title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี 'เฉลิมชัย' รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่หนองจอก มีนบุรี คลองสามวา และลาดกระบัง พร้อมเข้าดำเนินการภายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
รัฐมนตรี 'เฉลิมชัย' รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่หนองจอก มีนบุรี คลองสามวา และลาดกระบัง พร้อมเข้าดำเนินการภายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น
รัฐมนตรี 'เฉลิมชัย' รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่หนองจอก มีนบุรี คลองสามวา และลาดกระบัง พร้อมเข้าดำเนินการภายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายถาวรเสนเนียมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ใช้น้ำพื้นที่หนองจอกณอาคารอเนกประสงค์สหกรณ์การเกษตรหนองจอกแขวงกะทุ่มรายเขตหนองจอก
ดร.เฉลิมชัยกล่าวว่าดีใจที่วันนี้ได้มารับทราบปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่หนองจอกมีนบุรีคลองสามวาและลาดกระบังซึ่งเป็นพี่น้องจำนวนมากที่กระทรวงเกษตรฯจะต้องเข้ามาดูแลโดยเฉพาะพี่น้องที่ทำนาเป็นหลักโดยปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขในขณะนี้คือเรื่องน้ำซึ่งกระทรวงเกษตรฯพร้อมจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนโดยปัจจุบันกรมชลประทานได้ดำเนินการตามนโยบายและมติครม.ในการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบและขอยืนยันว่าจะดำเนินการแก้ไขให้มีน้ำเข้าไปในไร่นาของเกษตรกรทุกคนโดยจะเรียกอธิบดีกรมชลประทานมาร่วมกันหารือซึ่งกระทรวงเกษตรฯพร้อมเข้าดำเนินการภายในเดือนเมษายนนี้เพื่อให้มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นในหน้าแล้งอย่างไรก็ตามในนามของรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนและจะดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยต้องมีการบริหารจัดการน้ำที่ดีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเข้าถึงพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมหารือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
บีโอไอร่วมหารือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (ที่ 5 จากซ้าย) ให้การต้อนรับและหารือแนวทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และความร่วมมือในการพัฒนาระบบข้อมูลด้านการลงทุน
ร่วมกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดย นายจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ในวันศุกร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีคณะอนุกรรมการฯ ผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
เพื่อกำหนดแนวทางในการจัดทำรายละเอียดโครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของกระทรวงยุติธรรม และพิจารณาโครงการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานปรับปรุงและพัฒนาระบบความปลอดภัยไซเบอร์ ได้แก่ การปรับ Network Diagram ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน การใช้ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตร่วมกันของหน่วยงาน การใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing System) การใช้งานระบบเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย และลูกข่าย
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความตอนหนึ่งว่า "การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของกระทรวงยุติธรรม จะต้องมีความเป็นเอกภาพ มีทิศทางที่ชัดเจน และดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและตอบโจทย์นโยบายทุกระดับ"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
กรุงไทยพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ
ธนาคารกรุงไทย ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาและปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้ระหว่างเวลา 00.00 – 05.00 น. ในวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564
ธนาคารกรุงไทย ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ พัฒนาและปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้ระหว่างเวลา 00.00 – 05.00 น. ในวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้
• แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เป๋าตัง เป๋าตุง และถุงเงิน
• บริการแจ้งเตือน บริการแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านโทรศัพท์มือถือ และ Krungthai Connext บริการแจ้งเตือนเงินเข้า-ออกบัญชีกรุงไทย และ G-wallet บนแอปเป๋าตัง ผ่านไลน์
• บริการเว็บไซต์และแพลตฟอร์มต่างๆ Krungthai Website Krungthai Contact Center Krungthai NPA Website Krungthai Internet Banking Krungthai Corporate Online Krungthai CO-OP Krungthai PromptPay Digital Health Platform Healthcare Payment กรุงไทย เติมบุญ บริการชำระเงินผ่าน Alipay และ Wechat บริการช่องทางชำระเงินบนหน้าเว็บไซต์ และบริการจองซื้อหลักทรัพย์ออนไลน์
• บริการบัตร Krungthai Verified by Visa Krungthai Fleet Card Krungthai Cash Card Krungthai IPAC Krungthai Travel Card บริการอายัดบัตร และบริการเปิดใช้งานบัตรและบริการบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้ง Krungthai ATM/ADM บริการโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการหักบัญชีอัตโนมัติ เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว ธนาคารขออภัยในความไม่สะดวก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center หมายเลข 02 111 1111
ทีม Marketing Strategy
โทร. 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38526 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. เน้นมาตรการดูแลคนงานก่อสร้างกว่าพันคนป้องกันโควิด-19 เดินหน้าศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
ธพส. เน้นมาตรการดูแลคนงานก่อสร้างกว่าพันคนป้องกันโควิด-19 เดินหน้าศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี
ธพส. ย้ำมาตรการเข้มป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 กำชับผู้รับจ้างดูแลคนงานก่อสร้างอย่างเคร่งครัด เผยความก้าวหน้าศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี เดินหน้างานก่อสร้างชั้นใต้ดิน คืบหน้ากว่า 40% เป็นไปตามแผนงาน
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ธพส. คำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และคนงานก่อสร้างโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซนซี จึงกำชับให้มีการปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมทั้งตรวจสอบเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ภายหลังจากช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ โซนซี ตระหนักและใส่ใจดูแลสุขภาวะของคนงานก่อสร้างทุกคนให้ปลอดภัยห่างไกลจากการระบาดของโรคให้มากที่สุด โดยได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองคนงานและเจ้าหน้าที่ที่เดินทางกลับเข้าทำงาน จำนวน 1,107 คน ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบประวัติการเดินทาง จำกัดให้อยู่เฉพาะภายในพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ทำงานที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น รวมทั้งจัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และกำหนดให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา นอกจากนี้ คนงานและเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมเตรียมงานทุกเช้า เพื่อให้ข้อมูลการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกสัปดาห์
ปัจจุบัน โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ โซนซี อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน มีความคืบหน้ากว่า 40% ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่คาดการณ์ไว้ และพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทางโทรศัพท์นายกรัฐมนตรีลาวแสดงความยินดีในโอกาสได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีหารือทางโทรศัพท์นายกรัฐมนตรีลาวแสดงความยินดีในโอกาสได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
นายกรัฐมนตรีหารือทางโทรศัพท์นายกรัฐมนตรีลาวแสดงความยินดีในโอกาสได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายทองลุน สีสุลิด (H.E. Mr. Thongloun Sisoulith) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีทองลุน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับการประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศ ครั้งที่ 11 ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่สำเร็จลุล่วงด้วยดี และขอแสดงความยินดีกับท่านทองลุนที่ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ท่านได้รับจากสมาชิกพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เป็นเสียงสะท้อนที่สำคัญอันเป็นผลจากความสำเร็จในการบริหารประเทศของท่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าท่านจะนำพาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีลาวขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความยินดี ไทย-ลาวนับเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา ยืนยันจะสานต่อความสัมพันธ์ไทย-ลาวด้วยความมุ่งมั่น ต่อไป ในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นไปได้ยาก แต่มีความปรารถนาดีต่อกันเสมอ
นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวมาตลอดว่าเป็นมิตรประเทศที่มีความใกล้ชิด แน่นแฟ้น มายาวนาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันที่จะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในรูปแบบที่สามารถดำเนินการได้ในปี 2564 นี้ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายพิจารณากิจกรรมเฉลิมฉลองฯ เพื่อให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชนผ่านช่องทางต่างๆ
ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการดูแลการเดินทางข้ามแดนระหว่างไทย-ลาวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38517 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ห่วงแรงงาน กำชับ เร่งช่วยเหลือลูกจ้างตกงานจากโควิดให้ได้สิทธิครบโดยเร็ว | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
‘บิ๊กป้อม’ห่วงแรงงาน กำชับ เร่งช่วยเหลือลูกจ้างตกงานจากโควิดให้ได้สิทธิครบโดยเร็ว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมเพื่อตรวจเยี่ยมมอบนโยบาย
และติดตามผลการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน เผย ห่วงใยพี่น้องแรงงานทุกคน กำชับ ผู้บริหารกระทรวงแรงงานแรงงาน เร่งช่วยเหลือลูกจ้างจากผลกระทบโควิด – 19 ตามมาตรการให้ได้รับสิทธิ
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเพื่อตรวจเยี่ยมมอบนโยบายและติดตามผลการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ขอขอบคุณ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกท่าน ที่ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด -19 อย่างเต็มความสามารถ สิ่งสำคัญคือ ต้องร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในวงกว้าง และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอเน้นย้ำการทำงานเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1) การเฝ้าระวัง และการป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ชะลอการนำเข้าแรงงานต่างด้าว และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวภายในประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ 2) กำหนดมาตรการผ่อนผันแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ให้มีความรัดกุมในทุกขั้นตอน เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 3) กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ คัดกรองโรคโควิด – 19 ให้ครอบคลุม ในทุกสถานประกอบการ 4) เร่งรัด ให้ความช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ให้ทันต่อสถานการณ์ 5) กำหนดมาตรการ ให้ความช่วยเหลือ เพื่อรักษาสภาพการจ้างงาน และส่งเสริมการจ้างงาน ให้ครอบคลุม ทั้งแรงงานในระบบ และนอกระบบ รวมทั้งให้มีมาตรการช่วยเหลือในเรื่องของการฝึกอาชีพ เพื่อยกระดับทักษะฝีมือ และหางานให้ทำอย่างรวดเร็วที่สุด 6) ยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ สู่ Tier 1 เพื่อให้เป็นตามมาตรฐานสากลและองค์การระหว่างประเทศ 7) สำหรับการขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศวันนี้ได้ Video Conference ไปยังสำนักงานแรงงานในต่างประเทศด้วย เพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงานขอให้สำนักงานแรงงานในต่างประเทศหาตำแหน่งงานว่าง เพื่อรองรับแรงงานไทยที่จะไปทำงานในต่างประเทศให้มีรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหลังสถานการณ์โรคโควิด – 19 คลี่คลาย8) มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ว่างงานขอให้เร่งรัดการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วนไม่ตกหล่น รวมทั้งให้มีมาตรการช่วยเหลือในเรื่องของการฝึกอาชีพ เพื่อยกระดับทักษะฝีมือและหางานให้ทำอย่างเร็วที่สุด 9) ให้ดูแลและเร่งรัดดำเนินการชดเชยการขาดรายได้ของแรงงาน
“ผมขอเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ขอให้กลุ่มแรงงาน และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน ปลอดภัยจากโรคโควิด -19 เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ ร่วมมือ ร่วมใจ ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”พล.อ.ประวิตร กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38519 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” ร่วมเวที รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “อาเซียน : ประชาคมที่เชื่อมโยงกัน ด้วยดิจิทัล” ผ่านการประชุมทางไกล | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
“พุทธิพงษ์” ร่วมเวที รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “อาเซียน : ประชาคมที่เชื่อมโยงกัน ด้วยดิจิทัล” ผ่านการประชุมทางไกล
“พุทธิพงษ์” ร่วมเวที รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “อาเซียน : ประชาคมที่เชื่อมโยงกัน ด้วยดิจิทัล” ผ่านการประชุมทางไกล
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุม รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 1 (The First ASEAN Digital Ministers’ Meeting : ADGMIN) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “อาเซียน : ประชาคมที่เชื่อมโยงกัน ด้วยดิจิทัล” หรือ “ASEAN – a Digitally Connected Community” โดยมีรัฐมนตรีดิจิทัล จากประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และรองเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วม โดยมีมาเลเซีย ทำหน้าที่ประธานการประชุมฯ ทั้งนี้การประชุม ADGMIN ครั้งที่ 1 ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของการเปลี่ยนผ่านจากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELMIN) เป็นด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของไทย โดยที่ประชุมรัฐมนตรีครั้งนี้ได้มีการรับรองแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัล ค.ศ. 2025 (ASEAN Digital Masterplan 2025: ADM 2025) โดยมุ่งให้อาเซียนบรรลุวิสัยทัศน์ ในการเป็นประชาคมชั้นนำด้านดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี บริการดิจิทัล และระบบนิเวศ ที่ปลอดภัย ซึ่งถือเป็นทิศทางเชิงกลยุทธ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เชิงนโยบายด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยในหัวข้อ อาเซียน : ประชาคมที่เชื่อมโยงกันด้วยดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึง การรับมือกับสถานการณ์โควิด – 19ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือด้านดิจิทัลในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การบูรณาการด้านดิจิทัลร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับศักยภาพในการผลิตและโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะ SMEs และ MSMEs ซึ่งถือเป็นรากฐานของภูมิภาคอาเซียน โดยที่ไทยตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัย ไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียน
พร้อมกันนี้ ในประเด็นของการรับมือกับการระบาดของโควิด - 19 มาเลเซีย ประธานการประชุมฯ ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทย โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด – 19
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรมร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การดำเนินงานของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและกระทรวงยุติธรรม
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมศาลอาญา อาคารศาลอาญา ชั้น ๑๐
แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การดำเนินงานของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล
กระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC)
ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและกระทรวงยุติธรรม
โดยมี นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
นายศุภกิจ แย้มประชา รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
และพันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ร่วมลงนาม
เพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า
กระทรวงยุติธรรม ได้จัดตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม หรือ DXC ขึ้น เพื่อจัดทำระบบ
ให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมขึ้น
เพื่อสนับสนุนการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ซึ่งการดำเนินงานของศูนย์ DXC ตลอดระยะเวลา
กว่า ๑๐ ปี จนถึงปัจจุบันได้มีหน่วยงานเข้าร่วมเป็นเครือข่ายทั้งสิ้น ๒๕ หน่วยงาน รวม ๔๑ ฐานข้อมูล
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมุ่งส่งเสริมให้เกิดประโยชน์กับผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานศาลยุติธรรม ในการเข้าถึงข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานต่างๆ ในการสืบค้นข้อมูลบนระบบ DXC เพื่อประกอบการพิจารณาและสนับสนุนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน
ศาลยุติธรรม ก่อให้เกิดการบูรณาการตามนโยบายของรัฐบาลในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม และจะทำให้ภาพของการเชื่อมโยงข้อมูลมีความครบถ้วน สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น กระบวนการสนับสนุน กระบวนการดำเนินคดี กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดี
ไปจนถึงกระบวนการบังคับโทษ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรมในภาพรวมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปรายการ“เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชมการบันทึกเทป ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม
โดยรายการจะออกอากาศระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๖๔ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ HD (๓๓)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38506 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถ้อยแถลงผ่านทางคลิปวีดิโอ กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13 ผ่านการประชุมออนไลน์ โดยเน้นย้ำความสำคัญของการบริหารจัดการ | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถ้อยแถลงผ่านทางคลิปวีดิโอ กระทรวงเกษตรฯเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13ผ่านการประชุมออนไลน์โดยเน้นย้ำความสำคัญของการบริหารจัดการ
กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13 ผ่านการประชุมออนไลน์ โดยเน้นย้ำความสำคัญของการบริหารจัดการดิน น้ำ และระบบนิเวศ พร้อมทั้งขอให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กระทรวงเกษตรฯเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน ครั้งที่ 13ผ่านการประชุมออนไลน์โดยเน้นย้ำความสำคัญของการบริหารจัดการดิน น้ำ และระบบนิเวศพร้อมทั้งขอให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้นายนราพัฒน์ แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลินครั้งที่ 13(13thBerlin Agriculture Ministers’ Conference)ผ่านการประชุมออนไลน์ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยการประชุมระดับรัฐมนตรีฯ ประจำปี 2564นี้มีรัฐมนตรีเกษตรจาก 97ประเทศ และผู้บริหารจาก 14 องค์กรระหว่างประเทศร่วมหารือและผนึกนโยบายให้ภาคเกษตรสามารถฟื้นฟูจากวิกฤตโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดยมีหัวข้อหลัก คือ“How to Feed the World in Timesof Pandemics and Climate Change?”
นายนราพัฒน์ฯ เปิดเผยว่าการเข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการประชุมกลุ่มย่อย หัวข้อ“Adaptation to Climate Change”–การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากกระทรวงเกษตรฯตระหนักถึงความสำคัญในหัวข้อนี้ เพราะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและเกษตรกรในทุกระดับ และได้เสนอการขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินการในบริบทของกระทรวงเกษตรฯได้แก่ 1)บริหารจัดการน้ำทั้งระบบกระจายน้ำอย่างเหมาะสมและทั่วถึง พัฒนาแหล่งน้ำ และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร รวมทั้งป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย 2)บริหารจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์มีการวิเคราะห์ดิน ใช้ที่ดินอย่างเป็นระบบ ใช้ระบบAgri-mapเพื่อปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ 3)จัดทำปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือนระดับจังหวัดเพื่อการบริหารจัดการความมั่นคงอาหารในระดับพื้นที่ นอกจากนี้ ภาครัฐจะใช้ข้อมูลBig Dataเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว 4)ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนโดยดำเนินระบบเกษตร ได้แก่ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ และวนเกษตร ด้วยการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี 5)ส่งเสริมSmart Farmerและสนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละจังหวัด เพื่อยกระดับสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ และเกษตรแบบแม่นยำ และ 6)ร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)เพื่อดำเนินโครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เพื่อเพิ่มการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง
ในโอกาสนี้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถ้อยแถลงผ่านทางคลิปวิดีโอ ซึ่งกระทรวงอาหารและเกษตรแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในฐานะประเทศเจ้าภาพ ได้ประชาสัมพันธ์ถ้อยแถลงจากรัฐมนตรีเกษตรประเทศต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของGFFAหรือhttps://www.gffa-berlin.de/en/โดยยืนยันว่า ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรและระบบอาหาร และการประชุมสุดยอดระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลก (The 2021 UN Food Systems Summit)โดยประเทศไทยได้แต่งตั้งผู้ดำเนินการเตรียมการจัดประชุมระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลก (National Dialogues Convenor)กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายและผลักดันให้ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการความมั่นคงอาหารโลก (Chairperson of Committee of Food Security: CFS)ภายใต้กรอบองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)เพื่อร่วมพัฒนานโยบายด้านความมั่นคงอาหาร ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมนำนโยบายด้านระบบอาหารโลกไปผลักดันให้เกิดผลปฏิบัติจริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายวาะการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือSDGs (Sustainable Development Goals)
นายนราพัฒน์ฯกล่าวในตอนท้ายว่าประเทศไทยร่วมรับรองแถลงการณ์(Communique)สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลินครั้งที่ 13เน้นย้ำผลข้อหารือด้านนโยบายระบบอาหารไปขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติจริงผ่านการทำงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติ(UN)และเวทีความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่างๆซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะรวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหาร และนำไปจัดทำนโยบายและกิจกรรมเพื่อรายงานในการประชุมสุดยอดระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลกในช่วงปลายปีนี้ด้วย.
คำบรรยายภาพข่าว
ร่วมประชุม:นายนราพัฒน์ แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลินครั้งที่ 13(13thBerlin Agriculture Ministers’ Conference)ผ่านการประชุมออนไลน์ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กล่าวถ้อยแถลงผ่านทางคลิปวีดิโอ:นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถ้อยแถลงผ่านทางคลิปวีดิโอ ในเว็บไซต์ของGFFAหรือhttps://www.gffa-berlin.de/en/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38541 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตอบข้อสงสัย เกษตรกร ต้องลงทะเบียน “เราชนะ” หรือไม่? | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
ตอบข้อสงสัย เกษตรกร ต้องลงทะเบียน “เราชนะ” หรือไม่?
...
กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร
ว่าจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ”
เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 3,500 บาท/เดือน เป็นเวลา 2 เดือนหรือไม่?
.
เรื่องนี้กระทรวงการคลังได้ออกมาเคลียร์ชัดว่า
เกษตรกรถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบอาชีพอิสระ
ดังนั้น จึงอยู่ในข่ายที่จะได้รับเงินเยียวยา
.
สำหรับเกษตรกรที่ถือบัตรสวัสดิการฯ
หรือเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง
หรือ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน มาแล้ว
กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่
โดยเงินจะโอนเข้าตามช่องทางและวันที่กำหนด
.
แต่ถ้าเป็นเกษตรกรที่ไม่เคยลงทะเบียน
โครงการใด ๆ ของรัฐมาก่อน
หรือไม่มีชื่อในระบบฐานข้อมูลของรัฐ
จะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน www.เราชนะ .com
.
เหตุผลที่ต้องให้เกษตรกรที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลภาครัฐ
ลงทะเบียน "เราชนะ" ในครั้งนี้
ทั้งที่การเยียวยาในโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่ผ่านมา
ไม่ต้องมาลงทะเบียน เพราะใช้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร
ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
.
ก็เพราะว่า ฐานข้อมูลของกระทรวงเกษตรฯ นั้น
เป็นฐานข้อมูลครัวเรือน ไม่ใช่รายบุคคล
ดังนั้น เพื่ออัพเดทข้อมูลรายตัวเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
จึงต้องลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง
เพื่อให้สามารถเยียวยาเกษตรกรได้อย่างตรงจุด
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ดันแผนพัฒนาภาคใต้บูรณาการ 2 หมื่นล้าน มองยาวฟื้นหลังโควิด พัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก แปรรูปสินค้าเกษตร | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
จุรินทร์ ดันแผนพัฒนาภาคใต้บูรณาการ 2 หมื่นล้าน มองยาวฟื้นหลังโควิด พัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก แปรรูปสินค้าเกษตร
จุรินทร์ ดันแผนพัฒนาภาคใต้บูรณาการ 2 หมื่นล้าน มองยาวฟื้นหลังโควิด พัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก แปรรูปสินค้าเกษตร
วันที่ 22 ม.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.) มีการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบแผนปฏิบัติการภาคใต้และภาคใต้ชายแดน และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการบริหารเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ การกระจายอำนาจการตัดสินใจสู่ระดับผู้ปฏิบัติ รวมถึงการส่งเสริมให้ท้องถิ่น/ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
แผนดังกล่าวได้มีการปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการพัฒนาในระยะยาวหลังโควิด-19 มีกรอบวงเงิน 1.98 หมื่นล้านบาท สำหรับ 650 โครงการใน 14 จังหวัดภาคใต้ และสามกลุ่มจังหวัดประกอบด้วย ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และภาคใต้ชายแดน ผลลัพธ์ของการดำเนินการมุ่งเป้าสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมาตรฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูป การพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมัน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การพัฒนาโลจิสติกส์ทั้งระบบ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า แผนงานและวงเงินงบประมาณที่ได้รับการเห็นชอบแล้วนั้น จะต้องเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาร่วมกับแผนปฏิบัติการภาคอื่น ๆ และกระทรวงต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณปี 2565 ที่ ครม.อนุมัติไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท อนึ่ง นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้แนวทางการใช้งบประมาณของภาครัฐที่ต้องเป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ ยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38505 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์เปิดให้ลงทะเบียนเข้ารับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติม ระยะที่ 2 รอบใหม่ | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
ไอแบงก์เปิดให้ลงทะเบียนเข้ารับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติม ระยะที่ 2 รอบใหม่
ไอแบงก์เปิดให้ลงทะเบียนเข้ารับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 รอบใหม่ มีทั้งพักชำระเงินต้นและกำไร ลดค่างวด ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือผ่านช่องทางเว็บไซต์ไอแบงก์ ตั้งแต่ที่ 22 ม.ค.2564
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดให้ลงทะเบียนเข้ารับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 รอบใหม่ มีทั้งพักชำระเงินต้นและกำไร ลดค่างวด ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือผ่านช่องทางเว็บไซต์ไอแบงก์ ตั้งแต่ที่ 22 มกราคม 2564 นี้
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศทไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า ไอแบงก์ เปิดให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยแบ่งตามประเภทสินเชื่อดังนี้
• สินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันภายใต้กำกับ (ยกเว้นสินเชื่อสวัสดิการพนักงานบุคคลภายนอก (MOU)/สินเชื่อบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/สินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย (MSMEs)) ลูกค้าสามารถเลือกลดค่างวด 30% ของค่างวดเดิมระยะเวลา 6 เดือน ไม่ขยายระยะเวลา และให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย หรือ พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) ไม่เกิน 6 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
• สินเชื่อที่อยู่อาศัย/อเนกประสงค์ มีหลักประกัน ลูกค้าสามารถขอพักชำระเงินต้นและกำไร 3 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลา และให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย หรือ พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) 3 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลา และให้ปรับลดอัตรากำไรในระยะเวลาที่พักชำระหนี้ลง 0.25% เฉพาะบัญชีสินเชื่อที่อยู่ในช่วงการชำระค่างวดด้วยอัตรากำไรอ้างอิง SPRL (SPRL ของธนาคาร ปัจจุบัน =7.40 ต่อปี) หรือ พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) ไม่เกิน 6 เดือน โดยให้ขยายระยะเวลาไม่เกินระยะเวลาที่พักชำระ
• สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ พักชำระเงินต้นและกำไร 3 เดือน และขยายระยะเวลา 3 เดือน หรือ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ 6 เดือนและเฉลี่ยค่างวดใหม่ตามระยะเวลา
สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติม ระยะที่ 2 ต้องสิ้นสุดการได้รับความช่วยเหลือมาตรการอื่นๆ ของธนาคารแล้ว และไม่มีสถานะเป็น NPF ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563 เบิกใช้สินเชื่อก่อนวันที่ 1 เมษายน 2563 โดยสามารถยื่นเรื่องได้ทางเว็บไซต์ https://www.ibank.co.th/th เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ibank Call Center 1302
นอกจากนี้ ไอแบงก์ ยังมีมาตรการความช่วยเหลืออีก 4 มาตรการ ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ทั้งจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ลูกค้าที่ประสบภัยอุทกภัยภาคใต้ และลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ดังนี้
• มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) ที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันกับธนาคาร
- ปรับลดอัตรากำไรสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันจากเดิม SPRR+12% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คิดอัตรากำไรใหม่ SPRR ตามประกาศธนาคาร (ปัจจุบัน SPRR= 8.00% ต่อปี)
- ขยายระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันออกไปไม่เกิน 5 ปี จากสัญญาคงเหลือเดิม และไม่เกินระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกหนี้
• มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เดิมที่มีศักยภาพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์เศรษฐกิจ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้
- พักชำระหนี้เงินต้น และชำระเฉพาะกำไร นาน 1 ปี
- ขยายระยะเวลาสินเชื่อออกไปตามระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้น
- ยกเว้นเบี้ยปรับพักชำระหนี้ที่เกิดขึ้น
- ธนาคารให้ความช่วยเหลืออื่นเพิ่มเติมตามความรุนแรงของปัญหาเป็นรายกรณี
• มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุกภัยภาคใต้
- ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรง ลูกค้าสามารถขอพักชำระเงินต้นและกำไร ระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น พักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะกำไรอีก 6 เดือน และสามารถขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมโดยสินเชื่ออุปโภคบริโภค อัตรากำไร SPRR – 3.5% ต่อปี สินเชื่อธุรกิจ อัตรากำไร SPRL – 2.75% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี ฟรี ค่าธรรมเนียม Front end Fee และค่าธรรมเนียมจัดทำนิติกรรมสัญญา รวมถึงยกเว้น การประเมินราคาหลักประกัน (กรณีสินเชื่อเดิมแบบมีหลักประกัน) และบุคคลค้ำประกัน
- ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ลูกค้าสามารถขอพักชำระเงินต้น และชำระเฉพาะกำไรระยะเวลา 6 เดือน และสามารถขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภค อัตรากำไร SPRR – 3.5% ต่อปี สินเชื่อธุรกิจ อัตรากำไร SPRL – 2.75% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี ฟรี ค่าธรรมเนียม Front end Fee และค่าธรรมเนียมจัดทำนิติกรรมสัญญา ยกเว้นการประเมินราคาหลักประกันและบุคคลค้ำประกัน
• โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง เป็นการช่วยลูกหนี้ธุรกิจที่มีหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายราย วงเงินรวมกัน ตั้งแต่ 50-500 ล้านบาท ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ (ทั้งสาเหตุจาก COVID-19 สงครามการค้า หรือ ภัยธรรมชาติ) โดยมีแนวทางการช่วยเหลือดังนี้
- การแก้ไขหนี้เดิม : ลดค่างวด ขยายเวลาการชำระหนี้ ปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมตามศักยภาพของลูกหนี้ มีระยะเวลาปลอดหนี้ และการผ่อนชำระที่เหมาะสม ทบทวนการให้ใช้วงเงินของลูกหนี้ที่เหลืออยู่
- การให้สินเชื่อใหม่ : ธนาคารเจ้าหนี้ร่วมกันพิจารณาให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกหนี้ที่มีประวัติการ ชำระหนี้ดี มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน
ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมทั้ง 5 มาตรการข้างต้น สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของมาตรการความช่วยเหลือลูกค้าของธนาคาร ได้ที่เว็บไซต์ไอแบงก์ https://www.ibank.co.th/th เลือก ผลิตภัณฑ์และบริการ และเลือก สินเชื่อตามนโยบายของรัฐ หรือสอบถามเพิ่มเติม ibank Call Center 1302
*หมายเหตุ:
1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม"
2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38531 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้และผู้ส่งออกกล้วยไม้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้และผู้ส่งออกกล้วยไม้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
กระทรวงเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้และผู้ส่งออกกล้วยไม้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม 7 กรมส่งเสริมการเกษตร โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการ ปี 2563 และพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากล้วยไม้ โดยแผนฯ ปี 2564 ใช้งบประมาณ 101.217 ล้านบาท และเพิ่มเติมแผนการพัฒนาคุณภาพกล้วยไม้ไทยให้ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับคุณภาพกล้วยไม้ไทยให้มีความได้เปรียบด้านการตลาด และปรับแผนการตลาดในประเทศให้มีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลเชิงประจักษ์ตามเป้าประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์กล้วยไม้ ปี 2563 – 2565 และสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
สำหรับการการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรและผู้ส่งออกกล้วยไม้ในช่วงสถานการณ์ COVID -19 ที่ผ่านมา การส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยมีมูลค่าลดลงจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 37.4 เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตลาดส่งออก ที่ประชุมเสนอแนวทางสนับสนุนในด้านการขยายตลาดในประเทศ โดยเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ส่งเสริมเกษตรกรให้ปรับตัวการผลิตให้มีความหลากหลายของสินค้าเพื่อลดความเสี่ยง ประสานงานโครงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการกล้วยไม้สัญจร โครงการงานกาชาดของจังหวัด โครงการงบพัฒนาจังหวัดฯ เป็นต้น เพิ่มการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการนำกล้วยไม้ไทยไปใช้ในการประดับตกแต่งในโอกาสต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกหน่วยงาน เพื่อสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าอัตลักษณ์ การใช้ประโยชน์ และสร้างอุปสงค์ของกล้วยไม้ภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นด้านการเงิน พิจารณาแนวทางการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและการพักหนี้ ด้านแรงงานประสานกับกระทรวงแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการจ้างแรงงานต่างด้าว ด้านการขนส่งกระทรวงคมนาคม โดย ทอท. ได้มีการหารือแนวทางการลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มพื้นที่โกดังในท่าอากาศยาน และเพิ่มอากาศยานให้สอดคล้องกับอุปทานการขนส่ง ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาผลกระทบในการจ่ายเงินค่าชดเชยแก่เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ เพื่อพิจารณาแนวทางให้การช่วยเหลือตามข้อเรียกร้องของเกษตรกรต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38533 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 24,400 ล้านบาท ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน | วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564
ครม. อนุมัติ 24,400 ล้านบาท ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ครม. อนุมัติ 24,400 ล้านบาท ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันที่ 22 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 24,400 ล้านบาท ประกอบด้วยงบสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) สำหรับการทำวิจัยที่เน้นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ จำนวน 14,640 ล้านบาท และงบสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund) สนับสนุนงานวิจัยพื้นฐาน (Basic Research Fund) และ Functional-based Research Fund เน้นสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานจำนวน 9,760 ล้านบาท โดยมีเป้าหมาย 4 แพลตฟอร์ม 17 โปรแกรมที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนากำลังคนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ
ทั้งนี้ แนวทางการจัดสรรงบประมาณ เป็นแบบวงเงินรวม (Block grant) และการจัดสรรงบประมาณต่อเนื่องแบบหลายปี (Multi-year budgeting) มีการกระจายอำนาจให้หน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยบริหารและจัดการทุน (Program Management Unit: PMU) เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ยืดหยุ่นและดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เน้นขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีระบบคมนาคมแห่งอนาคต อุตสาหกรรม 4.0 การขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาทักษะของทรัพยากรมนุษย์ของไทย การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว BCG และการวิจัยด้านสังคม รวมทั้งยังสอดรับกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2563-2565 ฉบับปรับปรุงด้วย
“ผลสำเร็จในปี 2563 ที่ผ่านมา งบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถูกนำไปใช้เพื่อตอบโจทย์การพัฒนากำลังคน เศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อาทิ ผลงานการพัฒนาหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและตรวจสอบคุณภาพหน้ากากอนามัย การผลิตชุดตรวจเชื้อโควิด-19 โดยวิธี Real-Time RT-PCR จากน้ำลาย เป็นต้น” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 พอใจ หลังพบตัวเลขสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ลดลงทุกด้าน | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
จับกัง 1 พอใจ หลังพบตัวเลขสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ลดลงทุกด้าน
จับกัง 1 พอใจ หลังพบตัวเลขข้อพิพาทแรงงาน ข้อเรียกร้อง และข้อขัดแย้งด้านแรงงานลดลง มั่นใจแก้ปัญหาถูกทาง หลังมอบ กสร. ดำเนินมาตรการเชิงรุกเฝ้าระวังสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงลงพื้นที่ทำความเข้าใจ ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้ยุติโดยเร็ว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการเฝ้าระวังปัญหาข้อขัดแย้ง ข้อพิพาทแรงงานที่อาจเกิดขึ้น ในช่วงปลายปี จากการเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน เงินโบนัส และสวัสดิการต่าง ๆ รวมไปถึงปัญหาด้านแรงงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการบริการ โดยให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปทำความเข้าใจ และช่วยไกล่เกลี่ยให้ได้ข้อยุติในพื้นที่โดยเร็ว ซึ่งผลจากการดำเนินงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นที่น่าพอใจ สามารถช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้างแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้อง ข้อพิพาทแรงงานให้ยุติลงโดยเร็ว จนทำให้ตัวเลขสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ลดลงในทุกด้าน โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา พบตัวเลขการยื่นข้อเรียกร้องจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ จำนวน 283 แห่ง การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 44 แห่ง การขนส่ง จำนวน 25 แห่ง และอื่นๆ อีก 351 แห่ง รวมทั้งสิ้น 703 แห่ง กสร. สามารถดำเนินการให้ข้อเรียกร้องยุติแล้ว 531 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 75.53 ส่วนข้อพิพาทแรงงานมีจำนวนทั้งสิ้น 121 แห่ง ยุติแล้ว 104 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 85.95สำหรับข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กิจการโรงแรม และอื่นๆ มีจำนวน 54, 27, 12 และ 43 แห่ง ตามลำดับ รวมทั้งสิ้น 136 แห่ง ดำเนินการให้ ข้อขัดแย้งยุติแล้ว 134 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 98.53 ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2564 มีการจดทะเบียนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วจำนวน 131 แห่ง ทำให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินกว่า 7,600 ล้านบาท
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเก็บข้อมูลสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ในช่วงปลายปีของเดือนตุลาคม – ธันวาคม ในปี 2562 เกิดข้อเรียกร้อง ข้อพิพาทแรงงาน และข้อขัดแย้งในสถานประกอบกิจการ จำนวน 278 แห่ง 49 แห่ง และ 26 แห่ง ตามลำดับ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 พบว่า มีข้อเรียกร้อง จำนวน 244 ลดลง 34 แห่ง ข้อพิพาทแรงงาน มีจำนวน 33 แห่ง ลดลง 16 แห่ง และข้อขัดแย้ง มีจำนวน 23 แห่ง ลดลง 3 แห่ง แสดงให้เห็นว่าภาพรวม ในปี 2563 สถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ลดลงทุกด้าน คิดเป็นร้อยละ 15.01 จึงเห็นได้ว่าผลจากการเฝ้าระวังและเข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงรุกตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สามารถยุติปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการได้เป็นอย่างดี และมีแนวโน้มว่าการเกิดข้อพิพาทแรงงานจะลดลงด้วย ดังตัวเลขที่ปรากฏ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38043 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. วราวุธ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการ ปชช. ของขวัญปีใหม่ จากใจกระทรวงทรัพยฯ | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
รมว. วราวุธ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการ ปชช. ของขวัญปีใหม่ จากใจกระทรวงทรัพยฯ
รมว. วราวุธ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการ ปชช. ของขวัญปีใหม่ จากใจกระทรวงทรัพยฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
รมว.วราวุธ ทำงานไม่หยุดปีใหม่ ลงพื้นที่ประชุมแนวทางพัฒนาโคราชจีโอพาร์ค สู่ จีโอพาร์คโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ไม่สบายใจคนบางกลุ่มยังละเลยมาตรการเข้มโควิด เป็นห่วงประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดปีใหม่ ดื่มแล้วขับก่ออุบัติเหตุสูง | วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2564
นายกฯ ไม่สบายใจคนบางกลุ่มยังละเลยมาตรการเข้มโควิด เป็นห่วงประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดปีใหม่ ดื่มแล้วขับก่ออุบัติเหตุสูง
นายกฯ ไม่สบายใจคนบางกลุ่มยังละเลยมาตรการเข้มโควิด เป็นห่วงประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดปีใหม่ ดื่มแล้วขับก่ออุบัติเหตุสูง
วันที่ 2 ม.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และมีความไม่สบายใจที่ยังมีประชาชนหลายคนบางกลุ่ม ที่ยังไม่ระมัดระวังเท่าที่ควร ในการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ หรือป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ช่วยกันร่วมมือแก้ปัญหาโควิด-19 และขอให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อกันและกัน เพื่อให้ครอบครัวและชุมชนปลอดภัย
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัด ทั้งเป็นการติดเชื้อจากบุคคลสู่บุคคลจากการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เสี่ยง และการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน ดังนั้น นายกฯ จึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ในแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ นายกฯ ขอให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีการรวมคน และขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเสมอ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น ล้างมือบ่อย ๆ ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายตามสถานที่ต่าง ๆ ติดตั้งแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และสแกน “ไทยชนะ” เวลาเช็คอินและเช็คเอ้าท์สถานที่ต่าง ๆ และหากมีอาการที่สงสัยว่าจะติดเชื้อขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้อาการรุนแรง
โดยที่ นายกฯ ขอให้คนไทยทุกคนรวมพลังกันอีกครั้งเพื่อเอาชนะโควิดให้ได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามระเบียบที่ทางเจ้าหน้าที่ประกาศ ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมีความเป็นห่วงเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ซึ่งได้รับรายงานว่า อุบัติทางถนนในช่วงวันหยุดนี้ พบว่าพฤติกรรมเสี่ยงดื่มแล้วขับยังเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด จึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ควบคู่กับการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และกำชับให้ด่านตรวจเรียกตรวจยานพาหนะและความพร้อมของผู้ขับขี่ รวมถึงคัดกรองวัดไข้ประชาชนก่อนเข้าพื้นที่ เน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องกับผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วเกินกำหนด ดื่มแล้วขับ และกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย พร้อมคุมเข้มการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ นายกฯ ขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันลดอุบัติเหตุด้วยการป้องกัน อย่าเห็นแก่ความสนุกสนานมากเกินไปในช่วงนี้ การขับรถควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ดื่มสุรา และขอให้นึกถึงครอบครัวให้มากๆ และนึกถึงคนอื่นที่ต้องเดือดร้อนจากการกระทำที่ประมาทเลินเล่อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและความเสียหายต่อทรัพย์สินได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38042 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ มอบ ผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่ขับเคลื่อน ‘ชลบุรีโมเดล’ คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
‘จับกัง1’ มอบ ผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่ขับเคลื่อน ‘ชลบุรีโมเดล’ คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ขับเคลื่อน ‘ชลบุรีโมเดล’ติดตามการตรวจคัดกรองโควิด -19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้ประกอบการภาคเอกชน นักท่องเที่ยวและประชาชน
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดชลบุรี เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน มาตรา 33 ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานกล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม จึงได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ตามรัฐบาลกำหนดมาอย่างต่อเนื่อง ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้บูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ
นายสุรชัยยังกล่าวต่อว่า ‘ชลบุรีโมเดล’ เป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่นที่จะป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดชลบุรีได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด-19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในทุกมิติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอศรีราชา อำเภอเมือง และอำเภอบางละมุง เป็นต้น
“การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และโรงงานในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอเมือง ซึ่งถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลในเครือข่ายทั้งโรงพยาบาลพญาไท และและโรงพยาบาลวิภาราม ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน มาตรา 33 ประมาณ 800 คน ซึ่งหากพบเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป”นายสุรชัยกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38488 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด สมอ. เข้มรับโควิด เห็นชอบหน้ากากอนามัย-ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
บอร์ด สมอ. เข้มรับโควิด เห็นชอบหน้ากากอนามัย-ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน
สุริยะฯ สั่งบอร์ด สมอ. คุมเข้มรับโควิด เร่งออกมาตรฐานป้องกัน หลังเห็นชอบ 7 มาตรฐาน หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ ตู้น้ำเย็น และเครื่องเล่นสนาม เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้บอร์ด สมอ. เร่งออกมาตรฐานเพื่อป้องกันโควิด 19 หลังมีการแพร่ระบาดรอบ 2 ในหลายจังหวัดของไทย ล่าสุดวานนี้ (19 มกราคม 2564) บอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบให้ สมอ. ควบคุมสินค้า 7 รายการ ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ ตู้น้ำเย็น เครื่องเล่นสนามสาธารณะ ทั้งชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยได้มีผู้ประกอบการหัวใสนำหน้ากากอนามัยไม่ได้มาตรฐานออกมาจำหน่ายปะปนอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ตามที่มีข่าวการตรวจจับอยู่บ่อยครั้ง กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเร่งรัดให้ สมอ. ดำเนินการควบคุมคุณภาพของสินค้าดังกล่าว โดยหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานจะมีการควบคุมประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย กรองอนุภาคขนาดเล็ก และประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ของเหลวซึมผ่านได้ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากบอร์ด สมอ. จะเห็นชอบให้ สมอ. ควบคุมหน้ากากอนามัย และถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์แล้ว ยังเห็นชอบให้ควบคุมตู้น้ำเย็น และเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ทั้งชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก เป็นสินค้าควบคุมด้วย เนื่องจากมีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในสถานศึกษา และศูนย์พัฒนาการเรียนรู้เด็กก่อนวัยเรียน มีการนำไปติดตั้งโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย อาทิ อยู่ในบริเวณที่ชื้นแฉะ มีฝนสาดถึงและอยู่ในบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ ไม่มีการเชื่อมต่อสายดิน และไม่มีการติดตั้งระบบป้องกันไฟรั่ว จึงเป็นเหตุให้เด็กนักเรียนถูกไฟดูดเสียชีวิต ตามที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง สำหรับเครื่องเล่นสนามสาธารณะก็เช่นเดียวกัน สาเหตุหลักของการบาดเจ็บและเสียชีวิตมาจากเครื่องเล่นไม่ได้มาตรฐาน บอร์ด สมอ. จึงเห็นชอบให้ตู้น้ำเย็น และเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ทั้งชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก เป็นสินค้าควบคุม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการด้านความปลอดภัยในโรงเรียน ที่ สมอ. ส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงเรียนดำเนินการตามมาตรฐานดังกล่าว เพื่อควบคุมความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า/บริการ อุปกรณ์เครื่องเล่นสนามในโรงเรียนด้วย
ทั้งนี้ มาตรฐานตู้น้ำเย็น มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สำคัญคือ การควบคุมระบบการป้องกัน ไฟรั่ว และส่วนที่สัมผัสกับน้ำดื่มต้องไม่มีสารตะกั่วปนเปื้อน สำหรับมาตรฐานเครื่องเล่นสนามสาธารณะมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สำคัญในหลายๆ ด้าน เช่น โครงสร้างต้องมีความแข็งแรงและมีความสมดุล ลักษณะของเครื่องเล่นแต่ละชนิดต้องมีพื้นผิวเรียบ ไม่มีส่วนยื่นล้ำออกมา และมีวัสดุป้องกันขอบคมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับเด็กในระหว่างการเล่น ต้องไม่มีช่องว่างหรือรูที่อาจทำให้นิ้วเด็กติดได้ ความสูงของเครื่องเล่นจะต้องไม่เกินค่าที่กำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากการตกกระแทก มือจับและที่วางเท้าต้องมีความแน่นหนา ในส่วนของม้าหมุนจะต้องมีความเร็วในการหมุนเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันการหมุนเร็วจนเกิดอันตราย เช่น ร่วงหล่นจากม้าหมุน รวมถึงวัสดุ หรือสีที่นำมาใช้จะต้องได้มาตรฐานไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่น เป็นต้น โดยผู้ผลิตจะต้องจัดทำคำแนะนำขั้นตอนการติดตั้ง และรายการส่วนประกอบทั้งหมดอย่างชัดเจน และครอบคลุมความปลอดภัยอย่างถูกต้อง รวมทั้ง คู่มือการตรวจสอบ การบำรุงรักษา และคำแนะนำเรื่องการซ่อมแซม เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้งาน หรือการติดตั้งผิดวิธีทำให้เกิดอันตรายจากการใช้งานได้
นอกจากนี้ บอร์ด สมอ. ยังได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ อีกรวม 76 มาตรฐาน อาทิ มาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้าสำหรับป้องกันหยดและละอองของเหลว หรือเฟสชิลด์ ผ้าป้องกันแบคทีเรีย ยางล้อรถยนต์และยางล้อจักรยานยนต์ เสื้อชูชีพ อาหารกระป๋อง หัวฝักบัวอาบน้ำ สายฝักบัวอาบน้ำ และเครื่องสำอางค์ เป็นต้น” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38478 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
การประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (21 มกราคม 2564) 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมได้เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปี 2564 และร่วมกันพิจารณาการจัดทำงบประมาณ ประจำปี 2565 และติดตามงานในด้านต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามแผนงาน ณ ห้องประชุมชั้น 1 อาคาร สปอ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38481 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชู “เมืองโบราณศรีเทพ” เป็นมรดกโลก | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
ชู “เมืองโบราณศรีเทพ” เป็นมรดกโลก
...
เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
เป็น เมืองสำคัญในสมัยทวารวดี
ที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีการวางผัง
และออกแบบเมืองของยุคสมัยนั้น
.
ปัจจุบันยังคงหลงเหลือหลักฐานมณฑลจักรวาล
ตามคติพุทธที่ค่อนข้างสมบูรณ์
มีหลักฐานด้านคติความเชื่อทางศาสนา
และประติมากรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
.
ที่สำคัญเมืองโบราณศรีเทพยังเข้าเกณฑ์
ของความเป็นมรดกโลก 2 ด้าน
ทั้งการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์
และประจักษ์หลักฐานที่ยอดเยี่ยมของอารยธรรม
.
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเห็นชอบให้เสนอ
“เมืองโบราณศรีเทพ” เข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก
ต่อศูนย์มรดกโลก ณ ฝรั่งเศส ภายใน 1 ก.พ. 64
เพื่อให้ทันการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก
ในช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ค. 64
.
เมืองมรดกโลกที่อยู่ในประเทศไทย มีอยู่ 5 แห่ง
1. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
2. เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร
3. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
4. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง
5. ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
.
อีก 1 แห่ง คือพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน
อยู่ระหว่างการพิจารณา
.
ข้อดีของการเป็นมรดกโลก
จะทำให้สถานที่นั้นได้รับการคุ้มครองดูแล
แบบอนุรักษ์ควบคู่กับการใช้ประโยชน์
และดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38479 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดเสวนาโต๊ะกลมเสมือนจริง (Virtual Talk & Roundtable) ออนไลน์ กระทรวง พม. พบเครือข่ายพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ประเทศนอร์เวย์ | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
พม. จัดเสวนาโต๊ะกลมเสมือนจริง (Virtual Talk & Roundtable) ออนไลน์ กระทรวง พม. พบเครือข่ายพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ประเทศนอร์เวย์
พม. จัดเสวนาโต๊ะกลมเสมือนจริง (Virtual Talk & Roundtable) ออนไลน์ กระทรวง พม. พบเครือข่ายพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ประเทศนอร์เวย์
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 เวลา 15.00 น. (09.00 น. ตามเวลาประเทศนอร์เวย์) ที่ห้องประชุม ศปก. ชั้น 2 กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการเสวนาโต๊ะกลมเสมือนจริง (Virtual Talk & Roundtable) กระทรวง พม. พบเครือข่ายพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ประเทศนอร์เวย์ พร้อมทั้งมอบแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศของกระทรวง พม. ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting โดยมี นางสาวกานติมน รักษาเกียรติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เป็นประธานเปิดและร่วมการเสวนากับผู้แทนกรมการกงสุล ผู้แทนหน่วยงานกระทรวง พม. เครือข่ายและแกนนำพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งจัดโดย ศูนย์ส่งเสริมและประสานการพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศ (ศส.ตปท.) สำนักงานปลัดกระทรวง พม
นางจตุพรกล่าวว่า กระทรวง พม. ได้จัดการเสวนาโต๊ะกลมเสมือนจริงครั้งนี้ เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อผลกระทบด้านสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกลุ่มเป้าหมายในประเทศนอร์เวย์ เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ระหว่างกระทรวง พม. กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และเครือข่ายการพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศพื้นที่ราชอาณาจักรนอร์เวย์ อาทิ ผู้แทนมูลนิธิ สมาคม ชมรม และกลุ่มคนไทย ในประเทศนอร์เวย์ ร่วมทั้ง ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ในต่างประเทศ ที่ได้รับการรับรองตามพระราชบัญญัติส่งเสริม การจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบด้านสังคมต่อกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศของกระทรวง พม. ทั้งด้านความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากการกักตัวร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว รวมทั้ง การเผชิญกับภาวะซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิต
นางจตุพรกล่าวต่อไปว่า จากผลการเสวนาดังกล่าว กระทรวง พม. จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อลดผลกระทบด้านสังคมที่เกิดกับกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศของกระทรวง พม. และนอกจากนี้ เพื่อให้การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวง พม. และ กต. รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศ อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะเชิญให้มูลนิธิ สมาคม ชมรม และกลุ่มคนไทยในประเทศนอร์เวย์ ยื่นขอรับรองเป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์ในต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 และเมื่อได้รับการรับรองแล้ว สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมได้ต่อไป สำหรับผู้ปฏิบัติงานในมูลนิธิ สมาคม ชมรม และกลุ่มคนไทยในนอร์เวย์ จะมีการเชิญให้สมัครเป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในต่างประเทศ (อพม. ในต่างประเทศ) โดยจะจัดให้มีการอบรมทางออน์ไลน์ในโอกาสต่อไป
นางจตุพรกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลกระทบด้านสังคมที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศของกระทรวง พม. นั้นเครือข่ายพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศ จะร่วมกับกระทรวง พม. พัฒนาระบบการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ข้ามชาติ โดยนำเอาเทคโลยีไซเบอร์มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศของกระทรวง พม. ได้รับการคุ้มครองดูแลได้อย่างเหมาะสมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38482 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เตรียมเสนอ ขยายเวลาตรวจโรคต่างด้าวเพิ่ม 6 เดือน เข้าครม.พิจารณา | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
รมว.แรงงาน เตรียมเสนอ ขยายเวลาตรวจโรคต่างด้าวเพิ่ม 6 เดือน เข้าครม.พิจารณา
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาตรวจโรค 6 เดือน ให้คนต่างด้าวตามมติครม. 4 กลุ่ม
มติครม.วันที่ 20 สิงหาคม 2562 มติครม.วันที่ 4 สิงหาคม 2563 มติครม.วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 และมติครม.วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เหตุโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทบขั้นตอนการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ทำให้คนต่างด้าวดำเนินการไม่ทัน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สถานการณ์การแพร่ระบาดโรค
โควิด-19 ที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ ขยายขอบเขตการแพร่ระบาดโรคเป็นวงกว้าง กระจายในหลายพื้นที่ รัฐบาลจึงต้องเพิ่มความเข้มข้นของการคัดกรองเชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งก่อให้เกิดข้อจำกัดและมาตรการทางด้านสาธารณสุขส่งผลเป็นลูกโซ่ ประกอบกับมาตรการห้ามเคลื่อนย้ายบุคคลไปมาระหว่างพื้นที่ หรือท้องที่ ที่มีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคสูง ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ทำให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเมื่อพ้นระยะเวลาจะทำให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว สิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้
“กระทรวงแรงงาน มุ่งมั่นปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าวที่อยู่และทำงานในประเทศไทย ในด้านสุขภาพอนามัย การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งปัญหาของนายจ้าง/สถานประกอบการในประเทศไทย ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 1/2564 จึงมีมติเห็นชอบให้ทบทวนแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้ดำเนินการมา และเตรียมนำเสนอแนวทางแก้ไขข้อขัดข้อง
ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด - 19" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เตรียมเสนอแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 4 กลุ่ม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้ว จำนวน 1,162,443 คน ซึ่งได้รับการอนุญาตทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 และได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 รวมแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้แรงงานต่างด้าว
ไปดำเนินการตรวจสุขภาพ และดำเนินการขอตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
2. แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563
แบ่งเป็น 2 ประเภทตามเอกสารประจำตัว ดังนี้
1) กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งต้องตรวจสุขภาพ และตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31มกราคม 2564 จำนวน 201,771 คน สามารถขยายเวลาดำเนินการ ออกไปอีก 6 เดือน โดยต้องแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 จากนั้นจัดทำ/ปรับปรุง ทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตรกับหน่วยงานของกรมการปกครอง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้ ให้แรงงานต่างด้าวใช้ใบรับคำขออนุญาตทำงานคู่กับใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานที่ได้รับจากกรมการจัดหางาน เป็นหลักฐานแทนใบอนุญาตทำงานจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตทำงานที่อยู่ด้านหลังบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
2) กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรผ่านแดน กำหนดให้ขอรับอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางานก่อนที่การอนุญาตทำงานเดิมสิ้นสุด และจะได้รับอนุญาตทำงานครั้งละไม่เกิน 3 เดือน ต่อเนื่องได้ไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2565 จำนวน 36,173 คน สามารถขยายระยะเวลาการใช้ใบรับรองแพทย์ ประกอบการขออนุญาตทำงานออกไปอีก 6 เดือน โดยต้องใช้ใบรับรองแพทย์ประกอบการขออนุญาตทำงานในครั้งที่ 4 (รอบการอนุญาตทำงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564)
3. แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลง หรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี จำนวน 119,094 คน และการจ้างงานครบ 2 ปี จำนวน 315,690 คน ที่ต้องมีการขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน และขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งหากไม่ได้ขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน หรือขอรับใบอนุญาตทำงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้ จึงต้องดำเนินการ ดังนี้
1) กรมการจัดหางานรับคำขออนุญาตทำงานและพิจารณาอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวทำงานตามแนวทางปกติ และแรงงานต่างด้าวต้องนำใบรับรองแพทย์ส่งให้กรมการจัดหางานภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตทำงาน ทั้งนี้ หากแรงงานต่างด้าวไม่นำส่งใบรับรองแพทย์ภายในเวลาที่กำหนด จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน
2) ขยายระยะเวลาในขั้นตอนการตรวจสุขภาพ และขั้นตอนการขอตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป อีก 6 เดือน นับแต่วันที่การอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเดิมสิ้นสุด เพื่อดำเนินการตรวจสุขภาพ และการดำเนินการขอตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
4. แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้แรงงานต่างด้าวไปจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด - 19 กับกระทรวงสาธารณสุข ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ทั้งนี้หากไม่สามารถตรวจโรคต้องห้าม 6 โรคทัน
ให้ใช้เฉพาะใบรับรองผลการตรวจโควิด – 19 ประกอบการยื่นขออนุญาตทำงาน และต้องนำใบรับรองแพทย์โรคต้องห้ามส่งให้กรมการจัดหางานภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 และแรงงานต่างด้าวไปทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตรกับกรมการปกครอง โดยกรณีเป็นคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และกรณีเป็นคนต่างด้าวยังไม่มีนายจ้าง ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ทั้งนี้ ต้องให้คนต่างด้าวรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุก 90 วัน นับแต่วันที่คนต่างด้าวได้รับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตร
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38489 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมดูแลผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาล การให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
พม. จับมือสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมดูแลผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาล การให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
พม. จับมือสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมดูแลผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาลการให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับและการกำกับดูแลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราว
วันนี้ (21 ม.ค. 64) เวลา 09.30 น.นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)และนายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการดูแลผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาลการให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือ ทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับและการกำกับดูแลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราว ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีนายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวง พม. และนายภพ เอครพานิช รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นพยาน ณ ห้องประชุมศาลอาญา อาคารศาลอาญา ชั้น 10 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
นางพัชรีกล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการดูแลผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาลการให้ ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับและการกำกับดูแลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อเป็นการเยียวยาผู้เสียหาย สร้างจิตสำนึกที่ดีให้แก่ ผู้ต้องโทษปรับ และเพื่อความสงบสุข ปลอดภัยของชุมชนและสังคม อาทิ การสนับสนุนทีมสหวิชาชีพในการดูแลให้คำปรึกษาแก่ผู้เสียหายในคดีอาญาที่อยู่ในกระบวนการศาลพร้อมรวบรวมข้อมูลเสนอความเห็น การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวให้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ตลอดจนการให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการทางสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ในหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ที่ดูแลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง รวมทั้งสถาบันครอบครัว แทนค่าปรับในกรณีผู้นั้นไม่มีเงินชำระค่าปรับ ทั้งนี้ กระทรวง พม. และสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมกันกำหนดประเภทและลักษณะการทำงานโดยคำนึงถึงเพศสภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามภารกิจหน้าที่และอำนาจของกระทรวง พม. เพื่อให้ศาลนำมาตรการ การทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์แทนคำปรับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อแก้ไขฟื้นฟูและให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับคืนสู่สังคมได้ อย่างเป็นปกติ
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่กระทรวง พม. และสำนักงาน ศาลยุติธรรม จะได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งในระดับส่วนกลางและระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งผู้เสียหาย ผู้กระทำความผิด ครอบครัว และชุมชน รวมทั้งเป็นการให้โอกาสผู้กระทำความผิดในการกลับคืนสู่สังคมได้อย่างเป็นปกติต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ส่งมอบอาคารชดเชยให้กรมศุลกากรตามโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
กรมธนารักษ์ส่งมอบอาคารชดเชยให้กรมศุลกากรตามโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม
กรมธนารักษ์ร่วมกับกรมศุลกากร จัดพิธีส่งมอบ – รับมอบอาคารพักอาศัย 8 ชั้น ขนาด 100 ครอบครัวซึ่งเป็นอาคารชดเชยตามโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม ให้กรมศุลกากรเพื่อใช้ประโยชน์ในทางราชการ
วันนี้ (21 มกราคม 2564) ณ ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.352532 กท.352597 – 352599 บริเวณเชิงสะพานกรุงเทพ ถนนพระราม 3 แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้ลงนามในบันทึกการส่งมอบ – รับมอบอาคารชดเชยให้กรมศุลกากร ซึ่งเป็นอาคารพักอาศัย 8 ชั้น ขนาด 100 ครอบครัว จำนวน 1 หลัง มูลค่า 60.9 ล้านบาท โดยมีคณะผู้บริหารกรมธนารักษ์และคณะผู้บริหารกรมศุลกากรเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้
นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า การดำเนินการก่อสร้างอาคารพักอาศัยกรมศุลกากรดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม ซึ่งกำหนดให้กิจการร่วมค้าฯ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท อามันรีสอร์ท เซอร์วิสเซส ลิมิเต็ด และบริษัท ซิลเวอร์ลิงค์ รีสอร์ทส์ ลิมิเต็ด ผู้ได้รับสิทธิการพัฒนาโครงการ จะต้องดำเนินการก่อสร้างอาคารชดเชยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบังคับการตำรวจน้ำ) และก่อสร้างอาคารพักอาศัย 8 ชั้น ขนาด 100 ครอบครัว จำนวน 1 หลัง ชดเชยให้กรมศุลกากร ซึ่งปัจจุบันกิจการร่วมค้าฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารชดเชยเสร็จเรียบร้อยแล้วและส่งมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังและกรมธนารักษ์จึงได้ดำเนินการส่งมอบอาคารชดเชยดังกล่าวให้กรมศุลกากรเพื่อใช้ประโยชน์ในทางราชการต่อไป
สำหรับโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม ซึ่งกิจการร่วมค้าฯ จะต้องก่อสร้างอาคารโรงแรมพร้อมปรับปรุงซ่อมแซมอาคารโบราณสถานให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 นั้น กิจการร่วมค้าฯ ได้รับการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และรูปแบบการบูรณะอาคารโบราณสถานจากกรมศิลปากรแล้ว รวมทั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณางานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสามแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างกรมศิลปากรพิจารณาอนุญาตการบูรณะกลุ่มอาคารศุลกสถาน ทั้งนี้ กรมธนารักษ์จะได้ติดตามกำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุนเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38480 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียน มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี จำนวน ๗ ราย เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
รมว.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียน มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี จำนวน ๗ ราย เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียน มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี จำนวน ๗ ราย เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ๑ - ๒ ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย นางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รับเรื่องร้องเรียนจาก นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้นำผู้เสียหาย จำนวน ๗ ราย เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม
นางปวีณา กล่าวว่า สำหรับผู้เสียหายทั้ง ๗ คน ประกอบด้วย ๑. เด็กหญิงนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดนเพื่อน ๕ คน กระทำชำเราในห้องเรียนคอมพิวเตอร์ เหตุเกิดในกรุงเทพฯ ๒. กรณีพี่เลี้ยงเด็กโหดทำร้ายเด็กหญิงสองพี่น้อง คนโตได้รับบาดเจ็บ คนเล็กอาการโคม่า เหตุเกิด จ.ปทุมธานี ๓.สาวบริษัทเงินกู้ถูกอดีตสามี ใช้ปืนขู่ ก่อนลักพาตัวไปทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดในกรุงเทพฯ ๔.หญิงสาวถูกอดีตสามีทำร้ายใช้มีดคัตเตอร์กรีดที่แขนขา และใช้กรรไกรแทงที่หัว เย็บ ๓๐๐ เข็ม เหตุเกิดใน จ.นนทบุรี
นางปวีณา กล่าวว่า ๕. หญิงสาวถูกคัตเตอร์กรีดหน้า เย็บ ๙๑ เข็ม เนื่องจากสามีโมโหเหตุถูกขอหย่า ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ๖. สาวถูกสามีหึงหวงทำร้ายร่างกาย และบังคับขายบริการ เหตุเกิด จ.นนทบุรี และ ๗. น้องสาวร้องขอความเป็นธรรมให้พี่สาวที่เสียชีวิต หลังถูกสามีติดยาเสพติดทำร้ายร่างกายอาการโคม่า เหตุเกิดในกรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด
ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวและมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา โดยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อไป ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๙ ผู้เสียหายมีสิทธิขอรับเงินเยียวยา อาทิ กรณีบาดเจ็บ แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาลให้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด ตามวันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นให้จ่ายเป็นเงินตามจำนวนที่คณะกรรมการเห็นสมควรแต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
ส่วนกรณีเสียชีวิตจะได้ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ค่าจัดการศพ ๒๐,๐๐๐ บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ๔๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ประจำจังหวัดที่เกิดเหตุเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ 1/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ 1/2564
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ 1/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายทองเปลว กองจันทร์) ให้เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ 1/2564 ในฐานะผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ห้องประชุมสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยมีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) รายงานผลการดำเนินงานโครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 2) แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และ 3) โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19 กำหนดจัดงานเบื้องต้น ระหว่างวันที่ 5-13 มีนาคม 2564 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพคเมืองทองธานี
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นอาหารไทยปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วยการรับรองตนเอง (self-declaration) ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
แถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นอาหารไทยปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วยการรับรองตนเอง (self-declaration) ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม
ปลัดฯ กอบชัย ร่วมแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นอาหารไทยปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วยการรับรองตนเอง (self-declaration) ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม
วันนี้ (21 มกราคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ด้วยการรับรองตนเอง (self-declaration) ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม เพื่อควบคุม ติดตาม และป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว และมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องประชุม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สถาบันอาหาร สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ และกรมควบคุมโรค จัดทำแนวทางการรับรองตนเอง (Self-Declaration) ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม ด้วยมาตรการร่วม 3 ภาคีภายใต้แนวทางมาตรฐานของ GMP HACCP และ ISO22000 เพื่อควบคุม ติดตาม และป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและป้องกันผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารโดยรวมของประเทศในวงกว้าง โดยใช้มาตรการจัดการสุขอนามัย 3 ด้าน คือ การจัดการสุขอนามัยในสถานประกอบการ กระบวนการผลิต และบุคลากร พร้อมเสริมมาตรการป้องกันการปนเปื้อนและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากสถานประกอบการได้ดำเนินการตามขั้นตอนการรับรองของสถานประกอบการครบถ้วนแล้ว สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะออกเอกสารเพื่อแสดงว่า สภาอุตสาหกรรมฯ กรมควบคุมโรค สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ และสถาบันอาหารได้ทวนสอบแล้วว่าสถานประกอบการมีการรับรองตนเองว่าเป็นสถานประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุม ติดตาม และป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามเกณฑ์การประเมินตนเอง IPHA ซึ่งจะได้เครื่องหมายรับรองตนเองว่าเป็นสถานประกอบการที่มีการดูแลบุคลากร กระบวนการผลิต และสถานที่ ได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย “IPHA : Industrial and Production Hygiene Administration”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีหนังสือแสดงความยินดีถึงนายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ในโอกาสพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีหนังสือแสดงความยินดีถึงนายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ในโอกาสพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีหนังสือแสดงความยินดีถึงนายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ในโอกาสพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ (เวลาประเทศไทย) นายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ ๔๖ อย่างเป็นทางการ ในโอกาสดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีไบเดน โดยได้กล่าวถึงชัยชนะในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีไบเดนที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และความหวังที่ชาวอเมริกันมอบให้กับประธานาธิบดีไบเดน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงมิตรภาพไทย-สหรัฐฯ ที่มีมายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี และไทยเป็นประเทศคู่ภาคีสนธิสัญญาประเทศแรกของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งไทยมีความภูมิใจในความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐฯ ที่ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดและครอบคลุมทุกมิติ อันไม่เพียงแต่นำพาประโยชน์มาสู่ไทยกับสหรัฐฯ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคง เสถียรภาพ และความรุ่งเรืองให้กับภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ในขณะที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาของตนในเรื่องความแตกแยก ความขัดแย้ง และความเสียหายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งถูกซ้ำเติมด้วยภัยของโรคระบาด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกัน โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการรับมือกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีไบเดนและรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างพลวัตของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันที่ครอบคลุมหลากหลายมิติในทุกระดับ รวมทั้งแสดงความหวังที่จะได้มีโอกาสต้อนรับประธานาธิบดีไบเดนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ประเทศไทยในอนาคตอันใกล้
(ร่างคำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
หนังสือแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรีถึงนายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ท่านประธานาธิบดี
ในนามของประชาชนและรัฐบาลไทย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อท่านในโอกาสที่ท่านเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ ๔๖ อย่างเป็นทางการ ชัยชนะของท่านด้วยคะแนนเสียงสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความท้าทายมากมายในปัจจุบัน สะท้อนถึงความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และความหวังที่ชาวอเมริกันมอบให้กับท่าน
ด้วยมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่มีมายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี และในฐานะประเทศหุ้นส่วนคู่สนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคเอเชีย ไทยมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของเราซึ่งพัฒนาผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ความเป็นพันธมิตรที่ยาวนานและความร่วมมือระหว่างกันที่ครอบคลุมหลากหลายมิติ ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อไทยและสหรัฐอเมริกา และประชาชนของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค
ดังที่ท่านได้กล่าวไว้อย่างคมคายในวันก่อนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า ‘ในการที่เราจะเยียวยาได้ เราจำเป็นต้องจดจำ’ โลกต้องให้ความสนใจกับคำพูดของท่าน เพื่อที่เราจะได้เริ่มแก้ไข เยียวยา และสมานความแตกร้าวเจ็บปวด ทุกประเทศต่างต้องเผชิญกับปัญหาความแตกแยก ความขัดแย้ง และความเสียหายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งถูกซ้ำเติมด้วยภัยจากโรคระบาด เราทุกคนต่างพยายามแสวงหาหนทางที่ดีที่สุดภายใต้บริบทและสถานการณ์เฉพาะของตน เพื่อเชื่อมช่องว่างที่แยกห่าง หาทางออกให้ความแตกต่าง และเพื่อกลับมายืนหยัดเหนือปัญหา หากวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ได้สอนบทเรียนบางอย่างแก่เรา บทเรียนนั้นก็คือในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราทุกคนคือการหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมมือ มิใช่หันหลังให้กัน ไทยในฐานะประเทศคู่ภาคีสนธิสัญญาประเทศแรกและเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคเอเชียพร้อมที่จะเดินเคียงข้างท่านในการเดินทางครั้งนี้
ผมมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับท่านและรัฐบาลของท่าน เพื่อเสริมสร้างพลวัตของความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ และส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน ทั้งในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลก ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในโอกาสนี้ ผมขอเรียนเชิญท่านและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเยือนกรุงเทพฯ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะมีโอกาสได้ต้อนรับท่านในอนาคตอันใกล้นี้
ในโอกาสที่ท่านเข้ารับหน้าที่ซึ่งเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่และทรงเกียรตินี้ ผมขออำนวยพรให้ท่านมีสุขภาพที่ดีและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจสำคัญทุกประการที่รออยู่เบื้องหน้า
ด้วยความปรารถนาดี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ร่วมหารือสส.น่าน เดินหน้าขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
รมช.แรงงาน ร่วมหารือสส.น่าน เดินหน้าขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน
- -
วันที่ 21 มกราคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน (นางสิรินทร รามสูต) และนางพรพิมล ธรรมสาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ประชาชนในพื้นที่
ศาสตราจารย์ นฤมล เผยว่า จังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้รับผิดชอบและกำกับดูแล เป็นที่ปรึกษาเพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ซึ่งมีโอกาสลงพื้นที่แล้ว 2 ครั้ง และมอบหมายให้คณะที่ปรึกษาดำเนินงานด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบูรณการความร่วมมือกับภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและภูมิภาคด้วย ที่ผ่านมาเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 ได้นำตัวแทนของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคทบัซซ์ ทีวี จำกัด ลงพื้นที่ด้วย มีแผนที่จะดำเนินการฝึกให้แก่แรงงานในพื้นที่หลายหลักสูตร บางหลักสูตรดำเนินการแล้ว เช่น ร่วมกับวัดโป่งคำ จัดคอร์สฝึกอบรมให้แก่แรงงานภาคการเกษตร สู่เกษตรดิจิทัล นอกจากนี้ยังได้รับรายงานด้วยว่า หลังจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลาย สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะร่วมมือกับภาคเอกชนข้างต้น ดำเนินการฝึกอบรมตามโครงการพัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ ด้วยการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Commerce และการสร้างเครือข่ายตลาดออนไลน์โดยใช้ LINE Official Account ให้กับกลุ่มคลัสเตอร์เกษตรแปรรูปน่านอโกร-อินดัสทรี และกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ อ.สันติสุข เพื่อพัฒนาและยกระดับให้กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจแนวใหม่ และประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
ด้านนางสิรินทร สส.จังหวัดน่าน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรกรรม มีเวลาว่างช่วงรอฤดูกาล อีกทั้งยังขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ การจัดหาตลาดสำหรับจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร การแปรรูปสินค้าการเกษตร การออกแบบแพคเกจจิ้งเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งในส่วนนี้ จะช่วยสนับสนุนทั้งการจัดหากลุ่มเป้าหมาย และการประสานงาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้รับโอกาสและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง เช่นเดียวกันกับสส.ปทุมธานี ให้ข้อมูลว่า มีแรงงานในพื้นที่ของจังหวัดปทุมธานี มีความต้องการพัฒนาทักษะฝีมือ จึงขอนำประเด็นการหารือในครั้งนี้ ไปประสานขอให้หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่อยู่ในพื้นที่จัดโครงการฝึกอบรมให้ด้วย
“การพัฒนาทักษะฝีมือเป็นเรื่องจำเป็น ที่แรงงานทุกคนต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองให้มาก บางรายต้องเปลี่ยนจากทำงานประจำไปเป็นแรงงานอิสระ ต้องหาอาชีพที่ 2 หรืออาชีพที่ 3 เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง การเป็นแรงงานในระบบจะค่อยๆ ลดลง และเกิดอาชีพใหม่มากขึ้น ดังนั้นต้องเตรียมตัวให้มีพร้อมอยู่เสมอ หากสนใจรับการพัฒนาทักษะ ซึ่งปัจจุบันมีการอบรมแบบออนไลน์ อยู่ที่ไหนก็อบรมได้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.dsd.go.th” รมช. กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38490 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศุกร์ 22 ม.ค.นี้ ธอส. ชวนมีบ้านง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ขนบ้านมือสองทั่วประเทศ 990 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ “บ้านถูกใจ หาได้ที่ ธอส ” | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
ศุกร์ 22 ม.ค.นี้ ธอส. ชวนมีบ้านง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ขนบ้านมือสองทั่วประเทศ 990 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ “บ้านถูกใจ หาได้ที่ ธอส ”
ธอส.เอาใจคนอยากมีบ้าน ตั้งแต่ต้นปี 2564 คัดบ้านมือสอง สภาพดี คุ้มราคาทั่วประเทศรวม 990 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ประจำเดือนมกราคม 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เลือกซื้อได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เอาใจคนอยากมีบ้าน ตั้งแต่ต้นปี 2564 คัดบ้านมือสอง สภาพดี คุ้มราคาทั่วประเทศรวม 990 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ประจำเดือนมกราคม 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เลือกซื้อได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 45,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! มอบส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลหากทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 31 มีนาคม 2564 ให้ผ่อนดาวน์หรือยื่นกู้อัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มประมูลพร้อมกันวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -13.00 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ในปี 2563 ธอส. จัดให้มีการประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาที่คุ้มค่าโดยไม่ต้องเดินทางไปประมูลซื้อที่ธนาคาร ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะซึ่งการจัดประมูลออนไลน์ทั้ง 7 ครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา มีลูกค้าประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลทรัพย์ออนไลน์ของธนาคารเป็นจำนวนมาก โดยสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 701 รายการ คิดเป็นมูลค่าที่ปิดประมูลจำนวนถึง 735.18 ล้านบาท และจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาทำให้ในปี 2564 ธนาคารยังคงเดินหน้าจัดให้มีการประมูลบ้านมือสองออนไลน์เช่นเดิมเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งการประมูลครั้งแรกของปี 2564 กำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 เวลา 12.00 -13.00 น. โดยนำทรัพย์คัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศรวม 990 รายการ ทั้งประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มาเปิดประมูลให้กับลูกค้าที่ต้องการมีบ้านได้เลือกซื้อง่าย ๆ พร้อมกันทั่วประเทศผ่าน Application : G H Bank Smart NPA แบ่งเป็น
ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 491 รายการ มีรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 45,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด โครงการปลาทอง เนื้อที่ 26.25 ตารางเมตร อ.เมือง จ.ปทุมธานี รายการที่ให้ส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ คือ ห้องชุด โครงการรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ เนื้อที่ 83 ตารางเมตร อ.บางกะปิ กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 1,200,000 บาท ส่วนทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว ในหมู่บ้านเศรษฐสิริ รามอินทรา เนื้อที่ 63.9 ตารางวา อ.คลองสามวา กรุงเทพฯ เป็นรายการทรัพย์ที่มีทำเลอยู่ใกล้สนามกอล์ฟ และห้างสรรพสินค้า โดยใช้เวลาเดินทางเพียง 12 นาทีเท่านั้น ราคาเริ่มต้นประมูล 4,480,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในส่วนในภูมิภาคนำออกประมูลจำนวน 499 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลจำหน่ายต่ำสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 283 ตารางวา ในพื้นที่ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 150,000 บาท และรายการทรัพย์ที่มีส่วนลดสูงสุด 35% มีจำนวน 5 รายการ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื้อที่ 22 ตารางวา ในโครงการซิตี้แลนด์ อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ ราคาเริ่มต้นประมูล 585,000 บาท ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว เนื้อที่ 37.50 ตารางวา โครงการณัฐชญา วิลล่า อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 715,000 บาท
สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมรายการทรัพย์ NPA ที่เปิดประมูลครั้งนี้ได้ด้วยตนเอง โดยผู้ชนะรับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 31 มีนาคม 2564 นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน หรือ เทดาวน์แล้วยื่นกู้ยังสามารถรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2564 เวลา 12.40 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔
นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมรายไตรมาสเพื่อขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในวันอังคารที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕ - ๐๑ ชั้น ๕ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมรายไตรมาสเพื่อขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔โดยมี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมรับทราบสรุปผลการดำเนินงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไตรมาส ๑ และรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ทิศทางนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความสอดคล้องในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของแผนปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรมกับแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕การดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ ประเด็นสำคัญของหน่วยงานเจ้าภาพระดับพื้นที่ แนวทางการกำกับติดตาม และการรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔นอกจากนี้ิรับทราบ กรอบงบประมาณและการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาก ถึง มากที่สุด ! ประชาชนส่วนใหญ่พอใจรัฐบาล | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
มาก ถึง มากที่สุด ! ประชาชนส่วนใหญ่พอใจรัฐบาล
...
รายงานผลสำรวจ
ความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2564
ที่กระทรวงดีอีเอสรายงานต่อที่ประชุม ครม.
.
สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจพบว่า
ประชาชน 45.5% พึงพอใจ
การแก้ปัญหาต่างๆ ของรัฐบาล
และ 47.2% เชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของรัฐบาล
ในระดับ มาก ถึง มากที่สุด
.
ส่วนความต้องการของประชาชน 5 อันดับแรก
1. ควบคุมราคาสินค้า ลดค่าน้ำ-ไฟ
2. เพิ่มมาตรการ/สวัสดิการต่างๆ เช่น คนละครึ่ง
3. แก้ปัญหาด้านการเกษตร
4. แก้ปัญหาว่างงาน
5. ชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการระบาดของโรคโควิด-19
.
สำรวจโดย ส่งเจ้าหน้าที่ไปสัมภาษณ์
ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 46,600 คน
ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ระหว่างวันที่ 23 พ.ย. – 8 ธ.ค. 63
.
ข้อมูลทั้งหมดนี้
รัฐบาลจะนำไปเป็นแนวทางในการวางแผน
กำหนดนโยบายที่สอดคล้อง
กับความต้องการของประชาชนต่อไป
.
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38487 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบคมนาคม คลัง พาณิชย์ ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องกำหนดแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีมอบคมนาคม คลัง พาณิชย์ ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องกำหนดแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
นายกรัฐมนตรีมอบคมนาคม คลัง พาณิชย์ ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องกำหนดแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วันที่ 21 ม.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ทยอยออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือทั้งประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ตามแนวนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้การช่วยเหลือครอบคลุมประชาชนมากที่สุด
ทั้งนี้ ล่าสุดรัฐบาลได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการกลุ่มผู้ส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งเป็นกลุ่มกลไกสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในภาคการนำเข้าและส่งออกว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบหลายด้านโดยเฉพาะจากปริมาณการค้าที่ลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ปัญหาตู้สินค้าขาดแคลน ผู้ส่งออกเองก็ประสบปัญหาค่าระวางของการส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในระยะยาว
เมื่อทราบปัญหาดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงนที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งได้รับผลกระทบการประกอบกิจการในช่วงภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งแนวทางช่วยเหลืออย่างเช่น การอนุญาตให้เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่กว่าที่กำหนดไว้เดิมสามารถเข้าเทียบท่าได้เพื่อขนส่งสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น การผ่อนปรนการเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือ
“กระทรวงพาณิชย์ได้สะท้อนปัญหาของผู้ส่งสินค้าทางเรือและผู้ส่งออกต่อที่ประชุม ครม. ล่าสุดนายกรัฐมนตรีจึงมีข้อสั่งการให้หาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ และได้มอบหมายให้ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจงสถานภาพของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจงสถานภาพของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือการตอบข้อหารือของ สบน.เกี่ยวกับสถานภาพของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ปรากฏตามสื่อสาธารณะ นั้น
ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือการตอบข้อหารือของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเกี่ยวกับสถานภาพของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ) ปรากฏตามสื่อสาธารณะ นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า การตอบข้อหารือของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะถึงสถานภาพของธนาคารกรุงไทยฯ ตาม พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ ว่า มีสถานภาพ เป็นรัฐวิสาหกิจนั้น เนื่องจากบทนิยามรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 4 (ข) ของ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ กำหนดว่า บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตามมาตรา 4 (ก) (องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละ 50 ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าธนาคารกรุงไทยฯ เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด โดยมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีสถานภาพเป็นหน่วยงานของรัฐ ประเภทหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะถือหุ้นจำนวนร้อยละ 55.07 ของทุนทั้งหมด ธนาคารกรุงไทยฯ จึงมีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจตามมาตรา 4 (ข) ของ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ อย่างไรก็ดี การตอบข้อหารือดังกล่าวเป็นการให้ความเห็นต่อสถานภาพ ของธนาคารกรุงไทยฯ ตามขอบเขตและบทนิยามของ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ เท่านั้น ส่วนสถานภาพของธนาคารกรุงไทยฯ ตามกฎหมายฉบับอื่นจะเป็นไปตามขอบเขตและบทนิยามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายแต่ละฉบับซึ่งมีการกำหนดขอบเขตและบทนิยามของรัฐวิสาหกิจ ตามวัตถุประสงค์และขอบเขตในการบังคับใช้ที่ต่างกัน
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505 และ 5914
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมเปิดตัว รถ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่สีแดงจากผลกระทบโรคโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
พม. เตรียมเปิดตัว รถ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่สีแดงจากผลกระทบโรคโควิด-19
พม. เตรียมเปิดตัว รถ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่สีแดงจากผลกระทบโรคโควิด-19
วันนี้ (21 ม.ค. 64) เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ของประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะใน 28 จังหวัดพื้นที่สีแดงที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด จึงได้เตรียมรถ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปเยี่ยม เพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางของกระทรวง พม. ในชุมชนที่เป็นพื้นที่ปิดที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปดำเนินชีวิตข้างนอกได้ โดยการนำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มามอบให้ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการดำรงชีพ นอกจากนี้ ยังได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ในชุมชน เพื่อให้การช่วยเหลือโดยตรงอย่างรวดเร็วต่อไป ขณะนี้ ได้กำหนดจุดบริการไว้ 54 จุด ในพื้นที่ 25 จังหวัด โดยในวันที่ 27 มกราคมนี้ จะมีกิจกรรม Kick Off เปิดตัวโครงการ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปเยี่ยม ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. Mobile จำนวน 15 คัน ออกไปลงพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ และ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการปล่อยขบวนรถ พม. Mobile ที่บริเวณกระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากรถ พม. Mobile “ปันสุขสู่ชุมชน” แล้ว ยังมีการตั้งตู้ “พม. ปันสุข” และ ตู้ “พม. รับทุกข์” เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ด้านการดำรงชีวิตให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยเฉพาะเด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยการนำสิ่งของที่ได้รับจากการบริจาค ผ่านศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ซึ่งกระทรวง พม. จะเร่งนำไปมอบให้ถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนโดยตรงอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้ ประชาชนที่มีความเดือดร้อนมีความทุกข์ต้องการความช่วยเหลือ สามารถเขียนรายละเอียดที่ต้องการให้ พม. ช่วยเหลือผ่านตู้ “พม. รับทุกข์” โดยจะมีเจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมเรื่องร้องทุกข์ เพื่อดำเนินการติดต่อและส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมอย่างเร่งด่วน และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 02-659-6476 หรือติดต่อ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (21 มกราคม 2564) เวลา 14.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งที่ประชุมร่วมกันพิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 "โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ ลุ่มนํ้าสายหลักของประเทศ" 5 คลอง 10 ลุ่มแม่น้ำสายหลัก และการดำเนินงานในด้านต่างๆ โดยมีนายสมพล โนดไธสง นายบรรจง สุกรีฑา นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ย้ำงบประมาณสำหรับแผนงาน/โครงการ “น้ำ” ต้องผ่าน สทนช. ก่อนเสนอครม.พิจารณา ป้องกันงบประมาณซ้ำซ้อน | วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564
รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ย้ำงบประมาณสำหรับแผนงาน/โครงการ “น้ำ” ต้องผ่าน สทนช. ก่อนเสนอครม.พิจารณา ป้องกันงบประมาณซ้ำซ้อน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ย้ำงบประมาณสำหรับแผนงาน/โครงการ “น้ำ” ต้องผ่าน สทนช. ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาป้องกันงบประมาณซ้ำซ้อน
วันนี้ (21 ม.ค. 64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) (นัดพิเศษ) โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VDO Conference ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำ ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบเวลา 10.00 น.
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุม กนช. วาระพิเศษ เพื่อพิจารณาแผนงานโครงการที่มีความพร้อมในการขอตั้งงบประมาณประจำปี 2565 พร้อมกำชับถึงการเสนอของบประมาณ ดำเนินแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับน้ำต้องให้ สทนช. พิจารณาตรวจสอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อป้องปัญหาการของบประมาณที่ซ้ำซ้อนกัน รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประหยัด และเกิดความคุ้มค่าสูงสุด ซึ่งทุกหน่วยงานจะเร่งดำเนินการและขอตั้งงบประมาณปี 2565 ให้เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ 5 โครงการ ที่หน่วยงานพร้อมขอตั้งงบประมาณประจำปี 2565 ประกอบด้วย 4 โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองบางไผ่ เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่เขตภาษีเจริญ บางแค หนองแขม และทวีวัฒนา 2.โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ เมื่อแล้วเสร็จจะช่วยเร่งระบายน้ำจากน้ำฝนในพื้นที่เขตคลองสามวา มีนบุรี และหนองจอก รองรับปริมาณน้ำหลากจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกทม. 3.โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองบางนาจากคลองเคล็ดถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี (ปี65-68) เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่เขตบางนาและเขตประเวศ ลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมขัง และ 4.โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อจากถนนรัชดาภิเษกถึงคลองลาดพร้าว ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี (ปี65–67) แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขตห้วยขวาง ลาดพร้าว และจตุจักร และโครงการสถานีสูบน้ำดิบพร้อมระบบท่อส่งน้ำเพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี ดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ระยะเวลาดำเนินงาน 2 ปี (ปี65–66) สามารถส่งน้ำไปยังพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดปัตตานี ได้แก่ หนองจิก แม่ลาน โคกโพธิ์ และเมืองปัตตานี ทำให้ประชาชนมีน้ำสำหรับการอุปโภค-บริโภคอย่างพอเพียง เพิ่มศักยภาพการพัฒนาโครงการเมืองต้นแบบ เขตอุตสาหกรรมหนองจิก และโครงการท่าเรือน้ำลึก รวมทั้งยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนแผนงานการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ แก้ปัญหาน้ำเสียและการระบายน้ำ สร้างความปลอดภัยการสัญจรทางน้ำของประชาชน ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ แก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำ เพื่อให้ระบบนิเวศมีความสมบูรณ์ได้อีกครั้ง
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38486 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ห่วงใยปชช. นำประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ปัญหาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
วราวุธ ห่วงใยปชช. นำประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ปัญหาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน
วราวุธ ห่วงใยปชช. นำประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เร่งแก้ปัญหาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน
วันที่ 27 มกราคม 2564 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ด้วยการประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference (Cisco Jabber) โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยที่ประชุมได้เร่งรัดให้คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และให้หน่วยงาน ทส. สนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัด และกำชับให้หน่วยงานเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามประเด็นสำคัญเร่งด่วน ดังนี้ 1. ผู้ประกอบและผู้ว่างงานจากสถานการณ์ Covid-19 2. การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง 3. การแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน 4. การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียจากการทำฟาร์ม และอุตสาหกรรม 5. การสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง และการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง 6. การแก้ไขปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่และการทำหมันลิง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38668 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุม ๑๐-๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่
โดยที่ประชุมได้รับทราบการติดตามความคืบหน้าแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๒-๒๕๖๕) และได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๙/๑ มาตรา ๘๙/๒ และมาตรา ๒๔๖ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการกำหนดสถานที่อื่นนอกเหนือจากเรือนจำสำหรับควบคุมตัวจำเลยที่ต้องดูแลเป็นพิเศษใน ๔ ประเภท ที่ศาลสั่งให้ทุเลาโทษจำคุก ได้แก่ จำเลยวิกลจริต จำเลยที่จะถึงแก่อันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก จำเลยมีครรภ์ และจำเลยที่ยังคลอดบุตรไม่เกิน ๓ ปี และต้องเลี้ยงดูบุตร ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือในการกำหนดมาตรการการควบคุมผู้ต้องขัง และจัดหาหน่วยงานที่เหมาะสมกับการควบคุมดูแลผู้ต้องขังต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38694 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ได้ลำดับ 3 จาก 12 สถาบันการเงิน จากการประเมิน “แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย” โดย Fair Finance Thailand | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
ธ.ก.ส. ได้ลำดับ 3 จาก 12 สถาบันการเงิน จากการประเมิน “แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย” โดย Fair Finance Thailand
ธ.ก.ส. ได้รับการประเมิน “การธนาคารที่ยั่งยืน” โดย Fair Finance Thailand หรือแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย โดยนำมาตรฐาน Fair Finance Guide International เป็นเกณฑ์วัด ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้คะแนน 22.1% เป็นอันดับ 3 จาก 12 ธนาคารที่เข้ารับการประเมิน
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่ Fair Finance Thailand หรือแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2561 เพื่อผลักดันภาคธนาคารไทยให้ก้าวสู่แนวคิดและวิถีปฏิบัติของ “การธนาคารที่ยั่งยืน” (Sustainable Banking) อย่างแท้จริง ประกอบด้วยสมาชิกแนวร่วมคือ บริษัท ป่าสาละ จำกัด International Rivers มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) พิจารณาจากนโยบายที่เปิดเผยต่อสาธารณะของธนาคาร 12 แห่งในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2563 ใน 13 หมวด ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทุจริตคอร์รัปชัน ความเท่าเทียมทางเพศ สุขภาพ สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ธรรมชาติ ภาษี อาวุธ การคุ้มครองผู้บริโภค การขยายบริการทางการเงิน นโยบายค่าตอบแทน และความโปร่งใสและความรับผิด (ธ.ก.ส. ประเมิน 9 หมวด ยกเว้น สุขภาพ ธรรมชาติ และอาวุธ) โดยธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุดเรียงลำดับ ได้แก่ ธนาคารทหารไทย (38.9%) ธนาคารกรุงไทย (22.4%) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) (22.1%)
จากผลประเมิน ธ.ก.ส. ได้คะแนน 22.1% (คะแนนเต็ม 100) จากนโยบายที่มีความเด่นชัดด้านความยั่งยืน โดยมีคะแนนรวมมาเป็นอันดับที่ 3 รองจากธนาคารทหารไทย และธนาคารกรุงไทย ทั้งนี้ Fair Finance เป็น Movement ระดับโลกที่ใช้ “ดัชนี” และ “เครื่องมือ” สำหรับผู้บริโภคและภาคประชาสังคมมาประเมินธนาคารว่าทำได้ดีแค่ไหน ที่ผ่านมาประเมินเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ในปี 2563 เป็นปีแรกที่คณะวิจัยประเมินนโยบายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งด้วย ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธนาคารเอสเอ็มอี)
ธ.ก.ส. มุ่งดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตบนพื้นฐานการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งพัฒนาศักยภาพองค์กรและชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากร่วมกับภาคีเครือข่ายในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และยังคงมุ่งมั่นทำต่อไป เพื่อสร้าง Better Life คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชนบท Better Community ชุมชนที่ดีและเข้มแข็งขึ้น และ Better Pride สร้างความภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน มุ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบท”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38666 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนธันวาคม 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนธันวาคม 2563
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนธันวาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนธันวาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมในหลายภูมิภาคปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนธันวาคม 2563 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนธันวาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมในหลายภูมิภาคปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่” โดยมีรายละเอียดดังนี้
เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจ ด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 12.9 ต่อปี ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 19.0 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 16.0 และ 18.2 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากรายได้เกษตรกรกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -0.7 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุก
จดทะเบียนใหม่ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 26.3 และ 22.5 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการที่ขยายตัวร้อยละ 836.3 ต่อปี ด้วยจำนวน 2,969 ล้านบาท จากโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ขนาดกำลัง 24 เมกะวัตต์ จากเชื้อเพลิงชีวมวลและจำหน่ายไอน้ำ ในจังหวัดขอนแก่น เป็นสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 77.0 จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 76.5 สำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคตะวันออกปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะด้านการบริโภคภาคเอกชนการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวที่ร้อยละ 35.1 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 4.9 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -12.5 และ -19.6 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่และจำนวนรถบรรทุก
จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 15.3 และ 24.9 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 376.3 ต่อปี ด้วยจำนวน 4,164 ล้านบาท จากโรงงานผลิตเหล็กลวด เหล็กรูปพรรณ ในจังหวัดปราจีนบุรี เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 1,428.9 ต่อปี ด้วยจำนวน 2,843 ล้านบาท จากโรงงานผลิตเม็ดเทอร์โมพลาสติกรับเบอร์ รับเบอร์คอมปาวด์ และพลาสติกคอมปาวด์ ในจังหวัดระยอง เป็นสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 107.2 จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 105.2 สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.2 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคเหนือปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปี จากเดือน
ก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -3.0 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 29.5 และ 15.6 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากรายได้เกษตรกรกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าชะลอลงร้อยละ -7.8 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 44.7 และ 33.5 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวร้อยละ 625.8 ต่อปี ด้วยจำนวน 1,593 ล้านบาท จากโรงงานทอชิ้นส่วนชุดชั้นใน ในจังหวัดตาก เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 1,658.6 ต่อปี ด้วยจำนวน 2,386 ล้านบาท จากโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ ในจังหวัดกำแพงเพชรเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 51.7 และ 63.0 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 53.7 และ 63.6 ตามลำดับ สำหรับในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.2 ต่อปี
เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑลปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวที่ร้อยละ 11.1 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 19.7 และ 9.1 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -3.5 และ -7.1 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจ
ด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 28.7 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวร้อยละ 42.3 ต่อปี ด้วยจำนวน 6,042 ล้านบาท จากทำผลิตภัณฑ์โลหะสำหรับใช้ในการก่อสร้างหรือติดตั้ง การทำส่วนประกอบสำหรับใช้ในการต่อเรือ การผลิตและประกอบเครื่องส่งกำลังกล เช่น กระบอกไฮดรอลิก เครื่องอัด ในจังหวัดปทุมธานี เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 26.5 ต่อปี ด้วยจำนวน 5,143 ล้านบาท จากโรงงานผลิตหมึกพิมพ์ ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 49.2 และ 86.9 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.8 และ 87.1 ตามลำดับ สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวที่ร้อยละ 39.2 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 18.7 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -7.5 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุก
จดทะเบียนใหม่ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 21.2 และ 48.6 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวร้อยละ 662.9 ต่อปี ด้วยจำนวน 3,061 ล้านบาท จากโรงงานอัดเศษโลหะ อัดเศษกระดาษ อัดเศษพลาสติกทั่วไป ในจังหวัดสตูล เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 209.2 ต่อปี ด้วยจำนวน 3,216 ล้านบาท จากโรงงานผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 46.9 และ 85.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 49.4 และ 85.8 ตามลำดับ สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคตะวันตกปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -16.6 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 8.7 และ 16.1 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -19.6 และ -10.4 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากรายได้เกษตรกรขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 18.3 และ 21.1 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 11.8 และ -28.7 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 48.6 และ 86.9 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.0 และ 87.1 ตามลำดับ สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.2 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคกลางปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ดีดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยในเดือนธันวาคม 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และ 14.7 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -12.5 และ -21.9 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 36.9 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ -11.0 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวร้อยละ 101.1 ต่อปี ด้วยจำนวน 946 ล้านบาท จากโรงงานผลิตเครื่องเรือน หรือเครื่องตบแต่งภายในอาคาร จากไม้ แก้ว ยาง หรืออโลหะอื่นๆ ในจังหวัดสิงห์บุรี เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 191.7 ต่อปี ด้วยจำนวน 630 ล้านบาท จากโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ ในจังหวัดสระบุรี เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 48.6 และ 86.9 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.0 และ 87.1 ตามลำดับ สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ตั้งเป้าจัดส่งแรงงานทำงานต่างประเทศ 1 แสนคน ในปี 64 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
กระทรวงแรงงาน ตั้งเป้าจัดส่งแรงงานทำงานต่างประเทศ 1 แสนคน ในปี 64
รมว.แรงงาน เผยเป้าหมายจัดส่งแรงงานทำงานต่างประเทศ จำนวน 100,000 ราย โดยภาคเอกชน ประมาณ 89,000 คน ภาครัฐ และประมาณ 11,000 คน กำหนดส่งแรงงานไทยชุดแรก 210 คน เดินทางไปทำงานประเทศอิสราเอล 28 มกรานี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 100,000 คน ซึ่งแบ่งเป็นการดำเนินการโดยภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงาน/ฝึกงาน คนงานแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง และคนงานที่กลับมาพักและเดินทางกลับไปทำงาน (Re-entry) ประมาณ 89,000 คน และการจัดส่งโดยรัฐ ที่กระทรวงแรงงานได้รับโควตาจัดส่งจากประเทศคู่ภาคีที่มี MOU กับกรมการจัดหางานให้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน และนายจ้างต่างประเทศมอบหมายให้กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง อีกประมาณ 11,000 คน ได้แก่ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 5,000 คน ญี่ปุ่น (ผ่านองค์กร IM Japan) จำนวน 400 คน อิสราเอล จำนวน 5,400 คน และไต้หวัน จำนวน 200 คน
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้การจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศมีจำนวนลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า เดือนมีนาคม – ธันวาคม 2562 มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 94,994 คน แต่ในเดือนมีนาคม – ธันวาคม 2563 ลดลงเหลือเพียง 26,903 คน ลดลงร้อยละ 71.68 ซึ่งขณะนี้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้เตรียมหาตำแหน่งงาน เพื่อการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตรที่แรงงานไทยมีความถนัดเพิ่มมากขึ้น เช่น งานภาคเกษตร ในประเทศ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตามนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทเพื่อร่วมกันวางแผน ในการช่วยกันเร่งเยียวยาให้ภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว” รมว. แรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้กำหนดเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศในปี 2564 จากค่าเฉลี่ยผลการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา ของทุกประเภทการเดินทางทั้งการจัดส่งโดยภาครัฐและเอกชน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศ 114,003 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 114,958 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 115,554 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 114,656 คน และปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 58,673 คน ซึ่งปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา 3 เดือน (ต.ค. – ธ.ค. 63) ได้มีการจัดส่งไปแล้ว จำนวน 9,920 คน
“สำหรับปีนี้แรงงานไทยชุดแรกที่มีกำหนดเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC)” ในวันที่ 28 มกราคม 2564 จำนวน 210 คน ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมการประชุมคณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมการประชุมคณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมการประชุมคณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา
วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ ประธานกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรรมาธิการ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สว.) หมายเลข ๔๑๑ ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา เกียกกาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ขอบคุณ อช. และผู้นำ อช. ทั่วประเทศ เนื่องในวาระครบ 52 ปี โครงการพัฒนาผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน พร้อมเน้นย้ำ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน/หมู่บ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
มท.1 ขอบคุณ อช. และผู้นำ อช. ทั่วประเทศ เนื่องในวาระครบ 52 ปี โครงการพัฒนาผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน พร้อมเน้นย้ำ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน/หมู่บ
มท.1 ขอบคุณ อช. และผู้นำ อช. ทั่วประเทศ เนื่องในวาระครบ 52 ปี โครงการพัฒนาผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน พร้อมเน้นย้ำ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน/หมู่บ้าน
วันนี้ (28 ม.ค. 64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2512 รับหลักการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินงานโครงการพัฒนาผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยการคัดเลือกบุคคลในหมู่บ้านที่มีลักษณะเป็นผู้นำ จิตใจเสียสละ เข้ามาเป็นอาสาพัฒนาชุมชน (อช.) หมู่บ้านละไม่น้อยกว่า 4 คน และผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน (ผู้นำ อช.) ตำบลละ 2 คน เพื่อเป็นแกนนำดำเนินกิจกรรม/โครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ครบทุกหมู่บ้าน ตำบลทั่วประเทศ โดยมีวาระการปฏิบัติงานคราวละ 4 ปี ซึ่งในปัจจุบันมี อช. จำนวน 289,580 คน และผู้นำ อช. จำนวน 13,500 คน มีภารกิจสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข พัฒนาหมู่บ้านของตนเอง ช่วยเหลือ สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ หรือกิจกรรมพัฒนาหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานระหว่างประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนต่าง ๆ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันครบรอบปีที่ 52 ของการดำเนินงานโครงการพัฒนาผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน จึงขอขอบคุณอาสาพัฒนาชุมชนและผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนทุกท่าน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมานะ อดทน เสียสละ และดำรงตนเป็นแบบอย่างให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด และขอให้ผู้นำ อช. ได้ร่วมกันน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน/หมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด "รวมพลัง อช. สานต่อศาสตร์พระราชา พัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน" โดยเป็นการร่วมสร้างสังคมพัฒนาชุมชนใหม่ ด้วยการเติมความรู้ให้คนในชุมชนร่วมพัฒนาบ้านเกิด 3 เรื่อง ประกอบด้วย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศาสตร์พระราชา และนวัตกรรมที่เหมาะสม มีการฟื้นฟูดิน น้ำ ป่า วิถีวัฒนธรรม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกสร้างความสามัคคี มีจิตอาสา พัฒนาชุมชน เพื่อให้ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ ก่อเกิดความพอมีพอกิน ในขั้นพื้นฐาน รวมกลุ่มยกระดับเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาความเข้มแข็งในขั้นกลางและขั้นก้าวหน้า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ครอบครัวมีความสุข ชุมชนและประเทศชาติมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตลอดไป”
โดยในวันนี้ ทุกจังหวัดได้มีการจัดกิจกรรม ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง อช. สานต่อศาสตร์พระราชา พัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน” ได้แก่ กิจกรรมทางศาสนา การแสดงพลังอาสาพัฒนาชุมชน การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อภิปราย สัมมนาทางวิชาการ การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” กิจกรรมสาธารณประโยชน์ เป็นต้น โดยดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตามแนวปฏิบัติของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พึ่งได้! ตกทุกข์ ได้ยาก รัฐพร้อมดูแล | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
พึ่งได้! ตกทุกข์ ได้ยาก รัฐพร้อมดูแล
...
ในภาวะยากลำบากที่เกิดขึ้น
จากโรคระบาดและเศรษฐกิจตกต่ำ
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหา
ทั้งเรื่องการดำรงชีพ และไม่มีที่อยู่อาศัย
.
ปัญหาเหล่านี้ภาครัฐช่วยเหลือท่านได้
เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตเบื้องต้น
เพราะเรามีศูนย์ช่วยเหลือสังคม
มีที่พัก อาหาร และปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีพ
.
เรายังมีการฝึกอาชีพ หรือหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้
เช่น ลูกจ้างขายของ ขายอาหาร แก้ไขเสื้อผ้า
หากเจ็บป่วยก็จะประสานโรงพยาบาล
หรือส่งกลับภูมิลำเนาให้อีกด้วย
.
ส่วนครอบครัวที่รายได้น้อยและเดือดร้อนเฉพาะหน้า
ก็มีเงินช่วยเหลือครั้งละไม่เกิน 2,000 บาท
ครอบครัวละไม่เกิน 3 ครั้ง
.
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ยากลำบากเพียงใด
ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง
หรือที่สำนักงานพัฒนาสังคมฯ จังหวัด
หรือ โทรสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38665 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยมอบรางวัลใหญ่รถเก๋งให้ผู้โชคดีถูกสลากกาชาด | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
มหาดไทยมอบรางวัลใหญ่รถเก๋งให้ผู้โชคดีถูกสลากกาชาด
มหาดไทยมอบรางวัลใหญ่รถเก๋งให้ผู้โชคดีถูกสลากกาชาด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้มอบรางวัลสลากบำรุงกาชาดไทย ปี 2563 ของกระทรวงมหาดไทย ให้แก่ นายทวีศักดิ์ ตั้งตรงไพโรจน์ ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 หมายเลขสลาก 59826 “รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ Toyota Yaris Entry” มูลค่า 549,000 บาท โดยมี นายเสนีย์ ส้มเขียวหวาน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นางโสรยา พานิชพงศ์ ผู้อำนวยการกองคลัง และบุคลากรในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแสดงความยินดี
นายฉัตรชัย กล่าวว่า รางวัลสลากกาชาด ประจำปี 2563 กระทรวงมหาดไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 33 รางวัล มีผู้ถูกรางวัลกระจายไปในหลายจังหวัด และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการรับรางวัล กระทรวงมหาดไทยได้มอบให้จังหวัดเป็นผู้มอบรางวัลให้แก่ผู้ถูกรางวัลในจังหวัดนั้น ขณะนี้รางวัลได้ถูกส่งมอบใกล้ครบทุกรางวัลแล้ว โดยรางวัลที่ไม่มีผู้มาติดต่อขอรับภายในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงมหาดไทยจะได้ส่งมอบให้สภากาชาดไทยต่อไป
สำหรับ สลากบำรุงกาชาดไทย กระทรวงมหาดไทยได้ออกรางวัลไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยรางวัลที่ 1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ Toyota Yaris Entry จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 รถจักรยานยนต์ Honda Wave110i จำนวน 12 รางวัล และรางวัลที่ 3 สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 20 รางวัล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง
ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนกรมพระธรรมนูญ
ผู้แทนกรมราชทัณฑ์ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม
ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสภาทนายความ รวมทั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์
ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาคำขออุทธรณ์ของผู้เสียหายและคำขอจำเลย
รวม จำนวน ๘๖ เรื่อง โดยอนุมัติจ่ายเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒,๔๐๔,๑๗๓ บาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบสถิติการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
รวมจำนวน ๒,๔๘๘ ราย เป็นจำนวนเงิน ๘๑,๐๖๑,๙๑๘.๕๐ บาท
และช่วยเหลือคดีที่สาธารณชนให้ความสนใจ
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการติดตามให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย
คดีความผิดเกี่ยวกับเพศตามข้อสั่งการของคณะกรรมการฯ
ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดส่งบัญชีรายชื่อผู้เสียหายคดีความผิดเกี่ยวกับเพศที่ผ่านการพิจารณา
ของคณะกรรมการฯ ไปยังสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป และรับทราบสถิติยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อศาลอุทธรณ์
และรายงานผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38697 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เร่งฝึกอบรมข้าราชการยุค New Normal ปรับหลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ 1ในรูปแบบออนไลน์ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
วธ.เร่งฝึกอบรมข้าราชการยุค New Normal ปรับหลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ 1ในรูปแบบออนไลน์
วธ.เร่งฝึกอบรมข้าราชการยุค New Normal ปรับหลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ 1ในรูปแบบออนไลน์ แต่ยังคงเนื้อหาสาระตามที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด เชิญผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญให้ความรู้ 25-29 ม.ค. นี้
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีการฝึกอบรม หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ในรูปแบบออนไลน์ โดยมีนางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม คณะผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการบรรจุใหม่ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom Video Conference ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม โดยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการใหม่ที่จะมาทำงานในกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ทั้ง 107 คน วธ.ถือเป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ สืบสาน ฟื้นฟูและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมของไทย แต่เนื่องจากปีนี้ต้องปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันชีวิตวิถีใหม่ New Normal การอบรมต้องเป็นระบบออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะได้เรียนรู้การเป็นข้าราชการที่ดีแล้ว ก็ช่วยพัฒนาศักยภาพของข้าราชการที่ดีตามที่ ก.พ. กำหนด โดยเฉพาะข้าราชการของ วธ. เน้นเรื่องความรับผิดชอบตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย การทำงานเป็นทีม การสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรม มีความรู้รอบตัว ไม่ทำผิดกฎระเบียบ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต
“ณ วันนี้สิ่งที่เราอยากเห็นคือความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้บังคับบัญชา ผู้อาวุโส ยกมือไหว้ ถือเป็นอัตลักษณ์ของข้าราชการของ วธ. สิ่งสำคัญคือต้องเป็นผู้ที่ใฝ่หาความรู้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในระบบหรือนอกระบบ ความรู้จากโลกอินเทอร์เน็ต คิดไปข้างหน้า และเราต้องมีทัศนคติต่อองค์กร ความรัก ความภักดีต่อองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ ระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ นำสื่อไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนางานให้ดีที่สุด ทำงานอย่างมีความสุข” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
ทั้งนี้ การอบรมดังกล่าวเป็นไปตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ให้ข้าราชการระหว่างยังทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการและให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ได้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ การปลูกฝังอุดมการณ์ของการเป็นข้าราชการที่ดี การพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ การให้บริการประชาชน การทำงานเป็นทีม เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจ มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของหน่วยงาน การฝึกอบรมครั้งนี้ได้รับรูปแบบการฝึกอบรมให้เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ แต่ยังคงเนื้อหาสาระของหลักสูตรตามที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด โดยเชิญผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญจากหน่วยงานในสังกัดวธ. หน่วยงานภาครัฐ เอกชน มาเป็นวิทยากร มีข้าราชการบรรจุใหม่เข้ารับการฝึกอบรม 107 คน ประกอบด้วยสำนักงานปลัด วธ. 15 คน กรมศิลปากร 73 คน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม 1 คน กรมการศาสนา 12 คน และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 6 คน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 25-29 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ จุรินทร์ ปล่อยขบวน รถ พม. Mobile "ปันสุข สู่ชุมชน" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดจากผลกระทบโรคโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รองนายกฯ จุรินทร์ ปล่อยขบวน รถ พม. Mobile "ปันสุข สู่ชุมชน" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดจากผลกระทบโรคโควิด-19
รองนายกฯ จุรินทร์ ปล่อยขบวน รถ พม. Mobile "ปันสุข สู่ชุมชน" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 28 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดจากผลกระทบโรคโควิด-19
วันนี้ (28 ม.ค. 64) เวลา 09.45 น. ที่บริเวณลานหน้ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถ พม. Mobile ปันสุข สู่ชุมชน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เพื่อเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ประสบปัญหาทางสังคม และผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในพื้นที่ 28 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมปล่อยขบวน
นายจุรินทร์กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้ดำเนินโครงการ พม. Mobile ปันสุข สู่ชุมชน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เพื่อเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะใน 28 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ด้วยรถ พม. Mobile นำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ เข้าไปในชุมชนที่เป็นพื้นที่ปิดและมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต จำนวน 57 จุดบริการ พร้อมทั้งการรับเรื่องร้องทุกข์ในชุมชน เพื่อให้การช่วยเหลือโดยตรงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้ กระทรวง พม. ได้จัดกิจกรรม Kick Off ปล่อยขบวนรถ พม. Mobile ปันสุข สู่ชุมชน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม จำนวน 25 คัน ออกจากกระทรวง พม. ไปยังชุมชนต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ พร้อมทั้งมีการปล่อยขบวนรถ พม. Mobile ในอีก 23 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งจะให้บริการจนถึงเดือนมีนาคม 2564
นายจุรินทร์กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่กรุงเทพมหานครในวันนี้ รถ พม. Mobile จะไปลงพื้นที่ ณ 6 จุดบริการ ประกอบด้วย จุดบริการที่ 1 ณ วัดภาณุรังษี เขตบางพลัด จุดบริการที่ 2 ณ ชุมชนมั่นคง 133 เขตบางบอน จุดบริการที่ 3 ณ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน (ร่วมใจ) เขตราชเทวี จุดบริการที่ 4 ณ สหกรณ์เจริญชัย เขตจตุจักร จุดบริการที่ 5 ณ สหกรณ์มหาดไทย เขตบางกะปิ และจุดบริการที่ 6 ณ ชุมชนรุ่งมณี เขตวังทองหลาง
นายจุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากรถ พม. Mobile แล้ว กระทรวง พม. ยังมีการตั้งตู้ พม. ปันสุข และ ตู้ พม. รับทุกข์ ณ จุดบริการทั้ง 57 จุด เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ด้านการดำรงชีวิตให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในชุมชนโดยตรง รวมทั้งการรับเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งทีม พม. One Home จังหวัด และหน่วยงานศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 จังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38689 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ รับมอบสิ่งของ อุปกรณ์ จากสถาบันวิทยาการตลาดทุน ส่ง จ.สมุทรสาคร สู้โควิด – 19 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รมว.สุชาติ รับมอบสิ่งของ อุปกรณ์ จากสถาบันวิทยาการตลาดทุน ส่ง จ.สมุทรสาคร สู้โควิด – 19
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 29 โอกาสเข้าพบเพื่อมอบสิ่งของและอุปกรณ์ป้องกันโควิด -19 เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่จังหวัดสมุทรสาครนำไปใช้ประโยชน์ต่อสู้กับโควิด – 19
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เวลา 13.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับนายสุเมธ บุญบรรดารสุขในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อนำคณะจากสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 29 มอบสิ่งของและอุปกรณ์ป้องกันโควิด – 19 แก่กระทรวงแรงงาน เพื่อส่งต่อให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่จังหวัดสมุทรสาครสนับสนุนการปฏิบัติงานในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ณ บริเวณโถงชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้ด้วยสำหรับสิ่งของและอุปกรณ์ป้องกันโควิด – 19 ที่คณะจากสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 29 นำมามอบแก่กระทรวงแรงงาน อาทิ ชุดเครื่องพ่น จำนวน 70 ชุด ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อไวรัส สูตรธรรมชาติ KEEEN Germ Killer จำนวน 600 ถัง หน้ากาก N95 จำนวน 1,120 ชิ้น เครื่องวัดอุณหภูมิ จำนวน 80 อัน Surgical mask จำนวน 600 กล่อง Shoe cover boot จำนวน 200 คู่ ถุงมือยาง จำนวน 100 กล่อง ชุด PPE จำนวน 694 ชุด เพื่อส่งต่อให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่จังหวัดสมุทรสาคร สนับสนุนการปฏิบัติงานในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย 61 จังหวัดพื้นที่ปลอดภัย เตรียมเสนอ ศบค.ผ่อนปรนมาตรการ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
สธ. เผย 61 จังหวัดพื้นที่ปลอดภัย เตรียมเสนอ ศบค.ผ่อนปรนมาตรการ
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอ ศบค.ผ่อนปรนมาตรการ พบ 61 จังหวัดไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง ส่วนพื้นที่ กทม.เริ่มควบคุมได้ แต่ยังพบในบางกลุ่มต้องติดตามต่อเนื่อง ย้ำการปกปิดไทม์ไลน์ ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แ
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอ ศบค.ผ่อนปรนมาตรการ พบ 61 จังหวัดไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง ส่วนพื้นที่ กทม.เริ่มควบคุมได้ แต่ยังพบในบางกลุ่มต้องติดตามต่อเนื่อง ย้ำการปกปิดไทม์ไลน์ ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ
วันนี้ (28 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 756 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 746 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 724 ราย และจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 22 ราย ส่วนอีก 10 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมการระบาดระลอกใหม่ (วันที่ 15 ธันวาคม 2563–28 มกราคม 2564) 11,984 ราย หายป่วยเพิ่ม 233 ราย สะสม 7,347 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 4,621 ราย ไม่เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.13 โดยสัปดาห์นี้ได้ปูพรมตรวจโรงงานต่างๆในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ทำให้ผลการค้นเชิงรุกพบผู้ติดเชื้อใน 3 วัน คือ 848 ราย 716 ราย และ 724 ราย ตามลำดับ
นพ.เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในหลายจังหวัด โดยจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 7 วัน มี 47 จังหวัด และไม่มีการติดเชื้อรายใหม่เลยอีก 14 จังหวัด รวมทั้งหมด 61 จังหวัดถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งข้อมูลนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุม ศบค.ในวันที่ 29 มกราคม 2564 พิจารณาเรื่องการผ่อนปรนมาตรการ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องมีมาตรการเฝ้าระวังต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตามผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและปอดบวมที่รับการรักษาที่โรงพยาบาล สำหรับ กทม.ควบคุมการระบาดได้ดี แต่ยังมีบางกลุ่มก้อนที่พบผู้ป่วยประปรายยังต้องติดตามต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีประชาชนกังวลเกี่ยวกับการปกปิดไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่มีชื่อเสียง ดังนั้นเพื่อช่วยกันหยุดยั้งการแพร่เชื้อ ขอความร่วมมือผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกราย อย่าปกปิดข้อมูลของตนเอง เนื่องจากมีผลต่อการควบคุมป้องกันโรค สร้างความกังวลและความเสี่ยงต่อบุคคลใกล้ชิด ขอให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ให้กับเจ้าหน้าที่สอบสวนโรค จะเปิดเผยเฉพาะในส่วนที่มีผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง และที่มีผลกับการควบคุมป้องกันโรคเท่านั้น โดยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ปกปิดข้อมูลจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าพนักงานโรคติดต่อในพื้นที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้
******************************** 28 มกราคม 2564
********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38699 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ย้ำ นายก กำชับติดตามกรณีพระสงฆ์ถูกฆาตกรรมอย่างใกล้ชิด มั่นใจฝีมือตำรวจไทยหาตัวคนร้ายได้แน่นอน | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
“อนุชา” ย้ำ นายก กำชับติดตามกรณีพระสงฆ์ถูกฆาตกรรมอย่างใกล้ชิด มั่นใจฝีมือตำรวจไทยหาตัวคนร้ายได้แน่นอน
“อนุชา” ย้ำ นายก กำชับติดตามกรณีพระสงฆ์ถูกฆาตกรรมอย่างใกล้ชิด มั่นใจฝีมือตำรวจไทยหาตัวคนร้ายได้แน่นอน
(28 มกราคม 2564) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) นายนิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ต่อ กรณีที่พระสงฆ์ถูกทำร้ายถึงแก่มรณภาพ ในพื้นที่ ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นเหตุสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ และยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ โดยที่ผ่านมาพบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ แต่พระสงฆ์ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม จึงสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีการดำเนินงานอย่างไร
โดย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ชี้แจงว่า จากกรณีที่เกิดเหตุกับพระสงฆ์จนถึงแก่มรณภาพ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐเองก็มิได้นิ่งนอนใจ มีการติดตามทุกคดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวน
สำหรับ กรณีที่เกิดเหตุในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าเหตุเกิดขึ้นที่บริเวณที่พักสงฆ์ป่าว่าน ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พระภิกษุสงฆ์ที่ประสบเหตุ คือ พระสุริยา อุทาโณ อายุ 44 ปี พรรษา 7 ไม่ทราบสังกัดวัด เนื่องจากไม่พบเอกสารหนังสือสุทธิ บัตรประจำตัวประชาชน และไม่พบย่ามของพระภิกษุสงฆ์ในที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี โดยพบผู้ต้องหา จำนวน 6 คน อยู่ระหว่างการตรวจสอบ DNA
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนมีความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมั่นใจในฝีมือตำรวจไทยว่าสามารถจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีได้ ส่วนกรณีที่พระสงฆ์ในพื้นที่อื่นโดนทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่มรณภาพ เช่น ในพื้นที่ จ.สกลนคร และ จ.สุราษฎร์ธานี ภาครัฐมิได้นิ่งนอนใจ ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ในกระบวนการชั้นศาล ในส่วนของคดีฆาตกรรมพระ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการหารือกันอีกครั้ง
.........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38679 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563
เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2563 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัว การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
“เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2563 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัว การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2563 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศสะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัว การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 16.4 และ 10.6 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น โดยในเดือนธันวาคม 2563 รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัวร้อยละ 12.1 ต่อปี สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 2.8 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล หรือหดตัวในอัตราชะลอลง
จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ –4.4 ต่อปี อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.1 จากระดับ 52.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวร้อยละ 7.3 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 15.8 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์กลับมาขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงที่ร้อยละ -15.9 ต่อปี
เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือนที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัวร้อยละ 63.6 และ 25.7 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกผักและผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร ที่ขยายตัวต่อเนื่อง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ โทรศัพท์และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เป็นต้น และ 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่กลับมาขยายตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และรถยนต์
เป็นต้น อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป และอัญมณีและเครื่องประดับยังคงลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ที่ร้อยละ 15.7 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปญี่ปุ่นและทวีปออสเตรเลียขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 14.9 และ 13.5 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปประเทศจีนและอินเดียกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ร้อยละ 7.2 และ 14.5 ต่อปี ตามลำดับ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี จากการลดลงในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องแต่งกาย และน้ำมันปิโตรเลียม เป็นสำคัญ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 85.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอลง อย่างไรก็ดี การผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนธันวาคม 2563 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศ จำนวน 6,556 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี และอังกฤษ นอกจากนี้บางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลีใต้ เเละประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ลดลงร้อยละ –31.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ -23.4 ต่อปี สำหรับภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเปลือก ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 50.5 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 258.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38675 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรมเชิงรุก” เพิ่มช่องทางการเข้าถึงความเป็นธรรม/ติดตามเรื่องร้องทุกข์ สะดวก รวดเร็ว ทั่วถึงทุกพื้นที่ ผ่าน Digital Platform “Justice Care” | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
“ยุติธรรมเชิงรุก” เพิ่มช่องทางการเข้าถึงความเป็นธรรม/ติดตามเรื่องร้องทุกข์ สะดวก รวดเร็ว ทั่วถึงทุกพื้นที่ ผ่าน Digital Platform “Justice Care”
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
ภายใต้แนวคิด “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน”
ในวันอังคารที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๘ - ๐๔ ชั้น ๘
อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
ภายใต้แนวคิด “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน”
โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ
เพื่อหารือเรื่องแนวทางการพัฒนาระบบติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงยุติธรรม
ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Platform) ครบวงจร
“Justice Care ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน"
ที่แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความยุติธรรมทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ผ่านการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
เพื่อให้ประชาชนสามารถรับบริการด้านงานยุติธรรมผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาศักยภาพและยกระดับการปฏิบัติงานของบุคลากรที่เป็นผู้ประสานงานหลัก (Case Manager)
ของสำนักงานยุติธรรมจังหวัด มุ่งเป้าผลลัพธ์ในการนำความยุติธรรม
ส่งถึงมือประชาชนผู้เดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศด้วยความเสมอภาค และเท่าเทียมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38692 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2564
ดัชนี RSI เดือน ม.ค.2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในบางภูมิภาค โดยเฉพาะภาคการลงทุนและภาคบริการของ กทม. และปริมณฑล เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
“ดัชนี RSI เดือนมกราคม 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในบางภูมิภาค โดยเฉพาะภาคการลงทุนและภาคบริการของ กทม. และปริมณฑล เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดี แนวโน้มความเชื่อมั่นในอนาคตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกยังมีทิศทางที่ดีขึ้น”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2564 ที่เป็นการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนมกราคม 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในบางภูมิภาค โดยเฉพาะภาคการลงทุนและ ภาคบริการของ กทม. และปริมณฑล เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดี แนวโน้มความเชื่อมั่นในอนาคตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกยังมีทิศทางที่ดีขึ้น”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 55.7 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคการลงทุน เนื่องจากการเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวในภาคเกษตรส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ในส่วนของภาคการลงทุนคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 53.7 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยางพาราเพิ่มสูงขึ้น อาทิ เช่น ถุงมือแพทย์ ถุงยางอนามัย ยางยืด และยางรถยนต์ เป็นตัน สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 52.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวสินค้าเกษตร ประกอบกับมาตรการภาครัฐในการช่วยเหลือและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 50.1 สะท้อนความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในระดับที่ทรงตัว เนื่องจาก เกษตรกรคาดว่าปริมาณน้ำอาจจะไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงสิ้นสุดฤดูฝนและเข้าสู่ฤดูแล้ง จึงลดพื้นที่การเพาะปลูกลง ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์การกระจายวัคซีนป้องกันโรคอย่างทั่วถึงยังสร้างความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 43.4 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการเกษตรและภาคการจ้างงาน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนและลดการจ้างงานลง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ ภาคตะวันตกอยู่ที่ 41.3 สะท้อนถึงการคาดการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรยังมีแนวโน้มความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นโดยคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะคลี่คลายและทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 40.7 สะท้อนภาวะอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ในภาพรวม เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2564 (ณ เดือนมกราคม 2564)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 40.7 52.2 55.7 53.7 43.4 50.1 41.3
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 61.8 58.3 58.0 62.1 40.8 57.8 50.9
2) ภาคอุตสาหกรรม 37.2 55.1 53.7 60.4 47.8 52.1 39.0
3) ภาคบริการ 31.1 48.6 54.8 50.7 42.6 45.3 37.1
4) ภาคการจ้างงาน 37.7 49.1 54.9 49.8 40.7 49.4 38.2
5) ภาคการลงทุน 35.9 50.0 56.8 45.6 45.1 46.1 41.5
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 และ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 และ 2564
เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ -6.5 ต่อปี และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี ปรับลดจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
“เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ -6.5 ต่อปี และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี ปรับลดจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ดี มาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะมีส่วนช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 และ 2564 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ -6.5 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -6.8 ถึง -6.3) หดตัวน้อยกว่าที่ประมาณการไว้เดิม ณ เดือนตุลาคม 2563 ที่ร้อยละ -7.7 ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี และมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะหดตัวที่ร้อยละ -0.9 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -1.2 ถึง -0.7 ) และร้อยละ -8.9 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -9.2 ถึง -8.7) ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่หดตัวร้อยละ -3.0 ต่อปี และร้อยละ -9.8 ต่อปี ตามลำดับ และมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยปรับตัวดีขึ้นที่ร้อยละ -6.6 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -6.8 ถึง -6.3) ปรับตัวดีขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ร้อยละ -7.8 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักฟื้นตัวได้เร็วดีกว่าที่คาด หลังจากที่หลายประเทศมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด”
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2564 กระทรวงการคลังคาดว่า “เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.3 ถึง 3.3) ปรับลดจากการการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ระบาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทำให้คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปี 2564 จะลดลง อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบวกจากการได้รับวัคซีนของประชากรในประเทศต่าง ๆ ในระยะต่อไป ประกอบกับภาครัฐได้ดำเนินมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายเงินจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ในส่วนที่เหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการจ้างงานให้เพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.0 ถึง 3.0) และ 3.4 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.9 ถึง 3.9) ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.6 ถึง 6.6) และ 12.1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 11.6 ถึง 12.6) ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.2 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.7 ถึง 6.7) โดยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี(โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.8 ถึง 1.8) ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีทิศทางสูงขึ้นและการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ”
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าของวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ อย่างไรก็ดี ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1) การควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2) ความสำเร็จในการฉีดวัคซีนของประเทศต่าง ๆ และ 3) นโยบายทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและความผันผวนของเงินลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมั่นใจว่าประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และมีฐานะการคลังที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมที่จะดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 3273
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมรายงานผลการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยในการบริหารงานและจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
ประชุมรายงานผลการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยในการบริหารงานและจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมรายงานผลการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยในการบริหารงานและจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมรายงานผลการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยในการบริหารงานและจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยมี นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเร็ว ๆ นี้
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ได้รับทราบแผนการจัดเก็บฐานข้อมูล (Big Data) ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในขั้นตอนการเก็บข้อมูล และบริหารฐานข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่การใช้ข้อมูลในการบริหารงาน และจัดสรรงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการจัดทำข้อมูลที่ดี ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกของการจัดสรรงบประมาณ จึงได้หารือกับหน่วยงานที่มีการเก็บข้อมูลของครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา ทั้ง 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.) และคุรุสภา
อีกทั้ง ได้มอบหมายให้คณะทำงานที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดทำฐานข้อมูล เพื่อปฏิบัติงานในรายละเอียดเชิงลึก พร้อมทั้งเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงาน อันจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจด้านต่าง ๆ รวมถึงการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับการมีสมุดพกดิจิทัลของนักเรียน ที่จะติดตามความก้าวหน้าของเด็กไปตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่จนกระทั่งจบการศึกษา สำหรับข้อมูลของครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น มีแผนที่จะรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำสมุดพกของครู ทั้งในเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพ และการพัฒนาตนเอง โดยไม่ต้องทำวิทยฐานะเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้การทำงานหลายอย่างง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การจัดการระบบฐานข้อมูลจะช่วยลดภาระการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ เพื่อไม่ให้เกิดการกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง เช่น ความสูงและน้ำหนักของนักเรียน เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับครู ทำให้ครูมีเวลาทุ่มเทกับการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะมีการประชุมเพื่อสรุปความก้าวหน้า ภายหลังจากได้มอบหมายให้คณะทำงาน ร่วมหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความต้องการ และความครบถ้วนของข้อมูลอีกครั้ง
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38686 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุม การบูรณาการด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
ประชุม การบูรณาการด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาทั่วประเทศ
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม การบูรณาการด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาทั่วประเทศ
เมื่อวันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม การบูรณาการด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาทั่วประเทศ โดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ หอประชุมคุรุสภา
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การศึกษาถือเป็นเครื่องมือชี้วัดคุณภาพและศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาอารยะประเทศ และมีทักษะเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของศตวรรษที่ 21 การพัฒนาคุณภาพการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจ พบว่าโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 15,000 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 120 คน ทำให้การบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่ ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงไม่สามารถจัดสรรบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างทั่วถึง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการจึงมีแนวทางที่จะบูรณาการการศึกษา เพื่อพลิกการศึกษาทุกตารางนิ้วของประเทศไทย โดยการผนึกกำลังการทำงานอย่างเป็นเอกภาพของทุกหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ การบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ, การสร้างโรงเรียนคุณภาพให้กับชุมชน, การจัดสรรบุคลากรทางการศึกษาที่มีอยู่ในระบบให้เข้าถึงในทุกโรงเรียน เป็นต้น เพื่อให้เด็กได้เรียนในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น พร้อมทั้งได้รับการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพจากการที่มีครูครบชั้น ครบวิชา ในส่วนของโรงเรียนก็จะได้รับเงินอุดหนุน ที่สามารถจัดการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ความสำคัญกับวางรากฐานระบบการส่งต่อนักเรียน จากชั้นประถมศึกษา ไปยังระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะต่อยอดการใช้พื้นที่โรงเรียนบางส่วน ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับชุมชน ทั้งการเป็นพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็ก การสร้างชุมชนครูหรือหอพักสำหรับครูและข้าราชการในพื้นที่ รวมทั้งการจัดพื้นที่สำหรับพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชน ให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละจังหวัดด้วย ทั้งนี้ แผนบูรณาการการศึกษาดังกล่าว ได้มีการลงพื้นที่สำรวจและพัฒนาโดยใช้พื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นต้นแบบ ใน 3 แนวทางหลัก คือ แนวทางที่ 1: พัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชนระดับประถมศึกษา, แนวทางที่ 2: เพิ่มศักยภาพโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ (Stand Alone) และแนวทางที่ 3: ยกระดับโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง จึงขอฝากให้ตัวแทนจากทั้ง 77 จังหวัด ได้ทำแผนพัฒนาในจังหวัดของตนเอง เพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนารวมถึงการพิจารณาวางแผนงบประมาณที่ต่อเนื่องต่อไป "กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในขณะที่การขับเคลื่อนการศึกษาไทยเป็นสิ่งหยุดไม่ได้ สิ่งที่เรากำลังทำนั้น มีความสำคัญมากกับการขับเคลื่อนการศึกษาไทย วันนี้ เป็นวันที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ครบ 18 เดือน ได้เห็นวงจรการศึกษาครบถ้วน รวมถึงรับทราบแนวทางในอดีต และรับฟังข้อมูลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งสำคัญ คือ การเตรียมเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ให้มีความพร้อมรองรับการทำงานและการดำรงชีวิตในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และต้องการการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ของทุกภาคส่วนในกระทรวงศึกษาธิการ" รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่รวมทุกองคาพยพของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เห็นการรวมพลังเพื่อพลิกการศึกษาไทยทั้งประเทศ เชื่อมโยงกับการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยทุกระดับ หากเราดำเนินงานได้ตามเป้าหมายก็จะสามารถพลิกฟื้นประเทศไทยได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ขอเป็นตัวแทนที่สะท้อนระบบการศึกษาไทยที่มีคุณภาพ เนื่องจากได้เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด จึงขอยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาในพื้นที่ใด การศึกษาไทยสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกพื้นที่ในโรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ ดังนั้น การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยทั่วประเทศ เป็นสิ่งสำคัญและต้องเร่งดำเนินการ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอสนับสนุนการดำเนินงานบูรณาการการศึกษาในทุกจังหวัดอย่างเต็มที่
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยพยายามดำเนินงานต่าง ๆ ให้มีมิติการศึกษาเป็นตัวนำ และขอขอบคุณพี่น้องชาวกระทรวงศึกษาธิการที่ให้การต้อนรับในระหว่างการลงพื้นที่ทุกจังหวัด ทุกความคิดเห็นและข้อแนะนำของทุกท่าน ล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาการศึกษาไทย สำหรับการบูรณาการการศึกษาเพื่อพลิกคุณภาพการศึกษาไทยในครั้งนี้ื ได้จัดคณะทำงานร่วมองคาพยพ และมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของชาวกระทรวงศึกษาธิการทุกคน ทั้งบุคลากรในส่วนกลางและในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อทำให้การศึกษาที่เปรียบเสมือนเป็นรากแก้ว ที่จะยึดโยงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ขอขอบคุณและชื่นชม สพฐ. ที่ร่วมมือทำงานอย่างเข้มแข็ง รวมถึงขอบคุณคนในพื้นที่ที่รวบรวมข้อมูลอย่างเข้มข้น ทำให้การทำงานสะดวกขึ้น โดยขอเน้นย้ำการเดินหน้าการบูรณาการทำงานที่จะใช้กลไกของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ๆ เพื่อให้การศึกษาดำรงอยู่ได้ ด้วยการร่วมด้วยการพึ่งพากันคนละไม้คนละมือของทุกหน่วยงานในชุมชน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว, สถาพร ถาวรสุข, ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38685 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งรัดดำเนินแผนงานบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู คลองแสนแสบ ระยะเร่งด่วน เพื่อการสัญจรทางน้ำอย่างปลอดภัยของประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งรัดดำเนินแผนงานบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู คลองแสนแสบ ระยะเร่งด่วน เพื่อการสัญจรทางน้ำอย่างปลอดภัยของประชาชน
รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งรัดดำเนินแผนงานบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู คลองแสนแสบ ระยะเร่งด่วน เพื่อการสัญจรทางน้ำอย่างปลอดภัยของประชาชน
วันนี้ (28 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการ บริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู คลองแสนแสบ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานอื่น ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล VDO Conference โดยรองนายกรัฐมนตรีย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดปฏิบัติตามแผนงานทั้งแผนงานระยะเร่งด่วน แผนงานระยะกลาง – ระยะยาว ให้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนด พร้อมให้รายงานความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน อาทิ การใช้เรือไฟฟ้าแทนเรือยนต์ การติดตั้งกล้องวงจรปิดตามท่าเรือ เพื่อพัฒนา อนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้สัญจรทางน้ำอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
สำหรับมติที่ ประชุมรับทราบการดำเนินงานบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ที่ผ่านมา จำแนกเป็น แผนงานระยะเร่งด่วน ปี 2564 ประกอบไปด้วย การเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำของประชาชน การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณคลองแสนแสบ การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ การป้องกันการบุกรุกทรัพยากรในคลองแสนแสบ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในคลองแสนแสบ และแผนงานระยะกลาง – ระยะยาว ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป อาทิ โครงการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียโครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นต้น พร้อมกันนี้ ยังมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยการสัญจรทางน้ำ การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ แก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ เพื่อให้คลองแสนแสบกลับมามีระบบนิเวศน์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและการระบายน้ำอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบปฏิทินการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ปี 2564 ด้วย
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ มอบสิทธิประโยชน์ว่างงานแก่ลูกจ้าง บ.บอดี้แฟชั่นฯ ที่ถูกเลิกจ้างจากโควิด -19 กว่า 30 ล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
‘บิ๊กป้อม’ มอบสิทธิประโยชน์ว่างงานแก่ลูกจ้าง บ.บอดี้แฟชั่นฯ ที่ถูกเลิกจ้างจากโควิด -19 กว่า 30 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานแก่ลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ ที่ถูกเลิกจ้างกรณีสถานประกอบการปิดตัวจากผลกระทบโควิด-19 จำนวน 733 คน รวมเป็นเงินมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 30 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เวลา 09.30 น. ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานแก่ผู้แทนลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ ที่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากสถานประกอบการปิดตัวจากผลกระทบโควิด-19 โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวรายงาน
นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้ด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินงานของกระทรวงแรงงานในการช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ถูกเลิกจ้างให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด 19 เช่นนี้ เพราะไม่ใช่แค่ลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่นฯ จะได้รับผลประโยชน์ แต่ยังมีลูกจ้างอีกกว่า 15,000 คน ที่จะได้รับประโยชน์วงเงินกว่า 840 ล้านบาท สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” การดำเนินการของกระทรวงแรงงานในครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกำกับดูแลกระทรวงแรงงานของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่ประสบปัญหาว่างงานเนื่องจากสถานประกอบการปิดกิจการจากผลกระทบโควิด-19 และได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบเป็นการเร่งด่วน ซึ่งจากประเด็นข่าวลูกจ้างของบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ จำนวน 733 ราย ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 โดยนายจ้างประกาศเลิกจ้างเนื่องจากลูกจ้างกระทำความผิด ส่งผลให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ไม่ได้รับเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายเงินตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการของศาลกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้ดำเนินการหารือประเด็นดังกล่าวกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณาประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานที่มีสาเหตุการลาออกจากงานของผู้ประกันตนกับนายจ้างไม่ตรงกัน และเรื่องอยู่กระบวนการของศาล
นายสุชาติกล่าวต่อว่า เพื่อมิให้เกิดความล่าช้าในการจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตน โดยการออกประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๖๔ จัดทำระเบียบสำนักงานประกันสังคมว่าด้วยการขอรับประโยชน์ทดแทน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๔ และจัดทำแนวปฏิบัติการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานกรณีการแจ้งสาเหตุการออกจากงานของผู้ประกันตนกับนายจ้างไม่ตรงกัน จากการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม สามารถวินิจฉัยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานให้กับลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ จำนวน 733 ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 30,785,973.65 บาท (สามสิบล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นห้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสามบาทหกสิบห้าสตางค์) สำหรับในวันนี้มีผู้แทนลูกจ้าง จำนวน 5 รายที่เข้ารับเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนฯ ได้แก่ 1) นางระพีพร วันสืบเชื้อ จำนวน 70,000 บาท2) นางสาวน้ำฝน จันทวิ จำนวน 67,520 บาท 3) นางวรรณิภา พุ่มโพ จำนวน 66,590 บาท 4) นางสาวนฤมล ทาหาวงศ์ จำนวน 67,630 บาท และ 5) นางสาวนิลวรรณ ภูมี จำนวน 44,450 บาท ซึ่งจะได้รับเงินดังกล่าวผ่านบัญชีธนาคารในวันนี้ (28 ม.ค.64) นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ลูกจ้างของบริษัทอื่นๆ ทั่วประเทศอีกกว่า 15,000 ราย ที่จะได้รับสิทธิดังกล่าวตามมา วงเงินที่จะได้รับประมาณ 840 กว่าล้านบาทต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. คว้ารางวัลเกียรติยศ “สถาบันการเงินแห่งปี 2563” จากเครือดอกเบี้ย | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
บสย. คว้ารางวัลเกียรติยศ “สถาบันการเงินแห่งปี 2563” จากเครือดอกเบี้ย
“เครือดอกเบี้ย” ประกาศมอบรางวัลเกียรติยศ Bank of the Year 2020 สถาบันการเงินแห่งปี 2563 แก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือ Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) หลังจากพิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดตลอดปี 2563
“เครือดอกเบี้ย” ประกาศมอบรางวัลเกียรติยศ Bank of the Year 2020 สถาบันการเงินแห่งปี 2563 แก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือ Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) หลังจากพิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดตลอดปี 2563 “บสย.” ซึ่งหมายถึงคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ได้ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019
ผลงานที่โดดเด่นในปี 2563 ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านยอดค้ำประกันสินเชื่อ 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) 100,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 28 ปี และปิดยอดค้ำประกันสินเชื่อทั้งปี 2563 วงเงิน 141,888.89 ล้านบาท (เฉลี่ย 0.85 ล้านบาท/ราย) ช่วยผู้ประกอบการ SMEs 166,419 ราย โดยยอดค้ำประกันเพิ่มขึ้น 57% เทียบกับปี 2562 สูงกว่าเป้าหมาย 41.2% จากเป้าที่วางไว้ 100,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อใหม่ในระบบกว่า 162,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บสย.ยังโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการภายใน ซึ่งมาจากการปรับกระบวนการทำงานภายใน บสย. ส่งผลทำให้เกิดความรวดเร็วในกระบวนการในการอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ จากเฉลี่ยวันละ 500 ฉบับ เป็นวันละ 2,000 ฉบับ การออกมาตรการเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันนานสูงสุด 12 เดือน มาตรการขยายเวลาการค้ำประกันในโครงการ PGS5 - PGS7 นานสูงสุด 5 ปี และโครงการประกันสินเชื่อ “บสย.SMEs สร้างไทย” โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี วงเงินค้ำประกันสูงสุด 30 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด 10 ปี โดยยังได้พัฒนาเครื่องมือ Financial Health Check ซึ่งเป็น Credit Scoring ให้ SMEs สามารถตรวจสอบสุขภาพทางการเงินได้ด้วยตัวเอง และการยกระดับ “คลินิกหมอหนี้” จัดตั้งเป็น ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F. A. Center) เพื่อการยกระดับการให้บริการผู้ประกอบการ SMEs “จากนายประกันสู่ที่ปรึกษาทางการเงิน”
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวถึงรางวัลเกียรติยศนี้ว่า “ในปี 2563 บสย.ผนึกกำลัง ร่วมแรงกันออกแบบผลิตภัณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs ธุรกิจรายย่อย รวมถึงกลุ่มอาชีพอิสระ เพื่อกระจายความช่วยเหลือให้ครอบคลุม เราปรับกระบวนการทำงาน เร่งหารือ ทำความเข้าใจกับพันธมิตร ระหว่างนั้น มีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของเพื่อนพนักงานอย่างไม่หยุดตลอดปี ทุกคนทุกระดับเข้ารับการอบรมเพื่อก้าวให้ทันโลก นำหน้าการเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิดของ SMEs ในภาวะวิกฤตอย่างแท้จริง วันนี้ เรารู้สึกขอบคุณและภาคภูมิใจที่มีคนเห็นความตั้งใจทุ่มเทของพวกเราที่จะเป็นเครื่องจักรหลักในการพยุงเศรษฐกิจของประเทศ”
การมอบรางวัลเกียรติยศในปีนี้ แม้ บสย.จะไม่ได้เป็นธนาคารตามชื่อรางวัล โดยเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ที่ไม่ใช่ธนาคาร แต่ก็ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่มีบทบาทในฐานะผู้เติมเต็มช่องว่างทางการเงิน ลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ที่มีหลักประกันไม่พอ นับเป็นการเกื้อหนุนภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจไม่แพ้ธนาคาร จึงได้ขยายนิยาม Bank หรือธนาคาร ให้ครอบคลุมถึง บสย. ด้วย สอดคล้องกับที่ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ได้บอกถึงภารกิจของ บสย. เหมือนเป็น “นายธนาคารข้างถนน” ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็ก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “โครงการราชทัณฑ์ปันสุข” | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “โครงการราชทัณฑ์ปันสุข”
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หลังจากมีการตั้งคำถามหลายประการเกี่ยวกับการดำเนินงานตาม “โครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ”
ในวันพุธที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๒ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หลังจากมีการตั้งคำถามหลายประการเกี่ยวกับการดำเนินงานตาม “โครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ” จนทำให้สังคมเกิดความสับสนและอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชนได้
ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า โครงการ “ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ต้องให้บริการแก่ผู้ต้องขัง ในกรณีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นจำนวนมาก ยังขาดแคลนบุคลากร เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ การดูแลสุขภาพของผู้ต้องขังถือเป็นหน้าที่สำคัญของกรมราชทัณฑ์ ในการที่จะให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมตามหลักมนุษยธรรม ทั้งนี้ เมื่อพ้นโทษจะได้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ออกมาสู่สังคมภายนอก และประกอบอาชีพสุจริตได้อย่างมีคุณภาพ โดยจะพระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนการให้จิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ได้เข้าไปมีบทบาทในการช่วยเหลือทั้งด้านการแพทย์ การพยาบาล การอบรมให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ
นอกจากนี้ ผู้ต้องขังที่กรมราชทัณฑ์ต้องดูแลในปัจจุบันมีจำนวนมาก ประกอบกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้ต้องขังที่แออัด ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดูแลสุขภาพอนามัยทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ต้องขังและส่งผลต่อประชาชนภายนอกด้วย โครงการ “ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” จึงเป็นโครงการที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ไว้ใช้ทั้งในเรือนจำและโรงพยาบาลภายนอก ซึ่งได้พระราชทานมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ จำนวน ๑๙๐,๐๗๒,๘๖๓ บาท และในปี ๒๕๖๔ จำนวน ๑๑๘,๕๔๗,๒๐๐ บาท ซึ่งครุภัณฑ์ที่โรงพยาบาลภายนอกได้รับจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไปด้วยและกระทรวงยุติธรรมขอเรียนว่าการดำเนินการตามโครงการพระราชทานนี้ สอดคล้องตามหลักสากล หลักสิทธิมนุษยชน หลักมนุษยธรรม และมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นปฏิญญากรุงเทพ และข้อกำหนดแมนเดลา และไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการ "เล่าเรื่องไทย ๆ กับสายสวรรค์ ขยันยิ่ง" ตอน น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการสู่นโยบายในปีที่ ๑๙ ของกระทรวงวัฒนธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รายการ "เล่าเรื่องไทย ๆ กับสายสวรรค์ ขยันยิ่ง" ตอน น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการสู่นโยบายในปีที่ ๑๙ ของกระทรวงวัฒนธรรม
รายการ "เล่าเรื่องไทย ๆ กับสายสวรรค์ ขยันยิ่ง" ตอน น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการสู่นโยบายในปีที่ ๑๙ ของกระทรวงวัฒนธรรม
รายการ "เล่าเรื่องไทย ๆ กับสายสวรรค์ ขยันยิ่ง"
ตอน น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการสู่นโยบายในปีที่ ๑๙ ของกระทรวงวัฒนธรรม
ออกอากาศวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔
เวลา ๑๖:๔๕ น. ทางช่อง ๓๓ HD
https://youtu.be/vfWbCBva4GA
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38698 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-NO GIFT POLICY เปลี่ยนของขวัญ เป็นบัตรอวยพร | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
NO GIFT POLICY เปลี่ยนของขวัญ เป็นบัตรอวยพร
NO GIFT POLICY
เปลี่ยนของขวัญ เป็นบัตรอวยพร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าปกปิด "ไทม์ไลน์" ผิดกฎหมาย ควบคุมล่าช้า | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
อย่าปกปิด "ไทม์ไลน์" ผิดกฎหมาย ควบคุมล่าช้า
...
แอดมินฝากถึงประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
หรือผู้ที่ได้รับการสอบสวนโรค อย่าปกปิดข้อมูล
เช่น ไทม์ไลน์ หรือให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
เพราะจะส่งผลต่อการควบคุมโรค และเกิดความล่าช้า
.
นอกจากนี้พฤติกรรมดังกล่าวยังเข้าข่ายฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษ
.
1. ให้ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน หรือมีการปฏิเสธ
หรือปกปิดข้อมูล ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
.
อาจมีความผิดฐานแจ้งข้อความเท็จ
แก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือ
ประชาชนเสียหาย ตามมาตรา 137
กฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
2. กรณีจัดงานเลี้ยงสังสรรค์
อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนการห้ามจัดกิจกรรม
ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค
รวมทั้งไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด
ตามข้อกำหนดในมาตรา 9
แห่ง พ.ร.บ. สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
.
ผู้ฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
ที่สำคัญขอความร่วมมือประชาชน
สแกน “ไทยชนะ” และใช้งานแอปฯ “หมอชนะ”
เพื่อช่วยให้การสอบสวนควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38695 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ครั้งที่ 1/64 เห็นชอบหลักการผลิตและขายยุทโธปกรณ์ การร่วมทุนและการส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 4 โครงการนำร่อง | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
นายกฯ ประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ครั้งที่ 1/64 เห็นชอบหลักการผลิตและขายยุทโธปกรณ์ การร่วมทุนและการส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 4 โครงการนำร่อง
นรม. และ รมว.กห. เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ครั้งที่ 1/64 เห็นชอบหลักการผลิตและขายยุทโธปกรณ์ การร่วมทุนและการส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จำนวน 4 โครงการนำร่อง
วันนี้ (28 มกราคม 2564) เวลา 09.30 น. ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ครั้งที่ 1/2564 ณ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งในวันนี้เป็นการประชุมขอความเห็นชอบหลักการผลิตและขายยุทโธปกรณ์ การร่วมทุนและการส่งเสริมการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จำนวน 4 โครงการนำร่อง โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้ร่วมวิจัยกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นไปตามที่มาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.เทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ.2562
โดยภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายฯ ได้เห็นชอบหลักการในวันนี้แล้ว จะได้มีการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เป็นรูปธรรมในการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชนโดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ นำไปสู่การพึ่งพาตนเองด้านยุทโธปกรณ์ รวมถึงการสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองพร้อมทั้งลดงบประมาณจากรัฐในอนาคตได้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จับมือ กกต.สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
ศธ.จับมือ กกต.สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ร่วมประชุมการประสานงานระดับส่วนราชการ เพื่อขับเคลื่อนแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(21 มกราคม 2564) นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ร่วมประชุมการประสานงานระดับส่วนราชการ เพื่อขับเคลื่อนแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ โดยมีนายธนู ขวัญเดช และนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัด เข้าร่วมประชุมหารือ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า สำนักงาน กกต.ได้นำเสนอแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สู่การผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ผ่านศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย (ศส.ปชต.) ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับสำนักงาน กศน. จัดตั้ง ศส.ปชต. เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง จำนวน 7,517 แห่งทั่วประเทศ และยังมีเครือข่ายองค์กรต่าง ๆ มาร่วมดำเนินกิจกรรม เช่น ลูกเสืออาสา กกต., รด.จิตอาสา, ดีเจประชาธิปไตย, หมู่บ้านรณรงค์ไม่ขายเสียง เป็นต้น ในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจในสถานศึกษา มีการจัดหลักสูตร 4 ช่วงชั้น (ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา) จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอน และหลักสูตรวิชาบังคับของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพลเมืองคุณภาพ
ทั้งนี้ สำนักงาน กกต.ต้องการร่วมมือกับ ศธ.เพื่อจัดหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงบรรจุในวิชาลูกเสือ และสนับสนุนการพัฒนาความรู้ด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้องให้แก่สภานักเรียน
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำลังดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานทั้งหมดอยู่ ทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบวิธีการ ดังนั้นสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) และ สพฐ.จะร่วมกันปรับหลักสูตรให้เหมาะสมตามที่สำนักงาน กกต.นำเสนอ พร้อมทั้งขอผู้แทนจากสำนักงาน กกต. มาร่วมกันหาช่องทางที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดเนื้อหาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพเด็ก อันมีผลต่อการดำรงชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม สำหรับเนื้อหาที่ต้องการให้บรรจุในวิชาลูกเสือนั้น ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติขึ้นแล้ว และจะนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาต่อไป ส่วนการสนับสนุนการพัฒนาความรู้ให้แก่สภานักเรียน ที่ทางสำนักงาน กกต.กำลังดำเนินการอยู่นั้น ศธ.ไม่มีข้อขัดข้อง พร้อมแนะนำให้จัดกิจกรรมโดยไม่กระทบต่อการเรียนการสอนของครูและนักเรียน
ปารัชญ์ ไชยเวช / สรุป ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ถ่ายถาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38688 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เข้าพบ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เข้าพบ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เข้าพบ
วันนี้ (28 มกราคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายสมชาย มีเสน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารเข้าพบ เพื่อแนะนำสื่อในเครือเนชั่นฯ พร้อมนำเสนอทิศทางการขับเคลื่อนนโยบาย และดำเนินงานของสื่อในเครือ โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชุนหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.วัคซีนแห่งชาติ เห็นชอบลำดับกลุ่มเป้าหมายฉีดวัคซีนโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
คกก.วัคซีนแห่งชาติ เห็นชอบลำดับกลุ่มเป้าหมายฉีดวัคซีนโควิด 19
คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ลำดับกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เน้นในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง และกิจกรรมเสี่ยง และจะฉีดให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย ตามความสมัครใจ
คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ลำดับกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เน้นในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง และกิจกรรมเสี่ยง และจะฉีดให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย ตามความสมัครใจ
บ่ายวันนี้ (28 มกราคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดหาและการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศ โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เป็นเลขาคณะกรรมการฯ
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19ตามความสมัครใจ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อได้ นักลงทุน นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจ ในวันนี้ คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบลำดับกลุ่มเป้าหมายตามที่คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญกำหนดแผนการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้กำหนดไว้ 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัดเพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน, ผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน, ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้าเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้เดินทางระหว่างประเทศ และระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร และฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับประชาชนทั่วไป
สำหรับวัคซีนลอตแรกที่คาดว่าจะได้รับจากบริษัทแอสตร้าเซนเนกาในเดือนกุมภาพันธ์ จะเน้นในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง และกิจกรรมเสี่ยง ซึ่งจำนวนและรายชื่อเป้าหมายอยู่ระหว่างการสำรวจ โดยสำนักงานสาธารณสุขในขณะเดียวกันหน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่ และเตรียมการจัดส่งวัคซีนไปให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ส่วนวัคซีนของบริษัทซิโนแวค อยู่ระหว่างรอเอกสารข้อมูลให้ครบถ้วน เพื่อขึ้นทะเบียน อย.
“วัคซีนที่ดีที่สุดคือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัดแม้จะมีวัคซีนแล้ว เราก็ยังคงต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง โอกาสติดเชื้อจะลดลงได้มาก” นายอนุทินกล่าว
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิดmRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์, ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัทไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิตเพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร
ส่วนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ผ่านโครงการCOVAX Facility อยู่ระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขและเจรจาต่อรอง และความร่วมมือแบบทวิภาคี ปัจจุบันได้จัดหาวัคซีนจากการตกลงแบบทวิภาคีกับบริษัทแอสตร้าเซนเนกาที่ได้สั่งจองไว้ 26 ล้านโดส รัฐบาลมีมติสั่งซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส และยังมีการดำเนินการจัดหาวัคซีนจากประเทศจีนเพิ่มเติม 2 ล้านโดส
********************************* 28 มกราคม 2564
***********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและปิดโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยฯ | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รองปลัดฯ วรวรรณ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและปิดโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยฯ
รองปลัดฯ วรวรรณ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและปิดโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยฯ
วันนี้ (28 มกราคม 2564) นางวรวรรณ ชิดอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและปิดโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แก่ประชาชน โดยมี นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตร ฯ มอบเงินว่างงานให้ลูกจ้าง บริษัท บอดี้แฟชั่นฯ สาขานครสวรรค์ กว่า 30 ล้านบาท ยก “โมเดลนครสวรรค์” ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่เดือดร้อนในสถานการณ์โควิด -19” | วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564
รอง นรม. พลเอก ประวิตร ฯ มอบเงินว่างงานให้ลูกจ้าง บริษัท บอดี้แฟชั่นฯ สาขานครสวรรค์ กว่า 30 ล้านบาท ยก “โมเดลนครสวรรค์” ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่เดือดร้อนในสถานการณ์โควิด -19”
รอง นรม. พลเอก ประวิตร ฯ มอบเงินว่างงานให้ลูกจ้าง บริษัท บอดี้แฟชั่นฯ สาขานครสวรรค์ กว่า 30 ล้านบาท ยก “โมเดลนครสวรรค์” ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่เดือดร้อนในสถานการณ์โควิด -19”
วันนี้ (28 มกราคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานแก่ลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ร่วมเป็นสักขีพยาน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงานที่ถูกเลิกจ้างที่ประสบปัญหาว่างงานจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งวันนี้ตนได้มีโอกาสมามอบเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้กับผู้แทนลูกจ้าง บริษัท บอดี้แฟชั่นฯ สาขานครสวรรค์ ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง จำนวน 733 ราย อย่างเร่งด่วน ขอชื่นชมการดำเนินงานของกระทรวงแรงงานที่ได้ดำเนินการงานช่วยเหลือได้สำเร็จเป็นอย่างดี และยังกำชับให้กระทรวงแรงงานดำเนินการหากรณีตัวอย่างที่ตกค้างอยู่แต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับลูกจ้างของบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่แค่ลูกจ้างของบริษัทฯ นี้เท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ แต่ยังมีลูกจ้างของบริษัทอื่น ๆ ทั่วประเทศอีกกว่า 16,000 ราย ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมา ในวงเงินประมาณ 850 กว่าล้านบาท ตาม “โมเดลนครสวรรค์ ช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ถูกเลิกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์โควิด -19” อีกด้วย
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือประเด็นระเบียบ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ดำเนินการจ่ายเงินได้ จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณาประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ที่มีสาเหตุการลาออกจากงานของผู้ประกันตนกับนายจ้างไม่ตรงกัน โดยการออกประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน พ.ศ. 2564 จัดทำระเบียบสำนักงานประกันสังคมว่าด้วยการขอรับประโยชน์ทดแทน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 และจัดทำแนวปฏิบัติการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานกรณีการแจ้งสาเหตุการออกจากงานของผู้ประกันตนกับนายจ้างไม่ตรงกัน ซึ่งวันนี้ ผู้แทนลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ จำนวน 5 ราย จะได้รับเงินดังกล่าวผ่านบัญชีธนาคารในวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคมนี้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ถูกเลิกจ้างเป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ตามนโยบายรัฐบาล “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
จากนั้น นายชาญศิลป์ ทรัพย์โนนหวาย ประธานกลุ่มแรงงานเพื่อสังคม กล่าวขอบคุณ รัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด สาขานครสวรรค์ ที่ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 ซึ่งส่งผลกระทบให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ไม่ได้รับเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายเงินตามที่ระเบียบกำหนด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ถูกทิ้งร้างมายาวนานกว่า 10 ปี แต่รัฐบาลนี้ไม่ทอดทิ้งประชาชน โดยให้กระทรวงแรงงาน ร่วมกับประกันสังคมและทุกภาคส่วนร่วมหารือกัน สร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสร้างการรับรู้ภารกิจของภาครัฐในการเร่งช่วยเหลือลูกจ้าง ผู้ประกันตน ประชาชนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
-----------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยพร้อมขายพันธบัตร ดอกเบี้ยสูงสุด 3% ซื้อง่าย ขายง่าย ผ่าน “เป๋าตัง” 1 ก.พ. นี้ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กรุงไทยพร้อมขายพันธบัตร ดอกเบี้ยสูงสุด 3% ซื้อง่าย ขายง่าย ผ่าน “เป๋าตัง” 1 ก.พ. นี้
กลับมาอีกครั้ง พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 3 รุ่น “เราชนะ” ลงทุนง่าย ใช้เงินน้อย แค่ 100 บาทก็ซื้อได้ ผ่านแอปฯเป๋าตังของกรุงไทย ดีเดย์เปิดขาย 1-19 กุุมภาพันธ์นี้ วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.00% ต่อปี
กลับมาอีกครั้ง พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 3 รุ่น “เราชนะ” ลงทุนง่าย ใช้เงินน้อย แค่ 100 บาทก็ซื้อได้ ผ่านแอปฯเป๋าตังของกรุงไทย ดีเดย์เปิดขาย 1-19 กุุมภาพันธ์นี้ วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.00% ต่อปี หนุนประชาชนเข้าถึงการลงทุนพันธบัตรอย่างเท่าเทียมผ่านช่องทางดิจิทัล เป็นทางเลือกในการออมของนักลงทุนรุ่นใหม่
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ให้ดำเนินการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ” บนวอลเล็ต สบม. วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.00% ต่อปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี และปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.00% ต่อปี เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 8.30 น. ถึง 19 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 15.00 น. โดยลงทุนขั้นต่ำเพียง 100 บาท และลงทุนเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท จำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ หลังประสบความสำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์ขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม.รุ่นแรก 200 ล้านบาท หมดภายใน 99 วินาที นำมาสู่การเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การซื้อขายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. สามารถ ซื้อ-ขายได้ง่าย ผ่านแอปฯเป๋าตังตลอด 24 ชั่วโมงและหลังรับดอกเบี้ยงวดแรกสามารถขายต่อในตลาดรอง (Secondary Market) รับเงินได้ทันที ถือว่าเป็นการพลิกโฉมสู่การชื้อขายพันธบัตรผ่านช่องทางดิจิทัลครั้งแรกของประเทศ ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรได้อย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ยังมีความคล่องตัวสูง โดยผู้ที่ซื้อพันธบัตรในตลาดแรกและถือมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนสามารถขายต่อในตลาดรองได้ผ่านแอปฯ เป๋าตัง โดยเมื่อขายพันธบัตรแล้วจะได้รับเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอวันทำการถัดไป อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าไปซื้อพันธบัตรฯ ในตลาดรองได้อีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ธนาคารยังเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ” วงเงิน 55,000 ล้านบาท จำนวน 2 รุ่นย่อย คือ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.00% ต่อปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี และปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี และ รุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.50% ต่อปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ปีที่ 4-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี และปีที่ 7-10 อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี จำหน่ายให้กับบุคคลธรรมดา ผ่านช่องทางสาขา อินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง และแอปฯ โมบายแบงกิ้งของธนาคาร เปิดจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 8.30 น. ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 15.00 น.
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เพื่อรองรับการซื้อขายพันธบัตรด้วยวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นระบบการเงินแบบเปิดที่ได้นำเทคโนโลยี Blokchain มายกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาการชื้อขายพันธบัตรผ่านช่องทางดิจิทัล โดยออกแบบการซื้อขายพันธบัตรให้เป็นแบบรวมศูนย์ ทำให้การจำหน่ายมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ซึ่งผู้ขายจะมีข้อมูลผลลัพธ์การขายเป็นรายนาที ขณะที่ผู้ซื้อเห็นข้อมูลเงินและพันธบัตรในวอลเล็ตเดียวกัน และเมื่อมีการซื้อขายพันธบัตรแล้ว ข้อมูลการถือครองจะแสดงให้เห็นในวอลเล็ตทันที ไม่ต้องรอ 15 วันเหมือนที่ผ่านมา
“ขอเชิญชวนผู้สนใจซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ รุ่นเราชนะ ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง ผ่านแอปสโตร์และกูเกิ้ลสโตร์ เลือกสมัครวอลเล็ต สบม. ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า แล้วกรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นใช้งานวอลเล็ต สบม.ได้ทันที กรณีที่มีแอปฯ เป๋าตังอยู่แล้ว เพียงโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ด้วย Wallet ID หรือ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร ตามวงเงินที่แต่ละธนาคารกำหนด จากนั้นเลือกพันธบัตรที่ต้องการซื้อ ระบุจำนวนเงิน และกดยืนยันการชำระเงิน ด้วย PIN จะได้รับหลักฐานการชำระเงินเป็น E-Slip Payment ที่จัดเก็บในมือถือโดยอัตโนมัติ สำหรับลูกค้า Krungthai NEXT ที่ต้องการปรับวงเงินเพื่อโอนเข้าวอลเล็ต สบม. เพื่อซื้อพันธบัตร สามารถทำได้ผ่าน Krungthai NEXT โดยไม่ต้องไปสาขา ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สามารถผูกบัญชีกับวอลเล็ต สบม. โดยระบบจะตัดยอดเงินบัญชีอัตโนมัติ เพื่อซื้อพันธบัตรโดยที่ไม่ต้องเติมเงินเข้าวอลเล็ต” ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://krungthai.com/th/krungthai-update/promotion-detail/587
ทีม Marketing Strategy
โทร.0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ปั้นนักบริหารระดับกลาง มุ่งสู่นักบริหารแรงงานคุณภาพ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
กสร. ปั้นนักบริหารระดับกลาง มุ่งสู่นักบริหารแรงงานคุณภาพ
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง รุ่น 30 มุ่งเสริมสร้าง พัฒนาทักษะ ความรู้ สมรรถนะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้ข้าราชการในสังกัด เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นนักบริหารแรงงานที่มีคุณภาพ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้าราชการในสังกัด เพราะถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ กสร. จึงดำเนินการจัดฝึกอบรมหลักสูตร การพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง (นบร.) รุ่นที่ 30 ที่มุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรของกรม ให้มีความรู้รอบด้าน มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติในการบริหารจัดการแบบองค์รวม เพื่อให้มีความพร้อมในการก้าวเข้าสู่การเป็นนักบริหารแรงงานที่มีคุณภาพในระดับกลาง ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ ที่เป็นตัวกลางรับนโยบายจากผู้บริหารระดับสูงและแปลงไปสู่การปฏิบัติ จะต้องมีการวางแผน ด้านการบริหารงาน บริหารคน บริหารงบประมาณ ตลอดจนร่วมปฏิบัติให้งานที่ได้รับมอบหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนด จึงจำเป็นต้องมีความพร้อมในด้านทักษะ สมรรถนะ ความรู้ความสามารถและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับองค์กรเพื่อรองรับกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา และมีการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีขีดความสามารถในการก้าวสู่ระดับสากล มีการทำงานในลักษณะเชิงรุก สามารถสร้างกระบวนทัศน์ และการบริหารการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อองค์กร และประเทศชาติ
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า การฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง รุ่นที่ 30 นี้ มีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยข้าราชการระดับชำนาญการสังกัดส่วนกลาง จำนวน 12 คน และส่วนภูมิภาค 28 คน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 จึงได้กำหนดให้มีการฝึกอบรมเป็น 2 รูปแบบ คือ รูปแบบออนไลน์ผ่านวีดีทัศน์ทางไกล (video conference) ด้วยโปรแกรม zoom และรูปแบบเข้าห้องเรียนฝึกปฏิบัติการทำงานร่วมกัน รวมถึงการศึกษาดูงานในพื้นที่จริง ซึ่งกสร. มุ่งหวังว่าจากการฝึกอบรมในครั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมจะได้นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนถ่ายทอดไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์องค์กร นายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ลุยเชืยงใหม่! ประชุมช่วยชาวไร่กระเทียมภาคเหนือ "เชิงรุก" นำเกษตรกร-ผู้ค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากิโลละ 13.50 บาท นำตลาดสูงกว่าราคาตกเขียวปัจจุบันที่ถูกกดเหลือ 8 บาท | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
จุรินทร์ ลุยเชืยงใหม่! ประชุมช่วยชาวไร่กระเทียมภาคเหนือ "เชิงรุก" นำเกษตรกร-ผู้ค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากิโลละ 13.50 บาท นำตลาดสูงกว่าราคาตกเขียวปัจจุบันที่ถูกกดเหลือ 8 บาท
จุรินทร์ ลุยเชืยงใหม่! ประชุมช่วยชาวไร่กระเทียมภาคเหนือ "เชิงรุก" นำเกษตรกร-ผู้ค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากิโลละ 13.50 บาท นำตลาดสูงกว่าราคาตกเขียวปัจจุบันที่ถูกกดเหลือ 8 บาท
วันที่ 23 มกราคม 2564 เวลา 12.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประชุมวางแผนเชิงรุกรองรับการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร (กระเทียม) ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่าในภาพรวมผลผลิตกระเทียมในแต่ละปีจะมีประมาณ 80,000 ตัน คิดเป็นกระเทียมสด 230,000 ตัน บริโภคภายในประเทศ 170,000 ตัน จึงนำเข้าประมาณ 60,000 ตัน การนำเข้าเป็นไปตามข้อตกลงด WTO โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ และมีภาษีนำเข้าร้อยละ 57 ปัญหาที่เกิดขึ้นกระทรวงพาณิชย์เป็นห่วงว่าผู้ปลูกกระเทียมจะได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควรเพราะมีข่าวว่ามีการตกเขียวกระเทียมสดล่วงหน้าในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งคิดว่าเป็นราคาที่ต่ำเกษตรกรควรได้ราคาดีกว่านี้
กระเทียมกำลังจะออกมากในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จึงประชุมแก้ปัญหาเชิงรุกล่วงหน้าโดยกรมการค้าภายในประสานงานกับทีมเซลล์แมนจังหวัดที่พาณิชย์ ร่วมกับภาคเอกชนจัดให้มีการเจรจาซื้อขายกระเทียมสดล่วงหน้าในราคาที่คิดว่าเป็นธรรม 8 สัญญา มีภาคเอกชน 8 บริษัทเป็นผู้ซื้อและกลุ่มเกษตรกร 8 กลุ่มเป็นผู้ขายในราคากระเทียมสดกิโลกรัมละ 13.50 บาท
เป็นราคาชี้นำตลาดในฤดูกาลผลิตนี้
" ให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดร่วมกับภาคเอกชนและทุกฝ่ายทำสัญญาเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เกษตรกรชาวไร่กระเทียมขายกระเทียมได้ในราคาที่เป็นธรรมมากขึ้นกว่าราคาตกเขียวที่กิโลกรัมละ 8 บาท และกำหนดมาตรการเสริมในช่วงที่กระเทียมออกมาก มีมาตรการชะลอขาย ถ้าเกษตรกรผู้รวบรวมกระเทียมหรือสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรชะลอขายกระทรวงพาณิชย์จะมีวงเงินช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ผู้รวบรวมกระเทียม ประมาณ 6 เดือนเมื่อราคาดีค่อยขายช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 และมาตรการทางกฎหมายให้มีการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดโดยเฉพาะปัญหาการลักลอบการนำเข้ากระเทียมจากต่างประเทศวันนี้มีการสั่งการให้กรมศุลกากรตำรวจและฝ่ายความมั่นคงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเคร่งครัดการแก้ปัญหาลักลอบการนำเข้า จะนำเรื่องนี้ไปเรียนให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งในวันอังคารให้ท่านนายกได้สั่งการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ากระเทียมต่อไป
เข้มงวดการออกไปอนุญาตนำเข้ากระเทียมให้มีการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของกระเทียมที่นำเข้า เข้มงวดการตรวจสอบการขนย้าย หากตรวจพบจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรการระยะยาวที่กระทรวงเกษตรฯจะเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพันธุ์กระเทียมให้กระเทียมไทยเป็นกระเทียมที่มีคุณภาพ เรียกว่า “ใหญ่ ง่าย ดี“กลีบใหญ่ แกะง่าย และมีคุณภาพดี รสชาติดี และเร่งรัดการส่งเสริมการปลูกกระเทียมออร์แกนนิคและเปิดตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่งเสริมการนำกระเทียมไปสร้างนวัตกรรมทางอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าโดยเร่งรัดให้ อย. ออกใบอนุญาตให้กับนวัตกรรมเหล่านี้ต่อไป " รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เผยผลการดำเนินงานปี 2563 สร้างผลตอบแทนให้สมาชิกได้ถึง 2.48% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19” | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
“กอช. เผยผลการดำเนินงานปี 2563 สร้างผลตอบแทนให้สมาชิกได้ถึง 2.48% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19”
กอช. เผยผลการดำเนินงานปี 2563 สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้สมาชิกได้ถึง 2.48% พร้อมเผยแผนการลงทุนในสภาวะที่เศรษฐกิจรอการฟื้นตัวจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก โดยสัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เผยผลการดำเนินงานปี 2563 สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้สมาชิกได้ถึง 2.48% พร้อมเผยแผนการลงทุนในสภาวะที่เศรษฐกิจรอการฟื้นตัวจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก โดยสัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2563 (ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563) กอช. สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้สมาชิกได้ถึง 2.48% ท่ามกลางการผันผวนของสถานการณ์โรคระบาดโควิด - 19 ซึ่งยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำกับธนาคาร
อย่างไรก็ตาม การบริหารเงินลงทุนท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด - 19 การลงทุนของ กอช. ต้องระมัดระวังเน้นไปที่สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ณ ปัจจุบัน ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล เงินฝาก และหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือด้านเครดิตสูง ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ แต่ทาง กอช. เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นหลายประการ อันบ่งบอกถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายทางการคลังของรัฐบาลที่พยายามจะกระตุ้นและประคับประคองเศรษฐกิจ ดังนั้น สินทรัพย์ที่มีการเติบโตสูงและให้รายได้ที่สม่ำเสมอ อาทิ ตราสารทุน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จะมีความน่าสนใจ และเป็นโอกาสที่ กอช. น่าจะลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ สมาชิกมั่นใจได้ว่า จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนจาก กอช. เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งจะได้รับเงินคืนทั้งส่วนที่เป็นเงินออมสะสมของสมาชิก และเงินสมทบเพิ่มจากรัฐบาล พร้อมผลตอบแทนการลงทุนของทั้งเงินทั้งหมดได้รับการค้ำประกัน ไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคาร วันที่สมาชิกครบอายุ 60 ปี
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38558 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดที่ 61 "วราวุธ" มอบเงินอุดหนุน 10 ป่าชุมชนบ้านหนองกวาง จ.อุตรดิตถ์ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
จังหวัดที่ 61 "วราวุธ" มอบเงินอุดหนุน 10 ป่าชุมชนบ้านหนองกวาง จ.อุตรดิตถ์
จังหวัดที่ 61 "วราวุธ" มอบเงินอุดหนุน 10 ป่าชุมชนบ้านหนองกวาง จ.อุตรดิตถ์
จังหวัดที่ 61 "วราวุธ" มอบเงินอุดหนุน 10 ป่าชุมชนบ้านหนองกวาง จ.อุตรดิตถ์
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยโอกาสนี้ รมว.ทส. มอบเงินอุดหนุน (เงินกู้) โครงการสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากป่าชุมชน จำนวน 10 ชุมชน ๆ ละ 70,000 บาท รวม 700,000 บาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล พร้อมทั้งมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน จำนวน 10 ชุมชน และร่วมเก็บใบไม้แห้งในพื้นที่ ตามนโยบาย "ชิงเก็บ ก่อนเผา" เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า" อีกทั้ง พบปะเครือข่ายป่าชุมชนบ้านหนองกวาง ก่อนที่จะทำการบวชป่าแห่งนี้ ณ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ทุั้งนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจเครือข่ายชุมชนและประชาชนทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันปกป้องดูแลรักษาป่าต้นน้ำแห่งนี้ พื้นที่ 2, 010 ไร่ ซึ่งเป็น 1 ในป่าต้นน้ำต้นแบบที่ส่งต่อน้ำไปหล่อเลี้ยงพี่น้องประชาชนเกษตรกรในอีกหลายพื้นที่ โดยต้นไม้ทุกต้นเปรียบเสมือนโรงงานผลิตน้ำ เปรียบเสมือนโรงงานฟอกอากาศ ดังนั้นสิ่งที่ทำในวันนี้ ทำเพื่อลูกหลานในอนาคต ซึ่งการจะดำเนินการเช่นนี้ได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุก ๆ คน เพื่อให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย 40 %
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38579 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. รับมอบสิ่งของบริจาค พร้อมส่งต่อให้จ.สมุทรสาคร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อไป | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ศบค. รับมอบสิ่งของบริจาค พร้อมส่งต่อให้จ.สมุทรสาคร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อไป
ศบค. รับมอบสิ่งของบริจาค พร้อมส่งต่อให้จ.สมุทรสาคร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อไป
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ได้รับมอบสิ่งของบริจาคเพื่อสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลและบุคคลากรทางแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์ โควิด-19 จากหน่วยงานและบุคคล ดังนี้ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์มอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จำนวน 26,400 ชิ้น มูลนิธิการจัดการด้านความมั่นคงร่วมกับบริษัท กิบไทย จำกัด มอบหน้ากากอนามัย N95 จำนวน 1,000 ชิ้น อุปกรณ์ป้องกันตนเอง (ชุด PPE) 2,000 ชุด ตู้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Isolation Chamber) จำนวน 2 ตู้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมอบเจลแอลกอฮอล์ ขนาด 180 มล. จำนวน 600 ขวด เจลแอลกอฮอล์ ขนาด 5,000 ซีซี จำนวน 10 แกลลอน และนายแพทย์โชคชัย สุวรรณกิจบริหาร ที่ปรึกษาโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพมอบ ถุงมือสำหรับตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ จำนวน 300 ชิ้น น้ำยาผสมเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 7 กล่อง น้ำยาฆ่าเชื้อ Virkon จำนวน 39 ซอง พลาสเตอร์ตราเสือ (Tigerplaster) จำนวน 11 กล่อง และถุงมือตรวจ (KENKO) จำนวน 1 กล่อง
ทั้งนี้ ศบค. ได้จัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์จำนวน 26,400 ชิ้น ไปให้จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อนำไปใช้ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อไป///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38593 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบหารือกับปลัดวธ. | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบหารือกับปลัดวธ.
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบหารือกับปลัดวธ.
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบหารือกับนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการจัดโครงการร่วมกันระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38598 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 ด้วยรังสี UVC | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
สธ.รับมอบตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 ด้วยรังสี UVC
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 ด้วยรังสี UVC จากองค์การเภสัชกรรม สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ 4-5 ครั้ง
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากากN95 ด้วยรังสี UVC จากองค์การเภสัชกรรม สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ 4-5 ครั้ง
วันนี้ (25 มกราคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากากN95 ด้วยรังสี UVC จำนวน 50 ตู้ มูลค่า 3 แสนบาท จากนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม พร้อมด้วยนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เพื่อส่งต่อให้แก่โรงพยาบาล สำหรับใช้อบฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 ที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ปลอดภัยกับบุคลากรทางการแพทย์
นายอนุทินกล่าวว่า ขอขอบคุณ องค์การเภสัชกรรม ที่ได้นำตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากากN95 ด้วยรังสี UVC มามอบให้กับโรงพยาบาล ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับเตรียมรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี ในการระบาดระลอกใหม่นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้สำรองหน้ากาก N95ไว้เกือบ 3 ล้านชิ้น เมื่อได้รับตู้อบฆ่าเชื้อนี้มาจะเป็นตัวช่วยทำให้มีหน้ากากเพียงพอ เพราะสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้4-5 ครั้ง เท่ากับว่าจะมีหน้ากาก N95 สำหรับบริหารจัดการเกือบ 10 ล้านชิ้น เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ว่าจะมีหน้ากากเพียงพอและไม่ขาดแคลน
ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเป็นด่านหน้าของบุคลากรทางการแพทย์ ในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่มีความขาดแคลนและมีความจำเป็น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้ ตู้อบฆ่าเชื้อหน้ากากN95 ด้วยรังสี UVC ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพฆ่าเชื้อCOVID-19 จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความปลอดภัยจากเชื้อโรคจุลชีพทั้งไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และวัณโรค ไม่มีสิ่งตกค้างที่เป็นอันตราย สวมใส่ได้ทันที ไม่กระทบต่อโครงสร้างหน้ากากและประสิทธิภาพในการกรองเชื้อโรค
******************************** 25 มกราคม 2564
*************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ อช.สักใหญ่่ พร้อมย้ำ ดึงเครือข่ายชุมชนร่วมดูแลป่า | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"วราวุธ" ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ อช.สักใหญ่่ พร้อมย้ำ ดึงเครือข่ายชุมชนร่วมดูแลป่า
"วราวุธ" ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ อช.สักใหญ่่ พร้อมย้ำ ดึงเครือข่ายชุมชนร่วมดูแลป่า
วันนี้ (21 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 17.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัิติงาน
พร้อมรับฟังปัญหา อุปสรรคการดำเนินงานทั้งในเรื่องการปราบปราม การพิทักษ์ป่า การดับไฟป่า การดูแลความเรียบร้อยของอุทยานฯ รวมถึงการให้ความสำคัญถึงความเป็นอยู่และสวัสดิการของเจ้าหน้าทุกระดับ โดยโอกาสนี้ได้ให้แนวทางการดำเนินงานแก่อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาอุทยานฯ อีกทั้งได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านมีวินัย มีความอดทน มีความซื่อสัตย์ ในการปฏิบัติงาน และทำงานร่วมกันกับเครือข่ายชุมชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดูแลป่า
ทั้งนี้ นอกจากจะเพื่อสร้างความประทับใจ ความปลอดภัย ให้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ เครือข่ายชุมชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวได้ร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงความสมบูรณ์สืบไป
โอกาสเดียวกันนี้ รมว.ทส. พร้อมคณะ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเยี่ยมชมต้นสัก มเหสักข์ ซึ่งเป็นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมอบของที่ระลึกให้แก่กลุ่มเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าในจังหวัด พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ จำนวน 4 เครือข่าย ได้แก่ เครือข่ายกลุ่มปลูกต๋าว บ้านท่าเรือ เครือข่ายการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เครือข่ายหมู่บ้าน บ้านงอมสัก และเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ อีกทั้งมอบเสบียงอาหาร แก่ตัวแทนเจ้าหน้าที่ฯ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนเยี่ยมชมการสาธิตการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในรูปแบบ การชิงเก็บ ตามนโยบายของ รมว.ทส. โดยการเก็บเศษใบไม้นำมาบดอัดเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง เพื่อนำไปเป็นปุ๋ย และแจกจ่ายประชาชนในบริเวณพื้นที่ ได้นำไปใช้ในการบำรุงรักษาต้นไม้ และปลูกต้นรวงผึ้ง เพิ่มพื้นที่สีเขียว ณ บริเวณอุทยานแห่งขาติต้นสักใหญ่ อ. น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38580 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลื้ม! ยอดบรรจุงาน Job Expo ขยับขึ้นต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ปลื้ม! ยอดบรรจุงาน Job Expo ขยับขึ้นต่อเนื่อง
...
ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการของรัฐบาล
ที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน
ภายใต้มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่
“Job Expo Thailand 2020”
.
รวมทั้งโครงการจ้างงานใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน
หรือ Co – payment
ที่รัฐบาลอุดหนุนเงินเดือนค่าจ้าง
ไม่เกิน 50%/คน/เดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท
เพื่อให้น้อง ๆ ที่จบใหม่มีโอกาสได้งานทำ
และนายจ้าง/สถานประกอบการ มีสภาพคล่องในธุรกิจ
.
ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงแรงงาน ระบุว่า
โครงการนี้จ้างงานได้แล้ว 857,888 คน
จากเป้าหมาย 1,000,000 คน
สร้างรายได้และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
กว่า 28,000 ล้านบาท แล้ว
.
ในปีนี้ เรายังเตรียมเดินหน้าลุยงานต่อเนื่อง
ทั้งการจ้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าส่งออก
และตรวจเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ
สร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าชาวต่างประเทศว่า
สินค้าที่ส่งออกไปปลอดเชื้อโควิด 100%
.
รวมถึงหาตลาดแรงงานในต่างประเทศเพิ่ม
เพราะแรงงานไทยเป็นที่ยอมรับและต้องการของต่างประเทศ
ทั้งในอิสราเอล สวีเดน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฯลฯ
.
ส่วนในประเทศจะส่งเสริมการจ้างงานต่อเนื่อง
โดยจะจัดงาน Job Expo Thailand ปีละหนึ่งครั้ง
เพื่อให้คนไทยมีงานทำอย่างยั่งยืนและคุณภาพชีวิตดีขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38565 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขึ้นทะเบียน อย. แล้ว "วัคซีนแอสตราเซเนกา" | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ขึ้นทะเบียน อย. แล้ว "วัคซีนแอสตราเซเนกา"
...
ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวดี สำหรับวัคซีน COVID-19
ของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่ผลิตในประเทศอิตาลี
ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้ว
เพื่อใช้ฉีดในภาวะฉุกเฉิน
โดยมีระยะเวลาการขึ้นทะเบียน 1 ปี
.
ในระยะแรกบริษัทฯ จะจัดส่งวัคซีน จำนวน 50,000 โดส
ซึ่งจะถึงประเทศไทยในเดือน ก.พ.นี้
และส่วนที่เหลืออีก 150,000 โดส
จะตามมาในเดือน มี.ค. และ เม.ย.
.
โดยในขั้นตอนต่อไป กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
จะดำเนินการสุ่มตรวจคุณภาพวัคซีนทันที
ก่อนที่จะนำไปฉีดให้แก่ประชาชน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ยืนยันค่าล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงิน ไม่สามารถชดเชยเป็นวันหยุดได้ | วันอังคารที่ 26 มกราคม 2564
กสร. ยืนยันค่าล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงิน ไม่สามารถชดเชยเป็นวันหยุดได้
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ำชัดค่าล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงินเท่านั้น ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นวันหยุดได้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ดังนั้น กรณีที่มีข่าวปรากฏตามสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับค่าล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงิน ยืนยันเป็นข้อมูลจริง
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวถึงกรณี ข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็น ค่าล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงิน ไม่สามารถชดเชยเป็นวันหยุดได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกรมได้ยืนยันแล้วว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา หรือ OT ในวันทำงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้าง เป็นเงินในอัตราไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้าง ต่อหน่วยในวันทำงาน ตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดย คำนวณเป็นหน่วย และในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้าง ในอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยใน วันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ ทั้งนี้ กรมจึงขอยืนยันว่า การทำงานล่วงเวลาต้องจ่ายเป็นเงินเท่านั้น จะแลกเปลี่ยนเป็นวันหยุดเพิ่มเติม หรือวันหยุดสะสมไม่ได้
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงานสามารถสอบถามข้อมูลที่ถูกต้องได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร. สายด่วน 1506 กด 3 นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของกรม ได้ที่ www.labour.go.th หรือที่ช่อง YouTube กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน “กสร.ชาแนล เปิดดูเมื่อไหร่ ก็มีเรื่องใหม่ให้ชม”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห. สั่งคุมเข้มเฝ้าระวังชายแดน และเอาผิดนายทุนและผู้อยู่เบื้องหลัง การรุกป่า ยาเสพติดและค้ามนุษย์ รวมทั้งขบวนการแรงงานเถื่อน | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
นรม.และ รมว.กห. สั่งคุมเข้มเฝ้าระวังชายแดน และเอาผิดนายทุนและผู้อยู่เบื้องหลัง การรุกป่า ยาเสพติดและค้ามนุษย์ รวมทั้งขบวนการแรงงานเถื่อน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้ย้ำสั่งการ หน.นขต.กห. ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร.ให้ประสานการทำงานกับ กอ.รมน.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับนายทุนและผู้อยู่เบื้องหลังการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด
บ่อนการพนัน รวมทั้งขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยให้สืบลึกถึงความเชื่อมโยงเอาผิดทางกฎหมายและเส้นทางการเงิน นำสู่การยึดทรัพย์ทั้งหมด ไม่มียกเว้น พร้อมทั้งให้กำกับดูแลกำลังพลทุกนาย ห้ามเกี่ยวข้องเด็ดขาด
นอกจากนั้น นรม.และ รมว.กห. ได้ย้ำให้ทุกเหล่าทัพ จัดหาและพัฒนาระบบเทคโนโลยีเฝ้าตรวจแจ้งเตือน เข้ามาช่วยเฝ้าระวังป้องกันพื้นที่ชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อให้ครอบคลุมการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและภัยคุกคามทั้งพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นใน รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดนที่มีกำลังพลอยู่จำกัด ทั้งนี้ให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการวิจัยและพัฒนาระบบดังกล่าวให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38595 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่ทิ้งกัน! ส่งรถด่วนปันสุข – รับทุกข์ สู่ชุมชน | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ไม่ทิ้งกัน! ส่งรถด่วนปันสุข – รับทุกข์ สู่ชุมชน
...
รถด่วน “ปันสุขสู่ชุมชน” เป็นหน่วยบรรเทาทุกข์
นำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
เช่น หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ
ออกไปช่วยผู้เดือดร้อนในชุมชนจากการระบาดของโควิด-19
ตั้งเป้าให้บริการ 54 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 25 จังหวัด
.
มีแผนปล่อยรถขบวนแรก วันที่ 27 ม.ค. 64 นี้
จำนวน 15 คัน นำร่อง 5 จังหวัดพื้นที่สีแดง
ได้แก่ จ.นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร
สมุทรปราการ และ กทม.
.
รถด่วนคันนี้ ไม่ได้มีหน้าที่แค่ “ปันสุข”
แต่ยัง “รับทุกข์” ได้ด้วย
ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ
สามารถเขียนสิ่งที่ต้องการ ส่งให้ “รถปันสุข”
หรือใส่ใน “ตู้รับทุกข์” ที่ตั้งอยู่ในชุมชนก็ได้
.
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะรวบรวมเรื่อง
และลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนอย่างเร่งด่วน
เพื่อหาแนวทางดูแลช่วยเหลือต่อไป
.
นอกจากนี้ ยังสามารถขอความช่วยเหลือ
ผ่านทางสายด่วน พม. 1300 ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38564 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ได้ผล! เปิดแจ้งเบาะแสบ่อน - แรงงานเถื่อน ต้นตอโควิด 16 วัน 237 เรื่อง | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ได้ผล! เปิดแจ้งเบาะแสบ่อน - แรงงานเถื่อน ต้นตอโควิด 16 วัน 237 เรื่อง
...
นายกรัฐมนตรี รับทราบข้อมูลที่ประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส
การกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับ บ่อน ค้าประเวณี แรงงานผิดกฎหมาย
และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ผ่านช่องทาง 1111 ทั้ง 5 ช่องทางแล้ว มีจำนวนถึง 237 เรื่อง
.
ข้อมูลจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า
ตั้งแต่วันที่ 7 - 22 ม.ค. 64
มีประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิดจำนวน 32,245 เรื่อง แบ่งเป็น
.
เบาะแสแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย 25 เรื่อง
เบาะแสบ่อนการพนัน 132 เรื่อง
เบาะแสการทำผิดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฯ 80 เรื่อง
.
นอกจากนี้ ยังแจ้งเรื่องร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ
รวมถึงสอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับโรคโควิด-19
จำนวน 32,008 เรื่อง
.
สำหรับข้อมูลเบาะแสดังกล่าว จะส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
ดำเนินการตรวจสอบ รวมถึงผลดำเนินคดี
และรายงานให้นายกฯ ทราบทุกระยะด้วย
.
ขอให้ประชาชนผู้ให้ข้อมูล/แจ้งเบาะแส มั่นใจว่า
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส
โดยจะปกปิดชื่อผู้แจ้ง เป็นความลับ
ไม่ให้ผู้แจ้งต้องได้รับภัยจากการแจ้งเบาะแสหรือการให้ข้อมูล
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38567 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ” ส่งมอบ "น้ำบาดาล" เสริมความมั่นคงระดับชุมชนช่วยชาวบ้านด่านนาขาม จ.อุตรดิตถ์ กว่า 2,000ราย พ้นภัยแล้ง | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
วราวุธ” ส่งมอบ "น้ำบาดาล" เสริมความมั่นคงระดับชุมชนช่วยชาวบ้านด่านนาขาม จ.อุตรดิตถ์ กว่า 2,000ราย พ้นภัยแล้ง
วราวุธ” ส่งมอบ "น้ำบาดาล" เสริมความมั่นคงระดับชุมชนช่วยชาวบ้านด่านนาขาม จ.อุตรดิตถ์ กว่า 2,000ราย พ้นภัยแล้ง
วันนี้ (22 มกราคม 2564) เวลาประมาณ 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดและส่งมอบโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อเสริมความมั่นคงระดับชุมชน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมติดตามความก้าวหน้าโครงการดังกล่าว ณ บ้านด่านนาขาม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ 1 ใน 70 หมู่บ้านเสี่ยงภัยแล้งขาดแคลนน้ำ โดยการดำเนินโครงการดังกล่าว ทำให้ประชาชนกว่า 2,000 ราย 2 หมู่บ้าน 700 ครัวเรือน มีน้ำบาดาลสะอาดที่ต่อเข้าสู่ระบบประปาหมู่บ้าน เพื่อการอุปโภคบริโภค ถึง 78,840 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีความสุข ทั้งในเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค หรือน้ำเพื่อการเกษตร
ทั้งนี้ การส่งมอบโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อเสริมความมั่นคงระดับชุมชน ประกอบด้วย
1. บ่อน้ำบาดาล พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ขนาด 6 นิ้ว จำนวน 2 บ่อ
2. ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดรวมไม่น้อยกว่า 4,800 วัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ขนาดไม่น้อยกว่า 8,000 วัตต์ จำนวน 2 ชุด
3. หอถังเหล็กเก็บน้ำชนิดรักษาแรงดัน สูง 15 เมตร ความจุ 40 ลูกบาศก็เมตร
4. ถังกรองสนิมเหล็กขนาดใหญ่
5. จุดจ่ายน้ำถาวร 150,000 ลูกบากศ์เมตรต่อปี
6. จุดบริการน้ำดื่มสะอาด
โดยในการส่งมอบในครั้งนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ร่วมเป็นสักขีพยานและส่งมอบโครงการฯ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่แห่งนี้ได้นำไปใช้ประโยชน์และบริหารจัดการร่วมกันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38582 |
รัฐบาลไทย-ชูบทบาทสหกรณ์พัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกให้มั่นคงอย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ชูบทบาทสหกรณ์พัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกให้มั่นคงอย่างยั่งยืน
‘รมช.มนัญญา’ ชื่นชมการดำเนินงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนพัฒนาชุมชนบ้านพุตะแบก จำกัด จ.ประจวบฯ ชูบทบาทสหกรณ์พัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกให้มั่นคงอย่างยั่งยืน
นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์วิริยะพาหะอธิบดีกรมวิชาการเกษตรนายโอภาสทองยงค์อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์และนายวิศิษฐ์ศรีสุวรรณ์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนพัฒนาชุมชนบ้านพุตะแบกจำกัดต.เขาล้านอ.ทับสะแกจ.ประจวบคีรีขันธ์โดยพบปะเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์รับฟังปัญหาและความต้องการด้านต่างๆรวมทั้งพบปะเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตรของจ.ประจวบคีรีขันธ์พร้อมเยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกสหกรณ์และมอบปัจจัยการผลิตแก่ผู้แทนสมาชิกสหกรณ์และกล่าวมอบนโยบายการดำเนินงานต่างๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รมช.เกษตรฯกล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำอาชีพการเกษตรจึงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำให้มีการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทำเกษตรที่ดีและเหมาะสม(GAP)เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตลอดจนยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ในด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิกเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจจัดหาตลาดเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดเพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพนอกจากนี้ยังได้ริเริ่มโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตรเพื่อให้ลูกหลานเกษตรกรได้กลับมาอยู่กับครอบครัวใช้ความรู้ประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมและบริการรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆมาพัฒนาการเกษตรโดยจ.ประจวบคีรีขันธ์มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯจำนวน55รายมีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ1แห่งอีกทั้งสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยนนับเป็นองค์กรในระดับชุมชนที่ทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสวัสดิการทำให้ความเป็นอยู่ของสมาชิกสหกรณ์ดีขึ้นอย่างมั่นคงอีกด้วย
“กระทรวงเกษตรฯโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์พร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาสหกรณ์ในทุกด้านเพื่อให้สหกรณ์ทำหน้าที่ในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนและชื่นชมบทบาทของสหกรณ์ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสร้างการมีส่วนร่วมและความสามัคคีให้กับชาวบ้านในพื้นที่และขอให้กำลังใจแก่เกษตรกรในการร่วมกันพัฒนาอาชีพและร่วมมือกันทำงานในรูปแบบสหกรณ์มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเพื่อยกระดับสหกรณ์ให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพต่อไป”รมช.เกษตรฯกล่าว
สำหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนพัฒนาชุมชนบ้านพุตะแบกจำกัดจดทะเบียนเมื่อวันที่21สิงหาคม2527ปัจจุบันสหกรณ์ฯได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลา36ปีมีสมาชิก8,878คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรทำสวนทำนารับจ้างและค้าขายสหกรณ์ฯดำเนินธุรกิจ2ด้านได้แก่ธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจเงินฝากมีทุนดำเนินงานมากกว่า679ล้านบาทสหกรณ์ฯได้รับการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจสหกรณ์ดำเนินการส่งเสริมการออมของสมาชิกส่งเสริมและสร้างทักษะในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับสมาชิกและสหกรณ์ฯตลอดจนยังได้รับโล่พระราชทานรางวัลสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติประเภทสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนประจำปี2550ด้วย
นอกจากนี้รมช.เกษตรฯได้รับมอบหนังสือจากตัวแทนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนบ้านแสงอรุณจำกัดเพื่อขอให้ทบทวนกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนถือใช้ซึ่งในรายละเอียดของกฎกระทรวงมีบางประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกสหกรณ์โดยเฉพาะร่างกฎกระทรวงการให้กู้และการให้สินเชื่อทั้งนี้รมช.เกษตรฯยินดีเปิดโอกาสให้ตัวแทนสหกรณ์ทุกจังหวัดได้เข้ามาพูดคุยหารือแนวทางแก้ไขร่างพรบ.ดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ใช้จริงพร้อมรับฟังเรื่องร้องเรียนของสมาชิกสหกรณ์ทุกแห่งเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรก็ตามร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้อีก5ปีซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38576 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คณะอนุกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38597 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ประชุมเตรียมความพร้อมรองรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
"อนุทิน" ประชุมเตรียมความพร้อมรองรับการฉีดวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเกือบ 1,000 แห่ง เตรียมความพร้อมรองรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับคนไทยทุกคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ด้วยวัคซีนที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม สะดวกในการขนส่งประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเกือบ1,000 แห่ง เตรียมความพร้อมรองรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับคนไทยทุกคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ด้วยวัคซีนที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม สะดวกในการขนส่งประเทศเมืองร้อนเตรียมระบบลงทะเบียน ระบบติดตามหลังการฉีด ผ่าน Line Official Account "หมอพร้อม" ตั้งเป้าเริ่มฉีด 14 ก.พ.
วันนี้ (25 มกราคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) และนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมชี้แจงการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ระยะที่ 1 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมกับประธานคณะทำงาน 6 คณะ โดยมีผู้บริหารส่วนกลาง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศเกือบ 1,000 แห่ง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
นายอนุทินกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนสำหรับให้บริการแก่ประชาชนคนไทยทุกคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตามความสมัครใจ ยึดหลักโปร่งใส วัคซีนมีความปลอดภัย มีคุณภาพได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ราคาเหมาะสม และสะดวกในการขนส่งในประเทศ
ที่มีสภาพอากาศร้อน เพื่อการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับประเทศไทย วันนี้จึงได้มีการประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะทำงาน6 คณะ ภายใต้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อให้ทุกจังหวัดเตรียมแผนรองรับการฉีดวัคซีนประชาชนทุกคนซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยฉีดคนละ 2 เข็ม ดำเนินการในช่วงแรกกำหนดสถานที่ฉีดในโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่จึงเฝ้าระวังสังเกตอาการ 30 นาที หากมีผลข้างเคียงจะช่วยเหลือได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำLine Official Account ในชื่อว่า “หมอพร้อม” เป็นระบบรองรับการให้บริการวัคซีน ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและหน่วยบริการ ในการลงทะเบียนผู้รับวัคซีน ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ติดตามประเมินผลการให้วัคซีนจากหน่วยบริการทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุม และเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับประชาชน โดยติดตามอาการไม่พึงประสงค์ของทุกคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนในวันที่ 1, 7, 30 และ 60 โดยเบื้องต้นจะมีการทดสอบการส่งข้อมูลและประเมินผลภายในวันที่ 27 มกราคม 2564 และจะเปิดตัวหมอพร้อม ระยะที่ 1 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับประชาชน จะเปิดใช้งานในช่วงเดือนเมษายน 2564
ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด19 ให้กับคนไทยตามแผนที่กำหนดไว้ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2564 วัคซีนยังมีปริมาณจำกัด จะดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด โดยจะฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน ประชาชนกลุ่มเสี่ยง และเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย โดยตั้งเป้าหมายจะเริ่มฉีดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ระยะที่ 2 ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม 2564 เมื่อจัดหาวัคซีนได้มากขึ้น จะขยายพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายจากระยะที่ 1 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ และระยะที่ 3 ช่วงเดือน มกราคม 2565 เป็นต้นไป เมื่อมีวัคซีนอย่างเพียงพอ จะฉีดให้กับประชาชนทั่วไปทุกคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร และฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ ขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีน โดยสำรวจกลุ่มเป้าหมายและความต้องการวัคซีน จัดทำแผนปฏิบัติการ ชี้แจงอบรมบุคลากรทั้งภาครัฐ เอกชน และอสม. สื่อสาร ชี้แจง แนะนำประชาชนรวมถึงผู้นำชุมชน จัดระบบบริการ ระบบห่วงโซ่ความเย็น และระบบเฝ้าระวังติดตามอาการไม่พึงประสงค์ และซักซ้อมแผน ตรวจสอบความพร้อมก่อนเริ่มให้บริการ
ทั้งนี้ คณะทำงาน6 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงานซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 12 ท่าน 2.คณะทำงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารฯ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย 3.คณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรมและกำกับติดตามผล กำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีน และแผนฝึกอบรมบุคลากรสาธารณสุขที่ให้บริการวัคซีน เป็นต้น 4.คณะทำงานด้านการประกันคุณภาพวัคซีนและติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน จัดทำแนวทางการจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังรับวัคซีน มีระบบติดตามข้อมูลและตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
5.คณะทำงานด้านระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนโควิด 19 วางแผนระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีน พัฒนาระบบลงทะเบียนการให้บริการวัคซีน เพื่อให้หน่วยบริการใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ และเก็บรวบรวม วิเคราะห์ประมวลผลการให้บริการวัคซีน และ 6.คณะทำงานด้านการบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการและความเคลื่อนไหวที่สำคัญเกี่ยวกับวัคซีน ทั้งระดับโลกและในประเทศเพื่อวิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการและให้บริการวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ
******************************** 25 มกราคม 2564
*******************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38577 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า "อุทัยธานี ตรัง ฉะเชิงเทรา" อนุรักษ์วัฒนธรรม ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วม | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
บิ๊กป้อม หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า "อุทัยธานี ตรัง ฉะเชิงเทรา" อนุรักษ์วัฒนธรรม ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วม
บิ๊กป้อม หนุน ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า "อุทัยธานี ตรัง ฉะเชิงเทรา" อนุรักษ์วัฒนธรรม ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วม
วันนี้ (18 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล และประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลเอก ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ คณะกรรมการทุกท่านที่สละเวลามาเข้าร่วมประชุม ให้ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ โดยวันนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบให้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าเพิ่ม 3 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา รวมประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าแล้ว 36 เมือง โดยมีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณสำคัญของเมืองเก่าแต่ละเมือง ดังนี้
เมืองเก่าอุทัยธานี : วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) เขาสะแกกรัง ย่านชุมชนตรอกยาจีน และชุนชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง
เมืองเก่าตรัง : บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง วิหารคริสตจักรตรัง อาคารสโมสรข้าราชการ หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และตึกแถวย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง
เมืองเก่าฉะเชิงเทรา : ป้อมและกำแพงเมืองฉะเชิงเทราบริเวณริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา ตำหนักกรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ อนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร อาคารไม้สัก 100 ปี และย่านการค้าตลาดสดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 5 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าสกลนคร เมืองเก่าระนอง เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าตาก และเมืองเก่าแพร่ ทั้งนี้ การประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า และแผนแม่บทฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการที่สำคัญ เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมเมืองเก่า คงคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมทั้ง ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่เมืองเก่า นำแผนแม่บทฯ ไปขับเคลื่อนงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ให้มีความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38574 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบชุดอุปกรณ์และทุนการประกอบอาชีพจากโลตัส ภายใต้โครงการ พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564 | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
รมว.พม. รับมอบชุดอุปกรณ์และทุนการประกอบอาชีพจากโลตัส ภายใต้โครงการ พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564
รมว.พม. รับมอบชุดอุปกรณ์และทุนการประกอบอาชีพ จากโลตัส พร้อมส่งต่อให้กับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ภายใต้โครงการ พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 10.20 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีรับมอบชุดอุปกรณ์และทุนการประกอบอาชีพ จำนวน 77 ชุด รวมมูลค่า 2,310,000 บาท จากโลตัส เพื่อส่งต่อให้กับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ภายใต้โครงการ พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564 ที่กระทรวง พม. ส่งความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ โดยมีนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวถึง ภารกิจกระทรวง พม. กับการสร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และผู้แทนจากโลตัส โดยคุณสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการถุงคืนชีพ สร้างอาชีพ พร้อมทั้งนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสังคม ทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคม ตลอดจนการพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพและสามารถพึ่งพาตนเองได้ จึงดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อมุ่งสู่การสร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน สำหรับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยเฉพาะแม่เลี้ยงเดี่ยวถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการประกอบอาชีพที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. และโลตัส ได้ร่วมกันให้ความช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยได้มอบชุดอุปกรณ์ประกอบอาชีพ (ชุดจาน ชาม หม้อ กระทะหรืออุปกรณ์ทำอาหาร) และทุนการประกอบอาชีพ เป็นโลตัส กิ๊ฟการ์ด เพื่อซื้อวัตถุดิบ มูลค่า 10,000 บาท จำนวน 77 ชุด รวมมูลค่า 2,310,000 บาท ภายใต้โครงการ พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในของขวัญปีใหม่ 2564 ที่กระทรวง พม. ส่งความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ โดยโลตัส ได้นำรายได้จากการงดให้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียว และจำหน่ายถุงใช้ซ้ำ Collection ใหม่ ลายผ้าไทยประจำ 4 ภาค จากโครงการถุงคืนชีพ สร้างอาชีพ มาซื้ออุปกรณ์เพื่อประกอบอาชีพให้กับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และ ผ่านการอบรมหลักสูตรด้านอาหารจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จังหวัดละ 1 ราย รวมทั้งสิ้น 77 ราย ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมหลักสูตรการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยวิทยากรจากธนาคารออมสิน และการอบรมหลักสูตรการอบรมผู้สัมผัสอาหาร โดยวิทยากรจากสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ผ่านระบบ Zoom Meeting ให้กับกลุ่มเป้าหมายในศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และขอให้มีกำลังกาย กำลังใจพร้อมต่อสู้ร่วมกันเพื่อผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตนี้ไปให้ได้อย่างเข้มแข็ง โดยกระทรวง พม. พร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคม และขับเคลื่อนงานเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้มีโอกาสในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัวในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38578 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่องทางการยืนยันตัวตนเพื่อใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ช่องทางการยืนยันตัวตนเพื่อใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง
ความคืบหน้าการดำเนินโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 24 ม.ค.2564 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 71,323 ลบ.
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 24 มกราคม 2564 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 71,323 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 36,488 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 34,835 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 รอบเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ที่ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ จะสามารถใช้จ่ายในโครงการได้ระหว่างวันที่ 25 มกราคม – 31 มีนาคม 2564 อย่างไรก็ดี ต้องเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ครั้งแรกภายใน 14 วัน หรือภายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ จึงขอให้รีบดำเนินการยืนยันตัวตน ซึ่งสามารถดำเนินการเองได้โดยง่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือดำเนินการผ่านตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทยกว่า 3,300 ตู้ทั่วประเทศ โดยสามารถค้นหาตำแหน่งของตู้เอทีเอ็มสีเทาได้ใน Google Maps โดยพิมพ์คำว่า “ATM กรุงไทย ยืนยันตัวตน” โดยไม่จำเป็นต้องไปยืนยันตัวตนที่สาขาของธนาคารกรุงไทยเพียงช่องทางเดียว ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งแล้วไม่สามารถใช้สิทธิช้อปดีมีคืนได้
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38594 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท | วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
ทส. ร่วมประชุม กก.วล ที่ประชุมเห็นชอบรายงาน EIA 4 โครงการ พร้อมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือบางประเภท
วันนี้ (25 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO conference โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบ VDO Conference ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเจ้าของโครงการ ต้องดำเนินตามมาตรการฯ ที่กำหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในขั้นตอนต่อไป
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา - ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยประหยัดระยะเวลาในการเชื่อมต่อระบบการเดินทางจากเดิมที่ต้องเชื่อมต่อ 2 ครั้ง (สายสีเหลือง - สายสีน้ำเงิน - สายสีเขียว) อีกทั้งยังสามารถเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายรถไฟฟ้าและการเดินทางภายในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น (2) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก ตำบลคลองขุด ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เพื่อให้เกิดความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง สร้างศักยภาพการพัฒนาให้กับจังหวัดทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุ (3) โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพสูง รองรับการเติบโตของเมือง รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ในเมืองหาดใหญ่ และแก้ไขปัญหาจราจรซึ่งเป็นปัญหาหลักของเมืองอย่างยั่งยืน และ (4) โครงการทางหลวงหมายเลข 203 (หล่มสัก - หล่มเก่า - เลย) ของกรมทางหลวง โดยมีแผนงานในการขยายช่องจราจรบนทางหลวงสายดังกล่าวให้เป็น 4 ช่องจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงสนับสนุนแผนการพัฒนาโครงข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทาง ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38591 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.