจำเป็นต้องทำการปิดพื้นที่ให้บริการบางส่วนของลานจอดรถสถานีห้วยขวาง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป และจะมีการปิดทางเข้า-ออกลานจอดรถสถานีห้วยขวาง ฝั่งถนนรัชดาภิเษก เพิ่มเติม 2 ระยะ คือ ตั้งแต่วันที่ 1 – 5 สิงหาคม 2564 และ ตั้งแต่วันที่ 21 – 25 สิงหาคม 2564 โดยผู้ใช้บริการยังสามารถใช้ทางเข้า-ออกลานจอดรถสถานีห้วยขวาง ฝั่งถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ได้ตามปกติ ทั้งนี้ รฟม. ต้องอภัยในความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการมา ณ โอกาสนี้
รฟม. ได้จัดทำโครงการเพิ่มพื้นที่จอดรถในเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน โดยการติดตั้งระบบที่จอดรถยนต์อัตโนมัติในบริเวณลานจอดรถของสถานีต่างๆ นำร่องจากลานจอดรถสถานีสามย่าน ที่ได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นมา และ รฟม. จะทยอยดำเนินการติดตั้งระบบที่จอดรถยนต์อัตโนมัติดังกล่าวนี้ในลานจอดรถของสถานีอื่นๆ ต่อไป โดยเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่จอดรถที่มีอยู่อย่างจำกัด และอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการเมื่อนำรถเข้ามาจอด ด้วยระบบเครื่องกลที่ทำหน้าที่เสมือนหุ่นยนต์รับรถขึ้นไปจอดในลักษณะซ้อนกันในแนวดิ่ง ที่จะช่วยย่นเวลาเฉลี่ยในการรับ – ส่งรถเข้าและออกจากที่จอดรถ เหลือเพียงคันละ 90 วินาที และหากรถจอดชั้นไกลที่สุดจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารอาคารจอดรถ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ รฟม. โทร. 0 2716 4000 ต่อ 2325 และติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42310 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รมว.ยุติธรรม รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019)
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019)
ในวันพุธที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น.ณ โถงกลาง ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) ดังนี้
บริษัท เรดิสัน แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มอบหน้ากากอนามัย จำนวน ๑๐,๐๐๐ ชิ้น
สมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย - จีน มอบหน้ากากอนามัย จำนวน ๒๐,๐๐๐ ชิ้น
และชุด PE GOWN จำนวน ๒,๐๐๐ ชุด
บริษัท ธีรชัยไพศาล คอร์ปอเรชั่น จำกัด มอบเจลแอลกอฮอล์ จำนวน ๓,๐๐๐ ขวด
บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) สนับสนุนน้ำดื่ม จำนวน ๕,๐๐๐ ขวด
เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019)
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เข้าร่วมโดย กระทรวงยุติธรรมจะนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 2019) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กระทรวงคมนาคม สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รฟม. กระทรวงคมนาคม สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย นายกิตติ เอกวัลลภ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 800 กล่อง ให้แก่ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ได้แก่
- ร้านโชคดีหมี่โครราช (สถานีบางซ่อน) อยู่บริเวณหน้าปากซอยกรุงเทพ – นนทบุรี 21 พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/gmEy7kaNHQ3JHTLX8
- ร้านข้าวต้มอ้วนผอม (สถานีกระทรวงสาธารณสุข) พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/nxx9N6wkSSvfYUax5
- ร้านน้องไก่ทอด (สถานีแจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด 28) อยู่ภายในโรงอาหารวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/DZ7TZoBhcnYnmu5K9
- ร้านดู๋ดี๋ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (สถานีแจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด 28) อยู่บริเวณริมถนนแจ้งวัฒนะ พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/Z2PBMaSuUVP9DbYe7
- ร้านครัวบางกอกน้อย (สถานีปากเกร็ด) อยู่บริเวณข้างๆ ประตูทางออก รพ. กรุงไทย พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/XJqomQHVvpcrxFci6
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42313 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ตั้งเป้าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ลงทะเบียนไว้ต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกครบทุกคนภายในวันที่ 6 มิถุนายน 2564 | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางบก ตั้งเป้าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ลงทะเบียนไว้ต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกครบทุกคนภายในวันที่ 6 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางบก ตั้งเป้าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ลงทะเบียนไว้ต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกครบทุกคนภายในวันที่ 6 มิถุนายน 2564 ด้านผู้ให้บริการที่ต้องการลงทะเบียนเพิ่ม เปิดให้ลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2564
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เปิดให้ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ทั้งรถโดยสารประจำทาง รถโดยสารไม่ประจำทาง รถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์สาธารณะ รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถยนต์รับจ้างสามล้อ ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีน COVID-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 และเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน โดย ขบ. ได้ตั้งเป้าฉีดวัคซีนเข็มแรกให้แก่ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ลงทะเบียนไว้ให้ครบทุกคนภายในวันที่ 6 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ครอบคลุมบุคลากรด่านหน้าในระบบขนส่งสาธารณะซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งสาธารณะตามเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคม สำหรับผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ต้องการลงทะเบียนรับวัคซีน COVID-19 เพิ่มเติม ขบ. จะเปิดรับลงทะเบียนถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2564 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความจำนงรับวัคซีนได้ทุกช่องทาง อาทิ ลงทะเบียนผ่านผู้ประกอบการขนส่ง หัวหน้าวิน สหกรณ์ นิติบุคคล หรือสมาคมที่สังกัดอยู่ หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบ. จะรวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ลงทะเบียนแจ้งความจำนงรับวัคซีนจากทุกช่องทางให้กระทรวงคมนาคมเพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุขจัดสรรวัคซีน COVID-19 ให้ตามลำดับ โดยจะได้รับข้อความ SMS ภายใน 2 - 3 วันหลังจากลงทะเบียน เพื่อแจ้งวันที่และเวลาในการเข้ารับการฉีดวัคซีน ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ดังนั้น ในการลงทะเบียนจึงขอให้ระบุข้อมูลตามความเป็นจริงและตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อยก่อนส่งข้อมูล อาทิ เลขประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ เลขที่ใบอนุญาตขับรถสาธารณะหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ เป็นต้น สำหรับข้อปฏิบัติในวันเข้ารับการฉีดวัคซีน ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน แสดงข้อความ SMS และแต่งกายด้วยชุดที่ใช้ในการประกอบอาชีพให้บริการรถโดยสารสาธารณะแต่ละประเภท เพื่อให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและให้เข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. หรือสายด่วน 1584
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42315 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand-US to push forward cooperation on COVID-19 vaccines | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
Thailand-US to push forward cooperation on COVID-19 vaccines
Thailand-US to push forward cooperation on COVID-19 vaccines
June 2, 2021, at 0930hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House,H.E. Mrs. Wendy R. Sherman,Deputy Secretary of Stateof the United States of America, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of herofficialvisit to Thailand. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister welcomed the USDeputy Secretary of State, and congratulated her on the assumption of the position.He expressed belief that theUSDeputy Secretary of Statewould take on a crucial role indeepeningrelations and friendship between Thailand and the US, which have spanned for over 188 years, with her experiences and expertise. He also conveyed his congratulations once again to PresidentJosephR.Biden Jr.for his presidency, and hoped that thetwo countries would continue to forgewin–win cooperationunder his leadership.
The USDeputy Secretary of Stateexpressed appreciation toward the Prime Ministerfor his welcome, and commended ongoing relations between Thailand and the US, especially closesecurity and economic cooperation.Under the COVID-19 situation, the US has a policy tomake vaccines available toother countries, including Thailand,on which the Prime Ministerexpressed appreciation, and welcomed the US support on COVID-19 vaccines.
The Prime Minister andUSDeputy Secretary of Statealso discussed other issues of mutual interest.ThePrime Minister affirmed Thailand’spriority onclimate change,which is in line with the country’sBio-Circular-Green(BCG)Economic model, and would include the issue in the agenda of 2022 APEC Summit, to be hostedby Thailand. The Thai Government also declarestrafficking in persons as a national agenda, and strives tosolve the problem through the cooperation with various concerned sectors. TheUSDeputy Secretary of Statemarveled Thailand’s commitment and affirmed US support on the matter.
With regard to multilateral cooperation, the Prime MinisterunderscoredThailand’s commitment to endorse constructive roleof the USin the ASEAN region and Mekong sub-region, andtocontinue to cooperate with the US.Bothpartiesalsodiscussed the Myanmar situation.The USDeputy Secretary of Statehasclosely followed up on the situation, and was confident that Thailand and ASEAN wouldtake onaconstructiverole to seekfor peaceful solution to the crisis. She also expressed concern over the refugees,on whichthe Prime Minister stressed thatThailand hasexperiencesin handlingthe refugees under the humanitarian principle.Thailand also hopesthat the Myanmar situation be solvedthroughthepeaceful means.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. แรงงาน ประชุม คบต. แก้ไขข้อขัดข้องการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวช่วงสถานการณ์โควิด ระลอกใหม่ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
รมว. แรงงาน ประชุม คบต. แก้ไขข้อขัดข้องการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวช่วงสถานการณ์โควิด ระลอกใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอครม.ปรับเวลาหานายจ้างของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็น 60 วัน ขยายเวลาตรวจโควิด-19 และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ออกไป
ผ่อนผันให้ต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 มติครม. 4 ส.ค. 63 และมติครม. 10 พ.ย. 63 อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการตามประกาศที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานกำหนดให้แล้วเสร็จ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน รับทราบข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์โควิด - 19 ระลอกใหม่ และมีความห่วงใยผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง/สถานประกอบการ และการทำงานแรงงานต่างด้าว ทั้งสิ้น 2,150,663 คน และเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องนี้ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2564 จึงมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องฯ เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ดังนี้
1.ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโควิด - 19 ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 โดยให้ดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และขยายระยะเวลาตรวจคัดกรองโรคโควิด -19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (ยื่นบต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ออกไปตามที่ที่ประชุมคบต.เสนอ สำหรับผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64
2. ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงาน ที่การผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศใกล้จะสิ้นสุด แบ่งเป็น 1.กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 และมติครม. 4 ส.ค. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้เป็นการชั่วคราวต่อไป โดยที่ต้องยื่นขอก่อนการอนุญาตทำงานตามสิทธิปัจจุบันของแต่ละกลุ่มสิ้นสุด ทั้งนี้ กรณีหนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ คนต่างด้าวต้องมีเอกสารฉบับใหม่ภายใน 1 ปี เพื่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ย้ายตราประทับการอนุญาตให้อยู่ในประเทศต่อไป 2 .กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 10 พ.ย. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่หนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีก 1 ปี เพื่อทำเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ และตรวจลงตราวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
3. แก้ไขข้อขัดข้องกรณีแรงงานต่างด้าวตาม MoU กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค.62 มติครม. 4 ส.ค.63 มติครม. 10 พ.ย.63 และมติครม. 29 ธ.ค.63 (เฉพาะที่อนุมัติ บต.48 แล้ว) ที่ออกจากนายจ้างเดิมและไม่สามารถหานายจ้างใหม่ได้ทัน แบ่งเป็น 1 .กลุ่มที่การอยู่สิ้นสุดแล้ว (1 ม.ค. 64 จนถึงก่อนวันที่ ครม.มีมติ )ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ผ่อนผันให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึง 13 ก.พ. 66 และ2.กลุ่มที่การอยู่ยังไม่สิ้นสุด (วันที่ ครม.มีมติ – 13 ก.พ. 66) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ให้ปรับระยะเวลาหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานในประเทศไทย ที่การผ่อนผันดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุด มีจำนวนถึง 2,150,663 คน แบ่งเป็น 1.กลุ่มคนต่างด้าวถือบัตรชมพู จำนวน 1,364,214 คน แยกตามมติครม. 20 ส.ค. 62 จำนวน 1,162,443 คน และตามมติครม. 4 ส.ค. 63 จำนวน 201,771 คน 2. กลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี จำนวน 131,585 คน และ 3. กลุ่มคนต่างด้าวที่สิ้นสุดการให้อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตทำงานตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 จำนวน 654,864 คน คบต.จึงจำเป็นต้องแก้ไขข้อขัดข้องนี้โดยเร็ว เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง/สถานประกอบการด้วย
ทั้งนี้ หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม แจ้งความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม แจ้งความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา
ปัจจุบันคืบหน้ากว่า 80% คาดแล้วเสร็จปี 2566
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ระยะทางทั้งหมด 110 กิโลเมตร ว่า มีความคืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 80 โดยที่ผ่านมา ได้เปิดใช้เส้นทางวงแหวนด้านใต้บางส่วน ระยะทางรวม 29.22 กิโลเมตร โครงการดังกล่าวแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ตอน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 ตอน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนด้านทิศเหนือ ระยะทางรวม 48 กิโลเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จตอนที่ 1 ที่เหลืออีก 2 ตอนอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
โครงการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา อยู่ในพื้นที่ อ.ปักธงชัย อ.เมืองนครราชสีมา และ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นถนนวงแหวนรอบเมืองที่มีขนาดใหญ่ และมีระยะทางยาวที่สุดในต่างจังหวัด ถือเป็นถนนวงแหวนที่มีระยะทางยาวเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย รองมาจากถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) เริ่มจากทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ที่หลักกิโลเมตรที่ 126 บริเวณตำบลนากลาง อำเภอสูงเนิน ไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 (ถนนราชสีมา - กบินทร์บุรี) บริเวณตำบลไชยมงคล อำเภอเมืองนครราชสีมา โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 7 ตอน ได้แก่ ทิศเหนือ 3 ตอน (ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร) และทิศใต้ 4 ตอน (ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร) โดยตลอดแนวที่ถนนตัดผ่านนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและพื้นที่เกษตรกรรม และในปี 2549 ได้ฤกษ์ก่อสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองขึ้น เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่จึงมีการแบ่งงานก่อสร้างออกเป็นช่วง ๆ ซึ่งปัจจุบันยังเหลือการก่อสร้างอีกประมาณ 30 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่ทางหลวงหมายเลข 205 - ทางหลวงหมายเลข 26 จะเสร็จครบวง โดยจะเหลืองานก่อสร้างอีกประมาณร้อยละ 20 ที่ผ่านมา ทล. ได้เปิดใช้เส้นทางวงแหวนด้านใต้ไปแล้ว ระยะทางรวม 29.22 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ตอน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 ตอน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนด้านทิศเหนือก่อสร้างแล้วเสร็จตอนที่ 1 ที่เหลืออีก 2 ตอนอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2566
เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถระบายการจราจรที่คับคั่งบริเวณตัวเมืองนครราชสีมา รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เส้นทางและประชาชนในพื้นที่โดยรอบ ส่งเสริมศักยภาพทางด้านการคมนาคม การค้า การขนส่ง โดยรวมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสามารถรองรับการขยายตัวของผังเมืองรวมในอนาคต นอกจากนี้ ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทาง “ขับรถช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัด” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการเดินทางได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง โทร 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42316 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เผย ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม และมีเยาวชนที่ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 16 ราย เชื่อยังควบคุมสถานการณ์ได้ พร้อมเร่งเดินหน้าสู่สถานพินิจสีขาวให้ครบ 100% | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เผย ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม และมีเยาวชนที่ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 16 ราย เชื่อยังควบคุมสถานการณ์ได้ พร้อมเร่งเดินหน้าสู่สถานพินิจสีขาวให้ครบ 100%
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เผยสถิติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่พบเด็ก เยาวชน และเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่ม เชื่อยังควบคุมสถานการณ์ได้ พร้อมเร่งเดินหน้าสู่สถานพินิจสีขาวให้ครบ 100%
วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เผยสถิติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานที่ควบคุม ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เวลา 18.00 น. ยังไม่พบเด็ก เยาวชน และเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ยอดผู้ป่วยทั้งหมดมี 71 ราย เป็นเด็กและเยาวชน 66 ราย เจ้าหน้าที่ 5 ราย และมีเยาวชนรักษาหายแล้ว จำนวน 16 ราย
พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้เร่งการตรวจเชิงรุกเพิ่มเติม และประกาศใช้มาตรการ COVID Measures เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อจากหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ โดยให้ศูนย์ฝึกและอบรมฯ และสถานพินิจฯ ทุกแห่งดำเนินการในระดับพื้นที่ร่วมกับศบค. จังหวัดโดยเคร่งครัด ยืนยันว่าควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ พร้อมเร่งเดินหน้าให้ทุกหน่วยเป็น ‘สถานพินิจสีขาว’ ซึ่งเป็นหน่วยควบคุมที่มีการตรวจหาเชื้อในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เด็กและเยาวชนที่ควบคุมตัวครบถ้วนทุกคนแล้วไม่พบว่ามีการติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานในสังกัดที่เป็นสถานพินิจสีขาวแล้ว จำนวน 6 แห่ง จากหน่วยควบคุมของศูนย์ฝึกและอบรมฯ/สถานพินิจฯ ทั้งหมด 56 แห่ง และรอการยืนยันจากหน่วยงานอีก 50 แห่ง ทั้งนี้จะเร่งให้ครบทุกหน่วย 100% ภายในวันที่ 15 มิ.ย.นี้
พ.ต.ท. วรรณพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงและใกล้ชิดกับเยาวชนที่ติดเชื้อโควิด-19 ดูแลตนเองและบุคคลในครอบครัว พร้อมทั้งกักตัว และตรวจคัดกรองการติดเชื้อทุกคนเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น ทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้ปฏิบัติและรายงานมาตรการต่าง ๆ ที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยเฉพาะมาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOP) ตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และศูนย์บริหารสถานการณ์. ของกระทรวงยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ของกรมพินิจฯ ให้สาธารณะได้รับทราบทุกวัน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ของกรม ได้แก่ เว็บกรม (www.djop.go.th) เฟสบุ๊คwww.facebook.com/pr.djop.moj) และทวิตเตอร์ (twitter.com/pr_djop)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42308 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า | วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564
รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่ โรงพยาบาลสิรินธร
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย นายสมคิด ลีลิตธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 500 กล่อง ให้แก่ โรงพยาบาลสิรินธร เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ได้แก่
- ร้านบุญมีข้าวมันไก่ (สถานีพระราม 9) อยู่บริเวณด้านหน้าตลาดอยู่เจริญ พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/xtq4JMAnj3c3E19eA
- ร้านแกงปักษ์ใต้พัทลุง (สถานีลาดพร้าว) อยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อเฟรชมาร์ท ซ.ลาดพร้าว 23 เปิดขายเฉพาะช่วงเย็นเท่านั้น พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/Eb9Mmuhhk9WsBgxg9
- ร้านก๋วยต๋ง ก๋วยเตี๋ยว (สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ) อยู่ใกล้โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/SWwowXn4V9BoZt5j6
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ รมช.กต. สหรัฐฯ ย้ำความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านวัคซีนโควิด-19 | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกฯ หารือ รมช.กต. สหรัฐฯ ย้ำความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านวัคซีนโควิด-19
นายกฯ หารือ รมช.กต. สหรัฐฯ ย้ำความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านวัคซีนโควิด-19
วันนี้ (2 มิถุนายน 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางเวนดี้ อาร์. เชอร์แมน (H.E. Mrs. Wendy R. Sherman) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสการเยือนประเทศไทย โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ รมช.กต. สหรัฐฯ จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ยาวนานกว่า 188 ปี ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีฝากความยินดีถึงนายโจเซฟ อาร์. ไบเดน อีกครั้ง ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยไทยได้ติดตามนโยบายของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และหวังว่าไทยกับสหรัฐฯ จะเพิ่มพูนความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อกันในลักษณะ Win-Win ต่อไป
ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ มีความร่วมมือระหว่างกันที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี รมช.กต. สหรัฐฯ เห็นว่าขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากจากโควิด-19 ซึ่งสหรัฐฯ เข้าใจและมีนโยบายด้านการจัดหาวัคซีนเพื่อช่วยเหลือหลาย ๆ ประเทศให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวรวมถึงพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการเข้าถึงวัคซีน ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณและยินดีรับการสนับสนุนโดยจะดำเนินการตามกระบวนการนำเข้าวัคซีนต่อไป
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นสำคัญอื่น ๆ ร่วมกัน อาทิ ประเด็นเรื่องสภาพภูมิอากาศที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยให้ความสำคัญ และสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy) ของไทย ซึ่งจะนำเข้าเป็นวาระสำคัญในการประชุมเอเปค ปี 2565 ต่อไป ในส่วนประเด็นเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะการต่อต้านการค้ามนุษย์ รัฐบาลได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และมุ่งมั่นแก้ปัญหาผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่ง รมช.กต. สหรัฐฯ ชื่นชมความมุ่งมั่นของไทยและพร้อมสนับสนุนไทย
นอกจากนี้ ในประเด็นความร่วมมือพหุภาคี นายกรัฐมนตรีชื่นชมสหรัฐฯ ที่มีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในภูมิภาคอาเซียน และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมาโดยตลอด ยืนยันว่า ไทยพร้อมสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์และความร่วมมือกับสหรัฐฯ ต่อไป ซึ่งในตอนท้าย ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในเมียนมา โดย รมช.กต. สหรัฐฯ ได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด เชื่อมั่นว่าไทยและอาเซียนมีการดำเนินการที่สร้างสรรค์เพื่อหาทางออกที่สันติ อย่างไรก็ดี รมช.กต. สหรัฐฯ ห่วงกังวลเกี่ยวกับกรณีผู้หนีภัย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยมีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้หนีภัยภายใต้หลักมนุษยธรรมพร้อมยืนยันว่าไทยมุ่งหวังให้เกิดการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42327 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ยกย่อง สวจ.-เครือข่ายศิลปินพื้นบ้านทำคลิปวิดีโอและอินโฟกราฟิกต้านโควิด-19 หวังกระตุ้นสร้างความรู้แก่ประชาชน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
วธ.ยกย่อง สวจ.-เครือข่ายศิลปินพื้นบ้านทำคลิปวิดีโอและอินโฟกราฟิกต้านโควิด-19 หวังกระตุ้นสร้างความรู้แก่ประชาชน
วธ.ยกย่อง สวจ.-เครือข่ายศิลปินพื้นบ้านทำคลิปวิดีโอและอินโฟกราฟิกต้านโควิด-19 หวังกระตุ้นสร้างความรู้แก่ประชาชน
และจัดทำอินโฟกราฟิกสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และบุคลากรทางการแพทย์
วธ.ยกย่อง สวจ.-เครือข่ายศิลปินพื้นบ้านทำคลิปวิดีโอและอินโฟกราฟิกต้านโควิด-19 หวังกระตุ้นสร้างความรู้แก่ประชาชน และจัดทำอินโฟกราฟิกสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และบุคลากรทางการแพทย์
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จึงได้มอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยนำหลัก ๓ มิติ : ศาสนา เศรษฐกิจพอเพียง และวิถีวัฒนธรรมนำพลังบวร ในชุมชนคุณธรรมฯ เครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินพื้นถิ่น หรือคณะนักแสดงทางศิลปวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นมาสร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งนำอัตลักษณ์ความเป็นไทยในเรื่องของความช่วยเหลือเกื้อกูล การแบ่งปันมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) และส่งต่อกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ ในรูปแบบคลิปวีดีโอ และอินโฟรกราฟิก ปัจจุบันได้มีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจัดทำคลิปวิดีโอรณรงค์และอินโฟกราฟิกจำนวนมาก
ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับคลิปวิดีโอรณรงค์และอินโฟกราฟิกที่จัดทำนี้ วธ.จะมีการคัดเลือกพร้อมมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติตลอดจนสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ สวจ. ทั้งนี้ จะมีเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกจาก 1.ความคิดสร้างสรรค์ที่มีความแปลกใหม่ โดดเด่นผู้ชมเกิดความประทับใจ 2.ความเหมาะสมของเนื้อหา มีความถูกต้องและเป็นประโยชน์ 3.มีเทคนิคการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ 4.มีการใช้ภาษาและดนตรีประกอบที่เหมาะสม 5.คุณภาพของภาพและเสียงกลมกลืนสวยงาม โดยจะประกาศผลการคัดเลือกสื่อประชาสัมพันธ์ที่ได้รับรางวัลเร็วๆนี้ จากนั้นทาง วธ. จะนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทาง อาทิ สื่อออนไลน์ เว็บไซต์ โทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น หน่วยงานราชการ สถานที่สาธารณะ และสถานที่สำคัญต่างๆ ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42318 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.- กรุงไทย ผนึกกำลังยกระดับการบริการ พัฒนาและเสริมความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ธ.ก.ส.- กรุงไทย ผนึกกำลังยกระดับการบริการ พัฒนาและเสริมความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก
ธ.ก.ส.-กรุงไทย ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง จับมือยกระดับการบริการและการพัฒนาสู่ชุมชน ภายใต้โครงการ Sustainable Synergy สร้างโอกาสและความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก
ธ.ก.ส.-กรุงไทย ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง จับมือยกระดับการบริการและการพัฒนาสู่ชุมชน ภายใต้โครงการ Sustainable Synergy สร้างโอกาสและความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการให้บริการเครือข่ายเครื่อง ATM ร่วมกัน การให้ผู้ถือบัตร Debit ของ ธ.ก.ส. ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC ของธนาคารกรุงไทย และถอนเงินสดผ่านเครื่อง EDC ของ Banking Agent การเชื่อมโยงบัญชี e-wallet บริการดิจิทัลคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน จำหน่ายสินค้าผ่านฟีเจอร์ D-Market บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และใช้วายุคลาวด์ไปเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาระบบโปรแกรมปฏิบัติงานของธนาคารต้นไม้และกองทุนหมู่บ้าน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย และ ธ.ก.ส. ร่วมลงนามความร่วมมือในโครงการ “Sustainable Synergy ประสานพลังสถาบันการเงินแห่งรัฐ พัฒนาไทยสู่ความยั่งยืน” เพื่อร่วมพัฒนาและยกระดับบริการทางการเงินให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงผ่านช่องทางที่หลากหลาย สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย
1) การให้บริการเครือข่ายเครื่อง ATM ร่วมกัน (White-Label ATM) ให้ลูกค้าบัตรเดบิตและ บัตรเอทีเอ็มทั้ง 2 ธนาคาร สามารถทำธุรกรรมถอนเงิน และสอบถามยอดเงินคงเหลือ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการทำรายการต่างธนาคาร นอกจากช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมการเงินแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้าทั้ง 2 ธนาคาร เข้าถึงการทำธุรกรรมผ่านตู้ ATM ได้สะดวกและครอบคลุมมากขึ้น ด้วยจำนวนตู้ ATM รวมกันกว่า 12,000 เครื่องทั่วประเทศ
2) เปิดให้ผู้ถือบัตร Debit ของ ธ.ก.ส. บัตรอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) บัตรอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) และบัตรสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สามารถซื้อสินค้าและบริการโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมผ่านเครื่อง EDC ของธนาคารกรุงไทย กว่า 76,000 เครื่องทั่วประเทศ ในร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าทั่วไป และผ่านแอปพลิเคชันที่ร้านค้าถุงเงิน
3) บริการดิจิทัลคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม โดยสนับสนุนให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน นำสินค้ามาเสนอขายด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจและแตกต่างผ่านฟีเจอร์ D-Market บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่กว่า 30 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจตามแนวคิด “ไทยดี ไทยใช้ ไทยยั่งยืน”
4) การเชื่อมโยงบัญชี e-wallet สำหรับลูกค้า ธ.ก.ส. เพื่อใช้ชำระสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง
5) บริการวายุคลาวด์ เป็นบริการคลาวด์สาธารณะภายในประเทศที่บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือธนาคารกรุงไทยพัฒนาขึ้นเป็น Open Source Software ที่มีเสถียรภาพ ทันสมัย รองรับความต้องการใช้งานของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังของสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง โดยนำจุดแข็งของแต่ละแห่งมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อยกระดับการบริการ ทำให้ลูกค้าทั้ง 2 ธนาคาร ที่ถือบัตร ATM บัตร Debit และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้บริการตู้ ATM ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการทำรายการต่างธนาคาร รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือบัตร Debit ของ ธ.ก.ส. บัตรอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) บัตรอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) และบัตรสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จำนวนกว่า 2 ล้านใบ ได้รับประโยชน์จากการซื้อสินค้าและบริการโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมผ่านเครื่อง EDC ของธนาคารกรุงไทย และผู้ถือบัตร Debit ของ ธ.ก.ส. ยังสามารถถอนเงินสดผ่านเครื่อง EDC กับตัวแทนธนาคาร (Banking Agent) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านการใช้บริการทางการเงินให้กับลูกค้า
ด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตร และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร นำสินค้าคุณภาพดีจากชุมชนมาจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม Social Commerce เช่น ข้าวสารหอมมะลิ ตรา A-Rice ของสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. สุรินทร์ จำกัด (สกต.) ที่มีนวัตกรรมการกำจัดมอดโดยใช้คลื่นวิทยุ ทำให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่ปลอดภัยและข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองที่ได้รับ GI เช่น ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ ข้าวก่ำ และข้าวฮางงอก เป็นต้น ผลิตภัณฑ์กระเป๋าแปรรูปจากต้นกล้วย แบรนด์ “ตานี” จังหวัดราชบุรี น้ำช่อดอกมะพร้าว 100% แบรนด์ “Hayoung have a health” จังหวัดสมุทรสาคร น้ำทับทิมจากไร่จรัสแสง จังหวัดนครราชสีมา กาแฟคั่วบด แบรนด์ “ก้องวัลเล่ย์ จังหวัดระนอง แคบหมูป๊อป แบรนด์ “ศิราณี” จังหวัดเชียงราย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ จาก สกต. ศรีสะเกษ จำกัด และผลไม้ตามฤดูกาลจากกลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ เป็นต้น ซึ่งนอกจากทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรงแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน และการเชื่อมโยงบัญชี e-wallet เพื่อให้ลูกค้า ธ.ก.ส. สามารถชำระสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงร้านค้าได้ ตามนโยบายรัฐบาลและเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ในส่วนของวายุคลาวด์ ธ.ก.ส. จะนำมาพัฒนาแอปพลิเคชันโครงการสำคัญ ๆ เพื่อต่อยอดด้านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อชุมชนมากขึ้น เช่น โครงการธนาคารต้นไม้ที่ ธ.ก.ส. ได้เข้าไปสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อปลูกต้นไม้ มีการประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อใช้เป็นทรัพย์สิน การสนับสนุนให้ชุมชนเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างรายได้จากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตและมีเป้าหมายในการจัดทำระบบ GPS ที่สามารถระบุตำแหน่งของต้นไม้ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบ โดยปัจจุบันมีชุมชนที่เข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ จำนวน 6,838 ชุมชน มีจำนวนต้นไม้ที่ปลูกเพิ่มแล้วกว่า 12.3 ล้านต้น การสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและกลุ่มการเงินในชนบทที่ ธ.ก.ส. ดูแลกว่า 28,000 แห่ง ให้มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เช่น การจัดทำโปรแกรมช่วยปฏิบัติงานด้านสินเชื่อ เงินฝาก และระบบบัญชี เพื่อให้องค์กรการเงินชุมชน มีการยกระดับไปสู่การเป็นสถาบันการเงินประชาชนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของคนในชนบท และช่วยแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ อันเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ นายธนารัตน์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติแล้ว "วัคซีนซิโนแวค" ฉีดในภาวะฉุกเฉิน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
อนุมัติแล้ว "วัคซีนซิโนแวค" ฉีดในภาวะฉุกเฉิน
...
วันที่ 1 มิ.ย.64 เว็บไซต์องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยข้อมูลการอนุมัติวัคซีนซิโนแวค จากประเทศจีน ใช้สำหรับสภาวะฉุกเฉินแล้ว โดยเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย
https://worldhealthorganization.cmail19.com/.../AC076E125...
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เผยยอดผู้กู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ช่วยรายย่อย อนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 430,000 ราย เตรียมขยายให้ผู้ใช้ MyMo รายใหม่ยื่นกู้ได้ 6 มิ.ย. นี้ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ออมสิน เผยยอดผู้กู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ช่วยรายย่อย อนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 430,000 ราย เตรียมขยายให้ผู้ใช้ MyMo รายใหม่ยื่นกู้ได้ 6 มิ.ย. นี้
ความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินโครงการ 10,000 ลบ. ที่ผ่านมามีประชาชนให้ความสนใจยื่นกู้เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารฯ ได้อนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้าแล้วเป็นจำนวนกว่า 430,000 ราย ทั้งนี้ ร้อยละ 95 ของจำนวนที่อนุมัติดังกล่าว
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อตามมาตรการ “สินเชื่อสู้ภัย COVID-19” วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่ผ่านมามีประชาชนให้ความสนใจยื่นกู้เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารฯ ได้อนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้าแล้วเป็นจำนวนกว่า 430,000 ราย ทั้งนี้ ร้อยละ 95 ของจำนวนที่อนุมัติดังกล่าว เป็นการอนุมัติโดยเกณฑ์ผ่อนปรน ซึ่งไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ในกรณีปกติ จึงต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนธนาคารในการจัดทำมาตรการครั้งนี้
สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ กล่าวคือไม่ผ่านเกณฑ์ผ่อนปรนนั้น สาเหตุหลักเกิดจากผลการประเมินความเสี่ยงโดยหน่วยงานภายนอก ได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณา ทั้งนี้ หากลูกค้ายังมีความจำเป็นที่ต้องการสินเชื่อ อาจเลือกใช้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่ปัจจุบันธนาคารออมสิน ร่วมกับบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ เหลือเพียง 0.49% ต่อเดือนตลอดอายุสัญญา ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าโครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ไม่มากนัก ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอสินเชื่อนี้ได้ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ที่ธนาคารออมสิน 550 สาขา
อนึ่ง ธนาคารฯ ได้ปรับหลักเกณฑ์ของมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 โดยให้ผู้ที่เปิดใช้ MyMo ก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2564 สามารถกดลงทะเบียนยื่นขอกู้ได้ ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป (ปรับจากเดิมที่กำหนดไว้เป็นก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2564) เพื่อขยายขอบเขตความช่วยเหลือครอบคลุมประชาชนที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อนี้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์ขอกู้จะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นคือ มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปี - 70 ปี และไม่เป็นเกษตรกร หรือข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือลูกจ้างในหน่วยงานของรัฐ โดยธนาคารฯ เปิดให้ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ได้ทางแอป MyMo จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าจะครบจำนวนวงเงินโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี วัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ล็อตแรก ส่งมอบแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว ย้ำเป้าหมายคนไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีน จัดหา 100 ล้านโดสภายในปีนี้แน่นอน | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี วัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ล็อตแรก ส่งมอบแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว ย้ำเป้าหมายคนไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีน จัดหา 100 ล้านโดสภายในปีนี้แน่นอน
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ล็อตแรกส่งมอบแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว ย้ำเป้าหมายคนไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีน จัดหา 100 ล้านโดสภายในปีนี้แน่นอน
วันที่ 2 มิ.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้แสดงความยินดีและชื่นชมต่อความสำเร็จที่วันนี้ (2มิ.ย.2564) บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ดำเนินการส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล็อตแรกแก่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ตามกำหนด และทางแอสตร้าเซนเนก้าจะได้ทยอยส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อกระจายฉีดให้กับประชาชนไทยต่อไป
ทั้งนี้ วัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลัก ที่รัฐบาลจัดหาเพื่อกระจายแก่ประชาชนรวมทั้งหมด 61 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยส่งมอบในปีนี้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ธ.ค. 2564 ซึ่งการที่แอสตร้าเซนเนก้าเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวในอาเซียนนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนตามข้อตกลง คนไทยมีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาวัคซีนจากความร่วมมือของแอสตร้าเซนเนก้าและบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์แล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้ประชากรในภูมิภาคอาเซียนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยจะมีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนด้วย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังคงย้ำนโยบายของรัฐบาลว่าประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีประกาศให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมปูพรมกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2564 เป็นต้นไป ส่วนเป้าหมายเฉพาะปีนี้รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนทั้งสิ้น 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชาชนทั้งประเทศ และครบทั้ง 100% ในปีต่อไป และจะมีการจัดหาให้ครอบคลุมถึงชาวต่างชาติที่ทำงานและอาศัยในประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบข้อมูลจากกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนว่า ขณะนี้มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกที่จะเข้ามายังประเทศไทยภายในปีนี้ในจำนวนที่แน่นอนแล้วประกอบด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นไป วัคซีนซิโนแวค มีการส่งมอบแล้ว 6 ล้านโดส จะมีการส่งมอบในเดือนมิ.ย. 3 ล้านโดส และมีอีก 10-15 ล้านโดสที่ได้ทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลจีนบริจาคอีก 1 ล้านโดสซึ่งจะทยอยส่งมอบในระยะต่อไป
วัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค จำนวน 20 ล้านโดส ขณะนี้อยู่ระหว่งต่อรองเงื่อนไขสัญญา คาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน จำนวน 5 ล้านโดส อยู่ระหวางต่อรองเงื่อนไขสัญญา และคาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน ส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ทราบจำนวนที่แน่นอนมีอีกหลายตัว เช่น วัคซีนของโมเดิร์นนา, ซิโนฟาร์ม เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมั่นใจมีวัคซีนเพียงพอ เดินหน้าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาให้ผู้ลงทะเบียนผ่านระบบ "หมอพร้อม" ตามกำหนด เชื่อมั่นความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตวัคซีนในประเทศด้วยฝีมือคนไทย | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีมั่นใจมีวัคซีนเพียงพอ เดินหน้าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาให้ผู้ลงทะเบียนผ่านระบบ "หมอพร้อม" ตามกำหนด เชื่อมั่นความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตวัคซีนในประเทศด้วยฝีมือคนไทย
นายกรัฐมนตรีมั่นใจมีวัคซีนเพียงพอ เดินหน้าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาให้ผู้ลงทะเบียนผ่านระบบ "หมอพร้อม" ตามกำหนด เชื่อมั่นความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตวัคซีนในประเทศด้วยฝีมือคนไทย
วันนี้ (2 มิ.ย. 64) เวลา 19.40 ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กล่าวยินดีที่ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แถลงอย่างเป็นทางการว่าวัคซีนชิโนแวค ที่ผลิตจากประเทศจีน เป็น 1 ใน 6 รายการวัคซีนที่องค์การอนามัยโลกรับรอง ขณะเดียวกันวัคซีนแอสตราเซเนกา ไฟเซอร์ จอห์นสันแอนท์จอห์นสัน โมเดิร์นนา และซิโนฟาร์ม ยังคงเป็นวัคซีนเป้าหมายที่รัฐบาลจะดำเนินการจัดหาเพิ่มเติมด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า วันนี้ไทยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาล็อตแรกที่ผลิตในประเทศไทย โดยสยามไบโอไซเอนซ์ ตามแผนที่กำหนด เริ่มจากสัปดาห์นี้จะฉีดให้กับบุคคลที่ลงทะเบียนผ่านระบบ "หมอพร้อม" และระบบอื่น ๆ สำหรับคนที่อายุเกิน 60 ปี ซึ่งอาจรวมถึงวัคซีนอื่น ๆ เช่น ชิโนแวค ซิโนฟาร์ม ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วทั้งสิ้น ให้เป็นไปตามแผนการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ขณะเดียวกันวัคซีนแอสตราเซนเนกาได้ผ่านมาตรฐานการรับรองคุณภาพและความปลอดภัย จากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศ รวมถึงผ่านเกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์มากกว่า 60 รายการ จากข้อมูลการใช้วัคซีนในประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าวัคซีนของแอสตราเซนเนกามีประสิทธิผลลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้มากถึง 80% หลังจากการฉีดเข็มแรก โดยสยามไบโอไซเอนซ์ จะเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าแห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับเครือข่ายแอสตราเซนเนกาอื่น ๆ เพื่อฉีดให้กับประชาชนใน 168 ประเทศทั่วโลก
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ก่อนที่จะตกลงใจ และเจรจาซื้อขาย - มัดจำวัคซีนโควิด-19 นั้น ได้ผ่านการติดตามข่าวสาร ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านแล้ว ตั้งแต่สถานการณ์โควิดเริ่มเกิดในประเทศไทยช่วงมกราคม 2563 รัฐบาลก็ได้เริ่มศึกษา หาแนวทาง โดยมีคณะกรรมการที่มาจากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์หมอ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ดีที่สุด บนข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนตลอดเวลา และมีความไม่แน่นอนสูง จนได้แนวทางทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประกอบด้วย ระยะเร่งด่วน คือ การจัดหาวัคซีนฟรี ฉีดให้คนไทย 100 ล้านโดส ภายในปีนี้ ระยะยั่งยืน คือ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในประเทศ ทั้งจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใบยาไฟโตฟาร์ม สวทช. และไบโอเนท ที่ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาวัคซีน โดยมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ องค์การเภสัชกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์วิจัยไพรเมท ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน ตั้งแต่ชีววัตถุ โครงสร้างพื้นฐาน โรงงานผลิต ห้องทดลอง การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการบรรจุและขนส่งเตรียมการแบบครบวงจร ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทางและปลายทาง พร้อมไปกับการร่วมมือกับต่างประเทศ ระหว่างสยามไบโอไซเอนซ์กับอ๊อกฟอร์ด โดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณทั้งหมด กว่า 2,800 ล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลยังได้สนับสนุนงบประมาณและเงินกู้อีกประมาณ 18,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันโครงการ COVAX เป็นอีกโครงการที่จะต้องร่วมลงทุน ซึ่งไทยได้เจรจากับโคแวกซ์มาตลอด แต่ไม่อยู่เกณฑ์ที่ได้รับวัคซีนฟรี เพราะเป็นประเทศฐานะปานกลาง ซึ่งหากจะร่วมกับโคแวกซ์ ไทยต้องซื้อวัคซีนในราคาที่แพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดก็ได้ จึงมีความไม่แน่นอน ไม่อิสระ ทั้งชนิด จำนวน ราคา และเวลาที่จะได้รับ รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย โดยวัคซีนที่อยู่ในโครงการมีทั้งไฟเซอร์และแอสตราเซเนกา ซึ่งตอนนี้เราก็ผลิตเองได้แล้วส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ ในวันข้างหน้าเมื่อวัคซีนเริ่มผลิตได้ปริมาณมาก และหลากหลาย ก็เป็นโอกาสที่เอกชนสามารถจัดหาเองได้จริง โดยสามารถเจรจาโดยตรงกับผู้ผลิตได้ ก็น่ายินดีที่ประชาชนจะมีทางเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วัคซีนที่ผลิตออกมาทุกยี่ห้อยังไม่แนะนำที่จะฉีดให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำขอให้มั่นใจ และไว้วางใจ ว่าไทยจะมีวัคซีนที่เพียงพอ เชื่อมั่นว่าในความสามารถวิจัยและพัฒนาผลิตวัคซีนได้ในประเทศ ด้วยฝีมือคนไทย นักวิจัยไทย ซึ่งไม่แพ้ชาติใดในโลก
..............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42352 |
รัฐบาลไทย-ขสมก. จัดเดินรถ Shuttle Bus 3 เส้นทางให้บริการฟรี อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ขสมก. จัดเดินรถ Shuttle Bus 3 เส้นทางให้บริการฟรี อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมจัดรถ Shuttle Bus จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สถานีกลางบางซื่อ 2) ท่าเรือบางโพ - สถานีกลางบางซื่อ และ 3) เซ็นทรัลลาดพร้าว - สถานีกลางบางซื่อ (เดินรถวงกลม)
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมจัดรถ Shuttle Bus จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สถานีกลางบางซื่อ 2) ท่าเรือบางโพ - สถานีกลางบางซื่อ และ 3) เซ็นทรัลลาดพร้าว - สถานีกลางบางซื่อ (เดินรถวงกลม) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ได้ลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ผ่านค่ายโทรศัพท์มือถือ 4 แห่ง เดินทางมาเข้ารับการฉีดวัคซีน ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม จะให้บริการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 แก่ประชาชนทั่วไป ที่ได้ลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนผ่านค่ายโทรศัพท์มือถือ AIS Dtac True Move และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ (CENTRAL VACCINATION CENTER : CVC) ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ขสมก. จึงเตรียมจัดเดินรถ Shuttle Bus ให้บริการฟรี จำนวน 3 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางมาเข้ารับการฉีดวัคซีน เริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 08.00 - 20.00 น. หรือจนกว่าประชาชนจะออกจากพื้นที่หมด โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สถานีกลางบางซื่อ ให้บริการด้วยรถโดยสารปรับอากาศยูโรทูจำนวน 12 คัน ความถี่ในการปล่อยรถคันละ 5 - 10 นาที เริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ฝั่งเกาะพหลโยธิน) ไปตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายไปตามถนนกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปตามถนนโรงปูน ผ่านศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สุดเส้นทางที่สถานีกลางบางซื่อ (ไม่จอดรับ - ส่งระหว่างทาง)
2. เส้นทางท่าเรือบางโพ - สถานีกลางบางซื่อ ให้บริการด้วยรถโดยสารปรับอากาศยูโรทู จำนวน 6 คัน ความถี่ในการปล่อยรถคันละ 10 นาที เริ่มต้นจากท่าเรือบางโพ ไปตามถนนประชาราษฎร์ สาย 2 (จอดรับผู้ใช้บริการที่สถานี MRT เตาปูน) เลี้ยวขวาไปตามถนนเตชะวณิช เลี้ยวซ้ายไปตามถนนประดิพัทธ์ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนกำแพงเพชร เลี้ยวซ้ายไปตามถนนโรงปูน ผ่านศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สุดเส้นทางที่สถานีกลางบางซื่อ
3. เส้นทางเซ็นทรัลลาดพร้าว - สถานีกลางบางซื่อ (เดินรถวงกลม) ให้บริการด้วยรถโดยสารปรับอากาศยูโรทู จำนวน 12 คัน ความถี่ในการปล่อยรถคันละ 5 - 10 นาที เริ่มต้นจากเซ็นทรัลลาดพร้าว ไปตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหอวัง เลี้ยวซ้ายไปตามถนนวิภาวดีรังสิต เลี้ยวขวาไปตามถนนพหลโยธิน (จอดรับ - ส่งผู้ใช้บริการที่สถานี BTS หมอชิต) เลี้ยวขวาไปตามถนนกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปตามถนนโรงปูน ผ่านศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง (จอดรับ - ส่งผู้ใช้บริการที่สถานีกลางบางซื่อ) เลี้ยวขวาไปตามถนนกำแพงเพชร 6 เลี้ยวซ้ายไปตามถนนกำแพงเพชร 2 (จอดรับ - ส่งผู้ใช้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เลี้ยวขวาไปตามถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวขวาไปตามถนนวิภาวดีรังสิต เลี้ยวซ้ายไปตามถนนพหลโยธิน สุดเส้นทางที่เซ็นทรัลลาดพร้าว
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดเดินรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ - ส่งประชาชน ณ บริเวณประตูทางเข้าศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ (จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี) และบริเวณประตูทางออก (ฝั่งสถานีรถไฟบางซื่อ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เดินหน้าสนับสนุนบทบาท ESG ในเวทีสัมมนาออนไลน์ระดับนานาชาติ หัวข้อ Turning ESG Into Business as Usual (BAU) | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
กบข. เดินหน้าสนับสนุนบทบาท ESG ในเวทีสัมมนาออนไลน์ระดับนานาชาติ หัวข้อ Turning ESG Into Business as Usual (BAU)
กบข. ร่วมเสวนางาน State Street Global Advisors–OMFIF EMEA Roundtable: Recovery, Responsibility and Returns for Public Investors in 2021 หัวข้อ “Key Trends Turning ESG Into BAU for Investors” จัดโดย Official Monetary and Financial Institutions Forum
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ร่วมเสวนางาน State Street Global Advisors–OMFIF EMEA Roundtable: Recovery, Responsibility and Returns for Public Investors in 2021 หัวข้อ “Key Trends Turning ESG Into BAU for Investors” จัดโดย Official Monetary and Financial Institutions Forum (OMFIF) ย้ำ ESG ไม่มี “One size fits all approach” และ “Government policy is a key driver.”
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดร.ศรีกัญญา ได้ร่วมเวทีเสวนาออนไลน์กับผู้ทรงความรู้ด้าน ESG ได้แก่ Mr. Christophe Beuves หัวหน้าฝ่ายงานตลาดตราสารหนี้และการบริหารงานต่างประเทศ (Head of Bond Markets and International Operations) จากธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank), Ms. Anne-Charlotte Hormgard, ผู้จัดการอาวุโสด้านความยั่งยืน (Senior Manager, Sustainability) จาก AP-Fonden 3 ประเทศสวีเดน, Ms. Anne Simpson, ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการลงทุน ธรรมาภิบาล และความยั่งยืน (Managing Investment Director, Board Governance & Sustainability) จาก CalPERS กองทุนบำนาญแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยมี Ms. Patricia Hudson, หัวหน้ากลยุทธ์ ESG ระดับโลก (Global Head of ESG Strategy) จาก State Street เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในงานสัมมนาดังกล่าว ดร.ศรีกัญญา ได้กล่าวว่าการลงทุนเพื่อความยั่งยืนโดยคำนึงปัจจัย ESG (ESG Investing) นั้น “ไม่มีสูตรสำเร็จ (No One size fits all approach)” นักลงทุนสถาบันที่ต้องการเป็นนักลงทุนที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง (True Responsible Investor) ต้องวิเคราะห์นัยยะสำคัญ (Materiality) ของปัจจัย ESG ภายใต้สภาพแวดล้อม (Context) ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ในแต่ละอุตสาหกรรม ฯลฯ
“นโยบายรัฐ (Government Policy) คือกลไกที่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อน (Key drivers) การลงทุนอย่างรับผิดชอบให้กลายเป็น Business as Usual (BAU) ได้ ทั้งนี้เพราะการลงทุนแทบทุกลักษณะในโลกต่างก็เกี่ยวข้องกับรัฐไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐสามารถเป็นได้ทั้งผู้ลงทุน (direct investor) ผู้ร่วมลงทุน (co-investor) ผู้ซื้อ (purchaser) ผู้เปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจจากทรัพยากรของรัฐ (providing transaction resources) อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สามารถกำหนดระเบียบ ออกกฎหมายต่างๆ เพื่อเป็นเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนอย่างรับผิดชอบได้” ดร.ศรีกัญญากล่าว
ดร.ศรีกัญญา ได้ยกตัวอย่างประเทศที่นโยบายของรัฐมีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนอย่างรับผิดชอบ อาทิ นโยบาย Energy Star Program ของประเทศอเมริกาที่เอื้อต่อการผลิตสินค้าหรือโรงงานที่ให้ความสำคัญต่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นโยบาย Multi-fondos ของประเทศเปรูที่ให้กองทุนบำนาญท้องถิ่นสามารถลงทุนในธุรกิจ SMEs ได้ด้วยเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น กฎหมาย Microfinance ของประเทศเคนยาเพื่อกำกับดูแลการให้บริการเงินกู้ระดับไมโครให้เหมาะสม หรือนโยบาย National Rental Affordability Scheme ของประเทศออสเตรเลียที่ให้ Tax credit สำหรับการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยราคาประหยัด เป็นต้น
การกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการสร้างประเทศที่ยั่งยืน (Sustainable Country) และการลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Investment) ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้หากภาครัฐและนักลงทุนสถาบันไม่ร่วมมือก้าวไปในทิศทางเดียวกัน ดร.ศรีกัญญา สรุป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดีเดย์ฉีดวัคซีนโควิดทั่วไทย 7 มิ.ย. ด้าน WHO ชี้แอสตร้าฯ-ซิโนแวคประสิทธิภาพดี ปลอดภัยสูง | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
สธ.ดีเดย์ฉีดวัคซีนโควิดทั่วไทย 7 มิ.ย. ด้าน WHO ชี้แอสตร้าฯ-ซิโนแวคประสิทธิภาพดี ปลอดภัยสูง
กระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์นี้กระจายวัคซีนโควิด 2 ล้านโดสทุกจังหวัด สัดส่วนตามสถานการณ์ระบาด รองรับคิกออฟฉีดวัคซีนวันที่ 7 มิถุนายนนี้ WHO ชี้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคที่ไทยใช้ ป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ มีความปลอดภัยสูง ขอคนไทยเ
กระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์นี้กระจายวัคซีนโควิด 2 ล้านโดสทุกจังหวัด สัดส่วนตามสถานการณ์ระบาดรองรับคิกออฟฉีดวัคซีนวันที่ 7 มิถุนายนนี้WHO ชี้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคที่ไทยใช้ ป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ มีความปลอดภัยสูง ขอคนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีน
วันนี้ (2 มิถุนายน 2564) กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดบรรยายสรุปเรื่องการกระจายวัคซีนในประเทศไทย ผ่านทางออนไลน์ด้วยระบบZoom โดยนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทยอยส่งวัคซีนโควิด 19 ทั้งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ให้ทุกโรงพยาบาลแล้ว เพื่อคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 ในวันที่ 7 มิถุนายน 2564พร้อมกันทุกพื้นที่ โดยคนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการฉีดวัคซีนตามการนัดหมายของสถานพยาบาล ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะทยอยส่งวัคซีนให้โรงพยาบาลเป็นงวดๆ ในแต่ละสัปดาห์ ตามการจัดส่งของผู้ผลิต โดยสัปดาห์นี้จะกระจายวัคซีนทั้งของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวครวมประมาณ 2 ล้านโดส คาดว่าทั้งเดือนมิถุนายนจะมีการส่งวัคซีนประมาณ 5-6 ล้านโดส จัดส่งให้ทุกจังหวัด ส่วนพื้นที่ระบาดจะได้รับสัดส่วนสูงกว่าพื้นที่ระบาดน้อย เช่น กรุงเทพมหานครได้รับประมาณ 1 ล้านโดส จะส่งให้ 5 แสนโดสก่อนใน 2 สัปดาห์แรกยืนยันว่าจะได้รับวัคซีนครบทุกจังหวัดภายใน 4-6 เดือน สำหรับการฉีดวัคซีนยึดตามหลักข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และสาธารณสุข
นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ตามนโยบายประเทศไทยจะจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดสครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรภายในปี 2564 ขณะนี้จัดหาแล้วคือวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า61 ล้านโดส เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเป็นการผลิตไปส่งมอบไป โดยจะมีการเจรจาการส่งมอบและจัดสรรอย่างต่อเนื่องในแต่ละเดือน และซิโนแวคตั้งเป้าจัดหา 10-15 ล้านโดส ขณะนี้ส่งมอบแล้ว 6 ล้านโดสที่เหลือจะทยอยส่งมอบประมาณเดือนละ 3 ล้านโดส ได้รับบริจาคจากรัฐบาลจีน 1 ล้านโดส ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขในสัญญา โดยไฟเซอร์คาดว่าจัดหาให้ได้ 20 ล้านโดส ภายในไตรมาส 3 และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 5 ล้านโดสภายในไตรมาส 4 หากรวมวัคซีนทั้งหมดคาดว่าเกิน 100 ล้านโดส
นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.สนับสนุนค่าบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งในและนอกโรงพยาบาล และเตรียมงบประมาณสำหรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ไม่ต้องรอการตรวจสอบ โดยผู้เสียหายสามารถยื่นเรื่องมาที่สปสช.จะมีคณะกรรมการพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 5 วัน ทั้งนี้ ไม่มีการกำหนดลักษณะอาการไม่พึงประสงค์หากสงสัยว่ามีอาการเกี่ยวข้องกับวัคซีนสามารถยื่นเรื่้องได้ หรือปรึกษากับแพทย์ หากเกี่ยวกับวัคซีนแพทย์จะช่วยดำเนินการยื่นเรื่องเยียวยา หลังเปิดยื่นเรื่องมา 2 สัปดาห์ รับเรื่องแล้ว 250 ราย ชดเชยแล้ว 150 รายอาการไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่คือ การนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่มีอาการชา คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ส่วนคนที่มีประกันเอกชนสามารถยื่นเรื่องได้เช่นกัน
ดร.ซุมยา สวามินาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า วัคซีนโควิด 19 แต่ละตัว ไม่สามารถนำตัวเลขประสิทธิภาพมาเปรียบเทียบได้ เนื่องจากระเบียบวิธีการวิจัยต่างกัน สถานการณ์การระบาดและสายพันธุ์ที่ระบาดในแต่ละประเทศต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องดูเรื่องการป้องกันโรครุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีน 2 เข็มควรเป็นวัคซีนตัวเดียวกันโดยขณะนี้กำลังศึกษาประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มว่าป้องกันยาวนานแค่ไหน ขณะนี้มีข้อมูลแค่ช่วง 6 เดือนเนื่องจากยังต้องใช้เวลาในการศึกษา สำหรับคนที่ติดโควิดมาแล้วก็ยังต้องฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่หากวัคซีนในประเทศไม่เพียงพอ คนกลุ่มนี้รอฉีดได้ประมาณ 6 เดือน
ด้านนายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การฉีดวัคซีนจำนวนมากตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ดีมาก ทั้งนี้ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ทั่วโลกมีการใช้แล้วช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ จึงขอให้ทุกคนไปรับการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะผู้สูงอายุและ 7 โรคเรื้อรังที่เป็นกลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิตสูง นอกจากนี้ สื่อมวลชนมีความสำคัญช่วยในการช่วยควบคุมโรคและส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ประเมินความเสี่ยงตัวเองได้ว่าอยู่กลุ่มไหน ควรทำอะไรอย่างไร เพราะไม่ใช่แค่วัคซีนที่ป้องกันการชีวิตได้ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะป้องกันการเสียชีวิตได้ด้วย และย้ำว่าแม้ฉีดวัคซีนแล้วการ์ดอย่าตกยังต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างเหมือนเดิม
*****************************2 มิถุนายน 2564
****************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ขยายเวลายกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท | วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ขสมก. ขยายเวลายกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ได้ขยายเวลาการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ออกไปอีก 1 เดือน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ได้ขยายเวลาการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ออกไปอีก 1 เดือน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนผู้ใช้บริการเปลี่ยนวิธีการชำระค่าโดยสารเป็นแบบไร้เงินสดมากขึ้น เพื่อลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ซึ่งเป็นสื่อแพร่เชื้อไวรัส COVID-19
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ผ่านมา ขสมก. ได้มีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ อาทิ การให้พนักงานและผู้ใช้บริการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะอยู่บนรถโดยสาร ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ภายในรถโดยสารก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน และติดตั้งเจลแอลกอฮอล์บนรถโดยสาร สำหรับให้พนักงานและผู้ใช้บริการล้างทำความสะอาดมือ เป็นต้น นอกจากนี้ ขสมก. ได้มีการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการ เปลี่ยนวิธีการชำระค่าโดยสารจากเดิมที่ใช้เงินสด เป็นการชำระค่าโดยสารผ่านบัตรดังกล่าว เพื่อลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ซึ่งเป็นสื่อแพร่เชื้อโรค
เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกที่ 3 ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ขสมก. จึงได้ขยายเวลาการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ออกไปอีก 1 เดือน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และเป็นการส่งเสริมให้มีการชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดอย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42320 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ 28 ส่วนราชการใน 14 กระทรวง ที่ได้รับจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เร่งบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานให้เร็วที่สุด ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำ 28 ส่วนราชการใน 14 กระทรวง ที่ได้รับจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เร่งบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานให้เร็วที่สุด ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
นายกรัฐมนตรี ย้ำ 28 ส่วนราชการใน 14 กระทรวง ที่ได้รับจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เร่งบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานให้เร็วที่สุด ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีงานทำ
วันที่ 10 มิ.ย.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ส่วนราชการในแต่ละกระทรวงที่ได้รับจัดสรรอัตราพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรานี้ เร่งประชาสัมพันธ์การรับสมัครงานและบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานตามขั้นตอนให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้มีงานทำ และให้มีการกระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท/เดือน ระยะเวลาจ้างไม่เกิน 1 ปี สิ้นสุดการจ้างงานไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 65 ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. จะได้มีหนังสือถึงส่วนราชการเพื่อเร่งดำเนินการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2564 ต่อไป
สำหรับ 28 ส่วนราชการใน 14 กระทรวง ที่ได้รับการจัดสรรอัตรากำลัง ประกอบด้วยหน่วยงานส่วนกลางที่ตั้งในภูมิภาค/ส่วนราชการในภูมิภาคระดับจังหวัด ดังนี้
1. กระทรวงการคลัง รวม 1,045 อัตรา ได้แก่ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 380 อัตรา สำนักงานสรรพสามิตภาค 70 อัตรา สำนักงานสรรพากรพื้นที่ 595 อัตรา
2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
3. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด จำนวน 406 อัตรา
4. กระทรวงเกษตรและหกรณ์ จำนวน 1,664 อัตรา ประกอบด้วย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด จำนวน 406 อัตรา สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ 60 อัตรา สำนักงานประมงจังหวัด 406 อัตรา สำนักงานเกษตรจังหวัด 406 อัตรา สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 386 อัตรา
5. กระทรวงคมนาคม จำนวน 546 อัตรา ได้แก่ สำนักงานขนส่งจังหวัด 406 อัตรา และท่าอากาศยาน 140 อัตรา
6. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสถิติจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
7. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
8. กระทรวงพลังงาน สำนักงานพลังงานจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
9. กระทรวงมหาดไทย จำนวน 1,218 อัตรา ประกอบด้วย สำนักงานจังหวัด จำนวน 406 อัตรา สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด จำนวน 406 อัตรา สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
10. กระทรวงยุติธรรม จำนวน 505 อัตรา ได้แก่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด 99 อัตรา และสำนักงานคุมประพฤติจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
11. กระทรวงแรงงาน จำนวน 1,774 อัตรา ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานแรงงานจังหวัด 406 อัตรา กรมการจัดหางาน สำนักงานจัดหางานจังหวัด 406 อัตรา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 150 อัตรา และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด จำนวน 406 อัตรา สำนักงานประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมจังหวัด 406 อัตรา
12. กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
13. กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
14. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด จำนวน 406 อัตรา
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “การกระจายการจ้างงานลงสู่ระดับพื้นที่ และให้ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรอัตรากำลังเร่งบรรจุบุคคลเข้าปฏิบัติงานให้เร็วที่สุด เพื่อบรรเทาปัญหาการว่างงาน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42600 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
1) นายท่าอู่พระราม 9 เขตการเดินรถที่ 4
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 18 เขตการเดินรถที่ 7
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ขานรับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ปรับกฎ ระเบียบ การรับรองหลักสูตร | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
นฤมล ขานรับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ปรับกฎ ระเบียบ การรับรองหลักสูตร
- -
วันที่ 10 มิถุนายน 2564 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความเห็นชอบหลักสูตร ช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ จัดฝึกอบรมแบบ E-Training สามารถยื่นรับรองหลักสูตรได้ ขานรับนโยบายรัฐบาล ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ เพื่อรองรับและสนับสนุนการพัฒนาสู่รัฐบาลดิจิทัล
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ได้รับทราบการออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความเห็นชอบหลักสูตรการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน แบบ E-Training เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ ที่อยู่ในข่ายบังคับต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่สามารถจัดฝึกอบรมแบบฝึกในห้องเรียนได้ จึงปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จากเดิมกำหนดให้สถานประกอบกิจการต้องดำเนินการฝึกในห้องเรียนเท่านั้น จึงจะพิจารณารับรองหลักสูตร ได้ปรับปรุงแก้ไข ให้สามารถรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมแบบออนไลน์ได้ด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมฯ กำหนด เช่น ผู้เข้าอบรมต้องไม่เกิน 30 คน เป็นการบรรยายด้วยวิธีการฝึกอบรมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Training) ที่สามารถโต้ตอบได้ระหว่างวิทยากรและผู้เข้าอบรม เป็นต้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า การแก้ไขปรับปรุงระเบียบดังกล่าว เป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ของหน่วยงาน ให้สามารถรองรับและสนับสนุนการพัฒนาไปสู่รัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานในทุกๆ ด้าน ดังนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ ต้องพัฒนาและปรับปรุง ทั้งระบบการให้บริการ และกฎ ระเบียบต่างๆ ที่อาจส่งผลให้การทำงานขับเคลื่อนได้ช้า เกิดความคล่องตัวให้มากขึ้น
นอกจาก การปรับปรุงการรับรองหลักสูตรแบบ E-Training ได้แล้ว ยังสามารถยื่นรับรองหลักสูตรการฝึกผ่านระบบ E-Service ได้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ของสถานประกอบกิจการไม่ต้องเดินทาง ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถตรวจสอบหรือติดตามสถานะการพิจารณา บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านแอพพลิเคชั่น “DSD application” ได้อีกด้วย เป็นการพัฒนาระบบการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่สถานประกอบกิจการ และประชาชนทั่วไป ที่ต้องการติดต่อสอบถาม หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้รับบริการที่สะดวดและรวดเร็วมากขึ้น
“เชื่อมั่นว่าการพัฒนาระบบเพื่อบริการประชาชน จะพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน มีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน หลากหลายช่องทางเช่น สมัครฝึกอบรม ผ่านเว็บไซต์ www.dsd.go.th หรือผ่าน DSD application หรือ สมัครงาน ผ่านเว็บไซต์https://smartjob.doe.go.th/ เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 022454035” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันพฤหัสบดีที่๑๐มิถุนายน๒๕๖๔เวลา๐๙.๐๐น.ณห้องประชุม๑ชั้น๒กรมราชทัณฑ์ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม๕แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์Covid-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมครั้งที่๒๓/๒๕๖๔โดยมีนายนิยมเติมศรีสุขรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนายวัลลภนาคบัวรองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯพร้อมด้วยพ.ต.ท.วรรณพงษ์คชรักษ์อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนนายวีระกิตติ์หาญปริพรรณ์รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล(Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั้งหมดรักษาหายแล้วซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนและเจ้าหน้าที่จากศูนย์ฝึกและอบรมฯยะลาและสถานพินิจฯนราธิวาสรวมทั้งสิ้น๘๗คนและขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการต่อไปนอกจากนี้กรมพินิจฯได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อ(SWAB)เชิงรุกเพิ่มเติมล่าสุด(๙มิถุนายน๒๕๖๔)พบเยาวชนติดเชื้อเพิ่ม๓รายจากศูนย์ฝึกอบรมฯพระนครศรีอยุธยาและอีก๑รายเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลาง(อาคารกระทรวงยุติธรรมถนนแจ้งวัฒนะ)ซึ่งได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและดำเนินการตามมาตรฐาน(Standard Operating Procedure : SOP)แล้ว
สำหรับภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเรือนจำและทัณฑสถานพบว่ามีเรือนจำ/ทัณฑสถาน
ที่ไม่พบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น๒แห่งรวมเป็นจำนวน๑๒๙แห่งขณะที่ยังพบการแพร่ระบาด๑๒แห่งคงเดิมและมียอดผู้ติดเชื้อที่หายป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมียอดหายป่วยสะสมแล้ว๑๘,๕๓๘รายหรือ๖๑%ของ
ผู้ติดเชื้อสะสม๓๐,๑๗๑รายและคาดว่าจะมีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีมากถึง๙๐%ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาทั้งหมดทั้งนี้กรมราชทัณฑ์ยังคุมเข้มใน๔มาตรการคือ๑.การป้องกันอย่าให้เชื้อเข้าสู่เรือนจำ/ทัณฑสถาน๒.การรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อลดการเสียชีวิต๓.การป้องกันไม่ให้นำเชื้อจากเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาดออกสู่ภายนอกและ๔.การสร้างภูมิคุ้มกันโรคในผู้ต้องขังด้วยการฉีดวัคซีนที่ต้องเร่งกระจายวัคซีนโดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงและเรือนจำ/ทัณฑสถานขนาดใหญ่ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโดยได้เน้นย้ำให้เรือนจำ/ทัณฑสถานเร่งดำเนินการตามแผนการฉีดวัคซีนที่ต้องเร่งประสานขอความร่วมมือโรงพยาบาลแม่ข่ายหรือสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ในการฉีดวัคซีนให้แล้วเสร็จตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ได้กำชับเป็นพิเศษในการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขังให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงเพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ต้องขังโดยเร็วที่สุด
ด้านการฉีดวัคซีนกรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขังไปแล้ว๒๑,๓๗๖รายในเรือนจำ/ทัณฑสถานจำนวน๑๑แห่ง(ข้อมูลณวันที่๙มิถุนายน๒๕๖๔)คือเรือนจำกลางสมุทรปราการทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานีเรือนจำกลางระยองเรือนจำกลางนครปฐมเรือนจำพิเศษพัทยาทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทัณฑสถานหญิงกลางเรือนจำอำเภอไชยาเรือนจำอำเภอธัญบุรีเรือนจำพิเศษมีนบุรีและเรือนจำจังหวัดภูเก็ตซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ได้รับวัคซีนไปแล้วอยู่ระหว่างดำเนินการ๒๘แห่งคือเรือนจำจังหวัดปทุมธานีสถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานีเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชเรือนจำกลางชลบุรีเรือนจำกลางราชบุรีเรือนจำกลางสุราษฎร์ธานีเรือนจำกลางเพชรบุรีเรือนจำกลางเชียงใหม่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรือนจำจังหวัดกาญจนบุรีเรือนจำอำเภอทุ่งสงเรือนจำจังหวัดสมุทรสาครเรือนจำกลางเขาบินเรือนจำจังหวัดระนองเรือนจำกลางตากเรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยาทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยาทัณฑสถานวัยหนุ่มพระนครศรีอยุธยาเรือนจำกลางเขาบินทัณฑสถานหญิงชลบุรีเรือนจำอำเภอปากพนังเรือนจำอำเภอแม่สอดเรือนจำกลางคลองเปรมทัณฑสถานหญิงธนบุรีเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเรือนจำพิเศษธนบุรีและทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลาซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในเร็วๆนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมความพร้อมการประชุมคณะทำงานด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
เตรียมความพร้อมการประชุมคณะทำงานด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเชิงปฏิบัติเตรียมความพร้อมการประชุมคณะทำงานด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เดือนกรกฎาคมนี้
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ National Coordinator ของไทย ได้กล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Inception Workshop) ภายใต้ TA 9916-REG: Greater Mekong Subregion (GMS) Sustainable Agriculture and Food Security Program (SAFSP) Sustainable Agriculture and Food Security Program ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Working Group on Agriculture) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 นี้
โดยรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าเกษตรและอาหาร ตลอดจนความสำคัญของน้ำและดินเพื่อยกระดับความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนและเพิ่มความมั่นคงทางอาหารสำหรับ SAFSP เปรียบเสมือนการนำนโยบายไปสู่การดำเนินการหรือการปฏิบัติ ที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนในด้านการเกษตรสามารถรับมือกับความท้าทายในด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตรสำหรับตลาดที่มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นจะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาวิกฤตอาหารโลก ตลอดจนการจัดการโรคระบาดในพืชและสัตว์ เช่น โรค African swine fever (ASF) และ Lumpy skin disease (LSD) และโรคใบด่าง ที่กำลังระบาดอยู่ในอนุภูมิภาคในขณะนี้ จึงควรมีความร่วมมือในการจัดการการเคลื่อนย้ายสัตว์และพืชข้ามพรมแดน การวิจัยและพัฒนา ทั้งเกี่ยวกับโรคพืชและสัตว์ รวมทั้งวัคซีน และความร่วมมือในด้านอื่น ๆ รวมทั้งการบริหารจัดการในด้านที่เกี่ยวข้อง จะเป็นการป้องกันการระบาดของโรคและนำไปสู่การจัดการระบบอาหารที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ประเทศไทย อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เพื่อเพิ่มการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง (Project on Climate Change Adaptation in Agriculture for Enhanced Recovery and Sustainability of Highlands) ณ จังหวัดน่าน ภายใต้ความช่วยเหลือทางวิชาการจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากยกองทุนญี่ปุ่นเพื่อลดความยากจน (Japan Fund for Poverty Reduction) มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโครงการนี้สามารถเป็นหนึ่งในพื้นที่สาธิตสำหรับการบริหารจัดการน้าแบบเท่าทันภูมิอากาศ การจัดการดินและการเพาะปลูกที่เท่าทันภูมิอากาศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์
“ประเทศไทยยินดีที่จะแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการดังกล่าวของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อระบบอาหารของโลก โดยจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก ที่มีนายกรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วมประชุม” รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42590 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ขยาย 4 ช่องจราจร ทล.212 สายนครพนม - อ.ท่าอุเทน แล้วเสร็จ | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ขยาย 4 ช่องจราจร ทล.212 สายนครพนม - อ.ท่าอุเทน แล้วเสร็จ
เพิ่มศักยภาพการคมนาคมขนส่งไทย - สปป.ลาว
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดย สำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินโครงการก่อสร้างขยาย ทล. 212 สายนครพนม - อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ระยะทาง 18.8 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เพิ่มศักยภาพการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ทางหลวงสายนี้เป็นทางหลวงสายรอง เริ่มต้นที่ อ.เมือง จ.หนองคาย เป็นเส้นทางเชื่อมโยงไปสู่ จ.บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมระยะทาง 580.375 กิโลเมตร
สำหรับสายนครพนม - อ.ท่าอุเทน เป็นทางหลวงที่อยู่ในพื้นที่ จ.นครพนม เป็นเส้นทางเลียบฝั่งแม่น้ำโขงเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างไทย - สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมการลงทุน การค้าชายแดน การขนส่ง และการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณการจราจรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน ทล. จึงดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงสายดังกล่าว ระหว่าง กม. ที่ 284+571 ถึง กม. ที่ 303+424 ขยายจากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจรไป - กลับ กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอก กว้าง 2.5 เมตร ผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต และก่อสร้างศาลาทางหลวงเพื่อให้ประชาชนใช้หลบแดดหลบฝน ระหว่างรอรถโดยสาร จำนวน 22 แห่ง รวมงานติดตั้งสัญญาณไฟจราจรและงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 644,155,495 บาท
ทั้งนี้เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยให้การคมนาคมขนส่งมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของจังหวัดนครพนม เพิ่มศักยภาพในการเชื่อมโยงกับกลุ่มสมาชิกอาเซียน และสนับสนุนการพัฒนาด้านเศษฐกิจพิเศษของประเทศเพิ่มขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42594 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อาหารสำเร็จรูป สนับสนุนสู้โควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อาหารสำเร็จรูป สนับสนุนสู้โควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินบริจาค เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อาหารสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค สนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 เป็นขวัญกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์
บ่ายวันนี้ (10 มิถุนายน 2564) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินและสิ่งของบริจาค จากประชาชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 6 คณะ
นายอนุทินกล่าวว่า ในนามรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณทุกคณะที่สนับสนุนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขในการต่อสู้ ควบคุม รักษาโรคโควิด19 เป็นการส่งมอบกำลังใจให้คนทำงานที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกว่าได้รับการดูแลและความใส่ใจ สิ่งของต่างๆ ที่นำมามีประโยชน์ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะส่งสิ่งของต่างๆ ไปยังมือผู้ใช้ปลายทางโดยเร็วที่สุด
สำหรับสิ่งของบริจาค ประกอบด้วย1.นมถั่วเหลือง ตราซังซัง 2,000,000 กล่อง มูลค่า 20,000,000 บาท จาก คุณสาธิตา จิรพัฒนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แลคตาซอย จำกัด 2.ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ บำรุงผิว และเครื่องหอม จำนวน 1,200 ชุด มูลค่า 625,000 บาท จาก คุณฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ บริษัทธัญ-ออริซ่า จำกัด (Thann) 3. แอลกอฮอล์ ขนาด 18 ลิตร จำนวน 200 ถัง และขนาด 60 ซีซี จำนวน 6,000 ขวด มอบให้ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กรมการแพทย์ รพ.รามาธิบดี และกรมควบคุมโรค พร้อมมอบเงินบริจาค 50,000 บาท ให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ จากกรมสรรพสามิต นำโดย นายลวรรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต นายสัญชัย ชาสมบัติ ผู้อำนวยการองค์การสุรา และดร.ภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้อำนวยการโรงงานไพ่ 4.เงินบริจาค 400,000 บาท มอบให้สถาบันโรคทรวงอก, โรงพยาบาลศรีธัญญา, โรงพยาบาลวังน้อย และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลละ 1 แสนบาท จาก ดร.ณัฏฐญา พัฒนะวาณิชนันนท์ อดีตที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข 5.อาหารสำเร็จรูป โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด 19” จากนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และ6.สินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์คนอร์ ลักส์ และวาสลีน จำนวน 357,000 ชิ้น มูลค่ารวม 11,008,536 บาท จาก Mr. Robert Candelino CEO บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย
******************** 10 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย สธ.ลงนามจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ผู้ผลิตเตรียมยื่นขึ้นทะเบียน | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
“อนุทิน” เผย สธ.ลงนามจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ผู้ผลิตเตรียมยื่นขึ้นทะเบียน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยได้ลงนามจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ผู้ผลิตเตรียมยื่นขึ้นทะเบียนกับ อย.ต่อไป ยืนยันประเทศไทยไม่ขาดวัคซีน มีการทยอยส่งมอบตามแผน พร้อมจัดหาวัคซีนเพิ่ม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยได้ลงนามจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ผู้ผลิตเตรียมยื่นขึ้นทะเบียนกับ อย.ต่อไป ยืนยันประเทศไทยไม่ขาดวัคซีน มีการทยอยส่งมอบตามแผน พร้อมจัดหาวัคซีนเพิ่ม
วันนี้ (10 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลไทยมีการเจรจาจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพิ่มเติมกับทุกบริษัท ล่าสุดวันนี้อธิบดีกรมควบคุมโรคได้ลงนามเอกสารสัญญาจองซื้อวัคซีนกับไฟเซอร์แล้ว หลังจากนั้นจะทำบันทึกความตกลงการจัดซื้อวัคซีน โดยจะมีการกำหนดเรื่องของราคา และเงื่อนไข ภายใน 4 สัปดาห์ ซึ่งจากนี้ทางไฟเซอร์จะต้องส่งเอกสารผ่านระบบE-Submission เพื่อยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ส่วนวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันนั้น เอกสารสัญญาทางสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณากลับมาแล้ว อยู่ระหว่างบริษัทผู้ผลิตที่สหรัฐอเมริกาตอบกลับมา หากทุกอย่างเรียบร้อยจะมีการจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ 20 ล้านโดส และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 5 ล้านโดส ภายในปี 2564
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหาวัคซีนมาให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากทั้งผู้ผลิตวัคซีนรายใหม่ รูปแบบ และเทคโนโลยีใหม่ ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดกระตุ้นทุกปีหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีผลทางวิชาการที่ชัดเจนถึงระยะเวลาของประสิทธิผลวัคซีน จึงควรมีการฉีดซ้ำเช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ต้องฉีดกระตุ้นทุกปี ส่วนจะฉีดกี่เข็มขึ้นกับผลการศึกษา และข้อบ่งชี้การใช้ของวัคซีนแต่ละชนิดที่นำเข้ามาใช้ หากมีแบบเข็มเดียวก็ฉีด
เพียงเข็มเดียว เป็นต้น
“ตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เราจะมีคนฉีดวัคซีนรวมกว่า 10 ล้านคน และจะฉีดต่อเนื่องให้ประชาชนจนถึงสิ้นปี ยืนยันว่าประเทศไทยไม่มีคำว่าขาดวัคซีน เนื่องจากมีทั้งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคทยอยส่งมอบ โดยสัปดาห์หน้าจะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าส่งให้ตามที่กำหนดและส่งมอบจนครบ รวมถึงอีกประมาณ 3 เดือนคาดว่าจะมีวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่เซ็นสัญญาทยอยส่งมาสิ่งสำคัญคือการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้เหมาะสมกับจำนวนที่มี เพื่อให้มีวัคซีนฉีดอย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดการหยุดชะงักหรือรอวัคซีนในช่วงจัดส่งที่อาจทำให้เกิดความกังวลใจกันได้” นายอนุทินกล่าว
****************************** 10 มิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินตั้งเป้าเพิ่มเม็ดเงินช่วยผู้ประกอบการ SMEs ปล่อยสินเชื่อเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวรายเล็กวงเงิน 5 แสนบาท ไม่ต้องมีหลักประกัน ดอกเบี้ย 3.99% คงที่ 5 ปี และผ่อนเกณฑ์พิจารณาอนุมัติ | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ออมสินตั้งเป้าเพิ่มเม็ดเงินช่วยผู้ประกอบการ SMEs ปล่อยสินเชื่อเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวรายเล็กวงเงิน 5 แสนบาท ไม่ต้องมีหลักประกัน ดอกเบี้ย 3.99% คงที่ 5 ปี และผ่อนเกณฑ์พิจารณาอนุมัติ
โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว โดยการให้สินเชื่อสำหรับใช้เป็นเงินทุนดำเนินกิจการหรือเสริมสภาพคล่อง วงเงินกู้สูงสุดรายละ 500,000 บาท ให้กู้เป็นระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีเท่ากับ 3.99%
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งไม่เพียงแค่ธุรกิจโรงแรมหรือที่พัก แต่ยังรวมถึงกิจการอื่นๆ ด้วยที่ดำเนินธุรกิจพึ่งพาการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายสินค้า ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย ธุรกิจการเดินทางและขนส่ง เป็นต้น โดยผู้ประกอบการ SMEs เหล่านี้จำนวนมากขาดกระแสเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ประคับประคองธุรกิจในช่วงวิกฤติจากการแพร่ระบาดครั้งนี้
โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว เป็นความตั้งใจของธนาคารออมสินที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยการให้สินเชื่อสำหรับใช้เป็นเงินทุนดำเนินกิจการหรือเสริมสภาพคล่อง วงเงินกู้สูงสุดรายละ 500,000 บาท ให้กู้เป็นระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีเท่ากับ 3.99% และปลอดชำระเงินต้นในปีแรก ผู้มีสิทธิ์กู้เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ใช้บุคคลเป็นหลักประกันการกู้ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์และ บสย. ค้ำประกัน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาโดยดูรายได้ในอดีตของกิจการเป็นหลัก เนื่องจากธนาคารฯ ทราบดีว่าปัจจุบันกิจการต้องขาดรายได้เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนขอสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำฯ ผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ หรือติดต่อโดยตรงที่สำนักสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสิน 82 แห่งทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถกดลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และค้นหาสถานที่ตั้งสำนักสินเชื่อฯ ในแต่ละจังหวัดได้ที่ www.gsb.or.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42606 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาคีเครือข่าย ภาคธุรกิจ เอกชน ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็น มูลค่ากว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมรับบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม. | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
ภาคีเครือข่าย ภาคธุรกิจ เอกชน ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็น มูลค่ากว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมรับบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม.
ภาคีเครือข่าย ภาคธุรกิจ เอกชน ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็น มูลค่ากว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมรับบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม.
วันที่ 8 มิ.ย. 64เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับมอบสิ่งของบริจาคจากหลายภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ โดยมีหลายภาคส่วนร่วมกันบริจาค ดังนี้ 1) บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท สหชลผลพืช จำกัด บริจาคเจลแอลกอฮอลล์ จำนวน 18,972 หลอด และนมถั่วเหลืองมารูซัน จำนวน 4,800 กล่อง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 459,840 บาท และ 2) ธนาคารกรุงเทพ บริจาคเจลแอลกอฮอลล์และเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็น ภายใต้โครงการ Be The Hope รวมมูลค่าทั้งสิ้น 58,800 บาท
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ดำเนินโครงการการให้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการรับบริจาคสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น และขอให้มั่นใจได้ว่า สิ่งของบริจาคจะเป็นประโยชน์และส่งถึงมือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างแน่นอน
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ อาหารกล่องพร้อมทาน วัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร (อาหารสดและอาหารแห้ง) ข้าวสาร น้ำดื่ม นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42592 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่จุดฉีดฯ สโมสรธนาคารกรุงเทพ ถ.ศรีนครินทร์ | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
รมว.สุชาติ ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 ที่จุดฉีดฯ สโมสรธนาคารกรุงเทพ ถ.ศรีนครินทร์
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนสโมสรธนาคารกรุงเทพ ถนนศรีนครินทร์
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด -19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนสโมสรธนาคารกรุงเทพ ถนนศรีนครินทร์ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 8 มีศักยภาพการฉีดวันละ 1,000 คน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกรจากโรงพยาบาลบางนา 1 เป็นผู้ดำเนินการ โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย เพื่อติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีน โดยวันนี้เป็นวันที่ 4 ของการฉีด ซึ่งจากภาพรวมตั้งแต่วันที่ 7-9 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาฉีดวัคซีนแล้วจำนวนเกือบ 130,000 คน
โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงาน และสถานประกอบการ ในเบื้องต้นได้กำหนดจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากสถานประกอบการจำนวน 24,000 กว่าแห่งทั่วกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7-26 มิ.ย.64 ซึ่งสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 ได้จัดเตรียมสถานที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม 23 แห่ง โดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน ซึ่งทุกศูนย์ให้บริการระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น.
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนการฉีดวัคซีนนั้นมี 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1) จุดคัดกรอง เป็นจุดแรกที่จะให้ข้อมูลและตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นว่าจะมีสิทธิ์เข้ารับการฉีดหรือไม่ โดยนายจ้างต้องลงทะเบียนผ่านระบบ e-service ก่อนแล้วเท่านั้น เมื่อลงแล้วสำนักงานประกันสังคมจะติดต่อนัดหมาย วัน เวลา สถานที่ให้มาฉีดผ่านฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการ จากนั้นฝ่ายบุคคลของแต่ละสถานประกอบการจะแจ้งให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนให้มาฉีด และเมื่อใกล้วันนัดหมายทางธนาคารกรุงไทยจะมี SMS เน้นย้ำไปยังลูกจ้างอีกครั้ง สำหรับการจัดคิวนั้น สำนักงานประกันสังคมจะให้บริษัทได้รับวัคซีนแบบ first come first serve คือ ใครลงทะเบียนในระบบก่อนมีสิทธิ์ก่อน จะไม่รับ walk in 2) จุดนั่งรอ เพื่อรอเจ้าหน้าที่เรียกลงทะเบียน 3) จุดลงทะเบียน เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนของธนาคารกรุงไทย จะมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารมาประจำแต่ละจุด 4) จุดวัดสัญญาณชีพและประเมินความเสี่ยง โดยแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลที่มาให้บริการแต่ละจุด 5) จุดรอฉีดวัคซีน โดยในแต่ละจุดจะจัดเก้าอี้แบบ 11 ตัว เพื่อให้สามารถบริหารจัดการการฉีดวัคซีน ยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6) จุดฉีดวัคซีน จะมีแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการฉีดมาเป็นผู้ดำเนินการให้ 7) จุดพักสังเกตอาการ สแกนไลน์หมอพร้อม และแจกคู่มือหลังฉีด จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนี้ ยังได้จัดให้มีจุดปฐมพยาบาล กรณีมีเหตุฉุกเฉิน หรือมีอาการข้างเคียงจากการฉีด ซึ่งจะมีแพทย์และพยาบาลคอยประจำจุด และ 8) จุดทำใบนัดหมายก่อนกลับบ้าน เพื่อนัดหมายที่จะฉีดเข็มต่อไป พร้อมคำแนะนำจากแพทย์และพยาบาล
“ศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 จะให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมได้แจ้งนัดหมายวัน เวลา และสถานที่ไปยังฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการ ตามที่ได้ลงทะเบียนผ่านระบบ e-service ไว้ จึงขอให้ผู้ประกันตนมาตามนัดหมายดังกล่าวเท่านั้น โดยจะไม่รับ walk in “นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบอาหารและน้ำดื่ม 3,000 ชุด จากบริษัท ซีพีแรม จำกัด นำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมเชิญทุกภาคส่วนร่วมบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม. | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
พม. รับมอบอาหารและน้ำดื่ม 3,000 ชุด จากบริษัท ซีพีแรม จำกัด นำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมเชิญทุกภาคส่วนร่วมบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม.
พม. รับมอบอาหารและน้ำดื่ม 3,000 ชุด จากบริษัท ซีพีแรม จำกัด นำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 พร้อมเชิญทุกภาคส่วนร่วมบริจาค ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชม.
วันนี้ (10 มิ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับมอบสิ่งของบริจาคจากบริษัท ซีพีแรม จำกัด โดยนายสาธิต แสงเรืองอ่อน รองกรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุนและยุทธศาสตร์ และนางสาวชัญญรัช พีราวัช ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส เป็นอาหารพร้อมรับประทาน เบเกอรี่ และน้ำดื่ม จำนวนทั้งสิ้น 3,000 ชุด เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่
นางพัชรี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง กระทรวง พม. มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ดำเนินโครงการ “การให้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ด้วยการรับบริจาคสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท ซีพีแรม จำกัด ที่มาร่วมบริจาคอาหาร เบเกอรี่ และน้ำดื่ม สำหรับนำไปมอบให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนในทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ วันละ 300 ชุด ตลอดเดือนมิถุนายน 2564
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ อาหารพร้อมทาน วัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร (อาหารสดและอาหารแห้ง) ข้าวสาร น้ำดื่มนมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าหน่วยเหลือขายกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท บ้านจัดสรรยังน่าห่วง | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าหน่วยเหลือขายกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท บ้านจัดสรรยังน่าห่วง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นการสำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรร และอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม โดยเป็นการสำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรร และอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่ามีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563 ทั้งหมด 297 โครงการ จำนวน 13,500 หน่วย มูลค่ารวม 47,535 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการบ้านจัดสรร 250 โครงการ 10,620 หน่วย มูลค่า 40,361 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 47 โครงการ 2,880 หน่วย มูลค่า 7,174 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมีหน่วยเหลือขายจำนวน 12,365 หน่วย รวมมูลค่าหน่วยเหลือขาย 43,350 ล้านบาท และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,135 หน่วย รวมมูลค่า 3,585 ล้านบาท
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายในพื้นที่ จังหวัดนครราชสีมา มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -10.4 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 6,161 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 4,480 หน่วย หรือร้อยละ 72.7 เป็นโครงการอาคารชุด 1,681 หน่วย หรือร้อยละ 27.3 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 607 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -53.0 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 495 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึงร้อยละ -18.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 5,666 หน่วย หรือลดลง ร้อยละ -9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 2,191 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.7 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 234 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.3
สำหรับหน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 4,069 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 5,666 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 71.8 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ปี 2564
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ปี 2564 ภาพรวมตลาดยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก COVID-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 คาดการณ์ว่าช่วง H1/64 หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่า H1/63 ที่ร้อยละ -24.7 และ H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.6 จาก H2/63 หน่วยเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,684 หน่วย มูลค่า 5,352 ล้านบาท ส่วนหน่วยขายได้ใหม่ H1/64 หน่วยขายได้จะต่ำว่า H1/63 ที่ร้อยละ -34.8 ส่วน H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 91.5 จาก H2/63 หน่วยขายได้ใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,793 หน่วย มูลค่า 5,711 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 6,770 หน่วย มูลค่า 24,278 ล้านบาท และการโอนกรรมสิทธิ์ ในปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 6,141 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -26.6 และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 10,627 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -38.4 สำหรับจังหวัดขอนแก่น ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายมีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -1.4 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,974 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,270 หน่วย หรือร้อยละ 82.3 เป็นโครงการอาคารชุด 704 หน่วย หรือร้อยละ 17.7 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 411 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -45.1 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 346 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึงร้อยละ -20.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 3,628 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,393 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.4 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 127 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.7
สำหรับหน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดขอนแก่น เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 3,003 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 3,628 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 82.8 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดขอนแก่น ปี 2564
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น ปี 2564 คาดการณ์ว่าช่วง H1/64 หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่า H1/63 ร้อยละ -21.5 และ H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 จาก H2/63 หน่วยเปิดใหม่รวม ปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 982 หน่วย มูลค่า 3,117 ล้านบาท และในส่วนหน่วยขายได้ใหม่ H1/64 หน่วยขายได้จะต่ำว่า H1/63 ร้อยละ -39.4 ส่วน H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.5 จาก H2/63 หน่วยขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,156 หน่วย มูลค่า 3,310 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 3,573 หน่วย มูลค่า 12,062 ล้านบาท การโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 4,997 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -20 และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 7,613 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -34.3
ด้านภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดอุดรธานี พบว่ามีอัตราลดลงร้อยละ -13.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 1,503 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,379 หน่วย หรือร้อยละ 91.7 เป็นโครงการอาคารชุด 124 หน่วย หรือร้อยละ 8.3 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน เพียง 69 หน่วย ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โดยลดลง ร้อยละ -57.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับหน่วยขายได้ใหม่ มีจำนวน 143 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงร้อยละ -19.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 1,360 หน่วย หรือลดลงร้อยละ -12.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 533 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.2 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 70 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49
สำหรับหน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดอุดรธานี เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 1,242 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 1,360 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 91.3
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดอุดรธานี ปี 2564
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุดรธานี ปี 2564 ประมาณการณ์ช่วง H1/64 หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่า H1/63 ร้อยละ -8.0 และ H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.0 จาก H2/63 หน่วยเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 255 หน่วย มูลค่า 1,504 ล้านบาท หน่วยขายได้ใหม่ H1/64 หน่วยขายได้จะต่ำว่า H1/63 ร้อยละ -32.0 ส่วน H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.8 จาก H2/63 หน่วยขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 432 หน่วย มูลค่า 1,289 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 1,753 หน่วย มูลค่า 6,936 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 2,855 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -8.2 และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,726 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -10.4
ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดอุบลราชธานี พบว่ามีอัตราลดลง จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -22.9 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 1,129 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 894 หน่วย หรือร้อยละ 79.2 เป็นโครงการอาคารชุด 235 หน่วย หรือร้อยละ 20.8 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 168 หน่วย มีอัตราเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 130.1 หน่วยขายได้ใหม่จำนวน 112 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -44.3
โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 1,017 หน่วย หรือลดลงร้อยละ -19.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 432 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.5 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 57 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.9
ขณะที่หน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 796 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 1,017 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 78.3
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2564
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2564 คาดการณ์ว่าช่วง H1/64 หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่า H1/63 ร้อยละ-42.9 และ H2/64 จะลดลงร้อยละ -16.1 จาก H2/63 หน่วยเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 270 หน่วย มูลค่า 868 ล้านบาท และในส่วนหน่วยขายได้ใหม่ H1/64 หน่วยขายได้จะต่ำว่า H1/63 ร้อยละ -31.5 ส่วน H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.7 จาก H2/63 หน่วยขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 375 หน่วย มูลค่า 1,080 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 1,530 หน่วย มูลค่า 4,295 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 2,448 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -30.5 และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 2,894 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -48.2
ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดมหาสารคาม มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -2.9 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 733 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 597 หน่วย หรือร้อยละ 81.4 เป็นโครงการอาคารชุด 136 หน่วย หรือร้อยละ 18.6 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 51 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -42.7 หน่วยขายได้ใหม่จำนวน 39 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -55.7
โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 694 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวน 161 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.2 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 19 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.7
สำหรับหน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดมหาสารคามเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 567 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 694 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 81.7
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดมหาสารคาม ปี 2564
สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดมหาสารคาม ปี 2564 ประมาณการณ์ช่วง H1/64 หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่า H1/63 ร้อยละ -2.8 และ H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.8 จาก H2/63 โดยหน่วยเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 152 หน่วย มูลค่า 284 ล้านบาท และในส่วนหน่วยขายได้ใหม่ H1/64 หน่วยขายได้จะต่ำว่า H1/63 ร้อยละ -35.2 ส่วน H2/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 97.4 หน่วยขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 145 หน่วย มูลค่า 413 ล้านบาท หน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 873 หน่วย มูลค่า 2,550 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 1,210 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 2.6 และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 17.9
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ โทร 0-2645-9675-6
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรองรับป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ กทม. | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรองรับป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ กทม.
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรองรับป้องกันน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานคร
วันนี้ (10 มิถุนายน 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล Video Conference ในวันนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการเสนอแผนปฏิบัติการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบและแผนงานการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อนำเสนอแก่คณะรัฐมนตรีต่อไป ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการเตรียมการรองรับน้ำในฤดูฝนในพื้นที่คลองแสนแสบ โดยกรุงเทพมหานครร่วมกับกรมชลประทานวางแผนการบริหารจัดการน้ำผ่านแผนเผชิญเหตุและแนวทางป้องกันอุกทภัย ด้วยวิธีการเบี่ยงปริมาณน้ำหลากไม่ให้เข้าเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยการใช้วิธีคลองแนวขวาง ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝนประจำปี 2564 โดยเฉพาะการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ พร้อมปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข จำนวน 7 หน่วยงาน ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์ กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน และกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยรองนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่กำหนด พร้อมให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนถึงความคืบหน้าในการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ อาทิ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ำ การปรับปรุงภูมิทัศน์ริมคลอง การจัดการจรราจรทางน้ำให้ปลอดภัยไร้มลพิษทางเสียงและกลิ่น เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมกันพัฒนาคลองแสนแสบอีกด้วย
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดงานคล้ายวันสถาปนา มุ่งสู่ปีที่ 3 | วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2564
กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดงานคล้ายวันสถาปนา มุ่งสู่ปีที่ 3
เพื่อเป็นองค์กรกำกับดูแลการขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อความสุขและความปลอดภัยในการเดินทางระบบรางของไทย
กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จัดงานครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนา ขร. โดยมีนายกิตติพันธ์
ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานในงาน พร้อมด้วย ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ข้าราชการ และพนักงานราชการ ขร. ซึ่งงานในวันนี้ได้รับเกียรติจากนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์รองปลัดกระทรวงคมนาคม (อธิบดี ขร. คนที่ 2) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (อธิบดี ขร. คนที่ 1)และนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วมในงาน
ทั้งนี้ การจัดงานเป็นการจัดเฉพาะภายในหน่วยงาน โดย ขร. ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดออกความ
ตามมาตรการ 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่20) รวมถึงประกาศของกระทรวงคมนาคม เรื่อง มาตรการ แนวทางการดำเนินการ และแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติตเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ให้หน่วยบริการระบบขนส่งเข้มงวดการคัดกรองและป้องกัน รวมทั้งตรวจสอบ คัดกรองเจ้าหน้าที่ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ทำความสะอาดมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และตรวจสอบอุณหภูมิก่อนให้บริการทุกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19อย่างเคร่งครัด โดยการจัดงานในวันนี้ได้ดำเนินงานตามข้อกำหนดดังกล่าวอย่างเคร่งครัด สำหรับกิจกรรมภายในงานได้มีการจัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ประจำ ขร. พิธีถวายภัตตาหารเพล (ปิ่นโต) แด่พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 9 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้ง จัดพิธีเบิกเนตร “สมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ”เพื่อประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำ ขร. ณ อาคาร ณ ถลาง กรมการขนส่งทางราง กรุงเทพฯ
นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวว่า กรมการขนส่งทางรางจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลระบบขนส่งทางรางทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงการเสนอแนะนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานการกำกับดูแลกิจการขนส่งทางรางให้เป็นมาตรฐาน คุ้มค่าต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีหน้าที่หลักประกอบด้วย
1) เสนอแนะนโยบาย มาตรการ มาตรฐาน และจัดทำแผนการพัฒนาการขนส่งทางรางและขับเคลื่อนให้เกิดผลในการปฏิบัติ
2) พัฒนามาตรฐานและกำกับดูแลการขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
3) กำกับดูแลการขนส่งทางรางให้เป็นไปตามกฎหมาย
4) พัฒนาคุณภาพการให้บริการสู่ความเป็นเลิศ
5) ปฏิบัติงานด้วยหลักธรรมาภิบาล ตอบสนองผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และพัฒนาองค์กร องค์ความรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นวัตกรรม และการบริหารจัดการในระดับสากล
โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ขร. ได้มีการดำเนินการด้านระบบขนส่งทางรางต่างๆ อาทิ การออกมาตรฐานระบขนส่งทางรางไม่ว่าจะเป็นด้านไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ ด้านความปลอดภัย ด้านรถขนส่งทางราง และด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบราง การพัฒนาความเป็นไปได้โครงข่ายรถไฟให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ ผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในประเทศไทย ที่เป็นการดำเนการมาอย่างต่อเนื่อง การติดตามประเมินผลการให้บริการของหน่วยงานผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการอย่างดีที่สุด รวมถึงการเร่งดำเนินการเพื่อออกพระราชบัญญัติขนส่งทางราง พ.ศ. ... เพื่อใช้เป็นกฎหมายในการดำเนินการด้านขนส่งทางราง เพื่อความเป็นมาตรฐานสากล ตามหน้าที่ของ ขร. ที่ได้กล่าวมาข้างต้น
นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขร. มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาระบบขนส่งทางราง
ให้มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานในระดับสากล พร้อมนี้ ขร. คาดหวังว่าระบบขนส่งทางรางจะเกิดการพัฒนา โดยเกิดร่วมมือ ร่วมใจจากหน่วยงานต่าง เพื่อความสุขและความปลอดภัยในการเดินทางระบบรางของไทย
สามารถร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา ขร. ปี 64 ได้ตามลิงก์ด้านนี้
https://docs.google.com/forms/d/1mwCvv7YGFqol1qwCR1Eqd1ELTYow_7N78OBIsl5UjQA/edit
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42593 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.