title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมศักดิ์ สั่งการ ป.ป.ส. เร่ง ล่าตัวขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ หลังพบการจับกุมการส่งยาเสพติดไปต่างประเทศหลายคดี
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 สมศักดิ์ สั่งการ ป.ป.ส. เร่ง ล่าตัวขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ หลังพบการจับกุมการส่งยาเสพติดไปต่างประเทศหลายคดี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการ สำนักงาน ป.ป.ส. เร่ง ล่าตัวขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ หลังพบการจับกุมการส่งยาเสพติดไปต่างประเทศหลายคดี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้ สำนักงาน ป.ป.ส. เร่งสืบสวนขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ หลังจากที่ผ่านมาพบการจับกุมการลักลอบส่งยาเสพติดไปต่างประเทศหลายคดี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้ สำนักงาน ป.ป.ส. เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลกลุ่มนักค้ายาเสพติดที่ลักลอบขนยาเสพติดซุกซ่อนไปกับสิ่งของไปยังต่างประเทศหลายคดี โดยให้สืบหาผู้สั่งการ ผู้ส่ง ให้ดูว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ ป.ป.ส. ได้ดำเนินการสืบสวนอยู่หรือไม่ โดยให้เร่งรัดสืบสวนและดำเนินการจับกุมยึดทรัพย์สินต่อไป ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ศุลกากรฮ่องกงได้ตรวจยึดไอซ์ น้ำหนัก 9 กิโลกรัม ซุกซ่อนในกรอบรูปบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนส่งมาจากประเทศไทยทางเรือ จับกุมผู้ต้องสงสัย เป็นชายสัญชาติจีน - ฮ่องกง 2 คน และได้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับ สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อขยายผลถึงตัวการที่ส่งยาเสพติดมาจากประเทศไทย ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกับ กรมศุลกากร และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้สืบสวนจนทราบแหล่งที่มาของการส่งยาเสพติดดังกล่าว และทราบว่าจะมีการส่งกรอบรูปลักษณะเดียวกับที่ส่งไปฮ่องกง จึงได้ทำการตรวจสอบสิ่งของในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งกำลังเตรียมส่งออกจากประเทศไทยไปยังฮ่องกง ที่ศูนย์เอ็กซเรย์สินค้าขาออกระหว่างประเทศ พบกรอบรูป 5 ชิ้น ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่ศุลกากรฮ่องกงได้ตรวจยึด และได้แกะกรอบรูปออกดูมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 9 กิโลกรัม บรรจุถุงพลาสติกใสถุงละ 1 กิโลกรัม จำนวน 9 ถุง ซุกซ่อนอยู่ข้างใน จึงดำเนินการ บันทึกตรวจยึด และส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ยังได้ขยายผลไปตรวจค้น บริษัทขนส่งสินค้าระหว่างประเทศภายในซอยเพชรบุรี 17 พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวม 2 กิโลกรัม ซุกซ่อนในเครื่องขยายเสียงปะปนไปกับสินค้าชนิดอื่นเตรียมส่งไปยังประเทศฟิลิปปินส์ จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมมือกับศุลกากรฮ่องกงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยจะดำเนินการขยายผลตรวจสอบจากการจับกุม ตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าวซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ลักลอบขนส่งยาเสพติดในกลุ่มดังกล่าวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” สั่ง “กรอ.” เร่งขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก กรอ. เด้งรับชง 3 มาตรการหลัก มุ่งสู่เป้าหมาย!
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 “สุริยะ” สั่ง “กรอ.” เร่งขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก กรอ. เด้งรับชง 3 มาตรการหลัก มุ่งสู่เป้าหมาย! “สุริยะ” สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งขับเคลื่อนแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เด้งรับชง 3 มาตรการหลัก มุ่งสู่เป้าหมาย! ภายในปี พ.ศ. 2573 “สุริยะ” สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งขับเคลื่อนแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม ด้าน “กรอ.” ชง 3 มาตรการหลัก หวังช่วยลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้ได้ ร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เจรจากันในช่วงการประชุมภาคีสมาชิกของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ หรือ UNFCCC ครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส (ความตกลงปารีส) ที่มีสมาชิกมากกว่า 189 ประเทศทั่วโลกร่วมกันขับเคลื่อน โดยที่ไทยมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือปี พ.ศ. 2573 ใน 3 สาขาหลัก คือ สาขาพลังงานและการขนส่ง สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาการจัดการของเสีย ซึ่งการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงบทบาทการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบของประเทศไทยและประชาชนในประเทศในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ขณะเดียวกันการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีสะอาด จะส่งผลประโยชน์ร่วม (co-benefit) ทั้งในแง่ของคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่จะมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน “ได้สั่งกำชับไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี 2564-2573 ซึ่งภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก ทั้งจากกระบวนการผลิต การใช้ผลิตภัณฑ์ การจัดการของเสีย การใช้พลังงานทดแทน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ส่งเสริมและดำเนินการที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การส่งเสริมหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร โดยการหมุนเวียนนำกากอุตสาหกรรมมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลตามเป้าที่ตั้งไว้ และดูแลสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด” นายสุริยะฯ กล่าว นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรอ. ได้รับมอบหมายให้จัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี 2564-2573 ในสาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (Industrial Process and Product Use หรือ IPPU) รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม โดยแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1) มาตรการทดแทนปูนเม็ด โดยการใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ดในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก และการใช้วัสดุทดแทนปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นในคอนกรีตผสมเสร็จ 2) มาตรการทดแทน/ปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น โดยการปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น และการกำจัดทำลายของเสียและสารทำความเย็นที่เสื่อมสภาพอย่างถูกวิธี และ 3) มาตรการการจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม โดยการเพิ่มการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียอุตสาหกรรมด้วยการนำก๊าซมีเทนกลับมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็น 3 มาตรการในลำดับแรกที่ผู้ประกอบการมีความพร้อมและศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม สำหรับแผนปฏิบัติการฯ ได้กำหนดมาตรการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การพัฒนาระบบการตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (Measurement, Reporting and Verification: MRV) การเสริมสร้างขีดความสามารถ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจก โดยที่มีการกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในส่วนที่ กรอ. รับผิดชอบในสาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาน้ำเสียภาคอุตสาหกรรมภายในปี 2573 รวมทั้งสิ้น 2.25 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากภาพรวมของประเทศทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 115.6 ล้านตันฯ ใน 3 สาขา ประกอบด้วย สาขาพลังงานและขนส่ง 113.0 ล้านตันฯ สาขาการจัดการของเสีย 2.0 ล้านตันฯ “ปี 2564 กรอ.อยู่ระหว่างดำเนินโครงการรายงานและติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งครอบคลุมถึงกิจกรรมศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการของเสียสารทำความเย็น รวมถึงการประเมินศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการกำจัดทำลายของเสียของสารทำความเย็นด้วย ทั้งนี้ ปัญหาโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญอย่างมากพร้อมกับประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Carbon Neutral) และในทางปฏิบัติน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 หรือ COP26 ที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพร่วมกับอิตาลีในเดือนพฤศจิกายน 2564” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย ---------------------------------------------------------- กองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม โทร. 02 202 4108
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 มิถุนายน 2564 กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายทาง
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 3 มิถุนายน 2564 กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายทาง ... ​การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษ รวม 3 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน ในวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564 (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึง 24.00 น. จำนวน 1 วัน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการประจำปีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทาน ฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ​ทั้งนี้ ในสถานการณ์ COVID-19 กทพ. ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ทางพิเศษอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หากไม่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกบ้าน หรือหากจำเป็นต้องใช้ทางพิเศษเดินทางในวันปกติที่ไม่ได้ยกเว้นค่าผ่านทาง ควรสมัครใช้บัตร Easy Pass เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับธนบัตรหรือเหรียญซึ่งอาจจะเป็น แหล่งสะสมของเชื้อโรค รวมถึงใช้บริการเติมเงิน ในบัตร Easy Pass ผ่าน Application ของธนาคารต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะได้รับความสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากการรับหรือแพร่เชื้อ COVID-19 ได้อีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 นอกจากนี้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application "EXAT Portal" เพื่อตรวจสอบยอดเงินคงเหลือและ การใช้บัตร Easy Pass รับข่าวสารโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ และสามารถเรียกใช้งาน Application อื่น ๆ ของ กทพ. อาทิ EXAT Traffic อีกทั้งยังสามารถขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารหอศิลป์แห่งชาติ รัชดา
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ปลัด วธ. ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารหอศิลป์แห่งชาติ รัชดา ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารหอศิลป์แห่งชาติ รัชดา วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารหอศิลป์แห่งชาติ รัชดา โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ หอศิลป์แห่งชาติ รัชดา กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM presided over the virtual signing ceremony of an MOU between PTT Public Company Limited and Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group)
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 PM presided over the virtual signing ceremony of an MOU between PTT Public Company Limited and Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group) PM presided over the virtual signing ceremony of an MOU between PTT Public Company Limited and Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group) on EV Development and Manufacturing project in Thailand. May 31, 2021, at 1530hrs, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha presided over the virtual signing ceremony of an MOU between PTT Public Company Limited and Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group) on EV Development and Manufacturing project in Thailand. The partnership aims to set up an end-to-end production platform that provides instant scale to the local EV industry in Thailand, leading the country into a new era of innovative, competitive, and fast-paced growth in electric car manufacturing. Witnessing the signing were the Deputy Prime Minister and Minister of Energy Supattanapong Punmeechaow, Secretary-General to the Prime Minister Distat Hotrakitya, Secretary General of the National Economic and Social Development Council Danucha Pichayanan, Secretary General of the Thailand Board of Investment Duangjai Asawachintachit and PTT’s Chairman Thosaporn Sirisumphand, as well as executives of concerned public and private agencies. The Prime Minister took the opportunity to congratulate signing of the MOU. The Thai Government has placed importance on enhancing EV industry to continue the growth, and has set the industry as one of the S-Curve industries. The aim is to promote Thailand as regional leader and hub in EV manufacturing and export, and to achieve the country’s target for GHG reduction. A National Electric Vehicle Policy Committee has been established, and the target is also set to increase domestic EV production to 30% of the total automotive production by the year 2030, or 700,000 units per year. According to the Prime Minister, the Government commits to create an ecosystem conducive to electric vehicle usage through the collaboration between public and private sectors. He also wished for the success of this partnership between PTT Public Company Limited and Foxconn Technology Group, and expressed confidence that this partnership not only benefits the two organizations, but Thailand as a whole, as it would drive the country into the better future, both in economic, innovative, and environmental aspects. PTT’s Chairman Thosaporn Sirisumphand stated that the collaboration between PTT Public Company Limited and Foxconn Technology Group is aimed to set up an open platform for producing electric vehicles (EV) and key components to serve the EV sector in Thailand. The initial investment is set as US$1 billion, with the prospect of an investment expansion to US$2 billion in the future.The expansion of EV production will provide the company with an opportunity for business development, and will enhance Thai people’s access to domestically-produced EVs with lower cost and more sustainability. According toMr. Young Liu, Chairman and CEO of Foxconn, with PTT’s development in EV and battery charging infrastructure, Foxconn can contribute its expertise and technology to gradually build a complete and vertically integrated EV industry in Thailand. He expressed belief that through this partnership Thailand will become a leader in the global EV evolution.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42284
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม หารือการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เพื่อหารือการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม ในวันอังคารที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วมฯ ในการนี้ ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายกองทุนยุติธรรม การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการทบทวนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนยุติธรรม และระบบการอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง รวมทั้งการกำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชน ในคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้หารือร่วมกันในการพิจารณาการปรับปรุงสัญญาจ้างทนายความในชั้นบังคับคดี แบบรายงานผลการสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน ร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราให้ความช่วยเหลือในการดำเนินคดีจากกองทุนยุติธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔ ตลอดจนร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การจ้างที่ปรึกษา)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย นายพัฒนพงษ์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 800 กล่อง ให้แก่ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ได้แก่ - ร้านครัวป้าแมวตามสั่งในตำนาน (สถานีน้อมเกล้า) อยู่ระหว่างซอยรามคำแหง 140 และ 142 พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/96PNUp8v4xJANNTh8 - ร้านครัวเมืองใต้ (สถานีรามคำแหง) อยู่ในโรงอาหารอาคารนพมาศ ใกล้คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/QAV8E9dhe84biqzv7 - ร้านก๋วยเตี๋ยวเล้งแซ่บ (สถานีรามคำแหง) อยู่ในโรงอาหารสนามยิงปืน การกีฬาแห่งประเทศไทย พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/GbdQ5R2Rz62xqU9DA - ร้านแรดแซ่บนัว (สถานีมีนบุรี) อยู่บริเวณถนนรามอินทรา ซอยรามอินทรา 80 พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/4thvAaki5JthK7fb6 - ร้านข้าวกับแกง (สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ) อยู่ภายในโรงอาหาร การไฟฟ้านครหลวง เขตมีนบุรี พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/EwEVAay5zoCaMRpr6 ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดี ย้ายที่ทำการกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และเปิดสำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) ใหม่ ที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 กรมบังคับคดี ย้ายที่ทำการกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และเปิดสำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) ใหม่ ที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีย้ายที่ทำการกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และเปิดสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) ใหม่ที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า กรมบังคับคดี ได้ย้ายที่ทำการกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ไปเปิดให้บริการ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชั้น ๒ และ ชั้น ๘ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และเปิดสำนักงาน บังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) ให้บริการการบังคับคดีแพ่งในเขตอำนาจของศาลแขวงดอนเมือง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชั้น ๘ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียที่ประสงค์ติดต่อราชการกับกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) สามารถติดต่อได้ที่ทำการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผู้อำนวยการกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘ ๑๙๐๑ ๖๘๕๔ และผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๑ (สาขาย่อย) ๐๘ ๓๒๖๔ ๗๔๕๒ หรือ สายด่วนกรมบังคับคดี ๑๑๑๑ กด ๗๙
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการปฐมนิเทศสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการปฐมนิเทศสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ การปฐมนิเทศสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ (ผ่านระบบออนไลน์) วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการปฐมนิเทศสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ (ผ่านระบบออนไลน์) โดยมีนายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เข้ารับทุนเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME มีเฮ! ก.อุต ฯ ขยายเวลาพักชำระหนี้ต่อถึงสิ้นปี’64
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 SMEมีเฮ!ก.อุตฯขยายเวลาพักชำระหนี้ต่อถึงสิ้นปี’64 กระทรวงอุตสาหกรรม ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ฝ่าวิกฤต COVID-19 ระลอกใหม่ ผ่านกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยการพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด ไม่เกิน 6 เดือนและไม่เกินสิ้นปี 2564 ผ่าน SME D BANK เริ่มตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564 นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐเปิดเผยว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่นี้ได้เข้ามาซ้ำเติมผลกระทบ จากสถานการณ์ในรอบแรกที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี(SME)ส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับสู่ภาวะปกติได้และสร้างความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐกระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งและสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID 19)ไปแล้ว2ครั้งด้วยการพักชำระหนี้และให้บริการความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในเรื่องการตลาดการเงินและระบบบัญชีตั้งแต่วันที่16เมษายน2563โดยมีผู้เข้าร่วมในโครงการดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น3,300ราย แต่เนื่องจากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)ยังคง ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่องดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาภาระการชำระหนี้ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงภาววะวิกฤตรวมทั้งยังเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs)คณะกรรมการบริหารกองทุนฯจึงมีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่17พฤษภาคม2564เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯที่ยังไม่ด้อยคุณภาพ(Non NPL)หรือไม่อยู่ในระหว่างที่ถูกกองทุนดำเนินคดีซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)ให้สามารถยื่นความประสงค์ขอพักชำระหนี้เงินต้นกับทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME D Bank)โดยสามารถพักชำระหนี้ได้สูงสุดไม่เกิน6เดือนและไม่เกินวันที่31ธันวาคม2564 “จากภาระที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ทางกองทุนฯมองเห็นความพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดกำลังของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาโดยตลอดจึงต้องการเป็นอีกพลังช่วยสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถก้าวผ่านวิกฤตไปได้อีกครั้งโดยออกมาตรการช่วยเหลือระยะที่3นี้เป็นมาตรการต่อเนื่องจากการให้ความช่วยเหลือก่อนหน้าซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายเล็กที่ประสบปัญหาจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID19)และคาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานได้ไปจนถึงสิ้นปีนี้”นายกอบชัยฯกล่าว ทั้งนี้ลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯสามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการพักชำระเงินต้นพร้อมขอรับการส่งเสริมพัฒนาในด้านต่างๆอาทิการตลาดการผลิตการเงินและบัญชีได้ที่SME D BANKทุกสาขาทั่วประเทศในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ได้ตั้งแต่วันที่วันที่1มิถุนายน2564ถึงวันที่31กรกฎาคม2564และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่Call Centerโทร1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมติดตามความก้าวหน้าการเตรียมการเปิดให้บริการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ประชุมติดตามความก้าวหน้าการเตรียมการเปิดให้บริการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนมาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 3/2564 (ผ่านระบบ Zoom) เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เวลา 14.30 น. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนมาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 3/2564 (ผ่านระบบ Zoom) เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เวลา 14.30 น. โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานและผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และคณะกรรมการฯ ร่วมประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ดำเนินการก่อสร้างระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเดินทางของระบบรางของประเทศแล้วเสร็จ และเตรียมการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการ (Soft Opening) ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 เพื่อให้การเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการฯ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด จึงได้เร่งรัดการดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อมด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง ประกอบด้วย 1.1 ปรับลดจำนวนรถไฟเข้าสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยวางแผนปรับลดขบวนรถไฟ เหลือเพียง 22 ขบวน โดยมีแผนจะเริ่มปรับตารางเดินรถในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เพื่อให้ผู้โดยสาร ได้มีการปรับพฤติกรรมในการเดินทาง ทั้งนี้ ขบวนรถไฟที่ให้บริการในระยะนี้ ยังคงจะวิ่งให้บริการบนทางรถไฟเดิม และในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 จะใช้ตารางเดินรถเช่นเดียวกับเดือนสิงหาคม แต่จะวิ่งให้บริการบนโครงสร้างยกระดับ สำหรับรถไฟเส้นทางสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ 1.2 ปรับเส้นทางรถโดยสารประจำทาง เพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง โดยกรมการขนส่งทางบก และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้ปรับปรุงเส้นทางรถโดยสารประจำทางเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางกับสถานีหลัก โดยจะปรับปรุงเส้นทางให้แล้วเสร็จก่อนการเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในเดือนกรกฎาคม 2564 2. การเตรียมความพร้อมด้านสถานีของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ซึ่งได้ดำเนินการประกวดราคาหาผู้รับจ้างเพื่อปรับปรุงสถานีตลิ่งชัน บางบำหรุ บางซ่อน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุมัติ ออกประกวดราคา ซึ่งคาดว่าจะได้ผู้รับจ้างภายในเดือนมิถุนายน 2564 และการจ้างบริการเตรียมความพร้อมการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี ประกอบด้วย งานจ้างทำความสะอาดและกำจัดขยะ งานจ้างบริการรักษาความปลอดภัยและจราจร งานจ้างบริหารจัดการงานอาคารและสถานที่บริเวณรถไฟฟ้าสายสีแดง งานจ้างบริการรักษาความปลอดภัยและทำความสะอาดอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดงและทำความสะอาดขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง งานจ้างติดตั้งระบบจัดการจราจรภายในบริเวณลานจอดรถสถานีกลางบางซื่อ และจัดเก็บค่าบริการจอดรถ 3. การเตรียมความพร้อมด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub) โดย รฟท. ได้ดำเนินการจัดทำแผนการปรับปรุงจุดเชื่อมต่อผู้โดยสาร และจุดเชื่อมต่อสินค้า โดยแบ่งแผนการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะเร่งด่วน ปรับปรุงพื้นที่ทางเข้าสถานีรถไฟรังสิตทั้งทางฝั่งตะวันออก (รังสิต) และฝั่งตะวันตก (ปทุมธานี) ให้แล้วเสร็จก่อนการเปิดให้บริการ Soft Opening ในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้ และปรับปรุงพื้นที่จุดจอดรถอโศกให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2564 ก่อนการเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงอย่างเป็นทางการ ระยะกลาง ปรับปรุงสถานีตลิ่งชัน เพื่อรองรับการหยุดขบวนของรถไฟทางไกลเพื่อเชื่อมต่อระบบเข้าสู่รถไฟฟ้าชานเมือง โดยคาดกว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2565 ระยะยาว พัฒนาสถานีเชียงรากน้อยและสถานีวัดสุวรรณ โดยออกแบบและก่อสร้างเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการขนถ่ายสินค้า และการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าอย่างครบวงจร โดยคาดว่าจะออกแบบแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2565 และก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2566 รวมถึงการออกแบบและก่อสร้างสะพานกลับรถบริเวณทิศใต้ของสถานีรังสิต เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะสามารถเข้าถึงสถานีรังสิตทั้ง 2 ฝั่งได้โดยสะดวก โดยมีแผนการดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2566 เช่นเดียวกัน 4. การเตรียมความพร้อมด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กำหนดอัตราค่าโดยสารของโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ให้เหมาะสม สอดคล้องตามต้นทุน โดยไม่เป็นภาระต่อค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และไม่เป็นภาระทางการเงินของ รฟท. โดย รฟท. ได้ประมาณการต้นทุน ปริมาณผู้โดยสาร และความถี่การเดินรถ เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารตามระยะทางให้มีความเหมาะสม รวมถึง พิจารณาแนวทางการปรับลดค่าใช้จ่ายและการส่งเสริมการเดินทางเพื่อเพิ่มรายได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อให้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารรองรับตามมาตรฐานเทคโนโลยีบัตร EMV (Europay Mastercard and Visa) โดยให้จัดทำข้อมูลกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน งบประมาณที่คาดว่าจะใช้ รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้สามารถเปิดใช้บริการได้ภายในปลายปี 2564และยังได้พิจารณาร่างข้อกำหนดการพัฒนาระบบบัตรโดยสาร หรือระบบตั๋วโดยสาร ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเสนอแนะและความเห็นเพิ่มเติม ก่อนเสนอกระทรวงคมนาคมต่อไป และยังได้กำหนดแนวทางการจัดเก็บอัตราค่าแรกเข้าในการเดินทางเชื่อมต่อ โดยการจัดเก็บค่าแรกเข้าแบบไม่ซ้ำซ้อน ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและรถไฟชานเมืองสายสีแดง มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม ประกอบด้วย เงื่อนไขการจัดเก็บค่าแรกเข้า กรณีที่ผู้โดยสารเปลี่ยนถ่ายระบบรวมถึงเงื่อนไขการจัดแบ่งและชดเชยค่าแรกเข้า ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายระบบ และกรณีเปลี่ยนถ่ายกับระบบรถไฟฟ้าที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของ รฟม. โดยการเดินทางเชื่อมระหว่างรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และรถไฟฟ้าสายสีชมพูในอนาคต อยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดวิธีการแบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายร่วมกันก่อนเสนอต่อกระทรวงคมนาคมต่อไป 5. ด้านการสื่อสารสาธารณะ รฟท.ได้เปิดช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารการดำเนินงาน และรับฟังความคิดของประชาชนผู้ใช้บริการ โดยประชาชนผู้ใช้บริการสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารความก้าวหน้าการดำเนินงานและแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ได้ทาง Facebook Fanpage : Bang sue Grand Station เพื่อกระทรวงฯ และ รฟท. จะได้นำมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ดีที่สุดต่อไป นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยว่า ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มขึ้นอีก 2 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการฯ ด้านการพิจารณาดำเนินการขอพระราชทานชื่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และพิธีการที่เกี่ยวข้อง และคณะอนุกรรมการฯ ด้านการพัฒนาสถานีกรุงเทพ (สถานีหัวลำโพง) และพื้นที่ช่วงสถานีกลางบางซื่อ-สถานีกรุงเทพ เพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ให้สามารถดำเนินการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 95 เขตการเดินรถที่ 1 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 16 เขตการเดินรถที่ 8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ พิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42268
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การชำระหนี้ของประเทศต้อง “ครบถ้วน ถูกต้อง ตรงเวลา”
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 การชำระหนี้ของประเทศต้อง “ครบถ้วน ถูกต้อง ตรงเวลา” ณ สิ้นเดือน เม.ย.2564 มีจำนวน 8.59 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.91 ของ GDP ซึ่งหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมากู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณกู้เพื่อโครงการลงทุนของภาครัฐ ค้ำประกันเงินกู้ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะว่า ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 มีจำนวน 8.59 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.91 ของ GDP ซึ่งหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมากู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณกู้เพื่อโครงการลงทุนของภาครัฐ ค้ำประกันเงินกู้ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมีการตรากฎหมายพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ ในแต่ละปี สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบชำระหนี้ให้กับกระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจเพื่อนำไปชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระ โดยเมื่อได้รับงบชำระหนี้แล้ว สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้นำไปชำระหนี้โดยยึดหลัก “ครบถ้วน ถูกต้อง ตรงเวลา” อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในแต่ละปี จะต้องได้รับการจัดสรรและชำระอย่างครบถ้วน ไม่สามารถลด ตัดทอน หรือโยกงบดังกล่าวไปใช้ในการอื่นได้ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเสียความน่าเชื่อถือจากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งหากผิดนัดชำระหนี้แล้ว จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน ในส่วนของการจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้นั้น คณะกรรมการนโยบายวินัยการเงินการคลังของรัฐได้มีการประกาศเมื่อปี 2561 กำหนดสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการชำระหนี้ โดยต้องได้รับการจัดสรรไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวได้มีการศึกษาแล้วว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมในการบริหารหนี้ของประเทศ อย่างไรก็ดี ในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องระดมเงินเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 จากทุกแหล่งเงินเพื่อเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งรัฐบาลเห็นว่างบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้รับจัดสรรและอยู่ระหว่างรอการชำระหนี้ตามงวดจำนวน 35,303 ล้านบาท นั้น เป็นวงเงินที่สามารถนำไปให้ความช่วยเหลือได้มาก อีกทั้ง กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างหนี้แทนการชำระคืนหนี้ได้ รัฐบาลจึงขอให้กระทรวงการคลังโอนงบดังกล่าวเข้างบกลางฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชน ซึ่งการโอนงบชำระคืนต้นเงินกู้ดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระต้นเงินกู้ต่ำกว่าที่คณะกรรมการประกาศไว้เดิม ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายวินัยการเงินการคลังของรัฐจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (4) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดสัดส่วนดังกล่าวใหม่ให้สอดคล้องข้อเท็จจริงภายใต้สถานการณ์ที่มีอยู่ เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.5 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความเห็นว่าเมื่อสภาวะการเงินการคลังของประเทศกลับมาเป็นปกติ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเสนอให้คณะกรรมการปรับสัดส่วนกลับมาเท่าเดิมในโอกาสแรก ต่อมาเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐจึงได้กำหนดสัดส่วนงบประมาณ เพื่อการชำระต้นเงินกู้อยู่ที่ร้อยละ 2.5 แต่ไม่เกินร้อยละ 4.0 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้รับงบชำระคืนต้นเงินกู้ 100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐที่คณะกรรมการกำหนดที่ร้อยละ 2.5-4.0 โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงการรักษาวินัยในเรื่องการชำระหนี้ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของประเทศ ความมั่นคง และการมีเสถียรภาพทางการคลังเป็นสำคัญ สำนักบริหารการชำระหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5602
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบเงินสนับสนุนรวม 9 แสนบาท แก่ รพ.วชิรพยาบาล และ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบ และจัดหาเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่น
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ธอส. มอบเงินสนับสนุนรวม 9 แสนบาท แก่ รพ.วชิรพยาบาล และ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบ และจัดหาเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่น ธอส.ส่งมอบความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ผ่านโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ สู้ภัย COVID-19 มอบเงินสนับสนุนรวม 9 แสนบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่งมอบความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ผ่านโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ สู้ภัย COVID-19 มอบเงินสนับสนุนรวม 9 แสนบาท แบ่งเป็น 1.มอบเงินสนับสนุนจำนวน 7 แสนบาท ให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล สำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก “เตียงต่อชีวิต” ผู้ป่วย COVID-19 และ 2.มอบเงินสนับสนุนจำนวน 2 แสนบาท ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สำหรับการจัดหาเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่น จำนวน 1 เครื่อง เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 รวมถึงส่งมอบน้ำดื่มของธนาคารให้ทั้ง 2 โรงพยาบาลรวม 15,000 ขวด และหน้ากากอนามัยและสายคล้องเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาใช้บริการและผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งนับเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ที่ยังคงเกิดคลัสเตอร์การระบาดใหม่ และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บุคคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลต้องรับหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยอย่างหนัก เช่นเดียวกับโรงพยาบาลวชิรพยาบาลและโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญในการรับส่งต่อตลอดจนดูแลให้การรักษาแก่ผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ อาทิ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สำหรับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพอย่างเร่งด่วน ทำให้ในวันนี้ (วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564) คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ นำโดย นายยุทธนา หยิมการุณ ประธานกรรมการ ธอส. ดร.กิริฎา เภาพิจิตร กรรมการธนาคาร ธอส. ในฐานะประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CG&CSR) จึงได้นำคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ร่วมส่งมอบความช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ผ่านโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.มอบเงินสนับสนุนจำนวน 700,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เพื่อจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก “เตียงต่อชีวิต” ผู้ป่วย COVID-19 พร้อมน้ำดื่มธนาคารจำนวน 10,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยและสายคล้องที่จัดทำโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคาร โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล เป็นผู้รับมอบ 2.มอบเงินสนับสนุน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สำหรับการจัดหาเครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่น จำนวน 1 เครื่อง สำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยลดอาการปอดอักเสบรุนแรงที่เกิดจากภูมิคุ้มกันต่อต้านไวรัส COVID-19 มากเกินไป พร้อมน้ำดื่มธนาคารจำนวน 5,000 ขวด รวมถึงหน้ากากอนามัยและสายคล้องที่จัดทำโดยพนักงานจิตอาสาของธนาคาร โดยมี พลตรีวิเชษฐ์ รัตนจรัสโรจน์ หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นผู้รับมอบ สำหรับกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัยโควิด-19 ที่ ธอส. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ 1,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ กทม. กับกิจกรรม “เรามีเรา” และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องจำนวน 10,420 ชุด การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และส่งมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องรวมถึงน้ำดื่มของธนาคารจำนวน 5,000 ขวด ส่งมอบน้ำดื่มธนาคาร จำนวน 20,000 ขวด หน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง ให้แก่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 15,600 ขวด หน้ากากอนามัยและสายคล้อง พร้อมด้วยอาหารจำนวน 500 กล่อง ให้แก่สถาบันบำราศนราดูร มอบเก้าอี้จำนวน 500 ตัว ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มารับบริการเป็นจำนวนมาก ส่งมอบถุงยังชีพ ธอส. ให้แก่ เขตห้วยขวาง เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนวัดอุทัยธาราม ซึ่งเป็นชุมชนใกล้ธนาคาร รวมถึงสนับสนุนน้ำดื่มและอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 พิธีถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมในพิธี ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมฯ ดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564 #prindustrymoi
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ รับมอบหน้ากากอนามัย N95 จากบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ก.อุตฯ รับมอบหน้ากากอนามัย N95 จากบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบหน้ากากอนามัย N95 จากบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (1 มิถุนายน 2564 ) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบหน้ากากอนามัย N95 จากบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำไปแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์ตามสมควร ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวฯ เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. ตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีน ม.รังสิต
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 ปลัดสธ. ตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีน ม.รังสิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดทดสอบระบบวันแรก ตั้งเป้าฉีดให้คณาจารย์ บุคลากร เจ้าหน้าที่ นักศึกษา และประชาชนที่อาศัยในชุมชนโดยรอบ วันละ 1,000 คน ก่อนเปิดภาคเรียน 23 ส.ค.นี้ วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) ที่ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 อาคารนันทนาการ มหาวิทยาลัยรังสิตนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัยนายแพทย์สุรินทร์ สืบซึ้ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 มหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยรังสิตให้การต้อนรับ โดยนายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า วันนี้ได้มาตรวจเยี่ยมการทดสอบระบบบริการฉีดวัคซีนของมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งให้บริการฉีดวัคซีนวันแรก กลุ่มเป้าหมายหลักคือ คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา เพื่อให้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มก่อนเปิดภาคเรียนในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ และฉีดให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบของมหาวิทยาลัย ตั้งเป้าฉีดให้ได้ 1,000 คน ต่อวัน ก่อนให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก มารับการฉีดได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ครอบคลุมประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า จากการเยี่ยมชมพบว่า ระบบมีความพร้อม ได้มาตรฐาน ให้บริการโดยบุคลากรและทรัพยากรของมหาวิทยาลัย มีระบบการลงทะเบียนโดยบุคลากรและนักศึกษาจากวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี ให้บริการโดยบุคลากรทางการแพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ รวมถึงทีมจิตอาสาและทีมคอลเซนเตอร์ ตอบคำถามเกี่ยวกับวัคซีนและการให้บริการ ทำให้การไหลเวียนของผู้ที่เข้ารับบริการมีความคล่องตัวเป็นที่น่าพอใจ “เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสติดเชื้อได้ วัคซีนช่วยลดความรุนแรง ลดการเสียชีวิต ขอให้ยังคงป้องกันตนเองDMHTTเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือ วัดอุณหภูมิร่างกาย สแกนไทยชนะเมื่อเข้าใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว *****************************1 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 มิถุนายน 2564
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 มิถุนายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล .http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (1 มิถุนายน 2564) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 2558) 2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2558) 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำบทบัญญัติภายใต้มาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับ พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 6. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศณ เดือนเมษายน 2564 8. เรื่อง รายงานผลการประเมินองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 9. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภา ผู้แทนราษฎร 10. เรื่อง การประกาศวันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติให้เป็นวันสำคัญของชาติ 11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาและขยายสื่อดีสำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ของคณะกรรมาธิการ การพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา 12. เรื่อง สรุปผลการพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมต่อข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกรณีการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 13. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 14. เรื่อง ขออนุมัติการขอรับการอุดหนุนเงินทุนหมุนเวียนกรมท่าอากาศยานในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบของสายการบินจากสถานการณ์การ แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระยะที่ 3 15. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความปลอดภัยทางถนนและคมนาคมของคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร 16. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนเมษายน 2564 17. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 18. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุม ครั้งที่ 17/2564 และครั้งที่ 18/2564 ต่างประเทศ 19. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 25 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7 และ การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง 20. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมทางไกล 21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกองทัพสิงคโปร์กับกองทัพไทย ว่าด้วยการส่งชุดปฏิบัติงานไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ศูนย์ข่าวสารการต่อต้านการก่อการร้ายประจำ ภูมิภาค ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ 22. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัยฉบับปรับปรุง ภายใต้องค์การการค้าโลก 23. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ พ.ศ. 2564 ในการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติเรื่องเอชไอวีและเอดส์ พ.ศ. 2564 24. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 6 25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2564 และร่างแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้อง แต่งตั้ง 27. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ 32. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ 33. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย 34. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง 36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 37. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 2558) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ 1. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ มท. แก้ไขบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. ให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างประกาศ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 2558 เพื่อแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินและเพิ่มเติมบัญชีท้ายของกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิดังกล่าว โดยแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) บริเวณหมายเลข 2.3 โดยยกเว้นให้สามารถดำเนินการหรือประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 11 (3) การทำน้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลทรายขาว และ(4) การทำน้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลทรายขาวให้บริสุทธิ์ โรงงานลำดับที่ 88 (2) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนซึ่งไม่ใช่ถ่านหินหรือนิวเคลียร์ในการผลิต และโรงงานลำดับที่ 102 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตหรือจำหน่ายไอน้ำ (Steam Generating) ได้ในอาคารที่มีความสูงเกิน 12 เมตร และเพิ่มบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 2558 โดยให้สามารถดำเนินการหรือประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 11 (3) และ (4) โรงงานลำดับที่ 88 (2) ซึ่งไม่ใช้ถ่านหินหรือนิวเคลียร์ในการผลิต และโรงงานลำดับที่ 102 ในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) เฉพาะบริเวณหมายเลข 2.3 ทั้งนี้ เพื่อให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2558) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ 1. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ มท. แก้ไขบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. ให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างประกาศ 1. แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2558 เพื่อกำหนดให้ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ข้อ 8 (1) ให้ดำเนินการหรือประกอบกิจการได้ในอาคารที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่หรืออาคารสูง ยกเว้นในท้องที่ตำบลหัวนา อำเภอเขมราฐ และตำบลนาดี อำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดพื้นที่แหล่งหินอุตสาหกรรม ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 24 แต่ไม่หมายความรวมถึงโครงสร้างสำหรับใช้ในการรับส่งสัญญาณวิทยุ สัญญาณโทรทัศน์ หรือสัญญาณสื่อสารทุกชนิด 2. ยกเลิกความในหมายเหตุ โรงงานลำดับที่ 3 (2) ของบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานีฯ ทั้งนี้ เพื่อกำหนดให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ซึ่ง มท. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำบทบัญญัติภายใต้มาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำบทบัญญัติภายใต้มาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. เสนอว่า 1. โดยที่พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 30 บัญญัติว่า ในระยะเริ่มแรก มิให้นำส่วนที่ 3 การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 44/1 มาตรา 44/2 มาตรา 44/3 มาตรา 44/4 และมาตรา 44/5 และส่วนที่ 4 การกำกับการประกอบกิจการ มาตรา 45 และมาตรา 46 ในหมวด 2 การกำกับดูแลการประกอบกิจการ และมาตรา 65 (1) มาตรา 78 มาตรา 83 วรรคสอง และมาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 16 มาตรา 27 มาตรา 28 และมาตรา 29 มาใช้บังคับ จนกว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้นำบทบัญญัตินั้นมาใช้บังคับ โดยก่อนเสนอให้ตรา พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้ กสทช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามความเหมาะสมและนำข้อมูลที่ได้รับมาประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งให้ กสทช. จัดทำแผนการดำเนินการ และกำหนดกรอบระยะเวลาในการตราพระราชกฤษฎีกาอย่างชัดเจน และให้มีการรายงานผลการเตรียมความพร้อมให้คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาทราบอย่างน้อยทุกหกเดือนและเปิดเผยให้ประชาชนทราบด้วย 2. กสทช. ได้จัดทำแผนการดำเนินการ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาให้มีการเสนอตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 และรายงานผลการเตรียมความพร้อมให้คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาทราบแล้ว และในการจัดทำแผนการดำเนินการดังกล่าว กสทช. ได้คำนึงถึงความพร้อมทางด้านต่าง ๆ ในการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ดังนี้ 2.1 ความพร้อมทางด้านกฎหมาย เช่น แก้ไขข้อจำกัดการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่การยกเลิกการออกใบอนุญาตประกอบกิจการ การโอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่โดยวิธีการอื่นนอกจากวิธีประมูล เป็นต้น 2.2 ความพร้อมทางด้านเทคนิค เช่น แก้ไขปัญหาการรบกวนระหว่างผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในแต่ละกิจการ โดยแบ่งช่วงของคลื่นความถี่อย่างชัดเจน (Band Partitioning) การดำเนินการแก้ไขแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ในส่วนของภาคผนวก ก. และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ ให้สามารถประกอบกิจการหรือให้บริการข้ามกิจการได้ เป็นต้น 2.3 ความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ เช่น คำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับจากการหลอมรวมในมิติคลื่นความถี่ อันจะส่งผลทำให้ผู้ให้บริการสามารถพัฒนาหรือผลิตการให้บริการใหม่ ๆ ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน อันเป็นการกระตุ้นการบริโภคของประชาชนและทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น 3. สำนักงาน กสทช. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตราพระราชกฤษฎีกาภายใต้ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ในระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2564 โดยจัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ณ อาคารหอประชุม ชั้น 2 สำนักงาน กสทช. และถ่ายทอดสดการประชุมผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กสทช. ด้วยแล้ว 4. ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบการเสนอให้มีการตราร่างพระราชกฤษฎีกาฯ และเห็นชอบสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตราร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ดังกล่าว 5. บัดนี้ กสทช. มีความพร้อมที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติตามข้อ 1 แล้ว จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำบทบัญญัติภายใต้มาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับ พ.ศ. …. เพื่อให้การใช้คลื่นความถี่เกิดประโยชน์สูงสุด และสอดคล้องกับเทคโนโลยีการสื่อสารโดยใช้คลื่นความถี่ที่ได้พัฒนาขึ้น 6. ภายหลังร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้ว กสทช. จะนำหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) การแก้ไขแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ (ภาคผนวก ก. และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ) (2) หลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่โดยวิธีอื่นนอกเหนือจากวิธีประมูล (3) หลักเกณฑ์และวิธีการขออนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคมเพิ่มเติมจากการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต และ (4) หลักเกณฑ์และวิธีการโอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา ให้นำบทบัญญัติส่วนที่ 3 การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 44/1 มาตรา 44/2 มาตรา 44/3 มาตรา 44/4 และมาตรา 44/5และส่วนที่ 4 การกำกับการประกอบกิจการ มาตรา 45 และมาตรา 46 ในหมวด 2 การกำกับดูแลการประกอบกิจการ และมาตรา 65 (1) มาตรา 78 มาตรา 83 วรรคสอง และมาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 และมาตรา 16 มาตรา 27 มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับ 4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. ของกระทรวงศึกษาธิการ รวม 2 ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับดังกล่าวได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 4. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค) สำหรับการดำเนินการเมื่อมีการจัดตั้งกรมส่งเสริมการเรียนรู้แล้ว ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และต่อมาได้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (25 พฤษภาคม 2564) ในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดให้วิชาชีพครู เป็น “วิชาชีพชั้นสูง” แก้ไขคำว่า “หัวหน้าสถานศึกษา” เป็น “ผู้บริหารสถานศึกษา” และแก้ไขคำว่า “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาในอนาคต สำหรับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แก้ไขถ้อยคำร่างพระราชบัญญัติให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี (25 พฤษภาคม 2564) โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวสอดคล้องกับหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 จ. ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ซึ่งตามมาตรา 270 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยที่ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. ได้มีการยกสถานะสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะต้องดำเนินการขอจัดตั้งส่วนราชการดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวง และสำนักงาน ก.พ.ร. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีหลักการสำคัญที่จะทำให้การดำเนินการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้บรรลุผล และเป็นกฎหมายปฏิรูปการศึกษาที่มีความสอดคล้องกับหลักการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จึงเห็นควรเสนอร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ …. ไปพร้อมกัน กระทรวงศึกษาธิการจึงจำเป็นต้องขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วนงานของรัฐ) สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. 1.1 หมวด 1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการศึกษา โดยมุ่งเน้นในการดำเนินการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามช่วงวัย ความรู้ทางวิชาการหรือทักษะเฉพาะทาง ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ และกระตุ้นให้บุคคลทุกช่วงวัยแสวงหาความรู้เพิ่มเติมหรือความรู้อื่นใดที่ตนสนใจ กำหนดหน้าที่หรือสิทธิของรัฐ เอกชนและบุคคลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการจัดการศึกษา กำหนดพื้นฐานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาของรัฐที่มุ่งเน้นความเป็นอิสระและคล่องตัวตามความพร้อมและศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาของเอกชน แนวทางการอุดหนุนภาคเอกชนในการจัดการศึกษาและการเข้าร่วมเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ กำหนดให้มีการรวมตัวของเอกชนในระดับจังหวัดเพื่อดำเนินการจัดการศึกษาและการจัดทำร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ 1.2 หมวด 2 สถานศึกษา กำหนดระบบนิเวศของสถานศึกษาของรัฐ ได้แก่ สภาพและสิ่งแวดล้อมและสภาวะที่ปลอดภัย มีสถานที่ อุปกรณ์ในการศึกษา ครูและบุคลากรอื่น กำหนดหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาและสถานศึกษาของรัฐ และจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต กำหนดวิธีการรับผู้เรียนในสถานศึกษาของรัฐให้มีความหลากหลาย กำหนดให้การบริหารและจัดการศึกษาของสถานศึกษาของรัฐมีความเป็นอิสระ และกำหนดให้จัดสรรงบประมาณให้แก่สถานศึกษาของรัฐโดยให้จัดสรรให้เป็นเงินอุดหนุนทั่วไปที่ไม่กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดรายได้ของสถานศึกษาของรัฐ และการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา 1.3 หมวด 3 ครูและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา กำหนดให้ปรับเปลี่ยนบทบาทของครู “ให้เป็นผู้อำนวยการให้เกิดการเรียนรู้” กำหนดคุณสมบัติทั่วไปและคุณลักษณะเฉพาะครูให้สอดคล้องการจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนแต่ละช่วงวัย กำหนดให้มีการศึกษาและวิจัยหาต้นแบบ กระบวนการและวิธีการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนในการผลิตครูซึ่งจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตลอดทั้งวิธีการในการพัฒนาศักยภาพครูให้สูงขึ้นและทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กำหนดให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูที่มีความยืดหยุ่น และเปิดกว้างเพื่อเอื้อให้บุคคลที่ไม่ได้จบการศึกษาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ กำหนดให้มีการพัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรอื่นทางการศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถและสมรรถนะเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำหนดให้มีระบบการติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลครูและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา 1.4 หมวด 4 การจัดการศึกษา กำหนดระบบการจัดการศึกษาสอดคล้องตามความต้องการหรือวัตถุประสงค์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และกำหนดให้มีระบบการเทียบเคียงหรือเทียบโอนผลการเรียน ทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ หรือสมรรถนะ รวมทั้งให้รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน หรือกระตุ้นให้เกิดการศึกษาเพื่อการพัฒนาตนเองและการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต กำหนดให้มีสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้เป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการมีหน้าที่และอำนาจในการสนับสนุนด้านวิชาการให้กับสถานศึกษาทุกสังกัด กำหนดแนวทางในการจัดทำหลักสูตรต้นแบบ มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก กำหนดการประเมินการเรียนรู้ให้เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ต่อเป้าหมายของผู้เรียน 1.5 หมวด 5 หน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ กำหนดหลักการการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการ โดยกำหนดให้การบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการต้องไม่มีลักษณะที่ทำให้การจัดการศึกษาถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ โดยไม่ต่อเนื่องหรือบูรณาการกัน และไม่ทำให้สถานศึกษาขาดอิสระในการจัดการศึกษา กำหนดให้กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่จัดการศึกษา หรือเอกชนซึ่งมีสิทธิในการจัดการศึกษา ต้องดำเนินการจัดการศึกษาให้ได้ผลตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งต้องผ่านกระบวนการของการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดได้ และกำหนดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือการบริหารจัดการข้อมูลสนเทศทางการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา 1.6 หมวด 6 แผนการศึกษาแห่งชาติและทรัพยากรเพื่อการศึกษา กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ โดยกำหนดกรอบสาระและแนวทางการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ และให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของแผนการศึกษาแห่งชาติทุก 5 ปี กำหนดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนการศึกษาแห่งชาติรายปีเป็นระยะเวลาทุก 4 ปี เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำคำของบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติทำหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามแผนการศึกษาแห่งชาติ และจัดทำรายงานสรุปผลให้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ และให้เสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา และเปิดเผยให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป 1.7 หมวด 7 คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ โดยมีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญในการเสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรี การให้ความเห็นชอบร่างแผนการศึกษาแห่งชาติเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และจัดให้มีกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึง กำหนดมาตรการที่จะให้หน่วยงานของรัฐชี้ชวน ส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน และกำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติเป็นส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการ และดำเนินการเพื่อให้คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติบรรลุภารกิจและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ตลอดทั้งอำนวยความสะดวก ประสานงาน ให้ความร่วมมือ ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ 2. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. 2.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาบุคคลให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา รู้จักสิทธิควบคู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ 2.2 กำหนดรูปแบบการส่งเสริมการเรียนออกเป็นสามรูปแบบ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับและกำหนดให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้มีหน้าที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทั้ง 3 รูปแบบ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจประกาศกำหนดให้มีการส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน 2.3 กำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้บุคคลสามารถเรียนรู้ และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ต้องดำเนินการจัด ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต และกำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพ ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามความถนัดของตนเอง การประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม รวมทั้งกำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิ เพื่อเป็นการจัดการเรียนรู้ ให้แก่ผู้ซึ่งอยู่ในวัยเรียนแต่ไม่ได้รับการศึกษาในโรงเรียน ให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2.4 กำหนดให้หน่วยจัดการเรียนรู้มีอำนาจรับรองคุณวุฒิให้แก่ผู้เรียนเมื่อสำเร็จการศึกษา โดยออกเป็นประกาศนียบัตร วุฒิบัตร หรือหนังสือรับรองความรู้ นอกจากนี้ กำหนดให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ต้องจัดให้มีระบบการเทียบระดับการศึกษา เทียบเคียง หรือเทียบโอนผลการเรียน ทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ หรือสมรรถนะ 2.5 กำหนดหน้าที่และอำนาจของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ให้ต้องจัดให้มีส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาหลักสูตร โปรแกรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้ จัดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ทุกรูปแบบ 2.6 กำหนดให้มีสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเพื่อกำกับดูแล ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในระดับอำเภอ ศูนย์การเรียนรู้ระดับตำบล และศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ และกำหนดให้มีหน่วยส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเพื่อกำกับ ดูแล ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์การเรียนรู้ระดับตำบล และศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ เกี่ยวกับด้านวิชาการ เทคโนโลยีที่จำเป็นในการส่งเสริมการเรียนรู้ ให้เป็นไปตามแผนการส่งเสริมการเรียนรู้ของจังหวัด 2.7 กำหนดให้เปลี่ยนสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งเดิมสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้โดยให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นกรมในกระทรวงศึกษาธิการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการและกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 2.8 แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการโอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ และภาระผูกพัน รวมทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างและอัตรากำลัง เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งเดิมสังกัดในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ และให้ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง แล้วแต่กรณี ต่อไปจนกว่าจะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น และให้มีสิทธิได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะ และประโยชน์ตอบแทนอื่นไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่เดิม 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ตช. เสนอว่า 1. โดยที่มาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 บัญญัติให้ผู้ขับขี่ต้องขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง และเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งไว้ จะกำหนดอัตราความเร็วขั้นสูงหรือขั้นต่ำก็ได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราความเร็วที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ การขับรถโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงจะเป็นความผิดตามมาตรา 152 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2524) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 6ฯ ตราขึ้นเพื่อกำหนดอัตราความเร็วแบ่งตามลักษณะประเภทรถและตามพื้นที่นั้นได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 2. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มีนาคม 2561 จึงเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขการกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางให้มีความเหมาะสมกับสภาพการจราจรและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านพื้นที่ ลักษณะทางเดินรถและประเภทของยานพาหนะ ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้ทาง เพื่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยในการจราจรทางบก จึงได้ยกร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ขึ้น 3. ในการประชุมคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ครั้งที่ 2/2562 วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2562 ได้พิจารณาร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 (การกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ ) โดยมีกระทรวงคมนาคม (คค.) กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ร่วมพิจารณาด้วย และได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของ ตช. ด้วยแล้ว ทั้งนี้ ได้รับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของ ตช. https://royalthaipolice.go.th ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2563 สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2524) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 2. กำหนดนิยามของ “เขตชุมชน” “เกาะกลางถนน” “ทางพิเศษ” และ “เครื่องหมายจราจร” 3. กำหนดความเร็วขั้นสูงสำหรับการขับรถในทางเดินรถ ดังนี้ 3.1 ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตชุมชน (1) รถบรรทุกที่มีน้ำหนักตัวรถเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่ใช้บรรทุกคนโดยสารเกินสิบห้าคน รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียนและรถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 60 กิโลเมตร (2) รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 45 กิโลเมตร 3.2 นอกเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตชุมชน (1) รถบรรทุกที่มีน้ำหนักตัวรถเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่ใช้บรรทุกคนโดยสารเกินสิบห้าคน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร (2) รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน และรถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 70 กิโลเมตร (3) รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 55 กิโลเมตร 3.3 ทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้อย่างน้อยสองช่องเดินรถและมีเกาะกลางถนน (1) รถบรรทุกที่มีน้ำหนักตัวรถเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่ใช้บรรทุกคนโดยสารเกินสิบห้าคน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 90 กิโลเมตร (2) รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน และรถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร (3) รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 65 กิโลเมตร 3.4 ทางเดินรถที่เป็นทางพิเศษ (1) รถบรรทุกที่มีน้ำหนักตัวรถเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่ใช้บรรทุกคนโดยสารเกินสิบห้าคน รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ในกรณีเป็นทางที่จัดสร้างขึ้นในระดับเหนือหรือใต้พื้นดินหรือพื้นน้ำให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร ในกรณีเป็นทางที่จัดสร้างขึ้นในระดับพื้นดินให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 90 กิโลเมตร (2) รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 65 กิโลเมตร 4. ให้หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทางเดินรถนั้น ๆ ดำเนินการจัดทำเครื่องหมายจราจร และมีหน้าที่ควบคุมกำหนดความเร็วในเครื่องหมายจราจรประเภทที่สามารถปรับเปลี่ยน รูปภาพ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ได้ 6. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญจากร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 โดยยังคงยึดหลักการเดิมตามที่ ยธ. เสนอ และ ยธ. แจ้งยืนยันให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้ 1. ขอบเขตการใช้บังคับกฎหมาย (ร่างมาตรา 3) กำหนดให้การใช้ใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา อาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร เครื่องสำอางตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์อื่นใดตามที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้ รวมถึงการนำเข้า การส่งออก การขาย และการโฆษณา ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น เว้นแต่กรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 28 2. บทนิยาม (ร่างมาตรา 4) 2.1 กำหนดนิยามคำว่า “พืชกระท่อม” หมายความว่า พืชซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. 2.2 กำหนดนิยามคำว่า “ใบกระท่อม” หมายความว่า ใบของพืชกระท่อมและให้หมายความรวมถึงสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่สกัดได้จากใบของพืชกระท่อมตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันประกาศกำหนด 3. มาตรารักษาการ (ร่างมาตรา 5) กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ 4. หมวด 1 บททั่วไป (ร่างมาตรา 6 และร่างมาตรา 7) 4.1 กำหนดให้การยื่นคำขอ การอนุญาต การออกใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การสั่งการ และการแจ้ง รวมตลอดทั้งการออกใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้ จะดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนดก็ได้ (ร่างมาตรา 6) 4.2 กำหนดให้ในกรณีที่มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การแจ้ง หรือการออกใบรับแจ้ง หรือการปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือประกาศห้ามมิให้ใช้บทบัญญัติดังกล่าวจนกว่าจะมีการออกกฎกระทรวงหรือประกาศนั้นแล้ว (ร่างมาตรา 7) 5. หมวด 2 การเพาะหรือปลูกพืชกระท่อม การขาย การนำเข้า และการส่งออกใบกระท่อม เพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม (ร่างมาตรา 8 ถึงร่างมาตรา 18) 5.1 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม โดยให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ตามวิถีชุมชนด้วย โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวจะต้องไม่มีผลเป็นการผูกขาดการเพาะหรือปลูกพืชกระท่อม การขาย และการนำเข้าหรือการส่งออกใบกระท่อม (ร่างมาตรา 8) 5.2 กำหนดให้การเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมต้องได้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 9) 5.3 กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมซึ่งประสงค์จะขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 แจ้งความประสงค์ที่จะขายไว้ในคำขอรับใบอนุญาต และเมื่อผู้อนุญาตจดแจ้งความประสงค์แล้ว ให้ถือว่าผู้รับใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมนั้นเป็นผู้รับใบอนุญาตขายใบกระท่อมด้วย (ร่างมาตรา 10) 5.4 กำหนดให้การขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงต้องได้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 11) 5.5 กำหนดให้การนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมต้องได้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 12) 5.6 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ผู้ขอรับใบอนุญาตขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 และผู้ขอรับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม (ร่างมาตรา 13) 5.7 กำหนดอายุใบอนุญาต โดยใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมตามมาตรา 9 และใบอนุญาตขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 มีอายุห้าปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ส่วนใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมตามมาตรา 12 มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต (ร่างมาตรา 14) 5.8 กำหนดหลักเกณฑ์รองรับการขอต่ออายุใบอนุญาต การขอเปลี่ยนแปลงรายการในใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาต (ร่างมาตรา 15 ร่างมาตรา 16 และร่างมาตรา 17) 5.9 กำหนดหลักเกณฑ์รองรับกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตายก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ โดยให้ทายาทหรือผู้ซึ่งได้รับความยินยอมจากทายาทแสดงความจำนงขอดำเนินการตามใบอนุญาตต่อไปได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ผู้รับใบอนุญาตตาย (ร่างมาตรา 18) 6. หมวด 3 หน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 19 และร่างมาตรา 20) 6.1 กำหนดหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม โดยต้องเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมในที่ดินหรือสถานที่และพิกัดตามที่ระบุไว้ใบอนุญาต (ร่างมาตรา 19) 6.2 กำหนดหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตขายใบกระท่อมหรือผู้รับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม โดยต้องจัดให้มีป้ายแสดงว่าเป็นสถานที่ขาย นำเข้า หรือส่งออกใบกระท่อม จัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับใบกระท่อมโดยอย่างน้อยต้องระบุแหล่งที่มาของใบกระท่อม คำเตือน หรือข้อควรระวัง ในกรณีที่ใบกระท่อมสูญหาย เสียหาย หรือถูกทำลายต้องแจ้งให้ผู้อนุญาตทราบโดยมิชักช้า และจัดทำรายงานปริมาณการขาย การนำเข้า หรือส่งออกใบกระท่อม (ร่างมาตรา 20) 7. หมวด 4 การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต (ร่างมาตรา 21 ถึงร่างมาตรา 24) 7.1 กำหนดมาตรการพักใช้ใบอนุญาตกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาต หรือผู้รับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมไม่แจ้งการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมต่อผู้อนุญาตในแต่ละครั้งที่จะมีการนำเข้าหรือส่งออก หรือผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 21) 7.2 กำหนดมาตรการเพิกถอนใบอนุญาตกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม หรือฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต (ร่างมาตรา 22) 7.3 กำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำและการแจ้งคำสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต และการแจ้งคำสั่งยกเลิกคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต (ร่างมาตรา 23 และร่างมาตรา 24) 8. หมวด 5 อุทธรณ์ (ร่างมาตรา 25 ถึงร่างมาตรา 27) กำหนดสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่ออกใบอนุญาตหรือใบรับแจ้ง หรือไม่ต่ออายุใบอนุญาต ขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่ง ขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และการขยายระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์ 9. หมวด 6 การคุ้มครองบุคคลซึ่งอาจได้รับอันตรายจากการบริโภคใบกระท่อมและการป้องกันการใช้ใบกระท่อมในทางที่ผิด (ร่างมาตรา 28 ถึงร่างมาตรา 33) 9.1 กำหนดบทบัญญัติห้ามผู้ใดขายใบกระท่อม น้ำต้มใบกระท่อมหรืออาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบ แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร (ร่างมาตรา 28) 9.2 กำหนดบทบัญญัติห้ามผู้ใดขายใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมในสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ขายโดยใช้เครื่องขาย ขายโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เร่ขายหรือในลักษณะจูงใจให้บริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อม หรือขายในสถานที่ โดยวิธีการหรือในลักษณะอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 29) 9.3 กำหนดบทบัญญัติห้ามผู้ใดโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาดใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจสาธารณชนให้บริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อม หรือบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา วัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย หรือวัตถุอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 31 (ร่างมาตรา 30) 9.4 กำหนดบทบัญญัติห้ามผู้ใดบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา วัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย หรือวัตถุอื่นใดตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนดเว้นแต่เป็นการบริโภคตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด (ร่างมาตรา 31) 9.5 กำหนดบทบัญญัติห้ามผู้ใดจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีขืนใจด้วยประการอื่นใดให้ผู้อื่นบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมตามมาตรา 31 (ร่างมาตรา 32) 9.6 กำหนดบทยกเว้นมิให้นำมาตรา 28 และมาตรา 32 มาใช้บังคับแก่การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด (ร่างมาตรา 33) 10. หมวด 7 พนักงานเจ้าหน้าที่ (ร่างมาตรา 34 ถึงร่างมาตรา 39) 10.1 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่เพาะหรือปลูกพืชกระท่อม สถานที่นำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม หรือสถานที่ขายใบกระท่อมในเวลาทำการของสถานที่นั้น หรือเข้าไปในยานพาหนะที่บรรทุกใบกระท่อม เพื่อตรวจสอบหรือควบคุมเท่าที่จำเป็น และในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อาจเข้าไปในที่ดิน สถานที่ หรือยานพาหนะใด ๆ เพื่อตรวจ ค้น ยึด หรืออายัดพืชกระท่อม ใบกระท่อม น้ำต้มใบกระท่อม หรืออาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบ ตลอดจนภาชนะบรรจุ หีบห่อ ฉลาก เอกสารกำกับใบกระท่อม วัตถุ หรือสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้ซึ่งสงสัยหรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้รวมทั้งอาจมีหนังสือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่จำเป็นเพื่อประกอบการพิจารณา (ร่างมาตรา 34) 10.2 กำหนดวิธีการจัดการกับสิ่งที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดหรืออายัดไว้ในกรณีที่เป็นของเสียง่ายหรือเป็นของที่ใกล้จะสิ้นอายุตามที่กำหนดไว้ หรือในกรณีที่เก็บไว้จะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหาย จะเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเกินค่าของสิ่งนั้น หรือจะเป็นภาระแก่ทางราชการมากกว่าการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น (ร่างมาตรา 35) 10.3 กำหนดให้สิ่งที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดหรืออายัดไว้ตกเป็นของกระทรวงยุติธรรมเมื่อไม่ปรากฏเจ้าของหรือไม่มีผู้มาแสดงตัวเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้ยึดหรืออายัด หรือไม่มีการดำเนินคดีและผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอคืนภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้รับแจ้งคำสั่งว่าไม่มีการดำเนินคดีหรือมีการดำเนินคดีและพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลไม่ได้พิพากษาให้ริบ และผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอคืนภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี (ร่างมาตรา 36) 10.4 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้ขาย หรือผู้โฆษณาที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไข ปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องได้ภายในเวลาที่กำหนด (ร่างมาตรา 37) 10.5 กำหนดให้ในกรณีจำเป็นและมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมตามมาตรา 31 ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจตรวจหรือทดสอบ หรือสั่งให้รับการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีสารใด ๆ ในใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมอยู่ในร่างกายหรือไม่ รวมทั้งกำหนดบุคคลที่มีอำนาจตรวจหรือทดสอบ หรือสั่งให้รับการตรวจหรือทดสอบ โดยวิธีการตรวจหรือทดสอบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 38) 10.6 กำหนดให้ในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง (ร่างมาตรา 39) 11. หมวด 8 บทกำหนดโทษ (ร่างมาตรา 40 ถึงร่างมาตรา 47) 11.1 กำหนดโทษอาญากรณีเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 หรือนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต (ร่างมาตรา 40) 11.2 กำหนดโทษอาญากรณีขายใบกระท่อม น้ำต้มใบกระท่อม หรืออาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบแก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี สตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร (ร่างมาตรา 41) 11.3 กำหนดโทษอาญากรณีขายใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมในสถานที่ โดยวิธีการ หรือในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 29 (ร่างมาตรา 42) 11.4 กำหนดโทษอาญากรณีโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาดใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจสาธารณชนให้บริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อม หรือบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา วัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายหรือวัตถุอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 31 (ร่างมาตรา 43) 11.5 กำหนดโทษอาญากรณีบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา วัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย หรือวัตถุอื่นใดตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 44) 11.6 กำหนดโทษอาญากรณีจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีขืนใจด้วยประการอื่นใดให้ผู้อื่นบริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมตามมาตรา 31 (ร่างมาตรา 45) 11.7 กำหนดโทษในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล (ร่างมาตรา 46) 11.8 กำหนดให้เลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ซึ่งเลขาธิการ ป.ป.ส. มอบหมาย มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 47) 12. บทเฉพาะกาล (ร่างมาตรา 48 และร่างมาตรา 49) 12.1 กำหนดให้เมื่อกฎกระทรวงตามมาตรา 9 วรรคสอง มาตรา 11 วรรคสาม หรือมาตรา 12 วรรคสาม ใช้บังคับแล้ว ให้ผู้เพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ผู้ขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 หรือผู้นำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้น ๆ มีผลใช้บังคับ และในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้นั้นดำเนินการต่อไปได้จนกว่าผู้อนุญาตจะไม่ออกใบอนุญาต (ร่างมาตรา 48) 12.2 กำหนดให้เมื่อมีกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยใช้บังคับแล้วให้บรรดาความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย และให้อัตราโทษปรับอาญาสำหรับความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวเปลี่ยนเป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย (ร่างมาตรา 49) 13. อัตราค่าธรรมเนียม กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมตามมาตรา 9 ใบอนุญาตขายใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมหรือเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามมาตรา 11 ใบอนุญาตนำเข้าใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมตามมาตรา 12 ใบอนุญาตส่งออกใบกระท่อมเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมตามมาตรา 12 รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการกำกับดูแลการเพาะหรือปลูกพืชกระท่อม การขาย และการนำเข้าหรือการส่งออกใบกระท่อมเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประชาชนมากที่สุด ตลอดจนกำหนดมาตรการกำกับดูแลการขาย การโฆษณา และการบริโภคใบกระท่อม เพื่อคุ้มครองสุขภาพของบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีและบุคคลกลุ่มเสี่ยงอื่นจากการบริโภคใบกระท่อม เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนเมษายน 2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนเมษายน 2564 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ หัวข้อ สาระสำคัญ 1. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา 1.1 ความก้าวหน้า ยุทธศาสตร์ชาติ และการขับเคลื่อนแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ · คณะรัฐมนตรีมีมติ (27 เมษายน 2564) รับทราบคู่มือแนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 และการเสนอแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน...ต่อคณะรัฐมนตรี โดย สศช. ได้เผยแพร่คู่มือดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของ สศช. เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป นอกจากนี้ สศช. จะรวบรวมและจัดทำบัญชีสรุปรายชื่อแผนระดับที่ 3 ที่ผ่านกระบวนการจัดทำแผนของหน่วยงานและพิจารณาโดย สศช. แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย · ความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) ได้มีคำสั่งที่ 1/2564 เรื่อง จัดตั้ง ศจพ. ในระดับจังหวัดและระดับต่างๆ ลงวันที่ 8 เมษายน 2564 กำหนดให้แต่งตั้ง ศจพ. ในระดับต่าง ๆ และนำเข้าข้อมูลคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวผ่านระบบแฟ้มบ้านพัฒนาคนไทย (Logbook) ภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 ทั้งนี้ สศช. ได้ประสานไปยังทุกหน่วยงานเพื่อขอความอนุเคราะห์สนับสนุนการดำเนินการของ คจพ. และ ศจพ. ในทุกระดับ 1.2 ความก้าวหน้า แผนการปฏิรูปประเทศ · ดำเนินการปรับรอบระยะเวลาและรูปแบบของรายงานความคืบหน้า การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม - มีนาคม 2564) ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้รวดเร็วสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและเน้นการรายงานเฉพาะกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) โดยรายงานประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ (1) หลักการขับเคลื่อน Big Rock การใช้งานระบบ eMENSCR สำหรับกิจกรรม Big Rock และการดำเนินงานในระยะต่อไป (2) รายละเอียดของการขับเคลื่อน Big Rock ทั้ง 13 ด้าน จำนวน 62 แผน และ (3) ความคืบหน้าของประเด็นที่รัฐสภาให้ความสนใจเป็นพิเศษ 1.3 ผลการดำเนินการอื่นๆ · พัฒนาระบบ eMENSCR สำหรับการกำกับ ติดตาม และประเมินผล ความคืบหน้าของกิจกรรม Big Rock โดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักสามารถรายงานความก้าวหน้าของ Big Rock และเป้าหมายย่อยในระบบเพื่อ สศช. จะได้ประมวลข้อมูลและจัดทำรายงานความคืบหน้าฯ รายสามเดือนต่อไป นอกจากนี้ สศช. ได้พัฒนาระบบ eMENSCR ในส่วนของการนำเข้าข้อเสนอโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 เพิ่มเติม เพื่อรองรับการดำเนินงานตามกลไกของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ซึ่งจะสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติกับการพัฒนาในระดับพื้นที่ · สร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ได้แก่ (1) เผยแพร่วีดิทัศน์ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติสำหรับกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 12 - 25 ปี ในรถไฟฟ้า ตั้งแต่เดือนเมษายน - พฤษภาคม 2564 และเว็บไซต์ของ สศช. (2) สร้างความรู้ความเข้าใจกับภาคีการพัฒนาและบุคลากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างการยอมรับและโอกาสในการส่งเสริมให้ต่างประเทศมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยต่อไป · กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการออกมาตรการพิเศษช่วยนักเรียนทุนเสมอภาคช่วงชั้นรอยต่ออนุบาลปีที่ 3 ประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 แสนคน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อป้องกันการหลุดออกนอกระบบการศึกษา และให้เด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสทุกคนได้รับการศึกษา 2. ประเด็นที่ควรเร่งรัด เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ของยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นท้าทายที่มีความเสี่ยงสูงในการบรรลุเป้าหมาย คือ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ของรัฐ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้รองรับและสนับสนุนการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งการปรับทัศนคติบุคลากรให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นในการบูรณาการข้อมูล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนานโยบายและการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมของประเทศที่มีความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 8. เรื่อง รายงานผลการประเมินองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอรายงานผลการประเมินองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่ง กพม. ในการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชนดังกล่าวแล้ว [เป็นการดำเนินการตามมาตรา 5/8 (10) แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่บัญญัติให้ กพม. มีอำนาจหน้าที่จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการบริหาร การพัฒนาและ การประเมินผลขององค์การมหาชนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี] โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 1. สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพม. ได้นำกรอบการประเมินองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาใช้ในการประเมินองค์การมหาชนประกอบด้วยการประเมิน 3 ส่วน ดังนี้ 1.1 ส่วนที่ 1 องค์ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงาน จำนวน 5 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบการประเมิน น้ำหนัก (ร้อยละ) จำนวนตัวชี้วัด องค์ประกอบที่ 1 ประสิทธิผล : ประเมินการบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติแผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และแผนปฏิบัติการขององค์การมหาชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรกรมท่าอากาศยาน
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2564 อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรกรมท่าอากาศยาน ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน COVID – 19 ณ สถานีกลางบางซื่อ ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากร กรมท่าอากาศยาน (ส่วนกลาง) ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถานีกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร กรมท่าอากาศยานได้จัดบุคลากรส่วนกลาง เข้ารับการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1ในระหว่างวัน 29 - 31 พฤษภาคม 2564 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สำหรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งให้บุคลากรด่านหน้าสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกคน ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้เกิดความปลอดภัยในระบบขนส่งสาธารณะ อย่างไรก็ตามแม้ว่าบุคลากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยึดหลัก D-M -H-T-T- A ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยการรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ตรวจวัดอุณหภูมิทุกครั้งก่อนเข้าที่ทำงาน หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโควิด-19 ก็ต้องตรวจหาเชื้อทันที และการใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะ และหมอชนะควบคู่ทุกครั้ง สำหรับบริเวณอาคารสำนักงานของกรมท่าอากาศยาน จะมีการดำเนินการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ทุกวันศุกร์หลังเวลาราชการ เพื่อสร้างความมั่นใจ เสริมความเชื่อมั่น และเสริมความปลอดภัยในสุขอนามัยของบุคลากรทุกท่าน นายอภิรัฐฯ กล่าวเสริมว่า กรมท่าอากาศยาน ต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่คำนึงถึงความปลอดภัยของบุคลากรในสังกัดกระทรวงคมนาคม รวมทั้ง บุคลลการทางการแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ดำเนินการให้การรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้เป็นด้วยความเรียบร้อยทุกประการ และขอขอบคุณองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่ให้ความอนุเคราะห์รถโดยสารประจำทางปรับอากาศสำหรับ รับ - ส่ง เจ้าหน้าที่กรมท่าอากาศยาน พร้อมกันนี้ อทย. ได้กล่าวเน้นย้ำว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ กรมท่าอากาศยานทุกแห่งได้รับการจัดสรรวัคซีนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และทยอยรับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครบตามจำนวน และยังคงเน้นย้ำให้ท่าอากาศยานทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการมั่นใจว่าท่าอากาศยาน ทุกแห่งของ ทย. ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 แน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตรวจเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน ให้เสร็จภายใน 13 ก.ย.64
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ครม. เห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตรวจเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน ให้เสร็จภายใน 13 ก.ย.64 รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม. เห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตรวจเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน ให้เสร็จภายใน 13 ก.ย.64 วันนี้ (8 มิ.ย.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ว่า ครม. มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาให้แรงงานต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทำประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 13 กันยายน 2564 และขยายระยะเวลาให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนไม่มีงานทำ (5.38 หมื่นคน) ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร.38/1) พร้อมกับการทำบัตรสีชมพูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 (จากเดิมภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564) เพื่อให้การดำเนินการของแรงงานต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎกมาย และไม่เป็นการเพิ่มภาระแก่บุคคลากรทางการแพทย์จนเกินควร ความจำเป็นที่ต้องขยายระยะเวลาในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก มติ ครม. เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2563 ได้ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจะต้องจัดทำทะเบียนประวัติ ตรวจเชื้อโควิด-19 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometric) ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพ และยื่นคำขอนุญาตทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ซึ่งที่ผ่านมา แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้ดำเนินการตามมติ ครม. (29 ธ.ค.63) แล้ว จำนวน 6.54 แสนคน โดยลงทะเบียนเพื่อขอรับการจ้างงานจากนายจ้าง จำนวน 6.01 แสนคน หลังจากได้คัดกรองข้อมูลแรงงานแล้ว คงเหลือแรงงานต่างด้าวที่สามารถขออนุญาตทำงานได้จำนวนทั้งสิ้น 4.96 แสนคน โดยในจำนวนนี้ จากข้อมูล ณ 31 พ.ค.64 แรงงานต่างด้าวที่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometric) จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้ว 98% หรือจำนวน 4.85 แสนคน ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด-19 จากกระทรวงสาธารณสุขแล้วประมาณ 70% จำนวน 3.39 แสนคน และได้รับอนุญาตทำงานจากกระทรวงแรงงานแล้วประมาณ 50% หรือจำนวน 2.39 แสนคน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ระลอกใหม่ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลไม่สามารถดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้กับแรงงานต่างด้าวได้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ซึ่งทำให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อนายจ้างที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาออกไป นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า เมื่อแรงงานต่างด้าวดำเนินการครบทุกขั้นตอนและได้รับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรแล้ว จะสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้จนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 อันเป็นการรักษากำลังแรงงานซึ่งเป็นส่วนสำคัญของนายจ้างและสถานประกอบการ ตลอดจนช่วยให้นายจ้างได้จ้างแรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และแรงงานต่างด้าวก็ได้รับความคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ การคุ้มครองตามสิทธิที่พึงได้รับ รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูประเทศต่อไป ---------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดมติครม. เห็นชอบจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 คนทั่วประเทศ เดินหน้า “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 จังหวัดนำร่อง
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 เปิดมติครม. เห็นชอบจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 คนทั่วประเทศ เดินหน้า “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 จังหวัดนำร่อง เปิดมติครม. เห็นชอบจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 คนทั่วประเทศ เดินหน้า “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 จังหวัดนำร่อง วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงโครงการ “จับคู่กู้เงิน” ที่มีการเริ่มต้นโครงการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีในการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและภัตตาคารที่มีอยู่กว่า 120,000 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าถึงมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู หรือ ซอฟท์ โลน ที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินได้ โดยได้ร่วมมือกับสถาบันบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Bank) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ในการปล่อยเงินกู้เป็นกรณีพิเศษ อาทิ ดอกเบี้ยต่ำและเงื่อนไขพิเศษ ปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี เพื่อให้ช่วยร้านอาหารต่าง ๆ ได้จริงในทางปฏิบัติ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่ต้องปิดกิจการหรือปลดลูกจ้าง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังในการดำเนินการโครงการนี้ รวมถึงความช่วยเหลือจากภาคเอกชนด้วย นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.ได้อนุมัติเงินกู้ ตาม พรก.เงินกู้ฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการให้บริการตรวจคัดกรอง ดูแล และรักษาผู้ป่วยโควิด อาทิ ชุดตรวจโควิดแบบพกพา เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในเลือด เครื่องช่วยหายใจ รถพยาบาลและอุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นสูง นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มีการอนุมัติไปแล้ว 984,000ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้วร้อยละ 73 และยังคงเหลือเงินกู้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบในการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมวงเงินกว่า 2,200 ล้านบาท โดยจะเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ จัดสรรอัตราในหน่วยงานราชการที่มีภารกิจสำคัญและเร่งด่วนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาทต่อเดือน มีสัญญาจ้างงานไม่เกิน 1 ปี และได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่าพนักงานราชการปกติ รวมทั้งเงินประกันสังคม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการของรัฐบาลที่พยายามช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 คณะรัฐมนตรียังได้รับทราบข้อเสนอจากการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ถึงแผนการเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติของ 10 จังหวัดนำร่อง ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เริ่มจากจังหวัดภูเก็ต ที่เรียกว่า ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) โดยจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป โดยปัจจุบันภูเก็ตมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มแล้ว ประมาณ 400,000 คน หรือมากกว่าร้อยละ 60 ของประชากร โดยจะมีการคัดกรองและติดตามตัวนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาจะต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนที่ฉีดครบ 2 โดสอย่างน้อย 14 วันก่อนการเดินทาง พร้อมมีใบอนุญาตเข้าประเทศอย่างถูกต้อง และมีการตรวจโรคระหว่างช่วงเวลาการพักอาศัยในพื้นที่ โดยภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จะมีการประเมินผลและนำไปเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในระยะต่อไป พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับปรุงรายละเอียดให้เกิดความเหมาะสม ภายใต้ความสมดุลทางความปลอดภัยและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ศบค. และให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรายละเอียดที่ปรับแก้ไขต่อไป .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42532
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วางกรอบแนวทางการพัฒนาการผลิตและการตลาดโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 วางกรอบแนวทางการพัฒนาการผลิตและการตลาดโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ กระทรวงเกษตรฯ วางกรอบแนวทางการพัฒนาการผลิตและการตลาดให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้โครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ด้านพัฒนาอาชีพและการตลาดครั้งที่1/2564ผ่านระบบทางไกลออนไลน์Application Zoomณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งที่ประชุมมีการพิจารณากำหนดโมเดลและแนวทางการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการผ่านกระบวนการพัฒนาเกษตรกรกระบวนการพัฒนากลุ่มเกษตรกรและการพัฒนาการตลาดโดยยึดแนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบาย“การตลาดนำการผลิต”ของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และตั้งเป้าให้มีกลุ่มต้นแบบในพื้นที่70จังหวัดจังหวัดละ1กลุ่ม นอกจากนี้การขับเคลื่อนการดำเนินงานดังกล่าวได้มอบหมายให้มีหน่วยงานเจ้าภาพในการขับเคลื่อนประสานงานหลักการพัฒนาอาชีพและการตลาดของโครงการฯโดยมอบกรมส่งเสริมสหกรณ์รับผิดชอบภาคเหนือกรมปศุสัตว์รับผิดชอบภาคตะวันอออกเฉียงเหนือกรมส่งเสริมการเกษตรรับผิดชอบภาคกลางและกรมประมงรับผิดชอบภาคใต้เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสามารถพัฒนาอาชีพสร้างรายได้และแก้ไขปัญหาความยากจนโดยให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากนั้นจะพัฒนาไปสู่เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่2และขยายผลในชุมชนตามเป้าหมายโครงการได้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด ทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงานให้ต่างด้าว ตามมติครม. 29 ธ.ค. 63
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด ทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงานให้ต่างด้าว ตามมติครม. 29 ธ.ค. 63 วันที่ 8 มิถุนายน 64 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายเวลาดำเนินการ ให้ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ตรวจโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ออกไปถึง 13 ก.ย. 64 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในประเทศไทยระลอกใหม่ยังคงมีความรุนแรง และพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 70 ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญ อันเป็นพื้นที่ที่มีคนต่างด้าวทำงานหนาแน่น ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคนั้น ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องระดมทรัพยากรบุคคล สถานที่ อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ในการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนโดยรวม จึงจำเป็นต้องชะลอหรือยับยั้งการการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้กับคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโรคโควิด - 19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (บต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 ประกอบกับมติครม.เมื่อวันที่ 26ม.ค. 64 และมติครม. เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 64 ที่จากเดิมจะสิ้นสุดภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64 เป็นวันที่ 13 ก.ย. 64 สำหรับการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ให้ดำเนินการถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64 ตามแนวทางที่กำหนดเดิม ในส่วนคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนแบบไม่มีนายจ้าง ให้ขยายระยะเวลาการจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร. 38/1) ไปถึงวันที่ 31 มี.ค. 65 เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ลุล่วง สามารถขจัดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพไปพร้อมกัน ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากผลการดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 (ระหว่างวันที่ 15 ม.ค. 64 - 31 พ.ค. 64) มีคนต่างด้าวลงทะเบียนออนไลน์ทั้งสิ้น จำนวน 654,864 คน แบ่งเป็น คนต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อ (มีนายจ้าง) 601,027 คน และยังไม่ดำเนินการ 53,837 คน ซึ่งจากคนต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อจำนวน 601,027 คน กรมการจัดหางานได้สำรวจและคัดแยกข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีการลงข้อมูลซ้ำซ้อนถึง 50,972 คน เป็นคนที่อยู่บริเวณแนวชายแดนและเดินทางกลับไปแล้ว 29,000 คน เป็นผู้ติดตาม 25,000 คน รวม 104,972 คน ทำให้คงเหลือคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการทั้งสิ้น จำนวน 496,055 คน ซึ่งล่าสุดจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 485,263 คน ผ่านการตรวจโควิด - 19 แล้ว 339,331 คน ยื่นขอรับใบอนุญาตทำงาน (บต.48) แล้ว 239,654 คน และจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติ แล้ว 52,326 คน “ สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42524
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๔ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันอังคารที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๔ โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบว่า มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดคงที่ จำนวน ๑๒๖ แห่ง พบการแพร่ระบาดจำนวน ๑๒ แห่งคงเดิม ซึ่งคาดว่าในเร็วๆ นี้จะมีจำนวนเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดเพิ่ม รวมถึงการเปลี่ยนสถานะจากเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาดให้เป็นเรือนจำที่ไม่พบการแพร่ระบาดได้เพิ่ม ทั้งนี้ การดำเนินการทุกอย่างต้องเป็นไปตามแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะดำเนินการควบคู่ไปกับแผนการป้องกันเชื้อ รวมถึงการรักษาผู้ติดเชื้อ ให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐานทางการแพทย์ทุกประการ ในส่วนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ มีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๑๖ แห่ง นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีน ให้แก่ผู้ต้องขังไปแล้ว ๑๗,๐๕๔ ราย ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน จำนวน ๙ แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔) คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี เรือนจำกลางระยอง เรือนจำกลางนครปฐม เรือนจำพิเศษพัทยา โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำพิเศษมีนบุรี และเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ๗ แห่ง คือ เรือนจำอำเภอธัญบุรี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรือนจำกลางชลบุรี เรือนจำกลางราชบุรี เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี และเรือนจำอำเภอไชยา โดยมีเรือนจำ/ทัณฑสถานอีก จำนวน ๒๖ แห่ง ทั้งเรือนจำสีขาวในพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ เรือนจำจังหวัดปทุมธานี เรือนจำอำเภอธัญบุรี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางเพชรบุรี และเรือนจำสีขาวในพื้นที่สีแดง ที่จะดำเนินการฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง และผู้ต้องขังที่ไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการยืนยันทางการแพทย์ ซึ่งจะได้รับการจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้กับผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวเช่นเดียวกัน และเมื่อได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมจะดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการฉีด จนกระทั่งครอบคลุมทุกราย ซึ่งรวมถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มที่ ๒ ในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่มีการฉีดเข็มแรกไปแล้ว เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและให้วัคซีนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แจงผู้ใช้แอปฯเป๋าตัง “มีทางเลือก” ในการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 “กรุงไทย” แจงผู้ใช้แอปฯเป๋าตัง “มีทางเลือก” ในการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล “กรุงไทย” แจงแอปฯ เป๋าตังเวอร์ชั่นใหม่ ให้ผู้ใช้บริการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการตรวจสอบยืนยันตัวตนในโครงการภาครัฐ “กรุงไทย” แจงแอปฯ เป๋าตังเวอร์ชั่นใหม่ ให้ผู้ใช้บริการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการตรวจสอบยืนยันตัวตนในโครงการภาครัฐ ยืนยันข้อมูลในข้อ 1 และ 2 เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ พัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะไม่ยินยอมได้ ธนาคารยืนยันพร้อมพัฒนาระบบให้สามารถกดยกเลิกได้ต่อไป ส่วนข้อ 3 ต้องกดยินยอมเพื่อยืนยันตัวตนในการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและทุจริตในโครงการรัฐ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากกรณีที่ธนาคารได้อัพเดตแอปพลิเคชันเป๋าตัง เวอร์ชั่นล่าสุด โดยให้ผู้ใช้งานให้ความยินยอมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ธนาคารขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1.แอปฯ เป๋าตังเวอร์ชั่นใหม่ กำหนดให้ผู้ใช้งาน “ให้ความยินยอม” เรื่องข้อมูลส่วนบุคคลในข้อ 1 และ ข้อ 2 ซึ่งเป็นการนำข้อมูลไปใช้ในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร กลุ่มธุรกิจการเงินและพันธมิตร และนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ได้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยข้อมูลส่วนนี้ธนาคารใช้เพื่อวิเคราะห์ พัฒนา ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้งาน “ไม่สะดวก” ให้ความยินยอม สามารถเลือก “ไม่ยินยอม” ได้ โดยไม่กระทบกับการใช้งานแอปฯ เป๋าตังแต่อย่างใด และธนาคารจะพัฒนาระบบเพื่อให้ผู้ใช้งานที่เลือกให้ความยินยอมไปแล้ว สามารถยกเลิกในส่วนนี้ได้ เพื่อลดความกังวลของผู้ใช้งาน ​ 2.การให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลในข้อ 3 เพื่อใช้ในการตรวจสอบยืนยันตัวตนในการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ ซึ่งมีอยู่ในแอปฯ เป๋าตังเวอร์ชั่นเดิมอยู่แล้ว ส่วนนี้ผู้ใช้งานที่ต้องการจะเข้าร่วมโครงการภาครัฐ ควรพิจารณาเลือก “ให้ความยินยอม” เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อนจะเข้าร่วมโครงการภาครัฐ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ และทุจริตในโครงการภาครัฐ ​ สำหรับผู้ใช้งานที่ “ไม่ยินยอม” ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการภาครัฐได้ เพราะจะไม่สามารถทราบได้ว่าท่านคือบุคคลผู้มีสิทธิตามแต่ละเกณฑ์ของรัฐจริงหรือไม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42507
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กระทรวงคมนาคม รายงานความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 รฟม. กระทรวงคมนาคม รายงานความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ในความรับผิดชอบของ รฟม. ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 รายงานความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 มีดังนี้ 1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ความก้าวหน้างานโยธา 82.56% 2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ความก้าวหน้างานโยธา 84.19% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 73.62% ความก้าวหน้าโดยรวม 79.60% 3. โครงกาถรรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ความก้าวหน้างานโยธา 79.39% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 72.81% ความก้าวหน้าโดยรวม 76.51%
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางของ ด่านฯ บางขุนเทียน 1 (ทางเข้า 2) และด่านฯ บางขุนเทียน 2 (ทางออก 1,2,3) ​การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้าง บริษัท เอส.เอ็ม.อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ให้ดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางฯ ของด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางขุนเทียน 1 (ทางเข้า 2),และด่านฯ บางขุนเทียน 2 (ทางออก 1,2,3) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน 2564 - วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ช่วงเวลา 22.00 น. - 04.00น. โดยมีรายละเอียดดังนี้ - ด่านฯ บางขุนเทียน 1 (ทางเข้า 2) ปิดช่องทางที่ 3 ระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 4 ระหว่างวันที่ 13-17 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 5 ระหว่างวันที่ 19-23 มิถุนายน 2564 - ด่านฯ บางขุนเทียน 2 (ทางออก 1) ปิดช่องทางที่ 1 ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 2 ระหว่างวันที่ 15-19 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 3 ระหว่างวันที่ 21-25 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 4 ระหว่างวันที่วันที่ 27 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2564 ปิดช่องทางที่ 5 ระหว่างวันที่ 1-5 กรกฎาคม 2564 - ด่านฯ บางขุนเทียน 2 (ทางออก 2) ปิดช่องทางที่ 1 ระหว่างวันที่ 11-15 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 2 ระหว่างวันที่ 17-21 มิถุนายน 2564 ปิดช่องทางที่ 3 ระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2564 - ด่านฯ บางขุนเทียน 2 (ทางออก 3) ปิดช่องทางที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-10 กรกฎาคม 2564 ปิดช่องทางที่ 3 ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2564 ปิดช่องทางที่ 4 ระหว่างวันที่ 16-20 กรกฎาคม 2564 ​ ทั้งนี้ กทพ. ได้มีการติดตั้งป้ายเตือนก่อนถึงพื้นที่ดำเนินการและติดตั้งไฟสัญญาณต่าง ๆ รวมถึงป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจรพร้อมไฟวับวาบ เพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางพิเศษทราบ ​กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณ อนัน โทร. 087-9738064 (ผู้ควบคุมงาน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42534
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมประชุมกับอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ชี้แจงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงาน ก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส ร่วมประชุมกับอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ชี้แจงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงาน ก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ดีอีเอส ร่วมประชุมกับอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ชี้แจงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงาน ก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เมื่อวันที่8มิถุนายน2564 นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องการเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารและการโทรคมนาคมวุฒิสภาณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผ่านระบบApplication Cisco WebEx Meetingsเพื่อชี้แจงการเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพอาทิหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกลไกการส่งข้อมูลข้ามพรมแดนรวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการจัดทำแผนและกรอบระยะเวลาดำเนินงานจนถึงวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในวันที่1มิถุนายน2565ครอบคลุมด้านการแต่งตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลการจัดตั้งสำนักงานและการออกอนุบัญญัติภายใต้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ.2562 ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย แจ้งยกเลิกระบบ ยินยอมเปิดเผยข้อมูลบนแอปฯ “เป๋าตัง” แล้ว
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กรุงไทย แจ้งยกเลิกระบบ ยินยอมเปิดเผยข้อมูลบนแอปฯ “เป๋าตัง” แล้ว .... จากกรณีที่ ธ.กรุงไทย ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้เปิดให้ประชาชนอัปเดตแอปฯ เป๋าตัง เป็นเวอร์ชันล่าสุด โดยกำหนดให้ผู้ใช้งาน “เลือก”ให้ความยินยอมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อใช้แจ้งข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร กลุ่มธุรกิจการเงินและพันธมิตร รวมถึงนำข้อมูลไปวิเคราะห์และพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน แ ละใช้ตรวจสอบยืนยันตัวตนในการเข้าร่วมโครงการภาครัฐนั้น . เรื่องนี้ทำให้ผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง มีความกังวลและสับสนเกี่ยวกับระบบและรูปแบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูล ดังกล่าวเป็นอย่างมาก . ล่าสุด ธนาคาร ได้ยกเลิกระบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลทั้ง 3 ส่วนออกจากแอปฯ เป๋าตัง แล้ว สำหรับผู้ใช้งานที่ได้กดให้ความยินยอมไปแล้ว ระบบได้ทำการยกเลิกให้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่คืนวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา . อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะเร่งพัฒนาปรับปรุงระบบและรูปแบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ เพื่อตรวจสอบยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้มีสิทธิตามเกณฑ์ของโครงการภาครัฐจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ และทุจริตในโครงการภาครัฐ ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานตามวัตถุประสงค์ของแต่ละโครงการ . โดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และ พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! ปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 เริ่มแล้ว! ปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ .... มาตามนัดหมายนะครับ 7 มิ.ย.64 รัฐบาลปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ส่วนกลางมีจุดบริการหลัก คือ สถานีกลางบางซื่อ . สำหรับ กทม. มีจุดบริการอย่างน้อย 25 จุด สำนักงานประกันสังคม 25 จุด มหาวิทยาลัย 11 จุด จุดฉีดวัคซีนกลาง 10 จุด เช่น สถานีกลางบางซื่อ สถาบันราชานุกูล โรงพยาบาลศรีธัญญา ศูนย์การแพทย์บางรัก เป็นต้น . ส่วนในต่างจังหวัดนอกจากศูนย์ภูมิภาค 4 แห่ง ได้แก่ จ.เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และภูเก็ต แล้ว ก็ยังมีกระจายในจังหวัดต่างๆ รวม 993 จุด . ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 โรคกลุ่มเสี่ยง สามารถแจ้งความประสงค์ผ่าน รพ.ใกล้บ้าน รพ.ที่มีประวัติการรักษา รพ.สต. อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือทางเว็บไซต์ที่แต่ละจังหวัดกำหนด . ประชาชนอายุ 18-59 ปี และไม่ได้มี 7 โรคกลุ่มเสี่ยง ที่อยู่ใน กทม. ลงทะเบียนได้ทางเว็บไซต์https://www.xn--82c3a4adfy1rc3b.com/และ แอปพลิเคชัน เป๋าตัง โดยสามารถขอเลื่อนนัดหมาย ทั้งวัน เวลา สถานที่ รวมถึงยกเลิกนัดได้ ในระบบไทยร่วมใจ . ผลการรับวัคซีนของทุกคน จะเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกลาง และ หมอพร้อม เพื่อติดตามอาการหลังการฉีด และออกเอกสารรับรองเมื่อได้รับวัคซีนครบแล้วครับ . หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42515
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมปศุสัตว์ ชี้แจงข้อวิจารณ์การแก้ปัญหาการระบาดของโรคลัมปี สกิน ในวัว ของภาครัฐล่าช้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กรมปศุสัตว์ ชี้แจงข้อวิจารณ์การแก้ปัญหาการระบาดของโรคลัมปี สกิน ในวัว ของภาครัฐล่าช้า อธิบดีกรมปศุสัตว์ ระบุกำลังดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน พร้อมเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรค ล๊อตแรก จำนวน 60,000 โดส เตรียมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีก 300,000 โดส วันที่ 8 มิถุนายน 2564 นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โรคลัมปี สกินเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีแมลงดูดเลือด ได้แก่ ยุง เหลือบ ริ้น ไร และแมลงวันคอก เป็นสัตว์พาหะนำโรค เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โรคนี้มีการพบโรคครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2472 (92 ปีที่แล้ว) ที่ประเทศแซมเบีย และเริ่มเข้ามาระบาดในเอเชีย ปี 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ได้มีการติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มีหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกร ให้ระมัดระวังและทำการป้องกัน ต่อมาในปี 2563 พบการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน คือ เวียดนาม และเมียนมาร์ จึงได้มีการสั่งระงับการนำเข้าโค กระบือ จากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมแจ้งเตือนภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรให้เฝ้าระวังและป้องกันอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม โรคได้มีการแพร่ระบาดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ประเทศไทย พบครั้งแรกที่ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบันพบการเกิดโรคใน 40 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคอีสาน และภาคกลางบางส่วน โค กระบือที่ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอาการไข้สูง มีตุ่มนูนที่ผิวหนัง ลักษณะคล้ายฝี ต่อมาแตกเป็นแผล สร้างความวิตกและกังวลใจแก่พี่น้องเกษตรกรเป็นอย่างมาก จากข้อมูลขององค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) ระบุว่า โรคนี้มีอัตราการป่วยและอัตราการตาย รวมถึงมีความรุนแรงของโรคต่ำ โดย โค กระบือที่ป่วยแล้วรักษาได้และหายขาด เนื้อปลอดภัยสามารถบริโภคได้ตามปกติ ไม่ติดต่อสู่คน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ออกมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้ 1) ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค-กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค และปฏิบัติตามแนวทางการเคลื่อนย้ายอย่างเคร่งครัด 2) การเฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด เน้นการรู้โรคให้เร็ว ควบคุมได้ทัน โรคสงบได้อย่างรวดเร็ว 3) การป้องกัน และควบคุมแมลงพาหะนำโรค ให้เกษตรกรป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลงทั้งบนตัวสัตว์ และบริเวณโดยรอบฟาร์ม ทั้งในพื้นที่ระบาดของโรคและพื้นที่เสี่ยง 4) การรักษาสัตว์ป่วยตามอาการ 5) การใช้วัคซีนควบคุมโรค วัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน ล๊อตแรกจำนวน 60,000 โดสที่เพิ่งนำเข้ามาจะนำไปฉีดให้กับโค กระบือของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดเป็นหลักก่อนโดยต้องฉีดรอบจุดเกิดโรคเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคออกจากจุดเกิดโรคและเป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งกรมปศุสัตว์จะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้เกษตรกรพร้อมกันนี้ อีกทั้งได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 300,000 โดสซึ่งจะถึงไทยกลางเดือนมิถุนายนนี้ และจะอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนหรือสมาคมในการนำเข้าวัคซีนโดยการกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ เพื่อป้องกันโรคและสร้างความมั่นคงทางด้านวัคซีนของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเร่งด่วน โดยได้ร่วมกับผู้ราชการจังหวัดทุกจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. อบต. เทศบาลฯ) ในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยจัดกิจกรรม Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน โดยมีการให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ดังนี้ - จัดหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ รักษาพยาบาลสัตว์ป่วยฟรีเพื่อลดความสูญเสียแก่เกษตรกร - จัดหน่วยพ่นยาฆ่าเชื้อทำลายเชื้อโรค พ่นสารกำจัดแมลงพาหะของโรค - แจกสารกำจัดแมลง ยารักษา วิตามิน แร่ธาตุและยาบำรุง เพื่อรักษาและฟื้นฟูสุขภาพสัตว์ - สร้างความรับรู้ให้แก่เกษตรกรเรื่องโรคและการป้องกัน ส่วน กรณีโค กระบือตาย จะดำเนินการชดเชย เยียวยา ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ชดเชยตามจริง ไม่เกินรายละ 2 ตัว โดยมีค่าอัตราค่าชดเชยเยียวยา ดังนี้ - อายุน้อยกว่า 6 เดือน โค 6,000 บาท/ตัว กระบือ 8,000 บาท/ตัว - อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี โค 12,000 บาท/ตัว กระบือ 14,000 บาท/ตัว - อายุ มากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี โค 16,000 บาท/ตัว กระบือ 18,000 บาท/ตัว - อายุ มากกว่า 2 ปี โค 20,000 บาท/ตัว กระบือ 22,000 บาท/ตัว จากความร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนพี่น้องเกษตรกร ในการช่วยกันป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกินอย่างเข้มแข็งจริงจัง จึงมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและสงบโรคได้เร็วๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำหลักการจัดสรรและกระจายวัคซีนทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียมกัน ยืนยันรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ได้มากกว่า 100 ล้านโดส
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำหลักการจัดสรรและกระจายวัคซีนทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียมกัน ยืนยันรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ได้มากกว่า 100 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีย้ำหลักการจัดสรรและกระจายวัคซีนทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียมกัน ยืนยันรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ได้มากกว่า 100 ล้านโดส วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำ การฉีดวัคซีนซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน ณ สถานีกลางบางซื่อ ที่เป็นจุดฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ รองรับการฉีดวัคซีนประมาณหมื่นคนต่อวัน และจุดฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ณ อาคารกีฬาเวสน์ ดินแดง โดยวานนี้ (7 มิ.ย.) เป็น “วันคิกออฟ” ระดมฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ยอดรวมเฉพาะการฉีดวัคซีนมากกว่า 4 แสนโดส และมียอดสะสมผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดมากกว่า 4.6 ล้านโดส โดยแบ่งเป็นผู้ได้ฉีดเข็มแรกแล้ว 3.2 ล้านคน และผู้ฉีดครบสองเข็ม 1.4 ล้านคน นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ย้ำถึงหลักการการกระจายวัคซีนเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากที่สุด ได้แก่ ทุกจังหวัดจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เริ่มต้นการฉีดได้พร้อมกัน จำนวนวัคซีนที่แต่ละจังหวัดจะได้รับการจัดสรร ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ คือ จำนวนประชากร อายุ จำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง อาชีพ และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยว พื้นที่เศรษฐกิจ โดยแต่ละจังหวัดที่ได้รับวัคซีนจะเป็นผู้กำหนดการจัดสรรวัคซีนให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ในจังหวัดเอง และ ประชาชนที่จองคิวแล้วจะต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันที่จองไว้เดิมให้ได้มากที่สุด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขออภัยหากมีพี่น้องประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวก หรือเกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะมีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องให้ได้มากที่สุด เชื่อว่าระหว่างการรอวัคซีนที่ทำสัญญาซื้อ-ขายไว้แล้ว จะมีวัคซีนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนต่อ ๆ ไป เพื่อให้แต่ละจังหวัด แต่ละจุดฉีดวัคซีนสามารถบริหารจัดการได้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ประชาชนที่จองคิวแล้วถูกเลื่อนคิวฉีดอีก ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการจัดหาวัคซีน 100 ล้านโดสและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันได้มีการทำสัญญากับ AstraZeneca ที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์แล้ว 61 ล้านโดส Sinovac 6 ล้านโดส และมีแผนจะจัดซื้อเพิ่มอีก 8 ล้านโดส และคาดว่าจะสามารถทำสัญญากับ Pfizer เซอร์ และ Johnson & Johnson รวมกว่า 25 ล้านโดส นอกจากนี้ ยังจะมีวัคซีนอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับมาจากการเจรจาทางความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะมีวัคซีนที่ผลิตโดยคนไทยเองด้วย ควบคู่ไปกับการใช้แพทย์แผนไทย ด้วยการนำสมุนไพรต่าง ๆ พัฒนาไปสู่กระบวนการผลิตเพื่อสร้างรายได้ ปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกพืชให้แก่เกษตรกรอีกด้วย ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42531
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแผนกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 เปิดแผนกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 .... เริ่มแล้วนะครับกับการคิฟออฟฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับประชาชนทั่วประเทศ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมอย่างน้อย 70% ภายในปี 2564 ให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 ลดอัตราการติดเชื้อหรือเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต . ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนจำนวน 3.54 ล้านโดส (แอสตร้าเซนเนก้า 2.04 ล้านโดส และซิโนแวค 1.5 ล้านโดส) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยส่งมอบให้แต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ . นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มิ.ย. 64 จะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่ม 8.4 แสนโดส และสัปดาห์ที่ 4 อีก 2.58 ล้านโดส ทำให้ในภาพรวมตลอดเดือน มิ.ย. 64 ประเทศไทยจะมีวัคซีนกว่า 6 ล้านโดส ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ . จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นระบบการบริหารจัดการและประสิทธิภาพของวัคซีนที่รัฐจัดหาให้ รวมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อลดความสับสน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 Cr. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42530
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ภูเก็ตนำโด่ง
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ภูเก็ตนำโด่ง น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ภูเก็ตนำโด่ง วันนี้ (8 มิ.ย.64) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19) เกี่ยวกับกรณีของวัคซีน โดยทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยการสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18ปีขึ้นไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่าง 46,600 คน ระหว่างวันที่ 17-22 พฤษภาคม 2564 พบว่าประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในจำนวนนี้มีผู้ต้องการฉีดและพร้อมที่จะฉีดวัคซีนร้อยละ 47.7 และผู้ต้องการฉีดแต่ยังไม่พร้อมร้อยละ 27.5 ส่วนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีร้อยละ 5.5 ขณะที่ร้อยละ 19.3 ไม่ต้องการฉีดวัคซีน โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงร้อยละ 16.4 , ไม่เชื่อมั่นว่าวัคซีนจะสามารถป้องกันได้ร้อยละ 4.9 , มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น พิการ มีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ ร้อยละ 4.6, สามารถป้องกันตัวเองได้ร้อยละ 3.6 และไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจร้อยละ 3.2 สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ร้อยละ 54.6, วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ร้อยละ 12.5, วัคซีนโมเดอร์นาร้อยละ 3, วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันร้อยละ 2.5 และวัคซีนโนวาแวกซ์ร้อยละ 0.9 สำหรับ 6 จังหวัดที่มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและผู้ที่พร้อมจะฉีดสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ ภูเก็ตร้อยละ 80.2 ,ตรังร้อยละ 80,ระนองร้อยละ 78.8, บุรีรัมย์ร้อยละ 73.3, ชลบุรีร้อยละ 71.8 และนนทบุรีร้อยละ 71.2 เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุพบว่า ผู้ที่มีอายุ 18-29ปี ไม่ต้องการฉีดวัคซีนและไม่พร้อมที่จะฉีดมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน ระบุว่าไม่ต้องการฉีดวัคซีนหรือไม่พร้อมฉีดสูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น สำหรับความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนนั้น ประชาชนร้อยละ 45.3 มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลให้บริการกับประชาชน ขณะที่ร้อยละ 54.7 ไม่เชื่อมั่น โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงร้อยละ 41.3, วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่จะเลือกใช้เองร้อยละ 7 , ได้รับข้อมูลข่าวสารของวัคซีนที่มีความขัดแย้งกันร้อยละ 5.7 เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า จังหวัดที่ไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยละ 80.5 , ปัตตานีร้อยละ78.5, นราธิวาสร้อยละ 74, เชียงใหม่ร้อยละ 72.2, ขอนแก่นร้อยละ 71.3 และสตูลร้อยละ 70.4 และพบว่าประชาชนร้อยละ56.6 ระบุว่า การที่รัฐให้เงินชดเชยเป็นหลักประกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีน และประชาชนร้อยละ 80.9 เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน โดยเห็นว่าสถานที่ที่เหมาะสม 5อันดับแรกได้แก่ สถานีอนามัย/โรงพยาบาลประจำตำบล ร้อยละ 52.4 , จัดรถMobile ลงชุมชนร้อยละ 18.2, โรงเรียน อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬา วัด ร้อยละ 9.8, ที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนร้อยละ 9.6 และสถานที่ราชการ ร้อยละ 6.9 นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่า รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนและลดความสับสนของข่าวสารดังนี้ ให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้นำเสนอประโชน์ของวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่องร้อยละ 48.3 ให้หน่วยงานรับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลและสกัดกั้นข่าวเท็จที่เผยแพร่จากสื่อสาธารณะ หรือโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็วร้อยละ 20.4 และให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบให้ข้อมูลข่าวสารร้อยละ 18.8 และยังพบด้วยว่า ประชาชนร้อยละ 90.5 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรื่องที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายร้อยละ 49.3 และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือมากที่สุดได้แก่ ช่วยเหลือค่าครองชีพร้อยละ 67.8 ------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนสามารถนำเข้า “วัคซีนลัมปี สกิน” ได้
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนสามารถนำเข้า “วัคซีนลัมปี สกิน” ได้ “เฉลิมชัย” สั่งไฟเขียว ให้กลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนสามารถนำเข้า “วัคซีนลัมปี สกิน” ได้ แต่การนำวัคซีนไปใช้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ และเป็นไปตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์กำหนดแนวทางการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีนเพื่อนำมาใช้ในการป้องกันโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ จากสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดจากการประชุมของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ส่งมอบวัคซีนพร้อมกำหนดแนวทางการใช้วัคซีนตามหลักวิชาการสำหรับวัคซีนลัมปี สกิน ล็อตแรก จำนวน 60,000 โดส และ 300,000 โดส ที่มาถึงในสัปดาห์นี้ และพร้อมสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร สมาคมผู้เลี้ยงโค-กระบือ ตลอดจนภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีน เพื่อนำมาใช้ฉีดป้องกันโรคและสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศ โดยผู้ที่ประสงค์จะนำเข้าวัคซีนต้องทำหนังสือถึงกรมปศุสัตว์ เพื่อแจ้งความประสงค์ก่อนดำเนินการ โดยต้องระบุชื่อการค้าและจำนวน เพื่อให้กรมปศุสัตว์นำไปใช้สำหรับควบคุม ป้องกัน โรคลัมปี สกิน ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอผ่อนผันการนำเข้าวัคซีนที่มีทะเบียนในต่างประเทศ แต่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย โดยกรมปศุสัตว์จะมอบอำนาจให้ผู้ประสงค์นำเข้าเป็นผู้ดำเนินการนำเข้าวัคซีน เมื่อได้รับการผ่อนผันจาก อย. ให้ผู้ประสงค์นำเข้า ดำเนินการสั่งวัคซีนและชำระค่าวัคซีนโดยตรงกับผู้ขายวัคซีนในต่างประเทศและดำเนินการขออนุญาตนำเข้าวัคซีนและขอหนังสือรับรองรุ่นการผลิต (Lot Release) จาก อย.ด้วย วัคซีนดังกล่าวจึงจะสามารถนำมาใช้ในการฉีดป้องกันโรคได้ แต่อย่างไรก็ตาม การนำวัคซีนไปใช้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ โดยต้องเป็นไปตามระเบียบกรมปศุสัตว์ว่าด้วยการฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกินในสัตว์ชนิดโค กระบือ พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42525
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมเครือข่ายปูพรมฉีดวัคซีนโควิด 19 ในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 สธ.ร่วมเครือข่ายปูพรมฉีดวัคซีนโควิด 19 ในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ปล่อยขบวนรถเคลื่อนที่ฉีดวัคซีนในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ แก่ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล เจ้าหน้าที่ และผู้สูงอายุในชุมชนใกล้เคียง ตั้งเป้า 1,200 คน นำร่องพื้นที่กทม. 8-10 มิถุนายนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ปล่อยขบวนรถเคลื่อนที่ฉีดวัคซีนในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ แก่ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล เจ้าหน้าที่ และผู้สูงอายุในชุมชนใกล้เคียง ตั้งเป้า 1,200 คน นำร่องพื้นที่กทม. 8-10 มิถุนายนนี้ เตรียมพร้อมขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัด วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) ที่บริเวณลานพระรูปพระบิดาสมเด็จย่า กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ และนพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และคณะผู้บริหารเปิดกิจกรรม “สูงวัยสู้ภัยโควิด 19”ปล่อยขบวนรถเคลื่อนที่บริการฉีดวัคซีนในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุในกทม. นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลประกาศให้ “การฉีดวัคซีนโควิด 19” เป็นวาระแห่งชาติ รณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุในสถานดูแลผู้สูงอายุ มีผู้สูงอายุทั้งช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่ง ไปจนถึงกลุ่มติดเตียง เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่มีโอกาสสัมผัส ติดเชื้อง่าย และมีอาการรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (HEC) และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) จัดหน่วยเคลื่อนที่บริการฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสถานดูแล รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง ระยะแรกจะนำร่องในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง 32 แห่ง จำนวน 1,200 คนตั้งแต่วันที่ 8 – 10 มิถุนายนนี้ และจะขยายไปอีกกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การฉีดวัคซีนโควิดให้กับผู้สูงอายุในสถานดูแลผู้สูงอายุ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเจ็บป่วยจะช่วยลดการรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต นอกจากนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ออกมาตรการและข้อกำหนดเพื่อให้สถานดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศนำไปใช้ในการปฏิบัติดูแลไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างในสถานดูแล การประกาศไม่ให้มีการเยี่ยมผู้สูงอายุภายในศูนย์ดูแล งดเยี่ยมในทุกกรณี มีมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ใส่ถุงมือในการดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพในกลุ่มผู้สูงอายุให้มีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสถานดูแลผู้สูงอายุที่ปฏิบัติตามมาตรการสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ นายแพทย์พรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลได้จัดทีมรถเคลื่อนที่บริการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล มีเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนและอำนวยความสะดวกระบบหมอพร้อม มีรถพยาบาลฉุกเฉินดูแลตลอดการฉีดวัคซีน โดยจัดขั้นตอนการฉีดวัคซีนตามมาตรฐานอาทิ แพทย์จะประเมินอาการและประเมินความเสี่ยง, การให้บริการลงทะเบียนและฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุที่ติดเตียง ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จภายในจุดเดียว โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุ สังเกตอาการ30 นาที นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (HEC) กล่าวว่า การออกให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในสถานดูแลผู้สูงอายุ เป็นกระจายวัคซีนลงไปในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยผู้ที่สนใจสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมสมาพันธ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงทั่วประเทศได้ที่ สายด่วนสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ (HEC) 02-2774420 ******************************** 8 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.รพ.เสนางคนิคม ย้ำผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมได้ฉีดวัคซีนโควิดแน่นอน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ผอ.รพ.เสนางคนิคม ย้ำผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมได้ฉีดวัคซีนโควิดแน่นอน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ เผยรพ.นัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีคิวในเดือนมิถุนายนทั้งหมด ในวันที่ 7 – 8 มิถุนายน แบ่งเป็นวันละ 3 ตำบล กรณีผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีนตามวันนัดในหมอพร้อม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ เผยรพ.นัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีคิวในเดือนมิถุนายนทั้งหมด ในวันที่ 7 – 8 มิถุนายน แบ่งเป็นวันละ 3 ตำบล กรณีผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีนตามวันนัดในหมอพร้อม อยู่ในตำบลที่มีนัดฉีดบ่ายวันที่ 8 มิถุนายน ได้ทำความเข้าใจและแจ้งให้มารับการฉีดวัคซีนแล้ว ยืนยันมีวัคซีนสำหรับคนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมทุกราย วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) นายแพทย์ปัณณธร เลิศเอกธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ ให้สัมภาษณ์กรณีสื่อโซเชียล ผู้สูงอายุได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม และนัดวันเวลาฉีดวัคซีนโควิด 19 ในวันที่ 7 มิ.ย. เวลา 09.00 น. แล้วไม่ได้รับการฉีดตามนัด นั้น เป็นการปรับการระบบการฉีดวัคซีนของโรงพยาบาลเสนางคนิคม โดยได้นัดหมายกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่นัดคิวผ่านหมอพร้อมในเดือนมิถุนายนทั้งหมด ให้มารับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรกในวันที่ 7 – 8 มิถุนายน 2564 เนื่องจากแต่ละวันมีจำนวนนัดฉีดเพียงวันละ 2 – 5 คน ซึ่งวัคซีน 1 หลอดต้องเปิดฉีดเมื่อครบ 10 คน เพื่อไม่ให้สูญเสียวัคซีนพร้อมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลได้อำนวยความสะดวกในการรับส่งผู้ที่จะมาฉีดวัคซีนจากทุกตำบล แบ่งการฉีดวันละ 3 ตำบล คือวันที่ 7 มิถุนายน ตำบลเสนางคนิคม โพนทอง และนาเวียง รวม 360 คน และวันที่ 8 มิถุนายน ตำบลบ้านไร่สีสุก, หนองไฮ และหนองสามสี รวม 280 คน สำหรับกรณีที่เป็นข่าวเกิดจากความเข้าใจผิดในระบบนัดและการประชาสัมพันธ์ที่อาจไม่ทั่วถึง โดยเป็นกลุ่มเป้าหมายของตำบลหนองสามสี มีนัดหมายฉีดใหม่ในวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ภาคบ่าย โรงพยาบาลเสนางคนิคมขออภัยมา ณ ที่นี้ ขณะนี้ได้ทำความเข้าใจและแจ้งให้มารับการฉีดวัคซีนแล้ว ยืนยันว่ามีวัคซีนสำหรับคนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมทุกราย ******************************** 8 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า รายงานผลการดำเนินงานการปฏิบัติภารกิจขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กรมเจ้าท่า รายงานผลการดำเนินงานการปฏิบัติภารกิจขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ... นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) ได้ปฏิบัติภารกิจขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง ขยายพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก ฟื้นฟูลำน้ำ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความตื้นเขิน รวมทั้งเกษตรกรไม่มีแหล่งน้ำใช้เพื่อการเกษตร ตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และมาตรการของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ปัจจุบันมีผลการดำเนินงานดังนี้ 1. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกลำน้ำเสียว ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยขุดลอกตั้งแต่ กม. ที่ 72 + 750 ถึง กม. ที่ 74 + 550 ระยะทาง 1,800 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 20 - 120 เมตร ขุดลอกความลึกประมาณ 118 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 97,339 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันขุดลอกได้ระยะทาง 934 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 51,085 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 58 สำหรับการปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำสงคราม ตำบลทุ่งฝน อำเภอทุ่งฝน จังหวัดอุดรธานี และตำบลคำสะอาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ได้ขุดลอกตั้งแต่ กม. ที่ 427 + 500 ถึง กม. ที่ 430 + 650 ระยะทาง 3,150 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 20 - 40 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 155 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 91,666 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันขุดลอกได้ระยะทาง 1,731 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 48,620 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 53.04 ทั้งนี้เมื่อขุดลอกฯ แล้วเสร็จ จะช่วยแก้ไขปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำที่เกิดจากตะกอนดินและวัชพืช ที่ส่งผลให้การกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร การอุปโภค - บริโภค ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และในช่วงฤดูน้ำหลากเกิดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นประจำทุกปี 2. พื้นที่ภาคเหนือ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำจาง ตำบลสบป้าด อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนจากความตื้นเขินจากตะกอนทรายและวัชพืช ส่งผลให้การกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรในฤดูแล้งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่ใช้น้ำในการทำเกษตรกรรม อุปโภค - บริโภค และปัญหาอุทกภัย โดยเริ่มขุดลอกช่วงที่ 1 ตั้งแต่ กม. ที่ 81 + 330 ถึง กม. ที่ 84 + 150 และช่วงที่ 2 ตั้งแต่ กม. ที่ 87 + 100 ถึง กม. ที่ 87 + 650 รวมระยะทาง 3,400 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 15 - 20 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 253.50 - 264.00 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 54,000 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันผลการดำเนินงานคิดเป็น ร้อยละ 99.06 จท. มีแผนพัฒนาฟื้นฟูแม่น้ำ ลำคลองต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำให้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ เป็นแหล่งน้ำใช้เพื่อการอุปโภค - บริโภคของประชาชน สามารถปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ในฤดูแล้ง รวมทั้งเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ปัจจุบันภารกิจขุดลอกของ จท. มีความก้าวหน้าตามแผนพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำในหลายพื้นที่ ซึ่งภายหลังการขุดลอก จท. ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่สนับสนุนพันธุ์ปลาท้องถิ่นปล่อยลงสู่แม่น้ำ ปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกไม้ยืนต้นหรือหญ้าแฝกเพื่อป้องกันตลิ่งพังจากการกัดเซาะ รักษาระบบนิเวศแม่น้ำให้คงความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้านและสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้ และสร้างอาชีพให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมต. นร. นายอนุชา ฯ เผยพระสงฆ์กว่าหมื่นรูปได้รับการถวายวัคซีนแล้ว ย้ำคณะสงฆ์ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ด้านกลุ่มเห็นต่าง พ.ร.ก.เงินกู้ เป็นเรื่องปกติ เชื่อรัฐบาลชี้แจงได้ทุกปร
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ​รมต. นร. นายอนุชา ฯ เผยพระสงฆ์กว่าหมื่นรูปได้รับการถวายวัคซีนแล้ว ย้ำคณะสงฆ์ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ด้านกลุ่มเห็นต่าง พ.ร.ก.เงินกู้ เป็นเรื่องปกติ เชื่อรัฐบาลชี้แจงได้ทุกปร ​รมต. นร. นายอนุชา ฯ เผยพระสงฆ์กว่าหมื่นรูปได้รับการถวายวัคซีนแล้ว ย้ำคณะสงฆ์ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ด้านกลุ่มเห็นต่าง พ.ร.ก.เงินกู้ เป็นเรื่องปกติ เชื่อรัฐบาลชี้แจงได้ทุกประเด็น วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 08.30 น. ณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 22/2564 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณีการถวายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แด่คณะสงฆ์ ตามที่ตนได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ติดตามและอำนวยการความสะดวกแก่พระสงฆ์ที่เข้ารับถวายการฉีดวัคซีน โดยย้ำ พศจ. ทั่วประเทศ ให้เร่งสำรวจข้อมูลและประสานกับสาธารสุขจังหวัด เพื่อถวายการฉีดวัคซีนแด่คณะสงฆ์ให้ครอบคลุม ขณะที่ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ได้นิมนต์คณะสงฆ์มารับการฉีดวัคซีน ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้น โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนได้รับการรายงานข้อมูลปัจจุบันมีคณะสงฆ์ได้รับการถวายวัคซีนแล้ว กว่า 10,000 รูป ทั่วประเทศ ซึ่งยังคงมีคณะสงฆ์ทยอยรับการถวายวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลพยายามจัดสรรวัคซีนให้คณะสงฆ์อย่างทั่วถึง ตนมีความเป็นห่วงคณะสงฆ์ที่อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีกิจนิมนต์และการปฏิบัติศาสนกิจที่อาจใกล้ชิดผู้ติดเชื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ สื่อมวลชนได้สอบถามถึงการพิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างเร่งด่วน ส่วนตัวคิดว่ามีความเหมาะสมเพราะต้องนำงบประมาณที่ได้ไปเยียวยาและฟื้นฟูอีกหลายส่วน สำหรับฝ่ายที่เห็นต่างก็เป็นธรรมดาของการแสดงความคิดเห็นในสภา แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องยึดเสียงส่วนใหญ่ตามผลการพิจารณา ซึ่งรัฐบาลพร้อมตอบข้อสงสัยและชี้แจงทุกประเด็นเพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชน .............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร วันที่ 7 มิถุนายน 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย นายณัฐ นาคธรณินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 250 กล่อง ให้แก่โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร โดยมี พญ.อัมพร เกียรติปานอภิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นผู้รับมอบ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในความรับผิดชอบของ รฟม. ได้แก่ - ร้านณิชา ผัดไทย หอยทอด (สถานีเคหะรามคำแหง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)) อยู่ในซอยรามคำแหง 190/2 ตรงกันข้ามกับซอยแฟลต 1 พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/9TGeherV2PoHew4r8 - ร้านครัวพยอม (สถานีสินแพทย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี) อยู่บริเวณริมถนนนวมินทร์ ใกล้กับร้านตำเพลินเพลิน พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/4CYMs5XF5J9ch4ED8 ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ (Video Conference) ในวันอังคารที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ พร้อมด้วยนายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม และผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ (Video Conference) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๔ และระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบความผิดกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา ๓๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 พร้อมทั้งพิจารณาการยื่นฟ้องคดีปกครอง กรณีการละเมิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการขอความเป็นธรรม กรณีองค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งไม่ให้เลื่อนคดีความตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยของประกาศสำนักงานศาลยุติธรรมและประกาศศาลอาญาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องมีความเสี่ยงที่จะได้รับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42528
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” ปลื้ม กนอ. เตรียมคิกออฟฉีดวัคซีนผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มนิคมฯมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ฯ 9 มิ.ย.นี้ “วีริศ”เผยจ่อกระจายทุกนิคมฯทั่วประเทศให้เร็วที่สุด ลดผลกระทบเศรษฐกิจ-ภาคการผลิต!
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 “สุริยะ” ปลื้ม กนอ. เตรียมคิกออฟฉีดวัคซีนผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มนิคมฯมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ฯ 9 มิ.ย.นี้ “วีริศ”เผยจ่อกระจายทุกนิคมฯทั่วประเทศให้เร็วที่สุด ลดผลกระทบเศรษฐกิจ-ภาคการผลิต! กนอ.ประกาศความพร้อม 9 มิ.ย.นี้ นำร่องระยะแรกฉีดวัคซีนโควิดให้กับผู้ปฏิบัติงานแรงงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และฉีดให้กับชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะต่อไป กระทรวงอุตสาหกรรมโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ประกาศความพร้อม9มิถุนายนนี้นำร่องระยะแรกฉีดวัคซีนโควิดให้กับผู้ปฏิบัติงานแรงงานภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและฉีดให้กับชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะต่อไปในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์โดยตั้งเป้าฉีดให้กับผู้ประกอบการวันละ1,000คนระยะเวลา2เดือนด้าน“วีริศ”เผยประสานส.อ.ท.รับวัคซีนทางเลือก“ชิโนฟาร์ม”ให้กับผู้ประกอบการโดยคาดว่าวัคซีนทางเลือกจะทยอยให้บริการได้ช่วงไม่เกินปลายเดือนกรกฎาคม2564 นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าได้รับรายงานจากทางกนอ.ถึงความพร้อมในการเริ่มทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19ให้กับผู้ปฏิบัติงานแรงงานภาคอุตสาหกรรมและชุมชนรอบข้างพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์จังหวัดระยองประกอบด้วย5นิคมอุตสาหกรรมและ1ท่าเรืออุตสาหกรรมคือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก(มาบตาพุด)นิคมอุตสาหกรรมเอเชียนิคมอุตสาหกรรมผาแดงนิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอลและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดในวันที่9มิถุนายน2564โดยเป็นการดำเนินงานตามมติของคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชนกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเร่งกระจายวัคซีนไปยังประชาชนโดยเร็วเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการผลิตได้ตามปกติและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป “ถือเป็นเรื่องที่ดีในการสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการฉีดวัคซีนให้ได้5แสนคนต่อวันซึ่งการนำร่องในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ที่มีนิคมอุตสาหกรรมถึง5แห่งและมีแรงงานจำนวนมากจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการกำกับดูแลและสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19ของประเทศให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”นายสุริยะฯกล่าว นายวีริศอัมระปาลผู้ว่าการกนอ.กล่าวต่อว่าขณะนี้กนอ.มีความพร้อมตั้งจุดบริการให้วัคซีนนอกสถานพยาบาลให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์จังหวัดระยองและชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมโดยที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างนิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯระยองและกนอ.ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนจากทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองโดยจุดบริการฉีดวัคซีนตั้งอยู่ที่บริเวณอาคารสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด(ห้องประชุมสมเจตต์)ทั้งนี้จุดบริการดังกล่าวอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯระยอง “สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนกำหนดระยะไว้2เดือนโดยให้บริการตั้งแต่เวลา08.00-18.00น.เริ่มวันแรกคือวันที่9มิถุนายนนี้โดยสามารถรองรับผู้รับวัคซีนได้วันละประมาณ1,000คนซึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์จังหวัดระยองมีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น25,000คนซึ่งคาดว่าในระยะเวลา2เดือนจะดำเนินการฉีดวัคซีนได้ครบตามจำนวนที่แจ้งไว้”นายวีริศกล่าว นายวีริศกล่าวเพิ่มเติมว่าในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชนเมื่อวันที่31พฤษภาคม2564ที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กนอ.เป็นผู้ดำเนินการประสานกับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในการกรอกข้อมูลยืนยันการรับวัคซีนทางเลือกที่ส.อ.ท.จะได้รับการจัดสรรจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ซึ่งวัคซีนดังกล่าวได้แก่วัคซีนชิโนฟาร์มจะได้รับมาในจำนวนจำกัดและจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ1,000บาทต่อโดสฉีดจำนวน2ครั้งเท่ากับ2โดสทั้งนี้จากการกรอกข้อมูลยืนยันการรับวัคซีนดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากและเมื่อได้รับวัคซีนเข้ามาเรียบร้อยแล้วส.อ.ท.จะพิจารณาบริหารจัดการให้กับผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้คาดว่าจะสามารถทยอยฉีดได้ในช่วงประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42510
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกัดโควิดลามโรงงาน ก.อุตฯ ขอความร่วมมือโรงงานตรวจประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Thai Stop Covid Plus และ Thai Save Thai ทุกโรงต้องใช้ภายในสิ้นเดือนนี้ !
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 สกัดโควิดลามโรงงาน ก.อุตฯ ขอความร่วมมือโรงงานตรวจประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Thai Stop Covid Plus และ Thai Save Thai ทุกโรงต้องใช้ภายในสิ้นเดือนนี้ ! สกัดโควิดลามโรงงาน ก.อุตฯ ขอความร่วมมือโรงงานตรวจประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Thai Stop Covid Plus และ Thai Save Thai ทุกโรงต้องใช้ภายในสิ้นเดือนนี้ ! นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายจากที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.)ให้เป็นเจ้าภาพหลักขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในสถานประกอบกิจการโรงงานด้วยการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือโรงงานกว่า60,000โรงทั่วประเทศดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในสถานประกอบกิจการโรงงาน(Good Factory Practice : GFP)ของสาธารณสุขโดยประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์Thai Stop Covid Plusทุกสองสัปดาห์และให้พนักงานประเมินด้วยThai Save Thaiก่อนเข้าปฏิบัติงานตั้งเป้าให้โรงงานทุกแห่งดำเนินการภายใน30มิถุนายนนี้! “ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในแรงงานภาคอุตสาหกรรมทำให้ต้องหยุดประกอบกิจการ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบกิจการโรงงานและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศซึ่งศบค.ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพในการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานผมจึงสั่งการเร่งด่วนให้อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดแจ้งขอความร่วมมือสถานประกอบการดำเนินการประเมินตนเองตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาขึ้นได้แก่Thai Stop Covid Plusซึ่งเป็นข้อแนะนำทางด้านสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดฯประกอบด้วยมาตรการ/แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการผู้ปฏิบัติงานและแนวทางการปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อซึ่งผู้ประกอบการต้องประเมินตนเองอย่างน้อยทุก2สัปดาห์ในส่วนของพนักงานทุกคน ต้องประเมินตนเองโดยใช้แพลตฟอร์มThai Save Thaiซึ่งยกระดับ การคัดกรองคนก่อนเข้าโรงงานอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันผู้มีความเสี่ยงไม่ให้เข้ามาปฏิบัติงานและแพร่เชื้อในสถานประกอบการรวมทั้งการสนับสนุนให้พนักงานสมัครใจเข้าร่วมโครงการ“ก้าวท้าใจ”ด้วยการออกกำลังกาย ในรูปแบบต่างๆเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรค โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดแจ้งไปยังผู้ประกอบการและให้หน่วยงานในสังกัดทั้งสามติดตามการดำเนินการของสถานประกอบการซึ่งตั้งเป้าหมายสำหรับโรงงานขนาดใหญ่คนงานตั้งแต่200คนขึ้นไป(จำนวน3,304โรง)ต้องทำการประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มThai Stop Covid PlusและThai Save Thaiให้แล้วเสร็จภายในวันที่15มิถุนายน2564และโรงงานทั้งหมด(ประมาณ64,000โรง)ภายในวันที่30มิถุนายน2564 ซึ่งขณะนี้มีโรงงานเข้าสู่ระบบทำการประเมินแล้วประมาณร้อยละ20เท่านั้นหากโรงงานใดไม่ให้ความร่วมมืออาจจะมีการพิจารณาบทลงโทษต่อไปซึ่งอยู่ระหว่างประชุมหารือ”นายกอบชัยกล่าว ด้านนายเดชาจาตุธนานันนท์ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์วิกฤตกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าระบบดังกล่าวจะเป็นเช็กลิสต์ข้อแนะนำออนไลน์เพื่อให้ผู้ประกอบการและพนักงานทุกคนประเมินและจัดการความเสี่ยงโรงงานจะได้เรียนรู้วิธีการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและมาตรการเสริมอื่นๆรวมทั้งข้อแนะนำหากพบผู้ติดเชื้อต้องทำอย่างไรตลอดจนคำแนะนำในการกักตัวเพื่อทำให้ทราบว่ามาตรการที่ดำเนินการอยู่ของแต่ละโรงงานผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของสาธารณสุขประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ คือการปรับตัวสู่การทำงานวิถีใหม่(New Normal)เพื่อให้โรงงานปลอดโควิดพนักงานปลอดภัยขณะที่ภาครัฐเองก็มีข้อมูลในการกำกับดูแล(Monitor)ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกันทั้งกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้โรงงานที่ประเมินผ่านแฟลตฟอร์มThai Stop Covid Plusแล้วมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจะมีทีมตรวจประเมินของรัฐเข้าไปช่วยเหลือโดยกระทรวงฯจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เช่นจังหวัดสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดและสาธารณสุขจังหวัดลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อสนับสนุนโรงงานให้ผ่านเกณฑ์ฯต่อไปอย่างไรก็ตามหากพบพนักงานติดเชื้อโรงงานจะต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อเชิงรุกแยกผู้ติดเชื้อไปรักษาและผู้ใกล้ชิดต้องกักตัวและหากโรงงานใดพบมีการติดเชื้อมากกว่า10%จะคงยังใช้หลักการBubble & Seal (โรงงานจัดหาที่พักให้อยู่ในสถานที่ที่กำหนดและให้โรงงานจัดหาที่พักให้พนักงานอยู่ภายในโรงงานเพื่อสามารถควบคุมโรคจนกว่าสถานการณ์ การติดเชื้อกลับสู่ปกติ)และสั่งปิดโรงงานเพื่อควบคุมเชื้อโควิด-19ไม่ให้ออกสู่สังคมภายนอกเช่นเดียวกับเคสที่ได้ดำเนินการที่ผ่านมามั่นใจว่ามาตรการที่ศบค.มอบหมายให้กระทรวงฯมาช่วยขับเคลื่อนจะสามารถลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ในโรงงานอุตสาหกรรมได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM: Govt strives to sustain stability of rice and farmers’ revenue
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 PM: Govt strives to sustain stability of rice and farmers’ revenue PM: Govt strives to sustain stability of rice and farmers’ revenue June 7, 2021, at 1400hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Minister of Agriculture and Cooperative Chalermchai Sri-on led Mr. Sakda Khetklang, National Outstanding Farmer of 2021, central committee of the National Community Rice Center, and executives of the Ministry, to pay a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of the 2021 National Rice and Farmer’s Day. Also participating in the meeting were Deputy Minister of Agriculture and Cooperative Prapat Pothasuthon, and Prime Minister’s Secretary General Distat Hotrakitya. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister underscored the Government’s rice-related policy to sustain stability of rice and farmers’ revenue. Ministry of Agriculture and Cooperative, Ministry of Commerce, and Ministry of Interior have collaborated to come up with an inclusive plan for rice production and marketing in a bid to promote rice management throughout the supply chain, under the marketing-led approach. Agricultural sector development will be undertaken in accordance with the 20-Year National Strategy to empower farmers and farmer groups, develop agricultural production resources, and to add more value to agro products. According to the Prime Minister, in order to promote self-sustainability of farmers and farmer organizations, the target is made for the “rice community”, consisting of rice cooperatives, rice community enterprises, community rice centers, and over 10,000 groups of farmers, to be strengthened according to the standard by 2024. Farmers in a ‘rice community” will be developed to become either smart farmers, super farmers, or young smart farmers. The Government has especially placed an importance on small-scaled farmers, and strives to promote large-scale rice farming to ensure fair distribution of farmers’ earnings. Other two points that need to be addressed are to reduce cost on agricultural machineries, and to maintain rice price stability. The Prime Minister also called on the farmers to adapt themselves to new technology-based farming culture. He also thanked the farmers for producing and developing the quality of Thai rice, and affirmed that farmers are always in the Prime Minister’s heart. The cabinet, in its meeting on June 23, 2019 approved for June 5 of each year as the National Rice and Farmer’s Day to remember the importance of rice on Thai people’s life as the country’s main dish, and to honor farmers and boost their morale.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เข้มมาตรการป้องกัน COVID-19 กำชับทุกพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 รฟม. เข้มมาตรการป้องกัน COVID-19 กำชับทุกพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปัจจุบัน ที่ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการแพร่ระบาดในที่พักแรงงานก่อสร้างเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้น นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและก่อสร้าง) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการเปิดเผยว่า รฟม. ได้กำกับดูแลโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ได้ตระหนัก ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ได้เน้นย้ำให้ที่ปรึกษาโครงการฯ และผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการฯ ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในที่พักแรงงานก่อสร้างและพื้นที่ปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ตรวจคัดกรอง วัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานทุกครั้ง 2. สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาการปฏิบัติงาน 3. จัดจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ และอ่างล้างมือ 4. ห้ามแรงงานก่อสร้างเดินทางออกนอกพื้นที่ปฏิบัติงานและที่พัก 5. ห้ามแรงงานก่อสร้างเดินทางออกนอกเส้นทาง ขณะโดยสารรถรับส่งระหว่างที่พักและพื้นที่ปฏิบัติงาน และจัดเว้นระยะห่างของที่นั่งในรถไม่ให้แออัด 6. ห้ามแรงงานก่อสร้าง พาบุคคลภายนอก เข้ามาในพื้นที่ปฏิบัติงานและที่พักโดยเด็ดขาด 7. ห้ามแรงงานก่อสร้างเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงตามที่ภาครัฐกำหนด 8. จัดการเรื่องสุขอนามัยภายในที่พัก ให้สะอาด ปราศจากการแพร่เชื้ออยู่เสมอ เช่น ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณ ที่พัก เปลี่ยนระบบอาบน้ำ จากเดิมที่ใช้อ่างอาบน้ำรวม เป็นระบบฝักบัว แยกเฉพาะคน และจัดให้มีการแยกภาชนะ ในการรับประทานอาหาร เช่น แก้วน้ำ ช้อนส่วนตัว 9. กรณีที่พักแรงงานก่อสร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ปฏิบัติงาน หากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่ไม่ให้มีการเข้า-ออก ก่อนทำการส่งตัวไปรักษา 10. กรณีที่พักแรงงานก่อสร้างไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ปฏิบัติงาน หากพบผู้ติดเชื้อให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในบริเวณที่พักแรงงาน ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัย ก่อนทำการส่งตัวไปรักษา ทั้งนี้ผู้ที่ไม่ติดเชื้อ เมื่อเดินทางไปปฏิบัติงาน รถโดยสารรับส่ง จะไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทาง 11. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ จะดำเนินการเฝ้าระวังและจัดที่พักแยกเป็นสัดส่วนเพื่อกักตัว 12. จัด Safety Talk พูดคุยก่อนการเริ่มปฏิบัติงาน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 13. ให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น โปสเตอร์ บอร์ดประชาสัมพันธ์ และเสียงตามสาย นอกจากนี้ ได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในอาคารสำนักงานโครงการฯ ด้วยการตรวจคัดกรองอุณหภูมิ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่าง จัดประชุมด้วยระบบ Video Conference แทนการนั่งประชุมรวมกลุ่มในอาคารสำนักงานโครงการฯ และให้ผู้ปฏิบัติงานในอาคารสำนักงานโครงการฯ ปฏิบัติงานในที่พักอาศัย (Work From Home) ให้มากที่สุด โดยหมุนเวียนสลับกันเข้ามาปฏิบัติงาน รวมถึงเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดบริเวณจุดที่สัมผัสร่วมกันในอาคารสำนักงานโครงการฯ เช่น บานจับประตู ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได เครื่องลงเวลาเข้าออกงาน และห้องน้ำ ทั้งนี้ รฟม. และทุกโครงการฯ จะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่อง COVID-19 อย่างเต็มที่ ในการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 เชิงรุกของกลุ่มแรงงานในพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า และจะเดินหน้ากำชับมาตรการต่างๆ ให้มีความเข้มข้นและรัดกุม เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ต่อสังคมส่วนรวม จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะกลับสู่ภาวะปกติ ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๔ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบว่า มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดคงที่ จำนวน ๑๒๖ แห่ง และพบการแพร่ระบาดจำนวน ๑๒ แห่งเท่าเดิม และยังคงเข้มมาตรการป้องกันเชื้อ คือ อย่าให้มีการนำเชื้อเข้า เร่งดำเนินการรักษาเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และระวังอย่าให้นำเชื้อจากเรือนจำที่พบการแพร่ระบาดออกภายนอก โดยเฉพาะการเร่งค้นหาและคัดแยกผู้ป่วยในเรือนจำ/ทัณฑสถานที่พบการแพร่ระบาด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ต้องขังได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถคัดกรองผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ให้ได้รับการจัดสรรวัคซีน ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดภายในเรือนจำได้อีกทาง ในส่วนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ มีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๑๖ แห่ง สำหรับด้านการฉีดวัคซีน กรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนในเรือนจำ/ทัณฑสถานไปแล้ว จำนวน ๙ แห่ง คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี เรือนจำกลางระยอง เรือนจำกลางนครปฐม เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี เรือนจำพิเศษพัทยา ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เรือนจำจังหวัดภูเก็ต และเรือนจำพิเศษมีนบุรี ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนการดำเนินการต่อจากนี้ ในระยะแรกจะเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนในผู้ต้องขัง ๙ กลุ่ม ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด คือ ๑.กลุ่มเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ เรือนจำจังหวัดปทุมธานี เรือนจำอำเภอธัญบุรี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางเพชรบุรี จะได้รับการจัดสรรวัคซีนครบตามจำนวนผู้ต้องขังทุกคน๒. เรือนจำสีขาวที่ไม่พบการระบาดในพื้นที่สีแดง จะดำเนินการฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง (ผู้ต้องขังสูงอายุ และผู้ต้องขังที่มีโรคประจำตัว) จำนวน ๑๙ แห่ง คือ ๑.เรือนจำจังหวัดตรัง ๒.ทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลา ๓.เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔.เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี ๕.ทัณฑสถานวัยหนุ่มนครศรีธรรมราช ๖.เรือนจำอำเภอนาทวี ๗.เรือนจำกลางยะลา ๘.เรือนจำอำเภอทุ่งสง ๙.เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร ๑๐.เรือนจำกลางเขาบิน ๑๑.เรือนจำจังหวัดระนอง ๑๒.ทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา ๑๓.เรือนจำกลางตาก ๑๔.เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา ๑๕.ทัณฑสถานหญิงชลบุรี ๑๖.ทัณฑสถานวัยหนุ่มพระนครศรีอยุธยา ๑๗.ทัณฑสถานหญิงสงขลา ๑๘.เรือนจำอำเภอไชยา และ ๑๙.เรือนจำอำเภอปากพนังและกลุ่มที่ ๓. เรือนจำที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และมีผู้ต้องขังที่ไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการยืนยันทางการแพทย์ จะได้รับการจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้กับผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าว ซึ่งวันนี้จะเริ่มจัดสรรวัคซีน ให้แก่ทัณฑสถานหญิงกลาง และจะพิจารณาจัดสรรเพิ่มเติมที่ทัณฑสถานหญิงธนบุรี รวมถึงเรือนจำกลางเชียงใหม่ ที่อยู่ระหว่างการยืนยันผู้ต้องขังที่ไม่ติดเชื้ออีกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42517
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการปฏิรูปการศึกษาและร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.... ที่มีการปรับแก้ไขและเตรียมนำเข้าสู่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนการศึกษาไทยให้ทันยุคสมัยและทันต่อสถานการณ์ ภายใต้บริบทของประเทศไทยที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ครอบคลุมทั้งบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรการเรียนการสอน และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนร่วมกันพิจารณาร่าง พรบ. นี้เพื่อให้สามารถดำเนินการไปสู่การปฏิรูปการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงกังวลต่อเกษตรกร ชาวไร่ชาวสวน พร้อมเผยถึงการพูดคุยกับสมาคมชาวนา ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ว่า จะต้องเร่งช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้ที่สูงขึ้น หลุดพ้นจากความยากจน จำเป็นต้องลดต้นทุน บริหารโดยใช้วิสาหกิจชุมชนอย่างครบวงจร อาทิ เมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปุ๋ย ค่าเช่าที่ และมาตรฐานโรงสี โดยรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาขั้นต้นด้วยการประกันราคาในงบประมาณที่สามารถทำได้ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าช่วยเหลือต่อไปในอนาคต รวมถึงการแก้ไขปัญหา กฎหมาย กฎกระทรวง ที่ไม่ทันสมัย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในภาพรวมว่า การส่งออกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากหลายประเทศเริ่มกลับมาฟื้นฟูทางเศรษฐกิจแล้ว โดยคาดว่าจะสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2565 จะดีขึ้น ประเทศไทยจึงต้องเร่งเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ท้าทาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจรอบบ้านที่มีสถิติสูงขึ้นร้อยละ 20 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยประเทศไทยตั้งเป้าไว้ 1 ล้านล้านบาทจากเศรษฐกิจชายแดน การค้าการลงทุน รวมถึงการเข้าร่วมประชุมกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในระดับเวทีโลก เพื่อหารือถึงเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับพันธสัญญาต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลจะใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ระมัดระวังไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการอนุมัติหลักการในดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณ และขั้นตอนการดำเนินการเป็นหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน/คณะกรรมการต่าง ๆ ที่จะต้องรับผิดชอบ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า 1 ปีนี้ต้องมีผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและวางแผนต่อไปใน 1 ปี ข้างหน้า ให้เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 1 ปี ระยะปานกลาง 3 ปี และระยะ 5 ปี มีการตรวจสอบ คัดกรองแผนงานโครงการโดยคณะอนุกรรมการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในการพิจราณาแผนงานโครงการ เป็นการทำงานร่วมกันของฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ขอให้ประชาชนรับฟังการชี้แจงที่เป็นข้อเท็จจริงในการใช้จ่ายงบประมาณ ยืนยันรัฐบาลทำเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ในทุกจังหวัด เมื่อมีการแปรญัตติจากคณะกรรมาธิการฯ จะนำมาดำเนินการในการบริหาร นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้กำลังให้กับข้าราชการทุกคน ที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ในท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ เพราะนี้ คือ พลังของคนไทยที่ร่วมเสียสละไปด้วยกัน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมพลังเครือข่ายวัฒนธรรม หน่วยงานรัฐ-เอกชน“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในกรุงเทพฯและ 76 จังหวัด สะท้อนความเป็นไทย มีน้ำใจ แบ่งปัน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 วธ.รวมพลังเครือข่ายวัฒนธรรม หน่วยงานรัฐ-เอกชน“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในกรุงเทพฯและ 76 จังหวัด สะท้อนความเป็นไทย มีน้ำใจ แบ่งปัน วธ.รวมพลังเครือข่ายวัฒนธรรม หน่วยงานรัฐ-เอกชน“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในกรุงเทพฯและ 76 จังหวัด สะท้อนความเป็นไทย มีน้ำใจ แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วธ.รวมพลังเครือข่ายวัฒนธรรม หน่วยงานรัฐ-เอกชน“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในกรุงเทพฯและ 76 จังหวัด สะท้อนความเป็นไทย มีน้ำใจ แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.)เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จัดโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวร ด้วยการมอบสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด(สวจ.) ทั้ง 76 จังหวัดประสานขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด เครือข่ายศาสนาและวัฒนธรรม ผู้นำศาสนา ชุมชนคุณธรรม สภาวัฒนธรรมจังหวัด/อำเภอ/ตำบล หน่วยงานภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมที่มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ของจังหวัดนั้น เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.)ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ป่วยอยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม ผู้ป่วยรักษาหายแล้วแต่ยังต้องกักตัวรอดูอาการ ผู้ที่อยู่ระหว่างกักตัวและผู้ได้รับผลกระทบในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม 81 แห่ง ชุมชน 350 ชุมชน วัด 61 แห่งและหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ หน่วยบริการสาธารณสุข มูลนิธิ สถานีตำรวจ 29 แห่ง นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือโดยภาพรวมทั้งประเทศที่วธ.ได้ร่วมกับจังหวัด เครือข่ายศาสนาและวัฒนธรรม ผู้นำศาสนา หน่วยงานรัฐ เอกชนและหน่วยงานต่างๆดำเนินโครงการฯนั้นมีทั้งการจัดตั้งตู้ปันสุข/รถปันสุข โรงครัว /โรงทาน การมอบอาหารกล่อง ขนม/ผลไม้/น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสารอาหารแห้ง ถุงยังชีพ/ถุงปันสุข/ถุงปันน้ำใจ/ชุดธารน้ำใจ รวมทั้งมีการบริจาคเงินสนับสนุนการจัดซื้อและมอบอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น หน้ากากอนามัย เฟซชิลด์ เจลล้างมือแอลกอฮอล์/สเปรย์แอลกอฮอล์ ชุดพีพีอี ถังพ่นยาและเครื่องใช้ที่จำเป็น ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินโครงการฯ ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามและอัตลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีน้ำใจ แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ทอดทิ้งกันและให้กำลังใจกันระหว่างพี่น้องคนไทยเพื่อร่วมกันฝ่าฟันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แจ้งยกเลิกระบบยินยอมเปิดเผยข้อมูลบนแอปฯเป๋าตัง ให้ผู้ใช้งานทุกคน “โดยอัตโนมัติ”
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 “กรุงไทย” แจ้งยกเลิกระบบยินยอมเปิดเผยข้อมูลบนแอปฯเป๋าตัง ให้ผู้ใช้งานทุกคน “โดยอัตโนมัติ” “กรุงไทย” แจ้งยกเลิกระบบให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบนแอปฯเป๋าตัง เพื่อป้องกันความสับสน และลดความกังวลของผู้ใช้งาน ส่วนผู้ใช้งานที่ให้ความยินยอมไปแล้ว ระบบจะยกเลิกให้ “อัตโนมัติ” ตั้งแต่คืนวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา “กรุงไทย” แจ้งยกเลิกระบบให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบนแอปฯเป๋าตัง เพื่อป้องกันความสับสน และลดความกังวลของผู้ใช้งาน ส่วนผู้ใช้งานที่ให้ความยินยอมไปแล้ว ระบบจะยกเลิกให้ “อัตโนมัติ” ตั้งแต่คืนวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมเร่งพัฒนาระบบและรูปแบบให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูล เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมโครงการภาครัฐต่อไป ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากกรณีที่ธนาคารได้อัพเดตแอปพลิเคชันเป๋าตัง เวอร์ชั่นล่าสุด โดยกำหนดให้ผู้ใช้งาน “เลือก”ให้ความยินยอมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อใช้ในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร กลุ่มธุรกิจการเงินและพันธมิตร นำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ พัฒนา ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง และเพื่อใช้ในการตรวจสอบยืนยันตัวตนในการเข้าร่วมโครงการภาครัฐนั้น พบว่า ผู้ใช้งานแอปฯเป๋าตังมีความกังวลเกี่ยวกับระบบและรูปแบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูล เพื่อความสบายใจของผู้ใช้งาน และความโปร่งใส ดังนั้น ธนาคารจึงได้ยกเลิกระบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลทั้ง 3 ส่วนออกจากแอปฯเป๋าตัง สำหรับผู้ใช้งานที่ได้กดให้ความยินยอมไปแล้ว ระบบจะทำการยกเลิกให้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่คืนวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธนาคารจะเร่งพัฒนาปรับปรุงระบบและรูปแบบการให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ เพื่อตรวจสอบยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้มีสิทธิตามเกณฑ์ของโครงการภาครัฐจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ และทุจริตในโครงการภาครัฐ ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานตามวัตถุประสงค์ และการเชื่อมโยงที่จำเป็นของแต่ละโครงการ โดยธนาคารยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง พร้อมปฏิบัติตามกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แม้ว่าจะมีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไปก็ตาม และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวโน้มดีขึ้น...คุมโควิด-19 ภายในเรือนจำ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แนวโน้มดีขึ้น...คุมโควิด-19 ภายในเรือนจำ .... ปัจจุบันมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาด 126 แห่ง เหลือเพียง 12 แห่งที่ยังพบการระบาดอยู่ ถ้าเทียบกับระยะแรก จะพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากเดิม . รัฐบาลยังคงเร่งตรวจหาเชื้อซ้ำในเรือนจำที่ยังพบการระบาด เพื่อยืนยันผลซ้ำและรีบคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว คาดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อจากนี้ . สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนในเรือนจำ/ทัณฑสถาน 5 แห่ง เสร็จแล้ว 2 แห่ง คือ เรือนจำพิเศษมีนบุรี และเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ที่อยู่ระหว่างดำเนินการมี 3 แห่ง คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ เรือนจำพิเศษพัทยา และทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี . ระยะต่อไป ได้สั่งการให้เรือนจำ/ทัณฑสถานเป้าหมายกลุ่มแรก คือ เรือนจำสีขาวที่ปลอดเชื้อในพื้นที่สีแดงเข้มและสีแดง ประมาณ 38 แห่ง เตรียมแผนการฉีดวัคซีน พร้อมศึกษาแนวทางและข้อสังเกตจากเรือนจำที่ได้ดำเนินการฉีดไปแล้วเพื่อวางแผนการฉีดให้รัดกุมยิ่งขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42516
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมหารือมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 การประชุมหารือมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน โดยมี นายสุระ เพชรพิรุณ นายสมพล โนดไธสง นายเดชา จาตุธนานันท์ นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ นายใบน้อย สุวรรณชาตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference (ZOOM) ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับการประชุมดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มอบหมาย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการโรงงาน ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในโรงงาน และเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดำเนินกิจการได้ในช่วงของการระบาดโควิด-19 นี้ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดจัดการประชุมหารือระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงาน ในวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 นี้ ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมฯ ดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564 #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustrymoi #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันโรคลัมปีสกินในโค/กระบือ รักษาหายขาดได้แน่ เข้มป้องกันลักลอบข้ามชายแดน ก.เกษตรเร่งกระจายวัคซีน เปิดทางเอกชน-กลุ่มเกษตรกรนำเข้า ตั้งวอร์รูมจัดการทั้งระบบ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 รัฐบาลยืนยันโรคลัมปีสกินในโค/กระบือ รักษาหายขาดได้แน่ เข้มป้องกันลักลอบข้ามชายแดน ก.เกษตรเร่งกระจายวัคซีน เปิดทางเอกชน-กลุ่มเกษตรกรนำเข้า ตั้งวอร์รูมจัดการทั้งระบบ รัฐบาลยืนยันโรคลัมปีสกินในโค/กระบือ รักษาหายขาดได้แน่ เข้มป้องกันลักลอบข้ามชายแดน ก.เกษตรเร่งกระจายวัคซีน เปิดทางเอกชน-กลุ่มเกษตรกรนำเข้า ตั้งวอร์รูมจัดการทั้งระบบ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดตามและห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคลัมปีสกินที่กำลังระบาดในหลายจังหวัด ซึ่งเป็นโรคไวรัสผิวหนังในโค-กระบือ ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน มีแมลงเป็นพาหะ ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า กรมปศุสัตว์ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ และมีการแจ้งเตือนเกษตรกรตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุด พบว่ามีโค-กระบือ ป่วยเป็นโรคลัมปีสกิน 2.9 หมื่นตัว รักษาหายแล้ว 1 หมื่นตัว เสียชีวิต 374 ตัว ซึ่งกรมฯได้เข้าดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาตัวที่ป่วยอยู่ให้หายขาด โดยจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน และไม่ติดต่อสู่คน หรือสัตว์ชนิดอื่น เมื่อรักษาหายขาด เนื้อนำมาบริโภค รมต.ว่าการกระทรวงเกษตรฯ ยังสั่งการให้กรมปศุสัตว์เข้มงวดเรื่องการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะการลักลอบเคลื่อนย้ายตามแนวชายแดนทุกแห่ง หากพบผู้กระทำผิดให้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกัน ควบคุม และเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุโรคลัมปีสกิน เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์โรคระบาด วางแผนการกระจายวัคซีน การป้องกันกำจัดโรค จัดหน่วยพ่นยาฆ่าเชื้อทำลายเชื้อโรค แจกสารกำจัดแมลง ยารักษา วิตามิน แร่ธาตุและยาบำรุง เพื่อรักษาและฟื้นฟูสุขภาพสัตว์ ส่วนมาตรการชดเชยเยียวยาเกษตรกรก็มีความชัดเจนเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ในส่วนของวัคซีน เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ กรมฯจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศล็อตแรกจำนวน 60,000 โดส กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆแล้ว และอีก 300,000 โดส จะมาถึงในสัปดาห์นี้ ที่สำคัญ กระทรวงเกษตรฯ เปิดให้กลุ่มเกษตรกร สมาคมผู้เลี้ยงโค-กระบือ ตลอดจนภาคเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้ เพื่อนำมาใช้ฉีดป้องกันโรคและสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศ โดยผู้ประสงค์นำเข้าวัคซีนต้องทำหนังสือถึงกรมปศุสัตว์ หลังจากนั้น กรมฯจะทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอผ่อนผันการนำเข้าวัคซีนที่มีทะเบียนในต่างประเทศ แต่ยังไม่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย “นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นในแนวทางของกระทรวงเกษตรฯที่ดำเนินการอยู่ จะควบคุมการแพร่ระบาดโรคลัมปีสกินได้ และยังกำชับให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจับกุมการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ตามแนวชายแดน ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมการแพร่ระบาด รัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ” นางสาวรัชดา กล่าว ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร กำชับปศุสัตว์เร่งควบคุมสถานการณ์การระบาดโรคลัมปี - สกิน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร กำชับปศุสัตว์เร่งควบคุมสถานการณ์การระบาดโรคลัมปี - สกิน รมช.ประภัตร กำชับปศุสัตว์เร่งควบคุมสถานการณ์การระบาดโรคลัมปี - สกิน เตรียมนำเข้าวัคซีนเพิ่มอีก 300,000 โด๊ส พร้อมเผยมาตรการเยียวยากรณีสัตว์ตายหรือป่วยตายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปี-สกิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีการระบาดในหลายจังหวัด ซึ่งในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรม Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี-สกิน ทั่วประเทศ และได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มุกดาหาร และสกลนคร ในส่วนของวัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปี-สกิน กรมปศุสัตว์ได้มีการนำเข้าวัคซีนมาแล้ว 60,000 โด๊ส และได้กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งหมดที่มีการระบาดแล้ว และสัปดาห์หน้าจะมีการนำเข้าวัคซีนมาเพิ่มอีก 300,000 โด๊ส ซึ่งในเบื้องต้นได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์กระจายการฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้กรมปศุสัตว์วางแผนในการฉีดวัคซีนให้เกิดประสิทธิภาพ และให้เป็นไปตามแผนการป้องกันการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด “การแพร่ระบาดของลัมปี-สกินที่เกิดขึ้น ผมในฐานะที่กำกับดูแลกรมปศุสัตว์ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากที่มีการนำเข้าวัคซีน ผมได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดให้เป็นไปตามแผนการระงับยับยั้งการระบาด โดยหลังจากที่มีข่าวว่ามีโค-กระบือเสียชีวิต โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ล่าสุดได้มีการสั่งการให้กรมปศุสัตว์เข้าไปดำเนินการตรวจสอบและใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่และลดความเดือดร้อนของเกษตรกร” รมช.ประภัตร กล่าว สำหรับมาตรการที่กรมปศุสัตว์เตรียมการเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี-สกิน ในกรณีที่เป็นการชดเชยกรณีสัตว์ตายหรือป่วยตายนั้น จะดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 โดยมีขั้นตอน คือ 1) รวบรวมข้อมูลความเสียหาย 2) รวบรวมข้อมูลเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ปศุสัตว์อำเภอ) 3) รวมรวมข้อมูลเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ปศุสัตว์จังหวัด) และ 4) ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ ปศุสัตว์จังหวัดหรือกรมปศุสัตว์ ทั้งนี้ จะชดเชยตามจริงแต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว เป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากของเกษตรกรตามหลักเกณฑ์ คือ กรณีโค-กระบือ อายุ 6 เดือน โดยโคจะชดเชย 6,000 บาท กระบือชดเชย 8,000 บาท กรณีโค - กระบือ อายุ 6 เดือน - 1 ปี โคชดเชย 12,000 บาท กระบือชดเชย 14,000 บาท กรณีโค-กระบือ อายุ 1 ปี – 2 ปี โคชดเชย 16,000 บาท กระบือชดเชย 18,000 บาท และกรณีโค-กระบือ อายุ 2 ปี โคชดเชย 20,000 บาท กระบือชดเชย 22,000 บาท หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายใด ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคลัมปี-สกิน และมีความประสงค์จะขอรับการเยียวยา ขอให้ติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ใกล้บ้าน หรือศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ทางโทรศัพท์ 0-2653-4444 ต่อ 3315 และ e-mail : [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสาร สาย 53 เขตการเดินรถที่ 6 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 53 เขตการเดินรถที่ 6 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 95 ก เขตการเดินรถที่ 1 4) พนักงานธุรการ ระดับ 2 (เจ้าหน้าที่ MIS) อู่สวนสยาม เขตการเดินรถที่ 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียวกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา วงเงิน 2,254.32 ล้านบาท บรรเทาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ในระยะสั้น
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ครม. ไฟเขียวกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา วงเงิน 2,254.32 ล้านบาท บรรเทาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ในระยะสั้น โฆษกรัฐบาลเผย ครม. ไฟเขียวกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา วงเงิน 2,254.32 ล้านบาท บรรเทาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ในระยะสั้น วันนี้ (8 มิ.ย.64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉพาะกิจ และผลการจัดสรรกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 10,000 อัตรา พร้อมอนุมัติ วงเงิน 2,254.32 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 ด้วยระบบพนักงานราชการ โดยรายละเอียดดังนี้ - กรอบอัตรากำลัง : 10,000 อัตรา เฉพาะในกลุ่มงานบริหารทั่วไป - กลุ่มเป้าหมาย : ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี -หน่วยงานที่ขอรับจัดสรรอัตรากำลัง : 28 ส่วนราชการ ได้แก่ หน่วยงานในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ระดับจังหวัด หรือหน่วยงานในราชการบริหารส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เป็นหน่วยปฏิบัติ โดยเป็นส่วนราชการที่มีภารกิจสำคัญและเร่งด่วน -ระยะเวลาการจ้างงาน : ไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำสัญญาจ้างหรือไม่เกิน 30 กันยายน 2565 และไม่มีการต่อสัญญา -อัตราค่าตอบแทน/สิทธิประโยชน์ : 18,000 บาท/เดือน ตลอดสัญญาการจ้างงาน โดยได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับพนักงานราชการปกติ ยกเว้นเฉพาะในส่วนของสิทธิการลงเพื่อไปอุปสมบท หรือประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 120 วัน “ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังย้ำให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน วิธีดำเนินการจ้างพนักงานราชการ และแผนการดำเนินงาน รวมทั้ง เร่งดำเนินการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2564 โดยคำนึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. จะได้ติดตามประเมินผลการดำเนินการรวมถึงผลสัมฤทธิ์จากการจ้าง เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย” นายอนุชา ฯ กล่าว ------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พลาสมา (Plasma) ของคุณ ‼️ ช่วยเสริมการรักษาผู้ป่วยโควิด - 19 ได้
วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 "พลาสมา (Plasma) ของคุณ ‼️ ช่วยเสริมการรักษาผู้ป่วยโควิด - 19 ได้ หากคุณมี...คุณสมบัติเหล่านี้"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ให้หน่วยบริการในสังกัด สธ. ฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ลงทะเบียนทุกราย
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 อนุทิน ให้หน่วยบริการในสังกัด สธ. ฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ลงทะเบียนทุกราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยบริการ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ผู้ลงทะเบียนทุกราย มอบผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ร่วมวางแผนบริหารจัดการวัคซีนตามที่ได้รับจัดสรรจากศบค. วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องเร่งดำเนินการตามนโยบาย เพื่อให้คนไทยปลอดภัย สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยให้สถานบริการในสังกัด ฉีดวัคซีนให้ผู้ลงทะเบียนทุกราย และมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร่วมกันวางแผนบริหารจัดการวัคซีน ตามจำนวนที่ได้รับจัดสรรจาก ศบค. เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย นายอนุทินกล่าวต่อว่า วัคซีนโควิดที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นวัคซีนที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก อย.และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การจัดบริการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้อำนวยการสถานบริการวัคซีนแต่ละแห่งรวมถึงวัคซีนที่ได้รับการกระจายลงไปในแต่ละรอบ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่ทำสัญญากับรัฐบาลจะต้องทยอยส่งวัคซีนให้เป็นไปตามแผนมากที่สุด วันนี้จะมีการส่งวัคซีนซิโนแวคไปเพิ่มอีก 7.5 แสนโดส ส่วนการพบการขายคิวหรือบัตรฉีดวัคซีน ได้ให้ฝ่ายปกครองดำเนินการตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องมาซื้อขายคิว เนื่องจากขณะนี้การมาฉีดวัคซีนมีการเปิดลงทะเบียนนัดหมายในหลายระบบ รวมถึงผ่านเครือข่ายค่ายมือถือด้วย จากการลงพื้นที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ และสอบถามผู้มารับบริการ แต่ละคนก็ให้ข้อมูลว่ามีความสะดวกและได้รับบริการอย่างดี “วัคซีนโควิด19 มีพร้อมสำหรับทุกคน ไม่ต้องซื้อขาย ทุกคนได้ฉีดแน่นอน เมื่อฉีดวัคซีนวันละ 3-4 แสนคนผ่านไป2-3 เดือนจะฉีดได้ 20-30 ล้านคน โอกาสติดเชื้อลดน้อยลง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนจำนวนมาก 50-60 ล้านคนไม่สามารถฉีดทั้งหมดได้ในเดือนเดียว ต้องทยอยฉีด และระหว่างนี้หากยังคงพฤติกรรมป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด โอกาสติดเชื้อก็ไม่มี” นายอนุทินกล่าว *********************************** 8 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 8 มิถุนายน 2564
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 8 มิถุนายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....) 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบ ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 5. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 6. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2564 7. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561 – 2565 ฉบับทบทวน และแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 9. เรื่อง สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564) 10. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมีนาคม 2564 11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการประกอบธุรกิจออนไลน์และการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการประกอบธุรกิจออนไลน์และการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาผู้แทนราษฎร 12. เรื่อง การยกเลิกคำสั่งการเลื่อนและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นของข้าราชการที่เสียชีวิต 13. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามันสู่อ่าวไทย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร 14. เรื่อง ผลการพิจารณาญัตติกรณีชาวต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งตรวจพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อเป็นแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ของสภาผู้แทนราษฎร 15. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามประเมินผลแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 16. เรื่อง ข้อเสนอแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) 17. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 19/2564 18. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องจักรกลสำหรับรองรับการแก้ไขปัญหา อุทกภัยและภัยแล้ง 19. เรื่อง การขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 20. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (วัคซีน) 21. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2564 ต่างประเทศ 22. เรื่อง ความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน (ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement : AFSRF Agreement) 23. เรื่อง การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ 24. เรื่อง การขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาสมัยพิเศษของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 8 25. เรื่อง รายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช 2564 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาเมืองและการขนส่ง:ความปลอดภัย ความมีประสิทธิภาพ และความยั่งยืน แต่งตั้ง 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) 30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้ 1. อนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดถอนร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ 2. อนุมัติหลักการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในส่วนที่เกี่ยวกับการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน เพื่อให้สอดคล้องและอนุวัติการเพื่อรองรับพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพิ่มเติมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กรตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) โดยไม่ต้องทำเป็นกฎหมายขึ้นมาใหม่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้เชิญผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมชี้แจงในการพิจารณา รวมทั้งเมื่อดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมเสร็จแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ 3. มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเร่งดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ในส่วนของการกำหนดความผิดมูลฐานฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ 3. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ร่างพระราชบัญญัติที่ อว. เสนอ เป็นการปรับปรุงการบริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีจากเดิมเป็นส่วนราชการเป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ (สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ อว. กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปมหาวิทยาลัยและนโยบายของรัฐบาลซึ่งสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น 2. กำหนดให้กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน 3. กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น อำนาจในการซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ จำหน่าย และแลกเปลี่ยน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของมหาวิทยาลัย ตลอดจนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ในทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อำนาจในการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน และลงทุนหรือร่วมลงทุน และอำนาจในการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และอำนาจในการกำหนดค่าตอบแทนหรือค่าตอบแทนพิเศษ รวมทั้งสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ และประโยชน์อย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย 4. กำหนดให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือกฎหมายอื่น 5. กำหนดให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้บริการทางวิชาการและวิชาชีพ และการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมโดยตรงไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดีทั้งปวง รวมทั้งการบังคับทางปกครอง บุคคลใดจะยกอายุความหรือระยะเวลาในการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับมหาวิทยาลัยในเรื่องทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยมิได้ 6. กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยกำหนดการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การเงิน และวิชาการ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยมากกว่าบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ 7. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดี หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีตามจำนวนที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมายก็ได้ โดยอธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้ 8. กำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินส่วนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และต้องจัดให้มีการตรวจสอบระบบบัญชี และให้มีการเผยแพร่บัญชีที่ได้รับรองแล้วในรายงานประจำปี รวมทั้งกำหนดให้รัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย 9. กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยนเรศวรตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. 2548 มาเป็นข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ 10. กำหนดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสถานภาพข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย โดยกำหนดให้ต้องแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้แต่หากข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งมิได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ให้ยังคงสถานะความเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการต่อไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น 11. กำหนดให้พนักงานมหาวิทยาลัยและลูกจ้างของมหาวิทยาลัยต้องได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่ก่อนเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่ อก. เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ และปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาว ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน และเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับดังกล่าวแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาว ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งนี้ กำหนดให้ร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ พณ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่ พณ. เสนอ เป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 เนื่องจากปัจจุบันเครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 แล้ว อีกทั้งยังเป็นการยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็นและลดความซ้ำซ้อนของกฎหมายด้วย สาระสำคัญของร่างประกาศ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ลงวันที่ 4 เมษายน 2559 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เศรษฐกิจ สังคม 5. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติฯ) ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง สวส. รายงานว่า 1. คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในคราวประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 [รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เป็นประธานการประชุม] มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญัติฯ โดยเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน กลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป (คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนในคราวประชุมครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ได้ประเมินให้ สวส. จัดอยู่ในกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป) ดังนี้ ค่าตอบแทนพื้นฐาน ผู้อำนวยการ องค์การมหาชน กลุ่มที่ 3 รองผู้อำนวยการสำนักงาน ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม อัตราเงินเดือน (บาท) 100,000 - 200,000 80,000 - 160,000 (ห่างจากช่วงอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20) ประโยชน์ตอบแทนอื่นที่เป็นตัวเงินและจ่ายเป็นรายเดือน เช่น ค่าพาหนะ ค่าประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุ ค่าประกันสังคม เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร เงินสำรองเลี้ยงชีพ สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด ไม่เกินร้อยละ 25 ของเงินเดือนประจำ 2. สวส. ได้เคยเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมข้างต้น เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย แต่โดยที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ สวส. พิจารณาทบทวนการเสนอเรื่องดังกล่าว และให้รับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนไปประกอบพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ซึ่ง สวส. ได้ทบทวนหลักเกณฑ์ฯ ตามข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ความเห็นสำนักงาน ก.พ.ร. หลักเกณฑ์ที่ สวส. ปรับแก้ไข 1. ควรกำหนดเงินเดือนของรองผู้อำนวยการฯ ในระยะเริ่มแรกในอัตราที่เหมาะสม โดยไม่กำหนดให้ใกล้เคียงกับอัตราขั้นสูงสุด เพื่อให้สามารถทยอยปรับขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับผลการปฏิบัติงานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง 1. เงินเดือนประจำ ในอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงต่อเดือนระหว่าง 80,000 - 160,000 บาท โดยการกำหนดเงินเดือนประจำของรองผู้อำนวยการฯ ในระยะเริ่มแรก ไม่ควรกำหนดไว้ให้ใกล้เคียงกับอัตราขั้นสูง เพื่อให้สามารถปรับขึ้นเงินเดือนประจำให้สอดคล้องกับผลการปฏิบัติงานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง โดยเงินเดือนประจำภายหลังจากการปรับขึ้นเงินเดือนจะต้องไม่เกินอัตราเงินเดือนขั้นสูง 2. ควรกำหนดขอบเขตของประโยชน์ตอบแทนอื่นให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ กรณีที่กำหนดประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการฯ ดดยเทียบเคียงกับผู้อำนวยการฯ เช่น ค่าพาหนะ ค่าประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุ เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรเงินสำรองเลี้ยงชีพให้ได้รับเป็นการเฉพาะตัว และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมกำหนด รองผู้อำนวยการฯ ต้องไม่ได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสำนักงานฯ เช่นเดียวกับผู้อำนวยการฯ 2. ประโยชน์ตอบแทนอื่นที่เป็นตัวเงินและจ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งครอบคลุมถึงค่าพาหนะ (รถยนต์ประจำตำแหน่ง) ค่าประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุ เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร เงินสำรองเลี้ยงชีพ ให้ได้รับเป็นการเฉพาะตัว และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการกำหนด เช่น การรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร โดยจ่ายในอัตราไม่เกินร้อยละ 25 ของเงินเดือนประจำ ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการฯ ไม่ได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างตามที่กำหนดในระเบียบหรือข้อบังคับของ สวส. 3. ควรกำหนดค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการฯ เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานภายในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ หากเทียบเคียงกับผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในอัตราที่ราชการกำหนดสำหรับข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับสูง (เทียบเท่าอธิบดี) แล้ว รองผู้อำนวยการฯ มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในอัตราสำหรับข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับต้น 3. ค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติงานของ สวส. เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะ ให้รองผู้อำนวย การฯ เพื่อสังคมเบิกจ่ายในอัตราที่ราชการกำหนดสำหรับข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับต้น ซึ่งเป็นการเบิกจ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง 4. ควรกำหนดให้สัญญาจ้างรองผู้อำนวยการฯ มีรายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นและค่าใช้จ่ายอื่นตามข้อ 2 และ 3 รวมถึงการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อประกอบการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนด้วย - 3. สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาแล้วเห็นว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ปรับโดยมีขอบเขตและรายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จ่ายเป็นเงินรายเดือนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติงาน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ให้ข้อสังเกตไว้แล้ว 6. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) เสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 [เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 (6) ที่บัญญัติให้ กพต. มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ เรื่อง การดำเนินการ/ข้อสั่งการประธาน กพต./มติ กพต. เรื่องเพื่อทราบ (1 เรื่อง) ความคืบหน้าการช่วยเหลือและพัฒนาแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) - การดำเนินการ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการที่สำคัญ เช่น (1) สำรวจรายละเอียดสถานภาพรายบุคคล 4 กลุ่มหลัก คือ (1.1) ภาคเกษตร (1.2) ค้าขาย (1.3) บริการ/งานช่าง และ (1.4) ภาคอุตสาหกรรม/โรงงาน และจัดทำฐานข้อมูลโดยละเอียดในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด (ไม่รวมเขตเทศบาล) จำนวน 12,000 คน และ (2) ดำเนินการช่วยเหลือ สร้างงาน และสร้างอาชีพ แรงงานไทยกลุ่มแรกประมาณ 5,000 คน ได้แก่ (2.1) ผู้ที่พร้อมไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมนอกพื้นที่ และ (2.2) ผู้ที่ประสงค์จะประกอบอาชีพในภูมิลำเนาเดิม - ข้อสั่งการประธาน กพต. มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ ศอ.บต. ในการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้มีความเป็นรูปธรรม เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพต. และมติคณะรัฐมนตรีและให้รายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วย - มติ กพต. รับทราบความคืบหน้าฯ เรื่องเพื่อพิจารณา (4 เรื่อง) 1. การแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ - ข้อสั่งการประธาน กพต. ให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ฯ เป็นการเร่งด่วน และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนการทำงานอย่างเต็มที่ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ศอ.บต. ประสานงาน จัดทำข้อมูลการทำงานที่เป็นระบบและติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานความก้าวหน้าในการประชุม กพต. ครั้งต่อไป - มติ กพต. 1) เห็นชอบกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ฯ โดยกำหนดเป้าหมายดำเนินการในระยะเร่งด่วน ระยะต่อเนื่องและระยะยั่งยืน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยให้ ศอ.บต. เป็นหน่วยงานเจ้าภาพอำนวยการประสานงานในภาพรวมร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว หากประเมินสถานการณ์แล้วไม่สามารถยับยั้งการระบาดของโรคให้ยุติลงได้ตามเป้าหมายระยะเร่งด่วน ในระยะเวลา 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม 2564) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานโครงการเร่งด่วน/พิเศษเพิ่มเติม และเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณที่จำเป็นตามขั้นตอนต่อไป และ 2) เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจบูรณาการแก้ปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ฯ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที เป็นระบบ และครบวงจร ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมหากเกิดกรณีโรคระบาดในพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น เช่น ทุเรียน ไปดำเนินการด้วย 2. การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความยั่งยืน - มติ กพต. 1) เห็นชอบกรอบแนวทางการแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในเขตลุ่มน้ำปัตตานี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปจัดทำแผนงานโครงการ หรือกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาตินำแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความยั่งยืน ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และ 2) เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความยั่งยืน เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ครบวงจร 3. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาสุขภาวะและภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ - ข้อสั่งการประธาน กพต. ให้ทุกภาคส่วนดำเนินการเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีสุขภาพที่ดี โดยอาจเชื่อมโยงการทำงานไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกระทรวงมหาดไทย (มท.) เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาไทยให้กับเด็กเล็กทุกระดับเพื่อให้สามารถใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างเป็นรูปธรรมนำไปสู่การเรียนรู้ที่เหมาะสมของประเทศ - มติ กพต. ให้ มท. ไปหารือร่วมกับ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนของงานและงบประมาณ รวมทั้งให้รายงานข้อสรุปผลการหารือดังกล่าวให้ประธาน กพต. และคณะรัฐมนตรีทราบ และดำเนินการตามข้อสรุปเป็นการเร่งด่วนในพื้นที่ต่อไป 4. ขอทบทวนมติ กพต. เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เรื่อง แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส - มติ กพต. ให้ ศอ.บต. มท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปพิจารณาวางแผนการขับเคลื่อนนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความชัดเจน โดยให้นำมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 [คณะรัฐมนตรีรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 ที่เห็นชอบให้ ศอ.บต. จัดซื้อที่ดินเอกชน 1,730 ไร่ กรอบวงเงิน 390 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส] และวันที่ 21 มกราคม 2563 (คณะรัฐมนตรีรับทราบมติ กพต. เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่เห็นชอบแผนบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส) เป็นแนวทางการขับเคลื่อนและให้เสนอแผนดังกล่าวในการประชุม กพต. ครั้งต่อไป 7. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 (ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ข้อ 7 (1) ที่กำหนดให้ กนป. มีอำนาจและหน้าที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือพิจารณาเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติ) โดยมีสรุปผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ 1. มาตรการรองรับเพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินและรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศ 1.1 มอบหมายให้กรมการค้าภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดรายงานปริมาณการผลิต การใช้ และสต็อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการให้รวดเร็ว ถูกต้อง และทันต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกปาล์มน้ำมันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (กรมการค้าภายในแจ้งว่า มีผู้อุทธรณ์ผลการประกวดราคาโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกปาล์มน้ำมัน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อพิจารณาผลการอุทธรณ์ดังกล่าว) 1.2 รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำ “โครงการจ้างที่ปรึกษาในการศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไขและปรับปรุงรายงานฉบับสมบูรณ์ และมอบหมายให้กรมการค้าภายในจัดประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มเพื่อให้ได้ข้อยุติเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ก่อนเสนอ กนป. ต่อไป รวมทั้งให้กรมการค้าภายในและพาณิชย์จังหวัดกวดขันให้โรงงานและลานเทรับซื้อผลปาล์มน้ำมันตามโครงสร้างราคาอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดการกดราคาในการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันของเกษตรกร 1.3 รับทราบผลการดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม 5 จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา นครศรีธรรมราช และชุมพร) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการและคณะทำงานขับเคลื่อนแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม 5 จังหวัดภาคใต้ ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างเป็นระบบทั้งในส่วนกลางและในระดับจังหวัด 2. แนวทางดำเนินการด้านปาล์มน้ำมันของกรมป่าไม้ เห็นชอบแผนปฏิบัติการฟื้นฟูสภาพป่าในบริเวณที่ทางราชการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่หมดอายุการอนุญาต เพื่อลดผลผลิตปาล์มน้ำมันจากพื้นที่ปลูกที่ผิดกฎหมาย ในส่วนของกรอบรายละเอียดของโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณ ให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตจากที่ประชุมในประเด็นความคุ้มค่าและมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไปประกอบการพิจารณาด้วย 3. มาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เห็นชอบผลิตภัณฑ์เป้าหมายและมาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เช่น การส่งเสริมผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน และการส่งเสริมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ประสานติดตาม เร่งรัด ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม และให้รายงานความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ ในการดำเนินงานให้ กนป. ทราบเป็นระยะ 4. การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2564 เห็นชอบขยายระยะเวลาการส่งออกจากเดิมภายในเดือนมีนาคม 2564 เป็นเดือนกันยายน 2564 และระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2564 เป็นเดือนธันวาคม 2564 โดยคงหลักการตามมติ กนป. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 และให้ใช้กรอบวงเงินจ่ายขาดที่คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้มีมติอนุมัติไว้จำนวน 618 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการฯ จะพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ ในอัตราไม่เกิน 2 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561 – 2565 ฉบับทบทวน และแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) เสนอผลการประชุม ก.บ.ภ. ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 [เป็นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ข้อ 5 (4) ที่กำหนดให้ ก.บ.ภ. มีหน้าที่และอำนาจให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาภาค แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด คำของบประมาณของจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณของส่วนราชการที่จะดำเนินการตามแผนพัฒนาภาค ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ] สรุปได้ ดังนี้ 1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทั้ง 6 ภาค จำนวน 505 โครงการ วงเงินงบประมาณ 63,595.76 ล้านบาท ดังนี้ แผนปฏิบัติการภาค จำนวน (โครงการ) วงเงิน (ล้านบาท) ภาคเหนือ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ปักหมุดเตรียมเน้นผลิตข้าว 5 ประเภท ให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 เกษตรฯ ปักหมุดเตรียมเน้นผลิตข้าว 5 ประเภท ให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ เกษตรฯ ปักหมุดเตรียมเน้นผลิตข้าว 5 ประเภท ให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ พร้อมถกการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก จากปัญหาฝนทิ้งช่วง นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 โดยมีสาระสำคัญ คือ เห็นควรให้ มีการแบ่งประเภทข้าวเพื่อให้การเพาะปลูกมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ผลผลิตในแต่ละชนิดข้าวที่มีความสอดคล้องทั้งในส่วนของ Demand และ Supply โดยจะแบ่งเป็น 5 ชนิดข้าว ประกอบด้วย 1) ข้าวหอมมะลิ 2) ข้าวหอมไทย 3) ข้าวเจ้า ซึ่งจำแนกเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มและข้าวเจ้าพื้นแข็ง 4) ข้าวเหนียว 5) ข้าวตลาดเฉพาะ ทั้งนี้พื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวปีการผลิต 2564/65 นั้น ได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 66 ล้านไร่ โดยปรับลดพื้นที่ปลูกลงจากปีการผลิต 2563/2564 ประมาณ 3 ล้านไร่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมาย การผลิตข้าว การวางแผนการผลิตข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 โดยมีสาระสำคัญ คือ ปริมาณน้ำสำหรับการเพาะปลูกข้าวในปีการผลิต 2564/65 (ฤดูนาปี) อยู่ในเกณฑ์น้อย ภาพรวมปริมาณน้ำที่ใช้การจากอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ขณะนี้มีจำนวน 11,121 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความต้องการใช้อยู่ที่ 32,339 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบกับน้ำใน 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ำใช้การเหลือเพียง 1,457 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งในส่วนของกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่ามีปริมาณฝนน้อย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภค/บริโภค และจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ดังนั้นหน่วยงานชลประทานในพื้นที่จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ โดยจัดส่งน้ำเป็นรอบเวรเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และต้องมีแผนจัดสรรน้ำเพื่อประคองปริมาณน้ำที่มีอยู่จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดังนั้นนอกจากการจัดรอบเวร เพื่อจัดสรรน้ำให้แก่เกษตรกรแล้ว อีกส่วนหนึ่งจะต้องขอความร่วมมือเกษตรกรหากจะเพาะปลูกให้พิจารณาใช้น้ำฝน เป็นหลัก ซึ่งจากการคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป น่าจะสามารถเพาะปลูกได้โดยไม่มีผลเสียหาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42519
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน รัฐบาลพร้อมติดตามและศึกษาผลกระทบจากการฉีดวัคซีน
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน รัฐบาลพร้อมติดตามและศึกษาผลกระทบจากการฉีดวัคซีน โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน รัฐบาลพร้อมติดตามและศึกษาผลกระทบจากการฉีดวัคซีน วันนี้ (8 มิถุนายน 2564) เวลา 12.45 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เปิดเผยถึงยอดสรุปตัวเลขการฉีดวัคซีนของเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ทั่วประเทศ โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานภาพรวมจากทางกรมควบคุมโรคต่อที่ประชุมฯ เมื่อช่วงเช้า ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ชื่นชมและขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมด้วยช่วยกันทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี โดยตัวเลขจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ณ วันที่ 7 มิถุนายน มีจำนวน 416,847 ราย รายใหม่จำนวน 388,872 ราย ผู้ที่ได้ฉีดเข็มที่สอง 27,975 ราย รวมยอดสะสม 4,634,941 ราย นับตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นผู้ที่ได้ฉีดเข็มแรกจำนวน 3,243,913 ราย ผู้ที่ได้ฉีดเข็มที่สอง 1,391,028 ราย ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามจะเพิ่มจำนวนในส่วนนี้ให้มากขึ้น ในส่วนวัคซีนที่ได้จัดสรรมาจะมีการกระจายในส่วนที่เหลือต่อไป ซึ่งประชาชนจะได้รับวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการกระจายและจัดสรรตามแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการต่อไป นอกจากนี้ จะมีการศึกษาและติดตามผลภายหลังจากการฉีดวัคซีนด้วยเช่นกันเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ที่จะมารับวัคซีน ในช่วงท้าย โฆษก ศบค. เน้นย้ำว่า แม้ว่าจะมีวัคซีนแล้ว แต่ประชาชนยังต้องคำนึงถึงสุขอนามัยต่อไป เพื่อร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภายใต้โควิดระลอก3 รัฐบาลโชว์ตัวเลขจ้างงานในระบบดีขึ้นต่อเนื่อง ดันต่อSMEเข้าถึงสภาพคล่อง คิวต่อไปร้านอาหาร
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ภายใต้โควิดระลอก3 รัฐบาลโชว์ตัวเลขจ้างงานในระบบดีขึ้นต่อเนื่อง ดันต่อSMEเข้าถึงสภาพคล่อง คิวต่อไปร้านอาหาร ภายใต้โควิดระลอก3 รัฐบาลโชว์ตัวเลขจ้างงานในระบบดีขึ้นต่อเนื่อง ดันต่อSMEเข้าถึงสภาพคล่อง คิวต่อไปร้านอาหาร นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการในรูปแบบต่างๆ เพื่อประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งยอดการให้ความช่วยเหลือจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ยอด ณ วันที่ 31 พ.ค. มีที่อนุมัติแล้วทั้งสิ้น 20,839 ล้านบาท และในวันพรุ่งนี้ ( 7 มิ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมเปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” โดยเป็นการประสานสถาบันการเงินเพื่อปล่อยกู้สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและภัตตาคาร ที่มีอยู่กว่าแสนแห่งทั่วประเทศ เป็นกรณีพิเศษ เช่นดอกเบี้ยต่ำและเงื่อนไขพิเศษ เพื่อให้ร้านอาหารเข้าถึงสภาพคล่อง ต่อลมหายใจให้ดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ต้องปลดลูกจ้าง นางสาวรัชดา ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์การจ้างงานแรงงานในระบบว่า ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น ดังเห็นได้จากตัวเลขผู้ประกันตนที่ว่างงานในแต่ละเดือนลดลง ต่อเนื่องนับจากต้นปี 64 กล่าวคือ เดือนม.ค.มี 95,213 ราย เม.ย. 49,277 ราย และ ณ วันที่ 19 พ.ค. 12,451 ราย ในขณะที่มีผู้ประกันตนรายใหม่เพิ่มขึ้น เดือนม.ค.มี 28,174 ราย เม.ย. 38,025 ราย และ ณ 19 พ.ค. 35,984 ราย อีกทั้ง มีจำนวนผู้ประกันตนกลับเข้าสู่การจ้างงาน ในช่วงสี่เดือนแรกปีนี้ รวม 2.39 แสนราย ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขรวมของปีที่แล้วทั้งปี อยู่ที่ 2.49 แสนราย ทั้งนี้ แม้จะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในการจ้างงานแรงงานในระบบ นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงต่อกลุ่มธุรกิจSMEs และขนาดไมโคร ที่มีการจ้างงานนอกระบบอยู่มาก จึงได้สั่งการให้หน่วยงานรัฐออกมาตรการบรรเทาภาระหนี้ และร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงสินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น จะได้ยังคงธุรกิจและรักษาการจ้างงานในโอกาสเดียวกัน อีกทั้ง มุ่งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดรับกับความต้องการของภาคธุรกิจควบคู่กันไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบนโยบายให้ชุดเฉพาะกิจออกปราบปรามแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงาน โดยทำควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ให้นายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 รมว.แรงงาน มอบนโยบายให้ชุดเฉพาะกิจออกปราบปรามแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงาน โดยทำควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ให้นายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน2564 ณ ห้องประชุม เทียน อัชกุล กรมการจัดหางาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าชุดคณะอำนวยการและชุดเฉพาะกิจปราบปรามจับกุมและดำเนินคดีคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าชุดคณะอำนวยการและชุดเฉพาะกิจปราบปรามจับกุมและดำเนินคดีคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส​โคโรนา2019 (covid-19)​ จำนวน​ 5 ชุด​ โดยมีพลตำรวจตรีนันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ​ สุโกศล​ ปลัดกระทรวงแรงงาน​ นายไพโรจน์​ โชติกเสถียร​ อธิบดีกรมการจัดหางาน​ และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบนโยบายแก่​หัวหน้าชุดเฉพาะกิจฯ​ ทั้ง​ 5 ชุด​ ซึ่งเป็นชุดที่บูรณาการระหว่างกรมการจัดหางานและผู้แทนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ก่อนที่ชุดเฉพาะกิจดังกล่าว​จะเริ่มออกปฎิบัติการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี​กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองและลักลอบทำงาน​ และนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวดังกล่าว​ รวมถึงผู้ได้รับประโยชน์จากการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทั่วประเทศ​ รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่ได้ยื่นบัญชีรายชื่อหรือแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์​ไว้แล้ว แต่มิได้ไปดำเนินการตรวจโรคโควิด-19 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล​ และยื่นขอใบอนุญาตทำงานผ่านระบบออนไลน์กับกรมการจัดหางาน​ ภายในวันที่​ 16​ มิ.ย​ 2564​ โดยให้เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจทุกชุด​ ดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมกลุ่มเป้าหมาย​ดังกล่าว​ ควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ให้แก่คนต่างด้าว​และนายจ้าง/สถานประกอบการ​เพื่อมิให้ลักลอบทำงานหรือใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย​ เพื่อเป็นการยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา​2019​(covid-19)​ ให้ยุติลงโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากตรวจพบนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุก และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานอีก 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี หากผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 197 เขตการเดินรถที่ 2 2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 519 เขตการเดินรถที่ 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42466
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย รพ.บุษราคัม รักษาผู้ป่วยหายแล้ว 818 ราย
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 สธ. เผย รพ.บุษราคัม รักษาผู้ป่วยหายแล้ว 818 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลบุษราคัม หลังเปิดให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ทั้ง 2 ระยะ มีผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 818 ราย ภาพรวมของระบบการบริหารจัดการและการดูแลผู้ป่วยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 25 แห่ง รับรักษาดูแลผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วันนี้ (6 มิถุนายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า โรงพยาบาลบุษราคัม หลังเปิดบริการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะ ตั้งแต่ระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม จำนวน 1,083 เตียง และในระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม จำนวน 1,076 เตียง รวมเตียงรักษาผู้ป่วยโควิดกว่า 2,000 เตียง ภาพรวมถือว่าระบบการบริหารจัดการและการดูแลผู้ป่วยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับรักษา รวม 1,600 ราย รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 818 ราย ยังอยู่ระหว่างรักษา 706 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย 420 ราย กลุ่มอาการปานกลาง 286 ราย ในส่วนผู้ป่วยอาการหนัก หรือมีอาการปอดอักเสบที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่งต่อรักษา 76 ราย โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั้ง 25 แห่งรับรักษาดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อลดความสูญเสีย นอกจากนี้ ยังมีบุคลากรทางการแพทย์จิตอาสาจากโรงพยาบาลทั้งในเขตกทม. และต่างจังหวัดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาช่วยกันดูแลผู้ป่วย “กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทุ่มเททำงานกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การประสาน รับส่งต่อ ดูแลรักษา ซึ่งภารกิจทั้งหมดนี้ได้รับความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และความเสียสละจากทุกท่าน รวมทั้งภาคเอกชน ประชาชน ที่นำสิ่งของบริจาคมาสนับสนุน อาทิ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เจลแอลกอฮอล์ อาหาร น้ำดื่ม ซึ่งเป็นการแสดงถึงพลังของคนไทยที่ในยามวิกฤตนี้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว ทั้งนี้ โรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั้ง 25 แห่ง ได้แก่ 1.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 2.รพ.ศิริราช3.รพ.พลังแผ่นดิน 4.รพ.เอกชน 5.รพ.ศรีธัญญา 6.สถาบันโรคทรวงอก 7.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี 8.สถาบันประสาทวิทยา 9.รพ.วชิรพยาบาล 10.รพ.กลาง 11.รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ 12.รพ.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อ.องครักษ์ จ.นครนายก 13.รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี 14.รพ.สามโคก จ.ปทุมธานี 15.รพ.นครนายก 16.รพ.พระนครศรีอยุธยา 17.รพ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา 18.รพ.สิงห์บุรี 19.รพ.ปทุมธานี 20.รพ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี 21.รพ.สระบุรี 22.รพ.ราชบุรี 23.รพ.เจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี 24.รพ.พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี และ 25.รพ.สมุทรปราการ ************************************ 6 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42464
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ลุยตรวจความพร้อมขั้นตอนฉีดวัคซีน ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง มั่นใจ 45 จุดทั่วกรุง มีศักยภาพ พร้อมให้บริการ
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 รมว.เฮ้ง ลุยตรวจความพร้อมขั้นตอนฉีดวัคซีน ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง มั่นใจ 45 จุดทั่วกรุง มีศักยภาพ พร้อมให้บริการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจความพร้อมในแต่ละขั้นตอนการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 ก่อนบริการฉีดจริงในวันที่ 7 มิถุนายนเป็นต้นไป เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ดูขั้นตอนการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการบริการฉีดในวันที่พรุ่งนี้ (7 มิ.ย.64) ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงษ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่เร่งกระจายวัคซีนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ได้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยจะเริ่มฉีดในวันพรุ่งนี้ (7 มิ.ย.64) ซึ่งในวันนี้ผมได้ลงพื้นที่ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อดูความพร้อมในแต่ละขั้นตอนของการให้บริการฉีดวัคซีน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทั้ง 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานครจะมีขั้นตอนให้บริการ 6 จุด ดังนี้ จุดแรก รอลงทะเบียน จุดที่ 2 ลงทะเบียน/ยืนยันตัวตน จุดที่ 3 ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต จุดที่ 4 คัดกรอง/ซักประวัติ ,ประเมินความเสี่ยง,ลงนามยินยอมการรับวัคซีน จุดที่ 5 ฉีดวัคซีน และจุดที่ 6 บันทึกติดตามอาการ/นัดหมายเข้ารับการฉีดเข็มที่ 2,ออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (ถ้ามี) ทั้งนี้ กรณีผู้รับการฉีดวัคซีนเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลและอำนวยความที่จุดปฐมพยาบาล “จากการลงพื้นที่ในวันนี้ ทุกจุดให้บริการมีความพร้อมเต็มที่ เพื่อรองรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จะเข้ามาฉีดในศูนย์ไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ซึ่งใช้เวลาโดยรวมทุกจุดประมาณ 40 นาทีต่อคน ศักยภาพฉีดได้วันละ 1,500 คน โดยมีทีมบุคลากรจากโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นเนล สมุทรสาคร มาให้บริการฉีด เมื่อรวมทุกศูนย์แล้วจะมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สปสช.เผยช่วยเหลือเบื้องต้นแพ้วัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 239 ราย กว่า 3 ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 สปสช.เผยช่วยเหลือเบื้องต้นแพ้วัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 239 ราย กว่า 3 ล้านบาท เลขาธิการ สปสช. เผย 3 สัปดาห์ จ่ายช่วยเหลือเบื้องต้นอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 239 ราย เป็นเงิน 3,016,700 บาทแล้ว เลขาธิการ สปสช. เผย 3 สัปดาห์จ่ายช่วยเหลือเบื้องต้นอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 239 ราย เป็นเงิน 3,016,700 บาท เป็นกรณีเสียชีวิต 4 ราย ระบุอาการไม่พึงประสงค์เกินกว่า 50% จะมีอาการชา นอกนั้นมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียจนต้องนอนพักในโรงพยาบาล นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามแผนงานโครงการที่รัฐจัดให้ฟรี ว่า หลังจาก สปสช.เปิดให้ยื่นขอรับเงินเยียวยาเบื้องต้นมาประมาณ 3 สัปดาห์ ขณะนี้มีผู้ยื่นขอเข้ามา 344 ราย และคณะอนุกรรมการทั้ง 13 เขตพื้นที่มีมติจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้ว 239 ราย ไม่จ่าย 44 ราย รอข้อมูล 61 ราย โดยการช่วยเหลือขณะนี้เป็นเงิน 3,016,700 บาท ซึ่งมีกรณีที่เสียชีวิตที่คณะอนุกรรมการฯมีมติจ่ายเงินช่วยเหลือขณะนี้ 4 ราย คือ ที่ จ.ปทุมธานี 1 ราย จ.แพร่ 1 ราย จ.สงขลา 1 ราย และ จ.ตาก 1 ราย ทั้งนี้อาการไม่พึงประสงค์ที่มีการจ่ายชดเชยส่วนใหญ่จะนอนโรงพยาบาล โดยเกินกว่า 50% จะมีอาการชา มีบางส่วนที่มีอาการชานานเกิน 2 เดือน นอกนั้นก็มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียจนต้องนอนพักในโรงพยาบาล นพ.จเด็จ กล่าวว่า การขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น สปสช.ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องมีอาการแบบใดถึงจะยื่นขอได้ แต่หากฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ สามารถขอรับได้เลย ถ้าให้สะดวกคือไปสถานที่ที่ฉีด ปรึกษาแพทย์ ถ้าแพทย์คิดว่าเกี่ยวก็จะช่วยส่งเรื่องให้ โดยคณะอนุกรรมการที่พิจารณาค่าเยียวยาซึ่งมี 13 เขตทั่วประเทศจะเร่งดำเนินการให้อย่างรวดเร็ว โดยเมื่อมีมติช่วยเหลือแล้ว จะจ่ายเงินให้แล้วเสร็จใน 5 วัน "วัคซีนโควิด-19 ทั้งหมดที่ใช้เป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน เราต้องมีกระบวนการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ดังนั้นถ้ามีอาการอย่ารีรอที่จะไปพบแพทย์ ส่วนค่าเสียหาย เป็นกระบวนการสร้างความมั่นใจ โดยบางกรณีไม่จำเป็นต้องรอจนพิสูจน์ถูกผิดก็สามารถเยียวยาได้" นพ.จเด็จ กล่าว นพ.จเด็จ กล่าวว่า ต้องย้ำว่ากรณีที่สงสัยความเจ็บป่วยรวมถึงเสียชีวิตว่ามีสาเหตุจากวัคซีน สามารถยื่นคำร้องได้ทันที ไม่ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ เพราะเป็นการใช้หลักการช่วยเหลือเหลือเบื้องต้น ไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด อาจเป็นเรื่องของเหตุสุดวิสัย และเมื่อมีได้จ่ายช่วยเหลือไปแล้ว ในภายหลังหากพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เราก็จะไม่เรียกเงินคืนเนื่องจากถือว่าเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น เรื่องนี้เป็นกลไกทางสังคมในการให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่กลไกทางการแพทย์ที่พิสูจน์สาเหตุ จึงต้องมีความรวดเร็วเพื่อบรรเทาผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจะได้รับการช่วยเหลือไม่เกิน 400,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการช่วยเหลือไม่เกิน 240,000 บาท และกรณีเกิดภาวะเจ็บป่วยที่ต้องรับการรักษาไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งจะช่วยเหลือจำนวนเท่าใดนั้น เป็นการพิจารณาของอนุกรรมการฯ ตามภาวะความรุนแรง โดยสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกับ สปสช.ได้ที่ โรงพยาบาลที่ฉีด หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หรือที่ สปสช.สาขาเขตพื้นที่ทั้ง 13 เขต โดยมีระยะเวลายื่นคำร้องได้ภายใน 2 ปีนับแต่วันที่ทราบความเสียหาย สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. โทร. 1330 ////////6 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42467
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิดฉากเอเปค ! "จุรินทร์" หนุน WTO ถกยกเว้นการคุ้มครองสิทธิบัตรวัคซีนโควิด ให้ประเทศด้อยพัฒนาเข้าถึงวัคซีนได้
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ปิดฉากเอเปค ! "จุรินทร์" หนุน WTO ถกยกเว้นการคุ้มครองสิทธิบัตรวัคซีนโควิด ให้ประเทศด้อยพัฒนาเข้าถึงวัคซีนได้ วันที่ 6 มิถุนายน 2564 คืนวานนี้ (5มิ.ย.) เวลา 22.15 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค Ministers Responsible for Trade Meeting หรือ MRT ประจําปี 2564 ผ่าน ระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สิ้นสุดลงกลางดึกที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมวันที่ 2 ของการประชุมเอเปคซึ่งมีนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพ เอเปคมีสมาชิกทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ เมื่อวานเป็นการประชุมวันแรกร่วมระหว่างรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปคคือภาคเอกชน วันนี้เป็นการประชุมระหว่างรัฐมนตรีการค้าเอเปคโดยเฉพาะร่วมกับผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก ซึ่งประเด็นที่ผมได้นำเสนอต่อที่ประชุมในวันนี้ ประกอบด้วย 2 ประเด็นสำคัญ เรื่องแรกการรับมือกับวิกฤตโควิด เรื่องที่สองเกี่ยวกับระบบการค้าแบบพหุภาคีภายใต้การกำกับของ WTO ซึ่งตนได้เสนอความเห็นในนามรัฐมนตรีการค้าประเทศไทยโดยสรุปมี 6 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง ประเทศไทยสนับสนุนการเคลื่อนย้ายวัคซีนและสินค้าจำเป็นต่อการแก้ปัญหาโควิดให้สะดวกปราศจากปัญหาอุปสรรคและมาตรการในการจำกัดการส่งออก เพื่อให้ทุกประเทศเข้าถึงวัคซีนและสินค้าจำเป็นต่อการแก้ปัญหาโควิดโดยเร็ว ประเด็นที่สอง ประเทศไทยยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงในการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายใต้กติกาของ WTO ประเด็นที่สาม ประเทศไทยจะเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ทั่วถึงตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด และสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีนของทุกประเทศในโลก ประเด็นที่สี่ ประเทศไทยยืนยันการสนับสนุนการทำ CL คือการให้สิทธิเป็นกรณีพิเศษสำหรับการผลิตวัคซีนโดยเหตุผลของสุขภาพอนามัยของประชาชนในประเทศนั้นๆโดยไม่ถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในช่วงวิกฤติโควิด และที่ประเทศไทยอยากเห็นคือมีการยกเว้นการคุ้มครองสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ผลิตวัคซีน ตามข้อตกลงทริปส์ ประเด็นที่ห้า ประเทศไทยสนับสนุนบทบาทของ WTO ในการเร่งหารือกับ WHO ในเรื่องการผลิตวัคซีน ประเด็นที่หก ประเทศไทยสนับสนุน WTO ในการเร่งหาข้อสรุปที่ค้างคาจากการประชุมคราวที่แล้วในหลายประเด็น เช่น หาสรุปเรื่องการอุดหนุนการประมง การยกเว้นภาษีชั่วคราวด้านอีคอมเมิร์ซ ว่าจะยกเว้นต่อไปหรือมีกติกาอย่างไร รวมทั้งเรื่องการอุดหนุนสินค้าการเกษตรและการปฏิรูปองค์กร WTO ที่เป็นประเด็นค้างคายังไม่ได้ข้อสรุป และเรื่ององค์กรอุทธรณ์ที่ WTO ได้ตัดสินกลับประเทศผู้พิพาทแล้วสามารถอุทธรณ์ได้ แต่องค์กรอุทธรณ์สมาชิกว่างอยู่นานแล้วยังไม่สามารถเลือกสมาชิกได้ ทำให้องค์กรไม่สามารถทำหน้าที่พิจารณาคดีพิพาทได้ให้เร่งดำเนินการให้จบโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปควันนี้ส่งผลให้มีแถลงการณ์ร่วมทั้งหมด 3 คือ ฉบับที่ 1 แถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าประจำปี 2564 ซึ่งมีสาระสำคัญ 3 ส่วน คือ กลไกการค้าเป็นกลไกสำคัญในการต้อสู้กับโควิด-19 ระบบการค้าพหุภาคีที่เสรี และ ทิศทางสู่ความมั่งคั่งของเอเปค ฉบับที่ 2 แถลงการณ์เอเปคเรื่องห่วงโซ่อุปทานวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีสาระสำคัญคือการอำนวยความสะดวกการค้าสินค้าวัคซีนโควิด-19 และสินค้าจำเป็น ฉบับที่ 3 แถลงการณ์เอเปคเรื่องการบริการเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสินค้าจำเป็น เน้นการอำนวยความสะดวกทางการค้าขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เปิดให้บริการทางออนไลน์ครบทุกกิจกรรม 100% ไม่หวั่นแม้โควิด
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564 สมอ. เปิดให้บริการทางออนไลน์ครบทุกกิจกรรม 100% ไม่หวั่นแม้โควิด สมอ. เปิดมิติใหม่ให้บริการทางออนไลน์ 100% ครบทุกกิจกรรม รับนโยบายรัฐบาลอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการและประชาชนภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ล่าสุดเปิดระบบ e-Accreditation ในการออกใบรับรองระบบงาน ISO ทางออนไลน์ ผู้ประกอบการแห่ยื่นขอเกือบ 40 ราย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้ผู้ประกอบการตามนโยบายEase of Doing Businessของรัฐบาลและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการอนุญาตจะต้องนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงานทั้งระบบให้ครบทุกกิจกรรมล่าสุดสมอ.สามารถนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาตครบทุกกิจกรรมตั้งแต่การยื่นคำขอใบอนุญาตมอก.การตรวจติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและการตรวจโรงงานทางออนไลน์รวมถึงการชำระค่าบริการต่างๆเพื่อยกระดับการให้บริการผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างทั่วถึงภายใต้สถานการณ์โควิด-19 และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ นายวันชัยพนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กล่าวเพิ่มเติมว่าหลังจากสมอ.ประสบความสำเร็จในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนตั้งแต่ปี2562เป็นต้นมาทั้งการยื่นขอใบอนุญาตมอก.ผ่านระบบe-Licenseการตรวจติดตามผลผู้ได้รับใบอนุญาตผ่านระบบe-Surveillanceและการชำระค่าบริการต่างๆผ่านระบบe-Paymentตลอดจนการขออนุญาตนำเข้าสินค้าที่สมอ.ควบคุมกว่า300คำขอต่อวันผ่านระบบNational Single WindowหรือNSWที่มีการเชื่อมโยงกับกรมศุลกากรเพื่อป้องกันการนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศซึ่งสมอ.ได้มีการพัฒนาระบบมาอย่างต่อเนื่องล่าสุดเมื่อวันที่18พฤษภาคม2564ที่ผ่านมาได้เปิดใช้ระบบe-Accreditationเพื่อออกใบรับรองระบบงานISOแก่ผู้ประกอบการอย่างเต็มรูปแบบเช่นการรับรองห้องแล็ปตามมาตรฐานISO/IEC 17025 : 2017เพื่อให้ห้องแล็ปได้รับการยอมรับและมีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของสากลและลดการตรวจสอบซ้ำจากประเทศคู่ค้าเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของสินค้าและบริการของไทยในตลาดโลกและเป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศการรับรองหน่วยตรวจตามมาตรฐานISO/IEC 17020 : 2012เป็นการรับรองระบบงานของหน่วยตรวจว่ามีความสามารถและมีความเป็นกลางในการดำเนินงานการให้บริการงานตรวจเป็นไปตามมาตรฐานมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของสากล การให้บริการผ่านระบบดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้านการตรวจสอบและรับรองกว่า700รายภายใต้สถานการณ์โควิด-19สามารถยื่นขอการรับรองระบบงานISOผ่านทางออนไลน์ได้ตั้งแต่การยื่นคำขอการประสานงานการตรวจประเมินทางไกล(Remote assessment)และการรับรองตนเอง(Self declaration)แทนการออกไปตรวจประเมินสถานที่จริงโดยผู้ตรวจประเมินจะประสานงานการตรวจประเมินทางออนไลน์ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและแอปพลิเคชั่นต่างๆบนเว็บไซต์และสมาร์ทโฟนซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการยื่นคำขอผ่านระบบแล้วเกือบ40รายโดยสามารถเข้าระบบได้ที่https://www.tisi.go.th/ website/Accreditation/eAccreditationหรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ โทร. 0 2202 3531หรือe-mail: [email protected] “สมอ.ได้พัฒนาระบบการออกใบอนุญาตผ่านทางออนไลน์100%ครบทุกกิจกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้ผู้ประกอบการและประชาชนตามนโยบายรัฐบาลและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของสมอ.ให้มากยิ่งขึ้นและจะพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๔
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๔ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบว่า มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่ไม่พบการแพร่ระบาดเพิ่ม รวมเป็นจำนวน ๑๒๖ แห่ง และพบการแพร่ระบาดลดลงเหลือจำนวน ๑๒ แห่ง เนื่องจาก เรือนจำ/ทัณฑสถาน ๒ แห่ง พบว่า ไม่มีการแพร่ระบาดภายใน ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้เล็กน้อย จากการ SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำในเรือนจำที่ยังพบการระบาด เพื่อยืนยันผลซ้ำและการคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อันจะช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราผู้ป่วยหนัก ตลอดจนผู้ป่วยที่จะเสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งแม้จะมีตัวเลขที่สูงขึ้นจากเดิม แต่หากเทียบกับการ SWAB ในระยะแรก จะพบว่าเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลงจากเดิม ส่วนเรือนจำที่พบการติดเชื้อจากผู้ต้องขังเข้าใหม่ ก็สามารถแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ต้องขังรายอื่นได้อย่างชัดเจน และนำตัวไปรักษาที่สถานพยาบาลภายนอก หรือพื้นที่ควบคุมเฉพาะได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งการรักษามาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด จะสามารถป้องกันเชื้อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดภายในเรือนจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคาดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อจากนี้ ในส่วนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ มีสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค (สถานพินิจฯ สีขาว) จำนวน ๑๓ แห่ง ทั้งนี้ สำหรับด้านการฉีดวัคซีน ปัจจุบัน ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนในเรือนจำ/ทัณฑสถาน จำนวน ๕ แห่ง ซึ่งแล้วเสร็จ จำนวน ๒ แห่ง และอยู่ระหว่างการฉีดวัคซีน ๓ แห่ง คือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ที่จะแล้วเสร็จในวันนี้ ส่วนเรือนจำพิเศษพัทยา และทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี จะแล้วเสร็จ ในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งการฉีดวัคซีนที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่ได้รับการจัดสรรจากกรมควบคุมโรค กรมราชทัณฑ์ จะดำเนินการฉีดวัคซีนควบคู่กับประชาชนทั่วไป ในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ โดยเริ่มในกลุ่มเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ เรือนจำจังหวัดปทุมธานี เรือนจำอำเภอธัญบุรี สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางเพชรบุรี รวมทั้งเรือนจำกลางสมุทรปราการ และทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี ที่ได้ดำเนินการฉีดไปแล้ว จะได้รับการจัดสรรวัคซีนครบตามจำนวนผู้ต้องขังทุกคน ในส่วนของเรือนจำพื้นที่สีแดง ที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดในเรือนจำ จะได้ดำเนินการฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง (ผู้ต้องขังสูงอายุ และผู้ต้องขังที่มีโรคประจำตัว) โดยในส่วนของเรือนจำที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และมีผู้ต้องขังที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการยืนยันทางการแพทย์ ก็จะได้รับการจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้กับผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-CESA approves “Phuket Sandbox” to reopen Phuket to vaccinated foreign tourists
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 CESA approves “Phuket Sandbox” to reopen Phuket to vaccinated foreign tourists CESA approves “Phuket Sandbox” to reopen Phuket to vaccinated foreign tourists June 4, 2021, at 1330hrs, at PMOC Room, ThaiKhuFah Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha presided over the 2/2021 meeting of theCommittee for Economic Situation Administration(CESA) via a teleconference, gist of which is as follows: CESA approved in principlePhuket Sandbox model, as proposed by Tourism Authority of Thailand (TAT), toreopenthe provinceto foreign touristsfromJuly 1,2021 onward.Tourists who wish to visit the provincewithout a 14-day quarantinemusthave COVID-19 vaccination certificate valid a minimum of 14 days to one year before their arrival in Phuket, andmusttravel from any of themedium to low-risk countriesidentified byMinistry of Public Health.Kids younger than 6 years of agewho accompanyvaccinated parentsmay also enter the province, but those between 6-18 years old are required to undergo COVID-19 test upon arrival at the Phuket Airport.They must alsopresent a vaccinationcertificateofaCOVID-19 vaccine registered under the Thai law or certified by WHO, and are required toinstalla mobileapplicationupon arrival in the country, as well as stay at a SHA+ standard hotel for 14 nights before being able to travel to other provinces. CESA alsodeliberated the“Better Phuket Initiatives”,a preparationplanfor reopening of the province, which includes landscape development, tourism worker skill development, safety enhancement, among others.TAT has been assigned to lay out detail of the plan to be submitted to CESA, and later, to the cabinet. CESA also approved investment and economic stimulus measuresto attract high-potential foreigners. Focus has been made on4 target groups: 1)Wealthy global citizens, 2) Investors with highly-spending power under theFlexible Plus Program, 3)Wealthy pensioners, and 4)High-skilled professionals.DeputyPrime Minister and Minister of Energy SupattanapongPunmeechaowhas been assigned tocollaborate with concerned agencies to lay out detail of the matter.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เดินหน้าไกล่เกลี่ยช่วยลูกหนี้สู้โควิดครั้งที่ 2 สำเร็จมากกว่า 113 คดีทั่วประเทศ หวังประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เดินหน้าไกล่เกลี่ยช่วยลูกหนี้สู้โควิดครั้งที่ 2 สำเร็จมากกว่า 113 คดีทั่วประเทศ หวังประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างยั่งยืน นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เดินหน้าไกล่เกลี่ยช่วยลูกหนี้สู้โควิดครั้งที่ 2 สำเร็จมากกว่า 113 คดีทั่วประเทศ ยืนยันให้ความสำคัญกับลูกหนี้เพื่อเข้าถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายใต้สถานการณ์โควิดระบาด นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์โควิดระบาดในหลายรอบที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ทำให้มีลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่อยู่ระหว่างก่อนและหลังการบังคับคดี จนเกิดหนี้สินครัวเรือน หนี้รายย่อย หนี้บัตรเครดิต และหนี้ธุรกิจ ตลอดจนลูกหนี้ไม่มีรายได้มาชำระหนี้ ด้วยเหตุนี้กรมบังคับคดีจึงได้จัดโครงการ “ไกล่เกลี่ยทั่วไทยร่วมใจช่วยเหลือลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ครั้งที่ 1” ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาซึ่งมีลูกหนี้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง กรมบังคับคดี จึงได้จัดโครงการ “ไกล่เกลี่ยทั่วไทยร่วมใจช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่ามีเรื่องเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยฯ จำนวนทั้งสิ้น 148 เรื่อง ทุนทรัพย์ จำนวน 121,298,837.00 บาท ไกล่เกลี่ยสำเร็จถึง 113 เรื่อง ทุนทรัพย์ จำนวน 60,892,819.30 บาท ความสำเร็จของการไกล่เกลี่ยฯ นอกจากนี้ กรมบังคับคดี ยังได้จัดโครงการบังคับคดีร่วมใจไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งร่วมกับสถาบันการเงิน บริษัทบัตรเครดิต บริษัทลีสซิ่ง เช่า-ซื้อ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2564 ที่สำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ ทั้ง 116 แห่ง นางอรัญญา ยืนยันว่า กรมบังคับคดีให้ความสำคัญกับลูกหนี้เพื่อเข้าถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีมาโดยตลอด เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายใต้สถานการณ์โควิดระบาด ซึ่งกรมบังคับคดี ยินดีและพร้อมยกระดับการให้บริการด้วยการเปิดยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th และแอปพลิเคชัน Session call โดยผู้ประสงค์จะเข้าไกล่เกลี่ยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 02-881 4840 02-887 5072 หรือสายด่วน กรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ และศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง วันจันทร์ที่ 7 มิ.ย 64 นี้ ย
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ และศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง วันจันทร์ที่ 7 มิ.ย 64 นี้ ย นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ และศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง วันจันทร์ที่ 7 มิ.ย 64 นี้ ยืนยันฉีดวัคซีนปูพรมทั่วประเทศตามกำหนดการ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ และศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ในวันจันทร์ที่ 7 มิ.ย 64 นี้ โดยศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อมีเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้อย่างน้อยวันละประมาณ 10,000 คน ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายได้ที่กำหนดไว้ จากที่ได้เริ่มดำเนินการในเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา ส่วนการเปิดบริการจริงเต็มรูปแบบในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 นี้ จะเปิดให้บริการประชาชนที่ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้าก่อนแล้วเท่านั้น เพี่อความชัดเจนว่าประชาชนที่เดินทางมาที่สถานีกลางบางซื่อจะได้รับการฉีดวัคซีนตามกำหนดที่นัดหมายอย่างแน่นอน และเป็นการลดความแออัดของสถานที่ฉีดวัคซีนอีกด้วย สำหรับการฉีดวัคซีนให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นั้น กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม จัดการบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในสถานประกอบการ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่แรงงานในภาคธุรกิจ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว สร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนได้มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ โดยจะเริ่มการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 นี้ ให้กับผู้ประกันตนที่ได้แจ้งความประสงค์ต้องการรับวัคซีนไว้กับฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และได้บันทึกลงระบบ e – service ของสำนักงานประกันสังคมไว้แล้ว ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดจุดฉีดไว้ทั้งสิ้น 45 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร และมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ 50,000 คน โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า “สำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับการนัดหมายไว้ก่อนแล้วนั้น สามารถดำเนินการได้ทั่วประเทศตามแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กระจายวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ทุกจังหวัดทั้งในส่วนของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การจัดส่งวัคซีนจากส่วนกลางไปยังสถานที่ฉีดวัคซีนต่างๆ ทั่วประเทศนั้น มีการปรับเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยจากเดิมที่ส่งให้จังหวัดเป็นรายเดือน ได้ทำการปรับเปลี่ยนเป็นแบบรายสัปดาห์ตามสถานการณ์แทน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษก ศบค. เน้นย้ำประชาชนที่เดินทางออกท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ รักษามาตรการสวมหน้ากาก เลี่ยงไปในพื้นที่ผู้คนหนาแน่นแออัด
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ผู้ช่วยโฆษก ศบค. เน้นย้ำประชาชนที่เดินทางออกท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ รักษามาตรการสวมหน้ากาก เลี่ยงไปในพื้นที่ผู้คนหนาแน่นแออัด ผู้ช่วยโฆษก ศบค. เน้นย้ำประชาชนที่เดินทางออกท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ รักษามาตรการสวมหน้ากาก เลี่ยงไปในพื้นที่ผู้คนหนาแน่นแออัด วันนี้ 6 มิ.ย. 2564 ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า (ศบค.) แพทย์หญิง พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศมาตรการผ่อนคลายตั้งแต่ระยะที่ 1 ถึง ระยะที่ 3 ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดให้บริการมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ประชาขนคนไทยจะได้ผ่อนคลายลดความตึงเครียดและครอบครัวได้ออกไปใช้เวลาพักผ่อนร่วมกัน และข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ยังกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะในช่วงนี้มีแค่ประชาชนคนไทยเท่านั้นที่จะท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมเน้นย้ำว่า การออกไปท่องเที่ยวนั้นต้องคำนึงถึงจำนวนผู้คนและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความแออัด ดังนั้น ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่แออัด หรือมีผู้คนจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดการกังวลในการติดเชื้อโรคระบาด covid-19 ดังนั้น อยากจะแนะนำว่าช่วงนี้ให้เลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่คนยังน้อยอยู่ มีผู้คนไปใช้พื้นที่ไม่เยอะมาก หรือรอแหล่งท่องเที่ยวเริ่มมีผู้คนน้อยลงแล้วค่อยเดินทางไปเที่ยว รวมทั้ง ต้องคำนึงถึงมาตรการต่างๆ และจำนวนที่คนในพื้นที่ด้วย การสวมหน้ากากอนามัยไปในสถานที่ต่าง ๆอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 กุมภาพันธ์ 2564
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 กุมภาพันธ์ 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปัน ผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ ของข้าราชการพลเรือนกลาโหม พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญ รวม 3 ฉบับ 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าแผ่นม้วนรีดร้อนสำหรับงานท่อต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 2 ฉบับ เศรษฐกิจ - สังคม 9. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ในส่วนของงานโยธาของกรมทางหลวง 10. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก 11. เรื่อง ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน 12. เรื่อง ขออนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 13. เรื่อง การขอขยายเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธาการจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี 15. เรื่อง ขอเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 16. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 17. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2563 18. เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 เรื่อง แผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. 2564-2570 19. เรื่อง รายงานประจำปี 2562 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข 20. เรื่อง รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2562 21. เรื่อง หลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง 22. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนพฤศจิกายน 2563และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม 2563 และแนวโน้มปี 2564 23. เรื่อง รายงานความก้าวหน้าด้านความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ด้านเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) 24. เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน 25. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเร่งด่วน ว่าด้วยการบริหารการจัดการศึกษาในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เหมาะสมกับสังคมไทย ของคณะกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา 26. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการศึกษาหลักสูตรอาชีวศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสในอนาคต ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา 27. เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น 28. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2564 ต่างประเทศ 29. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-บราซิล 30. เรื่อง การจัดกิจกรรมพระมหาสมณานุสรณ์ รัฐบาลไทยและองค์การยูเนสโกร่วมฉลอง 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสพุทธศักราช 2564 31. เรื่อง ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 2 และการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 12 แต่งตั้ง 32. เรื่อง รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการ (จำนวน 7 ราย) 33. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี 34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 35. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเอกอัครราชทูต (กระทรวงการต่างประเทศ) 36. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 37. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา 38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ 39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข) ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ พน. เสนอว่า 1. โดยที่ข้อ 5 วรรคหนึ่ง ของประกาศปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ได้กำหนดให้มีการทบทวนโอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียม และการพิจารณารูปแบบการให้สิทธิสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมของแต่ละภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมทุก ๆ 3 ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ซึ่งครบกำหนด 3 ปี ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 2. ในปี 2564 พน. อยู่ระหว่างเตรียมการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิต ปิโตรเลียม พน. โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจึงได้ดำเนินการทบทวนโอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทยและของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียม และการพิจารณารูปแบบการให้สิทธิสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมของแต่ละภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียม เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประกาศดังกล่าว โดยได้พิจารณาข้อมูลการเจาะหลุมสำรวจในปี 2560 – 2562 กับข้อมูลการเจาะหลุมสำรวจตั้งแต่ปี 2514 – 2559 เพื่อทบทวนโอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย และโอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมโดยปรากฏผลการทบทวน ดังนี้ 2.1 โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย ร้อยละ 38 (ลดลงจากร้อยละ 39) 2.2 โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13 (ลดลงจากร้อยละ 14) 2.3 โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมเหนือและกลาง ร้อยละ 30 (ลดลงจากร้อยละ 31) 2.4 โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมทะเลอ่าวไทย ร้อยละ 49 (ลดลงจากร้อยละ 50) 2.5 โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมใต้บนบก และภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมทะเลอันดามัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ผลของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้ทำให้การพิจารณารูปแบบการให้สิทธิสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมของแต่ละภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 3. ประกอบกับมาตรา 23 วรรคสี่ บัญญัติให้การกำหนดให้ที่ใดสมควรที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียม ในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือสัญญาจ้างบริการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น พน. จึงได้ยกร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียม ในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงเอกสารหมายเลข 1 ท้ายประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2560 และให้ใช้เป็นเอกสารหมายเลข 1 ท้ายร่างประกาศในเรื่องนี้แทน ซึ่งคณะกรรมการปิโตรเลียมได้เห็นชอบร่างประกาศดังกล่าวแล้ว จึงได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทานสัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างประกาศ ให้ยกเลิกเอกสารหมายเลข 1 ท้ายประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2560 และให้ใช้เอกสารหมายเลข 1 ท้ายร่างประกาศนี้แทน ดังนี้ ประเทศไทย/ภูมิภาคธรณีวิทยาปิโตรเลียม โอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ (ร้อยละ) ประกาศฯ ผลการทบทวน (ร่างประกาศ) 1. ประเทศไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน แจ้ง กำหนดการทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 9
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 กรมการจัดหางาน แจ้ง กำหนดการทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 9 กรมการจัดหางาน และสำนักบริการพัฒนาบุคลากรแห่งเกาหลี (Human Resources Development Service of Korea: HRD Korea) แจ้งข่าวดี ผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point system) ครั้งที่ 9 สามารถเข้ารับการทดสอบได้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.นี้ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 กรมการจัดหางานได้มีประกาศเลื่อนการทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 9 ประเภทกิจการเกษตร/ปศุสัตว์ และก่อสร้าง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยผู้เข้ารับการทดสอบ ณ สนามทดสอบกรุงเทพมหานคร ที่มีกำหนดสอบระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 - 28 มกราคม 2564 และสนามทดสอบ ณ จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 - 22 มกราคม 2564 ให้เลื่อนการทดสอบตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 ไปจนถึง 31 มกราคม 2564 ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ล่าสุดสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น กรมการจัดหางาน และสำนักบริการพัฒนาบุคลากรแห่งเกาหลี (Human Resources Development Service of Korea: HRD Korea) จึงขอแจ้งวัน เวลา และสถานที่ทดสอบ ดังนี้ 1.สนามทดสอบกรุงเทพมหานคร ณ อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ชั้น 11 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร กำหนดทดสอบระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 - 5 มีนาคม 2564 โดยแบ่งออกเป็นวันละ 4 รอบ รอบละ 30 คน 2. สนามทดสอบจังหวัดอุดรธานี ณ อาคารพาณิชย์เลขที่ 131 หมู่ที่ 5 ถนนรอบเมือง ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี กำหนดทดสอบระหว่างวันที่ 8 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 โดยแบ่งออกเป็นวันละ 4 รอบ รอบละ 45 คน “ขอให้ผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบทุกท่านสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และปฏิบัติตามระเบียบ วิธีการทดสอบที่ทางสนามสอบกำหนด โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบฯ ได้ที่หน้าเว็บกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ https://www.doe.go.th/overseas และขอย้ำเตือนว่าหากพบผู้ใดทุจริตหรือพยายามทุจริต คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณาสั่งงดการตรวจให้คะแนน รวมถึงทำให้ไม่มีสิทธิสมัครทดสอบเป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการทดสอบฯ ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สามารถแจ้งความประสงค์ในการเลื่อนการทดสอบ โดยการยื่นเอกสารหลักฐานแสดงที่พักอาศัยก่อนวัน และเวลาที่ต้องเข้ารับการทดสอบ กับสำนักบริการพัฒนาบุคลากรแห่งเกาหลี ศูนย์อีพีเอสประจำประเทศไทย ทางโทรศัพท์หมายเลข 0 2245 9433 ตามวัน เวลาราชการ และผู้ที่สนใจทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) เพื่อไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลี สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โทร. 02-245-9429 02-245-6716 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Krungthai COMPASS แนะธุรกิจใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปรับใช้เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัล รับมือ 3 กระแสเปลี่ยนโลก
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 Krungthai COMPASS แนะธุรกิจใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปรับใช้เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัล รับมือ 3 กระแสเปลี่ยนโลก ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้การปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้นในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้การปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้นในระยะข้างหน้า พร้อมทั้งยกระดับความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป คาดภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มอย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในขณะที่ภาคธุรกิจทุ่มเทสรรพกำลังในการพลิกฟื้นจากผลกระทบของวิกฤต Covid-19 ให้ได้โดยเร็ว แต่ก็ต้องไม่ลืมหันมาเตรียมพร้อมกับ New Normal ด้วยเช่นกัน โดยเทรนด์ที่เด่นชัดคือการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มาพร้อมกับ 3 กระแสเปลี่ยนโลก ได้แก่ 1) การมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน 2) การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และ 3) การประยุกต์ใช้ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อยกระดับศักยภาพของธุรกิจ ทั้งนี้ การลงทุนและปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจที่อยู่บนฐานโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) คาดว่าจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินลงทุนในเศรษฐกิจไทยเพิ่มอย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วนเงินลงทุนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 4% จากระดับปัจจุบัน “หากธุรกิจไทยใช้ประโยชน์จากฐานเกษตรกรรมและทรัพยากรชีวภาพไทยที่มีความหลากหลาย และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัลอย่างเหมาะสม ในการพัฒนาและต่อยอดในหลายอุตสาหกรรมบนพื้นฐานของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะช่วยยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน” ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์อาวุโส กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาประเทศคู่ค้าสำคัญๆ ของไทย เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ได้ดำเนินมาตรการภาคบังคับด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ มาตรการฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์ เป็นต้น และล่าสุดสหภาพยุโรปได้ร่างมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนที่เรียกว่า Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เพื่อปรับราคาของสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศให้สะท้อนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการผลิตของสินค้าที่สูงกว่าการผลิตในสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยหากผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทันอย่างไรก็ดี ความท้าทายที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญในหลายประเภทอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรมและอาหาร ยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก พลังงาน “หากผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจให้ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัล ก็จะสร้างประโยชน์แบบ win-win โดยจะช่วยให้ประเทศไทยลดก๊าซเรือนกระจกได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ทางการค้าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของตน ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของภาคธุรกิจในระยะยาว”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์การระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สถานการณ์การระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลัง กระทรวงเกษตรฯ ติดตามสถานการณ์การระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลัง นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามสถานการณ์การระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่หมู่ที่2บ้านสระเพลงตำบลสูงเนินอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาพบยังคงมีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังโดยสำนักงานเกษตรจังหวัดนครราชสีมาได้สำรวจพื้นที่การระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลังของจังหวัดนครราชสีมาพบการระบาดจำนวน1.56แสนไร่ ทั้งนี้รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ติดตามและสั่งการเร่งด่วนให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรแจ้งเพื่อรองรับการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังดำเนินการขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38998
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะผู้ประกอบการอาหารเข้มสุขาภิบาลอาหาร ลดความเสี่ยงติดโควิด 19
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สธ. แนะผู้ประกอบการอาหารเข้มสุขาภิบาลอาหาร ลดความเสี่ยงติดโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ประกอบการ/ผู้จำหน่ายอาหาร ปฏิบัติตามแนวทางสุขาภิบาลอาหารส่วนประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุก อุ่นอาหารที่ซื้อจากตลาดให้ร้อน ป้องกันตัวเองเข้มข้นต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ได้ วันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้เกือบ 1,000 ราย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ประกอบการ/ผู้จำหน่ายอาหาร ปฏิบัติตามแนวทางสุขาภิบาลอาหารส่วนประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุก อุ่นอาหารที่ซื้อจากตลาดให้ร้อน ป้องกันตัวเองเข้มข้นต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ได้ วันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้เกือบ 1,000 ราย วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 189 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 123 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 56 ราย และมาจากต่างประเทศ 10 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 23,746 ราย หายป่วยกลับบ้านได้แล้ว 956 ราย เหลือผู้ติดเชื้อที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามเพียง 5,301 ราย นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทยขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลายจังหวัดสามารถควบคุมการระบาดได้ สำหรับ จ.สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานครการระบาดเริ่มชะลอตัว โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่พบจากความเชื่อมโยงกลุ่มงานเลี้ยง ยังคงเน้นการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในกลุ่มที่มีความเสี่ยง และยังเข้มมาตรการชุมชนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงงาน ชุมชนโดยรอบ ส่วน อ.แม่สอด จ.ตาก พบผู้ติดเชื้อสัญชาติเมียนมาในชุมชนเป็นกลุ่มก้อนจากการติดเชื้อในครอบครัว สำหรับประชาชนที่มีความกังวลใจในประเด็นที่พบการติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มผู้ประกอบการอาหาร/ขายอาหาร แนะนำว่าให้ปฏิบัติตามแนวทางสุขาภิบาลอาหารเป็นหลัก รวมทั้งการประกอบอาหารเองที่บ้าน เช่น การจัดเตรียมอาหาร ต้องหมั่นล้างมือ อุปกรณ์ เช่น เขียง มีด แยกใช้ระหว่างเนื้อสัตว์สุก เนื้อสัตว์ดิบ ผัก และผลไม้ สำหรับอาหารที่จะนำไปรับประทานต้องปรุงสุก อุ่นให้ร้อนก่อน และการไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดสด ควรป้องกันตนเองอย่างเข้มข้น “การป้องกันโรคโควิด 19 ที่ดีเริ่มได้ที่ตัวเรา ด้วยการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ พกเจลแอลกอฮอล์ สแกนไทยชนะ และใช้แอปพลิเคชันหมอชนะทุกครั้ง หากปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องความเสี่ยงในการแพร่และรับเชื้อในชุมชนก็จะลดลง”นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว ****************************** 9 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39008
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ผนึกศิลปินสร้างความสุขและกำลังใจให้คนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จัด“กิจกรรมส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์”
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 วธ.ผนึกศิลปินสร้างความสุขและกำลังใจให้คนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จัด“กิจกรรมส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์” วธ.ผนึกศิลปินสร้างความสุขและกำลังใจให้คนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จัด“กิจกรรมส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์” ศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินเพลงไทยลูกกรุงร่วมขับขาน วธ.ผนึกศิลปินสร้างความสุขและกำลังใจให้คนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จัด“กิจกรรมส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์” ศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินเพลงไทยลูกกรุงร่วมขับขาน เผยแพร่และอนุรักษ์บทเพลงไทยลูกกรุงเพื่อให้คนรุ่นหลังเรียนรู้สืบสานรักษาไว้ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 16.30 น. ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรมได้รับมอบหมายจากนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกิจกรรม“ส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์” โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)มีนโยบายในการรักษาและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมด้วยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความสำนึกรักและหวงแหนในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น โดยส่วนหนึ่งได้มีการส่งเสริม อนุรักษ์และสืบสานบทเพลงไทยสากลอมตะ(ไทยลูกกรุง)อันทรงคุณค่าทางภาษาไทยและกำลังจะสูญหายไปจากสังคมไทย เนื่องจากเพลงไทยสากลอมตะ(ไทยลูกกรุง)เป็นบทเพลงที่มีเนื้อหาคำร้องที่มีความงดงามของภาษาไทยและมีวิธีการขับร้องที่ถูกต้องและชัดเจนตามหลักภาษาไทย ดังนั้น วธ.โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.)ได้ร่วมกับโครงการอนุรักษ์และสืบสานบทเพลงไทยสากลอมตะ จัด“กิจกรรมส่งความสุขด้วยเพลงออนไลน์”ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 14.00 – 17.00 น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ อนุรักษ์และสืบสานเพลงไทยสากลอมตะ(ไทยลูกกรุง) รวมทั้งเป็นการสร้างความสุขและสร้างกำลังใจให้แก่คนไทยด้วยการจัดคอนเสิร์ตเพลงไทยลูกกรุงแบบฐานวิถีชีวิตใหม่(new normal)ในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งไม่ว่าอยู่ในพื้นใดก็สามารถรับชมได้สอดคล้องกับมาตรการควบคุมและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า กิจกรรมดังกล่าวมีศิลปินแห่งชาติ ศิลปินเพลงไทยลูกกรุงในอดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่ ธนิศร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ ธานินทร์ อินทรเทพ รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส โฉมฉาย อรุณฉาน จิตติมา เจือใจ อุมาพร บัวพึ่ง ศุภาชัย ผ่องสวัสดิ์ อุไรวรรณ ทรงงาม วีระ บำรุงศรี เจินเจิน บุญสูงเนิน อุเทน พรหมมินทร์ นฤมล สมหวัง แอ็ค-โชคชัย หมู่มาก สปาย-ภาสกร รุ่งเรืองเดชาภัทร์และอลิส-ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน มาขับร้องบทเพลงไทยสากลอมตะ(ไทยลูกกรุง)ทั้งบทเพลงแห่งความรัก บทเพลงส่งความสุขตรุษจีนและบทเพลงคติธรรมมาฆบูชา ซึ่งเป็น 3 เทศกาลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยสามารถรับชมผ่านการไลฟ์สดของกระทรวงวัฒนธรรมได้ที่https://www.facebook.com/ThaiMCulture/ และรับชมย้อนหลังผ่านทางยูทูป Channel:สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นอกจากนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทป่าสักวิลเลจ จำกัดในการบันทึกเทปการแสดงและรับชมย้อนหลังได้ที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมไอพีเอ็ม ซึ่งรับชมได้ในระบบจานดำ PSI ทั่วโลก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการเผยแพร่และอนุรักษ์บทเพลงไทยสากลอมตะ(ลูกกรุง)ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้นและเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และร่วมกันสืบสานรักษาให้คงอยู่กับชาติไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39006
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (SOCA Retreat) ผ่านระบบทางไกล (Video Conference)
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (SOCA Retreat) ผ่านระบบทางไกล (Video Conference) พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (SOCA Retreat) ผ่านระบบทางไกล (Video Conference) เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 64 เวลา 09.00 น. นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อารยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)ให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของประเทศไทย (SOCA Leader of Thailand) พร้อมด้วยนายอรรคพงษ์ ศรีสุบัติ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นางสาววิมลรัตน์ รัชชุกูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสังกัดกระทรวง พม. เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Senior Officials Committee for the ASEAN Socio-Cultural Community (SOCA) Retreat) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางจตุพร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ประเทศบรูไนดารุสซาลามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งเป็นการจัดประชุมครั้งแรกของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของบรูไนดารุสซาลาม ในปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับแผนงานสำคัญและเอกสารผลลัพธ์สำคัญของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พร้อมทั้งแจ้งกำหนดการจัดประชุมประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี 2564 ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียนสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน และผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียน นางจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสนี้ ตนได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมในนาม SOCA Leader ประเทศไทย เกี่ยวกับการขอบรรจุเอกสารผลลัพธ์สำคัญ จำนวน 2 ฉบับ ซึ่งประเทศไทย โดยกระทรวง พม. เป็นผู้ริเริ่ม ประกอบด้วย 1) แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคเพื่อขับเคลื่อนปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐาน (Regional Plan of Action on Implementing the ASEAN Declaration on the Rights of Children in the Context of Migration) และ 2) แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน (Regional Plan of Action for the Protection of Children from All Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN (2021-2025)) เพื่อเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน ในปี 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยไทยเป็นอันดับ 4 ของโลกควบคุมโควิด 19 ได้ดี
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สธ. เผยไทยเป็นอันดับ 4 ของโลกควบคุมโควิด 19 ได้ดี กระทรวงสาธารณสุข เผยสถาบันโลวี ออสเตรเลีย จัดให้ไทยเป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยคะแนน 84.2 ควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดี จากทั้งหมด 98 ประเทศ ประเมินประสิทธิภาพ 6 ตัวชี้วัด กระทรวงสาธารณสุข เผยสถาบันโลวีออสเตรเลีย จัดให้ไทยเป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยคะแนน 84.2 ควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดี จากทั้งหมด 98 ประเทศ ประเมินประสิทธิภาพ 6 ตัวชี้วัด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทย ได้จัดระบบบริหารจัดการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตั้งแต่เริ่มพบการระบาด ทำให้ควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการระบาดระลอกใหม่ สามารถจำกัดวงการแพร่ระบาดให้อยู่ในระดับพื้นที่ ภาพรวมควบคุมสถานการณ์ได้ดี โดยสถาบันโลวี(Lowy Institute) ของออสเตรเลียได้จัดอันดับให้ไทยเป็นอันดับ 4 ที่รับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดีที่สุดในโลก จากทั้งหมด 98 ประเทศ โดยอันดับ 1 คือ นิวซีแลนด์ 94.4 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 รองลงมาคือ เวียดนาม 90.8 คะแนน ไต้หวัน 86.4 คะแนน ไทย 84.2 คะแนน และไซปรัส 83.3 คะแนนการประเมินครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาการประเมิน 36 สัปดาห์ ตัดข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2564 โดยประเมิน 6 ตัวชี้วัด คือ จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนผู้ติดเชื้อต่อประชากร 1 ล้านคน จำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากร 1 ล้านคน จำนวนผู้ติดเชื้อต่อสัดส่วนการตรวจหาเชื้อ และการตรวจหาเชื้อต่อประชากร 1,000 คน “ผลการจัดอันดับครั้งนี้ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และยืนยันความสำเร็จของการควบคุมโรคโควิด 19 ที่ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข การอยู่บ้าน ลดการเดินทาง เฝ้าระวัง เข้มงวดตามแนวชายแดน ป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ใช้แอปพลิเคชันไทย, หมอชนะ” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ประเทศไทยติดอันดับโลกด้านสาธารณสุข อาทิอันดับ 1 ประเทศที่ฟื้นตัวและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดีที่สุดจากข้อมูลดัชนีโควิด-19 ระดับโลก (GCI)จาก 184 ประเทศทั่วโลก ตามดัชนี Global COVID-19 Index (GCI) ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ประเทศมาเลเซียณ วันที่ 29 ก.ค. 63โดยมีคะแนนดีที่สุด ในสองมิติ คือ ด้านการฟื้นตัวจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่บรรเทาการระบาดของไวรัสได้ก้าวหน้าที่สุดในโลก และด้านความรุนแรงของสถานการณ์โรคโควิด-19 เป็นประเทศที่รับมือกับวิกฤตได้ดี โดยมีอัตราการติดเชื้อต่ำ และมีผู้เสียชีวิตน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังและการควบคุมโรคที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ในปี 2562 ไทยติดอันดับ 6 จาก 195 ประเทศที่มีความมั่นคง ด้านสุขภาพเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลก จากการจัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ สหรัฐอเมริกา (John Hopkins Center for Health Security) ที่ใช้ดัชนีวัดความมั่นคงด้านสุขภาพ(Global Health Security Index)พิจารณาจากความเข้มแข็งระบบสาธารณสุข ความสามารถในการป้องกันโรค มาตรการที่จะใช้รับมือกรณีมีสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงในปี 2564 แม้ว่าไทยจะเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ แต่สามารถบริหารจัดการได้ดี ทำให้ไทยติดอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 8 ของโลกที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดจากการสำรวจของ Numbeo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีฐานข้อมูลค่าครองชีพและระบบสาธารณสุขใหญ่ที่สุดในโลก ********************************* 9 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มคุณธรรมและความโปร่งใสภาครัฐ เน้นชูผลงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการทุจริต
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มคุณธรรมและความโปร่งใสภาครัฐ เน้นชูผลงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการทุจริต นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มคุณธรรมและความโปร่งใสภาครัฐ เน้นชูผลงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการทุจริต วันนี้ (9 ก.พ. 64) เวลา 13.30 ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย (CPI) ว่า ได้มอบหมายให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างส่วนราชการและภาคประชาชน ซึ่งได้ข้อสรุปให้มีการกำหนดมาตรการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละหน่วยงานปฏิบัติตาม พรบ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 โดยมี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นหน่วยงานดูแล และให้มีการปรับปรุงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ซึ่งเป็นการประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้สะท้อนคะแนนของ CPI มากยิ่งขึ้น โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดูแล ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีย้ำให้หน่วยของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกถึงผลงานในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ที่มีความก้าวหน้าตามลำดับโดยมีการฟ้องร้องคดีใหม่อีกครั้งและประสานงานกับต่างประเทศเพื่อออกหมายแดง ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจำนวนคดีทุจริตที่มีมากขึ้นแต่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามกระบวนการยุติธรรมจะต้องมีหลักฐานในการดำเนินคดี ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ฉลองตรุษจีน จัดประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 999 รายการ 11 ก.พ.นี้ มอบอั่งเปาด้วยส่วนลดพิเศษอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล!!
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ธอส.ฉลองตรุษจีน จัดประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 999 รายการ 11 ก.พ.นี้ มอบอั่งเปาด้วยส่วนลดพิเศษอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล!! ธอส.ร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีน คัดบ้านมือสอง สภาพดี คุ้มราคา ทั่วประเทศรวม 999 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 45,000 บาท เท่านั้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีน คัดบ้านมือสอง สภาพดี คุ้มราคา ทั่วประเทศรวม 999 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง45,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! มอบอั่งเปาส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลหากทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 30 เมษายน 2564 พร้อมโปรโมชั่นผ่อนดาวน์หรือสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มประมูลพร้อมกันวันตรุษจีน 11 กุมภาพันธ์ 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -13.00 น. นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ปี 2564 ธอส. จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษมอบให้แก่ลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นของขวัญที่ล้ำค่าให้กับตนเองและครอบครัว โดยนำบ้านมือสองทั่วประเทศรวม 999 รายการ มาออกประมูลให้กับลูกค้าได้เลือกซื้อง่าย ๆ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.00 -13.00 น. ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลที่ให้ส่วนลดพิเศษสูงถึง 40% จากราคาปกติ และผู้ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์ได้รับอั่งเปาเป็นส่วนลดเพิ่มอีกถึง 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2564สำหรับทรัพย์ที่นำมาเปิดประมูลในครั้งนี้ แบ่งเป็น ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 499 รายการ มีรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่ให้ส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ คือ ห้องชุดขนาด 30.87 ตารางเมตร ในโครงการหมู่บ้านอยู่สบาย (หนึ่ง) อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูล 180,000 บาท รายการที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 45,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด ขนาด 26.25 ตารางเมตร โครงการปลาทอง อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ส่วนทรัพย์เด่นทำเลดี อาทิ บ้านเดี่ยว พื้นที่ 58.9 ตารางวา ในหมู่บ้านชวนชมรัตน์ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปยังรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่เพียง 18 นาทีเท่านั้น และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต 20 นาที ราคาเริ่มต้นประมูล 2,955,000 บาท และทาวน์เฮ้าส์ เนื้อที่ 30 ตารางวา ในหมู่บ้านวรารักษ์ คลอง 3 คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นทรัพย์ ที่อยู่ในบริเวณที่สามารถเดินทางไปยังศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต และตลาดไท ได้อย่างสะดวก ราคาเริ่มต้นประมูล 1,980,000 บาท ส่วนทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในส่วนในภูมิภาค นำออกประมูลจำนวน 500 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด ได้แก่ บ้านแฝด 1 ชั้น เนื้อที่ 25 ตารางวา โครงการนภาศรีวิลเลจ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ราคาเริ่มต้นประมูล 325,000 บาท รายการทรัพย์ที่มีส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ มีจำนวน 6 รายการ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 21.90 ตารางวา อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา ราคาเริ่มต้นประมูล 1,490,000 บาท และทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 20 ตารางวา อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 900,000 บาท โดยผู้ชนะการประมูล ต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์สินตามจำนวนที่ธนาคารกำหนดเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท (สำหรับทรัพย์ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท) และทำสัญญาจะซื้อจะขายภายใน 3 วันทำการ นับถัดจากวันที่ประมูล Online นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์หรือสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.40 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38995
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 1/2564 รองปลัดฯ นางวรวรรณ ประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบภารกิจ บทบาท และกลไกของแต่ละหน่วยงานในการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมร่วมกันพิจารณาแผนงานและเป้าหมายการดำเนินงาน กิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม อาทิ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับนักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญในการใช้ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และเทคโนโลยีตลอดจนการบริการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการ ผลักดันความร่วมมือด้านงานวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อีกทั้งยังมีผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมผ่านโปรแกรม Zoom ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พาณิชย์ สั่ง พาณิชย์ทุกจังหวัด ตรวจราคาสินค้า ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาช่วงตรุษจีน
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 รมว.พาณิชย์ สั่ง พาณิชย์ทุกจังหวัด ตรวจราคาสินค้า ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาช่วงตรุษจีน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ออกตรวจตลาดทุกพื้นที่ในความรับผิดชอบ โดยกำชับห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาโดยเด็ดขาดโดยเฉพาะช่วงตรุษจีน ที่คนไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องจับจ่ายใช้สอยเพื่อทำบุญในช่วงวันขึ้นปีใหม่ของจีน หากพบการกระทำความผิดกฎหมายให้ดำเนินการตามกฏหมายอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จัดพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชนอย่างต่อเนื่องจนถึงล็อตที่9 และเริ่มไปตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นการลดราคาผ่าน 11 แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประชาชนนิยมใช้ในปัจจุบันในสถานการณ์โควิด ซึ่งประชาชนใช้ช่องทางสั่งอาหาร เครื่องอุปโภคและบริการขนส่งแบบเดลิเวอรี่ และได้กำชับให้พาณิชย์ทุกจังหวัดสำรวจราคาสินค้าพร้อมการตรวจการปิดป้ายราคาสินค้ามาอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการปิดป้ายราคารับซื้อพืชผลทางการเกษตรด้วย อย่างไรก็ตามรายงานจากกรมการค้าภายใน ระบุด้วยว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดการที่เปิดโครงการจำหน่ายสินค้าบริโภคราคาถูกที่จำเป็นในช่วงเทศกาลตรุษจีน ไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ ไข่ และน้ำมันพืช เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39003
รัฐบาลไทย-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพรรคร่วมเข้มแข็ง ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพรรคร่วมเข้มแข็ง ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพรรคร่วมเข้มแข็ง ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” วันนี้ (9 ก.พ. 64) เวลา 13.30 ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลมีความสามัคคีกัน ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน ดำรงไว้ซึ่งสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์เพื่อนบ้านว่า ไทยยึดตามหลักการของ ASEAN พร้อมเตือนให้ระวังกลุ่มที่อาจเข้ายุยง/ปลุกปั่นการชุมนุม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 จากพึ่งพิงรายได้ภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว ในปี พ.ศ. 2530 ได้พัฒนาปรับปรุงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยมีสินค้าส่งออกทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และวันนี้ รัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG Model ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีดิจิทัล นำงานวิจัยมาผลิตให้เกิดสินค้า ผลิตภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้ โครงการต่าง ๆ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ หรือสำนักงบประมาณ การใช้จ่ายงบกลาง งบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาตามลำดับความเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอเรียกร้องของกลุ่มชาวประมงที่ขอระยะเวลาในการทำประมงเพิ่มเติม ซึ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ IUU ด้วย นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมุ่งหวังที่จะดูแลประชาชนให้ครบทุกภาคส่วน ในทุกพื้นที่ โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพื่อที่จะร่วมมือกันให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้ทุกกลุ่ม เนื่องจากโลกมีความเปลี่ยนแปลง ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จึงอยากให้ทุกคนสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุมีผล รู้จักพอประมาณ และมีความรู้คู่คุณธรรม ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวอวยพรขอให้ประชาชนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งคนไทยเชื้อสายจีนและประชาชนชาวจีนด้วย ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์” ในโครงการอบรมหลักสูตร “ผู้พิพากษาประจำศาล" (ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 72)
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ปลัดฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์” ในโครงการอบรมหลักสูตร “ผู้พิพากษาประจำศาล" (ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 72) ปลัดฯ ดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์” ในโครงการอบรมหลักสูตร “ผู้พิพากษาประจำศาล" (ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 72) เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นวิทยากรบรรยาย หัวข้อ “ กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์” ภายใต้ โครงการอบรมหลักสูตร “ผู้พิพากษาประจำศาล" (ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 72) ผ่านระบบ Zoom ของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ณ ห้องประชุม 801 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ โดยหลักสูตรนี้มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้ารับการอบรมด้วยกันเอง และระหว่างผู้อบรมกับวิทยากร เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้เข้ารับการอบรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากหลักสูตร ผู้พิพากษาประจำศาล มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการนั่งพิจารณาคดี การวินิจฉัยสั่งคำร้อง คำขอ และคำพิพากษา มีจริยธรรมในการดำรงตนอย่างเหมาะสม มีวิสัยทัศน์ทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน และสามารถนำไปบูรณาการในการปฏิบัติงานได้ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี ๒๕๖๓ ของกระทรวงวัฒนธรรม
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี ๒๕๖๓ ของกระทรวงวัฒนธรรม รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี ๒๕๖๓ ของกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี ๒๕๖๓ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารระดับสูง เข้ารับพระราชทาน ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39005
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามที่กำหนด พร้อมดำเนินการฉีดวัคซีนตามลำดับกลุ่มเสี่ยง
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรียืนยันไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามที่กำหนด พร้อมดำเนินการฉีดวัคซีนตามลำดับกลุ่มเสี่ยง นายกรัฐมนตรียืนยันไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามที่กำหนด พร้อมดำเนินการฉีดวัคซีนตามลำดับกลุ่มเสี่ยง วันนี้ (9 ก.พ. 64) เวลา 13.30 ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยในปลายเดือนนี้จะได้รับวัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 แสนโดส เดือนมีนาคม 8 แสนโดส และเดือนเมษายน 1 ล้านโดสตามที่กำหนด นายกรัฐมนตรียังกำชับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ พร้อมมีแผนในการฉีดวัคซีนตามกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มพื้นที่เสี่ยง หรือกลุ่มกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยึดหลักวัคซีนโควิด 19 ต้องปลอดภัย มีประสิทธิผล
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สธ. ยึดหลักวัคซีนโควิด 19 ต้องปลอดภัย มีประสิทธิผล กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี แม้ยังไม่ใช้วัคซีน ยืนยันการนำมาใช้ยึดเรื่องความปลอดภัย และมีประสิทธิผล จากการฉีดทั่วโลกกว่า 100 ล้านโดส ยังมีความปลอดภัยสูงทุกชนิด และเริ่มเห็นแนวโน้มการติดเชื้อลดลง ย้ำฉีดแล้วยังต้องป้องกันตนเอง วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แถลงข่าววัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วมากกว่า 100 ล้านโดส และเริ่มเห็นว่าอัตราการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะต้องติดตามว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ เนื่องจากประเทศที่มีการใช้วัคซีนมีแนวโน้มการระบาดของโรคลดลงจริง ขณะที่ประเทศไทยแม้ยังไม่มีการฉีดวัคซีนก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เช่นกัน จากที่เคยพบผู้ติดเชื้อวันละ 700-800 ราย ลดลงเหลือประมาณ 100 กว่าราย ซึ่งมาจากความร่วมมือของภาครัฐและประชาชนที่ช่วยกันควบคุมโรค นายแพทย์วิวัฒน์กล่าวว่า สำหรับเรื่องความปลอดภัยวัคซีน แม้วัคซีนโควิด19 ผลิตออกมาได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี แต่การนำมาใช้ยืนยันว่าต้องมีความปลอดภัยและมีประสิทธิผล และมีการติดตามผลในระยะยาวเพื่อให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น จากการฉีดวัคซีนทั่วโลกในขณะนี้พบว่าวัคซีนทุกตัวมีความปลอดภัยที่สูงมาก ยังไม่มีประเทศไหนที่ต้องหยุดฉีดเพราะอันตราย อาจมีบางคนที่เกิดอาการแพ้ได้ หลังการฉีดจึงต้องสังเกตอาการในสถานพยาบาล 30 นาที ส่วนวัคซีนโควิด19 ที่จะใช้ในประเทศไทยยึดเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญหากไม่ปลอดภัยจะไม่นำมาฉีดให้คนไทยแน่นอน ขอให้มีความมั่นใจการใช้วัคซีนต้องมีประโยชน์และได้ผลส่วนวัคซีนชนิดไหนดีที่สุดไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากข้อมูลของวัคซีนในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันเรื่องสายพันธุ์ดังนั้น จึงต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศของตน “หลายคนถามว่าวัคซีนเป็นคำตอบสุดท้ายหรือไม่ ขอชี้แจงว่า หลายประเทศที่แนวโน้มการติดเชื้อลดลงจากผลการฉีดวัคซีน ส่วนประเทศไทยการติดเชื้อลดลงมาจากโซเชียลวัคซีน ซึ่งได้ผลดีกว่าและเสียเงินน้อย คือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง และแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เชื้อยังมีโอกาสเข้าสู่ร่างกายและติดเชื้อได้โดยเชื้อจะถูกทำลายจนเหลือน้อย ทำให้ไม่เกิดโรค หรือเกิดโรคแต่อาการไม่รุนแรง และมีโอกาสแพร่เชื้อได้น้อยลง ดังนั้น เมื่อฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดแล้ว ยังคงต้องประพฤติตัวเสมือนว่าตัวเองติดเชื้อและแพร่เชื้อได้จึงต้องป้องกันตนเองต่อไป จนกว่าจะมีข้อมูลชัดเจนว่าสามารถกลับเข้าสู่ชีวิตตามปกติได้” นายแพทย์วิวัฒน์กล่าว ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักของการฉีดวัคซีน คือ1.ป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วย ลดความรุนแรงของโรคโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ/ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ติดเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรง2.ป้องกันการแพร่โรคดังนั้น หลายประเทศที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่จึงจำเป็นต้องเร่งนำวัคซีนเข้ามาช่วย และ3.ฟื้นระบบเศรษฐกิจและสังคมเมื่อควบคุมโรคได้แล้ว *************************** 9 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รับหนังสือจากเครือข่ายคนจันท์ต้านเหมืองทอง ยื่นค้านคำขออาชญาบัตร หวั่นทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนชุมชน ย้ำแนวทางแก้ไขต้องเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 รมต.อนุชา รับหนังสือจากเครือข่ายคนจันท์ต้านเหมืองทอง ยื่นค้านคำขออาชญาบัตร หวั่นทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนชุมชน ย้ำแนวทางแก้ไขต้องเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย รมต.อนุชา รับหนังสือจากเครือข่ายคนจันท์ต้านเหมืองทอง ยื่นค้านคำขออาชญาบัตร หวั่นทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนชุมชน ย้ำแนวทางแก้ไขต้องเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 2503 ตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับหนังสือจากผู้แทนเครือข่ายคนจันท์ต้านเหมืองทอง 44 องค์กร โดยมี นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคพลังท้องถิ่นไทย นางสาวญาธิชา บัวเผื่อน ส.ส. จันทบุรี พรรคก้าวไกล นายสมยศ ศรีทองคำ สจ.จันทบุรี และ นายธีระ วงษ์เจริญ รักษาการประธานสมาพันธ์คนจันท์ต้านเหมืองทอง นำคณะกว่า 20 คน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการยื่นขอคำอาชญาบัตรพิเศษแร่ทองคำของ บริษัท ริชภูมิ ไมนิ่ง จำกัด ในพื้นที่ 2 แปลง 14,650 ไร่ ใน ต.พวา ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมมือกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและต่อต้านการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนในพื้นที่ จ.จันทบุรี โดยการยื่นหนังสือในวันนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการหารือของเครือข่ายคนจันท์ต้านเหมืองทอง 44 องค์กร ซึ่งผ่านการรับรองข้อบังคับสมาพันธ์คนจันท์ต้านเหมืองทอง จำนวน 15 ท่าน เพื่อติดตามความคืบหน้าภายหลังที่เคยได้มีการยื่นหนังสือแสดงจุดยืนคัดค้านไปยัง 4 หน่วยงาน คือ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รวมถึง ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดจันทบุรี สำหรับข้อคัดค้านให้ยุติการออกอาชญาบัตรพิเศษแร่ทองคำของ บริษัท ริชภูมิ ไมนิ่ง จำกัด เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรี มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. บริเวณที่จะดำเนินการสำรวจอยู่ในพื้นที่ติดกับป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ผืนสุดท้ายของภาคตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณ 1,200,000 ไร่ ประกอบด้วย เขตรักษาพันธุ์ป่าเขาอ่างฤาไน อุทยานแห่งชาติเขาวง-เขาชะเมา อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น อุทยานแห่งชาติเขาสอยดาวและอุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฎ บริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับเขตลุ่มน้ำคลองวังโตนดพื้นที่ 1,839 ตารางกิโลเมตร (1,150,000 ไร่) นอกจากเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดจันทบุรีแล้วยังแบ่งปันไปช่วยพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC ) ที่สำคัญยังเป็นที่อยู่ของช้างป่าประมาณ 400 เชือก ประชากรช้างป่ามีอัตราการเพิ่มประมาณ 8 % ดังนั้นหากมีการออกอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและการขอประทานบัตรเหมืองแร่ในอนาคต ย่อมก่อให้เกิดการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ ส่งผลต่อผู้คนในจังหวัดจันทบุรีและภาคตะวันออกรวมทั้งจะสูญเสียพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวของจังหวัดจันทบุรีด้วย 2. แผนพัฒนาจังหวัดจันทบุรีดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ “จันทบุรีเมืองเกษตรปลอดภัย เศรษฐกิจมูลค่าสูง สังคมมีสุขบนวิถีพอเพียง”ประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดจันทบุรี 4 มิติ คือ การเกษตร อัญมณี การท่องเที่ยวและการค้าชายแดน รายได้ครึ่งหนึ่งของจังหวัดมาจากภาคเกษตร สร้างมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจให้ชาวจังหวัดจันทบุรีและประเทศแต่ละปีประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท มีผลผลิตส่งออกปีละ 600,000 ตันอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 7-10% และความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติทำให้การท่องเที่ยวปี 2562 มีมูลค่าถึง 10,320 ล้านบาท ปี 2563 แม้ว่าจะมีสถานการ์โควิด-19 ยังทำรายได้ถึง 7,874 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้จากค่าภาคหลวงแร่ ดังนั้น หากมีการออกอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและการขอประทานบัตรเหมืองแร่ในอนาคตย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจังหวัดจันทบุรีและประเทศ 3. การยื่นขอออกอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำเป็นกระบวนการเริ่มต้นของการนำไปสู่การออกประทานบัตรเพื่อการทำเหมืองแร่ในอนาคต เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับชุมชนและประชาชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสุขภาพ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากกระบวนการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ ตั้งแต่การระเบิดหิน การแต่งแร่ และการประกอบโลหะ มีการใช้สารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณมาก โดยเฉพาะสารไซยาไนต์ ยิ่งกว่านั้นในหลายๆ จังหวัดที่มีการเปิดประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ ชุมชนและประชนประสบปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรง และยังไม่ได้รับการแก้ไขเชิงประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนตัดสินร่วมกันในครั้งนี้ ถือเป็นแนวทางส่วนรวมที่รัฐบาลเพิกเฉยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการแก้ปัญหาต้องมีการหารือทั้ง 2 ส่วน คือ ส่วนของภาครัฐ และส่วนของภาคประชาชน ดังนั้น จึงควรมีการหารือพูดคุยกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม และเกิดประโยชน์ทุกภาคส่วน ซึ่งการรับมอบหนังสือจากประชาชนชาวจันทบุรีในวันนี้จะรีบดำเนินการนำเรียนนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป -------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ​ รอง ปล.กห.​(๔) เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่​
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ​ รอง ปล.กห.​(๔) เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่​ พล.อ.อ.ธรินทร์​ ปุณศรี​ รอง ปล.กห.​(๔) ได้ให้การต้อนรับ​การเข้าเยี่ยมคำนับของ พ.อ.​โรเจอร์​ เลวิส (Roger Lewis)​ ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ​ เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ รอง ปล.กห.​(๔) ขอบคุณสำหรับการ​ปฏิบัติ​หน้าที่​อย่างดีเยี่ยม​ตลอดระยะเวลา​ที่ดำรงตำแหน่ง​ ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการประสานงาน​ให้​ กห.​ -​ กห.อก.​ ได้ขยายความร่วมมืออันดีระหว่างกันในทุกๆด้าน​ และมีความยินดีที่จะได้ประสานงานกับ​ พ.อ.​โทนี สเติร์น​ (Tony Stern)​ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง​ ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ​ คนใหม่​ เชื่อมั่นว่าจะสามารถปฏิบัติ​หน้าที่​และสานต่อความร่วมมืออันดีระหว่าง​สอง​ประเทศ​ให้​มี​ความแน่นแฟ้น​ยิ่งขึ้น​ รอง​ ปล.กห.​(๔) ยังกล่าวชื่นชมการ​ปฏิบัติ​หน้าที่​ของ​ ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ​ (คนเก่า)​ โดยมีส่วนช่วยในการประสานและอำนวยความสะดวก​ในการแลกเปลี่ยนการเดินทางเยือนของผู้บังคับบัญชา​ชั้นสูง​ของ​ กห.​ และกองทัพของทั้งสองประเทศ​ นอกจากนี้​ ยังมีส่วนสำคัญในการผลักดัน​ให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ​ระหว่าง​ กห.​ กับ​ กห.สหราชอาณาจักร​บริเตนใหญ่​และไอร์แลนด์​เหนือ​ว่า​ด้วยความร่วมมือ​ด้านการป้องกันประเทศ​ ซึ่งจะเป็น​ประโยชน์​ต่อการ​ดำเนินความสัมพันธ์​ระหว่าง​ กห.​ ของ​ทั้งสอง​ประเทศ​ให้เกิดผล​อย่างเป็น​รูปธรรม​ต่อไป​ ทางด้าน​ ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ​ ขอบคุณ​ กห.​ สำหรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือตลอดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง​ ขอให้เชื่อมั่นว่า​ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง​ ผชท.ทหาร​ สหราชอาณาจักร​ (อก.)​/กรุงเทพฯ​ คนต่อไปจะสามารถให้การ​สนับสนุน​และสานต่อความสัมพันธ์​อันดีระหว่าง​ กห.​ ของ​ทั้งสอง​ประเทศ​ได้เป็นอย่างดี​แน่นอน​ นอกจากนี้ยังขอบคุณ​ รอง​ ปล.กห.​(๔) ที่แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์​การแพร่ระบาด​ของเชื้อ​ COVID-19 ในประเทศอังกฤษ​ โดยมีความมั่นใจว่าในอนาคต​อัน​ใกล้​ทางรัฐบาล​อังกฤษ​จะสามารถควบคุม​สถานการณ์​การแพร่ระบาด​ของโรคดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น​ เพื่อทั้งสอง​ประเทศ​จะสามารถกลับมา​ดำเนินกิจกรรม​ความร่วมมือ​ทางทหาร​ในด้านต่างๆ​ได้อย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูยาเสพติด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูยาเสพติด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ นายวิทยา สุริยะวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ในวันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายวิทยา สุริยะวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เพื่อพิจารณาในประเด็นต่างๆ ดังนี้ ๑.การแต่งตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แทนอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ครบวาระ ๒.การแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ แทนอนุกรรมการบางรายที่ขอลาออก โดยมี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ นางสาวนันทรัศมิ์ เทพดลไชย รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ รวมทั้งผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๑๑ โดยได้มีการติดตามงบประมาณของคณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการงบประมาณของพหุภาคี มีผลการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๘๗ และคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานที่เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ได้มีการเลื่อนกำหนดการตรวจประเมินออกไปเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39145
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และการสละสิทธิ์สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 การเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และการสละสิทธิ์สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ จำนวนประชาชนที่สมัครร่วมโครงการเราชนะ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 29 ม.ค. – 12 ก.พ.2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com มีประชาชนสนใจลงทะเบียนมากกว่า 11.0 ล้านคน โดยผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนยืนยันรับสิทธิ์แล้วมากกว่า 7.5 ล้านคน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยจำนวนประชาชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ว่า มีประชาชนสนใจลงทะเบียนมากกว่า 11.0 ล้านคน โดยมีจำนวนผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนยืนยันรับสิทธิ์โครงการฯ แล้วมากกว่า 7.5 ล้านคน โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองไม่สำเร็จเนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ โดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงทะเบียน โดยขณะนี้ได้มีการขยายระยะเวลาปิดรับลงทะเบียนจากเดิมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 5 มีนาคม 2564 โดยนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปติดต่อขอลงทะเบียนได้ที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) และต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยการเสียบบัตรประจำตัวประชาชน (Dip Chip) ผ่านเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture หรือ EDC) พร้อมกำหนดรหัส (PIN Code) อย่างไรก็ดี ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษที่ประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องแสดงตนที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยด้วยตนเอง โดยไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตน (Verification) อันจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทะเบียนเอง และป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิ์ ทั้งนี้ ประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับวงเงินสิทธิ์เป็นรายสัปดาห์ จำนวน 3,500 บาทต่อเดือน หรือ 7,000 บาทต่อคนตลอดทั้งโครงการ เช่นเดียวกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรประชาชนได้ที่เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) หรือผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้าในโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการ/ร้านค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม จากการที่มีประชาชนที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษไปขอรับบริการที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยจำนวนมาก กระทรวงการคลังได้มีการประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม โดยประชาสัมพันธ์ไปยังหมู่บ้านและอำเภอต่าง ๆ เพื่อสำรวจจำนวนประชาชนที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และประสานไปยังธนาคารกรุงไทยให้จัดจุดบริการเคลื่อนที่เพิ่มเติม รวมถึงเพิ่มบริการจัดทำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) แก่ประชาชนที่มีบัตรประชาชนรูปแบบเก่า รวมถึงบัตรประชาชนชำรุด เพื่อให้สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้น แต่ไม่สามารถขอรับสิทธิ์โครงการฯ เนื่องจากคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ไม่เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 กรณีข้าราชการการเมือง ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่รับค่าตอบแทนโดยตรงจากหน่วยงานของรัฐ และไม่มีลักษณะของงานที่เป็นอาสาสมัครหรือเป็นการจ้างรายวัน รวมถึงผู้รับบำนาญปกติ กลุ่มดังกล่าวนี้สามารถสละสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะงานเป็นอาสาสมัครหรือการจ้างรายวัน และได้รับค่าตอบแทนจากหน่วยงานของรัฐโดยตรง หากผ่านเกณฑ์การคัดกรองของโครงการฯ สามารถได้รับความช่วยเหลือจากโครงการฯ ได้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเร่งประชาสัมพันธ์ ย้ำ! ให้ข้าราชการและลูกจ้างที่จะเกษียณฯ ปี 65 ยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 กรมบัญชีกลางเร่งประชาสัมพันธ์ ย้ำ! ให้ข้าราชการและลูกจ้างที่จะเกษียณฯ ปี 65 ยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 6 วรรคสอง กำหนดให้กรณีข้าราชการพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ ให้ยื่นคำขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าได้ เป็นเวลา 8 เดือนก่อนวันครบเกษียณอายุ นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 6 วรรคสอง กำหนดให้กรณีข้าราชการพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ ให้ยื่นคำขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าได้ เป็นเวลา 8 เดือนก่อนวันครบเกษียณอายุ กรมบัญชีกลางจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่จะพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (1 ตุลาคม 2564) ยื่นคำขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าได้ก่อนวันครบเกษียณอายุ โดยสามารถยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญต่อส่วนราชการเจ้าสังกัด (ส่วนราชการที่ปฏิบัติงานก่อนเกษียณอายุราชการ) หรือยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์ (Pensions’ Electronic Filing) หรือ ระบบ e-filing แทนการยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญทางเอกสาร ซึ่งการยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้านั้น จะทำให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ได้รับบำเหน็จบำนาญและสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ระบบ e-filing ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับสิทธิในการได้รับเงินบำเหน็จบำนาญและเงินอื่นที่เกี่ยวข้องที่ทางราชการจ่ายให้ด้วยความชัดเจน ถูกต้อง รวดเร็ว และครบถ้วน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลประวัติการเบิกจ่ายเงินบำนาญรายเดือนและรายปี พิมพ์หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วยตนเองได้อีกด้วย “เมื่อข้าราชการและลูกจ้างประจำที่พ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ ได้ยื่นคำขอรับบำเหน็จบำนาญล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มได้รับบำเหน็จบำนาญหลังจากเกษียณ ณ สิ้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดยผู้มีสิทธิขอรับบำเหน็จบำนาญ สามารถเรียนรู้ขั้นตอนการยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญด้วยตนเองผ่านระบบ e-filing ได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง (www.cgd.go.th) YouTube Channel (กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง) หรือ Facebook (กรมบัญชีกลาง The Comptroller General’s Department) หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39136
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสภาผู้แทนราษฎร
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายกรัฐมนตรีเผยยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมแก่ ป.ป.ช. ครั้งที่ 2 แล้ว ยืนยันไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม นายกรัฐมนตรียืนยันส่วนตัวไม่นิยมการพนันใด ๆ เพราะขัดหลักศีลธรรม ศาสนาและข้อห้ามตามกฎหมาย ปัจจุบันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อการสืบสวนสอบสวนทางอาชญากรรมด้วย นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเรียกรับผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ย้ำเข้าใจและเห็นใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโควิด-19 พร้อมดูแลผู้มีรายได้น้อยทุกคน นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ตอบชัด ลุยจับบ่อนทุกพื้นที่ยืนยันไม่รับเงินชั่วๆ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 นายกฯ ชี้ ใช้ทุกมาตรการเพื่อหยุดบ่อนการพนัน วอนทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-How to แจ้งเบาะแสเอาผิดคนโกง “เราชนะ”
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 How to แจ้งเบาะแสเอาผิดคนโกง “เราชนะ” ... อย่านะคะ อย่านะคะ… ทำผิดเงื่อนไขต้องรับโทษ เป็นที่ทราบกันดีว่า มาตรการเยียวยาโควิด-19 ผ่านโครงการ “เราชนะ” ที่สนับสนุนวงเงินช่วยเหลือสูงสุด 7,000 บาท โดยผู้รับสิทธิ์ไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้ และต้องนำไปใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ จากร้านค้าที่ร่วมโครงการ จนถึง 31 พ.ค. 64 . ขณะเดียวกัน พบว่ามีคนบางกลุ่มที่พยายามจะหาวิธี ทั้งสแกนออนไลน์ หรือตกลงกับร้านค้าขอแลกเป็นเงินสด ซึ่งเป็นการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ . เรื่องนี้ กระทรวงการคลังได้ประสานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว . หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชันถุงเงินของร้านค้า รวมถึงหยุดจ่ายเงินให้กับร้านค้าทันที รวมถึงระงับแอปเป๋าตัง ของประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด . จึงขอแจ้งเตือนประชาชนและร้านค้า ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และไม่หลงเชื่อคำโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าหรือรับบริการจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อที่สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด ซึ่งจะมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปด้วย . กรณีพบเห็นพฤติกรรม ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ และการขึ้นราคาสินค้าหรือบริการเกินกว่าปกติ . สามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิด ทางไปรษณีย์มาได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือ e-mail [email protected] #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39126
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้เสียหาย กรณีถูกห้างหุ้นส่วนจำกัด วันเจอร์เนรัลด์ สโตร์ หลอกลวงให้เสียทรัพย์
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้เสียหาย กรณีถูกห้างหุ้นส่วนจำกัด วันเจอร์เนรัลด์ สโตร์ หลอกลวงให้เสียทรัพย์ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องขอความเป็นธรรมจากตัวแทนของกลุ่มผู้เสียหาย กรณีถูกฉ้อโกงจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด วันเจอร์เนรัลด์ สโตร์ ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ๒ - ๐๑ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานครว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องขอความเป็นธรรมจากตัวแทนของกลุ่มผู้เสียหายกรณีถูกฉ้อโกงจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด วันเจอร์เนรัลด์ สโตร์ ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม รวมถึงรถยนต์ โดยเบื้องต้นมีผู้เสียหาย จำนวน ๑๕๐ คน ซึ่งเดินทางมายื่นเรื่อง จำนวน ๔๐ คน มูลค่าความเสียหายกว่า ๑๐๐ ล้านบาท หลังจากรับเรื่อง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่าเข้าเกณฑ์เป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยจะได้เร่งรัดให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ยังฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่ได้รับเดือดร้อนลักษณะนี้ สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม (แห่งใหม่) หรือศูนย์ยุติธรรมจังหวัด ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายอย่างเร่งด่วน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39146