title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดีอีเอส ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงดีอีเอส ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
กระทรวงดีอีเอส ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
กระทรวงดีอีเอส ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (computer) ในรูปแบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 15 - 18 ก.พ. 64 จำนวน 7 รอบ โดยมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้ารวม 1,500 ราย ครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มการผลิตและการค้า กลุ่มสาธารณสุข กลุ่มหน่วยงานของรัฐ กลุ่มดิจิทัลและผู้ประกอบการต่างประเทศ (Bilingual session) กลุ่มการศึกษาและภาคประชาชน ทั้งนี้ จะมีการเผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นบนเว็บไซต์ของกระทรวงดีอีเอสในวันศุกร์ที่ 19 ก.พ. 64 พร้อมทั้งเปิดรับข้อเสนอแนะผ่านแบบฟอร์มออนไลน์จนถึงวันที่ 28 ก.พ.64 นี้
การรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้เป็นร่างกฎหมายลำดับรองกลุ่ม 1 ประกอบด้วย
- หลักเกณฑ์และวิธีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- การแจ้งวัตถุประสงค์และรายละเอียดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
- มาตรการคุ้มครองที่เหมาะสมสําหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา 26
- หลักเกณฑ์และนโยบายการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ
- การจัดให้มีบันทึกรายการกิจกรรมประมวลผล มาตรการเกี่ยวกับการขอใช้สิทธิในการเข้าถึงของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
- ความมั่นคงปลอดภัยของการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
- เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- กระบวนการรับเรื่องร้องเรียน และการบังคับทางปกครอง
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39143 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ลงนามประกาศ การจัดที่พักสวัสดิการให้ลูกจ้าง ต้องถูกสุขลักษณะ ลดเสี่ยงโควิด-19 แพร่ระบาด | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
“สุชาติ” ลงนามประกาศ การจัดที่พักสวัสดิการให้ลูกจ้าง ต้องถูกสุขลักษณะ ลดเสี่ยงโควิด-19 แพร่ระบาด
“สุชาติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การจัดสวัสดิการสำหรับสถานประกอบกิจการที่จัดที่พักอาศัยให้กับลูกจ้าง ต้องถูกสุขลักษณะ มีประสิทธิภาพและเหมาะสม หวังช่วยลดปัจจัยเสี่ยง และลดโอกาสการแพร่ระบาดใหม่ของโรค COVID-19
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สวัสดิการแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของลูกจ้าง รวมถึงครอบครัวดีขึ้น ความเอื้ออาทรของนายจ้างโดยการจัดสวัสดิการแรงงานให้แก่ลูกจ้าง จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ลูกจ้างมีขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มุ่งส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการที่เหมาะสมให้กับลูกจ้าง เพื่อช่วยเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง การจัดสวัสดิการเกี่ยวกับอาคารที่พักอาศัย ถือเป็นสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายกำหนดที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้าง หากอาคารที่พักอาศัยมีสภาพที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกสุขลักษณะ และมีลูกจ้างพักอาศัยจำนวนมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรงดังนั้น จึงได้ลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การจัดสวัสดิการสำหรับสถานประกอบกิจการที่จัดที่พักอาศัยให้กับลูกจ้าง ในการป้องกันความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)สำหรับนายจ้างที่จัดสวัสดิการที่พักอาศัยให้กับลูกจ้าง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน เพื่อให้การพักอาศัยของลูกจ้างเป็นไปโดยถูกสุขลักษณะ และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ลูกจ้างสามารถดำเนินชีวิตและทำงานได้อย่างปกติสุข
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 93 (1) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 ที่บัญญัติให้คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานมีอำนาจหน้าที่เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับนโยบาย แนวทาง และมาตรการด้านสวัสดิการแรงงาน โดยมีสาระสำคัญของลักษณะห้องพักอาศัย อาทิ ขนาดห้องพักอาศัยควรมีขนาดพื้นที่รวมไม่น้อยกว่า 9 ตารางเมตร ความสูงไม่น้อยกว่า 2.4 เมตรพื้นที่พักอาศัยไม่น้อยกว่า 3 ตารางเมตรต่อ 1 คน มีการจัดระยะห่างของเตียงนอน หลีกเลี่ยงการนอนเตียงเดียวกันและบริเวณห้องพักในที่พักอาศัยต้องมีประตู หน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติและจัดให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่และน้ำ หรือแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือไว้บริการผู้พักอาศัยในบริเวณต่าง ๆ อย่างเพียงพอนอกจากนี้ลูกจ้างต้องให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 โดยยึดหลักD-M-H-T-Tของกระทรวงสาธารณสุขด้วยทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของประกาศฯได้ที่ กองสวัสดิการแรงงานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2245 6774
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนวัยทำงาน ส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิด 19 ไม่มีอาการ แพร่เชื้อง่ายในวงโต๊ะอาหาร | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เตือนวัยทำงาน ส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิด 19 ไม่มีอาการ แพร่เชื้อง่ายในวงโต๊ะอาหาร
กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์ รปภ.จุฬานิวาสน์ พบผู้ติดเชื้อ 22 ราย ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานไม่มีอาการ ติดเชื้อจากการรับประทานอาหารร่วมกัน พบจุดสัมผัสเสี่ยงที่เครื่องสแกนนิ้ว แนะล้างมือบ่อยๆงดพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร ช่วยป้องกันโควิด 19 ได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์ รปภ.จุฬานิวาสน์ พบผู้ติดเชื้อ 22 ราย ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานไม่มีอาการ ติดเชื้อจากการรับประทานอาหารร่วมกัน พบจุดสัมผัสเสี่ยงที่เครื่องสแกนนิ้ว แนะล้างมือบ่อยๆงดพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร ช่วยป้องกันโควิด 19 ได้ ส่วนใน กทม.เร่งค้นหาเชิงรุกในตลาด/สถานประกอบการ/ชุมชน เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาด
วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 72 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 21 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 48 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 3 รายรักษาหายเพิ่มขึ้น 680 ราย ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 16 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวน 20,549 ราย หายป่วยสะสม 19,386 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 1,141 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม
นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า การระบาดระลอกใหม่ของโควิด 19 ภาพรวมการค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ กทม. ตรวจคัดกรองเชิงรุกในสถานที่เสี่ยงการติดเชื้อจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1.ตลาด ตรวจตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 2563 จำนวน 466 ตลาด ตรวจให้กับพ่อค้า แม่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดกว่า 4 หมื่นคน พบติดเชื้อ 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.03 เป็นการติดเชื้อแบบประปรายไม่เป็นกลุ่มก้อน 2.ในสถานประกอบการดำเนินการตรวจ ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค 2563 จำนวน 128 แห่ง ในกลุ่มแรงงานจำนวน 16,177 คน พบติดเชื้อ 65 รายคิดเป็นร้อยละ 0.40 โดยติดเป็นกลุ่มก้อน 5 โรงงาน และ3.ในชุมชนเริ่มตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2563 จำนวน 4,654 คน พบติดเชื้อ 35 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.75 ซึ่งทุกแห่งสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยยืนยันที่เชื่อมโยงกับ รปภ. จุฬานิวาสน์ พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนจำนวน 22 รายส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน และไม่มีอาการ ทีมสอบสวนโรคจึงได้การดำเนินการตรวจค้นหาเชิงรุกที่ศูนย์บริการสุขภาพจุฬาฯจำนวน 862 คน พบผู้ติดเชื้อ 22 ราย และรอผล 165 คน และในตลาดรอบจุฬาฯจำนวน 434 คน ผลไม่พบเชื้อ 334 คน และอยู่ระหว่างรอผล 100 คน ขณะนี้ไม่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนทำให้เห็นถึงการเชื่อมโยง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการติดเชื้อ ไม่ใช่จาก 1 คนไปสู่ 1คน แต่เป็นการแพร่ไปในครอบครัว กลุ่มที่พักอาศัยชั้นเดียวกัน กลุ่มที่ทำงานที่มีความใกล้ชิด สนิทสนม รับประทานอาหารร่วมกัน และยังมีการตรวจพบเจอเชื้อที่เครื่องสแกนนิ้ว ถือเป็นจุดเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง แม้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการรับประทานอาหารร่วมกัน พูดคุย หัวเราะ ใกล้ชิดกัน ก็ไม่ควรประมาท ต้องให้ความสำคัญในเรื่องการล้างมือสม่ำเสมอจะสามารถช่วยหยุดการระบาดเชื้อโควิด 19 ได้อีกทางหนึ่ง
************************** 16 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39148 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรี | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 17.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีความห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรีสำหรับข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ยกขึ้นมาอภิปราย อยู่ระหว่างการพิจารณาขององค์กรตรวจสอบอิสระ องค์กรปราบปรามทุจริตแล้ว ทั้ง ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรียังเผยว่า สังเกตตนเองเช่นกันว่าผอมลงและดูเหมือนสูงขึ้น ซึ่งก็ขอฝากความห่วงใยถึง ส.ส.ผู้อภิปรายด้วยเช่นกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ชี้แจงถึงรายละเอียด โดยรองนายกรัฐมนตรีเผยถึงประมวลรัษฎากร อนุมาตรา 6 ที่ระบุไว้ว่าเงินได้ที่ราชการจ่ายให้เป็นค่าเช่าบ้าน หรือ เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ทางราชการให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินช่วยการศึกษาบุตร ช่วยเหลือบุตร เบี้ยกันดาร เงินยังชีพ เงินค่าอาหารทำการนอกเวลา จะไม่ถูกนำมาคำนวณในฐานะที่เป็นเงินได้พึงประเมิน รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่าเป็นการให้ข้อมูลทางกฎหมายเพื่อความถูกต้อง
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. – กรุงศรี พร้อมเปิดบริการ ATM ข้ามธนาคาร ฟรี! ค่าธรรมเนียม | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
ธ.ก.ส. – กรุงศรี พร้อมเปิดบริการ ATM ข้ามธนาคาร ฟรี! ค่าธรรมเนียม
ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ร่วมเปิดตัวบริการ ATM ข้ามธนาคาร ไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเอทีเอ็ม ธ.ก.ส. และบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท ในการใช้บริการ ATM ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งสามารถทำธุรกรรมถอนเงินและสอบถามยอดเงิน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จับมือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (กรุงศรี) ร่วมเปิดตัวบริการ ATM ข้ามธนาคาร ไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเอทีเอ็ม ธ.ก.ส. และบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท ในการใช้บริการ ATM ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งสามารถทำธุรกรรมถอนเงินและสอบถามยอดเงินคงเหลือที่เครื่องเอทีเอ็มธ.ก.ส. และ กรุงศรี กว่า 8,800 เครื่อง ทั่วประเทศ โดย ฟรี! ค่าธรรมเนียมการทำรายการต่างธนาคาร ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2565 ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเอทีเอ็ม ธ.ก.ส. จะได้รับคืนค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บเข้าบัญชีในวันถัดไป และสำหรับผู้ถือบัตรกรุงศรี เดบิต จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างธนาคารโดยทันทีในขณะที่ทำรายการ
ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีเครื่องเอทีเอ็มจำนวนกว่า 2,300 เครื่อง และกรุงศรีมีเครื่องเอทีเอ็มจำนวนกว่า 6,500 เครื่องทั่วประเทศ ซึ่งบริการดังกล่าวจะยกระดับประสบการณ์ความสะดวกสบายให้กับลูกค้าทั้งสองธนาคารมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีฝากไปยัง ส.ส.ช่วยเตือนประชาชนในพื้นที่ หากพบเห็นการเล่นการพนันแจ้งเบาะแสตรงถึงนายกรัฐมนตรี สายด่วนรัฐบาลโทร 1111 | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีฝากไปยัง ส.ส.ช่วยเตือนประชาชนในพื้นที่ หากพบเห็นการเล่นการพนันแจ้งเบาะแสตรงถึงนายกรัฐมนตรี สายด่วนรัฐบาลโทร 1111
นายกรัฐมนตรีฝากไปยัง ส.ส.ช่วยเตือนประชาชนในพื้นที่ หากพบเห็นการเล่นการพนันแจ้งเบาะแสตรงถึงนายกรัฐมนตรี สายด่วนรัฐบาลโทร 1111
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 18.05 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันรัฐบาลจะดำเนินการทุกขั้นตอนกับอยู่เบื้องหลังและเจ้าของบ่อน รวมทั้งจะมีการยึดทรัพย์ ขอให้ติดตามผลสำเร็จหลายคดีในเร็วๆ นี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอบายมุข ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นในการดำเนินการทุกพื้นที่ ขอฝากไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรช่วยเตือนประชาชนในพื้นที่ หากพบเห็นการเล่นการพนันขอให้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่ แจ้งเบาะแสตรงถึงนายกรัฐมนตรี สายด่วนรัฐบาลโทร 1111 ตู้ไปรษณีย์ทำเนียบรัฐบาล 1111 เว็บไซต์ www.1111.go.th mobile application psc 1111 รับบริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรียังย้ำชัดว่า รัฐบาลใช้ทุกมาตรการอย่างเข้มงวดสำหรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในบ่อนการพนัน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความคืบหน้ากรณีบ่อนพระราม 3ว่า ได้ดำเนินการต่อผู้ที่กระทำความผิดยังเคร่งครัด มีการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหา 22 รายและมีการดำเนินคดีพิพากษาไปแล้ว บางคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการสำหรับคดีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตนั้นก็ได้ดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาที่มีชีวิตอยู่ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งมีการดำเนินการสอบสวน รวบรวมสำนวนส่งพนักงานอัยการ และอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมตั้งแต่ตุลาคม 2563 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหานั้น อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ซึ่งต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนต่อไป
ระหว่างการชี้แจ้งในรัฐสภานั้น นายกรัฐมนตรีเผยกรณี โควิด-19 มีการแพร่ระบาดจากสนามมวยนั้นว่า ขณะนั้นการแพร่ระบาดอยู่ในระยะต้น รัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่งผลให้เกิดแนวปฏิบัติตามมาอีกมากมาย ทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมจำนวนการแพร่ระบาดได้ดี ยอมรับว่า หลายอย่างป็นประสบการณ์และบทเรียน แต่ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในบ่อน เป็นการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในบริเวณที่มีคนชุมนุมจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลพร้อมดำเนินคดีกับการการเล่นพนันผิดกฎหมาย รวมทั้งการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในบริเวณที่มีการทำผิดกฎหมายเพื่อให้เกิดการสอบสวน การลงโทษ และไม่ให้มีผลทางคดี ที่ผ่านมามีการรายงานการลงโทษทุกเดือนผ่านคณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ก.ตร.) ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39152 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ดำเนินการอย่างโปร่งใสตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมขอความเป็นธรรมและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจด้วย | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ชี้แจงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ดำเนินการอย่างโปร่งใสตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมขอความเป็นธรรมและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจด้วย
นายกฯ ชี้แจงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ดำเนินการอย่างโปร่งใสตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมขอความเป็นธรรมและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจด้วย
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 19.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึงกรณีการแต่งตั้งและการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการตำรวจ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจว่า เป็นไปตามกระบวนการและการกลั่นกรองทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยการแต่งตั้งมีทั้งหมด 3 ระดับ ดังต่อไปนี้ 1.ยศชั้นนายพล ผู้บังคับการและพลตำรวจตรีขึ้นไป 2.ยศต่ำกว่านายพล ระดับรองผู้บัญชาการหรือผู้กำกับ พันตำรวจเอกพิเศษและพันตำรวจเอก 3.ยศระดับรองผู้กำกับ พันตำรวจโทลงมา ยืนยันว่า ด้วยกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกลั่นกรองตามลำดับ จึงทำให้ไม่สามารถมีการแต่งตั้งโดยมิชอบได้หรือแต่งตั้งโดยเกิดจากการเรียกรับผลประโยชน์ได้ และแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุม ก.ตร. แต่มีการประกาศอาวุโส และเสนอชื่อผู้เหมาะสมตามกระบวนการมาก่อนแล้ว
นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการตำรวจ ได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการตำรวจ ได้แก่
1.ดำเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง จำนวน 1,873 ราย แยกตามลำดับโทษ ได้แก่ ภาคทัณฑ์ ทัณฑ์กรรม กักยาม กักขัง ตัดเงินเดือน ซึ่งส่วนใหญ่พบเป็นกรณีละเว้นหน้าที่ดำเนินการไม่เกิน 15 วัน ประพฤติตนไม่สมควรและใช้กริยาวาจาไม่สุภาพ ไม่เอาใจใส่หน้าที่ ไม่บำรุงรักษาสิ่งของหลวง สอบสวนเพิ่มเติมล่าช้า
2.ดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง จำนวน 400 ราย แยกตามลำดับโทษ ได้แก่ ปลดออกจากราชการ 51 ราย ไล่ออกจากราชการ 259 ราย ให้ออกจากราชการ 48 ราย สาเหตุจากการขาดคุณสมบัติและหย่อนความสามารถ ทั้งนี้ พฤติการณ์ส่วนใหญ่พบว่าเป็นการละทิ้งราชการเกินกว่า 15 วัน การเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การทุจริตในหน้าที่ ทำสำนวนคดีอาญาล่าช้าจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งคณะกรรมการยื่นอุทรณ์ด้วยเพื่อให้ข้าราชการได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการประชุมติดตามอย่างต่อเนื่องผ่านทางคณะกรรมการและอนุกรรมการต่าง ๆ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมถึงส่วนของมาตรการและเสริมสร้างความประพฤติและวินัยของข้าราชการตำรวจ ซึ่งมีการออกคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2537 ให้ข้าราชการตำรวจประพฤติตนให้เหมาะสมและให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแล มีหนังสือกวดขันเกี่ยวกับความประพฤติและให้ปฏิบัติตามระเบียบวินัย มีการออกกฎ ก.ตร. เพิ่มเติม ซึ่งดำเนินการอย่างครอบคลุมจวบจนปัจจุบัน
ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจที่มีกว่า 200,000 คนด้วย แม้อาจพบบางส่วนที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ซึ่งไม่อยากให้โทษองค์กรทั้งหมด เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นปัญหาที่ประสบทุกองค์กร ซึ่งต้องดูแลและให้แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "ยุติธรรม" ประชุมคณะทำงานดำเนินงานโครงการจิตอาสา ๙๐๔ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
"ยุติธรรม" ประชุมคณะทำงานดำเนินงานโครงการจิตอาสา ๙๐๔ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานดำเนินงานโครงการจิตอาสา ๙๐๔ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๘-๐๔ ชั้น ๘ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานดำเนินงานโครงการจิตอาสา ๙๐๔ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมีคณะทำงานฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนงานจิตอาสากระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และการส่งบุคคลเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ "หลักสูตรหลักประจำ" รุ่นที่ ๕/๖๓ "เป็นเบ้า เป็นแม่พิมพ์" รวมทั้งพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานจิตอาสากระทรวงยุติธรรม ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้ง กิจกรรมจิตอาสา ณ ที่ทำการกระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน ระดับกระทรวง / กรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์ “เราชนะ” 60,000 ล้านบาทหมดแล้ว !!! | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
พันธบัตรออมทรัพย์ “เราชนะ” 60,000 ล้านบาทหมดแล้ว !!!
การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นเราชนะบนวอลเล็ต สบม. และ เราชนะ ผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย วงเงินรวม 60,000 ล้านบาท สามารถจำหน่ายได้ครบวงเงินแล้วทั้ง 2 รุ่นโดยข้อมูลจากการจำหน่ายครั้งล่าสุดชี้ให้เห็นว่าประชาชนให้ความสนใจลงทุนผ่านช่องทางออนไลoN
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงความสำเร็จในการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” และ “เราชนะ” ผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย วงเงินรวม 60,000 ล้านบาท ว่าสามารถจำหน่ายได้ครบวงเงินแล้วทั้ง 2 รุ่นโดยข้อมูลจากการจำหน่ายครั้งล่าสุดชี้ให้เห็นว่าประชาชนให้ความสนใจลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และมีผู้ลงทุนจากทุกจังหวัดทั้ง 2 รุ่น
“เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” สามารถจำหน่ายได้ครบ 5,000 ล้านบาท ภายใน 8 ชั่วโมง แสดงถึงการตอบรับที่ดียิ่งจากประชาชน มีผู้สนใจลงทุนถึงเกือบ 9,600 คน ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้ลงทุนอายุตั้งแต่ 15 ปี จนถึงอายุ 93 ปี วงเงินซื้อเฉลี่ยต่อรายประมาณ 524,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานตอนต้นจนถึงวัยก่อนเกษียณ โดยสิ่งที่น่าสนใจ คือ ผู้ลงทุนวัยหลังเกษียณให้ความสนใจลงทุนผ่านวอลเล็ต สบม. เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 1 ใน 4 ของจำนวนรายการทั้งหมด และจำนวนรายการผู้ลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นกว่ารอบที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรับรู้และมั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของรัฐบาล
สำหรับ “เราชนะ” ที่จำหน่ายผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่ายสามารถกระจายไปสู่ประชาชนเกือบ 24,000 คนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มอายุ 50 - 79 ปี เป็นกลุ่มผู้ลงทุนสูงสุด นอกจากนี้ ส่วนใหญ่นิยมซื้อจากสาขาธนาคารด้วยวงเงินเฉลี่ย 2.13 ล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ภายหลังการจำหน่ายให้กับประชาชนแล้วคงเหลือวงเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท จำหน่ายให้นิติบุคคลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ครบวงเงินภายในครึ่งวันแรกของการจำหน่าย
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษทั้ง 2 รุ่น ผู้ลงทุนสามารถติดตามข่าวสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ในรอบถัดไปได้ทางเว็บไซต์ www.pdmo.go.th และ Facebook ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39137 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดใช้งานเว็บไซต์ศูนย์รวมความรู้ทางการเงินเพื่อคนไทย www.รู้เรื่องเงิน.com | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
การเปิดใช้งานเว็บไซต์ศูนย์รวมความรู้ทางการเงินเพื่อคนไทย www.รู้เรื่องเงิน.com
สศค.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีพันธกิจด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน รวม 12 หน่วยงาน จัดทำเว็บไซต์ www.รู้เรื่องเงิน.com ซึ่งเป็นเว็บศูนย์รวมข้อมูล ความรู้ แนวคิดและวิธีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางการเงินสำหรับ ปชช.
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีพันธกิจด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน รวม 12 หน่วยงาน จัดทำเว็บไซต์ www.รู้เรื่องเงิน.com (เว็บไซต์ฯ) ซึ่งเป็นเว็บศูนย์รวม (Web Portal) ข้อมูล ความรู้ แนวคิดและวิธีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางการเงินสำหรับประชาชนในด้านต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ของหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น เพื่อสร้างฐานช่องทาง (Platform) ให้ประชาชนทุกช่วงวัย หลากหลายอาชีพรวมถึงผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารทางการเงินที่เชื่อถือได้ สะดวก ในแหล่งเดียว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินด้วยตนเองของประชาชน รวมถึงรองรับแนวทางการพัฒนาทักษะทางการเงินของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคตด้วย
การจัดทำเว็บไซต์ฯ ดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการภายใต้แผนงานด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน (Financial Literacy) ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ปี 2560-2564 โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 12 แห่ง ประกอบด้วย สศค. กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการกำหนดนโยบายและแนวทางการจัดทำเว็บไซต์ฯ และบูรณาการการดำเนินการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดทำและเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ฯ (Web Master) ให้มีข้อมูลถูกต้องและทันสมัย ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานประกันสังคม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งร่วมกันจัดทำเว็บไซต์ฯ โดยแต่ละหน่วยงานจะรับผิดชอบเนื้อหาและข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องในฐานะเจ้าของข้อมูล ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะทางการเงินเป็นวาระแห่งชาติที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานข้างต้นให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
สศค. และหน่วยงานผู้จัดทำเว็บไซต์ฯ ทั้ง 12 หน่วยงาน จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเรียนไปจนถึงวัยเกษียณ เข้าศึกษาค้นคว้าข้อมูลและความรู้ทางการเงินในเว็บไซต์ www.รู้เรื่องเงิน.com ซึ่งครอบคลุมความรู้ทางการเงินหลากหลายมิติ เช่น การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล การออมเผื่อฉุกเฉินและการเกษียณ การทำเงินออมให้งอกเงยด้วยการลงทุน ความสำคัญของการประกันภัย ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เหมาะสมกับตน การจัดการภาษี มาตรการทางการเงินภาครัฐ เทคโนโลยีและภัยกลโกงทางการเงินรวมถึงช่องทาง
แจ้งเบาะแสและติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐโดยตรง เป็นต้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินด้วยตนเอง โดยสามารถเลือกสืบค้นได้ทั้งตามช่วงวัย สาขาอาชีพ และตามหัวข้อที่สนใจ
สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3639
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเรียกรับผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ย้ำเข้าใจและเห็นใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโควิด-19 พร้อมดูแลผู้มีรายได้น้อยทุกคน | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเรียกรับผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ย้ำเข้าใจและเห็นใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโควิด-19 พร้อมดูแลผู้มีรายได้น้อยทุกคน
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ย้ำเข้าใจและเห็นใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโควิด-19 พร้อมดูแลผู้มีรายได้น้อยทุกคน
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 15.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย โดยรับแต่สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเท่านั้น ยืนยันว่าวันนี้รัฐบาลดูแลคนไทยทุกคนที่มีรายได้น้อย เข้าใจและเห็นใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโควิด-19 โดยนายกฯ กล่าวว่ารักคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ไม่ว่าใครจะไม่รักนายกฯ ก็ตาม เพราะทุกคนอยู่ในแผ่นดินไทย
นายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีที่ได้ร่วมประชุมสภาในวันนี้ เพราะเป็นโอกาสดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมมือกันทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน แม้จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม ก็พร้อมจะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทางบ้านได้ฟังและคิด โดยขอประชาชน ฟัง คิด และเชื่ออย่างมีเหตุผล นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไม่เคยออกนอกกรอบของระเบียบ ข้อกำหนด และระมัดระวังการทำงานอย่างที่สุด โดยในการทำงานนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้มอบนโยบาย สั่งการหน่วยงานให้ไปปฏิบัติ มีการรับผิดชอบขับเคลื่อนงานตามลำดับชั้น และย้ำการใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างคุ้มค่า ไม่ให้มีการทุจริตผิดกฎหมาย โครงการใดที่มีปัญหาก็สั่งให้ทบทวน ในช่วงหนึ่งของการชี้แจง นายกรัฐมนตรียังร้องขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะข้าราชการการเมือง หากรู้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ต้องแจ้งความเพื่อดำเนินคดี ต้องไม่ปล่อยปละละเลย เพราะทุกเรื่องต้องร่วมมือกันทั้งหมด
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกระทรวงยุติธรรม ย้ำกระทรวงยุติธรรมเป็นแค่หน่วยงานปลายน้ำ อำนาจให้ประกันตัวอยู่ที่ศาล ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยึดมั่นในความถูกต้อง เร่งทำให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
โฆษกกระทรวงยุติธรรม ย้ำกระทรวงยุติธรรมเป็นแค่หน่วยงานปลายน้ำ อำนาจให้ประกันตัวอยู่ที่ศาล ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยึดมั่นในความถูกต้อง เร่งทำให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
โฆษกกระทรวงยุติธรรม ย้ำกระทรวงยุติธรรมเป็นแค่หน่วยงานปลายน้ำ อำนาจให้ประกันตัวอยู่ที่ศาล ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยึดมั่นในความถูกต้อง เร่งทำให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
ในวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง เข้ายื่นหนังสือต่อกระทรวงยุติธรรม โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับหนังสือ โดยทางกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ได้เรียกร้องให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายอานนท์ นำภา และผู้ต้องหาทางการเมืองทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของอำนาจตุลาการในการใช้ดุลยพินิจในการให้ประกันตัวว่าจะได้หรือไม่ อีกทั้งศาลยุติธรรมได้แยกออกจากกระทรวงยุติธรรมไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ จึงไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ดังนั้น การพิจารณาคดีต่างๆ รวมถึงการพิจารณาคดีอาญาย่อมอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาล กระทรวงยุติธรรมจะมีบทบาทดำเนินการบังคับตามคำพิพากษาของศาล โดยขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา การออกหมายจับ เป็นกรณีที่ตำรวจจะต้องไปขออำนาจศาลดำเนินการทั้งสิ้น เมื่อผู้ถูกจับอยู่ในการควบคุมของตำรวจแล้ว ตำรวจจะนำตัวมาส่งศาลในเขตอำนาจ การสั่งให้ควบคุมตัวระหว่างดำเนินคดีอยู่ในอำนาจของศาลเช่นกัน โดยบุคคลเหล่านี้จะอยู่ในการควบคุมดูแลของเรือนจำหากไม่ได้รับการปล่อยตัว ทั้งนี้การจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวบุคคลเหล่านี้หรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลในการพิจารณามีคำสั่ง กระทรวงยุติธรรม ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ในการสั่งปล่อยตัวชั่วคราวบุคคลเหล่านั้นได้ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
"กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานปลายน้ำ ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมเน้นทำงานเชิงรุกในการเข้าถึงประชาชน ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมาย ให้บริการประชาชนเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่ควรได้รับ พัฒนากระบวนการต่างๆ จนดีขึ้นกว่าเดิม ยืนยันว่าเราจะเดินหน้าเคียงข้างประชาชน ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เน้นย้ำมาตลอด” โฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม Crime Prevention รุ่นที่ ๔ | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงยุติธรรม เปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม Crime Prevention รุ่นที่ ๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม Crime Prevention รุ่นที่ ๔
ในวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม
Crime Prevention รุ่นที่ ๔
เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะและทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม
ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม
รวมถึงการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมด้านการป้องกัน
และแก้ไขปัญหาอาชญากรรม เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน
โดยกำหนดการฝึกอบรมระหว่างวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ - ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔
ณ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม ชั้น ๕ สำนักงานกิจการยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
โดยมี พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม
พร้อมด้วย ผู้เข้าอบรมจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรมบรรยายพิเศษหัวข้อเรื่อง "ความสำคัญของการป้องกันอาชญากรรม
และความท้าทายในการรับมือกับอาชญากรรม" โดยให้แนวคิดการป้องกันอาชญากรรม
ว่าจะต้องให้ความสำคัญกับการหาสาเหตุของปัญหา และการป้องกัน ซึ่งจะต้องมีองค์ความรู้
มีการพัฒนาความคิดสามารถวิเคราะห์ถึงที่มาหรือสาเหตุของปัญหา เพื่อหาแนวทางป้องกัน
รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ทันกับรูปแบบปัญหาหรืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39138 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เเจงการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยืนยันภาครัฐมีกรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ชัดเจนตรวจสอบได้ | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ เเจงการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยืนยันภาครัฐมีกรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ชัดเจนตรวจสอบได้
นายกฯ เเจงการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยืนยันภาครัฐมีกรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ชัดเจนตรวจสอบได้
วันนี้ (16 ก.พ. 64) เวลา 19.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงถึงกรณีการเบิกจ่ายงบประมาณ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีเผยว่า ผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 92.25 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในขณะที่ช่วงการบริหารประเทศได้มีการจัดทำมาตราการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ส่งผลให้การกระจายงบประมาณในภาพรวมของประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ ปีงบประมาณ 2563 ผลการใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 98.71 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี แสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
โดยสาเหตุของการเบิกจ่ายที่ล่าช้า ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานาน เนื่องมาจาก
1. ปัญหาความพร้อมของพื้นที่ กรรมสิทธิ์ที่ดิน ราคาที่ดิน ขาดการบูรณาการกันในระดับพื้นที่ ทำให้เกิดการดำเนินการซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น โดยต้องมีการปรับเป้าหมาย เปลี่ยนแปลงรายการ หรือ ยกเลิกรายการ
2. หน่วยรับงบประมาณเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการ ปรับคุณลักษณะของครุภัณฑ์ในการจัดซื้อจัดจ้าง
3. เมื่อเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบของกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะขั้นตอนการเผยแพร่เอกสาร พบว่าขอบเขตงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุของหลายหน่วยงานมีข้อวิจารณ์ และต้องปรับปรุงการกำหนดขอบเขตของงาน TOR ตามข้อวิจารณ์ รวมถึงการอุธรณ์ผลการจัดซื้อจัดจ้างที่จะต้องจัดส่งรายงานและความเห็น พร้อมเหตุผลไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุธรณ์ เป็นผลให้เกิดความล่าช้าในการจัดซื้อจัดจ้าง ส่งผลให้การลงนามในสัญญาเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด
4. กฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนในการขออนุญาตใช้พื้นที่ต้องผ่านการปฏิบัติตามกฎหมายหลายฉบับ และผ่านการพิจารณาจากหลายหน่วยงาน
5. ผู้รับจ้างเข้าพื้นที่ล่าช้า ไม่เบิกจ่ายตามงวดงาน หรือรอเบิกค่าทีเดียวเมื่องานแล้วเสร็จ
6. บุคลากรของส่วนราชการในจังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับองค์ความรู้ทางกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างด้วย อย่างไรก็ตาม มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน มิเช่นนั้นจะเรียกคืนมาทำโครงการใหม่
7. กรณีงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ผู้อำนวยการในพื้นที่จะดำเนินการแผนงานโครงการในความรับผิดชอบของหน่วยงานที่สังกัดก่อน แล้วจึงดำเนินการโครงการในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลำดับถัดไป รายการที่มีวงเงินเกิน 1 พันล้าน ซึ่งเป็นโครงการใหญ่และมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ซับซ้อนกว่าโครงการภาครัฐทั่วไป ประกอบกับระหว่างการดำเนินการ มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการให้เหมาะสมกับการใช้งาน
8. หน่วยรับงบประมาณบางส่วนไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนการปฏิบัติงานที่กำหนดหรือยกเลิกการดำเนินการ เพราะเงื่อนไขบางประการ เช่น การดำเนินงานตามฤดูการ การดำเนินงานตามปฏิทินการดำเนินงานในช่วงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไม่เอื้อต่อการดำเนินงาน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณภาครัฐมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันการใช้จ่ายงบประมาณที่ดีขึ้น โดยอ้างอิงจากสถิติการใช้จ่าย พร้อมขอความร่วมมือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรช่วยกันดูแลการจัดทำแผนใช้จ่ายเงินงบประมาณให้ตรงตามกรอบที่กำหนด มีรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เสียเวลาและสามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39155 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรักและภูมิใจภาพลักษณ์ไทยในสายตาชาวโลก | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีเผยรักและภูมิใจภาพลักษณ์ไทยในสายตาชาวโลก
นายกรัฐมนตรีเผยรักและภูมิใจภาพลักษณ์ไทยในสายตาชาวโลก
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 19.05 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยกล่าวถึงจัดอันดับดัชนีชี้วัด ภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) ในปี 2563 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI : Transparency International) พบว่าในปี 2561 ประเทศไทยได้คะแนน 36 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จำนวนคะแนนเท่ากับปี 2562 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 104 ของโลก จากทั้งหมด 180 ประเทศ เป็นอันดับ 19 จาก 36 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ลำดับที่ 5 จาก 10 ประเทศอาเซียน คะแนน CPI เป็นการวัดความรู้สึกของคนในสังคมเกี่ยวกับ ระดับของการทุจริตภาครัฐ หลักเกณฑ์การให้จัดลำดับ CPI ขององค์กรเพื่อความโปร่งใส นานาชาติมาจากการให้คะแนนประเทศไทย จากองค์กรต่าง ๆ รวม 9 องค์กร ซึ่งใน 9 องค์กร ประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 4 องค์กร ได้คะแนนเท่าเดิมจาก 4 องค์กร และมี 1 องค์กรที่ไทยได้คะแนนลดลง
นายกรัฐมนตรีเผยรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการร้องเรียนการทุจริต จึงส่งผลให้เกิดการร้องเรียนเรื่องทุจริตมากขึ้นด้วย สะท้อนถึงการสนับสนุนให้ประชาชนเกิดการตื่นตัวในการส่งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เกิดการกระจายช่องทางการรับเรื่องราวทุจริต มีการจัดตั้งสำนักงาน ปปช ระดับจังหวัด นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและความจริงจังในการแก้ไขปัญหาทุจริตมาโดยตลอด โดยออกพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริต ให้ผู้แทนจากภาคประชาสังคมเข้าร่วมสังเกตการณ์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ป้องกันพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดการทุจริตในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และป้องกันการแทรกแซงโดยไม่เป็นธรรมจากผู้มีอำนาจและผู้มีอิทธิพล และการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
การขับเคลื่อนพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 มีการดำเนินงานอย่างจริงจังจนสามารถทำให้คะแนน Ease of Doing Business ที่จัดทำโดยธนาคารโลกดีขึ้น ล่าสุดประเทศไทยได้ที่ 21 จาก 190 ประเทศ เทียบกับ ปีก่อนดีขึ้นถึง 6 อันดับ รวมทั้งดำเนินมาตรการ Ten for Ten ที่เป็นข้อเสนอแนะจาก ทูต 5 ประเทศและหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับการอำนวย ความสะดวกในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยให้ติด 10 อันดับแรกในรายงาน ความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก ผลจากการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกฯ ลดโอกาสในการให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับ สินบน เพราะมีการปรับปรุงบริการภาครัฐที่เน้นพัฒนาให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ส่งผลให้ เกิดการใช้เทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการติดต่องานภาครัฐ มีระบบ ฐานข้อมูลที่อำนวยความสะดวกในการให้ผู้ใช้บริการ ความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ภาครัฐมากขึ้น ซึ่งผลดีล้วนตกอยู่กับประเทศ ทั้งภาคประชาชน นักธุรกิจ รวมถึง นักลงทุนต่างประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ขณะนี้เรามีระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ สามารถยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจได้ง่ายผ่านเว็บไซด์ เป็นการอำนวยความสะดวกในการยื่นขออนุญาตเพื่อประกอบ ธุรกิจ ยื่นที่เดียว แบบฟอร์มเดียว ติดตามสถานะการอนุมัติ อนุญาตของหน่วยงานออนไลน์ได้ซึ่งสามารถยื่นขอใบอนุญาตได้ถึง 78 ใบอนุญาต 25 ประเภทธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 18 ใบอนุญาต 10 ประเภทธุรกิจทั่วประเทศ เช่น ธุรกิจรีสอร์ตขนาดเล็ก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสปา ธุรกิจฟิตเนส ธุรกิจ คาร์แคร์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านกาแฟ ธุรกิจเกษตรปลอดภัย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจ การศึกษา ธุรกิจขายสินค้า online (ด้านเครื่องสำอาง) ธุรกิจ e-Commerce (ด้านเสื้อผ้า) ธุรกิจผลิตครีมบำรุง เครื่องสำอาง น้ำหอม ธุรกิจอุปกรณ์เครื่องมือ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ทางการแพทย์ ธุรกิจทางการเงิน ธุรกิจการพัฒนาแอปพลิเคชั่น ซอฟต์แวร์ ซื้อมาขายไป ซึ่งในอนาคตจะขยายให้ถึง 100 ใบอนุญาตเร็วๆ นี้
นายกรัฐมนตรียังย้ำการปฏิรูปกฎหมายในประเด็นที่มีความสำคัญ เร่งด่วน เพื่อให้การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จากจำนวน 216 ฉบับ มีกฎหมายที่แล้วเสร็จ จำนวน 50 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 23 ของกฎหมายที่เสนอทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้เป็น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการติดต่องานภาครัฐถึง 84 ฉบับ ซึ่งแก้ไขไปแล้ว 44 ฉบับ การปฏิรูปด้านกฎหมายนำมาซึ่งการตอบโจทย์ด้าน ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพิ่มมากขึ้น เช่น พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ กฎหมาย พ.ศ. 2562
ต่อไปนี้เวลาจะร่างกฎหมายอะไรออกมา รัฐบาลต้องรับฟัง ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมาย ทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐก็ต้องมีการประเมินผลของการใช้ กฎหมายเป็นระยะๆ
กฎหมายอีกฉบับที่รัฐบาลผ่านและรอนำเสนอสภาฯ ที่นำมาเล่าให้ฟัง คือ รัฐบาลได้แก้ปัญหาที่คนเคยกล่าวไว้ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ให้เป็น “คุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน แต่มีไว้ขังคนที่กระทำความผิดร้ายแรง” ปัจจุบันการกระทำบางอย่าง ที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เช่น ไม่แสดงใบขับขี่ (ปรับไม่เกิน 1,000 บาท) สูบบุหรี่ใน เขตปลอดบุหรี่ (ปรับไม่เกิน 2,000 บาท) จอดรถขายผลไม้ริมถนนสาธารณะ (ปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท) บ้วนน้ำลายคายน้ำหมากบนถนน หรือถ่ายมูลหรือปัสสาวะในที่สาธารณะ (ปรับไม่เกิน 2,000 บาท) เดิมโทษทางกฎหมายจะมีแต่โทษอาญา ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงหรือเล็กน้อย ทำให้คนทำผิดเล็กน้อยก็ต้องรับโทษปรับ ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็ต้องถูกกักขังแทนจ่ายค่าปรับ แต่จากนี้ไป ความผิดที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ไม่กระทบโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยหรือความปลอดภัยของประชาชน จากความผิดทางอาญาก็จะถูกเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย และใช้การปรับเป็นพินัยแทนปรับเป็นเงินหรือการกักขัง ไม่มีการบันทึก ลงในประวัติอาชญากรรม สามารถขอผ่อนชำระหรือทำงานบริการสังคมแทนได้ ถ้าร่างกฎหมายนี้ผ่านและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ภายใน 1 ปีจะมีผล ให้เปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายหลายฉบับ เป็นโทษปรับเป็นพินัย
นายกรัฐมนตรีเผยการทุจริตคอร์รัปชั่น ปฏิรูปประเทศและระบบงานภาครัฐ แม้อาจจะไม่ได้ทุกอย่าง รวดเร็วดังใจนึก แต่ก็มีความก้าวหน้า สามารถเห็นผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยในสายตาโลกนั้น เป็นอันดับ 1 ของประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ ปี 2563 และได้รับ อันดับที่ 2 ของประเทศที่ดีที่สุดที่จะทำการลงทุน อันดับ 1 ของประเทศที่ทุกข์ทรมานน้อยที่สุด ผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของสหประชาติในปี 2563 ไทยอยู่ที่อันดับที่ 57 ของโลก และเป็น อันดับ 3 ของอาเซียน ซึ่งความพยายาม ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลทำให้อันดับของเราดีขึ้น มาถึง 16 อันดับ อันดับ 43 ของประเทศที่ดัชนีนวัตกรรมโลก อันดับ 12 ของประเทศที่มีผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุดในโลก อันดับ 18 ของประเทศที่มีผลิตผลจากภาคการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดใน โลก อันดับ 26 ของประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ AAA ของพันธบัตรแห่งความยั่งยืนที่ดีที่สุดในข้อเสนอแห่งปี ประเภท Triple A จากรางวัลตลาดทุนที่ยั่งยืนในภูมิภาค อันดับ 5 ของประเทศที่เหมาะที่สุดในการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย เชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 5 ของเมืองที่เป็นมิตรที่สุดในโลก อันดับ 1 ของประเทศที่ประเทศฟื้นตัวและรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ได้ดีที่สุด อันดับ 6 ของประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพ อันดับ 8 ของประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด อันดับ 8 ของประเทศด้านดัชนีการดูแลทางสุขภาพ อันดับ 1 ของประเทศที่ประเทศในเอเชียที่ชาวต่างชาติอยากเรียนต่อ มากที่สุด อันดับ 1 ของประเทศที่มีอินเตอร์เน็ตบ้านความเร็วมากที่สุดในโลก อันดับ 7 ของประเทศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในเอเชีย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความรู้สึกต่อประเทศไทยว่ารักและภาคภูมิใจในเมืองไทย ขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่ร่วมมือกับรัฐบาล ทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ และเชื่อมั่นว่าเราจะร่วมกันทำให้เมืองไทยของ เราน่าอยู่มากยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เดินหน้าต้านทุจริตในภาครัฐ เปิดฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
วธ.เดินหน้าต้านทุจริตในภาครัฐ เปิดฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ
วธ.เดินหน้าต้านทุจริตในภาครัฐ เปิดฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ
วธ.เดินหน้าต้านทุจริตในภาครัฐ เปิดฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ ผุดแกนนำนำความรู้ไปวางแผนขยายผล สร้างเครือข่ายการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่ชุมชน
เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริต กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ผ่านระบบทางไกลVideo Conferenceไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และผู้เข้ารับการฝึกอบรม เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ. กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้สามารถคิดแยกแยะประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม มีจิตพอเพียง มีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต ควบคู่กับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบให้กับเครือข่ายของกระทรวงวัฒนธรรม มุ่งหวังให้เครือข่ายฯ เกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อการป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐ รวมถึงให้ความร่วมมือในการสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม และพฤติกรรมที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายรัฐบาล ข้อ 10 การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ แผนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) และแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559-2564) ด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายในการอบรมฯครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 400 คน ประกอบด้วย 1) ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ส่วนกลาง และสำนักงานรัฐมนตรี 20 คน 2) ข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด จังหวัดละ 2 คน รวม 152 คน 3) เครือข่ายของกระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดละ 3 คน รวม 228 คน โดยได้นิมนต์พระครูปลัดสัมพิพัฒนธีราจารย์ (วีรพล วีรญาโณ) วัดยานนาวา (พระอารามหลวง) กรุงเทพมหานคร และเชิญวิทยากรจากสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้บรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรม
“ขอให้ผู้บริหาร ข้าราชการทั่วประเทศให้ความสำคัญและดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ร่วมกันป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐทุกระดับ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจ ส่งเสริมสนับสนุนให้เครือข่ายของ วธ. เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเฝ้าระวัง การดำเนินงานของภาคราชการ เพื่อสร้างเครือข่ายให้มีความเข้มแข็ง เชื่อมั่น ศรัทธาต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่สำคัญขอให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านเป็นตัวอย่างแกนนำที่ดีนำความรู้ที่ได้รับไปวางแผนเพื่อขยายผลและสร้างเครือข่ายการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่ชุมชนที่รับผิดชอบ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป”ปลัด วธ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มวงเงินสนับสนุนพัฒนาคุณภาพผลผลิตข้าว ปีการผลิต 63/64 | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
เพิ่มวงเงินสนับสนุนพัฒนาคุณภาพผลผลิตข้าว ปีการผลิต 63/64
วันอังคารที่ 16 มกราคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบเพิ่มกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 จำนวน 28,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนส.ค. 63 – พ.ค. 64 เพื่อลดต้นทุนการผลิตและจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี และขายข้าวในราคาสูง ช่วยเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น บรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ โดยเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรในปี 2563/64 ประมาณ 4,500,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ จะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่หรือไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่ง ธ.ก.ส. จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันส่วนตัวไม่นิยมการพนันใด ๆ เพราะขัดหลักศีลธรรม ศาสนาและข้อห้ามตามกฎหมาย ปัจจุบันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อการสืบสวนสอบสวนทางอาชญากรรมด้วย | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันส่วนตัวไม่นิยมการพนันใด ๆ เพราะขัดหลักศีลธรรม ศาสนาและข้อห้ามตามกฎหมาย ปัจจุบันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อการสืบสวนสอบสวนทางอาชญากรรมด้วย
นายกรัฐมนตรียืนยันส่วนตัวไม่นิยมการพนันใด ๆ เพราะขัดหลักศีลธรรม ศาสนาและข้อห้ามตามกฎหมาย ปัจจุบันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อการสืบสวนสอบสวนทางอาชญากรรมด้วย
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 15.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ยืนยันกำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง เข้มงวดการเล่นพนันทุกรูปแบบ เพราะขัดต่อกฎหมาย ต่อหลักศีลธรรมและศาสนา การตกเป็นทาสการพนันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก หากพบว่ามีการกระทำผิดในท้องที่ใด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรับผิดชอบ
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลจึงต้องมีความเข้มงวด กวดขัน เพื่อกวาดล้างการพนันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมแต่งตั้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อรับผิดชอบการพนันออนไลน์โดยเฉพาะเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สถิติการจับกุมผู้กระทำความผิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2561 – 2563 มีการจับกุมผู้กระทำผิดแล้ว 35,000 คดี ผู้ต้องหากว่า 74,000 – 98,000 ราย ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 การรวมตัวกันเพื่อเล่นพนันในบ่อนจะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้มอบนโยบายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยที่ผ่านมาได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสืบหาเจ้าหน้าที่ทุกลำดับชั้นที่มีส่วนรู้เห็น ได้รับผลประโยชน์ หรือปล่อยปะละเลยให้เกิดการเล่นพนันในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งได้มีการดำเนินคดีแล้ว 51 ราย รวมถึงสืบหานายทุนที่อยู่เบื้องหลังและเครือข่ายการพนัน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าตนไม่ได้รับผลประโยชน์ วอนอย่าหมิ่นประมาท และบริหารราชการโดยใช้หลักนิติรัฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองต้องมีการปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบ มีพยานหลักฐาน พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่การเล่นการพนันที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดในภาคตะวันออกแล้ว และขอความร่วมมือจากทุกคนเพื่อแจ้งเบาะแสผ่านสายตรงถึงนายกรัฐมนตรีได้ในหลายช่องทางเพื่อเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุม
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจงชัดเจนไม่เคยคิดช่วยเหลือผู้ทำผิดกฎหมายหนีคดีไปต่างประเทศ | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีชี้แจงชัดเจนไม่เคยคิดช่วยเหลือผู้ทำผิดกฎหมายหนีคดีไปต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีชี้แจงชัดเจนไม่เคยคิดช่วยเหลือผู้ทำผิดกฎหมายหนีคดีไปต่างประเทศ
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 21.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ ถึงแก่ความตาย ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 แล้ว แต่การดำเนินคดีนี้มีความล่าช้าผิดปกติ และมีข้อสงสัยจากสาธารณชนว่ามีการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเป็น กระบวนการ ทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ประชาชนมีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลจึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในกรณีนี้ เพื่อแก้ไขความบกพร่องที่เกิดขึ้นและอำนวยให้เกิดความยุติธรรม โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานกรรมการ และได้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีทุกสิบวัน รวม 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม และ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ซึ่งได้มีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า สิ่งที่ได้ทำไปแล้วในฐานะนายกรัฐมนตรี คือเร่งรัดให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถูกต้อง เพื่อนำผู้กระทำความผิดมา ลงโทษ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายวรยุทธฯ ในคดีที่ยังไม่หมดอายุ ความภายใน 30 วัน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีอาญา นายวรยุทธ อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 291 และข้อหายาเสพติดให้โทษ ประเภท 2 (โคเคนหรือโคคาอีน) เรียบร้อยแล้ว มีการออกหมายจับและประสานงานกับองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (The International Criminal Police Organization : INTERPOL) เพื่อออก Red Notice หรือ “หมายแดง” เพื่อติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่ง INTERPOL ได้ออกหมายแดงตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2563 ขณะนี้ สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติกำลังประสานงานกับตำรวจสากลเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ติดตามและแจ้งผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สภาทนายความ อัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงาน ป.ป.ช. และขอเรียนว่า ล่าสุด สำนักงาน ป.ป.ท. ได้รายงานผลความคืบหน้าล่าสุดมาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ดังนี้
1 คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) แจ้งว่า ได้มีการประชุมครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 เลือกนายไพรัช วรปาณี ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน คณะกรรมการสอบสวนชั้นต้น นายเนตร นาคสุข กรณีกลับคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา แต่ต่อมา นายไพรัช วรปาณี ได้ยื่นหนังสือลาออกขอถอนตัว กรรมการอัยการ (ก.อ.) จึงมีมติ แต่งตั้งให้นายประสาน หัตกรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวน ชั้นต้นคนใหม่ ส่วนกรณีข้าราชการพนักงานอัยการ ผู้ปรากฏข้อเท็จจริงรายอื่นได้มี การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงด้วยแล้ว
2 กรมสอบสวนคดีพิเศษรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่มีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการร้องขอและเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้คดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดี พิเศษ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง คณะที่ 4 ได้มีมติว่าไม่มี เหตุสมควรเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ
3 สภาทนายความแจ้งว่า คณะกรรมการมรรยาททนายความได้มีมติใน การประชุม ครั้งที่ 11/2563 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนนายธนิต บัวเขียว ทีมทนายความของนายวรยุทธฯ แล้ว โดยมีนายอรัญ ศรีสลวย เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 และ พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528
4 สำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและ พยานหลักฐานในสำนวนกรณีกล่าวหาพลตำรวจตรี กฤษฎิ์ เปียแก้ว กับพวกรวม 11 คน สอบสวนช่วยเหลือนายวรยุทธ อยู่วิยา ผู้ต้องหา ไม่ให้ถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็น เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้วกับเรื่องกล่าวหานี้ แม้ว่าจะเป็น เรื่องกล่าวหาที่อาศัยมูลเหตุอย่างเดียวกัน แต่ภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกระทำความผิดในการช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์แก่นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา และมีประเด็นข้อกล่าวหาเพิ่มเติม รวมทั้งปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใหม่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความเร็ว ของรถยนต์ที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับขี่ขณะเกิดเหตุ และประเด็นการไม่แจ้งข้อกล่าวหา หรือดำเนินคดีกับนายวรยุทธ อยู่วิทยา ในข้อหายาเสพติด ส่วนการตรวจสอบเส้นทาง การเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาและมีมติให้ขอข้อมูล การทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องจากสำนักงาน ป.ป.ง. แล้ว ปัจจุบันอยู่ ระหว่างการจัดทำสรุปรายละเอียดข้อเท็จจริง และเอกสารส่งให้สำนักงาน ป.ป.ง. ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า คณะกรรมการพิจารณาและเสนอ ความเห็น เพื่อดำเนินการตามรายงานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ที่ 551/2563 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 3 คณะ เพื่อตรวจพิจารณาและเสนอความเห็นในประเด็นการดำเนินการ ทางวินัยข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี เพื่อตรวจพิจารณาและเสนอความเห็น การเริ่มกระบวนการสอบสวนคดีอาญาใหม่ให้ถูกต้อง การดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ ของรัฐและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง และเพื่อตรวจพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับการแก้กฎหมาย การมอบอำนาจและการรับมอบอำนาจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
นายกรัฐมนตรีย้ำว่าได้เร่งรัดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงในโอกาสนี้ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรี มิได้นิ่งนอนใจที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องและเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมของเราต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39157 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำไทยมีนวัตกรรมพึ่งตนเอง ช่วยควบคุมโรคโควิด 19 ติด Top 5 ของโลก | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ย้ำไทยมีนวัตกรรมพึ่งตนเอง ช่วยควบคุมโรคโควิด 19 ติด Top 5 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยมีนวัตกรรมทางการแพทย์ผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยป้องกันควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งชุด PPE หน้ากากอนามัย น้ำยาตรวจหาเชื้อ และระบบติดตามตัวที่รวดเร็ว ประชาชนร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ ทำให้ไทยติดอันดับ Top 5 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยมีนวัตกรรมทางการแพทย์ผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยป้องกันควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งชุด PPE หน้ากากอนามัย น้ำยาตรวจหาเชื้อ และระบบติดตามตัวที่รวดเร็ว ประชาชนร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ ทำให้ไทยติดอันดับ Top 5 ของโลกที่ควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี
วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบบริหารจัดการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว และคำนึงถึงความสมดุลทั้งสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ สถาบันโลวี ประเทศออสเตรเลียจัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกที่สามารถควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดีจากทั้งหมด 98 ประเทศ โดยมีอัตราการติดเชื้อ 340 คนต่อประชากรล้านคน ถือว่าน้อยกว่าประเทศอื่น 20-30 เท่า เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ รวมทั้งมีการคิดค้นนวัตกรรมช่วยควบคุมโรคที่พึ่งพาตนเองได้ เช่น การผลิตชุด PPE หน้ากากอนามัย น้ำยาตรวจหาเชื้อ รถเก็บตรวจอย่างและตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย และมีแอปพลิเคชันติดตามตัว เป็นต้น มีการขยายศักยภาพห้องปฏิบัติการกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามอย่างเพียงพอ มีระบบควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล ระบบการดูแลผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ยาฟลาวิพิราเวียร์ในการรักษา ทำให้อัตราการเสียชีวิตต่ำเพียงร้อยละ 0.1 ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ร้อยละ 2.2
นอกจากนี้ มีการเพิ่มจำนวนทีมสอบสวนเฝ้าระวังควบคุมโรคจาก 1,000 ทีม เป็น 3,000 ทีม ทำให้รับมือการระบาดได้รวดเร็ว ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ได้เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการสงสัยโรคโควิด 19 กลุ่มผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ กลุ่มผู้ป่วยปอดอักเสบทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ กว่า 1 ล้านคน และเฝ้าระวังในกลุ่มอื่น เช่น ผู้ต้องขัง แรงงานต่างด้าว ทั้งการค้นหาเชิงรุกและมาตรการ Bubble and Sealed ในจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้จำกัดวงการแพร่ระบาดและเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ประเทศไทยยังมีระบบสุขภาพปฐมภูมิ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เข้มแข็ง คอยดูแลป้องกัน รวมถึงประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำการป้องกันควบคุมโรค ทั้งการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากวันละ 800 ราย โดยในวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 72 ราย ใน 16 จังหวัด จังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อติดต่อกันมากกว่า 7 วันมี 46 จังหวัด จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 14,038 ราย แสดงถึงประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการควบคุมโรคโควิด 19
สำหรับมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากต่างประเทศ มีการเฝ้าระวังคัดกรองผู้เดินทางตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ทั้งทางอากาศ ทางบกและทางน้ำ จำนวน 7 ล้านคน โดยจัดสถานที่กักกันผู้เดินทางจากต่างประเทศด้วยระบบที่มีมาตรฐานทุกประเภท 200,000 กว่าคน ไม่พบการแพร่เชื้อไปในชุมชน ป้องกันไม่ให้เชื้อกลายพันธุ์เข้าประเทศ รวมทั้งปรับวิธีกักกันผู้เดินทาง เช่น การอนุญาตนักธุรกิจเข้ามาระยะสั้น การแข่งขันกีฬา เป็นต้น เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดำเนินต่อได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคโควิด 19 ในกลุ่มคลัสเตอร์ต่างๆ และติดตามผู้สัมผัสทั้งกลุ่มเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำได้อย่างรวดเร็ว เช่น สนามมวยลุมพินี สถานบันเทิงทองหล่อ โรงแรม 1G1 ประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบเล่นการพนัน สนามชนไก่ และตลาดกลางกุ้ง เป็นต้น ทำให้ทราบปัจจัยการระบาด สถานที่เสี่ยง นำไปสู่มาตรการห้ามจัดกิจกรรมที่มีความแออัดและรวมคนเป็นจำนวนมาก สามารถควบคุมโรคได้ภายใน 1 เดือนตามหลักทางวิชาการ
************************** 16 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมแก่ ป.ป.ช. ครั้งที่ 2 แล้ว ยืนยันไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม | วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีเผยยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมแก่ ป.ป.ช. ครั้งที่ 2 แล้ว ยืนยันไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
นายกรัฐมนตรีเผยยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมแก่ ป.ป.ช. ครั้งที่ 2 แล้ว ยืนยันไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 15.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงประเด็นการยื่นรายการบัญชีทรัพย์สิน ว่าได้มีการแจ้งรายการบัญชีเพิ่มเติมทรัพย์ต่อ ป.ป.ช. ครั้งที่ 2 ทุกอย่างเปิดเผยได้และยืนยันไม่เคยก้าวล่วงการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และไม่มีอำนาจสั่งให้แก้กฎหมาย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการใช้ข้อมูลจากสื่อเพื่อกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์นั้นว่า ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลดิบ ซึ่งต้องไปหาหลักฐาน วัตถุพยาน พยานบุคคล เพื่อนำมาดำเนินการตามกระบวนการตามกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ยืนยันนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39139 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งรัดแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำเร็จ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน สภาหอการค้าฯ ภาคเอกชนแสดงความชื่นชม | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีเร่งรัดแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำเร็จ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน สภาหอการค้าฯ ภาคเอกชนแสดงความชื่นชม
นายกรัฐมนตรีเร่งรัดแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำเร็จ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน สภาหอการค้าฯ ภาคเอกชนแสดงความชื่นชม
วันที่ 27 ก.พ.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับส่งออกสินค้า และเร่งพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว หลังจากภาคเอกชนได้หารือในการประชุม ศบศ. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง จนนำมาซึ่งการปรับปรุงระเบียบของกรมเจ้าท่า อำนวยความสะดวกให้เรือใหญ่ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้าเทียบท่าเรือที่แหลมฉบังได้สะดวกขึ้น ลดปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน
โดย เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า ได้ออกประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 25/2564 เรื่อง กำหนดให้เรือที่มีความยาวมากกว่า 300 เมตร แต่ไม่เกิน 400 เมตรเข้าเทียบท่า สาระสำคัญคือ การกำหนดแนวปฏิบัติให้เรือที่มีความยาวมากกว่า 300 เมตร แต่ไม่เกิน 400 เมตร เข้ามายังประเทศไทยครั้งแรก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องขออนุญาตจากกรมเจ้าท่า และเมื่อผ่านการพิจารณาแล้วไม่ต้องขออนุญาตอีกภายในระยะเวลา 2 ปี โดยการออกประกาศดังกล่าว คาดว่าจะช่วยให้สามารถนำเรือใหญ่ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาเทียบท่าเรือได้เพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 20-30 ในเส้นทางหลัก และจะส่งเสริมให้มีการนำตู้เปล่าเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 12,000 ตู้ ช่วยบรรเทาการขาดแคลนตู้สินค้าได้ และยังช่วยให้ค่าระวางเรือในการขนส่งจากประเทศไทยลดลงด้วย ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้รัฐบาลได้รับการชื่นชมจากสภาหอการค้าฯ และภาคเอกชน ที่นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นถึงความสำคัญ ตลอดจนความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา และดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ยังศึกษาเพิ่มช่องทางการส่งออกแบบไม่ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์ เช่น เรือสินค้าเทกองเรือ (Bulk cargo) หรือแบบดั้งเดิม (Conventional type) เพื่อเป็นทางเลือกในช่วงที่ตู้สินค้าขาดแคลน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีนโยบายชัดเจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการขนส่งทางทะเลทั้งระบบ ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ อำนวยความสะดวกในทุกมิติให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรองรับปริมาณการค้าโลกที่จะเพิ่มสูงขึ้นหลังสถานการณ์วิด-19 โลกคลี่คลาย ในปลายปีนี้” โฆษกรัฐบาลกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39453 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานนับหมื่น เฮ! ฝึกอบรมความปลอดภัย ฟรี! ช่วยลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
แรงงานนับหมื่น เฮ! ฝึกอบรมความปลอดภัย ฟรี! ช่วยลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายจ้าง ลูกจ้าง ภาคีเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงานทุกภาคส่วนขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่จัดโครงการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงาน ช่วยลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน สร้างการรับรู้มาตรการเชิงป้องกันความปลอดภัย
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกกลุ่มต้องได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งมีความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินการจัดฝึกอบรมให้แก่หน่วยงานฝึกอบรมที่ได้รับอนุญาตจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นผู้จัดฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ผู้ใช้แรงงานโดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 หลักสูตรความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามกฎหมาย ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับผิดชอบดำเนินการภายใต้แนวคิดชื่อ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” สำหรับหลักสูตรดังกล่าว ได้แก่ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร ระดับหัวหน้างาน ระดับเทคนิค คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน การทำงานในที่อับอากาศ ดับเพลิงขั้นต้น ฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ เป็นต้น ซึ่งมีหน่วยงานฝึกอบรมสมัครเข้าร่วมแคมเปญ จำนวน 207 หน่วยงาน แบ่งเป็น หน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 70 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคราชการ จำนวน 137 หน่วยงาน อบรมให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จำนวน 15,007 คน โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน 17,597,500 บาท
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานถึงความคืบหน้าการจัดฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ผู้ใช้แรงงานปรากฎว่า ณ วันที่ 26 ก.พ. 64 มีหน่วยฝึกอบรมดำเนินการจัดฝึกอบรมแล้ว จำนวน 36 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 14 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคราชการ จำนวน 22 หน่วยงานให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จำนวน 2,880 คน โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรตามกฎหมายกำหนด จำนวน 611,000 บาท
นายรุจน์ เฉลยไตร เครือข่ายชมรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานพระนคร ร่วมกับบริษัท เพอร์เฟค เซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เป็นหน่วยฝึกอบรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการอบรม หลักสูตร “เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีที่จะร่วมโครงการฯ โดยไม่คิดค่าบริการ เพื่อร่วมกันลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน และเพื่อสร้างการรับรู้มาตรการเชิงป้องกันความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งโครงการนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้แรงงาน
ด้าน นายไชยา ใจบำรุง รองผู้จัดการบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหาดใหญ่ ในนามตัวแทนผู้บริหารของสถานประกอบกิจการในจังหวัดสงขลา จำนวน 30 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการฯ หลักสูตร “ความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ” รุ่นที่ 1 สำหรับผู้อนุญาต กล่าวว่า เห็นด้วยกับการจัดโครงการฯ ฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในการทำงาน ให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ต้องขอขอบคุณรัฐบาล กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และบริษัท เซ้าเทอร์น เซฟตี้ จำกัด ที่เล็งเห็นความสำคัญของงานด้านความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทฯ จัดฝึกอบรมยังสละเวลาพร้อมทรัพยากรอันมีค่าต่างๆ ที่ใช้สำหรับฝึกอบรมโดยไม่คิดค่าบริการ และถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสถานประกอบกิจการที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ ผมหวังว่ากระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะมีโครงการดีๆ ในรูปแบบนี้อีกในปีต่อๆ ไป
ขณะที่ นายธนยศ สว่างไสว พนักงาน บริษัท รักษาความปลอดภัย ดีเอสเอส จำกัด ในนามตัวแทนผู้เข้าฝึกอบรมหลักสูตร “การอบรมดับเพลิงขั้นต้น” และหลักสูตร “การฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ” กล่าวว่า ขอขอบคุณ รัฐบาลกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และห้างหุ้นส่วนจำกัด เอที เซล เซอร์วิส แอนด์ เทรนนิ่ง ที่ร่วมกันจัดฝึกอบรม ฟรี แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปใช้ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยกรณีที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ ผู้ใช้แรงงานไม่บาดเจ็บและเสียชีวิต ทรัพย์สินของสถานประกอบกิจการไม่เสียหาย ทั้งนี้ ผมในนามตัวแทน ผู้เข้าฝึกอบรมขอสัญญาว่า จะนำความรู้ที่ได้จากท่านวิทยากรไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความปลอดภัยในการทำงานให้กับสถานประกอบกิจการของตนเองต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาล และกระทรวงแรงงาน จะจัดโครงการฝึกอบรมที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานในปีต่อไปอีก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39454 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผุดโครงการปลูกพริกซุปเปอร์ฮอท ลุยแจก 100,000 กล้า | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
ผุดโครงการปลูกพริกซุปเปอร์ฮอท ลุยแจก 100,000 กล้า
‘รมช.ประภัตร’ ผุดโครงการปลูกพริกซุปเปอร์ฮอท ลุยแจก 100,000 กล้า นำร่อง จ.นครสวรรค์ ช่วยเกษตรกรสร้างรายได้สู้โควิด-19
วันนี้(27ก.พ.64)นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรในพื้นที่ตําบลหนองกรดและตําบลกลางแดดอําเภอเมืองนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์ว่ารัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตระหนักและมีความเป็นห่วงเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและผลกระทบจากภัยพิบัติทั้งอุทกภัยและภัยแล้งตลอดจนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (covid-19)ในช่วงที่ผ่านมา จึงมีนโยบายเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรจึงได้ส่งเสริมอาชีพทางเลือกให้เกษตรกรมีรายได้ช่วงภัยแล้ง5อาชีพได้แก่1.ปลูกพริกแดง2.เลี้ยงปลาดุก3.เลี้ยงจิ้งหรีด4.เลี้ยงเป็ดไข่และ5.ไก่ไข่
สำหรับวันนี้ได้นำร่อง“โครงการปลูกพริกซุปเปอร์ฮอทสร้างรายได้สู้โควิด-19”ในพื้นที่ต.หนองกรดและต.กลางแดดจ.นครสวรรค์โดยศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่6จังหวัดพิษณุโลกได้ทําการผลิตกล้าพริกเพื่อมอบให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจํานวน200รายกล้าพริกจํานวน100,000กล้าในพื้นที่นําร่อง50ไร่พร้อมทั้งแนะนําและให้ความรู้แก่เกษตรกรเพื่อปลูกในช่วงฤดูแล้งวัตถุประสงค์เพื่อลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรังสลับปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชทางเลือกหรือกิจรรมทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูงเพื่อเป็นการเสริมรายได้รวมทั้งสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้เรียนรู้การเพาะปลูกพืชชนิดอื่นในพื้นที่นาเป็นเกษตรกรรมทางเลือกให้ชาวนาในระยะยาวซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรและจะผลักดันให้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สํานักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ประสานเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมซึ่งเป็นการทํางานบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกอบด้วยกรมส่งเสริมการเกษตรโดยสํานักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์กรมพัฒนาที่ดินสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ศูนย์ขยายพันธุ์พืชศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืชจังหวัดพิษณุโลกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรองค์การบริหารส่วนตําบลกลางแดดและบริษัทอีสท์เวสท์ซีดจํากัด(ศรแดง)ที่ให้การสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จําเป็นแก่เกษตรกรรวมทั้งการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีตลอดจนประสานภาคเอกชนในการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ ๑๐ และมอบรางวัล "The 2nd Next Big Silk Designer Contest" | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ ๑๐ และมอบรางวัล "The 2nd Next Big Silk Designer Contest"
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ ๑๐ และมอบรางวัล "The 2nd Next Big Silk Designer Contest"
วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการไหมไทยสู่เส้นทางโลกครั้งที่ ๑๐ และมอบรางวัล "The 2nd Next Big Silk Designer Contest" โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม อาจารย์ นักศึกษาจากสถาบันต่างๆ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณลานอีเดน และลานเซ็นทรัลคอร์ท ชั้น ๑ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39460 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีจุดโคมเทียนแก้ว และมาฆประทีป พระราชทาน | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีจุดโคมเทียนแก้ว และมาฆประทีป พระราชทาน
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีจุดโคมเทียนแก้ว และมาฆประทีป พระราชทาน
วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีจุดโคมเทียนแก้ว และมาฆประทีป พระราชทานจาก สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันมาฆบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๔ โดยมี นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นางอุทัย พัฒนพิชัย วัฒนธรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา เครือข่ายองค์กรทางศาสนา ผู้แทนองค์การมหาชน พุทธศาสนิกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี ณ วัดวีระโชติธรรมาราม ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าแผนปฏิรูปประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ประชาชนเข้าถึงกลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม กฎหมายทันสมัย | วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลเดินหน้าแผนปฏิรูปประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ประชาชนเข้าถึงกลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม กฎหมายทันสมัย
รัฐบาลเดินหน้าแผนปฏิรูปประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ประชาชนเข้าถึงกลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม กฎหมายทันสมัย
วันที่ 27 ก.พ.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กำหนดให้การปฏิรูประบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นกลไกระงับข้อพิพาทด้านสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยภายในปี 2565 ตั้งเป้าไว้จะต้องมีวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม และมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในกระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอ เพื่อให้มีระบบสืบสวนสอบสวน ระบบนิติวิทยาศาสตร์ กระบวนการพิจารณาคดี ระบบบังคับคดี การเยียวยาความเสียหาย ตลอดจนการเลือกใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นทางเลือก มีบทลงโทษทางแพ่งและอาญาและการเข้าถึงการพิจารณาความได้คล่องตัวมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจัดทำร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม พ.ศ.... พัฒนากระบวนการพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมให้มีมาตรฐานและเกิดการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากไปกว่านั้น ยังได้มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีความทันสมัยและเท่าที่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฎิบัติตามของประชาชน รวมถึงสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การดำเนินการที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงกฎหมายไปแล้ว 13 ฉบับ อาทิ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2562 ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ในปี 2565 จะต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนากฎหมายเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปในเรื่องนี้ อย่างน้อย 30 ฉบับ โดยเป็นการปรับปรุงกฎหมายเดิม 20 ฉบับ และจัดทำกฎหมายใหม่ 10 ฉบับ
“การปฏิรูประบบยุติธรรมและการปฏิรูปกฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะทำให้ประเทศไทยมีกฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน ทันต่อสถานการณ์และบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งมีกลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม มีมาตรฐาน นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๓ กุมภาพันธ์ วันทหารผ่านศึก | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
๓ กุมภาพันธ์ วันทหารผ่านศึก
ดอกป๊อปปี้ สีแดง นั้น เป็นสัญลักษณ์แทน ทหารผ่านศึก ผู้พิทักษ์รักษาประเทศชาติให้มีเอกราชอธิปไตย สีแดงของดอกป๊อปปี้ คือ เลือดของทหารหาญที่ได้หลั่งชโลมแผ่นดินไว้ด้วยความกล้าหาญ เสียสละอันสูงสุด
#วันทหารผ่านศึก
#ทหารของพระราชา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จ่ายค่าสินไหมประกันภัยข้าวนาปี 63 แล้วกว่า 370 ล้านบาท | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ธ.ก.ส. จ่ายค่าสินไหมประกันภัยข้าวนาปี 63 แล้วกว่า 370 ล้านบาท
ธ.ก.ส. จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกรในโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 จำนวนกว่า 370 ล้านบาท ช่วยบรรเทาความเสียหายและลดความเสี่ยงด้านการผลิต แก่เกษตรกรกว่า 32,000 ราย พื้นที่ปลูกข้าวกว่า 310,000 ไร่
นางณิชา อวยพรรุ่งรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธ.ก.ส. ได้มีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เกษตรกร โดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิตและบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นผ่านโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ซึ่งมีเป้าหมายส่งเสริมการทำประกันภัยบนพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ จำนวน 45.7 ล้านไร่ นั้น
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ได้สิ้นสุดระยะเวลาการขอเอาประกันภัยแล้ว โดยคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ 8 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วงลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ช้างป่า และภัยศัตรูพืช/โรคระบาดซึ่งเมื่อเกษตรกรผู้ทำประกันภัยได้รับความเสียหายจะทำการแจ้งความเสียหายที่สำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ และเมื่อสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้รับข้อมูลรายงานความเสียหาย (ตามแบบรายงานความเสียหาย กษ 02 เพื่อการประกันภัย) ครบถ้วน จะพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับข้อมูลครบถ้วน จากนั้น ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินค่าสินไหมทดแทนเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง ซึ่งในปีการผลิต 2563 ธ.ก.ส. ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้วจำนวน 8 ครั้ง เป็นเงินรวมกว่า 370.55 ล้านบาท มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับประโยชน์กว่า 32,000 ราย พื้นที่ปลูกข้าวกว่า 310,000 ไร่
ทั้งนี้ หาก ธ.ก.ส. ได้รับข้อมูลที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนจะเร่งดำเนินการโอนเข้าบัญชีเงินฝากเกษตรกรโดยเร็ว ให้ทันรอบการผลิตถัดไป ทั้งนี้ ปีการผลิต 2563 มีเกษตรกรให้ความสนใจทำประกันภัยข้าวนาปีจำนวนกว่า 3,400,000 ราย พื้นที่การเกษตรกว่า 44.3 ล้านไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เข้าพบ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เข้าพบ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เข้าพบ
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ นำคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เข้าพบ เพื่อแนะนำตัวนายยามาชิเตะ โนริเอกิ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของบริษัทฯ พร้อมทั้งขอรับทราบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุม 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ห่วงลูกจ้างไฟไหม้ จ.ระยอง สั่งหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบช่วยเหลือเร่งด่วน | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.สุชาติ ห่วงลูกจ้างไฟไหม้ จ.ระยอง สั่งหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบช่วยเหลือเร่งด่วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเร่งลงพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ด้านศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 ประสานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและการ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงหลอมเหล็ก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) ว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ให้ลงพื้นที่ ผมจึงกำชับให้กระทรวงแรงงานเร่งเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายครบทุกคน ผมจึงได้กำชับเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองเข้าไปตรวจสอบดูแลสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และชี้แจงให้นายจ้างปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2555 รวมทั้งมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดอัคคีภัยของสถานประกอบการ
นายสุชาติกล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.64) เวลาประมาณ 21.00 น.สถานที่เกิดเหตุเป็นโรงหลอมเหล็ก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่เลขที่ 99 หมู่ 3 ตำบลนิคมพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยองประกอบกิจการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน มีลูกจ้าง 176 คน เป็นชาย 137 คน หญิง 39 คน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต สำหรับสาเหตุกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ทั้งนี้ ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 ประสานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง เพื่อสอบข้อเท็จจริงและวิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และดำเนินการตามกฎหมายกำหนดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เพื่อสรุปความคืบหน้าผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นไปตามนโยบายและมติการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมและรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายหลักของรัฐบาล โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค ช่วยให้จำกัดวงระบาดได้ดี | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ย้ำความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค ช่วยให้จำกัดวงระบาดได้ดี
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 มีความสำคัญ ทำให้การแพร่ระบาดอยู่ในวงจำกัด ควบคุมโรคได้
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 มีความสำคัญ ทำให้การแพร่ระบาดอยู่ในวงจำกัด ควบคุมโรคได้
บ่ายวันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 795 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 783 ราย ส่วนใหญ่มาจากการค้นหาเชิงรุกในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และเดินทางมาจากต่างประเทศ 12 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมการระบาดระลอกใหม่ (วันที่ 15 ธันวาคม 2563 –3 กุมภาพันธ์ 2564) มี 17,012 ราย หายป่วย 10,061 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 6,932 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 19 ราย
นพ.เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มก้อนการติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดมหาสารคาม พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1 รายเพศชาย อายุ 66 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ปฏิบัติงานในคลินิกที่ผู้ติดเชื้อเข้ารับการตรวจรักษา เมื่อทราบข่าวจึงไปรับการตรวจหาเชื้อ ผลครั้งแรกเป็นลบ ได้กักตัวเองที่บ้านเพื่อสังเกตอาการ ระหว่างการกักตัว มีอาการป่วยคล้ายหวัด จึงไปตรวจซ้ำ ผลตรวจพบเชื้อ ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดมหาสารคาม จึงได้ประกาศให้ผู้มารับบริการที่คลินิกดังกล่าว ในช่วงวันที่ 25-29 มกราคม 2564 ไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านและเข้ารับการตรวจหาเชื้อ อย่างไรก็ตาม ถือว่าจังหวัดมหาสารคามสามารถควบคุมได้ เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมและเข้มมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค ตั้งแต่ยังไม่มีเหตุการณ์ระบาด ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่หลายภาคส่วนพร้อมทั้งได้เฝ้าระวังในกลุ่มผู้ป่วยปอดอักเสบ คลินิกกลุ่มโรคคล้ายหวัด (ARI Clinic)ในโรงพยาบาล และตรวจคัดกรองเชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว รวมถึงพื้นที่เสี่ยง เช่น ตลาด และผู้จำหน่ายอาหารสด อาหารทะเล เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมในกลุ่มก้อนการระบาดเดียวกันในจังหวัดมหาสารคามมีทั้งหมด 17 รายในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง (PUI) จำนวน 55 ราย พบผู้ติดเชื้อ 3 ราย, ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 33 ราย พบผู้ติดเชื้อ 14 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 32 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อ ส่วนของการเฝ้าระวังติดตามค้นหาเชิงรุก (Active Surveillance) จำนวน 4,149 ราย ผลไม่พบเชื้อ 2,477 ราย และอยู่ระหว่างรอผล 1,672 ราย
********************************3 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน"เผยโควิด 19 สมุทรสาคร แนวโน้มดีขึ้น หลังตรวจเชิงรุกเกินเป้าในโรงงาน | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
"อนุทิน"เผยโควิด 19 สมุทรสาคร แนวโน้มดีขึ้น หลังตรวจเชิงรุกเกินเป้าในโรงงาน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร มีแนวโน้มดีขึ้น หลังตรวจเชิงรุกเกินเป้าในโรงงาน ชี้การแยกผู้ติดเชื้อและป้องกันออกนอกพื้นที่และจังหวัด ช่วยให้ควบคุมโรคได้ ขอประชาชนคงมาตรการป้องกันตนเอง คาด 2-3 ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร มีแนวโน้มดีขึ้น หลังตรวจเชิงรุกเกินเป้าในโรงงาน ชี้การแยกผู้ติดเชื้อและป้องกันออกนอกพื้นที่และจังหวัด ช่วยให้ควบคุมโรคได้ ขอประชาชนคงมาตรการป้องกันตนเอง คาด 2-3 วันผู้ติดเชื้ออาจลดลง
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร ลงพื้นที่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน และโรงพยาบาลสนาม องค์การบริหารส่วนตำบลท่าทราย ติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ของ จ.สมุทรสาคร และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมมอบหน้ากากอนามัย 1 หมื่นชิ้น และชุดPPE 250 ชุด
นายอนุทินกล่าวว่า แนวโน้มการควบคุมโรคใน จ.สมุทรสาครดีขึ้น แม้พบผู้ติดเชื้อวันละหลายร้อยคนจากการตรวจเชิงรุก ทั้งนี้ มีโรงพยาบาลที่มีความพร้อมรองรับผู้ติดเชื้อคนไทยที่มีอาการเข้ารักษา ได้แก่ โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลท่าฉลอม โรงพยาบาลบ้านแพ้ว และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน โดยใช้อาคารสร้างใหม่เป็นCohort Ward มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน รวมทั้งมีห้องปฎิบัติการทางการแพทย์สามารถตรวจหาเชื้อเองได้ ส่วนแรงงานต่างชาติได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามไว้รองรับจำนวนหลายพันเตียง ส่วนผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในโรงงาน ใช้การกักกันในโรงงาน (Factory Quarantine) และมาตรการ Bubble and Seal ให้อยู่ภายในพื้นที่ ซึ่งการแยกผู้ติดเชื้อและกักกันไม่ให้ออกนอกพื้นที่ หรือออกนอก จ.สมุทรสาครเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทำให้ควบคุมโรคได้
“ผู้ที่อยู่ในจ.สมุทรสาครยังขอให้รักษาพฤติกรรมNew Normal ต่อไป ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ พยายามอยู่ห่างจากชุมชนที่แออัด อย่าหลีกเลี่ยงกฎหมาย ทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ปกติ คาดว่าอีกไม่นาน” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ได้ค้นหาเชิงรุกแล้ว 1.4 แสนราย เกินเป้าที่กำหนดไว้จากโรงงาน 541 แห่ง แต่ทำได้มากถึง 845 แห่งโดยโรงงานขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 500 คน และโรงงานขนาดกลางที่มี 200-500 คน ได้รับการตรวจคัดกรองแล้วทั้งหมด ทำให้ทราบโรงงานเป้าหมายที่ต้องควบคุมโรคด้วยมาตรการBubble and Seal ซึ่งตอนนี้มีหลายโรงงานแล้วที่ทำได้ โดยอีก 2-3 วันผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะออกมาครบทั้งหมด คาดว่าการติดเชื้อน่าจะลดลงจากนี้การเฝ้าระวังเชิงรุกจะทำในพื้นที่เสี่ยงและโรงงานขนาดเล็กที่ยังดำเนินการไม่ครอบคลุม และเตรียมแผนมาตรการรองรับต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ทส. รับงบสนับสนุนจาก กฟผ. เพื่อจัดทำชุดสนามให้เจ้าหน้าที่ ทช. ปฏิบัติการดูแลทรัพยากรฯ ทางทะเล” | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
“ทส. รับงบสนับสนุนจาก กฟผ. เพื่อจัดทำชุดสนามให้เจ้าหน้าที่ ทช. ปฏิบัติการดูแลทรัพยากรฯ ทางทะเล”
“ทส. รับงบสนับสนุนจาก กฟผ. เพื่อจัดทำชุดสนามให้เจ้าหน้าที่ ทช. ปฏิบัติการดูแลทรัพยากรฯ ทางทะเล”
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 13.30 น. ณ อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมเป็นเกียรติในโอกาสที่กระทรวงพลังงาน โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำโดยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และ นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มอบเงินสนับสนุนงบประมาณรักษาทรัพยากรธรรมชาติ จำนวน 2 ล้านบาท เข้ากองทุนสวัสดิการกรมทรัพยากรทางทะลและชายฝั่ง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้แทนรับมอบ
ทั้งนี้ งบประมาณสนับสนุนดังกล่าว จะนำไปใช้เพื่อการจัดทำชุดปฏิบัติการภาคสนาม (Westmoreland) ให้แก่เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำหรับการออกปฏิบัติการภาคสนามในการสำรวจและดูแลทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38848 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน! รับจ้างอุ้มบุญ ขายไข่ - อสุจิ ผิดกฎหมาย | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
เตือน! รับจ้างอุ้มบุญ ขายไข่ - อสุจิ ผิดกฎหมาย
...
ประเทศไทย เป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก
ที่ช่วยให้ผู้มีบุตรยากสามารถ "ตั้งครรภ์" ได้
เฉลี่ยสูงถึง 46% เนื่องจากมีเทคโนโลยี
ช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
ที่มีความก้าวหน้าและทันสมัยมาก
.
จากความสำเร็จดังกล่าว บวกกับหลายประเทศ
มีอัตราการเกิดลดลง จึงอาจกลายเป็นโอกาส
ให้ "ผู้ไม่หวังดี" มาชักชวนคนไทยที่กำลังเผชิญภาวะลำบาก และเสนอค่าจ้าง
เพื่อให้อุ้มบุญ หรือขายไข่ - อสุจิ
.
แอดมินขอเตือนว่า อย่าได้หลงเชื่อคำเชิญชวน
หรือเห็นแก่ค่าจ้างนั้น เพราะเป็นการกระทำ
ที่ผิดกฎหมายและอาจมีโทษ
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยี
ช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558” ดังนี้
.
1. ผู้ใดรับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี
และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
.
2. ผู้ใดซื้อ - ขายอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน
มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ
ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
หากประชาชนพบเห็นการรับจ้างตั้งครรภ์แทน
หรือซื้อขายไข่ - อสุจิ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่
สายด่วน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) 1426
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มสิทธิบัตรทอง 2 รายการ ช่วยเหลือเด็กหูหนวก
พุ่งเกิน 8 ล้าน “เราชนะ” เตรียมตรวจสอบสิทธิ 8 ก.พ.
ลงทุนง่าย พันธบัตร "เราชนะ" เริ่มต้นแค่ 100 บ.
ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้
หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มสิทธิบัตรทอง 2 รายการ ช่วยเหลือเด็กหูหนวก | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
เพิ่มสิทธิบัตรทอง 2 รายการ ช่วยเหลือเด็กหูหนวก
...
เด็กในช่วงอายุ 0 - 3 ปีแรก ถ้ามีความผิดปกติ
ทางการได้ยิน จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการต่าง ๆ
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเด็กไทยในกลุ่มดังกล่าว
ให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
.
ปีนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ 2 รายการ คือ
.
1. คัดกรองการได้ยินในทารกกลุ่มเสี่ยง
โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายจำนวน 30,434 คน
ซึ่งครอบคลุมการตรวจคัดกรองด้วยการวัด
การสะท้อนกลับของเสียงที่เกิดขึ้นในหูชั้นใน
และตรวจการได้ยินในระดับก้านสมองแบบคัดกรอง
.
2. เพิ่มรายการอุปกรณ์ประสาทหูเทียม
ชนิด Rechargeable สำหรับการผ่าตัด
ฝังประสาทหูเทียม ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
ที่มีระดับการได้ยิน 90 dB ขึ้นไป
และไม่เคยฝึกภาษามือ
.
สำหรับสิทธิประโยชน์ใหม่ทั้ง 2 รายการนี้
จะช่วยให้เด็กไทยที่มีปัญหาทางการได้ยิน
มีพัฒนาการสมวัย และไม่สูญเสียโอกาสทางสังคม
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38836 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน! วธ.เปิดรับสมัครสอบแข่งขันบรรจุข้าราชการ นักวิชาการเงินและบัญชี นักจัดการงานทั่วไป นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการรวม 103 อัตรา เริ่มรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต 9 ก.พ.ถึง 4 มี.ค.นี้ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ด่วน! วธ.เปิดรับสมัครสอบแข่งขันบรรจุข้าราชการ นักวิชาการเงินและบัญชี นักจัดการงานทั่วไป นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการรวม 103 อัตรา เริ่มรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต 9 ก.พ.ถึง 4 มี.ค.นี้
ด่วน! วธ. เปิดรับสมัครสอบแข่งขันบรรจุข้าราชการ นักวิชาการเงินและบัญชี นักจัดการงานทั่วไป นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการรวม 103 อัตรา เริ่มรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต 9 ก.พ.ถึง 4 มี.ค.นี้
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ)โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.)เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)จำนวนทั้งหมด 103 อัตรา แบ่งเป็นตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ 8 อัตรา นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ 25 อัตราและนักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ 70 อัตรา โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เช่น มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นผู้เคยถูกลงโทษ ไล่ออกเพราะกระทำผิดตามวินัยตามพ.ร.บ.ฉบับนี้หรือกฎหมายอื่น เป็นผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการหรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ นอกจากนี้ ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เช่น เป็นผู้ได้รับปริญญาตรีตามสาขาวิชาหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน เป็นผู้สอบผ่านการการวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก) ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีผลการสอบผ่าน(ภาค ก) ภายในวันที่ปิดรับสมัครสอบ ผู้สมัครที่เป็นเพศชายต้องผ่านการเกณฑ์ทหาร หรือมีหลักฐานที่แสดงว่าไม่ต้องรับราชการทหาร(สด.8 หรือสด.43)
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับการสอบแบ่งเป็นการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่งโดยวิธีสอบข้อเขียน(ปรนัย) ซึ่งผู้สมัครสอบในตำแหน่งใด จะต้องสอบเฉพาะตำแหน่งนั้นตามที่ได้กำหนดไว้และการสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตำแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่น ซึ่งผู้ที่จะสมัครสอบสามารถสมัครได้ทางอินเทอร์เน็ตตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2564 ตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการโดยเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เวบไซต์ http://m-culture.thaijobjob.com/หัวข้อ “การรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการและตำแหน่งนักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ สป.วธ.จะประกาศรายชื่อผู้สมัครสอบ วัน เวลา สถานที่สอบและระเบียบเกี่ยวกับการสอบวันที่ 10 มีนาคม 2564 ทางเวบไซต์ http://m-culture.thaijobjob.com/ หรือ www.m-culture.go.th/personnel หัวข้อ “การประกาศรายชื่อผู้สมัครสอบ วัน เวลา สถานที่และระเบียบเกี่ยวกับการสอบ”และจะดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่จะใช้เฉพาะตำแหน่งในวันที่ 20 มีนาคม 2564
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เพิ่มการเข้าถึงบริการโรคเฉพาะทางเขตเมือง ที่อาคารบางรัก เขตสาทร | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เพิ่มการเข้าถึงบริการโรคเฉพาะทางเขตเมือง ที่อาคารบางรัก เขตสาทร
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์การแพทย์ให้บริการโรคเฉพาะทาง อาทิ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จักษุวิทยา โรคผิวหนัง และโรคหัวใจ เพิ่มการเข้าถึงบริการแก่ประชาชนเขตเมือง ที่อาคารบางรัก เขตสาทร
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์การแพทย์ให้บริการโรคเฉพาะทาง อาทิ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จักษุวิทยาโรคผิวหนัง และโรคหัวใจ เพิ่มการเข้าถึงบริการแก่ประชาชนเขตเมือง ที่อาคารบางรัก เขตสาทร
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) ที่สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการจัดบริการทางการแพทย์ระหว่างกรมควบคุมโรค โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ กรมการแพทย์ โดยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เพิ่มหน่วยบริการโรคเฉพาะทางที่อาคารบางรัก เขตสาทร ซึ่งเป็นอาคาร 17 ชั้น เพื่อให้ประชาชนในเขตเมือง มีความสะดวก เข้าถึงบริการได้ง่าย ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่จะต้องลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่จัดบริการแบบNew Normalโดยมอบให้กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์จัดบริการโรคเฉพาะทางต่างๆ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคตา โรคผิวหนัง โรคหัวใจ เป็นต้น โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) โรงพยาบาลเลิดสิน สถาบันโรคทรวงอก สถาบันโรคผิวหนัง ซึ่งได้เปิดบริการบางส่วนแล้ว ในส่วนของการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคผิวหนัง และอยู่ระหว่างปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะสมกับการตรวจรักษาโรคเฉพาะทางแต่ละสาขา ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ และเป็นสถานที่ศึกษาดูงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ ประชาชนติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 081 875 9904
******************************** 3 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. แรงงาน ห่วงใยคนหางานไปทำงานต่างประเทศ หลังพบนายหน้าเถื่อนหลอกค้ามนุษย์ผ่านโซเชียลมีเดีย | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รมว. แรงงาน ห่วงใยคนหางานไปทำงานต่างประเทศ หลังพบนายหน้าเถื่อนหลอกค้ามนุษย์ผ่านโซเชียลมีเดีย
รมว.แรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน เข้มงวด ตรวจสอบ ผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยฉวยโอกาสหลอกเหยื่อที่ตกงานช่วงโควิด อ้างรายได้ดี และเรียกเงินค่าจัดทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากคนหางาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สถานประกอบการในประเทศจำนวนมากได้รับผลกระทบจนไม่สามารถจ้างงานได้เช่นเดิม ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง มีความหวังจะไปทำงานต่างประเทศเพื่อหารายได้ ซึ่งล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางาน ให้ติดตาม ตรวจสอบแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิอย่างเข้มงวด เพื่อระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำ คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทางโซเชียลมีเดีย และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวงให้สูญเงิน จนถึงเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท
“ การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และคนงานไทยไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ จำนวน 1,965 คน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38840 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38874 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 รอบที่ 1 ในพื้นที่ จ.ตาก จ.ระยอง ผ่านการประชุมทางไกล | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 รอบที่ 1 ในพื้นที่ จ.ตาก จ.ระยอง ผ่านการประชุมทางไกล
ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 รอบที่ 1 ในพื้นที่ จ.ตาก จ.ระยอง ผ่านการประชุมทางไกล
เมื่อวันพุธที่3กุมภาพันธ์ 2564นางคนึงนิจคชศิลาหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมการตรวจราชการประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564 รอบที่1ผ่านการประชุมวีดิทัศน์ทางไกลโดยมีนางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯเขตตรวจราชการที่17จ.ตากและเขตตรวจราชการที่8จ.ระยองณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสำหรับปีงบประมาณ2564 กระทรวงฯเน้นการตรวจติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในเชิงนโยบายภาพรวมซึ่งมีโครงการหลักๆที่น่าสนใจอาทิโครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชน,การพัฒนาวิสาหกิจในระยะเริ่มต้นเน้นกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนยกระดับผู้ประกอบการด้านดิจิทัลฯ,การยกระดับศูนย์การเรียนรู้ICTชุมชนสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชนและโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ เช่นกิจกรรมในการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์ให้กับโครงการพื้นฐานดิจิทัลและบริการออนไลน์ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการให้บริการเป็นต้นนอกจากนี้กระทรวงฯเน้นเรื่องการบริหารสภานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ได้แก่การขับเคลื่อนการใช้แพลตฟอร์ม/แอปพลิเคชั่น“ไทยชนะ”และแอปพลิเคชั่น“หมอชนะ”
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38849 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38872 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ส่งสุขเทศกาลตรุษจีน หนุนเอสเอ็มอีไทยซินนี้ฮวดไช้ มอบอั่งเปาสินเชื่อเสริมสภาพคล่องแถมลดค่าวิเคราะห์โครงการ ตลอดเดือน ก.พ. | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
SME D Bank ส่งสุขเทศกาลตรุษจีน หนุนเอสเอ็มอีไทยซินนี้ฮวดไช้ มอบอั่งเปาสินเชื่อเสริมสภาพคล่องแถมลดค่าวิเคราะห์โครงการ ตลอดเดือน ก.พ.
SME D Bank เคียงคู่ดูแลเอสเอ็มอีไทย มอบอั่งเปาเสริมสภาพคล่องลดต้นทุน ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ยื่นกู้ตลอดเดือน ก.พ.นี้ ได้รับสิทธิ์พิเศษลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ ลง 0.5%
SME D Bank เคียงคู่ดูแลเอสเอ็มอีไทย มอบอั่งเปาเสริมสภาพคล่องลดต้นทุน ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ยื่นกู้ตลอดเดือน ก.พ.นี้ ได้รับสิทธิ์พิเศษลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ ลง 0.5% นอกจากนั้น หนุนเอสเอ็มอี ขายดีซินนี้ฮวดไช้ เปิดโอกาสเติบโตด้วยออนไลน์ ผ่านกิจกรรม “ฝากร้านฟรี SME D Bank” (Season 2)
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ตลอดช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นี้ SME D Bank จัดแคมเปญพิเศษช่วยเอสเอ็มอีไทย เสริมสภาพคล่อง ค้าขายลื่นไหล และลดต้นทุนธุรกิจ ด้วยการมอบอั่งเปาสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ได้แก่ สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น นิติบุคคล 2.875% ต่อปีใน 3 ปีแรก และบุคคลธรรมดา 4.875% ต่อปีใน 3 ปีแรก สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME D Happy วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.25%ต่อปี สินเชื่อ Smart SMEs วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5%ต่อปี โดยหากยื่นกู้ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อดังกล่าว ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จะได้รับสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) ลง 0.5%
“การจัดแคมเปญครั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ เข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ นำไปเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ถือเป็นอั่งเปาที่ SME D Bank มอบจากใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในเทศกาลตรุษจีน โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอใช้บริการ เพื่อรับสิทธิ์ในแคมเปญนี้ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 " นางสาวนารถนารี กล่าว
ผู้สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ทุกสาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ นอกจากนั้น เพื่อความสะดวก และลดความเสี่ยงจากการเดินทาง สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น LINE Official Account: SME Development Bank เว็บไซต์ www.smebank .co.th และแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น
นอกจากนั้น SME D Bank ยังจัดกิจกรรม “ฝากร้านฟรี SME D Bank” (Season 2) สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เพิ่มยอดขาย เติบโตด้วยออนไลน์ โดยลงทะเบียนสมัคร ง่าย ๆ เพียงคลิกลิงค์ : http://bit.ly/2LUGXJt หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งทุกรายที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับสิทธิเบื้องต้นเข้ากลุ่ม Market Place “ฝากร้านฟรี SME D Bank” ที่เปิดโอกาสนำเสนอสินค้าขายบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีสมาชิกติดตามมากกว่า 8,800 ราย และหากสินค้าใด มีความโดดเด่น น่าสนใจมากเป็นพิเศษ หรือเป็นลูกค้าเดิมของ SME D Bank จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษโปรโมทผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ผ่านแฟนเพจ powersmethai (ศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี) ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 100,000 ราย พร้อมรับโอกาสต่อยอดเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของ SME D Bank เช่น ออกร้านขายสินค้า เป็นต้น สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line OA : @powersmethai หรือ Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เดินหน้าต่อดันไทยรักษาแชมป์อาเซียนปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกา หนุนผลิตสุกรและอุตสาหกรรมแปรรูป150,000 ล้าน | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
“เฉลิมชัย” เดินหน้าต่อดันไทยรักษาแชมป์อาเซียนปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกา หนุนผลิตสุกรและอุตสาหกรรมแปรรูป150,000 ล้าน
หนุนผลิตสุกรและอุตสาหกรรมแปรรูป150,000 ล้าน หลัง ครม.อนุมัติงบกลาง 279 ล้านบาท ชดเชยให้เกษตรกรที่ทำลายหมูตามมาตรการป้องกันโรค พร้อมยกระดับมาตรฐานฟาร์มสุกร เผยส่งออกสุกรเพิ่มกว่า 300% มั่นใจปีนี้ขยายตัวต่อเนื่องคู่ค้าทั่วโลกมั่นใจสุกรไทย
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าตามที่ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายสร้างวิกฤติในโอกาสโดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์ทำงานเชิงรุกป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกรในพื้นที่ความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในช่วง2ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร(ASF)ส่งผลให้ประเทศไทยคงสถานะปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะกระจายไปกว่า34ประเทศทั่วโลกแล้วก็ตามทำให้การส่งออกสุกรในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่า300%คิดเป็นมูลค่ากว่า22,000ล้านบาทและเชื่อมั่นว่าการส่งออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น
“เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศชาติและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตสุกรและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า150,000ล้านบาทรวมทั้งเป็นการรักษาความมั่นคงด้านอาหารของประเทศโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด19ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเสนอมาตรการต่อเนื่องต่อคณะรัฐมนตรีจนเห็นชอบเมื่อวันที่2กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรสำหรับค่าชดใช้สุกรที่ถูกทำลายตามมาตรา13 (4)แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์พ.ศ. 2558วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น279,782,374บาทให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์สามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาโดยได้สำเร็จสามารถลดจำนวนประชากรของสุกรที่มีความเสี่ยงสูงในพื้นที่จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอัตราร้อยละ15ใน27จังหวัด108อำเภอเกษตรกรประมาณ6,485รายจำนวนสุกรประมาณ77,578ตัว”นายอลงกรณ์กล่าว
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการยกระดับมาตรการจัดการฟาร์มเลี้ยงสุกรให้ได้มาตรฐานเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันโรคระบาดสัตว์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตโดยเฉพาะในเกษตรกรรายย่อยที่มีการเลี้ยงแบบเปิดซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อและอาจเป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อโรคในวงกว้างอีกด้วย
สำหรับการดำเนินการลดจำนวนประชากรของสุกรที่มีความเสี่ยงสูงในพื้นที่อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์พ.ศ. 2558มาตรา13 (4)และกฎกระทรวงกำหนดค่าชดใช้ราคาสัตว์ที่ถูกทำลายอันเนื่องจากเป็นโรคระบาดหรือมีเหตุอันสงสัยว่าเป็นโรคระบาดหรือสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดพ.ศ. 2560กำหนดให้ชดใช้ราคาแก่เจ้าของสัตว์หรือซากสัตว์สามในสี่ของราคาสัตว์หรือซากสัตว์ซึ่งขายได้ในตลาดท้องที่ก่อนเกิดโรคระบาดโดยการชดใช้ราคาสัตว์ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินราคาสัตว์ประกอบด้วยสัตวแพทย์1คนพนักงานฝ่ายปกครองท้องที่หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นอย่างน้อย2คนเป็นกรรมการอย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯจะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการชดเชยตามระเบียบฯโดยเร็วเพื่อบรรเทาผลกระทบของเกษตรกรจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์สุกรแอฟริกาต่อไป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38844 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบล่าสุดยกเว้นและลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำเข้าส่งออกสัตว์และซากสัตว์ดันปศุสัตว์ไทยสู่ตลาดโลก | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ครม.เห็นชอบล่าสุดยกเว้นและลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำเข้าส่งออกสัตว์และซากสัตว์ดันปศุสัตว์ไทยสู่ตลาดโลก
“เฉลิมชัย” เร่งขับเคลื่อนนโยบายสร้างรายได้ลดต้นทุนหนุนส่งออกเสนอครม.เห็นชอบล่าสุดยกเว้นและลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำเข้าส่งออกสัตว์และซากสัตว์ดันปศุสัตว์ไทยสู่ตลาดโลก
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (3 ก.พ.) ว่า เพื่อสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันการส่งออกด้านปศุสัตว์กับต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้นโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคเกษตรเพื่อลดต้นทุนของเกษตรกรและผู้ประกอบการการค้าสินค้า จึงสั่งการให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวงเรื่องการกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ตามกฎหมาย ว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2559 และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีจนมีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อลดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านการปศุสัตว์
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ ครม. เห็นชอบกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ดังต่อไปนี้
1. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ เข้ามาในราชอาณาจักร ตัวละ 25 บาท (เดิมตัวละ 250 บาท)
2. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ ออกนอกราชอาณาจักร ตัวละ 20 บาท (เดิมตัวละ 200 บาท)3. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ออกนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด กิโลกรัมละ 3 บาท (เดิมกิโลกรัมละ 5 บาท)
4. กำหนดค่าที่พักซากสัตว์ที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด กิโลกรัมละ 2 บาท (เดิมกิโลกรัมละ 5 บาท)
5. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภท ม้า โค กระบือ แพะ แกะ ที่นำออกนอกราชอาณาจักรโดยผ่านด่านศุลกากรบูเก๊ะตา
6. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยานประเภทสุนัข แมว ไก่ เป็ด ห่าน สัตว์ปีกชนิดอื่น หรือไข่สำหรับใช้ทำพันธุ์ เฉพาะกรณีที่สัตว์นั้นยังอยู่ในเขตปลอดอากร จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งผ่านออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง
7. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยาน กรณีที่ไม่มีการเปิดตรวจตู้สินค้าหรือแบ่งถ่ายโอนสินค้า และยังอยู่ในเขตปลอดอากรจนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งผ่านออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ใหม่ ที่กระทรวงเกษตรฯ ยกร่างแก้ไขครั้งนี้ถือว่าเป็นการปรับใหม่ทั้งระบบ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมขีดความสามารถด้านการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไทยไปยังต่างประเทศให้มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำรายได้เข้าประเทศได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
สำหรับจิ้งหรีดซึ่งเป็นอาหารใหม่ประเภทโปรตีนทางเลือกใหม่นั้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้กำหนดนโยบายให้ประเทศไทยเป็นฮับแหล่งผลิตแมลงของโลกโดยเน้นการพัฒนาการผลิตการแปรรูปและการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำทั้งฟาร์มจิ้งหรีด, อุตสาหกรรมอาหารใหม่ (Novel Food) และการสนับสนุนสตาร์ทอัพเกษตรตั้งเป้าหมายเจาะตลาดโลกมูลค่า 3 หมื่นล้าน
“นโยบายและเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ส่งเสริมให้คนทั่วโลกบริโภคจิ้งหรีดกันมากขึ้น เนื่องจากจิ้งหรีดเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่มีราคาถูก โปรตีนจากแมลงจัดเป็นซูเปอร์ฟู้ด (Super Food) และเป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตการแปรรูปและการตลาดรวมทั้งส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย ทั้งนี้ จะมีการจัดตั้ง “ศูนย์เทคโนโลยีแมลง” ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC:Agritech and Innovation Center) โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับอีกอย่างน้อย 4 มหาวิทยาลัยได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ เพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ กระบวนการผลิต การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งแบบสด แช่แข็ง ทอด คั่ว หรือบรรจุกระป๋อง รวมถึงทำเป็นผงบด เพื่อเป็นส่วนผสมในการทำเบเกอรี่ และแปรรูปเป็นแป้งจำพวกเส้นพาสต้า โปรตีนบาร์ ผงแป้ง ขนมขบเคี้ยว และ protein shakes ซึ่งกลุ่มประเทศ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา เอเชียตะวันออก ละตินอเมริกา แอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างให้ความสนใจต่อการบริโภคเป็นอย่างมาก
ซึ่งตลาดส่งออกไทยไปต่างประเทศได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วเติบโตถึงร้อยละ 23 ต่อปี โดยเฉพาะ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค มกอช. ได้ประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับฟาร์มจิ้งหรีด (มกษ.8202-2560) เป็นมาตรฐานทั่วไป นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดไปยังสหภาพยุโรปได้ และกฎหมายว่าด้วยการขึ้นทะเบียนอาหารใหม่ (Novel Food) ตลอดจน ประเทศเม็กซิโก ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ มกอช. ร่วมกับกรมปศุสัตว์ ได้ดำเนินการขอเปิดตลาดรายการสินค้าผงแป้งจิ้งหรีดและจิ้งหรีดแช่แข็ง (สะดิ้ง) ของไทยในเม็กซิโก โดยทำงานร่วมกับสำนักงานแห่งชาติด้านสุขอนามัยความปลอดภัย และคุณภาพของการเกษตรและอาหารของเม็กซิโก หรือ SENASICA จนลุล่วง” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ย้ำ! ทางเลือกใหม่ต้องมีทักษะฝีมือ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รมช.แรงงาน ย้ำ! ทางเลือกใหม่ต้องมีทักษะฝีมือ
- -
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่รอบแรก จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการและแรงงานอย่างต่อเนื่อง หลายกิจการทยอยปิดตัวหลังการแพร่ระบาดรอบใหม่ ล่าสุดที่มีการนำเสนอข่าวโรงงานแมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ยุบไปรวมกับโรงงานในอยุธยา ทำให้พนักงานตกงานกว่า 2,600 พันคน ส่วนใหญ่เป็นสตรี และคาดว่าจะมีแรงงานถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยและสั่งการให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ต้องเปลี่ยนสภาพจากแรงงานในระบบเป็นแรงงานนอกระบบ การพัฒนาทักษะฝีมือของตนเองให้มีความรู้ ความสามารถที่หลากหลายจึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นต้องมี เพื่อเพิ่มช่องทางการประกอบอาชีพใหม่ ทั้งการประกอบอาชีพอิสระ หรือก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการใหม่ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ที่เป็นหน่วยงานหลักด้านการพัฒนาทักษะดังกล่าว มีหน่วยงานตั้งอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ ปัจจุบันมีการประกาศเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรมเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาทิ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 7 อุบลราชธานี (สพร.7อุบลราชธานี) เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าฝึกอบรมถึง 12 หลักสูตร อาทิ ผู้ประกอบอาหารไทย ช่างทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร ช่างเชื่อม ช่างประกอบโครงอลูมิเนียม, สพร.19 เชียงใหม่ เปิดอบรม บาร์เทนเดอร์, สพร.13 กรุงเทพ เปิดอบรม การจัดการด้านอาหารและโภชนาการบนเรือ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายหลักสูตรที่เหมาะกับกลุ่มแรงงานสตรี เช่น เทคนิคการสร้างร้านค้าและขายสินค้าออนไลน์ การผลิตสื่อโฆษณาและหนังสั้นด้วยสมาร์ทโฟน การสร้างอินโฟกราฟิกเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อธุรกิจ และงานด้านศิลปประดิษฐ์ เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th
ส่วนแรงงานที่ต้องการเข้าสู่ระบบการจ้างงาน โดยเฉพาะในเขต EEC สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. ประกาศเปิดอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) อีก 14 หลักสูตร เช่น ช่างควบคุมหุ่นยนต์ การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน การจำลองขบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX และสาขาเครื่องจักรกลการผลิต เป็นต้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า อีกช่องทางในการหางานทำคือ สามารถดูตำแหน่งงานว่างได้ที่กรมการจัดหางาน หรือสมัครงานผ่านออนไลน์ที่ www.ไทยมีงานทำ.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลการจ้างงาน และหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ สามารถเข้าไปเพื่อค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่ต้องการ และจับคู่ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ รวมไปถึงประสบการณ์การทำงานหรือทักษะที่มีอยู่
“แรงงานทุกคนต้องพัฒนาตนเองให้รอบรู้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตนเองในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะทำอาชีพอิสระหรือแบบมีนายจ้างก็ตาม ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับอาชีพใหม่ในยุค New Normal เมื่อสถานการณ์นี้คลี่คลาย เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง และขอย้ำว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38841 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยเข้าร่วมโครงการเราชนะ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยเข้าร่วมโครงการเราชนะ
ครม.มีมติเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2564 กำหนดประเภทสินค้าที่ไม่ให้สิทธิ์ในโครงการเราชนะเพิ่มเติม (จากที่กำหนดไม่ให้ใช้จ่ายสำหรับสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือยาสูบ)
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 กำหนดประเภทสินค้าที่ไม่ให้สิทธิ์ในโครงการเราชนะเพิ่มเติม (จากที่กำหนดไม่ให้ใช้จ่ายสำหรับสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือยาสูบ) ได้แก่ สินค้าประเภททองคำ รวมถึงร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนการขายทอดตลาด และการค้าของเก่าประเภท เพชร พลอย ทอง นาก เงิน หรืออัญมณี เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านค้าธงฟ้าฯ) และร้านค้าคนละครึ่งไม่ต้องลงทะเบียนสมัครใหม่ และสามารถปรับปรุง (Update) แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับการใช้จ่ายของประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป
โฆษกกระทรวงการคลังยังเน้นย้ำถึงความพร้อมในการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยที่สนใจเข้าร่วมโครงการเราชนะ โดยผู้ประกอบการร้านค้าในกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มและร้านจำหน่ายสินค้าทั่วไปสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ทางเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้ให้บริการรายย่อยที่มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งและตรวจสอบได้หรือบริการขนส่งสาธารณะ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยจะมีการแจ้งผลการสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านข้อความสั้น (SMS) ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการสามารถดาวน์โหลดและยืนยันตัวตนบนแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อใช้เป็นช่องทางในการรับชำระค่าสินค้าและบริการต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2564 และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com
ทั้งนี้ ล่าสุดมีประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการเราชนะและลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com แล้วประมาณ 8.4 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ได้รับ SMS แจ้งเตือนสถานะ “ลงทะเบียนไม่สำเร็จ” ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดในการกรอกเลขประจำตัวประชาชน เลขรหัสหลังบัตรประชาชน (Laser ID) ชื่อ ชื่อกลาง (ถ้ามี) นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด สามารถลงทะเบียนใหม่ผ่านทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ทันที หลังจากได้รับ SMS แจ้งเตือนจนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) และ Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
รมว.วธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชมการบันทึกเทป ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
โดยรายการจะออกอากาศในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ วันที่ ๑๘ มีนาคม วันที่ ๒๓ มีนาคม และวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔
ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ HD (๓๓) เวลา ๑๖.๔๕ น. เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุ่งเกิน 8 ล้าน “เราชนะ” เตรียมตรวจสอบสิทธิ 8 ก.พ. | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
พุ่งเกิน 8 ล้าน “เราชนะ” เตรียมตรวจสอบสิทธิ 8 ก.พ.
...
อัปเดตความคืบหน้า การลงทะเบียนโครงการ “เราชนะ”
ที่เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา
ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ .com
ล่าสุด มีผู้ลงทะเบียนแล้วมากกว่า 8,050,000 คน
.
ผู้ที่ลงทะเบียนแล้วสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ
ที่ www.เราชนะ .com ได้ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. 64
.
ย้ำกันตรงนี้ สำหรับผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ
จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน
และใช้วงเงินที่ได้รับสิทธิ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 64 เป็นต้นไป
.
กรณีที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ได้รับข้อความ SMS
แจ้งเตือนสถานะ “ลงทะเบียนไม่สำเร็จ”
อาจเกิดจากความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล
เช่น เลขประจำตัวประชาชน เลขรหัสหลังบัตรประชาชน
ชื่อ ชื่อกลาง (ถ้ามี) นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด
.
ให้ผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ
ลงทะเบียนใหม่ที่เว็บไซต์ www.เราชนะ .com ได้ทันที
หลังจากได้รับ SMS แจ้งเตือน จนถึงวันที่ 12 ก.พ. นี้
.
กรณีมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
ศูนย์ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425
หรือ Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1144
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มสิทธิบัตรทอง 2 รายการ ช่วยเหลือเด็กหูหนวก
เตือน! รับจ้างอุ้มบุญ ขายไข่ - อสุจิ ผิดกฎหมาย
ลงทุนง่าย พันธบัตร "เราชนะ" เริ่มต้นแค่ 100 บ.
ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้
หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38834 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะเช็คสุขภาพใจ วัดระดับความเครียดช่วงโควิดระลอกใหม่ | วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.แนะเช็คสุขภาพใจ วัดระดับความเครียดช่วงโควิดระลอกใหม่
กระทรวงสาธารณสุข เผยสุขภาพจิตคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ พบภาวะเครียด ตื่นตระหนก สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ กลุ่มญาติผู้ติดเชื้อและผู้ที่กักตัวมีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิต แนะทางออกหรือทางเลือก เข้าเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต เช็คสุขภาพใจ วัดร
กระทรวงสาธารณสุข เผยสุขภาพจิตคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ พบภาวะเครียด ตื่นตระหนกสอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ กลุ่มญาติผู้ติดเชื้อและผู้ที่กักตัวมีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิต แนะทางออกหรือทางเลือก เข้าเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต เช็คสุขภาพใจ วัดระดับความเครียด และประชาชนทั่วไปควรเสพข่าวพอเหมาะ
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าว เช็คอินหัวใจในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ประชาชนเกิดความรู้สึกเครียดและวิตกกังวล โดยสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ ส่วนใหญ่พบประชาชนตื่นตระหนกและมีความตึงเครียดสอดคล้องกับพื้นที่จังหวัดที่พบการระบาด เช่น คนในพื้นที่สีแดงกลัวตัวเองติดเชื้อ ส่วนจังหวัดสีส้มและสีเหลือง กลัวควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ส่วนความกังวลใจของประชาชนส่วนใหญ่ที่นำไปสู่ความเครียดและวิตกกังวล มาจากมาตรการที่อาจกระทบกับชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และโอกาสการทำงาน
แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิตคือ ผู้ติดเชื้อและญาติ
ที่ได้รับการตีตราจากคนในสังคม ชุมชน และผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้หรือที่บ้าน ในส่วนนี้กระทรวงสาธารณสุขจะมีทีมเข้าไปดูแลสุขภาพสุขภาพจิต โดยพบว่าในช่วง2 วันแรกจะมีภาวะความเครียดสูงจากการรอผลตรวจ และเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการกักตัว จะมีภาวะความเครียดสูงขึ้น เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปไหนได้แนะนำให้ทำตารางการใช้ชีวิตเป็นเวลา 14 วัน รวมถึงสื่อสารกับบุคคลอื่นผ่านทางเครื่องมือสื่อสารจะช่วยลดความเครียดได้ ส่วนญาติเมื่อพูดคุยกับผู้ที่ถูกกักกัน แล้วพบความผิดปกติหรือความเสี่ยงทางสุขภาพจิต เช่นอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือมีประวัติเกี่ยวกับสุขภาพจิต และแสดงความคิดที่จะยุติชีวิตของตัวเอง ให้รีบแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ในสถานกักกันทันที เพื่อร่วมกันช่วยเหลือและดูแล สำหรับประชาชนทั่วไป หากเริ่มรู้สึกเครียดจากการเสพข่าว แนะลดชั่วโมงการรับข่าวสาร ติดตามจากช่องทางที่เชื่อถือได้ หากอยากทราบสภาวะสุขภาพจิตของตนเอง สามารถเข้าเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต ซึ่งมีเครื่องมือตรวจวัดสภาพจิตใจMental Health Check-In เพื่อเช็คสุขภาพใจว่าความเครียดอยู่ในระดับใดจะทราบผลการประเมินทันที มีคำแนะนำการปฏิบัติตัว และช่องทางขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญผ่านทางออนไลน์ หรือโทรปรึกษาสายด่วน กรมสุขภาพจิต 1323
“ขอให้ทุกท่านกลับมาดูแลใจของตัวเอง หากเรามีวัคซีนใจที่ดีจะสามารถดูแลสมาชิกในครอบครัว ชุมชน วัคซีนสำคัญที่จะช่วยลดภาวะกังวลที่แพทย์แนะนำคือ การลดความเสี่ยงและป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่าง จะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมโรคและช่วยลดความกังวลได้ เชื่อมั่นว่าทุกคนจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยกัน” แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว
********************************* 3 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ย้ำ | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
วราวุธ ย้ำ
วราวุธ ย้ำ "ลดเผา เท่ากับ ลด PM.2.5"
ยก "เล่งเน่ยยี่" ต้นแบบตรุษจีนวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำทีม คณะผู้บริหารทส. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในวันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของขาวจีนที่กำลังจะมาถึง พร้อมเดินรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก แจกถุงผ้า เชิญชวนนักท่องเที่ยวและพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนร่วมกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ภาครัฐ ได้รณรงค์เชิญชวนให้ช่วยกันลดพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด โดยเฉพาะการเผา ยิ่งในช่วงเทศกาล “ตรุษจีน” ที่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวจีน โดยปีนี้ ตรงกับวันศุกร์ที่ 12 ก.พ. 2564 ซึ่งมักพบการจุดธูป การเผากระดาษเงิน กระดาษทอง เป็นจำนวนมาก แต่ในปีนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่พี่น้องประชาชน และวัดหลายแห่งได้ตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
"วัดเล่งเน่ยยี่แห่งนี้ ถือเป็นต้นแบบของศาสนสถาน ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีบทบาทสำคัญในการจัดการมลภาวะทางอากาศ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการเริ่มจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นผู้นำทางความคิดทางวัฒนธรรมจีน จัดการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน โดยชุมชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ย่านเยาวราช-เจริญกรุง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการไหว้ ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดจำนวนกระถางธูป กระดาษไหว้เจ้า เพื่อลดการเผาของสักการะ ซึ่งปัจจุบัน เหลือกระถางธูป 5 กระถาง จากเดิม 10 กระถาง รวมทั้งการลดจำนวนธูปในการไหว้แต่ละครั้ง จาก 15-20 เหลือเพียง 9 ดอก และปรับเปลี่ยนรูปแบบของธูปให้ก้านสั้นลง ตลอดจน การใช้ QR Code อ่านคำทำนายเซียมซี เพื่อช่วยลดปัญหา การจัดการขยะ ฯลฯ"
ในโอกาสปีใหม่ไทยและปีใหม่ของจีนที่กำลังจะมาถึงจึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยและพี่น้องเชื้อสายจีนทุกคน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสังคมสู่ “ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ที่ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มง่ายๆ จากตัวเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการทิ้งขยะให้ถูกที่ มีการคัดแยกขยะ ช่วยกันใช้น้ำและพลังงานอย่างประหยัด ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ถุงผ้าที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ฯลฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38881 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.เกษตรฯ” เน้นย้ำบูรณาการทำงานทุกภาคส่วน เร่งรัดขับเคลื่อนโครงการสำคัญ | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
“รมว.เกษตรฯ” เน้นย้ำบูรณาการทำงานทุกภาคส่วน เร่งรัดขับเคลื่อนโครงการสำคัญ
“รมว.เกษตรฯ” เน้นย้ำบูรณาการทำงานทุกภาคส่วน เร่งรัดขับเคลื่อนโครงการสำคัญ ย้ำ กำกับดูแลการใช้จ่ายอย่างโปร่งใส กระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ให้มากที่สุด สั่งหน่วยงานลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงโครงการ และเกิดเป็นรูปธรรม
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร ครั้งที่ 1/2564 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในวันนี้ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ มีการบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อให้การขับเคลื่อนงานโครงการสำคัญต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเร่งรัดติดตามภารกิจสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่มีการปรับลดคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ ซึ่งได้กำชับให้หน่วยงานติดตามประเมินผลให้ได้เกษตรกรตามเป้าหมาย 32,000 ราย และเร่งรัดนำเม็ดเงินลงไปให้ถึงเกษตรกรให้เร็วที่สุด เกิดผลเป็นรูปธรรม ตลอดจนดำเนินงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ สำหรับโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ได้กำชับทุกส่วนราชการทำงานบูรณการร่วมกัน และประชาสัมพันธ์เชิงรุก ลงไปถึงพื้นที่พี่น้องเกษตรกรแปลงใหญ่ โดยจัดทำคู่มือการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบถึงข้อดีข้อเสีย และได้รับประโยชน์สูงสุด
สำหรับโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามที่ ครม.มีมติ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ได้อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ฯ ในวงเงิน 3,550 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 32,000 ราย จ้างงานระดับตำบล 16,000 ราย (ตำบลละ 1 ราย ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25 ราย) และขยายผลไปถึงวันที่ 30 ธ.ค.64 จากเดิม ต.ค. 64 และเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้โครงการฯ 4 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาพื้นที่, ด้านการพัฒนาอาชีพและการตลาด, ด้านการขับเคลื่อนในพื้นที่ และด้านการติดตามประเมินผล เพื่อกำกับดูแลและรายงานความก้าวหน้า ซึ่งขณะนี้ความก้าวหน้าโครงการ มีเกษตรกรที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกรอบที่ 1 จำนวน 20,583 ราย ส่งรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านเกณฑ์รอบที่ 1 ให้กรมพัฒนาที่ดินแล้ว และดำเนินการขุดสระเก็บกักน้ำรอบแรกในเดือนมีนาคม 2564 ในส่วนของเกษตรกรที่คัดเลือกรอบที่ 2 เป้าหมาย 11,417 ราย (5 ประสาน 7,759 ราย และเกษตรกรทั่วไป 3,658 ราย) อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดรับสมัครเกษตรกรรายใหม่ และลงพื้นที่ตรวจสอบคุณสมบัติ ความเหมาะสมของพื้นที่
ในส่วนของ โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เป้าหมายดำเนินการในพื้นที่ 77 จังหวัด 5,250 แปลง พื้นที่ 5,003,250 ไร่ เกษตรกรจำนวน 262,500 ราย วงเงิน 13,904,500,000 บาท สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิต มีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผลการดำเนินงาน ขณะนี้มีกลุ่มแปลงใหญ่ที่แจ้งเข้าร่วมโครงการแล้ว 1,150 แปลง จดทะเบียนนิติบุคคล 640 แปลง อยู่ระหว่างจดทะเบียนนิติบุคคล 540 แปลง (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ก.พ.64) อย่างไรก็ตามได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทบทวนกิจกรรม/แผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 และเร่งรัดการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่อไป
รมว.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบแนวทางภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แนวทางนโยบายหลัก ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนแนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสาขาเกษตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.8 ต่อปี 2) ผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.2 ต่อปี 3) เกษตรกรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี และ 4) พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 350,000 ไร่ และมอบหมายให้ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ จัดทำแผนขับเคลื่อนภาคเกษตรให้ครอบคลุมนโยบายของ รมว.เกษตรฯ และปลัดเกษตรฯ พร้อมทั้งกำกับ ดูแลและรายงานผลให้ทราบทุกเดือน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38878 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำทุกจังหวัดคงเข้มมาตรการป้องกันโควิด 19 แม้ไม่พบผู้ติดเชื้อ | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.ย้ำทุกจังหวัดคงเข้มมาตรการป้องกันโควิด 19 แม้ไม่พบผู้ติดเชื้อ
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น วันนี้พบการติดเชื้อใน 5 จังหวัด ย้ำทุกจังหวัดคงมาตรการป้องกันโรคเข้มข้น แม้ไม่พบผู้ติดเชื้อหลายวัน ชี้ไม่มีวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้ 100% ผลของวัคซีนคือช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น วันนี้พบการติดเชื้อใน 5 จังหวัดย้ำทุกจังหวัดคงมาตรการป้องกันโรคเข้มข้น แม้ไม่พบผู้ติดเชื้อหลายวัน ชี้ไม่มีวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้ 100%ผลของวัคซีนคือช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต ส่วนเป้าหมายการฉีดยึดประโยชน์สูงสุดประเทศ
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 809 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 796 ราย ที่ จ.สมุทรสาคร 786 ราย คิดเป็นร้อยละ 98.62, กรุงเทพมหานคร 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.5 และจังหวัดอื่นๆ จำนวน 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.88 และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 13 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมในการระบาดระลอกใหม่ (วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 4 กุมภาพันธ์2564) จำนวน 17,821 ราย หายป่วยสะสม 10,858 ราย ยังรักษาตัวในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม 6,944 รายไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 19 ราย
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด 19 มีแนวโน้มดีขึ้น จากเดิมที่มีการติดเชื้อใน 63 จังหวัด สัปดาห์นี้ลดลงเหลือ 13 จังหวัด วันนี้มีการติดเชื้อเพียง 5 จังหวัด อย่างไรก็ตาม ทุกจังหวัดยังต้องเฝ้าระวังโรคโควิด 19 แม้จะไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิน 7 วันแล้วก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังผู้ที่มีอาการเข้าข่ายสอบสวนโรคและมีประวัติเสี่ยง สำหรับการเดินทางข้ามจังหวัดสามารถเดินทางได้ ผู้ที่จะเดินทางต้องศึกษามาตรการของจังหวัดปลายทาง เนื่องจากสถานการณ์การระบาดมีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น จ.มหาสารคาม เคยเป็นจังหวัดสีเขียว แต่จากงานเลี้ยงโต๊ะแชร์ ทำให้มีการขีดวงบางอำเภอให้ใช้มาตรการควบคุมสูงสุดและจำกัดกิจกรรมบางส่วน
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีการฉีดแล้วมากกว่า 100 ล้านโดส ซึ่งจะช่วยให้มีข้อมูลทั้งด้านความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีนมากขึ้น อย่างไรก็ตามไม่มีวัคซีนชนิดใดที่ฉีดแล้วสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผลของการฉีดคือ สามารถลดความรุนแรงของโรค หากติดเชื้อจะไม่มีอาการหรือมีอาการป่วยไม่รุนแรง และลดการเสียชีวิต ซึ่งเมื่อลดความรุนแรงของโรคได้ โอกาสแพร่กระจายเชื้อก็จะลดลงและแม้จะฉีดวัคซีนแล้วยังคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันตนเองได้อย่างดี
“ขณะนี้การใช้วัคซีนเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินจึงต้องมีการติดตามข้อมูลความปลอดภัย โดยวัคซีนของบริษัทแอสตราเซนเนกาที่มีการฉีดเป็นล้านโดสในอังกฤษนั้น จากการติดตามเบื้องต้นพบว่ามีความปลอดภัยส่วนกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนของประเทศไทย มีผู้เชี่ยวชาญพิจารณาโดยรอบคอบ หวังผลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในช่วงที่วัคซีนมีจำกัดจะพิจารณาฉีดในพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยงก่อน จะเกิดประสิทธิผลในการควบคุมโรคมากกว่าฉีดกระจายทั่วทุกที่ในคราวเดียว” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
************************** 4 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-เอกชนร่วมตั้งโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ติดเชื้อแรงงานต่างด้าว | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.-เอกชนร่วมตั้งโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ติดเชื้อแรงงานต่างด้าว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กำลังใจบุคลากร ขอบคุณภาคเอกชนให้พื้นที่และงบ ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด 19 ช่วยให้ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อเดินหน้า มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อทุกคน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กำลังใจบุคลากร ขอบคุณภาคเอกชนให้พื้นที่และงบ ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด 19 ช่วยให้ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อเดินหน้า มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อทุกคน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยให้การควบคุมโรคใน จ. สมุทรสาคร เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ จ.สมุทรสาคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ ได้นำผู้คณะบริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานในสถานการณ์โควิด 19และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์จิตอาสาที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลสนามวัฒนาแฟคทอรี่ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัท วัฒนาแฟคทอรี่ สนับสนุนพื้นที่และค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 1,500 เตียงรองรับแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด 19 เฟสแรกมีเตียงรองรับ 500 เตียง และขยายเพิ่มเฟส2 อีก 1,000 เตียง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมบุคลากรทางการแพทย์หมุนเวียนให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อสามารถเดินหน้าต่อไปได้ มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อทุกคน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุน วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในโรงพยาบาลสนามจากภาคเอกชนอื่นๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการป้องกันควบคุมโรค เมื่อสถานการณ์การระบาดคลี่คลาย แรงงานหายป่วยกลับมาทำงาน จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดสมุทรสาครต่อไป
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร ยังมีผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการจำกัดวงการแพร่ระบาด โดยมีการปรับแผนและมาตรการควบคุมโรคตามสถานการณ์ ขณะนี้ เน้นในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานขนาดใหญ่ ใช้กลยุทธ์Bubble and Seal ควบคุมและกำหนดเส้นทาง ที่พักอาศัยในกลุ่มพนักงานเพื่อป้องกันเชื้อแพร่ออกมาสู่ชุมชนภายนอก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและพนักงานเป็นอย่างดี ส่วนในโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กได้ตรวจค้นหาเชิงรุกให้ครอบคลุมทุกโรงงาน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา สำหรับโรงงานที่ไม่พบผู้ติดเชื้อ ได้เน้นการให้ความรู้ในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค รวมทั้งในชุมชน ได้รับการช่วยเหลือจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจคนในชุมชนเกี่ยวกับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันและลดการสัมผัสในกลุ่มพนักงานโรงงาน
*************************** 4 กุมภาพันธ์ 2564
*********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38882 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภานโยบายฯ เล็งจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาการอุดมศึกษา พอใจไทยมีสัดส่วนการลงทุน R&D มากกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เตรียมโปรโมท BCG Model ในการประชุม BIMSEC และ APEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
สภานโยบายฯ เล็งจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาการอุดมศึกษา พอใจไทยมีสัดส่วนการลงทุน R&D มากกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เตรียมโปรโมท BCG Model ในการประชุม BIMSEC และ APEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
สภานโยบายฯ เล็งจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาการอุดมศึกษา พอใจไทยมีสัดส่วนการลงทุน R&D มากกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เตรียมโปรโมท BCG Model ในการประชุม BIMSEC และ APEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
วันนี้ (4 ก.พ. 64) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) โดยที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีด้านการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวนวงเงินทั้งสิ้น 117,880 ล้านบาท พร้อมจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา เพื่อผลิตบัณฑิตและกำลังคนที่มีสมรรถนะและศักยภาพสูงเพียงพอต่อความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประเทศ เพื่อที่จะนำเสนอแก่คณะรัฐมนตรีต่อไป
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงแก่สื่อมวลชน ย้ำโมเดลเศรษฐกิจเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model) หรือ BCG Model มีความสำคัญซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเป็นกระบวนทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในด้านของอาหาร การเกษตร สุขอนามัยทางการแพทย์ พลังงาน การท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเยาวชน ให้มีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะมีการผลักดัน BCG Model ในเวทีระหว่างประเทศด้วยในฐานะที่ประเทศไทยจะเป็นประธานในระยะต่อไปด้วย อาทิ กรอบ BIMSEC และ APEC เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและพลเมืองโลก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังเน้นถึงบทบาทด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรม ในการบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมเวชภัณฑ์ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย ที่สำคัญคือการเร่งพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิด-19 ในมหาวิทยาลัยภายใต้สังกัดอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 2 โครงการ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เองเป็นประเทศแรกในภูมิภาค
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวในตอนท้าย ขณะนี้การลงทุนด้าน R&D ของไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 1 ของ GDP และขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การลงทุนมีผลสัมฤทธิ์จากการใช้งบประมาณ และมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และสร้าง “คน” ที่มีคุณภาพทั้งความรู้ รองรับการเปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกับจิตสำนึก คุณธรรม และจริยธรรม เพื่อให้พัฒนาประเทศไทยต่อไป
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38879 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” หนุน 2 อนุฯ ดันมาตรการเพิ่มศักยภาพสร้างความเป็นธรรม ธุรกิจให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
“พุทธิพงษ์” หนุน 2 อนุฯ ดันมาตรการเพิ่มศักยภาพสร้างความเป็นธรรม ธุรกิจให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
“พุทธิพงษ์” หนุน 2 อนุฯ ดันมาตรการเพิ่มศักยภาพสร้างความเป็นธรรม ธุรกิจให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
เมื่อวันที่4กุมภาพันธ์ 2564 นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเสนอแนะนโยบายและกำหนดมาตรการทางเศรษฐกิจสังคมและกฎหมายสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งที่2/2564โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมณห้องประชุมMDES 1ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งนี้ที่ประชุมพิจารณาผลการดำเนินงานของ2คณะอนุกรรมฯโดยคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้นำเสนอเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์เน้นการแข่งขันได้อย่างเป็นธรรมเพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศและผู้ประกอบการไทยและเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศพร้อมเสนอแนะแนวทางแก้ไขได้แก่การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแลธุรกิจให้บริการอิเล็กทรอนิกส์การปรับปรุงระบบภาษีและมาตราสนับสนุนที่มิใช่ภาษีเป็นต้นด้านคณะอนุกรรมการสร้างความเป็นธรรมฯนำเสนอแนวทางสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศโดยมีกรอบแนวทางหลักครอบคลุ่มคือ1.นโยบายภาครัฐ2.มาตรการทางภาษี3. Compliance
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38884 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม มอบ "อนุชา" แจง 173 ผลงานปฏิรูป เตรียมขับเคลื่อน 62 กิจกรรม Big Rock ทางออกแก้ปัญหาประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
นรม มอบ "อนุชา" แจง 173 ผลงานปฏิรูป เตรียมขับเคลื่อน 62 กิจกรรม Big Rock ทางออกแก้ปัญหาประเทศไทย
นรม มอบ "อนุชา" แจง 173 ผลงานปฏิรูป เตรียมขับเคลื่อน 62 กิจกรรม Big Rock ทางออกแก้ปัญหาประเทศไทย
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ ราย 3 เดือน (กรกฎาคม-กันยายน 2563) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในรัฐสภา
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดแผนการปฏิรูปประเทศ 12 ด้าน มีเรื่องและประเด็นการปฏิรูป จำนวนทั้งสิ้น 173 เรื่อง ซึ่งมีการจัดระดับความสำเร็จเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย
1) ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนฯ จำนวน 17 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 10
2) ดำเนินการสำเร็จมากกว่า ร้อยละ 75 ของแผนฯ จำนวน 70 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40
3) ดำเนินการได้ร้อยละ 50-75 ของแผนฯ จำนวน 62 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 36
4) ดำเนินการได้น้อยกว่าร้อยละ 50 ของแผนฯ จำนวน 24 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 14
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงตัวอย่างความคืบหน้าของประเด็นปฏิรูปประเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ประกอบด้วย
1. ด้านการเมือง เช่น การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศ
2. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การบริการภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ชีวิตประชาชน จากระบบ Biz Portal
3. ด้านกฎหมาย เช่น มีกลไกให้การออกกฎหมายเป็นกฎหมายที่ดี รวมทั้งมีกลไกการทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้แล้ว
4. ด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น การพัฒนากลไกช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
5. ด้านเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร บริหารจัดการผลิตภัณฑ์เกษตรตามแผนที่ (Zoning by Agri-Map)
6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การบบริหารจัดการขยะในทะเลและชายฝั่ง โดยนโยบายประชารัฐขจัดขยะทะเล
7. ด้านสาธารณสุข เช่น ระบบสุขภาพปฐมภูมิ (คลินิกหมอครอบครัว)
8. ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การปฏิรูปแนวทางการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม
9. ด้านสังคม เช่น การปฏิรูปการออม สวัสดิการ และการลงทุนเพื่อสังคม
10. ด้านพลังงาน เช่น การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในกลุ่มอุตสาหกรรม
11. ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เช่น จัดทำและบูรณาการโครงข่ายฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของทุกหน่วยงานผ่านระบบสารสนเทศ
12. ด้านการศึกษา เช่น การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ทั้งนี้ สถานะกฎหมายภายใต้แผนฯ ทั้ง 12 แผน จำนวน 216 ฉบับ มีกฎหมายที่แล้วเสร็จ จำนวน 50 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 23 ของกฎหมายที่เสนอทั้งหมด
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในห้วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลมุ่งเน้นให้ความสำคัญที่กิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) จำนวน 62 กิจกรรม ซึ่งเป็นไปตามการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยกำหนดให้มีจำนวน 13 ด้าน เพื่อให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้กิจกรรมต่างๆ ตามแผนปฏิรูปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
.....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38877 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลชี้แจงคะแนนดัชนีประชาธิปไตยไทยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนลดลง เนื่องจากโควิด-19 ขอพรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ อย่าสร้างอคติให้กับรัฐบาล | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
โฆษกรัฐบาลชี้แจงคะแนนดัชนีประชาธิปไตยไทยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนลดลง เนื่องจากโควิด-19 ขอพรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ อย่าสร้างอคติให้กับรัฐบาล
โฆษกรัฐบาลชี้แจงคะแนนดัชนีประชาธิปไตยไทยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนลดลง เนื่องจากโควิด-19 ขอพรรคการเมืองนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ อย่าสร้างอคติให้กับรัฐบาล
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 14.30 น. ณ ที่พักผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในโอกาสนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้เเทนราษฎร คนที่สอง ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปการศึกษาภาคประชาชน และคณะตัวแทนภาคประชาชน รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคยประกอบอาชีพครู เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูปการศึกษา หลักสูตรการเรียนการสอน การปรับโครงสร้างการบริหารโครงสร้างการศึกษา การปรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับครู ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีทางการศึกษา ซึ่งรัฐบาลรับข้อพิจารณาไว้ทั้งหมดทุกข้อเสนอ อีกทั้ง รัฐบาลได้มีการเตรียม (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษา เพื่อเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องการปฏิรูปเรื่องอื่นๆ รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยนายกรัฐมนตรีจะลงนามเพื่อส่งมอบไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเสนอส่วนที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมายที่จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจของนิตยสารอิโคโนมิสต์ The Economist Intelligence Unit (EIU) เผยแพร่ดัชนีประชาธิปไตยประจำปี 2020 ระบุว่าไทยได้ความเป็นคะแนนประชาธิปไตยอยู่ที่ 6.04 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 อยู่ในอับดับที่ 73 ลดลงจากอันดับที่ 68 ในปีก่อน สำหรับสาเหตุที่ทำให้ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกทุกประเทศลดลงเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID 19 รัฐบาลทั่วโลกมีมาตรการการล็อคดาวน์ ทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนลดลง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา Covid-19 ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับ ตัวเลขลดลงจึงไม่ใช่มาจากการจัดอันดับประชาธิปไตย ขณะที่นักการเมืองบางกลุ่มออกมาแถลงว่าเป็นเหตุที่ทำให้ต่างชาติเกิดความไม่เชื่อถือจนทำให้ตัวเลขการลงทุนลดน้อยลง เป็นการสร้างความเข้าใจผิดด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน สร้างอคติให้กับรัฐบาล จึงขอให้มีการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ อย่าบิดเบือนหรือนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และอยากให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องอีกด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยปัจจุบันว่า มีแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นจากการขนส่ง ส่งออกสินค้าทั้งในประเทศและนอกประเทศ และการลงทุนจากภาคเอกชนในรอบ 8เดือนอยู่ที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี เสถียรภาพของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากอัตราสภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับเกณฑ์ที่ต่ำและทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับเกณฑ์ที่สูงการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลดำเนินเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557-2563 จากการขยายตัวของการจัดเก็บโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ต่อปีอันรวมไปถึงสภาวะของกระทรวงการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลังยังอยู่ในระดับเข้มแข็งมีเพียงพอต่อดำเดินนโยบายต่างๆของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งระดับคงคลังปลายงวดสิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ 473,001 ล้านบาทมากกว่าเงินคงคลังปลายงวดสิ้นปีงบประมาณก่อนหน้าถึงร้อยละ 49.5 นอกจากนี้หนี้สาธารณะสิ้นเดือนธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 8.1 ล้านล้านบาทหรือสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ร้อยละ 52.1 และยังอยู่ในกรอบวินัยทางการเงินสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อGDPไม่เกิดร้อยละ60 ซึ่งหนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกิดการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนคนไทย
นอกจากนี้ สำนักข่าว Bloomberg จัดอับดับให้ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging market economies) ที่น่าสนใจลงทุนจากทั้งหมด 17 ประเทศ ในปี 2564 เนื่องจากมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน มีศักยภาพในการดึงดูดเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการจัดอันดับความพร้อมในระบบการรักษาสุขภาพ (Bloomberg health efficiency index 2020) ซึ่งได้จัดอันดับให้ไทยอยู่ใน 10 อันดับแรกของกลุ่มประเทศที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพด้านสาธารณสุข ขณะเดียวกันดัชีนวัตกรรม Bloomberg ได้ยกอันดับให้ไทยอยู่ในลำดับที่ 36 ของกลุ่มเขตเศรษฐกิจที่มีผลงานด้านนวัตกรรมมากที่สุด ประจำปี 2564 ซึ่งดีขึ้น 4 อันดับจากปี 2563 โดยพิจารณาจากดัชนีนวัตกรรม (Bloomberg Innovation Index 2021) จากทั้งหมด 60 เขตเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้นวัตกรรมของไทยในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เป็นพื้นฐาน
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38876 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” นั่งประธาน TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 1/2564 ติดตามความคืบหน้าผลงานเด่นกระทรวงดิจิทัลฯ | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
“พุทธิพงษ์” นั่งประธาน TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 1/2564 ติดตามความคืบหน้าผลงานเด่นกระทรวงดิจิทัลฯ
“พุทธิพงษ์” นั่งประธาน TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 1/2564 ติดตามความคืบหน้าผลงานเด่นกระทรวงดิจิทัลฯ
เมื่อวันที่4กุมภาพันธ์ 2564นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมTOP EXECUTIVESครั้งที่1/2564โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯร่วมหารือและรายงานความคืบหน้าการดำเนินนโยบายสำคัญอาทิโครงการเน็ตประชารัฐ,ผลงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยรวมทั้งภารกิจของบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน)หรือNT,โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ(GDCC)และโครงการStart-upsเป็นต้น ณห้องประชุมMDES 1ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38883 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นานาชาติชื่นชมไทย ประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour in Bangkok ภูมิภาคเอเชีย | วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
นานาชาติชื่นชมไทย ประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour in Bangkok ภูมิภาคเอเชีย
นานาชาติชื่นชมไทย ประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour in Bangkok ภูมิภาคเอเชีย
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 14.30 น. ณ ที่พักผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความภาคภูมิใจของประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour in Bangkok ภูมิภาคเอเชีย ช่วงเดือนมกราคม 2564
ทั้งนี้ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขัน ทั้งหมด 3 รายการ ประกอบด้วย YONEX Thailand Open (Super 1000), TOYOTA Thailand Open (Super 1000) และ HSBC World Tour Finals โดยภายหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันทั้งหมด ประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้รับคำชื่นชม และคำขอบคุณจากผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการแบดมินตัน และประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ที่สามารถดำเนินการจัดการแข่งขันจนประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ภายใต้มาตรการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรฐานการจัดการแข่งขันของประเทศไทยในครั้งนี้ จะถูกนำไปเป็นแบบอย่างให้กับการจัดการแข่งขันโตเกียวเกมส์ ประเทศญี่ปุ่น ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ และสุดท้าย ขอร่วมแสดงความยินดีกับทีมแบดมินตันคู่ผสมของไทย เดชาพล พัววรานุเคราะห์ (บาส) และ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย (ปอป้อ) สองนักแบดมินตันคู่มือ 3 ของโลก ที่สามารถคว้าชัยชันมาได้ถึง 3 รายการมาติดต่อกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์ ในโอกาสนี้ด้วย
.............................
กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน เร่งเครื่อง ตั้งสถาบันด้านดิจิทัล | วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
รมช.แรงงาน เร่งเครื่อง ตั้งสถาบันด้านดิจิทัล
รมช.แรงงาน ขานรับนโยบายนายกฯ สู่รัฐบาลดิจิทัล เดินหน้าขับเคลื่อนตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล รับ New Normal เปิดตัวเดือนแห่งความรัก 18 กุมภาพันธ์ นี้
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นให้พัฒนากำลังคนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ ทำให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณค่าและรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงภาคบริการที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีจิทัล และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศกว่า 37 ล้านคน จึงต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันพัฒนากำลังแรงงานดังกล่าว ให้มีศักยภาพและเพิ่มขึดความสามารถให้แก่ประเทศไทย สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า จากมติที่ประชุมของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) เห็นชอบให้จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัลขึ้น เพื่อทำหน้าที่เสนอนโยบาย กำหนดเป้าหมายและวางแผนการพัฒนกำลังคนด้านดิจิทัล รวมถึงจัดทำหลักสูตรการจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากร วิทยากรและกำลังคนในด้านดิจิทัล พร้อมทั้งดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในสาขาที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลด้วย การดำเนินงานดังกล่าวจำเป็นต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งล่าสุดบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายการพัฒนาทักษะฝีมือ สนับสนุนอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการจัดฝึกอบรม เพื่อใช้ประจำที่สถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล พร้อมจัดส่งวิทยากรให้ความรู้แก่บุคลากรหรือครูฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้สามารถนำไปขยายผลถ่ายทอดไปยังกำลังแรงงานทั่วประเทศต่อไป
สถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 อาคาร 25 ปี กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยจะมีพิธีรับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือ เพื่อใช้ประจำที่สถาบันดังกล่าว ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ห้องจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยในวันดังกล่าวจะมีการจัดงานสัมมนา การพัฒนาทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อมูลและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ จำนวน 3 หัวข้อ 5G สำหรับอุตสาหกรรมยุค 4.0 การจัดการองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม และการบริการระบบคลาวด์ของหัวเว่ยสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบกิจการในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ที่สนใจเข้ารับฟัง online สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/95XGDVFAu4gowwfC9 หรือ ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาในห้องประชุม https://forms.gle/RqrRx9rZx7F9BUicA ภายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 นี้เท่านั้น
“การจัดงานในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ประกอบกิจการในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ได้เกิดความเข้าใจ ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงประชาสัมพันธ์การให้บริการของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ที่ได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัลขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการ รวมถึงพี่น้องแรงงานทุกคนที่มีความสนใจ เกิดการรับรู้และสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐต่อไป” รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39079 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิด“คลินิกพิเศษเฉพาะทาง โรคผู้สูงอายุ” ในวันหยุดราชการทุกวันอาทิตย์ นำร่องที่รพ.อุดรธานี | วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เปิด“คลินิกพิเศษเฉพาะทาง โรคผู้สูงอายุ” ในวันหยุดราชการทุกวันอาทิตย์ นำร่องที่รพ.อุดรธานี
สาธารณสุข เปิด“คลินิกพิเศษเฉพาะทางโรคผู้สูงอายุ” ในวันหยุดราชการ อำนวยความสะดวก รองรับสังคมผู้สูงอายุ นำร่องที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ให้ลูกหลานพาผู้อายุพบแพทย์เฉพาะทาง ดูแลครอบคลุมครบวงจร
สาธารณสุข เปิด“คลินิกพิเศษเฉพาะทางโรคผู้สูงอายุ” ในวันหยุดราชการ อำนวยความสะดวก รองรับสังคมผู้สูงอายุ นำร่องที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ให้ลูกหลานพาผู้อายุพบแพทย์เฉพาะทาง ดูแลครอบคลุมครบวงจร
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุปัจจุบันมีผู้สูงอายุประมาณ 12 ล้านคน กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปรับระบบดูแลผู้สูงอายุ ทั้งบริการสุขภาพ สวัสดิการสังคม และพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาการติดบ้าน ติดเตียง ในกลุ่มผู้สูงอายุ ในปี 2563 ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) มีตำบลผ่านเกณฑ์ 6,722 ตำบล จาก 7,255 ตำบล คิดเป็นร้อยละ 92.65 มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลสามารถเปลี่ยนจากกลุ่มติดเตียงเป็นติดบ้านร้อยละ 1.44 พร้อมกันนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้อำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัดเปิดบริการ “คลินิกพิเศษเฉพาะทางโรคผู้สูงอายุ”ในวันหยุดราชการ นำร่องที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเพื่อเตรียมขยายบริการทั่วประเทศในเมษายน ปี 2564
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า สำหรับจังหวัดอุดรธานี มีผู้สูงอายุร้อยละ 15.28 จากประชากรทั้งหมดของจังหวัด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พบผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี จึงได้เปิด “คลินิกพิเศษเฉพาะทาง โรคผู้สูงอายุ” บริการเพิ่มในวันอาทิตย์ ให้ลูกหลานมากับผู้สูงอายุ เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้สูงอายุที่มารับบริการส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ระบบปัสสาวะมีปัญหา ท้องเสีย และเจ็บป่วยทั่วไป หากต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคต่างๆให้บริการครอบคลุมครบวงจร ตั้งแต่การดูแลสุขภาพทั่วไป การป้องกัน รวมทั้งการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพที่มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ จนถึงการจัดการปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน เช่น การผ่าตัด โดยสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ์รักษา หากมีผู้มารับบริการเพิ่มมากขึ้นจะเปิดบริการเพิ่มในวันเสาร์ และเพิ่มห้องบริการตรวจรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางสาขาที่เกี่ยวข้องให้ครบวงจรสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ได้เตรียมเปิดบริการให้คำปรึกษาแพทย์ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมด้วย
“นโยบายคลินิกพิเศษนอกเวลา เป็นอีกนโยบายที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งใจให้มีขึ้น เพื่อดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้ลูกหลานสามารถพาผู้สูงอายุมารับบริการทางการแพทย์ได้แล้ว การสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติเป็นสิ่งสำคัญในผู้ป่วยรายใหม่ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการพบแพทย์เพื่อที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงการดูแลรักษาและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง”นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
************************** 12 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โค้งสุดท้าย! ต่างด้าว 3 สัญชาติลงทะเบียนออนไลน์ ภายใน 13 ก.พ. นี้ ยื่นบัญชีรายชื่อฯ แล้วกว่า 5 แสน | วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
โค้งสุดท้าย! ต่างด้าว 3 สัญชาติลงทะเบียนออนไลน์ ภายใน 13 ก.พ. นี้ ยื่นบัญชีรายชื่อฯ แล้วกว่า 5 แสน
กระทรวงแรงงาน เผย ยอดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามมติ ครม. วันที่ 29 ธันวาคม 2563 โค้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นสุดระยะเวลาในวันที่ 13 ก.พ. 64 ยื่นบัญชีรายชื่อแล้ว ทั้งสิ้น 540,594 คน เป็นกลุ่มมีนายจ้างกว่าร้อยละ 90
ที่เหลือเป็นแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง พร้อมย้ำ ซื้อประกันสุขภาพ พร้อมตรวจโควิดได้ประโยชน์มากกว่า หากตรวจพบโรครับการรักษาตามสิทธิทันที
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ได้รับผลตอบรับจากนายจ้าง/สถานประกอบการ เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่เห็นว่าสะดวก ไม่เสียเวลา และปลอดภัยกว่าที่ไม่ต้องเดินทางไปติดต่อราชการในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก โดยกระทรวงแรงงานคาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการในขั้นตอนแรก (13 ก.พ. 64) จะมีผู้แจ้งบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวประมาณ 5 แสนคน ล่าสุด มีผู้แจ้งบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวเข้ามาแล้วถึง 5 แสน 4 หมื่นคน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
“ รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจ้างแรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัย ได้รับสวัสดิการด้านสุขภาพ และความสุขในการทำงาน รวมทั้งเกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการระบาดระลอกใหม่ ที่กระจายเป็นวงกว้างจนกระทบ ชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัยด้านสุขภาพ กระทรวงแรงงานขอย้ำว่า การดำเนินการในขั้นตอนแรกนั้นสำคัญมาก หากไม่ยื่นบัญชีรายชื่อภายในเวลาที่กำหนด จะไม่สามารถดำเนินการในขั้นตอนอื่นต่อไปได้ ซึ่งหากตรวจพบเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อระวังป้องกัน และหลีกเลี่ยงทุกปัจจัยที่จะนำไปสู่การแพร่ระบาด อันจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ข้อมูลการยื่นบัญชีรายชื่อ คนต่างด้าว 3 สัญชาติ จากระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 มีคนต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้วรวม 540,594 คน แบ่งเป็น กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 119,491 ราย เป็นคนต่างด้าว จำนวน 497,785 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 297,569 คน กัมพูชา 145,162 คน และลาว 55,054 คน และกรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง โดยคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลด้วยตนเอง จำนวน 42,809 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 22,302 คน กัมพูชา 18,155 คน และลาว 2,352 คน โดยจังหวัดที่อนุมัติบัญชีรายชื่อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 102,333 คน 2.ชลบุรี 38,240 คน 3. ปทุมธานี 32,416 คน 4.สมุทรปราการ 29,879 คน และ 5.เชียงใหม่ 23,986 คน
“ กรมการจัดหางาน ขอย้ำเตือน คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง ที่ดำเนินการยื่นบัญชีรายชื่อฯแล้ว ต้องนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 กับสถานพยาบาลที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศเป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจ SARS-CoV-2 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ เป็นระยะเวลา 2 ปี รวมทั้งตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการตรวจโรคโควิด –19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางาน ออกใบอนุญาตทำงาน ทั้งนี้ หากมีเหตุให้ไม่สามารถตรวจโรคต้องห้ามได้ทันพร้อมกับการตรวจคัดกรองโรคโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ให้ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ไม่เกินวันที่ 18 ตุลาคม 2564
จากนั้นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มีนายจ้าง ให้ไปชำระเงินค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงาน จำนวน 1,900 บาท ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารกรุงไทย และให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวในระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 และคนต่างด้าวไปจัดทำทะเบียนประวัติและรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) กับกรมการปกครอง ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564
ส่วนคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง ให้ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร.38/1) ตามวิธีการที่กรมการปกครองกำหนด ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 เมื่อมีนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ประสงค์จะรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าทำงาน ให้ไปชำระเงินค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงาน จำนวน 1,900 บาท ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารกรุงไทย และให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 13 กันยายน 2564 และคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) กับกรมการปกครอง ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ติดต่อที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ในขั้นตอนการตรวจคัดกรองโควิด – 19 ซื้อประกันสุขภาพ และตรวจโรคต้องห้าม นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว สามารถสอบถามอัตราค่าบริการ กำหนดวันนัดหมาย ขอทราบขั้นตอนการดำเนินการโดยละเอียด เพื่อเข้ารับบริการ ได้ที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบโดยตรง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยปัญหาขยะทะเล พบจำนวนมากยังไม่ได้รับการกำจัดถูกวิธี จนสร้างปัญหาระบบนิเวศ สั่งคุมเข้มกรณีลักลอบนำขยะไปทิ้งทะเลต้องลงโทษเด็ดขาดแนะดูแลสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับธรรมชาติ | วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ห่วงใยปัญหาขยะทะเล พบจำนวนมากยังไม่ได้รับการกำจัดถูกวิธี จนสร้างปัญหาระบบนิเวศ สั่งคุมเข้มกรณีลักลอบนำขยะไปทิ้งทะเลต้องลงโทษเด็ดขาดแนะดูแลสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับธรรมชาติ
นายกรัฐมนตรีห่วงใยปัญหาขยะทะเล พบจำนวนมากยังไม่ได้รับการกำจัดถูกวิธี จนสร้างปัญหาระบบนิเวศ สั่งคุมเข้มกรณีลักลอบนำขยะไปทิ้งทะเลต้องลงโทษเด็ดขาด แนะดูแลสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับดูแลธรรมชาติ
วันที่ 12 ก.พ.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถึงสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทราบว่าปัจจุบันได้มีกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพื้นที่ชายฝั่งเพิ่มขึ้นมาก ทั้งในส่วนของเกษตรกรรม การท่องเที่ยวทางทะเล การขนส่งและพาณิชย์นาวีและชุมชนชายฝั่งจนทำให้เกิดความเสื่อมโทรมมากขึ้นด้วย จึงมีข้อห่วงใยและมีข้อสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อการดูแลทรัพยากรธรรมชาติที่เข้มงวด
โดยเฉพาะส่วนของปัญหาขยะทะเล ที่มีรายงานว่าปัจจุบันมีปริมาณขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด จำนวนถึง 11.47 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้มีการกำจัดที่ถูกต้อง 6.73 ล้านตัน/ปี หรือคิดเป็น 59% ในปริมาณนี้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ 2.93 ล้านตัน/ปี หรือ 25% ของขยะทั้งหมด แต่ยังมีขยะอีกเกือบ 40% ที่ยังกำจัดไม่ถูกต้องและสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเล
“นายกรัฐมนตรีห่วงใยในประเด็นการจัดการปัญหาขยะทะเล เพราะขยะเหล่านี้นอกจากสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมแนวชายฝั่งที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่สุขภาพของประชาชน ต่อภาคการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นปัญหาต่อระบบนิเวศทางทะเล จึงสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มงวด หากพบมีการขนขยะไปทิ้งทะเลให้มีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมยังได้ให้นโยบายว่าจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศกับการดูแลทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมานั้นพบว่าสภาพป่าชายหาดหลายพื้นที่ถูกทำลายและปรับเปลี่ยนสภาพเพื่อรองรับกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติดั้งเดิม ทำให้ระบบนิเวศป่าชายหาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จำเป็นต้องเร่งอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมของระบบนิเวศป่าชายหาดในประเทศให้เร็วที่สุด
เช่นเดียวกับสถานการณ์ของป่าชายเลนที่ในปี 2557 เหลืออยู่ 1,534,584.74 ไร่ ลดลงจาก 2,299,375 ไร่ ในปี 2504 หรือ ลดลง 764,790.26 ไร่ จากการบุกรุกทำลาย แม้ต่อมาจะมีนโยบายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและยกเลิกสัมปทานการทำไม้ป่าชายเลนตั้งแต่ปี 2546 ก็พบว่าถึงขณะนี้ ป่าชายเลนใน 17 จังหวัด เพิ่มขึ้นประมาณ 500 ไร่เท่านั้น โดยแบ่งเป็น ป่าชายเลนฝั่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น 467 ไร่ และฝั่งอันดามันเพิ่มขึ้น 33 ไร่
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการทั้งเร่งฟื้นฟูทั้งส่วนของป่าชายหาดและป่าชายเลน ซึ่งส่วนของป่าชายเลนนั้น ให้มีการปลูกทดแทนเพิ่มขึ้น โดยให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น ให้จัดตั้งเครือข่ายภาคประชาชน การสนับสนุนกิจกรรมซีเอสอาร์ที่เหมาะสมกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ในขณะที่การท่องเที่ยวป่าชายเลนต้องดูแลไม่ให้เกิดการรบกวนธรรมชาติมากจนเกินไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัญหาทรัพยากรทางทะเลเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญ เพราะการพัฒนาประเทศหลายด้านมีการใช้ประโยชน์และส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล ต้องดูแลให้เกิดความสมดุล ซึ่งกรอบนโยบายที่รัฐบาลขับเคลื่อนได้ให้ความสำคัญกับการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล พ.ศ. 2558 - 2564 การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชน ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแส บ่อนการพนัน/เข้าเมืองผิดกฎหมาย นำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมาย | วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชน ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแส บ่อนการพนัน/เข้าเมืองผิดกฎหมาย นำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสบ่อนการพนัน/เข้าเมืองผิดกฎหมาย นำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมาย
วันที่ 12 ก.พ.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย ตรงถึงนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทาง 1111 กรณีบ่อนการพนันและแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย จนสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว โดยตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. – 9 ก.พ. 64 มีการดำเนินการดังนี้ รับแจ้งเรื่องบ่อนการพนัน 253 เรื่อง ยุติเรื่องแล้ว 17 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 236 เรื่อง ส่วนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายได้รับแจ้ง 38 เรื่อง ยุติเรื่องแล้ว 2 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 36 เรื่อง สำหรับการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่นอกเหนือจากการเข้าเมืองผิดกฎหมายและบ่อนการพนัน ได้รับแจ้งจำนวน 200 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 40 เรื่อง จับกุม 7 คดี ผู้กระทำความผิด 20 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ 160 เรื่อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอชื่นชมประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส เพราะนอกจากจะเป็นหู เป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่แลัว ยังช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินการในด้านอื่น ๆ ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 การเตรียมพร้อมวัคซีน การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การบริหารจัดการสถานที่กักกันโรคของรัฐ รวมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายมั่นคงและฝ่ายปกครองยังต้องเข้มงวดเฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายทุกประเภทที่อาจเป็นเหตุการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งในส่วนของประชาชน ยังคงสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทั้ง 5 ช่องทาง 1111 ได้แก่ 1) สายด่วน 1111 ตลอด 24 ชั่วโมง 2) ตู้ ปณ. 1111 ทำเนียบรัฐบาล 3) เว็บไซต์ www.1111.go.th 4) แอปพลิเคชัน PSC1111 และ 5) ศูนย์บริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39078 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เร่งทำกรอบแนวทางแก้ปัญหาแรงงานเด็ก หวังถอดสินค้าออกจากบัญชี Blacklist สหรัฐ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ก.แรงงาน เร่งทำกรอบแนวทางแก้ปัญหาแรงงานเด็ก หวังถอดสินค้าออกจากบัญชี Blacklist สหรัฐ
ก.แรงงาน โดย กสร. ชวนผู้ผลิตสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ร่วมระดมสมองจัดทำกรอบแนวทางของสปก.ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา การใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ แสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อสหรัฐ หวังขอถอดถอนรายการสินค้าออกจากบัญชี Blacklist
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากข้อมูลการสำรวจเด็กทำงานในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2561 พบว่า มีเด็กอายุ 5-17 ปี ทั้งหมด 10.47 ล้านคน เป็นแรงงานเด็ก จำนวน 1.77 แสนคน โดยมีการทำงานที่เข้าข่ายงานอันตราย จำนวน 1.3 แสนคน รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก หรือแรงงานบังคับ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่สินค้าไทยถูกขึ้นบัญชีจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 5 รายการ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มและกุ้ง (แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ) อ้อยและสื่อลามก (แรงงานเด็ก) และปลา (แรงงานบังคับ) จึงมีนโยบายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งดำเนินการหามาตรการถอดถอนรายการสินค้าดังกล่าวออกจากการถูกขึ้นบัญชี โดยมีเป้าหมายที่จะถอดรายการสินค้าออกจากบัญชีอย่างน้อย 1 รายการ ให้ได้ภายในปี 2565 เพื่อไม่ให้ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าที่ส่ง ผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันเป็นแหล่งรายได้ของประเทศ โดยให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคมในการแก้ปัญหาแรงงานอย่างเป็นระบบ และยั่งยืน รวมทั้งให้ได้รับการยอมรับในประชาคมโลก
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินงานของกรมที่จะแสดงให้สหรัฐอเมริกาประจักษ์ถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ ต้องเกิดจากความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมจะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงาน ให้เป็นไปตามมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ กรมจึงได้เชิญผู้แทนภาคอุตสาหกรรมในสินค้ากุ้ง ปลา อ้อย เครื่องนุ่งห่ม และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มาร่วมกันระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของสถานประกอบกิจการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับในสินค้าดังกล่าว และสรุปให้เป็นกรอบแนวทางดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณาในการถอดรายการสินค้าออกจากการถูกขึ้นบัญชี ที่ประเทศไทยได้พยายามดำเนินการอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ให้ปรากฏผลเห็นอย่างก้าวหน้า ชัดเจน และตรวจสอบได้ อันจะนำไปสู่การ รักษาตลาด และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าไทยได้ในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39056 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่หมู่บ้านนำร่องพืชกระท่อมคลองสาม หารือชาวบ้านเก็บข้อมูลทำร่างกฎหมาย หวังทำเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ แต่ต้องควบคุมการปลูกหากมากไปจะทำราคาตก | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่หมู่บ้านนำร่องพืชกระท่อมคลองสาม หารือชาวบ้านเก็บข้อมูลทำร่างกฎหมาย หวังทำเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ แต่ต้องควบคุมการปลูกหากมากไปจะทำราคาตก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่หมู่บ้านนำร่องพืชกระท่อมคลองสาม หารือชาวบ้านเก็บข้อมูลทำร่างกฎหมาย หวังทำเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ แต่ต้องควบคุมการปลูกหากมากไปจะทำราคาตก
ในวันอาทิตย์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่ไปยัง หมู่ที่ ๑๒ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พบกับผู้นำชุมชน และชาวบ้าน พูดคุยหารือและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายพืชกระท่อม เพื่อนำข้อเสนอและความคิดเห็นต่างๆ ไปเป็นข้อมูลในการร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ซึ่งเป็นกฎหมายรองของ ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... หรือกฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อมที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และกำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา โดยหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณ ๒ ปีก่อน เคยมีคดีและมีการจับกุมเกี่ยวกับเรื่องพืชกระท่อมเพราะมีการปลูกกันอยู่หลายร้อยต้น ซึ่งปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านนำร่อง ๑๓๕ แห่ง โดยจัดตั้งคณะกรรมการพืชกระท่อมตำบลและหมู่บ้าน เพื่อรายงานผลการนำร่องในพื้นที่ ทั้งการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้เสพและผู้ครอบครองพืชกระท่อมผ่านระบบสารสนเทศ การจัดทำธรรมนูญชุมชนและแผนปฏิบัติการควบคุมพืชกระท่อม จัดทำประชาคม เป็นต้น
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ควบคุมให้แต่ละบ้านยังคงพืชกระท่อมที่เคยปลูกไว้ได้ครัวเรือนละ ๓ ต้น โดยให้สามารถใช้ได้ตามวิถีชีวิตดั้งเดิม ซึ่งหากกฎหมายพืชกระท่อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มเติมได้ เพราะพืชกระท่อมสามารถนำมาเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ทำเป็นยาได้ แต่จะต้องมีการควบคุมการปลูก เพราะหากปลูกมากจนเกินไป ราคาจะตกมากจนราคาถูก ซึ่งตรงนี้จะต้องศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจเรื่องกลไกการตลาดให้ชาวบ้านเข้าใจด้วย
ทั้งนี้ภายหลังการหารือกับชาวบ้าน นายสมศักดิ์ ได้เดินดูต้นกระท่อมที่ชาวบ้านได้ปลูกไว้ โดยได้สอบถามถึงวิธีการดูแล ระยะห่างในการปลูกแต่ละต้น และยังได้ทดลองตัดทาบกิ่งต้นกระทุ่ม ที่เป็นพืชที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกระท่อม เพื่อศึกษาวิธีการปลูกและการขยายพันธุ์ นำไปเป็นข้อมูลในการร่างกฎหมายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39051 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดแคมเปญ “เงินออมมั่งมี Chinese New Year ปี 2564” | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ธ.ก.ส. จัดแคมเปญ “เงินออมมั่งมี Chinese New Year ปี 2564”
ธ.ก.ส.จัดแคมเปญ “เงินออมมั่งมี Chinese New Year ปี 2564” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินเพิ่ม 20,000 บาทขึ้นไป คงยอดไว้ในบัญชี 4 เดือน รับทันทีกระปุกออมทรัพย์ “สิงโตรับทรัพย์” ซึ่งบรรจุเงินหยวนเป่า สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย
ธ.ก.ส. จัดแคมเปญ “เงินออมมั่งมี Chinese New Year ปี 2564” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินเพิ่ม 20,000 บาทขึ้นไป คงยอดไว้ในบัญชี 4 เดือน รับทันทีกระปุกออมทรัพย์ “สิงโตรับทรัพย์” ซึ่งบรรจุเงินหยวนเป่า สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย เสริมความเป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน เริ่มรับฝากตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2564 พร้อมเพิ่มความสะดวก ไม่ต้องรอคิวนาน ด้วยบริการระบบ คิวออนไลน์ (A-Queue) เลือกวันเวลาและสาขาที่ต้องการใช้บริการได้ด้วยตัวท่านเอง
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้จัดแคมเปญ “เงินออมมั่งมี Chinese New Year ปี 2564” เพื่อส่งความสุข ความปรารถนาดีและความเป็นสิริมงคล เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ปี 2564 ให้แก่ผู้ฝากเงินกับ ธ.ก.ส. โดยจะได้รับกระปุกออมทรัพย์ “สิงโตรับทรัพย์” ซึ่งมีลักษณะเป็นหุ่นเชิดสิงโตเกาะถุงแดงที่บรรจุเงินหยวนเป่าหรือเงินตำลึงจีนที่ล้นออกมาจากถุง เสมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยและความเป็นสิริมงคล เป้าหมายรับฝาก 500 ล้านบาท โดยเปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2564 หรือจนกว่าของที่ระลึกจะหมด
สำหรับเงื่อนไขการรับฝาก เปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินเพิ่ม 20,000 บาทขึ้นไป ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ใช้สมุด เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค เงินฝากออมทรัพย์ A-Savings หรือบัญชีเงินฝากรักษาทรัพย์ คงยอดเงินฝากในบัญชี 4 เดือน จะได้รับกระปุกออมทรัพย์ ธ.ก.ส.“สิงโตรับทรัพย์” จำนวน 1 กระปุก จำกัดสิทธิ์ 1 บัญชี ต่อ 1 กระปุก ณ ธ.ก.ส. สาขาที่ร่วมแคมเปญ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ลดระยะเวลารอคอยของลูกค้าในการทำธุรกรรม และลดความแออัดของผู้มาใช้บริการที่สาขา ธ.ก.ส. ได้เปิดให้บริการ ระบบคิวออนไลน์ (A-Queue) ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกวัน เวลา และสาขาที่ต้องการใช้บริการได้เอง ผ่านทางเว็บไซต์ www.baac.or.th โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสอบถามสาขาที่ร่วมกิจกรรมได้ที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Beef Board รายงานตัวเลขสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ ประจำไตรมาสที่ 4/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
Beef Board รายงานตัวเลขสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ ประจำไตรมาสที่ 4/2563
Beef Board รายงานตัวเลขสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ ประจำไตรมาสที่ 4/2563 เดือนธันวาคม พบไทยยังคงสามารถส่งออกเนื้อโคและโคมีชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ-กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (Beef Board) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการรายงานสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ ประจำไตรมาสที่ 4/2563 เดือนธันวาคม แบ่งเป็น ด้านการผลิต มีการผลิตโคเนื้อ ในช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2563 จำนวน 0.291 ล้านตัว เป็นเนื้อโค 48.95 พันตัน (ในปี 2563 มีเนื้อโค 206.15 พันตันต่อปี) การนำเข้าพ่อ-แม่พันธุ์ในช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2563 จำนวน 1,000 ตัว (แม่พันธุ์ 915 ตัว พ่อพันธุ์ 85 ตัว และน้ำเชื้อ 127,491 โด๊ส) มีจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตโคเนื้อที่สำคัญ ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ ด้านการตลาด ตลาดส่งออกโคมีชีวิตไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกเนื้อโค แบ่งเป็น เนื้อโคสด ไปยังเมียนมา 53% กัมพูชา 35% ลาว 12% และเนื้อโคแปรรูป ไปยังญี่ปุ่น 100% สำหรับการนำเข้าเนื้อโคของไทยส่วนใหญ่นำเข้าจากออสเตรเลีย เพื่อบริโภคและเป็นวัตถุดิบแปรรูปส่งออก ปริมาณการส่งออก-นำเข้าเนื้อและโคของไทย ในปี 2563 มีการนำเข้าโคมีชีวิตจากประเทศเมียนมาร์ 96% และส่งออกไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว 63% ทั้งนี้ ตลาดโคเนื้อไตรมาศ 4/63 ราคาโคมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 93.10 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 0.05 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาศ 3/63 ร้อยละ 0.27
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) ความก้าวหน้าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาโคเนื้อ กระบือ และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 25... 2) คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาโคเนื้อ-กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ 3) การบรรจุแผนการผลิตและการตลาดโคเนื้อ เข้าไปอยู่ในแผนการพัฒนาของ EEC 4) สรุปการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ กระบือ ภายใต้ยุทธศาสตร์โคเนื้อ-กระบือ กรมปศุสัตว์ 5) การใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปิดตลาดการค้าเสรี (FTA) 6) ความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อที่ขอรับการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุน FTA และ 7) ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง (MOU)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน "คลองด่าน" | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน "คลองด่าน"
รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน "คลองด่าน"
รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน "คลองด่าน"
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) เวลาประมาณ 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจสภาพโครงการในปัจจุบัน พร้อมรับฟังสรุปสถานะการดำเนินงานของระบบบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) เพื่อรับฟังปัญหาและกำหนดแนวทางการดำเนินต่อไปในอนาคต
โครงการระบบบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ (คลองด่าน) มีเนื้อที่ 1,903-0-87 ไร่ มีระบบบำบัดน้ำเสียเป็นระบบตะกอนเร่งแบบเติมอากาศยาวนาน (Extended Aeration Activated Sludge ; EAAS) มีความสามารถในการบำบัดน้ำเสียได้ 525,000 ลบ.ม./วัน โดยแบ่งพื้นที่โครงการออกเป็น
(1) พื้นที่อาคารสำนักงาน และส่วนบริการต่าง ๆ ได้แก่ อาคารสำนักงาน อาคาร
ซ่อมบำรุง โรงก็บรถ ป้อมยาม อาคารบ้านพัก เป็นต้น ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้อยู่บริเวณด้าน
ทิศเหนือ ของโครงการตรงบริเวณทางเข้าโครงการ
(2) พื้นที่ระบบบำบัดน้ำเสีย ได้แก่ บ่อบำบัดน้ำเสีย บ่อเก็บกากตะกอน ถังตกตะกอน
เป็นต้น รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 488 ไร่ อยู่บริเวณตอนกลางของพื้นที่โครงการ
โดยมืองศ์ประกอบดังนี้
- สถานีสูบน้ำเสีย (nfuent Pumping Station)
- บ่อบำบัดขั้นต้น (Pretreatment Ponds) จำนวน 3 บ่อ
- บ่อเติมอากาศ (Aeration Basins) จำนวน 3 บ่อ
- ถังตกตะกอน (Final Clarifiers) จำนวน 8 ถ้ง
- บ่อเก็บกากตะกอนจากบ่อบำบัดขั้นต้น (Pretreatment Sludge Basin)
- บ่อเก็บกากตะกอนชีวภาพ (Waste Activated Sludge Basin : WAS Basin)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดขั้นตอนลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
เปิดขั้นตอนลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน
...
สิ้นสุดการรอคอย
กับการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ
สำหรับประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต
ไม่มีสมาร์ทโฟน รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง
ที่ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้
.
ล่าสุด กระทรวงการคลัง
จะเปิดให้ลงทะเบียน “เราชนะ” ในกลุ่มนี้
ได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 25 ก.พ. 64
ที่ ธ.กรุงไทยทุกสาขา
หรือหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของ ธ.กรุงไทย
.
สิ่งที่ต้องเตรียมไปเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิ์
คือ บัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด
.
สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนนั้น
เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มีสิทธิ์
หลังจากนั้น ระบบให้ยืนยันตัวตน
โดยการเสียบบัตรประชาชน
ผ่านเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EDC
พร้อมกำหนดรหัส (PIN Code)
เพื่อเป็นรหัสเมื่อไปใช้จ่ายที่ร้านค้า
และถ่ายรูปใบหน้ายืนยัน และถ่ายรูปบัตรประชาชนอีกครั้ง
.
เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ระบบจะทำการตรวจสอบสิทธิ์
เมื่อผ่านสิทธิ์แล้ว จะได้วงเงินเข้าบัตรเป็นรายสัปดาห์ทุกวันศุกร์
โดยจะเริ่มโอนเงินวันที่ 5 มี.ค.นี้
.
สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายวงเงินนั้น
จะเริ่มใช้จ่าย ผ่านบัตรประชาชน
ซึ่งสามารถใช้ได้กับเครื่องอีดีซีของร้านค้า
เช่นเดียวกับผู้ถือบัตรสวัสดิการ ฯ
.
กรณีไปใช้จ่ายในร้านค้าถุงเงิน
ให้นำบัตรประชาชนไปแสดงต่อร้านค้า
ร้านค้าจะสแกนบัตร และ ยืนยันการชำระเงิน
ด้วยรหัสบัตร 6 หลักที่ได้ลงทะเบียนไว้
.
สำหรับวงเงินที่ได้รับ สามารถสะสมได้
และใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 พ.ค. 64
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39062 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแล้ว! ประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม ปี 64 | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
เคาะแล้ว! ประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม ปี 64
...
แม้ขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมันในท้องตลาด
จะอยู่สูงกว่าราคาประกันรายได้
แต่เพื่อรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด
รัฐบาลจึงได้ขยายเวลาโครงการ
“ประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน” ออกไปอีก 1 ปี
.
โดยใช้หลักการเดียวกับโครงการ ปี 62 - 63 คือ
เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
จะได้รับการประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน
สูงสุด 25 ไร่/ครัวเรือน ราคา กก. ละ 4 บ.
ในพื้นที่ที่ให้ผลผลิตแล้ว 3 ปีขึ้นไป
เริ่มเดือนมกราคม – กันยายน 2564
.
สำหรับโครงการในปีการผลิต 62/63 ที่ผ่านมา
รัฐได้จ่ายเงินประกันรายได้ให้แก่ชาวสวนปาล์ม
ไปแล้วกว่า 378,892 ครัวเรือนทั่วประเทศ
หรือคิดเป็นเงินเท่ากับ 7,221.21 ล้านบาท
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ ชั้น ๓อาคาร ๒ สำนักงาน ป.ป.ส. เขตดินแดง กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย คณะกรรมการอำนวยการ ศอ.ปส. และผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมฯ
เมื่อเข้าสู่วาระการประชุม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกวีดีโอการมอบนโยบายยาเสพติดเพื่อเปิดในที่ประชุม โดยมีเนื้อหาว่า การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดถือเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขเป็นลำดับต้น ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้บูรณาการทำงานร่วมกันในการตัดวงจรยาเสพติดเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน รวมถึง การปราบปรามอย่างเข้มข้น โดยในปี ๒๕๖๔ นี้รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายขยายผล อายัดทรัพย์สินเป็นมูลค่า ๖,๐๐๐ ล้านบาท
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมได้มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างรอบด้านเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์สินตัดวงจรยาเสพติด
โดยที่ประชุมรับทราบมาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ มาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย มาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย ป้องกัน และบำบัดรักษา มาตรการบริหารจัดการนอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณา มาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย ประกอบด้วย การยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด
๑) การดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด
๒) แนวทางการดำเนินงานขยายผลยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด
๓) การแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
๔) การสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัยให้กับหน่วยงานหลัก ได้แก่ บช.ปส. กรมสอบสวนคดีพิเศษ และบริการให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผลยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด
๕) การอบรมการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานแถลงข่าวงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ผู้ช่วยปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานแถลงข่าวงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙
ผู้ช่วยปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานแถลงข่าวงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเป็นประธานแถลงข่าวงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙ โดยมี นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ กรรมการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน และประชาชนผู้สนใจ เข้าร่วม ณ ควอเทียร์ซีเนอาร์ต (Quartier CineArt) ชั้น ๔ ศูนย์การค้า The Emquartier
ทั้งนี้ งานประกาศ "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติสุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙" กำหนดจัดขึ้น วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ณ MCC HALL ชั้น ๓ เดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา มีการถ่ายทอดสดผ่าน Workpoint TV ช่อง ๒๓ เวลา ๒๒.๑๕ น. เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์!! ปลูกกัญชา 6 ต้นแห่งแรก รพ.สต.โนนมาลัย จ.บุรีรัมย์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ดีเดย์!! ปลูกกัญชา 6 ต้นแห่งแรก รพ.สต.โนนมาลัย จ.บุรีรัมย์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดลแห่งแรกที่ จ.บุรีรัมย์ พร้อมมอบต้นกล้ากัญชาให้วิสาหกิจชุมชน 7 ครัวเรือนปลูกในแปลงที่มีรั้วรอบ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดลแห่งแรกที่ จ.บุรีรัมย์ พร้อมมอบต้นกล้ากัญชาให้วิสาหกิจชุมชน 7 ครัวเรือนปลูกในแปลงที่มีรั้วรอบ ส่งช่อดอกและเมล็ดให้รพ.คูเมือง ผลิตยาดูแลผู้ป่วยในชุมชน ส่วนใบ ราก กิ่งก้านที่ปลดล็อคไม่เป็นยาเสพติด พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน เบื้องต้นมี 251 รพ.สต.2,510 ครัวเรือนใน 46 จังหวัด ร่วมโครงการ
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) ที่บ้านโศกนาค ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดงาน “การปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดล” มอบต้นกล้ากัญชาสายพันธุ์หางกระรอกที่เป็นสายพันธุ์พื้นเมือง จ.สกลนคร แก่ชาวบ้าน ต.หินเหล็กไฟ ที่รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน 7 ครัวเรือนที่ได้รับอนุญาตในการปลูกกัญชา
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายกัญชาทางการแพทย์ ให้เป็นพืชสมุนไพรนำมาใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ และผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจ รื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูก การผลิตอย่างเป็นระบบ นำบางส่วนของกัญชามาแปรรูปเป็นสินค้าจำหน่าย เปิดโอกาสสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยกำหนดการดำเนินงานที่รัดกุมไม่ให้เกิดผลกระทบทางสังคม และแก้ไขกฎหมายเพื่อให้คนไทย ผู้ป่วย หมอพื้นบ้านใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งให้รัฐสภาพิจารณาแก้ไข สำหรับโมเดลการปลูกกัญชา 6 ต้น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จะมอบต้นกล้ากัญชาให้แก่วิสาหกิจชุมชน ซึ่งจดทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลูกครัวเรือนละ 6 ต้น ส่งช่อดอกและเมล็ดให้โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีแพทย์แผนไทย นำไปผลิตเป็นยาปรุงเฉพาะรายสำหรับจ่ายผู้ป่วยในชุมชน โดยจำนวนการปลูกกัญชาสามารถเพิ่มขึ้นได้ หากมีผู้ป่วยที่ต้องใช้กัญชาในชุมชนจำนวนมาก ส่วนอื่นๆ ของกัญชาที่ได้รับการปลดล็อค ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด เช่น ใบ ราก ลำต้น กิ่งก้าน พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อจำหน่าย เช่น ยาหม่อง สบู่ แชมพู เป็นต้น ขณะนี้ได้ร่วมกับสำนักส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อบรมวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ช่วยให้มีรายได้เข้าสู่ชุมชน มีรพ.สต.โนนมาลัย จ.บุรีรัมย์ เป็นต้นแบบดำเนินการแห่งแรก และจะขยายไปทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ เบื้องต้นมีรพ.สต. 251 แห่งใน 46 จังหวัด เข้าร่วมโครงการ รวม 2,510 ครัวเรือน คิดเป็นการปลูกกัญชาทั้งหมด 15,060 ต้น
“การปลูกกัญชา 6 ต้น โนนมาลัยโมเดล ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ประชาชนจะปลูกกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทางสุขภาพ และแปรรูปสินค้าจำหน่ายสร้างรายได้ โดยจะต้องรวมเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และจะกระจายโมเดลนี้ไปทั่วทุกแห่งในประเทศไทย” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ นายอนุทินได้ประชุมมอบนโยบายแก่ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขทุกเขตสุขภาพผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เน้นย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่วิสาหกิจชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมนโยบายกัญชาทางการแพทย์และการปลูกกัญชา 6 ต้นระดับครัวเรือน
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินโครงการพัฒนาต้นแบบการปลูกกัญชาเพื่อใช้สำหรับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองใน รพ.สต.โนนมาลัย โดยทำงานร่วมกับสถาบันกัญชาทางการแพทย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลคูเมือง และ รพ.สต.โนนมาลัย เพื่อให้เกิดการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ที่ปลอดภัย คาดว่าผลการดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ปี 2564 จะส่งผลให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์แผนไทยที่ถูกกฎหมาย มีมาตรฐาน ปลอดภัย ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในการดูแลสุขภาพ สำหรับการปลูกในครัวเรือนต้องมีรั้วรอบ มีแนวทางการควบคุมไม่ให้เข้าถึงโดยง่ายหรือเล็ดลอด
********************************* 11 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เชิญ ประชาชนใช้บริการ E-service ปลอดภัย ห่างไกล โควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กรมการจัดหางาน เชิญ ประชาชนใช้บริการ E-service ปลอดภัย ห่างไกล โควิด-19
อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำช่องทางการให้บริการทางออนไลน์ของกรมการจัดหางาน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ สอดรับมาตรการลดความเสี่ยงแพร่เชื้อโควิด-19
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ตั้งเป้ายกระดับการให้บริการประชาชน ผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ เพื่อครอบคลุมการให้บริการแก่ประชาชนที่ต้องการติดต่อราชการทุกพื้นที่ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการรวมกลุ่มของประชาชน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น เน้นย้ำ ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานปฏิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สำหรับประชาชนที่ต้องการติดต่อขอรับบริการตามภารกิจต่าง ๆ ของกรมการจัดหางาน สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยใช้ช่องทางออนไลน์ (E – Services) ดังนี้
1. ต้องการหางานทำ หรือนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการหาคนทำงาน ใช้บริการได้ที่ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com
2. ระบบขึ้นทะเบียน/รายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ใช้บริการได้ที่ empui.doe.go.th
3. ต้องการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) ลงทะเบียนได้ที่ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com
4. ต้องการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง /แจ้งการเดินทางกลับไปทำงานต่างประเทศ ใช้บริการได้ที่ toea.doe.go.th
5. ระบบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว (3 สัญชาติ) e-workpermit.doe.go.th
6. ระบบแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ทาง Application ชื่อ e-inform
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ คนหางานและประชาชนทั่วไปที่มาติดต่อราชการ ให้ตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ทราบวิธีป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการงดเว้นไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น รวมถึงสถานที่ราชการหากไม่มีความจำเป็น กรณีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการที่เจ้าหน้าที่แนะนำอย่างเคร่งครัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่อุดรฯ มอบเงินช่วยครอบครัวตำรวจถูกแก๊งค้ายาเสพติดชนเสียชีวิต พร้อมเปิดอบรมหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพยึดทรัพย์ - ให้นโยบายปราบปรามยาเสพติด | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่อุดรฯ มอบเงินช่วยครอบครัวตำรวจถูกแก๊งค้ายาเสพติดชนเสียชีวิต พร้อมเปิดอบรมหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพยึดทรัพย์ - ให้นโยบายปราบปรามยาเสพติด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการฝึกอบรมหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์คดียาเสพติด และมอบนโยบายแนวทางมาตรการในการปราบปรามยาเสพติดแนวใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ โรงแรมเซ็นทาราและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ อุดรธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการฝึกอบรมหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์คดียาเสพติด และมอบนโยบายแนวทางมาตรการในการปราบปรามยาเสพติดแนวใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด ให้แก่ตำรวจ อัยการและผู้ที่ปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑๒ จังหวัด โดยมี นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการอุดรธานี พล.ท.ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม แม่ทัพภาคที่ ๔ นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย พล.ต.ท. ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๔ พล.ต.ท. ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๔ พล.ต.ต. พิษณุ อรุณหเสรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี พล.ต.บุญสิน พาดกลาง ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พล.ต.พิทักษ์ บุญจันทร์ ผู้บัญชาการมลฑลทหารบกที่ ๒๔ พล.ต.ต. กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย ให้การต้อนรับ
โดยในช่วงแรกนายสมศักดิ์ฯ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัว ร.ต.อ.วิรัตน์ชัย น้อมระวี รอง สว.กก.๓ บก.ปส.๒ ผู้กอง ตร.ปส. ที่ถูกแก๊งค้ายาแหกด่านหนีพุ่งชนจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๔ ถือเป็นการเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่จากการปราบปรามยาเสพติด เป็นเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ.๒๕๖๑ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมี ทายาทผู้มารับมอบเงินตอบแทนฯ ๔ คน ประกอบด้วย ๑.นางคำกอง น้อมระวี มารดา ๒.น.ส.เกวรี น้อมระวี ลูกสาว ๓.นายวีระเกียรติ น้อมระวี ลูกชาย และ ๔. ด.ช.อภิวัฒน์ชัย น้อมระวี ลูกชาย
จากนั้นนายสมศักดิ์ฯ กล่าวมอบนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดว่า การประชุมศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายยาเสพติด ที่มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานร่วมกันในการตัดวงจรยาเสพติด รวมถึงการปราบปรามอย่างเข้มข้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานดังกล่าว ตนจึงได้กำหนดเป้าหมายการขยายผล ยึดอายัดทรัพย์สินคดียาเสพติดให้ได้ ๖,๐๐๐ ล้านบาท ภายใต้การดำเนินงานของ “ศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด” มุ่งตัดวงจรยาเสพติด โดยกำหนดเป็นมูลค่า การยึดทรัพย์สินกระจายลงสู่ระดับจังหวัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถทั้งด้านการสืบสวนสอบสวน เพื่อตอบสนองนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานในพิธีเปิด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการสืบสวนขยายผลคดียาเสพติด การรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดียาเสพติด การสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดให้เกิดประสิทธิภาพสอดคล้องตามแนวทางของรัฐบาล
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า ในปี ๒๕๖๔ รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม มุ่งเน้นที่จะริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ได้จำนวนมากขึ้นกว่าเดิม ๑๐ เท่า คือ ๖,๐๐๐ ล้านบาท เป็นอย่างน้อย เพื่อเป็นการลิดรอนศักยภาพของนักค้ายาเสพติด ในการดำเนินงานตรวจสอบและริบทรัพย์สินที่ผ่านมา หากคำนวณจากปริมาณ ยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่มาเป็นตัวเงิน จะมีมูลค่ามากถึงหลักล้านล้านบาท แต่ในปีหนึ่งๆ สามารถยึดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดได้เพียงหลักพันล้านบาทเท่านั้น จากหลักคิดดังกล่าว จึงนำมาสู่แนวทางใหม่ ในการยึดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกลุ่มผู้ถูกจับกุมและขยายผลไปยังเครือข่ายการค้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีการทำธุรกรรม ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สำหรับวิธีการดำเนินการนั้น ได้สั่งการให้จัดตั้งทีมสืบสวนขยายผล โดยใช้เครื่องมือพิเศษเชื่อมโยงกับทุกคดี ให้มีการตั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วมาดูแล ให้มีการประเมินมูลค่ายาเสพติดตามมูลค่าจริง และให้ติดตามยึดทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ ผู้กระทำผิดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับจากการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด
"นายกรัฐมนตรีติดตามและกำชับตนตลอด ในเรื่องของการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การใช้กฎหมายสมคบคิดและการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด เพื่อให้การปราบปรามได้ถึงต้นตอและตัวการ เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังในการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด และการดำเนินงานในลักษณะเน้นการสืบสวนยึดทรัพย์นั้น จะเป็นการป้องกันการสูญเสีย เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องลงไปตั้งด่านสกัดจับกุมมาก เพียงเราใช้เครื่องมือสืบสวนต่อยอดจากธุรกรรมและเส้นทางการเงิน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน" นายสมศักดิ์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39068 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยผนึกกำลังบริษัทในเครือดึง KTC ร่วมต่อยอดธุรกิจลีสซิ่ง | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กรุงไทยผนึกกำลังบริษัทในเครือดึง KTC ร่วมต่อยอดธุรกิจลีสซิ่ง
ธ.กรุงไทยเดินหน้าลุยธุรกิจลีสซิ่ง ดึง KTC ถือหุ้นบริษัท KTB LEASING ในสัดส่วน 75.05 % และธนาคารกรุงไทยลดสัดส่วนเหลือ 24.95% นำศักยภาพของกลุ่มบริษัทในเครือ มาต่อยอดธุรกิจใช้จุดแข็งของKTC ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจรายย่อย มาพัฒนาผลิตภัณฑ์
ธนาคารกรุงไทยเดินหน้าลุยธุรกิจลีสซิ่ง ดึง KTC ถือหุ้นบริษัท KTB LEASING ในสัดส่วน 75.05 % และธนาคารกรุงไทยลดสัดส่วนเหลือ 24.95% นำศักยภาพของกลุ่มบริษัทในเครือ มาต่อยอดธุรกิจใช้จุดแข็งของKTC ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจรายย่อย มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ และขายผ่านเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งของธนาคารที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มั่นใจบริษัท KTB LEASING จะเติบโตและมีส่วนแบ่งในตลาดสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าหลังจากธนาคารมียุทธศาสตร์ในการปรับพอร์ต บริษัทKTB LEASING บูรณาการกระบวนการติดตามหนี้ และปรับแผนธุรกิจใหม่หมด ขณะนี้ธนาคารพร้อมที่จะผนึกกำลังนำจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจ มาส่งเสริมกันและกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และประสานประโยชน์ทางธุรกิจอย่างรอบด้าน โดยล่าสุดธนาคาร ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง หรือ KTB LEASING โดยจะ ให้บริษัทบัตรกรุงไทย หรือ KTC เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 75.05% และธนาคารกรุงไทยลดการถือหุ้นเหลือเพียง 24.95% ซึ่งคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติแล้วในวันนี้ และอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ KTC
ธนาคารเชื่อมั่นว่า ความโดดเด่นและความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของ KTC ทั้งสินเชื่อบุคคล สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ KTC พี่เบิ้ม สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนธุรกิจลีสซิ่งของบริษัท KTB LEASING โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อกลุ่มตลาดรถยนต์ใหม่ รถมือ 2 และรถแลกเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีตลาดใหญ่ และมีศักยภาพในการเติบโต โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ผ่านทีมการตลาดของทั้งบริษัท ตลอดจนเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยที่ครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ธนาคารกรุงไทยต่อยอดธุรกิจ และเพิ่มความสามารถในการทำรายได้
นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ที่ผ่านมา บริษัท KTB LEASING เน้นธุรกิจด้านเช่าซื้อเครื่องจักร ดังนั้นการดึง KTC มาถือหุ้นในครั้งนี้ จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับตลาด ลีสซิ่ง รวมทั้งเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ที่สำคัญจะเป็นการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มผลตอบแทนให้กับธนาคาร ทั้งนี้ปัจจุบันธนาคารกรุงไทยถือหุ้นใน KTC 49.3%
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39055 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมตำรวจ-ฝ่ายปกครอง แถลงโชว์ผลงานยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดเมืองกาญจนบุรี รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ตามแผนปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย” | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมตำรวจ-ฝ่ายปกครอง แถลงโชว์ผลงานยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดเมืองกาญจนบุรี รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ตามแผนปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย”
กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมตำรวจ-ฝ่ายปกครอง แถลงโชว์ผลงานยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดเมืองกาญจนบุรี รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ตามแผนปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย”
ในวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ร้อยตรี พงศธร ศิริสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายอำนาจ เหล่ากอที ผอ.ปปส.ภ.7 นายอุดมชัย โลหณุต ผอ.สปป. พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.กฤติชัย ทองอยู่ รองผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมด้วยผู้แทนจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 7 ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายปกครองในพื้นที่ และ ปปส.ภ.7 แถลงข่าวคดีเครือข่ายนายไพโรจน์ ภู่ฉุน ภายใต้แผนปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด 1/64” ในพื้นที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
ผลการปฏิบัติ ได้จับกุมนายไพโรจน์ ภู่ฉุน จากการตรวจสอบเพื่อยึด/อายัดทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในความครอบครองของผู้ต้องหา ได้แก่ โคขุน จำนวน 257 ตัว บ้านพร้อมที่ดิน 1 แปลง รถยนต์ จำนวน 3 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน รถไถ จำนวน 2 คัน และเครื่องอัดฟาง จำนวน 1 คันรวมมูลค่ากว่า 15,000,000 บาท
ทั้งนี้ ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการบูรณาการความร่วมมือครั้งสำคัญของหลายหน่วยงาน และเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 (มาตรการสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือ) โดยขยายผลจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องและยึดทรัพย์สิน เพื่อทำลายเครือข่ายและโครงสร้างการค้ายาเสพติดรายสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39050 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 10 กุมภาพันธ์ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 10 กุมภาพันธ์ 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 10 กุมภาพันธ์ 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.09 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 5 - 10 กุมภาพันธ์ 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.09 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 335 คดี ค่าปรับ 2.48 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 208 คดี ค่าปรับ 3.68 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 23 คดี ค่าปรับ 2.91 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 0.96 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 1.96 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 5,812.620 ลิตร ยาสูบ จำนวน 10,049 ซอง ไพ่ จำนวน 156 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 86,935.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 356 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 109 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 10 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 10,766 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 199.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 6,066 คดี ค่าปรับ 55.33 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 3,252 คดี ค่าปรับ 73.65 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 249 คดี ค่าปรับ 3.03 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 436 คดี ค่าปรับ 30.65 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 41 คดี ค่าปรับ 1.75 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 498 คดี ค่าปรับ จำนวน 13.44 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 224 คดี ค่าปรับ 21.28 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 261,551.239 ลิตร ยาสูบ จำนวน 231,104 ซอง ไพ่ จำนวน 17,855 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 915,626.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 87,012 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 793 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39060 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กรุงไทยยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์
ธนาคารกรุงไทย ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาและปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้ในวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ระหว่างเวลา 00.15 – 07.45 น.
ธนาคารกรุงไทย ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาและปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้ในวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ระหว่างเวลา 00.15 – 07.45 น. โดยมีรายละเอียดดังนี้
● แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เป๋าตัง เป๋าตุง และถุงเงิน
● บริการแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านโทรศัพท์มือถือ และ Krungthai Connext บริการแจ้งเตือนเงินเข้า-ออกบัญชีกรุงไทย และ G-wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ผ่านไลน์
● บริการเว็บไซต์และแพลตฟอร์มต่างๆ Krungthai Internet Banking Krungthai Corporate Online Krungthai Contact Center Krungthai PromptPay Krungthai CO-OP Krungthai e-Cheque Krungthai Biz Payment กรุงไทย เติมบุญ บริการรับชำระเงินออนไลน์ บริการจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์ บริการ CGP – Corporate Group Payment Oil บริการชำระเงินผ่าน Alipay และ Wechat และบริการหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย (Selling Agent)
● บริการบัตร Krungthai Verified by Visa Krungthai IPAC Krungthai Debit Card Krungthai Cash Card Krungthai Travel Card
รวมทั้ง Krungthai ATM / ADM Krungthai Tele-Banking บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บริการตรวจสอบยอดเงินในบัตรองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บูธแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารขออภัยในความไม่สะดวก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center หมายเลข 02 111 1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปานามา อาศัยจุดแข็งด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปานามา อาศัยจุดแข็งด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างยั่งยืน
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ปานามา อาศัยจุดแข็งด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างยั่งยืน
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวอิตเซล การินา เชน ชัน (H.E. Ms. Itzel Karina Chen Chan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับปานามาที่มีมายาวนานเกือบ 40 ปี โดยเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของเอกอัครราชทูตฯ จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นและยั่งยืนมากขึ้น ยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ เพื่อความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ระหว่างกันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลปานามาที่ได้ถวายการต้อนรับสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างสมพระเกียรติ ในโอกาสเสด็จเยือนปานามา เมื่อปี 2562
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยินดีที่ไทยและปานามามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน ยืนยันพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG) ของไทย สนใจเรียนรู้แนวทางเพื่อนำไปปรับใช้กับปานามาต่อไป นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข ทั้งเวชภัณฑ์ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 การแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของไทยแก่ปานามาในช่วงสถานการณ์โควิด-19
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้มากขึ้น โดยอาศัยจุดแข็งของการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ และศักยภาพในการกระจายสินค้าของไทยและปานามา ซึ่งจะเป็นโอกาสการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับลาตินอเมริกาได้ โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ปานามาเข้ามามีส่วนร่วมใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงสนใจให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์การบริหารจัดการคลองปานามาและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจรอบคลองจากปานามา ในโอกาสเดียวกันนี้ ฝ่ายไทยพร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวแก่ปานามา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างยั่งยืน
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ลงพื้นที่ตรวจการจัดการสิ่งแวดล้อม สมุทรปราการ พร้อมเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรม มิติใหม่ New Nomal ด้านสิ่งแวดล้อม | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ทส. ลงพื้นที่ตรวจการจัดการสิ่งแวดล้อม สมุทรปราการ พร้อมเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรม มิติใหม่ New Nomal ด้านสิ่งแวดล้อม
ทส. ลงพื้นที่ตรวจการจัดการสิ่งแวดล้อม สมุทรปราการ พร้อมเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรม มิติใหม่ New Nomal ด้านสิ่งแวดล้อม
ทส. ลงพื้นที่ตรวจการจัดการสิ่งแวดล้อม สมุทรปราการ พร้อมเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรม มิติใหม่ New Nomal ด้านสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) เวลาประมาณ 10.15 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยรับฟังปัญหา อุปสรรคในการดำเนินงาน และลงพื้นที่ตรวจระบบการจัดการน้ำเสียของบริษัทเขตประกอบการอุตสาหกรรมฟอกหนัง กม. 34 จำกัด พร้อมทั้งมอบนโยบายและให้ข้อเสนอแนะการดำเนินงานฯ
โดยขอให้ส่วนราชการ และผู้ประกอบการ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เข้มงวดกับการบำบัดน้ำเสียของโรงงานที่อยู่ในความดูแล รวมถึงการบำบัดน้ำเสียของชุมชน ก่อนที่ปล่อยลงสู่ระบบนิเวศ และให้รักษามาตรฐานการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานสะอาด การใช้พลังงานทดแทน ให้มีความต่อเนื่อง
อีกทั้งให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรปราการ เป็นศูนย์กลางในการประสานงานในพื้นที่ และให้กรมควบคุมมลพิษ ทบทวนมาตรฐานการระบายน้ำทิ้ง และให้หน่วยงานในสังกัด ทส. ที่้กี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มกำลังทั้งนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมของประเทศไทย ก้าวสู่บริบทมิติใหม่ New Nomal ด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการสู่ความยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39075 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายคาซูยะ นาชิดะ (Mr. Nashida Kazuya) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และคณะ
ในวันอังคารที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ๓ - ๐๑ ชั้น ๓ ที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายคาซูยะ นาชิดะ (Mr. Nashida Kazuya) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ
ในการนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔(The 14th United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice – UN Crime Congress) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๗ – ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔อีกทั้ง ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยกับกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ตลอดจนประเด็นด้านการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง นอกจากนี้ได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนคดีของนางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะซึ่งการหารือข้อราชการในครั้งนี้ นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ดูงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านโนนสวรรค์ จังหวัดบุรีรัมย์ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ดูงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านโนนสวรรค์ จังหวัดบุรีรัมย์
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ดูงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านโนนสวรรค์ จังหวัดบุรีรัมย์ สนับสนุนทำเกษตรปลอดภัย เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านโนนสวรรค์ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรบุรีรัมย์ ณ หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรบุรีรัมย์ได้ส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทยและแมลงหางหนีบให้แก่เกษตรกรนำไปเลี้ยงขยายเพื่อใช้ควบคุมป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค โดยไม่ต้องใช้สารเคมี นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้แหนแดงและปุ๋ยหมักเติมอากาศ ทำให้เกษตรกรลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้มากกว่า 75% ส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ สามารถลดต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการปลูกพืชผักจำหน่ายที่ตลาดในจังหวัดบุรีรัมย์ เดือนละ 15,000-20,000 บาทต่อครัวเรือน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้กล่าวมอบนโยบายส่งเสริมสนับสนุนการทำเกษตรปลอดภัย พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตรแก่เกษตรกรที่ได้รับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรกรปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร มอบปัจจัยการผลิตแหนแดงและปุ๋ยหมักเติมอากาศแก่เกษตรกรด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านโนนสวรรค์ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 จากการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชผักเป็นอาชีพเสริมหลังว่างเว้นจากการทำนา โดยสมาชิก 36 คน ได้จัดแบ่งพื้นที่สาธารณประโยชน์คนละ 2 งาน ปลูกพืชผักหลายชนิดตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว รวมทั้งมุ่งหวังที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคม จึงได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การปลูกผักปลอดภัย เพื่อเป็นต้นแบบให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรบุรีรัมย์ ได้ส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เข้าสู่รับการรับรองแหล่งผลิต GAP พืช ตั้งแต่ปี 2558 จำนวน 36 แปลง พื้นที่ 18 ไร่ และดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร โดยสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปลูกผักปลอดภัยด้วยการใช้ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ ไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทยและแมลงหางหนีบ และการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้แหนแดงและปุ๋ยหมักเติมอากาศ ที่เกษตรกรสามารถผลิตใช้เองได้อย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี 2560 รวมทั้งคัดเลือกและให้การสนับสนุนปัจจัยการผลิตแก่วิสาหกิจชุมชนฯ เพื่อเป็นจุดเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ในโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ( 5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง) ในปี 2563 ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39066 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดการขายทอดตลาดทรัพย์สินคดียาเสพติด ประเภทตุ๊กตาโมเดล ๒๘๖ รายการ ประเดิมตัวแรกโมเดลลูฟี่ วันพีช ด้วยราคา ๑๑๑,๐๐๐ บาท พร้อมตั้งเป้ายึดทรัพย์ตัดวงจรนักค้ายาเสพ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.ยุติธรรม เปิดการขายทอดตลาดทรัพย์สินคดียาเสพติด ประเภทตุ๊กตาโมเดล ๒๘๖ รายการ ประเดิมตัวแรกโมเดลลูฟี่ วันพีช ด้วยราคา ๑๑๑,๐๐๐ บาท พร้อมตั้งเป้ายึดทรัพย์ตัดวงจรนักค้ายาเสพ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ไม่เหมาะสมที่จะเก็บรักษา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันเสาร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ สำนักงาน ป.ป.ส. เขตดินแดง กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ไม่เหมาะสมที่จะเก็บรักษา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้บริหารของสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมในพิธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ไม่เหมาะสมจะเก็บรักษาเป็นกระบวนการหนึ่งในมาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการกับทรัพย์สินของนักค้ายาเสพติด และกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อเป็นการตัดวงจรและศักยภาพทางการเงิน
ซึ่งการขายทอดตลาดทรัพย์สินฯ ครั้งนี้เป็นประเภทตุ๊กตาโมเดล จำนวน ๒๘๖ รายการที่ตรวจยึดไว้ในคดียาเสพติดรายสำคัญที่นักค้ายาเสพติดนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติดไปแปรสภาพเป็นทรัพย์สินดังกล่าว เป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ตรวจยึดไว้ในคดียาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ เมื่อดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินได้แล้วจะทำการยึดและเก็บรักษาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้แทน โดยนำเข้าฝากกับสถาบันการเงิน หากศาลมีคำสั่งยกฟ้องในคดีอาญาหลัก หรือยกคำร้องขอริบทรัพย์สิน และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีมติให้คืนทรัพย์สินแก่เจ้าของทรัพย์สิน สำนักงาน ป.ป.ส.จะดำเนินการคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่เจ้าของทรัพย์สินนั้น แต่หากศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จะส่งมอบเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้นให้แก่กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่รัฐบาล และเป็นการนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ ๔ ด้าน คือ ๑. ด้านการป้องกัน ๒. ด้านปราบปราม ๓. ด้านบำบัดฟื้นฟู และ ๔. ด้านบุคลากร รวมถึงช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด ตลอดจนเป็นเงินสินบนรางวัล
ทั้งนี้ รัฐบาลวางเป้าหมายการยึดอายัดทรัพย์สินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไว้จำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรก (ตุลาคม ๒๕๖๓ - มกราคม ๒๕๖๔) มีผลการยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่า ๑,๐๔๔ ล้านบาท และการดำเนินการกับคดีค้างเก่ามูลค่า ๗๖๗ ล้านบาท รวมผลการดำเนินการมูลค่าประมาณ ๑,๘๑๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๐.๑๙
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหาร ได้ร่วมรับชมการประมูล และมอบตุ๊กตาโมเดลลูฟี่ ขนาดเท่าตัวจริง จากการ์ตูนวันพีชให้แก่ผู้ที่ชนะการประมูลด้วยราคา ๑๑๑,๐๐๐ บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39048 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39063 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุนใช้ e – อั่งเปา แทนเงินสดต้อนรับตรุษจีน | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
หนุนใช้ e – อั่งเปา แทนเงินสดต้อนรับตรุษจีน
...
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ แฟนเพจไทยคู่ฟ้า
ช่วงนี้ถือว่าเป็นเทศกาล “แจกอั่งเปา”
ให้ลูกให้หลานในครอบครัว
.
เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ยังคงอยู่ในช่วงโควิด-19
ดังนั้น เพื่อให้การแจกอั่งเปา
เป็นไปอย่างปลอดภัย
แอดมินขอสนับสนุน e – อั่งเปา
แทนการให้เงินสดนะครับ
.
โดยการจ่ายเงินผ่าน
Netbank ของธนาคารต่าง ๆ
ซึ่งสะดวกสบายและปลอดภัย
เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
และยังช่วยลดปริมาณ
ซองอั่งเปาอีกด้วย
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39065 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม นบข. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 64 พร้อมปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 63/64 รอบที่ 1 เพิ่มเติมอีก 3,838.92 ลบ. | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีประชุม นบข. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 64 พร้อมปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 63/64 รอบที่ 1 เพิ่มเติมอีก 3,838.92 ลบ.
นายกรัฐมนตรีประชุม นบข. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 64 พร้อมปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 63/64 รอบที่ 1 เพิ่มเติมอีก 3,838.92 ล้านบาท
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลสนับสนุนภาคการเกษตรและช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการต่าง ๆ ได้แก่ การประกันรายได้ การลดต้นทุนการผลิต การบริหารจัดการการตลาดและการประกันภัยสินค้าเกษตร เพื่อเป้าหมายหลักคือยกระดับภาคการเกษตร เพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีรายได้อย่างเพียงพอในการดำรงชีวิต เช่นเดียวกับการประกอบอาชีพอื่น ๆ สำหรับภาระงบประมาณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หารือแนวทางปฏิรูป ขับเคลื่อนภาคการเกษตรเน้นสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรโดยตรง แทนตัวสินค้าเกษตร มีแนวทางการพัฒนาอาชีพ โดยต้องมี Roadmap และ Action Plan ที่ชัดเจน
นายกรัฐมนตรียังหารือถึงแนวทางการส่งออกข้าวไทยที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญว่า ให้ดูปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวผกผันเพื่อแก้ปัญหาให้ถูกวิธี กำหนดกรอบข้าวแต่ละประเภทเพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด ทั้งประเภทพันธุ์ ราคา สัดส่วนชนิดข้าวที่ผลิต ขณะที่ตลาดส่งออกข้าวไทยทั้งทวิภาคีและการขายตรงไปแต่ละประเทศ ให้พิจารณาเพิ่มตลาดกลางในกลุ่มประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคอื่น ๆ เรื่องการปัญหาการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า ได้สั่งการทั้งกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ให้แก้ปัญหาเรื่องตู้ขนส่งสินค้า ขณะนี้ปลดล็อกหลายอย่างแล้ว จึงขอให้ติดตามด้วยว่ามีจำนวนเพียงพอหรือไม่ โดยในส่วนของข้าวตลาดหลัก ข้าวตลาดเฉพาะในประเทศ ข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวอินทรีย์ ข้าวพื้นนุ่ม ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน
นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงผลผลิตข้าวไทยปี 64 ซึ่งมีแนวโน้มมากกว่าปี 63 ว่า ขอให้เป็นข้าวที่มีราคาที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ซึ่งฝากให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวและสภาเกษตรกรร่วมขับเคลื่อนช่วยคิดในเรื่องการปลูกข้าวให้ตรงกับตลาด ลดต้นทุนการเพาะปลูก ให้การปลูกข้าวพันธุ์ใหม่สอดคล้องกับพื้นที่ น้ำ และความต้องการของผู้บริโภคและการค้าระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ ทุกคนต้องรับรู้ร่วมกันเพื่อคิดในรายละเอียด เพื่อหาอุปสงค์ อุปทาน และหาตลาด ให้สอดคล้องกัน
ที่ประชุมเห็นชอบปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 จาก 46,807.35 ล้านบาท โดยเห็นชอบปรับเพิ่มอีก 3,838.92 ล้านบาท รวมเป็น 50,646.27 ล้านบาท และมอบหมาย ธ.ก.ส. และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียด และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 64 และมอบหมายกระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 64 กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการเช่นเดียวกับปี 59 – 63 โดยปรับปรุงรูปแบบอัตราค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) ให้สอดคล้องกับอัตราส่วนความเสียหาย และปรับปรุงเป้าหมายการเอาประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) ให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกที่มีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าวนาปีที่มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ จำนวน 577 อำเภอ คิดเป็นพื้นที่เพาะปลูก 16 ล้านไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการเราชนะและการเปิดรับลงทะเบียนออนไลน์วันสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ความคืบหน้าโครงการเราชนะและการเปิดรับลงทะเบียนออนไลน์วันสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 29 ม.ค. – 12 ก.พ.2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 ก.พ.2564 มีประชาชนสนใจลงทะเบียนแล้วมากกว่า 10.73 ล้านคน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ว่า จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 มีประชาชนสนใจลงทะเบียนแล้วมากกว่า 10.73 ล้านคน โดยมีผู้ที่ผ่านการคัดกรองขอคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนยืนยันรับสิทธิ์โครงการฯ แล้วกว่า 6.8 ล้านคน
โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า ในวันพรุ่งนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2564) จะเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการฯ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจให้มาลงทะเบียนได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ได้รับข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนสถานะ “ลงทะเบียนไม่สำเร็จ” สามารถลงทะเบียนใหม่ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ทันทีหลังจากที่ได้รับ SMS แจ้งเตือนและต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการเปิดรับลงทะเบียนโครงการฯ
สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (กลุ่มผู้ถือบัตรฯ) จะได้รับวงเงินสิทธิ์เข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐงวดที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 โดยสามารถสะสมวงเงินสิทธิ์เพื่อใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ กลุ่มผู้ถือบัตรฯ สามารถตรวจสอบวงเงินสิทธิ์คงเหลือ (Balance) ได้ที่เครื่องกดเงินสดอัตโนมัติ (Cash Machine หรือ ATM) ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) เครื่องรูดบัตร (Electronic Data Capture หรือ EDC) ที่ร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือระบบตรวจสอบวงเงินสิทธิ์คงเหลือผ่านระบบอัตโนมัติของธนาคารกรุงไทย โทร 0 2109 2345 กด 3 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
อนึ่ง ธนาคารกรุงไทยจะเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ตั้งแต่วันที่ 15 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 โดยประชาชนในกลุ่มดังกล่าวที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สามารถนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปติดต่อขอลงทะเบียนได้ที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย หากประชาชนท่านใดที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าวไม่มีบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ขอให้ติดต่อขอทำใหม่ได้ที่สำนักงานเทศบาล สำนักงานเขต ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง หน่วยบริการจัดทำบัตรเคลื่อนที่ของกรมการปกครอง หรือสำนักงานหรือที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในระยะเวลาดังกล่าว
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมให้เป็นไปตามเป้าหมาย | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมให้เป็นไปตามเป้าหมาย
กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีสภาองค์กรของผู้บริโภคได้แถลงข่าวปัญหาราคาค่าโดยสารรถรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีราคาสูงเกินไป โดยเรียกร้องภาครัฐบริหารจัดการค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบ และมีข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม คือ การเร่งรัดการใช้ระบบตั๋วร่วมของบริการขนส่งมวลชน ทุกประเภท และการกำหนดค่าโดยสารสูงสุดต่อวันของขนส่งมวลชนทั้งระบบนั้น กระทรวงคมนาคม ขอชี้แจงว่า แนวทางที่สามารถคุมราคาค่าโดยสารได้ คือ การนำระบบตั๋วร่วมมาใช้กับการบริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม เนื่องจากการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างระบบจะไม่คิดค่าแรกเข้าจะทำให้ค่าโดยสารระบบรางถูกลงกว่า 30% ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการเร่งรัดการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1. การดำเนินงานระยะสั้น ได้แก่ การเร่งพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ (Automatic Fare Collection: AFC) ของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อทำให้บัตรโดยสารที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ บัตรแมงมุม บัตร MRT Plus บัตร MRT และบัตร Rabbit สามารถใช้เดินทางข้ามระบบ (Interoperable Ticketing System) กับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา (สายสีเขียว) และส่วนต่อขยายได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ (AFC) ให้สามารถใช้บัตรแมงมุม บัตร MRT Plus บัตร MRT และบัตร Rabbit เดินทางข้ามระบบกันได้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง และสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563 ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชนและส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น ปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือบัตรโดยสารรถไฟฟ้าในแต่ละประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าว ดังนี้ บัตรแมงมุม จำนวน 0.2 ล้านใบ บัตร MRT Plus และบัตร MRT รวมจำนวน 2 ล้านใบ และบัตร Rabbit จำนวน 14.2 ล้านใบ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยระยะแรกจะใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันภายใต้การกำกับของ รฟม. รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ก่อน (รถไฟฟ้า MRT รถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์) และในอนาคตจะดำเนินการขยายการให้บริการเพื่อให้ครอบคลุมทุกระบบขนส่ง ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง ระบบทางพิเศษ และเรือโดยสารต่อไป
2. การดำเนินงานระยะยาว ได้แก่ การเร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมในรูปแบบ Account Based Ticketing (ABT) ซึ่งเป็นการใช้บัตรผ่านระบบบัญชี โดยจะขยายการให้บริการให้ครอบคลุมทุกระบบขนส่ง ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง ระบบทางพิเศษ และเรือโดยสาร สำหรับความคืบหน้า รฟม. และธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบตั๋วร่วมด้วยการนำบัตรเครดิตชนิด EMV (Europay Mastercard and Visa) มาใช้เป็นตั๋วร่วมสำหรับระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นเพราะสามารถเดินทางก่อน แล้วชำระเงินภายหลังพร้อมรอบการชำระบัตรเครดิต โดยมีแผนงานดังนี้
1) เริ่มทดลองนำมาใช้กับทางด่วนหรือทางพิเศษในบางเส้นทาง เช่น ทางด่วนกาญจนาภิเษก ทางด่วนอุดรรัถยา ทางด่วนศรีรัชวงแหวนรอบนอก เป็นต้น และจะขยายให้ครอบคลุมทางด่วนหรือทางพิเศษอื่น ๆ ภายในเดือนกรกฎาคม 2564
2) เริ่มโครงการนำร่องเพื่อนำมาใช้กับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยจะเริ่มจากรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ก่อนเป็นลำดับแรก คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนมกราคม 2565
3) ปัจจุบันได้มีการใช้งานบนรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมรถโดยสารของเอกชนร่วมบริการต่อไป
4) เริ่มโครงการนำร่องเพื่อนำมาใช้กับเรือไฟฟ้าโดยสาร (MINE Smart Ferry)
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม จำนวน 2 คณะ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาความชัดเจนในการกำหนดนโยบาย มาตรการ หลักเกณฑ์ กลไกและแนวทางการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม รวมถึงโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีการออกตั๋วร่วม มาตรฐานเทคโนโลยีระบบงาน มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล มาตรฐานความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำเนินงานของระบบงาน 2) คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการจัดเก็บค่าธรรมเนียม มาตรฐานการจัดสรรรายได้ มาตรฐานอัตราค่าโดยสารในกรณีใช้อัตราค่าโดยสารร่วม และกรอบมาตรฐานค่าธรรมเนียมการชำระเงินและการเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ
ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ อวยพรตรุษจีนแก่คนไทยเชื้อสายจีนให้สุขสมหวัง ร่ำรวยตลอดปี | วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ อวยพรตรุษจีนแก่คนไทยเชื้อสายจีนให้สุขสมหวัง ร่ำรวยตลอดปี
นายกฯ อวยพรตรุษจีนแก่คนไทยเชื้อสายจีนให้สุขสมหวัง ร่ำรวยตลอดปี
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีวีดิทัศน์เพื่ออวยพรชาวไทยเชื้อสายจีน เนื่องในเทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าเนื่องในโอกาสช่วงเทศกาลตรุษจีนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ นายกรัฐมนตรีได้มีวีดิทัศน์กล่าวอวยพรชาวไทยเชื้อสายจีน โดยอวยพรให้ ชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านสุขสมหวังและร่ำรวยตลอดปี “ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ” นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันหยุดพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ระลึกถึงสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับจีน มิตรภาพ ความผูกพัน และความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ แม้สถานการณ์การโรคโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าไทยและจีนจะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่างๆ ได้ด้วยดี
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมมิตรภาพความสัมพันธ์ไทยจีนเสมอมา โดยทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมาแล้วกว่า 45 ปี เป็นความร่วมมือทวิภาคีที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศประสบกับความท้าทายจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเชื่อมั่นว่าในภายหลังเมื่อสถานการณ์โควิด-19ดีขึ้นแล้ว ทั้งสองประเทศจะมีความร่วมมือกันในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาร่วมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงยังไม่อนุมัติใช้พาสปอร์ตวัคซีนโควิด 19 แทนการกักตัว ต้องติดตามข้อมูลใกล้ชิด | วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.แจงยังไม่อนุมัติใช้พาสปอร์ตวัคซีนโควิด 19 แทนการกักตัว ต้องติดตามข้อมูลใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข เผยควบคุมการระบาดโควิด 19 ได้ดี พบการติดเชื้อในสมุทรสาคร กทม. และชายแดน จ.ตาก ระบุองค์การอนามัยโลกยังไม่แนะนำให้ใช้มาตรการ "พาสปอร์ตวัคซีนโควิด 19" เป็นเงื่อนไขสำหรับคนเดินทางเข้าประเทศแทนการกักตัว 14 วัน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลประ
กระทรวงสาธารณสุข เผยควบคุมการระบาดโควิด19 ได้ดี พบการติดเชื้อในสมุทรสาคร กทม. และชายแดน จ.ตาก ระบุองค์การอนามัยโลกยังไม่แนะนำให้ใช้มาตรการ "พาสปอร์ตวัคซีนโควิด 19" เป็นเงื่อนไขสำหรับคนเดินทางเข้าประเทศแทนการกักตัว 14 วัน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพที่เพียงพอ ยังต้องติดตามผลการศึกษา
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 237 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 113 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 112 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 12 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รักษาหายเพิ่ม 668 ราย การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 7 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 19,134 ราย รักษาหายสะสม 13,002 ราย เสียชีวิตสะสม 19 ราย โดยวันนี้มีการติดเชื้อใน 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 202 ราย กรุงเทพมหานคร 17 ราย ตาก 5 ราย และสมุทรสงคราม 1 ราย
ทั้งนี้ สถานการณ์โรคโควิด19 ระลอกใหม่ ภาพรวมจังหวัดต่างๆ สามารถควบคุมการระบาดได้ดี ยังมีรายงานการติดเชื้อที่สมุทรสาคร ตาก และ กทม. โดย จ.สมุทรสาครยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มลดลงหลังดำเนินการควบคุมตามแผน ขณะนี้ได้ใช้มาตรการ Bubble and Sealed ให้แรงงานทำงานอยู่ในโรงงานและภายในที่พัก ไม่ให้ปะปนแพร่กระจายเชื้อไปชุมชน หากเจ็บป่วยนำออกไปรักษา และยังคัดกรองในโรงงานขนาดเล็กหรือในชุมชนบางแห่งเพื่อค้นหาผู้ป่วย ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมและดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่อง
ส่วน จ.ตาก ยังพบการติดเชื้อในชุมชน แสดงว่ายังมีการพบปะระหว่างคนไทยและเมียนมาทั้ง2 ฝั่ง กรณีผู้ป่วยโรคโควิด 19 ชาวเมียนมาอายุ 75 ปี ที่พักอาศัยใน อ.แม่สอด พบติดเชื้อใน 4 ครอบครัวรวม 11 ราย ทำให้มีการกระจายไปชุมชน จำเป็นต้องยกระดับการควบคุมพื้นที่ให้เข้มข้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเดินทางข้ามไป-มาของชาวเมียนมาและพบปะกันอยู่ ทำให้การควบคุมยากขึ้นและพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มๆ เป็นระยะ ขณะที่ กทม.ยังพบแรงงานต่างด้าวทำงานบ้านติดเชื้อแบบไม่มีอาการ และแพร่เชื้อไปยังนายจ้าง ต้องกำชับหลีกเลี่ยงการพบปะกับเพื่อนโดยไม่สวมหน้ากาก ลดการเดินทางและงดการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นวงใหญ่ เพราะอาจแพร่เชื้อให้คนที่บ้านและที่ทำงาน
สำหรับชายแดนไทย-มาเลเซีย กรณีการประสานรับผู้พ้นโทษจากประเทศมาเลเซียผ่านจุดผ่านแดนถาวรกลับมาประเทศไทย ตั้งแต่วันที่13 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2564 มีการผ่านด่านเบตง จ.ยะลา และด่านวังประจัน จ.สตูล จำนวน 66 ราย ตรวจพบการติดเชื้อ 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.78 เนื่องจากอยู่รวมกันในที่กักกัน ก่อนเข้ามาในด่านอย่างถูกกฎหมายทำให้มั่นใจว่าจะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเข้าสู่ประเทศ เช่นเดียวกับการขนส่งสินค้าข้ามแดน ที่ใช้โมเดลเดียวกับ อ.แม่สอด คือ ไม่ให้รถสินค้าเข้ามาในเมือง ขนส่งสินค้าในเซฟตี้โซนบริเวณชายแดน ไม่ให้คนขับลงจากรถมาปะปน และสุ่มตรวจหาเชื้อเชิงรุกเป็นระยะ ทำให้พบผู้ติดเชื้อโควิด19 ชาวมาเลเซียอายุ 40 ปี พนักงานขับรถขนส่งสินค้า โดยประสานส่งกลับไปกักกันที่มาเลเซีย ซึ่งต้องทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพาสปอร์ตวัคซีนซึ่งตามกฎอนามัยระหว่างประเทศใช้เป็นหลักฐานให้เกิดความมั่นใจว่าผู้เดินทางจะไม่นำเอาเชื้อโรคเข้าสู่ประเทศ เช่น โรคไข้เหลือง ที่พบมากในอเมริกาใต้และแอฟริกา ถ้าจะเข้าประเทศไทยต้องฉีดวัคซีนและมีหนังสือรับรอง คือ สมุดปกเหลือง ตามกติกาสากลขององค์การอนามัยโลก ส่วนโรคโควิด19 การป้องกันเชื้อจากต่างประเทศคือการกักตัว 14 วัน การจะใช้มาตรการพาสปอร์ตวัคซีนแทนการกักตัวต้องมั่นใจว่า วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ 100% มีข้อมูลว่าฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ปัจจุบันวัคซีนโควิด 19 ยังวิจัยไม่เสร็จ เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน
“องค์การอนามัยโลกแนะนำว่ายังไม่ควรกำหนดให้ใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด19 หรือพาสปอร์ตวัคซีนมาเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตเข้าประเทศ เนื่องจากยังขาดข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน
โควิด 19 ว่าฉีดแล้วจะไม่แพร่โรค ฉีดแล้วจะอยู่นานแค่ไหน หรือต้องฉีดซ้ำอีกกี่เข็ม เป็นต้น แต่ในอนาคตถ้ามีประสิทธิภาพเพียงพอ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะนำพาสปอร์ตวัคซีนมาเป็นข้อกำหนด แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป”นายแพทย์โอภาสกล่าว
************************** 7 กุมภาพันธ์ 2564
**********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38939 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ ควบคุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา เอาเปรียบประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ กำชับ ควบคุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา เอาเปรียบประชาชน
นายกฯ กำชับ ควบคุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา เอาเปรียบประชาชน
เมื่อวันที่7ก.พ.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีน2564ซึ่งตรงกับวันที่12ก.พ.นี้โดยประชาชนนิยมออกไปเลือกซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบพิธีในการไหว้บรรพบุรุษพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมจึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ให้ดูแลควบคุมราคาสินค้าให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตรวจตราป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชนพร้อมกำชับให้ร้านค้าต้องปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจนเพื่อง่ายในการตรวจสอบราคาและความสะดวกของประชาชน นอกจากนี้การไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้ายังมีโทษตามกฎหมายด้วย
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าในเทศกาลตรุษจีนปีนี้คาดการณ์ว่าประชาชนจะเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นนายกรัฐมนตรีจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มโดยตรวจสอบทั้งราคาและการโฆษณาเกินจริงป้องกันการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภครวมถึงป้องกันมิจฉาชีพโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงประชาชนจึงให้ประชาชนได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนเลือกซื้อสินค้าหากพบพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำความผิดสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) 1166
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าตรุษจีนวันที่12ก.พ.นี้รัฐบาลกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษโดยพล.อ.ประยุทธ์เชิญชวนประชาชนจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนโดยสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้เช่นโครงการคนละครึ่งโครงการเราชนะฯลฯทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก่อให้เกิดการหมุดเวียนของเม็ดเงินกระจายสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันโรคโควิด-19ด้วย
..............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. พร้อมสนับสนุนวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 ชูวธ.ขับเคลื่อนขับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อเนื่อง นำทุนวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ | วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วธ. พร้อมสนับสนุนวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 ชูวธ.ขับเคลื่อนขับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อเนื่อง นำทุนวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ
รมว.วธ. พร้อมสนับสนุนวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 ชูวธ.ขับเคลื่อนขับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อเนื่อง นำทุนวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจพัฒนาประเทศ
รมว.วธ. พร้อมสนับสนุนวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 ชูวธ.ขับเคลื่อนขับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อเนื่อง นำทุนวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจพัฒนาประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมระดับสากล สร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิไทยในเวทีโลกด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมสมัยสามัญขององค์การสหประชาชาติได้ประกาศรับรองวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นวาระที่ประเทศไทยร่วมเสนอกับประเทศในเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ ทั้งหมด 6 ประเทศได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มองโกเลีย และฟิลิปปินส์ และองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศวาระสำคัญนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนรัฐบาลทั่วโลกสนับสนุนการใช้ศิลปวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญและเป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการดำเนินการขับเคลื่อน โดยการสนับสนุนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 2. การพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ และ 3.การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม รวมทั้งมีความสอดคล้องกับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียวในยุทธศาสตร์ที่ 4 การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะหน่วยงานต้นน้ำของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวม รักษาองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาพื้นบ้านต่างๆ ส่งเสริมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม อันเป็นมรดกและทรัพย์สินทางปัญญาอันล้ำค่า พร้อมกันนี้ วธ.ได้สร้างต้นแบบในการต่อยอดและพัฒนาภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น แฟชั่นและการออกแบบ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ อาหารไทย ดนตรี ศิลปะการแสดง งานศิลปหัตถกรรม ฯลฯ
นายอิทธิพลกล่าวต่อไปว่า ในโอกาสวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2564 กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จะดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดของวธ.ล้วนมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสามารถเชื่อมโยงการทำงานกับพื้นที่ทุกจังหวัดในประเทศไทยผ่านกลไกระดับชุมชน ได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดและสำนักศิลปากรพื้นที่ ตลอดจนจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ ด้านศิลปวัฒนธรรมในระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโดยการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่นและสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็งทั่วประเทศ เช่น โครงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) การท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ของโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างอย่างยั่งยืน (บวร On Tour) โครงการเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ฯ ฯลฯ
นอกจากนี้ วธ. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และกองการต่างประเทศ และหน่วยงานวิเทศสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและกรมในสังกัดวธ. ดำเนินการเชื่อมโยง ประสานงานเครือข่ายและการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชื่อมโยงท้องถิ่นไทยกับนานาอารยะประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดเครือข่ายทางวัฒนธรรมระดับสากลและสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิไทยในเวทีโลกด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38936 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แนะนำหนังสือน่าอ่าน ชื่อ “ความรู้เรื่องเมืองไทย” | วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรี แนะนำหนังสือน่าอ่าน ชื่อ “ความรู้เรื่องเมืองไทย”
นายกรัฐมนตรี แนะนำหนังสือน่าอ่าน ชื่อ “ความรู้เรื่องเมืองไทย”
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในช่วงหนึ่งของการประชุมร่วมกับคณะกรรมการและคณะตัวแทนภาคประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้แนะนำหนังสือน่าอ่านให้แก่คณะที่เข้าพบมีชื่อว่า“ความรู้เรื่องเมืองไทย”เขียนโดยดร.วิชิตวงศ์ณป้อมเพชร
ทั้งนี้เนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นการบรรยายให้มีความรู้จักประเทศไทยเข้าใจสังคมไทยและมีความตระหนักในความเป็นไทยซึ่งผู้เขียนไม่ได้บรรยายถึงอะไรที่เรียกกันว่า“ฮาร์ดแวร์”ประเภททุ่งนาป่าเขาหรือหาดทรายขาวสะอาดที่มองเห็นสุดสายตาหรือวัดวาอารามและสถาปัตยกรรมที่มีความวิจิตรพิศดารหรือแม้กระทั่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่สัมผัสได้แต่สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายเป็นประเภท“ซอฟท์แวร์”คือความรู้สึกนึกคิดทัศนคติความเชื่อความศรัทธาจิตสำนึกตลอดจน“สไตล์”อันเป็นลักษณะพื้นฐานของไทยเราซึ่งหมายถึง“วิธี”แบบไทยในการคิดการพูดและการทำแนะนำโครงสร้างระบบและกลไกการเมืองการปกครองเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยหยิบยกเอาประเด็นที่สำคัญและสามารถเข้าใจได้ทันทีมาพิจารณาเชิงวิเคราะห์เช่นเรื่องระบอบการปกครองที่มี“ประชาธิปไตย”เป็นจุดขัดแย้งเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมที่เข้ามาครอบงำเศรษกิจและสังคมไทยเรื่องทัศนะทางสังคมของคนไทยที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการชี้นำของสื่อโฆษณาตลอดจนเรื่องที่เกี่ยวกับจิตสำนึกที่ขาดหายไปเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงเวลาประมาณ150กว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นลักษณะของ“วิวัฒนาการสังคม”ที่คนไทยพึงจะต้องมีความรู้และความเข้าใจว่ากว่าที่จะมาถึงวันนี้สังคมไทยของเราได้ผ่านอะไรมาบ้างการที่คนไทยมีความรู้สึกนึกคิดที่ผูกพันกับ“วิวัฒนาการสังคมไทย”จะทำให้มีความเข้าใจทั้งปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอบรรดาสิ่งที่เป็น“จุดแข็ง”ของไทยเราเช่นสถาบันพระมหากษัตริย์ความสามัคคีปรองดองระหว่างศาสนาที่ต่างกันความเป็นมิตรกับชาวต่างประเทศความพร้อมในการรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อความทันสมัยฯลฯแม้กระทั่งการให้ความสำคัญต่อผลสำเร็จในเชิงปฏิบัติและการมีอารมณ์ขันที่คลายความเครียด
นายอนุชาเผยเพิ่มเติมว่า“นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าหนังสือ-ความรู้เรื่องเมืองไทยทำให้รู้จักประเทศไทยเข้าใจสังคมไทยและตระหนักในความเป็นไทยได้ดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้รู้จักไทยในมุมที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย”
................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38937 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เราชนะ” ลงทะเบียนจ่อ10 ล้านคน 15 ก.พ ถึงคิวคนไม่มีสมาร์ทโฟน กรุงไทยจัดหน่วยเคลื่อนที่อำนวยความสะดวก | วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
“เราชนะ” ลงทะเบียนจ่อ10 ล้านคน 15 ก.พ ถึงคิวคนไม่มีสมาร์ทโฟน กรุงไทยจัดหน่วยเคลื่อนที่อำนวยความสะดวก
“เราชนะ” ลงทะเบียนจ่อ10 ล้านคน 15 ก.พ ถึงคิวคนไม่มีสมาร์ทโฟน กรุงไทยจัดหน่วยเคลื่อนที่อำนวยความสะดวก
นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าตามที่โครงการเราชนะได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยาผ่านเว็บไซต์เราชนะตั้งแต่วันที่29ม.ค.ตัวเลขนับถึงวันที่5ก.พ.มีผู้ลงทะเบียนแล้ว9.54ล้านคนซึ่งการลงทะเบียนจะเปิดถึงวันที่12ก.พ.สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนทางกระทรวงการคลังล่าสุดแจ้งว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาหรือหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนโดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่15ก.พ.เป็นต้นไปยังไม่มีกำหนดปิดรับลงทะเบียน
อนึ่งเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนต่อมาตรการเยียวยาลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาลจะขอแบ่งประชาชนออกเป็น4กลุ่มดังนี้
1)กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้วงเงินจากโครงการเราชนะได้กับร้านค้าที่เคยใช้อยู่บริการอยู่แล้วเช่นร้านธงฟ้ารวมถึงร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะด้วยการสแกนบัตรฯผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงินเริ่มแล้วเมื่อ5ก.พ.
2)กลุ่มที่มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง(จากโครงการคนละครึ่ง/เราเที่ยวด้วยกัน)สามารถตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่5ก.พ.
3)กลุ่มที่ลงทะเบียนใหม่สามารถตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่8ก.พ.
การตรวจสอบสิทธิต้องเข้าไปที่เว็บไซด์เราชนะกดที่ช่อง“ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ”หากพบว่า“ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ”สามารถแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิได้ทางเว็บไซต์เราชนะตั้งแต่8ก.พ.ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับสิทธิทางกระทรวงการคลังจะโอนวงเงินให้ครั้งแรก2,000บาทผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังเริ่มวันที่18ก.พ.และจะทยอยโอนให้จนครบ7,000บาทในปลายเดือนมี.ค.จึงขออย่าได้กังวลที่ตอนนี้ไม่มีวงเงินโอนไปถึงมือ
4)กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา33ที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการเยียวยา ภายใต้โครงการ“ม33เรารักกัน”โดยกระทรวงแรงงานให้ข้อมูลว่าผู้ประกันตนฯจะได้รับการช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ4,000บาทผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังมีเงื่อนไขคือต้องไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน5แสนบาทไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะเปิดให้เริ่มลงลงทะเบียนช่วงกลางเดือนนี้ที่ www.ม33เรารักกัน.comการโอนเงินจะแบ่งเป็น4ครั้งตั้งแต่มี.ค.-เม.ย.เรื่องนี้จะเสนอให้ครม.พิจารณาวันที่15ก.พ.
สิทธิการใช้เงินของทุกกลุ่มมีถึงวันที่31พ.ค.ใช้ไม่หมดในแต่ละงวดสามารถสะสมไว้ได้
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่ารัฐบาลอยากให้ร้านค้ารายย่อยผู้ให้บริการและผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคลเข้าร่วมโครงการเราชนะ”ให้มากๆเพราะเป็นโอกาสที่ทางร้านจะได้เพิ่มลูกค้าและเพิ่มรายได้ซึ่งขณะนี้ได้มีการขยายประเภทผู้ให้บริการมากขึ้นประกอบด้วย1)มอเตอร์ไซค์รับจ้างแท็กซี่รถตู้สามล้อเครื่องรถสองแถวสามล้อถีบ2)ร้านนวดสปาร้านตัดผมทำเล็บ3)สถานพยาบาลที่ไม่รับผู้ป่วยค้างคืนแพทย์แผนจีนคลินิกรักษาทางการแพทย์อื่นๆ4)หอพักอพาร์ตเมนท์แฟลต5)ตัดเย็บซ่อมสินค้า/เสื้อผ้า6)ซ่อมรถยนต์/จักรยานยนต์/จักรยาน7)ซ่อมประปาไฟฟ้าแอร์8)งานก่อสร้างขนาดเล็กบริการทำสวน/ตกแต่งสวน9)รับเหมาทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อ/ฉีดปลวก10)ซักรีดผู้สนใจลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์เราชนะส่วนร้านอาหารและเครื่องดื่มและร้านจำหน่ายสินค้าทั่วไปลงทะเบียนที่เว็บไซต์คนละครึ่งได้ถึงวันที่31มี.ค. การจ่ายเงินให้กับร้านค้าจะโอนให้ในวันรุ่งขึ้นไม่เว้นวันหยุดราชการและเจ้าของร้านจะเห็นยอดขายในแต่ละวันผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงินในทุกๆวัน
.............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38935 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2564 | วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2564
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายครั้งที่2/2564ในฐานะกรรมการ(ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมชั้น1สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่างๆที่สำคัญเช่นการเห็นชอบแต่งตั้งผู้แทนโรงงานและผู้แทนชาวไร่อ้อยเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารตามพ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ. 2527การอนุมัติประมาณการรายจ่ายงบประมาณกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายประจำปี2564ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(เพิ่มเติม)โครงการพัฒนาด้านอ้อยปี2564การเห็นชอบกำหนดนโยบายการอนุญาตให้โรงงานน้ำตาลจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบภายในราชอาณาจักรฤดูการผลิตปี2563/2564การเห็นชอบกำหนดวันปิดหีบอ้อยผลิตน้ำตาลทรายฤดูการผลิตปี2563/2564การเห็นชอบจัดสรรน้ำตาลทรายภายใต้โควตาสหรัฐอเมริกาประจำปี2564ประกาศและระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายที่เกี่ยวข้องรวมถึงการเห็นชอบการปรับแผนการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในฤดูการผลิตปี2564/2565และฤดูการผลิตปี2565/2566เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39398 |
Subsets and Splits