title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
แผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมหารือคณะกรรมาธิการ ตสร. ตามแผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้การต้อนรับ พลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และคณะกรรมาธิการ (ตสร.) เพื่อติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาตร์ชาติ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินดีที่ได้มีการแลกเปลี่ยนกันในเรื่องการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ดูแลในส่วนของภาคการเกษตรทั้งระบบ และการสร้างเกษตรมูลค่าสูง จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานทุกด้าน ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดได้มีการบูรณาการการทำงานและดำเนินการตามนโยบายเชิงรุก โดยไม่รอรับปัญหาอย่างเดียว นโยบายที่เสนอไปจึงเป็นนโยบายเชิงรุกทั้งหมด เช่น ตลาดนำการผลิต ที่จะทำให้สามารถกำหนดวัตถุดิบ กำหนดราคาได้ และนำไปสู่ภาคการปฏิบัติที่จะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง และสำหรับการหารือในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ พร้อมนำข้อเสนอแนะเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรม ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา และการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40387 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ อว. และ มท. บูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำใน 10 จังหวัดนำร่อง | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
พม. จับมือ อว. และ มท. บูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำใน 10 จังหวัดนำร่อง
พม. จับมือ อว. และ มท. บูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำใน 10 จังหวัดนำร่อง
วันนี้ (26 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมแถลงความร่วมมือในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับหน่วยงาน ระหว่าง 12 หน่วยงาน จาก 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นางพัชรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและขับเคลื่อนนโยบายในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคมให้กับประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ซึ่งกระทรวง พม. ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเชิงลึก ด้วยการแก้ไขปัญหาความยากจนของครัวเรือนเพื่อต้องการสร้าง “สวัสดิการถ้วนหน้า” และ “การส่งเสริมอาชีพ” เพื่อช่วยยกระดับรายได้ครัวเรือนในกลุ่มคนยากจนในระดับจังหวัด ผ่านโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยให้ข้าราชการสังกัดกระทรวง พม. ทั่วประเทศ และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) วิเคราะห์สาเหตุปัญหารายครัวเรือน และจัดทำเป็นแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนที่ตรงจุดและครอบคลุมทุกมิติ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ จึงได้วางแผนการทำงานให้ข้าราชการกระทรวง พม. ทุกคน เข้ามามีส่วนร่วม โดยข้าราชการ 1 คน เข้าไปดูแลช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานของ อพม. จำนวน 25 คน และ อพม. 1 คน จะเข้าไปขับเคลื่อนงานในพื้นที่โดยจะดูแลช่วยเหลือจำนวน 10 ครัวเรือน ซึ่งจะบูรณาการและเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีแผนพัฒนารายครอบครัว ที่มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมกันวางแผนและดูแลช่วยเหลือพัฒนาครอบครัว เพื่อให้มีที่อยู่อาศัย มีอาชีพ และมีรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ รวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการวิจัยของ อว. โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เข้าไปสำรวจค้นหาคนจนรายคนและรายครัวเรือนในพื้นที่ คัดกรองและวิเคราะห์ปัญหาความยากจน เพื่อสร้างระบบวิเคราะห์ข้อมูลติดตามกลุ่มเป้าหมายคนจนที่มีความแม่นยำ และการพัฒนาศักยภาพของคนในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของกระทรวง พม. กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวในทุกมิติ ทั้งมิติด้านความเป็นอยู่ ด้านรายได้ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและด้านการเข้าถึงถึงบริการภาครัฐ เพื่อให้ครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับความร่วมมือในวันนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของกระทรวง พม. อว. มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาความยากจน โดยกระทรวง พม. มีความยินดีจะช่วยเหลือและหนุนเสริมการทำงานร่วมกับ อว. มท. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทยให้หมดไป และให้ทุกครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนงานที่จะเห็นถึงรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น ในพื้นที่ 10 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดปัตตานี อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน ชัยนาท สุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ สกลนคร มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ทุกกระทรวงทุกหน่วยงานมีความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนงานเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งจะทำให้อนาคตของประเทศไทยไม่มีความยากจนอย่างแน่นอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40391 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน มอบธงและใบประกาศเกียรติคุณ GLP ให้สถานประกอบกิจการที่มุ่งมั่นนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีมาบริหารจัดการด้านแรงงาน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กระทรวงแรงงาน มอบธงและใบประกาศเกียรติคุณ GLP ให้สถานประกอบกิจการที่มุ่งมั่นนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีมาบริหารจัดการด้านแรงงาน
กระทรวงแรงงานจัดพิธีมอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการ และเขตอุตสาหกรรมที่นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (good labour practices: GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงานซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะเป็นประธานในพิธีมอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการ และเขตอุตสาหกรรมที่นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (good labour practices: GLP) ไปใช้ ณ ศูนย์การค้า terminal 21 จังหวัดนครราชสีมา ว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้นำนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ นโยบายของรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานให้ดีขึ้น จึงกำหนดนโยบายผลักดันและยกระดับการบริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการให้มีมาตรฐานเพื่อมุ่งสู่งานที่มีคุณค่า (Decent Work) และส่งเสริมให้มีการพัฒนาแรงงานที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายสากล กระทรวงแรงงานจึงกำหนดนโยบายเพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ได้กำหนดมาตรการถอดรายการสินค้าออกจากรายการที่ถูกขึ้นบัญชีการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ โดยการส่งเสริมการจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ในอุตสาหกรรมกุ้ง อาหารทะเล และอุตสาหกรรมเรือประมง ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาองค์กรให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี อันนำไปสู่การเสริมสร้างความสามารถทางการค้าของประเทศไทย และเป็นการแสดงออกถึงการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม สามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าและภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้ประกอบการ ในยุคที่กระแสความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการที่ช่วยกันขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ในด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการค้ามนุษย์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการที่นำแนวปฏิบัติ การใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน จำนวน 21,787 แห่ง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตลูกจ้าง 1,337,142 คน โดยในวันนี้ได้มอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการจำนวน 138 แห่ง เพื่อประกาศเกียรติคุณและยกย่องสถานประกอบกิจการและเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดนครราชสีมาที่มุ่งมั่นในการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีมาใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่นนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยทางน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยทางน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564
ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาไปแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่มีการเดินเรือเป็นจำนวนมาก
จท. มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยทางน้ำ ได้เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยทางน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์
1. ออกมาตรการเพื่อความปลอดภัยและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 มาตรการเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือและใช้เรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
2. แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสภาพความปลอดภัยเรือโดยสาร เรือภัตตาคารและท่าเทียบเรือต่าง ๆ
3. จัดตั้งศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางน้ำกรมเจ้าท่า 68 จุด แบ่งออกเป็น ส่วนกลาง 2 จุด ได้แก่ ท่าเรือท่าช้าง และท่าเรือสาทร และส่วนภูมิภาค 66 จุด และจัดอัตรากำลังพล จำนวน 992 คน เรือรักษาการณ์ จำนวน 51 ลำ
4. จัดตั้งจุดอำนวยความสะดวกและประชาสัมพันธ์ทางน้ำประจำท่าเทียบเรือ พร้อมทั้งเข้มงวดกวดขันเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัย และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือกำชับให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
5. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง อาทิ กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เครือข่ายอาสาวารี ในการดูแลรักษาความปลอดภัยทางน้ำให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยวปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือ ระมัดระวังการขึ้น - ลงเรือ ต้องใส่เสื้อชูชีพและสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง โดยสามารถแจ้งเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำได้ที่ สายด่วน 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40394 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 589 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.52 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 589 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 354 คดี ค่าปรับ 2.63 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 141 คดี ค่าปรับ 2.55 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 0.45 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 42 คดี ค่าปรับ 2.11 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 0.63 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,267.720 ลิตร ยาสูบ จำนวน 4,346 ซอง ไพ่ จำนวน 600 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 8,980.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 200 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 118 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 25 มีนาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 14,686 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 265.07 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 8,282 คดี ค่าปรับ 73.39 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,333 คดี ค่าปรับ 94.78 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 329 คดี ค่าปรับ 4.37 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 641 คดี ค่าปรับ 42.30 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 64 คดี ค่าปรับ 2.57 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 731 คดี ค่าปรับ จำนวน 21.38 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 306 คดี ค่าปรับ 26.28 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 290,453.064 ลิตร ยาสูบ จำนวน 296,213 ซอง ไพ่ จำนวน 23,819 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,245,317.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 99,635 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,376 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40388 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กก.วล ยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟป่า พร้อมพิจารณารายงาน EIA 2 โครงการ แก้ไขปัญหารถติดช่วงเทศกาล | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กก.วล ยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟป่า พร้อมพิจารณารายงาน EIA 2 โครงการ แก้ไขปัญหารถติดช่วงเทศกาล
กก.วล ยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟป่า พร้อมพิจารณารายงาน EIA 2 โครงการ แก้ไขปัญหารถติดช่วงเทศกาล
วันนี้ (26 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมด้วย โดยที่ประชุมพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 2 โครงการ และยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ดังนี้
วันนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช - นครนายก - สระบุรี ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการเพิ่มโครงข่ายถนนและช่วยให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ในเขตจังหวัดที่ทางพิเศษพาดผ่าน โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านตะวันออกของถนนพหลโยธิน และ (2) โครงการทางหลวงแนวใหม่ระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันตก - จุดตัดทางหลวงหมายเลข 347 - จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันออก - ทางหลวงหมายเลข 352 ของกรมทางหลวง เพื่อลดปัญหาการจราจรคับคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเกี่ยวกับมาตรการยกระดับแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง หลังพบจำนวนจุดความร้อนเป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่า โดยได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์พืช กรมป่าไม้ หมุนเวียนกำลังพลไปเสริมในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่ที่เกิดไฟป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดที่ยังไม่มีสถานีควบคุมไฟป่า รวมถึงเสริมการลาดตระเวนเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าโดยเด็ดขาด ที่ผ่านมา กองทุนสิ่งแวดล้อมได้อุดหนุนงบประมาณ รวม 69 โครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งส่งผลให้จุดความร้อนสูง (HOT Spot) ในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 รวมทั้งได้มีการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากที่ดินจัดสรร ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดมาตรฐานให้ครอบคลุมที่ดินจัดสรรทุกประเภท ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในช่วงท้ายของการประชุมว่า การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเป็นเรื่องที่เร่งด่วนและสำคัญ จะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและให้ความร่วมมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งแก้ไขและยกระดับมาตรการให้เข้มงวดขึ้น โดยตรวจสอบข้อมูลพยากรณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาถึงสภาวะอากาศมีผลกระทบต่อปริมาณฝุ่นละอองในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอด้วย
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40404 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือการพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลในอนาคต ไทย-สิงคโปร์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ดีอีเอส หารือการพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลในอนาคต ไทย-สิงคโปร์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ดีอีเอส หารือการพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลในอนาคต ไทย-สิงคโปร์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลของไทย ได้พบหารือกับ Ms. FOO Chi Hsia ตำแหน่ง Assistant Chief Executive (International), Infocomm Media Development Authority (IMDA) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยการพบหารือครั้งนี้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้แสดงความยินดีกับ Ms. FOO Chi Hsia เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลของสิงคโปร์ (Singapore’s ADGSOM Leader)
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงกรอบการจัดทำความร่วมมือในอนาคตทั้งในระดับทวิภาคีและ พหุภาคี ภายใต้ (ร่าง) บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ว่าด้วยความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวภายในปี ๒๕๖๔ โดยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือ ในสาขาการส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล การส่งเสริมการจัดทำแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Data) การส่งเสริมการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน และการไหลเวียนข้อมูลข้ามพรมแดน
นอกจากนี้ สิงคโปร์ได้แสดงความชื่นชมไทยต่อการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – ๑๙ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันสิงคโปร์ได้แลกเปลี่ยนนโยบายและกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ การขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็น Smart Nation การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การจัดการประชุม World Economic Forum ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ และการจัดการประชุมกลุ่มหารือระหว่างผู้บริหารระดับสูงในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของเทคโนโลยี ผลกระทบที่มีต่อประชาชน และบทบาทของภาครัฐ ตลอดจนการสร้างสมดุลระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ในโอกาสนี้ Ms. FOO Chi Hsia ได้เชิญผู้แทนไทยเข้าการประชุมดังกล่าว พร้อมทั้งได้แสดงการสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล และผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑ ปี ๒๕๖๔ (The 1st ASEAN ADGSOM – ATRC Leaders’ Retreat of 2021) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๔ นี้ด้วย
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40408 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-กทม. ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่พ่อค้าแม่ค้า 17 ตลาดสด ย่านภาษีเจริญ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
สธ.-กทม. ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่พ่อค้าแม่ค้า 17 ตลาดสด ย่านภาษีเจริญ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่วัดนิมมานนรดี เขตภาษีเจริญ ติดตามการให้บริการคัดกรองและฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกสถานที่ แก่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด 17 แห่ง พื้นที่เขตภาษีเจริญ ป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่เสี่ยง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่วัดนิมมานนรดี เขตภาษีเจริญ ติดตามการให้บริการคัดกรองและฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกสถานที่ แก่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด 17 แห่ง พื้นที่เขตภาษีเจริญ ป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่เสี่ยง ให้บริการระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2564 ตั้งเป้าฉีด 2,000 คน
วันนี้ (26 มีนาคม 2564) ที่วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กทม. นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ร่วมกับ พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กรุงเทพมหานคร (ศบค.กทม.) ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการคัดกรองและฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกสถานที่ จัดโดยสำนักอนามัย สำนักงานเขตภาษีเจริญ และสำนักงานเขตบางแค และเปิดเผยว่า ในวันนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรุงเทพมหานครลงพื้นที่ติดตามการให้บริการคัดกรองและฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด 17 แห่ง เขตภาษีเจริญ อาทิ ตลาดนัดวันชัย ตลาดนัดแม่อุทัย ตลาดสราญรมย์ 1 และ 2 ตลาดร่มไทร ตลาดนัดวัดโคนอน และตลาดนัดวัดกำแพง เป็นต้น เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในตลาดซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ และมีคนใช้บริการจำนวนมาก
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า การให้บริการคัดกรองและฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ การลงทะเบียน คัดกรอง ซักประวัติ ฉีดวัคซีน และการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ หลังการฉีด 30 นาที โดยกรุงเทพมหานครได้จัดเตรียมรถฉุกเฉินและระบบการแพทย์ฉุกเฉินไว้รองรับพร้อมดูแล ความปลอดภัยของประชาชนผู้มารับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ด้วย ทั้งนี้ตั้งเป้าฉีดให้แก่ผู้ค้าในตลาดสด พื้นที่เขตภาษีเจริญ จำนวน 2,000 คน จึงขอเชิญชวนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดพื้นที่เขตภาษีเจริญ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ 26 มีนาคม จนถึง 28 มีนาคม 2564 ที่วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กทม.
สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ยังคงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ยึดมาตรการส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด (D-M-H-T-T) โดยการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ตรวจวัดอุณหภูมิ สแกนไทยชนะ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าที่ทำงานในตลาดเป็นเวลานาน ขอให้สวมหน้ากากอย่างถูกวิธี ทำความสะอาดแผงกั้นระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายซึ่งเป็นจุดเสี่ยงสำคัญให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการ แพร่กระจายของเชื้อ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ และขอให้ไปรับวัคซีนเข็มที่ 2 ตามนัด เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต
***************************** 26 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มเติม | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มเติม
กระทรวงเกษตรฯ เปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มเติม ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 64 พร้อมขับเคลื่อนโครงการฯ จัดจ้างแรงงานไปแล้วกว่า 13,000 ราย
นายสําราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ แก่เจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภาค ผ่านระบบทางไกลออนไลน์ (Application Zoom) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำโครงการ
1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำสำหรับทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และฟื้นฟูภาคเกษตรภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 64) มีเกษตรกรผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแล้ว 28,265 ราย จากเป้าหมาย 32,000 ราย และมีการจ้างงานเกษตรทฤษฎีใหม่ระดับตำบลไปแล้วประมาณ 13,000 ราย จากเป้าหมาย 16,000 ราย
สำหรับโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดรับสมัครเพิ่มเติม (รอบที่ 5) ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 64 โดยจะเริ่มพิจารณาจากเกษตร 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. เกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบลฯ และได้ลาออกไป จำนวนกว่า 5,300 ราย โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้ข้อมูลกับเกษตรกรกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะกลับเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง 2. ให้กรมพัฒนาที่ดินพิจารณาเกษตรกรจากกลุ่มที่สมัครเข้าร่วมโครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน (บ่อจิ๋ว) หากมีคุณสมบัติครบถ้วน และยินดีเข้าร่วมกับโครงการ 1 ตำบลฯ สามารถส่งรายชื่อมาให้ทางคณะกรรมการฯ พิจารณาการเข้าร่วมโครงการฯ ได้ 3. ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) พิจารณาเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก. หากมีคุณสมบัติตามที่กำหนด สามารถส่งรายชื่อมาให้ทางคณะกรรมการฯ พิจารณาเข้าร่วมกับโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ได้เช่นกัน และ 4. กลุ่มเกษตรกรใหม่ ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถขอรายละเอียดโครงการ และสมัครเข้าร่วมโครงการได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาค ให้ความสำคัญในเรื่องของการสื่อสารทำความเข้าใจกับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแล้ว และยังไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ในขั้นตอนต่าง ๆ และรายละเอียดโครงการ 1 ตำบลฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจน และสามารถขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบลฯ ไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
ทั้งนี้ หากเกษตรกรท่านใด มีความประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบลฯ หรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อยื่นใบสมัคร หรือขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เจ้าหน้าที่เกษตรตำบล หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้ภูมิลำเนาของท่าน สำหรับท่านที่สมัครแล้ว สามารถตรวจสอบผลการคัดเลือกได้ที่ https://ntag.moac.go.th/?p=publish
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40376 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ออกตราสารการเงิน 600 ล้านดอลลาร์ เสริมแกร่งกองทุนชั้นที่ 1 สถาบันต่างประเทศสนใจกว่า 3.8 เท่า | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
“กรุงไทย” ออกตราสารการเงิน 600 ล้านดอลลาร์ เสริมแกร่งกองทุนชั้นที่ 1 สถาบันต่างประเทศสนใจกว่า 3.8 เท่า
"กรุงไทย" ประสบความสำเร็จในการออกตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เสริมแกร่งโครงสร้างทางการเงิน ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศสนใจล้นหลาม 3.8เท่าของมูลค่าที่ออกและเสนอขาย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ธนาคารประสบความสำเร็จ ในการออกตราสารทางการเงินที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier 1) ตามหลักเกณฑ์ Basel III มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี โดยเป็นตราสารด้อยสิทธิไม่มีกำหนดชำระคืน ธนาคารสามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนดเมื่อตราสารมีอายุครบ 5 ปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันในต่างประเทศ โดยตราสารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ระดับ Ba3 โดย Moody's และมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายตราสาร ได้แก่ Citigroup, HSBC, Bank of America Securities และ Standard Chartered
ทั้งนี้ ตราสารดังกล่าวจะถูกนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยการออกตราสารAdditional Tier 1 ของธนาคารในครั้งนี้ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างทางการเงินของธนาคารในระยะยาว เทียบเคียงกับธนาคารคู่เทียบอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การออกและเสนอขายตราสารในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันในและต่างประเทศเป็นอย่างดี แม้สภาวะตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศในช่วงเดือนมีนาคมจะอยู่ท่ามกลางความผันผวน อีกทั้งยังเป็นช่วงที่มีการประชุมเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงธนาคารไม่ได้ออกระดมทุนในตลาดทุนต่างประเทศบ่อยครั้ง ทำให้การออกตราสารหนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
โดยในครั้งนี้ มีผู้ลงทุนแสดงความสนใจลงทุนในตราสารของธนาคารกว่า 3.8 เท่าของมูลค่าที่ออกในครั้งนี้ ประกอบไปด้วยนักลงทุนสถาบันที่มีคุณภาพและลงทุนระยะยาวจากทั่วโลกจำนวน 155 ราย แบ่งตามภูมิภาคเป็นนักลงทุนในทวีปเอเชีย 74% นักลงทุนในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 16% นักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาและอื่น ๆ อีก 10% และแบ่งตามประเภทนักลงทุน เป็นประเภทบริษัทบริหารเงินลงทุน 87% ที่เหลือเป็น private banks บริษัทประกัน กองทุนบำเหน็จบำนาญ และธนาคารพาณิชย์
อนึ่ง อัตราดอกเบี้ยของตราสารที่ 4.40% ถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับตราสารประเภทเดียวกันที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ของไทย
Completion of the issuance of Krungthai Bank’s inaugural Basel-III Compliant Additional Tier 1 Notes in the international capital markets
On March 25, 2021, Krungthai Bank Public Company Limited (the “Bank”) announced the completion of the issuance of its inaugural US$600mm PerpNC5 Basel III-Compliant Additional Tier 1 Subordinated Securities (the “Notes or “AT1 Notes”) at 4.400%. The Notes have no fixed maturity, but is callable after the fifth year onwards or after March 2026. The Notes will qualify for Tier 1 capital pursuant with the capital requirements as set by the Bank of Thailand and the Bank believes that this issuance will enhance its long-term capital structure in line with its regional and international peers.
The Notes were issued through the Bank’s Cayman Island branch and were rated Ba3 by Moody’s. The Notes achieved strong interest from international institutional investors especially in a period of heightened bond market volatility in the lead up to the March meeting of the Federal Open Market Committee on March 17. The rarity of the Bank’s access in the international capital markets, was strongly received with orderbooks growing to as much as US$3.3bln at one stage before steadying at US$2.3bln after Final Pricing Guidance.
A total of 155 accounts participated with Asian investors taking 74% of the deal, Europe, the Middle East and Africa 16% and offshore US and others 10%. About 87% went to fund managers, 7% to private banks, 4% to insurers and pension funds and 2% to banks.
Citigroup and HSBC acted as Joint Global Coordinators, Joint Bookrunners and Joint Lead Managers, with Bofa Securities and Standard Chartered Bank joining as Joint Bookrunners.
Below are some of the key transaction highlights:
• First Thai AT1 utilizing improved Bank of Thailand language allowing coupon payment if retained earnings are positive without need to seek approval from Bank of Thailand
• Largest Thai USD AT1 in RegS format
• Largest IPG to Reoffer Basel III AT1 tightening in Thailand ever and in Asia for more than 2 years
• The lowest Thai Bank AT1 coupon and yield on record, achieving minimal pricing differential to better rated Thai AT1 comparables
• Distribution demonstrated high-quality of the investors, with over 90% allocated to fund managers, insurance and pension funds achieving oversubscription of 3.8x
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40378 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยเริ่มการทดลองเพื่อเดินรถเสมือนจริง โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน - บางซื่อ - รังสิต | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยเริ่มการทดลองเพื่อเดินรถเสมือนจริง โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน - บางซื่อ - รังสิต
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เริ่มการทดลองเพื่อเดินรถเสมือนจริง
โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน - บางซื่อ - รังสิต ในวันที่ 26 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เริ่มการทดลองเพื่อเดินรถเสมือนจริงโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน - บางซื่อ - รังสิต ในวันที่ 26 มีนาคม 2564และสำหรับประชาชน หน่วยงาน หรือ สถานศึกษา ที่ต้องการเข้าชม และทดลองใช้บริการแบบหมู่คณะสามารถทำหนังสือแจ้งมาที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้หลังวันที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ ทดลองนั่งฟรี ในเดือน กรกฎาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40382 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ ยันผู้เสียชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เกิดจากเส้นเลือดแดงโป่งพองแตก | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
แพทย์ ยันผู้เสียชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เกิดจากเส้นเลือดแดงโป่งพองแตก
กระทรวงสาธารณสุขแจงผู้เสียชีวิตหลังรับวัคซีนโควิด 19 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสรุปเบื้องต้นไม่น่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เผยเป็นโรคประจำตัวของผู้ป่วย แต่บังเอิญมาเกิดขึ้นหลังรับวัคซีน 10 วัน คาดสรุปผลทางการได้ภายใน 1-2 วัน
กระทรวงสาธารณสุขแจงผู้เสียชีวิตหลังรับวัคซีนโควิด 19 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสรุปเบื้องต้นไม่น่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เผยเป็นโรคประจำตัวของผู้ป่วย แต่บังเอิญมาเกิดขึ้นหลังรับวัคซีน 10 วัน คาดสรุปผลทางการได้ภายใน 1-2 วัน ชี้มีประวัติเส้นเลือดแดงโป่งพอง ถือเป็นภัยเงียบ มีโอกาสเส้นเลือดแตกได้ตลอดเวลา เดินหน้าสร้างความรอบรู้สุขภาพประชาชน เข้าถึง เข้าใจข้อมูล เพื่อปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง
วันนี้ (26 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และนายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แถลงข่าวกรณีพบผู้เสียชีวิตจากเส้นเลือดในท้องโป่งพองแตก
หลังรับวัคซีนโควิด 19
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า กรณีข่าวพบผู้ที่เสียชีวิตจากเส้นเลือดในช่องท้องโป่งพองแตกหลังการฉีดวัคซีนโควิด 19 นั้น เป็นการตรวจพบจากระบบการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนในช่วง 1 วัน 7 วัน และ 30 วันตามมาตรฐานสากล ผ่าน Line Official “หมอพร้อม” และการโทรสอบถามจากโรงพยาบาลที่ให้บริการ เปรียบเสมือนสัญญาณกันขโมยตรวจจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้รับวัคซีนทุกคนการที่ประชาชนให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งดี กระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) กับสื่อมวลชน และประชาชนเพื่อลดความตื่นตระหนก ซึ่งมี 3 ขั้นตอน คือการเข้าถึงข้อมูล ไม่ปิดบัง, การเข้าใจข้อมูล และการนำไปใช้หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีตามมา
ทั้งนี้ เหตุการณ์การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณา คาดจะสรุปผลอย่างเป็นทางการภายใน 1-2 วัน แต่เบื้องต้นมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน เป็นเหตุบังเอิญหรือเหตุร่วมที่เกิดขึ้น สำหรับการฉีดวัคซีนในบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนกลุ่มเสี่ยงในระยะเวลา 1 เดือน ฉีดไปแล้วกว่า 120,000 โดสพบว่าประชาชนมีความมั่นใจและมีแนวโน้มต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมแผนขยายบริการไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือจัดรถบริการลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เมื่อมีวัคซีนเข้ามามากขึ้นเพื่อให้เกิดความครอบคลุมกลุ่มประชากรเป้าหมาย
ด้านนายแพทย์ทวีกล่าวว่า ผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวเป็นชายอายุ 41 ปี จ.สมุทรปราการ มีโรคประจำตัวคือ โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นหลายจุด ได้เข้ารับผ่าตัดรักษาโรคนี้ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 โดยรักษาในโรงพยาบาล 40 วัน และพักฟื้นที่บ้านต่อ 1 สัปดาห์ อาการปกติดี จึงเข้ารับการประเมินและฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามนัดหมายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ซึ่งประเมินแล้วว่าสามารถรับวัคซีนได้
โดยหลังฉีดวัคซีน 1 วัน รายงานผ่านหมอพร้อมว่าอาการปกติ จนวันที่ 7 หลังฉีดไม่สามารถติดต่อเพื่อรายงานอาการ ต่อมาวันที่ 8 หลังฉีดวัคซีนผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอก จุกที่ลิ้นปี่ วิงเวียนศีรษะเป็นลม จึงเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษา พบว่ามีเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองแตกหรือรั่วซึม วันต่อมาอาการทรุดลงและเสียชีวิตวันที่ 13 มีนาคม 2564 แพทย์สรุปว่าเสียชีวิตจากหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองแตก ซึ่งเป็นโรคเก่าของผู้ป่วย แต่บังเอิญเกิดร่วมหลังจากรับวัคซีนได้ 10 วัน และสรุปเบื้องต้นว่า วัคซีนไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยรายนี้ถึงกับเสียชีวิต
“คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสรุปเบื้องต้นว่า ไม่น่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน ซึ่งในการพิจารณานั้นคณะกรรมการมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรคด้านนั้นๆ ร่วมด้วยเป็นองค์คณะใหญ่ รวมถึงการเอาข้อมูลจากผลทางห้องปฏิบัติการต่างๆ มาพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มขึ้นคาดว่าจะสรุปผลการสอบสวนโรคอย่างเป็นทางการได้ใน 1-2 วัน” นายแพทย์ทวีกล่าว
นายแพทย์ทวีกล่าวต่อว่า หัวใจของคนเราจะมีเส้นเลือดแดงใหญ่ที่แตกแขนงไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การเกิดเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองนั้น มักเกิดในผู้สูงอายุที่ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมสภาพ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง คนสูบบุหรี่ หรือภาวะพิการแต่กำเนิด ซึ่งโรคนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลามีโอกาสแตกหรือรั่วซึมได้ตลอดเวลา และที่สำคัญคือ มักไม่มีอาการบ่งบอกให้ทราบล่วงหน้าได้ จึงมักเป็นการบังเอิญตรวจเจอ อาการที่บ่งบอกโรคนี้คือ เจ็บหน้าอก ปวดท้องเฉียบพลัน มึนศีรษะ เป็นลม มีก้อนเต้นตุ้บๆที่หน้าท้อง เป็นต้น ส่วนการรักษา ถ้าก้อนเส้นเลือดแดงโป่งพองมีขนาดเล็กจะเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่างๆแต่ถ้าก้อนใหญ่ แตกต้องผ่าตัดทันที ถ้ายังไม่แตกศัลยแพทย์ช่องทรวงอกและหัวใจ อาจใส่อุปกรณ์ถ่างขยายหลอดเลือด (สเต็นท์) หรือผ่าตัดต่อใส่หลอดเลือดเทียม เพื่อรักษาชีวิตคนไข้
**************************** 26 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40414 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ เลขา เปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 พบงานว่าง 5,000 กว่าอัตรา 26-27 มี.ค.นี้ ที่หน้าศูนย์การค้าฟอร์จูน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ มอบ เลขา เปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 พบงานว่าง 5,000 กว่าอัตรา 26-27 มี.ค.นี้ ที่หน้าศูนย์การค้าฟอร์จูน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 พบกับสถานประกอบการชั้นนำ 40 แห่งมาร่วมออกบูธรับสมัครงาน มีตำแหน่งงานว่าง 5,000 กว่าอัตรา วันที่ 26-27 มีนาคมนี้ ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จู
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับแก้ไขปัญหาการว่างงานจากผลกระทบโควิด -19 ซึ่งในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำริให้จัดงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้ไปสมัครงานในงาน Job Expo Thailand 2020 เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้มีโอกาสมาสมัครงานในงานนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และลดปัญหาการว่างงาน โดยส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และคนไทยทุกคนที่ประสงค์จะหางานทำ ด้วยการจัดกิจกรรมเพิ่มโอกาสสมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากโดยตรงในคราวเดียว รวมทั้งเพิ่มโอกาสคัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ ซึ่งมีสถานประกอบการชั้นนำ 40 แห่งมาร่วมออกบูธรับสมัครงาน มีตำแหน่งงานว่าง 5,000 กว่าอัตรา
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การจัดงานในวันนี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล เป็นแนวทางสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถเลือกทำงานได้ตามความรู้และความถนัดของตน ยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครงาน ผู้กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพเสริม และประชาชนผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมงานได้ในวันศุกร์ที่ 26 และวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้จัดกิจกรรมนัดพบแรงงาน โดยมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำเข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 แห่ง อาทิ บริษัท ซีพี แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งกิจการที่เปิดรับสมัครมีทั้งประเภทกิจการธุรกิจค้าปลีก กิจการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ กิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม กิจการให้บริการด้านการเงิน และกิจการบริการขนส่งสินค้าและขนส่งสาธารณะ มีตำแหน่งงานว่างซึ่งต้องการแรงงานในทุกระดับการศึกษา จำนวนกว่า 5,000 อัตรา ตำแหน่งงานที่น่าสนใจ ได้แก่ วิศวกรโยธา สถาปนิก เขียนแบบ ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน พนักงานบัญชี เจ้าหน้าที่ธุรการ พนักงานบริการ และพนักงานทั่วไป (ฝ่ายผลิต) เป็นต้น โดยแยกเป็นวุฒิปริญญาตรี 2,106 อัตรา วุฒิปวส. 461 อัตรา วุฒิปวช. 179 อัตรา วุฒิม.6 และต่ำกว่า 2,842 อัตรา รวมทั้งมีการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ วันละ 10 อาชีพต่อวัน รวมทั้งสิ้น 20 อาชีพ และการแสดงการประกอบอาชีพอิสระในรูปแบบ Food Truck จำนวน 4 คัน
ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวมุ่งหวังให้คนหางานได้รับความสะดวกสบายและประโยชน์สูงสุด สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถสมัครงานง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน คือ 1. เลือกบริษัทที่ต้องการ 2. แสกนคิวอาร์โค้ด 3. เลือกตำแหน่งงานและกรอกข้อมูลส่วนบุคคลแล้วกดส่ง นายจ้าง/สถานประกอบการจะได้รับข้อมูล และผู้สมัครงานเข้ารับการสัมภาษณ์กับนายจ้าง/สถานประกอบการได้ทันที ในส่วนของการเดินทางได้เลือกจัดงานใจกลางเมืองที่มีความสะดวกในการเดินทาง โดยศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพระราม 9 ติดกับโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน และเทสโก้ โลตัส สามารถเดินทางทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1 หรือรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถเมล์ หรือรถตู้ปรับอากาศ มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือลงสถานีอโศก ต่อรถไฟใต้ดินลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1 หรือเดินทางด้วย รถตู้ปรับอากาศ สะพานใหม่-อสมท., งามวงศ์วาน-อสมท., มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางสาย 172 ,98 ,171 ,36 ,73 ,73ก ,137 ,168 ,204 ,206 ,514 ,517 ,528 และ 529 โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมประชุมบอร์ดองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 3/2564 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมประชุมบอร์ดองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 3/2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมประชุมบอร์ดองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 3/2564 เน้น Social Enterprise สมดุล “ธุรกิจ-สังคม”
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 3/2564 โดยมี ดร.ประยูร ดำรงชิตานนท์ เป็นประธาน ณ ห้องประชุมองค์การสะพานปลา กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบทิศทาง กรอบการดำเนินงาน รวมถึงติดตามความคืบหน้าการบริหารทรัพย์สินขององค์การสะพานปลาในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น กรุงเทพ อ่างศิลา ภูเก็ต ระนอง และสงขลา เป็นต้น เพื่อให้องค์การสะพานปลามีศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร ต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นศูนย์กลางส่งเสริมกิจกรรมเชิงสังคม เชิงพาณิชย์ สันทนาการ และการท่องเที่ยวแบบบูรณาการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40383 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 ประเภทที่อยู่อาศัย แก่เกษตรกร จ.เชียงราย เพื่อกระจายการถือครองและลดการเหลื่อมล้ำทางสังคม
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)ประเภทที่อยู่อาศัยณบริเวณอ่างเก็บน้ำบ้านห้วยส้านพลับพลาต.โป่งแพร่อ.แม่ลาวจ.เชียงรายว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินกระจายการถือครองและลดการเหลื่อมล้ำทางสังคมจัดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพอีกทั้งยังช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมปรับปรุงทรัพยากรดินตลอดจนการผลิตและช่องทางการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร
“ในวันนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)ประเภทที่อยู่อาศัยแก่พี่น้องเกษตรกรอ.พานจำนวน20รายพร้อมมอบโค-กระบืออีก1รายและอ.แม่ลาวจำนวน24รายแล้วนั้นจะก่อให้เกิดการบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากเกษตรกรรายย่อยได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมทั้งยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของเกษตรกร”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
ทั้งนี้ภายในงานทางสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย(ส.ป.ก.เชียงราย)ได้มาบริการออกหน่วยศูนย์บริการประชาชนเคลื่อนที่(Mobile Unit)เพื่อลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกรในการเดินทางมาติดต่อพร้อมตอบปัญหาในด้านต่างๆข้อกฎหมายและบริการองค์ความรู้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนพร้อมบริการจากภาครัฐอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (เพิ่มเติม) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
การขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (เพิ่มเติม) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
รมว.คลังมีนโยบายให้ขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนออกไปเป็นครั้งที่ 3 เฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 9 เมษายน 2564
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีนโยบายให้ขยายระยะเวลาการเปิดรับลงทะเบียนออกไปเป็นครั้งที่ 3 เฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง) ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 9 เมษายน 2564
โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 60,201 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการเราชนะแล้ว จำนวน 16.7 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 92,106 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 8,409 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะแล้ว รวมทั้งสิ้น จำนวน 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 160,716 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
โครงการเราชนะ โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444
โครงการคนละครึ่ง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3697 3527 2548 และ 3509
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ตลอด 24 ชั่วโมง) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดการแข่งขันเดิน - วิ่งการกุศล “การท่าเรือ มินิมาราธอน 2021” | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดการแข่งขันเดิน - วิ่งการกุศล “การท่าเรือ มินิมาราธอน 2021”
“การท่าเรือ มินิมาราธอน 2021” ครั้งที่ 9 ประจำปี 2564 จัดขึ้นในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา กทท. ครบรอบ 70 ปี ในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ณ อาคารที่ทำการ กทท. รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศล
รายละเอียดการจัดแข่งขันฯ ดังนี้
1. เส้นทางการวิ่ง มีจุดเริ่มต้น ณ อาคารที่ทำการ กทท. โดยวิ่งผ่านเข้าสู่เส้นทางการขนส่งทางน้ำเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาบนทัศนียภาพคุ้งบางกระเจ้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยงามที่สุดในกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่เวลา 04.00 - 08.30 น.
2. การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- เดิน - วิ่ง เพื่อสุขภาพ (FUN RUN) ระยะทาง 5.3 กิโลเมตร ปล่อยตัวเวลา 06.00 น.
- มินิมาราธอน (MINI MARATHON) ระยะทาง 10.25 กิโลเมตร ปล่อยตัวเวลา 05.45 น.
3. ผู้สมัครประเภท FUN RUN และ MINI MARATHON 500 บาท จะได้รับ
- เบอร์วิ่งติดหน้าอก
- เสื้อที่ระลึกคอกลมเขียวฟ้า
- หมวกที่ระลึก (หมวกไวเซอร์)
- เหรียญที่ระลึก (หลังจากเข้าเส้นชัย)
4. ผู้สมัครประเภท VIP 1,000 บาท จะได้รับ
- เบอร์ติดหน้าอก
- เสื้อที่ระลึกโปโลสีเหลืองทอง
- หมวกที่ระลึก (หมวกไวเซอร์)
- เหรียญที่ระลึก (หลังจากเข้าเส้นชัย)
- ถ้วยรางวัลประเภท (VIP) (หลังจากเข้าเส้นชัย)
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครได้ระหว่างวันที่ 19 - 23 เมษายน 2564 เวลา 09.00 - 16.00 น. และวันที่ 24 เมษายน 2564 เวลา 09.00 - 13.00 น. ณ กทท. อาคาร บี ชั้น 2 ห้องนิทรรศการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 08 6787 9168 และ 08 7798 4866
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40396 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทสรุปการประชุมการศึกษาความเหมาะสม EIA เชื่อมเกาะลันตา ตำบลเกาะกลาง - ตำบลเกาะลันตาน้อย จังหวัดกระบี่ เน้นความทนทานของสะพาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงชนบทสรุปการประชุมการศึกษาความเหมาะสม EIA เชื่อมเกาะลันตา ตำบลเกาะกลาง - ตำบลเกาะลันตาน้อย จังหวัดกระบี่ เน้นความทนทานของสะพาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม สรุปผลการประชุมและปัจฉิมนิเทศโครงการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในขั้นรายละเอียด (EIA) สะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม สรุปผลการประชุมและปัจฉิมนิเทศโครงการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในขั้นรายละเอียด (EIA) สะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อนําไปประกอบแผนการดําเนินงานก่อสร้างในอนาคตให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากที่สุด
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เล็งเห็นความจําเป็นของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างบ้านหัวหิน ตําบลเกาะกลาง กับเกาะลันตาน้อย ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญสู่ชุมชน อํานวยความสะดวกด้านพาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนบนเกาะลันตา ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงแก้ไขปัญหาความยากลําบากในการเดินทางของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางไปเกาะลันตาจะต้องผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 สู่บ้านหัวหิน ซึ่งเป็นจุดลงแพขนานยนต์ ท่าเรือบ้านหัวหินไปยังท่าเรือบ้านคลองหมาก ซึ่งท่าเรือดังกล่าวเชื่อมระหว่างเกาะกลางไปยังเกาะลันตาน้อย หลังจากนั้นจะมีสะพานสิริลันตาเชื่อมเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่ จึงจะถึงตัวเมือง ย่านชุมชน/การค้า และตรงต่อไปยังหาดต่าง ๆ จนไปสุดถนนที่ท้ายเกาะบริเวณที่ทําการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซึ่งการใช้แพขนานยนต์ แม้จะเป็นระยะทางสั้นเพียง 1.53 กิโลเมตร แต่เนื่องจากแพขนานยนต์บรรทุกรถได้น้อย มีจํานวนจํากัดและให้บริการในช่วงเวลา 06.00 - 22.00 น. เท่านั้น ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้าในช่วงเวลาเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทช. จึงได้จัดประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยได้เชิญกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น โดยแบ่งเป็นการประชุมปฐมนิเทศโครงการ การประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 (2 กลุ่ม) และการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 (รวมทั้งหมด 3 ครั้ง) เพื่อสรุปแนวทางเลือกที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันคัดเลือกเส้นทางพื้นที่ศึกษาจุดเริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 ไปบรรจบกับจุดสิ้นสุดทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ความยาวสะพานรวมเชิงลาดประมาณ 2,240 เมตร รูปแบบโครงการสรุปได้ว่าเป็นแบบสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) ซึ่งเป็นรูปแบบสะพานที่มีความยาวช่วงสะพานมากกว่าสะพานทั่วไปทําให้เกิดความสะดวกสบายในการสัญจรทางน้ำ มีขั้นตอนในการก่อสร้างซึ่งรบกวนระบบนิเวศน้อยที่สุด
ต่อมา ทช. ได้จัดการประชุมหารือมาตรการและประชุมปัจฉิมนิเทศ เพื่อนําเสนอแนวสายทาง รูปแบบโครงการ พร้อมผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม มาตรการป้องกันแก้ไขลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงสรุปผลการศึกษาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยในส่วนของโครงสร้างที่อยู่ในทะเลนั้น จะมีมาตรการป้องกัน การสั่นไหวเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ป้องกันการกัดเซาะ ป้องกันการเกิดสนิม ซึ่งสายเคเบิลสะพานที่เป็นเหล็กได้ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันการเกิดสนิม โดยลักษณะการป้องกันสนิมที่สายเคเบิ้ล ประกอบด้วย การป้องกันด้วยท่อพลาสติกหุ้มอยู่ภายนอก ป้องกันไอน้ำทะเล และแสง UV ภายในท่อพลาสติกดังกล่าว มีการอัดน้ำปูน-ทราย หุ้มสายเคเบิ้ลไว้อีกชั้นหนึ่ง ทําให้ไม่มีช่องว่างให้อากาศชื้นที่มีความเค็มของไอทะเลเข้าไปอยู่ภายในท่อพลาสติกได้ การป้องกันสนิมที่ตัวสายเคเบิ้ล โดยมีสารเคลือบป้องกันสนิมโดยตรงตามมาตรฐานสากล ตลอดจนมีระบบตรวจสอบสภาพการเกิดสนิมและใช้ระบบไฟฟ้าสถิตเหนี่ยวการเกิดสนิม ไม่ให้เกิดที่สายเคเบิ้ล แต่ให้มาเกิดที่บ่อดักสนิมด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตแทน การป้องกันสนิมด้วยวิธีนี้เรียกว่า ระบบแคโทดิก เป็นการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแหล่งกําเนิดภายนอกเพื่อยับยั้งการเกิดสนิมของโลหะ
สําหรับขั้นตอนกระบวนการหลังจากการประชุมปัจฉิมนิเทศนั้น ทช. จะส่งรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ไปยังสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 7 เดือน จากนั้นจะเข้าสู่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ ขั้นตอนสุดท้ายจะเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบและเสนอของบประมาณในปี 2565 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,600 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40390 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว “ทัวร์เที่ยวไทย” กระตุ้นการท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
เปิดตัว “ทัวร์เที่ยวไทย” กระตุ้นการท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง
...
ไม่เพียงแค่โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ที่ ครม.เห็นชอบให้ดำเนินโครงการฯ ต่อ แต่ยังมีโครงการใหม่อย่าง "ทัวร์เที่ยวไทย" ที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
.
สำหรับรายละเอียดเงื่อนไข ทัวร์เที่ยวไทย มีอะไรบ้างไปดูกัน
• กำหนดจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งสิ้น 1,000,000 สิทธิ
• ระยะเวลาร่วมโครงการ ตั้งแต่เดือนพ.ค. – ส.ค. 64
• ผู้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ คนไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยนักท่องเที่ยว 1 คนสามารถใช้สิทธิได้ 1 สิทธิ
.
• รัฐบาลสนับสนุนค่าเดินทางในลักษณะร่วมจ่าย (Co-pay) 40% ของค่าใช้จ่ายแพ็กเกจนำเที่ยว แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน
• ผู้รับสิทธิจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ
• ผู้ใช้สิทธิต้องเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด ผ่านบริษัททัวร์ที่ร่วมโครงการในวันธรรมดา (วันอาทิตย์ - วันพฤหัสบดี) ไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน
.
• สามารถเข้าเลือกโปรแกรมท่องเที่ยวได้ที่เว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หลังจากที่เลือกโปรแกรมท่องเที่ยวเสร็จเรียบร้อยให้ติดต่อบริษัททัวร์ เพื่อชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งบริษัททัวร์ก็จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันถุงเงินด้วย
.
• สำหรับ ผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการ ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติโดยกรมการท่องเที่ยว ก่อนวันที่ 1 ม.ค. 63 โดยบริษัททัวร์ 1 แห่ง รับนักท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 1,000 ราย
.
คาดว่า โครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” จะเป็นส่วนช่วยส่งเสริมและฟื้นฟูธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ เสริมสภาพคล่อง กระตุ้นการบริโภคภาคประชาชนผ่านการเดินทางภายในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้หลักของประเทศสูงถึง 17% ของ GDP
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40380 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมพร้อมจัด Big Cleaning Day ต้นเดือนสิงหาคม 64 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ดีอีเอส เตรียมพร้อมจัด Big Cleaning Day ต้นเดือนสิงหาคม 64
ดีอีเอส เตรียมพร้อมจัด Big Cleaning Day ต้นเดือนสิงหาคม 64
26 มี.ค.64 นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกิจกรรม 5 ส ครั้งที่ 2/2564 โดยมีผู้แทนจากฝ่ายต่างๆของกระทรวงฯ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ประชุมได้พิจารณาผลการติดตามการดำเนินกิจกรรม 5 ส ครั้งที่ 1/2564 ที่ผ่านมา และเรื่องการเตรียมจัดกิจกรรม Big Cleaning Day ครั้งที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 6 สิงหาคม 2564 เพื่อให้บุคลากรในสังกัดฯ ได้ดำเนินกิจกรรมปรับปรุงสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และสถานที่ทำงานให้สะอาดมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งผลให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ กระตุ้นให้บุคลากรร่วมกิจกรรม 5ส อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ให้หน่วยงานราชการต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโดยใช้กิจกรรม 5 ส.(สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย)
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีการจับกุมเครื่องชั่งที่ท่าเรือแหลมฉบังไม่ได้มาตรฐาน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีการจับกุมเครื่องชั่งที่ท่าเรือแหลมฉบังไม่ได้มาตรฐาน
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีสื่อออนไลน์เผยแพร่ข่าวการจับกุมเครื่องชั่งที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งไม่เป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้เครื่องตวงวัดที่ติดตรึง
ซึ่งมีพิกัดกำลังตั้งแต่ 30 เมตริกตันขึ้นไป และมีส่วนชั่งน้ำหนักเป็นระบบดิจิทัล (เครื่องชั่งรถยนต์) โดยสำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งระงับใช้ จำนวน 4 เครื่อง
พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย นายชนินทร์ แก่นหิรัญ กรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมด้วยผู้บริหารท่าเรือแหลมฉบัง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง และเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดจากกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเครื่องชั่งของ ทลฉ. บริเวณประตูตรวจสอบ 3 ช่องทาง 3F และ 3H เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 โดยนำรถบรรทุกสิบล้อติดตั้งเครนพร้อมตุ้มน้ำหนักของศูนย์ชั่งตวงวัดชลบุรี หมายเลขทะเบียน 82-8521 นนทบุรี ซึ่งเป็นรถคันเดียวกับการสอบเทียบเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ไปทำการทดสอบ สรุปผลดังนี้
1. การตรวจสอบเครื่องชั่ง ช่องทาง 3F เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดได้นำรถบรรทุกสิบล้อติดตั้งเครนพร้อมตุ้มน้ำหนัก 23,030 กิโลกรัม ขึ้นชั่งบนแท่นชั่ง ซึ่งแสดงน้ำหนัก 23,030 กิโลกรัม ตรงกับน้ำหนักที่ปรากฏในจอของระบบเครื่องชั่ง และเปรียบเทียบกับการใช้เฉพาะตุ้มน้ำหนัก ตุ้มละ 500 กิโลกรัม จำนวน 20 ตุ้ม รวม 10,000 กิโลกรัม วางบนแท่นชั่งของ ทลฉ. ซึ่งแสดงน้ำหนัก 10,000 กิโลกรัม ตรงกับน้ำหนักที่ปรากฏในจอของระบบเครื่องชั่งเช่นกัน
ทั้งนี้ รถบรรทุกสิบล้อติดตั้งเครนไม่ได้กำหนดอยู่ในตารางรายการน้ำหนักหักลบในระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมยานพาหนะผ่านท่าของ ทลฉ. ที่ได้รับความเห็นชอบให้ใช้จากศูนย์ชั่งตวงวัดชลบุรี เมื่อปี 2547 โดยระบบฯ จะกำหนดน้ำหนักมาตรฐานของรถบรรทุกสิบล้อที่ใช้บรรทุกตู้สินค้าไว้ที่ 8,000 กิโลกรัม ซึ่งไม่ตรงกับน้ำหนักของรถบรรทุกสิบล้อติดตั้งเครนที่มีน้ำหนัก 13,030 กิโลกรัม น้ำหนักเฉพาะตัวรถบรรทุกสิบล้อทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันจากการติดตั้งเครนและอุปกรณ์ประกอบ จึงส่งผลให้น้ำหนักมีความคลาดเคลื่อนจากรถบรรทุกที่อยู่ในระบบจัดเก็บของ กทท. ประมาณ 5,000 กิโลกรัม ซึ่งเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรถบรรทุกมาตรฐานของบริษัทผู้ผลิตจะมีน้ำหนัก 7,050 กิโลกรัมเท่านั้น
2. การตรวจสอบเครื่องชั่ง ช่องทาง 3H เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดได้นำรถบรรทุกสิบล้อติดตั้งเครนพร้อมตุ้มน้ำหนัก 23,030 กิโลกรัม ซึ่งชั่งไว้เดิมในช่องทาง 3F ปรากฏว่า น้ำหนักที่แสดงผลคลาดเคลื่อนไปจากเดิม เป็น 27,000 กิโลกรัม ในส่วนของรถบรรทุกสิบล้อปกติที่มีน้ำหนัก 7,690 กิโลกรัม น้ำหนักที่แสดงคลาดเคลื่อน
ไปเป็น 8,970 กิโลกรัม ซึ่งบริษัท เอ๊กซิเจน จำกัด ผู้รับจ้างบำรุงรักษา ซ่อมแซม แก้ไข และตรวจสอบเครื่องชั่งของ ทลฉ. ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ใต้แท่นชั่งดังกล่าวพบว่า มีน้ำท่วมขังจากฝนตกหนักในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้สั่งการให้บริษัทฯ เร่งสูบน้ำที่ท่วมขังออกโดยเร็ว ซึ่งบริษัทฯ ได้เร่งสูบน้ำออกและตรวจสอบพบว่า เครื่องชั่งดังกล่าวติดตั้งโหลดเซลล์ครบถ้วนตามจำนวน (6 ตัว) สภาพอุปกรณ์อื่น ๆ ครบถ้วน และติดตั้งตรงตามตำแหน่งที่ติดตั้งไว้เมื่อปี 2547
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร กล่าวว่า เครื่องชั่งทั้ง 4 เครื่อง ที่ถูกระงับใช้โดยสำนักงานชั่งตวงวัด เป็นเครื่องชั่งที่ใช้ชั่งสินค้าขาออกนอกประเทศ เป็นไปตามภาค 3 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งจะไม่สามารถแก้ไขน้ำหนักรวมของรถบรรทุก วัน เวลา และสถานที่ที่ทำการชั่งที่ได้รับจากเครื่องชั่ง (Gross Weight) ได้ โดยน้ำหนักรวมที่ได้รับจากเครื่องชั่งดังกล่าว เมื่อประมวลเข้ากับระบบหักลบน้ำหนักตัวรถตามประเภทรถ (Vehicle Type) ที่ได้รับคำรับรองให้ใช้จากศูนย์ชั่งตวงวัดชลบุรี เมื่อปี 2547 เพื่อให้ได้ข้อมูลเฉพาะส่วนน้ำหนักสินค้าตามที่กรมศุลกากรต้องการ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้นที่กรมศุลกากรจะนำไปใช้ในการประมวลผลผ่านระบบ NSW เพื่อประโยชน์ในการตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) ผ่านระบบ NSW ซึ่งกระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการสอบทานภายใต้การบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือตามข้อกำหนดของ IMO (International Marine Organization) ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนประเภทรถดังกล่าว มิได้มีผลกระทบต่อจำนวนภาษีที่ผู้ส่งออกได้ชำระไว้ก่อนหน้า (หากมี) กับกรมศุลกากรแต่อย่างใด กรณีนี้จึงไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ประกอบกับ ทลฉ. ไม่ได้ใช้ และ/หรือ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลน้ำหนักที่ชั่งได้จากเครื่องชั่ง ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนในการนำไปคิดคำนวณภาษี ค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการใด ๆ โดย ทลฉ. มีเพียงการเรียกเก็บค่าบริการอำนวยความสะดวกจากรถขนส่งสินค้าทุกคันที่วิ่งผ่าน ทลฉ. ในอัตราคงที่และไม่ได้แปรผันตามข้อมูลน้ำหนักที่ชั่งได้ ผลการชั่งน้ำหนักที่แตกต่างหรือเบี่ยงเบนไปจากค่ามาตรฐานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด ไม่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียที่ ทลฉ. จะได้รับแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ทลฉ. และพนักงานจึงไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจไม่ว่าทางใด ๆ ที่จะกลั่นแกล้ง และ/หรือจงใจที่จะต้องทำให้น้ำหนักของเครื่องชั่งแตกต่างหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือเรียกรับผลประโยชน์ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ทั้งนี้ หากผลการเปรียบเทียบดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนกว่าที่ระบบศุลกากรยอมรับได้ ระบบจะสั่งให้ไปเอ็กซเรย์ (X-ray) ซึ่งผู้ขับรถบรรทุกจะต้องนำตู้สินค้าดังกล่าวไปเอ็กซเรย์ ก่อนที่จะนำไปส่งให้ท่าเทียบเรือปลายทางนำขึ้นเรือต่อไป หากตู้สินค้าดังกล่าวไม่ได้เอ็กซเรย์จะถูกท่าเทียบเรือปลายทางปฏิเสธการขนถ่ายขึ้นเรือ ซึ่งระบบดังกล่าวมีการสอบทานหลายขั้นตอน หากระบบของศุลกากรแสดงว่าตู้สินค้าดังกล่าวมีความถูกต้องก็จะสั่งให้ผ่านไปขนถ่าย ณ ท่าเรือต่อไปได้
กทท. ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการซ่อมทำเครื่องชั่งที่ชำรุดมาโดยตลอด โดยในปีงบประมาณ 2564 ได้รับจัดสรร จำนวน 1,100,000 บาท เพื่อซ่อมทำเครื่องชั่งที่ชำรุด จำนวน 1 ประตู ขณะนี้อยู่ระหว่างสรรหาตัวผู้รับจ้าง และ ทลฉ. ได้ขออนุมัติหลักการเพื่อจัดสรรงบลงทุนการจัดหาทดแทนเครื่องชั่งแบบ Static จำนวน 7 เครื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างนำเสนอให้คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40392 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปลื้ม 3 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท ชวนใช้สิทธิ์ “คนละครึ่ง” ก่อนสิ้นสุดโครงการ 31 มี.ค. นี้ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
รัฐบาลปลื้ม 3 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท ชวนใช้สิทธิ์ “คนละครึ่ง” ก่อนสิ้นสุดโครงการ 31 มี.ค. นี้
รัฐบาลปลื้ม 3 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท ชวนใช้สิทธิ์ “คนละครึ่ง” ก่อนสิ้นสุดโครงการ 31 มี.ค. นี้
วันที่ 26 มี.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่โครงการคนละครึ่งจะหมดเขตในวันที่ 31 มี.ค.นี้ อยากเชิญชวนให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ เร่งใช้จ่าย เพื่อจะได้ใช้วงเงินสิทธิ์ครบเต็มจำนวน ขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิ์ครบ 3,500 บาท แล้ว 6.38 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ 14.79 ล้านราย โดยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นรวม ณ 20 มี.ค. จำนวน 100,042 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายจากภาคประชาชน 51,214 ล้านบาท รัฐช่วยจ่าย 48,828 ล้านบาท สำหรับโครงการฯ ในเฟส 3 ทางกระทรวงการคลังแจ้งว่าอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งจะออกมาได้หลังจากที่โครงการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน สิ้นสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564
ในส่วนของจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการเราชนะ ขณะนี้มี 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1.53 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการ ม33 เรารักกัน มีผู้ได้รับสิทธิ์แล้ว 7.4 ล้านคน เริ่มโอนเงินงวดแรก 1 พันบาท แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ เมื่อ 22 มี.ค. มียอดการใช้จ่ายประมาณ 750 ล้านบาท และจะเปิดให้ยื่นทบทวนสิทธิ์ ถึงวันที่ 28 มี.ค. นี้ ทาง www.ม33เรารักกัน.com โดยประกาศผล วันที่ 5-11 เม.ย. 64 ทางเว็บไซต์เช่นเดียวกัน
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ทั้ง 3 โครงการของรัฐบาล สามารถแบ่งเบาภาระประชาชนจากผลกระทบโควิด-19 ได้มาก รวมถึงเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบคาดว่าไม่ต่ำ 2.5 แสนล้านบาท ตัวเลข ณ วันที่ 25 มี.ค. ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นมากกว่า 1.5 ล้านกิจการ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากก็ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างมากด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40398 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดใหญ่ในรอบปี!! ธอส.เปิดประมูลทรัพย์ออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA กว่า 6,000 รายการ วันเสาร์ที่ 27 มี.ค.นี้ พิเศษ!! ดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
จัดใหญ่ในรอบปี!! ธอส.เปิดประมูลทรัพย์ออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA กว่า 6,000 รายการ วันเสาร์ที่ 27 มี.ค.นี้ พิเศษ!! ดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน
ธอส.จัดหนักจัดใหญ่ เอาใจคนอยากมีบ้าน จัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง ลดยิ่งใหญ่ ประจำปี 2564” หรืองานประมูลบ้านมือสอง ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 แบบออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดหนักจัดใหญ่ เอาใจคนอยากมีบ้าน จัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง ลดยิ่งใหญ่ ประจำปี 2564” หรืองานประมูลบ้านมือสอง ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 แบบออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA นำทรัพย์ทั่วประเทศออกประมูลมากกว่า 6,000 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด แฟลต อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 993 รายการ และทรัพย์ในภูมิภาค จำนวน 5,143 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูล ลดสูงสุดถึง 60% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 40,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ผู้ชนะประมูลทรัพย์มีสิทธิ์เลือกใช้มาตรการผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 24 เดือน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่คุ้มค่า หลังจากที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติและฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงกำหนดจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง ลดยิ่งใหญ่ ประจำปี 2564” หรือ งานประมูลบ้านมือสอง(ทรัพย์ NPA) ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 โดยนำทรัพย์ทั่วประเทศมาออกประมูลในครั้งนี้ 6,136 รายการ ทุกระดับราคาและหลากหลายประเภททั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด แฟลต อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 993 รายการ โดยรายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดอยู่ที่เพียง 40,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด ชั้นที่ 4 โครงการปลาทอง 47 อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 26.25 ตรม. ราคาเริ่มต้นประมูล 40,000 บาท จำนวน 2 รายการ และมีรายการทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ โครงการหมู่บ้านพฤกษาไลท์ล็อกซ์ ดอนเมือง ขนาดเนื้อที่ 21.9 ตารางวา เขตบางเขน กรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS สายสีแดง สถานีดอนเมือง เพียง 10 นาที และไปสนามบินดอนเมืองเพียง 15 นาที เท่านั้น ราคาเริ่มต้นประมูล 2,340,000 บาท และทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว โครงการออคิดวิลล่า เฟส 5 ขนาด เนื้อที่ 53.1 ตารางวา อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เป็นทรัพย์ที่สามารถเดินทางไปยังมหาวิทยาลัย ABAC สุวรรณภูมิ ห้างสรรพสินค้าเมกา บางนา และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้อย่างสะดวก ราคาเริ่มต้นประมูล 2,700,000 บาท
ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคได้นำออกประมูลจำนวนมากกว่า 5,000 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 60% จากราคาปกติ ได้แก่ ที่ดินเปล่า ขนาดเนื้อที่ 308 ตารางวา โครงการแก่งหลวงมารีน่า อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 440,000 บาท และรายการทรัพย์ที่มีราคาจำหน่ายต่ำสุด ได้แก่ ที่ดินเปล่าขนาดเนื้อที่ 100 ตารางวา โครงการคุ้มทอง 1 อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ราคาเริ่มต้นประมูล 70,000 บาท ส่วนรายการทรัพย์เด่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อาทิ ทรัพย์ประเภทห้องชุด โครงการ The Next 2 ชั้นที่ 3 ขนาดเนื้อที่ 32.20 ตารางเมตร อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ราคาเริ่มต้นประมูล 1,510,000 บาท โดยเป็นทรัพย์ที่อยู่ใจกลางเมือง ใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีขนส่งและสถานีรถไฟเชียงใหม่เพียง 5 นาที และเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่เพียง 12 นาทีเท่านั้น ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น โครงการภัทรโฮม ขนาดเนื้อที่ 53.10 ตารางวา อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ราคาเริ่มต้นประมูล 3,150,000 บาท เป็นทรัพย์ที่อยู่ในย่านธุรกิจ สามารถเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าเพียง 5 นาที และเดินทางไปยังท่าอากาศยานพิษณุโลกเพียง 9 นาทีเท่านั้น และทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น โครงการไอลีฟ ทาวน์ ขนาดเนื้อที่ 33.80 ตารางวา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ราคาเริ่มต้นประมูล 2,525,000 บาท เป็นทรัพย์ที่อยู่ห่างจากโรงเรียนนานาชาติ เพียง 4.9 กิโลเมตร และห่างจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เพียง 9.6 กิโลเมตร
“เชื่อว่าการประมูลแบบออนไลน์ในครั้งนี้ จะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ที่กำลังเลือกที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งบ้านมือสองถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในขณะนี้สะท้อนได้จาก ในปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ถึง 3,510 ล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2564 จะขายทรัพย์ได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท เพราะตลอดทั้งปีนี้ ธอส.จะเปิดประมูลทรัพย์แบบออนไลน์ประจำทุกเดือน รวมถึงมีการจัดงานขายทรัพย์ตามภูมิภาคต่าง ๆ ขณะที่ราคาบ้านมือสองของธนาคาร นอกจากจะมีราคาคุ้มค่าแล้ว ลูกค้ายังได้รับส่วนลด On Top (กรณีโอนกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาที่กำหนด) อีกด้วย ”นายฉัตรชัย กล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลแบบออนไลน์ (เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ซึ่งการประมูล จะแบ่งออกเป็น 6 รอบ รอบละ 30 นาที สามารถดูรายละเอียดรอบการประมูล ได้บนเว็บไซต์ www.ghbhomecenter.com ส่วนผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code สำหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชำระเงินและทำสัญญาตามที่ธนาคารกำหนด และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารฯ กำหนด) พิเศษ !! หากโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 31 พฤษภาคม 2564 ลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ประมูลซื้อได้ ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40384 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ชูแนวคิด “อีสาน Agri Challenge Model” มุ่งขับเคลื่อนงานเกษตร 5 กลุ่มจังหวัดภาคอีสานอย่างเป็นรูปธรรม | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ปลัดเกษตรฯ ชูแนวคิด “อีสาน Agri Challenge Model” มุ่งขับเคลื่อนงานเกษตร 5 กลุ่มจังหวัดภาคอีสานอย่างเป็นรูปธรรม
ปลัดเกษตรฯ ชูแนวคิด “อีสาน Agri Challenge Model” มุ่งขับเคลื่อนงานเกษตร 5 กลุ่มจังหวัดภาคอีสานอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบแนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมนำเสนอแนวคิด “อีสาน Agri Challenge Model” ณ ห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่ 6 จังหวัดขอนแก่น ว่า การประชุมในวันนี้ มุ่งเน้นมอบแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้แก่เกษตรและสหกรณ์จังหวัด 5 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งสิ้น 20 จังหวัด โดยเชื่อมโยงกับ 5 ยุทธศาสตร์ 15 นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ซึ่งนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมในพื้นที่โดยมีการนำเสนอ “อีสาน Agri Challenge Model” โดยมีแนวทางการขับเคลื่อน ดังนี้ 1. “ตลาดนำการผลิต” โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกร และเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการ start up และส่งเสริมระบบเกษตรพันธสัญญา 2. เทคโนโลยีเกษตร 4.0 โดยการพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านเกษตร 3. ยุทธศาสตร์ 3’S โดยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทย 4. บริหารเชิงรุกแบบบูรณาการโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” โดยพัฒนาฐานข้อมูล Big Data และการประกันรายได้เกษตรกร และ 5. เกษตรกรรมยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม การส่งเสริมศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การประกันภัยพืชผลให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียต่อพืชผล และการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน
“วันนี้ได้เน้นย้ำแนวทางการดำเนินงานให้แก่เกษตรและสหกรณ์จังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับภูมิภาค เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นงานเร่งด่วนทั้งสิ้น รวมทั้งสามารถนำไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ 1) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 2) โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด 3) การปฏิรูปการเกษตรมูลค่าสูง 4) โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ 5) การบริหารจัดการช่องทางการตลาดของผลไม้ในพื้นที่ 6) การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และ 7) การขับเคลื่อน ศพก. อย่างเข้มแข็ง โดยมุ่งเน้นส่งเสริม Young smart Farmer ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนในการติดตามผลการดำเนินงานในภาคอีสาน รวมทั้งการรับฟังและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับผู้ตรวจราชการของกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ขับเคลื่อนการปฏิบัติงานโครงการสำคัญต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบด้านการส่งออกสินค้าเกษตรเพียงเล็กน้อย ซึ่งมาจากอุปสรรคด้านการขนส่งและแรงงาน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณภาพสินค้าเกษตรของไทย เนื่องจากทั่วโลกให้ความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบความปลอดภัย การรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร และคุณภาพของสินค้าเกษตร ซึ่งขณะนี้ มีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ผ่านมา ส่วนสถานการณ์น้ำในภาคอีสาน ได้เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำตามแผนฯ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าจะมีน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคเพียงพอแน่นอน
ในโอกาสนี้ ปลัดเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) พร้อมกับเกษตรและสหกรณ์จังหวัด 5 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ศพก.บ้านเนินตอ ตำบลบัวใหญ่ และศพก.หนองหารจาง ตำบลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40393 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รพ.ขลุง จ.จันทบุรี รักษาสะดวกใกล้บ้าน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
รมช.สาธิต เปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รพ.ขลุง จ.จันทบุรี รักษาสะดวกใกล้บ้าน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รพ.ขลุง จ.จันทบุรี รองรับผู้ป่วยโรคไตและไตวายเรื้อรังในพื้นที่ให้เข้าถึงการรักษา สะดวกใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการส่งต่อ ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่
บ่ายวันนี้ (26 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลขลุง จังหวัดจันทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 นายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และคณะผู้บริหาร เปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน และมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี ในจำนวนนี้ ประมาณ 80,000 คน เป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ต้องได้รับการฟอกเลือด การล้างไตทางช่องท้อง หรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายให้ทุกเขตสุขภาพพัฒนาระบบบริการโรคไตเรื้อรัง เชื่อมโยงตั้งแต่ในชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน ไปจนถึงโรงพยาบาลจังหวัด มีเป้าหมายลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เน้นการคัดกรองโรคไตในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง มีทีมรักษ์ไต ทีมหมอครอบครัว และคลินิกโรคไม่ติดต่อคุณภาพ การชะลอไตเสื่อม โดยเปิดคลินิกโรคไต ดูแลรักษาและให้คำแนะนำชะลอไตเสื่อม และการดูแลผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายอย่างเหมาะสม มีหน่วยไตเทียม หน่วยล้างไตทางช่องท้อง และศูนย์ปลูกถ่ายและรับบริจาคอวัยวะ โดยในปี 2562 มีผู้ป่วยที่รับบริการฟอกเลือดที่โรงพยาบาลในสังกัดประมาณ 17,000 ราย ล้างไตทางช่องท้องประมาณ 5,000 ราย ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 45 – 64 ปี ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีคลินิกโรคไต ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กลาโหม/มหาดไทย และเอกชนใน 12 เขตสุขภาพรวม 349 ศูนย์ สำหรับในกทม. มีศูนย์ไตเทียมในโรงพยาบาลรัฐ 34 แห่ง โรงพยาบาลเอกชนและคลินิก 151 แห่ง
สำหรับโรงพยาบาลขลุง ได้เปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เพิ่มศักยภาพการให้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตและไตวายเรื้อรัง ทำให้ไม่ต้องส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมจำนวน 36 คน ไปรักษายังโรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี โรงพยาบาลเอกชนและคลินิก และผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะ 5 ที่รอการล้างไตอีก 16 ราย เข้าถึงบริการสะดวก ใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการส่งต่อ ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ในเวลาราชการ ให้บริการผู้ป่วยได้วันละ 12-15 ราย มีเครื่องฟอกไตทางเส้นเลือดจำนวน 4 เครื่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค และได้รับการสนับสนุนเครื่องผลิตน้ำบริสุทธิ์ (น้ำ RO) จากมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย นับเป็นความร่วมมือจากภาคประชาชน สังคม รัฐและเอกชนเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่
***************************26 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเปิดให้บริการแล้ว ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax บริการรับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์ - อาทิตย์ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางบกเปิดให้บริการแล้ว ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax บริการรับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์ - อาทิตย์
นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเข้มงวด และประชาชนมีความเข้าใจและให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T
D - Distancing อยู่ห่างไว้ M - Mask Wearing ใส่หน้ากากอนามัย H - Hand washing หมั่นล้างมือ T - Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ T - Thai Cha na ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะเป็นอย่างดี ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระภาษีรถประจำปีให้แก่ประชาชน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เตรียมจัดเจ้าหน้าที่ออกหน่วยให้บริการเพื่อให้บริการรับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน ตามโครงการช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax ในวันเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงานขนส่งที่รับผิดชอบการออกหน่วยให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ดำเนินการประสานห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชนเจ้าของพื้นที่ รวมถึงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และมาตรการควบคุมของพื้นที่หรือจังหวัดอย่างใกล้ชิด กรณีมีประกาศเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มาตรการควบคุม หรือพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่อาจส่งผลต่อประชาชนที่มาใช้บริการ ให้พิจารณาปรับการให้บริการตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงความปลอดภัยทางด้านสาธารณสุขของประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ
สำหรับจุดให้บริการรับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชนตามโครงการ ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มีนาคม 2564) ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี จำนวน 11 สาขา ได้แก่ สาขาบางบอน บางปะกอก เพชรเกษม อ่อนนุช สุวินทวงศ์ รัชดาภิเษก สุขาภิบาล 3 ลาดพร้าว รามอินทรา สำโรง และสมุทรปราการ เปิดให้บริการวันเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค, เซ็นทรัลศาลายา, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัล Westgate และเดอะมอลล์งามวงศ์วาน เปิดให้บริการวันเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ส่วนต่างจังหวัดสามารถสอบได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดโดยตรง
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประชาชนที่ต้องการชำระภาษีรถประจำปีโดยที่ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่งหรือห้างสรรพสินค้า ขบ. ได้พัฒนาเว็บไซต์ชำระภาษีรถประจำปี https://eservice.dlt.go.th ให้สามารถรองรับการชำระภาษีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง), รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้), รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ซึ่งได้เริ่มทดลองให้รถกลุ่มดังกล่าว
ยื่นชำระภาษีรถประจำปีผ่านเว็บไซต์ได้แล้ว โดยรถนั้นต้องผ่านการตรวจสภาพจากสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ก่อน จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนชำระภาษีในเว็บไซต์ได้ จากนั้นจะได้รับเครื่องหมายการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ภายใน 5 วันทำการหลังชำระเงิน สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1584
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40395 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งมียอดใช้จ่าย 1 แสนล้านบาท | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
โครงการคนละครึ่งมียอดใช้จ่าย 1 แสนล้านบาท
ความสำเร็จของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 25 มีนาคม 2564 โครงการคนละครึ่งมียอดการใช้จ่ายสะสม 100,042 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 51,214 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 48,828 ล้านบาท
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความสำเร็จของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 25 มีนาคม 2564 โครงการคนละครึ่งมียอดการใช้จ่ายสะสม 100,042 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 51,214 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 48,828 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14,793,502 คน เป็นการใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 12,959,425 คน และใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 6,624,037 คน โดยการใช้จ่ายกระจายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ แสดงถึงความสำเร็จอย่างสูงในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากทั่วประเทศ ซึ่งจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่
ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งจะสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดโครงการ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีวงเงินเหลือรักษาสิทธิของท่านโดยการเร่งใช้จ่ายให้ครบ 3,500 บาท ภายในกำหนด ซึ่งจะเป็นการช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40385 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุม ศบศ. เคาะมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในรูปแบบ Phuket Sandbox นำร่อง 1 กรกฎาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ที่ประชุม ศบศ. เคาะมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในรูปแบบ Phuket Sandbox นำร่อง 1 กรกฎาคม 2564
ที่ประชุม ศบศ. เคาะมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในรูปแบบ Phuket Sandbox นำร่อง 1 กรกฎาคม 2564
วันนี้ (26 มีนาคม2564) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2564 ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกอยู่ในระดับดี การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง จำนวนบริษัทที่เปิดกิจการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนมกราคม
ที่ประชุมยังได้รับทราบเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2564 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเจริญเติบโตได้ถึงร้อยละ 4 โดยอาศัยมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย การส่งออกสินค้า การบริโภคของภาคเอกชน การลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ต้องเร่งรัดการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้ว รวมถึงต้องมีการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐให้ได้มากกว่าร้อยละ 80 แก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ อาทิ การขาดแคลนตู้สินค้า ปรับวิธีการทางศุลกากรให้รวดเร็วขึ้น และขยายตลาดเพิ่มเติม ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภค อาทิ โครงการเราชนะ โครงการเรารักกัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและดึงดูดการลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้คณะทำงานปฏิบัติการเชิงรุกดำเนินการพูดคุยกับบริษัทต่างประเทศเพื่อให้เกิดการลงทุนในประเทศไทย เน้นอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมดิจิทัล คลาวด์ ช่วงแรกจะเร่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการดูแลสุขภาพ พร้อมปรับปรุงกฎระเบียบเพิ่มเติมโดยเฉพาะการยื่นขอใบอนุญาตการทำงาน (Work Permit) และขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว และต้องมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ ให้สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัว หรือเรียกว่า Phuket Sandbox และจะเปิดรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบจำนวนในไตรมาสสองในบางพื้นที่ ประกอบด้วย ภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องกักตัวในโรงแรมและในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเวลา 7 วัน ในไตรมาสสามจะเปิดรับนักเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัวเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และไตรมาสสี่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย พัทยา และเชียงใหม่ โดยไม่ต้องกักตัวแต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางเข้ามายังพื้นที่ต้องมีแสดงผลรับรองวัคซีนโควิด-19 ครบจำนวนโดส พร้อมทั้งตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วย ขณะเดียวกัน จังหวัดภูเก็ตได้เสนอแผนปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเปิด Phuket Sandbox ในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40402 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้า 13 ด้านตามแผนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและแห่งชาติ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาครัฐ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รัฐบาลเดินหน้า 13 ด้านตามแผนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและแห่งชาติ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาครัฐ
รัฐบาลเดินหน้า 13 ด้านหลักตามแผนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและแห่งชาติ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาครัฐ
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 14.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้หารือหลักการสำคัญ ในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่รัฐบาลได้เดินหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายสำคัญคือ การหารายได้เพิ่ม โดยให้ประชาชนได้เข้าถึงประโยชน์ให้เกิดเศรษฐกิจต่อเนื่องทั้งภาคการเกษตร การค้าการลงทุน รวมทั้งยังได้พิจารณาถึงความเสี่ยงของสถานการณ์ทางการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสงครามการค้าด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกด้วยว่า ได้ถือโอกาสแนะนำรัฐมนตรีใหม่ 2 ท่าน คือ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายปี 2564 และ 2565 จะเร่งดำเนินการ 13 เป้าหมาย ตามแผนของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แบ่งเป็น 4 ด้านประกอบไปด้วย ด้านที่ 1 เศรษฐกิจ อาทิ เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบริการดิจิทัล ประตูการค้า การลงทุนและโลจิสติกส์ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์พวงมาลัยขวา การท่องเที่ยวเชิงคุณค่า เกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง ด้านที่ 2 วิถีชีวิตที่ยั่งยืน อาทิ การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ลด PM 2.5 ลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจะต้องปรับเปลี่ยนให้วิถีชีวิตมีความปลอดภัยและยั่งยืน ด้านที่ 3 ขยายโอกาสสำหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่ อาทิ SMEs วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจสังคม ให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พัฒนาพื้นที่และเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่ ความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอและเหมาะสม และด้านที่ 4 ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ เพิ่มกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศจากภาคการศึกษา ผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ เพิ่มความเข้มแข็งให้ภาครัฐด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การบริการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการเร่งแก้ปัญหากำลังคนที่มีทักษะต่ำและภาครัฐที่ล้าสมัย ไปสู่กำลังคนและภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสังคม และปฏิรูปกฎหมาย เพื่อเดินหน้าประเทศต่อไปได้ด้วยดี
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Senior Officials’ Meeting: ADSOM) ด้วยระบบการประชุมผ่านสื่อิเล็กทรอนิกส์ (Video Teleconference: VTC) เมื่อ ๒๔ มี.ค.๖๔ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Senior Officials’ Meeting: ADSOM) ด้วยระบบการประชุมผ่านสื่อิเล็กทรอนิกส์ (Video Teleconference: VTC) เมื่อ ๒๔ มี.ค.๖๔
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน หรือ ADSOM ด้วยระบบ VTC
เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมาร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน และรองเลขาธิการอาเซียน โดยมีปลัดกระทรวงกลาโหมบรูไนดารุสซาราม เป็นประธานการประชุมฯ เพื่อหารือความร่วมมือภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และเตรียมการสำหรับการจัดการประชุม ADMM และ ADMM-Plus ในปีนี้ ซึ่งมีผลการประชุมฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ๑) เห็นชอบร่างเอกสารความร่วมมือริเริ่มใหม่ จำนวน ๘ ฉบับ และ ผลการประเมินผลให้จัดการประชุม ADMM-Plus เป็นประจำทุกปี ๒) พิจารณาร่างเอกสารปฏิญญาสมัยพิเศษเนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ ๑๕ ปี การก่อตั้งกลไกการประชุม ADMM จำนวน ๒ ฉบับ ๓) เห็นชอบให้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน +๑ อย่างไม่เป็นทางการกับ เครือรัฐออสเตรเลีย และสาธารณรัฐเกาหลี ๔) จัดทำหนังสือที่ระลึกเพื่อรวบรวมความสำเร็จ ในโอกาศการครบรอบ ๑๕ ปี ของก่อตั้งกลไกการประชุม ADMM และ ๕) เตรียมการจัดการประชุม ADMM ครั้งที่ ๑๕ และการประชุม ADMM-Plus ครั้งที่ ๘ ด้วยระบบ VTC ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕ ถึง ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40477 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564
สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ภาพรวมสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก รมว.คลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 947 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (565 ราย)
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 947 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (565 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (148 ราย) ภาคเหนือ (119 ราย) ภาคตะวันออก (65 ราย) และภาคใต้ (50 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2564 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 459,664 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 10,890.51 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 23,692.33 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 873 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 822 ราย ใน 75 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (76 ราย) กรุงเทพมหานคร (61 ราย) และขอนแก่น (51 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 146 ราย ใน 46 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 125 ราย ใน 39 จังหวัด เพิ่มขึ้น 2 จังหวัด ได้แก่ ลำพูน และน่าน โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (20 ราย) อุดรธานี (9 ราย) อุบลราชธานี (8 ราย)
(3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 197,158 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 4,081.66 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 29,801 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 625.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.33 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 28,717 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 657.58 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.11 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 8,904 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2564 จำนวน 311 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 0 2255 1898
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
• ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40479 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมัครใช้งานแอป GHB ALL ด้วยตัวเองได้แล้ว เพียงยืนยันตัวตนผ่านระบบดิจิทัล ด้วย NDID | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
สมัครใช้งานแอป GHB ALL ด้วยตัวเองได้แล้ว เพียงยืนยันตัวตนผ่านระบบดิจิทัล ด้วย NDID
ธอส.อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ทำธุรกรรม โดยลูกค้าสามารถ สมัคร Application : GHB ALL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา โดยการใช้เทคโนโลยีพิสูจน์ยืนยันตัวตนด้วยการเปรียบเทียบใบหน้า (Facial Recognition) ที่ได้จัดเก็บไว้กับธนาคารเรียบร้อยแล้ว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับ ธอส.ได้ง่ายๆ สะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ ภายใต้ โครงการ G H Bank New Normal Services เพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ด้านดิจิทัลขึ้นสู่ Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวครบ จบ เหมือนยกธนาคารไว้ในมือคุณ โดยลูกค้าสามารถ สมัคร Application : GHB ALL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา โดยการใช้เทคโนโลยีพิสูจน์ยืนยันตัวตนด้วยการเปรียบเทียบใบหน้า (Facial Recognition) ที่ได้จัดเก็บไว้กับธนาคารเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ธอส. เป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งแรกที่ใช้เทคโนโลยีในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล ด้วยการเปรียบเทียบใบหน้าผ่านโครงข่ายแพลตฟอร์ม National Digital ID (NDID) ที่ใช้ Blockchain เทคโนโลยีมาพัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้าในการเปิดบัญชีออมทรัพย์ผ่าน Application : GHB ALL ภายใต้ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีขั้นตอนง่ายๆ เพียงดาวน์โหลด Application : GHB ALL จากนั้นกดสมัครใช้บริการ และกรอกหมายเลขบัตรประชาชนที่จะใช้ลงทะเบียน ระบบจะขึ้นให้กรอกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนใส่เบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อขอรหัส OTP ดำเนินการกรอกข้อมูลตามขั้นตอนต่างๆ จากนั้นรอผลยืนยันตัวตน NDID ก่อนทำการสแกนเพื่อเปรียบเทียบใบหน้า และตรวจสอบความถูกต้อง ง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็สามารถเข้าใช้บริการ Application : GHB ALL ได้ทันที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center)โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40486 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน แจงยอดปล่อยกู้กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ปีงบ 64 คงเหลือพร้อมให้กู้ 3.7 ล้าน | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รมว.แรงงาน แจงยอดปล่อยกู้กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ปีงบ 64 คงเหลือพร้อมให้กู้ 3.7 ล้าน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หลังปล่อยกู้ดอกเบี้ย 0% นาน 12 งวด ย้ำยังมีวงเงินให้กู้ สำหรับผู้เข้าเงื่อนไขที่กรมการจัดหางานกำหนด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพคล่องในการใช้จ่ายรวมทั้งการดำเนินการของผู้รับงานไปทำที่บ้าน กระทรวงแรงงานจึงพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน อยู่ในอัตราร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 -12 ภายใต้กรอบวงเงิน 7,000,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานนอกระบบผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯ ตามที่นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำเสมอในเรื่องการดูแลแรงงานนอกระบบให้สามารถอยู่ได้ มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริมคุ้มครอง และพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
“สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 29 มีนาคม 2564) ปล่อยกู้แล้วทั้งสิ้น จำนวน 20 กลุ่ม เป็นเงิน 3,210,000 บาท โดยยังมีวงเงินคงเหลือสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการกู้ยืมเงินกองทุนฯ อีก 3,790,000 บาท ซึ่งผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการเงินทุน และเข้าเกณฑ์เงื่อนไขของกรมการจัดหางาน สามารถยื่นคำขอกู้เงินได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับการกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ที่คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1- 12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาทนั้น มีเป้าหมายเพื่อให้แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้รับงานไปทำที่บ้าน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเริ่มให้ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา จนถึง 31 สิงหาคม 2564 โดยต้องทำสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564
“คุณสมบัติผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน มีผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จำนวน 1,034 ราย/กลุ่ม สมาชิกจำนวน 5,993 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จำนวน 509 ราย/กลุ่ม (29 ราย/480 กลุ่ม) เป็นเงิน 52,016,000 บาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัด ในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดกิจกรรม I- Share หัวข้อ “การใช้เทคโนโลยีแบบชาญฉลาด” กระตุ้นบุคลากร-องค์กร ก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ดีอีเอส จัดกิจกรรม I- Share หัวข้อ “การใช้เทคโนโลยีแบบชาญฉลาด” กระตุ้นบุคลากร-องค์กร ก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
ดีอีเอส จัดกิจกรรม I- Share หัวข้อ “การใช้เทคโนโลยีแบบชาญฉลาด” กระตุ้นบุคลากร-องค์กร ก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม I- Share ครั้งที่ 2/2564 เรื่อง การใช้เทคโนโลยีแบบชาญฉลาด (Smart to Use) ได้รับเกียรติจาก นายบุญฤทธิ์ อดิพัฒน์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการพิเศษ และนายณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ จากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อดังกล่าว ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับกิจกรรม I- Share ภายใต้หัวข้อ การใช้เทคโนโลยีแบบชาญฉลาด (Smart to Use) จัดขึ้นเพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ขององค์กรให้ก้าวสู่การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ ปลูกฝังวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ ในเชิงรุกที่หลากหลาย เชื่อว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ของบุคลากรภายในหน่วยงานของกระทรวงฯ สามารถนำความรู้ที่ถ่ายทอดไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ติดตาม การจัดการแหล่งน้ำภาคเกษตร สู่ “โคกหนองนา โมเดล” ตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ใน จ.สระแก้ว ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ติดตาม การจัดการแหล่งน้ำภาคเกษตร สู่ “โคกหนองนา โมเดล” ตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ใน จ.สระแก้ว ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ติดตาม การจัดการแหล่งน้ำภาคเกษตร สู่ “โคกหนองนา โมเดล” ตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ใน จ.สระแก้ว ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ เขตตรวจราชการที่ 9 (จ.สระแก้ว) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รอบที่ 1 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ห้องทำงานผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล อาทิ การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนหลังโควิด 19 การจัดการแหล่งน้ำชุมชนภาคเกษตร ได้แก่ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล และโครงการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของประชาชนในโครงการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ( คทช.) และการแก้ไขปัญหามลพิษทางอาการ เป็นต้น
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ – วัคซีนโควิด-19 ควรห่าง 4 สัปดาห์ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ – วัคซีนโควิด-19 ควรห่าง 4 สัปดาห์
...
ในเดือน พ.ค. – ส.ค. จะเป็นช่วงเวลาที่กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือน มิ.ย.
.
การฉีดวัคซีนใด ๆ ก็ตามเจ้าหน้าที่จะพยายามไม่ฉีดวัคซีนคู่กัน โดยจะให้เว้นช่วงประมาณ 4 สัปดาห์ระหว่างวัคซีนแต่ละตัว เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังจากได้รับวัคซีน หากเกิดอาการอะไรขึ้นก็จะได้ทราบว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่
.
สำหรับวัคซีนของแอสตราเซเนกา จะเว้นช่วงเข็มแรกกับเข็มที่ 2 ประมาณ 12 สัปดาห์ (3 เดือน) ก็สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่คั่นกลางได้ ส่วนวัคซีนของซิโนแวคจะเว้นช่วงระหว่างเข็มแรกและเข็มที่ 2 ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ ควรฉีดให้ครบ 2 เข็มก่อน แล้วเว้นไปอีก 4 สัปดาห์จึงสามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40476 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอวยพรขอให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ประชาชนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม พร้อมเชิญชวนร่วมงานสงกรานต์วิถีใหม่ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีอวยพรขอให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ประชาชนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม พร้อมเชิญชวนร่วมงานสงกรานต์วิถีใหม่ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย
นายกรัฐมนตรีอวยพรขอให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ประชาชนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม พร้อมเชิญชวนร่วมงาน “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” และกิจกรรม “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมประเพณีสงกรานต์ พ.ศ. 2564 “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” แด่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเน้นการจัดกิจกรรมในรูปแบบ New Normal ดำเนินการตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์การท่องเที่ยววิถีใหม่ในกิจกรรมสงกรานต์ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิดปลอดภัย ประเพณี ประหยัด และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการท่องเที่ยวต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (Expat) และสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน 2564 ณ บริเวณพื้นที่ลานกิจกรรม รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ (สถานีมักกะสัน)
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สรงน้ำพระพุทธมหานาค ปฏิมากร นาคปรก 9 เศียร ซึ่งมีความหมายสิริมงคลหมายถึงการปกป้องดูแลประเทศชาติ พร้อมกล่าวขอพรให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง และอวยพรให้ประชาชนคนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม ขณะเดียวกันก็อวยพรให้แก่คณะรัฐมนตรีและตัวแทนเด็กเยาวชนที่ได้รดน้ำดำหัว ขอให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหา นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะดูแลทุกคนให้ดีที่สุด
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำนายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมสืบสานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมสงกรานต์ให้สอดคล้องกับแนวทางมาตรการสงกรานต์ 2564 โดย ศบค. ที่ยึดหลัก DMHT เน้นจัดงานสงกรานต์ในพื้นที่โล่งแจ้ง งดการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของคนหมู่มากและสัมผัสใกล้ชิดกัน อาทิ งดการรวมกลุ่มเล่นสาดน้ำ งดประแป้ง งดการเล่นปาร์ตี้โฟม สนับสนุนการจัดพิธีรดน้ำดำหัวแบบเว้นระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัยเสมอ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย โดยได้ร่วมพูดคุยกับ ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตผ้าไทย ที่นำผ้าไทยมาจัดจำหน่ายก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แนะนำไว้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้และสวมใส่ผ้าไทย ให้หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมเลือกซื้อสินค้าที่นำมาจัดจำหน่ายโดยคณะกรรมการสวัสดิการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจกิจกรรมของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วย
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40480 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถยนต์ที่อายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่อายุเกิน 5 ปี ยื่นเสียภาษีทางออนไลน์ได้ จริงหรือ ? | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รถยนต์ที่อายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่อายุเกิน 5 ปี ยื่นเสียภาษีทางออนไลน์ได้ จริงหรือ ?
ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง รถยนต์ที่อายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่อายุเกิน 5 ปี ยื่นเสียภาษีทางออนไลน์ได้
ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม พบว่าข้อมูลที่ปรากฏดังกล่าว เป็นข้อมูลจริง
.
กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาเว็บไซต์ชำระภาษีรถประจำปี ให้สามารถรองรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง), รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้), รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรกได้แล้ว โดยมีเงื่อนไขคือ รถนั้นต้อง “ผ่าน” การตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ก่อน จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนชำระภาษีในเว็บไซต์ได้
.
โดยในปัจจุบัน เว็บไซต์ชำระภาษีรถประจำปี https://eservice.dlt.go.th/ สามารถให้บริการชำระภาษีรถประจำปี รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง), รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้), รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) และรถจักรยานยนต์ ได้ทุกอายุการใช้งานแล้ว เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาบริการเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกการให้บริการรับชำระภาษีรถประจำปี ลดขั้นตอน ลดระยะเวลา เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ให้แก่ประชาชน ด้วยแนวคิดอยู่ที่ไหน ก็ชำระภาษีรถประจำปีได้ง่ายๆ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
.
ซึ่งขั้นตอนการชำระภาษีผ่านเว็บไซต์สามารถทำได้ง่าย และสามารถเลือกชำระเงินผ่าน e-Banking บัตรเครดิต/บัตรเดบิต เคาน์เตอร์ธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง อยู่ที่ไหนก็สามารถชำระภาษีรถประจำปีได้ รอรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันชำระเงิน จึงแนะนำให้ชำระภาษีประจำปีล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน ก่อนวันครบกำหนดชำระภาษี
.
เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dlt.go.th หรือสามารถสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1584
.
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม
.
ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม
.
LINE : @antifakenewscenter (http://nav.cx/uyKYnsG)
Website : https://www.antifakenewscenter.com/
Twitter: https://twitter.com/AFNCThailand
สายด่วน : ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111 ต่อ 87
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุม คทช. เร่งการจัดสรรที่ดินทำกิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ทส. ร่วมประชุม คทช. เร่งการจัดสรรที่ดินทำกิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน
ทส. ร่วมประชุม คทช. เร่งการจัดสรรที่ดินทำกิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน
ทส. ร่วมประชุม คทช. เร่งการจัดสรรที่ดินทำกิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน
วันที่ 29 มีนาคม 2564 เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในการนี้ได้มี นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการ ผู้อำนวยการ สคทช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการการประชุม อีกทั้ง ยังได้มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย
ที่ประชุมได้รับทราบผลการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชน รวมถึงแผนการขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) กิจกรรมปฏิรูปด้านสังคม การสร้างมูลค่าให้กับที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน และการขอรับการสนับสนุนโครงการนำร่องระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
นอกจากนั้น ยังได้มีการพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. รวมถึง ร่างประกาศ คทช. เกี่ยวกับหลักการการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม พ.ร.บ. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ประชุม โดยขอให้คณะอนุกรรมการทุกคณะ ร่วมกันดำเนินงานสร้างความเท่าเทียม มีความเป็นธรรมกับผู้มีรายได้น้อย ให้ได้มีโอกาสมีที่ดินทำกิน พัฒนาส่งเสริมอาชีพ และส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้ได้มากที่สุด เพื่อก่อให้เกิดความคุ้มค่า สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชน โดยขอให้คณะกรรมการเร่งดำเนินการพร้อมรายงานผลในทุกไตรมาส เพื่อจะได้บูรณาการทำงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40478 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อยกระดับความปลอดภัยของการขนส่งทางน้ำ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อยกระดับความปลอดภัยของการขนส่งทางน้ำ
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อยกระดับความปลอดภัยของการขนส่งทางน้ำ (Workshop on Upgrading of Safety for Waterway Transportation)
พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง การยกระดับความปลอดภัยของการขนส่งทางน้ำโดยองค์รวมทั้งระบบ โดยมีผู้บริหารจากสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ สำนักกฎหมาย สำนักมาตรฐานเรือ สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ สำนักนำร่อง กองมาตรฐานประจำคนเรือ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค 1 - 7 และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา ร่วมสัมมนา ระหว่างวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2564 ณ ห้องวิสูตรสาครดิษฐ์ กรมเจ้าท่า
นายวิทยา ยาม่วง กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทุกโครงข่าย เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม เสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในอนาคต กรมเจ้าท่า (จท.) เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทและภารกิจเกี่ยวกับการควบคุม กำกับ ดูแล และพัฒนาส่งเสริมการคมนาคมทางน้ำให้ได้รับความปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพทั้งระบบ ได้ดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ จท. พ.ศ. 2560 - 2564 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม และยุทธศาสตร์ จท. มาโดยตลอด สำหรับการสัมมนาฯ ดังกล่าว ได้เน้นย้ำให้ผู้บริหารปรับวิสัยทัศน์การทำงานใหม่ทั้งหมด พร้อมที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจ และนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกันสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมายและการใช้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของ จท. และนำมาต่อยอดการยกระดับเข้มข้นเรื่องความปลอดภัยทั้งระบบ ได้แก่ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการเดินเรือในน่านน้ำไทย (Waterway Safety) การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเรือ (Vessel Safety) การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของท่าเทียบเรือ (Port Safety) การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของคนประจำเรือและผู้โดยสาร (Crew and Passenger Safety) และการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมาย (Monitoring and law Enforcement) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ จท. ตั้งไว้ คือ “IMO ต้องผ่าน น่านน้ำไทยปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนากิจการพาณิชยนาวีไทย”
ทั้งนี้ การสัมมนาฯ ดังกล่าว สามารถนำไปต่อยอดการรองรับการตรวจจำลองเสมือนจริงจาก IMO (IMSAS mockup audit) โดยการนำระบบ IT เข้ามาสนับสนุนการทำงานเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านความปลอดภัยทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถดำเนินการตอบสนองการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ถูกต้อง มีประสิทธิภาพและเกิดความปลอดภัยสูงสุด เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางน้ำทั้งระบบของประเทศไทยภายในเดือนสิงหาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานความมั่นคงดูแลพื้นที่ชายแดน | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานความมั่นคงดูแลพื้นที่ชายแดน
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานความมั่นคงดูแลพื้นที่ชายแดน
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 14.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สั่งการฝ่ายความมั่นคง ทั้งกองทัพบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เตรียมแผนการดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ตามแนวเขตพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย ขอให้มั่นใจไทยมีประสบการณ์ให้การดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ตามหลักมนุษยธรรมยืนยันไม่มีการผลักดันกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบ
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา
ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย โดย นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทคู่สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 4 - 3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร - บ้านโพ ผู้แทนจากบริษัท เอ.เอสแอสโซศซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด สัญญาที่ 4 - 4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ผู้แทนจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) สัญญาที่ 4 - 6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว - สระบุรี ผู้แทนจากบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ลงนาม โดยมี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม ผู้แทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ณ กระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) เป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมไทยสู่โลก และเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลให้ความสนใจและเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด ในขณะเดียวกัน เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมไทยไปสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ที่เรียกว่า Belt and Road Initiative หรือ BRI เชื่อมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงยุโรปได้ด้วยทางรถไฟ โดยกระทรวงคมนาคมพยายามเร่งรัดโครงการให้เดินหน้าโดยเร็ว ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ของโครงการฯ ไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ส่วนวันนี้เป็นการลงนามในสัญญาก่อสร้างเพิ่มเติม 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 4 - 3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร - บ้านโพ วงเงินก่อสร้าง 11,525,350,500 บาท สัญญาที่ 4 - 4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงินก่อสร้าง 6,573,000,000 บาท และสัญญาที่ 4 - 6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว - สระบุรี วงเงินก่อสร้าง 9,428,999,969.37 บาท มีระยะเวลาก่อสร้างแต่ละสัญญา 1,080 วัน รวมวงเงินก่อสร้างทั้ง 3 สัญญา 27,527,350,469.37 ล้านบาท
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นการยกระดับมาตรฐานรถไฟไทยให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยในระยะยาว สนับสนุนให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค สร้างโอกาสใหม่ทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว กระจายรายได้ นำความเจริญสู่ท้องถิ่นตลอดแนวเส้นทางโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40482 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ให้กับพื้นที่เป้าหมาย “การพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ให้กับพื้นที่เป้าหมาย “การพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ”
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ให้กับพื้นที่เป้าหมาย “การพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” ณ ห้องประชุม อก 1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการพัฒนาและเพิ่มเติมฐานข้อมูลตัวชี้วัดการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 4.0 ให้กับพื้นที่เป้าหมาย เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้เป็นปัจจุบัน โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายวีระกิตติ์ รันทกิจธนาวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่เป้าหมาย เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก 1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40487 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 3/2564 | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 3/2564
รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทราย ครั้งที่ 3/2564
วันอังคารที่30มีนาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการน้ำตาลทรายครั้งที่3/2564ณห้องประชุมอาคารสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายชั้น1กระทรวงอุตสาหกรรมโดยที่ประชุมฯได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ1)การจำหน่ายน้ำตาลทรายให้ผู้ประกอบกิจการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและ2)ขอเพิ่มกิจการอุตสาหกรรมเพื่อการจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบภายในราชอาณาจักรข้อกฎหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40490 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน ได้รับการยกระดับสมาชิกโครงการ ICAO TRAINAIR PLUS เป็น Regional Training Centres of Excellence (RTCE) | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
สถาบันการบินพลเรือน ได้รับการยกระดับสมาชิกโครงการ ICAO TRAINAIR PLUS เป็น Regional Training Centres of Excellence (RTCE)
เป็นสถาบันเฉพาะทางด้านการบินแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ยกระดับมาตรฐานของการฝึกอบรมไปสู่สมาชิกระดับ Regional Centres of Excellence (RTCE)
โครงการ ICAO TRAINAIR PLUS ได้รับการรับรองสาขาความเชี่ยวชาญด้าน Air Navigation Services และความเชี่ยวชาญ Flight Safety and Safety Management อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564
โครงการ ICAO TRAINIAIR PLUS เป็นโครงการส่งเสริมสมรรถนะในการพัฒนาบุคลากรด้านการบินที่ดำเนินการโดยหน่วยงาน Global Aviation Training (GAT) สังกัดภายใต้ ICAO โดย สบพ. ได้เข้าร่วมโครงการ TRAINAIR PLUS ตั้งแต่ปี 2555 เริ่มจากการเป็นสมาชิกระดับ Associate Member และได้พิสูจน์สมรรถนะด้านการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมตามมาตรฐานของ ICAO (Standardized Training Packages: STP) สำเร็จ และได้รับการเลื่อนระดับขึ้นเป็น Full member เมื่อปี 2558 และในปี 2561 สบพ. เริ่มดำเนินการยกระดับสมาชิกโครงการ TRAINAIR PLUS เป็นระดับ Regional Centres of Excellence (RTCE) ด้วยการพัฒนาคุณสมบัติของในหลาย ๆ ด้าน เช่น บุคลากรที่ทำหน้าที่นักพัฒนาหลักสูตรระดับปฏิบัติการและอาวุโส สร้างระบบการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน รวมถึงระบบประกันคุณภาพ ระบบนิรภัยการบิน ระบบการพัฒนาผู้สอน สื่อการสอน ระบบอำนวยความสะดวกสนับสนุนการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยกระดับให้เป็นสมาชิกระดับ Regional Training Centres of Excellence (RTCE) อย่างเป็นทางการ ถือเป็น 1 ใน 21 สมาชิกระดับ RTCE ทั่วโลก หรือเป็น 1 ใน 6 สถาบันฝึกอบรมด้านการบินจาก 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิกในระดับ RTCE ร่วมกับประเทศจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งการได้รับการรับรองระดับ RTCE ทำให้เกิดประโยชน์ในภาพรวม ทั้งหมด 4 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากอุตสาหกรรมการบินของโลก ว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนหน่วยงานอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย และมีรายได้จากการที่ผู้เข้าอบรมใช้จ่ายส่วนตัวและท่องเที่ยวในประเทศต่อหลังจากการฝึกอบรม
2. ประโยชน์ต่อองค์กร ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินของโลก มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายลิขสิทธิ์และการจัดฝึกอบรมหลักสูตรระดับ ICAO ลิขสิทธิ์ของ สบพ. อาจารย์ของ สบพ. สามารถดำเนินการสอนให้กับสมาชิก TRAINAIR PLUS อื่นๆ ได้ และสามารถพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสูงด้วยต้นทุนที่ต่ำลงได้
3. ประโยชน์ต่อองค์กรด้านการบินอื่น ๆ ได้แก่ บุคลากรขององค์กรได้รับความรู้/ทักษะจากหลักสูตรและระบบการอบรมที่มีคุณภาพ บุคลากรได้รับการรับรองที่เป็นมาตรฐานสากล และต้นทุนการฝึกอบรมบุคลากรต่ำ สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้เวลาน้อยกว่าการอบรมจากหลักสูตรของต่างประเทศหรือเดินทางไปอบรมที่ต่างประเทศ
4. ประโยชน์ต่อนักศึกษา/ผู้เข้าฝึกอบรม ได้รับความรู้/ทักษะจากหลักสูตรและระบบการอบรมที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองที่เป็นมาตรฐานสากล ผู้เข้าอบรมและหน่วยงานด้านการบินสามารถเข้าถึงหลักสูตรฝึกอบรมด้วยต้นทุนต่ำ และใช้เวลาน้อยกว่าการอบรมจากหลักสูตรของต่างประเทศ
การยกระดับสมาชิกโครงการ ICAO TRAINAIR PLUS เป็น Regional Training Centres of Excellence (RTCE) นำความภาคภูมิใจมาสู่วงการการบินของประเทศไทยในฐานะที่เป็นสถาบันหลักในการผลิตและพัฒนาบุคลากรการบินของประเทศที่มีมาตรฐานสากล สามารถผลิตบุคลากรการบินให้มีความชำนาญ เข้าไปปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการบินให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางในการผลิตบุคลากรด้านการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40483 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าระดมความคิดเห็นจัดทำแผนพัฒนายกระดับความปลอดภัยการขนส่งทางน้ำ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าระดมความคิดเห็นจัดทำแผนพัฒนายกระดับความปลอดภัยการขนส่งทางน้ำ
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อยกระดับความปลอดภัยของการขนส่งทางน้ำ
โดยมีผู้บริหารจากสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ สำนักกฎหมาย สำนักมาตรฐานเรือ สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ สำนักนำร่อง กองมาตรฐานประจำคนเรือ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค 1 - 7 และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา ร่วมสัมมนา เมื่อวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2564 ผู้บริหาร จท. ได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นจัดทำแผนยกระดับความปลอดภัยทางน้ำ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มภารกิจ ดังนี้
1. การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินเรือในน่านน้ำไทย (Waterway Safety) อาทิ การควบคุมการเดินเรือในน่านน้ำไทย การแจ้งเตือนข่าวอากาศ การจัดการจราจรทางน้ำในเขตท่าเรือ การตรวจสอบเรือในน่านน้ำไทย การทำแผนตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉิน การฝึกซ้อมแผนตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ การขุดลอกรองน้ำทางเรือเดิน และการติดตั้งเครื่องช่วยในการเดินเรือ เป็นต้น
2. การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเรือ (Vessel Safety) อาทิ การกำหนดเขตการเดินเรือที่มีความเหมาะสมตามโครงสร้างและความคงทนของตัวเรือ การกำหนดแบบแปลนเรือ อุปกรณ์ความปลอดภัยของเรือ อุปกรณ์วิทยุสื่อสารภายในเรือ (Radio - communication : VHF) อุปกรณ์แสดงตัวตน (AIS Class A or B) วิธีการจัดวางและรัดตรึงสินค้าและพาหนะให้มีความมั่นคง (Cargo Stowage and Securing) การกำหนดให้มีการประกันภัยของตัวเรือ เครื่องจักร สินค้า ผู้โดยสาร และผู้ได้รับผลกระทบจากการเดินเรือ (Insurance for Hull & Machinery, Cargo, Passenger, Protection & Immunity : P&I) เป็นต้น
3. การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของท่าเทียบเรือ (Port Safety) อาทิ การกำหนดประเภทของท่าเทียบเรือและการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของท่าเทียบเรือ ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานสินค้า และแผนการรักษาความปลอดภัยท่าเทียบเรือ การจัดการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือ เป็นต้น
4. การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของคนประจำเรือและผู้โดยสาร อาทิ การกำหนดชั้นประกาศนียบัตรในแต่ประเภทเรือ การฝึกอบรมของคนประจำเรือ การจัดทำคู่มือการฝึกอบรมมาตรฐานในแต่ละชั้นประกาศนียบัตร (Training Manual) การฝึกอบรมคนประจำเรือและพนักงานที่ทำงานบนเรือ และการให้ความรู้ด้านความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร (Briefing on Safety Awareness and Emergency Procedure for Passenger) ก่อนเรือออกและระหว่างเดินทาง เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้ร่วมกันจัดทำแผนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology Skills) พัฒนาเชื่อมโยงข้อมูลทุกระบบของ จท. เพื่อเป็นฐานข้อมูลหลักสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที ขับเคลื่อนภารกิจ จท. ในทุกมิติ สนับสนุนการขนส่งทางน้ำให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่น ๆ ทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า รวมทั้งท่าเรือ อู่เรือ กองเรือไทยการท่องเที่ยว และกิจการที่เกี่ยวเนื่องเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ตลอดจนการสนับสนุนการส่งออกให้มีความเข้มแข็ง ภายใต้วิสัยทัศน์ “พัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำอย่างเชื่อมโยง มีมาตรฐานเพื่อความสะดวก ปลอดภัยและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40481 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รัฐมนตรีเกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช
รัฐมนตรีเกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช เพื่อเตรียมเสนอข้อมูลแก่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ยืนยันยึดผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลักในการพิจารณา
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่อง CPTPP ด้านเกษตรและพันธุ์พืช ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการพิจารณาข้อมูลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อม และเงื่อนเวลาในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือความไม่พร้อมของส่วนราชการ เพื่อเตรียมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) พิจารณาก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในลำดับต่อไป
“การประชุมในครั้งนี้ เป็นการประชุมหารือเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นที่ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รวบรวมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยได้แจ้งเวียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 14 หน่วยงาน โดยมีรายละเอียดในการประเมินความพร้อมและแผนงานการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการ และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อมและเงื่อนเวลาในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือความไม่พร้อมของส่วนราชการ รวมทั้งประเด็นที่เห็นว่าประเทศไทยมีการดำเนินการหรือมีกฎหมายที่เหมาะสมอยู่แล้ว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเข้าร่วม CPTPP หรือไม่ก็ตาม” รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 สอดคล้องกับแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลางปีนี้ | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 สอดคล้องกับแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลางปีนี้
นายกรัฐมนตรีเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 สอดคล้องกับแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลางปีนี้
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 14.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการบูรณาการแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย ร่วมกันจัดทำแพลตฟอร์มสำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สามารถกระจายไปทุกจังหวัดอย่างครอบคลุมและทั่วถึงตามจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันของทั้ง Sinovac และ AstraZeneca และในช่วงเดือนมิถุนายน จะมีการนำเข้าวัคซีนเพิ่มเติมกว่าล้านโดส ดังนั้น จึงเป็นการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อแจ้งความประสงค์ในการฉีดวัคซีนโควิด-19 และนัดหมายวันฉีดตามกลุ่มเสี่ยงและความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันการฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังเดินหน้าตามจำนวนวัคซีนที่มีอยู่
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงเตรียมความพร้อมวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับการเตรียมความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยนำร่องในจ. ภูเก็ต ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ซึ่งยังต้องมีการจัดระเบียบพื้นที่การท่องเที่ยวใน จ. ภูเก็ต อาจแบ่งโซนเป็นตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง ของเกาะ กำหนดระยะเวลาที่อยู่ในพื้นที่ การเคลื่อนย้ายไปยังที่ต่าง ๆ พร้อมจัดทำแพลตฟอร์มลงทะเบียนเพื่อติดตามตัว สำหรับข้อเสนอให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 โดสแล้วไม่จำเป็นต้องกักตัวนั้น ยังต้องพิจารณาอย่างรอบครอบ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังฝากถึงเจ้าของตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ ที่จะต้องมีจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ สวมใส่หน้ากากอนามัย ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ไฟเขียว! ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน
...
ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน ยิ้มรับข่าวดีได้เลย... เมื่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG ภาคครัวเรือน ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 64
.
โดยตรึงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 14.37 บาท/กิโลกรัม เพื่อให้มีราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 318 บาท/ถัง 15 กิโลกรัม
.
ซึ่งการการตรึงราคา LPG ภาคครัวเรือนนี้ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์ราคา LPG ตลาดโลก มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วง เม.ย. - มิ.ย. 64 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซโพรเพน ซึ่งสารประกอบที่ใช้ผสมเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลวลดลงด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แนะบุคลากร พม. ใช้ทักษะความรู้ด้านจิตวิทยาดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคม ในสถานการณ์โควิด-19 | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
รมว.พม. แนะบุคลากร พม. ใช้ทักษะความรู้ด้านจิตวิทยาดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคม ในสถานการณ์โควิด-19
รมว.พม. แนะบุคลากร พม. ใช้ทักษะความรู้ด้านจิตวิทยาดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคมในสถานการณ์โควิด-19
วันนี้ (30 มี.ค. 64) เวลา 14.30 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบข้อคิดและแนวทางการดำเนินงานให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ที่เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ Training-of-Trainers : TOT หลักสูตรด้านจิตวิทยาแก่บุคลากรกระทรวง พม. ในการดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 31 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ตำแหน่งนักวิชาชีพ (นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และนักพัฒนาสังคม ) สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (สสว.) 1 - 11 และผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วมอบรม ณ โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ ข้าวสาร เวียงใต้ กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 (โควิค- 19) ได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้ง เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งตนมีความห่วงใยต่อเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความยากลำบากมากขึ้นในสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยความระมัดระวังความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง เพื่อนร่วมงาน และกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ใช้บริการ อีกทั้งต้องปฏิบัติงานท่ามกลางความตึงเครียดจากสภาพปัญหาทั้งส่วนตัว เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กมพ.) ได้มุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำงานเชิงรุกและทำงานแบบสหวิชาชีพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงร่วมกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ Training-of-Trainers : TOT หลักสูตรด้านจิตวิทยาแก่บุคลากรกระทรวง พม. ในการดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคมเพื่อสร้างและพัฒนาทีมวิทยากร ประจำ สสว. 1-11 เป็นกลไกและเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาบุคลากรทุกระดับในพื้นที่สำหรับการดูแลผู้ประสบปัญหาทางสังคมอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการทำงาน อีกทั้งทำให้เกิดทักษะ เพิ่มพูนความรู้ด้านจิตวิทยาและการบริการ รวมทั้งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถลดความตึงเครียดขณะปฏิบัติหน้าที่และนำไปใช้กับผู้ใช้บริการให้มีความสุขในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาร่างกายของผู้ใช้บริการในระยะยาวต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมได้มีการฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจในมนุษย์ทุกคน เพราะการฝึกให้มีสมาธิ มีสติในวันนี้ จะเป็นอาวุธประจำกายของทุกคน เมื่อต้องออกไปพบกับผู้ที่ประสบปัญหาและเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา เราต้องมีสติและหาทางช่วยให้พ้นจากปัญหาให้ได้ หากการให้วิชาการมาก แต่ขาดสติย่อมไม่เกิดประโยชน์ สุดท้ายนี้ ตนหวังว่าทุกคนที่ผ่านการอบรมครั้งนี้ จะได้ซึมซับความรู้ สิ่งดีๆ และสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานของตน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประสบปัญหาทางสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติวเข้มบุคลากรใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงการทุจริต ลดปัญหาการทุจริตในองค์กร | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
ดีอีเอส ติวเข้มบุคลากรใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงการทุจริต ลดปัญหาการทุจริตในองค์กร
ดีอีเอส ติวเข้มบุคลากรใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงการทุจริต ลดปัญหาการทุจริตในองค์กร
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางประเมินความเสี่ยงการทุจริต FRAs : FRAUD RISK - ASSESSMENTS ประจำปี 2564 โดยมีนายอนุวัตร ศรีไชโย รองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวรายงาน พร้อมกันนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณฉวีวรรณ นิลวงศ์ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีผู้เข้าอบรม จาก 8 หน่วยงานในสังกัด อาทิ สำนักงานปลัดฯ กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น
สำหรับการอบรมแนวทางประเมินความเสี่ยงการทุจริตครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อประเมินความเสี่ยงในการทุจริตเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงรุกที่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติงานตามมาตรการการควบคุมภายในที่เหมาะสมให้แก่บุคลากรขององค์กร ด้วยการนำเครื่องมือการประเมินความเสี่ยงมาใช้ในองค์กร จะช่วยเป็นหลักประกันในระดับหนึ่งว่า การดำเนินการขององค์กรจะไม่มีการทุจริต หรือในกรณีที่อาจพบกับการทุจริตที่ไม่คาดคิด จะเกิดความเสียหายน้อยกว่าองค์กรที่ไม่มีการนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ เนื่องจากมีการป้องกันไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานประจำ โดยจะไม่เพิ่มภาระงานแต่อย่างใด
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ชูรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้นแบบร่วมวิสาหกิจชุมชนยกระดับสมุนไพรไทยครบวงจร | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
สาธิต ชูรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้นแบบร่วมวิสาหกิจชุมชนยกระดับสมุนไพรไทยครบวงจร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นต้นแบบความร่วมมือวิสาหกิจชุมชนวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยครบวงจร พร้อมยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นโรงพยาบาลต้นแบบการวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการปลูก การผลิต การแปรรูปสมุนไพรเวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง การใช้สมุนไพรบำบัดรักษาโรค จนเป็นที่ยอมรับ ได้รับความนิยมจากประชาชน รวมทั้งการศึกษาวิจัยพืชกัญชาทางการแพทย์ เป็นสถานที่ผลิตน้ำมันกัญชาทางการแพทย์ ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนจำนวน4 แห่งปลูก ผลิต และกระจายยากัญชาไปยังคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศข้อมูลวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ได้กระจายยากัญชาไปมากกว่า 37,394 ขวด ใน 458 แห่ง สำหรับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ให้บริการทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทยมากว่า 1 ปี โดยแผนปัจจุบันมีผู้ป่วย 133 ราย จ่ายยาน้ำมันกัญชาไปแล้ว 425 ขวด ช่วยลดความปวด ช่วยเจริญอาหารและนอนหลับ ในผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยปวดระบบประสาท ส่วนด้านการแพทย์แผนไทย จ่ายตำรับยาสุขไสยาศน์ ช่วยนอนหลับ เจริญอาหาร เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดการใช้ยาแผนปัจจุบัน การรักษาได้ผลดี ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้มีการนำกัญชามาใช้ในสปา เช่น นวดน้ำมันอโรมาผสมน้ำมันกัญชา แช่น้ำสมุนไพรผสมกัญชา และนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร และเครื่องดื่ม ในปริมาณที่เหมาะสมทำให้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนสมุนไพรอย่างเป็นระบบ ล่าสุดได้ใช้พื้นที่หาดยาง จ.ปราจีนบุรี ทำโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน ตั้งแต่การปลูก ผลิต แปรรูปและเพิ่มมูลค่าสมุนไพร5 กลุ่ม คือ สมุนไพรเพื่อสมองดีเช่น บัวบก ตำรับกลีบบัวแดง สมุนไพรปรับสมดุลอารมณ์ เช่น กัญชา กัญชง สมุนไพรดูแลหัวใจดี เช่น บัวหลวงสมุนไพรที่ดูแลกลุ่มกระดูกและข้อ เช่น ขมิ้นชัน เพชรสังฆาต และสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ฟ้าทะลายโจร เป็นต้นเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพร ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสมุนไพร สร้างความมั่นคงทางพันธุ์พืชของชาติและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
**********************************30มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40489 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 มีนาคม 2564 | วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 มีนาคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการในกอง บังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว)
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. ....
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน)
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ....
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. ....
12. เรื่อง การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562
13. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ
เศรษฐกิจ สังคม
14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกครั้งที่ 1/2564 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัด กรรมสิทธิ์ที่ดิน)
15. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565)
16. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า
17. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564
18. เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
19. เรื่อง การให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา ครั้งที่ 2
20. เรื่อง ขออนุมัติ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563 - 2565
21. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา
22. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
23. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
24. เรื่อง รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562
25. เรื่อง ผลการพิจารณาการรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถและสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
26. เรื่อง การเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ผู้รับสัมปทานจะส่งมอบให้รัฐบาลไทยเมื่อสิ้นอายุสัมปทาน
27. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
28. เรื่อง รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563
29. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม
ครั้งที่ 10/2564
30. เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนในธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ต่างประเทศ
31. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมทางไกล
32. เรื่อง ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20
33. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17
34. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 (Joint Statement of the Twenty-Fifth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council)
แต่งตั้ง
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
36. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
37. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการ บริหารพัสดุภาครัฐ
38. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการในกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือ ส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ ตช. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ ตช. เสนอ เป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว แก้ไขการแบ่งส่วนราชการภายในกองบังคับการอำนวยการ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ดังนี้
1. กำหนดให้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ประกอบด้วย
1.1 ฝ่ายอำนวยการ
1.2 ฝ่ายฝึกอบรม
1.3 ฝ่ายวิชาการ
1.4 ฝ่ายวิทยบริการ
2. กำหนดให้ศูนย์ฝึกอบรม มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
2.1 เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ โดยเน้นการฝึกอบรมพัฒนาทักษะในภารกิจถวายความปลอดภัยและอารักขาบุคคลสำคัญ การต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเฉพาะด้านและอาชญากรรมองค์กร และทักษะทางยุทธวิธีและการปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2.2 บริหารและพัฒนาการศึกษาตามระเบียบแบบแผนและหลักสูตร ตลอดจนปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร ระบบการเรียนการสอน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.3 ฝึกอบรมเพิ่มพูนความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ และลูกจ้างของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
2.4 ฝึกอบรมเฉพาะด้านเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันปราบปราม และการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ามนุษย์ ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค การปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามทางน้ำ การอำนวยความสะดวกและจัดการจราจร และการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนทางหลวงและทางพิเศษ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.5 ติดต่อและประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหรือองค์กรอื่น เพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย การอำนวยความยุติธรรม และการรักษาความปลอดภัยของประชาชน
3. แก้ไขการแบ่งส่วนราชการภายในกองบังคับการอำนวยการ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว
4. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปประกอบการพิจาณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับ ที่ กค. เสนอ เป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (คนบ.) โดยมีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำนโยบายระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศในภาพรวมเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเป็นการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ซึ่งเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับแก่ลูกจ้างในระบบ โดยให้ได้รับผลประโยชน์เป็นบำเหน็จหรือบำนาญ และกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติทำหน้าที่กำกับดูแลการบริหารกิจการกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... เป็น การตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (คนบ.) มีองค์ประกอบ 13 คน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญให้ครอบคลุมผู้พ้นวัยทำงานทั้งหมด ให้เพียงพอ ต่อการดำรงชีพ รวมทั้งกำกับดูแลให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลของภาครัฐและเอกชน และเพื่อให้นโยบายด้านบำเหน็จบำนาญเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ
2. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
2.1 กำหนดบทนิยาม เช่น “สมาชิก” “เงินสะสม” “เงินสมทบ” “ค่าจ้าง” “ลูกจ้าง” “นายจ้าง” “บำเหน็จ” “บำนาญ” เป็นต้น
2.2 กำหนดให้จัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นหน่วยงานของรัฐและ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และเพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญแก่สมาชิก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการ รับ เก็บรวบรวม แลกเปลี่ยน เชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบบำเหน็จบำนาญทั้งระบบ ทั้งนี้ รายได้ของ กบช. ไม่ต้องนำส่งคลัง
2.3 กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการ กบช. และกำหนดคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม วิธีการแต่งตั้ง และวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้รับบำนาญ กรรมการฝ่ายนายจ้าง กรรมการฝ่ายลูกจ้าง หรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ กบช.
2.4 กำหนดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ กบช. เช่น กำหนดนโยบาย และออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งในการบริหารกิจการของ กบช. กำหนดนโยบายการลงทุนของ กบช. และกำกับดูแลการบริหารกิจการของ กบช. เป็นต้น
2.5 กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิก กบช. รายละเอียดการจ่ายเงินสะสมของลูกจ้าง และการส่งเงินสมทบของนายจ้าง โดยให้ส่งเงินสมทบแต่ละฝ่ายในอัตราร้อยละ 3 ของค่าจ้างสูงสุด แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อเดือน และกำหนดสิทธิประโยชน์ของสมาชิกกองทุน
2.6 ในกรณีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดประเภทธุรกิจ ระยะเวลา หรือเงื่อนไขใด เพื่อให้ลูกจ้างหรือนายจ้างงด ลดหย่อน หรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบเข้า กบช. ได้คราวละไม่เกินหนึ่งปี
2.7 กำหนดหลักเกณฑ์กรณีสมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ และหลักเกณฑ์การจ่ายเงินแก่บุคคล ผู้จะพึงได้รับเงินจาก กบช.
2.8 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเงินและการบัญชีของ กบช. รวมทั้งการตรวจสอบและรายงานฐานะการเงินของ กบช. โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของ กบช. หรืออาจมอบหมายให้ผู้สอบบัญชีซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีของ กบช. ก็ได้
2.9 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มีอำนาจสอบสวน เช่น เข้าไปในสถานประกอบการ หรือสถานที่ทำงานของลูกจ้าง เพื่อตรวจสอบให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสาร ค้นสถานที่เพื่อตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวกับการจ้าง การจ่ายค่าจ้าง ทะเบียนลูกจ้าง การจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง ยึดหรืออายัดเอกสารหรือหลักฐาน เป็นต้น
2.10 กำหนดบทกำหนดโทษ เช่น กรณีนายจ้างไม่ยื่นแบบรายการต่อ กบช. ภายในกำหนด หรือยื่นแบบรายการอันเป็นเท็จ และกรณีขัดขวางพนักงานเจ้าหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้น
2.11 กำหนดบทเฉพาะกาล เช่น ให้รัฐบาลจัดสรรเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ กบช. ในวาระเริ่มแรก กำหนดระยะเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง บุคคล สถานประกอบการ และหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดให้นายจ้างและสมาชิกจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้า กบช. ตามอัตราที่กำหนด เป็นต้น
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางในการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมให้การทำงานและการให้บริการของภาครัฐปรับเปลี่ยนไป สู่ระบบดิจิทัลและสามารถใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักได้ และเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 258 ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (1) ที่บัญญัติให้มีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับปรับปรุง) กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 กำหนดให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานและการบริการภาครัฐไปสู่ระบบดิจิทัลโดยแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคให้เอื้อต่อการพัฒนาหน่วยงานของรัฐไปสู่องค์กรดิจิทัล และส่งเสริมให้เกิดระบบข้อมูลดิจิทัลของภาครัฐ ตลอดจนเป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (8 ธันวาคม 2563)
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ให้มีกฎหมายกลางในการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมให้การทำงานและ การให้บริการของภาครัฐปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลและสามารถใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักได้ รายละเอียดดังนี้
1. กำหนดขอบเขตการใช้บังคับของร่างพระราชบัญญัติฯ ให้ใช้บังคับแก่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วย เว้นแต่
(1) รัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
(2) หน่วยงานของรัฐในฝ่ายนิติบัญญัติ
(3) หน่วยงานของรัฐในฝ่ายตุลาการ
(4) องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
(5) องค์กรอัยการ และ
(6) หน่วยงานอื่นของรัฐที่กำหนดในกฎกระทรวง
ทั้งนี้ ในกรณีที่จะใช้ร่างพระราชบัญญัตินี้แก่หน่วยงานตาม (2) (3) (4) หรือ (5) ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะกำหนดให้ใช้แก่หน่วยงานนั้นทั้งหมดหรือบางหน่วยงาน หรือ งานบางประเภทก็ได้
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐทุกหน่วย แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
3. เมื่อพระราชบัญญัติใช้บังคับแล้ว การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามหมวด 4 ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะมีมติกำหนดเป็นอย่างอื่น
4. กำหนดให้ประชาชนสามารถยื่นคำขอ จ่ายเงิน หรือติดต่อราชการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐจะปฏิเสธไม่รับคำขอนั้นเพียงเพราะเหตุที่ผู้ขออนุญาตใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์มิได้
5. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐอาจกำหนดวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอทางอิเล็กทรอนิกส์ปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยก็ได้ แต่วิธีการดังกล่าวต้องเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน หรือ เพื่อการยืนยันตัวตน เช่น การสร้างแบบฟอร์มคำขออิเล็กทรอนิกส์ให้ประชาชนสามารถกรอกในระบบและยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องเขียนในแบบที่เป็นกระดาษแล้วสแกนส่งทางอีเมล เป็นต้น
6. ในกรณีที่ประชาชนได้ยื่นคำขอหรือติดต่อกับหน่วยงานของรัฐโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ การติดต่อหรือออกเอกสารหลักฐานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้นั้น ให้หน่วยงานของรัฐทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่ผู้นั้นจะได้ระบุไว้เป็นประการอื่นในการยื่นคำขอหรือในการติดต่อ
7. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่จัดทำสำเนาและรับรองความถูกต้องของสำเนานั้นเองโดย ไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ จากประชาชน และจะอาศัยเหตุที่ต้องจัดทำสำเนาดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในความล่าช้ามิได้
8. ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ผู้รับอนุญาตต้องแสดงใบอนุญาตใดไว้ในที่เปิดเผย ผู้รับอนุญาตจะแสดงใบอนุญาตนั้นโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนดก็ได้ และหน่วยงานผู้อนุญาตต้องเปิดเผยข้อมูลการอนุญาตที่เป็นปัจจุบันให้ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยสะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นประชาชนสามารถแสดงภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ของใบอนุญาตหรือเอกสารหลักฐานที่ต้องพกติดตัวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็ได้
9. กำหนดให้การติดต่อระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน และระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้กระทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมายและใช้เป็นหลักฐานตามกฎหมายได้ ซึ่งรวมถึงการใช้เป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายเงินแผ่นดินด้วย
10. กำหนดให้คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดทำและเผยแพร่ ราชกิจจานุเบกษาโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แทนการจัดพิมพ์เป็นเล่มก็ได้ และให้ สคก. จัดให้มีและปรับปรุงฐานข้อมูลทางกฎหมายและระบบการสืบค้นกฎหมายโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการเข้าถึงของประชาชนโดยเร็ว
11. กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งรวมถึงมาตรฐานข้อมูล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่หน่วยงานของรัฐจะต้องใช้และปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ให้สอดคล้องกันและเชื่อมโยงถึงกันได้ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดทำวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายใน 240 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
12. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ที่จำเป็นตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เช่น การประกาศช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนสามารถติดต่อหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ได้ การกำหนดระบบภายในหน่วยงานสำหรับการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนั้น ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดหน่วยงานที่มีหน้าที่แจ้งเตือน ติดตาม และเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัตินี้
4. เรื่อง ร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอร่างประมวลจริยธรรมดังกล่าวต่อคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 76 วรรคสาม บัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว ประกอบกับพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 มาตรา 6 วรรคสอง บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรผู้จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง
2. โดยที่ระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2563 กำหนดแนวทางให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคล องค์กรตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรมฯ และหน่วยงานของรัฐใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์สำหรับการจัดทำประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรม รวมทั้งกำหนดกระบวนการรักษาจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และข้อ 6 ของระเบียบฯ กำหนดให้องค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรมดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จ ภายใน หนึ่งร้อยแปดสิบวันนับตั้งแต่วันที่ระเบียบฉบับนี้มีผลใช้บังคับ (ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 6 เมษายน 2564)
3. นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ยกร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดโครงการ “การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง” ระหว่างวันที่ 19 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 56 ราย ซึ่งประเด็นสำคัญที่เห็นว่าควรเพิ่มเติม คือ ควรมีบทลงโทษ หากมีการกระทำผิดประมวลจริยธรรมฯ ควรมีการปฏิบัติ ตามประมวลจริยธรรมฯ อย่างเคร่งครัด และควรเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน
4. นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้นำร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. .... เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
จึงได้เสนอร่างประมวลจริยธรรมดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประมวลจริยธรรม
กำหนดหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของข้าราชการการเมือง รายละเอียดดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า ข้าราชการการเมือง หมายความว่า ข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และให้หมายความรวมถึงกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีด้วย
2. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่
4. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องกล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
5. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมีจิตสาธารณะ
6. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยต้องดำรงตน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
7. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
8. กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาที่สาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่ อว. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่ อว. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยาฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาดังกล่าวเพิ่มขึ้นและสภามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาของสาขาดังกล่าว
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... ที่ พน. เสนอ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้เจ้าของโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน ต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพอยู่ในบริเวณซึ่งอาจได้รับความเดือดร้อนหรือ ความเสียหายโดยตรงจากการดำเนินงานของโครงการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “โครงการ” หมายความว่า โครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมตามกฎกระทรวงว่าด้วยระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ และคำว่า “เจ้าของโครงการ” “รายงานด้านสิ่งแวดล้อม” “รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ” “พื้นที่ที่ไวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม”
2. กำหนดให้ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ และต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
3. กำหนดให้เจ้าของโครงการจัดทำสรุปผลการรับฟังความเห็นของประชาชน และประกาศให้ประชาชนทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการรับฟังความเห็นของประชาชน และจะต้องรวบรวมประเด็นและข้อคิดเห็น รวมทั้งกรณีที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนมากกว่าข้อมูลที่เผยแพร่แก่ประชาชน มาพิจารณาในการกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข ลด ติดตาม และตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะผนวกไว้กับรายงาน
4. กำหนดให้เจ้าของโครงการต้องนำข้อมูลผลการดำเนินการ และการปรับปรุงแก้ไขประเด็นที่เกี่ยวข้อง ผนวกไว้กับรายงานสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่เสนอกรมธุรกิจพลังงาน
5. กำหนดบทเฉพาะกาล เป็นข้อยกเว้นให้ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้ รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสถานภาพของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (เรื่องเสร็จที่ 1397/2563) ดังนี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจัดตั้งขึ้นตามมาตรา 29 ตรี แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกองทุนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ และมีหน้าที่และอำนาจในการชำระคืนต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่งแห่งพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 รวมทั้งดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินตามมาตรา 43/2 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 โดยมิได้มีลักษณะเป็นการประกอบวิสาหกิจหรือกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ กองทุนฯ จึงไม่เป็นองค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล ไม่เป็นกิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น และไม่เป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ได้ตั้งขึ้นใน ธปท. ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้ ธปท. มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น กองทุนฯ จึงมีสถานภาพเช่นเดียวกับ ธปท. และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตาม (1) แห่งบทนิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561
2. โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
3. ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 สมควรกำหนดให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน) มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ “กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน” เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... ที่ พน. เสนอ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่ง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “ถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “รถขนส่ง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “รถไฟขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว”
2. กำหนดให้การออกแบบ การผลิต และลักษณะของถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมทั้ง การทดสอบและตรวจสอบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3. กำหนดให้ถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวต้องมีแบบแสดงรายละเอียดและรายการคำนวณ ได้แก่ แบบถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว และแบบแสดงรายละเอียดการติดตั้งระบบท่อก๊าซปิโตรเลียมเหลวและอุปกรณ์
4. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการติดตั้งถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวบนรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวกับรถไฟขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้แก่ รถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวต้องติดตั้งเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งหรือน้ำยาดับเพลิง หรือเครื่องดับเพลิงชนิดอื่นที่ไม่ใช่เครื่องดับเพลิงชนิดฟองก๊าซ ซึ่งสามารถใช้ดับเพลิงอันเกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ในส่วนรถไฟขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวระบบปิดก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในการรับและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวต้องไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดโผล่พ้นผิวถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
5. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับหรือจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวและการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้แก่ การบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพื่อการขนส่งให้บรรจุได้ไม่เกินร้อยละแปดสิบห้าของปริมาตรของถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
6. กำหนดหลักเกณฑ์การกู้ภัยและชุดปฏิบัติการกู้ภัย โดยกำหนดให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือระบบท่อก๊าซปิโตรเลียมเหลวและอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย หรือเกิดก๊าซปิโตรเลียมเหลวรั่วไหล หรือเกิดเพลิงไหม้ผู้ประกอบกิจการควบคุมต้องแจ้งการเกิดอุบัติเหตุต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานหรือผู้ซึ่ง อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมอบหมายโดยพลัน
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวตามที่ พน. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าครอบคลุมเฉพาะบริเวณที่อยู่ในเขตสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. กำหนดให้การออกแบบ การเดินสายไฟฟ้า การติดตั้งระบบไฟฟ้า และการติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าให้เป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า มาตรฐานการป้องกัน หรือมาตรฐานอื่นที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
3. กำหนดลักษณะบริเวณอันตรายของสถานที่ประกอบกิจการ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว สิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และบริภัณฑ์ที่ยอมรับให้ใช้ในบริเวณอันตรายของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าในสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมถึงลักษณะและขนาดของวัสดุที่ใช้ในระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
5. กำหนดให้สถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีการรับหรือจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยระบบการขนส่งทางท่อ ที่มีอยู่ในวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนา พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็นสมเด็จพระราชินี ความตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับพลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา ถูกต้องตามกฎหมาย และราชประเพณีโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว จึงมีพระราชโองการให้สถาปนา พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พระอัครมเหสี เป็น สมเด็จพระราชินีสุทิดา ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็น วันประวัติศาสตร์ที่พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมยินดีนำความปลาบปลื้มปิติมาสู่ปวงพสกนิกรชาวไทย
2. กค. ได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาส พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. .... เพื่อจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ ให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ ซึ่ง กค. ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสดังกล่าวตามรูปแบบที่ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว
3. กค. พิจารณาแล้วเห็นควรจัดทำเหรียญกษาปณ์ทองคำ ชนิดราคา 20,000 บาท เหรียญกษาปณ์เงิน ชนิดราคา 1,000 บาท เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20 บาท และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทธรรมดา ชนิดราคา 20 บาท รวม 4 ชนิด เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดทำเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวมาจากเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของรัฐและการทำของประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ทองคำ ชนิดราคา 20,000 บาท เหรียญกษาปณ์เงิน ชนิดราคา 1,000 บาท เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20 บาท และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทธรรมดา ชนิดราคา 20 บาท รวม 4 ชนิด เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562
12. เรื่อง การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เห็นควรจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 ซึ่งคณะกรรมการเหรียญเฉลิมพระเกียรติและเหรียญที่ระลึก ตามพระราชบัญญัติเหรียญเฉลิมพระเกียรติและเหรียญที่ระลึก พ.ศ. 2548 มาตรา 3 และมาตรา 4 มีมติให้ความเห็นชอบให้จัดทำแล้ว และตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 3 วรรคสอง กำหนดให้การมีเหรียญเฉลิมพระเกียรติให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่าน ให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ ตลอดจนน้อมนำจิตใจของปวงชนชาวไทย ให้แสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี อีกทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า โดย กค. ได้ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว ตามแบบที่ทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562
13. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการดังกล่าว และรายงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศตามขั้นตอนต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ
2. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ปรับปรุงชื่อสำนักงาน เพื่อให้เป็นปัจจุบันตามพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 จากเดิม “สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็น “สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”
1.2 ปรับปรุงองค์ประกอบ เพื่อให้เป็นปัจจุบันตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2561 โดยปรับเปลี่ยน ดังนี้
1.2.1 ปรับปรุงองค์ประกอบ จากเดิม “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” และจากเดิม “เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็น “เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”
1.2.2 เพิ่มองค์ประกอบใน กบส. ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
1.2.3 เพิ่มอำนาจหน้าที่ให้มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ โดยให้ กบส. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแล ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (NSW) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 4 กันยายน 2557
2. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ให้หน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจออกระเบียบ ประกาศหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ ใบอนุญาต/ใบรับรองในการนำเข้าส่งออกสินค้า
2.2 กำหนดให้ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูลรายการสินค้าแตกต่างจากที่แจ้งไว้เป็นเหตุให้ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้หน่วยงานของรัฐขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ และร่วมกับกรมศุลกากรดำเนินการโดยเร็วต่อไป เว้นแต่ในกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ให้หน่วยงานของรัฐสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูลรายการสินค้า แล้วรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทราบโดยพลัน
2.3 กำหนดให้ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูลรายการสินค้าแตกต่างจากที่แจ้งไว้ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการแก้ไขปรับปรุงระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว ได้โดยเร็ว
เศรษฐกิจ สังคม
14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2564 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564
2. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และการกำหนด “พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม โดย ขอขยายกรอบวงเงินค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน จากกรอบวงเงินจำนวน 3,570.29 ล้านบาท เป็น จำนวนไม่เกิน 5,740.44 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องดังกล่าวเป็นการเสนอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม โดย กพอ. มีมติอนุมัติให้ขยายกรอบวงเงินสำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ (งานจัดกรรมสิทธิ์ฯ) ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน จากเดิม 3,570.29 ล้านบาท (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561) เป็นจำนวนไม่เกิน 5,740.44 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 2,170.15 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไป ตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินทดแทนค่าอสังหาริมทรัพย์ และให้ครอบคลุม ค่างานจัดกรรมสิทธิ์ฯ สำหรับช่วงดอนเมือง – พญาไท ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ข้างต้น ทั้งนี้ กพอ. ได้อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น 2,170.15 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 607.56 ล้านบาท และ (2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 1,562.59 ล้านบาท
15. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ภาคประชาสังคม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565) [(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ] และมอบหมายส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณ โดยพิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการเป็นลำดับแรก ส่วนกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ก็เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 ในโอกาสแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. ได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ (พ.ศ. 2561 - 2564) เสนอคณะกรรมการส่งเสริมและ พัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) ซึ่งในการประชุม คสป. ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) เป็นประธาน มีมติเห็นชอบในหลักการ พม. จึงได้เสนอ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่ง สศช. แจ้งว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 มีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้ปรับระยะเวลาการดำเนินงานของ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ให้อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2563 - 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 5 ปีแรก (พ.ศ. 2561 - 2565) โดยมีประเด็นข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ (1) ควรมีการจัดหมวดหมู่ฐานข้อมูลองค์กรภาคประชาสังคมที่สอดคล้องกับประเด็นทางสังคม ศักยภาพ ความเชี่ยวชาญขององค์กรทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่/จังหวัด (2) ควรให้ความสำคัญกับพลังสังคมออนไลน์ และ (3) ควรพิจารณาความเหมาะสมของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งอาจดำเนินการภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ภาคประชาสังคม พ.ศ. 2558 โดยไม่มีความจำเป็นต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่ง พม. ได้ปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ตามความเห็นของสภาพัฒนาฯ และนำเสนอต่อ คสป. ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยที่ประชุมมีมติรับทราบแล้ว
2. ต่อมา พม. ได้พิจารณาทบทวน (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และปรับระยะเวลาการดำเนินงานให้อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2565 ซึ่งไม่กระทบต่อสาระสำคัญตามที่ คสป. และสภาพัฒนาฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว
3. สาระสำคัญของ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ สรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
รายละเอียด
กรอบแนวคิด
กระแสการพัฒนาโลกให้ความสำคัญกับองค์กรภาคประชาสังคมในการเป็นหุ้นส่วน การพัฒนามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ โดยเฉพาะเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่ 17 ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยได้ยอมรับที่จะร่วมกันทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2030 จึงถือเป็นโอกาสที่สำคัญขององค์กรภาคประชาสังคมไทยได้ร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ในการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์การพัฒนาเอกชนและภาคธุรกิจ
วัตถุประสงค์
1) เพื่อสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมให้มีศักยภาพและมีบทบาทเป็นหุ้นส่วน การพัฒนาประเทศ
2) เพื่อศึกษาและยกร่างข้อเสนอด้านกฎหมาย นโยบาย กลไก ที่เกี่ยวข้องกับ การส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง
3) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการจัดการความรู้และพัฒนาฐานข้อมูลองค์กร ภาคประชาสังคม
4) เพื่อสร้างกรอบทิศทางการส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม ให้ภาคีภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน
เป้าหมาย
1) องค์กรภาคประชาสังคมมีขีดความสามารถเป็นองค์กรธรรมาภิบาล สามารถเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนสังคมให้เป็นธรรมและยั่งยืน
2) มีกฎหมาย นโยบาย และกลไกที่สนับสนุนการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง
3) เกิดนวัตกรรมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งองค์กรภาคประชาสังคม
4) ภาคีทุกภาคส่วนสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารสังคม เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของบทบาทภาคประชาสังคมในการพัฒนาประเทศ
ตัวชี้วัดตามเป้าหมาย
1) จำนวนองค์กรภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการร่วมกับภาครัฐทุกระดับ ซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน
2) จำนวนงบประมาณและทรัพยากรที่องค์กรภาคประชาสังคมได้รับการสนับสนุน จากภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันวิชาการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
3) จำนวนกฎหมาย/ระเบียบ/มาตรการที่ได้รับการปรับปรุง และมีการพัฒนากฎหมายให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง
4) มีระบบบริหารงาน ระบบพัฒนาบุคลากร ระบบฐานข้อมูล ระบบการระดมทุนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาสังคม
5) มีกลไกและรูปแบบการรวมตัวขององค์กรภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง
หน่วยงานรับผิดชอบ
หน่วยงานรับผิดชอบหลัก : พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
หน่วยงานร่วม : กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงมหาดไทย สศช. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
การติดตามและประเมินผล
ระดับชาติ : คสป. รับผิดชอบในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโดยการจัดทำโครงการติดตามประเมินผล รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่ติดตามประเมินผล โดยใช้หลักการประเมินเพื่อพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งกำกับ ติดตามความก้าวหน้าในทุก ๆ ครึ่งปี ครึ่งระยะเวลาแผนและสิ้นสุดแผน นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่สร้างความเข้าใจในหน่วยปฏิบัติตามแผนงานให้เข้าใจหลักการติดตามและประเมินผลที่สามารถแสดงถึงความก้าวหน้า ข้อจำกัด ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของการดำเนินงานตามแผนคู่ขนานร่วมด้วย
ระดับจังหวัด : มีกลไกของเครือข่ายศูนย์ประสานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมระดับจังหวัด ตามนโยบายจิตอาสาประชารัฐ (E6) ที่รัฐบาลได้สนับสนุนให้จัดตั้งขึ้นมา และกลไกองค์กรภาคประชาสังคมระดับจังหวัด ที่สนับสนุนโดย สสส. และ สช. โดยใช้หลักการประเมินผลเพื่อพัฒนาศักยภาพ เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาศักยภาพไปพร้อมกัน และรายงานความก้าวหน้ามายัง คสป. ทุกปี โดยเปรียบเทียบผลที่ได้จากการดำเนินงานตามตัวชี้วัดที่ตั้งไว้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยทำให้องค์กรภาคประชาสังคมมีขีดความสามารถเป็นองค์กรธรรมาภิบาล สามารถเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนสังคมให้เป็นธรรมและยั่งยืน ตลอดจนการผลักดันกฎหมาย นโยบาย กลไกที่สนับสนุนการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง รวมถึงการเกิดนวัตกรรมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งองค์กรภาคประชาสังคม อันเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยเพิ่มโอกาสให้ทุก ภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังของการพัฒนาประเทศในทุกระดับ
4. แผนงาน โครงการที่สำคัญ หน่วยงานรับผิดชอบ ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ สรุปได้ ดังนี้
แผนงาน/โครงการที่สำคัญ/หน่วยงานรับผิดชอบ
แผนงานที่ 1 พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถขององค์กรภาคประชาสังคมให้มี ความเข้มแข็ง และมีธรรมาภิบาล
1) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลออนไลน์องค์กรภาคประชาสังคม และฐานข้อมูลนักวิจัย/นักวิชาการด้านการพัฒนาศักยภาพประชาสังคม เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้พัฒนาศักยภาพ และ ขีดความสามารถองค์กรภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง (หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : ดศ. สศช. สกสว. วช. สช.)
2) โครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กรบุคลากรในองค์กรภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็ง โดยใช้ระบบออนไลน์และสร้างบุคลากรกลุ่มใหม่ที่มีจิตอาสาพร้อมปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม (หน่วยงานหลัก : สช. พม. หน่วยงานรอง : สสส.)
3) โครงการศึกษาและพัฒนาเกณฑ์สมรรถนะขั้นพื้นฐานขององค์กรภาคประชาสังคม (หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : สช.)
4) โครงการถอดบทเรียนผู้นำและบุคลากรในองค์กรภาคประชาสังคมที่ผ่านการพัฒนาศักยภาพและมีการดำเนินงานเป็นเลิศ (best practice) [หน่วยงานหลัก : สช. หน่วยงานรอง : สสส. พม. สกสว. มท. ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชนในกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม)]
แผนงานที่ 2 พัฒนากฎหมาย นโยบาย กลไก มาตรการ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมองค์กร ภาคประชาสังคม
1) โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนากฎหมาย กลไก มาตรการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมองค์กร ภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง การมีส่วนร่วม และธรรมาภิบาล [หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) มท. (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น : สถ.) วช.]
2) โครงการเวทีบูรณาการปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของภาคประชาสังคมต่อรัฐบาล (หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : สศช. สช. ศูนย์คุณธรรม สสส. สกสว.)
3) โครงการศึกษามาตรการทางภาษีการเงินการคลังเพื่อการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม [หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : กค. (กรมสรรพากร) สกสว. มท. (สถ.)]
4) โครงการศึกษาการบริหารจัดการกองทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม [หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : กค. มท. (สถ.) สกสว. วช.]
แผนงานที่ 3 พัฒนาองค์ความรู้ การศึกษาวิจัยเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาความเข้มแข็งองค์กรภาคประชาสังคม
1) โครงการศึกษาและถอดบทเรียนรูปแบบการพัฒนาศักยภาพและการบริหารจัดการองค์กร ภาคประชาสังคม (หน่วยงานหลัก : สช. สสส. พม. หน่วยงานรอง : สกสว. มท. ศูนย์คุณธรรม)
2) โครงการสำรวจความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ ต่อบทบาทภาคประชาสังคมในการพัฒนาประเทศ (หน่วยงานหลัก : สช. สสส. พม. หน่วยงานรอง : สกสว. มท. ศูนย์คุณธรรม)
3) โครงการสร้างและพัฒนานักวิจัยชุมชนด้านการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมความเข้มแข็ง ภาคประชาสังคม (หน่วยงานหลัก : สกสว. หน่วยงานรอง : สช. สสส.)
แผนงานที่ 4 ส่งเสริม สนับสนุน องค์กรภาคประชาสังคมให้เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศ และเชื่อมโยงการทำงานในระดับภูมิภาคและประชาคมโลก
1) โครงการสื่อสารสังคมให้เห็นความสำคัญขององค์กรภาคประชาสังคมในการเป็นหุ้นส่วนรัฐพัฒนาประเทศและสร้างความสัมพันธ์กับภาคส่วนต่าง ๆ (หน่วยงานหลัก : พม. สช. หน่วยงานรอง : สสส.)
2) โครงการสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ของภาคประชาสังคมในพื้นที่ (หน่วยงานหลัก : พม. หน่วยงานรอง : สช. สสส. สกสว.)
3) โครงการสร้างความร่วมมือ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนงานภาคประชาสังคม (หน่วยงานหลัก : พม. สช. สสส. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานรอง : - )
4) โครงการประสานความร่วมมือทางสังคมและวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน
(หน่วยงานหลัก : พม. กต. สช. สสส. หน่วยงานรอง : สกสว. มท. ศูนย์คุณธรรม)
16. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอดังนี้
1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2521 (เรื่อง การดำเนินการโครงการพัฒนา ไม้ผลและไม้ยืนต้น และขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามโครงการ) ในส่วนข้อที่ 1 ที่กำหนดให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินกำไรปีละ 20 ล้านบาท ทุกปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2522 เป็นต้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2521 โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2534 จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จำนวน 15 ล้านบาท
2. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2525 (เรื่อง การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) ในส่วนข้อที่ 3 ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินรายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังจำนวน 20 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2525 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นนโยบายพิเศษเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าไม้แก่กรมป่าไม้ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2526 (เรื่อง การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2525 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8กุมภาพันธ์ 2526 โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2534 จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จำนวน 17.942 ล้านบาท
17. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมีข้อสั่งการสำคัญใน 12 ประเด็น เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้กำกับและติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สรุปได้ ดังนี้
ข้อสั่งการ/การมอบหมายงาน
ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
1. ให้พิจารณาข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อน กระตุ้น และฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการใช้ชีวิตวิถีใหม่ของประชาชนภายใต้บริบทการบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น มีจำนวน ผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลงและเริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงานและการให้บริการประชาชนให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่
ทุกส่วนราชการ
2. ให้จัดทำวิดีทัศน์นำเสนอผลงานของหน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลให้มีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ ทันสมัย เพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง
3. ให้นำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ปฏิบัติงาน การอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน โดยอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
4. ให้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน ตามที่ได้รับการประสานจากศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ด้วยความรวดเร็ว
5. ให้พิจารณาจัดส่งข้อมูลให้กับ สปน. ตามที่ได้รับการร้องขอตามแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยเคร่งครัด
6. ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมจิตอาสา โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ
7. ให้เตรียมแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นองค์รวมภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ภัยแล้ง และปัญหาน้ำ ทะเลหนุน
ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
8. ให้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร รวมถึง การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร เช่น 1) สร้างห้องเย็นเพื่อให้สามารถจัดเก็บสินค้าทางเกษตรได้นานขึ้น 2) ควบคุมความสมดุลระหว่างความสามารถในการเพาะปลูกพืชผลสินค้าทางการเกษตร และความต้องการผลผลิตทางการเกษตร 3) นำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ในการควบคุมปริมาณการใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกพืชพันธุ์แต่ละชนิดให้เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลง และ 4) สนับสนุนความรู้ และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
กระทรวงการคลัง กษ.
กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)
9. ให้สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบองค์รวม (Bioeconomy, Circular Economy and Green Economy: BCG) ทั้งนี้ ให้ สศช. นำนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วย
กระทรวงมหาดไทย และ สศช.
10. ให้จัดทำข้อเสนอรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย รวมถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมเพื่อดึงดูด จูงใจ และรักษาไว้ซึ่งกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ
สำนักงาน ก.พ.
11. ให้เร่งรัดดำเนินการสรรหา สอบคัดเลือก และบรรจุแต่งตั้งบุคคล เข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณและอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีงานทำของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19
ทุกส่วนราชการ
12. ให้กวดขันและเข้มงวดในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อลดโอกาสในการทุจริตประพฤติมิชอบ
18. เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ ) ปีการผลิต 2564 ตามสาระสำคัญที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวม ส่วนที่ 1 การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และส่วนที่ 2 การรับประกันภัยภาคสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 46 ล้านไร่ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน 2,873.010 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุน ค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ธ.ก.ส. บวก 1 (เท่ากับร้อยละ 2.2) ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินรวม 2,936.216 ล้านบาท
3. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการ ดังนี้
3.1 ขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี (กรมธรรม์ฯ) ปีการผลิต 2564 ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกรทั้งใน Tier 1 และ Tier 2
3.2 บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการ
ประกันภัย
3.3 ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย (สมาคมฯ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2564 รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยให้แก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย
4. มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมฯ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ 02) แบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ 02 เพื่อการประกันภัย) และข้อมูลผังแปลงเกษตรกรรมดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ตลอดจนดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต 2564 เพื่อรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และรายงานข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กค. เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
5. มอบหมายให้สมาคมฯ พิจารณากำหนดรูปแบบการประเมินความเสียหายแก่เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณานำวิธีการประเมินความเสียหายในรูปแบบเชิงวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีมาใช้ร่วมด้วย
6. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ฯ ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2564 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์ฯ และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2564 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. กค. โดย สศค. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กษ. (กรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) สำนักงาน คปภ. ธ.ก.ส. และ สมาคมฯ ตั้งแต่ปีการผลิต 2554 – 2563 ซึ่งโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวให้กับเกษตรกรเมื่อประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งการดำเนินงานปีการผลิต 2563 ที่ผ่านมา ณ วันสิ้นสุดการจำหน่าย กรมธรรม์ฯ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัยใน Tier 1 3.30 ล้านราย จำนวนพื้นที่เข้าร่วมโครงการฯ 44.36 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 99.24 ของจำนวนพื้นที่เป้าหมายสูงสุด 44.70 ล้านไร่ นอกจากนี้มีเกษตรกรเอาประกันภัยเพิ่มเติมใน Tier 2 จำนวน 33,398 ราย พื้นที่ 479,152.25 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 47.92 ของจำนวนพื้นที่เป้าหมายสูงสุด 1 ล้านไร่ เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้ง Tier 1 และ Tier 2 คิดเป็นจำนวน 4,041.60 ล้านบาท โดยมีคำขอรับค่าสินไหมทดแทนจากเกษตรกรแล้ว 36,754 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 516.66 ล้านบาท (การขอรับและจ่ายค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นประมาณเดือนตุลาคม 2564) (ข้อมูล ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564)
2. กค. ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ดังนี้
2.1 กค. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 22563 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำข้อมูลสถิติและความเสี่ยงภาคการเกษตรต่าง ๆ มาใช้ประกอบการเจรจาต่อรองค่าเบี้ยประกันภัยกับสมาคมฯ ซึ่งต่อมาสมาคมฯ ได้มีหนังสือแจ้ง กค. (สศค.) เพื่อเสนอเบี้ยประกันภัยและรายละเอียดโครงการฯ ปีการผลิต 2564
2.2 กค. ได้นำเสนอการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ให้ นบข. พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ตามที่ กค. เสนอและมอบหมายให้ กค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งโครงการฯ ปีการผลิต 2564 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
โครงการฯ ปีการผลิต 2564
อัตราดเบี้ยประกันภัย Tier 1 (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) และพื้นที่เป้าหมาย
1) ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 96 บาท/ไร่ (พื้นที่เป้าหมาย 28 ล้านไร่)
2) ลูกค้าเกษตรกรทั่วไป/ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ซื้อเพิ่ม (พื้นที่เป้าหมาย 17 ล้านไร่)
พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ 55 บาท/ไร่ (16 ล้านไร่)
พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 210 บาท/ไร่ (1 ล้านไร่)
พื้นที่ความเสี่ยงสูง 230 บาท/ไร่
อัตราเบี้ยประกันภัย Tier 2 (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) และพื้นที่เป้าหมาย
พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ 24 บาท/ไร่
พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 48 บาท/ไร่ (พื้นที่เป้าหมาย 1 ล้านไร่)
พื้นที่ความเสี่ยงสูง 101 บาท/ไร่
ความคุ้มครอง Tier 1
ภัยธรรมชาติ [(1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุ หรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ (7) ช้างป่า] 1,260 บาท/ไร่
ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 630 บาท/ไร่
ความคุ้มครอง Tier 2
ภัยธรรมชาติ 240 บาท/ไร่
ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 120 บาท/ไร่
อุดหนุนเบี้ยประกันภัยเฉพาะ Tier 1
1) ธ.ก.ส. อุดหนุนเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 38 บาท/ไร่ (ไม่เกิน 28 ล้านไร่)
2) รัฐบาลอุดหนุนเบี้ยประกันภัย ดังนี้
- สำหรับลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 58 บาท/ไร่ รวมทั้งให้การอุดหนุนอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือคิดเป็น 65.79 บาท/ไร่
- สำหรับเกษตรกรทั่วไป 55 บาท/ไร่ รวมทั้งให้การอุดหนุนอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือคิดเป็น 59.92 บาท/ไร่ (พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ) 70.77 บาท/ไร่ (พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง) 72.17 บาท/ไร่ (พื้นที่ความเสี่ยงสูง)
ภาระงบประมาณ
2,936.216 ล้านบาท
[เงินต้น 2,873.010 ล้านบาท + ต้นทุนเงิน (ร้อยละ 2.2) 63.206 ล้านบาท]
การพิจารณาค่าสินไหมทดแทน
การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562
ระยะเวลาจำหน่าย
เริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ และกำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์แตกต่างกันตามภูมิภาค ดังนี้
1) ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่ 1) จำนวน 42 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2564
2) ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่ 2) จำนวน 16 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
3) ภาคตะวันตก จำนวน 5 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกิน วันที่ 30 มิถุนายน 2564
4) ภาคใต้ จำนวน 14 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
3. กค. แจ้งว่า ณ สิ้นวันที่ 5 มีนาคม 2564 ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มียอดคงค้างจำนวน 946,503.735 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 28.80 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (วงเงิน 3,285,962.480 ล้านบาท) ดังนั้น หากมีการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 จำนวน 2,936.216 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาระที่รัฐต้องรับชดเชย ซึ่งเมื่อรวมกับยอดของโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว จะมียอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 954,282.641 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 29.04 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 30 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้
4. ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. พิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการฯ ปีการผลิต 2564 เป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรได้ใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าว ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ โดยได้มีคำสั่งนายทะเบียนเห็นชอบแบบ กรมธรรม์ฯ ปีการผลิต 2564 จำนวนทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ 1) กรมธรรม์ฯ เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของ ธ.ก.ส. 2) กรมธรรม์ฯ เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงต่ำ 3) กรมธรรม์ฯ สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย และ 4) กรมธรรม์ฯ สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อยส่วนเพิ่ม ซึ่งสามารถเริ่มรับประกันภัยโครงการดังกล่าวได้ทันทีภายหลังที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการดังกล่าว สำนักงาน คปภ. จะได้จัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย” สำหรับการประกันภัยข้าวนาปีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวม ซึ่งรูปแบบการดำเนินการอาจมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ต่อไป
19. เรื่อง การให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข (สิทธิฯ) กับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา ครั้งที่ 2 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนและกำหนดเลขประจำตัว 13 หลัก เรียบร้อยแล้ว และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ตรวจสอบคัดกรองข้อมูล จำนวน 5,203 คน ซึ่งครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. สธ. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 23 มีนาคม 2553 วันที่ 20 เมษายน 2558 และวันที่ 22 กันยายน 2563) ในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องและรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะขาดหลักฐานซึ่งจำนวนที่แท้จริงยังไม่ชัดเจนและอาจมีความซ้ำซ้อนของข้อมูล โดยในส่วนของกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่เป็นเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา สธ. ได้ประสานกับ มท. เพื่อขอข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ได้รับการกำหนดเลขประจำตัว 13 หลักเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง สธ. ได้คัดกรองรายชื่ออีกครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้ที่เคยได้รับสิทธิฯ หรือได้รับสัญชาติไทยแล้ว โดยข้อมูลกลุ่มเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ได้รับการคัดกรองแล้วในครั้งนี้มีจำนวน 5,203 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มกราคม 2564)
2. สธ. เห็นว่าการจัดระบบสวัสดิการด้านสาธารณสุขให้กับเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาจะทำให้เด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้ได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต จะช่วยแก้ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของหน่วยบริการที่ต้องให้การบริการด้านสาธารณสุขที่จำเป็นตลอดจนช่วยควบคุมและป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวตามที่ สธ. เสนอในครั้งนี้ ต้องใช้งบประมาณ จำนวน 12,767,901.85 บาท โดยกำหนดกรอบวงเงินตามจำนวนผู้มีสิทธิในอัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเท่ากับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (อัตรา 2,453.95 บาทต่อคน x 5,203 คน) โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ทั้งนี้ สธ. รายงานเพิ่มเติมว่าสิทธิฯ ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข เช่น บริการผู้ป่วยนอกทั่วไป บริการผู้ป่วยนอกเจ็บป่วยฉุกเฉิน การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การให้ยารักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และกรณีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น1
--------------------------------------------
1 ข้อมูลจากเอกสาร แนวทางการดำเนินงานกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
20. เรื่อง ขออนุมัติ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563 - 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563 - 2565 [(ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ] ตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอ เพื่อกำหนดกรอบและทิศทางการบริหารงานภาครัฐและการจัดทำบริการสาธารณะในรูปแบบของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลรายงานว่า
1. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลได้จัดทำ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการให้บริการภาครัฐของประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 รวมทั้งสอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนระดับชาติต่าง ๆ เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่ง (ร่าง) แผนดังกล่าวมีวิสัยทัศน์ “รัฐบาลดิจิทัล เปิดเผย เชื่อมโยง และร่วมกันสร้างบริการที่มีคุณค่าให้ประชาชน” และให้ความสำคัญ ใน 6 ประเด็น ได้แก่ การศึกษา สุขภาพและการแพทย์ การเกษตร ความเหลื่อมล้ำทางสิทธิสวัสดิการประชาชน การมีส่วนร่วม โปร่งใสและตรวจสอบได้ของประชาชน และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
2. (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น
สาระสำคัญ
วัตถุประสงค์
- เพื่อบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน
- เพื่อให้มีกรอบการขับเคลื่อนกิจกรรม/โครงการที่ชัดเจนมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
-เพื่อกำหนดกรอบการขับเคลื่อนการบูรณาการรัฐบาลดิจิทัลที่สำคัญ สำหรับกำหนดประเด็นแผนบูรณาการประจำปีงบประมาณ
- เพื่อกำหนดหน่วยงานหลักและหน่วยงานรองในการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องพร้อมกรอบงบประมาณในการดำเนินงาน
- เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐจัดทำแผนการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562
เป้าหมาย
- ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน
- เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย
- การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
- สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาและกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ
งบประมาณ
รวมทั้งสิ้น 6,504.69 ล้านบาท
แนวทาง
การดำเนินงาน
ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
จำนวนมาตรการ/ แผนงาน/โครงการ
4 มาตรการ 7 แผนงาน 17 โครงการ
ตัวอย่างกลไก/มาตรการ
- เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงได้
- พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลภาครัฐในการให้บริการประชาชน
ตัวอย่างโครงการ
- การพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ
- การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ
- การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับจัดเก็บข้อมูลสิทธิสวัสดิการประชาชนในพื้นที่
- การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกร
งบประมาณ
4,879.87 ล้านบาท
หน่วยงานรับผิดชอบ
เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ยุทธศาสตร์ที่ 2 อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
จำนวนมาตรการ/ แผนงาน/โครงการ
5 มาตรการ 6 แผนงาน 8 โครงการ
ตัวอย่างกลไก/มาตรการ
- จัดให้มีระบบดิจิทัลอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ
- ทบทวน ปรับปรุง และพัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบ มาตรการ ที่เอื้อต่อผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ
ตัวอย่างโครงการ
- ระบบรับคำขออนุญาตเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ
- ศูนย์พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลภาครัฐ เพื่อการบริการดิจิทัลสำหรับภาคธุรกิจ
งบประมาณ
518.46 ล้านบาท
หน่วยงานรับผิดชอบ
เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. สพร. และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในทุกกระบวนการทำงานของภาครัฐ
จำนวนมาตรการ/ แผนงาน/โครงการ
3 มาตรการ 4 แผนงาน 11 โครงการ
ตัวอย่างกลไก/มาตรการ
- จัดให้มีระบบดิจิทัลสนับสนุนการเปิดเผย แลกเปลี่ยน เชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐอย่างบูรณาการ
- พัฒนากลไกการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้โปร่งใสป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน
ตัวอย่างโครงการ
- การพัฒนาศูนย์กลางการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ
- การพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐ
งบประมาณ
946.36 ล้านบาท
หน่วยงานรับผิดชอบ
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ สพร.
ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล
จำนวนมาตรการ/ แผนงาน/โครงการ
3 มาตรการ 3 แผนงาน 5 โครงการ
ตัวอย่างกลไก/มาตรการ
- จัดให้มีระบบดิจิทัล เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาประเทศ
- เปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะของหน่วยงานรัฐในรูปแบบดิจิทัล
ตัวอย่างโครงการ
- การพัฒนาระบบรับฟังความคิดเห็นประชาชนผ่านช่องทางดิจิทัล
- การปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายของรัฐ
งบประมาณ
160 ล้านบาท
หน่วยงานรับผิดชอบ
เช่น สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และ สพร.
แนวทาง
การขับเคลื่อน
และติดตาม
ประเมินผล
- กลไกเชิงนโยบาย โดยคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้ง
- กลไกการดำเนินงานและการพิจารณากลั่นกรองงบประมาณ ผ่านการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
- กลไกการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานภาคีและภาคเอกชน
- กลไกการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการด้านบุคลากรภาครัฐ
3. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 11/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับกำหนดทิศทาง และบูรณาการการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกรอบระยะเวลาของ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ ที่กำหนดไว้คือปี พ.ศ. 2563 - 2565 ซึ่งขณะนี้กระบวนการพิจารณางบประมาณในปี พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ สพร. ควรพิจารณาคัดเลือกโครงการที่มีความสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี พ.ศ. 2565 และเห็นควรให้ สพร. เริ่มกระบวนการยกร่างแผนฉบับต่อไป โดยควรกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่สั้นเกินไป เช่น 5 ปี เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องและทันกับช่วงเวลาของกระบวนการงบประมาณ โดยมีข้อสังเกตในการยกร่างแผน เช่น ควรศึกษาความครอบคลุมของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและออกแบบแผนให้มีบริบทที่ครบองค์ประกอบมากขึ้น ควรจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีจุดมุ่งเน้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ชัดเจน ควรกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนว่ามีแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการอย่างไร และไม่ควรมองมิติเฉพาะเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ สพร. ได้ปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ ตามข้อสังเกตดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
21. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และ แนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา มาเพื่อดำเนินการ ซึ่งสามารถแยกเนื้อหาสาระและประเด็นตามลำดับความสำคัญได้ 3 ส่วน ส่วนที่ 1 รายงานการพิจารณา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ส่วนที่ 2 แผนยุทธศาสตร์การสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ส่วนที่ 3 คู่มือแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีข้อเสนอแนะในภาพรวม 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ข้อเสนอแนะในด้านการดำเนินการ เช่น ควรมีการศึกษาวิจัยและพัฒนา (research & development) ผลกระทบหรือผลลัพธ์จากกระบวนการในการสร้างคนดี คนเก่ง และคนกล้า ในมิติต่าง ๆ ที่มีต่อการพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชาติและความเจริญมั่นคงของชาติ 2) ข้อเสนอแนะในด้านการส่งเสริมและการบูรณาการ เช่น รัฐบาลควรกำหนดให้การสร้างคนดี คนเก่ง และคนกล้าเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันดำเนินการอย่างจริงจัง
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ สศช. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
สศช. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานตามข้อ 2. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ดังนี้
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ผลการพิจารณาศึกษา
1. ข้อเสนอแนะในการดำเนินการ
- ควรจัดทำระเบียบ ข้อบังคับ กฎ กฎหมาย และคู่มือในการปฏิบัติ ทั้งในส่วนที่เป็นการสร้าง การส่งเสริม การปกป้อง การคุ้มครอง การสร้างโอกาสและการสร้างความยั่งยืนให้สอดคล้องกับคนไทย สังคมไทย ในปัจจุบันและอนาคต
- เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว โดย วธ. แจ้งว่า ได้ดำเนินการเพื่อสร้างคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความพอเพียง วินัย สุจริต และ จิตอาสา ภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 – 2564) ซึ่งสอดคล้องและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานตามแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า ดังนี้ ยุทธศาสตร์สร้างคนดี ประเด็น การสร้างสังคมคุณธรรม และการสร้างครอบครัวคุณธรรม ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาส ประเด็นการสร้างองค์กรคนดี การสร้างโอกาสให้คนดี คนเก่ง คนกล้า การสร้างโอกาสใน การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างให้คนไทยมีศิลปะและภูมิใจในวัฒนธรรมไทย ยุทธศาสตร์การสร้างความยั่งยืน ประเด็นกลไกทางเครือข่าย องค์กร มูลนิธิชุมชน และการบริหารจัดการ
- ศธ. ยุทธศาสตร์การสร้างคนดี คนเก่งฯ มีแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศและมีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ 2565 อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บรรลุเป้าหมายจำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบรายยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน
2. ข้อเสนอแนะในด้านการส่งเสริมและการบูรณาการ
- รัฐบาลควรกำหนดให้การสร้างคนดี คนเก่ง และคนกล้าเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันดำเนินการอย่างจริงจัง โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อกำหนดนโยบายที่นำไปสู่การปฏิบัติ
- รัฐบาลและทุกภาคส่วน ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิด “การให้โอกาส การเปิดโอกาส การสร้างโอกาส” ในทุกมิติอย่างเสมอภาคทั้งในระดับบุคคลและองค์กร เพื่อให้คนไทยทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงการศึกษาเรียนรู้ที่ตนถนัด
- ปัจจุบันประเทศไทยมีแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติที่กำหนดเรื่องการสร้างคนดี การส่งเสริมให้สังคมเป็นสังคมคุณธรรม เป็นเป้าหมายภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ โดย วธ. มีการดำเนินการโครงการที่สำคัญ เช่น การขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับกระทรวง ระดับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ จัดเวทีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางในการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อนำไปประกอบการจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2
- อว. ได้มุ่งเน้นหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะในศตวรรษที่ 21 และตอบสนองต่อตลาดแรงงาน อาทิ การสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ การให้ความสำคัญกับการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ได้มีการสอดแทรกความรู้ทางด้านคุณธรรม จริยธรรม เข้าไปในกระบวนการเรียนการสอนด้วย
22. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่งได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว และมีการบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Report) ของกรมการปกครองที่ได้รับการยืนยันข้อมูลจากศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานอำเภอแล้ว 454,832 คน และมีการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ใน 24 จังหวัด มีผู้ผ่านการอบรม 225,042 คน
2. การจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยเพื่อร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สรุปได้ ดังนี้
เดือน
วันที่/กิจกรรม
ตุลาคม 2563
- จัดกิจกรรม “ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา” ด้วยการพัฒนาหรือทำความสะอาดสถานศึกษา ปลูกป่า ปลูกต้นไม้ เก็บขยะ และปรับปรุงภูมิทัศน์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พฤศจิกายน 2563
- จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาล สถานพยาบาล ภายในจังหวัดในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ธันวาคม 2563
- จัดกิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์ ทำความสะอาดลำน้ำ คู คลอง ชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ คู คลอง และกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมจิตอาสาอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ
3. การจัดนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” และนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” โดยรัฐบาลได้จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดย สปน. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน
4. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 “หลักสูตรประจำ” รุ่น 5/63 “เป็นเบ้า เป็น แม่พิมพ์” ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน - 29 ธันวาคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สำเร็จการฝึกอบรมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนจิตอาสาในการสร้างอุดมการณ์ สร้างจิตสำนึก สร้างระเบียบวินัย สามารถเป็นผู้นำสำคัญในการประสานความร่วมมือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ และนำความรู้ที่ได้รับไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์วิกฤตและภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีจิตอาสาลงทะเบียน 6,739,796 คน [แยกตามพื้นที่ (ภูมิลำเนา) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 455,784 คน ส่วนภูมิภาค 6,284,012 คน แยกตามเพศ ได้แก่ เพศชาย 3,001,280 คน และเพศหญิง 3,738,516 คน] และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา 53,695 ครั้ง กิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ 703 ครั้ง และการบรรยายขยายผลให้ความรู้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์กับประเทศไทย 1,039 ครั้ง
23. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรงของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้แทนของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานอยู่ในบริษัท ฮิตาชิ คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอให้ตรวจสอบกรณีกล่าวอ้างว่า บริษัทฯ ได้จ้างลูกจ้างบางส่วนโดยวิธีการเหมาค่าแรงมาตั้งแต่ปี 2544 ปัจจุบันได้จ้างลูกจ้างรับเหมาค่าแรงโดยมอบหมายให้บริษัทรับเหมาค่าแรง 4 แห่ง เป็นผู้จัดหาคนเข้ามาทำงาน ทั้งนี้ ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง โดยสามารถทำงานทดแทนกันได้ในทุกกรณีเมื่อได้รับมอบหมาย อีกทั้งอัตราส่วนของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงนั้นใกล้เคียงกัน แต่สิทธิประโยชน์และสวัสดิการแตกต่างกันมาก ในกรณีนี้พนักงานตรวจแรงงานได้ทำการตรวจสภาพการจ้างและการทำงานของบริษัทฯ แล้วมีคำสั่งให้บริษัทฯ จัดสิทธิประโยชน์และสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงตามหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับลูกจ้างที่บริษัทฯ จ้างเองโดยตรง แต่บริษัทฯ ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งการที่บริษัทฯ ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว ทำให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงไม่ได้รับสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย
2. กสม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่บริษัทฯ มิได้จัดให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงซึ่งทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยเท่าเทียมกันนั้นเป็นการปฏิบัติที่แตกต่างกันต่อบุคคล ซึ่งทำงานในลักษณะเดียวกันด้วยเหตุแห่งสถานะและรูปแบบการจ้างแรงงานที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการจ้างแรงงาน ผู้ทำงานที่มีคุณค่าเท่ากันกลับไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เท่าเทียมและเป็นธรรม จึงเป็นการเลือกปฏิบัติและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของแรงงานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง แต่ในระหว่างการตรวจสอบลูกจ้างรับเหมาค่าแรงบางส่วนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานภาค 2 ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาได้มีการไกล่เกลี่ยและยอมความกันในชั้นศาลแล้ว กสม. จึงได้สั่งให้ยุติเรื่อง อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะบัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงให้ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและหนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามแล้วแต่ยังไม่สามารถคุ้มครองและเป็นหลักประกันสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับบทกำหนดโทษกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่สามารถปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติให้ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท แต่หากพิจารณาถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ผู้ประกอบการซึ่งถือเป็นนายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงตามความเป็นจริงอาจมีมูลค่าสูงกว่าจำนวนเงินค่าปรับที่กฎหมายกำหนด เมื่อคำนวณจากฐานของจำนวนลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่แตกต่างกันในแต่ละสถานประกอบกิจการ โดยเฉพาะสถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ที่มีการจ้างลูกจ้างโดยวิธีการเหมาค่าแรงเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบกิจการอาจยินยอมให้เปรียบเทียบและชำระค่าปรับในชั้นพนักงานเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลไกทางกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองลูกจ้างรับเหมาค่าแรงให้ได้รับความเท่าเทียมและเป็นธรรมดังกล่าว ไม่สามารถบรรลุผลตามเจตนารมณ์ได้อย่างแท้จริง
3. นอกจากนี้ ยีงมีปัญหาในการตีความและบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากไม่ระบุถึงลักษณะความผูกพันทางสัญญาระหว่างผู้ประกอบกิจการ ผู้รับเหมาค่าแรง และลูกจ้างรับเหมาค่าแรงให้ชัดเจนและไม่มีการกำหนดถึงขอบเขตหรือมูลเหตุแห่งความจำเป็นในการจ้างเหมาค่าแรง ทำให้ผู้ประกอบกิจการนำการจ้างเหมาค่าแรงมาบิดเบือนและนำไปใช้กับการจ้างแรงงานระยะยาวหรือมีลักษณะเป็นการประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดที่ผู้ประกอบกิจการมีต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรงอันเป็นการลิดรอนสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงโดยตรง บทบัญญัติดังกล่าวอาจมีประสิทธิภาพในเชิงบริบทแต่ไม่มีประสิทธิผลในการใช้บังคับ ทำให้เกิดความสับสนและคลาดเคลื่อนไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย อีกทั้งยังไม่มีการบัญญัติถึงเกณฑ์มาตรฐานกำหนดการใช้ดุลยพินิจของพนักงานตรวจแรงงานหรือศาลให้มีความชัดเจน แต่ปรากฎเพียงในคำชี้แจงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รง. ซึ่งมิได้มีสถานะเป็นกฎหมาย จึงอาจทำให้เกิดการใช้ดุลยพินิจที่แตกต่างกันและไม่เป็นเอกภาพ ประกอบกับไม่มีการเผยแพร่หลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติในการจัดสิทธิประโยชน์และสวัสดิการแก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงสำหรับผู้ประกอบกิจการอย่างทั่วถึง ซึ่งหากจะอาศัยแต่เพียงกลไกการตรวจสอบโดยพนักงานตรวจแรงงานคงไม่อาจปกป้องคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กสม. จึงได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนกรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรงต่อคณะรัฐมนตรี
4. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ รง. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้ รง. สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ พม. มท. ยธ. อก. และ สคก. แล้ว เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งมีผลการพิจารณาในภาพรวมสรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะของ กสม.
สรุปผลการพิจารณา
1. ทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ยังมีช่องว่างระหว่างกฎหมายและทางปฏิบัติ โดยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา 11/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ให้มีความชัดเจนทั้งในเรื่องลักษณะความสัมพันธ์ของการจ้างแรงงานในรูปแบบการจ้างเหมาค่าแรง ขอบเขต และมูลเหตุจำเป็นในการจ้างเหมาค่าแรง และหลักเกณฑ์ในทางปฏิบัติ
บทบัญญัติตามมาตรา 11/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีความชัดเจนและไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการตีความตัวบทกฎหมาย จึงยังไม่ควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว แต่ควรนำมาตรา 11/1 เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมายต่อไป และให้กำหนดแนวปฏิบัติหรือมาตรการให้นายจ้าง ลูกจ้าง มีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติตามมาตรา 11/1 มากขึ้น
2. ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของบทกำหนดโทษตามมาตรา 144/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ให้ได้สัดส่วนกับความเสียหายจากการที่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงและผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบกิจการ
บทกำหนดโทษที่กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว เนื่องจากการกำหนดโทษดังกล่าวสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการกำหนดโทษทางอาญาตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องแนวทางการกำหนดโทษตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประกอบกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาห้าปี ทั้งนี้ เมื่อครบรอบกำหนดระยะเวลาที่จะต้องนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทั้งฉบับเข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รง. จะนำข้อเสนอแนะในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 2 (มาตรา 11/1 และมาตรา 144/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายด้วย เพื่อพิจารณาว่าสมควรมีการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่อย่างไรต่อไป
3. เผยแพร่หลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมในการจัดสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติตามมาตรา 11/1 แก่ผู้ประกอบกิจการอย่างทั่วถึงเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงป้องกัน
มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รง. ดำเนินการเผยแพร่แนวปฏิบัติ ตามมาตรา 11/1 ให้หน่วยปฏิบัติ นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง (องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม ฯลฯ) ได้ทราบอย่างทั่วถึงในการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงให้นำไปเขียนไว้ในคู่มือพนักงานตรวจแรงงาน และหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
24. เรื่อง รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยให้ พม. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ได้ประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 และให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบข้อมูลสถานการณ์เกี่ยวกับผู้สูงอายุของประเทศไทย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. บทสรุปผู้บริหารและข้อเสนอแนะ ปี 2562 ประชากรรุ่นเกิดล้าน (คนที่เกิดในช่วงปี 2506-2526) มีอายุ 36-56 ปีแล้ว อีกเพียง 4 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ปี 2566 จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน ในขณะที่จำนวนการเกิดในประเทศไทยปี 2562 ลดต่ำลงเหลือเพียง 6.1 แสนคน ดังนั้น การส่งเสริมและพัฒนากลไกการดำเนินงานด้านสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุให้ดียิ่งขึ้น อาจทำได้โดยดำเนินการตามข้อเสนอแนะสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1.1 ทบทวนและคำนึงถึงความยั่งยืน และภาระทางด้านงบประมาณอย่างจริงจังต่อการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุผ่านโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น การให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่เป็นหนึ่งในสวัสดิการด้านการทำงานและการมีรายได้สำหรับผู้สูงอายุ แม้ว่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากทางการเงินให้แก่ผู้สูงอายุเฉพาะหน้า แต่ขณะเดียวกันความท้าทายของภาระทางด้านงบประมาณของประเทศและวิธีการนำเงินที่ได้รับเพื่อไปสร้างประโยชน์หรือต่อยอดเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาชีพและการดำรงชีวิตส่วนบุคคลในระยะยาวยังเป็นสิ่งที่ภาครัฐและสังคมต้องพิจารณาด้วย
1.2 ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เกี่ยวกับปรัชญาในการจัดสวัสดิการสังคมให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสังคม และมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น ด้วยการก้าวให้พ้นจากแนวคิดที่มุ่งเน้น “การสงเคราะห์” ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเพื่อเดินหน้าไปสู่การยอมรับแนวคิดการจัดสวัสดิการสังคมบนพื้นฐานของ “สิทธิพลเมือง” ดังนั้น ในฐานะที่เป็นพลเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด หรือมีเศรษฐฐานะใดต่างควรมีสิทธิในการเข้าถึงและได้รับการจัดสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน ทั้งจากภาครัฐและทุกภาคส่วนในสังคมอย่างทั่วถึง และถ้วนหน้า
1.3 กระจายความรับผิดชอบในการจัดสวัสดิการสังคมผ่านการสร้าง “หุ้นส่วน” ด้วยการให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในสังคม ทั้งจากครอบครัว อาสาสมัคร ชุมชน ท้องถิ่น สถาบันศาสนา และภาคประชาสังคม รวมถึงภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม การลดบทบาทการเป็น “เจ้าของ” และ การเพิ่มบทบาทการเป็น “เจ้าภาพ” ในการจัดสวัสดิการของรัฐไม่เพียงจะช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐ แต่ยังเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถในการจัดสวัสดิการสังคมของประเทศไทยให้เป็นไปตามแนวนโยบาย “สวัสดิการแห่งรัฐ”
2. ส่วนที่ 1 : สถานการณ์ทั่วไป
หัวข้อ
สาระสำคัญ
สถานการณ์โลก
- ปี 2562 โลกมีผู้สูงอายุครบ 1,000 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรทั้งโลก
- ประชากรโลกกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ช้าลง แต่ประชากรสูงอายุกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ศตวรรษิกชน” หรือคนที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป กำลังมีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างเร็วมาก
สถานการณ์ในภูมิภาค
- ทวีปเอเชียมีผู้สูงอายุมากที่สุด 586 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรทั้งทวีป
- รองลงมาทวีปยุโรปมีผู้สูงอายุ 189 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของผู้สูงอายุทั้งโลก
- อาเซียนมีประชากรสูงอายุ 70 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของประชากรอาเซียน
- ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงสุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 34 จากประชากรทั้งหมด 127 ล้านคน
สถานการณ์ในไทย
- ประชากรผู้สูงอายุไทยมีจำนวน 11.6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.5 ของประชากรทั้งหมด
- ภาคเหนือเป็นภาคที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงสุดถึงร้อยละ 22
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 20
- ภาคกลางและภาคใต้มีอัตราผู้สูงอายุต่ำสุด ร้อยละ 15
- ปี 2565 ไทยจะเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือ มีประชากรสูงอายุร้อยละ 20
- ปี 2576 ไทยจะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด คือ มีประชากรสูงอายุร้อยละ 28
3. ส่วนที่ 2 : สวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรสูงอายุทำให้การจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุกลายเป็นอีกประเด็นที่ท้าทายของสังคมไทย รัฐจึงต้องทำให้คนในสังคมได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Social Welfare for Elderly) จำแนกตามสิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 โดยในปี 2562 มีการดำเนินการ ดังนี้
1) การศึกษา เช่น โรงเรียนผู้สูงอายุ โดยมีการกำหนดเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนรู้ 4 มิติ คือ มิติสุขภาพ มิติสังคม มิติเศรษฐกิจ และมิติสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะที่สถาบัน หน่วยงาน หรือชุมชนจัดตั้งขึ้น โดยมีโรงเรียนผู้สูงอายุ 1,555 แห่งทั่วประเทศ
2) สุขภาพอนามัย เช่น สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง โดยมีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแล จำนวน 219,518 คน
3) สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย มีการปรับปรุงซ่อมบ้านให้แก่ผู้สูงอายุ 3,200 หลัง และสถานที่สาธารณะให้เอื้อต่อการเข้าถึงบริบทของผู้สูงอายุและคนทุกวัย 20 แห่ง
4) การทำงานและการมีรายได้ รัฐบาลออกมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจ้างแรงงานผู้สูงอายุเข้าทำงานมากขึ้น เช่น มีศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) 1,489 แห่ง การสนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุผ่านกองทุนผู้สูงอายุ 8,991 คน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 9.09 ล้านคน การจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 4 พันล้านบาทและสวัสดิการขั้นพื้นฐานอีกรูปแบบหนึ่งคือ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมแห่งชาติ
5) นันทนาการ เป็นบริการที่เกี่ยวกับการสร้างความรู้สึกส่วนหนึ่งของสังคมให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยมีการจัดการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ การส่งเสริมกีฬาสำหรับผู้สูงอายุ และการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ
6) กระบวนการยุติธรรม โดยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งปกป้องและคุ้มครองผู้สูงอายุจากการทารุณกรรม หรือ แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือถูกทอดทิ้ง
7) บริการทางสังคม เช่น การช่วยเหลือการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี การช่วยเหลือผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก อีกทั้งมีกลไกในระดับพื้นที่ให้บริการ คือ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม. เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ) และอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น
4. ส่วนที่ 3 : สถานการณ์เด่นในรอบปี 2562
4.1 คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ได้ประกาศเกียรติคุณยกย่องให้นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ พุทธศักราช 2562 เพื่อเป็นเกียรติและแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่นเจริญรอยตาม
4.2 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศแต่งตั้งศิลปินแห่งชาติเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ จำนวน 12 คน เป็นศิลปินแห่งชาติประจำปี 2562 โดยทั้ง 12 คน เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งควรค่าแก่การศึกษาต่อเยาวชนรุ่นหลัง
4.3 กรอบแนวคิดธนาคารเวลา ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับส่งเสริมให้คนในสังคมดูแลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะดูแลกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้สูงอายุ และเด็ก
4.4 นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) แอปพลิเคชัน เช่น สูงวัย Fighting FFC Airsync 4.0 และ Young Happy และ 2) สิ่งประดิษฐ์ เช่น อุปกรณ์ตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ และรถเข็นแบบปรับยืนได้
4.5 การใช้อินเทอร์เน็ตของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลสูงกว่านอกเขตเทศบาล 3 เท่าตัว ในปี 2561 และในหมู่ผู้สูงอายุที่ใช้อินเทอร์เน็ต มีผู้สูงอายุใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำทุกวันเพิ่มจากร้อยละ 31 ในปี 2551 คิดเป็นร้อยละ 88 ในปี 2561
4.6 ผู้สูงอายุใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น ยูทูป เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม เป็นช่องทางเผยแพร่เรื่องราว ความสามารถ และธุรกิจของตนเอง เช่น “ตาแก้ว ยายเสริม-ตายายสอนหลาน” “ป้าเกษ-สูงวัยลุยไปทั่ว” “ลุงใจกับอ้ายแซม-ศิลปินเพลงพื้นบ้าน” “มนุษย์ต่างวัย” และ “คุณป้าปอมปอม-ครัวมนุษย์ป้า” รวมทั้งมีรายการโทรทัศน์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เช่น “ลุยไม่รู้โรย” “SUPER 60+ ซุปเปอร์ซิกตี้ อัจฉริยะพันธุ์เก๋า” และ “เดอะวอยซ์ ซีเนียร์ The voice senior”
4.7 ภาวะสมองเสื่อมโดยสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยเมื่ออายุเพิ่มขึ้นภาวะสมองเสื่อมเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบว่า ยิ่งอายุยืนมากก็ยิ่งเสี่ยงอาการสมองเสื่อม ไม่ใช่การเจ็บป่วยทั่วไป แต่เป็นการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้น การมีกลไกการดูแลช่วยเหลือในชุมชนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้สูงอายุสมองเสื่อมและผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
4.8 ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน เป็นไปตามแนวคิดของการดูแลระยะกลางมุ่งให้ผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการทำหน้าที่ของร่างกายจากสาเหตุต่าง ๆ ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพในศูนย์บริการที่ดี ตั้งอยู่ในชุมชนใกล้บ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผุ้สูงอายุและครอบครัว ซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชมรมผู้สูงอายุกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
4.9 การดูแลแบบประคับประคองเพื่อผู้ป่วยจากไปอย่างสงบและสมศักดิ์ศรี มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทางร่างกายและจิตใจ จนกระทั่งจากไปอย่างสงบ
4.10 รถพุ่มพวงตลาดที่เคลื่อนเข้าถึงบ้านผู้สูงอายุ คือตลาดเคลื่อนที่ในรูปแบบของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่นำสินค้าอาหารสดและอาหารแห้งนานาชนิดไปยังบ้านของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุอาศัยอยู่ในที่เดิมให้นานที่สุด เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการเดินทางของผู้สูงอายุ
5. ส่วนที่ 4 : งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงอายุไทย ได้แก่ การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การประเมินผลระบบการให้บริการการดูแลระยะกลาง (Intermediate Care) ข้อเสนอการพัฒนาการดำเนินงานส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ และข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาระบบหลักประกันถ้วนหน้าการดูแลระยะยาวในประเทศไทย
25. เรื่อง ผลการพิจารณาการรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถและสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม เห็นว่าระบบการค้าในประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนจากระบบการค้าแบบเดิม (traditional) เป็นระบบการค้ารูปแบบใหม่ (modern trade) โดยมีการพัฒนาของเทคโนโลยีให้เป็นการค้าผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ซึ่งมีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง และมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ จึงมีข้อเสนอแนะว่าควรเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และเพิ่มโอกาสของผู้ผลิต เกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางให้มีช่องทางในการขยายตลาดและเพิ่มรายได้ให้แก่เศรษฐกิจของชุมชน ควรสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยและส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และควรศึกษาติดตามแนวทางการจัดเก็บภาษีรายได้จากการประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีการจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการแพลตฟอร์มต่างประเทศ
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ พณ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
1. พณ. เสนอว่าได้ดำเนินการรวบรวมข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กค. ดศ. อก. สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า สคบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว โดยในภาพรวมไม่มีข้อขัดข้อง แต่มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะฯ
1. การสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย เช่น ควรพิจารณากำหนดแนวปฏิบัติ (Guideline) การประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เพื่อความโปร่งใสและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ
- เห็นว่าการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืนขึ้น อย่างไรก็ดี การกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ควรตั้งอยู่บนหลักไม่เลือกปฏิบัติและใช้บังคับเป็นการทั่วไปทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
2. การแก้ไขกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เช่น ปรับปรุงพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และพิจารณายกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามความมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2562
- เห็นว่าการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์อาศัยอำนาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ควรตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติและหลีกเลี่ยงการออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างภาระให้กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) อยู่ระหว่างการศึกษากฎหมายของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล Digital Service Platform รวมถึง e-Commerce Platform ทั้งนี้ หากมีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พณ. โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีความเห็นว่า 1) การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการควรเป็นการรับแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และให้มีการต่ออายุการประกอบธุรกิจ และไม่ควรมีค่าธรรมเนียมในการขึ้นทะเบียนเพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน 2) ช่องทางการขึ้นทะเบียนและต่ออายุการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 3) กรณีผู้ประกอบการไม่แจ้งการขึ้นทะเบียนจะไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
3. การส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคนไทย เช่น สนับสนุนและส่งเสริมแพลตฟอร์มของคนไทยทั้งที่เป็นแพลตฟอร์มกลาง โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
- ปัจจุบันได้มีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME โดยมีข้อสังเกตดังนี้
1. การอบรม SME ให้ความรู้เรื่อง e-Commerce บางหลักสูตรมีผู้เรียนที่มีศักยภาพต่างกันเข้ามาเรียนร่วมกันทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่เท่าทันกัน ผู้เรียนบางคนก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ด้วยตัวเอง
2. การอบรม SME ให้ความรู้เรื่อง e-Commerce ควรได้มีการติดตามผลว่า SME แต่ละรายเมื่อนำสินค้าขึ้นขายของในออนไลน์แล้วสามารถขายได้จริงหรือไม่
3. การที่ยอดขาย e-Commerce ของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีการติดตามว่าการขายของที่เป็นสินค้าไทยหรือของ SME มีสัดส่วนเท่าไร เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตของยอดขายที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย
4. การจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศ เช่น ควรมีการศึกษาและติดตามแนวทางการจัดเก็บภาษีรายได้จากการประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากองค์การระหว่างประเทศ
- กค. โดยกรมสรรพากรได้เข้าร่วมการประชุม Inclusive Framework on BEPS (Inclusive Framework) ของ OECD และ G20 เพื่อร่วมกันกับประเทศสมาชิกจำนวน 137 ประเทศ เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการในเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เมื่อได้ข้อยุติแล้ว จะนำมาพิจารณาแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติระหว่างประเทศต่อไป ทั้งนี้ ประเด็นการจัดเก็บรายได้กรณีการนำเข้าสินค้าผ่านแดนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท นั้น กค. โดยกรมศุลกากรอยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางและรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
- กลไกการคุ้มครองผู้บริโภค ปัจจุบันการซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้บริโภค เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจบางส่วนมีเว็บไซต์อยู่ต่างประเทศ การนำสินค้ามาขายไม่มีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ ไม่ทราบแหล่งที่มาของสินค้า จึงมีความยุ่งยากในการสืบสวนและติดตามผู้ประกอบธุรกิจมาแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ จึงเห็นควรมีกลไกการแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ดังนี้
1.) สร้างความรับรู้ให้กับร้านคู่ค้าเกี่ยวกับแนวทางการโฆษณาส่งเสริมการขายทางสื่ออินเทอร์เน็ตและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
2.) จัดทำฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน OCPB CONNECT เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ
3.) การบังคับใช้กฎหมาย โดยใช้กลไกการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจนได้ข้อยุติ และดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเปรียบเทียบปรับความผิดทางอาญา รวมทั้งดำเนินคดีแพ่งแทนผู้บริโภค
4.) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยจัดทำฐานข้อมูลและข่าวสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้บริโภคผ่านช่องทางหลากหลาย เช่น Facebook, Line, Website และ YouTube เป็นต้น
26. เรื่อง การเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ผู้รับสัมปทานจะส่งมอบให้รัฐบาลไทยเมื่อสิ้นอายุสัมปทาน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ รับทราบ และอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2526/23 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC ที่ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุ 2. รับทราบรายงานผลการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติ
3. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะเป็นคู่สัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นผู้ให้ความเห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้ง รวมทั้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีของสัมปทานปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดในอนาคตได้ตามที่เห็นสมควร และให้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินการตามสัมปทานปิโตรเลียมนี้
เรื่องเดิม
1. กระทรวงอุตสาหกรรม (หน่วยงานที่ออกสัมปทานในขณะนั้น ปัจจุบันคือ กระทรวงพลังงาน) โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2525 ได้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2526/23 เพื่อสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC (บริเวณจังหวัดกำแพงเพชรและสุโขทัย) ให้แก่บริษัท MGF Oil Corporation เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2526 และได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือสิทธิ ประโยชน์ และพันธะในสัมปทาน และจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็นลำดับ ปัจจุบันมีผู้ถือสิทธิฯ ในสัมปทาน ดังนี้
ซิโน-ยู. เอส. ปิโตรเลียม อิงค์ ร้อยละ 33.33 (ผู้ดำเนินงาน)
บริษัท Central Place Company Ltd. ร้อยละ 33.33
บริษัท ไทย ออฟชอร์ ปิโตรเลียม จำกัด ร้อยละ 16.67
บริษัท Sino Thai Energy Ltd. ร้อยละ 16.67
ปัจจุบันสัมปทานปิโตรเลียมดังกล่าวอยู่ในช่วงต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม 10 ปี โดยมีระยะเวลาการผลิตที่ได้รับการต่อตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2554 จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2564 (ซึ่งเป็นวันสิ้นอายุสัมปทาน)
2. ตามข้อกำหนดในสัมปทานข้อ 15 (4) ประกอบกับข้อ 22 แห่งกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ซึ่งกรณีแปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC กำลังจะสิ้นอายุสัมปทานในวันที่ 11 เมษายน 2564 และพื้นที่ตามสัมปทานดังกล่าวยังคงมีศักยภาพปิโตรเลียมอยู่ กระทรวงพลังงานจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกรับมอบทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่มีอยู่เดิมที่ยังใช้ประโยชน์ได้เพื่อการประกอบกิจการปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าวหลังสิ้นอายุสัมปทาน เพื่อให้มีการดำเนินการนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เนื่องจากแปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC มีประเด็นที่ต้องดำเนินการตรวจสอบเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินที่อยู่ในข่ายต้องส่งมอบให้กับรัฐบาล ก่อนที่จะดำเนินการตามข้อกำหนดข้อ 22
แห่งกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ที่กำหนดให้แจ้งผู้รับสัมปทานทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสองปีก่อนสิ้นระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่ได้รับการต่อว่ามีสิ่งติดตั้งใดที่รัฐจะรับมอบและให้ผู้รับสัมปทานส่งมอบสิ่งติดตั้งดังกล่าวให้แก่รัฐโดยไม่คิดมูลค่าภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานผู้รับมอบกับผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ดังนั้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมากระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เร่งดำเนินการแก้ไขประเด็นเกี่ยวกับรายการที่ดินที่ผู้รับสัมปทานได้ใช้ประโยชน์เพื่อทำการผลิตปิโตรเลียม แต่ยังมิได้ดำเนินการขอถือครองกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาโดยตลอด โดยให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากเจ้าของที่ดินที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้แล้ว เพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทานอย่างสมบูรณ์ และให้สามารถดำเนินการส่งมอบที่ดินนั้นให้แก่รัฐได้เมื่อสิ้นอายุสัมปทาน และผู้รับสัมปทานได้ดำเนินการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อเดือนธันวาคม 2563
4. ตามข้อกำหนด ข้อ 22 แห่งกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ที่กำหนดให้ผู้รับสัมปทานส่งมอบสิ่งติดตั้งดังกล่าวให้แก่รัฐโดยไม่คิดมูลค่าภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานผู้รับมอบกับผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจึงได้จัดทำร่างข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้งโดยได้มีการหารือร่วมกับผู้รับสัมปทาน และจะได้นำร่างข้อตกลงที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการปิโตรเลียมนำส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนลงนามในข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้งกับผู้รับสัมปทานต่อไป
5. กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อสรรหาผู้ดำเนินการรายใหม่ โดยการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ได้พิจารณาการเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ผู้รับสัมปทานจะต้องส่งมอบให้รัฐบาลไทยเมื่อสิ้นอายุสัมปทาน (สำหรับสัมปทานปิโตรเลียมของแหล่งก๊าซธรรมชาติกลุ่มเอราวัณและกลุ่มบงกช) โดยมีมติให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเร่งทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติ โดยควรกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
สาระสำคัญ
1. การดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน
1.1โดยที่กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะส่วนราชการในการกำกับดูแลการประกอบกิจการปิโตรเลียมภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พิจารณาเห็นว่า พื้นที่ตามสัมปทานปิโตรเลียมดังกล่าวยังคงมีศักยภาพปิโตรเลียมอยู่ และเพื่อให้มีการดำเนินการที่สามารถนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงได้ดำเนินการพิจารณาและศึกษาเพื่อเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งในกรณีที่รัฐเห็นสมควรนำสิ่งติดตั้งทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปใช้ประโยชน์ต่อไปตามข้อกำหนดในสัมปทาน ข้อ 15 (4) และข้อ 22 แห่งกฎกระทรวงฯ โดยได้วิเคราะห์ถึงความแข็งแรงปลอดภัยของสิ่งติดตั้ง และยังคงมีศักยภาพสำหรับการผลิตและสนับสนุนการผลิตปิโตรเลียม โดยได้นำเสนอรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และจำเป็นต่อการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่ผู้รับสัมปทานจะต้องส่งมอบให้แก่รัฐดังกล่าวต่อคณะกรรมการปิโตรเลียมพิจารณากลั่นกรองและให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมีประเด็นดังนี้
1) รายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2526/23 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC ที่ต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุตามที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ กลั่นกรองมา
2) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะเป็นหน่วยงานของรัฐผู้รับมอบตามข้อ 22
แห่งกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 และเป็นผู้ดูแลรักษาและบริหารทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งดังกล่าวเป็นการใช้ประโยชน์ ในกิจการปิโตรเลียมในอนาคตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ที่ได้อนุมัติกรอบแนวปฏิบัติ ในการรับมอบทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งสำหรับสัมปทานอื่นที่จะสิ้นอายุในอนาคต โดยให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นหน่วยงานของรัฐผู้รับมอบ ทั้งนี้ แนวทางการดูแลและบริหารทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่จะตกเป็นของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (เรื่องเสร็จที่ 176/2564 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564) ได้ตีความเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมโดยสรุปได้ว่า ทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมที่ตกเป็นของรัฐไม่เป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 เนื่องจากทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมนอกเหนือจากที่ดินไม่มีลักษณะเป็นการปลูกสร้างติดอยู่กับที่ดินอย่างถาวรจึงไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่ดินที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมให้กระทรวงพลังงานในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจโดยตรงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมถือกรรมสิทธิ์ไว้เพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์เท่านั้น และเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินดังกล่าวนั้นในการประกอบกิจการปิโตรเลียมอีกต่อไปแล้ว กระทรวงพลังงานมีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินและส่วนควบของที่ดินให้กระทรวงการคลังเป็นที่ราชพัสดุต่อไป
3) สำหรับรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่รัฐเลือกรับมอบมาข้างต้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะต้องทำข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้งกับผู้รับสัมปทานตามข้อ 22 แห่งกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีการหารือร่วมกันกับผู้รับสัมปทานในการจัดทำร่างข้อตกลงดังกล่าว และได้นำร่างข้อตกลงที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการปิโตรเลียมเสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา และเมื่อผ่านการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในฐานะหน่วยงานผู้รับมอบจะได้ลงนามในข้อตกลงรับมอบสิ่งติดตั้งกับผู้รับสัมปทานต่อไป
1.2 สำหรับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาประกอบเพื่อทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติ โดยได้ดำเนินการ ดังนี้
1) ดำเนินการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังโดยได้หารือกับกรมธนารักษ์และกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติและการดำเนินงานสำหรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่รัฐรับมอบมา
2) รับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบในการดำเนินการตรวจสอบสภาพและความพร้อมของทรัพย์สินและสิ่งติดตั้งที่จะนำไปใช้ในปี 2565 โดยจะคำนึงถึงความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ ความแข็งแรงปลอดภัยตามหลักวิศวกรรม และการใช้ประโยชน์ในอนาคตประกอบด้วย
3) ดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียม โดยมีการศึกษาข้อมูลของประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบสัมปทาน เพื่อทำการเทียบเคียง จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวบรวมและศึกษาข้อมูล อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปฏิบัติและดำเนินการเกี่ยวกับสัมปทานอื่นที่จะสิ้นอายุ ซึ่งคือสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2526/23 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC ที่นำเสนอในครั้งนี้ สามารถดำเนินการได้ทันการก่อนสัมปทานสิ้นอายุ จึงได้มีการหารือต่อคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการปิโตรเลียม และคณะกรรมการปิโตรเลียม เพื่อให้พิจารณากลั่นกรองและให้คำแนะนำแก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติที่จะนำไปกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
3.1) ประเด็นแนวทางปฏิบัติในกระบวนการจัดทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐผู้รับมอบกับผู้รับสัมปทาน ซึ่งได้แก่ ขั้นตอนการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ขั้นตอนการลงนาม ในข้อตกลงการ ส่งมอบสิ่งติดตั้ง และการตรวจสภาพอุปกรณ์และสิ่งติดตั้ง
3.2) ประเด็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัมปทานข้อ 15 (4) และข้อกำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559
3.3) การใช้สิทธิตามมาตรา 69 และมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายหลังสัมปทานสิ้นอายุ
3.4) ประเด็นอำนาจหน้าที่ผู้อนุมัติอนุญาตเกี่ยวกับการดำเนินงาน ของสัมปทานที่จะสิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนสิ่งติดตั้ง
3.5) ประเด็นการพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงานการรื้อถอนเบื้องต้นและประมาณการค่าใช้จ่ายของแหล่งก๊าซธรรมชาติกลุ่มเอราวัณและกลุ่มบงกชจะมีผลกระทบต่อการดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับผู้รับสัมปทาน
27. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 10) ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ในประเทศ
การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 สำนักงานฯ ได้จัดการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปเป็นคราวที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยมีเหตุผลและความจำเป็น ตามสรุปผลการประชุม ดังนี้
1. ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ในภาพรวมทั่วโลกยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายภูมิภาค โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมประมาณ 120 ล้านคน ทั่วโลก และปัจจุบันมีความน่ากังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ชนิดกลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักรซึ่ง
มีความรุนแรงสามารถแพร่ระบาดได้ง่าย และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสายพันธุ์เดิมประมาณร้อยละ 30 นอกจากนี้ สถานการณ์ในหลายประเทศมีการเตรียมประกาศปิดเมือง (Lock Down) เพิ่มเติมเพื่อควบคุมสถานการณ์ในห้วงเทศกาลอีสเตอร์ในช่วงต้นเดือนเมษายน เช่น ประเทศอิตาลี และประเทศญี่ปุ่นมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณกรุงโตเกียวและพื้นที่โดยรอบ
2. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด –19) ในประเทศ
เพื่อนบ้านของไทย แม้ว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงแต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ เนื่องจากในประเทศกัมพูชายังพบ ผู้ติดเชื้อในจังหวัดพระสีหนุและบริเวณชายแดนติดกับเวียดนามอีกทั้งตรวจพบชาวกัมพูชาที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ติดเชื้อโควิด – 19 นอกจากนี้ สถานการณ์ในประเทศเมียนมาภายหลังการรัฐประหารทำให้มีการชุมนุมเพื่อประท้วงรัฐบาล รวมถึงมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่และการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้มีผู้ลักลอบข้ามแดนมายังประเทศไทยในเดือนมีนาคมสูงขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ อีกทั้งการผละงานเพื่อประท้วงรัฐบาลของบุคลากรด้านสาธารณสุขของเมียนมาทำให้ไม่สามารถตรวจสอบจำนวนผู้ติดเชื้อที่แน่นอนได้ ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย แม้ว่าสถานการณ์โดยภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อใน 4 รัฐ ที่ติดกับชายแดนประเทศไทยยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้น
3. สถานการณ์ในประเทศไทยห้วงเดือนมีนาคมยังคงพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) หลายจุด ที่สำคัญได้แก่ ตลาดบางแค ตลาดพรพัฒน์ และตลาดสุชาติ ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศในแหล่ง ที่พักอาศัยและในชุมชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในประเทศอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อในหลายพื้นที่เป็นวงกว้าง นอกจากนี้ แม้ว่าในหลายประเทศ รวมถึง
ประเทศไทยจะมีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้ว แต่จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่าการได้รับวัคซีนไม่สามารถป้องกัน การติดเชื้อ เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ไม่รุนแรงหรืออาจไม่แสดงอาการแต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้
4.มติของที่ประชุม ที่ประชุมมีความเห็นพ้องกันว่ายังมีความจำเป็นจะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไป เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติแจ้งความประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก และจะมีการเดินทางข้ามจังหวัดในห้วงวันหยุดยาว ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคมเพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการปฏิบัติงานให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างเพียงพอในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 1) การเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเพื่อหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ 2) การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศได้อย่างรวดเร็วและเท่าทันต่อสถานการณ์ และ 3) การคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยในระบบสาธารณสุขของประเทศเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ควบคู่กับการเตรียมผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ด้านการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ
5. สำนักงานฯ ได้นำผลการประชุมดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 4/2564 ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 เพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
28. เรื่อง รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ความเสี่ยงทางการคลังจากภาครัฐบาล
1.1 ด้านรายได้
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาล โดยผลการจัดเก็บรายได้สุทธิในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 2,391,570 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563) ต่ำกว่าปีก่อนร้อยละ 6.80 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ภาษีที่ลดลง ในขณะที่รายได้ของหน่วยงานอื่นและเงินนำส่งของรัฐวิสาหกิจยังคงขยายตัวจากปีก่อน
2) สัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) 3 ปี ของสัดส่วนดังกล่าวลดลงจากร้อยละ 16.51 ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2556 เหลือร้อยละ 15.30 ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2563 และยังคงมีแรงกดดันต่อเนื่องในระยะสั้นจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
3) การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลยังคงมีแรงกดดันจากผลประกอบการในปี 2563 ที่จะใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในปีงบประมาณ 2564 และการนำผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นไปหักค่าใช้จ่ายสำหรับการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้า (Loss Carry Forward) รวมถึงแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกในการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล หากต่างประเทศมีนโยบายปรับลดอัตราเพิ่มเติมในอนาคต
4) การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษียาสูบและรายได้นำส่งคลังของโรงงานยาสูบมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
5) การจัดเก็บภาษีจากฐานรายได้อยู่ในระดับต่ำ โดยสัดส่วนภาษีจากฐานรายได้ต่อ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาษีจากฐานบริโภคขยายตัวใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สัดส่วนภาษีจากฐานรายได้ต่อภาษีจากฐานบริโภคของประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ สะท้อนถึงกลไกการกระจายรายได้และการสร้างเสถียรภาพในตัวเอง (Automatic Stabilizer) ของระบบภาษีของประเทศไทยที่อาจไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
1.2 ด้านงบประมาณรายจ่าย
1) อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 อยู่ที่ร้อยละ 92 ซึ่งลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้เพียงร้อยละ 66.28
2) สัดส่วนรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการบุคลากรภาครัฐและสวัสดิการสำหรับประชาชนทั่วไปที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย และรายจ่ายดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความจำเป็นในการกู้เงินของรัฐบาล
3) จากแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework: MTFF) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2568 รัฐบาลวางแผนในการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องในอีก 5 ปีงบประมาณข้างหน้า โดยกำหนดให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีขยายตัวในระดับต่ำที่เฉลี่ยร้อยละ 1.40 ต่อปี ซึ่งอาจส่งผลให้เม็ดเงินรายจ่ายลงทุนปรับตัวลดลง
1.3 ฐานะการคลังและหนี้สาธารณะ
1) รายได้รัฐบาลที่ลดลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ ทั้งสิ้น 822,533 ล้านบาท โดยระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 572,104 ล้านบาท สะท้อนถึงระดับกระแสเงินสดสำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของการจัดเก็บรายได้รัฐบาลท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาจสร้างความตึงตัวด้านสภาพคล่องทางการคลัง
2) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 49.34 จากความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. กู้เงินฯ) อย่างไรก็ดี ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ตาม MTFF ปีงบประมาณ 2565 - 2568 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 58.72 แต่ยังคงไม่เกินร้อยละ 60 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ทั้งนี้ ประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทั้งจากเม็ดเงินของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามระดับหนี้ และจากความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ลดลง
1.4 ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตการคลัง
ณ สิ้นปีไตรมาส 3 ปี 2563 ดัชนีรวมเตือนภัยทางการคลังภายใต้แบบจำลองระบบสัญญาณเตือนภัยทางการคลัง (Fiscal Early Warning System) มีค่าสูงขึ้นมาอยู่ที่ 2.47 แต่ยังอยู่ในระดับปกติ สอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่มีการปรับมุมมอง (Outlook) ลงจากเชิงบวก (Positive) เป็นมีเสถียรภาพ (Stable) นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยในปี 2563 ที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง สะท้อนถึงสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ที่ยังอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
1.5 ข้อเสนอแนะ
1) ข้อเสนอระยะสั้นถึงปานกลาง
1.1) รัฐบาลจะต้องพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างสภาพคล่องเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของการจัดเก็บรายได้รัฐบาลที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องในอนาคต ประกอบการติดตามและประเมินการจัดเก็บรายได้และฐานะการคลัง
1.2) รัฐบาลควรพิจารณาชะลอการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณต่าง ๆ โดยให้เบิกจ่ายเท่าที่จำเป็นต้องใช้จ่ายจริง และพิจารณาอนุมัติการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เท่าที่จำเป็น โดยพิจารณาใช้แหล่งเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ เป็นลำดับแรก
1.3) รัฐบาลควรติดตามสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งพิจารณามาตรการรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ภาครัฐ
1.4) รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระดอกเบี้ยอย่างพอเพียง เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล
1.5) รัฐบาลควรมีการติดตามและประเมินสถานการณ์การบริโภคยาสูบประกอบการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราภาษีและการจัดทำประมาณการรายได้รัฐบาล รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับการบริโภคยาสูบที่ผิดกฎหมาย
2) ข้อเสนอระยะปานกลางถึงระยะยาว
2.1) รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างภาษี และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อ GDP ของรัฐบาล รวมถึงเพิ่มสัดส่วนภาษีฐานเงินได้ให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างกลไกการกระจายรายได้และการสร้างเสถียรภาพในตัวเอง (Automatic Stabilizer) ของระบบภาษีของประเทศไทย
2.2) รัฐบาลควรพิจารณาปฏิรูประบบสวัสดิการสำหรับประชาชน โดยบูรณาการข้อมูลและการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดทำสวัสดิการระหว่างหน่วยงาน และเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของงบประมาณด้านสวัสดิการสำหรับประชาชน
2.3) รัฐบาลควรพิจารณาขับเคลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐที่ไม่เป็นภาระงบประมาณ เพื่อให้โครงการลงทุนภาครัฐยังสามารถเป็นเครื่องกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
2. ความเสี่ยงทางการคลังจากภาคอื่น ๆ ที่ควรติดตาม
2.1 ระดับเงินกองทุนประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปรับลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้าง และการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รวมถึงยังมีแรงกดดันในอนาคตจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ของประเทศไทย
2.2 การชะลอการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยของกองทุนผู้สูงอายุ เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของกองทุนผู้สูงอายุที่มีแหล่งเงินหลักมาจากภาษีสุราและยาสูบไม่เพียงพอ
2.3 ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) (รัฐวิสาหกิจฯ) ที่ลดลง และคาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัวในระยะสั้นถึงปานกลาง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเงินนำส่งรายได้แผ่นดินของ รัฐวิสาหกิจฯ ในปี 2564
2.4 ระดับหนี้เสียของภาคการเงินทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) และธนาคารพาณิชย์ที่อาจปรับตัวสูงขึ้น หลังจากมาตรการพักต้นเงิน ลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19 สิ้นสุดลงในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 เป็นต้นไป
2.5 ผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ที่มีการกำหนดให้รัฐบาลต้องชดเชยความเสียหายบางส่วน
2.6 การเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (Thai Financial Reporting Standards 9: TFRS 9) ในกรณีของ SFIs ซึ่งกระทรวงการคลังมีนโยบายเลื่อนการปฏิบัติตามมาตรฐาน TFRS 9 ออกไปจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2568
2.7 รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
29. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) และพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ พิจารณาความเหมาะสมของการขอยกเลิกโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ และพิจารณาจัดทำคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 รวมทั้งการรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสำนักงาน ป.ป.ช. เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาตามมาตรา 8 (1) ของพระราชกำหนดฯ ข้อ 18 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการ ตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ) และมาตรา 4 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. อนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงินรวม 3,752.7050 ล้านบาท (ปรับลดจากข้อเสนอ จำนวน 90.5600 ล้านบาท) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.3 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนด ฯ ประกอบด้วย ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 3,652.385 ล้านบาท (ปรับลด 80.0000 ล้านบาท) และค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 100.3200 ล้านบาท (ปรับลด 10.5600 ล้านบาท) ทั้งนี้ สำหรับค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เบิกจ่ายได้ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและไม่ให้ถัวจ่ายกับรายการอื่น
2. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งพิจารณาจัดหาแหล่งเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัคซีนโควิด - 19 ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2564 ที่เหมาะสม โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ให้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการฯ ที่มีข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอ เสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับกรอบระยะเวลาการดำเนินการตามพระราชกำหนดฯ ซึ่งจะช่วยให้การจัดหาวัคซีนโควิด - 19 ของประเทศเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
3. อนุมัติโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการจ่ายค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้กับ อสม. ในการสนับสนุนการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโควิด - 19 ที่ยังคงแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน - มิถุนายน 2564) กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 1,575.4590 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ และมีระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการฯ 4 เดือน (เมษายน - กรกฎาคม 2564) พร้อมทั้งเห็นควรมอบหมายให้ สธ. เร่งพิจารณาฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้ครอบคลุม อสม. และ อสส. ทุกราย เพื่อลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ของ อสม. และ อสส. ต่อไป
4. มอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ 1 และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ 3 และดำเนินการ ดังนี้
4.1 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) สามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
4.2 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหาอุปสรรค ในระบบ eMENSCR และจัดส่งให้ สบน. ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลัง (กค.) กำหนดภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
4.3 ประสานกับ กค. ในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
5. อนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน (ระยะที่ 2) โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนของโครงการฯ จากเดือนมีนาคม 2564 เป็น เดือนเมษายน 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ของกรมบัญชีกลาง ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการฯ โดยเคร่งครัดต่อไป
6. อนุมัติให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19 โดยการปรับแผนการดำเนินโครงการจากเดิมกำหนดดำเนินการในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2564 (มกราคม - มีนาคม 2564) เป็นดำเนินการในไตรมาสที่ 2 – 3 ของปีงบประมาณ 2564 (มกราคม - มิถุนายน 2564) ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมการพัฒนาชุมชน เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการฯ โดยเคร่งครัดต่อไป
7. อนุมัติให้จังหวัดอุดรธานี ยุติการดำเนินโครงการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูภายหลังการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid - 19) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งเห็นควรให้จังหวัดอุดรธานีเร่งดำเนินการตามข้อ 19 และข้อ 20 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป
8. รับทราบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น : ระดับพื้นที่ วงเงิน 45,000 ล้านบาท และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือการเสนอโครงการฯ รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการโดยเคร่งครัด
9. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของคณะกรรมการฯ
สาระสำคัญ
1. โครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
1) หน่วยรับผิดชอบ สปสช.
2) วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ สถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนไทยทุกสิทธิ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน 2564
3) กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนไทยประมาณ 67 ล้านคน หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่จัดบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ให้บริการสาธารณสุขทั่วประเทศ
4) ระยะเวลาดำเนินงาน 8 เดือน (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน 2564)
5) แผนการดำเนินงาน สปสช. จะจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสถานพยาบาลอื่น ตามจำนวนผลงานบริการจริงที่เกิดขึ้น ภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข แนวทางที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประกาศกำหนด
6) ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ช่วยลดงบประมาณในภาพรวมด้านการรักษาพยาบาล เนื่องจากเป็นโครงการที่ทำให้เกิดการบริการตรวจคัดกรอง รวมทั้งสนับสนุนให้ประชาชนได้รับวัคชีนโควิด – 19 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต้นทุนบริการน้อยกว่าการรักษาเมื่อป่วยแล้ว ทั้งนี้ ยังสร้างความมั่นใจกับประชาชนที่จะได้รับวัคซีนโควิด – 19 หากภายหลังการรับวัคซีนโควิด - 19แล้วเกิดผลกระทบข้างเคียงที่รุนแรง จะได้รับเงินเยียวยาช่วยเหลือ
2. โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฎิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน
วัตถุประสงค์
1) เพื่อส่งเสริม สนับสนุนบทบาทของ อสม. ในการสื่อสารให้ความรู้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงสำรวจและติดตามอาการประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนในชุมชน
2) เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการสนับสนุนบทบาท อสม. ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และช่วยเหลือ เยียวยา พื้นฟูทางด้านจิตใจแก่ประชาชนในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน
3) เพื่อสนับสนุนบทบาท อสม. ในการจัดกระบวนการ พัฒนาบทบาทของประชาชน/ชุมชนในการสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในการปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และร่วมสร้างตำบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยโควิด - 19
กลุ่มเป้าหมาย กลุ่ม อสม. 1,039,729 คน และ อสส. 10,577 คน รวมทั้งสิ้น 1,050,306 คน ที่มีสิทธิรับค่าป่วยการในการปฏิบัติหน้าที่
ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1) หมู่บ้าน/ชุมชน มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน และคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประชาชนในชุมชนได้รับการดูแลโดย อสม.
2) ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
3) ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนในชุมชน ได้รับการติดตาม ดูแล และสังเกตอาการข้างเคียง
4) ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องในการป้องกันตนเอง ให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่
5) ประชาชนได้รับการสำรวจ คัดกรองด้านสุขภาพจิต และได้รับการเยียวยาฟื้นฟูด้านสุขภาพใจอย่างเหมาะสม
30. เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนในธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลตามการพิจารณาของคณะกรรมการท่าเรือแห่งประเทศไทยในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยเสนอ ดังนี้
(1) ให้ท่าเรือกรุงเทพปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้าผ่านท่าเรือกรุงเทพในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2564 รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นจำนวนเงินประมาณ 5.280 ล้านบาท
(2) ให้ท่าเรือแหลมฉบังชดเชยค่ายกขนตู้สินค้าให้แก่เอกชนผู้ประกอบการนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยจ่ายส่วนลดคืนในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2564 รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นจำนวนเงินประมาณ 384 ล้านบาท
และให้ คค. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินการและประโยชน์ที่ผู้ประกอบการส่งออกรายย่อยได้รับ รวมทั้งหาข้อยุติเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ฯ ตามที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเสนอ เป็นการดำเนินการตามที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกับกรมการค้าภายใน และคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว
ต่างประเทศ
31. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างที่ 4 – 5 กุมภาพันธ์ 2564 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว [คณะรัฐมนตรีมีมติ (2 กุมภาพันธ์ 2564) เห็นชอบร่างปฏิญญาพนมเปญมุ่งสู่การท่องเที่ยวของอาเซียนที่ยั่งยืน ครอบคลุมและฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้นและเห็นชอบร่างแถลงข่าวการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนที่เกี่ยวข้อง และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ฉบับ] โดยมีผลการประชุมที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
การประชุม
สาระสำคัญ
รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ 24
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม จำนวน 2 ฉบับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ปฏิญญาพนมเปญฯ : การมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานร่วมกัน เช่น (1) ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีความรับผิดชอบ และครอบคลุม โดยให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย กลุ่มเสี่ยงและชุมชน อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (2) ยกระดับการสร้างขีดความสามารถ ในการเข้าถึงหลักสูตรการเพิ่มพูนทักษะและการสร้างทักษะใหม่ที่ดีขึ้น รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและเครือข่ายการวิจัยระดับภูมิภาคสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในสาขาต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
- แถลงข่าวร่วมการประชุมฯ : เช่น (1) การรับทราบว่าภาคการท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ประมาณร้อยละ 75.8 และการเดินทางขาเข้าระหว่างประเทศลดลงประมาณร้อยละ 80.5 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 (2) การจัดทำแผนบรรเทาผลกระทบและการดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากโควิด-19 และมีการรับรองแผนงานภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียนฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2559 – 2568 (3) การขยายการเป็นประธานอาเซียนด้านการท่องเที่ยวของราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) ไปถึงเดือนมกราคม 2565 เพื่อให้กัมพูชาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียนในปี 2565
รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม (สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี) ครั้งที่ 20
ที่ประชุมได้รับรองแถลงข่าวร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม โดยมุ่งเน้นไปที่การดำเนินโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ ได้ให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ปี 2564 – 2568 (2) การเลื่อนกิจกรรมของปี 2563 ไปจัดในปี 2564 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการสัมมนาการลงทุนด้านการท่องเที่ยวอาเซียน – จีน
รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย ครั้งที่ 8
ที่ประชุมได้รับรองแถลงข่าวร่วมฯ เช่น (1) รับทราบสถิตินักท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกอาเซียนเดินทางไปยังสาธารณรัฐอินเดีย จำนวน 930,339 คน คิดเป็นร้อยละ 8.51 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดและมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมายังประเทศสมาชิกอาเซียน ประมาณ 4.7 ล้านคน ในปี 2562 (2) การยกระดับความร่วมมืออาเซียน – อินเดีย ด้านการท่องเที่ยวภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและอินเดียว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และดำเนินกิจกรรมที่เข้มข้นเพื่อฟื้นฟูกิจกรรมการท่องเที่ยวภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
เอกสารผลลัพธ์การประชุมต่าง ๆ ที่ได้มีการรับรองในที่ประชุมฯ มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากร่างเอกสารที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 มีเพียงการปรับหรือเพิ่มถ้อยคำให้กระชับและ ตรงประเด็นมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเข้าร่วมการประชุมฯ คือ (1) รับทราบนโยบาย ข้อมูล ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนเพื่อนำไปปรับใช้กับการจัดทำแผนงานโครงการต่าง ๆ ตลอดจนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและการตลาดการท่องเที่ยว และ (2) การร่วมหารือการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนหรือถึงแนวทางการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนให้สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” ด้วยการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การพัฒนาทุนมนุษย์ และการปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานให้เข้มแข็งเพื่อต่อยอดการพัฒนา
32. เรื่อง ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20 และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุม สภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. แถลงการณ์เอมิเรตส์ มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มประเด็น ได้แก่ (1) ความร่วมมือของประเทศสมาชิกในการต่อต้านการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรง (2) รายละเอียดเรื่อง การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศสำหรับสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียที่มาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาสำคัญและประเด็นคาบเกี่ยว (3) การเพิ่มประเทศที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการค้นหาและช่วยเหลือของมหาสมุทรอินเดีย [ได้แก่ สาธารณรัฐอินเดียและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ (มัลดีฟส์) เป็นลำดับที่ 14 และ 15] และบันทึกความเข้าใจเรื่องวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มัลดีฟส์ และมาเลเซีย เป็นลำดับที่ 13 14 และ 15) และ (4) การระบุถึงบทบาทของประเทศหุ้นส่วนคู่เจรจา เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ประกาศจะให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1.2 ล้านยูโร เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาความมั่นคงและปลอดภัยทางทะเล และเศรษฐกิจภาคทะเล
2. ถ้อยแถลงของผู้แทนประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการขยายความร่วมมือใน 3 ประเด็น ได้แก่ (1) ความเชื่อมโยงทางทะเลในทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบและดิจิทัล (2) การทำประมงอย่างยั่งยืน และ (3) การเชื่อมโยงการดำเนินกิจกรรมในสาขาเศรษฐกิจภาคทะเลกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
การดำเนินการตามแถลงการณ์เอมิเรตส์มีส่วนสำคัญต่อการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และการลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งจะทำให้เกิดความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางทะเล การบริหารจัดการด้านประมงที่มีประสิทธิภาพ ช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม การอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน และการส่งเสริมบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี ดังนั้น จึงมีประเด็นมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
33. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี บิมสเทค ครั้งที่ 17 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17 ประมวลความคืบหน้าของ การขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบบิมสเทค โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. สร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่บิมสเทคตามมติการประชุมผู้นำครั้งที่ 4 เมื่อปี 2561 ด้วยการร่วมกันพิจารณาร่างกฎบัตรบิมสเทคเพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้นำบิมสเทคครั้งที่ 5 รับรองโดยการรับรองกฎบัตรดังกล่าวจะยกระดับให้บิมสเทคมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศในระดับรัฐบาล (Inter-governmental organization) โดยจะกำหนดวัตถุประสงค์ หลักการ กลไกการดำเนินงาน สิทธิและหน้าที่ของรัฐสมาชิก การบริหารจัดการงบประมาณ และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีได้รับรองการแต่งตั้งเลขาธิการบิมสเทค คนใหม่ที่ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563
2. จัดหมวดหมู่สาขาความร่วมมือจาก 14 สาขาเป็น 7 เสา โดยให้ประเทศสมาชิกเป็นประเทศนำ (Lead Country) ในแต่ละเสา ได้แก่ เสาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร (เมียนมา) เสาความเชื่อมโยง (ไทย) เสาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ (ภูฏาน) เสาการค้า การลงทุนและการพัฒนา (บังกลาเทศ) เสาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (ศรีลังกา) เสาความมั่นคง (อินเดีย) และเสาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน (เนปาล)
3. รายงานความคืบหน้าของการดำเนินความร่วมมือทั้ง 14 สาขา ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา อาทิ ด้านความเชื่อมโยงในมิติด้าน พลังงาน ดิจิทัล กฎระเบียบ และคมนาคม โดยเฉพาะการผลักดันร่างแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงด้านคมนาคม ที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในภูมิภาค ตลอดจนประเด็นคาบเกี่ยวที่มีความสำคัญต่อประเทศสมาชิก เช่น การขจัดปัญหาความยากจน เศรษฐกิจภาคภูเขา และเศรษฐกิจภาคทะเล
ทั้งนี้ การประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17 จะมีขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกาเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกเข้าร่วม
34. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 (Joint Statement of the Twenty-Fifth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 (Joint Statement of the Twenty-Fifth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 ในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video conference) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การสนับสนุนประเด็นสำคัญและแผนงานหลัก 3 ประการของการเป็นประธานอาเซียนของประเทศบรูไนดารุสซาลาม ภายใต้แนวคิดหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เราก้าวหน้า” ได้แก่ (1) การสร้างประชาคมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีภูมิคุ้มกัน โดยส่งเสริมให้มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (ประชาคมที่ห่วงใย) (2) การเตรียมความพร้อมและปรับตัวสำหรับโอกาสและความท้าทายในอนาคตเพื่อทำให้แน่ใจว่าอาเซียนจะดำรงความสำคัญและภูมิคุ้มกันเพื่อเอาชนะความท้าทายและภัยคุกคามในปัจจุบันและในอนาคตต่าง ๆ ได้ (ประชาคมที่เตรียมพร้อม) และ (3) การสร้างโอกาสและประโยชน์ให้แก่ประชาชนผ่านแผนงานที่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืนของภูมิภาค (ประชาคมที่ก้าวหน้า)
2. การรับทราบเกี่ยวกับคำมั่นของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในการดูแลห่วงใยประชาชนอาเซียน โดยการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตและการจัดการกับข้อท้าทายต่าง ๆ ตลอดจนการสนับสนุนข้อเสนอของประเทศบรูไนดารุสซาลามในการจัดตั้งกลยุทธ์และแผนงานริเริ่มแบบองค์รวมในการเชื่อมโยงการตอบสนองของอาเซียนกับเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติเพื่อให้ประชาคมอาเซียนในภาพรวมมีการประสานงาน มีภูมิคุ้มกัน และมีความพร้อม เพิ่มมากขึ้นสำหรับอนาคต
3. การชื่นชมผลการประเมินผลครึ่งแผนของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อการประเมินความก้าวหน้าทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการบรรลุความมุ่งมั่นของแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. 2568 และการรับทราบข้อเสนอของประเทศ บรูไนดารุสซาลาม ในการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามปฏิญญากรุงฮานอยว่าด้วยวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ. 2025 ผ่านการจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงและการจัดทำเอกสารแผนที่นำทาง (Roadmap)
4. การขยายบทบาทของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนให้ครอบคลุมถึงความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและหุ้นส่วนความร่วมมือของอาเซียน ผ่านกลไกความร่วมมืออาเซียนบวก 1 และบวก 3 และ การจัดตั้งกลไกการเสวนาเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรม (Innovation Platform Dialogue)
5. การพัฒนากรอบความร่วมมือเศรษฐกิจใส่ใจที่ครอบคลุม โดยให้ความสำคัญกับแนวนโยบายด้านศักยภาพของเศรษฐกิจใส่ใจและเพื่อปรับนโยบายของอาเซียนให้มีความคลุมและเอื้ออำนวยมากขึ้น
6. การเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการ ASEANWalk ค.ศ. 2021 เพื่อเสริมสร้างจิตวิญญาณของการเป็นอาสาสมัคร และการจัดตั้ง ASEAN Aid เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนอาเซียนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับวาระการดำเนินงานในระดับภูมิภาคและเกี่ยวกับการพัฒนาของอาเซียน
7. ความคืบหน้าในการจัดทำเอกสารผลลัพธ์สำคัญต่าง ๆ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 38 ในเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งรวมถึงกรอบนโยบายระดับภูมิภาคว่าด้วยการส่งเสริมความเข้าใจและความรู้สึกของการเป็นวาระระดับภูมิภาคที่มากขึ้นในหมู่ประชาชนอาเซียน และการดำเนินงานตามปฏิญญากรุงฮานอยว่าด้วยวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ. 2025 ผ่านการจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงและการจัดทำเอกสารแผนที่นำทาง (Roadmap)
8. การรับรองแผนงานขององค์กรอาเซียนเฉพาะสาขาภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Programme) ค.ศ. 2021 – 2025 ซึ่งจะมีการเสนอให้ผู้นำอาเซียนรับทราบในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 38
9. การรับทราบกำหนดการเยือนติมอร์ – เลสเตของคณะค้นหาข้อเท็จจริงจากประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และความก้าวหน้าของการจัดส่งเจ้าหน้าที่เสาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนประจำการที่คณะผู้แทนถาวรประจำอาเซียน
แต่งตั้ง
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการจัดหางาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
36. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายสุริยะ วงศ์คงคาเทพ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทน นายพีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพเดิมที่ลาออก เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
37. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายประเสริฐ ตปนียางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร
2. พลอากาศตรี หม่อมหลวงประกิตติ เกษมสันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสถาปนิก
3. นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
4. นายพีระ เพชรพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
5. นายวิเชียร พงศธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรรม
38. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอแต่งตั้ง นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40502 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ขานรับข้อสั่งการ ลุงป้อมเร่งช่วยเหลือแรงงานพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ให้มีงานทำ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
‘จับกัง1’ ขานรับข้อสั่งการ ลุงป้อมเร่งช่วยเหลือแรงงานพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ให้มีงานทำ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งรัดข้อสั่งการรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บูรณาการทำงานร่วมกับ ศอ.บต. และหน่วยเกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือผู้ว่างงานที่เดินทางกลับจากมาเลเซียจากผลกระทบโควิด
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง และสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงาน เร่งรัดการดูแลช่วยเหลือและพัฒนาแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ในช่วงโควิด-19 โดยให้ ประสานงานกับศอ.บต.ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน และการจัดหางาน ให้ตามความเหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน ในเรื่องนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และในพื้นที่อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ของจังหวัดสงขลา บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จัดฝึกอบรมฝีมือแรงงาน และหางาน ผ่านโครงการต่างๆของกระทรวงแรงงาน
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นนางสาวพุทธชาติ อินทร์สวา แรงงานจังหวัดยะลา รายงานว่า จากการประสานความร่วมมือไปยัง ศอ.บต. พบว่า มีแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่เดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซีย จำนวน 11,858 คน เป็นจังหวัดยะลาจำนวน 2,658 คน (ข้อมูล ณ 1 ธ.ค.63) ณ ขณะนี้จังหวัดยะลาจึงได้ร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดยะลา พร้อมเจ้าหน้าที่ข้าราชการ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน และ ศอ.บต.จัดประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานว่างงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้แก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย และต่างจังหวัด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานมีโครงการที่สามารถรองรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเหล่านี้ได้ผ่านโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริหารด้านแรงงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีบัณฑิตแรงงาน เป็นผู้ประสานการดำเนินการในกิจกรรมหนึ่งอำเภอ หนึ่งกลุ่มอาชีพ กิจกรรมสำนึกรักบ้านเกิดร่วมใจพัฒนา และกิจกรรมสร้างความเข้มแข็งและสุขภาวะในการทำงานแก่แรงงานนอกระบบ แรงงานพิการและแรงงานสูงอายุ รวมถึงโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลักสูตรอาชีพเสริม หากมีความต้องการหางานทำสามารถมาแจ้งขึ้นทะเบียนคนหางานได้เช่นกัน สำหรับหลักสูตรที่ประชาชนสนใจได้แก่ การเย็บผ้าคลุมผม ฮียาป. การทำกริช เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้ประสาน ศอ.บต. เพื่อนำผู้ว่างงานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามาทำงานที่บริษัท แคล – คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี จำนวนกว่า 1,000 คน เป็นการสนับสนุนให้คนชายแดนใต้มีงานทำ เป็นการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดของกระทรวงแรงงานจะสามารถช่วยเหลือประชาชนให้มีอาชีพ มีรายได้อีกทั้งยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนใต้อีกด้วย รมว.สุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39465 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ ทีพีไอฯ มอบถังดักไขมัน โครงการจิตอาสาพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนใน 7 จังหวัดนำร่อง | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
ก.อุตฯ จับมือ ทีพีไอฯ มอบถังดักไขมัน โครงการจิตอาสาพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนใน 7 จังหวัดนำร่อง
กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มอบถังดักไขมัน จำนวน 1,000 ชุดพร้อมติดตั้งให้กับประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งเป้าลดปัญหาน้ำเสียจากครัวเรือน โดยนำร่องสร้างBCG Model เล็งดึงขยะอินทรีย์ที่เก็บจากถังดักไขมันนำไปใช้ประโยชน์
นางวรวรรณชิตอรุณรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรมรับมอบถังดักไขมันจำนวน1,000ชุดจากนายช่างสมภพเทพพานิชผู้ช่วยรองผู้จัดการใหญ่บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด(มหาชน)และนายวิษณุทับเที่ยงอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.)เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดนำไปติดตั้งแก่ชุมชนต่างๆใน7จังหวัดได้แก่กรุงเทพฯสมุทรปราการปทุมธานีพระนครศรีอยุธยาลำพูนนครสวรรค์และสุราษฎร์ธานีสืบเนื่องจากศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมตรวจกำกับดูแลโรงงานที่ระบายน้ำลงสู่ลำน้ำสาธารณะพร้อมทั้งบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพัฒนาคุณภาพน้ำในลำคลองและแม่น้ำสายหลักของประเทศเพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำเสียผ่านโครงการจิตอาสา
“ในปีนี้กระทรวงฯได้ร่วมมือกับโรงงานจิตอาสาผลิตถังดักไขมันพร้อมทั้งดำเนินการติดตั้งให้กับประชาชนโดยเฉพาะร้านค้าร้านอาหารครัวเรือนที่ระบายน้ำลงแหล่งน้ำในพื้นที่เป้าหมายโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำแทนการแจกจ่ายให้ประชาชนไปติดตั้งเองนอกจากนี้ยังสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับชุมชน(BCG Model)ให้เกิดขึ้นด้วยการต่อยอดนำไขมันเศษอาหารขยะอินทรีย์จากถังดักไขมันเพื่อใช้ประโยชน์โดยตั้งจุดรวม(Drop Point)และประสานให้เทศบาลขนส่งให้โรงงานประเภท106ในพื้นที่เพื่อเข้าสู่กระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มจัดทำเป็นปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพอาหารสัตว์แก๊สและผลิตไฟฟ้าทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยลดปัญหาการปล่อยน้ำเสียของครัวเรือนที่ไม่มีระบบบำบัดรวมทั้งเศษอาหารและไขมันที่ทำให้ท่อน้ำอุดตันตัวอย่างการรณรงค์ใช้ถังดักไขมันในปี2563ในชุมชนเคหะหลักสี่ซอยแจ้งวัฒนะ5จากที่มีการจ้างเอกชนมาขุดลอกท่อปีละ4ครั้งเมื่อติดตั้งถังดักไขมันสามารถลดการขุดลอกท่อลงเหลือปีละ2ครั้ง”นางวรวรรณกล่าว
แผนการส่งมอบถังดักไขมัน(500ใบ)ในเฟสแรกของกระทรวงฯประกอบด้วย1)จังหวัดสมุทรปราการนำไปติดตั้งที่บริเวณคลองคอต่อและจะเปิดตัวกิจกรรมเป็นที่แรกในชื่อ“จิตอาสาพัฒนาคลองสวยน้ำใสชวน1ชุมชนใช้ถังดักไขมัน” 2)จังหวัดปทุมธานีนำไปติดตั้งบริเวณคลองที่ระบายน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาและ3)นิคมอุตสาหกรรมบางชันนำไปติดตั้งบริเวณคลองแสนแสบโดยทั้งสามพื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่จำนวนมากและมีความใกล้ชิดกับชุมชนโดยจะมีการเก็บตัวอย่างน้ำก่อนและหลังดำเนินการเพื่อการติดตามประเมินผลซึ่งที่ผ่านมาปี2562- 2563กระทรวงอุตสาหกรรมได้แจกจ่ายถังดักไขมันให้กับประชาชนรวมจำนวนทั้งสิ้น2,500ใบ
ทั้งนี้โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำฯในปี2564มีแผนดำเนินการในพื้นที่6คลองของกรุงเทพฯและปริมณฑลได้แก่คลองเปรมประชากรคลองแสนแสบคลองบางลำพูคลองสี่วาพาสวัสดิ์คลองขุดเจ้าเมืองและคลองคอต่อรวมทั้งแม่น้ำในจังหวัดต่างๆจำนวน10สายคือแม่น้ำกวงแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำป่าสักแม่น้ำบางปะกงลุ่มน้ำปราณบุรีลุ่มน้ำตาปีลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาแม่น้ำพองแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลตั้งเป้าหมายจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39461 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! ราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 63/64 | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
เคาะ! ราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 63/64
...
อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
มีเกษตรกรและแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมจำนวนมาก
เพื่อช่วยให้เกษตรกรขายอ้อยได้ราคา คุ้มกับต้นทุน
จึงมีการกำหนดราคาขั้นต้นขึ้น
.
ปลายทางของอ้อย คือ น้ำตาลทราย
ราคาที่นำมากำหนดราคาขั้นต้น
จึงเป็นรายได้ที่คาดว่าจะได้จากการขายน้ำตาลทราย
เพื่อให้โรงงานจ่ายเงินให้เกษตรกรนำไปใช้หมุนเวียนก่อน
.
สำหรับ อ้อย ในปีการผลิต 2563/64 นี้
ครม. ได้เห็นชอบราคาอ้อยขั้นต้น
สำหรับอ้อยที่มีระดับความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.
ซึ่งบ่งบอกว่า หวานพอจะผลิตน้ำตาลทรายได้
ในราคาตันละ 920 บาท
อัตราขึ้นลงที่ 55.20 บาท ต่อ 1 ซี.ซี.เอส
.
และราคาน้ำตาลทรายขั้นต้น
394.29 บาท ต่อ ตันอ้อย
.
โดยราคานี้เป็นเพียงผลตอบแทนขั้นต้นเท่านั้น
เมื่อได้น้ำตาลทรายออกมาขายแล้ว
จะมีการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
ซึ่งเป็นราคาจริงที่เกษตรกรควรได้รับ
หากราคาขั้นสุดท้าย มากกว่า ขั้นต้น
โรงงานน้ำตาลจะจ่ายค่าอ้อยเพิ่มให้เกษตรกร
แต่ถ้า น้อยกว่า กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
จะจ่ายส่วนต่างนั้นคืนให้โรงงานแทนเกษตรกร
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39474 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจง "ตลาดนัดสวนจตุจักร” ไม่ใช่ต้นกำเนิดโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
แจง "ตลาดนัดสวนจตุจักร” ไม่ใช่ต้นกำเนิดโควิด-19
...
กรณีสื่อต่างประเทศ นำเสนอข่าวว่า
"ตลาดนัดสวนจตุจักร" อาจเป็นต้นกำเนิด
ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ก่อนการแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน นั้น
.
กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า
ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่สนับสนุน
ว่าเชื้อติดต่อจากค้างคาวไปสู่คน
.
สำหรับประเทศไทย ได้ศึกษาวิจัย
เรื่องค้างคาวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
ค้างคาวมงกุฎ ที่มีรหัสพันธุกรรมคล้ายคลึง
กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถึงร้อยละ 91.5
แต่ไม่สามารถติดต่อไปสู่คน
.
นอกจากนี้ ยังได้สุ่มตรวจเชื้อจากสัตว์ต่าง ๆ
ที่นำมาจำหน่ายในตลาดนัดสวนจตุจักร
เช่น กระรอก แมว สุนัข หนู กระต่าย
และสัตว์จากต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 63
พบว่าเป็นเชื้อไวรัสโคโรนา แต่คนละสายพันธุ์
กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39471 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้ผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ครั้งแรกในประเทศไทย ย้ำให้มั่นใจทุกคนได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้ผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ครั้งแรกในประเทศไทย ย้ำให้มั่นใจทุกคนได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้ผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ครั้งแรกในประเทศไทย ตามแผนที่กำหนดไว้ ย้ำให้มั่นใจทุกคนได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพ
วันนี้ ( 28 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 07.30 น. ณ อาคารหอประชุมอัจฉรา สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้กับผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และ อสม. (10 คน) ครั้งแรกในประเทศไทย โดยผู้เข้ารับวัคซีนคนแรก คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คนที่2 นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข คนที่ 3 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมคนที่ 4 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คนที่ 5 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคนที่ 6 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามด้วยบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และ อสม. ตามลำดับ และในวันนี้ยังได้มีการเตรียมวัคซีนสำหรับ ฉีดกลุ่มเป้าหมายจำนวน 200 โดส
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมขั้นตอนต่าง ๆ ในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ ชั้น 2 อาคารหอประชุมอัจฉรา ประกอบด้วย การวัดไข้ ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ลงทะเบียนประวัติ ตรวจร่างกาย วัดความดัน ชั่งน้ำหนักประเมินความเสี่ยงและลงนามยินยอมรับการฉีดวัคซีนต่อเจ้าหน้าที่ ฉีดวัคซีนอย่างปลอดภัย พักสังเกตอาการ 30 นาทีลงทะเบียนเข้าระบบหมอพร้อมและรับบัตรนัดฉีดวัคซีนเข็มที่2 และขั้นตอนสุดท้ายรับคำแนะนำและเอกสารแนะนำพร้อมติดตามผล โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามใบประเมินความเสี่ยงและยินยอมรับวัคซีนต่อเจ้าหน้าที่ ของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นพยานในการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ด้วย
จากนั้น ได้เยี่ยมชมห้องพักสักเกตอาการพร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ห้องปฐมพยาบาล
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการมาตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้ผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และ อสม. (10 คน) ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อมาให้กำลัง ซึ่งการฉีดวัคซีนวันนี้เป็นไปตามคำแนะนำของคณะแพทย์ที่ได้กำหนดขึ้นมา โดยขั้นตอนการฉีดก็เป็นในลักษณะคล้ายกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และมั่นใจทุกคนจะได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าส่วนราชการปลัดกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันทำงานอย่างหนักจนมีวันนี้ขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการที่จะรับวัคซีน ซึ่งการฉีดวัคซีน covid-19 วันนี้ถือเป็นวันสำคัญและเป็นวันประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของประเทศโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นคนแรกที่รับการฉีดวัคซีน และหลังจากสังเกตอาการ 30 นาที ยังไม่พบมีอาการผิดปกติ ในส่วนของนายกรัฐมนตรีจะต้องรอสักระยะหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์ ขอให้ทุกคนได้มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน
ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนชาวไทย เข้ารับการตรวจสอบคัดกรองตามขั้นตอน เพื่อรับการฉีดวัคซีน covid-19 เริ่มวันพรุ่งนี้ โดยจะเริ่มในพื้นที่ที่มีความเสี่ยสูงก่อน และขยายไปสู่พื้นที่อื่นต่อไปตามลำดับ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และตนเองมีภูมิคุ้มกัน โอกาสติดเชื้อน้อยลงและยังป้องกันการแพร่เชื่อไปสู่ผู้อื่นด้วย
————————————
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39462 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาจริง! ปราบพนันออนไลน์ ได้ผู้ต้องหา 98 ราย ใน 2 เดือน | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
เอาจริง! ปราบพนันออนไลน์ ได้ผู้ต้องหา 98 ราย ใน 2 เดือน
...
พนันออนไลน์เป็นหนึ่งปัญหาสำคัญของรัฐบาล
ที่ต้องเร่งกวาดล้าง ไม่ให้สร้างความเสียหายแก่ประชาชน
โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนของชาติ
.
กระทรวงดีอีเอสจึงเร่งตรวจสอบ รวบรวมหลักฐาน
พร้อมเปิดเฟซบุ๊กเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์”
ให้ประชาชนสามารถส่งเบาะแสการพนันออนไลน์
เพื่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งจับกุม
และปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ต่อไป
.
จากผลการดำเนินงานกว่า 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 64)
สามารถเข้าจับกุมและปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์
ได้ผู้ต้องหาถึง 98 ราย คิดเป็นเงินหมุนเวียน 1,900 ลบ.
.
จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา
แจ้งข้อมูล/เบาะแสการพนันออนไลน์
ได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์”
https://www.facebook.com/DESMonitor/
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันแรกของไทย ที่สถาบันบำราศนราดูร อนุทิน ประเดิมฉีดเข็มแรกของประเทศ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันแรกของไทย ที่สถาบันบำราศนราดูร อนุทิน ประเดิมฉีดเข็มแรกของประเทศ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันแรกของประเทศไทย ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า อสม.และคณะรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ารับการฉีดเป็นเข็มแรกของประเทศไทย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันแรกของประเทศไทย ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า อสม.และคณะรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ารับการฉีดเป็นเข็มแรกของประเทศไทย สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่ประชาชน
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2564) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่กลุ่มเป้าหมาย อาทิ คณะรัฐมนตรี นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข นำโดยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ด่านของสถาบันบำราศนราดูร และตัวแทน อสม. จำนวนรวม 200 คน
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด19 เข็มแรกของไทย และดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้หญิงคนแรกของไทย ได้รับเกียรติ รับการฉีดวัคซีนจาก ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ฯ ทั้งนี้ ภายหลังเยี่ยมชม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ที่พยายามแก้ไขสถานการณ์โควิด 19 จนทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นอันดับต้นของโลก
นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ของประเทศไทย เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 18-59 ปี อาทิ บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหรือต้องสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งสถาบันบำราศนราดูร เป็นต้นแบบในการวางระบบการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับโรงพยาบาลอื่นๆ โดยมี 8 ขั้นตอน ใช้เวลาฉีดและเฝ้าระวังสังเกตอาการประมาณ 37 นาที รวมถึงมีระบบในการแจ้งเตือนในการมารับวัคซีนเข็มที่สอง ฉีดห่างกัน 21 วัน
“ครั้งนี้ถือว่าเป็นการซ้อมระบบ ให้พร้อมฉีดให้ประชาชนเมื่อวัคซีนล็อตใหญ่มาถึง ซึ่งจะฉีดทั่วประเทศเดือนแรก 5 ล้านโดส และ 10 ล้านโดสในเดือนต่อๆ ไป จนครบ 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 และจะพยายามหาวัคซีนโควิดจากแหล่งอื่นๆ มาเพิ่มสำรองไว้ และฉีดให้คนในประเทศ ห้ครอบคลุมมากที่สุด” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการด้านการแพทย์ให้ความเห็นว่า อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับวัคซีนเนื่องจากมีอายุมากกว่า 60 ปี มีความเสี่ยงจากการพบปะประชาชนจำนวนมาก โดยวัคซีนที่เหมาะสมคือวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ที่สามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้ และผ่านการทดสอบในกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนมากแล้ว อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนจะต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์ในการสั่งฉีดและความสมัครใจของท่านนายกรัฐมนตรี ขณะนี้วัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าอยู่ระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนการ คาดว่าจะนำมาฉีดได้กลางเดือนมีนาคมนี้
ด้านดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเริ่มฉีดวัคซีนใน 13 จังหวัดแรก ขอให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้ลงทะเบียนไว้มารับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความรุนแรงของโรค และเมื่อฉีดได้ครอบคลุมจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ โรคโควิด 19 จะหายไป เศรษฐกิจของประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้ สำหรับความมั่นใจวัคซีน ยืนยันว่ามีความปลอดภัยสูง ขอให้อย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ส่งต่อทางสื่อโซเชียลมีเดีย ให้ติดตามข้อมูลงานวิจัยจากหน่วยงานวิชาการที่เชื่อถือได้เป็นหลัก ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในระยะแรกนี้ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในเกณฑ์ที่จังหวัดและโรงพยาบาลติดตามให้มารับการฉีด ยังไม่ได้เปิดให้จองลงทะเบียน และไม่สามารถwalk-in มารับบริการได้
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจรับวัคซีนโรคโควิด 19 จำนวน 200,000 โดสจากซิโนแวค เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันโรค จากการศึกษาในคนระยะที่ 1, 2 และ 3 ในประเทศบราซิล ตุรกี อินโดนีเซีย และชิลีแล้ว มีการรายงานผลว่า วัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 ได้รับการรับรองและให้ใช้ในประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว มีแผนการกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่เป้าหมาย 13 จังหวัดแรก โดยวานนี้ (27 กุมภาพันธ์2564) ส่งไปแล้วที่ จ.สมุทรสาคร นนทบุรี ชลบุรี ปทุมธานี ส่วนในวันนี้จัดส่งเพิ่มอีก 7 จังหวัดที่เหลือ และในวันที่ 1 มีนาคม 2564 จะจัดส่งที่ จ.ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี (อ.เกาะสมุย)
“วัคซีนของซิโนแวคยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง อาการที่อาจพบได้ อาทิ เจ็บบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน ส่วนอาการแพ้ที่สังเกตได้ คือ ผื่นแดง คันตามร่างกาย หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด แน่นหน้าอก เป็นต้น โดยวัคซีนทั่วไปมักพบอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสังเกตอาการประมาณ 15 นาที หากพบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์จะมีแพทย์ดูแล ปฐมพยาบาล รวมถึงส่งต่อรักษาอาการดังกล่าวตลอดช่วงเวลาที่ให้บริการฉีดตามมาตรฐานสากล และมีLine Official “หมอพร้อม” ติดตามอาการภายหลังการฉีดวัคซีน 1, 7, 30 วัน แจ้งเตือนรับวัคซีนเข็มที่ 2 และรับใบยืนยันการฉีดวัคซีนเมื่อฉีดครบ” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
******************************* 28 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39464 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ห่วงใยประชาชนในช่วงฤดูร้อน สั่งการทุกจังหวัดติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนทันทีหากเกิดภัย | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
มท.1 ห่วงใยประชาชนในช่วงฤดูร้อน สั่งการทุกจังหวัดติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนทันทีหากเกิดภัย
มท.1 ห่วงใยประชาชนในช่วงฤดูร้อน สั่งการทุกจังหวัดติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนทันทีหากเกิดภัย
วันนี้ (28 ก.พ. 64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ในตอนกลางวันจากนั้นช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเป็นระยะ ๆ มีอากาศร้อนบางแห่ง และจะมีพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ รวมทั้งจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และอาจมีลูกเห็บตกในบางแห่ง อันจะก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรได้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมรับสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ จึงได้สั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ ด้านการเตรียมความพร้อม โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบหมายเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเร่งตรวจตราอาคารสถานที่ ป้ายโฆษณา สิ่งก่อสร้างที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง ไม้ยืนต้นตามที่สาธารณะที่อาจก่อให้เกิดสาธารณภัยได้ และแจ้งหน่วยงานตามกฎหมายเข้าตรวจสอบซ่อมแซมให้มั่นคงแข็งแรง พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมสอดส่อง ปรับปรุง ดูแลให้เกิดความปลอดภัย นอกจากนี้ ให้เตรียมความพร้อมบุคลากร อุปกรณ์ ทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัย ให้พร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและทันท่วงที และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่พักอาศัย ช่องทางการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ตลอดจนมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐในการดูแลประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในด้านการเผชิญเหตุ หากเกิดเหตุวาตภัยที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในพื้นที่ใด ให้เร่งสำรวจความเสียหายและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ในกรณีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย ให้แบ่งมอบภารกิจ พื้นที่รับผิดชอบ และบูรณาการหน่วยงานจัดกำลังในรูปแบบทีมประชารัฐ เร่งซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนอย่างเร่งด่วน หากเป็นกรณีป้ายโฆษณา สิ่งก่อสร้าง ไม้ยืนต้น หรือโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหาย ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าแก้ไขไม่ให้กีดขวางพื้นที่สาธารณะและซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว และในกรณีความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและท้องที่ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือตามกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว และเมื่อเกิดสถานการณ์วาตภัยจากพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ ให้สรุปสถานการณ์และรายงานมายังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางโดยเร็วต่อไป
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในช่วงฤดูร้อนโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ หากประสบภัยในพื้นที่ สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือทางสายด่วนนิรภัย โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำประชาชนคงมาตรการป้องกันโรค แม้ฉีดวัคซีน ส่วนสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ย้ำประชาชนคงมาตรการป้องกันโรค แม้ฉีดวัคซีน ส่วนสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น หายป่วยกลับบ้านแล้วร้อยละ 96 เหลือนอนรักษาในรพ.เพียงร้อยละ 3 ย้ำประชาชนสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ แม้จะเริ่มฉีดวัคซีนแล้วยังเป็นการฉีดในบางพื้นที่ ชี้วัคซีนโควิด 19 ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มดีขึ้น หายป่วยกลับบ้านแล้วร้อยละ 96 เหลือนอนรักษาในรพ.เพียงร้อยละ 3ย้ำประชาชนสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยเว้นระยะห่าง ล้างมือ แม้จะเริ่มฉีดวัคซีนแล้วยังเป็นการฉีดในบางพื้นที่ ชี้วัคซีนโควิด 19 ปลอดภัย ฉีดวัคซีนวันนี้วันแรกที่สถาบันบำราศนราดูรและโรงพยาบาลสมุทรสาคร รวมกว่า 200 คน ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ วัคซีนส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว 11 จังหวัด รวม 110,000 โดส
บ่ายวันนี้ (28กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด19ของประเทศไทย ว่า วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 70 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล43 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน19 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 8 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 106 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 25,951 รายเสียชีวิตสะสม 83 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่15 ธันวาคม 2563 - 28 กุมภาพันธ์ 2564มีจำนวน21,714 ราย หายป่วยสะสม 20,951 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.49 ยังอยู่ระหว่างการรักษา 740 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.41 เสียชีวิตสะสม 23 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ใน 4 จังหวัด ได้แก่จ.สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และชลบุรีแนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น สอดคล้องกับที่ ศบค.ได้ดำเนินการผ่อนคลายมาตรการ
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ประเทศไทยเริ่มต้นฉีดวัคซีนโควิด 19 ในจำนวนไม่มากนัก ถือเป็นการทดสอบระบบการจัดบริการโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มาเปิดกิจกรรมและตรวจเยี่ยมการจัดบริการที่สถาบันบำราศนราดูร และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับการฉีดเข็มแรกของประเทศ เป็นวัคซีนของบริษัทซิโนแวค ประเทศจีน ซึ่งยังมีข้อจำกัดเรื่องผลการวิจัยในผู้ที่อายุมากกว่า60 ปี คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จึงยังไม่แนะนำให้ท่านนายกรัฐมนตรีรับการฉีดเข็มแรก แม้จะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จำเป็นต้องฉีดก็ตาม ภายหลังการตรวจเยี่ยมนายกรัฐมนตรีได้ย้ำเตือนถึงมาตรการที่ต้องดำเนินการ รวมทั้งความปลอดภัยของวัคซีน และให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างครบถ้วน สำหรับที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้เริ่มต้นฉีดวัคซีนเป็นวันแรกเช่นกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ไปตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร แม้แนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น ยังคงเข้มระบบการติดตามเฝ้าระวังการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในจุดเสี่ยงต่างๆ ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน และขอให้ประชาชนยังคงใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การล้างมือบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ข้อมูลการฉีดวัคซีนวันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2564) จนถึง 12.00 น. ที่สถาบันบําราศนราดูรฉีดวัคซีนแล้ว95 คน ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร 159 คน ไม่มีรายงานพบผลข้างเคียงรุนแรงหลังจากได้รับวัคซีน สร้างความมั่นใจได้ว่าวัคซีนมีความปลอดภัย สำหรับการกระจายวัคซีน 200,000 โดสแรกจะกระจายไป 13 จังหวัด ขณะนี้วัคซีนส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว 11 จังหวัด รวม 110,000 โดส โดยส่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ รวม 30,760 โดส แบ่งเป็น จ.นนทบุรี 6,000 โดส, สมุทรสาคร 20,040 โดส, ชลบุรี 4,720 โดส สำหรับในวันนี้ส่งให้โรงพยาบาลอีก 2 แห่งในจ.สมุทรสาคร 15,040 โดส ปทุมธานี 8,000 โดส, สมุทรปราการ ส่งให้โรงพยาบาล 2 แห่ง 6,000 โดส, กรุงเทพฯ ใน 16 โรงพยาบาล รวม 33,600 โดส, ตาก (แม่สอด) 5,000 โดส, นครปฐม 3,560 โดส, สมุทรสงคราม 2,000 โดส, ราชบุรี 2,520 โดส, เชียงใหม่ 3,520 โดส ยอดรวมวันนี้ 79,240 โดส ในวันพรุ่งนี้จะส่งให้ จ.ภูเก็ต และจ.สุราษฎรธานี (เกาะสมุย) และในเดือนมีนาคมวัคซีนจะมาถึงอีก 800,000 โดส จะเร่งกระจายครอบคลุมให้กับจังหวัดมากขึ้น รวมถึงฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมขึ้น
“การดำเนินการจัดฉีดวัคซีนให้ประชาชน จะมีคณะกรรมการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นผู้พิจารณากำหนดและจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องได้รับวัคซีน ขอย้ำว่าประชาชนทุกคนที่มีความต้องการจะฉีดวัคซีนจะได้รับวัคซีนโดยไม่คิดมูลค่า เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะฉีดวัคซีนที่ขณะนี้เตรียมไว้ 63 ล้านโดสให้เสร็จสิ้นภายในปี 2564 และจะจัดหาวัคซีนมาฉีดเพิ่มเติมให้ครอบคลุม สำหรับจังหวัดต่างๆ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้ดำเนินการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการฉีด ไม่มีการแอบอ้างหรือเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้โอกาสนี้ทำผิดกฎหมาย” นายแพทย์โอภาสกล่าว
******************************** 28 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39469 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39480 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
รัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นตัวแทนรัฐบาลร่วมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นใจต่อพี่น้องประชาชน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมรับการฉีดวัคซีนซิโนแวค เพื่อเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน และตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ครั้งแรกในประเทศไทย ณ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ วัคซีนซิโนแวคจะฉีดให้กับคนที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี ส่วนแอซตราเซนเนกาจะฉีดให้กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป
"ตนพร้อมที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันนี้ ซึ่งรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถฉีดได้ และพวกเราก็อยากสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่าวัคซีนโควิด-19 ที่นำมามีคุณภาพ ส่วนเรื่องการเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนไม่มีอะไรพิเศษ เพราะมั่นใจว่าวัคซีนมีคุณภาพ และอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นด้วยว่าวัคซีนโควิด-19 ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39463 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าสร้างความมั่นคง “ด้านยา” ในประเทศ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
เดินหน้าสร้างความมั่นคง “ด้านยา” ในประเทศ
...
ความสามารถ “ด้านยา” และระบบสาธารณสุข
ของไทย ถือว่าไม่น้อยหน้าใครในโลก
เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น
ประเทศที่มีความมั่นคงด้านยา
ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นั้น
.
ล่าสุด ครม. เห็นชอบร่างนโยบายแห่งชาติ
ด้านยาและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา
ระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565
เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ระบบควบคุมยาภายในประเทศ
มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับค่าครองชีพ
ของประชาชน รวมทั้งสามารถผลิตและ
จัดหายาจำเป็นไว้ใช้ทั้งในภาวะปกติและฉุกเฉิน
.
นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนช่วยกระตุ้น
ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยา
ต้องผ่านการประเมินศักยภาพ
จากองค์กรระดับสากลอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39472 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม คลัง-มหาดไทยจับมือเปิด One stop service เราชนะ อำนวยความสะดวกผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม คลัง-มหาดไทยจับมือเปิด One stop service เราชนะ อำนวยความสะดวกผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ
นายกฯ ย้ำมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม คลัง-มหาดไทยจับมือเปิด One stop service เราชนะ อำนวยความสะดวกผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ รมว.คลัง ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า เผยหากพบผู้ตกหล่นมากอาจพิจารณาขยายระยะเวลาลงทะเบียน
วันที่ 28 ก.พ.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มให้มากที่สุด หลายหน่วยงานได้ปรับรูปแบบการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ให้รับกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการเราชนะ นอกจากการขยายเวลาการลงทะเบียนตามโครงการสำหรับกลุ่มประชาชนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนไปจนถึงวันที่ 5 มี.ค. จากเดิม 25 ก.พ. 2564 แล้ว กระทรวงการคลังได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการเปิดศูนย์อำนวยความสะดวก One Stop Service โครงการเราชนะแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ในพื้นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง ได้แก่ สำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ รวมถึงหน่วยรับลงทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์อำนวยความสะดวกนี้จะให้บริการทุกเรื่องของโครงการเราชนะตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการร่วมโครงการแบบครบจบ ณ จุดเดียว
ล่าสุด วันนี้ (28 ก.พ.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้ลงพื้นที่ 2 อำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของจุดบริการ One Stop Service โครงการเราชนะ ได้แก่จุดบริการ ณ ที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ และที่ว่าการอำเภอขุขันธ์ รวมทั้งได้ตรวจเยี่ยมสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ เพื่อรับทราบถึงปัญหา ข้อจำกัด การเข้าถึงมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งในครั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้เข้ามาอำนวยความสะดวกรับลงทะเบียนเพื่อร่วมโครงการเราชนะให้แก่กลุ่มคนไร้ที่พึ่ง ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งปรือใหญ่ด้วย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของ รมว.คลัง ได้พบประเด็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการลงทะเบียนของกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนว่า ก่อนหน้านี้ประชาชนจำนวนมากไม่ทราบข้อมูลว่าสามารถลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน ณ สาขาธนาคารของรัฐได้ จึงได้ใช้สมาร์ทโฟนของลูกหลานลงทะเบียนเพื่อรักษาสิทธิ์ก่อน
อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะทำให้มีปัญหาการยืนยันตัวตน และไม่สะดวกในการใช้จ่ายเนื่องจากโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับเจ้าของสิทธิ์ ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดความสะดวก หากประชาชนที่ได้ลงทะเบียนด้วยโทรศัพท์ลูกหลานและได้รับสิทธิ์แล้วยังไม่ได้ยืนยันสิทธิ์ ให้ดำเนินการกดยกเลิกสิทธิ์ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือหากไม่สะดวกก็ให้นำบัตรประชาชนไปให้เจ้าหน้าที่ ณ One Stop Service โครงการเราชนะ ณ ที่ว่าการอำเภอ ดำเนินการให้ เมื่อแก้ไขแล้วก็สามารถใช้สิทธิผ่านบัตรประชาชนต่อไป ส่วนประชาชนที่ยังไม่ลงทะเบียนก็สามารถใช้บริการ One stop Serviceโครงการเราชนะ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำทุกขั้นตอน
“รมว.คลังได้ขอบคุณกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. ออมสิน และเจ้าหน้าที่ทุก ๆ คนที่ร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนให้โครงการนี้ได้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด พร้อมระบุว่าจะพิจารณาข้อมูลอีกครั้งหากยังเหลือผู้ตกหล่นจากการลงทะเบียนอีกมากก็อาจจะพิจารณาขยายระยะเวลาการลงทะเบียนออกไปจากเดิมภายในวันที่ 5 มี.ค. 2564” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39467 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อยันวัคซีนโควิด 19 ที่ไทยใช้มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อยันวัคซีนโควิด 19 ที่ไทยใช้มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อยันวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่ไทยใช้ทั้ง 2 ชนิดมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขอประชาชนมั่นใจ การฉีดวัคซีนเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมโรคโควิดของไทย เผยทั่วโลกฉีดแล้วกว่า 236 ล้านโดส ยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากวัคซีน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อยันวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่ไทยใช้ทั้ง2 ชนิดมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขอประชาชนมั่นใจ การฉีดวัคซีนเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมโรคโควิดของไทย เผยทั่วโลกฉีดแล้วกว่า 236 ล้านโดส ยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากวัคซีน มีระบบติดตามอาการหลังฉีด ย้ำแม้ฉีดแล้วยังต้องเข้มป้องกันโรค จนกว่าจะฉีดได้ครอบคลุมประชากรเพียงพอ
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลแถลงข่าวความปลอดภัยของวัคซีนโควิด 19 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 เข้ามา 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวค และวัคซีนไวรัสเวคเตอร์ของแอสตร้าเซนเนกา ซึ่งทั้ง 2 ตัวมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ถ้ายังควบคุมโรคประจำตัวได้ไม่คงที่ให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนฉีด ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ก็มีความปลอดภัย เพียงแต่การศึกษาของซิโนแวคในคนอายุ 60 ปีขึ้นไปมีน้อย ต้องรอข้อมูลเพิ่ม และในช่วงต้นวัคซีนยังมีจำกัด จึงขอให้ใช้วัคซีนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด คือ ต่ำกว่า60 ปีใช้ของซิโนแวค และมากกว่า 60 ปีให้ใช้ของแอสตราเซนเนกา
ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวต่อว่า วัคซีนทั้ง2 ชนิดยังมีประสิทธิภาพป้องกันเกิดโรคแบบรุนแรงได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม หลายคนหวังว่าฉีดวัคซีนแล้วจะเลิกใส่หน้ากาก ขอย้ำว่าวัคซีนช่วยให้ป้องกันป่วยด้วยโรคโควิด 19 อย่างรุนแรงได้ดีมาก แต่ยังอาจป่วยเล็กน้อยได้ถ้าได้รับเชื้อ และป้องกันการแพร่เชื้อได้อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ จึงยังมีโอกาสที่เชื้อจะยังคงมีการระบาดได้อยู่ การจะกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมได้ต้องรอให้มีการฉีดวัคซีนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเสียก่อน ส่วนตอนนี้แม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง
สำหรับทั่วโลกมีรายงานการฉีดวัคซีนโควิดแล้ว236 ล้านโดส ประเทศไทยไม่ได้ฉีดช้าและเร็วเกินไป ทำให้เห็นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ในหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วเห็นผลว่ามีอัตราการติดเชื้อ การนอนรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตลดลง ส่วนอาการข้างเคียงรุนแรงหรืออาการแพ้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่า 1 ในล้านโดส เพราะวัคซีนของแอสตร้าเซนเนกาและซิโนแวคมีอัตราการแพ้รุนแรงต่ำมาก ต่ำกว่าชนิด mRNA 5-10 เท่า ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิตจากวัคซีน เนื่องจากฉีดในสถานที่ที่มีบุคลากรทางการแพทย์ และมีการเฝ้าระวังสังเกตอาการ หากมีอาการแพ้ก็ดูแลได้ทันท่วงที ส่วนอาการที่พบบ่อยหลังฉีดวัคซีนในช่วง 24 ชั่วโมงแรก คือ ปวดเมื่อยบริเวณที่ฉีด ครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายเป็นไข้ แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัคซีน
“การฉีดวัคซีนโควิด19 ของไทย มีระบบเฝ้าระวังผ่านLineOfficial Account “หมอพร้อม” ในการติดตามอาการภายหลังการฉีด ส่วนผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็มีระบบรายงานโดยตรงผ่านเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือ อสม. โดยขอให้บันทึกอาการ ไม่ว่ามากหรือน้อย ตั้งแต่วันแรกที่ฉีด วันที่ 7 และวันที่ 30 หลังการฉีด หากมีอาการหลังฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก ถ้าไม่มั่นใจขอให้ปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีระบบติดตามสถานการณ์โรคในโรงพยาบาลที่มีบริการฉีดวัคซีนว่า มีโรคอะไรที่อาจเกี่ยวเนื่องจากโรคโควิด 19 หรือภาวะใดๆ ที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนหรือไม่ เพื่อนำผลมาประมวลด้วย ดังนั้น ผู้ที่ยังลังเลไม่มั่นใจในวัคซีน ตอนนี้ขอให้มั่นใจได้แล้ว การฉีดวัคซีนจะเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมโรคโควิด 19 ของประเทศไทย” ศ.พญ.กุลกัญญากล่าว
ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวว่า สำหรับการฉีดเข็มที่สอง มีระบบช่วยเตือนผ่านLineOfficial Account “หมอพร้อม” และ อสม.ให้กลับมารับวัคซีน แต่วัคซีนที่ไทยใช้มี 2 เทคโนโลยีการผลิต ทำให้การฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันมีความแตกต่างกัน โดยของซิโนแวค จะฉีดห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ ในพื้นที่ระบาดควรฉีดกระชับให้เร็วขึ้น พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อน้อยควรทิ้งห่างกว่า จะกระตุ้นภูมิได้ดีขึ้น ส่วนของแอสตร้าเซนเนกาแนะนำให้ฉีดห่างกัน 10-12สัปดาห์ ประสิทธิภาพในการป้องกันจะเกิดขึ้นหลังฉีดหลังฉีดเข็มแรก14 วัน แต่อาจยังไม่เต็มที่ ต้องกระตุ้นเข็มที่ 2ถึงมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่
******************************* 28 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39470 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ้ม ! ยางพารา ราคาดีต่อเนื่อง | วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
ยิ้ม ! ยางพารา ราคาดีต่อเนื่อง
...
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคายางพารา
หนึ่งในสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย
อยู่ในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง
และคาดว่า ตลอดทั้งปี ราคายางแผ่นดิบ
ก็จะยังคงอยู่ที่ 60 บาท ต่อ กก.
.
สาเหตุที่ราคายางพารา ดี นั้น
มาจากปัจจัย ทั้ง นอก และในประเทศ
.
ภายนอก เช่น ประเทศจีน
มีการสนับสนุนให้ใช้รถยนต์มากขึ้น
หลังการระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้นำเข้ายางรถยนต์ มากขึ้น
.
ส่วนภายในประเทศ
มีการผลิตถุงมือยาง ที่มากขึ้นเท่าตัว
ในภาวะการระบาดของโรคโควิด-19
จาก 4,000 ล้าน เพิ่มเป็น 8,000 ล้านชิ้น
ร่วมกับนโยบายใช้ยางของรัฐบาล
ที่ดำเนินการมาก่อนหน้า
เช่น การทำแบริเออร์คอนกรีตหุ้มยางพารา
และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางถนน
.
และจากนี้ รัฐบาลจะพัฒนาการเกษตรของไทย
ตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ
เช่น ทำเกษตรแบบผสมผสาน เน้นการรวมกลุ่ม
เพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งระบบ และเพิ่มมูลค่า
ด้วยการแปรรูป แทนการขายวัตถุดิบ
เพื่อสร้างความมั่นคง เพิ่มรายได้ให้เกษตรไทย
ได้อย่างยั่งยืน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39475 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศอ.ตั้งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามแผน BCG โมเดลวาระแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
สศอ.ตั้งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามแผน BCG โมเดลวาระแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model หลังรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ชูแนวคิดดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เร่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่BCG Economy Modelหลังรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติชูแนวคิดดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกันมุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ(Bioeconomy)เพื่อเพิ่มมูลค่าเน้นพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดอยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy)เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลพร้อมทั้งพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าหลังรัฐบาลได้ประกาศให้BCG Modelเป็นวาระแห่งชาติกระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อกำหนดแนวทางและบูรณาการจัดทำแผนงานโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงฯมุ่งเน้นไปที่4เป้าหมายหลักคือ1.สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจเน้นเพิ่มผลผลิตสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างโมเดลธุรกิจและผู้ประกอบการใหม่2.สร้างความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานลดของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อม3.สร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรมตามนโยบายตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทยและ4.ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้แนวคิดเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ในองค์กรและเกิดประโยชน์สูงสุดเนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนให้ความสำคัญพร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นายทองชัยชวลิตพิเชฐผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมกล่าวว่าสศอ.ได้เล็งเห็นความสำคัญของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาทั้งในระดับสากลและวาระแห่งชาติเรื่องBCG Economy Modelจึงได้จัดทำแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการบูรณาการทำงานของทุกภาคส่วนภายใต้วิสัยทัศน์มุ่งสร้างมูลค่าสูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กับการลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์(Zero Waste)เน้นการปรับโครงสร้างการผลิตสู่รูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและครบวงจรตั้งแต่การผลิตการบริโภคการจัดการของเสียจนถึงการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมลดของเสียและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลดการใช้ทรัพยากรปรับกระบวนการผลิตและการออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยนำของเสีย/วัสดุเหลือใช้มาใช้ประโยชน์รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจสู่โมเดลธุรกิจหมุนเวียนและการสร้างCircular Startup
นายทองชัยกล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้างต้นแล้วสศอ.ยังได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนา(Cross-cutting Measures)ครอบคลุมทั้งในเรื่องกฎหมายกฎระเบียบสิทธิประโยชน์และการพัฒนาระบบนิเวศ(Eco-system)ต่างๆเช่นการพัฒนาระบบการมาตรฐานสำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการนำขยะ/ของเสียไปใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพและอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นต้นโดยสศอ.ได้ผลักดันข้อเสนอมาตรการเหล่านี้ผ่านกลไกขับเคลื่อนBCG Modelในระดับประเทศควบคู่กับการผลักดันการดำเนินงานผ่านกลไกความร่วมมือเชิงบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งที่ผ่านมาสศอ.มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญอาทิมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพโดยให้การรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแก่ผู้ประกอบการนอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)สู่การพัฒนาในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัดปีงบประมาณพ.ศ. 2564เพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนนำร่องในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนรวมทั้งกำหนดรูปแบบความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานและโมเดลต้นแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่มีศักยภาพที่พร้อมนำไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40474 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งติดตามแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ One map สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมาย มั่นใจปัญหาเรือขนส่งขนาดใหญ่ขวางคลองสุเอซ ไม่ส่งผลกระทบการขนส่งไทย | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
นายกฯ เร่งติดตามแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ One map สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมาย มั่นใจปัญหาเรือขนส่งขนาดใหญ่ขวางคลองสุเอซ ไม่ส่งผลกระทบการขนส่งไทย
นายกรัฐมนตรีเร่งติดตามแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ One map สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายครบ 76 จังหวัด มั่นใจปัญหาเรือขนส่งขนาดใหญ่ขวางคลองสุเอซ ไม่ส่งผลกระทบการขนส่งไทยมากนัก
วันนี้ (29 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. เวลา 11.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ถึงความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ว่า รัฐบาลมุ่งเน้นการจัดที่ดินให้ประชาชน และเตรียมความพร้อมในการจัดสรรพื้นที่เป้าหมายให้ครบ 76 จังหวัด พร้อมดูแลพื้นที่ซับซ้อนหรือที่ยังติดขัดด้วยข้อกฎหมายต่าง ๆ โดยยึดหลักเกณฑ์การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One map) และเรื่องความเป็นธรรมให้กับประชาชน นายกรัฐมนตรีย้ำขอให้ทุกคนเคารพกฎ กติกาด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนย้ำว่า ฝ่ายความมั่นคงได้ติดตามรูปแบบของการพัฒนาการเมืองในเมียนมาร์เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีดินแดนติดกันซึ่งมีผลกระทบด้วยกันทั้งหมด รัฐบาลพิจารณาและเตรียมพร้อใดำเนินการอย่างไปขั้นเป็นตอนต่อไป นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ปวงชนชาวไทยจะต้องได้รับสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ต้องไม่ลืมว่ามีผลกระทบต่อบุคคลอื่นหรือไม่ ซึ่งต้องมองทุกอย่างให้ครบถ้วนคือ วันนี้ หลักการบริหารราชการแผ่นดินต้องยึดความถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการดำเนินคดีต่างๆ เป็นการพิจารณาผ่านกระบวนการยุติธรรม กรณีเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้าเพราะมีการร้องเรียนเรื่องปัญหาเสียงดังรบกวน ซึ่งโรงเรียนได้มีการร้องเรียนมา ปัญหาการจราจรที่ติดขัด ปวงชนชาวไทยต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการสัญจรไปมา จึงขอให้ทุกคนทำความเข้าใจในการขอคืนพื้นที่ด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ ว่า ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยในด้านการขนส่งสินค้าทั่วไป เช่น การส่งมอบล่าช้า หรือค่าขนส่งที่สูงขึ้นเนื่องจากการขนส่งจะต้องอ้อมไปใช้อีกเส้นทางหนึ่ง รัฐบาลจะดำเนินการหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกสินค้า หากสถานการณ์คลี่คลายได้เร็ว ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก ในส่วนของพลังงานยังไม่ได้รับผลกระทบ โดยขณะนี้ ปตท. มีคาร์โก้น้ำมันดิบจากลิเบีย 1 คาร์โก้ ซึ่งได้ขายให้ยุโรปเรียบร้อยแล้ว และทางด้านก๊าซ LNG ผู้ขายจะต้องจัดหามาให้ครบและหาเส้นทางนำส่งให้ได้ตามสัญญา ด้านการค้าขายและส่งออกสินค้าไทยไปยุโรปอาจจะเสียเวลาเพราะใช้เส้นทางอ้อม ในกรณีที่มีสินค้าติดค้างอยู่ในคลองสุเอซอาจจะต้องรอประมาณ 10-12 วัน เนื่องจากจะต้องลำเลียงตู้คอนเทนเนอร์ออกจากเรือ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40453 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดโรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จ.ระยอง | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รปอ.ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดโรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จ.ระยอง
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติและกล่าวปาฐกถาในพิธีเปิดโรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ณ โรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติและกล่าวปาฐกถาในพิธีเปิดโรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ผลิตวัสดุสังเคราะห์จากโปรตีนที่มีความสามารถในการย่อยสลายยทางชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปใช้ในการผลิตสิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีนายเคอิสุเกะ โมริตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สไปเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้การต้อนรับ และมีนางสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติด้วย ณ โรงงาน บริษัท สไปเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40460 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ในฐานะผู้ได้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหาร ก.ท. | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ในฐานะผู้ได้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหาร ก.ท.
เป็นสักขีพยานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ประจำปี 2564 จำนวน 92 นาย ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ 26 มี.ค.64, 1300
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. พล.อ.สุชาติ หนองบัว ลก.รมว.กห. พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รวมทั้ง รอง ปล.กห. ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ เข้าร่วมพิธี โดยมี พล.อ. ประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์ จก.ธน. เป็นผู้กราบบังคมทูลขอนำตุลาการศาลทหาร ก.ท. เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
ในการนี้ พล.ร.ต. ชัยณรงค์ บุณยรัตกลิน ร.น. ในฐานะตุลาการศาลทหารอาวุโส เป็นผู้นำกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายทุกประการ
การถวายสัตย์ปฏิญาณของศาลทหาร ก.ท. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่ง กระทรวงกลาโหมต้องจัดให้มีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่ตุลาการศาลทหารก.ท. จะเข้ารับหน้าที่ ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร พ.ศ.2551
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายสิทธิและปรับเงื่อนไข โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ขยายสิทธิและปรับเงื่อนไข โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3
29 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบขยายเวลาโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 โดยขยายสิทธิเพิ่มเติมอีก 2,000,000 สิทธิ และปรับรายละเอียดเงื่อนไขป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น ลงทะเบียนจองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ ธ.กรุงไทย ส่งข้อมูลให้ ททท. ตรวจสอบว่าการจองนั้นมีความผิดปกติหรือไม่ /สแกนใบหน้าเมื่อเช็คอินห้องพัก /สนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) ในลักษณะร่วมจ่ายร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 600 บาท/คืน เป็นราคาเดียวกันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด / ชำระเงินค่าห้องพัก ผ่านแอป ฯ “เป๋าตัง” /ใช้สิทธิในพื้นที่จังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดในทะเบียนบ้าน เป็นต้น โดยคาดว่าจะเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่เดือนพ.ค. 64 เป็นต้นไป
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายาบรรเทาอาการข้อเสื่อม โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ดีเดย์! 19 เม.ย. 64 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายาบรรเทาอาการข้อเสื่อม โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ดีเดย์! 19 เม.ย. 64
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีจำนวนผู้ป่วยที่ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการที่ได้รับยากลูโคซามีนซัลเฟต (glucosamine) จำนวน 39,560 ราย ผลการเบิกจ่ายค่ายาดังกล่าว เป็นจำนวนเงินกว่า 101.4 ล้านบาท
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีจำนวนผู้ป่วยที่ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการที่ได้รับยากลูโคซามีนซัลเฟต (glucosamine) จำนวน 39,560 ราย ผลการเบิกจ่ายค่ายาดังกล่าว เป็นจำนวนเงินกว่า 101.4 ล้านบาท ประกอบกับหลักเกณฑ์การเบิกค่ายาบรรเทาอาการข้อเสื่อมที่ออกฤทธิ์ช้า และกลุ่มยาฉีดเข้าข้อบรรเทาอาการข้อเสื่อม ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 รวมถึงราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ได้ทำการศึกษาวิจัยข้อมูลผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม มีผลการศึกษาพบว่าปัจจุบันผู้ป่วยมีอายุเฉลี่ยลดลง อีกทั้งการได้รับยากลูโคซามีนซัลเฟตต้องได้รับยาในขนาด 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานาน 3 ปี จะช่วยลดอาการปวดและช่วยลดการแคบของข้อได้ดีกว่าการใช้ยาในระยะสั้น กรมบัญชีกลางจึงร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย และชมรมศัลยแพทย์ข้อสะโพกข้อเข่าแห่งประเทศไทย พิจารณาทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายาบรรเทาอาการข้อเสื่อมที่ออกฤทธิ์ช้า และกลุ่มยาฉีดเข้าข้อบรรเทาอาการข้อเสื่อม ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การเบิกจ่ายค่ายากลูโคซามีนซัลเฟต ให้เป็นไปตามแนวทางกำกับการเบิกจ่ายค่ายากลูโคซามีนซัลเฟต โดยให้ใช้ยากลุ่มนี้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแบบปฐมภูมิ (ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีผล X-ray ตั้งแต่ Kellgren and Lawrence grade 1 - 3 ) เท่านั้น โดยการสั่งใช้ยาต้องไม่เกินครั้งละ 12 สัปดาห์
2. การเบิกจ่ายค่ายาคอนดรอยตินซัลเฟต ไดอะเซอเรน และกลุ่มยาฉีดเข้าข้อบรรเทาอาการข้อเสื่อม ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0422.2/ว 111 ลงวันที่ 24 กันยายน 2555
3. การเบิกจ่ายค่ายาบรรเทาอาการข้อเสื่อมตามข้อ 1 และ 2 ให้เบิกจ่ายในระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ผู้มีสิทธิไม่สามารถนำใบเสร็จรับเงิน มายื่นเบิกค่ายากับส่วนราชการต้นสังกัดได้ทุกกรณี
“การปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว มีความมุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาเพื่อทำการรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ส่งผลให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการเดินทางมารับยา อีกทั้งจะทำให้กรมบัญชีกลางมีฐานข้อมูลสำหรับตรวจสอบและประเมินคุณภาพในการรักษาร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ สถานพยาบาล ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค 0416.2/ว 167 ลงวันที่ 26 มีนาคม 2564 หรือโทรสอบถามที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรักชุมชน เดินหน้าขับเคลื่อน Digital Lifestyle ในงานมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้ว | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
กรุงไทยรักชุมชน เดินหน้าขับเคลื่อน Digital Lifestyle ในงานมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้ว
ธ.กรุงไทยชวนเที่ยวงานวันมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้วครั้งที่ 50 ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกรุงไทยรักชุมชน ชวนชิมและช้อปมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพันธุ์ดีขึ้นชื่อ พร้อมผลิตผลการเกษตรและสินค้าชุมชนมากมายกว่า 130 ร้านค้า ผ่านโครงการเราชนะ คนละครึ่ง และม33 เรารักกัน
ธนาคารกรุงไทยชวนเที่ยวงานวันมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้ว ครั้งที่ 50 ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกรุงไทยรักชุมชน ชวนชิมและช้อปมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพันธุ์ดีขึ้นชื่อ พร้อมผลิตผลการเกษตรและสินค้าชุมชนมากมายกว่า 130 ร้านค้า ผ่านโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง และโครงการ ม33 เรารักกัน สะดวกสบายใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชันเป๋าตังหรือ Krungthai NEXT ร่วมทำบุญกับโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ผ่าน e-Donation ลดการสัมผัสเงินและความเสี่ยงโควิด-19 สนุกกับกิจกรรม แชะ-แชร์-เช็คอิน ถ่ายรูปติดแฮชแท็ก #กรุงไทยรักแปดริ้ว รับของรางวัลมากมาย 26 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 ที่สนามโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งแต่เวลา 9.00 – 21.00 น.
ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนการจัดงานวันมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้ว ครั้งที่ 50 ภายใต้รูปแบบ “ ชิม ช้อป ใช้ ปลอดโควิด No Limit No Alcohol No Foam” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์มะม่วงและผลผลิตทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของเมืองแปดริ้วให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยนายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายสุพร โสฬศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในวันที่ 26 มีนาคม 2564 ณ บริเวณสนามโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร
ผู้ที่มาเที่ยวชมงานสามารถเพลิดเพลินกับการใช้จ่ายออนไลน์ นอกจากมะม่วงแปดริ้วที่มีรสชาติอร่อย เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สินค้าเด่นของงานแล้ว ยังมีผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้าชุมชนมากมายให้เลือกซื้อกว่า 130 ร้านค้า ผ่านโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง และโครงการ ม33 เรารักกันโดยชำระค่าสินค้าด้วยแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือ Krungthai NEXT ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการสัมผัสเงินสดและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ประชาชนที่มาเที่ยวงาน รวมทั้งร้านค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ช้อปปิ้ง ในแบบ Digital Lifestyle
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้จัดตกแต่งจุดถ่ายรูป ให้ประชาชนที่มาเที่ยวงานได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและร่วมกิจกรรม แชะ-แชร์-เช็คอิน โดยติดแฮชแท็ก #กรุงไทยรักแปดริ้ว และแชร์ต่อเพื่อเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจมาเที่ยวงาน โดยสามารถแลกรับกระเป๋าผ้าลิมิเต็ด และของรางวัลอีกมากมายได้ที่จุดบริการธนาคารกรุงไทย พร้อมร่วมทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลกับโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหารผ่านระบบ e-Donation สามารถรับใบอนุโมทนาอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางอีเมล โดยระบบจะจัดส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรเพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนกิจกรรมและงานประจำปีของฉะเชิงเทรา เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้และอาชีพให้กับชุมชน พัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ทำให้ชุมชนและสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่ง#กรุงไทยรักแปดริ้ว เป็นอีกหนึ่งแผนงานภายใต้โครงการกรุงไทยรักชุมชน ที่มุ่งสร้างการเติบโตไปกับทุกภาคส่วนของสังคมไทยอย่างยั่งยืน โดยตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งพาตนเอง ด้วยศักยภาพของคนในชุมชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงาน "สื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน" มุ่งเน้น "แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021" | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงาน "สื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน" มุ่งเน้น "แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021"
โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงาน "สื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน" มุ่งเน้น "แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021"
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมกิจกรรม "สื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน" ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ภายในงานมีโฆษกกระทรวงต่างๆ และผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐเข้าร่วม ณ ห้องเมย์แฟร์ แกรนด์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวบรรยายสรุป ในหัวข้อ "แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021" โดยย้ำว่าในการประชาสัมพันธ์ภาครัฐแม้จะดูเหมือนง่ายแต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นงานที่มีความยากและท้าทาย ที่สำคัญต้องมีการรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนก่อนนำมากำหนดทิศทางในการสื่อสารหรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารของรัฐไปสู่ประชาชน ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ก่อนที่จะนำมาผลิตสื่อในการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ขณะเดียวกัน การประชาสัมพันธ์ภาครัฐต้องต่อสู้กับข่าวลวง หรือ Fake News ที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยุคการสื่อสารดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายกับประเทศเป็นอย่างมาก
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมประชุมตรวจราชการแบบบูรณาการฯ เขตตรวจราชการที่ 12 จังหวัดร้อยเอ็ด | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมประชุมตรวจราชการแบบบูรณาการฯ เขตตรวจราชการที่ 12 จังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมประชุมตรวจราชการแบบบูรณาการฯ เขตตรวจราชการที่ 12 จังหวัดร้อยเอ็ด
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุมการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 รอบที่ 1 เขตตรวจราชการที่ 12 จังหวัดร้อยเอ็ด (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) ณ ห้องประชุม MOC ชั้น 6 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล อาทิ การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนหลังโควิด 19 การจัดการแหล่งน้ำภาคเกษตร ได้แก่ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล และโครงการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของประชาชนในโครงการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ( คทช.) และการแก้ไขปัญหามลพิษทางอาการ เป็นต้น
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40469 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา! ยกเว้นภาษีหน้ากากอนามัย ถึง 30 ก.ย. 64 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ขยายเวลา! ยกเว้นภาษีหน้ากากอนามัย ถึง 30 ก.ย. 64
...
เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่ รัฐบาลจึงได้ขยายเวลาการยกเว้นภาษีหน้ากากอนามัยและวัสดุที่ใช้ในการผลิตหน้ากากออกไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 64 ให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะยังคงมีปริมาณหน้ากากเพียงพอสำหรับความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงประชาชนให้สามารถเข้าถึงสินค้าประเภทหน้ากากได้อย่างทั่วถึง
.
การขยายเวลายกเว้นภาษีหน้ากากครั้งนี้ ประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ
1.การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ หน้ากากกรองเชื้อโรค หน้ากากทางการแพทย์ ฯลฯ
2.การยกเว้นภาษีสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นหน้ากากที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองเชื้อโรค หน้ากากทางการแพทย์ หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ ฯลฯ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40454 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โค้งสุดท้าย! รีบยื่นทบทวนสิทธิ “ม33เรารักกัน” ก่อนปิดรับ 28 มี.ค. นี้ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
โค้งสุดท้าย! รีบยื่นทบทวนสิทธิ “ม33เรารักกัน” ก่อนปิดรับ 28 มี.ค. นี้
...
แจ้งข่าวบอกกล่าวไปยังผู้ประกันตนตามมาตรา33 ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติโครงการ “ม.33เรารักกัน” และประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ ขอให้รีบดำเนินการโดยด่วนภายในวันที่ 28 มี.ค. นี้
.
สำหรับผู้ได้รับ SMS จากธนาคารกรุงไทยว่า ชื่อ-นามสกุลผิด ขอให้กดปุ่มทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน .com
.
ส่วนผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือลงทะเบียนแล้วพบข้อความว่า ลงทะเบียนไม่สำเร็จเนื่องจากท่านไม่ได้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ขอให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดที่ยังไม่หมดอายุ ไปขอทบทวนสิทธิที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ
.
ซึ่งระบบจะประกาศผลการทบทวนสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 5 -11 เม.ย. 64 ที่ www.ม33เรารักกัน .com โดยแบ่งช่วงเวลาการกดยืนยันสิทธิออกเป็น 2 ช่วง
.
กดใช้งานและยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ ระหว่างวันที่ 5 – 11 เม.ย. 64 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่ 12 เม.ย. 64 จำนวน 4,000 บาท
กดใช้งานและยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ ระหว่างวันที่ 12 เม.ย. – 31 พ.ค. 64 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่กดใช้งาน จำนวน 4,000 บาท
.
หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 1
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุม คทช. เน้นย้ำใช้กลไกภาครัฐ ขับเคลื่อนการจัดสรรที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและทำกิน สนับสนุนการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อการวางแผนเกษตรและจัดการที่ดิน | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
นายกฯ ประชุม คทช. เน้นย้ำใช้กลไกภาครัฐ ขับเคลื่อนการจัดสรรที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและทำกิน สนับสนุนการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อการวางแผนเกษตรและจัดการที่ดิน
นายกฯ ประชุม คทช. เน้นย้ำใช้กลไกภาครัฐ ขับเคลื่อนการจัดสรรที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและทำกิน สนับสนุนการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อการวางแผนเกษตรและจัดการที่ดิน
วันที่ 29 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 1/2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ
นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายต่อที่ประชุมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชน โดยที่ดินที่ได้จัดสรรให้ประชาชนไปแล้วจะต้องมีการพัฒนา กระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องไปดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การขุดบ่อน้ำบาดาล สร้างถนนหนทาง เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งจะต้องมีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด โดยที่ดินที่จัดสรรให้ประชาชนไปนั้น เมื่อระบุว่าให้เป็นพื้นที่ที่ทำการเกษตร ถ้ามีแหล่งน้ำดี ดินดี ก็สามารถทำการเกษตรได้ แต่หากพื้นที่นั้นไม่สามารถทำการเกษตรได้ทั้งหมด เพราะมีปัญหาแหล่งน้ำไม่พอเพียง ก็จะต้องหาแนวทางปลดล็อกที่ดินนั้น เพื่อให้สามารถใช้ทำกิจกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางแก้ไขกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับจัดสรรที่ดินสามารถลงทุนประกอบอาชีพอื่นในพื้นที่เหล่านี้ได้ หรือให้ประชาชนสามารถมีหุ้นส่วนในการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยประชาชนอาจรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากพื้นที่นั้น ๆ
นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินซ้ำซ้อน ปัญหารุกล้ำที่ดิน และเรื่องการตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อใช้ในการบริหารจัดการที่ดินด้วย เนื่องจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม จะพบปัญหาผู้ที่ทำการเกษตร เช่น การทำนาที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยบางส่วนก็ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งทำให้ส่งผลต่อวงเงินการประกันราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น จึงขอให้การตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ได้มีการลงในรายละเอียดให้มากขึ้นว่าพื้นที่ใดทำการเกษตรชนิดใด โดยอาจใช้โดรนเข้าร่วมดำเนินการ ซึ่งจะได้สอดรับกับแผนการบริหารจัดการน้ำด้วย โดยขอให้หน่วยที่เกี่ยวข้องได้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! อันดับไทยดีขึ้น ลดขยะพลาสติกในทะเลสำเร็จ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
เฮ! อันดับไทยดีขึ้น ลดขยะพลาสติกในทะเลสำเร็จ
...
ข่าวดี! อันดับของประเทศไทยในด้านการจัดการขยะพลาสติกในทะเลขยับลง แปลว่าดีขึ้น โดยเลื่อนลงมาอยู่อันดับที่ 10 จากเดิมปีที่แล้วอยู่ในอันดับที่ 6 ปีนี้ เนื่องจากเราสามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 25,284 ล้านใบ หรือคิดเป็นน้ำหนัก 228,820 ตัน ดังนั้น จำนวนขยะพลาสติดในทะเลจึงลดลงตามไปด้วย
.
รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เช่น การจัดทำ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก ปี 2561-2573
.
ตั้งเป้าเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม พลาสติกผสมสารอ็อกโซ่ และไมโครบีดส์ ภายในปี 2562
.
เลิกใช้ถุงพลาสติกแบบหูหิ้ว ที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟม หลอด แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ภายในปี 2565
.
และนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ 100% ภายในปี 2570
.
จากนี้ไปจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกทะเลต่อเนื่อง ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG
.
นอกจากนี้ ยังนำข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินมาดำเนินการด้วย เช่น นำระบบมัดจำค่าขวดพลาสติกมาใช้ ออกกฎหมายให้ผู้ผลิตรับผิดชอบในการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ตนผลิต ให้มีเรือเก็บขยะที่เพียงพอทั้งในแม่น้ำ ลำคลอง และทะเล สนับสนุนให้ประชาชนคัดแยกขยะ ฯลฯ
.
หากทุกฝ่ายร่วมมือกันก็จะทำให้ปริมาณขยะในทะเลและที่อื่น ๆ ลดน้อยลง และช่วยให้เป้าหมายที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่มีปริมาณขยะพลาสติกทะเลมากที่สุดในโลกสำเร็จได้โดยเร็ว
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดระเบียบพื้นที่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) รองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดระเบียบพื้นที่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) รองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดระเบียบพื้นที่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) รองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564
โดยมี นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) พร้อมด้วย นางวราภรณ์ ชัยฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารการเดินรถ นำลงพื้นที่บริเวณชานชาลาขาเข้า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ในวันที่ 29 มีนาคม 2564
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ กล่าวว่า การจัดระเบียบพื้นที่ชานชาลาขาเข้า-ขาออกของสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ครั้งนี้ จะช่วยสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน สอดคล้องกับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ บขส. ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ และ ผู้ตรวจการของ บขส. ออกตรวจตราในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาหาประโยชน์กับผู้โดยสาร รวมทั้งแก้ปัญหารถแท็กซี่และจักรยานยนต์รับจ้างผิดกฎหมายเข้ามาหลอกลวงเรียกเก็บค่าโดยสารที่มีราคาสูงกว่ากฎหมายกำหนดด้วย
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 บขส. ได้กำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ดังนี้
1. ผู้โดยสารที่จะเข้าพื้นที่อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) จากพื้นที่ขาเข้า ต้องผ่านจุดคัดกรองบริเวณชานชาลา 3 เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง
2. รถโดยสาร รถยนต์ส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ มีการจัดระเบียบการจราจรสำหรับรถทุกชนิดที่เข้าใช้พื้นที่บริเวณฝั่งขาเข้า ให้เดินรถทางเดียวตามผังจราจรและจอดส่งผู้โดยสารบริเวณช่องชานชาลาที่กำหนดเท่านั้น
3. กำหนดให้รถโดยสาร (รถร่วม) เมื่อจอดส่งผู้โดยสารแล้วให้นำรถออกจากพื้นที่ทันที
4. รถโดยสารขนาดเล็ก (รถตู้) ให้จอดส่งผู้โดยสารบริเวณช่องจอดชานชาลา 1 และ 2 หากประสงค์จะจอดสำรองวินให้ใช้พื้นที่ระหว่างชานชาลา 2 และ 3 เท่านั้น
5. ห้ามรถยนต์ส่วนบุคคลของบุคคลภายนอกเข้าในพื้นที่ชานชาลาขาเข้าโดยเด็ดขาด ทั้งนี้หากฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวจะมีโทษปรับตามระเบียบของ บขส. ต่อไป
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดระเบียบพื้นที่การจราจรภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ให้เป็น Safety Zone นอกจากจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเข้าใช้พื้นที่แล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันปัญหากลุ่มมิจฉาชีพที่เข้ามาก่อกวน และหลอกลวงผู้โดยสารภายในสถานีขนส่ง
นอกจากนี้ บขส. ได้รับมอบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค นาโนไนน์ ซิลเวอร์ นาโน จาก บริษัท นาว่าเทค (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อใช้ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคบนรถโดยสารและภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผ่านการทดสอบว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) และเชื้อไวรัส COVID-19 สามารถออกฤทธิ์ได้นานถึง 14 วันต่อการฉีดพ่น 1 ครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40458 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.เชียงราย พบปะเครือข่ายพัฒนาสังคม พร้อมชู ตำบลสันกลาง เป็นต้นแบบการใช้ "สมุดพกครอบครัว" แก้ปัญหาความยากจนให้ครอบครัวกลุ่มเปราะบาง | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.เชียงราย พบปะเครือข่ายพัฒนาสังคม พร้อมชู ตำบลสันกลาง เป็นต้นแบบการใช้ "สมุดพกครอบครัว" แก้ปัญหาความยากจนให้ครอบครัวกลุ่มเปราะบาง
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.เชียงราย พบปะเครือข่ายพัฒนาสังคม พร้อมชู ตำบลสันกลาง เป็นต้นแบบการใช้ "สมุดพกครอบครัว" แก้ปัญหาความยากจนให้ครอบครัวกลุ่มเปราะบาง
วันที่ 26 มี.ค. 64เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ ณ วัดหัวฝาย อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อพบปะภาคีเครือข่ายการพัฒนาสังคม และร่วมกิจกรรมทางสังคมในพื้นที่ตำบลต้นแบบการจัดสวัสดิการสังคม (ตำบลสันกลาง) พร้อมทั้งมอบความช่วยเหลือต่างๆ ให้กลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ได้แก่ รถเข็นคนพิการ เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และเงินสงเคราะห์
นายจุติ กล่าวว่า วัดหัวฝาย ตำบลสันกลาง อำเภอพาน ถือเป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาสังคมของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ นำโดยท่านพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ เจ้าอาวาสวัดหัวฝ่าย เป็นพระนักพัฒนาที่เสียสละ ทุ่มเทการทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนทุกระดับ ซึ่งสอดคล้องและสนับสนุนภารกิจของกระทรวง พม. ในการช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มเปราะบางโดยสะท้อนเป็นผลงานรูปธรรม อาทิ โรงเรียนผู้สูงอายุตำบลสันกลาง ที่มีการส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายโรงเรียนทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ โดยเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 2554 เป็นต้นมา และในปีงบประมาณ 2561 ได้รับการสนับสนุนจาก อบต.สันกลาง และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอพาน อีกทั้งยังมี ศูนย์ช่วยเหลือสังคมไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นศูนย์ประสานงานเพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลและครอบครัวในภาวะยากลำบาก และการดำเนินกิจการด้านต่างๆ อาทิ ด้านเด็กและเยาวชนท้องถิ่น เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดี ด้านอาสาสมัคร อพม. และแกนนำชุมชน เพื่อสร้างจิตอาสาพัฒนา เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ การลงพื้นที่ครั้งนี้ พบว่า ชุมชนเริ่มมีการใช้ "สมุดพกครอบครัว" ซึ่งเป็นนวัตกรรมขจัดความยากจนของหลายประเทศสำหรับครอบครัวกลุ่มเปราะบาง ที่มีสมาชิกอยู่ในภาวะพึ่งพิง นับเป็นชุมชนตัวอย่าง ซึ่งวันนี้อาจจะยังไม่เห็นผล เพราะเพิ่งเริ่มทำ แต่ในอนาคตย่อมเห็นผลแน่นอน ทั้งนี้ สมุดพกครอบครัวจะทำเป็นเล่มเก็บไว้แต่ละบ้าน เพื่อสมาชิกจะได้รู้ว่าต้องทำหน้าที่อะไร โดยเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการลงพื้นที่เพื่อประเมินครอบครัวว่าเข้าถึงปัจจัย 4 สิทธิและสวัสดิการภาครัฐ การลดละเลิกอบายมุข ตลอดจนการมีอาชีพ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากครัวเรือนยากจนได้เข้าถึงมาตรการรอบด้านแล้ว ย่อมจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งในเบื้องต้น มาตรการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการในหลายจังหวัดเรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40442 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล นั่งหัวโต๊ะ กำหนดแผนพัฒนาแรงงานรับ S-curve | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
นฤมล นั่งหัวโต๊ะ กำหนดแผนพัฒนาแรงงานรับ S-curve
นฤมล เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงาน รับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย นำทีมกำหนดแผนขับเคลื่อนพัฒนาแรงงาน ดึงพันธมิตรร่วมทำงานกว่า 30 หน่วย
วันที่ 29 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ครั้งที่ 1/2564 โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม และอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ ต้องการรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงานป้อน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่กำลังแรงงาน กำหนดแผนปฏิบัติการ รวมถึงเชิญชวนบุคคลหรือคณะบุคคล ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน เข้าร่วมจัดทำแผนพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การประชุมในวันนี้นับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินการของคณะอนุกรรมการในระยะต่อไป มีความชัดเจนและมีประสิทธิผล
คณะอนุกรรมการที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ มีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน เช่น ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้แทนสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งการพัฒนาบุคลากรและกำลังแรงงาน เพื่อป้อนอุตสาหกรรม S-curve นั้น มีหลายหน่วยงานที่มีการจัดทำแผนและดำเนินการอยู่แล้ว การดำเนินงานดังกล่าว จึงควรบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามีประสิทธิภาพ และตอบโจทก์ภาคอุตสาหกรรมได้
ที่ประชุมได้กำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่มีข้อมูลและแผนพัฒนากำลังแรงงานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จัดส่งข้อมูลเพื่อให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานรวบรวมและจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังแรงงานรองรับอุตสาหกรรม S-curve ภายในต้นสัปดาห์หน้า พร้อมนัดประชุมคณะอนุกรรมการอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ซึ่งจะได้เห็นแผนพัฒนาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“การเตรียมแรงงานให้มีความพร้อมในอุตสาหกรรม S-curve จะช่วยให้แรงงานมีทักษะ ความรู้ ความสามารถ เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานได้ ช่วยสร้างอาชีพการส่งเสริมการจ้างงาน และมีรายได้ที่มั่นคงต่อไป ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม จะได้นำไปกำหนดแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนากำลังแรงงานต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40451 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ชื่นชม รพ.จิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ ปรับระบบบริการ วิถีใหม่ ป้องกันโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
สาธิต ชื่นชม รพ.จิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ ปรับระบบบริการ วิถีใหม่ ป้องกันโควิด 19
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมการดำเนินงานโรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ ดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชแบบวิถีใหม่ ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ให้บริการรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้าน ปรึกษาหมอผ่านแอพพลิเคชัน เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการ ได้รับการรักษา
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมการดำเนินงานโรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ ดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชแบบวิถีใหม่ ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ให้บริการรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้าน ปรึกษาหมอผ่านแอพพลิเคชัน เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการ ได้รับการรักษาต่อเนื่อง
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชวิถีใหม่ ป้องกันการแพร่และรับเชื้อโควิด 19 และกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข เน้นการสร้างระบบสนับสนุนสุขภาพจิตในระดับพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการ ทั้งการส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟู รวมทั้งจัดระบบการดูแล บำบัดรักษาอย่างครบวงจร อย่างครอบคลุมในทุกเขตสุขภาพ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิด 19ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเปราะบางมีความเสี่ยงที่อาจจะติดเชื้อได้ ที่ผ่านมาได้มีการปรับการบริการในรูปแบบวิถีใหม่ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการ และเจ้าหน้าที่ ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 โดยจัดจุดคัดกรองซักประวัติ วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้ารับบริการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย และเน้นย้ำให้หมั่นล้างมือ ซึ่งในทุกขั้นตอนที่เข้ารับบริการ จะจำกัดจำนวนผู้ป่วยและญาติ รวมถึงปรับรูปแบบการรักษาสำหรับผู้ป่วยจิตเวชที่สามารถควบคุมได้ โดยใช้เทคโนโลยีปรึกษาทางไกลผ่านแอพพลิเคชัน และสามารถรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการและให้รับการรักษาต่อเนื่อง
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ โรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ ได้ปรับการดูแลผู้ป่วยจิตเวชแบบชั่วคราวระยะสั้น (Respite care) โดยการฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชร่วมกันระหว่างครอบครัว โรงพยาบาลและชุมชนให้ผู้ป่วยที่ขาดยาอาการกำเริบรุนแรงและไม่สามารถอยู่ร่วมกับชุมชน ให้สามารถกลับสู่สังคมได้ โดยให้ผู้ป่วยพักฟื้นที่บ้านสลับกับการเข้ารับการฟื้นฟูในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเองในด้านต่าง ๆ ด้วยกิจกรรม อาทิ การทำความสะอาดร่างกาย การรับประทานอาหาร การฝึกอาชีพ เป็นต้น ภายหลังจากเริ่มโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2563 มีผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ 46 ราย พบว่า ผู้ป่วยไม่มีอาการกำเริบรุนแรง รู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และอยู่ร่วมกับครอบครัวและชุมชนได้ ลดความวิตกกังวล ของครอบครัวและญาติ รู้สึกปลอดภัย มีความสุขและคุณภาพชีวิตดีขึ้น ชุมชน ปลอดภัย ดำรงชีวิตได้ตามปกติ
สำหรับโรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ สังกัดกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข รองรับการดูแลรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการยุ่งยากซับซ้อนในเขตสุขภาพที่ 6 พัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพจิตและจิตเวช อาทิ โรคจิต โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก ผู้มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย ผู้ประสบเหตุสะเทือนขวัญ เป็นต้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยีและการรักษาจิตเวชทางเลือกเพื่อวิจัยและพัฒนาการรักษาควบคู่ไปกับแผนปัจจุบัน ได้แก่ การรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(TMS) ในผู้ป่วยซึมเศร้า อาชาบำบัดในเด็ก กัญชาทางการแพทย์ อาชีวะบำบัดและกิจกรรมบำบัด เป็นต้น
*********************** 29 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40461 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามรถไฟทางคู่สายใต้ และปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมดูงานโรงผลิตชิ้นส่วนระบบราง | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามรถไฟทางคู่สายใต้ และปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมดูงานโรงผลิตชิ้นส่วนระบบราง
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เดินทางด้วยรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 43 (กรุงเทพ - สุราษฎร์ธานี) เพื่อติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร
และร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการก่อสร้างสะพานทางข้ามทางรถไฟและจุดตัดรถไฟทางคู่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 โดยมี ดร.อรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรอำนวยการศูนย์โครงการก่อสร้าง ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้างพร้อมเจ้าหน้าที่ รฟท. และผู้รับจ้างงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ให้การต้อนรับและร่วมหารือ
สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วง (นครปฐม-ชุมพร) นี้ได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1.ช่วงนครปฐม - หัวหิน (สัญญาที่ 1 ระยะทาง 93 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 83.915%) (สัญญาที่ 2 ระยะทาง 76 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 83.135%) 2.ช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ (สัญญาที่ 3 ระยะทาง 84 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 83.695%) และ 3.ช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร (สัญญาที่ 4 ระยะทาง 88 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 76.193%) (สัญญาที่ 5 ระยะทาง 79 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 68.256%) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีกำหนดการแล้วเสร็จในปี 2565 และจากกรณีปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการก่อสร้างสะพานทางข้ามทางรถไฟและจุดตัดรถไฟทางคู่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการสัญจร ซึ่ง การรถไฟแห่งประเทศได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาการน้ำท่วมจากทางลอดใต้ทางรถไฟ จึงเปลี่ยนเป็นสะพานกลับรถขนาดเล็ก ในเขตทางรถไฟเพื่อให้เกิดความสะดวกกับประชาชนในพื้นที่
จากนั้นได้เดินทางเข้าเยี่ยมชมการประกอบโบกี้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ (บทต.) ต้นแบบ ที่บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อกำหนดแนวทางในการศึกษา วิจัยและพัฒนาต่อยอดและผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศ และการใช้ local content อย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชาฯ ย้ำการสื่อสารภาครัฐต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย รับฟังเสียงประชาชน สร้างความเข้าใจทุกมิติ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รมต.นร. นายอนุชาฯ ย้ำการสื่อสารภาครัฐต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย รับฟังเสียงประชาชน สร้างความเข้าใจทุกมิติ
รมต.นร. นายอนุชาฯ ย้ำการสื่อสารภาครัฐต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย รับฟังเสียงประชาชน สร้างความเข้าใจทุกมิติ
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องเมย์แฟร์ แกรนด์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพมหานคร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกิจกรรม "สื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน" ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีโฆษกกระทรวง และผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐเข้าร่วม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวบรรยายสรุป ในหัวข้อ "แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021" โดยย้ำว่าในการประชาสัมพันธ์ภาครัฐแม้จะดูเหมือนง่ายแต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นงานที่มีความยากและท้าทาย ที่สำคัญต้องมีการรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนก่อนนำมากำหนดทิศทางในการสื่อสารหรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารของของรัฐไปสู่ประชาชน ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ก่อนที่จะนำมาผลิตสื่อในการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ขณะเดียวกัน การประชาสัมพันธ์ภาครัฐต้องต่อสู้กับเขาลวง หรือ Fake News ที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยุคการสื่อสารดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายกับประเทศเป็นอย่างมาก
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชาสัมพันธ์ภาครัฐต้องคำนึงถึงการขยายผลประเด็นต่างๆ สู่การสร้างการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน เพื่อให้เกิดการต่อยอดไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ภาคการเกษตรที่เน้นโครงการโคกหนองนาโมเดล โดยอาจต้องขยายผลต่อยอดสู่การนำผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาด สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรสามารถอยู่รอดและมีกำลังซื้อ ซึ่งต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ภาครัฐในการสื่อสารเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งนี้ เพราะการประชาสัมพันธ์มีส่วนในการเปลี่ยนมิติ วิธีคิด และทัศนคติในการชี้นำสังคมได้
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เทกระจาด!!! ธอส. ประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 5 ชม. ขายได้ เกินครึ่งพันล้านบาท | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
เทกระจาด!!! ธอส. ประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 5 ชม. ขายได้ เกินครึ่งพันล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง ลดยิ่งใหญ่ ประจำปี 2564” จำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 588 รายการ มูลค่ารวม 600 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ขายได้ราคาสูงสุด คือ อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น อ.เมือง จ.ชลบุรี จำหน่ายได้ในราคา 6,685,000 บาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (27 มีนาคม 2564) ธนาคารได้จัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง ลดยิ่งใหญ่ ประจำปี 2564” หรือ งานประมูลขายบ้านมือสอง ครั้งที่ 1/2564 (ทรัพย์ NPA) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม ตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ด้วยการนำทรัพย์ NPA ของธนาคารออกประมูลแบบออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ตั้งแต่ เวลา 9.30-15.00 น. นั้น ผลปรากฏว่า ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 588 รายการ คิดเป็นมูลค่า 599.25 ล้านบาท แบ่งเป็น ทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 97 รายการ มูลค่า 94.81 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาคจำนวน 491 รายการ มูลค่า 504.44 ล้านบาท โดยรายการทรัพย์ที่มีราคาจำหน่ายต่ำสุดในครั้งนี้ คือ ห้องชุด ขนาด 26.25 ตารางเมตร โครงการปลาทอง จ.ปทุมธานี จำหน่ายได้ในราคาเพียง 45,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่มีผู้สนใจประมูลมากที่สุด คือ ที่ดินเปล่า ขนาดเนื้อที่ 100 ตารางวา อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 70,000 บาท สามารถปิดประมูลได้ในราคา 230,000 บาท โดยมีเข้าร่วมประมูลถึง 9 ราย และบ้านเดี่ยว ขนาดเนื้อที่ 100 ตารางวา โครงการอัครแลนด์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 900,000 บาท สามารถปิดประมูลได้ ในราคา 1,020,000 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมประมูลถึง 7 ราย ขณะที่ทรัพย์ที่มีราคาจำหน่ายสูงที่สุด คือ อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น อ.เมือง จ.ชลบุรี จำหน่ายได้ในราคา 6,685,000 บาท สะท้อน ให้เห็นถึงความน่าสนใจของทรัพย์ NPA ของ ธอส.ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของประชาชน
ขณะเดียวกันธนาคารยังช่วยแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้า โดยให้สิทธิ์เลือกใช้มาตรการพิเศษ อาทิ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน หรือ เทดาวน์และยื่นกู้เลย ก็ได้สิทธิ์เลือกใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!!! หากโอนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ประมูลซื้อได้ สำหรับผู้ที่พลาดการประมูลในครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมการประมูลทรัพย์ทั่วประเทศ แบบออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เป็นประจำทุกเดือน ซึ่งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 16 เมษายน และวันที่ 23 เมษายน 2564 ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ หารือไทยซับคอนหนุนลงทุนโซลาร์เซลล์ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
บีโอไอ หารือไทยซับคอนหนุนลงทุนโซลาร์เซลล์
นายชนินทร์ ขาวจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (ที่ 2 จากขวา) ให้การต้อนรับนายเกียรติศักดิ์ จิระขจรวงศ์ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน)
นำคณะนักลงทุนกลุ่มผู้ผลิตโซลาร์เซลล์ จาก MLT Solar Energyและนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง33ร่วมหารือแนวทางการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานโซลาร์เซลล์ ณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ควง สินิตย์ ประชุมผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ทันที เดินหน้า 14 แผนงาน | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
จุรินทร์ ควง สินิตย์ ประชุมผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ทันที เดินหน้า 14 แผนงาน
พร้อมแบ่ง 3 กรมและ 3 องค์การ ให้รัฐมนตรีช่วยคนใหม่ดูแล ด้าน "สินิตย์" ประกาศ "พร้อมทำงานเป็นทีม"
วันที่ 29 มีนาคม 2564 เวลา 9.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกันหลังจากที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่เดินทางเข้ามารับหน้าที่วันนี้ ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์จัดพิธีต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสินิตย์ เลิศไกร) ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่ท่านเข้ารับตำแหน่งในวันนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ให้คณะผู้บริหารบรรยายภารกิจต่างๆให้รัฐมนตรีช่วยได้รับทราบในเบื้องต้น
จากนั้น นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุด และในวันที่ 27 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้มีกำลังกาย ให้มีกำลังใจ กำลังปัญญา ปฎิบัติหน้าที่ให้ดีเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ตนได้เดินทางมาที่กระทรวงพาณิชย์ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและจะได้ทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต ตนเน้นการทำงานเป็นทีมและอยู่ในหลักของธรรมาภิบาล เพื่อผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางคือเศรษฐกิจเจริญเติบโต สู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตนมั่นใจว่าโดยประสบการณ์ในฐานะที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติของท่านรัฐมนตรีช่วย ที่สั่งสมมาตลอดการเป็นผู้แทนราษฎร 5 สมัยของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจะมีส่วนสำคัญในการเป็นพื้นฐานก้าวเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายบริหารในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี และจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้นโยบายของกระทรวงพาณิชย์บรรลุเป้าหมายประสบความสำเร็จต่อไป จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งงานของกระทรวงพาณิชย์มีอยู่จำนวนมากและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน ท่านจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยทำงานให้กับรัฐมนตรีว่าการและจับมือกับเพื่อนข้าราชการทุกท่านในการพากระทรวงเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลสามารถรับใช้ราชการและรับใช้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้เป็นอย่างดี
และต่อจากนั้น นายจุรินทร์ได้ลงนามแบ่งงานของกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีภารกิจ 7 กรม 3 องค์การมหาชนกับ 1 รัฐวิสาหกิจ โดยจะมอบงานให้เช่นเดียวกับที่เคยมอบให้กับรัฐมนตรีช่วย"วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล " ก่อนหน้านี้ทุกประการโดยมอบงานให้รัฐมนตรีช่วยสั่งปฏิบัติราชการ 3 กรม คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ 3 องค์การมหาชนจะมอบให้ท่านดูทั้งหมดทั้งสถาบันอัญมณี ไอทีดี และศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ โดยนายจุรินทร์ระบุด้วยว่ามั่นใจว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระและขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบโดยตรงไปสู่ความสำเร็จได้ต่อไป และขอถือโอกาสมอบแผนงานปี 64 ที่ตนและเพื่อนข้าราชการทั้งกระทรวงกำหนดร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนในปี 64 จำนวน 14 แผนงาน ที่จะถือเป็นแผนแม่บทสั่งปฏิบัติราชการต่อไป จากนั้นและนายจุรินทร์ และข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบดอกไม้แสดงการต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งมอบคำสั่งแบ่งงานและ 14 แผนงานปี 2564 ของกระทรวงพาณิชย์โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย
วันที่ 29 มีนาคม 2564 เวลา 9.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกันหลังจากที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่เดินทางเข้ามารับหน้าที่วันนี้ ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์จัดพิธีต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสินิตย์ เลิศไกร) ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่ท่านเข้ารับตำแหน่งในวันนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ให้คณะผู้บริหารบรรยายภารกิจต่างๆให้รัฐมนตรีช่วยได้รับทราบในเบื้องต้น
จากนั้น นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุด และในวันที่ 27 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้มีกำลังกาย ให้มีกำลังใจ กำลังปัญญา ปฎิบัติหน้าที่ให้ดีเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ตนได้เดินทางมาที่กระทรวงพาณิชย์ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและจะได้ทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต ตนเน้นการทำงานเป็นทีมและอยู่ในหลักของธรรมาภิบาล เพื่อผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางคือเศรษฐกิจเจริญเติบโต สู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตนมั่นใจว่าโดยประสบการณ์ในฐานะที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติของท่านรัฐมนตรีช่วย ที่สั่งสมมาตลอดการเป็นผู้แทนราษฎร 5 สมัยของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจะมีส่วนสำคัญในการเป็นพื้นฐานก้าวเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายบริหารในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี และจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้นโยบายของกระทรวงพาณิชย์บรรลุเป้าหมายประสบความสำเร็จต่อไป จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งงานของกระทรวงพาณิชย์มีอยู่จำนวนมากและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน ท่านจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยทำงานให้กับรัฐมนตรีว่าการและจับมือกับเพื่อนข้าราชการทุกท่านในการพากระทรวงเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลสามารถรับใช้ราชการและรับใช้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้เป็นอย่างดี
และต่อจากนั้น นายจุรินทร์ได้ลงนามแบ่งงานของกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีภารกิจ 7 กรม 3 องค์การมหาชนกับ 1 รัฐวิสาหกิจ โดยจะมอบงานให้เช่นเดียวกับที่เคยมอบให้กับรัฐมนตรีช่วย"วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล " ก่อนหน้านี้ทุกประการโดยมอบงานให้รัฐมนตรีช่วยสั่งปฏิบัติราชการ 3 กรม คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ 3 องค์การมหาชนจะมอบให้ท่านดูทั้งหมดทั้งสถาบันอัญมณี ไอทีดี และศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ โดยนายจุรินทร์ระบุด้วยว่ามั่นใจว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระและขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบโดยตรงไปสู่ความสำเร็จได้ต่อไป และขอถือโอกาสมอบแผนงานปี 64 ที่ตนและเพื่อนข้าราชการทั้งกระทรวงกำหนดร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนในปี 64 จำนวน 14 แผนงาน ที่จะถือเป็นแผนแม่บทสั่งปฏิบัติราชการต่อไป จากนั้นและนายจุรินทร์ และข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบดอกไม้แสดงการต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งมอบคำสั่งแบ่งงานและ 14 แผนงานปี 2564 ของกระทรวงพาณิชย์โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. สานต่อความร่วมมือยูนิเซฟ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ศธ. สานต่อความร่วมมือยูนิเซฟ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางคิม คยองซัน (Ms. Kyungsun Kim) ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางคิม คยองซัน (Ms. Kyungsun Kim) ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ ณ ห้องดำรงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการและองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้ดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำ การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กปฐมวัย นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีที่จะสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ครูได้มีทักษะความรู้ด้านดิจิทัลอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนการสอนได้
ในส่วนของการจัดสรรวัคซีน COVID-19 นั้น ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่สามารถบริหารจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อย่างดี โดยยินดีที่จะสนับสนุนข้อคิดเห็นของยูนิเซฟ ในการส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องจากครูเป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และคนในชุมชนอยู่เสมอ
“กระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับ UNRC, ITU, UNICEF และ UNESCO จัดทำงานวิจัยเรื่องความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษา ซึ่งได้ลงพื้นที่สำรวจโรงเรียนนำร่อง จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านใหม่ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และโรงเรียนบ้านแก่งจอ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ตลอดจนร่วมกันดูแลและให้ความช่วยเหลือเด็กตกหล่นหรือเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา จึงถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญที่ได้ดำเนินการร่วมกับยูนิเซฟด้วย” คุณหญิงกัลยา กล่าว
นางคิม คยองซัน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมจึงเป็นสิ่งที่ยูนิเซฟให้ความสำคัญเสมอมา ซึ่งขณะนี้ยูนิเซฟกำลังรวบรวมรายละเอียดข้อมูลโครงการต่าง ๆ ให้มีความเป็นเอกภาพในการประสานงาน และมีความพร้อมในการดำเนินงานกับทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม โดยจะประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสานต่อและดำเนินความร่วมมือโครงการต่าง ๆ ร่วมกันต่อไป ในส่วนของการจัดการเรียนการสอนในช่วง COVID-19 ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ ยูนิเซฟให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ รวมทั้งการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาในช่วงวิกฤต COVID-19
ทั้งนี้ ประเทศไทยและยูนิเซฟได้ดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาในหลากหลายมิติ อาทิ การเรียนรู้ด้านดิจิทัลและการจัดการศึกษาด้านเทคโนโลยีด้วยความเสมอภาค, การศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐานและการศึกษาแบบพหุภาษา, การให้ความช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารและเด็กข้ามชาติ, การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล, การส่งเสริมการอ่านและการรู้หนังสือในประเทศไทย, การส่งเสริมความปลอดภัยในโรงเรียนและสุขภาพจิตเพื่อสนับสนุนประสิทธิผลทางการเรียนรู้, การผลิตเอกสารคู่มือครูในการส่งเสริมความรู้ด้าน COVID-19 เป็นต้น
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40462 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย จ.กาฬสินธุ์ พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายแรก เชื่อมโยงตลาดบางแค | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
สธ. เผย จ.กาฬสินธุ์ พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายแรก เชื่อมโยงตลาดบางแค
กระทรวงสาธารณสุข เผยจังหวัดกาฬสินธุ์ พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากการระบาดระลอกใหม่ มีความเชื่อมโยงกับตลาดบางแค พบความเสี่ยงมาจากสัมผัสใกล้ชิด อยู่ในที่พักเดียวกัน ละเลยการสวมหน้ากากอนามัย ย้ำเข้มมาตรการป้องกันส่วนบุคคล การ์ดไม่ตก ผลฉีดวัคซีนเข็มแรก
กระทรวงสาธารณสุข เผยจังหวัดกาฬสินธุ์ พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากการระบาดระลอกใหม่ มีความเชื่อมโยงกับตลาดบางแค พบความเสี่ยงมาจากสัมผัสใกล้ชิด อยู่ในที่พักเดียวกัน ละเลยการสวมหน้ากากอนามัย ย้ำเข้มมาตรการป้องกันส่วนบุคคล การ์ดไม่ตก ผลฉีดวัคซีนเข็มแรก ทั้ง 13 จังหวัด ครบ 100% เกือบทั้งหมด
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 39 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 16 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 12 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 11 รายไม่มีผู้เสียชีวิต และรักษาหายเพิ่มขึ้น 74 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 29 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 23,136 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.29 อยู่ระหว่างการรักษา 1,366 ราย และเสียชีวิตสะสม 34 คน ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อใน 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 10 ราย กทม. 15 ราย ราชบุรี มหาสารคาม และกาฬ์สินธุ์ จังหวัดละ 1 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายแรกของจังหวัดกาฬ์สินธุ์ เป็นหญิง อายุ 35 ปี อาชีพพนักงานขายประกันในห้างสรรพสินค้า มีความเชื่อมโยงกับเพื่อนที่ค้าขายอยู่ในตลาดบางแค โดยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม เดินทางไปหาเพื่อนที่กทม. พักอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน ใกล้ชิด ไม่ได้สวมหน้ากาก วันที่ 24 มีนาคม เดินทางกลับจ.กาฬสินธุ์ โดยเครื่องบิน จากนั้นวันที่ 26 มีนาคม เริ่มมีอาการปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ และวันที่ 27 มีนาคม เดินทางไปโรงพยาบาลตรวจหาเชื้อ ผลพบเชื้อ ขณะนี้เข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ในส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 28 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนแล้ว 154,293 โดส แบ่งเป็นฉีดเข็มแรกแล้ว 133,110 ราย ฉีดครบ 2 เข็ม 21,183 ราย ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับจังหวัดที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกได้ครบ 100 % ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ชลบุรี ภูเก็ต และสุราษฏร์ธานี อย่างไรก็ตามแม้จะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ขอให้ยังคงเข้มมาตรการป้องกันส่วนบุคคล สวมหน้ากากให้ได้ 100% เว้นระยะห่าง ล้างมืออย่างต่อเนื่อง หากประมาท การ์ดตกก็มีโอกาสติดเชื้อได้
“ใกล้เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ควรมีการวางแผนการเดินทาง หลีกเลี่ยงจุดพักรถที่มีคนแออัด และขอความร่วมมือประชาชน เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต แล้วอาจติดเชื้อโควิด 19 ได้ จากการมึนเมา ทำให้ขาดสติ ละเลยการเว้นระยะห่าง กินดื่มสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบการติดเชื้อในหลายครั้งที่ผ่านมา”นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
********************************** 29 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ องค์กรในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40464 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564
เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น
“เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ภายในประเทศที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง การฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมาตรการของภาครัฐที่มีส่วนสำคัญในการพยุงกำลังซื้อของผู้บริโภค”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ภายในประเทศที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง การฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมาตรการของภาครัฐที่มีส่วนสำคัญในการพยุงกำลังซื้อของผู้บริโภค”
โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 12.3 และ 0.6 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล หรือหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -30.7 และ -5.9 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี เช่นเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 47.8 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ระลอกใหม่ภายในประเทศเริ่มคลี่คลายลง ประกอบกับมีความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน COVID -19 ภายในประเทศ รวมถึงมาตรการของภาครัฐช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 18.6 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัวในอัตราชะลอลงที่ร้อยละ -2.3 ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ขนาดใหญ่ เช่นเดียวกันกับภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 2.9 ต่อปี
มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -2.6 ต่อปี แต่เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำ พบว่าขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักและผลไม้ และยางพารา ขยายตัวร้อยละ 46.6 42.9 และ 22.9 ต่อปี ตามลำดับ รวมถึงการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องปรุงรส ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ โทรศัพท์และอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น และ 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น อย่างไรก็ดี การส่งออกทองคำ และสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ยังคงลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่อง ที่ร้อยละ 19.7 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย จีน และเอเชียใต้ ขยายตัวที่ร้อยละ 18.3 15.7 และ 13.9 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกไปตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ยังคงลดลงที่ร้อยละ -11.8 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85.1 จากระดับ 83.5 ในเดือนมกราคม 2564 โดยได้รับมีปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกัน COVID-19 ของภาครัฐ ส่งผลให้การดำเนินกิจการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการสนับสนุนกำลังซื้อของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า สำหรับบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 5,741 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน เป็นต้น ในขณะที่ภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ -1.4 ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตข้าวเปลือก และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -1.2 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.04 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 52.0 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 253.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง กำหนดวงเงินสินเชื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละรายได้ไม่เกินร้อยละ 40
นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ครั้งที่ 3/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าที่ประชุมได้พิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาวงสินเชื่อตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการจัดทำร่างหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาวงเงินสินเชื่อตามโครงการเพื่อเป็นกรอบการพิจารณาให้สามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการให้ได้รับประโยชน์ในการดำเนินโครงการอย่างทั่วถึง โดยได้นำเสนอให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีร่างข้อหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ว่า การยางแห่งประเทศไทยได้พิจารณากำหนดวงเงินสินเชื่อตามโครงการของผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละรายได้ไม่เกินร้อยละ 40 ของวงเงินสินเชื่อตามโครงการ ภายใต้วงเงินสินเชื่อคงเหลือ เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด เป็นการกระจายให้เอกชนแต่ละรายสามารถสมัครเข้าโครงการได้ และทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ด้วย
ทั้งนี้ โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ภายใต้โครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ โดยผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ำที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 3 ตลอดอายุโครงการ 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2569) ไม่เกินปี พ.ศ. 2569 และธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารรัฐ (สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) ได้ทุกธนาคาร สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางตามโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40466 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้ากวาดล้างยาเสพติด เพื่อความมั่นคงของชาติ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
เดินหน้ากวาดล้างยาเสพติด เพื่อความมั่นคงของชาติ
...
“ยาเสพติด” ถือเป็นปัญหาที่รัฐบาล ยกให้เป็นวาระเร่งด่วน เพราะเมื่อบ้านเมืองมีภัยจากยาเสพติด ปัญหาหลาย ๆ อย่างก็จะตาม เช่น ปัญหาครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศชาติ หลายปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งจาก ป.ป.ส. ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง ทำงานกันอย่างหนัก เร่งกวดขันและกวาดล้าง จับกุมคดียาเสพติด
.
จากรายงานผลดำเนินการปราบปรามยาเสพติด ช่วงปี 2560 – 2563 ของ ป.ป.ส. เห็นได้ว่า ทุกภาคส่วนได้ระดมทีมแก้ไขปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถจับกุมคดียาเสพติดทั่วประเทศได้อย่างมากมาย ดังนี้ ปี พ.ศ. 2560 มีจำนวนคดี 181,806 คดี, ปี พ.ศ. 2561 มีจำนวนคดี 220,286 คดี, ปี พ.ศ. 2562 มีจำนวนคดี 182,782 คดี, ปี พ.ศ. 2563 จำนวนคดี 324,552 คดี
.
สำหรับการแก้ไขปัญหายาเสพติดในปี 2564 จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2563 - 2565 ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2563 เพื่อมุ่งลดระดับปัญหายาเสพติดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายใน 3 ปี ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ประกอบด้วย พื้นที่แพร่ระบาดลดลงอย่างน้อยร้อยละ 10 จากปีที่ผ่านมา, ผู้เสพรายใหม่ (ช่วงอายุ 15 - 24 ปี) ไม่เกินร้อยละ 60 ของผู้เสพรายใหม่ทั้งหมด, และร้อยละ 55 ของผู้ป่วยยาเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องจนถึงการติดตาม (Retemtion Rate)
.
ล่าสุด รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดปฏิบัติการ “พาลีปราบยา” เพื่อตามติดเส้นทางการเงินผู้ค้ายาเสพติดอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายในการอายัดทรัพย์สินเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดให้ได้ถึง 6,000 ล้านบาท
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40440 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนผู้รับสิทธิ “คนละครึ่ง” รีบใช้ให้ครบก่อนหมดเขต | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
เตือนผู้รับสิทธิ “คนละครึ่ง” รีบใช้ให้ครบก่อนหมดเขต
วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลขอเชิญประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการ “คนละครึ่ง” ทั้งเฟส 1 และเฟส 2 ที่ได้รับสิทธิวงเงิน 150 บาท/วัน หรือสูงสุดไม่เกิน 3,500 บาทตลอดโครงการ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง และยังมีวงเงินสิทธิเหลืออยู่ เร่งใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ร่วมโครงการให้ครบ 3,500 บาท ก่อนจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 มี.ค. 64 หากพ้นกำหนดดังกล่าวจะไม่สามารถใช้สิทธิวงเงินที่เหลือได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิทธิของตนเองแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากผ่านการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอยมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยรักษาระดับและทิศทางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน สร้างความมั่นใจนักลงทุน สถานการณ์โควิด 19 คุมได้ เดินหน้าเปิดประเทศอย่างปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
อนุทิน สร้างความมั่นใจนักลงทุน สถานการณ์โควิด 19 คุมได้ เดินหน้าเปิดประเทศอย่างปลอดภัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะนักลงทุนสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด 19 เผยตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนนักลงทุนมีความมั่นใจขึ้น ภาคการลงทุนเริ่มฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงให้ได้ตามเป้า 100%
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะนักลงทุนสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด 19 เผยตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนนักลงทุนมีความมั่นใจขึ้น ภาคการลงทุนเริ่มฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงให้ได้ตามเป้า 100% เน้นพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย และมาตรการลดวันกักตัว กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว เพื่อการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย
วันนี้ (29 มีนาคม 2564) ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสวนาสร้างความมั่นใจนักวิเคราะห์ นักลงทุนประเด็น “มาตรการด้านสาธารณสุขต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการณ์โควิด 19” โดยนายอนุทินกล่าวว่า ในวันนี้ได้พูดคุย ตอบคำถาม ชี้ให้เห็นทิศทางการวางแผนบริหารประเทศในช่วงสถานการณ์โควิด 19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักวิเคราะห์และนักลงทุน โดยประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจมากคือ วัคซีนโควิด 19 และการเปิดประเทศ ได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลได้สนับสนุนและพยายามจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเต็มที่ ทำให้ไทยมีวัคซีนให้กับประชาชนได้ถึง 37 ล้านคน เพียงพอสำหรับกลุ่มเสี่ยงทุกคนในประเทศที่กำหนดไว้ประมาณ 30 ล้านคนซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนด โดยจะฉีดให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง และการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นจะนำร่องในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย โดยจะส่งวัคซีนของซิโนแวคล็อตใหม่จำนวน 800,000 โดส ไปยังภูเก็ต 100,000 โดส และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 50,000 โดส สร้างความปลอดภัย เรียกความเชื่อมั่นเมืองท่องเที่ยวกลับคืนมา และเตรียมความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยว
สำหรับประเด็นลดวันกักตัวนั้น ศบค. ได้มีมติลดวันกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศที่ไม่ได้มีความเสี่ยงสูงมาก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป จาก 14 วัน เหลือ 10 วัน และผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบทั้ง 2 เข็ม จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา สำหรับการคลายล็อคการเดินทางระหว่างประเทศ เบื้องต้นจะเจราจากับประเทศที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับ หรือได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะประกาศให้ทราบต่อไป นอกจากนี้ยังมีการหารือประเด็นการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มแล้ว ให้เข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัวในระยะต่อไป โดยต้องบริหารจัดการให้อยู่ในพื้นที่จำกัดเพื่อความมั่นใจในความปลอดภัย
“จากการพูดคุยกับกลุ่มนักวิเคราะห์ นักลงทุนในครั้งนี้ พบว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น ตลาดทุนไทยมีต่างชาติให้ความสนใจ คาดว่าเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการหรือเปิดประเทศได้ ปี 2565 จะเป็นปีที่ดีของตลาดลงทุนไทย” นายอนุทินกล่าว
***************************************** 29 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40472 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เคาะชื่อ Thailand Pavilion ภายใต้แนวคิด “TRUST Thailand” เตรียมเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ประเทศเนเธอร์แลนด์ | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เคาะชื่อ Thailand Pavilion ภายใต้แนวคิด “TRUST Thailand” เตรียมเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ประเทศเนเธอร์แลนด์
กระทรวงเกษตรฯ เคาะชื่อ Thailand Pavilion ภายใต้แนวคิด “TRUST Thailand” เตรียมเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ประเทศเนเธอร์แลนด์
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ครั้งที่ 2 / 2564 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ได้อนุมัติหลักการโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ เมือง Almere ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างเดือน เมษายน - ตุลาคม 2565 ซึ่งจากการหารือในที่ประชุมฯ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการฯ ได้มีมติเห็นชอบการเข้าร่วมงาน EXPO 2022 Floriade Almere ภายใต้ชื่อ Thailand Pavilion
“สำหรับการเข้าร่วมงาน EXPO 2022 Floriade Almere ในชื่อ Thailand Pavilion จะนำเสนอภายใต้แนวคิด“TRUST Thailand” ซึ่งหมายถึง “เป็นที่นิยม (Trendy) เข้าถึงง่าย (Reachable) ใช้ประโยชน์ได้ (Utility) อย่างปลอดภัย / ยั่งยืน (Safety / Sustainability) และใช้เทคโนโลยี (Technology)” และแนวคิดย่อย คือ 3S : Safety Security and Sustainability ตลอดจนใช้ BCG โมเดล หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) และ Smart City สนับสนุนแนวคิดและนำไปประกอบในการจัดนิทรรศการใน Thailand Pavilion ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ประเทศไทย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเกษตร อาหาร ตลอดจนการท่องเที่ยว โดยภายในงานจะประกอบไปด้วยอาคารนิทรรศการ ทั้งแบบการจัดแสดงนิทรรศการถาวร นิทรรศการชั่วคราว (นิทรรศการหมุนเวียน) ห้องเอนกประสงค์ ห้องทำงาน ศูนย์บริการข้อมูลประเทศไทย เป็นต้น ส่วนในด้านของสวนไทย จะเน้นการจัดแสดงสวนที่แสดงความหลากหลายของพรรณไม้ สระน้ำ สนามเด็กเล่น โรงเรือนกระจก ลานกิจกรรม เป็นต้น นอกจากนี้แนวคิดดังกล่าวยังถูกคิดขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักของงาน คือ Growing Green Cities (การเติบโตของเมืองสีเขียว)” ดร.ทองเปลว กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการอำนวยการการจัดงานฯ ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานจัดงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) รวมจำนวน 6 คณะ ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการจัดงานฯ โดยมีหน้าที่ กำกับ ดูแล ขับเคลื่อน การดำเนินการจัดงานฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามรูปแบบและแผนงานที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ 2. คณะทำงานด้านการจัดทำ Thailand Pavilion 3. คณะทำงานด้านการจัดนิทรรศการและบริการข้อมูลประเทศไทย 4. คณะทำงานจัดกิจกรรมสัปดาห์ประเทศไทย กิจกรรมทางวัฒนธรรม และกิจกรรมพิเศษ 5.คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ จัดทำสื่อ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย และ 6. คณะทำงานด้านการศึกษาดูงานและการเจรจาธุรกิจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40467 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 | วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของภาครัฐและสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของภาครัฐ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เริ่มคลี่คลายลง”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของภาครัฐ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เริ่มคลี่คลายลง” โดยมีรายละเอียดดังนี้
เศรษฐกิจภาคตะวันออกส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 20.0 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.6 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 185.9 ต่อปี ด้วยจำนวน 7.0 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าชะลอตัวที่ร้อยละ -53.7 ต่อปี โดยเป็นเงินทุนของโรงงานผลิตและประกอบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ในจังหวัดปราจีนบุรี เป็นสำคัญ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนทรงตัว สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ -2.2 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวลงที่ร้อยละ -10.4 ต่อปี นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 52.3 และ 105.5 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.6 และ 104.7 ตามลำดับ
เศรษฐกิจภาคเหนือส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากด้านการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 9.4 และ 19.5 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.9 และ -1.3 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการกลับมาขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 15.3 ต่อปี ด้วยจำนวน 0.3 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าชะลอตัวที่ร้อยละ -23.9 ต่อปี โดยเป็นเงินทุนของโรงงานผลิตแอสฟัลติกคอนกรีต ในจังหวัดเชียงราย เป็นสำคัญ สำหรับ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าชะลอตัวที่ร้อยละ -8.6 ต่อปี นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 51.0 และ 61.7 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 49.6 และ 62.6 ตามลำดับ
เศรษฐกิจภาคกลางส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -15.0 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวร้อยละ 445.7 ต่อปี ด้วยจำนวน 0.6 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ -64.0 ต่อปี จากโรงงานผลิตภัณฑ์ไก่ดิบเสียบไม้และผลิตภัณฑ์ไก่ยางและนึ่งพร้อมปรุงรสสำเร็จรูปถนอมอาหาร ในจังหวัดสระบุรี เป็นสำคัญ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ -17.3 -11.6 และ -9.5 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 47.9 และ 86.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 46.3 และ 83.9 ตามลำดับ
เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 66.7 ต่อปี ด้วยจำนวน 2.8 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอตัวลงอยู่ที่ร้อยละ -54.0 ต่อปี จากโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปที่ทำจากแป้ง ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นสำคัญ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ -24.1 -17.9 และ -8.1 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 48.5 และ 86.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 46.7 และ 83.9 ตามลำดับ
เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากด้านการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 และ 18.0 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ -7.8 และ 9.2 ต่อปี ตามลับดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้จากจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าชะลอตัวลงที่ร้อยละ -2.6 ต่อปี นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 52.7 และ 78.1 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.3 และ 75.8 ตามลำดับ
เศรษฐกิจภาคใต้ส่งสัญญาณทรงตัว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวได้ดีอยู่ที่ร้อยละ 4.6 และ 50.5 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ -33.2 -7.3 และ -17.3 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 46.0 และ 84.6 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 44.8 และ 82.9 ตามลำดับ
เศรษฐกิจภาคตะวันตกส่งสัญญาณทรงตัว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 และ 26.3 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ -11.7 -11.5 และ -10.3 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 47.9 และ 86.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 46.3 และ 83.9 ตามลำดับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40456 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.