title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
“บุกรวบเครือข่ายขบวนการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล สแกนแล้วนำมาขายต่อ หลอกลวงผู้บริโภค”
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ. และพ.ต.ท.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข รอง ผกก.1 บก. ปคบ. ได้ร่วมกันแถลงต่อผู้สื่อข่าว กรณีจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบออนไลน์ แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลภายใต้การอำนวยการของ นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ.,พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. สั่งการให้ พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ. และพ.ต.ท.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข รอง ผกก.1 บก. ปคบ. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคบ.ทำการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบบออนไลน์ แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง ดังนี้
รายที่ 1 และ 2 นายแดง สงวนนามสกุล อายุ 44 ปี ในฐานะส่วนตัว และในฐานะนิติบุคคล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 558/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 และในฐานะส่วนตัว ตามหมายจับศาลอาญาที่ 562/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าร้านมินิบิ๊กซี ซอยนนทบุรี 39 ท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 00.30 น.
รายที่ 3 นายทิวากร สงวนนามสกุล อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 559/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่หอพักไม่มีชื่อ เลขที่ 160/21 ซอยไฟฟ้า 3 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 06.00 น.
รายที่ 4 นางรัชนี สงวนนามสกุล อายุ 56 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 564/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณบ้านของพักของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 07.10 น.
รายที่ 5 นางสาวพราวภัสสร สงวนนามสกุล อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 565/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าที่ทำการองค์การบริการส่วนตำบลแห่งหนึ่ง จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 08.00 น.
รายที่ 6 นางสาวสิรินุช สงวนนามสกุล อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 565/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ถนนกลางเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 09.40 น.
รายที่ 7 นางสาวทิตาภรณ์ สงวนนามสกุล อายุ 38 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 563/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่ กก.1 บก.ปคบ. ศูนย์ราชการอาคารบี ชั้น 4 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 น.
รายที่ 8 นางสาวปัทมา สงวนนามสกุล อายุ 37 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 560/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่ กก.1 บก.ปคบ. ศูนย์ราชการอาคารบี ชั้น 4 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 เวลา 09.39 น.
รายที่ 9 นายคำรณ สงวนนามสกุล อายุ 43 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 561/2564 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยจับกุมได้ที่ กก.1 บก.ปคบ. ศูนย์ราชการอาคารบี ชั้น 4 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 เวลา 09.59 น.
ซึ่งทั้งหมดต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน,ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือพนันในการเล่นพนันสลากกินแบ่ง ตามบัญชี ข.(หมายเลข16) โดยมิได้รับอนุญาต”
พฤติการณ์กล่าวคือ บก.ปคบ.ร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกันสืบสวนกรณี บริษัท แพนด้า ลอตเตอรี่ จำกัด กับพวก ได้สร้างแพลตฟอร์มชื่อแพนด้า ลอตเตอรี่ (Panda Lottery) ผ่านทางเว็บไซต์ url: https://pdlotto.com/ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับบุคคลทั่วไป โดยนำภาพสลากฯ หมายเลขต่างๆ ที่มีการสแกนบันทึกเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ มาเสนอขายผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยใช้ตัวแทนนายหน้า หรือบุคคลต่าง ๆ เป็นผู้โฆษณาหาลูกค้ามาซื้อสลากฯ เมื่อลูกค้าเลือกซื้อสลากฯ แล้ว บริษัท แพนด้า ลอตเตอรี่ จำกัด มิได้ส่งมอบ สลากฯ ฉบับจริงให้ลูกค้า เพื่อทำการตรวจสอบ และเก็บรักษา แต่อย่างใด โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของบริษัทฯ ทางบริษัทฯ จะเก็บรักษาสลาก ฯ ฉบับจริงไว้ให้ลูกค้าเอง จะได้ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสูญหาย และชำรุด ซึ่งจาการสืบสวนในคดีนี้พบว่า หลังจากที่บริษัทได้สแกนบันทึกสลาก ฯ และจำหน่ายทางเพจออนไลน์แล้ว บริษัทฯ ยังได้แอบนำสลากฉบับจริงบางฉบับนำมาจำหน่ายซ้ำให้กับลูกค้ารายอื่นอีก จากพยานหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นเชื่อว่า บริษัท แพนด้า ลอตเตอรี่ จำกัด และพวก มีการแบ่งหน้าที่กันในการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และได้ยื่นคำร้องขอหมายจับบุคคลดังกล่าวต่อศาลอาญา กระทั่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้ง 9 คนดังกล่าว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงกรณีมีการจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ อยู่ในขณะนี้ว่า สำนักงานสลากฯ ได้มีการติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้มีการตรวจสอบหมายเลขสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยงวดวันที่ 1 มีนาคม และ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตรวจสอบพบว่าเป็นสลากของตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อจองล่วงหน้าสลากฯ จำนวน 546 ราย ซึ่งได้ดำเนินการยกเลิกสัญญาและยกเลิกสิทธิในการลงทะเบียนซื้อจองล่วงหน้าสลากฯ ไปเรียบร้อยแล้ว และยังคงตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สำนักงานฯ ได้มีหนังสือเตือนไปยังตัวแทนจำหน่ายและผู้ทำรายการซื้อจองล่วงหน้าสลากฯ ทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามสัญญาและหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
ในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายนั้น สำนักงานฯ ได้มีหนังสือไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษแพลตฟอร์มออนไลน์ เรื่องการขายสลากเกินราคา ซึ่งขณะนี้ได้มีการเปรียบเทียบปรับไปแล้วหลายรายการ และบางรายอยู่ระหว่างพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด
พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สำนักงานสลากฯ ยังไม่มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือลอตเตอรี่ผ่านทางเว็บไซต์แต่อย่างใด และขอเตือนผู้ซื้อสลาก ให้ระมัดระวังการซื้อสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ถ้ายังไม่ได้รับสลากมาไว้ในมือ เมื่อถูกรางวัลก็มีความเสี่ยงอาจจะไม่มีสลากมาขึ้นเงินรางวัล และขอเตือนผู้ขายสลาก รวมถึงผู้ที่เปิดขายสลากผ่านเว็บไซต์และมีการคิดค่าบริการเพิ่ม ทำให้ราคาสลากเกิน 80 บาท ถือเป็นการจำหน่ายสลากเกินราคาเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ในส่วนของตัวแทนขายที่สมัครไว้กับแต่ละแพลตฟอร์ม หากท่านไม่มั่นใจว่าแพลตฟอร์มที่ท่านสมัครเป็นตัวแทนขายมีสลากจริงหรือไม่ ท่านอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดไปด้วย ดังเช่นที่ตำรวจจับกุม สำหรับตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ หากนำสลากไปขายต่อ หรือขายช่วง จะถูกยกเลิกสัญญา และยกเลิกสิทธิในการลงทะเบียนทำรายการซื้อจองล่วงหน้าตลอดชีวิตเช่นกัน
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนผู้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ขอให้ซื้อผู้ขายที่มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีฉบับจริง มีสถานที่ตั้งจำหน่าย หรือตัวแทนจำหน่ายที่สามารถตรวจสอบสอบได้ และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือมีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา สามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1135, ศูนย์รับเรื่องรวมร้องทุกข์ บก.ปคบ.,เพจเฟซบุ๊ก “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค” เว็บไซต์ www.cppd.go.th หรือหรือที่ศูนย์รับแจ้งข้อมูลข่าวสารของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 0-2528-9999
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40470 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ ติดตามการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลของไทย | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ ติดตามการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลของไทย
รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ ติดตามการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลของไทย
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยรับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไตรมาสที่ 1 ประจำปีบัญชี 2564 ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน ดังนี้ (1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (2) ผลการดำเนินงานด้านไม่ใช่การเงินตามวัตถุประสงค์และภารกิจของทุนหมุนเวียน (3) ระบบบริหารความเสี่ยง (4) ระบบบริหารจัดการสารสนเทศ และ (5) ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังพิจารณาเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การจัดสรรประโยชน์และการรักษาสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ในกรณีผู้รับทุนและผู้ให้ทุนเป็นเจ้าของร่วมกัน เห็นชอบประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การจัดสรรประโยชน์ และการรักษาสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อีกทั้งเห็นชอบการเสนอขอทำความตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาก่อนลงนามในสัญญาโครงการการพัฒนาบทเรียนออนไลน์และสื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาบาลีของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร ฯ ในฐานะประธานได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ประเมินผล โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ พร้อมทั้งมอบฝ่ายเลขาฯ ดำเนินไปตามมติที่ประชุมเพื่อการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามการพัฒนาดิจิทัลของประเทศ
...................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยระบบการแพทย์ไทย รักษาผู้ป่วยโควิด 19 หายแล้วกว่า 25,000 ราย | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
อนุทิน เผยระบบการแพทย์ไทย รักษาผู้ป่วยโควิด 19 หายแล้วกว่า 25,000 ราย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย และความร่วมมือภาคีเครือข่าย ส่งผลให้รักษาผู้ป่วยหายแล้วกว่า 25,000 ราย อัตราการเสียชีวิตระลอกใหม่เพียงร้อยละ 0.1 น้อยกว่าทั่วโลก 20 เท่า พร้อมเดินหน้าการแพทย์วิถีใหม่
บ่ายวันนี้ (29 มีนาคม 2564) ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานเสวนา Smart Living With COVID-19 “Save ทุกลมหายใจ พาคนไทยฝ่าวิกฤติโควิด 19” โดยมีนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ศ.นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.นายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายกสมาคมอรุเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมการเสวนา และนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมเสวนาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อให้ประชาชน สื่อมวลชน และInfluencer ได้รับทราบและมั่นใจในความพร้อมของมาตรการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นายอนุทินกล่าวว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 รัฐบาลได้บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงจังหวัดและพื้นที่ ทำให้ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพระบบรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอัตราเสียชีวิตของผู้ป่วยอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลก และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 7 เท่า (ข้อมูล 14 มี.ค.2564) เมื่อเทียบเฉพาะการระบาดระลอกใหม่พบว่าอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 0.1 ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 20 เท่า และมีผู้ป่วยรักษาหายแล้วจำนวนกว่า 25,000 ราย อีกทั้งขณะนี้ ได้จัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 กลุ่มเป้าหมายระยะแรก ในพื้นที่ระบาด และพื้นที่เศรษฐกิจตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งมีวัคซีนเพียงพอ ขอให้ประชาชนมารับการฉีดตามนัดหมายให้ครบทั้ง 2 เข็ม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ สร้างความมั่นใจนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด 19
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้ปรับแนวทางบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ มีเป้าหมายให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Personal-based medical service) พร้อมทั้งมีการจัดระบบให้บริการรูปแบบใหม่ (Redesigned) และนำระบบดิจิทัลมาใช้ให้บริการผู้ป่วยมากขึ้น มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์มาปรับใช้ระบบการทำงานของโรงพยาบาลให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อาทิ ระบบ Telemedicine เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อและสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้บริการทางการแพทย์ เป็นวิธีการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มช่องทางเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยและบุคลากร ลดความแออัดในโรงพยาบาล ขณะที่ยังคงมีความเป็นธรรมในการมารับบริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะช่วงการระบาดของโควิด 19 ได้จัดทำแผนประคองกิจการในการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤติสำหรับสถานพยาบาล เพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นแผนแม่บทของโรงพยาบาลในการบริหารกำลังคน ทรัพยากร งบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ได้พัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ มุ่งให้ประชาชนปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ให้โรงพยาบาลนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การให้บริการทางการแพทย์ ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน เพื่อลดความแออัด ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ
***************************************** 29 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40471 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” ไฟเขียวกองทุนดีอีเตรียม 3 พันล้านหนุนพัฒนาดิจิทัล 6 ด้าน | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
“บิ๊กป้อม” ไฟเขียวกองทุนดีอีเตรียม 3 พันล้านหนุนพัฒนาดิจิทัล 6 ด้าน
“บิ๊กป้อม” ไฟเขียวกองทุนดีอีเตรียม 3 พันล้านหนุนพัฒนาดิจิทัล 6 ด้าน
“พล.อ.ประวิตร” ประธานประชุมบอร์ดกองทุนดีอี ไฟเขียวกรอบวงเงิน 3 พันล้านบาท สนับสนุนโครงการ/กิจกรรมที่สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 6 ด้าน ขานรับบอร์ดดีอีอุดหนุนงบขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศ วงเงิน 500 ล้านบาท
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (บอร์ดกองทุนดีอี) ครั้งที่ 1/2564 พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ประชุมวันนี้ ให้ความเห็นชอบกรอบวงเงิน 3 พันล้านบาท สำหรับสนับสนุนโครงการที่เข้าเกณฑ์ตามกรอบนโยบายการให้ทุนสนับสนุนประจำปี 2564 โดยการเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรม ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนดีอีปีนี้ กำหนดกรอบนโยบายการให้ทุนไว้ 6 ด้าน ได้แก่ 1. Digital Manpower “การศึกษากับคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล” การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการกำหนดนโยบายพัฒนาบุคลากรของประเทศ 2. Digital Health “Advanced eHealth” ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลด้านสาธารณสุข ครอบคลุมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารสนเทศทางการแพทย์ การบริการสุขภาพและให้คำปรึกษาในทุกกลุ่มคนอย่างทั่วถึง 3. Digital Agriculture “เกษตรเชิงรุกด้วยนวัตกรรมดิจิทัล” การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเกษตรแบบเชิงรุก ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าและต่อยอดภาคเกษตร
4. Digital Technology “เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกอนาคต” ส่งเสริมการนำอุปกรณ์และระบบดิจิทัล อาทิ อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things) มาใช้ในการบริหารจัดการเมือง ชุมชน และแก้ปัญหาสาธารณะ ตลอดจนยกระดับการบริหารจัดการในภาคต่าง ๆ 5. Digital Government & Infrastructure “รัฐบาลดิจิทัล” สนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการออกแบบบริการภาครัฐ การบูรณาการและการทำงานร่วมกัน (Interoperability) เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ และ 6. Digital Agenda “โครงการตามนโยบายเร่งด่วน” โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มุ่งเน้นส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 26 (6) แห่ง พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 สำหรับขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย เพื่อการต่อยอดการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 500 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาอนุมัติในการประชุมบอร์ดดีอี เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณาสนับสนุน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลัก ๆ ได้แก่ เป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ เป็นโครงการนำร่องที่มีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ระยะที่ 1 และโครงการที่ขอรับการสนับสนุนต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนดีอี
นอกจากนี้ ยังพิจารณาเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การจัดสรรประโยชน์และการรักษาสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อีกทั้งได้เสนอให้มีการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทรัพย์สินทางปัญญา” เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้มีการอนุมัติให้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการพัฒนาบทเรียนออนไลน์และสื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาบาลี ในส่วนของกองทุนแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหน่วยงานสนองพระราชดำริ
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40463 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. เอกลักษณ์ของชาติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ เน้นเยาวชนมีส่วนร่วมภายใต้กรอบแนวคิด “คนไทยมีวินัย ใฝ่คุณธรรม และรู้ รัก สามัคคี” | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
คกก. เอกลักษณ์ของชาติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ เน้นเยาวชนมีส่วนร่วมภายใต้กรอบแนวคิด “คนไทยมีวินัย ใฝ่คุณธรรม และรู้ รัก สามัคคี”
คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ เน้นเยาวชนมีส่วนร่วมภายใต้กรอบแนวคิด “คนไทยมีวินัย ใฝ่คุณธรรม และรู้ รัก สามัคคี”
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบให้ทุกวันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันรู้รักสามัคคี” เป็นวันสำคัญของชาติ โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ พร้อมรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เห็นชอบให้เพลงสดุดีจอมราชาและเพลงสดุดีพระแม่ไทย เป็นเพลงสำคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการ “ค่าของแผ่นดิน” ซึ่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สรรหาและคัดเลือกบุคคล หน่วยงาน และโครงการ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม และประชาชน ในการเป็นต้นแบบและยกย่องเชิดชูให้เป็น “ค่าของแผ่นดิน” โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์และกลั่นกรองบุคคล หน่วยงานและโครงการ เพื่อรับโล่เกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรีต่อไป และรับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการสร้างเด็กและเยาวชนต้นแบบ รู้ รัก สามัคคี และสำนึกความเป็นไทย ภายใต้หัวข้อ “เด็กอวด(ทำ)ดี” ซึ่งมีกำหนดการรับสมัครระหว่างที่ 1 – 30 เมษายน 2564 เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15 – 25 ปี ได้มีพื้นที่แสดงออกทางความคิด พัฒนาศักยภาพ และเรียนรู้การทำงานเป็นทีมผ่านการศึกษา ค้นคว้า และปฏิบัติจริง
อนึ่ง ที่ประชุมได้รับทราบการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ทั้ง 2 ระยะ ระยะที่ 1 พ.ศ. 2564 – 2565 และระยะที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนการสื่อสารระหว่างเยาวชนและรัฐบาล อาทิ การให้กลุ่มเด็กและเยาวชนมีส่วนร่วม โดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติได้จัดทำ (ร่าง) แนวทางขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ภายใต้กรอบแนวคิด “คนไทยมีวินัย ใฝ่คุณธรรม และรู้ รัก สามัคคี” โดยแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ประกอบด้วย การอนุรักษ์เอกลักษณ์เดิม การส่งเสริมเอกลักษณ์ในบริบทใหม่ และ การสร้างสรรค์เอกลักษณ์ที่ใฝ่ฝัน
ในตอนท้าย ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการจัดทำเพลงสำคัญของแผ่นดินในส่วนของประธานอนุกรรมการเป็น นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำเพลงสำคัญแห่งแผ่นดินเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
.......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40465 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสนอ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ฯ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
เสนอ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ฯ
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบให้เสนอต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก เนื่องจากมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณา ตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒธรรมที่จับต้องไม่ได้ ปี ค.ศ. 2003 หลายประการ ทั้งด้านคุณค่าและความสำคัญ สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทย ที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารอย่างเรียบง่ายพึ่งพิงธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งภูมิปัญญาการทำต้มยำกุ้งนอกจากสืบทอดในครัวเรือนแล้ว ยังแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดสูตรต้มยำกุ้งที่แปลกใหม่ ที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตและรสนิยมทางอาหารที่แตกต่างกันไปของคนกลุ่มต่าง ๆ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40435 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมีนาคม 2564 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมีนาคม 2564
ดัชนี RSI เดือนมีนาคม 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในทุกภูมิภาค เนื่องจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม 2564 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนมีนาคม 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในทุกภูมิภาค เนื่องจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 67.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการ เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะคลี่คลายลง ทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุน ภาคเกษตรและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 65.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มดีขึ้น จากการฉีดวัคซีนในหลายประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางพาราในการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 63.4 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันที่เริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 62.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการลงทุนและภาคบริการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 61.0 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากคาดว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและมีคำสั่งซื้อมากขึ้น ประกอบกับมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยสนับสนุน ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 60.7 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมด้านเงินทุนและการพัฒนาการผลิต ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ประกอบกับเชื่อว่าแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ 52.6 แสดงถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและคาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการ เนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐจากโครงการต่างๆ
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2564 (ณ เดือนมีนาคม 2564)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 52.6 63.4 62.5 65.3 61.0 60.7 67.9
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 63.7 71.9 59.5 69.6 58.9 58.0 77.5
2) ภาคอุตสาหกรรม 56.0 66.2 63.8 69.4 62.1 76.2 65.8
3) ภาคบริการ 56.6 59.6 64.1 65.8 66.4 54.8 69.3
4) ภาคการจ้างงาน 46.2 56.3 60.5 61.2 59.3 54.3 63.6
5) ภาคการลงทุน 40.5 62.8 64.5 60.6 58.4 60.2 63.3
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40457 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนเอสเอ็มอีขึ้นบัญชีกับ สสว. รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎเกณฑ์ภาครัฐ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รัฐบาลเชิญชวนเอสเอ็มอีขึ้นบัญชีกับ สสว. รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎเกณฑ์ภาครัฐ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก
รัฐบาลเชิญชวนเอสเอ็มอีขึ้นบัญชีกับ สสว. รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎเกณฑ์ภาครัฐ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ เป็นรากฐานสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
วันที่ 1 มี.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ย้ำในหลายวาระว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสทุกด้านแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ให้มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านรายเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีการจ้างงานทั่วประเทศอยู่กว่า 12 ล้านคน และยังเป็นแหล่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
ล่าสุดได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 กฎหมายฉบับนี้จะเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการของเอสเอ็มอีที่ขึ้นบัญชีไว้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในวงเงินไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงอยากขอเชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ขึ้นบัญชีผู้ประกอบการและรายการสินค้าและบริการในระบบที่ สสว. จัดทำขึ้น ผ่านเว็บไซต์ www.thaismegp.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนได้นั้น ครอบคลุมทั้งที่เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา หรือวิสาหกิจชุมชน มีคุณสมบัติเป็นไปตามนิยามเอสเอ็มอีที่ สสว. กำหนด คือ หากอยู่ในภาคการผลิต จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาคการค้าและบริการ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อปี
“เมื่อขึ้นบัญชีกับ สสว.แล้ว จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐในแต่ละจังหวัดได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ด้วยแต้มต่อ 10% ในการแข่งราคาด้วยวิธีอี-บิดดิ้ง ด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนผ่านระบบที่ สสว. พัฒนาขึ้นที่ www.thaismegp.com นั้น จะเป็นการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมแนบหลักฐานการจัดตั้งธุรกิจ ได้แก่ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล/ทะเบียนพาณิชย์ หรือหลักฐานการจดทะเบียนกับหน่วยงานราชการ เอกสารแสดงรายได้ ได้แก่ งบการเงินปีล่าสุด /เอกสารหรือหลักฐานแสดงรายได้ เช่น แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และรอรับ sms แจ้ง Username และ Password เพื่อเพิ่มรายละเอียดและรูปภาพในระบบ
“รัฐบาลเชื่อว่าแนวทางนี้จะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้มแข็งและเติบโตได้มากขึ้น สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ ซึ่งในระยะต่อไปจะยังคงมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคเพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นผู้ประกอบการที่เป็นฐานรากที่สำคัญของเศรษฐกิจทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งจ้างงานและผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39486 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย
พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล และห้องประชุม 202 ชั้น 2 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการติดตามผลการดําเนินงานตามมติคณะกรรมการนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ระหว่างปี พ.ศ. 2563 - ปัจจุบัน อีกทั้งมีมติเห็นชอบการประชุมที่สําคัญ ดังนี้
1.เห็นชอบต่อสาระสําคัญของ (ร่าง)
พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... และ (ร่าง) กรอบหลักการกฎหมายลําดับรองตามที่เสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
2.
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการประสานท่าทีเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ
3.
เห็นชอบต่อร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม กับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย
ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน และให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย คว้ารางวัลระดับภูมิภาคอีกครั้ง | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย คว้ารางวัลระดับภูมิภาคอีกครั้ง
พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทยได้รับรางวัล Roll of Honour สาขา Regional Awards: Domestic Bond ในการจัดอันดับ IFR Asia Awards 2020 จาก IFR Asia ซึ่งเป็นนิตยสารด้านตลาดเงินและตลาดทุนชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทยได้รับรางวัล Roll of Honour สาขา Regional Awards: Domestic Bond ในการจัดอันดับ IFR Asia Awards 2020 จาก International Financing Review Asia (IFR Asia) ซึ่งเป็นนิตยสารด้านตลาดเงินและตลาดทุนชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย
รางวัลดังกล่าวนับเป็นรางวัลที่ 4 จากการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย โดยก่อนหน้านี้ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนได้คว้า 3 รางวัลจากนิตยสาร The Asset ได้แก่ รางวัล Thailand’s Best Sustainable Bond และรางวัล Thailand’s Best Issuer for Sustainable Finance ในการจัดอันดับ Triple A Country Awards 2020 และรางวัล Best Sustainability Bond ระดับภูมิภาค ในการจัดอันดับ Deals of the Year – Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards 2020
กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เริ่มออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ครั้งแรกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อนำเม็ดเงินระดมทุนที่ได้ไปใช้ในโครงการเพื่อการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม อันได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และโครงการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ซึ่งในปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) มีวงเงินคงค้างอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท และ สบน. มีแผนที่จะดำเนินการออกอย่างต่อเนื่องให้มียอดเงินคงค้างขั้นต่ำอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่พันธบัตรและสนับสนุนการระดมทุนอย่างยั่งยืน
ในการนี้ สบน. ขอขอบคุณนักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้ามามีส่วนร่วมให้ประเทศไทยได้รับรางวัลในครั้งนี้ โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทยจะเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีความรับผิดชอบในการระดมทุนที่มีส่วนในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติต่อไป
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร 02-271-7999 ต่อ 5817 และ 5806
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมหารือระหว่างผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
การประชุมหารือระหว่างผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือระหว่างผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือระหว่างผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาการมอบหมายการปฏิบัติงานให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในด้านต่าง ๆ อาทิ ระบบกำกับติดตามงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาการอนุญาตของทางราชการ รวมทั้งแผนการตรวจกำกับเรื่องร้องเรียนและโครงการสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 2564 ตาม Agenda โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ยังมีนายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านโปรแกรม ZOOM ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ผลักดัน CPOT สู่ระดับสากล จัดประกวดตราสัญลักษณ์ CPOT ชิงรางวัลชนะเลิศ 1.2 แสนบาท | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
วธ.ผลักดัน CPOT สู่ระดับสากล จัดประกวดตราสัญลักษณ์ CPOT ชิงรางวัลชนะเลิศ 1.2 แสนบาท
วธ.ผลักดัน CPOT สู่ระดับสากล จัดประกวดตราสัญลักษณ์ CPOT ชิงรางวัลชนะเลิศ 1.2 แสนบาท
วธ.ผลักดัน CPOT สู่ระดับสากล จัดประกวดตราสัญลักษณ์ CPOT ชิงรางวัลชนะเลิศ 1.2 แสนบาทภายใต้แนวคิด“The Spirit of CPOT” โลโก้เน้นมีรูปแบบร่วมสมัยสื่อสารได้ในระดับสากล เปิดรับสมัครผู้มีไฟในการออกแบบ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 19 มี.ค. 2564
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมโดยยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีโดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและนโยบายของวธ.ในการสืบสาน รักษาและต่อยอดงานศิลปวัฒนธรรมของชาติและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น วธ.ได้ดำเนินโครงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย(Cultural Product of Thailand : CPOT) ซึ่งเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมของประเทศ มาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ในระดับสากล นำไปสู่การสร้างอาชีพ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ชุมชนเกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์หวงแหนในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นร่วมกันอนุรักษ์ สืบสานและต่อยอดงานศิลปวัฒนธรรมของชาติ เพิ่มศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ CPOT เกิดขึ้นหลากหลายประเภท เช่น ผ้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของประดับตกแต่ง ฯลฯ ซึ่งในปีงบประมาณพ.ศ.2564 วธ.เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการฯและมุ่งส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ CPOT อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงได้จัดโครงการจัด“ประกวดตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT Logo Contest)” ขึ้น เพื่อส่งเสริม เผยแพร่ มรดกภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละชุมชน ภูมิภาค ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยกระดับและสร้างภาพลักษณ์ของตราสัญลักษณ์ CPOT ในระดับสากล และเพื่อให้ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) เป็นที่จดจำและเป็นรู้จักในวงกว้างผ่านการสื่อสารสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า (Branding) ต่อกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจและรักในการออกแบบได้มีส่วนร่วมในการรักษา สืบสาน ต่อยอด มรดกด้านวัฒนธรรมไทยในบริบทใหม่ ซึ่งตราสัญลักษณ์ต้องสื่อถึงอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากทุนทางวัฒนธรรม อาทิ มรดกภูมิปัญญา มรดกทางศิลปวัฒนธรรมบนพื้นฐานแนวคิด 3 ประการได้แก่ 1.ต่อยอดอดีต 2.ปรับปัจจุบันปูทางสู่อนาคต และ3.สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต โดยตราสัญลักษณ์ต้องมีรูปแบบที่ร่วมสมัยสามารถสื่อสารได้ในระดับสากลภายใต้แนวคิด“The Spirit of CPOT”
ทั้งนี้ ผู้ชนะการประกวดได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นเงินรางวัล 120,000 บาท พร้อมโล่รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัลได้รางวัลละ 5,000 บาท และจะประกาศผลรางวัลในวันที่ 25 มีนาคม 2564 สำหรับผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดได้ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคลต้องมีสัญชาติไทย 1 คนและคณะบุคคลหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 19 มีนาคม 2564 ที่กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขที่ 10 ถนนเทียมร่วมมิตร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 ติดต่อสอบถามโทร.0 2209 3597, 0 2209 3599 สายด่วนวัฒนธรรม 1765 และดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.cpotshop.com
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39489 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2563 มหกรรมลดความเลื่อมล้ำทางสังคมและวันสตรีสากล 2564 ที่จังหวัดนครราชสีมา | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2563 มหกรรมลดความเลื่อมล้ำทางสังคมและวันสตรีสากล 2564 ที่จังหวัดนครราชสีมา
พม. จัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2563 มหกรรมลดความเลื่อมล้ำทางสังคมและวันสตรีสากล 2564 ที่จังหวัดนครราชสีมา
วันที่ 26 ก.พ. 64 เวลา 11.00 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2563 มหกรรมลดความเลื่อมล้ำทางสังคม และวันสตรีสากล ประจำปี 2564 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้แทนองค์กรภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านคนพิการ รวมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมโคราช ฮอลล์ 1 ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซานครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
นางพัชรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทุกคนมีโอกาสและความเสมอภาคในทุกด้าน และเป็น “สังคมแห่งโอกาส” ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่จำเป็นต้องคำนึงถึงความยากลำบากในการดำเนินชีวิตของคนพิการ จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ อย่างรอบด้าน อาทิ การเพิ่มช่องทางในการซื้อเครื่องอุปโภคและเวชภัณฑ์ การช่วยเหลือเงินเยียวยา 1,000 บาท การพักชำระหนี้ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง และการประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน รวมถึงองค์กรด้านคนพิการ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมด้วยความเสมอภาคอย่างเท่าเทียม เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืน
นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า นอกจากคนพิการแล้ว สตรียังถือเป็นความสำคัญที่กระทรวง พม. ต้องเข้าดูแลและให้โอกาส สร้างคุณค่า ความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสตรีเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะโตขึ้นเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องวิเคราะห์ว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงศักยภาพอีกด้วย
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2563 มหกรรมลดความเลื่อมล้ำทางสังคม และวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ 1. การมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่คนพิการต้นแบบที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แก่ นางนิตยา เขาหนองบัว 2. การมอบป้ายสัญลักษณ์สถานที่ที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและทุกคน จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 2.1 ศูนย์ประสานงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา 2.2 ศูนย์การค้าเทอมินอล 21 โคราช 2.3 บริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด 2.4 ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ศพพ.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และ 2.5 ศูนย์บริการคนพิการตำบลพุดซา 3. การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรคนพิการที่ผ่านมาตรฐานดีมาก ประจำปี 2564 จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 3.1 ชมรมผู้ปกครองบุคคลออทิสติกจังหวัดนครราชสีมา และ 3.2 สมาคมคนตาบอดนครราชสีมา 4. การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบการดีเด่นด้านการจ้างงานคนพิการ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 4.1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามดีบริการ 4.2 บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด และ 4.3 บริษัท โตคูมิ อิเล็คทรอนิคส์ไทย จำกัด 5. การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่องค์กรดีเด่นที่สนับสนุนงานด้านคนพิการ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 5.1 เทศบาลตำบลด่านเกวียน และ 5.2 องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระทุ่ม และ 6. การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่
สถานที่ดีเด่นที่เอื้อต่อคนพิการ จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซานครราชสีมา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย
พลเอก ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ชง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการ ดําเนินงานของไทย
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล และห้องประชุม 202 ชั้น 2 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการติดตามผลการดําเนินงานตามมติคณะกรรมการนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ระหว่างปี พ.ศ. 2563 - ปัจจุบัน อีกทั้งมีมติเห็นชอบการประชุมที่สําคัญ ดังนี้
1.เห็นชอบต่อสาระสําคัญของ (ร่าง)
พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... และ (ร่าง) กรอบหลักการกฎหมายลําดับรองตามที่เสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
2.
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการประสานท่าทีเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ
3.
เห็นชอบต่อร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม กับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย
ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน และให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) รพ.มหาราชนครราชสีมา รองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุภาคอีสาน | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
สธ.รับมอบอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) รพ.มหาราชนครราชสีมา รองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุภาคอีสาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา รับส่งต่อผู้ป่วยอุบัติเหตุในพื้นที่ภาคอีสาน เพิ่มพื้นที่ให้บริการ ลดแออัด ลดรอคอย
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานรับมอบอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พร้อมครุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยมีนายกรกต ธำรงวงศ์สวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นพ.พงษ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และนพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธี
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า การก่อสร้างอาคารสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ ลดแออัด ลดรอคอย เนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาเป็นเส้นทางหลักที่ประชาชนเดินทางผ่านไปยังจังหวัดภาคอีสาน และภาคเหนือ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลศูนย์ในภูมิภาคที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวนเตียงประมาณ 1,300 เตียง ดูแลรับส่งต่อใน เขตสุขภาพที่ 9 ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ชัยภูมิ และจังหวัดใกล้เคียง เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง หลอดเลือดสมอง ทารกแรกเกิด ปลูกถ่ายอวัยวะ ทำให้มีผู้รับบริการจำนวนมาก มีผู้ป่วยประมาณ 1.1 แสนคนต่อเดือน แบ่งเป็นผู้ป่วยในวันละ 1,600-1,700 คน ผู้ป่วยนอกวันละกว่า 4,300 คน ผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินมากถึง 300 รายต่อวัน แนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล
สำหรับอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงรับเป็นประธานจัดหาทุนก่อสร้างอาคาร ได้พระราชทานทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาท และพระราชทานชื่ออาคารว่า “อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา” โดยมีพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) และหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตารับเป็นประธานจัดสร้างอาคาร ซึ่งก่อสร้างพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จากเงินบริจาคทั้งหมด 1,398 ล้านบาท เป็นเงินที่ประชาชนร่วมทำบุญผ้าป่าและร่วมบริจาคก่อสร้างอาคาร 748 ล้านบาท และงบที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดซื้อครุภัณฑ์ที่จำเป็น จำนวน 650 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 12 ชั้น ประกอบด้วย ศูนย์อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร ห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อน หอผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ หอผู้ป่วยวิกฤตทางอุบัติเหตุ หอผู้ป่วยอุบัติเหตุทั่วไป หอผู้ป่วยพิเศษ และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เปิดให้บริการแก่ประชาชน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา
******************************** 1 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ส่งมอบรถรับ-ส่งนักเรียน ช่วยเหลือเยาวชนในความอุปถัมภ์ของวัดห้วยปลากั้ง จ.เชียงราย | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
ธอส. ส่งมอบรถรับ-ส่งนักเรียน ช่วยเหลือเยาวชนในความอุปถัมภ์ของวัดห้วยปลากั้ง จ.เชียงราย
ธอส.ส่งมอบรถรับ-ส่งนักเรียนในความอุปถัมภ์ของวัดห้วยปลากั้ง จ.เชียงราย ด้วยงบประมาณสนับสนุน 705,000 บาท เพื่อใช้เป็นยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานได้อย่างปลอดภัยในการนำนักเรียนเดินทางไปโรงเรียน โรงพยาบาล กิจกรรมทัศนศึกษา หรือสถานที่อื่นๆ
เชียงราย : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่งมอบรถรับ-ส่งนักเรียนในความอุปถัมภ์ของ วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย ด้วยงบประมาณสนับสนุน 705,000 บาท เพื่อใช้เป็นยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานได้อย่างปลอดภัยในการนำนักเรียนเดินทางไปโรงเรียน โรงพยาบาล กิจกรรมทัศนศึกษา หรือสถานที่อื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้หรือดำรงชีวิตของเด็ก ตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) นำคณะผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของธนาคาร จัดพิธีส่งมอบรถรับ-ส่งนักเรียนในความอุปถัมภ์ของวัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยมีพระไพศาลประชาทร วิ. (พบโชค ติสฺสวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง ร่วมในพิธี ซึ่งทางวัดจะนำรถไปใช้ในการรับ-ส่งนักเรียนเดินทางไปโรงเรียน โรงพยาบาล กิจกรรมทัศนศึกษา หรือสถานที่อื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียนในความอุปถัมภ์ของวัดห้วยปลากั้ง รวมประมาณ 1,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวชนเผ่า และเป็นเด็กกำพร้าถึงร้อยละ 90 ที่เหลือเป็นเด็กยากจน พ่อแม่มีรายได้น้อย ไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ธนาคารจึงให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการจัดหารถรับ-ส่งนักเรียนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ มูลค่า 705,000 บาท ซึ่งหลายปีก่อนหน้านี้ ธนาคารได้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างอาคารหอพัก 3 ชั้น จำนวน 28 ห้อง พบโชคเจริญธรรม สำหรับเด็กหญิงตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมและอาชีวะรวมกว่า 200 คนไปแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม “การให้” ที่ ธอส. ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเยาวชนที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศต่อไป
ทั้งนี้ ธอส. มีภารกิจในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย ด้านการศึกษา ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์/ศาสนา/ศิลปวัฒนธรรม และด้านกีฬา โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39487 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขย่าตลาดบ้านมือสอง!!! ธอส. เปิดตัวโครงการ G H Bank Marketplace รับฝากขายบ้านมือสองผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคาร | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
เขย่าตลาดบ้านมือสอง!!! ธอส. เปิดตัวโครงการ G H Bank Marketplace รับฝากขายบ้านมือสองผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคาร
ธอส.เพิ่มช่องทางในการซื้อ-ขายบ้านมือสองให้กับประชาชน เปิดตัวโครงการ G H Bank Marketplace รับเป็นตัวกลางรับฝากขายบ้านมือสอง เพียงผู้ที่ต้องการขายนำหลักฐานตามที่ธนาคารกำหนดมาติดต่อที่สาขาธนคารทั่วประเทศหรือสำนักงานใหญ่
เริ่มแล้ววันนี้!! ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพิ่มช่องทางในการซื้อ-ขายบ้านมือสองให้กับประชาชน เปิดตัวโครงการ G H Bank Marketplace รับเป็นตัวกลางรับฝากขายบ้านมือสอง เพียงผู้ที่ต้องการขายนำหลักฐานตามที่ธนาคารกำหนดมาติดต่อที่สาขาธนคารทั่วประเทศหรือสำนักงานใหญ่ จากนั้น ธอส. จะนำไปประกาศขายผ่าน www.ghbhomecenter.com หรือ Application : G H Bank Smart NPA รวมถึงนำออกประมูลออนไลน์ หากขายได้และผู้ซื้อของสินเชื่อกับธนาคาร คิดค่านายหน้าฝากขายเพียง 1% ของราคาที่ฝากขาย
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการซื้อ-ขายบ้านมือสองให้กับประชาชน และสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ธอส. ในฐานะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ มุ่งดำเนินงานตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทำ “โครงการ G H Bank Marketplace” (นายหน้าขายบ้านมือสอง) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการขายบ้านมือสองทุกประเภทกับผู้ซื้อสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยผู้ที่ต้องการฝากขายเพียงนำเอกสารหลักฐาน อาทิ บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาโฉนด สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด(กรรมสิทธิ์เป็นของผู้ฝากขาย) ไฟล์รูปถ่ายที่อยู่อาศัยที่ต้องการฝากขายที่เป็นสภาพปัจจุบัน และแบบแปลน (ถ้ามี) และเข้ามาติดต่อธนาคารด้วยตนเองที่สาขาของธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ฝ่ายบริหาร NPA ชั้น 8 อาคาร 1 ธอส. สำนักงานใหญ่ (พระราม 9)และภายหลังผู้ฝากขายลงนามในสัญญากับธนาคารแล้ว ธอส. จะนำที่อยู่อาศัยดังกล่าวไปประกาศขายตามราคาที่ผู้ฝากขายกำหนด หรือสามารถใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ของ ธอส. ที่จัดเก็บรายละเอียดข้อมูลที่อยู่อาศัยในบริเวณต่าง ๆ ที่ธนาคารเคยประเมินราคาไว้มาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการตั้งราคาขายได้อีกด้วย
โดย ธอส. จะประกาศขายทรัพย์ของผู้ฝากขายเป็นระยะเวลา 180 วัน นับจากวันทำสัญญาผ่านช่องทางหลักของธนาคารประกอบด้วยเว็บไซต์ www.ghbhomecenter.com ที่รวบรวมทรัพย์ NPA ของธนาคารทั่วประเทศและรองรับการใช้งานทุกแพลตฟอร์ม อาทิ Notebook โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต รวมถึงช่องทาง Application : G H Bank Smart NPA หรือขายในงานประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ที่มีเป็นประจำทุกเดือน และหากมีผู้ที่แสดงความสนใจและติดต่อซื้อ-ขายได้ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด หากผู้ซื้อใช้สินเชื่อของ ธอส. อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% เพื่อซื้อบ้านมือสองของผู้ที่ฝากขาย ธนาคารจะเรียกเก็บค่านายหน้าจากผู้ฝากขายเพียง 1% ของราคาขายฝาก ส่วนกรณีผู้ซื้อไม่ได้ใช้สินเชื่อของ ธอส. ธนาคารจะเรียกเก็บค่านายหน้าจากผู้ฝากขาย 2% ของราคาขายฝาก ซึ่งต่ำกว่าค่านายหน้าในระบบขายบ้านมือสองทั่วไปที่จัดเก็บในอัตรา 3% ขึ้นไป
“การจัดทำโครงการ G H Bank Marketplace ในครั้งนี้ทำให้ ธอส. เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของประเทศไทยที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายบ้านมือสองให้กับประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ ในฐานะที่มีความเชี่ยวชาญในการจำหน่ายบ้านมือสอง เห็นได้จากทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองที่ธนาคารถือครอง สามารถจำหน่ายได้สูงกว่า 3,500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยในแต่ละวันเว็บไซต์บ้านมือสองของธนาคาร www.ghbhomecenter.com มีจำนวนผู้เข้าชมมากกว่า 10,000 ราย และยังมีจำนวนผู้ดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA มากกว่า 45,000 ครั้ง จึงมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยผู้ที่ต้องการขายบ้านครอบคลุมทั้งที่ยังติดจำนองกับสถาบันการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระปกติ หรือไม่ติดจำนอง สามารถขายบ้านได้ตามความต้องการ รวมถึงผู้ที่สนใจซื้อบ้านมือสอง ก็จะได้เลือกซื้อทรัพย์ที่หลากหลายในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอเข้าดูทรัพย์ที่สนใจก่อนตัดสินใจซื้อได้ด้วย”นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ โครงการ G H Bank Marketplace เริ่มต้นให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้(1 มีนาคม 2564)เป็นต้นไป ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาคโทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙” | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รมว.วธ.เป็นประธานงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙”
รมว.วธ.เป็นประธานงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙”
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๘.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ ๒๙” โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ คณะกรรมการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้กำกับ ดารานักแสดง แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ MCC HALL ชั้น ๓ เดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา
ทั้งนี้ มีผู้ได้รับรางวัล อาทิ ผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ แพรวา สุธรรมพงษ์ จากภาพยนตร์เรื่อง Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า
ผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้แก่ จิรายุ ตันตระกูล
จากภาพยนตร์เรื่อง จอมขมังเวทย์ ๒๐๒๐
ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ ภัณฑิรา พิพิธยากร
จากภาพยนตร์เรื่อง แสงกระสือ
ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ จากภาพยนตร์เรื่อง ดิว ไปด้วยกันนะ
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ คงเดช จาตุรันต์รัศมี จากภาพยนตร์เรื่อง Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า
และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39488 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายแห่งชาติด้านยาและการพัฒนาระบบยาปี 63-65 | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
นโยบายแห่งชาติด้านยาและการพัฒนาระบบยาปี 63-65
วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. เห็นชอบนโยบายแห่งชาติด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ปี 2563 - 2565 ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ใช้ยาสมเหตุผล ประเทศมีความมั่นคงด้านยา อย่างยั่งยืน” ภายใน 20 ปี โดยวางกรอบการดำเนินที่ครอบคลุมการส่งเสริมและพัฒนาทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เช่น ต้องผ่านการประเมินศักยภาพจากองค์กรระดับสากลอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2565 /มีมูลค่าการผลิตยาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 และจำนวนผลิตภัณฑ์ยานวัตกรรมหรือส่งออกได้รับการอนุญาตอย่างน้อย 30 รายการต่อปี นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีกลไกติดตามผลผ่านคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เพื่อประกันคุณภาพมาตรฐานและควบคุมยาให้มีประสิทธิภาพ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39481 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เสียใจกรณีตำรวจควบคุมฝูงชนเสียชีวิต กำชับดูแลสวัสดิการอย่างเต็มที่ | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
นายกฯ เสียใจกรณีตำรวจควบคุมฝูงชนเสียชีวิต กำชับดูแลสวัสดิการอย่างเต็มที่
นายกฯ เสียใจกรณีตำรวจควบคุมฝูงชนเสียชีวิต กำชับดูแลสวัสดิการอย่างเต็มที่
วันที่ 1 มี.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แสดงความเสียใจกรณี ร.ต.อ.วิวัฒน์ สินเสริฐ สังกัด สน.ธรรมศาลา ซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในเหตุการณ์การชุมนุม เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64 เกิดอาการหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
“นายกรัฐมนตรีรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการตามระเบียบทางราชการอย่างเต็มที่ และให้กำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่สำคัญจะต้องใส่ใจเรื่องสภาพความพร้อมของร่างกายและจิตใจก่อนปฏิบัติหน้าที่ด้วย”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยากให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือผู้ชุมนุมก็ตาม โดยขอให้ผู้ที่จะชุมนุมตระหนักถึงเรื่องนี้ให้มาก ทุกคนมีสิทธิชุมนุมได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นหรือใช้ความรุนแรง หรือยั่วยุให้เกิดความแตกแยกในสังคม รวมทั้งฝากความห่วงใยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน ระมัดระวังปฏิบัติตามหลักยุทธวิธีสากล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและตนเองเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เผย จ.ชลบุรี พร้อมฉีดวัคซีนเข็มแรก | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รมช.สาธิต เผย จ.ชลบุรี พร้อมฉีดวัคซีนเข็มแรก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เข็มแรกจังหวัดชลบุรี สร้างความเชื่อมั่น สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 เข็มแรกจังหวัดชลบุรี สร้างความเชื่อมั่น สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลชลบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของ จ.ชลบุรี พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลประชาชน โดยมีนายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรีได้รับวัคซีนเข็มแรก
ดร.สาธิตให้สัมภาษณ์ว่า จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่สำหรับการกักตัวของผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศจำนวนมาก มีบุคลากรด่านหน้าที่ปฏิบัติงานจำนวนมากเช่นกัน รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่นพัทยา ที่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว เท่าเทียมกับ จ.ภูเก็ต เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี จังหวัดชลบุรี จึงเป็น1 ใน 4 จังหวัดที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของประเทศ โดยได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จำนวน 4,720 โดส จัดเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม กุล่มเป้าหมายแรกที่จะได้รับ คือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วย ผู้เดินทางจากต่างประเทศในสถานกักกันของรัฐ สร้างความเชื่อมั่น ประชาชนและนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไป
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายแรกที่จะได้รับเป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลชลบุรีจำนวน550 คน แบ่งการฉีดออกเป็น 2 วัน ในวันนี้ จะได้รับการฉีดประมาณ 250 คน ส่วนที่เหลือจะได้รับวันต่อไปจนครบ ซึ่ง 1 คนต้องฉีดครบ 2 เข็ม ห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์ ส่วนขั้นตอนการฉีด มีความแตกต่างกับที่กระทรวงสาธารณสุขจัดที่สถาบันบำราศนราดูร 8 จุด เมื่อวานนี้ โดยยุบรวมเหลือเพียง 4 จุด แต่มีครบทุกขั้นตอนการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นลงทะเบียนก่อนเช็คประวัติ ตรวจสุขภาพ เซ็นใบยินยอมรับความเสี่ยง ฉีดวัคซีน ดูอาการหลังฉีด 30 นาที รับบัตรนัดครั้งต่อไป ครบตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และถือว่าเป็นการซ้อมระบบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชนในระยะต่อไป
ด้านนายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ผ่านมติของคณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี เนื่องจากจังหวัดชลบุรี รับดูแลผู้เดินทางในState Quarantine มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมา และผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยได้จัดสรรให้กับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลทุกอำเภอ จำนวน 2,350 คน และช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน จะมาอีกประมาณ 5 หมื่นโดส จะเริ่มกระจายไปเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เจ้าหน้าที่ประจำด่านต่างๆ และเดือนพฤษภาคมจะได้เพิ่มอีกจำนวนมาก เพื่อนำไปฉีดให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อไป
********************************1 มีนาคม 2564
*************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39496 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มจุดรับลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
เพิ่มจุดรับลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ความคืบหน้าการเปิดจุดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะเพิ่มเติม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนที่เข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต และกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยสามารถนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดไปลงทะเบียนได้ที่สาขาและจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย กว่า 1,800 แห่งได้แล้ว ยังสามารถลงทะเบียนได้ที่ ธ.ออมสิน ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ รวมถึงหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของกระทรวงมหาดไทยได้ตั้งแต่วันนี้ – 5 มี.ค. 64 ขณะที่ปัจจุบันมีผู้ใช้สิทธิ์โครงการฯ แล้วมากกว่า 28 ล้านคน และมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นเงินหมุนเวียนกว่า 38,500 ล้านบาท
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39482 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ชวนคนพิการดวลฝีมือ ชิงเงินรางวัลกว่า 30,000 บาท | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
ก.แรงงาน ชวนคนพิการดวลฝีมือ ชิงเงินรางวัลกว่า 30,000 บาท
รมช. แรงงาน ชวนคนพิการเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ดันศักยภาพแรงงาน สู่การประกอบอาชีพที่มั่นคง
วันที่9มกราคม2564ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริมแรงงานกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะแรงงานคนพิการให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมรวมถึงพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อแรงงานทั่วประเทศรวมทั้งแรงงานคนพิการที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19โดยมีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและการส่งเสริมอาชีพแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย“สร้าง-ยก-ให้รวมไทยสร้างชาติ” โดยเฉพาะการ“ให้”แรงงานกลุ่มเปราะบางทางสังคมเข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงานด้วยการเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19และวิกฤตเศรษฐกิจ
ศาสตราจารย์นฤมลกล่าวเพิ่มเติมว่ากระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.)เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการในการจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติโดยครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่10ภายใต้ชื่องานAbilympics Thailand 2021มีสาขาที่จัดการแข่งขันแบ่งออกเป็น4กลุ่มสาขาอาชีพจำนวนทั้งสิ้น15สาขาประกอบด้วย1.กลุ่มสาขาอาชีพหัตถกรรมได้แก่สาขาสานตะกร้าถักโครเชต์เย็บปักถักร้อยถักนิตติ้งวาดภาพระบายสี2.กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีการสื่อสารได้แก่สาขาออกแบบคาแรคเตอร์ออกแบบเว็บเพจออกแบบสิ่งพิมพ์ถ่ายภาพในสตูดิโอออกแบบโปสเตอร์พิมพ์เอกสารด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด3.กลุ่มสาขาอาชีพอุตสาหกรรมได้แก่สาขาออกแบบสถาปัตยกรรมการก่อสร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ออกแบบเพื่องานอุตสาหกรรมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และ4.กลุ่มสาขาอาชีพบริการได้แก่สาขาตัดเย็บเสื้อผ้าสตรีระดับพื้นฐานตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่4มกราคม2564 – 12กุมภาพันธ์2564 ณสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน(สพร.)และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัด(สนพ.)
สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทยเป็นคนพิการตามประกาศกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เรื่องประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการฉบับที่2และต้องแสดงตนครบทั้ง3ข้อได้แก่1)ใบสมัคร2)บัตรประจำตัวประชาชน3)สำเนาสมุดประจำตัวคนพิการโดยจะแข่งขันในวันที่7พฤษภาคม2564ประกาศผลและมอบรางวัลวันที่8พฤษภาคม2564ณอิมแพ็คเมืองทองธานีอำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรีซึ่งผู้แข่งขันที่ชนะเลิศจะได้รับรางวัลเหรียญทองรางวัลละ30,000บาทเหรียญเงิน15,000บาทเหรียญทองแดง9,000บาทและรางวัลชมเชย3,000บาท
“ในประเทศไทยยังมีผู้พิการอีกจำนวนมากที่ต้องการได้รับโอกาสการเข้าถึงในการพัฒนาทักษะอาชีพการแข่งขันนี้จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้มีการพัฒนาฝีมือทางด้านอาชีพยกระดับมาตรฐานฝีมือให้สูงขึ้นเพื่อพัฒนาไปสู่ระดับสากลจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนโดยทั่วไปเพื่อให้สังคมได้มองเห็นคุณค่าความสามารถและให้โอกาสแก่คนพิการในการประกอบอาชีพต่อไป”รมช.แรงงานกล่าวท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ" รมว.ทส. ลุยวันหยุด ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติคลองลาน และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พร้อมมอบของขวัญเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
วราวุธ" รมว.ทส. ลุยวันหยุด ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติคลองลาน และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พร้อมมอบของขวัญเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ
วราวุธ" รมว.ทส. ลุยวันหยุด ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติคลองลาน และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พร้อมมอบของขวัญเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38185 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการฯ APT เข้าเยี่ยมคารวะ ปลัดฯดีอีเอส เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2564 | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
เลขาธิการฯ APT เข้าเยี่ยมคารวะ ปลัดฯดีอีเอส เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2564
เลขาธิการฯ APT เข้าเยี่ยมคารวะ ปลัดฯดีอีเอส
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2564
เมื่อวันที่7มกราคม2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้การต้อนรับนางสาวอารีวรรณฮาวรังษีเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT) (Asia Pacific Telecommunity : APT)ได้เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่2564ณชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ทั้งนี้APTเป็นองค์การทางด้านโทรคมนาคมของภูมิภาคภายใต้ความอุปถัมภ์ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(UNESCAP)ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งAPTเมื่อปีพ.ศ. 2522และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ณถนนแจ้งวัฒนะกรุงเทพฯมีสมาชิกจำนวน38ประเทศ
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุชาติ แจงผลงาน กสร.ช่วยลูกจ้างกระทบโควิดกว่า 2,900 คน ให้ได้รับเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 264 ล้านบาท | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
สุชาติ แจงผลงาน กสร.ช่วยลูกจ้างกระทบโควิดกว่า 2,900 คน ให้ได้รับเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 264 ล้านบาท
สุชาติ รมว.แรงงาน แจงผลงาน กสร. ทวงสิทธิช่วยลูกจ้างถูกบริษัทเลิกจ้างกะทันหันจากโควิดรอบก่อน ติดตามเงินค่าจ้างให้ลูกจ้างวิงสแปมไปแล้ว 258 ล้านบาท และอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือลูกจ้างยูนิสัน แพน (เอเซีย) จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอีกกว่า 6.7 ล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตนยังคงมีความห่วงใยถึงการช่วยเหลือลูกจ้างจำนวนมากที่ถูกบริษัทเลิกจ้างกะทันหันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบก่อน อาทิ บริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด ที่เลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 2,500 คน บริษัท ยูนิสันแพน (เอเชีย) จำกัด เลิกจ้างลูกจ้าง จำนวน 658 คน และขณะนี้การแพร่ระบาดระลอกใหม่ มีแนวโน้มจะกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะซ้ำเติมลูกจ้างได้อีกหากยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งรัด ติดตามการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิลูกจ้างอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับสิทธิอย่างครบถ้วนและรวดเร็ว เพราะปัญหาค่าใช้จ่ายในเรื่องความเป็นอยู่ และปากท้องของแรงงานในปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กรมได้ติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด โดยได้ดำเนินการประสาน บริษัท วิงสแปนฯ จำกัด และผู้ทำแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทราบว่านายจ้างได้นำแคชเชียร์เช็คมาจ่ายให้กับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างแล้วจำนวน 2,441 คน รวมเป็นเงิน 258,309,031.87 บาท และยังคงมีลูกจ้างที่ยังไม่ได้มารับแคชเชียร์เช็คอีกจำนวน 59 คน ซึ่งกรมได้แนะนำให้บริษัทฯ โอนเงินตามสิทธิที่ลูกจ้างพึงจะได้รับเข้าบัญชีธนาคารตามรายชื่อของลูกจ้างทั้ง 59 คนแล้ว สำหรับลูกจ้างบริษัท ยูนิสัน แพน (เอเซีย) จำกัด ที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกรมได้แจ้งความดำเนินคดีต่อนายจ้างฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว และได้อนุมัติเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชยให้ลูกจ้างจำนวน 426 คน เป็นเงินจำนวน 6,743,750 บาท ซึ่งมีลูกจ้างมายื่นขอรับเงินกองทุนสงเคราะห์ฯ แล้ว จำนวน 175 คน เป็นเงินจำนวน 2,713,750 บาท ในขณะที่มีลูกจ้างจำนวน 252 คน ได้ทำสัญญากับนายจ้างที่ยื่นข้อเสนอว่าจะจ่ายเงินค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ลูกจ้างพอใจ และได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาเพื่อเป็นหลักฐาน ส่วนลูกจ้างที่ยังไม่ได้เข้ามายื่นขอรับเงินกองทุนฯ กรมจะได้ประสานให้ลูกจ้างเข้ามารับเงินดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง มีแนวทางการจัดการมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลหลัก | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง มีแนวทางการจัดการมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลหลัก
กระทรวงสาธารณสุข ให้ทุกจังหวัดเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เป้าหมายเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ยืนยันทุกแห่งมีแนวทางการจัดการทั้งความปลอดภัย การป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลหลัก ขอประชาชนในพื้นที่มั่นใจ ขณะนี้เ
กระทรวงสาธารณสุข ให้ทุกจังหวัดเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เป้าหมายเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ยืนยันทุกแห่งมีแนวทางการจัดการทั้งความปลอดภัย การป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลหลัก ขอประชาชนในพื้นที่มั่นใจ ขณะนี้เปิดแล้ว 7 แห่งใน 4 จังหวัด รวมกว่า 1,900 เตียง
บ่ายวันนี้ (9 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ทุกจังหวัดจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19เนื่องจากต้องใช้เตียงจำนวนหนึ่งในการรักษาโรคอื่นๆ ด้วยโดยจะรับดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย หากมีอาการเปลี่ยนแปลงจะส่งไปรักษาในโรงพยาบาลหลักรวมทั้งรองรับผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลหลัก อาการดีขึ้นแล้ว ให้ครบระยะเวลากักกันโรค โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้ง ประสาน และทำความเข้าใจกับประชาชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดรับผิดชอบด้านการแพทย์ตามมาตรฐาน เน้นเป็นสถานที่ที่ประชาชนยอมรับ อากาศถ่ายเทได้ดี การสนับสนุนทรัพยากรด้านสาธารณสุขสะดวก เช่น วัด ค่ายทหาร โรงเรียน โรงยิม หอประชุม หรือสร้างขึ้นใหม่ในสถานที่โล่งกว้าง
นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า ในโรงพยาบาลสนาม ได้จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งระบบต่าง ๆ ภายใต้มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ทั้งระบบการดูแลรักษาผู้ป่วย การขนส่งผู้ป่วยระหว่างบ้าน/ คลินิกมาโรงพยาบาลสนาม, การบริหารจัดการผู้ป่วย/ เชื่อมโยงข้อมูล สื่อสารระบบเดียวกับโรงพยาบาลหลัก, การป้องกันควบคุมการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ, ระบบสุขาภิบาล การบำบัดน้ำเสีย การระบายอากาศ การกำจัดสิ่งปฏิกูล ผ่านการตรวจสอบของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ระบบรักษาความปลอดภัย ห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าในสถานที่ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมแพทย์ พยาบาล ติดตามตรวจสอบก่อนออกจากพื้นที่ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ, ระบบป้องกันอัคคีภัย, ระบบสื่อสารความเสี่ยง, งานสังคมสงเคราะห์และจิตวิทยา
ขณะนี้ มีโรงพยาบาลสนามแล้วใน 4 จังหวัด ประมาณ 1,900 เตียง อยู่ที่สมุทรสาคร 2 แห่ง,ระยอง 3 แห่ง,จันทบุรีและชลบุรี จังหวัดละ 1 แห่ง และมีนโยบายให้เตรียมพร้อมจัดตั้งตามสถานการณ์ของแต่ละจังหวัดมีทีมบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน ที่เป็นจิตอาสาและทีมบุคลากรจิตอาสาจาก รร.แพทย์ ทั้งศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลในสังกัด รวมกว่า 20 ทีม โดยผลัดเปลี่ยนทีมทุก 5-7 วัน
“รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แสดงความขอบคุณประชาชน คหบดีที่ได้แสดงความจำนงอนุเคราะห์พื้นที่ให้กระทรวงสาธารณสุข ใช้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยรับไว้เพื่อพิจารณาความเหมาะสม ให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ และคำถึงความรู้สึกของประชาชนในชุมชนนั้น” นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าว
*********************************** 9 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์!! ตรวจคัดกรองแรงงานในโรงงานพื้นที่ควบคุมสูงสุด หวั่นโควิด-19 ระบาด และ ช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้าง ตามนโยบายรัฐบาล | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
ดีเดย์!! ตรวจคัดกรองแรงงานในโรงงานพื้นที่ควบคุมสูงสุด หวั่นโควิด-19 ระบาด และ ช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้าง ตามนโยบายรัฐบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย 9 ม.ค.64 เริ่มดำเนินมาตรการตรวจคัดกรองแรงงานในสถานประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ภายหลังจากที่คณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม มีมติเห็นชอบ แนวทางการคัดกรองการติดเชื้อโควิด -19 ให้แก่แรงงานทั้งคนไทยและต่างด้าว
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการระบาดใหม่ ในขณะนี้ รัฐบาล ภายใต้การนำของ ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว กลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม ได้มีการสั่งการ และให้ดำเนินการตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (ศบค.) และในวันนี้จึงได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อทำงานเชิงรุกในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ คณะกรรมการการแพทย์ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมจึงได้มีการประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีคัดกรองการติดเชื้อโควิด – 19 ให้ผู้ประกันตนได้รับบริการทางการแพทย์เชิงรุก เพื่อการค้นหาผู้ประกันตนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในสถานประกอบการ และ เป็นการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการ ให้ดำเนินธุรกิจไปต่อโดยไม่ต้องหยุดการผลิต ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง กระทรวงแรงงาน โดย สำนักงานประกันสังคม ออกให้ทั้งหมด ในสำหรับจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามระดับความรุนแรงที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) มีคำสั่ง
นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า ในวันนี้ (9 ม.ค.64) เป็นวันแรกในการดำเนินการเชิงรุก เพื่อบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปยังสถานประกอบการตรวจคัดกรองแบบ PCR ให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้แก่แรงงานในสถานประกอบการพื้นที่ควบคุมสูงสุด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัดที่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร โดยลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจจะทราบผลภายใน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งพบเชื้อจะต้องเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38183 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพลวันเด็กแห่งชาติปี 2564 เด็กขอของขวัญเป็นของเล่น ทุนการศึกษา พร้อมขอให้โควิดหายไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
วธ.เผยผลโพลวันเด็กแห่งชาติปี 2564 เด็กขอของขวัญเป็นของเล่น ทุนการศึกษา พร้อมขอให้โควิดหายไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
วธ.เผยผลโพลวันเด็กแห่งชาติปี 2564 เด็กขอของขวัญเป็นของเล่น ทุนการศึกษา พร้อมขอให้โควิดหายไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด อยากได้ความรักความเข้าใจจากพ่อแม่ ร้อยละ 77.18
วธ.เผยผลโพลวันเด็กแห่งชาติปี 2564 เด็กขอของขวัญเป็นของเล่น ทุนการศึกษา พร้อมขอให้โควิดหายไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด อยากได้ความรักความเข้าใจจากพ่อแม่ ร้อยละ 77.18 งดจัดงานในปีนี้ แนะจัดกิจกรรมปีหน้าหลังโควิด-19 คลี่คลายในรูปแบบออนไลน์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน หัวข้อ “วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564” โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 5,819 คน ครอบคลุมทุกภูมิภาค มีผลสรุป ดังนี้ เด็ก เยาวชน และประชาชน ร้อยละ 82.08 ทราบว่า วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งปี 2564 ตรงกับวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 และเด็ก เยาวชน และประชาชน ร้อยละ 67.38 ทราบ คำขวัญวันเด็ก ประจำปี พ.ศ. 2564 ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คือ “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม” และร้อยละ 32.62 ไม่ทราบ
เมื่อสอบถามเด็ก เยาวชน และประชาชนเกี่ยวกับความเข้าใจความหมายของคำขวัญวันเด็กพบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 80.05 เข้าใจความหมายของ “เด็กไทยวิถีใหม่” หมายถึง เด็กไทยในยุคปัจจุบันถือเป็นเด็กไทยวิถีใหม่ ที่ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การศึกษาเล่าเรียนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งเด็กไทยจะต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อเผชิญหน้าเรียนรู้ และรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 58.24 เข้าใจความหมายของ “รวมไทยสร้างชาติ” หมายถึง การรวมพลังของทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าประเทศไทย เด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้า ให้ตระหนักถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ
อันดับ 3 ร้อยละ 52.64 เข้าใจความหมายของ “มีคุณธรรม” หมายถึง คาดหวังให้เด็ก ในวันนี้เป็นคนดีของสังคม มีคุณธรรมจริยธรรม โดยเด็กไทยในยุคสมัยใหม่ เน้นการพัฒนาขีดความสามารถด้านจิตใจ และอารมณ์ และอันดับ 4 ร้อยละ 47.13 เข้าใจความหมายของ “ด้วยภักดี” หมายถึง ความรักในสถาบันหลักของชาติประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปลูกฝังให้เกิดการเรียนรู้และไม่ลืมรากเหง้า ของประวัติศาสตร์ความเป็นไทย
ขณะเดียวกันผลสำรวจพบด้วยว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.56 ทราบหน้าที่ของเด็กดี ที่กล่าวว่า “นับถือศาสนา รักษาธรรมเนียมประเพณีไทย เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ วาจาสุภาพอ่อนโยน ยึดมั่นกตัญญู รักการงานการเรียน ศึกษาหาความรู้ให้เชี่ยวชาญ มานะ อดทน ไม่เกียจคร้าน ประหยัด อดออม ซื่อสัตย์สุจริต มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย กล้าหาญ บำเพ็ญคุณประโยชน์ รู้บาปบุญ คุณโทษ รักษาสมบัติของชาติ รองลงมาคือ ร้อยละ 17.76 ไม่ทราบ และร้อยละ 2.68 ไม่แน่ใจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามวันเด็กปีนี้อยากได้อะไรเป็นของขวัญมากที่สุดพบว่า อยากได้ของเล่น อาทิ ตุ๊กตา หุ่นยนต์ รถหรือเรือบังคับ โมเดล โทรศัพท์ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเกม และเงิน /ทุนการศึกษา อีกทั้งขอให้โควิดหายไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด และความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ ผู้ปกครอง นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการจัดงานวันเด็กในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.18 ไม่ต้องการให้จัดกิจกรรมงานวันเด็ก รองลงมาคือ ร้อยละ 19.68 ต้องการให้จัด และร้อยละ 3.14 แล้วแต่สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า ต้องรอให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กลับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนค่อยกำหนดวันจัดกิจกรรมงานวันเด็กอีกครั้ง โดยในปีนี้ควรงดจัดงานไปก่อน หากสถานการณ์ดีขึ้นค่อยจัดกิจกรรมงานวันเด็กในปี พ.ศ. 2565
อย่างไรก็ตาม หากจัดกิจกรรมงานวันเด็ก ผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อเสนอแนะควรจัดงานวันเด็กแห่งชาติรูปแบบออนไลน์ ภายใต้สถานการณ์ยุค New Normal โดยให้เด็กและเยาวชน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม ปัญหาและการเล่นเกม ผ่านระบบออนไลน์ และลงทะเบียนรับรางวัล อีกทั้งควรเพิ่มการป้องกันตามมาตรการการเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้ผู้เข้าร่วมงานสวมหน้ากากอนามัย และการให้บริการเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือบ่อย ๆ จัดให้มีจุดคัดกรองอุณหภูมิ การเว้นระยะห่าง และจำกัดคนเข้าร่วมงานไม่ให้แออัดจนเกินไป
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบสอบถามระบุข้อเสนอแนะหากจัดกิจกรรมงานวันเด็ก ควรเปิดเวทีหรือลานพื้นที่กิจกรรมให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นแสดงความสามารถที่ตนเองถนัด เช่น การแสดงดนตรี การวาดภาพ การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม และการละเล่นต่าง ๆ และกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว พ่อ แม่ เด็กและเยาวชน หรือผู้ปกครองต้องการให้มีกิจกรรมกีฬาเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและสร้างความสามัคคี รวมทั้งกิจกรรมสร้างสรรค์ทางวิชาการ เช่น เกมตอบปัญหา หรือเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างทักษะความรู้ การวาดภาพระบายสี สิ่งประดิษฐ์ พร้อมกันนี้ผู้ตอบแบบสอบถามมีเสนอแนะให้จัดกิจกรรมวันเด็กในสถานที่ต่างๆ เช่น โรงเรียน ศาลากลางจังหวัด เทศบาล อำเภอ สวนสาธารณะ สนามกีฬา สนามบิน ค่ายทหาร สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง กองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ และเสนอแนะด้วยว่าเจ้าภาพจัดกิจกรรมวันเด็กควรเป็นนายกรัฐมนตรี/รัฐบาล ผู้อำนวยการโรงเรียน/คุณครู กระทรวงศึกษาการ และผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38179 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีคุยกับเยาวชนใน “รัฐฟังฉัน” ฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2564 | วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีคุยกับเยาวชนใน “รัฐฟังฉัน” ฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2564
นายกรัฐมนตรีคุยกับเยาวชนใน “รัฐฟังฉัน” ฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2564
วันนี้ (9 มกราคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมสนทนากับผู้แทนเยาวชน เผยแพร่ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) โดยนายกรัฐมนตรีย้ำ ทุกคนคือบุคคลสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ พร้อมขอให้เยาวชนไทยยึดมั่น คุณธรรม รักภักดี ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการว่า วันนี้เป็นงานวันเด็ก ที่ไม่เหมือนทุกปีทั่วไป เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 อยากให้ทุกคนช่วยกันดูแล ป้องกันตัวเอง วันเด็กแห่งชาติ เป็นวันที่สำคัญของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นความหวังและความสวยงามที่ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตไปในวันข้างหน้า พร้อมอัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 ความว่า “วัยเด็กเป็นวัยที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการวางรากฐานของชีวิต เด็กทุกคนควรตั้งใจศึกษาและฝึกฝนตนเอง ให้ถึงพร้อมทั้งความรู้และความดี แต่ละคนจะได้มีรากฐานที่มั่นคง เพื่อพัฒนาต่อยอด เป็นความสำเร็จ ความเจริญ และความสุขในชีวิตในวันข้างหน้า” จึงอยากเห็นเยาวชนสืบสานต่อยอดตามพระบรมราโชวาท เข้าใจซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมในการทำงาน การคิดนอกกรอบนั้นสามารถทำได้ แต่เมื่อลงมือทำก็ต้องมาให้เข้ามาในกรอบ การทำงานจะลงมือทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันทำ รัฐบาลถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะดึงทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมและทำงานร่วมกัน แม้วันนี้ไม่ได้จัดงานในสถานที่จริง แต่ก็ยินดีที่จะจัดรายการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อมอบสิ่งดี ๆ และความสุขให้กับลูกหลาน วันนี้ตั้งใจเปิดพื้นที่ สร้างเวที แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ ซึ่งทุกคนคือบุคคลสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ อยากให้เยาวชนไทยทุกคนมีคุณธรรม จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
ระหว่างการสนทนาในรายการ นายกรัฐมนตรียังชื่นชมการรวมกลุ่มของเยาวชนเพื่อทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น กลุ่มสม็อกกะธอน สนใจการแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า กลุ่มแฮกกะธอน ที่รวบรวมปัญหาของระบบราชการไทย หรือกลุ่มยูธอินชาร์จ ที่รวมเยาวชนที่เป็นพลังในด้านต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลกำลังดูว่าจะต่อยอดกิจกรรมเหล่านี้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลก็คำนึงถึงการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้พิการที่มีประมาณสองล้านคนทั่วประเทศ ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุข ยกระดับทักษะและอาชีพคนพิการ ด้วยศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้การดูแลทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังให้มีการรวบรวม Big Data ชุมชนที่มีอยู่ในกรุงเทพกว่า 2,000 ชุมชน เพื่อนำมาวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้
โอกาสนี้ นายรวินท์ ชอบใช้ กล่าวถึงการทำงานในปัจจุบันได้ร่วมกับภาครัฐและหน่วยราชการ ที่เชื่อใน พลังของคนรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสทำงานช่วยเหลือสังคม โดยจัดทำโครงการ “รัฐฟังฉัน” เพื่อเป็นเครื่องมือในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็นและโครงการของเยาวชนที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชุมชนให้ดีขึ้น และเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกด้วย ขณะที่ นางสาวเมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ กล่าวสนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ต้องการสนับสนุนให้คนพิการเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน โดยตนเองได้ร่วมกับหน่วยงานจัดให้มีการพัฒนาอบรมทักษะดิจิตอลในการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อพัฒนางาน AI ให้คนพิการ 400 คน และหลังจากนี้ 400 คนที่ผ่านการอบรมแล้ว จะมีการนำ 200 คนจากกลุ่มนี้จัดงานเชื่อมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งในปีนี้ จะ มี AI ตัวแรกของโลกที่คนพิการไทยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย นางสาวนวรัตน์ แววพลอยงาม กล่าวถึงการทำงานพัฒนาชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เริ่มต้นที่ชุมชนบ้านเกิดของตนเอง คือ ชุมชนนางเลิ้ง โดยทำงานกับผู้ด้อยโอกาสและงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในชุมชนต่าง ๆ ปัจจุบันได้สร้างเข้มแข็งให้คนในชุมชน ยกตัวอย่างและในการรับมือกับสถานการณ์โควิด -19 โดยจัดตั้งกลุ่มศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ระดับชุมชน Community x Covid-19 เพื่อระดมสิ่งของ อาหาร น้ำอุปโภคบริโภคให้กับคนในชุมชนนางเลิ้ง นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์รวบรวมอาหารของดีของนางเลิ้ง จึงอยากให้ภาครัฐช่วยส่งเสริมแพลตฟอร์มของชุมชน รวมทั้งการท่องเที่ยวชุมชน การใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือพัฒนาศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นในชุมชน ตลอดจนสร้างเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนเพื่อสร้างการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมมากยิ่งขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ช่วงหนึ่งในรายการ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมกิจกรรม “รัฐฟังฉัน” ขณะเดียวกันก็ขอให้เยาวชน “ฉันฟังรัฐ” ด้วย พร้อมฝากให้ผู้แทนเยาวชนช่วยเสนอแนะด้วยที่จะทำให้คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าสามารถผสานแนวคิดเพื่อพัฒนาไปด้วยกัน รวมทั้งการเรียนรู้เท่าทันเทคโนโลยีและโซเซียวมีเดีย ทั้งนี้ จะได้นำความคิดเห็นของทุกคน ปรับให้สอดคล้องกับการทำงานและเชื่อมต่อกับสภาเด็กและเยาวชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวตอนท้ายรายการว่า พร้อมรับเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มเยาวชนและยินดีสนับสนุน เพราะอยากเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมาตามที่เยาวชนเสนอมาด้วย
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38180 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ชวน แรงงานไทยที่ต้องการทำงานประเทศญี่ปุ่นทดสอบทักษะฝีมือแรงงานภาคอุตสาหกรรม | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
กระทรวงแรงงาน ชวน แรงงานไทยที่ต้องการทำงานประเทศญี่ปุ่นทดสอบทักษะฝีมือแรงงานภาคอุตสาหกรรม
อธิบดีกรมการจัดหางาน เชิญชวน แรงงานที่เคยไปฝึกงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่น และผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมทดสอบทักษะฝีมือเพื่อสมัครทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ภาคอุตสาหกรรม 3 สาขาอาชีพ
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ประสานกรมการจัดหางาน แจ้งแผนการทดสอบทักษะฝีมือแรงงานภาคอุตสาหกรรมสำหรับแรงงานไทยที่ต้องการไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นประเภทแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ โดยหน่วยงานประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการทดสอบ เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานที่เคยไปฝึกงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่น และผู้สนใจทั่วไปได้เข้าร่วมทดสอบทักษะฝีมือเพื่อสมัครทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น โดยเบื้องต้น กำหนดให้เริ่มการทดสอบในเดือนมีนาคม 2564
“สำหรับแผนการทดสอบงานภาคอุตสาหกรรม 3 สาขาอาชีพ ได้แก่ 1. สาขาอาชีพการทำชิ้นส่วนเครื่องจักรกล 2. สาขาอาชีพอุตสาหกรรมเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือสำหรับประกอบอุตสาหกรรม และ 3.สาขาอาชีพไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมสารสนเทศ ซึ่งมีประเภทงานทั้งหมด 19 ประเภทงาน ดังต่อไปนี้ 1. งานหล่อ (Casting) 2.งานหลอมโลหะ (Forging) 3. งานหล่อด้วยวิธีฉีดโลหะเหลวเข้าไปในแม่พิมพ์ (Die Casting) 4.งานขึ้นรูป (Machining) 5.งานใช้แรงอัดในการขึ้นรูปโลหะ (Metal Press) 6.งานหลอมเหล็ก (Iron Work) 7. งานผลิตโลหะแผ่น (Factory Sheet Metal Work) 8.งานชุบ (Plating) 9.งานชุบผิวอลูมิเนียม (Aluminum Anodizing Treatment) 10.งานตกแต่งขั้นสุดท้าย (Finishing) 11.งานตรวจสอบเครื่องจักร (Machinery Inspection) 12.งานบำรุงรักษาครื่องจักร (Machinery Maintenance) 13. งานประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Equipment Assembly) 14.งานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า (Electric Equipment Assembly) 15.งานผลิตแผงวงจรไฟฟ้า (Printed Wiring Board Manufacturing) 16.งานขึ้นรูปพลาสติก (Plastic Molding) 17.งานทาสี (Painting) 18.งานเชื่อม (Welding) 19. งานบรรจุภัณฑ์ (Industrial Packaging)
ดำเนินการทดสอบโดย หน่วยทดสอบ Mitsubishi UFJ Research and Consulting Co., Ltd หน่วยทดสอบ Certify Inc. และหน่วยทดสอบ The Japan Welding Engineering Society ด้วยวิธีสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ (Computer Based Test) หรือการเขียน หรือการสอบภาคปฏิบัติ (Practical skill exam) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการทดสอบ จำนวน 597 บาท
ทั้งนี้ กำหนดการทดสอบอาจมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตามมาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ของศบค.” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
นายสุชาติ กล่าวย้ำว่า ขอให้แรงงานไทยที่สนใจร่วมการทดสอบเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อทดสอบทักษะฝีมือฯ และระมัดระวังการโฆษณาชักชวน รวมทั้งไตร่ตรองข้อมูลต่างๆ ให้รอบคอบ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์จากกระบวนการจัดสอบภาษาและทดสอบทักษะฝีมือในสาขาอาชีพต่างๆ ของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (แรงงานฝีมือ) ในประเทศไทย
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 6708 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38361 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมมอบถุงยังชีพและเมล็ดพันธุ์พืชให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่ตรวจราชการพื้นที่จังหวัดปัตตานี วันที่ 16 มกราคม 2564 ณ ศาลากลางจังหวัดปัตตานี โดยมี นายราชิด สุดพุ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กล่าวรายงานสถานการณ์อุทกภัย และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และรายงานสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยสังเขป ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มอบถุงยังชีพและเมล็ดพันธุ์พืชให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์การเกษตรทุ่งลิปะสะโง จำกัด ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ผลักดันฮาลาล และสหกรณ์ปลอดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ จังหวัดปัตตานี มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ 4-15 มกราคม 2564 จำนวน 8 อำเภอ 44 ตำบล 174 หมู่บ้าน ซึ่งสถานการณ์ทั่วไปคลี่คลายแล้วทั้ง 8 อำเภอ แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังใน 2 อำเภอ คือ อำเภอเมืองปัตตานี และอำเภอหนองจิก โดยจังหวัดปัตตานีได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว
"เบื้องต้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งถุงยังชีพ 1,000 ชุดเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและประชาชนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และได้มอบหมายให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี ตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องจักรกลให้แก่พี่น้องเกษตรกรณ์ที่อุปกรณ์ทำการเกษตรได้รับความเสียหาย โดยเกษตรกรสามารถลงทะเบียน ว่าได้รับความเสียหายอะไรบ้าง กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ จะสนับสนุนพันธุ์พืช ปุ๋ย พันธุ์ปลา อาหารสัตว์ ฯลฯ โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน" รมช.มนัญญา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 วันที่ 16 มกราคม 2564 | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 วันที่ 16 มกราคม 2564
สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 วันที่ 16 มกราคม 2564
สาร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564
วันที่ 16 มกราคม 2564
.........................
“ครู” เป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของชาติและมีบทบาทในการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน ครูยุคใหม่จึงต้องเป็นผู้อำนวยการในการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงศาสตร์สาขาต่าง ๆ เป็นผู้ที่มีความรู้ครบถ้วน เป็นคนดี มีคุณธรรม และจริยธรรม พร้อมที่จะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายในการเสริมสร้างและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีมาตรฐานวิชาชีพในระดับสากล ตลอดจนนำเทคโนโลยีซึ่งมีความก้าวหน้าและนวัตกรรมมาปรับใช้ในการจัดการศึกษา การพัฒนาบุคลากรและการจัดทำแผนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนในทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและมีศักยภาพสูง ดังนั้น อนาคตของชาติจึงอยู่ที่การศึกษา และการศึกษาที่มีคุณภาพย่อมเกิดจากครูที่มีคุณภาพด้วย
วันครูปีนี้ ผมได้มอบคำขวัญว่า “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของครูในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่ต้อง
มีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ครูจึงต้องได้รับการพัฒนา เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความสามารถด้านดิจิทัล เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ นอกจากนี้ ครูยังต้องเป็นบุคลากรตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยกย่องของผู้คนในสังคม และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ได้ดำเนินรอยตาม เพื่อเป็นคนเก่งคนดี มีความทันสมัย มีคุณธรรมประจำใจ และเป็นอนาคตของชาติ
เนื่องในโอกาส “วันครู” ครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 ผมขอส่งความปรารถนาดี และกำลังใจมายังคณาจารย์ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนพร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38360 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟรี! ค่าดาต้าแอปหมอชนะ – เพิ่มสปีดเน็ตบ้าน สู้โควิด | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
ฟรี! ค่าดาต้าแอปหมอชนะ – เพิ่มสปีดเน็ตบ้าน สู้โควิด
...
มาแล้วครับ…3 มาตรการช่วยลดภาระค่าอินเทอร์เน็ต
ที่กระทรวงดีอีเอส และ กสทช. จัดเต็ม
เพื่อรองรับการใช้งานแอปพลิชันต่าง ๆ
รวมถึงการทำงานที่บ้านในช่วงโควิด-19 ระบาด
.
1) เปิดให้ใช้งานแอปฯ หมอชนะ ฟรี
ไม่คิดค่าดาต้า เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนใช้งาน
เป็นตัวช่วยในการแจ้งเตือน เมื่อมีความเสี่ยง
จากการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19
.
2) เพิ่มความเร็วเน็ตบ้านสูงสุด 100/100 Mbps
แต่หากไม่ได้ใช้โครงข่ายไฟเบอร์
จะเพิ่มความเร็วให้สูงสุงตามอุปกรณ์
.
3) ออกแพ็กเกจเน็ตมือถือ 79 บ./เดือน
สำหรับแอปฯ หรือโปรแกรม Work From Home
ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน ความเร็วสูงสุด 10 Mbps
สมัครได้ที่ Call center ของเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้อยู่
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน กสทช. โทร. 0 2670 8888
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38366 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ลงใต้ เน้นให้เฝ้าระวังโรคติดต่อหลังน้ำลด เยียวยาจิตใจผู้รับผลกระทบ | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
"อนุทิน" ลงใต้ เน้นให้เฝ้าระวังโรคติดต่อหลังน้ำลด เยียวยาจิตใจผู้รับผลกระทบ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงจังหวัดปัตตานี เผยระดับน้ำลดลงส่งทีมดูแลช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขแล้ว พร้อมเฝ้าระวังโรคติดต่อหลังน้ำท่วมและเยียวยาจิตใจผู้รับผลกระทบ และครอบครัวผู้เสียชีวิต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงจังหวัดปัตตานี เผยระดับน้ำลดลงส่งทีมดูแลช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขแล้ว พร้อมเฝ้าระวังโรคติดต่อหลังน้ำท่วมและเยียวยาจิตใจผู้รับผลกระทบ และครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนสถานบริการ 3 แห่งกลับมาเปิดบริการแล้ว
วันนี้ (16 มกราคม 2564) ที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขผู้ประสบอุทกภัย จ.ปัตตานี พร้อมนำถุงยังชีพยา และเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ได้แก่ ยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม 1 หมื่นชุด ยาน้ำกัดเท้า 1 หมื่นหลอด ผงน้ำตาลเกลือแร่ 2 หมื่นซองคลอรีนผง 10 ถัง และสารส้ม 10 กระสอบสนับสนุนการช่วยเหลือและให้บริการประชาชนในพื้นที่
นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ที่จังหวัดปัตตานี ขณะนี้ระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการและเฝ้าระวังคือ โรคติดต่อที่มากับน้ำท่วมและหลังน้ำลด เช่น โรคตาแดง โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก รวมทั้งการเยียวยาทางด้านจิตใจหลังประสบเหตุวิกฤต ทั้งเรื่องความเครียดในการฟื้นฟูบ้านเรือนและกิจการต่างๆ โดยให้ 3 หมอรับผิดชอบดูแลสุขภาพและจิตใจประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยติดเตียง เบื้องต้นได้ให้การดูแลประชาชนและกลุ่มเปราะบางแล้วรวม 197 ราย ออกหน่วยบริการด้านสาธารณสุขช่วยเหลือประชาชน 12 หน่วย28 ครั้ง โรคที่พบมากคือ น้ำกัดเท้า ไข้หวัด ปวดเมื่อย คัน และอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ได้กำชับให้ดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง 3 แห่ง คือที่ รพ.สต.ลิปะสะโง, อบต.ลิปะสะโง และคันคลองชลประทาน และฟื้นฟูสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมหลังน้ำลด น้ำดื่มน้ำใช้สะอาด หากต้องการรับการสนับสนุนเพิ่มเติมให้ประสานมายังสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา
สำหรับสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 3 แห่ง ได้แก่ รพ.สต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก, รพ.สต.ปะกาฮารัง และหน่วยบริการปฐมภูมิ อ.เมือง ขณะนี้เปิดให้บริการได้ทั้งหมดแล้ว และมีอสม.ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ 811 คน
ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ทีมสุขภาพจิตได้ลงพื้นที่ดูแลครอบครัวของผู้เสียชีวิต พร้อมดูแลกลุ่มที่มีความเปราะบางในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชที่หากขาดยาอาจเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง รวมทั้งจะมีการประเมินสภาวะสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องว่ามีภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ หรือไม่ เนื่องจากไม่ได้เกิดขึ้นทันที เมื่อเริ่มฟื้นฟูกิจการความเสียหายแล้วมักเกิดความตึงเครียดตามมาโดยกลุ่มเสี่ยงมากจะมีการติดตามทุก 2 สัปดาห์ และเปิดช่องทางบริการให้คำปรึกษาผู้ปฏิบัติงานที่อาจเกิดความอ่อนล้าด้านอารมณ์ด้วย
****************************** 16 มกราคม 2563
*******************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38362 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เผยปัตตานีคุมโควิด 19 ได้ดี ย้ำเข้มเฝ้าระวังลักลอบข้ามแดน | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
"อนุทิน" เผยปัตตานีคุมโควิด 19 ได้ดี ย้ำเข้มเฝ้าระวังลักลอบข้ามแดน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.ปัตตานี ควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ทั้งคัดกรองผู้เดินทางจากสมุทรสาครในช่วงต้นการระบาด ผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้กักตัวเอง 14 วัน ค้นหาเชิงรุกแรงงานต่างด้าว ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ มีความพร้อมจัด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.ปัตตานี ควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ทั้งคัดกรองผู้เดินทางจากสมุทรสาครในช่วงต้นการระบาด ผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้กักตัวเอง 14 วัน ค้นหาเชิงรุกแรงงานต่างด้าว ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ มีความพร้อมจัดตั้ง รพ.สนาม 3 แห่ง ย้ำต้องเข้มการลักลอบข้ามแดนจากมาเลเซีย ยันวัคซีนโควิด 19 มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิต
วันนี้ (16 มกราคม 2564) ที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ใน จ.ปัตตานี ว่า จังหวัดปัตตานีมีการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี ได้คัดกรองผู้เดินทางมาจาก จ.สมุทรสาคร จำนวน 80 ราย ผลตรวจไม่พบเชื้อทุกคน มีการตรวจเชิงรุกเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 337 ราย ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน และให้ประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงรายงานตัวกับ รพ.สต.หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อคัดกรองอาการและให้กักกันที่บ้านครบ 14 วัน และตรวจหาเชื้อตามกำหนด โดยตั้งแต่วันที่ 6-15 มกราคม 2564 คัดกรองผู้เดินทางแล้ว 2,195 ราย ผลตรวจเป็นลบทั้งหมด อยู่ระหว่างรอผลการตรวจอีก 4 ราย นอกจากนี้ ยังมีสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 1 แห่ง รองรับได้ 240 เตียง และสถานกักกันแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) 1 แห่ง รองรับได้ 10 เตียง รวมถึงเตรียมความพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 3 แห่ง คือ บริเวณเขตอุตสาหกรรม จ.ปัตตานี รพ.โคกโพธิ์ และรพ.ยะรัง และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ต่างๆ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ได้กำชับให้จังหวัดชายแดนใต้ที่ติดกับประเทศมาเลเซีย เข้มมาตรการเฝ้าระวังการลักลอบเดินทางข้ามแดน เนื่องจากเคยมีตัวอย่างที่มีผู้ลักลอบเข้ามาแล้วทำให้เกิดการติดเชื้อ ขอให้คนไทยเดินทางกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง เข้ารับการกักกันตามระบบ 14 วัน เมื่อตรวจพบการติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ช่วยป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายไปในชุมชน
“หากไม่มีการติดเชื้อจำนวนมาก โรงพยาบาลปกติสามารถรองรับได้เพียงพอ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยรวมขณะนี้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ยังถือว่าปลอดภัย แต่ยังต้องคงมาตรการเข้มในการป้องกันโรค การ์ดต้องไม่ตก ยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง รวมถึงป้องกันการลักลอบข้ามแดน” นายอนุทินกล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ยืนยันว่ายึดหลักวัคซีนมีคุณภาพและความปลอดภัย โดยมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้ดำเนินการฉีดวัคซีนเป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ส่วนข้อกังวลเรื่องประสิทธิภาพวัคซีนที่ป้องกันโรคได้ 50-70% นั้น จริงๆ แล้วเป้าหมายในการใช้วัคซีนคือเพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิตลง ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ทุกตัวที่มีผลการทดลองเบื้องต้นในมนุษย์ระยะที่ 3 มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตแทบ 100% จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า กลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นต้น และจะมีการติดตามหลังการฉีดอย่างใกล้ชิด ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ที่สำคัญคือ ระหว่างที่ยังไม่มีวัคซีนยังต้องใช้ชีวิตประจำวันแบบ New Normal เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
*********************************** 16 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38363 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” เดินหน้าจัดตั้งรพ. สนาม ในหลายพื้นที่เสี่ยง | วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” เดินหน้าจัดตั้งรพ. สนาม ในหลายพื้นที่เสี่ยง
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” เดินหน้าจัดตั้งรพ. สนาม ในหลายพื้นที่เสี่ยง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับรายงานการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุข บูรณาการงานสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยเฉพาะจังหวัดเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนามแล้วหลายพื้นที่ โดยข้อมูลจาก ศปก.ศบค. รายงานว่าได้มีการ ประสานจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ของกองทัพแล้ว จำนวน 10 แห่ง 2,106 เตียง โดยแบ่งเป็นพื้นที่กองทัพบก 6 พื้นที่ จำนวน 1,260 เตียง กองทัพอากาศ 1 พื้นที่ จำนวน 120 เตียง และกองทัพเรือ 3 พื้นที่ จำนวน 726 เตียง ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่า โรงพยาบาลสนาม เป็นการจัดตั้งที่พัก สำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ ในพื้นที่ที่มีการควบคุมเท่านั้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคง ดูแลผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ามาใช้โรงพยาบาลสนาม ปฏิบัติตามขั้นตอนระบบการรักษาและเฝ้าระวังโรคเช่นเดียวกับในโรงพยาบาล ทั้งนี้ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ยังเป็นภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ให้การดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งชาวไทยและแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชมภาคเอกชนในหลายพื้นที่ที่ได้อนุญาตให้ใช้ที่ดินในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สะท้อนความร่วมมือร่วมใจระหว่างภาคประชาชนและรัฐบาลตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” ให้เป็นวัคซีนประเทศนำไทยชนะภัยโควิด-19 ด้วย
...................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38359 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งกองทัพ คงความต่อเนื่องคุมเข้มเฝ้าระวังและปกป้องประชาชนจาก COVID-19 ให้ผ่านพ้นไปด้วยกัน | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
สั่งกองทัพ คงความต่อเนื่องคุมเข้มเฝ้าระวังและปกป้องประชาชนจาก COVID-19 ให้ผ่านพ้นไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยหลังการประชุมสภากลาโหมว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจกับกำลังทหารทุกเหล่าทัพและตำรวจ ที่สนับสนุนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา โดยกำชับจำเป็นต้องคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกัน COVID-19 ต่อเนื่องกันควบคู่กับภารกิจป้องกันชายแดน ทั้งพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นใน พร้อมย้ำขอให้กำลังพลทุกนายต้องป้องกันและเฝ้าระวังตนเองในการทำหน้าที่ เพื่อให้สามารถยืนหยัดในการปกป้องประชาชนและต่อสู้กับความท้าทายของภัยคุกคามจากโรคระบาดครั้งนี้ไปด้วยกันกับทุกหน่วยงาน
โฆษก กห. กล่าวเพิ่มเติมว่า กำลังทหารจากทุกเหล่าทัพและตำรวจ ยังคงสนับสนุนการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ได้เพิ่มความเข้มข้นงานข่าวเชิงลึกและกวดขันดำรงความต่อเนื่องในการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งทางบก ทางลำน้ำและทางทะเล โดยจัดกำลังทางบกเพิ่มเติม 5 กองร้อย เสริมการปฏิบัติของกองกำลังป้องกันชายแดน เพิ่มความถี่การลาดตระเวนทั้งทางบกและทางน้ำ สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้ 2,043 คน ( ต.ค.63 - ม.ค.64 )
พร้อมกันนี้ กำลังทหารของทั้ง 3 เหล่าทัพ ได้เข้าไปสนับสนุนการปฎิบัติงาน ทั้งในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ( 5 จังหวัด ) พื้นที่ควบคุมสูงสุด ( 23 จว.) รวมทั้งพื้นที่ควบคุมและพื้นที่เฝ้าระวัง โดยจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดตามปมคมนาคมสำคัญ และกวดขันจับกุมกิจกรรมกลุ่มเสี่ยงที่มั่วสุมกระทำผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน ได้จัดกำลังพลสนับสนุนการบริหารจัดการพื้นที่ควบคุมสูงสุด ณ ตลาดกุ้ง และหอพระศรีเมือง จว.สมุทรสาคร จัดยานพาหนะขนย้ายผู้ป่วย สนับสนุนเวชภัณฑ์ป้องกัน รวมทั้งจัดสร้างโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ นอกจากนั้น ได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่างๆ รองรับสถานการณ์ในขั้นต้น กว่า 5,700 เตียง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ มี.ค.63 กองทัพยังคงดำรงความต่อเนื่องในการสนับสนุนการบริหารจัดการสถานกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( SQ ) 24 แห่ง จำนวน 7,775 ห้องและสถานกักกันควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก ( ASQ ) 123 แห่งจำนวน 16,450 ห้อง ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มีคนไทยกลับจากต่างประเทศผ่านการคัดกรองแล้วกว่า 1.8 แสนคน พบผู้ป่วย 1,402 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานปี 63 สะท้อนการเติบโตก้าวกระโดดในรอบ 5 ปี เป็นผลจากการปรับองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อเป็นผู้นำ ‘องค์กรการเงินเพื่อการส่งออก’ ระดับโลก | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานปี 63 สะท้อนการเติบโตก้าวกระโดดในรอบ 5 ปี เป็นผลจากการปรับองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อเป็นผู้นำ ‘องค์กรการเงินเพื่อการส่งออก’ ระดับโลก
EXIM BANK ดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่ (Transformation) ตามแผนแม่บท 10 ปี (ปี 2560-2570) ทำให้องค์กรพัฒนาอย่างต่อเนื่องและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภายนอกได้เป็นอย่างดี แม้ปี 2563 ทุกภาคส่วนทั่วโลกต้องเผชิญความท้าทายจากผลกระทบของโควิด-19
EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานปี 63 สะท้อนการเติบโตก้าวกระโดดในรอบ 5 ปี เป็นผลจากการปรับองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อเป็นผู้นำ ‘องค์กรการเงินเพื่อการส่งออก’ ระดับโลก
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงในโอกาสจะครบวาระดำรงตำแหน่งสิ้นเดือนมกราคม 2564 ภายหลังได้รับการต่อวาระสมัยที่ 2 จนครบอายุ 60 ปี ต่อเนื่องจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 ว่า EXIM BANK ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่ (Transformation) ตามแผนแม่บท 10 ปี (ปี 2560-2570) ทำให้องค์กรพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภายนอกได้เป็นอย่างดี แม้ปี 2563 ทุกภาคส่วนทั่วโลกต้องเผชิญความท้าทายจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง ยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและเป็นไปตามเป้าหมายที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำองค์กรการเงินเพื่อการส่งออก (Export Credit Agency : ECA) ระดับภูมิภาคในปี 2565 และเป็น ECA ระดับโลกในปี 2570 สะท้อนได้จากสัดส่วนมูลค่าการสนับสนุนธุรกรรมด้านการค้าและการลงทุนไทยของ EXIM BANK ต่อรายได้มวลรวมประชาชาติ (Gross National Income : GNI) อยู่ที่ 1.6% สูงกว่า ECA อื่น ๆ ในอาเซียน ซึ่งอยู่ในระดับ 0.5-0.7% ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ในปี 2563 เติบโตในทุกด้านตามแผนยุทธศาสตร์ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
ยุทธศาสตร์ที่ 1 เชื่อมไทย เชื่อมโลก ด้วยการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ EXIM BANK สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกและลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดใหม่ (New Frontiers) ทั้งในและนอกอาเซียน
การเติบโตก้าวกระโดดในรอบ 5 ปี (2558-2563) :
• ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อขยายตัว 84% จาก 73,540 ล้านบาท เป็น 135,228 ล้านบาท (เฉลี่ย 13% ต่อปี) ในจำนวนนี้ เป็นยอดคงค้างสินเชื่อ SMEs เพิ่มขึ้น 86% จาก 16,883 ล้านบาท เป็น 31,461 ล้านบาท (เฉลี่ย 13% ต่อปี)
• จำนวนลูกค้าโต 163% จาก 1,631 ราย เป็น 4,282 ราย (เฉลี่ย 21% ต่อปี) ในจำนวนนี้ ลูกค้า SMEs เพิ่มขึ้น 194% จาก 1,192 ราย เป็น 3,507 ราย (เฉลี่ย 24% ต่อปี) คิดเป็นสัดส่วนสนับสนุนผู้ส่งออก SMEs ได้ 15% ของทั้งประเทศ
• ยอดสินเชื่อคงค้างใน New Frontiers (รวมกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV) ขยายตัว 53% จาก 26,022 ล้านบาท เป็น 39,754 ล้านบาท (เฉลี่ย 9% ต่อปี)
ผลการดำเนินงานปี 2563 :
• มีสินเชื่อคงค้าง 135,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,360 ล้านบาท หรือ 11% เมื่อเทียบกับปี 2562 แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 36,093 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 99,135 ล้านบาท ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) รวม 168,035 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs 60,689 ล้านบาท (สัดส่วน 36%)
• มีวงเงินสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวม 93,622 ล้านบาท เป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 56,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,930 ล้านบาท หรือ 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน
• มีสินเชื่อคงค้างเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ส่งออกและลงทุนใน New Frontiers จำนวน 39,754 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,487 ล้านบาท หรือ 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน
• เดือนธันวาคม 2563 EXIM BANK ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งสำนักงานผู้แทนในนครโฮจิมินห์ เวียดนาม จากธนาคารกลางเวียดนาม ทำให้ EXIM BANK มีสำนักงานผู้แทนครบ 4 แห่งใน CLMV เพื่อทำหน้าที่ให้บริการด้านคำปรึกษาแนะนำและบริการทางการเงินแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยที่สนใจขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ EXIM BANK สนับสนุนการลงทุนในประเทศเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-curve) และพื้นที่เป้าหมาย อาทิ พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดคงค้างสินเชื่อในประเทศขยายตัว 61% จาก 26,489 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 42,751 ล้านบาทในปี 2563 (เฉลี่ย 10% ต่อปี) และเมื่อเทียบกับปี 2562 เพิ่มขึ้น 7,237 ล้านบาท หรือ 20%
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ป้องกันความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศ EXIM BANK ขยายบริการประกันการส่งออกและการลงทุน รวมทั้งบริการวิเคราะห์ความเสี่ยงผู้ซื้อและธนาคารผู้ซื้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้นำเข้าในต่างประเทศอาจชำระเงินล่าช้าหรือประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าและบริการ โดยปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเพิ่มขึ้น 105% จาก 66,018 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 135,071 ล้านบาทในปี 2563 (เฉลี่ย 15% ต่อปี) และเมื่อเทียบกับปี 2562 เพิ่มขึ้น 13,699 ล้านบาท หรือ 11%
ยุทธศาสตร์ที่ 4 เป็นกลไกสำคัญในระบบนิเวศ สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ EXIM BANK ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า (EXIM Excellence Academy: EXAC) เมื่อปี 2561 เพื่อให้บริการและสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแบบครบวงจร (One Stop Service) โดยมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้ส่งออกได้หรือส่งออกได้มากขึ้น ผ่านการอบรม บ่มเพาะ ให้คำปรึกษา จับคู่ธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนการค้าออนไลน์ (E-trading) โดยการบูรณาการข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ โครงการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ระหว่าง EXIM BANK กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำให้ผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรมของไทยมีสินค้านวัตกรรมและเจรจาค้าขายกับประเทศคู่ค้าได้ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกราว 600 ล้านบาท
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะ SMEs โดยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 6 เดือนตั้งแต่ต้นปี 2563 และได้ออกมาตรการฟื้นฟูกิจการลูกค้าที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากผลกระทบของโควิด-19 ตามความต้องการของกิจการ รวมทั้งเปิดคลินิกให้คำปรึกษา อบรมสัมมนาและจับคู่ธุรกิจทางออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการจำนวน 6,400 ราย วงเงินรวมประมาณ 55,000 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 5 ก้าวเข้าสู่ธนาคารดิจิทัล EXIM BANK ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในกระบวนการทำงานและการให้บริการลูกค้า อาทิ การพัฒนาระบบออนไลน์เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าสินเชื่อและประกันการส่งออก การพัฒนาแพลตฟอร์ม Thailand Export Readiness Assessment & Knowledge Management (TERAK) ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อใช้ประเมินความพร้อมด้านการส่งออกของผู้ประกอบการและจัดกิจกรรมให้ความรู้และจับคู่ธุรกิจ เหล่านี้ ทำให้ EXIM BANK สามารถปรับตัวและบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดี
ยุทธศาสตร์ที่ 6 พัฒนาธนาคารเพื่อความยั่งยืน EXIM BANK ปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าและการบริหารจัดการองค์กร รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลตลอดเส้นทางการทำงานที่ EXIM BANK และการมุ่งสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย EXIM BANK สามารถบริหารจัดการการเงินและธุรกิจ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และการยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อความยั่งยืน จนทำให้องค์กรยังมีฐานะการเงินในระดับที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 3.81% จากจำนวนสินเชื่อด้อยคุณภาพ 5,153 ล้านบาท นอกจากนี้ ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 9) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 EXIM BANK มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) 11,977 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 232.44% ส่งผลให้ในปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสำรองอื่น ๆ เท่ากับ 2,250 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ EXIM BANK มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 1,340 ล้านบาท
ปี 2564 EXIM BANK ยังคงเดินหน้าสนับสนุนผู้ส่งออกและนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมุ่งเน้นสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเริ่มต้นและขยายธุรกิจได้ สำหรับการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 EXIM BANK ยังคงช่วยเหลือลูกค้าฟื้นฟูกิจการตามสภาพคล่องของธุรกิจ และออกมาตรการพักชำระหนี้ “เงินต้น-ดอกเบี้ย” ในพื้นที่
สีแดง สีส้ม และสีเหลือง รวมทั้งขยายระยะเวลาอนุมัติมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว
การพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องทำให้ EXIM BANK มีผลการดำเนินงานและการพัฒนาองค์กร ทั้งด้านธุรกิจและการบริหารจัดการองค์กร จนได้รับการชื่นชมและสนับสนุนจากลูกค้าและพันธมิตรต่าง ๆ จากภาครัฐ และภาคเอกชน นำมาซึ่งรางวัลเกียรติยศต่าง ๆ ตลอดปี 2563 ประกอบด้วย (1) รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นประจำปี 2563 จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รางวัลความสามารถในการจัดการวิกฤตโควิด-19 ดีเด่น และรางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น ด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ประเภทดีเด่น (2) รางวัล TQM - Best Practices 2020 ด้านการเอาใจใส่บุคลากร (3) รางวัลการเตรียมความพร้อมดีเด่นในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2564 (4) โล่ประกาศเกียรติคุณ “อาคารราชการต้นแบบด้านการจัดการน้ำเสีย” ระดับทอง จากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ EXIM BANK ยังก้าวกระโดดเป็นรัฐวิสาหกิจคุณธรรมและโปร่งใสจากผลประเมิน Integrity and Transparency Assessment (ITA) ปี 2563 ด้วยคะแนนที่เพิ่มขึ้นระดับสูงสุด จากอันดับที่ 21 เป็นอันดับที่ 4 ของรัฐวิสาหกิจไทย 53 แห่งในปี 2563
“วันนี้ EXIM BANK ยังทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกไทย เสมือนการดูแลต้นไม้ใหญ่ของประเทศ ให้แตกกิ่งก้านสาขา พยุงภาคเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโต ยั่งยืนไปด้วยกัน ท่ามกลางความ
ท้าทายของปัจจัยแวดล้อมและลมพายุ เรายังทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนสร้างนวัตกรรมดูแลผลผลิตของต้นไม้นี้ให้เติบโต งอกงาม มีรากแก้วและรากฝอยที่แข็งแรงไปด้วยกัน ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรและระบบการทำงานที่ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของสังคมต่อ ECA แห่งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกภาคส่วนจะยังคงดำเนินภารกิจหน้าที่ ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ของตนเองต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง สร้างงาน สร้างรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชากรไทยและภูมิภาคต่าง ๆ ไปด้วยกัน นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาคมโลก” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Announces 2020 Operating Results Showing 5-year High Growth as a Result of Organizational Transformation Toward Being Global ‘Export Credit Agency’
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), stated on the occasion of his completion of term of office at the end of January 2021 after extension to be in office for the second term up to the age of 60 from the first term which started on June 1, 2016. He said that EXIM Thailand has undertaken the organization transformation according to the 10-year Master Plan (2017-2027). This has allowed for the Bank’s continued organization development and readiness to cope with external circumstances even amid COVID-19 pandemic in 2020. As a specialized financial institution under the Ministry of Finance’s supervision, the Bank still recorded satisfactory operating results and was on track to achieve its vision of being a regional Export Credit Agency (ECA) by 2022 and a global ECA by 2027. Such prospect has been reflected by the Bank’s value of credit facilities for Thai trade and investment of 1.6% of Gross National Income (GNI), which is higher than those of other ECAs in ASEAN which are in the range of 0.5-0.7%. From EXIM Thailand’s operating results in 2020, a frog-leap growth of 5 years high was seen in all areas according to the strategies set forth.
Strategy 1 Develop and expand Thai trade and investment globally: EXIM Thailand has supported Thai entrepreneurs in their continued expansion of export and investment abroad to a greater extent, particularly in new frontier markets across ASEAN and beyond.
Frog-leap highest growth in 5 years (2015-2020) :
• Total outstanding loans grew by 84% from 73,540 million baht to 135,228 million baht (average growth of 13% per year), of which 31,461 million baht was for SMEs, an 86% growth from 16,883 million baht.
• Total number of clients expanded by 163% from 1,631 to 4,282 (21% average increase per year). Of this total, the number of SME clients was 3,507, a 194% increase from 1,192 (24% average increase per year) and representing 15% of SMEs nationwide.
• Total outstanding loans for new frontiers (also including Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam or CLMV) grew by 53% from 26,022 million baht to 39,754 million baht (average growth of 9% per year).
Operating results in 2020:
• Total outstanding loans amounted to 135,228 million baht, a year-on-year growth of 13,360 million baht or 11%, comprising 36,093 million baht in trade finance and 99,135 million baht in investment finance, which contributed to a business turnover of 168,035 million baht, of which 60,689 million baht came from SMEs (36%).
• Total accumulated loan approvals for international projects amounted to 93,622 million baht, with outstanding loans accounting for 56,384 million baht, representing a year-on-year growth of 8,930 million baht or 19%.
• Total outstanding loans for exporters and investors in new frontiers amounted to 39,754 million baht, a 4,487 million baht or 13% year-on-year growth.
• In December 2020, EXIM Thailand was licensed to establish a representative office in Ho Chi Minh City of Vietnam from the State Bank of Vietnam, completing the targeted 4 representative offices in CLMV, to provide financial and advisory services to Thai exporters and investors with aspiration to expand to these neighboring countries.
Strategy 2 Support national infrastructure and industrial development: EXIM Thailand has increasingly and consistently supported domestic investment for infrastructure and industrial development, particularly in targeted S-curve industries in promoted zones, such as the Eastern Economic Corridor (EEC) and Special Economic Zones (SEZs). The Bank’s total outstanding domestic loans expanded by 61% from 26,489 million baht in 2015 to 42,751 million baht in 2020 (10% average growth per year) and average year-on-year growth of 7,237 million baht or 20%.
Strategy 3 Provide protection against international trade and investment risks: EXIM Thailand has increasingly expanded its export credit and investment insurance facilities as well as analysis of buyer and buyer bank risks to boost Thai exporters and investors’ confidence, especially under the current circumstances where importers abroad may make late payment or lack business liquidity which might cause Thai entrepreneurs to be exposed to higher risks of non-payment for goods and services. Total insurance business turnover grew by 105% from 66,018 million baht in 2015 to 135,071 million baht in 2020 (15% average growth per year) and by 13,699 million baht or 11% year-on-year growth.
Strategy 4 Be a mechanism in the ecosystem to enhance the competitiveness of Thai entrepreneurs: since 2018, EXIM Excellence Academy (EXAC) has been established to provide financial and non-financial services and supports to entrepreneurs as one stop services, focusing on development of entrepreneurs’ potential in their export startup or expansion endeavors through training, incubation and advisory service as well as business matching, in conjunction with supports for e-trading by integrating information and cooperation with that of public and private business partners, such as an SME capability support and promotion project between EXIM Thailand and the Bank for Agriculture and Agricultural Cooperatives (BAAC) and Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR). This has enabled Thai agricultural entrepreneurs to produce and distribute innovative products and have trade talks with trade counterparties, which contributed to export value of approximately 600 million baht.
In addition, EXIM Thailand has rendered financial and non-financial assistances to clients and entrepreneurs affected by COVID-19 outbreak, SMEs in particular, through principal and interest debt suspension for a maximum of 6 months since the beginning of 2020 and launch of business rehabilitation measures for clients faced with liquidity shortage as a result of COVID-19 as required by the businesses, along with opening of Phone-in Export Advisory Clinic, holding of online seminars and business matching for entrepreneurs interested in export startup or expansion. As of the end of December 2020, EXIM Thailand had given financial and non-financial supports for altogether 6,400 entrepreneurs involving approximately 55,000 million baht in total.
Strategy 5 Enhance the Bank’s digital efficiency: EXIM Thailand has applied digital technology and innovation to its work processes and provision of services to the clients. The initiatives implemented comprise online system development for offering of export credit and insurance facilities, development of Thailand Export Readiness Assessment & Knowledge Management (TERAK) platform aimed at assessing entrepreneurs’ export readiness and business matching. EXIM Thailand has thus been well adaptive and capable of continuing business even amid the COVID-19 pandemic.
Strategy 6 Develop sustainable banking: EXIM Thailand has rationalized its work processes to boost efficiency in provision of services to the clients and organization management, as well as development of personnel throughout their career path at EXIM Thailand (EXIM People Journey) and balancing economic, social and environmental development. The Bank has been able to carry on financial and business management alongside social and environmental risk management, with adherence to good governance toward sustainability. This has resulted in the Bank’s strong financial position. Its NPL ratio as of the end of 2020 was 3.81% with total NPLs amounting to 5,153 million baht, and according to the new Thai financial reporting standard (TFRS 9), the Bank’s expected credit loss as of the end of December 2020 amounted to 11,977 million baht, which represented a coverage ratio of 232.44%. Therefore, in 2020, EXIM Thailand recorded 2,250 million baht in profit before expected credit loss. However, due to provision for the expected credit loss which had risen in line with increasing risk exposure under external economic circumstances, the Bank posted a net loss of 1,340 million baht in 2020.
For 2021, EXIM Thailand will continue providing supports for exporters and investors in their access to financial sources and risk management tools for their business operations, together with focusing on supporting and development of entrepreneurs, SMEs in particular, so that they would be able to start up or grow their businesses. As regards relief of impacts from COVID-19, the Bank has carried on its assistances for the clients’ business rehabilitation based on their respective business liquidity and launched “Principal-Interest” Debt Suspension Scheme for clients in red, orange and yellow zones, together with extension of the availability period of its Investment and Production Efficiency Enhancement Scheme with a view to cost reduction and uplifting of production efficiency in the long run.
With ongoing organizational development, EXIM Thailand has earned recognition and supports from the clients and business allies in both public and private sectors for its business operation and business and organization development and management all along. The awards received in 2020 were (1) 3 Awards at SOE Awards (State-owned Enterprise Awards) 2020 Ceremony, i.e. Outstanding Corporate Leadership for Mr. Pisit Serewiwattana, EXIM Thailand President, Outstanding Capability to Deal with COVID-19 Crisis and Outstanding Cooperation for Development (Strategic Cooperation), (2) TQM - Best Practices 2020 Award in the Personnel Caring Category, (3) Best Practices PDPA Award (in compliance with the Personal Data Protection Act, B.E. 2562 (2019), which will take effect in 2021), and (4) Gold Level award of “Wastewater Management Excellence for Government Office Buildings” Program from Pollution Control Department, Ministry of Natural Resources and Environment. Moreover, EXIM Thailand has been acclaimed as State-owned Enterprise of Integrity and Transparency with a high criterion level of Integrity and Transparency Assessment (ITA) scores, jumping from No. 21 to No. 4 ranking among altogether 53 state-owned enterprises in 2020.
“Today, EXIM Thailand will remain committed to driving Thai export growth, as though it is nurturing a large tree so that it can branch out to cover all areas, aiming to support the country’s economic, social and environment growth and sustainability amid the current challenging and volatile situations. We will still work alongside the public and private entities to develop innovation so that this tree is healthy with strong taproot and hair roots and can generate fruitful goods and services. Meanwhile, we will continue developing our personnel and operating systems to respond to the society’s needs and what the society expects from EXIM Thailand as an ECA. This will ensure that all sectors in the society can perform their missions and duties as well as activities without disruption, and bring about job opportunities, generate income and fortify the quality of life of Thai people in all areas. This will in turn lead to sustainable development of the global community,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ชี้แจงกรณีพนักงานสาขานครนายกติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ธ.ก.ส. ชี้แจงกรณีพนักงานสาขานครนายกติดเชื้อไวรัส COVID-19
ธ.ก.ส.แจงกรณีพนักงานสาขานครนายก 1 คน ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยสั่งปิดสาขาทันที 3 วัน ในวันที่ 27 – 29 ม.ค. 64 เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค และให้พนักงานภายในสาขาทั้งหมดตรวจหาเชื้อ กักตัวและปฏิบัติงานในที่พัก 14 วัน เพื่อสังเกตอาการ
ธ.ก.ส. แจงกรณีพนักงานสาขานครนายก 1 คน ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยสั่งปิดสาขาทันที 3 วัน ในวันที่ 27 – 29 ม.ค. 64 เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค และให้พนักงานภายในสาขาทั้งหมดตรวจหาเชื้อ กักตัวและปฏิบัติงานในที่พัก 14 วัน เพื่อสังเกตอาการ ย้ำ! ธ.ก.ส. ดำเนินการตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสาขา บริการเจลแอลกอฮอลล์ การเว้นระยะห่างของที่นั่ง และทำฉากกั้นบริเวณเคาน์เตอร์
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้พนักงานของธนาคาร จำนวน 1 คน ซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานการเงิน ธ.ก.ส. สาขานครนายก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ได้รับการตรวจจากแพทย์และยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยพนักงานคนดังกล่าวได้แจ้งผู้บังคับบัญชาทราบในทันทีที่ได้รับการยืนยันผลตรวจการติดเชื้อ ในวันที่ 26 มกราคม 2564 และได้เข้าสู่กระบวนการรักษาของกรมควบคุมโรค เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อ สาธารณสุขจังหวัดนครนายกจะเป็นผู้ให้ข้อมูลต่อไป
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการตามมาตรฐานการควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยสั่งปิดทำการ ธ.ก.ส. สาขานครนายก ตั้งแต่วันที่ 27 – 29 มกราคม 2564 เป็นเวลา 3 วัน เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อและให้เพื่อนร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับพนักงานคนดังกล่าวทั้งหมด เข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ โดยระหว่างรอผลการตรวจวินิจฉัย ได้มอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้าน พร้อมปฏิบัติตนตามมาตรการที่ธนาคารกำหนดเพื่อเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน โดยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาใกล้เคียง ได้แก่ สาขาองครักษ์ สาขาบ้านนา และปากพลี ซึ่ง ธ.ก.ส. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
ธ.ก.ส. มีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยมีมาตรการรักษาความสะอาดที่รัดกุม ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการภายในสาขา การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาทั้งพนักงานและลูกค้า จัดที่นั่งและอาคารสถานที่ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การติดตั้งฉากกั้นระหว่างลูกค้าและพนักงานที่เคาน์เตอร์ให้บริการ การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดจุดสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ และให้พนักงานทุกคนต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และ “ไทยชนะ” ในการลงทะเบียนเข้าออก - เข้าสำนักงานและทุกสถานที่ที่ไปใช้บริการทุกครั้ง อนึ่ง หากต้องการสอบถามข้อมูลการให้บริการอื่นๆ สามารถติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38646 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.เห็นชอบขยายกำหนดเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 เดือน และครม.มีมติลดภาษีอีก 90% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
รมว.มท.เห็นชอบขยายกำหนดเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 เดือน และครม.มีมติลดภาษีอีก 90% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
รมว.มท.เห็นชอบขยายกำหนดเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 เดือน และครม.มีมติลดภาษีอีก 90% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
วันนี้ (27 ม.ค. 64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังคงแพร่ระบาดอย่างรุนแรงและส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างต่อเนื่องจากปี 2563 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เห็นชอบมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราร้อยละ 90 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบของประชาชนอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฯ เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการเมื่อปี 2563 ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ดังนั้น
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2564 จึงเห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี พ.ศ. 2564 เป็นการทั่วไปออกไปอีก 2 เดือน ได้แก่ (1) ขยายกำหนดเวลาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี เป็นก่อนวันที่ 1 เมษายน 2564 (2) ขยายกำหนดเวลาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแจ้งการประเมินภาษีโดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี เป็นภายในเดือนเมษายน 2564 (3) ขยายกำหนดเวลาของผู้เสียภาษีในการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษีเป็นภายในเดือนมิถุนายน 2564 (4) ขยายกำหนดเวลาของผู้เสียภาษีในการผ่อนชำระภาษี งวดที่ 1 เป็นภายในเดือนมิถุนายน 2564 งวดที่ 2 เป็นภายในเดือนกรกฎาคม 2564 งวดที่ 3 เป็นภายในเดือนสิงหาคม 2564 (5) ขยายกำหนดเวลาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระเป็นภายในเดือนกรกฎาคม 2564 และ (6) ขยายกำหนดเวลาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา เป็นภายในเดือนสิงหาคม 2564
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งรัดดำเนินการให้ทันภายในกำหนดเวลาที่ได้เห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการ โดยเฉพาะในเรื่องการแจ้งการประเมินภาษี โดยไม่ให้กระทบสิทธิ์ของผู้เสียภาษีและกระบวนการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จับตาโควิด-19 รอบใหม่ดันเฟคนิวส์สุขภาพ/ภัยพิบัติพุ่ง | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ดีอีเอส จับตาโควิด-19 รอบใหม่ดันเฟคนิวส์สุขภาพ/ภัยพิบัติพุ่ง
ดีอีเอส จับตาโควิด-19 รอบใหม่ดันเฟคนิวส์สุขภาพ/ภัยพิบัติพุ่ง
กระทรวงดิจิทัลฯ จับตาแนวโน้มข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิด-19 หลังการแพร่ระบาดรอบใหม่ ส่งผลกระทบจำนวนข่าวปลอมหมวดสุขภาพและภัยพิบัติพุ่งรับต้นปี 64 พบข้อความที่เกี่ยวข้องกว่า 12 ล้านข้อความในช่วงกว่า 1 เดือน พร้อมเผย 10 อันดับข่าวปลอมเฟคนิวส์ระลอกใหม่
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า จากที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันตน์ รมว.ดีอีเอส มอบหมายให้กระทรวงฯ และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดำเนินการหาแนวทางแก้ปัญหาข่าวปลอม และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ให้เข้าถึงการรับรู้ในวงกว้าง สร้างความตระหนัก และรู้เท่าทันข่าวปลอมให้กับประชาชน
ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมาของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ตั้งแต่หลังกลางเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบว่ามีจำนวนข่าวปลอมที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยจากการรับแจ้งเบาะแส และติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 63 – 26 ม.ค.64 มีจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้อง 12,082,316 ข้อความ หลังจากคัดกรองแล้วพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์ 807 ข้อความ โดยมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 369 เรื่อง
ทั้งนี้ ข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบข้างต้น สัดส่วน 60% หรือ 221 เรื่องอยู่ในหมวดหมู่สุขภาพและภัยพิบัติ เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด เป็นสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวทั้งปัญหาสุขภาพ และภัยพิบัติที่สร้างความเสียหาย ตามมาด้วย หมวดหมู่นโยบายรัฐ 146 เรื่อง หรือ 40% ส่วนอีก 2 เรื่องเป็นข่าวในหมวดหมู่เศรษฐกิจ
สำหรับ 10 อันดับข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ได้รับการเผยแพร่เข้าถึงคนจำนวนมากในช่วงวันที่ 19 ธ.ค. 63 - 26 ม.ค. 64 ประกอบด้วย 1. ประกาศปิดเมืองทางภาคเหนือ 11 จังหวัด 2. แรงงานต่างชาติลักลอบทุบกำแพงหลังพื้นที่กักกันเพื่อหลบหนี 3. เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายผ่านอากาศ (Airborne) 4. กทม. วุ่น! บุคลากรทางการแพทย์ ติดโควิดวันเดียว 15 ราย 5. รพ.ภูมิพลฯ ปิดให้บริการห้องฉุกเฉิน หลังพบผู้ป่วยโควิด-19 เข้ามารักษา
6. สูตรยาสมุนไพร 3 แม่ทัพ ใช้รักษาโควิด-19 7. ภาพโฆษก ศบค. กล่าวว่าการเยียวยา คือภาระของภาษีประชาชน 8. พบผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ที่โรงพยาบาลบางปะกอก 1 9.คลิปวิดีโอสถานที่กักตัวโรงพยาบาลสนามมหาชัย จ. สมุทรสาคร และ 10. ป้องกันโควิด-19 ด้วยการฉีดวิตามินซี 10,000 มิลลิกรัม ตามลำดับ
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวย้ำถึงภาพรวมการรับแจ้งเบาะแส ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 62 - 26 ม.ค. 64 จากการติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 52,492,463 ข้อความเป็นข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์และดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 22,322 ข้อความ ภายหลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 8,080 เรื่อง แบ่งเป็น หมวดสุขภาพ 4,524 เรื่อง (56%) หมวดภัยพิบัติ 143 เรื่อง (2%) หมวดเศรษฐกิจ 272 เรื่อง (3%) และหมวดนโยบายรัฐฯ 3,141 เรื่อง (39%)
“กระทรวงดิจิทัลฯ และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เตรียมแผนการดำเนินการสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ทั้งการเผยแพร่ผ่านช่องทางของศูนย์ฯ ได้แก่ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไลน์ และทวิตเตอร์ เรายังมองถึงการขยายเครือข่ายการทำงานร่วมกับสำนักข่าว รวมทั้งสถานีข่าวทีวีช่องต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงประชาชนในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายภุชพงค์กล่าว
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38658 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร เปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ เพื่อระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
มท.ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร เปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ เพื่อระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
มท.ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร เปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ เพื่อระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
วันนี้ (27 ม.ค.64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ซึ่งสถานการณ์มีการแพร่ระบาดของโรคฯ ออกเป็นวงกว้างกระจายไปในหลายพื้นที่ และมีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือสถานที่ชุมนุมชนต่าง ๆ เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฯ และระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามนโยบาย ศบค. และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ขอรับบริการ จึงใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 12 ม.ค. 64 โดยให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร ในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพมหานคร จากภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย. 64 ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.64
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ การเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่อยู่ในกิจกรรมแออัดซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด เพื่อเป็นการป้องกันตนเองและหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้โดยเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38640 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใครเป็นใคร? รับวัคซีนโควิดล็อตแรก 5 หมื่นโดส | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ใครเป็นใคร? รับวัคซีนโควิดล็อตแรก 5 หมื่นโดส
...
ในเดือน ก.พ.นี้ วัคซีนล็อตแรก 50,000 โดส จะถึงประเทศไทย
และวัคซีนส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง
.
คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการ
การให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
จึงได้วางแผนไว้ 3 ระยะ
.
ระยะแรก เป็นช่วงที่มีวัคซีนจำกัด
จะฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 19,014,154 คน แบ่งเป็น
.
1. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า
ทั้งภาครัฐ - เอกชน จำนวน 1,700,000 คน
.
2. บุคคลที่มีโรคประจำตัว จำนวน 6,163,095 คน แบ่งเป็น
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง จำนวน 253,159 คน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 350,922 คน
- โรคไตเรื้อรัง จำนวน 150,000 คน
- โรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 355,671 คน
- โรคมะเร็งทุกชนิด จำนวน 253,343 คน
- โรคเบาหวาน จำนวน 4,800,000 คน
.
3. ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11,136,059 คน
.
4. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19
ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย จำนวน 15,000 คน
.
ระยะที่ 2 ช่วงเดือนพ.ค. - ธ.ค. 64 เมื่อจัดหาวัคซีนได้มากขึ้น
จะขยายพื้นที่ และกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงของประเทศ
.
ระยะที่ 3 ช่วง ม.ค. 65 เป็นต้นไป
เมื่อวัคซีนมีเพียงพอ จะฉีดให้กับประชาชนทุกคน
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร
.
ย้ำว่า การฉีดวัคซีน จะไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
โดยจะฉีดคนละ 2 เข็ม ณ สถานที่ฉีดในโรงพยาบาล
เพราะต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการ 30 นาที
หากมีผลข้างเคียงจะช่วยเหลือได้ทันที
.
นอกจากนี้ ยังได้จัดทำ LINE Official Account
ที่ใช้ชื่อว่า “หมอพร้อม” สำหรับการลงทะเบียนผู้รับวัคซีน
ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ติดตามประเมินผลการให้วัคซีน
.
โดยเบื้องต้น จะมีการทดสอบการส่งข้อมูล
และประเมินผล ภายในวันที่ 27 ม.ค.64
จากนั้น จะเปิดตัว “หมอพร้อม” ระยะที่ 1
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในวันที่ 12 ก.พ. 64
สำหรับประชาชนทั่วไป จะเปิดใช้งานในเดือนเม.ย. 64
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38634 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจงค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ฯ พิจารณารอบด้านสอดคล้องกับปัจจัยสำคัญหลายมิติ คาดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกฯ เริ่มต้น 15 บาท และสูงสุด 45 บาท | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
รฟม. แจงค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ฯ พิจารณารอบด้านสอดคล้องกับปัจจัยสำคัญหลายมิติ คาดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกฯ เริ่มต้น 15 บาท และสูงสุด 45 บาท
รฟม. แจงค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ฯ พิจารณารอบด้านสอดคล้องกับปัจจัยสำคัญหลายมิติ คาดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกฯ เริ่มต้น 15 บาท และสูงสุด 45 บาท
วันนี้ (28 ม.ค.64) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ชี้แจงถึงข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าโดยสาร โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ฯ ว่า เอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ได้ระบุอัตราค่าโดยสารพื้นฐานอ้างอิง ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 เริ่มต้นที่ 17 บาท คิดค่าโดยสารตามระยะทาง 3 – 4 บาท/สถานี มีอัตราค่าโดยสารสูงสุด 62 บาท เมื่อผู้โดยสารเดินทางตั้งแต่ 12 สถานีขึ้นไป ซึ่งเป็นอัตราค่าโดยสารที่ใช้ในการจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์โครงการฯ (รายงาน PPP) ของ รฟม. ที่มีสมมติฐานกำหนดเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกฯ ในปี พ.ศ. 2566 - 2567 ซึ่งคำนวณตามมาตรฐาน MRT Assessment Standardization
สำหรับการที่เอกสาร RFP ระบุอัตราค่าโดยสารดังข้างต้น มีจุดประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับเอกชนทุกรายใช้อ้างอิงในการประเมินรายได้ของเอกชนเพื่อจัดทำข้อเสนอการร่วมลงทุนโครงการฯ ด้วยสมมติฐานเดียวกัน ดังนั้นอัตราค่าโดยสารข้างต้น จึงไม่ใช่อัตราค่าโดยสารที่ รฟม. จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดย รฟม.คาดการณ์อัตราค่าโดยสารสายสีส้มส่วนตะวันออกฯ ในอัตราเริ่มต้น 15 บาท และสูงสุด 45 บาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ในขั้นตอนการประเมินข้อเสนอของเอกชนแล้วเสร็จ รฟม. จะเจรจากับเอกชนผู้ผ่านการประเมินสูงสุด เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นพื้นฐานอัตราเดียวกันกับรถไฟฟ้าสายอื่นของ รฟม.ที่อ้างอิงตามมาตรฐาน MRT Assessment Standardization ปรับอัตราโดยอ้างอิงดัชนีราคาผู้บริโภคตามที่เกิดขึ้นจริง และเก็บค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียวเมื่อผู้โดยสารเดินทางข้ามสายในโครงข่ายรถไฟฟ้าของ รฟม. ทั้งนี้ยืนยันว่าการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เหมาะสม มีปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องหลายมิติ เช่น พฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสาร ระยะเดินทางเฉลี่ยของผู้โดยสาร ความเต็มใจในการจ่ายค่าโดยสารของประชาชน (Willingness to pay) เป็นต้น ซึ่ง รฟม.ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38641 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 หนุนต่างด้าวเป็นคณะกรรมการสวัสดิการใน สปก. เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ตามหลักสิทธิมนุษยชน | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
จับกัง 1 หนุนต่างด้าวเป็นคณะกรรมการสวัสดิการใน สปก. เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ตามหลักสิทธิมนุษยชน
รมว.แรงงาน สนับสนุนให้ลูกจ้างต่างด้าวมีส่วนร่วมในคณะกรรมการสวัสดิการใน สปก. ตามกลไกระบบทวิภาคี หวังให้เป็นตัวแทนหารือนายจ้างร่วมจัดสวัสดิการที่เหมาะสมตรงกับความต้องการตามสัญชาติ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามหลักสิทธิมนุษยชนพร้อมมอบ กสร.เร่งดำเนินการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความพยายามพัฒนากลไกการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครอง ดูแลสิทธิของแรงงานต่างด้าวให้มีความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติสอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยสนับสนุนให้เข้าไปมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็น ร่วมปรึกษาหารือกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการภายในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างตามสัญชาติได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเภทกิจการ ตรงตามความต้องการของลูกจ้างเอง มิใช่นายจ้างจัดการเพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ด้วยระบบทวิภาคี เพื่อยุติปัญหาข้อเรียกร้อง ข้อพิพาทแรงงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ได้มอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งเข้าไปดำเนินการส่งเสริมสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่างด้าวทำงาน สนับสนุนให้มีตัวแทนของลูกจ้างต่างด้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์อันพึงได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ลูกจ้างกลุ่มนี้จะได้มีตัวแทนประสานงานช่วยเหลือนายจ้างในการดูแลลูกจ้างต่างด้าวด้วยกันเองได้
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในกรณีเดียวกันว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 96 ได้กำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้างฝ่ายเดียวที่มาจากการเลือกตั้งอย่างน้อย 5 คน หากสถานประกอบกิจการที่มีคณะกรรมการลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการแรงงานสัมพันธ์แล้ว ให้คณะกรรมการลูกจ้างนั้นทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการได้ ซึ่งกรมได้เน้นย้ำไปยังหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศให้เข้าไปส่งเสริมสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่างด้าว ได้สนับสนุนให้มีตัวแทนลูกจ้างต่างด้าวเป็นคณะกรรมการฯ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ สภาพการจ้าง การทำงานที่เหมาะสมครอบคลุมลูกจ้างทุกประเภทอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกจ้างในสถานประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38649 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔
วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกวีดิทัศน์อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และองค์การมหาชนของกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม รวมทั้งส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีนและคนจีนทั่วโลก นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังได้ร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ จัดการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันพิเศษนี้ โดยจะเผยแพร่คำอวยพรและการแสดงของทั้ง ๒ ประเทศ ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(NBT) ในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประกาศใช้กฎหมายคุมกิจการดูแลผู้สูงอายุ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มกราคม 2564 | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
สธ.ประกาศใช้กฎหมายคุมกิจการดูแลผู้สูงอายุ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มกราคม 2564
กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้กฎหมายคุมกิจการดูแลผู้สูงอายุ ย้ำผู้ประกอบกิจการรายใหม่ทุกรายต้องขออนุญาตก่อนเปิดกิจการ
กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้กฎหมายคุมกิจการดูแลผู้สูงอายุ ย้ำผู้ประกอบกิจการรายใหม่ทุกรายต้องขออนุญาตก่อนเปิดกิจการ ส่วนผู้ดำเนินการ ผู้ให้บริการหรือพนักงานทุกรายต้องผ่านการอบรม ผ่านการสอบมีใบอนุญาตจากกรม สบส. และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการก่อนปฏิบัติงาน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มกราคม 2564
วันนี้ (27 มกราคม 2564)ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกันแถลงข่าวประกาศมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพและการส่งเสริมกิจการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี2564 ทำให้กิจการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง เช่น เนอร์สซิ่งโฮม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุ เป็นต้น ที่ปัจจุบันมีประมาณ 3,000 แห่ง ซึ่งทุกแห่งต้องได้มาตรฐาน ทั้งด้านสถานที่ การบริการ และความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกกฎกระทรวงกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ที่ออกตามพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มาตรา 3(3) ผู้ประกอบกิจการรายใหม่ทุกราย ต้องขออนุญาตก่อนเปิดกิจการ ส่วนผู้ดำเนินการต้องผ่านการอบรม ผ่านการสอบ และมีใบอนุญาตจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ผู้ให้บริการหรือพนักงานทุกรายที่ทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุต้องผ่านการอบรม จบจากหลักสูตรที่กรม สบส. รับรอง และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการก่อนที่จะปฏิบัติงาน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มกราคม 2564
“การกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง เป็นกิจการที่ต้องได้รับการดูแลมาตรฐานภายใต้ พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกฎหมายนี้เพราะจะส่งเสริมให้สถานประกอบการมีคุณภาพมาตรฐาน และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี เป็นการขับเคลื่อนระบบการคุ้มครองผู้บริโภคของไทยให้เป็นที่ยอมรับ และมีศักยภาพ สามารถแข่งขันในระดับอาเซียนและระดับโลกได้” ดร.สาธิตกล่าว
ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกอบกิจการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง และพนักงานที่ทำอาชีพนี้ ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ขอใบอนุญาตเป็นผู้ดำเนินการ และขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการ ในวันที่ 27 มกราคม 2564 -25 กรกฎาคม 2564 ได้ที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จของกรม สบส. ตั้งอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ซ.สาธารณสุข 8 ถ.ติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี ส่วนภูมิภาคติดต่อที่ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 1-12 หรือทางเว็บไซต์ www.esta.hss.moph.go.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง HOT LINE 1426 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ในวันและเวลาราชการ)
******************************** 27 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38642 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” ไลฟ์สด กระตุ้นสังคมจัดการขยะพลาสติก รุก กลุ่มธุรกิจร้านกาแฟ ร่วมขับเคลื่อน “ร้านกาแฟสีเขียว” | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
“วราวุธ” ไลฟ์สด กระตุ้นสังคมจัดการขยะพลาสติก รุก กลุ่มธุรกิจร้านกาแฟ ร่วมขับเคลื่อน “ร้านกาแฟสีเขียว”
“วราวุธ” ไลฟ์สด กระตุ้นสังคมจัดการขยะพลาสติก รุก กลุ่มธุรกิจร้านกาแฟ ร่วมขับเคลื่อน “ร้านกาแฟสีเขียว”
วันนี้ (27 ม.ค. 2564) เวลา 8.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ไลฟ์สด กิจกรรม “Green Coffee Shop By Top Varawut” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เดินหน้าเร่งสปีด กระตุ้นสังคม ลดละเลิกพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ชวนกลุ่มธุรกิจร้านกาแฟและคอกาแฟทั่วประเทศ ร่วมปรับเปลี่ยน “วิถีชีวิตใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ขับเคลื่อนร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Coffee Shop) โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม ณ NANA Coffee Roasters Ari สาขาอารีย์ กทม.
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวถึงกลุ่มธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นอีกหนึ่งภาคีเครือข่ายสำคัญที่จะมีส่วนช่วยลดการใช้พลาสติก ลดการปลดปล่อยคาร์บอน ด้วยพบว่า กลุ่มธุรกิจร้านกาแฟและตลาดกาแฟในประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภค และเข้าถึงประชาชนในทุกระดับ โดยในแต่ละปี ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยประเภทแก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ถึง 9,750 ล้านใบ และหลอดพลาสติกอีก 5 พันล้านหลอด ประกอบกับ แก้วพลาสติกและหลอดพลาสติก เป็นพลาสติกเป้าหมาย 2 ใน 4 ชนิดที่จะเลิกใช้ภายในปีหน้า จึงเป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกันส่งเสริมการผลิต การบริการ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการและการบริโภควิถีใหม่ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
"การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องใช้เวลา และต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งหากจะให้เห็นผลมากที่สุด ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยวินัย เริ่มต้นได้ง่ายๆที่บ้านของเรา อาทิ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคัดแยกขยะ พร้อมทำความสะอาดขยะเบื้องต้น เพื่อให้ขยะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น" รมว.ทส.กล่าว
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านกาแฟและคอกาแฟทั่วประเทศมาร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Coffee Shop) ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง คัดแยกขยะและนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล หมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ด้วยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งจะมีการประกาศเจตนารมณ์แสดงพลังความร่วมมือกันอย่างจริงจังและเข้มข้นในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านกาแฟทั่วประเทศที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและเผยแพร่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม หมายเลขโทรศัพท์ 0 2278 8453 หรือ E-Mail : [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน เสริมกำลังค้นหาผู้ติดเชื้อสมุทรสาคร รู้ผลเร็วใน 3 ชม. | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
สธ.ส่งรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน เสริมกำลังค้นหาผู้ติดเชื้อสมุทรสาคร รู้ผลเร็วใน 3 ชม.
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้พระราชทาน “รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ” ใช้งานคู่กับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน เสริมกำลังการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ตรวจวิเคราะห์ผลได้ในพื้นที่ ทราบผลเร็วภายใน 3 ชั่วโมง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้พระราชทาน “รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ”ใช้งานคู่กับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน เสริมกำลังการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ตรวจวิเคราะห์ผลได้ในพื้นที่ ทราบผลเร็วภายใน 3 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันควบคุมโรค
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างใกล้ชิด ทรงให้ความสำคัญการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็นต้องดำเนินการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ทราบผลและจำนวนผู้ติดเชื้อ สามารถออกมาตรการหรือควบคุมสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยได้พระราชทาน “รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ” ต้นแบบ ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้งานคู่กับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ค้นหาเชิงรุกแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่ ทราบผลรวดเร็ว แม่นยำ
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้มอบหมายให้สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองนำรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ 1 คัน และรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน 3 คัน พร้อมนักเทคนิคการแพทย์จิตอาสาลงทำงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อเสริมกำลังในการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ผลการตรวจในพื้นที่ ทราบผลภายใน 3 ชั่วโมง โดยไม่ต้องส่งไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์หรือห้องปฏิบัติการโรงพยาบาล มีความปลอดภัยต่อบุคลากรทางการแพทย์ สามารถตรวจได้ 800 -1,000 ตัวอย่างต่อวัน ด้วยเทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมดีเอ็นเอด้วยปฏิกิริยาโพลีเมอเรส หรือRT-PCR(Real Time Polymerase Chain Reaction) ช่วยให้ค้นหาผู้ติดเชื้อได้รวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันควบคุมโรค
ทั้งนี้ รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ เป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ มีพื้นที่ใช้สอย 16.8 ตารางเมตร (7 เมตรx 2.4 เมตร)ภายในประกอบด้วย 3 ห้องหลัก ได้แก่ ห้องสกัดสารพันธุกรรม ห้องเตรียมน้ำยาวิเคราะห์ และห้องวิเคราะห์ผลด้วยเทคนิคPCR มีห้องบัฟเฟอร์ควบคุมและป้องกันการรั่วไหลของเชื้อโรค พร้อมกับเครื่องมือที่ติดตั้งภายในรถ ได้แก่ ตู้ปลอดเชื้อ, ตู้ปฏิบัติงานพีซีอาร์ (PCR cabinet), เครื่องสกัดสารพันธุกรรมอัตโนมัติ, เครื่องRT-PCR,ตู้แช่แข็ง -20 องศาเซลเซียส, ตู้ทำความเย็น 4 องศาเซลเซียส, ช่องส่งตัวอย่าง, เครื่องเขย่าผสมสาร,เครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอน, ไมโครปิเปต (Micropipette), ระบบยูวีฆ่าเชื้อ, ระบบสื่อสารสองทาง, ระบบกล้องวงจรปิดและเครื่องล้างมือแอลกอฮอล์อัตโนมัติ
******************************** 27 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38650 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทานยุคโควิด | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทานยุคโควิด
“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องสร้างมูลค่า“กระทรวงเกษตรฯ” จับมือสภาอุตสาหกรรมฯ ผนึก AIC เดินหน้าปั้นนิคมอุตสาหกรรมเกษตร (Agroindustry) 18 กลุ่มจังหวัด “อลงกรณ์” ดึง “กนก อภิรดี-ยงวุฒิ เสาวพฤกษ์” นักบริหารมืออาชีพเสริมทัพขับเคลื่อนเริ่มต้นเฟสแรก 8 กลุ่มจังหวัด
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) แถลงวันนี้ (27 ม.ค.)ว่า ภายใต้นโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรฯ นั้น คณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) ได้จัดการประชุมครั้งที่ 1/2564 มีมติเห็นชอบโครงการ “หนึ่งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร หนึ่งกลุ่มจังหวัด” โดยจะส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตร (Agroindustry) 18 แห่ง ใน 18 กลุ่มจังหวัดทุกภาค เพื่อเป็นฐานการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัด โดยผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคเกษตรกร เช่นสภาเกษตรกรแห่งชาติ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เป็นต้นมีศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือ ศูนย์ AIC ทุกจังหวัด ร่วมขับเคลื่อนในโครงการนี้ โดยได้นักบริหารมืออาชีพระดับประเทศมาเสริมทัพเป็นประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร คือ ดร.กนก อภิรดี อดีตประธานธนาคารเอสเอ็มอี และผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย นอกจากนี้ กรกอ. ยังมีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม 2 ล้านไร่ ตามที่สภาอุตสาหกรรมฯ (ส.อ.ท) และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เสนอโดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
นายอลงกรณ์ แถลงต่อไปว่า “กรกอ.” ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการและกิจกรรมอีกหลายเรื่องได้แก่ 1. “โครงการอุตสาหกรรมไก่ฮาลาลครบวงจรภายใต้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล โดย ดร.ชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการ ศอ.บต. และประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ผลิตภัณฑ์อาหารโดยจะมีการลงนามความร่วมมือที่จังหวัดยะลาในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 2. รายงานความก้าวหน้าโครงการอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ว่าด้วยโปรตีนจากพืช (Plant based protein) ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือกใหม่ โดย นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานบริษัท NRF และผู้แทน WEF (World Economic Forum) ซึ่งพร้อมส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชโปรตีน เช่น ถั่วเขียวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในรูปเกษตรแปลงใหญ่ (Big Farm) 3. รายงานสถานการณ์และแนวโน้มอนาคตของอุตสาหกรรมเกษตรและโครงการ Food Valley โดย นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ อดีตผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และอดีตผู้อำนวยการสถาบันอาหาร
4. รายงานการส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech & Innovation) โดย นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุน AIC 5. รายงานเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ด้านแคตตาล็อคนวัตกรรมเกษตร (Innovation Catalogue) โดย ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ ประธานอนุกรรมการเกษตรอัจฉริยะ 6. รายงานความก้าวหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมการเกษตรอาหาร โดย บริษัท เมืองอุตสาหกรรม อุดรธานี จํากัด 7. รายงานแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรแนวอัตลักษณ์ (4DNA) และโครงการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เพื่อการเพิ่มมูลค่าเชิงทวีคูณภายใต้แนวคิดการใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Economy Creation) เพื่อการพัฒนาการเกษตร โดย ผช.ศจ.เอกพงษ์ ตรีตรง คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และอดีตคณบดีคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ 8. รายงานแนวทางการส่งเสริมอาหารเสริมและยาด้วยสมุนไพรไทยสำหรับปศุสัตว์ โดย ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ที่ประชุม กรกอ. ได้พิจารณาเห็นว่าภายใต้วิกฤติการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมทั้งในเชิงปัญหาและโอกาสจึงต้องมีแนวทางและแผนการเปลี่ยนผ่านด้านอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร (Food & Agroindustry Transitional Master Plan) เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทยโดยเฉพาะเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่มเกษตรอาหาร จึงมีมติให้ นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการจัดทำแนวทางและแผนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร (Food & Agroindustry Transformation subcommittee) โดยมีอำนาจหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดแนวทางการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มเครือข่ายคลัสเตอร์ เกษตรอาหาร โดยเชื่อมโยงการพัฒนาตลอดห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร เริ่มตั้งแต่ ต้นทาง คือ การจัดหาวัตถุดิบ การปรับปรุงพันธุ์ การผลิต การพัฒนาระบบมาตรฐานเกษตรและอาหารโดยใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัยและแม่นยา กลางทาง คือ การแปรรูป การพัฒนาเทคโนโลยี บรรจุภัณฑ์ ปลายทาง คือ การส่งเสริมการการตลาด การสร้างแบรนด์ การบริการและการขนส่ง โดยตลอดกระบวนการผลิต จะเน้นการนำผลงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยของภาครัฐและเอกชนและศูนย์ AIC มาต่อยอดให้มูลค่าเศรษฐกิจเกิดผลเชิงพาณิชย์
สำหรับโครงการหนึ่งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร หนึ่งกลุ่มจังหวัดนั้น มีอย่างน้อย 8 กลุ่มจังหวัดที่กำลังดำเนินการและอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ 1. กลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 2. กลุ่มจังหวัดอีสานตอนกลาง 3. กลุ่มจังหวัดอีสานตอนล่าง 4. กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 5. กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (อีอีซี.) 6. กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน (กลุ่มล้านนา) 7. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง และ 8. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนกลาง
“กรกอ.จะเร่งดำเนินการตามมติที่ประชุม เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 ในการสนับสนุนทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญ่ให้ครบทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด เพื่อสร้างระบบการแปรรูปสินค้าเกษตรเชิงโครงสร้างทั่วประเทศเป็นกระจายการลงทุน การสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจภายในประเทศและกระจายโอกาสสร้างความสมดุลในการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงเกษตรและส.อ.ท.” ประธาน กรกอ.กล่าวในที่สุด
สำหรับการประชุมของ กรกอ. ครั้งที่ 1/2564 มีผู้เข้าร่วมประชุม ดังนี้ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วย รมว.เกษตรฯ นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร นายสมัย ลี้สกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสาวปภาวี สุธาวิวัฒน์ รองประธานสถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร นายกนก อภิรดี นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ นางสาววราภรณ์ พรหมพจน์ ประธานคณะอนุกรรมการเกษตรอัจฉริยะ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตร (Agri-Business) และตัวแทนหน่วยงานกระทรวงที่เกี่ยวข้อง นำโดย นางดาเรศร์ กิตติโยภาส ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับสภาอุตสาหกรรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผ่านระบบประชุมทางไกล Application Zoom
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38643 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอให้การต้อนรับเจโทร - หอการค้าญี่ปุ่น | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
บีโอไอให้การต้อนรับเจโทร - หอการค้าญี่ปุ่น
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ Mr. Atsushi Taketani ประธาน JETRO Bangkok และคณะผู้บริหารจากหอการค้าญี่ปุ่น (JCC)
เนื่องในโอกาสเข้าพบเพื่อรายงานผลการสำรวจดัชนีทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ในช่วงครึ่งหลังปี2563 โดยจากผลสำรวจพบว่าบริษัทญี่ปุ่นยังมองว่าความผันผวนของเศรษฐกิจโลกสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความต้องการในด้านการค้าและการลงทุนลดลง แต่สำหรับปี2564จะมีทิศทางที่ดีขึ้น ภาคธุรกิจเข้าสู่การฟื้นฟู ความต้องการสินค้าและการลงทุนจะเริ่มกลับอีกครั้ง ณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38647 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565 | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565
ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565 เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด เน้น 3 มาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมแปรรูป และหนุนส่งออก
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565 ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ให้มีการปรับปรุงยุทธศาสตร์สับปะรดปี 2560 - 2569 เป็นแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 - 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565
“โดยที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและบริหารจัดการผลิต 2) ด้านการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมแปรรูป และ 3) ด้านการเพิ่มศักยภาพการตลาดและการส่งออก มีสาระสำคัญ
วิสัยทัศน์ ผลิตสับปะรดคุณภาพ สร้างความยั่งยืนอุตสาหกรรมสับปะรดไทย
พันธกิจ 3 ด้าน ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพและบริหารจัดการผลิต 1) ส่งเสริมการปลูกสับปะรดในพื้นที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนการผลิต และผลผลิตมีคุณภาพและได้มาตรฐาน 2) สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 3) ส่งเสริมการวิจัย พัฒนาและการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ด้านการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมแปรรูป 1) ส่งเสริมการวิจัย การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสับปะรด 2) เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Productivity) 3) ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มสิ่งเหลือใช้จากกระบวนการผลิต ด้านการเพิ่มศักยภาพ การตลาดและการส่งออก 1) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรด 2) ส่งเสริมการบริโภคเมนูอาหารจากสับปะรดตลาดในประเทศและต่างประเทศผ่านสื่อต่าง ๆ และ 3) ส่งเสริมการสร้างตราสินค้าสับปะรดไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ ประเด็นทั้ง 3 ด้าน จะมีมาตรการและแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม โดยที่ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2564 - 2565 รวมทั้งเพิ่มเติมแผนงาน/โครงการ/งบประมาณที่จะดำเนินการเกี่ยวกับสับปะรดในปี 2564 -2565 ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหาด้านแรงงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในจังหวัดแหล่งผลิตที่มีโรงงานตั้งอยู่อย่างเร่งด่วน เช่น อำนวยความสะดวกให้นำแรงงานต่างด้าว แรงงานไทย และแรงงาน จากพื้นที่สูงที่ยังว่างงาน นักโทษ ทำงานในส่วนที่สามารถทำได้ เป็นต้น” ปลัดเกษตรฯ กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38655 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด เน้นปากท้องการดำรงชีพ ดูแลเศรษฐกิจควบคู่แนวทางด้านสาธารณสุข พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนโดยเคารพกฎหมาย | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด เน้นปากท้องการดำรงชีพ ดูแลเศรษฐกิจควบคู่แนวทางด้านสาธารณสุข พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนโดยเคารพกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด เน้นปากท้องการดำรงชีพ ดูแลเศรษฐกิจควบคู่แนวทางด้านสาธารณสุข พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนโดยเคารพกฎหมาย
วันนี้ (27 มกราคม 2564) เวลา 17.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพูดคุยกับประชาชนผ่าน PM PODCAST เน้นสื่อสารตรงไปยังประชาชน สรุปประเด็นดังนี้
ในช่วงแรกนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้ว่าในช่วงนี้จะไม่ได้ลงพื้นที่ไปพบกับพี่น้องประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงตามมาตรการสาธารณสุข แต่ในขณะเดียวกันได้มีการประชุมกลุ่มย่อยทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อทราบถึงปัญหาที่แท้จริง และแก้ปัญหาให้ถูกจุด เน้นเรื่องปากท้องการดำรงชีพ ดูแลเศรษฐกิจควบคู่ไปกับแนวทางด้านสาธารณสุข โดยได้สั่งการให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน หาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตน มาตรา 33 ซึ่งล่าสุด ครม. ได้ลดอัตราเงินสมทบประกันสังคมเหลือ 3% ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2564 และหากว่างงานจะได้รับชดเชยหรือเยียวยา กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินชดเชย 70% ของค่าจ้าง กรณีเหตุสุดวิสัย ได้รับเงินเยียวยา 50% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นต้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การประชุม ครม.ได้มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น ลดภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง 90% ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง 0.01% ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีสถานประกอบการสปา นวดเพื่อสุขภาพ ขยายเวลายื่นภาษีบุคคลธรรมดาออกไปจนถึง 30 มิถุนายน 2564 และการลงทะเบียน โครงการเราชนะ สำหรับผู้ที่ไม่มีฐานข้อมูลที่จะเริ่ม 29 มกราคม สำหรับกลุ่มอาชีพอิสระ หาบเร่แผงลอย รับจ้าง เกษตรกร ที่มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ประมาณ 30 ล้านคน รัฐบาลก็จะช่วยเหลือเงินเยียวยา 2 เดือน รวม 7,000 บาท ตั้งแต่เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564 นี้ สามารถใช้จ่ายได้ผ่านร้านธงฟ้า ร้านหาบเร่แผงลอย หรือใช้เป็นค่าเดินทาง สำหรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” ได้ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่าคนไทยทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และสตรีมีครรภ์ พร้อมย้ำว่าวัคซีนที่เข้ามาจะต้องผ่านการรับรองของ อย. เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ประมาณ 19 ล้านคน ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมโควิดและมีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย โดยวัคซีนล็อตแรก 50,000 โดส ที่จะเข้ามาเร็ว ๆ นี้ จะฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุข และตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ในพื้นที่เสี่ยง ก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ส่วนในระยะที่ 2 จะเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม 2564 ครอบคลุมประชาชนกลุ่มที่มีความเสี่ยงในลำดับถัดไป ซึ่งเพียงพอกับความต้องการคนไทยทั้งประเทศ พร้อมย้ำว่าประเทศไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตวัคซีนของอาเซียน โดยดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำ จากการที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศตามที่รัฐบาลกำหนดไว้
นายกรัฐมนตรียังฝากถึงประชาชนให้ช่วยกันเก็บกักน้ำ โดยเฉพาะน้ำกินน้ำใช้ รวมทั้งการวางแผนน้ำเพื่อการเกษตร ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยเพื่อลดผลกระทบ ขณะที่รัฐบาลได้วางแผนขุดแหล่งเก็บน้ำเพิ่ม วิธีการนำน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้อย่างปลอดภัย กำชับให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดำเนินการให้ครบวงจร เตรียมการร่วมกับท้องถิ่น ดำเนินแผนบริหารจัดการน้ำ ป้องกันปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้าย รัฐบาลพยายามแก้ไขทุกปัญหาภายใต้กฎหมาย กฎระเบียบ พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตนโดยเคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส เป็นธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะรักและสามัคคีกัน นำพาประเทศชาติไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต
…………………………………
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38662 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมนำทีม ร.พ. กล้วยน้ำไท มอบทุน สร้างอาชีพ รองรับสังคมผู้สูงอายุ | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ก.แรงงาน เตรียมนำทีม ร.พ. กล้วยน้ำไท มอบทุน สร้างอาชีพ รองรับสังคมผู้สูงอายุ
- -
วันที่ 27 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากทั่วโลกต่างเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เด็กเกิดใหม่ลดลง ผู้สูงอายุเริ่มมากขึ้น ประเทศไทยก็เช่นกัน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลไทยจึงกำหนดให้สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากอัตราส่วนของวัยแรงงาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงสูงขึ้นไปอีก ผู้สูงอายุบางรายสุขภาพยังแข็งแรง สามารถทำงาน ช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการคนดูแล ในส่วนนี้เองที่รัฐบาลต้องจัดบริการดูแล และควรจัดให้มีขึ้น ความต้องการมีบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว การรับประทานอาหาร รวมไปถึงดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ในทุกรูปแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยได้จัดทำโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส และขาดแคลนทุนทรัพย์ที่ต้องการศึกษาในหลักสูตรระยะสั้นและต้องการมีงานทำที่มั่นคง ได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุเป็นระยะเวลา 6 เดือน ณ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท โดยจะได้รับการสนับสนุนทุนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร เมื่อจบการศึกษาจะได้เข้าทำงานในกลุ่มเครือบริษัทกล้วยน้ำไทเป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นสมารถเลือกทำงานต่อหรือไปทำงานที่องค์กรอื่นได้ โดยในวันที่ 30 มกราคม 2564 ที่จะถึงนี้ จะได้นำทีมผู้บริหารจากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว และหลังจากนั้นจะได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปภาคเหนือและอิสาน เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงครอบคลุมทั้งประเทศ โดยหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการศึกษาจะได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีโอกาสก้าวหน้าด้านการประกอบอาชีพและมีงานทำต่อไป
“การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป และมีโรคเรื้อรัง ต่างๆ อยู่ก็ตาม ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม โดยหลักสำคัญ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต” รมช. แรงงาน กล่าวท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
จัดการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก
กระทรวงเกษตรฯ จัดการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ณ ห้องประชุมศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการพระราชดำริ เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดจันทบุรี จังหวัดสระแก้ว และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบโปรแกรม Zoom โดยมีเรื่องแจ้งให้ที่ประชุมทราบและพิจารณาร่วมกัน ดังนี้
1) การมอบหมายสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั้ง 5 จังหวัด ดำเนินการกำหนดพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายที่จะดำเนินงานและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเตรียมแผนดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านเกษตรกรรมของเกษตรกรต้นแบบ ในหมู่บ้านหลักและหมู่บ้านขยายผลตามโครงการฯ เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างคนและช้างป่าในพื้นที่
2) การจัดทำแผนการปฏิบัติงานประจำปี 2564 - 2565 และแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ระหว่างปี 2564 - 2568 ตามแผนแม่บทสร้างความสมดุลระหว่างคนและช้างป่า ภายใต้โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนโครงการฯ ในการส่งเสริมและปรับเปลี่ยนเมนูอาชีพทางเลือกด้านการเกษตรที่เหมาะสมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นและเกิดความยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38657 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือด้านภาพยนตร์กับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือด้านภาพยนตร์กับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือด้านภาพยนตร์กับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย โดยมี นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนุชา บุญยวรรธนะ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือด้านภาพยนตร์กับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย โดยมี นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนุชา บุญยวรรธนะ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย พร้อมผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38660 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุบสถิติ! โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด ใหญ่สุดในโลก | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ทุบสถิติ! โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด ใหญ่สุดในโลก
...
แอดมินพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ
โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร
ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์
ถือเป็นโซลาร์เซลล์ทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริดที่ใหญ่สุดในโลก
.
โซลาร์เซลล์ลอย้ำช่วยลดการใช้พื้นที่บนบก
เป็นโครงการนำร่องที่นำพลังงานหมุนเวียน 2 ประเภท
คือ “พลังงานแสงอาทิตย์” และ “พลังน้ำ”
มาผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน หรือเรียกว่าระบบไฮบริด
เพื่อบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้า
.
ปัจจุบันประกอบและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
ไปแล้วกว่า 80% กำลังเร่งติดตั้งให้ครบ 7 ชุด
เพื่อเตรียมทดสอบระบบไฟฟ้า
คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้กลางปีนี้
พร้อมทั้งจะเร่งทำต่อในเขื่อนอื่น ๆ ของ กฟผ.
ให้ครบ 2,725 เมกะวัตต์ ตามแผนที่วางไว้
.
สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ที่นำมาใช้นั้น
สามารถทนต่อความชื้นสูง ไม่มีสิ่งปนเปื้อน
จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำ
ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2)
.
โครงการนี้มีประโยชน์
ในการเสริมความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศ
เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้
และช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี วิษณุฯ เผย การดำเนินตามแผนปฏิรูปออกดอกออกผล กฎหมายปฏิรูปตำรวจจ่อเข้าประชุมร่วม 2 สภา 9 ก.พ. นี้ ผลการดำเนินตามแผนฯ ปี 63 มีแนวโน้มดีที่ขึ้น | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
รองนายกรัฐมนตรี วิษณุฯ เผย การดำเนินตามแผนปฏิรูปออกดอกออกผล กฎหมายปฏิรูปตำรวจจ่อเข้าประชุมร่วม 2 สภา 9 ก.พ. นี้ ผลการดำเนินตามแผนฯ ปี 63 มีแนวโน้มดีที่ขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี วิษณุฯ เผย การดำเนินตามแผนปฏิรูปออกดอกออกผล กฎหมายปฏิรูปตำรวจจ่อเข้าประชุมร่วม 2 สภา 9 ก.พ. นี้ ผลการดำเนินตามแผนฯ ปี 63 มีแนวโน้มดีที่ขึ้น
วันนี้ (27 ม.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ ครั้งที่ 1/2564 ร่วมกับประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ 13 คณะ และผู้ที่เกี่ยวข้อง
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ส่วนใหญ่ได้เสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) 13 ด้าน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) รวมทั้งสิ้น 62 กิจกรรม และแนวทางการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะรายงานให้รัฐสภาทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับต่อไป พร้อมทั้งกล่าวว่า ผลงานต่าง ๆ ที่คณะทำงานดำเนินการมา ได้สำเร็จออกดอกออกผลแล้ว เช่น กฎหมายปฏิรูปตำรวจ ที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้รับการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมร่วม 2 สภาแล้วในวันที่ 9 ก.พ. 64 เพื่อพิจารณากฎหมายปฏิรูปตำรวจ ฉบับกฎหมายตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นฉบับโครงสร้างของตำรวจ การแต่งตั้งโยกย้าย รวมทั้งบทบาทของพนักงานสอบสวน บทบาทของสถานีตำรวจ เป็นต้น
ที่ประชุมได้รับทราบการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ที่ได้ให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจกิจกรรม Big Rock เพื่อถ่ายทอดสู่การปฏิบัติ และแผนการขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock เพื่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน โดยให้มีการระบุเป้าหมายความสำเร็จ ระยะเวลาแล้วเสร็จ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถติดตาม เร่งรัดความคืบหน้าตามเป้าหมายได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบสรุปผลการดำเนินการประจำปี 2563 ตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยผลการดำเนินการของแผนการปฏิรูปประเทศ 12 ด้าน ประกอบด้วยเรื่องและประเด็นปฏิรูป รวมทั้งสิ้น 173 เรื่อง จำแนกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 1. เรื่องและประเด็นปฏิรูปที่มีค่าสถานการณ์บรรลุเป้าหมายแล้ว จำนวน 16 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 6 เรื่อง 2. เรื่องและประเด็นปฏิรูปที่มีค่าสถานการณ์อยู่ในระดับใกล้เคียงในการบรรลุเป้าหมาย จำนวน 78 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 18 เรื่อง 3. เรื่องและประเด็นปฏิรูปที่มีค่าสถานการณ์ยังคงมีความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมาย จำนวน 65 เรื่อง ลดลงจากปี 2562 จำนวน 12 เรื่อง และ 4. ประเด็นปฏิรูปที่มีสถานการณ์รอยู่ในขั้นวิกฤตในการบรรลุเป้าหมาย จำนวน 14 เรื่อง ลดลงจากปี 2562 จำนวน 12 เรื่อง สรุปภาพรวมประจำปี 2563 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ และรัฐสภาทราบ และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นลำดับต่อไป
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จองหุ้น OR ผ่านกรุงไทย “ง่ายนิดเดียว” ลูกค้าใหม่ไปสาขา ลูกค้าเดิมทำผ่าน Money Connect | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
จองหุ้น OR ผ่านกรุงไทย “ง่ายนิดเดียว” ลูกค้าใหม่ไปสาขา ลูกค้าเดิมทำผ่าน Money Connect
กรุงไทยเปิด 2 ช่องทางจองซื้อหุ้น OR “สะดวก รวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก” ลูกค้าใหม่ทำรายการที่สาขา มีพนักงานอำนวยความสะดวก ให้ข้อมูลเรื่องแบบประเมินความเสี่ยงลงทุน ส่วนลูกค้าเดิมทำรายการผ่าน Money Connect ได้ตลอด24 ชั่วโมง จนถึง12.00 น. วันที่ 2 ก.พ.นี้
ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้อำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าและประชาชนที่ต้องการจองซื้อหุ้น OR อย่างเต็มที่ โดยสามารถจองซื้อหุ้น OR ผ่านธนาคารกรุงไทย ได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ จองซื้อผ่านสาขาทั่วประเทศ หรือ จองซื้อผ่าน ระบบออนไลน์ Money Connect by Krungthai ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าใหม่ แนะนำให้ทำรายการผ่านสาขา ซึ่งมีพนักงานธนาคารให้คำแนะนำทุกขั้นตอน รวมถึงการทำแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุน ทำให้สะดวก และรวดเร็ว
ส่วนลูกค้าเดิม สามารถทำรายการผ่าน Money Connect by Krungthai โดยสามารถเข้าผ่าน Krungthai NEXT หรือ https://moneyconnect.krungthai.com/moneyConnect/#/landing ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.00 น. (เที่ยงวัน)
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถเริ่มจองซื้อขั้นต่ำได้ที่จำนวน 300 หุ้น และทวีคูนจำนวนจองซื้อเพิ่มขึ้นทีละ 100 หุ้น เช่น 400, 500 , 600 หรือมากกว่านั้น เช่น 2,000 หุ้น 30,000 หุ้น โดยไม่จำกัดจำนวนหุ้นจองซื้อในครั้งเดียวกัน และไม่จำกัดจำนวนครั้งในการจองซื้อ โดยในการจัดสรรหุ้น OR จะใช้วิธี Small Lot First โดยนำยอดจองซื้อจากทุกใบมารวมกันด้วยเลขที่บัตรประชาชน จากนั้นจะจัดสรรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของ Settrade ซึ่งลำดับการจองซื้อก่อนหลังไม่มีผลต่อการจัดสรรหุ้นที่จะได้รับ และจะประกาศผลการจัดสรรหุ้น ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 โดยผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ทีม Marketing Strategy
โทร 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เผย สสส.คว้ารางวัลองค์กรส่งเสริมสุขภาพระดับโลก "Nelson Mandela" | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
"อนุทิน" เผย สสส.คว้ารางวัลองค์กรส่งเสริมสุขภาพระดับโลก "Nelson Mandela"
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทย โดย "สสส." ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลก ให้รับรางวัล Nelson Mandela Award for Health Promotion ที่มอบเป็นครั้งที่ 2 ของโลก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทย โดย "สสส." ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลก ให้รับรางวัล Nelson Mandela Award for Health Promotion ที่มอบเป็นครั้งที่ 2 ของโลก ในฐานะองค์กรที่อุทิศการทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพมาตลอด 20 ปีจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
วันนี้ (27 มกราคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศไทย โดยกองการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ได้เสนอชื่อ “สสส.” เข้าร่วมการคัดเลือกรับรางวัล Nelson Mandela Award for Health Promotion ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับบุคคลหรือองค์กรที่อุทิศการทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลก สมัยที่ 148 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ได้ประกาศรับรองให้ สสส. ได้รับรางวัลดังกล่าว โดยจะมีพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณในระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 74 ในเดือนพฤษภาคม 2564
“ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ลดการเจ็บป่วย และภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข และ สสส.มีการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กล่าวชื่นชม สสส. ว่าเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพของคนไทยทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ สสส.ก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพคนไทยมาตลอด 20 ปี มีการรณรงค์เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ การพัฒนาศักยภาพชุมชนและองค์กรทุกภาคส่วนในการสร้างเสริมสุขภาพ การศึกษาและวิจัยและพัฒนาความรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพ โดยได้สนับสนุนแผนงานโครงการส่งเสริมสุขภาพกว่า 2,000 โครงการต่อปี ครอบคลุมประเด็นเชิงสุขภาวะที่หลากหลาย เช่น การควบคุมการบริโภคยาสูบและแอลกอฮอล์ การจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน การจัดการด้านอาหารเพื่อสุขภาพ และการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เป็นต้น
สำหรับรางวัล Nelson Mandela Award for Health Promotion เป็นข้อริเริ่มจากกลุ่มรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคแอฟริกา เพื่อเป็นการรำลึกถึงนายเนลสัน แมนเดลาอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์โดยองค์การอนามัยโลกมีการมอบรางวัลนี้เป็นครั้งแรก เมื่อปี 2563
******************************** 27 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38654 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 เผย ครม. เห็นชอบขยายเวลาตรวจโรค ตีวีซ่า ให้คนต่างด้าวอีก 6 เดือน | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
จับกัง1 เผย ครม. เห็นชอบขยายเวลาตรวจโรค ตีวีซ่า ให้คนต่างด้าวอีก 6 เดือน
คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตอยู่ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษแก่คนต่างด้าวตามมติครม.วันที่ 20 สิงหาคม 2562 มติครม.วันที่ 4 สิงหาคม 2563 และมติครม.วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ก
การปรับแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติครม.วันที่ 29 ธันวาคม 2563 และเพิ่มแนวทางการนำผู้ต้องกัก ออกมาทำงานกับนายจ้างที่มีความประสงค์จ้างงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ระบาดต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงการระบาดระลอกใหม่ที่เป็นวงกว้างกระจายไปหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จนทำให้การดำเนินการตามแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีในหลายครั้งที่ผ่านมาเกิดความล่าช้า ในขั้นตอนการตรวจสุขภาพและการต่อวีซ่า
ไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะทำให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติดังกล่าว อยู่ในสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงกลุ่มผู้ต้องกักที่ดำเนินคดีเสร็จสิ้นและรอการส่งกลับ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากการปฏิเสธรับแรงงานกลับของประเทศต้นทาง ประกอบกับมาตรการงดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เนื่องจากให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยต่อสุขอนามัยของประชาชนในประเทศไทยเป็นอันดับแรก ตามแนวทางการบริหารของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นขจัดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในทุกมิติ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพไปพร้อมกัน
“ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ เรื่องทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก ดังนี้
1. เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตอยู่ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษให้แก่
คนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ออกไปอีก 6 เดือน โดยให้การขยายระยะเวลาดังกล่าวครอบคลุมไปถึงคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 2 ปี ด้วย
2. เห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ดังนี้
2.1 เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 ออกไปถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 รวมแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน และสำหรับการตรวจโรคโควิด - 19 ยังให้อยู่ในกรอบระยะเวลาเดิม คือ ต้องตรวจโรคโควิด - 19 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564
2.2 เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตรของคนต่างด้าวที่มีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และคนต่างด้าวซึ่งไม่มีนายจ้างที่ในเวลาต่อมามีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
2.3 เห็นชอบให้มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคล (Biometric) โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการตรวจโรคโควิด – 19 เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าวและความมั่นคงของประเทศ และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน
2.4 เห็นชอบแนวทางการตรวจโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะให้สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจโรคโควิด - 19 ให้กับคนต่างด้าวได้ สำหรับอัตราค่าใช้จ่าย
ที่สถานพยาบาลเรียกเก็บให้เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
2.5 เห็นชอบให้คนต่างด้าวที่ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดแล้วตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อโรคโควิด - 19 หากได้รับการรักษาจนหายให้สามารถกลับเข้ามาขอรับอนุญาตทำงานได้แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้หายป่วยจากโรคโควิด – 19
3. เห็นชอบแนวทางการนำผู้ต้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่สมัครใจจะทำงานออกมาทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีความประสงค์จะจ้างงาน ” รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า การทบทวนแนวทางการบริหารจัดการ
การทำงานของคนต่างด้าวฯ ตามที่เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี มีกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องบริหารจัดการ รวมทั้งสิ้น 2,335,671 คน ได้แก่
1. กลุ่มที่ถือบัตรสีชมพู จำนวน 1,400,387 คน ประกอบด้วย
1.1 กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 20 สิงหาคม 2562 มีจำนวน 1,162,443 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และ
ขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
1.2 กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 มีจำนวน 237,944 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และ
ขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564
2. กลุ่มแรงงานต่างด้าวตาม MoU จำนวน 434,784 คน ประกอบด้วย
2.1 แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MoU ตามมติคณะรัฐมนตรี 10 พฤศจิกายน 2563 มีจำนวน 119,094 คน
2.2 แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MoU ที่วาระการจ้างงานครบ 2 ปีแรก 315,690 คน
ทั้งสองกลุ่มอยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa จึงขอขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งกลุ่มนี้ทยอยครบกำหนด โดยสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565
3.กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นลงทะเบียน คาดว่ามีจำนวนประมาณ 500,000 คน จัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าว และความมั่นคงของประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ตรวจโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองส่งข้อมูลคนต่างด้าวที่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว เพื่อให้กรมการจัดหางาน
ออกใบอนุญาตทำงานต่อไป
4.กลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งไว้มีจำนวนประมาณ 500 คน
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38652 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ชวน ผู้สนใจไปทำงานประเทศญี่ปุ่น สมัครสอบภาษาญี่ปุ่นและทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาล | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ก.แรงงาน ชวน ผู้สนใจไปทำงานประเทศญี่ปุ่น สมัครสอบภาษาญี่ปุ่นและทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชิญชวน แรงงานที่เคยไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น และผู้สนใจได้เข้าร่วมสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาลและทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาล เพื่อสมัครทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (Specified Skilled Workers) ในประเทศญี่ปุ่น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ ให้แรงงานไทยที่เคยไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นครบ 3 ปี และต้องการไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นในสาขาอื่นที่ไม่ได้ผ่านการฝึกงานมาก่อน และผู้สนใจทำงานในสถานะแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (แรงงานฝีมือ) เตรียมความพร้อมตนเองล่วงหน้า สำหรับสมัครสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาล และทักษะฝีมือด้านงานบริบาล ที่จะมีกำหนดการจัดสอบระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564 โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท Prometric Japan Co.,Limited เป็นผู้จัดทดสอบ
“พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี โดยมุ่งประโยชน์และความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ และได้มีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ที่แรงงานไทยที่มีทักษะเฉพาะมีโอกาสในอาชีพ และยังมีช่องทางการขยายจำนวนจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นได้ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศญี่ปุ่น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้แรงงานไทยอายุ 17 ปี หรือมากกว่า 17 ปีขึ้นไป ที่สนใจร่วมการทดสอบเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับงานบริบาล และทดสอบทักษะฝีมือด้านงานบริบาล ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบได้ที่ http://ac.prometric-jp.com/testtist/nc/index.html และมีกำหนดการจัดสอบ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 วันที่ 7 ,15 ,16 มีนาคม 2564 ณ อาคารเกษมนครา อาคารที่ 2 ห้อง STN 10988 ชั้น 6 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า ถนนมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมีขอบข่ายการทดสอบ 2 ด้าน ได้แก่
1.การผ่านการประเมินทักษะฝีมือด้านการบริบาล เพื่อรับรองว่าผู้สมัครผ่านระดับการประเมินที่สามารถให้การบริบาลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามกายภาพและสภาพจิตใจ โดยผู้ทดสอบต้องตอบคำถามข้อเขียน เรื่องหลักการบริบาลพื้นฐาน กลไกของจิตใจและร่างกาย ทักษะการสื่อสาร และการบริบาลร่างกาย รวมทั้งข้อเขียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการโดยวิธีใช้คอมพิวเตอร์
2.การผ่านการประเมินทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นด้านการบริบาล เพื่อยืนยันว่าผู้สมัครมีระดับความเชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นที่สามารถปฏิบัติงานด้านการบริบาลและใช้เครื่องมือเครื่องใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหา โดยผู้ทดสอบต้องตอบคำถาม เรื่องศัพท์เทคนิคของการบริบาล การสื่อสารด้านการบริบาล และเอกสารด้านการบริบาล โดยต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบร้อยละ 60 ของคะแนนรวมในแต่ละการทดสอบ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการสอบ ประมาณ 580 บาท
“ขอให้ผู้ที่สนใจ ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อการโฆษณาชักชวนไปทำงานต่างประเทศ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์จากกระบวนการจัดสอบภาษาและทดสอบทักษะฝีมือในสาขาอาชีพต่างๆ ของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (แรงงานฝีมือ) ในประเทศไทย และผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.doe.go.th/overseas หรือ ติดต่อกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 6708 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ทั้งนี้ กำหนดการทดสอบอาจมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตามมาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ของศบค.” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38653 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะโครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคง บ้านโป่งน้ำร้อน พ.ศ. 2564 – 2565 บูรณาการการพัฒนากับความมั่นคงตามแนวชายแดน | วันพุธที่ 27 มกราคม 2564
ครม. เคาะโครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคง บ้านโป่งน้ำร้อน พ.ศ. 2564 – 2565 บูรณาการการพัฒนากับความมั่นคงตามแนวชายแดน
ครม. เคาะโครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคง บ้านโป่งน้ำร้อน พ.ศ. 2564 – 2565 บูรณาการการพัฒนากับความมั่นคงตามแนวชายแดน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ว่า ครม. รับทราบโครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงเฉพาะพื้นที่บ้านโป่งน้ำร้อน (พ.ศ. 2564 – 2565) ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนตามแนวคิดการบูรณาการงานความมั่นคงควบคู่กับงานพัฒนาในพื้นที่เป้าหมาย โดยมีกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กองทัพเรือ และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
โครงการนี้ ดำเนินการในพื้นที่บริเวณคลองยุทธศาสตร์เพื่อดักรถถังตามแนวชายแดนที่มีอยู่เดิม ช่วงบ้านคลองใหญ่ถึงเขาหนองบัว ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ระยะทางรวม 3,200 เมตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ปรับปรุงและพัฒนาคลองยุทธศาสตร์ให้เป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค การเกษตร รวมถึงบรรเทาปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในพื้นที่ 2) สนับสนุนการพัฒนาอาชีพของประชาชน โดยใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานอย่างสมบูรณ์ 3) พัฒนาเส้นทางคมนาคมในพื้นที่เชื่อมต่อกับจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำนวยความความสะดวกในการขนส่งสินค้า 4)ปรับปรุงทัศนียภาพและเพิ่มพื้นที่สีเขียวบริเวณรอบคลองยุทธศาสตร์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน สำหรับวิธีการดำเนินโครงการมีดังนี้ 1) การเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่อาจหลงเหลือในพื้นที่ 2) เตรียมพื้นที่และขุดลอกคลองยุทธศาสตร์ ความยาว 3,200 เมตร ให้เป็นแหล่งเก็บน้ำ 3) ขุดคลองขนาดเล็ก ความยาว 300 เมตร เพื่อเชื่อมต่อกับแหล่งต้นน้ำคลองโอลำเจียก 4) สร้างถนนลาดยาง ความยาว 1,033 เมตร ขนานตามแนวคลองเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมกับถนนไปจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด 5) ก่อสร้างอาคารบังคับน้ำบ้านคลองใหญ่และขุดสระเก็บน้ำแบบแก้มลิง สามารถเก็บกักน้ำได้ 80,254 ลูกบาศก์เมตรต่อปี และ 6) ปล่อยพันธุ์ปลาและพันธุ์สัตว์น้ำในคลองยุทธศาสตร์พร้อมทั้งปรับปรุงทัศนียภาพถนนเลียบคลองยุทธศาสตร์ ในส่วนของงบประมาณโครงการมาจากกองทัพเรือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี กรมชลประทาน และเทศบาลตำบลคลองใหญ่ โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 37.05 ล้านบาท
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีปริมาณน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและการทำเกษตรเพิ่มขึ้นปีละ 304,900 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่เกษตรกรรมได้ประโยชน์ประมาณ 1,500 ไร่ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และสามารถใช้เส้นทางคมนาคมเพื่อขนส่งผลผลิตการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังคงสภาพคลองยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นยุทธวิธีตั้งรับทางทหารให้มีความพร้อมสามารถใช้งานได้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38635 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงแรมที่พักเลื่อนเวลาเข้าพักให้แก่ลูกค้าตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน | วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงแรมที่พักเลื่อนเวลาเข้าพักให้แก่ลูกค้าตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ในปัจจุบัน COVID-19 ได้กลับมาแพร่ระบาดใหม่อีกครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนที่ได้จองที่พักตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปเข้าพักได้ตามกำหนดการเดิมที่ได้จองไว้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปัจจุบันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้กลับมาแพร่ระบาดใหม่อีกครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รัฐบาลจึงได้ยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดให้เข้มข้นมากขึ้นและได้กำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดในหลายจังหวัด ทำให้ประชาชนที่ได้จองที่พักตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปเข้าพักได้ตามกำหนดการเดิมที่ได้จองไว้
กระทรวงการคลังในฐานะผู้เบิกจ่ายแทนตามโครงการฯ ขอเรียนว่าเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักตามโครงการฯแต่ไม่สามารถเดินทางไปเข้าพักได้ รวมทั้งเพื่อรักษาชื่อเสียงของผู้ประกอบการโรงแรมที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯกระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือสมาคมโรงแรมไทยและผู้ประกอบการโรงแรมที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯ ทุกแห่งพิจารณาเลื่อนวันเข้าพักให้กับประชาชนที่ใช้สิทธิตามโครงการฯโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือพิจารณาคืนเงินให้แก่ประชาชนโดยการเปลี่ยนแปลงการจองดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขของโครงการฯและโครงการฯ จะคงจำนวนสิทธิให้กับประชาชนที่ใช้สิทธิดังกล่าว
ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีขยายระยะเวลาโครงการฯออกไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 รวมทั้งกำหนดระบบการเลื่อนวันเข้าพักสำหรับประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไปโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการปรับปรุงระบบให้สอดรับกับการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยเร็วต่อไป ในระหว่างนี้ประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่มีความประสงค์จะเลื่อนการเข้าพักสามารถประสานโรงแรมได้ณบัดนี้เป็นต้นไปโดยโรงแรมสามารถรับเรื่องไว้ได้ก่อนและขอให้โรงแรมดำเนินการแจ้งการเลื่อนในระบบต่อไป
เราเที่ยวด้วยกันCall Center 02-111-1144
Tourist Hotline เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย 1672
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38051 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยไทยเริ่มผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว กำลังผลิตปีละ 200 ล้านโด๊ส | วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
สธ. เผยไทยเริ่มผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว กำลังผลิตปีละ 200 ล้านโด๊ส
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด 19 ในประเทศแล้ว โดยเป็นวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสตราเซนเนก้า กำลังการผลิตได้ปีละ 200 ล้านโด๊ส จะทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 และสั่งซื้อวัคซี
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด19 ในประเทศแล้ว โดยเป็นวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสตราเซนเนก้า กำลังการผลิตได้ปีละ 200 ล้านโด๊ส จะทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 และสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทประเทศจีน เพื่อส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2 ล้านโด๊ส พร้อมเจรจาจัดหาเพิ่มให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนโดยรัฐ ฟรี ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 50
บ่ายวันนี้ (3 มกราคม 2564) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วยนายแพทย์นครเปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และดร.ทรงพล ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามไบโซเอนซ์ จำกัดแถลงข่าวความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19
นายแพทย์ศุภกิจกล่าวว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับหลายฝ่าย เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับวัคซีนในเวลาไม่ช้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ โดยตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด19 เพื่อคนไทย ได้เตรียมการหาข้อมูล วางเป้าหมาย วิธีการทำงาน มีกลไกต่างๆ ที่จะทำให้ได้วัคซีนมา ตั้งแต่ยังไม่ทราบผลการวิจัยวัคซีนชนิดใดที่จะประสบความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้คนไทยโดยรัฐ ฟรี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชากร หรือประมาณ 70 ล้านโด๊ส โดยได้ทำสัญญาจองซื้อวัคซีนล่วงหน้าจำนวน 26 ล้านโด๊สกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งใช้เทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ขณะนี้ อยู่ระหว่างถ่ายทอดกระบวนการผลิตให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ คาดว่าจะเริ่มทยอยส่งมอบได้ภายในปลายเดือนพฤษภาคมอีกร้อยละ30 อยู่ระหว่างการเจรจากับ COVAX Facility ทำข้อตกลงกับบริษัทผลิตวัคซีนที่คาดว่ามีโอกาสนำมาใช้ได้รวมทั้งได้เจรจากับบริษัทอื่นๆ เช่น ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, บริษัทจากประเทศจีน หรืออาจขอซื้อเพิ่มจากแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อให้ได้วัคซีนตามเป้าหมาย นอกจากนี้ มีข่าวดีว่าจะได้รับวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค ประเทศจีน2 ล้านโด๊ส โดยได้รับปลายเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ200,000 โด๊ส ปลายเดือนมีนาคม 800,000 โด๊ส และปลายเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโด๊ส
นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า ณ เวลานี้วัคซีนมีจำนวนไม่มาก แม้แต่ประเทศที่เริ่มฉีดแล้วก็เริ่มทยอยฉีดไม่สามารถฉีดพร้อมกันได้ในครั้งเดียว ไม่ใช่สินค้าที่จะหาซื้อได้ทั่วไปในตลาด ที่สำคัญคือจะต้องมีระบบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย จะไม่มีการซื้อวัคซีนจากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีผลการทดลองเฟส 3 รองรับ บริษัทเอกชนที่จะนำมาจำหน่ายต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. ที่สำคัญคือทุกล็อตที่จะออกสู่ท้องตลาดต้องได้รับการรับรองคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งไทยมีกลไกการพิจารณาของ
คณะกรรมการฯ ผ่านกระบวนการที่ยืนยันว่ามีมาตรฐานเพียงพอ ให้เกิดความมั่นใจว่าให้คนไทยได้วัคซีนเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งเมื่อได้รับวัคซีนมาแล้ว จะดำเนินการตามหลักการบริหารจัดการวัคซีน มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย วิธีการในการให้วัคซีน การเตรียมสถานบริการ การควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีวัคซีนโควิด19 ที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) แล้วจากผู้ผลิต 9 ราย 4 ชนิดวัคซีน เช่น mRNA, Viral Vector, Inactivated และ Sub unit protein ในประเทศไทยจะยอมรับการขึ้นทะเบียนที่มีผลของเฟส 3 มีประสิทธิผลที่ชัดเจน โดยวัคซีนที่มีการขึ้นทะเบียนและได้รับการยอมรับมีเพียง 3 ชนิดคือ ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) โมเดอร์นา (Moderna) และแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ที่เหลือเป็นการขึ้นทะเบียนแบบฉุกเฉินโดยใช้ผลการทดลองเฟส2 เท่านั้น แม้วัคซีนของจีนและรัสเซียที่ขึ้นทะเบียนไปก่อนหน้าตั้งแต่ ก.ค.-ส.ค. 2563 ก็ยังไม่มีผลเฟส3 อย่างเป็นทางการออกมา และวัคซีนโควิด 19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันทุกชนิดยังไม่สิ้นสุดการทดลอง ซึ่งทั้งของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ก็ยังต้องมีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องเพื่อดูประสิทธิผลของวัคซีนหลังสามเดือน ในขณะที่ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ไทยจองซื้อได้รับอนุมัติทะเบียนให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินจากหน่วยงานควบคุมกำกับของอังกฤษแล้ว เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563
สำหรับข่าว10 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับวัคซีนไปแล้วมากกว่า 5 ล้านโด๊สนั้น เกิดจากการจองวัคซีนล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2563 โดยขณะที่ทำการจองนั้น ยังไม่ทราบผลเบื้องต้นของการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน มีความเสี่ยงสูงมากที่วัคซีนจะไม่ประสบความสำเร็จและไม่ได้รับวัคซีน สำหรับประเทศไทย การจองวัคซีนล่วงหน้าก่อนทราบผลเฟส 3 โดยมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับวัคซีนนั้น ได้อาศัยการออกประกาศ ใช้อำนาจ ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ.2561 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 และได้จองวัคซีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563
นายแพทย์นครกล่าวต่อว่า ส่วนคำถามความเป็นไปได้ที่ภายในมกราคม2564 จะมีการฉีดวัคซีนมากขึ้นแต่จะถึงร้อยล้านโด๊สหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ เนื่องจากขณะนี้วัคซีนมีจำนวนจำกัด ทุกบริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอใช้กับประชากรทั้งโลก ซึ่งเป็นโอกาสดีให้เราได้เห็นข้อมูลด้านความปลอดภัยของวัคซีนมากขึ้น เมื่อมีการใช้วัคซีนในประชากรกลุ่มใหญ่ จะทำให้มีโอกาสพบอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนที่พบได้ยากมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยไม่ได้มุ่งอยู่กับวัคซีนของ AstraZeneca เพียงอย่างเดียว โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายการจัดหาวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชาชนไทยในปี2564 ซึ่งมีการดำเนินการในหลายแนวทาง อย่างไรก็ตาม การจองซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca จำนวน 26 ล้านโด๊สเป็นเพียงข้อตกลงชุดแรก ขณะนี้ยังมีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนอีกหลายบริษัท ไม่ได้มีการเจาะจงว่าจะทำความร่วมมือเฉพาะกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง
ทั้งนี้ ไม่ได้มีการปิดกั้นภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีนมาจำหน่ายในประเทศ โดยทำตามกระบวนการที่จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อย. เพื่อเป็นการประกันว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งได้มีแผนรองรับการขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดย อย. ได้มีการเตรียมความพร้อมและกำหนดแนวทางการขึ้นทะเบียนแบบฉุกเฉินไว้แล้ว สามารถประสานขอข้อมูลส่วนนี้ได้จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ด้าน ดร.ทรงพล ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามไบโซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่วันที่7 ตุลาคม 2563 ได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่ โรงงาน วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ เครื่องจักร ปัจจุบันอยู่ในขั้นการทดสอบการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานกลาง ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตทั่วโลก ภายใต้บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า มีกำลังผลิตประมาณ 200 ล้านโด๊สต่อปีหรือเดือนละ 15 ถึง 20 ล้านโด๊ส ทั้งนี้ จะมีการทดสอบใน 5 รอบการผลิต แต่ละรอบผลิตห่างกัน 14 วัน ใช้เวลารอบละ 120 วัน (4 เดือน) เป็นการผลิต 60 วัน และอีก 60 วันสำหรับการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพ โดยผลิตรอบแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา กำลังดำเนินการผลิตรอบที่ 2 เมื่อผลิตครบ 5 รอบจะนำผลยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยาเพื่อพิจารณาอนุมัติ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตวัคซีนคือคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้และจะมีการรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ
**************************************** 3 มกราคม 2564
**************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้หน่วยงานในสังกัด เข้มพื้นที่ควบคุมสูงสุด วางบทบาท อสม. รับมือโควิด 19 | วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
สธ. ให้หน่วยงานในสังกัด เข้มพื้นที่ควบคุมสูงสุด วางบทบาท อสม. รับมือโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดปฏิบัติตามแนวทางรับมือโควิด 19 ยา เวชภัณฑ์ โรงพยาบาลสนาม ตั้ง ARI คลินิก ตลอด 24 ชั่วโมง และตรวจหาเชื้อทุกรายที่มีประวัติเสี่ยง อสม. ช่วยเฝ้าระวังควบคุมโรคในพื้นที่ ใ
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดปฏิบัติตามแนวทางรับมือโควิด 19 ยา เวชภัณฑ์ โรงพยาบาลสนาม ตั้งARI คลินิก ตลอด 24 ชั่วโมง และตรวจหาเชื้อทุกรายที่มีประวัติเสี่ยง อสม. ช่วยเฝ้าระวังควบคุมโรคในพื้นที่ ให้สถานประกอบการ/นายจ้าง ตรวจคัดกรองแรงงานต่างด้าวในปกครอง
วันนี้ (3 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดย นพ.โอภาส กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก วันนี้ ประเทศอังกฤษมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันเดียวกว่า 57,000 ราย ประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป อินเดีย บราซิล รัสเซีย ส่งผลให้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วเกือบ 85 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.8 ล้านราย ส่วนประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 315 ราย โดยติดเชื้อในประเทศ 274 ราย คัดกรองเชิงรุก 20 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกัน 21 ราย รักษาหายเพิ่ม 38 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 7,694 ราย หายป่วยรวม 4,337 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 3,293 ราย มีผู้ป่วยอาการหนัก 11 ราย เสียชีวิตรวม 64 ราย ซึ่งประเทศไทยมีความรู้ทางด้านการรักษาและยา หน้ากากอนามัยมีเพียงพอ อย่างไรก็ตาม การป้องกันดีกว่าการรักษา
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ศปก.สธ. ร่วมกับ ศบค. วิเคราะห์ข้อมูลและเข้มงวดมาตรการเพื่อทำให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากประชาชนให้ความร่วมมือจะทำให้ลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ ภาพรวมของประเทศขณะนี้จุดศูนย์กลางยังคงอยู่ที่สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภาคตะวันออกกระจายอยู่ใน 53 จังหวัด บางจังหวัดมีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง เช่น จันทบุรี ตราด อีกแห่งคือ จ.อ่างทอง ที่พบนักพนันติดเชื้อจากบ่อนไก่เป็นจำนวนมาก ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการค้นหาและติดตามผู้สัมผัส งดกิจกรรม/การเดินทาง ร้านอาหารซื้อกลับบ้าน ปิดสถานที่ที่เป็นจุดเสี่ยง หรือล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ส่วนจังหวัดไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อหรือไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มถือว่าสามารถควบคุมการติดเชื้อได้ แต่ขอให้ยังคงดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มข้นและเพิ่มการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่
“สำหรับจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการระบาด เช่น สมุทรสาคร นนทบุรี กรุงเทพมหานคร พบแรงงานต่างด้าวจากการเคลื่อนย้ายจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ในโรงงานและตลาดขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ/นายจ้างนำแรงงานต่างด้าวทุกคนขึ้นทะเบียนเพื่อให้สามารถติดตามตัว พิสูจน์ทราบ และคัดกรองโรค และไม่รับแรงงานโดยไม่ทราบว่ามาจากที่ใด เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อ ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ ดำเนินการตามแนวปฏิบัติสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด ติดตามสถานการณ์ทุกวันร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพิ่มบุคลากรในการเฝ้าระวัง สอบสวน ควบคุมโรค การรักษา โรงพยาบาลสนาม โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงและสีส้ม ให้เน้นประชากรเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง และกิจกรรมเสี่ยง รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ให้โรงพยาบาลจัดตั้งคลินิกโรคหวัดหรือARI คลินิกตลอด 24 ชั่วโมง และตรวจหาเชื้อทุกรายที่มีประวัติเสี่ยง เช่น ไปบ่อนหรือมีคนในครอบครัวไปบ่อน สัมผัสแรงงานต่างด้าว เป็นต้น จัดเตรียมบุคลากร สถานที่ สำรองทรัพยากร เพียงพอใช้อย่างน้อย 2 เดือน ปรับระบบบริการเพื่อลดความแออัด ป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รับยาใกล้บ้าน และรักษาทางไกล, เพิ่มเตียง รองรับผู้ติดเชื้อและPUI โรงพยาบาลสนาม หอผู้ป่วยเฉพาะโรค (Cohort Ward) และเพิ่มศักยภาพการตรวจทางห้องปฏิบัติการรวมทั้ง ให้ อสม.เฝ้าระวัง ตรวจตรา คัดกรองผู้เดินทางจากต่างพื้นที่ เฝ้าระวังกลุ่มเปราะบาง และดูแลจุดที่มีผู้กักตัวที่บ้าน (Home Quarantine) ขอความร่วมมือประชาชน หยุดอยู่บ้าน work from home สวมหน้ากากอนามัยให้ได้ 100% รับประทานอาหารคนเดียวหรือเฉพาะในครอบครัว งดไปสถานที่มีความเสี่ยงสูง กิจกรรมรวมตัวในที่สาธารณะ ในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว เปราะบาง ผู้สูงอายุ เป็นไปได้ให้อยู่บ้าน หากมีผู้ไปเยี่ยมให้สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หากมีอาการผิดปกติให้แจ้ง อสม.และโรงพยาบาล สำหรับหน่วยงานต่างๆ ให้งดจัดกิจกรรม ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อและเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบ work from home ให้มากที่สุด ส่วนโรงงาน ต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันควบคุมโรค คัดกรองก่อนทำงาน โดยเฉพาะที่มีแรงงานต่างด้าวรายวัน และสถานที่เสี่ยง/กิจกรรมเสี่ยงร้านอาหาร เปิดได้เฉพาะที่ซื้อกลับบ้าน
สำหรับประเด็นผู้เดินทางจากประเทศอังกฤษ 4 ราย และเข้าสู่กระบวนการกักกันโรค 14 วัน ตรวจพบการติดเชื้อและเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแล้ว เมื่อนำเชื้อไปถอดรหัสพันธุกรรม พบว่าเป็นสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ของอังกฤษ ซึ่งสายพันธุ์นี้มีความสามารถแพร่เชื้อเร็วขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ความรุนแรงไม่เพิ่มขึ้น ไม่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากกว่าปกติ มีระยะฟักตัวเท่าเดิม จึงเชื่อมั่นได้ว่าระบบกักกันโรคของไทยเพียงพอที่จะไม่ทำให้เล็ดลอดออกไปเป็นวงกว้าง และไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน รวมทั้งการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือสามารถป้องกันโรคได้ ส่วนผู้โดยสารในเที่ยวบินเดียวกัน ไม่พบการติดเชื้อจากรายใด ยังอยู่ระหว่างการกักตัวให้ครบ 14 วัน
ด้านนพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการสอบสวนการระบาดของโรคโควิด 19 ในสถานบันเทิงและร้านอาหาร ย่านปิ่นเกล้า ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคของสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี นครปฐม กองระบาดวิทยา สถาบันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่ม 6 ราย รวมเป็น 55 ราย ผู้ติดเชื้อที่เป็นพนักงานและลูกค้าอยู่ในเขตพื้นที่บางพลัดซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด สำหรับเขตบางขุนเทียน ผู้ติดเชื้อเป็นแรงงานต่างด้าวและคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง และเขตหนองแขมที่มีอัตราผู้ติดเชื้อสูง เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงตามประกาศของกรุงเทพมหานคร
อีกกรณีคือ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ได้สอบสวนการระบาดในตลาดบางใหญ่พบผู้ติดเชื้อ 24 ราย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ซึ่งกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในตลาดหรือสถานประกอบการอื่น อาจมีความเสี่ยงที่จะตรวจพบเชื้อได้ ขอให้ผู้ดูแลสถานประกอบการนายจ้างเฝ้าระวังสังเกตอาการแรงงานในปกครอง คัดกรองไข้แรงงานทุกวัน หากมีอาการไข้หวัด เจ็บคอ ให้รีบแยกส่งตัวไปวินิจฉัย และปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับการระบาดใน จ.ระยอง จากผู้ที่เข้าไปลักลอบเล่นการพนันใน อ.เมือง นั้น พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆพื้นที่ที่มีผู้ป่วยสูงคือ ต.เนินพระ และต.เชิงเนินปากน้ำ โดยนักพนันนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในครอบครัวรวมทั้งลูกหลานที่เป็นเด็กนักเรียน ทำให้พบความเชื่อมโยงผู้ป่วยโควิดจากบ่อนการพนันกับเด็กนักเรียน ขณะนี้พบอย่างน้อย7 โรงเรียนที่มีเด็กติดเชื้อจากผู้ปกครอง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ตั้งแต่ 4 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2564 และตลาดแม่แดง จ.ระยอง พบผู้ติดเชื้อ 2 ราย จากร้านขายไก่สด ร้านขายปลาดุก ในช่วงระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2563 -มกราคม 2564 ซึ่งทั้ง 2 รายมีความเชื่อมโยงกับสถานที่ลักลอบเล่นการพนัน เทศบาลนครระยองได้ประกาศปิดตลาดเทศบาล 4 (ตลาดแม่แตง) ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม - 5 มกราคม 2564 เพื่อทำความสะอาดและค้นหาผู้สัมผัสโรคที่มีโอกาสรับเชื้อ ขอให้ผู้ที่เดินทางไปตลาดดังกล่าว เฝ้าระวังสังเกตอาการตัวเองเป็นเวลา 14 วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายที่ไปตลาด หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หรือเหนื่อย ขอให้รีบไปรับการตรวจวินิจฉัย โดยสวมหน้ากากอนามัยและหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะหรือโทรแจ้ง 1669
กรณีพบพนักงานขับรถประจำทางและรถตู้ติดเชื้อ 2 ราย เป็นพนักงานขับรถตู้สายระยอง-บางนา และพนักงานขับรถประจำทางสายบางนา-เชียงใหม่ พบว่าทั้ง 2 รายมีประวัติได้รับเชื้อจากผู้ลักลอบเล่นการพนัน วันนี้กระทรวงคมนาคมได้มีมาตรการที่เข้มข้นการเดินทาง การใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยบังคับให้ทุกคนลงทะเบียนไทยชนะ หากป่วยให้เลื่อนการเดินทาง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่บนรถหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบนรถ
สำหรับจังหวัดนครปฐมซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดสมุทรสาครที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดครั้งใหม่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่ามีระบบการเฝ้าระวังโรคที่ดีมาก ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ 18-20 ธันวาคม 2563 ได้เริ่มตรวจคัดกรองผู้ที่มีประวัติเดินทางไปส่งกุ้งที่ตลาดกลางกุ้ง หรือสินค้ามาจำหน่าย ทำให้ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกตั้งแต่ยังไม่มีอาการ มีการกักกันโรค และค้นหาผู้สัมผัสโรคเพิ่ม ทำให้ค้นหาผู้ติดเชื้อและบางส่วนเป็นผู้ที่มาขอรับการตรวจวินิจฉัย รวม 65 ราย ในจำนวนนี้ไม่มีอาการร้อยละ 40 และส่งตัวไปโรงพยาบาล ทำให้ไม่มีโอกาสแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้ปิดพื้นที่เสี่ยงและจำกัดการเดินทางจากพื้นที่ที่มีการระบาด ทำให้การควบคุมโรคได้ผลเป็นอย่างดี
“กระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นที่การส่งเสริมสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล และจำกัดการเดินทางไม่ให้เกิดการข้ามจังหวัด ส่วนผู้ที่ไปบ่อนการพนันสถานบันเทิง อาจมีบางส่วนที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการจนครบ 14 วัน หากป่วยให้ขอรับการตรวจและแจ้งประวัติเสี่ยงกับเจ้าหน้าที่ เพื่อการประเมินได้อย่างถูกต้อง ล่าสุดได้พบการติดเชื้อในครอบครัว เด็กนักเรียน ขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการภาครัฐ เพื่อยับยั้งและป้องกันการระบาดไม่ให้เกิดเป็นวงกว้าง” นพ.โสภณกล่าว
**************************************** 3 มกราคม 2564
******************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมธนาคารไทยชี้แจงธนบัตรที่ระลึกเป็นธนบัตรหมุนเวียนปกติ | วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
สมาคมธนาคารไทยชี้แจงธนบัตรที่ระลึกเป็นธนบัตรหมุนเวียนปกติ
สมาคมธนาคารไทยชี้แจงหากประชาชนต้องการแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ระลึกเป็นธนบัตรหมุนเวียนปกติ สามารถติดต่อขอแลกหรือนำฝากได้ที่สาขาธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
สมาคมธนาคารไทยชี้แจงหากประชาชนต้องการแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ระลึกเป็นธนบัตรหมุนเวียนปกติ สามารถติดต่อขอแลกหรือนำฝากได้ที่สาขาธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
สมาคมธนาคารไทย โดยนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้แจงกรณีมีข่าวประชาชนนำธนบัตรที่ระลึกไปแลกที่สาขาธนาคารและสาขาธนาคารไม่รับแลก ดังนี้
1. ธนบัตรที่ระลึกชนิดราคา 1000 บาท และ 100 บาท สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับธนบัตรหมุนเวียนปกติทุกประการ
2. สาขาธนาคารสามารถให้บริการรับฝาก แลก และรับชำระหนี้ได้ตามปกติเช่นเดียวกับธนบัตรหมุนเวียนปัจจุบัน
3.ธนบัตรที่ระลึกรุ่นนี้ ปัจจุบันไม่สามารถใช้กับเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติได้ เพราะแต่ละธนาคารต้องมีการแก้ไขและปรับปรุงโปรแกรมให้สามารถตรวจสอบธนบัตรที่ระลึกที่เครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติทั่วประเทศ เนื่องจากธนบัตรที่ระลึกมีการจัดพิมพ์ในปริมาณจำกัด ดังนั้น หากประชาชนต้องการฝากธนบัตรที่ระลึก สามารถติดต่อขอฝากได้ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สาขา หรือ Call Center ของธนาคารที่ท่านใช้บริการ
สมาคมธนาคารไทย
โทร. 0-2558-7500
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใครเสี่ยง? | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ใครเสี่ยง?
ที่มา : กรมควบคุมโรค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ สั่งพ่นฆ่าเชื้อทั่วกระทรวงเกษตรฯ | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ปลัดเกษตรฯ สั่งพ่นฆ่าเชื้อทั่วกระทรวงเกษตรฯ
ปลัดเกษตรฯ สั่งพ่นฆ่าเชื้อทั่วกระทรวงเกษตรฯ ช่วงหยุดยาว ตามมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนที่มาติดต่อราชการ
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่อาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างในสังกัด ตลอดจนประชาชนที่มาติดต่อราชการ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการฉีดพ่นฆ่าเชื้อภายในอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสต่าง ๆ และเป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานภายหลังหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมถึงประชาชนที่มาติดต่อราชการ
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้ให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัด ดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยให้ติดตามสถานการณ์จากความก้าวหน้าผลการสอบสวนผู้ป่วย และตรวจสอบ timeline ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 หากมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด ขอให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการกักตัวจนครบ 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ลงไปในพื้นที่ และงดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง แต่หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปราชการในพื้นที่เสี่ยง ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมาตรการตามข้อกำหนดของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหน่วยงานควบคุมโรคในพื้นที่อย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในที่ประชุมมีมติให้หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางแผนล่วงหน้าในการปฏิบัติงาน สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด โดยพิจารณาให้เจ้าหน้าที่ Work From Home 50 / 50 หรือตามความเหมาะสม และเพิ่มความเข้มงวดในการใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในหน่วยงาน พร้อมขอความร่วมมือร้านค้าต่าง ๆ ภายในกระทรวงเกษตรฯ ตลอดจนให้บุคลากรทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งและข้อแนะนำของศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) (ศบค.) อย่างเคร่งครัดด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง
ตามที่โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้เปิดให้ประชาชนได้เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 นั้น จากข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2564 มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน โดยเป็นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้ได้รั
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้เปิดให้ประชาชนได้เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 นั้น จากข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2564 มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน โดยเป็นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้ได้รับสิทธิเดิมจำนวน 9,536,644 คน ใช้จ่ายสะสม 52,358.3 ล้านบาท และผู้ได้รับสิทธิใหม่จำนวน 2,513,471 คน ใช้จ่ายสะสม 1,073.6 ล้านบาท รวมยอดการใช้จ่ายสะสม 53,431.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.4 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.5 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ และมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า โดยผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขอให้เร่งดำเนินการและยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย โดยสามารถดำเนินการผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ (1) แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” (2) สาขาธนาคารกรุงไทย หรือ (3) ตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย (สามารถค้นหาตำแหน่งของตู้เอทีเอ็มสีเทา โดยพิมพ์คำว่า “ATM กรุงไทย ยืนยันตัวตน” ใน Google Maps) และใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการภายใน 14 วัน เพื่อรักษาสิทธิของท่านให้สามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ส่วนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งกลุ่มเดิม หากประสงค์จะได้รับวงเงินเพิ่มอีก 500 บาท ตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ขอให้เข้าใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยจะพบข้อความเตือน “ท่านได้รับสิทธิคนละครึ่ง ระยะที่ 2 มูลค่า 500 บาท และสามารถใช้สิทธิได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564” และเมื่อกดปุ่ม “ยอมรับเงื่อนไขและรับสิทธิ” จะได้รับสิทธิดังกล่าว
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 หารือผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด เน้นย้ำ สร้างการรับรู้มาตรการด้านสุขอนามัย (DMHTT) ขั้นสูงสุด ลดการเคลื่อนย้ายคน แต่ไม่ให้กระทบเศรษฐกิจเกินความจำเป็น | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
มท.1 หารือผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด เน้นย้ำ สร้างการรับรู้มาตรการด้านสุขอนามัย (DMHTT) ขั้นสูงสุด ลดการเคลื่อนย้ายคน แต่ไม่ให้กระทบเศรษฐกิจเกินความจำเป็น
มท.1 หารือผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด เน้นย้ำ สร้างการรับรู้มาตรการด้านสุขอนามัย (DMHTT) ขั้นสูงสุด ลดการเคลื่อนย้ายคน แต่ไม่ให้กระทบเศรษฐกิจเกินความจำเป็น
วันนี้ (4 ม.ค.64) เวลา 16:30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ภายหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการสำคัญ ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 27 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า ในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และมีจำนวนผู้ติดเชื้อฯ ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 16) และมีคำสั่ง ศบค.ที่ 1/2564 กำหนดพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ใน 27 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งได้มอบนโยบายในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้เกิดการบูรณาการและประสานการทำงานเป็นไปตามข้อกำหนดและนโยบายของ ศบค. โดย ศบค.มท. จะเป็นหน่วยงานในการประสานการปฏิบัติมาตรการต่าง ๆ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสถานการณ์ที่มีเอกภาพเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า สำหรับมาตรการที่จะต้องดำเนินการในพื้นที่ สิ่งสำคัญที่สุดคือมาตรการด้านสุขอนามัย หรือ DMHTT ได้แก่ การเว้นระยะระหว่างกัน สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและสังเกตอาการ และใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทำอย่างเข้มข้น เพื่อลดการแพร่ระบาดและสามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรคได้ การคัดแยกและการสอบสวนโรคผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยง เมื่อตรวจแล้วจะต้องจัดสถานที่คัดแยกกลุ่มคนต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โรงพยาบาลสนาม สำหรับผู้ป่วยอาการไม่หนักมาก เป็นต้น และในโรงงานอุตสาหกรรมก็เช่นกัน ขอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนำไปพิจารณาดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขด้วย สำหรับการสกัดกั้นการแพร่เชื้อในพื้นที่ ให้มอบหมายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน ประสานความร่วมมือจากประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแลบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ และใช้อำนาจในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) บูรณาการฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองควบคุมการเข้า-ออกพื้นที่ การขนส่งสินค้าให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมถึงพิจารณาตั้งด่านสกัดบริเวณถนนสายรอง นอกจากนี้ ต้องมีมาตรการลดการเคลื่อนที่ของคน (Mobility) การปิดสถานที่ที่มีกิจกรรมแออัด แต่อย่างไรก็ตาม ให้คำนึงถึงด้านเศรษฐกิจไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกินความจำเป็นด้วย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดต้องสร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้มีความตระหนักและร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเต็มกำลังความสามารถ และขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกคนทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแข็งขัน และหากมีข้อหารือเพิ่มเติม ขอให้เสนอมายัง ศบค.มท. เพื่อพิจารณานำเสนอ ศบค. ต่อไป
กองสารนิเทศ สป.มท.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38078 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยนโยบาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” ช่วยลดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เทศกาลปีใหม่ 2564 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
สธ. เผยนโยบาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” ช่วยลดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เทศกาลปีใหม่ 2564
กระทรวงสาธารณสุขเผย 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2564 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดลง โดยมีผู้บาดเจ็บรวม 20,506 ราย เสียชีวิต 389 ราย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 29 และ 19 ตามลำดับ ขณะที่ผู้บาดเจ็บจากการดื่มสุราลดลงด้วยร้อยละ 26 หลังขับเคลื่อนนโยบาย
กระทรวงสาธารณสุขเผย 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2564 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดลง โดยมีผู้บาดเจ็บรวม 20,506 ราย เสียชีวิต 389 ราย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 29 และ 19 ตามลำดับ ขณะที่ผู้บาดเจ็บจากการดื่มสุราลดลงด้วยร้อยละ 26 หลังขับเคลื่อนนโยบาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” มอบ อสม. ตั้งด่านชุมชนช่วยสกัดคนเมา
วันนี้ (4 มกราคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่2564 ยังคงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จากการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ในช่วง 7 วันของเทศกาลปีใหม่ 2564 หรือตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 - 4 มกราคม 2564 มีข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนรวม 20,506 ราย เสียชีวิตรวม 389 ราย ถือว่าลดลงจากปี 2563 ที่พบผู้บาดเจ็บ 29,155 ราย เสียชีวิต482 ราย หรือลดลงร้อยละ 30 และ 19 ตามลำดับ โดยผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหรือAdmit ในโรงพยาบาล 4,065 รายคิดเป็นร้อยละ 19 จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา 1,051 ราย, เชียงใหม่ 814 ราย, ขอนแก่น 754 ราย, บุรีรัมย์ 631 ราย และเชียงราย 596 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา 27 ราย , เชียงราย 17 ราย , บุรีรัมย์ 16 ราย , อุดรธานี และชลบุรี จังหวัดละ 14 ราย
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตยังคงสูงในช่วงวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ โดยวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีผู้บาดเจ็บ 4,523 ราย เสียชีวิต 79 ราย ส่วนวันที่ 1 มกราคม 2564 มีผู้บาดเจ็บ 4,025 ราย เสียชีวิต 83 ราย โดยพบว่าไม่สวมหมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อก 2,773 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 564 ราย คิดเป็นร้อยละ 26 ส่วนการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ได้รับบาดเจ็บทุกราย พบเป็นผู้ดื่มสุรามีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินมาตรการ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จำนวน 6,111 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 1,038 ราย คิดเป็นร้อยละ 17 อย่างไรก็ตาม ถือว่าลดลงจากปี 2563 ที่พบผู้ดื่มสุรารวม 8,283 ราย หรือลดลงร้อยละ 26
ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณสุขหรือ อสม. ตั้งด่านชุมชนเพื่อตรวจคัดกรองผู้ที่เมาแล้วขับไม่ให้ออกสู่ถนน ตามนโยบาย "ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม" ช่วยสกัดผู้ที่ดื่มแล้วขับได้อย่างดี และมีบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อย่างเข้มข้นต่อเนื่องใน 3 ประเด็น คือ การห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ห้ามขายลักษณะการลด แลก แจก แถม ชิงโชค และห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แสดงชื่อหรือเครื่องหมายที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ดื่ม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38075 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์โควิด 19 พร้อมเตรียมโรงพยาบาลสนามรองรับ ขอความร่วมมือ ปชช.ช่วยค้นหาหวังลดผู้ป่วยใน 28 วัน | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
สาธิต ให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์โควิด 19 พร้อมเตรียมโรงพยาบาลสนามรองรับ ขอความร่วมมือ ปชช.ช่วยค้นหาหวังลดผู้ป่วยใน 28 วัน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการคัดกรองเชิงรุกและความพร้อมโรงพยาบาลสนามที่จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ประชาชนมั่นใจให้ความร่วมมือค้นหาเพื่อลดตัวเลขผู้ป่วยภายใน 28 วัน พร้อมปิดตลาดกลางกุ้งถึง 31 มกราคม 2564
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการคัดกรองเชิงรุกและความพร้อมโรงพยาบาลสนามที่จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ประชาชนมั่นใจให้ความร่วมมือค้นหาเพื่อลดตัวเลขผู้ป่วยภายใน 28 วัน พร้อมปิดตลาดกลางกุ้งถึง 31 มกราคม 2564 สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์ เตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามรองรับ
เย็นวันนี้ (4 มกราคม 2564) ที่ จ.สมุทรสาคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยในวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 541 ราย เป็นการค้นหาเชิงรุก 505 ราย ในโรงพยาบาล 36ราย เป็นคนไทย 86 ราย และต่างด้าว 455 ราย ปัจจุบันมีผู้ป่วยสะสม 2,401 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 325 ราย อยู่ระหว่างสังเกตอาการ 1,232 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งบริหารจัดการควบคุมป้องกัน เฝ้าระวังโรคทั้งในคนไทยและแรงงานต่างด้าว แม้มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ จะนำเข้าระบบดูแล ในโรงพยาบาลสนาม เพื่อป้องกันควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ จึงขอให้ ประชาชนมั่นใจ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ใช้โรงงานเป็นสถานที่สามารถกักและดูแลแรงงานที่อยู่ในโรงงาน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งทีมตรวจคัดกรองเชิงรุกเข้าไปดำเนินการเช่นเดียวกันหากพบ ผู้ ติดเชื้อจะส่งเข้าระบบการรักษาทันที
“ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์โควิด 19 พร้อมเตรียมโรงพยาบาลสนามรองรับ รวมทั้งเร่งค้นหาคัดกรองผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด เพื่อนำเข้าสู่ระบบควบคุมป้องกันโรค โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง อสม. เพื่อจะลดตัวเลขผู้ป่วยภายใน 28 วัน อย่างไรก็ตามหลายจังหวัดได้ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษมีการล๊อคดาวน์แต่ละพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชนงดการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่จำเป็นใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ สแกนไทยชนะหรือหมอชนะ หากป่วยให้รีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยง ไม่ปกปิดข้อมูล”
สำหรับจังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่พบการระบาดสูง คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (EOC)ได้ประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้า และวางแผนการดำเนินงาน ล่าสุดได้มีคำสั่งปิดตลาดกลางกุ้งต่อระหว่างวันที่ 4 – 31 มกราคม 2564 พร้อมกันนี้จะเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกทุกโรงงาน ทุกตลาด เพื่อแยกประชากรกลุ่มเสี่ยงให้ชัดเจน โรงงานที่พบผู้ติดเชื้อ ให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการ และตามลักษณะของการจ้างงาน และติดตาม 14 วันในกลุ่มที่กักตัว โดยใช้ Application : DDC Care พร้อมทั้งสำรองเวชภัณฑ์ ไว้ใช้ได้นาน 2 เดือน เตรียมสถานที่กักตัวเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ
จังหวัดสมุทรสาครได้เปิดให้บริการโรงพยาบาลสนามแล้วที่สนามกีฬาจังหวัด และวัดโกรกกราก รวม 678 เตียง ขณะนี้มีผู้เข้ารับบริการ 58 เตียง และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 980 เตียง ที่โกดังวัฒนาแฟคเตอรี่, อาคารศูนย์การเรียนรู้แรงงานข้ามชาติ , อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ 60 พรรษา , และศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดสุทธิวาตวราราม ซึ่งคาดว่ายังมีความจำเป็นในการหา โรงพยาบาลสนาม เพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ต่อไป
********************************** 4 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ระงับการเปิดบ่อนไก่ใน จ.ชุมพร ป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
กระทรวงมหาดไทย ระงับการเปิดบ่อนไก่ใน จ.ชุมพร ป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงมหาดไทย ระงับการเปิดบ่อนไก่ใน จ.ชุมพร ป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย
ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสนามชนไก่ที่ปรากฏในสื่อเป็นสนามชนไก่สะพาน 5 ตั้งอยู่เลขที่ 10 หมู่ที่ 4 ตำบลหาดพันไกร อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันชนไก่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน โดยจังหวัดชุมพรได้อนุมัติให้จัดได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดกรณีที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ในการพิจารณาอนุมัตินั้น ได้พิจารณาตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการอนุญาต ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) อาทิ มีการจัดจุดตรวจคัดกรองวัดไข้ ให้มีจุดบริการล้างมือ จัดให้มีระบบระบายอากาศภายในสนาม เป็นต้น โดยอำเภอเมืองชุมพรได้ตรวจสภาพสนามตามคู่มือและเกณฑ์ที่กำหนดพร้อมรายงานแบบตรวจประเมินผลให้จังหวัดพิจารณา และมีการเน้นย้ำให้ผู้ขอใบอนุญาตปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัดแล้ว
ทั้งนี้ จังหวัดชุมพรมีการติดตามสถานการณ์และข้อสั่งการอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดทุกจังหวัด งดออกใบอนุญาตการจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่ กัดปลา ชกมวย แข่งม้า ชนโค และไพ่ผ่องไทย กรณีที่ดำเนินการออกใบอนุญาตไปแล้วให้แจ้งกับผู้ได้รับอนุญาตฯ งดจัดให้มีการเล่นการพนันดังกล่าว และให้กวดขันจับกุมผู้ลักลอบจัดให้มีการเล่นพนันและผู้เล่นพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตทุกประเภทอย่างเคร่งครัด จังหวัดชุมพรจึงแจ้งให้ทุกอำเภองดการพนันชนไก่ กัดปลา ชกมวย แข่งม้า ชนโค และไพ่ผ่องไทย ในวันเดียวกันนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ไม่มีการเล่นการพนันที่ได้รับอนุญาตอีก รวมทั้งสั่งการไปยังอำเภอและตำรวจให้ดำเนินการกวดขันการลักลอบเล่นการพนันทุกประเภทอย่างเข้มงวดทุกรณี และความร่วมมือประชาชนหากมีกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมากให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ พลตำรวจตรี ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า พลตำรวจตรี ถาวร แสงฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร (ผบก.ภ.จว.ชุมพร) และฝ่ายปกครองจังหวัดชุมพร ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปแจ้งให้งดดำเนินการ เมื่อทางผู้รับใบอนุญาตได้ทราบเรื่องดังกล่าว ก็ได้ยกเลิกกิจกรรมโดยทันที ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้สั่งการกำชับให้ตำรวจทั่วประเทศคอยกวดขันเรื่องการลักลอบเล่นการพนันอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีหน่วยไหนปล่อยปละละเลย หรือพบว่ามีตำรวจนายใดเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็จะดำการทั้งทางวินัยและทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้เน้นให้ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทุกพื้นที่ ให้ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 โดยเคร่งครัด เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดและสามารถกลับมาใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติโดยเร็ว
...........................................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38062 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ได้นำผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบ video conference | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ปลัดวธ.ได้นำผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบ video conference
ปลัดวธ.ได้นำผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้นำผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมการประกาศเจตจำนงสุจริตและแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวนำแสดงเจตจำนงสุจริต และร่วมทำสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริตของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมโดยพร้อมเพรียงกัน มีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38068 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ใช้มาตรการเข้ม ห้ามบุคคลภายนอกเข้ากระทรวง หากจำเป็นให้ใช้ช่องทาง ไลน์ โทรศัพท์ หรืออีเมล์ | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
พม. ใช้มาตรการเข้ม ห้ามบุคคลภายนอกเข้ากระทรวง หากจำเป็นให้ใช้ช่องทาง ไลน์ โทรศัพท์ หรืออีเมล์
พม. ใช้มาตรการเข้ม ห้ามบุคคลภายนอกเข้ากระทรวง หากจำเป็นให้ใช้ช่องทาง ไลน์ โทรศัพท์ หรืออีเมล์
วันนี้ (4 ม.ค. 64) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เน้นย้ำให้บุคลากรทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในสถานที่ทำงาน โดยขอให้บุคลากรทุกคนที่มาปฏิบัติงานในอาคาร รวมถึงส่วนราชการอื่นในสังกัด กระทรวง พม. และกระทรวง พม. สะพานขาว ต้องสวมหน้ากากอนามัยและงดให้บุคคลภายนอกเข้ามาในอาคาร และในพื้นที่กระทรวง พม. ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง แต่หากจำเป็นต้องติดต่อราชการ ต้องถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ให้ทุกส่วนราชการประสานแจ้งบุคคลภายนอกที่มีการติดต่อราชการทราบเรื่องงดบุคคลภายนอกเข้ามาติดต่อราชการภายในตึกกระทรวง อาคาร 5 และส่วนราชการสังกัด กระทรวง พม. ในพื้นที่สะพานขาว หากจำเป็นให้ใช้วิธีการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางอื่นแทน เช่น ไลน์ โทรศัพท์email2. บุคลากรทุกคนที่เข้าตึกกระทรวง ต้องแสดงบัตรแสดงตนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ต่อเจ้าหน้าที่ที่จุดตรวจวัดอุณหภูมิ หากไม่มีบัตรดังกล่าว จะไม่อนุญาตให้เข้าตึกกระทรวงโดยเด็ดขาด 3. กรณีการรับ-ส่งเอกสาร ขอให้ทุกส่วนราชการ แจ้งบุคคลภายนอกรอที่จุดพักรอ บริเวณด้านหน้าอาคาร ซึ่งจะทำป้ายวางเอาไว้ให้ทราบ และโทรแจ้งให้บุคลากรที่จะมาติดต่อด้วยลงมารับ-ส่งเอกสารที่จุดดังกล่าว และ 4. ขอให้ทุกส่วนราชการประกาศแจ้งให้บุคลากรในสังกัดทราบถึงมาตรการดังกล่าวโดยทั่วกันและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ที่อยู่ในความดูแลภายในสถานสงเคราะห์ของกระทรวง พม. โดยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแนวทางมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการระบาดลุกลามเป็นวงกว้าง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38060 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ห่วงใยแรงงาน ชวนฝึกอาชีพออนไลน์ฟรี ห่างไกลโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
นฤมล ห่วงใยแรงงาน ชวนฝึกอาชีพออนไลน์ฟรี ห่างไกลโควิด-19
รมช.แรงงาน ชวนฝึกอาชีพออนไลน์กว่า 20 หลักสูตร ฟรี! รับวิถี New Normal ห่างไกลโควิด-19
วันที่ 4 มกราคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่กำลังระบาดระรอก 2 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมที่รุนแรงขึ้น และในช่วงต่อไปสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ทำให้แรงงานไทยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามไปด้วย จึงไม่ได้นิ่งนอนใจและให้ความสำคัญกับมาตรการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อแรงงานทุกมิติอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชีวิตตามวิถีใหม่ หรือ new normal โดยการจัดฝึกทักษะผ่านออนไลน์กว่า 20 หลักสูตร สามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้ที่บ้าน ได้แก่ การใช้โปรแกรม Microsoft Excel Advanced การผลิตสื่อโฆษณาและหนังสั้นด้วยสมาร์ทโฟน เทคนิค การสร้างร้านค้าและขายสินค้าออนไลน์ การสร้างงานสร้างอาชีพด้วยระบบ E-Commerce การออกแบบและตกแต่งภาพด้วยโปรแกรม Photoshop illustrator การสร้างแอปพลิเคชันโมบายระบบแอนดรอยด์ การเขียนแบบก่อสร้าง 3D ด้วยโปรแกรม Sketch-up การสร้างโปรแกรมฐานข้อมูลด้วย Google Form การประยุกต์ใข้งานโปรแกรม Solid Work ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ภาษาพม่าเบื้องต้นเพื่อการทำงาน ไคเซ็น (KAIZEN) เพื่อการปรับปรุงงาน การใช้งานโปรแกรม Microsoft Power point 2010 เทคนิคการสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อการท่องเที่ยว การใช้ Google Application เพื่อธุรกิจ การสร้างแบรนด์ธุรกิจดิจิทัล การใช้โปรแกรม Microsoft Word 2016 และการสร้างอินโฟกราฟิกเบื้องต้น โดยสามารถลงทะเบียนเข้ารับการฝึกได้ที่เว็บไซต์ http://www.dsd.go.th/DSD/Intro/show_search?activity=newyear&searchbox=&department1=0&button_search=%A4%E9%B9%CB%D2 เลือกหลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรมเฉพาะที่มีสัญลักษณ์รูปกล่องของขวัญอยู่ด้านหน้าชื่อหลักสูตร เมื่อลงทะเบียนแล้วรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปเพื่อแจ้งกำหนดการและแนะนำวิธีการเข้ารับการฝึกอบรมผ่านระบบออนไลน์
“แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในรอบนี้จะแพร่ระบาดและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอให้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ทั้งกลุ่มแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบอย่าได้ละเลยการพัฒนาตนเองให้มีทักษะฝีมือด้านอาชีพ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ในทุกสถานการณ์ เนื่องจากแรงงานทุกคนเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38059 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับสถานพยาบาลในสังกัด บริการประชาชนวิถีใหม่ ลดความเสี่ยงรับ-แพร่เชื้อโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
สธ. กำชับสถานพยาบาลในสังกัด บริการประชาชนวิถีใหม่ ลดความเสี่ยงรับ-แพร่เชื้อโควิด 19
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับให้สถานพยาบาลในสังกัด บริการประชาชนด้วยรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างต่อเนื่อง รับยาทางไปรษณีย์ รับยาร้านยาใกล้บ้าน และปรึกษาแพทย์ทางไกล เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่-รับเชื้อโควิด 19 ในสถานพยาบาล
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับให้สถานพยาบาลในสังกัด บริการประชาชนด้วยรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างต่อเนื่อง รับยาทางไปรษณีย์ รับยาร้านยาใกล้บ้าน และปรึกษาแพทย์ทางไกล เพื่อลดความเสี่ยงในการ
แพร่-รับเชื้อโควิด 19 ในสถานพยาบาล
วันนี้ (4 มกราคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่าในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาและปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Services) เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการแพร่และรับเชื้อโควิด 19 ของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย และลดความเหลื่อมล้ำ ได้รับบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับภาวะความเจ็บป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละราย โดยการระบาดระลอกใหม่นี้ได้กำชับสถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปรับบริการทางการแพทย์วิถีใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการรับยาทางไปรษณีย์ รับยาร้านยาใกล้บ้าน ปรึกษาแพทย์ทางไกล เป็นต้น
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า การให้บริการทางการแพทย์แบบวิถีใหม่ มุ่งเน้นการรักษาให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล โดยแยกกลุ่มประเภทผู้ป่วยเป็น3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ดูแลตนเองได้ดีไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ขอให้อยู่บ้านไม่ต้องมาโรงพยาบาล ใช้การจัดส่งยาให้ต่อเนื่องกลุ่มที่ต้องการปรึกษาแพทย์ด้วยคำถามหรือปัญหาเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล ให้บริการ Tele-medicine ผ่านระบบการสื่อสาร และกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องมาพบแพทย์ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยี (Digital Solution) เป็นเครื่องมือให้แพทย์และคนไข้สามารถติดต่อพูดคุยและปรึกษากัน โดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล และใช้เทคโนโลยีอื่นๆ มาใช้อำนวยความสะดวกในการบริการด้วย
สำหรับผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาล โดยหากอาการทั่วไปดี ผลการตรวจล่าสุดคงที่ ไม่มีปัญหา ให้รับยาทางไปรษณีย์ รับยาร้านยาใกล้บ้าน เลื่อนนัดให้นานขึ้น หรือให้คำปรึกษาทางไกล หากเป็นผู้ป่วยที่อาการแย่ลงหรือผลตรวจล่าสุดมีปัญหา ให้มาตรวจตามนัดหรือใช้วิธีปรึกษาทางไกล แต่หากมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงฉุกเฉินไปห้องฉุกเฉินได้ตลอด24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่แพทย์นัดในช่วงนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงในระบบการบริการและการรักษา ขอให้ติดต่อโรงพยาบาลก่อนเข้ารับบริการ
********************************** 4 มกราคม2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2564 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2564
ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น
การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2564
ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น
กระทรวงการคลังขอเรียนว่า การพิจารณาให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดการเงินและตลาดตราสารหนี้ไทยในภาพรวม อาทิ
1) ด้านเสถียรภาพของตลาดการเงินในประเทศ
2) ด้านผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย
3) ด้านการส่งเสริมให้นักลงทุนในประเทศมีตราสารหนี้ที่มีคุณภาพให้ลงทุน
4) ด้านการพัฒนาตลาดพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท
ในรอบการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 1/2564 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2564 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จำนวน 1 ราย ได้แก่ EDL-Generation Public Company (EDL-Gen) ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสำคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
กระทรวงการคลังขอขอบคุณผู้ยื่นคำขออนุญาตทุกรายที่ให้ความสนใจในการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย สำหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจำนงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5814
Permission to Issue Baht-denominated Bonds or Debentures by Foreign Entity in Thailand from 1st January – 30th September 2021
Pursuant to the Ministry of Finance’s Ministerial Notification re: Permission to Issue Baht-Denominated Bonds or Debentures in Thailand and four amendments that stipulates the rules and regulations to allow foreign entities to issue Baht-denominated bonds or debentures in Thailand. The Ministry of Finance’s criteria compose of the following key issues on
1) the stability of Thailand’s financial market
2) the impact on Thai corporate bond issuance
3) the opportunity for domestic investors to invest in quality bonds and
4) the development of Baht-denominated bond market
For the issuance period from the 1st January to the 30th September 2021, the Minister of Finance has permitted EDL-Generation Public Company (EDL-Gen) to issue Baht-dominated bonds or debentures in Thailand within the 30th September 2021 upon the agreement that EDL-Gen must use the proceeds of the bonds or debentures according to the term and conditions specified by the Ministry of Finance.
The Ministry of Finance, thereby, reserves the right to restrain any Baht-denominated bond or debenture issuance if there appears to be significant changes in the financial status or structure of the permitted entities or the permitted entities fail to perform in accordance with the conditions stated in the approval letter.
The Ministry of Finance extends its sincere appreciation to all applicants for their interests in Baht-denominated bonds in the Thai bond market. For the next submission periods, qualified entities who are interested in issuing Baht-dominated bonds or debentures are able to submit their applications three times a year in March, July and November.
Bond Market Development Bureau, Public Debt Management Office
Tel: 02-2717999 #5814
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38066 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SMEs ต้องชนะ...จัดสรร ค้ำฯ สินเชื่อ 100,000 ล้านบาท “บสย. SMEs ไทย สู้ภัย COVID-19” เปิดตัว 6 โครงการ กลุ่มเปราะบาง - SMEs ทั่วไป สถาบันการเงินตบเท้า ลงนาม ปล่อยสินเชื่อ | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
SMEs ต้องชนะ...จัดสรร ค้ำฯ สินเชื่อ 100,000 ล้านบาท “บสย. SMEs ไทย สู้ภัย COVID-19” เปิดตัว 6 โครงการ กลุ่มเปราะบาง - SMEs ทั่วไป สถาบันการเงินตบเท้า ลงนาม ปล่อยสินเชื่อ
บสย. ดีเดย์วันนี้ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัย COVID-19” จัดสรรวงเงิน 100,000 ล้านบาท เยียวยา SMEs เร่งด่วน เปิดตัว 6 โครงการ กระจายความช่วยเหลือครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง – SMEs ทุกกลุ่ม ด้านแหล่งทุนขานรับ 7 สถาบันการเงินลงนามปล่อยสินเชื่อ
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม บสย. เร่งดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยนำโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่ได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ รวม 175,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “บสย. SMEs สร้างชาติ” (PGS 9) วงเงิน 150,000 ล้านบาท แบ่งวงเงินค้ำประกันออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก วงเงิน 1 แสนล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ทั้งรูปแบบนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ส่วนที่ 2 วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และ 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “บสย. Micro ต้องชนะ” (Micro 4) วงเงิน 25,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย อาทิ พ่อค้าแม่ค้า แผงลอย ผู้ประกอบการธุรกิจฐานราก และกลุ่มอาชีพอิสระ มาจัดสรรวงเงินให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาดระลอกใหม่
โดยล่าสุด บสย. เปิดตัว 6 โครงการค้ำประกันสินเชื่อร่วมกับธนาคารพันธมิตรช่วยเหลือเร่งด่วน จัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 100,000 ล้านบาท ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการเปราะบางและผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ได้แก่
กลุ่มผู้ประกอบการเปราะบาง สู้ภัย COVID-19 จำนวน 2 โครงการ คือ
1. โครงการ “บสย. SMEs ไทย สู้ภัยโควิด” ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรายละ 2 แสนบาท - 20 ล้านบาท ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท * MAX CLAIM สูงสุด 35%
2. โครงการ “บสย. รายย่อยไทย สู้ภัยโควิด” ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปี วงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อราย 1 หมื่นบาท – 1 แสนบาท ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท * MAX CLAIM สูงสุด 40%
“ทั้ง 2 โครงการถือเป็นโครงการเร่งด่วนที่จะเข้าไปช่วยผู้ประกอบการเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ตามประกาศพื้นที่เสี่ยงของ ศบค. โดย บสย. จะเปิดรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 นี้” ดร.รักษ์ กล่าว
กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป จำนวน 4 โครงการ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี ระยะเวลาค้ำประกันสินเชื่อ 10 ปี คือ
1. โครงการ “บสย. SMEs ดีแน่นอน” วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 2 แสนบาท -100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 20,000 ล้านบาท
2. โครงการ “บสย. SMEs บัญชีเดียว” วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 2 แสนบาท -100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท
3. โครงการ “บสย. SMEs ที่ได้รับสินเชื่อหนังสือค้ำประกัน (LG)” วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 2 แสนบาท - 100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 2,000 ล้านบาท
4. โครงการ “บสย. รายย่อย ทั่วไป” วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 1 หมื่นบาท – 5 แสนบาท วงเงินจัดสรร 3,000 ล้านบาท
โดยทั้ง 6 โครงการ บสย. จะรับความเสี่ยง ตั้งแต่ 20-40% ทั้งนี้ ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข การรับความเสี่ยงระหว่าง บสย. กับ ธนาคาร เช่น เกณฑ์การเคลม โดยกำหนดสัดส่วนการรับความเสี่ยงแบบร่วมกัน Sharing ระหว่าง บสย. และธนาคาร ในสัดส่วน 70% : 30% กรณีที่ธนาคารยื่นเคลมก่อนระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ธนาคารได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยดูแลลูกหนี้ในด้านต่างๆ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ จัดหนี้ หรือปรับปรุงเงื่อนไขให้ยืดหยุ่น เพื่อช่วยลูกหนี้ให้ไปรอด และมีกระแสเงินสดเพียงพอ
ขณะเดียวกัน ในด้านการดำเนินงานโครงการ “บสย. SMEs รายย่อยทั่วไป” ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุน ต้องพึ่งเงินทุนนอกระบบ จากการที่ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในส่วนนี้ บสย. มีนโยบายส่งเสริมให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ เพื่อให้ SMEs ลดการใช้เงินกู้นอกระบบ โดย บสย. ได้ขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ จากเดิมสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย เป็น 500,000 บาทต่อราย และ รับความเสี่ยงค้ำประกันสินเชื่อเต็มจำนวน 100% เพื่อให้ บสย. เป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญในการค้ำประกันสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บสย. ยังได้ร่วมค้ำประกันสินเชื่อในโครงการ Soft Loan Plus ของธนาคารแห่งประเทศไทย วงเงิน 55,000 ล้านบาท และโครงการ บสย. SMEs ไทยชนะ วงเงิน 5,000 ล้านบาท
ด้านสถาบันการเงินให้ความสนใจร่วมลงนามพร้อมปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs ทั้งกลุ่มเปราะบางและกลุ่ม SMEs ทั่วไป ประกอบด้วย
โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “บสย. SMEs สร้างชาติ” (PGS9) จำนวน 7 ธนาคาร ได้แก่ 1. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 2. ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) 3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 4. ธนาคารออมสิน 5. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 6. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 7. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “บสย. Micro ต้องชนะ” (Micro 4) จำนวน 7 ธนาคาร และ 1 ลิซซิ่ง ได้แก่ 1.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 2. ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) 3.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 4.ธนาคารออมสิน 5.ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 6. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 7.ธนาคารทิสโก้ 8.บริษัท ไฮเวย์ จำกัด
“บสย. และสถาบันการเงินพันธมิตรมีความห่วงใยและอยากช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่ จึงเร่งจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมมากที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ขณะที่ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไปก็มีความต้องการ ยืด ลด หด และ ขยายหนี้ (DR) และมีผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) ต้องการเติมเงินทุนใหม่ เพื่อพยุงธุรกิจ และต้องการหลุดพ้นปัญหาหนี้นอกระบบ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอรับบริการการค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” ดร.รักษ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ ยกเครื่องบริการ ก.อุตฯ เร่งพัฒนา iSingleForm ระบบแจ้งข้อมูลโรงงานในแบบฟอร์มเดียวผ่านระบบออนไลน์ ปฏิรูปการทำงานสู่ยุคดิจิทัล | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
สุริยะ ยกเครื่องบริการ ก.อุตฯ เร่งพัฒนา iSingleForm ระบบแจ้งข้อมูลโรงงานในแบบฟอร์มเดียวผ่านระบบออนไลน์ ปฏิรูปการทำงานสู่ยุคดิจิทัล
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ยกเครื่องบริการ ก.อุตฯ เร่งพัฒนา iSingleForm ระบบแจ้งข้อมูลโรงงานในแบบฟอร์มเดียวผ่านระบบออนไลน์ ปฏิรูปการทำงานสู่ยุคดิจิทัล
อุตสาหกรรมเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม iSingleForm เชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภายใน ปฏิรูปการให้บริการหน่วยงานในสังกัดแบบดิจิทัล พร้อมให้บริการออนไลน์แบบครบวงจร สอดรับการทำงานแบบนิว นอร์มอล ช่วยวิเคราะห์สถานะโรงงานและแจ้งสิทธิประโยชน์ พร้อมนำข้อมูลไปใช้ยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ สร้างปัจจัยแวดล้อมสำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขยายการบริการให้ครอบคลุมส่วนงานด้านข้อมูลการประกอบกิจการโรงงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) พัฒนาจัดทำและเปิดใช้งานแพลตฟอร์ม iSingleform ขึ้น เพื่อเป็นช่องทางการบริการแจ้งข้อมูลของผู้ประกอบการให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ภายในกระทรวงให้เหลือเพียงแบบฟอร์มเดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีเป้าหมายในการเร่งยกระดับการบริการของกระทรวงเข้าสู่ระบบออนไลน์ให้ครอบคลุมในทุกมิติเพื่อขับเคลื่อนการเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ขณะเดียวกันปัจจุบันกระทรวงฯ ได้เปิดให้บริการผ่านระบบออนไลน์ในหลายบริการ อาทิ บริการด้านใบอนุญาต บริการยื่นขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน และบริการใบแจ้งการชำระค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งจะเป็นการลดภาระผู้ประกอบการในการเดินทางมาติดต่อหน่วยงานราชการ
“การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภาครัฐจำเป็นจะต้องพัฒนาปัจจัยแวดล้อมให้พร้อม อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและคมนาคม การปรับกฎระเบียบให้ทันสมัย รวมทั้งการบริการของภาครัฐที่ต้องยกระดับให้สอดคล้องกับการทำงานในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งมีความคุ้นชินในการทำธุรกรรมออนไลน์โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ราชการเพื่อขอรับบริการ สามารถแจ้งข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา โดยได้ตั้งเป้าหมายให้ผู้ประกอบการโรงงานแจ้งข้อมูลผ่านแพลตฟอร์ม iSingleForm อย่างทั่วถึงและครอบคลุมผู้ประกอบการในทุกขนาดและทุกพื้นที่มากขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้างกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) ที่ทันสมัยและมีมาตรฐานร่วมกัน ช่วยลดการสำรวจข้อมูลที่ซ้ำซ้อนภายในกระทรวงอุตสาหกรรมและสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมในด้านต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นายสุริยะ กล่าว
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวต่อว่า สศอ. ได้เร่งพัฒนาระบบ iSingleForm และเปิดใช้งานให้ผู้ประกอบการได้แจ้งข้อมูลตามแบบฟอร์มเดียวซึ่งได้รวบรวมข้อคำถามจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายในกระทรวงฯ ไว้ในแบบฟอร์มเดียวเพื่อลดภาระการแจ้งข้อมูล ไม่ให้เกิดความความซ้ำซ้อน โดยข้อมูลที่ผู้ประกอบการได้แจ้งมาตามแพลตฟอร์ม iSingleForm จะถูกนำมาวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำเป็นผลการประเมินสถานภาพของสถานประกอบการเป็นประจำทุกเดือนตามข้อมูลที่ได้แจ้งเข้ามา ซึ่งจะได้รับผลการวิเคราะห์สถานะของกิจการตนเองในแง่มุมต่าง ๆ อาทิ ประสิทธิภาพการผลิต ความสามารถในการจำหน่าย ความสามารถในการบริหารต้นทุน โดยเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด และในรายสาขาอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ประโยชน์
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่แจ้งข้อมูลอย่างต่อเนื่องจะได้รับแจ้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคารที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับทาง สศอ. ซึ่งในปัจจุบันมี 2 ธนาคาร คือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SMEs Bank) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ได้รับแจ้งสิทธิการเข้ารับคำปรึกษาเพื่อการพัฒนาสถานประกอบการ และการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพสถานประกอบการโรงงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (4 มกราคม 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเกียรติชาติ ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และ คณะร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบต่อระดับเส้นฐานอ้างอิง ภาคป่าไม้ (FREL) ซึ่งเป็นข้อมูลเส้นฐาน (Base Line) ค่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการทำลายป่าไม้ และทำให้ป่าเสื่อมโทรม โดยโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตรได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดส่งระดับเส้นฐานอ้างอิงภาคป่าไม้ต่อสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบ video conference ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพบกปฏิเสธข้อวิจารณ์การไม่ลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
กองทัพบกปฏิเสธข้อวิจารณ์การไม่ลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19
กองทัพบกปฏิเสธข้อวิจารณ์การไม่ลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีการไม่ลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า กองทัพบกให้ความสำคัญและสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19มาโดยตลอดร่วมกับการดูแลประชาชนในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการดำรงชีพ สำหรับปัญหาการแพร่ระบาดในครั้งแรก ที่มีการระบุว่าสนามมวยลุมพินี เป็นจุดแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นั้น กองทัพบกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวทันที และให้ความร่วมมือในกระบวนการสอบสวนโรคกับกระทรวงสาธารณสุขในทุกขั้นตอน ต่อมาผลการสอบสวนของคณะกรรมการพบว่ามีความบกพร่องในการควบคุมโรค จึงได้ดำเนินการปรับย้ายผู้บริหารและผู้รับผิดชอบสถานที่ดังกล่าว และได้แต่งตั้งคณะกรรมการสนามมวยลุมพินีขึ้นใหม่แทนชุดเดิมเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวถือว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ได้ถูกดำเนินการ ตามความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมแล้ว ในขณะเดียวกันสนามมวยลุมพินีได้ดำเนินมาตรการในการป้องกันอย่างเป็นระบบโดยปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดสนามมวยฯ ก็ยังคงรักษามาตรฐานการป้องกันโรค และไม่ได้เปิดดำเนินการ โดยเป็นไปตามมาตรการของ ศบค. ในการระบาดระรอกใหม่
กองทัพบกเห็นว่า สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาที่ทุกส่วนต้องร่วมมือกันทั้งมิติด้านการรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การสร้างการรับรู้ให้ทันต่อสถานการณ์ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกันคือประชาชนปลอดภัย ไม่มีการแพร่ระบาด ไม่ได้รับเชื้อ ภายใต้การช่วยเหลือดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบและสังคมไทยสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติดังเดิม
ขณะที่ พลตำรวจตรี ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการกำชับให้ตำรวจทั่วประเทศคอยกวดขันเรื่องการลักลอบเล่นการพนันอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีหน่วยไหนปล่อยปละละเลย หรือพบว่ามีตำรวจนายใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าในทุกกรณีที่มีประเด็นใดเกิดขึ้นมา หรือสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจ ทางจเรตำรวจ ก็ได้เข้าไปตรวจสอบอย่างต่อเนื่องและจริงจังทุกครั้ง โดยไม่สนใจว่าจะมีการให้ข่าวเพื่อขี้แจงแบบใด ทางจเรตำรวจแห่งชาติก็จะดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎจากการสืบสวน ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกๆฝ่าย และเพื่อความโปร่งใสในการทำงานของตำรวจ จะเห็นได้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่มีการย้ายผู้บังคับบัญขาระดับสูงของหน่วยออกนอกพื้นที่ ก็เพื่อให้ทางชุดสืบสวนข้อเท็จจริงได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ และขอยืนยันว่าไม่มีการแค่ย้ายก็จบเรื่องอย่างแน่นอน การสืบสวนข้อเท็จจริงจะดำเนินการไปจนถึงที่สุด เพื่อให้ปรากฎข้อเท็จจริง และหากพบว่ามีการกระทำผิด หรือปล่อยปละละเลย ก็จะมีการดำเนินการทั้งทางวินัยและทางกฎหมายตามมาอย่างแน่นอน
---------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าตั้งแต่โครงการฯ ได้เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 และเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 มาจนถึงปัจจุบันมีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 7.3 ล้านคน ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,514 แห่ง ร้านอาหาร 67,527 แห่ง สถานที่ท่องเที่ยว 2,098 แห่ง ร้าน OTOP 1,383 แห่ง และสปาหรือร้านนวดเพื่อสุขภาพและบริการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว 204 แห่ง โดยข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2564 มีการใช้สิทธิจองห้องพักผ่านโครงการฯ แล้วทั้งสิ้น 5,106,470 สิทธิ (จากทั้งหมด 6 ล้านสิทธิ) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,634 ล้านบาท โดยเป็นการจองผ่านโรงแรมทั้งหมด 5,274 แห่ง รวมถึงมีการใช้จ่ายผ่าน E – Voucher ประมาณ 5,711.6 ล้านบาท และมูลค่าบัตรโดยสารเครื่องบินประมาณ 1,001.87 ล้านบาท โดยรวมแล้วมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการฯ แล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
สำหรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงการจองห้องพัก ปัจจุบันกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 รวมทั้งกำหนดระบบการเลื่อนวันเข้าพักสำหรับประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการปรับปรุงระบบให้สอดรับกับการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยเร็วต่อไป ในระหว่างนี้ประชาชนที่ได้จองโรงแรมที่พักเพื่อเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่มีความประสงค์จะเลื่อนการเข้าพักสามารถประสานโรงแรมได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยโรงแรมสามารถรับเรื่องไว้ได้ก่อน และขอให้โรงแรมดำเนินการแจ้งการเลื่อนในระบบต่อไป
----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38065 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศลช. มอบของขวัญปีใหม่ 2564 นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ตอบรับวิถีชีวิตใหม่ | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
ศลช. มอบของขวัญปีใหม่ 2564 นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ตอบรับวิถีชีวิตใหม่
ศลช. มอบของขวัญปีใหม่ 2564 นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ตอบรับวิถีชีวิตใหม่
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) ดร.ศิรศักด์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ มอบนวัตกรรมหน้ากากผ้านาโนกันไรฝุ่น WIN-Masks จำนวน 2,000 ชิ้น ซึ่งสามารถซักได้ 30 ครั้ง โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติ ลดขยะปนเปื้อนจากหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (disposable) มีประสิทธิภาพการกรองที่อนุภาค 0.3 ไมครอน และมอบเฟซชิลด์ (Face Shield) จำนวน 1,000 ชิ้น เพื่อป้องกัน COVID-19 เป็นของขวัญปีใหม่ 2564 เมื่อวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำส่งมอบความห่วงใยให้แก่ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ย่านสมุทรสาคร โดย ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้เกียรติเป็นผู้แทนรับมอบ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จะนำไปแจกจ่ายในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบย่านสมุทรสาครตามลำดับต่อไปอย่างเร่งด่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38074 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยให้สามารถนั่งทานอาหารที่ร้านได้จนถึง 21.00 น. ย้ำต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด เดินหน้าเตรียมความพร้อมวัคซีนระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส | วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยให้สามารถนั่งทานอาหารที่ร้านได้จนถึง 21.00 น. ย้ำต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด เดินหน้าเตรียมความพร้อมวัคซีนระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส
นายกรัฐมนตรีเผยให้สามารถนั่งทานอาหารที่ร้านได้จนถึง 21.00 น. ย้ำต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด เดินหน้าเตรียมความพร้อมวัคซีนระยะแรกจำนวน 2 ล้านโดส
วันนี้ (4 ม.ค. 64) เวลา 16.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า รัฐบาลกำลังเร่งตรวจสอบคัดกรองในหลายพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมผู้ป่วยติดเชื้อให้อยู่ในสถานที่ที่สามารถควบคุมได้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบการตรวจสอบคัดกรองได้มากยิ่งขึ้น จำนวนตัวเลขผู้ป่วยแม้จะสูงขึ้น แต่แสดงให้เห็นว่ามาตรการในการควบคุมป้องกันอยู่ในระดับดีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการเดินทางของพี่น้องประชาชนบ้าง จึงขออภัยในความไม่สะดวกและขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ด้วย
นายกรัฐมนตรีเผยจากการรับฟังข้อเสนอจากสมาคมภัตตาคารไทยที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากคำสั่งยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 จึงได้ขอให้ยกเลิกคำสั่งของกทม. ไปก่อนและให้ขยายระยะเวลานั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารได้จนถึง 21.00 น. แต่ต้องมีมาตรการเข้มงวดทั้งการกำหนดจำนวนคน เว้นระยะห่าง ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ อาจให้ปิดบริการ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าเข้าใจถึงสถานการณ์และไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งมาตรการและการจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปบ้างแล้วในบางประเทศ ขณะที่ประเทศไทยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ต้องผ่านมาตรฐานการรองรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งมอบหมายให้กรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติทำงานร่วมกัน เบื้องต้น คาดว่าจะได้รับจากวัคซีนเบื้องต้นเป็นจำนวน 2 ล้านโดส ในระยะเวลา 3 เดือน โดยจะจัดลำดับการฉีดวัคซีนตามความเร่งด่วน และวัคซีนอีก 26 ล้านโดสจะเข้ามาในระยะต่อไป และจะมีเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะทำให้สามารถฉีดวัคซีนแก่คนไทยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้ ทั้งนี้ ก็จะมีการพิจารณาหากมีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ก็มีความพร้อมในการผลิต
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังเตือนให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน ยืนยันว่า รัฐบาลทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานบนพื้นฐานข้อมูลเดียวกันที่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 มกราคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (12 มกราคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่
กองทุนวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม)
2. เรื่อง ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะกระ ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ
จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่.. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐตามมาตรการหรือโครงการอันเนื่องมาจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)
เศรษฐกิจ - สังคม
10. เรื่อง การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
11. เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022
12. เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
13. เรื่อง รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
14. เรื่อง ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปกระทรวงยุติธรรม
15. เรื่อง แผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และการเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ (ทุนเสมอภาค)
16. เรื่อง รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2563
17. เรื่อง แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน เพื่อส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563-2580
18. เรื่อง รายงานตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2562
19. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 สภาผู้แทนราษฎร
20. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤศจิกายน 2563
21. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19)
22. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ พ.ศ. 2563
23. เรื่อง ขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม พลิกฟื้นเศรษฐกิจภาคการเลี้ยงโคนมและผลิตภัณฑ์นม
24. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ระยะที่ 5
25. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม
ครั้งที่ 1/2564 (โครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการ รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)
26. เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจในระยะเร่งด่วน(เดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2564) จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ในระลอกใหม่
27. เรื่อง มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ต่างประเทศ
28. เรื่อง การรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. 2563 – 2567
29. เรื่อง เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล
ครั้งที่ 1
30. เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง
31. เรื่อง ผลการประชุมทางไกลระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 10
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
33. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
35. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
****************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กค. เสนอว่า
1. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2535 ถูกยุบเลิก และได้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติขึ้น รวมทั้งได้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และเงินของกองทุนสนับสนุนการวิจัยไปเป็นของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมด้วย
2. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมขอให้ กค. พิจารณาขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการหักเงินบริจาคเป็นจำนวนสองเท่าตามมาตรการภาษีในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรฯ ซึ่งได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ออกไปอีก เพื่อให้เป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
3. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้ภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมสนับสนุนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจูงใจให้มีการบริจาคเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ในการดำเนินงานด้านพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้ดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม) ขึ้น โดยได้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ผู้บริจาคที่ได้บริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแทนกองทุนสนับสนุนการวิจัยซึ่งถูกยุบเลิก และกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข นับแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
4. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยรายงานว่ามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท แต่ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมีดังนี้
4.1 ช่วยในการจูงใจให้ภาคเอกชนบริจาคให้แก่กองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ
4.2 เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการและสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
สาระสำคัญของร่างพระราชฤษฎีกา
1. กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข สามารถนำเงินที่บริจาคมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลดหย่อนได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายสำหรับการบริจาคตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของเงินที่ได้จ่ายตามกรณีที่กำหนดไว้ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนแล้ว
2. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข สามารถนำเงินที่บริจาคมาหักเป็นรายจ่ายได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรซึ่งกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายต้องไม่เกินร้อยละสิบของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาแล้ว ตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร
3. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น มีผลใช้บังคับสำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
2. เรื่อง ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ และเพื่อให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบงานให้สอดคล้องกับระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งจูงใจให้ผู้ประกอบการใช้งานระบบการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Withholding Tax) อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยการลดต้นทุนและปริมาณเอกสาร อันจะเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนรูปแบบองค์กร (Digital Transformation) ของทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนนโยบายประเทศไทย 4.0 ตลอดจนสร้างเสริมการปรับตัวให้เข้ากับความปกติใหม่ (New Normal) ในการช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019
2. กค. พิจารณาแล้ว จึงเห็นควรขยายระยะเวลาให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของการลงทุนพัฒนาระบบ e – Tax Invoice & e – Receipt และระบบ e – Withholding Tax และการใช้บริการระบบ e - Tax Invoice & e – Receipt ของผู้ให้บริการ แต่ไม่รวมถึงการลงทุนติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบดังกล่าว และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมถึงการใช้บริการระบบ e – Withholding Tax ของผู้ให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และเห็นควรขยายระยะเวลามาตรการภาษีตามมาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในส่วนที่มีอัตราร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e – Withholding Tax ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 361 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ และเพิ่มเติมการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายดังกล่าวให้ครอบคลุมในส่วนที่มีอัตราร้อยละ 5 เหลืออัตราร้อยละ 2 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e – Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
3. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ดังนี้
3.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้
3.1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคล ประมาณ 3,000 ล้านบาท
3.1.2 ร่างกฎกระทรวงฯ จะไม่ทำให้สูญเสียรายได้ภาษี แต่จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดำเนินมาตรการประมาณ 24,840 ล้านบาท (รวมผลจากการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e – Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 361 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้แล้ว) ซึ่งกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวจะเป็นเม็ดเงินที่หมุนเวียนเพิ่มมูลค่าให้แก่ระบบเศรษฐกิจต่อไป
3.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.2.1 ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
3.2.2 ภาคเอกชนจะมีการใช้ระบบ e – Withholding Tax อย่างแพร่หลายในการทำธุรกรรมระหว่างกันและการทำธุรกรรมกับภาครัฐ ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สนับสนุนนโยบายประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
3.2.3 ภาคเอกชนจะมีต้นทุนและภาระในการจัดทำและการจัดเก็บเอกสาร รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีลดลง
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนพัฒนาระบบ e – Tax Invoice & e – Receipt และระบบ e – Withholding Tax และการใช้บริการระบบ e - Tax Invoice & e – Receipt ของผู้ให้บริการ แต่ไม่รวมถึงการลงทุนติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมถึงการใช้บริการระบบ e – Withholding Tax ของผู้ให้บริการ ได้เป็นจำนวน 2 เท่าของที่จ่ายจริง สำหรับรายจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
2. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 361 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ โดยขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่มีอัตราร้อยละ 3 เหลืออัตราร้อยละ 2 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e – Withholding Tax ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 361 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ จากเดิมตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และกำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในส่วนที่มีอัตราร้อยละ 5 เหลืออัตราร้อยละ 2 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e – Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมตามประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1) โดยที่พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มาตรา 4 บัญญัติให้ “เขตป่าอนุรักษ์” หมายความว่า เขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า หรือเขตพื้นที่อื่นใดที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ หรือคุณค่าอื่นอันควรแก่การอนุรักษ์หรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ประกอบกับมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ดังนั้น เพื่อเป็นการสงวนและรักษาเขตพื้นที่ที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ หรือคุณค่าอื่นอันควรแก่การอนุรักษ์ หรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบางพื้นที่ไว้ให้ยังคงอยู่ในสภาพตามธรรมชาติเดิม และมิให้นำไปจัดตั้งเป็นป่าชุมชน ทส. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. …. เพื่อกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายลำดับรองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ซึ่ง ทส. ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด (30 พฤษภาคม 2563) และได้รายงานคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563
2) ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1) และให้ดำเนินการต่อไป
3) ทส. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับร่างกระทรวงฉบับนี้ตามมาตรา 16 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 โดยจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดทำหนังสือเวียนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมเสนอความคิดเห็นแล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างกฎกระทรวงฉบับนี้แล้วมีข้อสังเกตว่า หากคณะรัฐมนตรีมีมติให้เขตพื้นที่ที่จะกำหนดในร่างกฎกระทรวงนี้ครอบคลุมถึงเขตพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวหรือเป็นพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศด้วย ก็จะทำให้การอนุรักษ์สอดคล้องกับหลักการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหัสวรรษ อาทิ พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องสงวนรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารโดยแท้จริง หากสูญเสียสภาพป่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรง
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้พื้นที่ที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ หรือมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์หรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นเขตป่าอนุรักษ์ที่มิให้นำมาจัดตั้งเป็นป่าชุมชน ได้แก่ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ พื้นที่ป่าที่ได้รับการประกาศหรือขึ้นทะเบียนไว้กับองค์การระหว่างประเทศ พื้นที่ป่าที่เป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ พื้นที่ป่าที่เป็นเขตโบราณสถาน
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะกระ ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะกระ ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1.กำหนดบทนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” และ “หน่วยงานของรัฐ”
2.กำหนดให้หมู่เกาะกระ ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และพื้นที่ทะเลรอบหมู่เกาะดังกล่าว เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยจำแนกพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบ่งออกเป็น 3 บริเวณ ดังนี้
2.1บริเวณที่ 1ได้แก่ พื้นที่บนแผ่นดินนับจากแนวชายฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินของ เกาะกระใหญ่ เกาะกระกลาง และเกาะกระเล็ก
2.2บริเวณที่ 2ได้แก่ พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลลงมาจนถึงแนวปะการังตามธรรมชาติและบริเวณต่อเนื่อง
2.3บริเวณที่ 3ได้แก่ พื้นที่ทะเลถัดจากบริเวณที่ 2 ออกไปภายในบริเวณเส้นตรงที่เชื่อมต่อจุดพิกัด
3.กำหนดให้พื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมอาทิ การทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ปล่อยน้ำเสีย การทำเหมืองแร่ในทะเล การสำรวจ รวมถึงการขุด การถมทะเล หรือการขุดลอกร่องน้ำ
4. กำหนดให้การนำเรือเข้าออกในบริเวณที่ 2 และบริเวณที่ 3 ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือ เป็นอันตรายต่อแนวปะการัง
5. กำหนดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายกำกับดูแลและติดตามการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดูแล ติดตาม และตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ และรายงานผลการบังคับใช้มาตรการฯ ต่อคณะกรรมการอย่างน้อยปีละครั้ง สนับสนุนโครงการส่งเสริมองค์ความรู้ ให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชน ในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอ ปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อสงวนไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติเดิม ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของปะการังและสัตว์ทะเลหายากในฝั่งอ่าวไทย ดังนี้
1. กำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีและพื้นที่ทะเล รอบเกาะดังกล่าว ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวง เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยมีมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะพื้นที่ โดยให้จำแนกพื้นที่ออกเป็น 2 บริเวณ ดังนี้
1.1 บริเวณที่ 1 ได้แก่ พื้นที่บนแผ่นดินรวมทั้งพื้นที่ทะเลภายในบริเวณเส้นตรงที่ผ่านจุดพิกัดที่ 1 ถึงจุดพิกัดที่ 4 เป็นไปตามแผนที่แนบท้าย
1.2 บริเวณที่ 2 ได้แก่ พื้นที่ทะเลถัดจากบริเวณที่ 1 ออกไปภายในบริเวณเส้นตรงที่ผ่านจุดพิกัดที่ 5 ถึงจุดพิกัดที่ 8 เป็นไปตามแผนที่แนบท้าย
2. กำหนดให้ภายในพื้นที่บริเวณที่ 1 ห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรม ดังนี้
2.1 ห้ามทำให้เกิดมลพิษ ขยะ สารแขวนลอย ตะกอนแขวนลอย และมลสารปนเปื้อนจากการเดินเรือ การจอดเรือ การขนส่ง หรือการขนถ่าย ที่มีผลทำให้คุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมหรือเสียสภาพความเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์น้ำหายาก
2.2 กระทำหรือดำเนินกิจกรรมใด ที่เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย หรืออาจเป็นอันตราย ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของแนวปะการัง ซากปะการัง กัลปังหา สัตว์น้ำในแนวปะการังและสัตว์ทะเลหายาก
2.3 การประกอบการประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
2.4 การทิ้งสมอ โดยกรณีที่ประสงค์จะจอดเรือ ให้กระทำโดยการผูกเรือกับทุ่นจอดเรือในบริเวณที่กำหนด และการกระทำหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่
2.5 การก่อสร้าง เว้นแต่เป็นการดำเนินการของทางราชการ เพื่อคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อรักษาความมั่นคงทางทะเล หรือเพื่อการศึกษาวิจัย ซึ่งต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และไม่เป็นการทำลายสภาพธรรมชาติเดิม โดยต้องได้รับความเห็นของกรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง และกองทัพเรือ เพื่อนำไปประกอบการขออนุญาตก่อสร้างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการเก็บทรัพยากรธรรมชาติหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นอันตรายต่อสัตว์และพืช เว้นแต่เป็นการดำเนินการของทางราชการเพื่อการศึกษาวิจัย โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด และการนำสัตว์และพืชเข้าไปเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี
2.6 การทำเหมืองแร่ในทะเล การสำรวจ การขุดเจาะน้ำมัน การผลิต การถ่ายเทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การขุด การถมทะเล หรือการขุดลอกร่องน้ำ
3. กำหนดให้พื้นที่บริเวณที่ 2 ห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรม ดังนี้
3.1 ทำให้เกิดมลพิษ ขยะ สารแขวนลอย ตะกอนแขวนลอย และมลสารปนเปื้อนจากการเดินเรือ การจอดเรือ การขนส่ง หรือการขนถ่าย ที่มีผลทำให้คุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมหรือเสียสภาพความเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์น้ำ
3.2 กระทำหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เป็นการทำลาย ทำให้เสียหายหรืออาจเป็นอันตราย ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของแนวปะการัง ซากปะการัง กัลปังหา สัตว์น้ำในแนวปะการังและสัตว์ทะเลหายาก
3.3 การทำเหมืองแร่ในทะเล การสำรวจ การขุดเจาะน้ำมัน การผลิต การถ่ายเทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การขุด การถมทะเล หรือการขุดลอกร่องน้ำ และการประกอบการประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ยกเว้นการทำการประมงโดยใช้เบ็ดมือ
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในราชการของกองทัพเรือ
4. กำหนดให้การประกอบการท่องเที่ยวดำน้ำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด
5. กำหนดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดังนี้
5.1 จัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยแนวทางการอนุรักษ์ คุ้มครอง ดูแลและฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การคุ้มครองและการดูแลรักษาสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การติดตามและประเมินผล โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดปัตตานี
5.2 สนับสนุนโครงการส่งเสริมองค์ความรู้ท้องถิ่นหรือกิจกรรมแก่ชุมชนในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมเพื่อการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟูและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่กรมประกาศกำหนด
5.3 ให้คำปรึกษาและข้อมูลแก่ชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการการบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
5.4 กำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ คค. เสนอ ว่า
1. ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 และได้ภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2505 ซึ่งการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวมีผลให้กรมการขนส่งทางบกจะต้องออกใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้ตราพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้มีใบอนุญาต ขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี เป็นใบอนุญาตขับรถประเภทหนึ่งและออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2546 ข้อ 2 (14) กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขับรถยนต์ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งประเทศไทยได้ภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2505 ฉบับละ 500 บาท
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (7 เมษายน 2563) เห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 โดยกระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำสัตยาบันและได้นำส่งสัตยาบันต่อสหประชาชาติ ซึ่งสหประชาชาติได้แจ้งการรับยื่นสัตยาบันสารของประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 มีผลให้อนุสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทำให้ประเทศไทยต้องดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ เช่น กำหนดรูปแบบของใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับรูปแบบของใบอนุญาตตามอนุสัญญาดังกล่าวเพิ่มเติม อีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากรูปแบบของใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968
3. โดยที่กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน คือ กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2546 ข้อ 2 (14) ได้กำหนดค่าธรรมเนียมเฉพาะใบอนุญาตขับรถยนต์ตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 ยังไม่ครอบคลุมถึงการออกใบอนุญาตขับรถตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 จึงไม่มีค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บในการออกใบอนุญาตขับรถตามอนุสัญญาดังกล่าว
4. ดังนั้น เพื่อให้กฎกระทรวงดังกล่าวครอบคลุมถึงอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ทำ ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 รวมถึงความตกลงระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ประเทศไทยเป็นภาคี จึงสมควรกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขับรถให้ครอบคลุมอนุสัญญาดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2546 เพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ฉบับละ 500 บาท
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2542 ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 ซึ่งกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1136 – 2536
2. ต่อมาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหารตามพระราชกฤษฎีกาข้อ 1 เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันและเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหารภายในประเทศให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและมีคุณภาพ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1136 – 2559 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5508 (พ.ศ.2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณา ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สขค. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นเป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. สขค. มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทหนึ่งและเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และมีหน้าที่กำกับดูแลการประกอบธุรกิจและกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม รวมทั้งพิจารณากำหนดโทษปรับทางปกครองในกรณีมีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น สขค. จึงอาจมีคำสั่งเรียกให้ผู้ประกอบการชำระค่าปรับอันมีสถานะเป็นคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน และเมื่อถึงกำหนดชำระเงินแล้ว หากไม่มีการชำระเงินโดยครบถ้วน จึงอาจต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าว สขค. ไม่มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบังคับทางปกครอง จึงจำเป็นต้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนตามมาตรา 63/15 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม สขค. มิได้มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ตามนัยบทบัญญัติมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. ดังนั้น เพื่อให้ สขค. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันจะทำให้การบังคับทางปกครองของหน่วยงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงฉบับนี้
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ สขค. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับตามคำสั่งทางปกครอง โดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วย วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่.. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐตามมาตรการหรือโครงการอันเนื่องมาจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่.. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใด ที่ได้รับจากภาครัฐตามมาตรการหรือโครงการอันเนื่องมาจากการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2563 จากการที่ผู้มีเงินได้ได้รับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดตามมาตรการหรือโครงการที่ได้รับความเห็นชอบ จากคณะรัฐมนตรี ทั้งสิ้น 4 มาตรการหรือโครงการ ได้แก่ (1) มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) (2) โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน (3) โครงการกำลังใจ และ (4) โครงการคนละครึ่ง
เศรษฐกิจ - สังคม
10. เรื่อง การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของเทศบาล ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. ปัจจุบันสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้ครบวาระการดำรงตำแหน่งทั่วประเทศแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2561 โดยที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าวยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 85/2557 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ 25 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2559 เรื่อง การให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 6/2560 เรื่อง การแต่งตั้งนายกเมืองพัทยา ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2560
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดก่อน ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแล้ว เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563
3. คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นประธานกรรมการ ได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นต่อไป สรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1) การดำเนินการของ มท.
1.1) ข้อมูลจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ได้ประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 30 มกราคม 2563
1.2) การรวมหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนตำบล กรมการปกครองได้ดำเนินการสำรวจและประกาศรวมหมู่บ้านที่มีราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ไม่ถึง 25 คน กับหมู่บ้านอื่นที่มีพื้นที่ติดต่อกันเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน 41 จังหวัด 109 อำเภอ 128 ตำบล 203 หมู่บ้าน รวม 150 เขตเลือกตั้ง โดยปี พ.ศ. 2563 ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในวันที่ 31 มกราคม 2563 และดำเนินการต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2564 ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564
1.3) การเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้แจ้งจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้เป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะการจัดเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับ การจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้พร้อมแล้ว
1.4) กรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบางริ้น เทศบาลตำบลปากน้ำ และเทศบาลตำบลปากน้ำท่าเรือ จังหวัดระนอง มท. ตรวจสอบแล้วแนวเขตพื้นที่มีความชัดเจน โดยสำนักทะเบียนในพื้นที่ดำเนินการย้ายทะเบียนบ้านให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงแล้ว สำหรับกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของสมาชิกสภาเทศบาลตำบลปากน้ำปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แนวเขตพื้นที่มีความชัดเจน และสำนักทะเบียนในพื้นที่ดำเนินการย้ายทะเบียนบ้านให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว
2) การดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
2.1) ดำเนินการออกระเบียบและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว
2.2) ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครบทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถประกาศแต่งตั้งได้ทันทีที่มีการประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้น
2.3) ดำเนินการอบรมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด และระดับอำเภอ ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว สำหรับการอบรมกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง จะดำเนินการเมื่อมีการประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
2.4) ดำเนินการจัดทำร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี ดังนี้
(1) ร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง
กรอบระยะเวลา
การดำเนินการ
วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งคาดว่าจะประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
(2) ร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง (สำรอง)
กรอบระยะเวลา
การดำเนินการ
วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งคาดว่าจะประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
3) การดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว
ทั้งนี้ ความพร้อมของ มท. และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้แล้ว
ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 142 บัญญัติในการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใด ให้แจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นแล้ว ให้ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการงดการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และกำหนดวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นสิ้นผลบังคับสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
11. เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022 โดยใช้กรอบงบประมาณวงเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้น เห็นควรที่ อว. โดยมหาวิทยาลัยมหิดลจะพิจารณาถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงินที่ต้องใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ จากเงินรายได้และหรือเงินอื่นใดที่มีอยู่หรือนำมาใช้จ่ายได้ รวมทั้งการสนับสนุนจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานอื่นมาสมทบการดำเนินงานในลำดับแรกก่อน เพื่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามความจำเป็นเหมาะสมตามขั้นตอน ทั้งนี้ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวควรคำนึงถึงความประหยัด การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวมทั้งการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
อว. รายงานว่า
1. การแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยสมาพันธ์ระดับนานาชาติ RoboCup (International RoboCup Federation) และมีการจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งประเทศไทยได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันหุ่นยนต์ Robocup ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 โดยการส่งตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสำเร็จเป็นแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยและหุ่นยนต์เตะฟุตบอลขนาดเล็ก วิทยาการหุ่นยนต์จึงกลายเป็นสาขาที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลไทยเห็นความสำคัญและส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาการหุ่นยนต์มาเป็นลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยได้รับการทาบทามให้จัดการแข่งขันหุ่นยนต์ในระดับภูมิภาคเป็น Super Regional RoboCup ภายใต้ชื่อ RoboCup Asia Pacific หรือ RCAP มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน จาก 20 ประเทศทั่วโลก และในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยได้จัดการแข่งขันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 - 18 ธันวาคม 2560 ภายใต้ชื่องานมหกรรม Thailand Robotics Week 2017 และการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ RoboCup Asia Pacific 2017 (RCAP 2017) [ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เป็นต้น] สมาพันธ์ระดับนานาชาติ RoboCup ได้ประจักษ์ถึงศักยภาพของประเทศไทย จึงได้เชิญให้เข้าร่วมคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกครั้งที่ 25 (RoboCup 2021) ซึ่ง อว. โดยมหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท เอ็น.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล อีเว้นท์ จำกัด ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อว.) กรมศุลกากร (กระทรวงการคลัง) และกรมการกงสุล (กระทรวงการต่างประเทศ) เป็นต้น ได้เข้าร่วมการประมูลสิทธิ์การจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกครั้งที่ 25 ของคณะกรรมการสมาพันธ์ RoboCup (RoboCup Trustee) และที่ประชุมคณะกรรมการสมาพันธ์ Robocup มีมติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกครั้งที่ 25 ทั้งนี้ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) คณะกรรมการสมาพันธ์ RoboCup จึงได้ขอเลื่อนกำหนดการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกครั้งที่ 25 RoboCup 2021, Bangkok, Thailand ออกไปเป็น RoboCup 2022, Bangkok, Thailand โดยมีกำหนดจัดงานในช่วงเดือนมิถุนายน 2565
2. การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
สาระสำคัญของโครงการ
วัตถุประสงค์
· เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
· เพื่อกระตุ้นการวิจัยและการต่อยอดงานวิจัยในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ รวมทั้งสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่มีความเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างประเทศ
· เพื่อเชื่อมโยงและสนับสนุนกับภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในระบบอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ รวมถึงแสดงศักยภาพของนักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ นักเรียน และนักศึกษาไทย ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
· เพื่อขับเคลื่อนงานจัดประชุมและแสดงสินค้าในกลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมมุ่งสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S - Curve)
· เพื่อกระตุ้นการพัฒนาบุคลากรภายในประเทศไทย ผู้ประกอบการ นักประดิษฐ์ นักวิจัย นิสิตนักศึกษาให้เป็นวิศวกรพันธุ์ใหม่ ที่สนใจแก้ไขปัญหาทำงานร่วมกันเป็นทีม รู้จักแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีข้ามสถาบันการศึกษาทั่วโลกเกิดเป็นเครือข่ายพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยยึดหลักวิชาการ และการวิจัยและพัฒนาเป็นสำคัญ
· เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์จากนักวิชาการระดับโลก และทีมหุ่นยนต์ที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศสู่ประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานของหุ่นยนต์ภายในประเทศสู่การนำไปใช้จริง
กิจกรรมหลัก
ที่ต้องดำเนินการ
(1) จัดประชุมคณะกรรมการหรือคณะทำงานทุก 2 เดือน
(2) จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการในเดือนมีนาคม – เมษายน 2564 เพื่อพัฒนาและสร้างบุคลากรของประเทศไทยให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ และเป็นตัวแทนในการเข้าร่วมการแข่งขัน RoboCup Thailand 2021 ในงาน Thailand Robotics Week 2021 ในช่วงเดือนธันวาคม 2564 และหาตัวแทนของประเทศเข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022 ในช่วงเดือนมิถุนายน 2565
(3) รายงานความพร้อมของการจัดการแข่งขัน RoboCup 2022, Bangkok, Thailand ต่อคณะกรรมการสมาพันธ์ RoboCup ในการแข่งขัน RoboCup 2021 ณ เมืองบอร์โด (Bordeaux) ประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2564
(4) แถลงข่าวและประชาสัมพันธ์การจัดงาน Thailand Robotics Week 2021
(5) จัดงาน Thailand Robotics Week 2021 ในช่วงเดือนธันวาคม 2564
(6) จัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup ครั้งที่ 25 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยมีกิจกรรมแบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 การจัดการแข่งขัน แบ่งเป็น 2 กลุ่มการแข่งขันหลัก ประกอบด้วย การแข่งขันในกลุ่มอายุไม่เกิน 19 ปี หรือ RoboCup Junior League และการแข่งขันในกลุ่มอายุ 19 ปี ขึ้นไป หรือ RoboCup Major League
ส่วนที่ 2 Exhibition เป็นพื้นที่สำหรับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และส่วนที่จะแสดงถึงวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักของนานาประเทศ ส่วนนิทรรศการสำหรับหน่วยงานที่สนับสนุนและแสดงสินค้าสำหรับผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และกลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติ
ส่วนที่ 3 symposium จะเป็นการนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โดยนักวิชาการ ด้านหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีส่วนผลักดันในการพัฒนาหุ่นยนต์ในด้านต่าง ๆ
ส่วนที่ 4 Startup Pitching เป็นเวทีกลางที่เปิดโอกาสให้ผู้ประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ นักวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ได้เข้ามามีโอกาสในการนำเสนอนวัตกรรมการประดิษฐ์ของตนต่อกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งเป็นการ Matching กันก่อให้เกิด Startup ได้ในอนาคต
ประโยชน์
ที่คาดว่าจะได้รับ
· เสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรและเพิ่มจำนวนบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ของประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
· เสริมสร้าง พัฒนาการวิจัย และการต่อยอดงานวิจัยในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ รวมทั้งสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่มีความเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างประเทศ
· เป็นการเชื่อมโยงและสนับสนุนกับภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะระบบอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศ รวมถึงแสดงศักยภาพของนักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ นักเรียน และนักศึกษาไทยให้เป็นที่รู้จักเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
· เกิดการลงทุนระหว่างประเทศจากอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ผลกระทบ
การพัฒนาวิทยาการด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม
New S – Curves ในรูปแบบของการจัดการแข่งขันทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจึงเป็นการตอบรับต่อนโยบายภาครัฐสู่การเป็น Thailand 4.0 ซึ่งจะเป็นการสร้างระบบนิเวศขนาดใหญ่ของประเทศ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และด้านอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสามารถจุดประกายนักเรียนและนักศึกษาซึ่งจะเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพของประเทศ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมทางด้านหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติภายในประเทศต่อไปในอนาคต
โดย อว. ขอใช้กรอบงบประมาณวงเงิน 20 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 [ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 70 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 50 ล้านบาท อว. จะขอรับงบประมาณสนับสนุนจากสมาพันธ์ระดับนานาชาติ RoboCup และหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) เป็นต้น]
12. เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยเพิ่มเติมตำแหน่งที่เห็นควรจัดสรรคืนทั้งหมดเพื่อให้ส่วนราชการสามารถแต่งตั้งบุคคลได้อย่างต่อเนื่องทันที เฉพาะตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภทอำนวยการตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้
1. ตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดและตำแหน่งรองศึกษาธิการจังหวัด
2. ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. ตำแหน่งผู้อำนวยการภายในสถาบันการอาชีวศึกษา
สำหรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) เฉพาะตำแหน่งที่ ก.ค.ศ. กำหนดเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ และตำแหน่งประเภททั่วไป ในหน่วยงานการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ร้อยละ 10 โดยให้พิจารณาในภาพรวมของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุทั้งหมดของหน่วยงานในปีงบประมาณนั้น ๆ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. รายงานว่า
1. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.) ได้ขอให้ทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) ตามมติคณะรัฐมนตรี (19 มีนาคม 2562) ในกรณีการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานในรูปแบบอื่นในตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด รองศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการภายในสถาบันการอาชีวศึกษา ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง ก.ค.ศ. กำหนดให้เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ โดยให้พิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุในตำแหน่งดังกล่าวคืนให้ส่วนราชการเดิมทั้งหมดเช่นเดียวกับตำแหน่งประเภทอำนวยการของข้าราชการพลเรือนสามัญ
2. คปร. ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 มีมติเห็นชอบการทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามที่กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562) โดยให้เพิ่มเติมตำแหน่งที่เห็นควรจัดสรรคืนทั้งหมด เพื่อให้ส่วนราชการสามารถแต่งตั้งบุคคลได้อย่างต่อเนื่องทันที เฉพาะตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภทอำนวยการ เช่นเดียวกันกับการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ สรุปสาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ฯ ได้ ดังนี้
หลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรี
(19 มีนาคม 2562)
หลักเกณฑ์ที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมตามมติ คปร.
ครั้งที่ 2/2563
-ให้ ก.ค.ศ. พิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้
1) ตำแหน่งที่เห็นควรจัดสรรคืนทั้งหมด เพื่อให้ส่วนราชการสามารถแต่งตั้งบุคคลได้อย่างต่อเนื่องทันที ได้แก่
1.1) ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา
1.2) ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนขึ้นไป ซึ่งไม่อยู่ในแผนการถ่ายโอนให้แก่ อปท. หรือไม่อยู่ในแผนการควบรวมสถานศึกษา เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานของสถานศึกษา ตลอดจนการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาและนโยบายสำคัญของ ศธ.
- ให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในข้อ 1) ดังนี้
“1.3) ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) เฉพาะตำแหน่งที่ ก.ค.ศ.กำหนดให้เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ ได้แก่
1.3.1) ตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดและตำแหน่งรองศึกษาธิการจังหวัด
1.3.2) ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
1.3.3) ตำแหน่งผู้อำนวยการภายในสถาบันการอาชีวศึกษา”
2) ตำแหน่งที่ ก.ค.ศ. พิจารณาจัดสรรตามเงื่อนไขเฉพาะกรณี ดังนี้
ฯลฯ
2.11) ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ในหน่วยงานทางการศึกษา ศธ.
3) การทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ให้ ก.ค.ศ. พิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในหน่วยงานการศึกษาสังกัด ศธ. ด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ร้อยละ 10 โดยให้พิจารณาในภาพรวมของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุทั้งหมดของหน่วยงานในปีงบประมาณนั้น ๆ
- ปรับข้อ 3) เป็น “ 3) การทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ให้ ก.ค.ศ. พิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) เฉพาะตำแหน่งที่ ก.ค.ศ. กำหนดเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการและตำแหน่งประเภททั่วไป ในหน่วยงานการศึกษา สังกัด ศธ. ด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ร้อยละ 10 โดยให้พิจารณาในภาพรวมของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุทั้งหมดของหน่วยงานในปีงบประมาณนั้น ๆ
13. เรื่อง รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ ให้ ตช. นำรายการโครงการอาคารที่ทำการพร้อมอาคารสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่และอาคารพักอาศัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของ ตช. ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 9 อาคาร วงเงินทั้งสิ้น 7,680 ล้านบาท เสนอเป็นคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 1,536 ล้านบาท และเป็นภาระผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ถึงปีสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ (พ.ศ. 2569) อีกจำนวน 6,144 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
ตช. รายงานว่า
1. ตช. มีภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่ การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนและการควบคุมฝูงชนหรือกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีสถานที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถเรียกระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่และภารกิจดังกล่าวได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นชั้นผู้น้อย และไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้ ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
2. อย่างไรก็ดี หน่วยงานต่าง ๆ ของ ตช. มีอาคารที่พักไม่เพียงพอกับจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้น ตช. จึงได้เสนอโครงการอาคารที่ทำการพร้อมอาคารสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่และอาคารพักอาศัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของ ตช. เช่น (1) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ (2) สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เป็นต้น โดยทำการก่อสร้างอาคารบนที่ดินราชพัสดุที่อยู่ในความครอบครองของ ตช. บริเวณเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 9 อาคาร รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,680 ล้านบาท ดังนี้
ลักษณะอาคาร
ขนาด
จำนวนอาคาร
จำนวนเตียง/ห้องพักต่ออาคาร
รวม
อาคารที่ทำการ
30 ชั้น
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 วอนนายจ้างก่อนหยุดกิจการ หรือเลิกจ้างจับมือลูกจ้างเปิดใจ ใช้กระบวนการแรงงานสัมพันธ์ฝ่าวิกฤต COVID-19 ร่วมกัน | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
จับกัง 1 วอนนายจ้างก่อนหยุดกิจการ หรือเลิกจ้างจับมือลูกจ้างเปิดใจ ใช้กระบวนการแรงงานสัมพันธ์ฝ่าวิกฤต COVID-19 ร่วมกัน
รมว.แรงงาน วอนนายจ้าง-ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ ก่อนตัดสินใจหยุดกิจการหรือเลิกจ้าง ควรเปิดใจปรึกษาหารือร่วมกัน นำแนวปฏิบัติการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในภาวะวิกฤตและมาตรการบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างมาปรับใช้ในสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวออกไปในวงกว้างส่งผลกระทบต่อนายจ้าง สถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง อาจเกิดวิกฤตด้านแรงงานที่รุนแรงได้ จนทำให้สถานประกอบกิจการบางแห่งจำเป็นต้องลดทุนการผลิต ลดชั่วโมงการทำงานของลูกจ้าง หยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนชั่วคราวโดยใช้มาตรา 75 ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลดพนักงาน หรือเลิกกิจการในท้ายสุด ซึ่งจะเกิดความเดือดร้อนแก่ลูกจ้างจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อลดปัญหาที่มีผลกระทบต่อความสงบสุขในวงการแรงงาน จึงขอวอนให้นายจ้าง - ลูกจ้างควรเปิดใจปรึกษาหารือร่วมกันก่อนหยุดกิจการตามมาตรา 75 หรือเลิกจ้าง โดยนำมาตรการและแนวปฏิบัติที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พยายามมุ่งส่งเสริมให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน นั่นคือ แนวปฏิบัติว่าด้วยการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติ และมาตรการและแนวทางบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ นายจ้างควรนำแนวปฏิบัติว่าด้วยการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติมาปรับใช้ในสถานประกอบกิจการก่อน โดยมีสาระสำคัญ อาทิ นายจ้างควรเปิดเผยผลประกอบการตามสภาพความเป็นจริงแก่ฝ่ายลูกจ้าง และนายจ้างลูกจ้างหารือร่วมกันในการประหยัดค่าใช้จ่าย หลีกเลี่ยงการชุมนุมเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง หากดำเนินการแล้วสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย จึงค่อยใช้มาตรการหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราว หรือทั้งหมด ตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ขอให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะต้องแจ้งพนักงานตรวจแรงงานในพื้นที่และลูกจ้างทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนเริ่มวันหยุดกิจการไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน และหากจำเป็นต้องเลิกจ้างให้นำมาตรการและบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างมาปรับใช้ ซึ่งมี 3 มาตรการ ดังนี้ มาตรการลดค่าใช้จ่าย มาตรการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และมาตรการลดจำนวนลูกจ้าง โดยขอให้การเลิกจ้างเป็นทางเลือกสุดท้ายในการตัดสินใจ ทั้งนี้ หากนายจ้างตกลงกับลูกจ้างในการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง เช่น ลดวันทำงาน ลดค่าจ้าง ก็สามารถทำได้แต่จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วย การผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้จะสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือ และเสียสละของนายจ้างลูกจ้างพูดคุยกันด้วยหลักสุจริตใจ และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38230 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อม สำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
ในวันอังคารที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อม สำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (The 14th United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice – UN Crime Congress) สมัยที่ ๑๔ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้หัวข้อหลัก “การส่งเสริมการป้องกันอาชญากรรม ความยุติธรรมทางอาญา และหลักนิติธรรม เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐” โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๖ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่
ในการนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางและกำหนดประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยจะผลักดันในระหว่างการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ทั้งนี้ การประชุมจะจัดขึ้นในลักษณะของรูปแบบผสม หรือ Hybrid Format ซึ่งประกอบด้วยการเข้าร่วมประชุม ณ สถานที่จริง และการประชุมทางไกล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38258 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย” ช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
EXIM BANK ออกมาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย” ช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง
ในการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อภาคการส่งออกของไทย EXIM BANK ได้ออก “มาตรการพักชำระหนี้ในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง” เพื่อเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุนลูกค้า ทั้งที่เป็นผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออกและผู้ส่งออก
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อภาคการส่งออกของไทย EXIM BANK ได้ออก “มาตรการพักชำระหนี้ในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง” เพื่อเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุนลูกค้า ทั้งที่เป็นผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออกและผู้ส่งออก ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่สีแดง (Red zone) สีส้ม (Orange zone) และสีเหลือง (Yellow zone) ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้
• พักชำระหนี้เงินต้น ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน
• พิเศษ! พักชำระดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาสูงสุด 3 เดือน สำหรับผู้ประกอบการอาหารแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็ง และผักผลไม้
ภายใต้ “มาตรการพักชำระหนี้ในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง” ลูกค้า EXIM BANK สามารถขอพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย โดยแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร www.exim.go.th หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ดูแลลูกค้า ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มีนาคม 2564 โดยธนาคารจะติดต่อกลับภายใน 3 วันทำการ
EXIM BANK ได้ติดตามสถานการณ์ผลกระทบของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือลูกค้าโดยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 6 เดือนไปแล้วกว่า 1,400 ราย เป็นจำนวนเงิน 36,853 ล้านบาท และหลังจากนั้น มีผู้ประกอบการติดต่อขอรับมาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19 เป็นจำนวนเงิน 4,050 ล้านบาท ในครั้งนี้ EXIM BANK พร้อมเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
“มาตรการช่วยเหลือของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อเยียวยาและบรรเทาผลกระทบให้แก่ลูกค้าที่อาจประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหรือขาดแคลนแรงงานสำหรับผลิตสินค้า เนื่องจากการกักตัวหรือติดเชื้อ เป็นไปตามมาตรการภาครัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการขนส่งและส่งออกสินค้า ตลอดจนปัญหาผู้ซื้อปฏิเสธสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอาหาร อาหารทะเลแช่แข็ง และผักผลไม้ของไทย เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อรอโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสินค้าส่งออกของไทย ภายหลังการพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้าไปมาก” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38231 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจจึงดำเนินมาตรการด้านการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่มีอยู่แล้วซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที และมาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดรวมทั้งสิ้น 28 จังหวัดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ในการนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการและประชาชนจากสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะขยายวงกว้างมากน้อยเพียงใด กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจจึงได้ดำเนินมาตรการด้านการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่มีอยู่แล้วซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที และมาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ ประกอบไปด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่อง (สินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ) และมาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน (พักชำระหนี้) โดยมีมาตรการที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. มาตรการเสริมสภาพคล่อง (สินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ)
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCOVID-19 ให้มีสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ดำเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการและประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 มาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการ ประกอบด้วย
1.1.1 ธนาคารออมสิน ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ ดังนี้ 1) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Soft Loan ท่องเที่ยว) วงเงินคงเหลือประมาณ 7,800 ล้านบาท 2) โครงการสินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงินคงเหลือประมาณ 4,200 ล้านบาท และ 3) โครงการสินเชื่อออมสิน SMEs มีที่ มีเงิน วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
1.1.2 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) (สินเชื่อ Extra Cash) วงเงินคงเหลือประมาณ 5,900 ล้านบาท รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
1.1.3 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ดังนี้ 1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ไทยสู้ภัยโควิด วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro ไทยสู้ภัยโควิด วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 ทั้ง 2 โครงการรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 และ 3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส วงเงินคงเหลือประมาณ 54,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตาม Soft Loan ธปท. และ Soft Loan ท่องเที่ยวของธนาคารออมสิน รับคำขอค้ำประกันสินเชื่อตามระยะเวลารับคำขอสินเชื่อของแต่ละโครงการ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังร่วมกับ ธปท. ได้มีการออกพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (Soft Loan ธปท.) ซึ่งมีวงเงินคงเหลือประมาณ 370,000 ล้านบาท รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 18 เมษายน 2564
1.2 มาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับประชาชน
1.2.1 ธนาคารออมสิน ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชน ดังนี้ 1) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) (สินเชื่อฉุกเฉิน) วงเงินคงเหลือประมาณ 2,700 ล้านบาท และ 2) โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงินคงเหลือประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการได้ขยายเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
1.2.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชน ดังนี้ 1) โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินคงเหลือประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยได้ขยายเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 2) โครงการสินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ (Sufficient Loan : SL) วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท 3) โครงการสินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด วงเงินโครงการ 60,000 ล้านบาท และ 4) โครงการสินเชื่อระยะสั้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Jump Start Credit) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ทุกโครงการสิ้นสุดการจ่ายเงินกู้วันที่ 30 มิถุนายน 2564
2. มาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน (พักชำระหนี้)
สถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งได้มีการจัดกลุ่มลูกหนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มสีเขียว คือกลุ่มที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติ 2) กลุ่มสีเหลือง คือกลุ่มที่กลับมาชำระหนี้ได้บางส่วนไม่เต็มจำนวนที่ต้องจ่าย และ 3) กลุ่มสีแดง คือกลุ่มที่มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะมีการพิจารณามาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละรายเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น การขยายเวลาการชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงมีการติดต่อลูกค้าเพื่อช่วยเหลือในเชิงรุก สำหรับลูกค้าที่อยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประกาศของ ศบค. ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประสาน ธปท. เพื่อให้มีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในส่วนของธนาคารพาณิชย์ในลักษณะเช่นเดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป
กระทรวงการคลังมั่นใจว่ามาตรการด้านการเงินดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ และมาตรการเพื่อบรรเทาภาระหนี้สิน จะช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ให้สามารถดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงาน รวมไปถึงช่วยบรรเทาภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่รัฐบาลได้มีมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายเป็นวงกว้างออกไป โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- ธนาคารออมสิน โทร. 1115
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02-555-0555
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 0-2645-9000
- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 1357
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 0-2617-2111
- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 1302
- บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 0-2890-9999
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38243 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่สุไหงโก-ลก พร้อมเน้นย้ำ ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
รมว.มท. ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่สุไหงโก-ลก พร้อมเน้นย้ำ ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
รมว.มท. ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่สุไหงโก-ลก พร้อมเน้นย้ำ ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (12 ม.ค. 2564) เวลา 16.10 น. ที่สวนสิรินธร เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวบรรยายสรุป และนำตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จำนวนกว่า 500 คน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนชาวสุไหงโก-ลกที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัย จึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย มาติดตามเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจพี่น้องประชาชนในเบื้องต้น โดยในการแก้ปัญหาระยะสั้น ขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะดูแลเรื่องอาหารการกิน น้ำดื่ม และทำให้ทุกคนปลอดภัย หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของการฟื้นฟู ซ่อมแซมบ้านเรือน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เร่งสำรวจความเสียหาย และในการแก้ปัญหาระยะยาว กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนสุไหงโก-ลก จัดทำคันป้องกันน้ำท่วม ท่อระบายน้ำหลัก และอาคารชลศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ จึงขอให้กำลังใจทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ช่วยกันดูแล นอกจากนี้ ในขณะนี้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการป้องกันตนเองสำคัญที่สุด คือ 1. สวมหน้ากาก 2. ล้างมือบ่อย ๆ 3. อย่าอยู่ใกล้กัน และ 4. อย่ารวมกลุ่มทำกิจกรรมที่มีคนแออัด จึงขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ดูแลตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรง รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนจัดสรรให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป และขอให้เชื่อมั่นว่าหมอ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะดูแลพวกเราทุกคน ดังนั้น การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามมีมาตรฐานทางสาธารณสุขและจะเป็นประโยชน์ในการหยุดยั้งการระบาดของโรคโควิด-19
นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จังหวัดนราธิวาสมีอำเภอได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 13 อำเภอ 70 ตำบล 37 ชุมชน 450 หมู่บ้าน 25,211 ครัวเรือน 91,099 คน สถานศึกษา 34 แห่ง วัดและมัสยิด 13 แห่ง มีประชาชนผู้อพยพในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จำนวน 69 ครัวเรือน 246 คน โดยขณะนี้พื้นที่อำเภอศรีสาคร บาเจาะ ระแงะ สุไหงปาดี รือเสาะ แว้ง สุคิริน เจาะไอร้อง จะแนะ เมืองนราธิวาส ยี่งอ และตากใบ สถานการณ์ได้คลี่คลายแล้ว ยังคงมีอำเภอสุไหงโก-ลกที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งจังหวัดนราธิวาสได้บูรณาการทุกภาคส่วนสนับสนุนเรือไฟเบอร์ เรือท้องแบน เครื่องจักรกลสาธารณภัย โรงครัวพระราชทาน ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ และถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนะ! ใช้บริการ “งานขนส่ง” แบบออนไลน์ | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
แนะ! ใช้บริการ “งานขนส่ง” แบบออนไลน์
...
การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ขยายวงกว้าง
ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการทำธุรกรรมเกี่ยวกับ “ยานพาหนะ”
ณ สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
เกิดความสะดวก ปลอดภัย ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
แอดมินขอแนะนำให้ประชาชนใช้บริการผ่านระบบออนไลน์
.
1. สอบถามข้อมูลค่าภาษีรถประจำปี / ชำระภาษีรถประจำปีออนไลน์
คลิกhttps://eservice.dlt.go.th
หรือผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax
เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือโมบายล์แอปพลิเคชัน mPAY และ Truemoney Wallet (รองรับรถที่ไม่เข้าข่ายต้องนำรถไปตรวจสภาพ)
.
2. อบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning สำหรับการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ที่สิ้นอายุไม่เกิน 1 ปี หรือการต่ออายุล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ คลิกwww.dlt-elearning.com
.
3. จองหมายเลขทะเบียนรถกรุงเทพมหานคร คลิกhttps://reserve.dlt.go.th/reserve/(รถเก๋งหรือรถกระบะ 4 ประตู รถตู้ และรถกระบะ) ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น.
.
4. จองคิวเข้ารับบริการล่วงหน้า ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
iOS :https://apple.co/2GIHARd
แอนดรอยด์ :http://bit.ly/2IkLpyO
หรือผ่านเว็บไซต์ คลิกhttps://gecc.dlt.go.th
.
สอบถามข้อมูลที่ Call Center 1584
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38237 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งช่วยเหลือน้ำท่วมใต้ 4 จังหวัด | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
เร่งช่วยเหลือน้ำท่วมใต้ 4 จังหวัด
...
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งให้การช่วยเหลือพี่น้องภาคใต้ 4 จว.
สงขลา ยะลา นราธิวาส และปัตตานี
ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม กว่า 6 หมื่นครัวเรือน
.
ทั้งการขนย้าย อพยพ เร่งระบายน้ำ
มอบสิ่งของ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ
ถึงสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง
.
ล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ได้ระดมเครื่องจักรกลและเครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่
เร่งระบายน้ำและดูแลประชาชน ทั้ง 4 จว. แล้ว
และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย จะเข้าสำรวจพื้นที่
เพื่อประเมินความเสียหายและเยียวยาตามระเบียบต่อไป
.
ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยต่าง ๆ
สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่
LINE “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” @1784DDPM
หรือสายด่วนนิรภัย โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38234 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดกิจกรรม บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนหลังสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดกิจกรรม บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนหลังสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดกิจกรรม บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนหลังสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2564 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เผยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพประชาชน ซึ่งกรมการค้าภายในได้มีมาตรการในการดำเนินโครงการ/กิจกรรม หลังสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะมีกิจกรรมจัดงานจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ร้อยละ 20-40 และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ โครงการ “พาณิชย์ลดกระหน่ำ ข้ามปี ! New Year Grand Sale 2021” ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564 โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน 73 ราย ประกอบด้วย ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง 17 ราย ผู้ผลิตและจำหน่าย 44 ราย ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่ง 3 ราย กลุ่มโรงพยาบาล 2 ราย สายการบิน 3 สาย และกลุ่มแพลตฟอร์ม 4 แพลตฟอร์ม ลดราคาจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 22,000 รายการ รวมถึงสินค้านมผงได้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย โดยสินค้าที่ร่วมรายการลดราคาสูงสุดร้อยละ 87 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
โครงการ “ธงฟ้าราคาประหยัด พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น” จำหน่ายสินค้าในราคาประหยัด ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ จำนวน 131,876 ร้านค้า (ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563) และมีบริษัทผู้ผลิตที่ร่วมโครงการมากกว่า 100 ราย มีสินค้าที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 140 สินค้าจำนวน 1,031 รายการ รวมทั้งจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนเพิ่มเติมในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และทั่วประเทศ ภายใต้โครงการธงฟ้าราคาประหยัดลดค่าครองชีพประชาชน โดยแบ่งเป็น จัดงานจำหน่ายสินค้าในระดับภาค 16 ครั้ง จัดงานจำหน่ายสินค้าในระดับเขตในกทม. และเคหะชุมชน 30 ครั้ง จัดงานจำหน่ายสินค้าระดับท้องถิ่นหรือชุมชน/อำเภอ/ตำบล ร่วมกับกิจกรรมส่วนภูมิภาคในแต่ละจังหวัด 76 จังหวัด
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพของประชาชนได้อีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งร้านธงฟ้าก็ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวเช่นกัน โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดียิ่ง และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายเล็กมีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์โดย กรมการค้าภายในก็จะได้จัดให้มีกิจกรรมธงฟ้าลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมกันนี้ก็จะได้ประสานผู้ผลิตผู้จำหน่ายในการจัดกิจกรรมพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ภายใต้โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชนในล็อตถัดไป โดยมุ่งเน้นสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการครองชีพของผู้บริโภค รวมทั้งจะได้ขอความร่วมมือแพลตฟอร์มต่างๆ มาร่วมลดราคาให้กับพี่น้องประชาชนด้วย
...........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38240 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่บังคับ O-NET ป.6 และ ม.3 ลดภาระนักเรียน | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
ไม่บังคับ O-NET ป.6 และ ม.3 ลดภาระนักเรียน
...
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้สถานศึกษาหลายแห่งต้องปิดการเรียนการสอน
และใช้รูปแบบวิธีการจัดการเรียนการสอนแตกต่างกัน
ตามสภาพความพร้อมของแต่ละแห่ง
.
การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน
หรือเรียกอีกอย่างว่า O-NET
ถึงไม่สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง
และมีนักเรียนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
ที่ใช้ผลการทดสอบนี้เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
.
ขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ
มีนโยบายลดภาระของนักเรียนนักศึกษา
และลดความซ้ำซ้อนของการประเมินทางการศึกษา
.
จึงให้นักเรียน ชั้นป. 6 และ ม. 3
เข้ารับการทดสอบ o-net ตามความสมัครใจ
โดยให้ถือเป็นสิทธิส่วนตัวโดยเฉพาะของนักเรียน
ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นไป
.
ก่อนหน้านี้กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศยกเลิก
การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา
หรือที่เรียกว่า V-NET ไปแล้วเช่นกัน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38236 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากเจ้าของร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่ เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดีที่ตนเองและภรรยาถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จ และขอให้ติดตามหาตัวภรรยาที่หายตัวไ | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
เลขานุการ รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากเจ้าของร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่ เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดีที่ตนเองและภรรยาถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จ และขอให้ติดตามหาตัวภรรยาที่หายตัวไ
เลขานุการ รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากเจ้าของร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่ เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดีที่ตนเองและภรรยาถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จ และขอให้ติดตามหาตัวภรรยาที่หายตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ขณะเดินทางกลับจากงานแต่งงานญาติที่ อ.แม่อาย จ
ในวันอังคารที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.ธัญญะ ระย้า ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองพยาน และนางสุจิตรา แก้วไกร ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รับเรื่องจากนายฐานะพล เสาวคนธ์ เจ้าของร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่ เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ตนเองและภรรยาถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จกรณีที่ตนและภรรยาเคยแจ้งความว่า ถูกรีดไถเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และขอให้ติดตามหาตัวภรรยาซึ่งหายตัวไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ขณะเดินทางกลับจากงานแต่งงานญาติที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งคาดว่าอาจมีบุคคลอื่นพาตัวไปและอาจเกิดอันตราย โดยปัจจุบันยังตามตัวภรรยาไม่พบ
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ผู้เสียหาย และนางสาวพิมพ์ชนก นายประทุม ภรรยา เดินทางกลับจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีกลุ่มบุคคล จำนวน 5 ราย ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการตั้งด่านเพื่อเรียกเงินจากภรรยาของตน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เพราะภรรยาเป็นคนต่างด้าวไม่มีบัตรประชาชน ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ภรรยาของตนจึงเข้าร้องทุกข์ต่อกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ เพื่อเอาผิดกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยนำสลิปการโอนเงินมอบไว้เป็นหลักฐานและปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งแจ้งความที่ สภ.แม่อาย เพื่อเอาผิดกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวในข้อหารีดไถเงิน แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวไปแจ้งความผู้เสียหายและภรรยาฐานแจ้งความเท็จที่ สภ.แม่ปิง โดยผู้เสียหายได้ร้องเรียนผ่านยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือเกี่ยวกับการคุ้มครองปลอดภัยเพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดี โดยสนับสนุนเงินกองทุนยุติธรรมเกี่ยวกับการขอปล่อยตัวชั่วคราวหากนายฐานะพลยื่นขอ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการดูแลตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ภรรยาผู้เสียหายได้ออกจากบ้านพักเพื่อไปเยี่ยมน้องสาวที่อยู่ต่างอำเภอ จากนั้นไม่ได้พบกันอีกและในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๖๓ ยังสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือน้องสาวภรรยา จนกระทั่งประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ จนถึงปัจจุบัน ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้อีก
พ.ต.ท.ธัญญะ กล่าวว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยสำนักงานคุ้มครองพยาน ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายและภรรยาในการคุ้มครองพยาน เพราะไม่กล้าเดินทางไปสอบปากคำที่ สภ.แม่อาย กลัวเรื่องความปลอดภัยจากกลุ่มบุคคลคู่กรณี จึงประสานใช้สถานที่ส่วนกลางให้ถ้อยคำ ซึ่งสำนักงานคุ้มครองพยานโทรศัพท์ติดต่อผ่านมือถือน้องสาวภรรยา หลังไปเยี่ยมน้องสาวตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ แต่เจ้าตัวไม่เคยเดินทางมาตามนัดหมาย กระทั่งติดต่อครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓
พ.ต.อ.อัครพล กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการตรวจสอบกรณีบุคคลสูญหาย โดยจะใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38259 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหารือรับมอบแนวนโยบายการจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ | วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหารือรับมอบแนวนโยบายการจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมหารือรับมอบแนวนโยบายการจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือรับมอบแนวนโยบายการจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38251 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.