title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ร่วมทัพถก เร่งติดตามการแก้ไขปัญหาคนจน | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
นฤมล ร่วมทัพถก เร่งติดตามการแก้ไขปัญหาคนจน
- -
วันที่ 9 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมพิจารณาประเด็นข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจนที่เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาเป็นกรณีเร่งด่วน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลโดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงและทำความเข้าใจระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจน และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน (สคจ.) โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ซึ่งได้ทำหน้าที่อำนวยการ เร่งรัดการดำเนินงาน และติดตามการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อเรียกร้องจาก สคจ. ว่า การแก้ไขปัญหายังมีความล่าช้า ทำให้เกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกชอง สคจ. ต้องเผชิญความยากจนอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีการดำรงชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 สภาพปัญหายิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การประชุมในวันนี้จึงเป็นการติดตามและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อให้หลุดพ้นจากความยากจน
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในครั้งนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาและเร่งแก้ไขปัญหา ประกอบด้วย การเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจน เพื่อกำหนดแนวทางในการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของสมัชชาคนจน จำนวน 15 กรณีปัญหา เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงปัญหาตัดโค่นต้นยางพาราในพื้นที่จังหวัดตรัง จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช การประกาศเขตห้ามล่าสัตว์ป่ากุดทิง จังหวัดบึงกาฬ ข้อเสนอโครงการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากนโยบายของรัฐ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ และชุมชนชนบทของสมัชชาคนจน ปัญหาที่ราชพัสดุหนองน้ำขุ่น จังหวัดขอนแก่น และปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้จะได้เร่งประสานงาน หารือความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมรอบด้าน ตอบสนองต่อปัญหาอย่างแท้จริง และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
“ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสุนนการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนที่เกิดจากผลกระทบนโยบายภาครัฐ ซึ่งในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาทักษะอาชีพ ให้สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟู สร้างความแข็งแกร่งแก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39790 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” ร่วมคณะรองนายกฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ำเค็มแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาแบบยั่งยืน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
“วราวุธ” ร่วมคณะรองนายกฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ำเค็มแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาแบบยั่งยืน
“วราวุธ” ร่วมคณะรองนายกฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ำเค็มแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาแบบยั่งยืน
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธานในการติดตามการแก้ปัญหาน้ำเค็มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง รวมถึงตรวจสภาพพื้นที่บริเวณเขื่อนพระรามหกเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ ณ เขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยการแก้ไขปัญหาน้ำเค็มในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและมีความห่วงใยประชาชนเป็นอย่างมาก โดยมีมาตรการบริหารจัดการน้ำเพื่อช่วยควบคุมค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาและบางปะกงของหน่วยที่รับผิดชอบมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จนทำให้สามารถแก้ไขปัญหาจากค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาเกินเกณฑ์มาตรฐานในการผลิตน้ำประปา และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการบริหารจัดการน้ำจากเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะมีภาวะน้ำทะเลหนุนสูงได้อีกในช่วงเดือนมีนาคม 2564 นี้ พร้อมขอความมือจากประชาชนให้งดทำนาปังไปก่อน เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีเพียงพอต่อการผลักดันน้ำเค็ม และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเยียวยาให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39592 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรพร้อมให้บริการการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
สรรพากรพร้อมให้บริการการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์
กรมสรรพากร ร่วมกับ ธปท. ธ.พาณิชย์ และ บจ.เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี พัฒนาการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID Platform เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการแอบอ้างในการทำธุรกรรมออนไลน์ พร้อมให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
กรมสรรพากร ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จํากัด พัฒนาการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID Platform เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการแอบอ้างในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยเริ่มจากการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (e - Filing) และการตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษี (My Tax Account) พร้อมให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากร ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จํากัด พัฒนาการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID Platform เป็นอีกทางเลือก ในการยืนยันตัวตน เพื่อเข้าทำธุรกรรมออนไลน์ของกรมสรรพากรโดยเริ่มใช้กับบริการยื่นแบบฯ ชำระภาษีออนไลน์ (e - Filing) และตรวจสอบรายการค่าลดหย่อนภาษี (My Tax Account) เพื่อยกระดับกระบวนการทำธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ สร้างความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยมีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านโมบายแอปพลิเคชันของธนาคาร สร้างความมั่นใจว่าผู้ใช้บริการธุรกรรมออนไลน์บนเว็บไซต์กรมสรรพากรเป็นบุคคลนั้นๆ จริง มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เมื่อผู้ใช้บริการซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลให้ความยินยอม (Consent) และผู้ใช้บริการสามารถต่อยอดการยืนยันตัวตน ไปถึงการใช้บริการอื่นๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต ปัจจุบันมีธนาคารที่ร่วมให้บริการทั้งหมด 8 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับวิธีการสมัครใช้บริการ NDID และเงื่อนไข ในการสมัครเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบ การให้บริการด้านภาษี เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทำธุรกรรมภาษี ได้ง่าย ลดต้นทุนและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร ทั้งนี้ กรมสรรพากรยังคงมุ่งทำให้บริการอิเล็กทรอนิกส์มีความง่ายตามความต้องการใช้งาน ของผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และมีมาตรฐานระดับสากล”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร(RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 858 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.08 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 858 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.08 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 472 คดี ค่าปรับ 3.53 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 260 คดี ค่าปรับ 4.25 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 26 คดี ค่าปรับ 0.78 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 29 คดี ค่าปรับ 0.40 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.44 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 48 คดี ค่าปรับ 1.08 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 0.60 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 6,292.310 ลิตร ยาสูบ จำนวน 7,582 ซอง ไพ่ จำนวน 3,224 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 6,650.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 9,905 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 92 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 11 มีนาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 13,406 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 245.04 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 7,523 คดี ค่าปรับ 67.60 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,002 คดี ค่าปรับ 87.84 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 306 คดี ค่าปรับ 4.12 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 581 คดี ค่าปรับ 40.02 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 54 คดี ค่าปรับ 2.39 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 658 คดี ค่าปรับ จำนวน 18.45 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 282 คดี ค่าปรับ 24.62 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 275,480.509 ลิตร ยาสูบ จำนวน 283,269 ซอง ไพ่ จำนวน 22,717 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,193,574.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 97,877 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,200 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39912 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คจพ. เห็นชอบให้ตั้ง ศจพ. ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใช้ TPMAP สำรวจบุคคล/ครัวเรือน แบบเคาะประตูบ้าน | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
คจพ. เห็นชอบให้ตั้ง ศจพ. ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใช้ TPMAP สำรวจบุคคล/ครัวเรือน แบบเคาะประตูบ้าน
คจพ. เห็นชอบให้ตั้ง ศจพ. ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใช้ TPMAP สำรวจบุคคล/ครัวเรือน แบบเคาะประตูบ้าน
วันนี้ (19 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้เห็นชอบกลไกการดำเนินการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) ศูนย์อำนวยการปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอำเภอ (ศจพ.อ.) และทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่ และมอบหมายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกรุงเทพมหานคร (ศจพ.กทม.) และศูนย์อำนวยการปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเขต (ศจพ.ข) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยได้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถบรรลุเป้าหมายของการอยู่รอด พอเพียง อย่างยั่งยืน นำไปสู่การหลุดพ้นจากวงจรความยากจนอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยระบบ TPMAP ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาการเติมเต็มข้อมูล TPMAP ให้ครอบคลุมประเด็นการพัฒนาทุกมิติและทุกพื้นที่ในประเทศ และการลงพื้นที่ตรวจสอบ X-ray กลุ่มเป้าหมายเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาในระดับบุคคล/ครัวเรือน หาเป้าหมายวิกฤตและเยี่ยมบ้าน (Knock Knock) รวมถึงการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล โดยเร่งรัดให้ ศจพ. ทุกระดับและทีมปฏิบัติการฯ ดำเนินการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาคนทุกช่วงวัย ตามแนวทางการขับเคลื่อนฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเข้าข้อมูลที่มีการเชื่อมโยงกับเลขบัตรประชาชน 13 หลัก โดยนำส่งให้แก่สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เพื่อพัฒนาระบบ TPMAP ทั้งในส่วนของข้อมูลและการใช้งานของระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการขจัดความมั่นคงและความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาคนทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของพื้นฐานการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมมือร่วมใจพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้กับประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงมั่งคั่งและยังยืนต่อไป
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ อสม. สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ อสม. สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ อสม. สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ดีเด่นระดับชาติ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น อสม.ดีเด่นระดับชาติ 12 สาขา จำนวน 12 ราย สาขาการจัดการสุขภาพชุมชนในพื้นที่พิเศษชายแดนภาคใต้ จำนวน 4 ราย และการจัดการสุขภาพชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติประจำปี 2564 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายประทีป กีรติ เรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่าย การเมือง นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ อสม. ทั่วประเทศกว่า 1.05 ล้านคน จากการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้เห็นศักยภาพของระบบการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีความเข้มแข็ง ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชนและภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ถือเป็นด่านหน้าสำคัญที่ทำงานร่วมกับหมอครอบครัว เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จนเป็นที่ยกย่องและชื่นชมทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำศักยภาพของระบบการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยที่มีความเข้มแข็ง ในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อสม. ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักจัดการสุขภาพชุมชนในการให้ความรู้ สนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพด้วย ทั้งนี้ “การไม่ป่วย ย่อมดีกว่าป่วยแล้วรักษา” เพราะสามารถลดปัญหาค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ จึงขอฝากให้ อสม. ต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วย เพื่อจะได้มีร่างการแข็งแรง สมบูรณ์ในการไปดูแลผู้อื่น ด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า วานนี้ ตนเองและคณะรัฐมนตรีบางส่วนได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว ซึ่งถือเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย รัฐบาลมีความตั้งใจจัดหาวัคซีน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้วัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อ “คืนรอยยิ้มให้กับประเทศไทย” จึงฝาก อสม. ช่วยให้ความรู้ ความเข้าใจรวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนถึงความปลอดภัยและข้อดีของการรับวัคซีนโควิด 19 ด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวกับผู้แทน อสม. ซึ่งใกล้ชิดกับชุมชนให้มีส่วนร่วมกับรัฐบาล สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในมิติต่างๆ โดยเฉพาะ การสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ไทยพ้นปัญหาความยากจน ขณะเดียวกัน รวมทั้งเรียนรู้ความท้าทายใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตนเองอีกด้วย
……………………….
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมวัคซีนอย่างน้อย 63 ล.โดส กระจายวัคซีน ระยะแรก มี.ค. – พ.ค. 64 เริ่มฉีดใน 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
รัฐบาลเตรียมวัคซีนอย่างน้อย 63 ล.โดส กระจายวัคซีน ระยะแรก มี.ค. – พ.ค. 64 เริ่มฉีดใน 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงสาธารณสุขแจงรัฐบาลเตรียมวัคซีนอย่างน้อย 63 ล.โดส กระจายวัคซีน ระยะแรก มี.ค. – พ.ค. 64 เริ่มฉีดใน 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีที่มีข้อสงสัยในแผนการนำเข้าและการกระจายวัคซีนโควิด-19 ว่ารัฐบาลเตรียมวัคซีนไว้อย่างน้อย 63 ล้านโดส โดยเป็นการจัดหาวัคซีนแบบเร่งด่วน 2 ล้านโดส จากบริษัท ซิโนแวคฯ และมีแผนการกระจายวัคซีน ระยะแรกเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2564 เพื่อลดการป่วยรุนแรง การเสียชีวิต และรักษาระบบสุขภาพของประเทศ โดยเริ่มฉีดใน 13 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ส่วนระยะที่ 2 จะได้รับวัคซีนจากบริษัท แอสตราเซนเนกาฯ 61 ล้านโดส จะฉีดกระจายครอบคลุมทุกจังหวัด ในเดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงของประเทศ และสร้างภูมิคุ้มกันระดับประชากร ฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ สำหรับภาคเอกชนที่ต้องการนำเข้าวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข ไม่ปิดกั้นสามารถนำเข้าวัคซีนได้ โดยต้องเป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าและมาขึ้นทะเบียนวัคซีน กับ อย. ซึ่งขณะนี้มีผู้มายื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 แล้ว 4 ราย ได้แก่ 1.บริษัท แอสตราเซนเนกา (ประเทศไทย) จำกัด นำวัคซีนของแอสตราเซนเนกา 2.องค์การเภสัชกรรม นำวัคซีนของไซโนแวค 3.บริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด นำวัคซีนของจอห์นสันฯ 4.บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด นำวัคซีนของบารัค ไบโอเทค ทั้งนี้ วัคซีนของแอสตราเซนเนกา และวัคซีนของไซโนแวค ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว
------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39569 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง วีซ่า STV อนุญาตนักท่องเที่ยวเรือสำราญและกีฬาเข้าไทยได้ ถึง 30 ก.ย.นี้ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง วีซ่า STV อนุญาตนักท่องเที่ยวเรือสำราญและกีฬาเข้าไทยได้ ถึง 30 ก.ย.นี้
ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง วีซ่า STV อนุญาตนักท่องเที่ยวเรือสำราญและกีฬาเข้าไทยได้ ถึง 30 ก.ย.นี้
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และหลายประเทศทั่วโลก เริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องโควิด-19 แล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ครม. จึงมีเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีเป็นพิเศษ (ฉบับที่ ..) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) เพื่อมาท่องเที่ยวในไทย สามารถขอรับการตรวจลงตราวีซ่าประเภท Special Tourist Visa (STV) ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด
-------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40264 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติจ้างครูต่างชาติสอนภาษา ในร.ร.ดีประจำตำบล | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
อนุมัติจ้างครูต่างชาติสอนภาษา ในร.ร.ดีประจำตำบล
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา กับกระทรวงการต่างประเทศ การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา เพื่อจัดหาครูชาวแคนาดาเข้ามาสอนในสถานศึกษาไทย ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศและอาชีวศึกษา ระยะเวลาดำเนินงาน 1 ปี โดยจะจัดหาครูต่างชาติเข้ามาสอนในโรงเรียนดีประจำตำบล 300 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในเดือน พ.ค. 64 สำหรับการผลักดันสมรรถนะด้านภาษาครั้งนี้ จะเน้นที่เด็กปฐมวัย เพราะเป็นช่วงวัยสำคัญในการเรียนรู้ภาษา และเน้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลัก ซึ่งจะสอดคล้องไปกับแผนบูรณาการการศึกษา ที่ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสเรียนภาษาอังกฤษจากครูต่างชาติโดยตรง พร้อมเสริมไปกับการเรียนกับครูชาวไทยที่จบเอกภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันบริหารจัดการวัคซีนโควิดตามแผน กรณีเชียงใหม่ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่วีไอพี | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
สธ.ยันบริหารจัดการวัคซีนโควิดตามแผน กรณีเชียงใหม่ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่วีไอพี
กระทรวงสาธารณสุขยันบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ตามแผน กระจายวัคซีนครบ 13 จังหวัดเป้าหมาย เผย 2 วันฉีดวัคซีนแล้ว 3,021 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดวันแรก จ.เชียงใหม่ 140 คน เป็นบุคลากรการแพทย์ 73 คน และเจ้าหน้าที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 63 คน
กระทรวงสาธารณสุขยันบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ตามแผน กระจายวัคซีนครบ 13 จังหวัดเป้าหมาย เผย 2 วันฉีดวัคซีนแล้ว 3,021 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดวันแรก จ.เชียงใหม่ 140 คน เป็นบุคลากรการแพทย์ 73 คน และเจ้าหน้าที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 63 คน เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ชี้เป็นกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่วีไอพี
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยมีเป้าหมาย เพื่อลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ในระยะแรกที่วัคซีนมีจำกัด2 ล้านโดสของบริษัทซิโนแวค จึงฉีดในกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อสม. เป็นต้น และประชาชนที่มีโรคประจำตัว ส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ยังต้องระงับการฉีดวัคซีนของซิโนแวคไว้ก่อน เนื่องจากมีผลการศึกษาวิจัยในกลุ่มอายุดังกล่าวน้อย
สำหรับวัคซีนล็อตแรก 2 แสนโดส ได้กระจาย 13 จังหวัดเป้าหมายแล้ว รวม 116,520 โดส ผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2564 จำนวน 3,021 ราย แบ่งเป็น บุคลากรทางการแพทย์และ อสม. 2,781 ราย , เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 133 ราย , ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 21 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 86 ราย รายงานล่าสุดยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง แต่พบอาการไม่พึงประสงค์ 5 ราย ได้แก่ บวมแดงบริเวณที่ฉีด 4 ราย และคลื่นไส้อาเจียน 1 ราย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัคซีน ขณะนี้อาการเป็นปกติดี
"ขณะนี้การกระจายวัคซีนเป็นไปตามแผน จังหวัดที่ได้รับวัคซีน มีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณากลุ่มเป้าหมายและจำนวนผู้ที่จะได้รับวัคซีน มีการนัดหมายมารับวัคซีนตามรายชื่อที่สถานพยาบาล ยังไม่มีระบบการจองวัคซีน หลังฉีดมีระบบติดตามอาการในวันที่ 1 , 7 และ 30 และนัดหมายฉีดเข็มที่ 2 ผ่านไลน์หมอพร้อม อย่างไรก็ตาม ช่วงเริ่มต้นถือเป็นการทดสอบระบบ ที่ยังไม่สมบูรณ์ จะได้มีการปรับปรุงเพื่อให้รองรับการฉีดวัคซีนปริมาณมากในอนาคตต่อไป" นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการฉีดวัคซีนของ จ.เชียงใหม่ ที่สงสัยว่าฉีดให้กลุ่มวีไอพีนั้น เบื้องต้นได้รับรายงานว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีน 1,450 คน ระบุรายชื่อและนัดหมายมาฉีด โดยวันแรกฉีดวัคซีนแล้ว 140 คน ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 73 คน และเจ้าหน้าที่อื่นๆ 67 คน ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น หัวหน้าส่วนราชการ ฝ่ายปกครอง ทหาร และตำรวจ ไม่ใช่วีไอพี แต่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีชื่อตามที่กำหนด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และคณะฯ จะชี้แจงรายละเอียดต่อไป ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิจากกรมควบคุมโรคเป็นกรรมการ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นตามระบบวิชาการทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงทางระบาดวิทยา ไม่มีการปกปิดข้อมูล
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ไม่มีการปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด 19 โดยต้องเป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าและมาขึ้นทะเบียนวัคซีนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อรับอนุญาตการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะนี้มีผู้มายื่นขอขึ้นทะเบียน 4 ราย ได้แก่ 1.บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้าวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า 2.องค์การเภสัชกรรม นำวัคซีนของซิโนแวค 3.บริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด นำวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และ 4.บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด นำวัคซีนของบารัค ไบโอเทค โดยวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวคได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว และอย.ได้เปิดช่องทางพิเศษอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนในสภาวะจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคอย่างรวดเร็ว
******************************** 2 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการยกระดับแปลงใหญ่และโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ติดตามความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการยกระดับแปลงใหญ่และโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์
รองปลัดฯ อำพันธุ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการยกระดับแปลงใหญ่และโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนางจิรนันท์ วาสุเทพรังสรรค์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสระแก้วและหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตำบลบ้านใหม่หนองไทร อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ 1ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ในแปลงพื้นที่ ขนาด 5 ไร่ ของนายคำพอง จันทร์คุ้ม โดยกรมพัฒนาที่ดินได้สนับสนุนการขุดสระเก็บน้ำขนาด 3,500 ลบ.ม.เศษ (24 ×65×5 ม.) ซึ่งเริ่มดำเนินการเป็นบ่อแรกในจังหวัดสระแก้ว พร้อมทั้งประชุมหารือติดตามความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด และกิจกรรมการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก (จังหวัดสระแก้ว) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อผลักดันขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ ย้ำชัดการอนุญาตสำรวจแร่ ไม่ได้ให้สิทธิเหนือที่ดินใด ๆ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
สุริยะ ย้ำชัดการอนุญาตสำรวจแร่ ไม่ได้ให้สิทธิเหนือที่ดินใด ๆ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงชัด ๆ การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเป็นการให้สิทธิในการสำรวจแร่ในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ใช่เป็นการอนุญาตหรือการให้สิทธิในการครอบครองพื้นที่ หากเจ้าของพื้นที่ ไม่ยินยอม ก็ไม่สามารถเข้าทำการสำรวจแร่ในพื้นที่ดังกล่าวได้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์กรณีตัวแทนกลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำต่อนายกรัฐมนตรี ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันนี้ (11 มี.ค. 2564) ขอชี้แจงว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจและให้ความสำคัญกับการร้องเรียนประเด็นต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยได้มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นร้องเรียนของกลุ่มประชาสังคมฯ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยตรงกรณีบริษัทเหมืองทองคำ ได้รับอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ ทับลงบนที่ดิน ส.ป.ก. และได้มีการกล่าวว่า จากพยานหลักฐานพบว่า บริษัทเหมืองทองคำได้สิทธิเหนือที่ดิน ส.ป.ก. และ ระบุที่ดิน ส.ป.ก. เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศไปนานแล้วนั้น
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้รายงานมาแล้วว่า การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) จำนวน 44 แปลง ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการอนุญาตตามคำขอเดิมที่บริษัท อัคราฯ ได้ยื่นไว้ตั้งแต่ปี 2546 และ 2548 ต่อมาบริษัท อัคราฯ ได้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 และกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ พ.ศ. 2560 อย่างครบถ้วน คณะกรรมการแร่จึงได้มีการพิจารณาคำขออาชญาบัตรพิเศษดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายโดยคำนึงถึงดุลยภาพทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนด้วยความรอบคอบก่อนมีมติให้ความเห็นชอบอนุญาต เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563
“ขอชี้แจงว่า การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่เป็นการให้สิทธิในการสำรวจแร่ในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ใช่เป็นการอนุญาตหรือการให้สิทธิในการครอบครองพื้นที่ ดังนั้น การเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน หากเจ้าของพื้นที่ไม่ยินยอมให้เข้าสำรวจแร่ ผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษก็ไม่สามารถเข้าทำการสำรวจแร่ในพื้นที่ดังกล่าวได้ และผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
อีกทั้งในปัจจุบัน ส.ป.ก. ยังไม่มีกฎระเบียบที่จะอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อการสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่ ส.ป.ก. ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ยังไม่เคยได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ ส.ป.ก. มาก่อนด้วย” นายสุริยะ กล่าว
สำหรับประเด็นที่ตัวแทนกลุ่มประชาสังคมฯ ได้กล่าวอ้างถึง บริษัทเหมืองทองคำระบุที่ดิน ส.ป.ก. เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น จากการตรวจสอบรายงานประจำไตรมาสของบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อัคราฯ ยังไม่พบข้อความที่ระบุว่ามีสิทธิเหนือที่ดิน ส.ป.ก.
แต่อย่างใด เพียงแต่ระบุว่าได้รับอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ 44 แปลง ซึ่งระบุว่าอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับเงื่อนไขในการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ คือ การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษไม่ได้เป็นการผูกพันว่าทางราชการจะต้องอนุญาตให้ผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษได้ใช้พื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลของบริษัท คิงส์เกตฯ ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายของไทยแต่อย่างใด
“นอกจากนี้ การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ ก็ไม่เป็นการผูกพันว่าทางราชการที่รับผิดชอบพื้นที่ จะต้องอนุญาตให้ผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษนี้เข้าใช้พื้นที่ในการสำรวจดังกล่าวด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวย้ำ
11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39897 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการล้านละร้อย | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
โครงการล้านละร้อย
รมช.ประภัตร นำทีมชี้แจงโครงการล้านละร้อย มอบกรมปศุสัตว์ผลิตอาหารเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงโค พร้อมนำบริษัทเข้ารับซื้อโคทั้งหมดจากเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งไปยังประเทศลาวและจีนต่อไป
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่ม.12ต.หนองปลิงอ.เลาขวัญจ.กาญจนบุรีซึ่งอ.เลาขวัญนี้มีสภาพพื้นที่แห้งแล้งการประกอบอาชีพด้านการเกษตรจึงไม่ค่อยได้ผลอาชีพปศุสัตว์เช่นการเลี้ยงโค-กระบือจึงเป็นทางเลือกของเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประชากรโคเนื้อในพื้นที่จำนวน72,084ตัวมีเกษตรกรผู้เลี้ยงจำนวน2,275รายโดยอำเภอได้สนับสนุนโครงการต่างๆให้กับเกษตรกรในพื้นที่เช่นโครงการฟาร์มโคเนื้อสร้างอาชีพระยะที่2โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนเป็นต้น
สำหรับการลงพื้นที่ในวันนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำผู้แทนจากกรมปศุสัตว์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)มาชี้แจงแนวทางการรับซื้อโคเนื้อในโครงการสนับสนุนสินเชื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องในอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ0.01ต่อปีหรือล้านละร้อย(สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย)
นายประภัตรกล่าวว่าในวันนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งในเขตอ.เลาขวัญซึ่งเป็นที่ดอนที่น้ำไม่สามารถส่งมาได้วันนี้จึงมาส่งเสริมตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรในขณะที่ฝนทิ้งช่วงหน้าแล้งและช่วงโควิด-19จึงได้สนับสนุนโครงการสนับสนุนสินเชื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องในอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ0.01ต่อปีหรือล้านละร้อยแต่ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนและต้องมีตลาดรองรับโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
และสำหรับในพื้นที่นี้มีความเหมาะสมในการเลี้ยงปศุสัตว์ทั้งการเลี้ยงโคแพะแกะเป็นต้นโดยในพื้นที่นี้มีการเลี้ยงโคถึงจำนวน72,084ตัวจึงมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ผลิตอาหารโคในราคาถูกเพื่อช่วยพี่น้องเกษตรกรที่ไม่มีน้ำซึ่งจะไปผลิตที่จังหวัดสุพรรณบุรีและนำมาส่งให้เนื่องจากมีระยะทางห่างกันไม่เกิน60กิโลเมตรในราคาต้นทุนไม่เกิน5บาทซึ่งจะทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถขายได้อย่างมีกำไรและหลังจากนี้จะมีบริษัทเข้ามารับซื้อโคทั้งหมดเพื่อจะส่งไปประเทศลาวและจีนซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาโคขยับสูงขึ้นต่อไปนอกจากนี้ยังได้มาช่วยเจาะบ่อบาดาลให้กับพี่น้องเกษตรกรที่นี่ด้วยโดยส่วนหนึ่งจะใช้รถของประชาชนร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลอย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรให้มีน้ำมีอาหารสัตว์และการปล่อยอนุมัติสินเชื่อของธ.ก.ส.ให้เกิดขึ้นได้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Microgrid) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
มท.1 เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Microgrid) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
มท.1 เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Microgrid) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 64 เวลา 15.00 น. ณ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ Microgrid ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 15 นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชัยณรงค์ วาสนะสมสิทธิ์ รองอธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมเป็นเกียรติ โดยมี นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงาน PEA ให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีแทนประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้พัฒนาและยกระดับโครงข่ายระบบไฟฟ้าให้มีความทั่วถึง เพียงพอ มั่นคง และมีเสถียรภาพ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่รวมถึงส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยที่สนับสนุนโครงการลงทุนที่สำคัญเพื่อขยายเขตหรือพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ห่างไกลได้มีไฟฟ้าใช้ครบทุกหลังคาเรือน
นายสมพงษ์ ปรีเปรม กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทย ยังมีพื้นที่บางส่วนที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ไม่สามารถขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าด้วยวิธีปักเสาพาดสายได้ PEA ริเริ่มโครงการด้านระบบไฟฟ้าที่เหมาะสมในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังทุกพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ Microgrid มีความเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศของอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าให้แก่พื้นที่ และเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ Microgrid อำเภอแม่สะเรียง ได้ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า Battery Energy Storage System (BESS) ชนิด Li-ion (ลิเธียมไอออน) พิกัดใช้งาน 3 MW 1.5 MWh (รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 3 MW ได้นานครึ่งชั่วโมง) หรือจ่ายไฟได้เกือบครึ่งของอำเภอแม่สะเรียง สามารถจ่ายไฟแบบอิสระได้โดยไม่ต้องเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อจ่ายไฟให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการซื้อ หรือผลิตไฟฟ้า ลดหน่วยสูญเสียในระบบสายส่งและระบบจำหน่ายที่มีระยะไกล โดยใช้แหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ โซล่าเซลล์จากเอกชน 4 MW เขื่อนพลังน้ำขนาดเล็กของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ประมาณ 1.3 MW โรงจักรดีเซล พิกัดรวมประมาณ 5 MW (ขนาด 1 MW จำนวน 5 เครื่อง) โดยในอนาคต PEA มีแผนดำเนินโครงการไมโครกริดจำนวน 2 แห่ง คือ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และเกาะพะลวย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39878 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนช. วางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝน ปี 64 พร้อม เร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบให้ใสสะอาด | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
กนช. วางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝน ปี 64 พร้อม เร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบให้ใสสะอาด
กนช. วางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝน ปี 64 พร้อม เร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบให้ใสสะอาด
วันนี้ (25 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย โดยเห็นชอบการวางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝนปีนี้ และ 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 โดยมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจน และเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ 3 ระยะ สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยจากการติดตามผลการดำเนินการ 9 มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2563/64 พบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการส่งผลให้ปัจจุบันยังไม่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ซึ่งในอีกประมาณ 1 เดือนจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานติดตามเฝ้าระวัง เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำในพื้นที่เป้าหมายที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่องน้ำอุปโภค - บริโภค มั่นใจว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการในเชิงป้องกันจะสามารถบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนในช่วงปลายฤดูแล้งได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการปลูกพืชฤดูแล้งให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ให้ส่งผลกระทบกับน้ำต้นทุน ต้นฤดูฝนเพื่อเริ่มต้นการปลูกข้าวนาปีได้ตามแผน ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้กรมชลประทานควบคุมการจัดสรรน้ำและการลำเลียงน้ำจากอ่างฯ ให้เป็นไปตามแผนอย่างเคร่งครัด และมอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพน้ำต้นทุนเพื่อการลดการใช้น้ำในระดับตำบล และจัดทำแนวทางการขับเคลื่อน (RoadMap) ให้เป็นรูปธรรมด้วย
ที่ประชุมเห็นชอบการวางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝนปีนี้ และ 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 โดยมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจน อาทิ การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนทิ้งช่วง การบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำเพื่อใช้รองรับน้ำหลาก ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ำ ปรับปรุงแห้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคูคลอง กำจัดผักตบชวา เตรียมความพร้อมเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือ เป็นต้น โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโดยเร็วก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อมอบหมายหน่วยงานนำมาตรการต่าง ๆ ไปจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป
ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการ แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน ปี 2564 ระยะกลาง ปี 2565-2570 และระยะยาว ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป โดยมี 5 เป้าหมายหลัก คือ 1. การเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำของประชาชน 2. การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณคลองแสนแสบ 3. การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ 4. การป้องกันปราบปราม การบุกรุกทำลายทรัพยากรในคลองแสนแสบ และ 5. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในคลองแสนแสบ
ทั้งนี้ ก่อนปิดการประชุม รองนายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้คลองแสนแสบใสสะอาดตามที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาการรุกตัวของน้ำเค็ม น้ำท่วมและน้ำแล้งในลุ่มน้ำติดอ่าวไทย เพื่อศึกษา วิเคราห์สถานการณ์ปัญหาในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งครอบคลุม 4 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำบางปะกงตอนล่าง และลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาปฐมนิเทศโครงการศึกษาการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาปฐมนิเทศโครงการศึกษาการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมี นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวรายงาน ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพฯ
นายชยธรรม์ พรหมศร กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเมือง ส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาระบบคมนาคมเพื่อให้การเดินทางมีความคล่องตัวและเหมาะสม ที่ผ่านมาการพัฒนาเมืองทำให้พฤติกรรมการเดินทางมีการเปลี่ยนแปลง การพักอาศัยของประชาชนในพื้นที่ชานเมืองและต้องเดินทาง เข้ามาทำงานในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้เกิดปัญหาการจราจรที่แออัด คับคั่ง เกิดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในการเดินทางเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศหรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่ออำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมมาโดยตลอด กระทรวงฯ จึงได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวโดยการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือ M-MAP โดยปัจจุบันรัฐบาลได้เปิดให้บริการรถไฟฟ้าแล้ว ระยะทางรวม 170 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 129 กิโลเมตร และภายในปี 2570 กระทรวงฯ จะเร่งรัดให้เปิดบริการรถไฟฟ้าตามแผน M-MAP รวมระยะทาง 553 กิโลเมตร นอกจากนี้ ปลายปี 2564 จะเปิดให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ซึ่งจะนำผลการศึกษาจากโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสถานีได้ในระยะ 500 เมตร และพัฒนาโครงข่ายระบบรอง (Feeder) ทำหน้าที่เชื่อมต่อการเดินทางที่อยู่นอกรัศมีออกไปในระยะ 3 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะและรถไฟฟ้าของประชาชน รวมถึงเป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบ Feeder และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรอบสถานีให้กับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ต่อไป
สำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบิน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีขอบเขตการดำเนินงานดังนี้ 1) การสำรวจ รวบรวมข้อมูลการศึกษาและการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) การประเมินโครงข่ายเชื่อมต่อและการเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินตามแผน M-MAP และศึกษารูปแบบทางเลือกโครงข่ายในการเดินทาง 3) การจัดทำแผนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทาง 4) การจัดทำรูปแบบการพัฒนาพื้นที่การเชื่อมต่อเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินโครงการกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ 5) การจัดประชุม สัมมนา และประชาสัมพันธ์ และ 6) ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาการเชื่อมต่อการเดินทาง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนและเปลี่ยนถ่ายการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย รวมทั้งการพัฒนาเส้นทางระบบ Feeder เข้าสู่สถานีรถไฟฟ้า การให้ข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในบริเวณสถานี เช่น ทางเท้า Skywalk จุดจอดรถโดยสาร จุดจอดแล้วจร รวมทั้งการออกแบบโครงสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนทุกคน เพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยกระทรวงฯ จะพัฒนาจุดเชื่อมต่อ ล้อ - ราง - เรือ ต้นแบบ เช่น บริเวณสะพานพระนั่งเกล้า และบริเวณโรงเรียนราชินี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาจุดเชื่อมต่ออื่น ๆ ในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อแผนพัฒนาโครงข่ายการเชื่อมต่อการเดินทางได้มีการนำไปสู่การปฏิบัติจะจูงใจให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน จึงได้จัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำมาปรับใช้กับโครงการเพื่อให้มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาโครงข่ายการเดินทางให้สมบูรณ์ เชื่อมระบบหลักระบบรองได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมและตอบสนองการเดินทางของประชาชน ทั้งรถไฟฟ้า สนามบิน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ อันนำไปสู่การลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล บรรเทาปัญหาการจราจรในเมือง ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และยังเป็นการรองรับการเติบโตของเมืองในอนาคตด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว
นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว
วันนี้ (20 มีนาคม2564) เวลา 08.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยประเด็นต่าง ๆ อาทิ การส่งคืนโบราณวัตถุจากต่างประเทศ การปรับปรุงการทำงาน สู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2564 รวมถึงการแก้ไขปัญหาของชาวบางกลอย ผ่าน PM PODCAST สรุปประเด็นดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ประเทศไทยจะได้โบราณวัตถุอันล้ำค่า 2 รายการกลับคืนมา คือ ทับหลังปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว ที่ได้จัดแสดงอยู่ที่เอเซียน อาร์ท มิวเซียม (Asian Art Museum) นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ขณะนี้อยู่ในกระบวนการส่งคืนให้ไทย โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ คาดว่าจะมีการส่งมอบอย่างเป็นทางการภายในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมทั้งวัตถุโบราณเพิ่มเติมอีก 13 รายการ ทั้งพระพุทธรูปและรูปเคารพต่างๆ ขณะเดียวกันประเทศไทยได้ดำเนินการประสานขอรับมอบโบราณวัตถุคืนอีก 32 รายการ เช่น ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมหิน และประติมากรรมสำริดสมัยลพบุรี นับเป็นความสำเร็จที่มาจากการทำงานแบบบูรณาการระดับชาติและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนาน
นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลว่า ได้มีการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการติดต่อและขออนุญาตจากทางราชการ ลดการใช้สำเนาเอกสาร ลดขั้นตอนและระยะเวลาการให้บริการต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพและช่องทางการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยการพัฒนาระบบบริการทางธุรกิจที่เรียกว่า Biz Portal เพื่อออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาระบบศูนย์กลางการบริการประชาชนหรือ Citizen Portal โดยให้บริการผ่าน Mobile Application อาทิ การตรวจสอบสิทธิพยาบาล ชำระภาษีรถประจำปี ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการติดต่อราชการ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการ พร้อม ๆ ไปกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นของเยาวชนรุ่นใหม่เกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ ปรับลดขนาดกำลังคนภาครัฐให้เหมาะสมเพื่อลดภาระงบประมาณระยะยาว ใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปฏิบัติงานและให้บริการประชาชน
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 2564 มีหลายปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านมาตรการเยียวยาและฟื้นฟู โครงการลงทุนเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อคมนาคมขนส่ง การลงทุนใน 4 อุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ 3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการแพทย์และการดูแลสุขภาพ และ 4. อุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมทั้งขยายอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมที่มีความแข็งแกร็ง โดยเน้นโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า BCG “เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว” นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ยกระดับการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพ ให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล การบริหารจัดการด้านสังคม เช่น บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย เพิ่มสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลบัตรทอง จัดสรรที่ดินทำกินแก่เกษตรกร และพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ รวมทั้งที่อยู่อาศัยเพื่อให้คนไทยมีบ้านทั่วหน้าและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับการบริหารจัดการเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และการเปิดประเทศ ซึ่งได้เริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับประชาชน รวมทั้งจะมีมาตรการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวใช้เวลากักตัวที่สนามกอล์ฟ เรือยอชต์ ซึ่งในระยะต่อไปกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเสนอแผนให้ชาวต่างชาติกักตัวในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ สำหรับประเด็นเสนอลดเวลาการกักตัวเหลือ 7 – 10 วัน ยังจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายของรายการว่า ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตในพื้นที่บ้านบางกลอย อ. แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อรวบรวมปัญหา ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคดีปกครอง อาญา และแพ่งอย่างเหมาะสม
………………………………..
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40165 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ๑๑-๐๑ ชั้น ๑๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference)
โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุม
โดยวาระที่น่าสนใจ คือ การพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ในเขตท้องที่ทุกอำเภอของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ยกเว้นอำเภอแม่ลาน อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
และอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุคิริน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ๓ เดือน
ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔ และสิ้นสุดในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39657 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มีนาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มีนาคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิด สนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วย โรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
เศรษฐกิจ สังคม
7. เรื่อง ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย
8. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) จาก
พ.ศ. 2551 – 2564 เป็น พ.ศ. 2551 – 2570
9. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษส่ง ผลกระทบต่อประชาชน
10. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564
11. เรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการ
ตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด – 19
12. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการ จัดทำโครงการ Organizational Quarantine (OQ) สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ของกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน
13. เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2563
14. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2564
15. เรื่อง มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม
16. เรื่อง รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ต่างประเทศ
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสหรัฐอเมริกาด้านความร่วมมือเพื่อป้องกัน ตอบโต้และตอบสนอง ต่อการก่อการร้ายที่ใช้วัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสี
18. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินไทย – มัลดีฟส์
แต่งตั้ง
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
20. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
21. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
22. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
26. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 65/2564 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาเพิ่มขึ้น และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม (คค.) ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ทส. รับความเห็นของ คค. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างประกาศฯ
เป็นการกำหนดพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง รายละเอียด ดังนี้
ประเด็น
สาระสำคัญ
1. คำนิยาม
กำหนดคำนิยามคำว่า แนวชายฝั่งทะเล ชายหาด อธิบดี และกรม เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
2. กำหนดพื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ และพื้นที่ภายในแนวเขตตามแผนที่เป็นพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
(1) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน แม่น้ำ และเกาะ ภายในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองไหโล๊ะ ป่าคลองปอ ป่าคลองกันตัง ในท้องที่ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา ตำบลบ่อน้ำร้อน ตำบลบางสัก ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2524
(2) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน และเกาะ เฉพาะที่อยู่ในจังหวัดตรัง ภายในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเกาะเภตรา เกาะเขาใหญ่ และหมู่เกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า ตำบลแหลมสน และตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2527
(3) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน และเกาะ ภายในแนวเขตตามประกาศ กษ. เรื่อง กำหนดเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ลงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2522
(4) พื้นที่ภายในแนวเขตตามประกาศจังหวัดตรัง เรื่อง กำหนดห้ามใช้เครื่องมือประมงบางชนิด ทำการประมงในบริเวณแหล่งหญ้าทะเลภายในพื้นที่ที่กำหนด พ.ศ. 2535 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
3. กำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกำหนดหลักเกณฑ์มิให้ดำเนินการในเขตพื้นที่ดังกล่าว
(1) บริเวณที่ 1 พื้นที่ชายหาดทั้งบริเวณชายฝั่งและบนเกาะ โดยกำหนดห้ามทำให้เกิดมลพิษและเททิ้งขยะที่มีผลทำให้คุณภาพชายหาดเสื่อมโทรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กำหนดห้ามกระทำการใด ๆ ที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางธรณีสัณฐาน หรือสภาพทางธรรมชาติของชายหาด หรือทำให้ทัศนียภาพของชายหาดเสียไป ห้ามก่อสร้างเพิงพัก ศาลา อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ รวมทั้งการจัดวางร่ม โต๊ะ เตียง หรือที่นั่งบริเวณชายหาด และการขับขี่ยานพาหนะบริเวณชายหาด และกำหนดห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่และการปรับภูมิทัศน์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชายหาด ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันตะกอนดินไหลลงทะเล รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นและวัสดุลงสู่ชายฝั่ง ชายหาด และทะเล
(2) บริเวณที่ 2 พื้นที่น่านน้ำ ภายในแนวเขตตามแผนที่แนบท้าย โดยกำหนดห้ามทำให้เกิดมลพิษ ขยะ สารแขวนลอย ตะกอนแขวนลอย และสารปนเปื้อนจากการเดินเรือ การจอดเรือ การขนส่งหรือการขนถ่าย ที่มีผลทำให้คุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมหรือเสียสภาพความเป็นธรรมชาติ กำหนดห้ามทำการประมงอวนปลากระเบนเบ็ดราไวย์ อวนชักหรืออวนทับตลิ่ง อวนล้อมหรืออวนล้อมหิน อวนถ่วงหมึกที่วางในแหล่งหญ้าทะเล หรือการทำการประมงด้วยวิธีการอื่นใดที่เป็นอันตรายต่อพะยูน โลมา และเต่าทะเล กำหนดห้ามการขุดลอกและการทิ้งดินตะกอนจากการขุดลอกที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือความเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกำหนดการประกอบการท่องเที่ยวเพื่อชมพะยูน โลมา เต่าทะเล หรือการท่องเที่ยวในแนวหญ้าทะเล ต้องเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กำหนดให้การนำเรือเข้าไปในแหล่งหญ้าทะเลและที่อยู่อาศัยของพะยูน ต้องนำเรือเข้า – ออกได้เฉพาะตามเส้นทางที่กรมประกาศกำหนด และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายต่อแหล่งหญ้าทะเลและที่อยู่อาศัยของพะยูน
(3) บริเวณที่ 3 พื้นที่เกาะซึ่งอยู่ภายในเส้นเขตตามแผนที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยกำหนดให้การก่อสร้างอาคาร การดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชายหาดและชายฝั่งที่น้ำทะเลท่วมถึง ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันตะกอนดินไหลลงชายฝั่ง ชายหาด และทะเล รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นและวัสดุลงสู่ชายฝั่ง ชายหาด และทะเล ทั้งจากการก่อสร้าง และการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้าง
4. กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล
(1) จัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยแนวทางการอนุรักษ์และคุ้มครองสัตว์ทะเลหายาก การดูแลและฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยหรือแหล่งหากิน การคุ้มครองและการดูแลรักษาสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การติดตามและประเมินผล
(2) สนับสนุนโครงการส่งเสริมองค์ความรู้ท้องถิ่นหรือกิจกรรมแก่ชุมชน ในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรม เพื่อการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่กรมประกาศกำหนด
(3) ให้คำปรึกษาข้อมูลแก่ชุมชน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
(4) กำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
5. การบังคับใช้กฎหมาย
- พื้นที่ตามข้อ 2 หากมีกฎหมายใดกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ และเป็นมาตรการที่ไม่ต่ำกว่ามาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือมีมาตรการที่ดีกว่าในการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ก็ให้เป็นไปตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น
6. วันบังคับใช้
- ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ มท. เสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้วัยรุ่นในเขตราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เพื่อให้วัยรุ่นมีสิทธิตัดสินใจด้วยตนเอง และมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ ได้รับการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ได้รับการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว ได้รับการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเสมอภาคและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และได้รับสิทธิอื่นใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นต้องจัดให้มีสถานที่หรือสถานบริการเพื่อบริการอนามัยการเจริญพันธุ์หรือสถานบริการอื่นที่อยู่ใกล้เคียง และต้องจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ในการให้บริการข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งให้คำปรึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ทั้งนี้ การให้คำปรึกษาจะต้องรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวของวัยรุ่น
2. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นจัดสวัสดิการทางสังคมให้แก่วัยรุ่น เช่น ส่งเสริมการฝึกอบรมในการประกอบอาชีพหรือจัดหางาน ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือทางกระบวนการยุติธรรม
3. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นจัดให้มีระบบการประสานส่งต่อและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนงานโครงการและให้มีงบประมาณ หรือสนับสนุนงบประมาณให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคประชาชนหรือองค์กรการกุศลตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงสถานะทางการคลัง
4. การดำเนินการใดที่ได้ดำเนินการไปก่อนตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2531 โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 - 2530 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 16 มีนาคม 2531 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2531
2. ต่อมาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาแล้วเห็นควรแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องโดยยกเลิกมาตรฐานเดิมตามข้อ 1 และกำหนดมาตรฐานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยี และส่งเสริมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยสอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ในคราวประชุมครั้งที่ 675 – 8/2562 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐานฯ สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท มาตรฐานเลขที่ มอก. 51 - 25XX แล้วให้ สมอ. ดำเนินการต่อไป
3. สมอ. ได้ดำเนินการจัดทำประกาศสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เรื่อง การยกเลิกการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 และได้รับฟังความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 แล้ว
4. กมอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 690 - 8/2563 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 เห็นชอบให้ สมอ. ดำเนินการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 25XX ต่อไป
5. สมอ. จึงได้จัดทำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5988 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋อง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2563 กำหนดให้มีผลตั้งแต่กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 2562 ใช้บังคับเป็นต้นไป
6. โดยที่พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับแล้ว และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 17 ซึ่งบัญญัติให้เพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน หรือแก่กิจการอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจของประเทศ คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอาจเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชนิดใดต้องเป็นไปตามมาตรฐานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของมาตรฐานก็ได้ ดังนั้น การกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน จำเป็นต้องออกกฎกระทรวง
7. สมอ. ได้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยทั้งนี้ เป็นไปตามความในมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511
8. อก. ได้จัดทำผลกระทบจากการบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนี้
8.1 ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบ
ผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท
8.2 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทภายในประเทศ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน อันเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในการซื้อผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
8.3 ผลกระทบด้านสังคม
ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทที่มีคุณภาพมีความปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
8.4 ผลกระทบด้านสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทจะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่กำหนดใหม่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานมีผลใช้บังคับตามมาตรา 27 (3) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงผู้จำหน่ายจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ทำหรือนำเข้าโดยผู้ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน
8.5 ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมจะได้รับ
เป็นการส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ทำและนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว จะทำให้ประชาชนจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5988 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋อง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พณ. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 โดยกำหนดให้ “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” หมายความว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นร่องลึกในส่วนที่เป็นภาพพิมพ์ ในการพิมพ์ต้องใช้แรงกดสูงมาก เพื่อให้กระดาษสามารถดึงหมึกพิมพ์ที่มีความหนืดสูงออกจากร่องหมึกขึ้นมากองเป็นเส้นนูนซึ่งรับความรู้สึกได้ตามพิกัดอัตราศุลกากร 8443.19.00 และ “เครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสี” หมายความว่า เครื่องถ่ายเอกสารที่สามารถผลิตภาพจากต้นฉบับสี ตามพิกัดอัตราศุลกากร 8443.32.90 8443.39.11 8443.39.20 8443.39.30 และ 8443.39.90 เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร
2. ต่อมาได้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีผู้ประกอบการทำหนังสือขอหารือมายัง พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) ว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรอยู่ในข่ายควบคุมตามประกาศหรือไม่ เช่น เครื่องพิมพ์เขียวแบบแปลน เครื่องพิมพ์สติกเกอร์ เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด และเครื่องพิมพ์ยี่ห้อบนผ้า ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของประกาศฯ คือ ควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรของสินค้าประเภทที่สามารถปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร แต่สินค้าที่ผู้ประกอบการหารือมานั้นไม่ได้อยู่ในข่ายควบคุมดังกล่าว แต่เนื่องจากประกาศฯ ไม่ได้มีการแยกพิกัดอัตราศุลกากรไว้โดยเฉพาะจึงทำให้เป็นปัญหาในการแยกประเภทการควบคุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรจะไม่สามารถตรวจปล่อยสินค้าดังกล่าวได้จนกว่าผู้ประกอบการจะมีหนังสือแจ้งตอบกลับจาก พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ)
3. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศจึงได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กรมศุลกากร สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวม 4 ครั้ง เพื่อพิจารณาทบทวนขอบเขตของสินค้าควบคุมคือเครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีตามประกาศฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของการควบคุมสินค้า สถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการด้วย โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
3.1 ให้ควบคุมการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเฉพาะเครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ โดยให้แก้ไขบทนิยามตามประกาศ คำว่า “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” หมายความว่า เครื่องพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นร่องลึกในส่วนที่เป็นภาพพิมพ์ ในการพิมพ์ต้องใช้แรงกดพิมพ์สูงมากเพื่อให้กระดาษสามารถดึงหมึกพิมพ์ที่มีความหนืดสูงออกจากร่างแม่พิมพ์ขึ้นมากองนูนบนกระดาษ สามารถรับความรู้สึกว่านูนได้โดยการสัมผัส เครื่องพิมพ์มีทั้งชนิดป้อนแผ่นและป้อนม้วน ส่วนประกอบหลักของเครื่องพิมพ์เส้นนูนที่ต้องมี เช่น หน่วยป้อนกระดาษ (Feeder Unit) หน่วยพิมพ์ (Printing Unit) หน่วยเช็ดหมึกพิมพ์ (Wiping Unit) หน่วยจ่ายหมึกพิมพ์ (Inking Unit) หน่วยรับกระดาษ (Delivery Unit) หน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM
3.2 ให้ยกเลิกการควบคุมการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรของเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีทุกพิกัดอัตราศุลกากร เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร คือ ป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร สำหรับเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น หนังสือเดินทาง เช็ค และใบหุ้น มีคุณสมบัติหรือลักษณะพิเศษที่ ตช. สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสี
3.3 ให้ พณ. ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... โดยกำหนดบทนิยามคำว่า “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” และยกเลิกการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรของเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีทุกพิกัดอัตราศุลกากรตามประกาศดังกล่าว
3.4 ให้กรมศุลกากรออกประกาศแก้ไขเพิ่มเติมรหัสสถิติสินค้าเครื่องพิมพ์อินทาลโย รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ตามบทนิยามตามข้อ 3.1 ให้แล้วเสร็จก่อนเสนอร่างประกาศฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งต่อมากรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 180/2563 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมรหัสสถิติสินค้าสำหรับเครื่องพิมพ์อินทาลโยเพื่อกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อยและรหัสสถิติสำหรับเครื่องพิมพ์อินทาลโย รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์แล้ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
4. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม โดยกำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร
5. พณ. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศในเรื่องนี้ ดังนี้
5.1 วันที่ 4 – 26 สิงหาคม 2563 ประสานกับ ธปท. ตช. กรมศุลกากร สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยทั้ง 5 หน่วยงานเห็นด้วยกับร่างประกาศฯ
5.2 วันที่ 4 สิงหาคม – 14 กันยายน 2563 จัดทำการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ โดยมีผู้ให้ความเห็น 2 ราย เห็นด้วยกับร่างประกาศฯ
5.3 วันที่ 8 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2563 ประสานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสาร โดยมีผู้ให้ความเห็น 22 ราย เห็นด้วยกับร่างประกาศฯ 21 ราย และไม่เห็นด้วย 1 ราย
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557
2. ให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
3. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
6. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ รง. รับความเห็นของ กค. สำนักงบประมาณ และ สปสช. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (31 มีนาคม 2563) เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] เห็นชอบให้กองทุนของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าว ดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายฯ และเห็นชอบให้กองทุนของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าว
2. ประกอบกับพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 13 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอำนาจกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง และมาตรา 13 วรรคสอง บัญญัติให้มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างดังกล่าว เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 53 กำหนดให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอำนาจกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตรและค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร และมาตรฐานขั้นต่ำดังกล่าวเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร ลงวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2534 และร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ รวม 3 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 พฤศจิกายน 2563) เห็นชอบในหลักการและอยู่ระหว่างดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ นั้นยังไม่ครอบคลุมถึงกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
3. ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในรัฐวิสาหกิจ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 31 มีนาคม 2563 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ลงวันที่ 3 เมษายน 2563 รง. จึงได้ยกร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เพื่อรองรับให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้าย หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายฯ
4. ในการประชุมคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบร่างประกาศตามข้อ 3.
5. รง. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้ และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยประมาณการรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นไปตามประมาณการค่ารักษาพยาบาลของแต่ละรัฐวิสาหกิจที่กำหนดไว้ในปี 2564 จำนวน 6,230 ล้านบาท คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งร่างประกาศฉบับนี้จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดรวมกว่า 285,598 คน ได้รับการคุ้มครอง และทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายให้แก่สถานพยาบาลได้โดยเร็ว
จึงได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดนิยามคำว่า “ค่าใช้จ่าย” “ผู้ป่วย” และ “สถานพยาบาล”
2. กำหนดสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันโรคโดยให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าใช้จ่ายอื่นสำหรับตนเอง คู่สมรส หรือบุตร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่ สธ. กำหนด
3. กำหนดสิทธิการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง กรณีผลการตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อ แต่ยังมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน โดยกำหนดให้สิทธิในการได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล ให้นำประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงานมาใช้บังคับ
4. กำหนดสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง คู่สมรสหรือบุตร กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
5. กำหนดให้กรณีลูกจ้าง คู่สมรส หรือบุตร หรือญาติ ปฏิเสธการส่งต่อผู้ป่วยไปรับการดูแลรักษายังสถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
6. กำหนดให้เมื่อ สปสช. หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดค่าใช้จ่ายกรณีการเจ็บป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ แจ้งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้นายจ้างทราบแล้ว ให้นายจ้างจ่ายค่าใช้จ่ายตามแนวทางที่ สธ. กำหนด ให้แก่สถานพยาบาลภายในสิบห้าวัน นับจากวันที่ สปสช. หรือหน่วยงานดังกล่าวแจ้ง
7. กำหนดให้สถานพยาบาลมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายแทนลูกจ้าง
8. กำหนดให้กรณีรัฐวิสาหกิจใดมีข้อกำหนดให้สิทธิการรักษาพยาบาลแก่บิดา มารดาของลูกจ้าง ให้บิดามารดาของลูกจ้างดังกล่าว มีสิทธิตามประกาศนี้
เศรษฐกิจ สังคม
7. เรื่อง ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้น แบบ Credit Line ในวงเงินปีละ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2564 ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด กระทรวงการคลัง (กค.) ไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว เพื่อให้ กฟผ. สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า
1. วงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ที่ กฟผ. ได้รับความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 จะหมดอายุลงในวันที่ 11 กันยายน 2564 แต่ กฟผ. ยังมีความจำเป็นต้องใช้วงเงินกู้ดังกล่าว เพื่อรองรับการบริหารสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพ สำหรับการดำเนินงานของ กฟผ. เนื่องจาก
1.1 การดำเนินการของ กฟผ. จำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนที่สูงมาก โดยมีรายจ่ายประจำที่ต้องชำระ ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อกระแสไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายลงทุน และอื่น ๆ รวมทั้งรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ เช่น การขยายระยะเวลาชำระค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ซื้อกระแสไฟฟ้ารายใหญ่บางราย ทำให้ส่งผลกระทบต่อประมาณการกระแสเงินสด
1.2 กฟผ. อาจได้รับรายได้จากค่าไฟฟ้าหรือค่าขายไฟฟ้าคลาดเคลื่อนไปจากประมาณการกระแสเงินสดที่คาดการณ์ไว้
2. คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line เป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินปีละ 10,000 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด
8. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) จาก พ.ศ. 2551 – 2564 เป็น พ.ศ. 2551 – 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) (โครงการฯ) จาก พ.ศ. 2551 - 2564 เป็น พ.ศ. 2551 - 2570
2. อนุมัติให้ใช้กรอบวงเงินที่เหลือจากการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงิน 3,544.13 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพื่อการจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก และระดับปริญญาโท - เอก จำนวนรวมทั้งสิ้น 637 ทุน ดังนี้
2.1 ทุนในประเทศ จำนวน 175 ทุน (ระดับปริญญาเอก จำนวน 75 ทุน ระดับปริญญาโท - เอก จำนวน 100 ทุน) และทุนต่างประเทศ จำนวน 462 ทุน (ระดับปริญญาเอก จำนวน 197 ทุน ระดับปริญญาโท - เอก จำนวน 265 ทุน) คิดเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 3166.92 ล้านบาท
2.2 ทุนอบรม/ศึกษาเพิ่มเติม/วิจัยในต่างประเทศ จำนวน 93 ทุน และทุนสนับสนุนศักยภาพในการทำวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อต่อยอดการทำวิจัยเชิงลึก
ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในต่างประเทศ (Post -doctoral) จำนวน 230 ทุน ระยะเวลา 1 ปี ทั้ง 2 ทุน รวมเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 259.50 ล้านบาท
2.3 ค่าบริหารโครงการ จำนวน 117.71 ล้านบาท
โดยขอให้ อว. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) (โครงการฯ) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป. อว.) ดำเนินโครงการฯ ระยะเวลา 14 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 - 2564 ในวงเงินงบประมาณ 6,412.25 ล้านบาท เพื่อสร้างฐานกำลังคนที่มีคุณภาพในระดับปริญญาตรี – ปริญญาเอก ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยให้ทุนการศึกษาที่มีข้อผูกพันสัญญารับทุนที่ต้องชดใช้ทุนด้วยระยะเวลาการเข้ารับราชการ นั้น จะสิ้นสุดระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และยังมีวงเงินคงเหลืออีก จำนวน 3,544.13 ล้านบาท ซึ่งจากการดำเนินงานของโครงการฯ ที่ผ่านมา พบว่ามีนักเรียนทุนที่อยู่ในระบบ จำนวน 483 คน สำเร็จการศึกษาแล้ว จำนวน 273 คน อยู่ระหว่างศึกษา จำนวน 210 คน ประกอบกับ สป. อว. ได้สำรวจข้อมูลผู้เกษียณอายุของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2570 จะมีผู้เกษียณอายุในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งสิ้น จำนวน 4,659 คน ซึ่งหากไม่สามารถหาอาจารย์ที่มีคุณภาพมาทดแทนได้จะส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาจารย์ในสาขาดังกล่าว และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจัดการศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัย และการพัฒนาประเทศได้ คณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน) จึงเห็นควรขอขยายระยะเวลาโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. เห็นควรสนับสนุนการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการ ซึ่ง อว. ได้ปรับแก้โครงการฯ ตามข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. แล้ว ต่อมาในคราวประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ดังนั้น อว. จึงขอขยายระยะเวลาโครงการฯ จาก พ.ศ. 2551 - 2564 เป็น พ.ศ. 2551 – 2570 โดยใช้กรอบวงเงินเดิมในส่วนที่เหลืออยู่ จำนวน 3,544.13 ล้านบาท ในการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับระดับปริญญาเอก และระดับปริญญาโท - เอก รวมทั้งสิ้น 637 ทุน (จำนวนทุนที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินโครงการและพัฒนากำลังคนด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ให้มีคุณภาพและมีปริมาณเพียงพอรองรับการพัฒนาประเทศ รวมถึงสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไป โดย อว. ได้ปรับแนวทางในการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่ผ่านมา และรองรับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เช่น ปรับวัตถุประสงค์โครงการฯ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนอาจารย์ที่จะเกษียณอายุ กำหนดเป้าหมายในการจัดสรรทุนให้เหมาะสมตามกรอบวงเงินงบประมาณที่คงเหลืออยู่ ปรับปรุงสาขาวิชาภายใต้โครงการฯ ให้สามารถรองรับการพัฒนาประเทศได้ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการฯ ที่ อว. เสนอมาในครั้งนี้ ไม่มีความซ้ำซ้อนกับการจัดสรรทุนลักษณะเดียวกันของโครงการอื่นภายใต้ อว. และสำนักงาน ก.พ. เนื่องจากเป็นทุนสำหรับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อเป็นอาจารย์ในการสร้างบัณฑิตด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
9. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษส่งผลกระทบต่อประชาชน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษส่งผลกระทบต่อประชาชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษว่า การพัฒนาโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 6 พื้นที่ ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนในพื้นที่โครงการ
2. กสม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมีขั้นตอนการดำเนินนโยบายในบางพื้นที่ขาดกระบวนการให้ข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเพียงพอ อันเป็นการกระทบต่อความเป็นอยู่และสิทธิของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การประเมินศักยภาพพื้นที่เพื่อใช้เป็นพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนอย่างเพียงพอ และการชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรมถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในบางพื้นที่ จึงได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการป้องกัน หรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับ (1) การป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน และ (2) การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งมอบหมายให้ กค. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้ กค. สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ได้มีการพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กษ. ทส. มท. อก. สปน. สงป. และ สศช. แล้ว ซึ่งมีผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะ
ความเห็น/ผลการพิจารณา/ผลการดำเนินงาน
1. การป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน
1.1 ให้กรมธนารักษ์พิจารณาคืนสภาพให้กับที่ดินของรัฐแปลงที่กรมธนารักษ์ไม่อาจนำที่ดินที่เพิกถอนสภาพตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( หน.คสช.) ที่ 17/58 ลว. 15 พ.ค. 58 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคำสั่งที่ 74/59 ลว. 20 ธ.ค. 59 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่ง หน.คสช. ที่ 17/58 ไปให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลา อันเหมาะสม หรือในกรณีที่ดินที่มีการเพิกถอนสภาพนั้นไม่มีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีกต่อไป เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้มีการสงวนเป็นที่ดินของรัฐไว้ เช่น การถอนสภาพที่ดินของรัฐในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย เป็นต้น
1. การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการจัดหาที่ดิน ตามคำสั่ง หน.คสช. ดังกล่าวจะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เพื่อพิจารณา สำหรับกรณีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร หากจะนำพื้นที่กลับมาเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน จะมีปัญหาอุปสรรคในข้อกฎหมาย และการประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินจะใช้ระยะเวลานาน
2. กนพ. ในการประชุมครั้งที่ 2/60 เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 60 มีมติมอบให้ กค. และ อก. พิจารณาปรับแนวทางและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุน และการบริการให้มากขึ้น ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้จังหวัดมุกดาหารและหนองคายจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น โดยเห็นควรเพิ่มเติมด้านสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนและเร่งรัดด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
3. กรมธนารักษ์จะดำเนินการเปิดประมูลเพื่อ
สรรหาผู้ลงทุนพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารและหนองคาย เมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้
1.2 ให้กรมธนารักษ์ร่วมกับจังหวัดสงขลาพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ยังอาศัยอยู่ในที่ราชพัสดุแปลงพิพาทที่กำหนดเป็นพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาโดยอาจจัดหาที่ดินราชพัสดุบางส่วนให้เช่าหรือให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสิทธิในที่อยู่อาศัยที่ได้รับการรับรองโดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ต่อไป
- กรมธนารักษ์ร่วมกับจังหวัดสงขลาได้ชี้แจงสร้างความเข้าใจ และเจรจากับราษฎรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ราชพัสดุ จำนวน 128 ราย ปัจจุบันคงเหลือราษฎรที่ไม่ยินยอมจำนวน 37 ราย โดยได้จัดสรรที่ราชพัสดุแปลง สข. 2516 เพื่อรองรับให้ราษฎรที่ยินยอมรื้อถอนเช่าเพื่ออยู่อาศัยรายละประมาณ 50 ตารางวา และจังหวัดสงขลาได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง วงเงิน 9,997,000 บาท โดยได้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยการขยายระบบไฟฟ้า ระบบประปา ถนนและคูระบายน้ำในที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดสรรเงินช่วยเหลือค่ารื้อถอนให้กับราษฎรที่ยินยอมรื้อถอนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรแล้ว จำนวน 91 ราย เป็นเงิน 2,996,720.22 บาท
1.3 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง หน.คสช. ดังกล่าวในทุกพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบแก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้เกิดความเท่าเทียม สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนตามความเหมาะสมต่อไป
1. คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ ในการประชุมครั้งที่ 2/58 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.58 เห็นชอบในหลักการจ่ายค่าชดเชย ค่าเยียวยาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้จังหวัดเป็นหน่วยงานสำรวจ รวบรวม และรายงานให้ มท. ตรวจสอบกลั่นกรอง และให้กรมธนารักษ์รับผิดชอบในการตั้งงบประมาณ ซึ่ง กนพ. ในการประชุมครั้งที่ 4/58 เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 58 มอบหมายให้ มท. แต่งตั้งคณะทำงานเพื่ออำนวยการหรือปฏิบัติการ หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ ครม. ได้มีมติ (10 พ.ย. 58) รับทราบและเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ มท. ได้มีหนังสือมอบหมายให้จังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ ชี้แจง ทำความเข้าใจกับราษฎร และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนสภาพที่ดินให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งสำรวจรวบรวมข้อมูล ขอบเขต ระยะเวลา รายละเอียดของราษฎร หน่วยงานที่ใช้ประโยชน์ ข้อมูลสิ่งปลูกสร้าง พืชผล ในที่ดินแต่ละแปลง และกำหนดค่าเยียวยา ชดเชย ค่ารื้อถอน ฯลฯ โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ วิธีการเช่นเดียวกับหน่วยงานราชการอื่น และรายงาน มท. ตรวจสอบกลั่นกรอง
2. รัฐได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือดูแลราษฎรที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และค่าพืชผล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน อีกทั้งคณะทำงานของจังหวัดได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงทำความเข้าใจ เจรจาสำรวจตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งกำหนดค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และค่าพืชผลโดยอ้างอิงตามหลักเกณฑ์ของส่วนราชการอื่น ทั้งนี้ ในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยากับ ผู้ได้รับผลกระทบตามความเหมาะสมในทุกพื้นที่แล้ว ดังนี้
ตาก
- ได้จัดสรรที่ราชพัสดุบางส่วนให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเช่าเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการเกษตร
- จ่ายเงินให้ความช่วยเหลือให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเป็นค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชอาสิน จำนวน 87 ราย เป็นเงิน 438,308,965 บาท
มุกดาหาร
- จ่ายค่าเยียวยาให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 5 ราย เป็นเงิน 880,000 บาท
- จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้หน่วยงาน เป็นเงิน 154,793 บาท
สงขลา
- จัดสรรที่ราชพัสดุให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบที่ยินยอมรื้อถอนเช่าเพื่ออยู่อาศัย รายละประมาณ 50 ตารางวา
- จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบที่ยินยอมรื้อถอน จำนวน 91 ราย เป็นเงิน 2,996,720.22 บาท สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน 37 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการของคณะทำงานจังหวัดสงขลา
นครพนม
- จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดฟันต้นไม้ให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 12 ราย เป็นเงิน 101,980 บาท
กาญจนบุรี
- จ่ายเงินให้ความช่วยเหลือให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเป็นค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชผล จำนวน 115 ราย เป็นเงิน 82,987,191.45 บาท ขณะนี้ดำเนินการจ่ายแล้ว จำนวน 66 ราย เป็นเงิน 47,358,312.09 บาท สำหรับส่วนที่คงเหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือดังกล่าว โดยมอบให้สำนักงานธนารักษ์ พื้นที่กาญจนบุรีเป็นผู้ดำเนินการ
2. การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาทบทวนการกำหนดพื้นที่พัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ประเภทกิจการเป้าหมายและกิจการที่ได้รับการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการลงทุน หรือการพัฒนาโครงการหรือกิจกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยคุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับชุมชนเพื่อให้การดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ดิน รวมทั้งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และปฏิญญาว่าด้วยสิทธิในการพัฒนาที่มุ่งเน้นให้รัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน และเพื่อให้ประเทศไทยมุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติหลังปี 2558 ถึง 2573 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสังคมที่สงบสุขเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม โดยการสร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบครอบคลุม เสริมสร้างความแข็งแกร่งของการมีส่วนร่วมในทุกระดับการตัดสินใจ รวมทั้งการสร้างหลักประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในและความตกลงระหว่างประเทศ
1. การจัดหาที่ดินของรัฐเพื่อมาเพิกถอนสภาพให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่พัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษและการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติการประชุมที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่ กนพ. แต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน อาทิ แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการด้านการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่ โดยมีตัวแทนราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ร่วมเป็นคณะทำงานฯ จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรที่ได้ผลกระทบ และประกาศรายชื่อราษฎรที่ผู้รับผลกระทบจากการจัดหาที่ดิน รวมถึง การให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามหลักสิทธิมนุษยชน
2. ตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งผ่านความเห็นชอบ กนพ. แล้ว ได้กำหนดให้ผู้พัฒนาเสนอแผนการพัฒนาพื้นที่ที่ขอลงทุนในการจัดทำผังพัฒนาพื้นที่โครงการ โดยจัดทำแนวคิดแผนแม่บทเบื้องต้นให้มีกิจกรรมที่สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง เน้นความเป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ สอดรับกับการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชนกับองค์กรหรือหน่วยงานท้องถิ่นโดยรอบให้เจริญเติบโตไปด้วยกันภายใต้กำกับดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดี และสอดคล้องกับแผนแม่บทในระดับจังหวัด อีกทั้งดำเนินการตามกรอบหลักการสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจของสหประชาชาติ ให้เป็นตามหลักการพื้นฐาน อาทิ การให้ความช่วยเหลือจ้างแรงงานผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่พัฒนา ตลอดจนจะต้องจัดทำพื้นที่สีเขียวคิดเป็นร้อยละ 30 ของพื้นที่โครงการ เพื่อให้ความสำคัญด้านระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน รวมทั้งจะต้องจัดทำพื้นที่ชุมชนและสันทนาการ คิดเป็นร้อยละ 10 ของพื้นที่โครงการ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับส่วนรวมใช้ประโยชน์ร่วมกัน
10. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564
การส่งออกของไทยเดือนมกราคม 2564 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมปีก่อน โดยมีมูลค่า 19,706.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.35 แม้จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่การส่งออกของไทยในเดือนมกราคมขยายตัว และมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (18,319 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เริ่มเห็นผลชัดเจน และมีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง ส่งผลให้เกิดอุปสงค์และสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ ยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.57 ซึ่งสะท้อนการเติบโตจากภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector)
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นและแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ และโทรศัพท์และอุปกรณ์ 3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ และถุงมือยาง เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกอย่างมากในช่วงนี้ และ 4) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญเริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยในระยะถัดไป
ตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และตะวันออกกลาง ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ตลาด CLMV พลิกกลับมาเป็นบวกในรอบ 10 เดือน แสดงถึงการค้าชายแดนที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ตลาดอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญต่อการส่งออก
ของไทย เช่น สหภาพยุโรป เอเชียใต้ และอาเซียน (5) ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
อย่างมาก ทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกในตลาดดังกล่าวเป็นไปอย่างช้า ๆ
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 19,706.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.35 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 19,908.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.24 ดุลการค้าขาดดุล 202.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนมกราคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 587,373.95 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.09 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 601,897.76 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 5.70 ดุลการค้าขาดดุล 14,523.81 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.7 (YoY) ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 345.1 (ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย กัมพูชา และลาว) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 50.5 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 31.7 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง และมาเลเซีย) สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 38.5 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง เมียนมา และกัมพูชา) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 19.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และออสเตรเลีย) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 1.5 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ตุรกี อินเดีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 48.1 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ขยายตัวดีในเวียดนาม และลาว) ข้าว หดตัวร้อยละ 15.9 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวดีในแคเมอรูน แอฟริกาใต้ และจีน) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวร้อยละ 7.9 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน และเนเธอร์แลนด์ แต่ขยายตัวดีในเกาหลีใต้ และสิงคโปร์) อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 0.8 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีน แต่ขยายตัวดีในสหรัฐฯ อียิปต์ และแคนาดา)
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 0.9 (YoY) ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ถุงมือยาง ขยายตัวร้อยละ 200.5 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และจีน) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 25.7 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เวียดนาม มาเลเซีย) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.4 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ลาว สิงคโปร์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 12.6 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 12.4 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 9.2 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) ยางรถยนต์ กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.2 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น ออสเตรเลีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย เวียดนาม เม็กซิโก อินโดนีเซีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ทองคำ หดตัวร้อยละ 90.3 (หดตัวในตลาดสิงคโปร์ อินเดีย และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวได้ดีในฮ่องกง และออสเตรเลีย) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 8.2 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน แต่ขยายตัวได้ดีในฮ่องกง และมาเลเซีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กลับมาหดตัวร้อยละ 5.2 (หดตัวในตลาดอินเดีย เวียดนาม และเมียนมา แต่ขยายตัวได้ดีในญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน และอินโดนีเซีย) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว กลับมาหดตัวร้อยละ 5.0 (หดตัวในตลาดฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวได้ดีในญี่ปุ่น เวียดนาม และฮ่องกง) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 4.5 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ จีน กัมพูชา และมาเลเซีย แต่ขยายตัวได้ดีในเวียดนาม ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย)
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญหลายตลาดขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า สอดคล้องกับภาคการผลิตและการบริโภคทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยภาพรวม
การส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 5.7 ตามการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และญี่ปุ่นร้อยละ 12.4 และร้อยละ 7.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรป (15)
หดตัวร้อยละ 5.4 2) ตลาดศักยภาพสูง ขยายตัวร้อยละ 1.4 จากการส่งออกไปจีน และกลุ่มประเทศ CLMV ที่ขยายตัวร้อยละ 9.9 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปอาเซียน (5) และเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 11.0 และร้อยละ 8.3 ตามลำดับ และ 3) ตลาดศักยภาพระดับรองขยายตัวร้อยละ 10.3 ตามการขยายตัวต่อเนื่องของส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) ร้อยละ 30.3 และตะวันออกกลาง (15) ร้อยละ 13.1 และการกลับมาขยายตัวของการส่งออกไปทวีปแอฟริกาที่ร้อยละ 6.3 ขณะที่การส่งออกไปลาตินอเมริกา และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 2.9 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ
2. แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2564
การส่งออกของไทยระยะต่อไปน่าจะปรับตัวในทิศทางดีขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความชัดเจน สะท้อนจาก (1) ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา (2) ความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เริ่มขยายตัว สะท้อนจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้ว และกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (3) การกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพในหลายภูมิภาค ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของคู่ค้าสูงขึ้น สำหรับแผนส่งเสริมการส่งออกปี 2564 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) มีนโยบายสำคัญ อาทิ การส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเร่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์ข้าวเพื่อให้ไทยเป็นผู้นำทั้งด้านคุณภาพและการตลาด สนับสนุนการส่งออกสินค้าฮาลาล เพื่อเจาะตลาดสินค้าอาหารประเทศมุสลิม ขณะเดียวกันเร่งแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าต่าง ๆ อาทิ ปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า เป็นต้น
11. เรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด – 19
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด – 19 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ
1. ให้ สธ. พิจารณาบรรจุบุคลากรกลุ่มพนักงานราชการ พนักงาน สธ. หรือลูกจ้างชั่วคราว ที่ยังตกค้างหรืออยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนในตำแหน่งว่างที่เหลือจากการบรรจุทั้ง 3 ระยะ ให้แล้วเสร็จก่อน โดยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม
2. หากมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการดำเนินการตามข้อ 1 คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ. สธ.) อาจพิจารณาบรรจุบุคลากร สธ. ที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด - 19 ได้ตามเหตุผลความจำเป็น โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ และการป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม และให้รายงาน คปร. เพื่อทราบ นับแต่วันที่ อ.ก.พ. สธ. มีมติและบรรจุบุคลากรแล้วเสร็จภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ให้ สธ. ชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากร สธ. ที่จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามข้อสังเกตของผู้แทนกรมบัญชีกลาง1 และเมื่อได้ดำเนินการบรรจุบุคลากรครบถ้วนตามที่ได้รับจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ จำนวน 38,105 อัตรา แล้ว ให้ สธ. รายงานผลการดำเนินการตลอดจนแจ้งการยุบเลิกตำแหน่งที่จ้างงานด้วยรูปแบบอื่นให้ คปร. ทราบเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (เดือนมีนาคม 2564) ด้วย
_______________________
1 ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้ให้ข้อสังเกตว่า ลูกจ้างประจำเป็นบุคลากรภาครัฐประเภทหนึ่งที่ได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ใกล้เคียงกับข้าราชการ การจะเปลี่ยนสถานะการจ้างลูกจ้างประจำมาเป็นข้าราชการจึงมีสิ่งที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น คือ ลักษณะงานและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งการเปลี่ยนสถานะดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการคำนวณบำเหน็จบำนาญซึ่งไม่สามารถนับระยะเวลาต่อเนื่องได้ ดังนั้น หาก สธ. จะพิจารณาเปลี่ยนสถานะการจ้างงานจากลูกจ้างประจำเป็นข้าราชการ จึงควรชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกจ้างประจำผู้ที่อยู่ในกรณีจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ทราบเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันกับการบรรจุบุคลากรใน 3 กลุ่มแรกที่ คปร. มีมติไว้แล้ว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือข้อร้องเรียนภายหลัง
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรหากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขอให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรก หรือขอโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. 2562 แล้วแต่กรณี โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีต่อ ๆ ไป ขอให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ การบรรจุบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. รายงานว่า
1. สธ. ได้ดำเนินการคัดเลือกและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 โดยสามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ สรุปได้ ดังนี้
ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2563
ระยะเวลาดำเนินการ
ข้าราชการตั้งใหม่
(อัตรา)
บรรจุแล้ว
(อัตรา)
คงเหลือตำแหน่งว่าง
(อัตรา)
ระยะที่ 1
(เดือนพฤษภาคม 2563)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมการพัฒนาและการเปิดให้บริการ | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมการพัฒนาและการเปิดให้บริการ
ระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (Motorway M81) ของกรมทางหลวง
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมเรื่อง การพัฒนาและการเปิดให้บริการระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (Motorway M81) ในวันที่ 22 มีนาคม 2564 ผ่านแอปพลิเคชัน Zoom โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามการดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง (ทล.) ได้ดำเนินการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) เพื่อแก้ไขปัญหารถติดหน้าด่าน โดยวางระบบให้สามารถบูรณาการกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในการพัฒนา M-Flow ให้เป็นรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน (Single Platform System) ซึ่งเป็นระบบเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติในรูปแบบการอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ ร่วมกับระบบการตรวจจับยานพาหนะอัตโนมัติ (Automatic Vehicle Identification: AVI) โดยผู้ใช้รถยนต์สามารถขับขี่ผ่านบริเวณด่านฯ ที่จะมีการติดตั้งโครงเสาแขวนสูงเหนือศีรษะ (Overhead Gantry) พร้อมอุปกรณ์ระบบตรวจจับยานพาหนะอัตโนมัติ (AVI) ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ (Automated License Plate Recognition: ALPR) โดยไม่ต้องหยุดหรือชะลอรถ โดยระบบ M-Flow ได้ออกแบบให้รองรับการใช้ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ซึ่งสามารถระบายรถได้เร็วกว่าระบบเดิม 5 เท่า ขณะนี้การติดตั้ง M-Flow Gantry ทั้ง 4 ด่านแล้วเสร็จ (ด่านทับช้าง 1, 2 และด่านธัญบุรี 1, 2) และอยู่ระหว่างการปรับปรุงกายภาพบริเวณช่องทางงานติดตั้งป้ายเครื่องหมายจราจร และการดำเนินการด้านวิศวกรรมและระบบ IT
สำหรับโครงการ Motorway M81 มีระยะทาง 96 กิโลเมตร ประกอบด้วย ด่านเก็บค่าผ่านทาง จำนวน 8 แห่ง วงเงินลงทุนโครงการ 55,927 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 38,475 ล้านบาท และค่าเวนคืน 17,452 ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินโครงการ ปี 2559 - 2566 แบ่งการก่อสร้างเป็น 25 สัญญา (ก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 21 สัญญา) มีความคืบหน้าการก่อสร้าง ร้อยละ 49.989 เร็วกว่าแผนงานร้อยละ 5.972 (แผนงานร้อยละ 44.017) โดยมีปัญหาอุปสรรค 1 ตอน คือ ตอนที่ 12 มีค่างานก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 120.37 ล้านบาท เนื่องจากมีการแก้ไขรูปแบบงานสะพานให้มีความสอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมชลประทาน และเพิ่มงานโครงสร้างชะลอการทรุดตัวบริเวณคอสะพาน (Bearing Unit) ขณะนี้ ทล. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของค่างานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีข้อสั่งการให้ ทล. ดำเนินการดังนี้
1. ระบบ M-Flow
- เร่งรัดดำเนินการ M-Flow ให้เป็นไปตามแผนเพื่อนำไปสู่ภาคการปฏิบัติโดยเร็ว
2. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81)
- ประสานงานสำนักงบประมาณ เพื่อหารือเกี่ยวกับการบริหารเงินเหลือจากการก่อสร้างมาดำเนินการในส่วนของค่างานที่เพิ่มขึ้น
- ให้บำรุงรักษาผิวทางของสัญญาที่แล้วเสร็จให้พร้อมใช้งานเมื่อเปิดให้บริการ
- ให้กำหนด Timeline ของงานระบบบริหารและบำรุงรักษา (O & M) ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ไม่เป็นไปตามแผน
- ให้ตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน เพื่อให้ใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์และป้องกันการทุบทิ้งสร้างใหม่ในภายหลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40254 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรเปิดอาคารฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากร พร้อมยกระดับสู่ศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคขององค์การศุลกากรโลก (WCO Regional Training Center) | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
กรมศุลกากรเปิดอาคารฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากร พร้อมยกระดับสู่ศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคขององค์การศุลกากรโลก (WCO Regional Training Center)
อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากร เพื่อรองรับภารกิจการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ และพร้อมยกระดับสู่การเป็นศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคขององค์การศุลกากรโลก (WCO Regional Training Center)
วันนี้ (วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564) เวลา 15.30 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากร เพื่อรองรับภารกิจการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ และพร้อมยกระดับสู่การเป็นศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคขององค์การศุลกากรโลก (WCO Regional Training Center) ณ อาคารศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากร กรมศุลกากร เชิงสะพานกรุงเทพ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เมื่อปีพุทธศักราช 2528 กรมศุลกากรได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมขึ้น ณ บริเวณพื้นที่แห่งนี้ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2539 กรมศุลกากรได้ก่อสร้างอาคาร 120 ปีขึ้นใหม่จึงได้ย้ายการดำเนินงานด้านการฝึกอบรมบุคลากร ไปที่อาคาร 120 ปี ประจำที่ชั้น 15 และ ชั้น 16 โดยกรมศุลกากรได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในหลักสูตรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดและพร้อมยกระดับศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากรให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคขององค์การศุลกากรโลก (WCO Regional Training Center) กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากรแห่งนี้เป็นอาคารสูง 4 ชั้น ประกอบด้วยห้องประชุมอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ จำนวน 2 ห้อง ห้องฝึกอบรมขนาดกลาง จำนวน 3 ห้อง ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และห้องที่จำเป็นต่าง ๆ รวมถึงพื้นที่สำนักงาน อีกทั้งในบริเวณพื้นที่ศูนย์ฝึกอบรมนี้ กรมธนารักษ์ ได้มอบอาคารพักอาศัย 8 ชั้น จำนวน 100 ห้อง ตามโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสามให้แก่กรมศุลกากร ซึ่งทำให้ศูนย์ฝึกอบรมสถาบันวิทยาการศุลกากรแห่งนี้ มีความพร้อมที่จะรองรับภารกิจการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า กรมศุลกากรได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาและเพื่อให้บุคลากรของกรมศุลกากรก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรกรมศุลกากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ยังสามารถจัดฝึกอบรมให้แก่บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับงานด้านศุลกากรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมถึงเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการที่ทันสมัยเป็นสากลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย ถึงนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การตรวจสอบพยานหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมาย | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย ถึงนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การตรวจสอบพยานหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมาย
ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย ถึงนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การตรวจสอบพยานหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมาย
วันที่ 3 มีนาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานการดำเนินงานตามที่ได้รับการแจ้งข้อมูลเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายและการร้องเรียนที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานผลการดำเนินงานถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. กรณีแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับแจ้งข้อมูล จำนวน 44 เรื่อง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายแล้วเสร็จ จำนวน 30 รายการ จับกุมดำเนินคดี จำนวน 5 คดี ผู้กระทำความผิด 6 ราย ตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิด จำนวน 25 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 14 เรื่อง
2. กรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับแจ้งข้อมูล จำนวน 314 เรื่อง โดยได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายแล้วเสร็จ จำนวน 187 รายการ จับกุมผู้กระทำความผิด 21 คดี ตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิดจำนวน 166 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 127 เรื่อง
3. การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่นอกเหนือจากการเข้าเมืองผิดกฎหมายและการเปิดสถานที่เล่นการพนัน ซึ่งได้รับแจ้งข้อมูล จำนวน 231 เรื่อง โดยได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายตามที่ได้แจ้งข้อมูลแล้วเสร็จ จำนวน 89 รายการ จับกุมดำเนินคดี จำนวน 12 คดี ผู้กระทำความผิด 25 ราย และตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิด จำนวน 77 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 142 เรื่อง
4. ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ได้รับการร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ และสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโควิด -19 ซึ่งได้รับแจ้งข้อมูล จำนวน 109,097 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 108,874 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ 223 เรื่อง
นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขทุกปัญหาที่ได้รับการร้องทุกข์และการแจ้งข่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้ประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติการทั้งการจับกุมดำเนินคดีด้วย และขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการแจ้งข้อมูล เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบพยานหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลสนับสนุนการมีส่วนร่วมตรวจสอบภาคประชาชน หากใครพบเห็นการกระทำหรือการปล่อยปละละเว้นการกระทำซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายและส่งผลกระทบเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคอย่างรุนแรง สามารถแจ้งเบาะแสมายังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาลได้ทุกวัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39578 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. แจงการเปลี่ยนแปลงวันสอบต้องคำนึงปัจจัยหลายด้าน หากมีการเลื่อนสอบ อาจส่งผล กระทบต่อกำหนดการคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (TCAS) | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ศธ. แจงการเปลี่ยนแปลงวันสอบต้องคำนึงปัจจัยหลายด้าน หากมีการเลื่อนสอบ อาจส่งผล กระทบต่อกำหนดการคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (TCAS)
กระทรวงศึกษาธิการ แจงการเปลี่ยนแปลงวันสอบต้องคำนึงปัจจัยหลายด้าน หากมีการเลื่อนสอบ อาจส่งผลกระทบต่อกำหนดการคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (TCAS)
เมื่อวันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงกรณี เรื่องวันสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือ TCAS ตรงกับวันสำคัญอื่นที่กำหนดไว้ เช่น การสอบ GAT-PAT ในวันที่ 20-23 มีนาคม 2564 ตรงกับวันสอบปลายภาคของโรงเรียน วันสอบ 9 วิชาสามัญ วันที่ 3-4 เมษายน 2564 และวันสอบ O-NET วันที่ 27-28 มีนาคม 2564 ตรงกับวันเกณฑ์ทหารและวันเลือกตั้งท้องถิ่น อีกทั้งการเรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักเรียนได้รับเนื้อหาวิชาไม่เต็มที่ หากไม่พิจารณาเลื่อนวันสอบอาจเป็นการตัดโอกาสนักเรียนที่ต้องเข้าสอบคัดเลือกเป็นจำนวนมาก จึงมีการเรียกร้องผ่านสื่อออนไลน์ให้เลื่อนวันสอบ TCAS นั้น
1) การกำหนดวันสอบปลายภาค เป็นอำนาจหน้าที่ของโรงเรียน ดังนั้นโรงเรียนสามารถกำหนดวันสอบปลายภาคเป็นวันอื่น โดยไม่ให้ตรงกับวันที่ทำการสอบ GAT-PAT ได้
2) วันสอบ O-NET ที่ตรงกับวันเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น สพฐ.ได้ประสานไปยังสถาบันทดสอบทางการศึกษาฯ ทำการเลื่อนวันสอบ เพื่อให้นักเรียนได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่น และสามารถเข้าทำการทดสอบ O-NET ได้ด้วย
3) กรณีการเรียนออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา สพฐ.ได้ทำความเข้าใจกับโรงเรียนว่า ต้องเลือกใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายให้เหมาะสมกับสภาพบริบทและสภาพความพร้อมของผู้เรียน ทั้งนี้ หากมีการเลื่อนสอบ อาจส่งผลกระทบต่อกำหนดการคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (TCAS)
ด้านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า TCAS คือระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ที่กำหนดโดยสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) รับผิดชอบกำหนดขั้นตอนการรับสมัคร วันเวลาสอบ ประกาศผล การใช้ประโยชน์ของผลสอบและอื่นๆ ให้สอดคล้องกับตารางเวลาการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของ ทปอ. ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงวันสอบ จึงต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นด้วย
1) การจัดสอบวิชาสามัญ ในวันที่ 3-4 เม.ย.64 ซึ่งตรงกับการเกณฑ์ทหาร (ระหว่าง 1–20 เม.ย.) นั้น กองทัพบกได้ประกาศหลักเกณฑ์การทำคำร้องขอผ่อนผันการเกณฑ์ทหารไว้ ผู้สมัครที่ติดสอบสามารถใช้เป็นเหตุผลในการผ่อนผันได้
2) การจัดวันสอบ O-NET ชั้น ม.6 วันที่ 27-28 มี.ค.64 ซึ่งตรงกับวันเลือกตั้งท้องถิ่น(28 มี.ค.64) คณะกรรมการ สทศ. ได้พิจารณาแล้ว เห็นสมควรให้เลื่อนกำหนดการทดสอบ O-NET ไปเป็นวันที่ 29 มี.ค.64 แทน โดยใช้ตารางสอบเดิม
ทั้งนี้ การออกข้อสอบ สทศ.ใช้ข้อสอบที่มีเนื้อหาครอบคลุมสาระการเรียนรู้ ตั้งแต่ชั้น ม.4 - ม.6 ดังนั้นการวางแผนเตรียมตัวในเรื่องการเรียนมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนมีความรู้เพียงพอที่จะเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องการได้ ไม่ใช่การเตรียมตัวเพียง 1-2 เดือน
----------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39641 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดัน "กัญชา" เป็น Product Champion ยกระดับสู่อุตสาหกรรมสุขภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
สธ. ดัน "กัญชา" เป็น Product Champion ยกระดับสู่อุตสาหกรรมสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุขดัน “กัญชา” เป็น Product Champion สู่อุตสาหกรรมสุขภาพ สร้างเศรษฐกิจ ตั้งเป้าผลิตยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุขดัน “กัญชา” เป็นProduct Champion สู่อุตสาหกรรมสุขภาพ สร้างเศรษฐกิจ ตั้งเป้าผลิตยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเดิมจับคู่ 29 บริษัทผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูก คาดสร้างรายได้ 150 ล้านบาท กำหนดเป็นระบบบริการสุขภาพสาขาที่ 20 เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชา
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และแพทย์หญิงอัมพรเบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมแถลงข่าวการพัฒนากัญชาเพื่อเศรษฐกิจไทย ในการประชุมเชิงปฏิบัติการกัญชาในอุตสาหกรรมสุขภาพและการจับคู่เจรจาธุรกิจส่วนของกัญชาที่ไม่ใช่ยาเสพติด
นายอนุทินกล่าวว่า ในสายตาประชาคมโลก “กัญชา” เป็นสมุนไพรที่มีค่าและให้การยอมรับมากขึ้น ปัจจุบันตลาดกัญชาที่ถูกกฎหมายมีมูลค่า 17.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5 แสนล้านบาท อัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 17โดยกัญชาในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพสร้างรายได้สูงถึงร้อยละ 70 ของมูลค่าทั้งหมด รัฐบาลเล็งเห็นว่ากัญชาเป็นทางออกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นประโยชน์ต่อภาคเกษตรกร อุตสาหกรรม ธุรกิจ และประชาชน จึงได้ส่งเสริมให้พัฒนากัญชาแบบครบวงจร (Product Champion) ตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทางเกษตรกรผู้ปลูก, กลางทางคือผู้ผลิต และปลายทางคือผู้ขายและประชาชน มีเป้าหมายต่อยอดกัญชาสู่การสร้างเศรษฐกิจประเทศ 3 ด้าน ได้แก่ยาแผนไทยผลิตภัณฑ์สุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า วันนี้นับเป็นก้าวย่างสำคัญจากการพัฒนากัญชาทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมสุขภาพร่วมกับภาคเอกชน ผู้ผลิตที่มีศักยภาพ และวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกที่มีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ สมุนไพรเดี่ยว และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้าร่วม 29 บริษัท มีความต้องการวัตถุดิบกัญชารวมกันมากกว่า 30 ตัน ส่วนผู้แทนวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชาคุณภาพและถูกต้องตามกฎหมาย 5 กลุ่ม จาก 6 จังหวัด เป็นผู้แทนกลุ่มเกษตรกรมากกว่า 50 กลุ่ม รวมพื้นที่ปลูกกัญชามากกว่า 60 ไร่ การจับคู่เจรจาวัตถุดิบกัญชาครั้งนี้คาดมีมูลค่ามากกว่า 150 ล้านบาท ความคาดหวังว่า กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจจึงมีความเป็นไปได้สูง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 2562 นำไปใช้ในผู้ป่วย เช่น โรคลมชัก พาร์กินสัน มะเร็งระยะสุดท้าย เข้าถึงการรักษาด้วยกัญชามากขึ้น นอกจากนี้ ได้แก้ไขกฎกระทรวงปลดล็อกชิ้นส่วนต่างๆ ของกัญชาไม่เป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และในปี 2564 ได้บรรจุกัญชาทางการแพทย์เป็นแผนพัฒนาระบบบริการ (Service Plan) สาขาที่ 20 เพิ่มโอกาสการเข้าถึงในการรักษาโรคปัจจุบันเปิดให้บริการกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลในสังกัดฯ 700 กว่าแห่งทั่วประเทศ มีผู้มารับบริการมากกว่า 65,000 ราย รวมกว่า 100,000 ครั้ง โดยตั้งเป้าให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดให้บริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในทุกพื้นที่ และยังกำหนดให้สมุนไพรกัญชาและกัญชงเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วย
ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่าตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่1 พ.ศ. 2560 - 2565มีการกำหนดวางแผนการพัฒนาสมุนไพรให้ครบวงจรเป็นProduct Champion พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดและสร้างเศรษฐกิจได้ และพัฒนากัญชาเพื่อเศรษฐกิจ มีเป้าหมายต่อยอดกัญชาสู่การสร้างเศรษฐกิจประเทศ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ยาแผนไทยเพื่อรักษาและดูแลสุขภาพกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมาย2.ผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อสร้างเสริมสุขภาพประชาชนทั่วไป มีเป้าหมายต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ3.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้กัญชาผ่านรูปแบบการท่องเที่ยวจากประสบการณ์ตรง
********************************* 11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' เร่งป้องกัน แก้ไขปัญหาภัยแล้ง ส่งมอบสถานีจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชนบ้านต้นไทร จ.พัทลุง "ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 2,400 ครัวเรือน" | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
'วราวุธ' เร่งป้องกัน แก้ไขปัญหาภัยแล้ง ส่งมอบสถานีจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชนบ้านต้นไทร จ.พัทลุง "ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 2,400 ครัวเรือน"
'วราวุธ' เร่งป้องกัน แก้ไขปัญหาภัยแล้ง ส่งมอบสถานีจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชนบ้านต้นไทร จ.พัทลุง "ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 2,400 ครัวเรือน"
วันนี้ (5 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิด และส่งมอบโครงการก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชนบ้านต้นไทร ประจำปีงบประมาณ 2564 สำหรับเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้ง เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน พร้อมพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมพิธีฯ ณ บ้านต้นไทร หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง
รมว.ทส. กล่าวว่า ดีใจที่ได้มาตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ในวันนี้ได้มาดูแลว่ากรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ทำอะไรให้กับประชาชนบ้าง ซึ่งรัฐบาลนำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำเรื่องการดูแลให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงน้ำสำหรับการอุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ซึ่งได้ให้นโยบายให้ดำเนินการเป็นระบบใหญ่เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมาเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน ดังนั้น ขอให้ประชาชนใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เกิดความคุ้มค่า และเมื่อส่งมอบโครงการฯ ไปแล้วขอฝากท่านผู้นำชุมชน ศึกษาเรียนวิธีการดูแลรักษาระบบจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และนอกจากการนำน้ำจากใต้ดินมาใช้แล้วขอให้นำแนวคิดการเติมน้ำใต้ดินไปใช้ ด้วย เพื่อเติมน้ำกลับลงไป ไว้ให้ลูกหลานในอนาคตได้มีน้ำบาดาลใช้อย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชนบ้านต้นไทร สามารถผลิตน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ได้ไม่น้อยกว่า 58,400 ลูกบาศก์เมตร/ปี ประชาชนได้รับประโยชน์ ไม่น้อยกว่า 2,400 ครัวเรือน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ยอด ม33เรารักกัน ทะลุ 8.2 ล้านคน ย้ำ ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนและไม่เคยลงทะเบียนเลย รีบติดต่อ สปส.ทั่วประเทศ 15 – 28 มี.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ เผย ยอด ม33เรารักกัน ทะลุ 8.2 ล้านคน ย้ำ ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนและไม่เคยลงทะเบียนเลย รีบติดต่อ สปส.ทั่วประเทศ 15 – 28 มี.ค.นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ยอดลงทะเบียน ม33เรารักกัน ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.-7 มี.ค.64 จำนวนทั้งสิ้น 8,208,286 คน พร้อมเปิดให้ผู้ประกันตนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และยังไม่เคยลงทะเบียนเลย นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิ
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.- 7 มี.ค.64 จากเป้าหมายดำเนินการ 9.27 ล้านคน ปรากฏว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,208,286 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค.64 เวลา 23.00 น.) คงเหลืออีกประมาณ 1 ล้านกว่าคนในจำนวนนี้ ประกอบไปด้วย ผู้ที่รับเงินในโครงการเราชนะไปแล้ว ผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท และผู้ที่มีปัญหาอื่นๆ ทางเทคนิค เช่น ชื่อ – นามสกุล ไม่ตรงกับฐานข้อมูลสำนักทะเบียนราษฎร หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูลผู้ประกันตน ลงทะเบียนช้า ไม่มีสมาร์ทโฟน
นายสุชาติยังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการสำหรับผู้ประกันตนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่เคยลงทะเบียนเลย ขอให้เข้ามาติดต่อเพื่อลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศที่ท่านสะดวกในวันที่ 15-28 มี.ค.64 ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิด้วย โดยสำนักงานประกันสังคมจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการลงทะเบียน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ไม่ผ่านสามารถขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ในวันที่ 15 – 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39729 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด
รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด ขับเคลื่อนนโยบายติดตามการดำเนินงานสหกรณ์เชิงรุกทุกพื้นที่
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และคณะ ตรวจเยี่ยมติดตามผลการดำเนินงานและกิจการที่ผ่านมาของสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด วันที่ 3 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมศุภชัย วาณิชวัฒนา ชั้น 2 อาคารจามจุรี 9 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ โดยมี ผศ.ดร.วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา ประธานกรรมการ และคณะกรรมการ กล่าวรายงาน
"ในฐานะที่กำกับดูแลกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จึงมีนโยบายตรวจเยี่ยมสหกรณ์ขนาดใหญ่ รับฟังเรื่องร้องเรียน หรือดูหลักธรรมภิบาล เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป และขอชื่นชมสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัด ที่ดำเนินกิจการได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับรางวัลสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติถึง 3 ครั้ง" รมช.มนัญญากล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39597 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคล | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคล
ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคล
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ บริเวณด้านหน้าอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39667 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา ย้ำที่ประชุมคณะอนุฯ กำกับ ติดตาม และประเมินผล คทช. เร่งช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดรูปธรรม โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
รมต.นร. อนุชา ย้ำที่ประชุมคณะอนุฯ กำกับ ติดตาม และประเมินผล คทช. เร่งช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดรูปธรรม โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ
รมต.นร. อนุชา ย้ำที่ประชุมคณะอนุฯ กำกับ ติดตาม และประเมินผล คทช. เร่งช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดรูปธรรม โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับ ติดตาม และประเมินผล ในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยมีนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะอนุกรรมการ เข้าร่วม
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินงานและการประเมินผลการปฏิบัติงานของ คทช. ตามนโยบายการจัดการที่ดินทำกินโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ คทช. กำหนด ในรูปแบบสหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม เพื่อร่วมกันบริหารจัดการที่ดิน รวมทั้งการส่งเสริมการประกอบอาชีพตามศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมามีพื้นที่เป้าหมายการจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชน ตั้งแต่ปี 2558-2564 จำนวน 1,070 พื้นที่ 70 จังหวัด เนื้อที่ 1,991,446 ไร่ มีการจัดประชาชนลงพื้นที่แล้ว 57,105 ราย ใน 275 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 384,065ไร่ มีการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแล้ว 176 พื้นที่ 60 จังหวัด เนื้อที่ 467,140 ไร่
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ โดยได้ให้ความสำคัญกับการนำเอาแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) มาปรับใช้กับการพัฒนาภาคการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเกษตรกรประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ดังนั้น ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะภาคการเกษตร ต้องคำนึงถึงหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการบริหารจัดการติดตามและประเมินผล ขอให้มีการพิจารณางบประมาณและบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ รวมถึงขอให้พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน คทช. และตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคม เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของการติดตามและประเมินผล ควรดำเนินการครอบคลุมถึงการประเมินผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ (Outcome / Impact) เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการ คทช. ในการพิจารณาแก้ไขปัญหา
สำหรับผลการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับ ติดตาม และประเมินผล ในวันนี้ จะนำเสนอเข้าที่ประชุม คทช. ในวันที่ 29 มีนาคม 2564 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาทราบ และนำเผยแพร่ให้สาธารณชนต่อไป
-----------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตอบโจทย์เครือข่ายสตรี สั่งเพิ่มพนักงานสอบสวนหญิง ดูแลคดีละเมิดทางเพศ เตรียมเสนอแก้กฎหมาย ลาคลอด “จ่าย 98 วัน” | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
นายกฯ ตอบโจทย์เครือข่ายสตรี สั่งเพิ่มพนักงานสอบสวนหญิง ดูแลคดีละเมิดทางเพศ เตรียมเสนอแก้กฎหมาย ลาคลอด “จ่าย 98 วัน”
นายกฯ ตอบโจทย์เครือข่ายสตรี สั่งเพิ่มพนักงานสอบสวนหญิง ดูแลคดีละเมิดทางเพศ เตรียมเสนอแก้กฎหมาย ลาคลอด “จ่าย 98 วัน”
วันที่ 18 มีนาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการละเมิดทางเพศ นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นเรื่องที่ต้องประสานการทำงานกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยแนวทางหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันและสอดรับกับข้อเสนอของกลุ่มเครือข่ายสตรี คือการเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหญิงเพื่อทำหน้าที่สอบสวน และดูแลเด็ก สตรี ให้ได้รับการบริการที่เท่าเทียม รวมถึงได้รับความช่วยเหลืออย่างเข้าใจระหว่างผู้หญิงถึงผู้หญิง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ให้เพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหญิงเพื่อบริการประชาชน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรับเพิ่มอีก 100 คน เร็ว ๆ นี้ คุณวุฒินิติศาสตร์บัณฑิต เพื่อทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนตามสถานีตำรวจภูธร (สภ.) และสถานีตำรวจนครบาล (สน.) จากที่มีอยู่ปัจจุบัน 733 คน
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามเรื่องการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 67 เรื่องการหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ที่ปัจจุบันเป็นการเหมาจ่ายในอัตราครั้งละ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างตามมาตรา 57 เป็นเวลา 90 วัน ให้เป็น 98 วัน ซึ่งสอดคล้องกับสิทธิลาคลอดที่กำหนดใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีว่า ได้ยกร่างแก้ไขเป็น 98 วันแล้ว แต่เนื่องจากยังมีประเด็นอื่นอีกที่ต้องปรับแก้ใน พ.ร.บ. ด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น จึงมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ และจะรีบเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในทันทีเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณเครือข่ายสตรีที่ทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียง สะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบมาตลอด และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดพื้นที่ให้เกิดการทำงานร่วมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
พม. ประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน
พม. ประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 64 เวลา 10.30 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 1/2564 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง อาทิ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เป็นต้น เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ชั้น 6 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายอนุกูลเปิดเผยว่า คณะทำงานเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน เป็นคณะทำงานที่ รมว.พม.แต่งตั้งขึ้น โดยมีอำนาจหน้าที่ศึกษาแนวทางปรับปรุง แก้ไขกฎหมายและระเบียบทีเกี่ยวข้องเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการพนันออนไลน์ และให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการพนันออนไลน์ รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้เครือข่ายเด็กและเยาวชนจัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาและผลกระทบจาการพนันออนไลน์ ซึ่งวันนี้ ที่ประชุม มีการพิจารณาถึงแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานตามภารกิจของคณะทำงานฯ อาทิ 1) การสร้างความตระหนักต่อสังคมประเด็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อการปกป้องคุ้มครองเด็กจากการพนันออนไลน์ 2) การสร้างเสริมศักยภาพเครือข่ายเยาวชนพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย 3) การอบรมอาสาสมัครเครือข่ายเด็ก เยาวชนและการอบรมหลักสูตรรู้เท่าทันพนันออนไลน์ 4) การเผยแพร่แอปพลิเคชั่นแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียน 5) การสนับสนุนงบประมาณ และ 6) การจัดทำสื่อความรู้สื่อประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้น ที่ประชุมจะดำเนินเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยใช้กลไกผ่านสภาเด็กและเยาวชนที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นผู้ที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการสื่อสารให้กับสังคมเห็นถึงปัญหาของการพนันออนไลน์ และพยายามที่จะสร้างกระบวนการสื่อสารในเรื่องข้อจำกัดของกฎหมาย เพื่อที่จะผลักดันให้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีความพยายามในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการเข้าไปดูแลเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรวมถึงครอบครัว โดยจะเข้าไปสร้างเจตคติใหม่ในการหารายได้ของครอบครัวและจะส่งเสริมเรื่องการออมแทนการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันออนไลน์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39572 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบแนวการขับเคลื่อนงานแบบบูรณาทุกหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างครบวงจร | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
รมว.พม. มอบแนวการขับเคลื่อนงานแบบบูรณาทุกหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างครบวงจร
รมว.พม. มอบแนวการขับเคลื่อนงานแบบบูรณาทุกหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างครบวงจร
วันนี้ (24 มี.ค. 64) เวลา 16.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มอบแนวทางและข้อคิดในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลให้กับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด ในการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้นำในยุค 4.0 โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วม ณ โรงแรมใบหยกสกาย กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลเตรียมเข้าสู่โหมดฟื้นฟูประเทศ ปี 2564 สิ่งที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการคือการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและด้านที่อยู่อาศัย โดยภายหลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ฉะนั้น การบูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานจะต้องประสานเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีกระทรวงมหาดไทย นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่งานหรือแพทย์ใหญ่ และมีกระทรวงต่างๆ เป็นแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งจะต้องพัฒนาคนทุกช่วงวัยของมนุษย์ โดยใช้สมุดพกครอบครัวเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ และจำเป็นต้องมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพิ่ม 5 แสนคน เพื่อช่วยขับเคลื่อนงานในพื้นที่
นายจุติ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนอยากฝากให้ พมจ. ทุกจังหวัด บูรณาการกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงต่างๆ ระดับพื้นที่ ร่วมลงไปสำรวจและช่วยเหลือในภารกิจงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การให้แรงงานจังหวัดลงไปพัฒนาทักษะด้านอาชีพ หรือการจัดหางานแก่กลุ่มเปราะบาง หรือ อสม. ช่วยลงไปดูแลในเรื่องสุขภาพแก่ผู้สูงอายุหรือคนพิการ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนงาน คือการสื่อสารให้เข้าใจกันในทุกกระทรวง เพื่อให้ พมจ. ไปถ่ายทอดสู่พื้นที่ได้ถูกต้อง ชัดเจน และวิเคราะห์ว่าปัญหาไหนที่สามารถแก้ไขได้ให้รีบทำก่อน เช่น แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ลูกไม่มีที่เรียนหนังสือ และสิ่งที่ต้องทำคือ การคาดการณ์สิ่งที่จะตามมาหลังโควิด-19 คือ คนไม่มีงานทำ คนตกงาน ปัญหารายได้ การหาอาชีพใหม่ๆ ภายหลังโควิด-19 จะต้องสามารถฝึกง่าย มีรายได้เร็ว สอดคล้องความต้องการของตลาด รวมทั้งอยากฝากให้ พมจ. และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ช่วยเหลือคนทุกช่วงวัยให้ได้รู้สิทธิสวัสดิการจากรัฐที่พึงได้ โดยมีศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เป็นตัวแทนรับเรื่องเพื่อประสานต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือต่อไป และสุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนคำนึงว่า กระทรวง พม. เป็นกระทรวงที่ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง จำเป็นต้องเสียสละ อดทน และต้องทำให้ทุกคนมีความสุขและมีความมั่นคงในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40323 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการเร่งพิจารณาโทษข้าราชการผิดชู้สาว | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
มาตรการเร่งพิจารณาโทษข้าราชการผิดชู้สาว
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบ“มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม”ของข้าราชการพลเรือนในกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเรื่องชู้สาว ล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ โดยระยะเร่งด่วนให้องค์กรบริหารงานบุคคลในหน่วยงานราชการ นำมาตรการทางวินัยและจริยธรรมร้ายแรงมาใช้ เช่น สั่งให้พักราชการ สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน สั่งให้ประจำส่วนราชการ เป็นต้น และให้ผู้บังคับบัญชาเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว หากละเลย ถือว่าทำผิดวินัยเช่นกัน ส่วนในระยะยาวให้องค์กรบริหารงานบุคคลประเภทต่างๆ วิเคราะห์กฎหมายร่วมกันและออกหลักเกณฑ์กลาง เป็นมาตรฐานเดียวกันในทางปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาการพิจารณาความผิดที่ล่าช้า ลักลั่น และการใช้ดุลยพินิจเพื่อความรวดเร็วและเป็นธรรม
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40193 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 บริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น จัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการดำเนินโยบายของรัฐบาลและทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและเติบโต โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ A- และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกทั้งมีการดำเนินการในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศมีศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และหลุดพ้นจากการติดกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
2) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง ส่งผลให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) เพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการต่างๆของรัฐบาลเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี แม้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะทำให้รัฐบาลไทยและต่างประเทศต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น แต่ R&I ยังเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะฟื้นตัวและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะช่วยฟื้นฟูการลงทุนภายในประเทศในระยะต่อไป
3) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความเข้มแข็ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง
4) ประเด็นที่ R&I ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ส่งผลต่อการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจและการเติบโต ทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5516
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39860 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. เปิดเว็บแอปพลิเคชัน “ศูนย์ราชการฯ พารวย” สำหรับผู้สนใจเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
ธพส. เปิดเว็บแอปพลิเคชัน “ศูนย์ราชการฯ พารวย” สำหรับผู้สนใจเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์
ธพส. ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ เปิดตัวเว็บแอปพลิเคชัน “ศูนย์ราชการฯ พารวย e-Reservation” ช่องทางอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่สนใจเช่าพื้นที่ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ สามารถเข้าถึงข้อมูล
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ เปิดตัวเว็บแอปพลิเคชัน “ศูนย์ราชการฯ พารวย e-Reservation” ช่องทางอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่สนใจเช่าพื้นที่ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ สามารถเข้าถึงข้อมูล และทำการจองพื้นที่เช่าผ่านเว็บแอปพลิเคชัน บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ทั้งยังสามารถบันทึกและเก็บข้อมูล ตลอดจนติดตามสถานะการจอง ได้อีกด้วย
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เปิดเผยว่า เว็บแอปพลิเคชัน “ศูนย์ราชการฯ พารวย e-Reservation” เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการจองพื้นที่เช่าผ่านระบบออนไลน์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการพื้นที่เช่าพาณิชย์ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ให้มีความสะดวก โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพค้าขายต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบรับตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ผู้ที่สนใจเช่าพื้นที่สามารถจองพื้นที่เช่าพาณิชย์ พื้นที่ลานอเนกประสงค์ และพื้นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน https://ereservation.dad.co.th/ ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ เพียง ค้นหาพื้นที่ จองพื้นที่เช่า ตรวจสอบสถานะของพื้นที่เช่า และดาวน์โหลดเอกสาร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 2142 2275 อีเมล: [email protected]
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธพส.
โทร. 0 2142 2264
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. สร้างบ้านหลังใหม่ให้แก่นักเรียนที่ยากไร้ พร้อมซ่อมแซมอาคารเรียนและมอบรถรับส่งนักเรียน ให้แก่ ร.ร.บ้านซับเปิบ จ.เพชรบูรณ์ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ธอส. สร้างบ้านหลังใหม่ให้แก่นักเรียนที่ยากไร้ พร้อมซ่อมแซมอาคารเรียนและมอบรถรับส่งนักเรียน ให้แก่ ร.ร.บ้านซับเปิบ จ.เพชรบูรณ์
ธอส.จัดพิธีส่งมอบบ้านพักอาศัยหลังใหม่ให้แก่ ด.ญ.มานิดา แก้วส่องศึก นักเรียนโรงเรียนบ้านซับเปิบ ตำบลซับเปิบ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างบ้าน 300,000 บาท เพื่อให้มีบ้านที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่
เพชรบูรณ์ : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดพิธีส่งมอบบ้านพักอาศัยหลังใหม่ให้แก่ ด.ญ.มานิดา แก้วส่องศึก นักเรียนโรงเรียนบ้านซับเปิบ ตำบลซับเปิบ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างบ้าน 300,000 บาท เพื่อให้มีบ้านที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) นำคณะผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดพิธีส่งมอบบ้านหลังใหม่ ให้แก่ ด.ญ.มานิดา แก้วส่องศึก ปัจจุบันศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านซับเปิบ ตำบลซับเปิบ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อให้ ด.ญ.มานิดา และครอบครัวรวม 4 คน ได้มีที่อยู่อาศัยสภาพเหมาะสมกับการดำรงชีวิต โดยธนาคารฯ สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ครอบครัวของ ด.ญ.มานิดา ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยอาศัยอยู่ในยุ้งข้าวเก่าที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นให้เป็นที่พักชั่วคราว ไม่มีห้องน้ำ ซึ่งครอบครัวมีรายได้มาจากเบี้ยคนชราของผู้เป็นย่า และเบี้ยคนพิการของบิดา ขณะที่พี่สาวของ ด.ญ.มานิดา เป็นผู้ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือของ ธอส. ในครั้งนี้ถือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ทางด้านที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนที่ยากไร้ สอดคล้องกับพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” อีกด้วย และในโอกาสเดียวกันนี้ ธอส. ยังได้ส่งมอบอาคารเรียน โรงเรียนบ้านซับเปิบ ซึ่งในปี 2563 ธนาคารได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวนรวม 450,000 บาท สำหรับการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียนเดิมที่มีสภาพเก่าทรุดโทรมให้กลับมามีสภาพเหมาะสมต่อการจัดการเรียนการสอน และจัดซื้อรถโรงเรียนเพื่อใช้ในการรับ-ส่งนักเรียนเดินทางไปโรงเรียน หรือกิจกรรมทัศนศึกษาเพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ อีกทั้ง ได้สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 79,000 บาท สำหรับจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และสื่อการเรียนการสอนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้แก่เยาวชน นอกจากนี้ ธอส.ยังได้เลี้ยงอาหารกลางวันพร้อมขนมให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านซับเปิบอีกด้วย
ทั้งนี้ ธอส. มีภารกิจหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์/ศาสนา/ศิลปวัฒนธรรม และการกีฬา โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40230 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขับเคลื่อน 5G ครอบคลุมคมนาคม/ศึกษา/เกษตร/อุตสาหกรรม/สาธารณสุข เน้นประชาชนเข้าถึงประโยชน์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีขับเคลื่อน 5G ครอบคลุมคมนาคม/ศึกษา/เกษตร/อุตสาหกรรม/สาธารณสุข เน้นประชาชนเข้าถึงประโยชน์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขับเคลื่อน 5G ครอบคลุมคมนาคม/ศึกษา/เกษตร/อุตสาหกรรม/สาธารณสุข เน้นประชาชนเข้าถึงประโยชน์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
วันนี้ (8 มี.ค.64) เวลา 09.30 น.ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นสำคัญ ทั้งการขับเคลื่อนต่อยอด5Gของประเทศไทยให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gในภาคส่วนต่างๆการพัฒนานวัตกรรม รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน5Gในประเทศโดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติครั้งนี้ว่าเป็นการประชุมครั้ง 2 เพื่อต่อยอด 5G ของไทยให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากได้เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย รวมถึงนำร่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ในโครงการนำร่องด้านต่างๆ อาทิ คมนาคม การศึกษา การเกษตร อุตสาหกรรมและเมืองอัจฉริยะ (Smart City) รวมทั้งสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขให้ใช้ประโยชน์ 5G เชื่อมโยงสาธารณสุขปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ตลอดจนโรงพยาลในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีเผยแพร่ข้อมูลสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขตนเองให้ปลอดภัย พร้อมเน้นย้ำให้สร้างการรับรู้กับประชาชนให้มากขึ้นเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ(ร่าง)แนวทางการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี5Gของประเทศไทย และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการในรายละเอียด เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบต่อไปรวมทั้งเห็นชอบการขยายผลการนำร่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gประกอบด้วยโครงการนำร่องด้านคมนาคมสถานีอัจฉริยะ (Smart Station) ณ สถานีกลางบางซื่อ ด้านการศึกษา โครงการนำร่อง Smart Campus ด้านการเกษตร โครงการนำร่องเกษตรดิจิทัล (Smart Agriculture) เพื่อการพัฒนาระบบส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผมนางและปลากะพงขาวในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และโครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G สำหรับการบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Irrigation) ร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ณ จังหวัดอุดรธานี ด้านอุตสาหกรรม โครงการนำร่องโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ด้วยเทคโนโลยี 5G ณ โรงงานในเครือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) ซึ่งอยู่บนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และด้านเมืองอัจฉริยะ โครงการนำร่องบ้านฉาง 5G สมาร์ทซิตี้ (5G Smart City) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดรับรู้ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5G เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม เต็มประสิทธิภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39737 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรอ.ยกระดับการตรวจโรงงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เปิดมิติใหม่รับยุค New Normal นำร่องกว่า 5,000 โรงงานทั่ว กทม. | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
กรอ.ยกระดับการตรวจโรงงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เปิดมิติใหม่รับยุค New Normal นำร่องกว่า 5,000 โรงงานทั่ว กทม.
“สุริยะ”สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ยกระดับการตรวจโรงงานและสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายแบบทางไกล (Remote Inspection) เน้นอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้วิถีปกติใหม่ (New Normal) โดยเริ่มให้บริการนำร่องโรงงานกว่า 5,000 โรงงาน พื้นที่ กทม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการออกใบอนุญาต และได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาตโรงงาน ล่าสุดได้สั่งการให้ กรอ.ยกระดับการให้บริการด้วยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ตรวจโรงงานทางออนไลน์ เพื่อให้การกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งยังสามารถอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้บริการนำร่องโรงงานอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ กทม. กว่า 5,000 โรงงาน เริ่มดำเนินการตั้งเดือนมีนาคม 2564 เป็นต้นไป
ด้าน นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยการออกประกาศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยการตรวจสอบโรงงานและสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายแบบทางไกล (Remote Inspection) โดยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการตรวจโรงงานแทนการลงพื้นที่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภัยธรรมชาติ หรือจากสถานการณ์อื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่จะประสานงานการตรวจแบบทางไกลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ บนเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟน เป็นต้น
“ประกาศของ กรอ. ในเรื่องดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที โดยกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงาน หรือผู้ที่ครอบครองวัตถุอันตราย ต้องจัดส่งรายงานการตรวจประเมินแบบทางไกล หรือแบบฟอร์มการตรวจติดตามสถานที่ เก็บวัตถุอันตรายทาง E-mail , Line ซึ่งหาก กรอ. พิจารณาแล้วเห็นว่ารายงานดังกล่าว มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน หรือ การประกอบกิจการไม่สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด อาจให้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Zoom , Skype , Microsoft Teams , Line VDO Call เพื่อให้สามารถเห็นภาพการประกอบกิจการได้ชัดเจน หรือหากมีข้อสงสัยก็จะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว โดยเริ่มนำร่องในโรงงานอุตสาหกรรมพื้นที่ กทม. จำนวน 5,592 โรงงานก่อน และจะขยายผลไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป”อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39709 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยด้วยความเรียบร้อย | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยด้วยความเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยด้วยความเรียบร้อย
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานอย่างเสียสละจนสามารถผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยด้วยความเรียบร้อย พร้อมยืนยันไม่มีการกักตุนวัคซีนโควิด-19 เพื่อฉีดให้แก่บุคคลแขกระดับ VIP ก่อน โดยจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการประจำจังหวัด ที่จะดำเนินการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ต้องเป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มเสี่ยง บุคลากรทางการแพทย์ และในพื้นที่ท่องเที่ยว ทั้งนี้ อาจจะมีปัญหาบ้างในระยะแรก เนื่องจากวัคซีนยังมีจำนวนจำกัด แต่วันนี้ได้มีการจัดเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้เพียงพอแก่ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องฉีดร้อยละ 60 ของประเทศ
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39552 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ ร่วมหารือออสเตรเลียสร้างบรรยากาศการลงทุน | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
บีโอไอ ร่วมหารือออสเตรเลียสร้างบรรยากาศการลงทุน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (ที่ 3 จากขวา) ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Allan McKinnon PSM เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย พร้อมด้วย Mr. Benjamin Krieg ประธานหอการค้าออสเตรเลีย-ไทย (AustCham) และคณะ
พร้อมหารือถึงภาวะเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงขั้นตอนและกฎระเบียบการเข้ามาลงทุนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนระหว่างสองประเทศ ณ สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บังคับใช้แล้ว! กฎหมายกำหนดความเร็วรถใหม่ สูงสุด 120 กม./ชม. | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
บังคับใช้แล้ว! กฎหมายกำหนดความเร็วรถใหม่ สูงสุด 120 กม./ชม.
...
มีเรื่องมาอัปเดตให้ผู้ขับขี่รถทุกคนครับ ล่าสุด เว็บไซต์ราขกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ บนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถในทิศทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถขึ้นไป มีเกาะกลางถนนแบบกำแพงกั้น และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ดังนี้
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39887 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ เตรียมยกระดับกัญชง แปรรูปเป็นสินค้า มอก. พร้อมโกอินเตอร์ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กระทรวงอุตฯ เตรียมยกระดับกัญชง แปรรูปเป็นสินค้า มอก. พร้อมโกอินเตอร์
สุริยะฯ สั่ง สมอ. เร่งประกาศมาตรฐานสารสกัดจากกัญชง เพื่อยกระดับเป็นสินค้า มอก. เตรียมส่งขายเชิงพาณิชย์ออกสู่ตลาดโลกตามนโยบายเกษตรแปรรูป หลังบอร์ด สมอ. เห็นชอบมาตรฐานสินค้าแปรรูปจากกัญชงแล้ว 5 มาตรฐาน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา
สุริยะฯสั่งสมอ.เร่งประกาศมาตรฐานสารสกัดจากกัญชงเพื่อยกระดับเป็นสินค้ามอก.เตรียมส่งขายเชิงพาณิชย์ออกสู่ตลาดโลกตามนโยบายเกษตรแปรรูปหลังบอร์ดสมอ.เห็นชอบมาตรฐานสินค้าแปรรูปจากกัญชงแล้ว5มาตรฐานเมื่อวันที่16มีนาคมที่ผ่านมาพร้อมสั่งให้ควบคุมสินค้าอันตรายอีก9รายการต้องได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าผลักดันนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยโดยเฉพาะกัญชงซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนทั้งเปลือกลำต้นเส้นใยกิ่งก้านและรากโดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือเกษตรกรตลอดจนพัฒนานวัตกรรมทางการเกษตรตามหลักBCG Modelเนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพทางด้านการเกษตรที่สามารถต่อยอดให้เป็นพืชเศรษฐกิจได้ประกอบกับตลาดสินค้ากัญชงถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีแนวโน้มในการเติบโตอย่างต่อเนื่องจึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)เร่งรัดประกาศมาตรฐานสารสกัดจากกัญชงหลังจากที่บอร์ดสมอ.มีมติเห็นชอบมาตรฐานดังกล่าวเมื่อวันที่16มีนาคมที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเช่นน้ำมันเมล็ดกัญชงสารสกัดกัญชงเปลือกกัญชงและแกนกัญชงในการนำไปแปรรูปเป็นสินค้าประเภทยา อาหาร เครื่องสำอางและสินค้าสมุนไพรเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตสารสกัดจากกัญชงให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“ผมได้สั่งการให้สมอ.เร่งรัดจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.)สินค้าเกษตรแปรรูปจากสมุนไพรไทยโดยเฉพาะกัญชงซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาสินค้าจากกัญชงให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบและยั่งยืนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ”นายสุริยะฯกล่าว
นายวันชัย พนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าสมอ.ขานรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมโดยได้มีการจัดทำมาตรฐานสารสกัดจากสมุนไพรไทยตามศักยภาพและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมแล้วจำนวน29มาตรฐานเช่นสารสกัดขมิ้นชันผง สารสกัดฟ้าทะลายโจรผงสารสกัดกระชายดำผง สารสกัดกระเจี๊ยบแดงผงและสารสกัดบัวบกผงเป็นต้นและอยู่ระหว่างดำเนินการอีก18มาตรฐานเช่นน้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอมไทยสารสกัดมะขามป้อมสารสกัดงาขี้ม่อนสารสกัดน้ำมันถั่วอินคาสารสกัดบุกบงและสารสกัดว่านหางจระเข้ผง เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์สำหรับมาตรฐานสารสกัดจากกัญชงสมอ.ได้จัดทำมาตรฐานในชุดของ
กัญชงซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด6มาตรฐานเป็นมาตรฐานวัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่นยาเครื่องสำอางอาหารเครื่องดื่มอาหารสัตว์สิ่งทอกระดาษยานยนต์และวัสดุก่อสร้างโดยบอร์ดสมอ.ได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่16มีนาคมที่ผ่านมา5มาตรฐานดังนี้
1. น้ำมันเมล็ดกัญชง(มอก.3171-2564)
2. สารสกัดจากกัญชงที่มีปริมาณCBDรวมไม่น้อยกว่า30 %โดยมวล(มอก.3172-2564)
3. สารสกัดจากกัญชงที่มีปริมาณCBDรวมไม่น้อยกว่า80 %โดยมวล(มอก.3173-2564)
4. เปลือกกัญชง(มอก.3184-2564)
5. แกนกัญชง(มอก.3185-2564)
ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการอีก1มาตรฐานคือเส้นใยกัญชงคาดว่าจะประกาศใช้ในเร็วๆนี้นอกจากบอร์ดจะเห็นชอบมาตรฐานสารสกัดจากกัญชงแล้วยังเห็นชอบมาตรฐานสารสกัดน้ำมันกฤษณาอีกด้วย
“ในการประชุมบอร์ดสมอ.เมื่อวันที่16มีนาคม2564ที่ผ่านมาบอร์ดได้เห็นชอบมาตรฐานรวมทั้งสิ้น64มาตรฐานทั้งที่เป็นสินค้าแปรรูปจากสมุนไพรสินค้าทั่วไปและสินค้าที่สมอ.เตรียมประกาศควบคุมอีก9รายการด้วยเช่นขวดน้ำดื่มพลาสติกเก้าอี้นวดไฟฟ้า เครื่องฟอกอากาศ กล่องพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับการอุ่นและการอุ่นครั้งเดียวในไมโครเวฟกระทะโลหะและหม้อที่ใช้ความร้อนจากเตาโดยตรงออกซิเจนทางการแพทย์และไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์เพื่อความปลอดภัยของประชาชน”เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
22มีนาคม2564
*หมายเหตุ
1. “โดยมวล” หมายถึง โดยน้ำหนักของสารสกัด
2. CBDย่อมาจากcannabidiol (สารแคนนาบิไดออล)มีคุณสมบัติลดอาการเจ็บปวดบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัดบรรเทาอาการนอนไม่หลับ
3. THCย่อมาจาก tetrahydrocannabinol (สารเตตราไฮโดรแคนนาบิไดออล)เป็นสารเสพติดออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททำให้เคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40190 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกรณีติดโควิดรายแรกของ "ศรีสะเกษ-มุกดาหาร" แล้ว | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
สธ.เผยกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกรณีติดโควิดรายแรกของ "ศรีสะเกษ-มุกดาหาร" แล้ว
กระทรวงสาธารณสุขเผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในหลายจังหวัดภาคกลาง เชื่อมโยงตลาดย่านบางแค ด้านสถานกักกัน ตม.บางเขน ไม่พบติดเชื้อเพิ่ม ส่วน 2 จังหวัดติดเชื้อรายแรกในระลอกใหม่ “ศรีสะเกษ” เชื่อมโยงตลาดย่านบางแค “มุกดาหาร” มาจากบางบอนและบางขุนเทียน
กระทรวงสาธารณสุขเผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในหลายจังหวัดภาคกลาง เชื่อมโยงตลาดย่านบางแคด้านสถานกักกัน ตม.บางเขน ไม่พบติดเชื้อเพิ่ม ส่วน 2 จังหวัดติดเชื้อรายแรกในระลอกใหม่ “ศรีสะเกษ” เชื่อมโยงตลาดย่านบางแค “มุกดาหาร” มาจากบางบอนและบางขุนเทียน สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสเข้ารับการกักตัวแล้ว
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 92 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 64 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 14 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 14 รายมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่งผลให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 18 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายสะสม 22,200 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 1,028 ราย และเสียชีวิตสะสม 29 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นชายไทยอายุ 65 ปี มีโรคประจำตัว คือ มะเร็งโคนลิ้นและมะเร็งปอดระยะที่ 4 วันที่ 15 มีนาคม 2564 เข้ารักษาด้วยอาการไข้สูง หายใจเหนื่อย อาการแย่ลง และเสียชีวิต
ทั้งนี้ การติดเชื้อในประเทศวันนี้จำนวน 78 ราย กระจายใน 11 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร นครปฐม เพชรบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ราชบุรี สมุทรปราการ และมุกดาหาร ซึ่งจังหวัดในภาคกลางที่พบการติดเชื้อส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงจากคลัสเตอร์ตลาดย่านบางแค สำหรับสถานการณ์ของกรุงเทพมหานครวันนี้รายงานผู้ติดเชื้อ 21 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 20 ราย และการค้นหาเชิงรุกตลาดย่านบางแค 1 ราย ส่วนกรณีการติดเชื้อภายในสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางเขน ไม่มีรายงานการติดเชื้อเพิ่มเติม ยังคงที่อยู่ที่ 68 ราย สำหรับการปฏิบัติตัวของประชาชนเพื่อป้องกันโรค ขอให้คงมาตรการเว้นระยะห่างสวมหน้ากาก และล้างมือ
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับจังหวัดที่ไม่เคยพบผู้ติดเชื้อในระลอกใหม่มาก่อน พบการติดเชื้อรายแรกใน 2 จังหวัด คือ ศรีสะเกษ เป็นแม่ค้าขายผักอายุ 49 ปีจากตลาดย่านบางแค มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 23 ราย และสัมผัสเสี่ยงต่ำ 5 ราย และมุกดาหาร เป็นหญิงไทยอายุ 52 ปี เดินทางกลับมาจากบางบอนและบางขุนเทียน มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 17 ราย เก็บสิ่งส่งตรวจทุกราย ทราบผลแล้ว 1 ราย ไม่พบเชื้อ ส่วนอีก 16 ราย อยู่ระหว่างรอผลทางห้องปฏิบัติการ โดยทั้ง 2 กรณีสามารถดำเนินการสอบสวนโรคได้ชัดเจน ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเพื่อกักตัว 14 วันและตรวจหาเชื้อได้ตามระบบที่วางไว้
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า สำหรับการผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 17 มีนาคม 2564 รวม 58,024 โดส ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายจังหวัดฉีดกลุ่มเป้าหมายครบกำหนดแล้ว เหลือสมุทรสาครและกรุงเทพมหานครที่กำลังเร่งดำเนินการฉีดเพื่อไม่ให้มีความทับซ้อนในการบริหารจัดการนัดมารับวัคซีนเข็มที่ 2 ที่จะเริ่มทยอยฉีดในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ในช่วงแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัดจึงฉีดในกลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ประชาชนที่มีโรคประจำตัว และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยวัคซีนซิโนแวคฉีดในผู้ที่มีอายุ 18-60 ปีตามข้อมูลการวิจัย และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีดในกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี เนื่องจากยังมีจำนวนจำกัด แต่เมื่อมีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนมากขึ้น คือ 26 ล้านโดสที่จะทยอยส่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน ก็จะนำมาฉีดให้แก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ได้เป็นการฉีดในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
**************************************** 18 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเมฆอุ่น ประจำปี 2564 | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเมฆอุ่น ประจำปี 2564
รมช.ธรรมนัส จับมือกองทัพบก เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเมฆอุ่น ประจำปี 2564 พร้อมสู้ภัยแล้งให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการแถลงข่าวปฏิบัติการฝนหลวงเมฆอุ่นภายใต้ความร่วมมือกับกองทัพบก ประจำปี 2564 พร้อมฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำจากหน่วยงานในพื้นที่ และมอบนโยบายการดำเนินงานความร่วมมือกับกองทัพบก รวมถึงได้ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ สนามบินนครสวรรค์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้สร้างความร่วมมือกับกองทัพบก โดยที่ผ่านมาทางกองทัพบกมีการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการฝนหลวง ทั้งการใช้งานพื้นที่ในสนามบิน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ และการสนับสนุนกำลังพลในการปั้นเมล็ดพันธุ์พืช ในโครงการโปรยเมล็ดพันธุ์พืชทางอากาศสร้างความชื้นสัมพัทธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวง และสำหรับเครื่องบิน CASA 1 ลำ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบกนี้ จะประจำการเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ณ จังหวัดนครสวรรค์ จนถึงวันที่ 31 มีนาคมนี้ จากนั้นจะไปประจำการที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จังหวัดลพบุรี ในวันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นลำดับต่อไป
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า ในปีนี้มีแนวโน้มว่า ฤดูฝนในประเทศไทยจะมาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาฝนทิ้งช่วงอยู่ทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับพี่น้องเกษตรกร ที่ต้องเดือดร้อนกับการหาน้ำไปมาใช้ในการทำการเกษตร กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้มีการเปิดหน่วยปฏิบัติจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงบรรเทาปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ภาคกลาง 14 จังหวัด เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง และลำน้ำต่างๆ ในเขตพื้นที่ภาคกลางให้แก่เกษตรกรได้มีน้ำใช้ในการทำเกษตรกรรม ทั้งช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาภัยแล้ง และบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้เปิดหน่วยปฏิบัติการทั้งสิ้น 11 หน่วย กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 โดยได้กำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง ดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุมจังหวัดเป้าหมาย 14 จังหวัดภาคกลาง พร้อมย้ำว่าจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลกขณะนี้ ได้ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ส่งผลให้สภาพอากาศโดยรวมไม่เข้าเงื่อนไขในการปฏิบัติการฝนหลวง แต่ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ยังคงมีการตรวจสภาพอากาศประจำวันอย่างต่อเนื่องทุกวันเพื่อให้มีความพร้อมทุกด้าน ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพื่อให้มีน้ำใช้ในการทำเกษตรฤดูกาลเพาะปลูกนี้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมติดตามความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานจากผลกระทบจาก โควิด -19 เพื่อให้แรงงานมีงานทำ มีอาชีพ มีฝีมือ มีหลักประกันทางสังคม และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ร่วมกับ นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และคณะ โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎรมีประเด็นขอหารือและติดตามความก้าวหน้ากับกระทรวงแรงงาน จำนวน 8 ประเด็น ดังนี้ 1) ข้อมูลสถิติแรงงานช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 2) มาตรการและแนวทางเฝ้าระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 3) มาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ของกระทรวงแรงงาน 4) ปัญหาอุปสรรคที่พบจากการดำเนินงานตามมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว 5) ช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์ 6) ความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 7) ความคืบหน้าโครงการ “ม33เรารักกัน” และการขยายอายุการเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จากเดิม 60 ปี เป็น 65 ปี และ 8) ความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
นายสุชาติกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 มาอย่างต่อเนื่อง ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยผู้ใช้แรงงานเสมือนคนในครอบครัว จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ในหลายๆ ด้าน เช่น การตรวจคัดกรองโควิด – 19 เชิงรุก การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 การเยียวยา ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่แรงงาน ผู้ประกอบการ การส่งเสริมการจ้างงานโดยจัดโครงการ JOB EXPO THAILAND 2020 ตลอดจนพัฒนาศักยภาพผู้ที่อยู่ในตลาดแรงงานให้ได้รับการ Up skill, Re skill มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินโครงการ ม33เรารักกัน
ด้าน นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงานจากการประชุมหารือร่วมในครั้งนี้ว่า การปรับปรุงกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ ซึ่งหลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เช่น พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ร.บ.แรงงานนอกระบบ พ.ร.บ.ประกันสังคม กรณีการเลิกจ้างปิดกิจการและนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีคนตกงานจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องได้รับการอบรมพัฒนาฝีมือเพื่อให้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น ตลอดจนการวางโครงสร้างของแรงงานในอนาคต ซึ่งจะต้องทำอย่างไรให้แรงงานเข้ามามีส่วนร่วมกับกระทรวงแรงงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการฝึกภาษาให้แก่คนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อให้มีความพร้อมก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ การส่งเสริมการจ้างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39933 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม พร้อมใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคี เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นายกฯ ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม พร้อมใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคี เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นายกฯ ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม พร้อมใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคี เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายฟาน จี๊ ทัญ (H.E. Mr. Phan Chi Thanh) เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตเวียดนามในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามที่มีความใกล้ชิดและมีพลวัตมาอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองประเทศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อกัน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองมีศักยภาพ อาทิ เกษตรกรรม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงนายกรัฐมนตรี เหวียน ซวน ฟุก ในฐานะเพื่อนสนิทที่ได้พบปะหารือกันมาตลอด และเลขาธิการพรรค เหวียน ฝู จ่อง พร้อมทั้งยินดีกับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ครั้งที่ 13 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จไปด้วยดี
เอกอัครราชทูตเวียดนามฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่น่าอยู่ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามที่มีความใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน โดยในปีนี้เป็นปีครบรอบ 45 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายจะได้ประสานงานกันเพื่อจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวาระสำคัญดังกล่าว นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตเวียดนามฯ ยืนยันพร้อมสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกระดับ ตลอดจนประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากไทยในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อไป
ไทย-เวียดนาม พร้อมส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ อาทิ คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) เพื่อเป็นกลไกในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและกำหนดเป้าหมายการค้าใหม่ระหว่างกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่มีรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมขอให้รัฐบาลเวียดนามช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทยในเวียดนามด้วย โดยเชื่อว่าการลงทุนของไทยจะมีบทบาทในการสนับสนุนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของเวียดนามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคเมื่อปี 2560 ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคในปี 2565 โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสานต่อความร่วมมือระหว่างกันในระดับพหุภาคี พร้อมหวังว่าเวียดนามจะให้การสนับสนุนประเด็นที่ไทยจะผลักดัน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (Bio-Circular-Green Economy)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40227 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ลงพื้นที่ ขอนแก่น - มหาสารคาม ติดตามการใช้งานโครงการเน็ตประชารัฐ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ดีอีเอส ลงพื้นที่ ขอนแก่น - มหาสารคาม ติดตามการใช้งานโครงการเน็ตประชารัฐ
ดีอีเอส ลงพื้นที่ ขอนแก่น - มหาสารคาม ติดตามการใช้งานโครงการเน็ตประชารัฐ
เมื่อวันที่ 23-24 มีนาคม 2564 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินการเปิดโครงข่าย Open Access Network ภายใต้ โครงการเน็ตประชารัฐ โดยได้มีการประชุมร่วมกับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ได้รับอนุญาตให้เชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐ เพื่อให้บริการไปยังบ้านเรือนประชาชน พร้อมทั้งรับฟังปัญหา/อุปสรรคพร้อมข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป พร้อมทั้งติดตามการเชื่อมต่อของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมกับอุปกรณ์เน็ตประชารัฐ ตามเงื่อนไขที่กำหนด และตรวจเยี่ยมติดตามการใช้งานเน็ตประชารัฐ ซึ่งมีชาวบ้านได้ยืนแบบคำขอย้ายจุดติดตั้งอุปกรณ์กระจายสัญญาณ เพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงและสามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น และการให้บริหารที่มีการเชื่อมต่อเข้าครัวเรือน ในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดมหาสารคาม
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40367 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ๋ง! พาลีปราบยา...ยึดทรัพย์แล้ว 135 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
เจ๋ง! พาลีปราบยา...ยึดทรัพย์แล้ว 135 ล้านบาท
...
ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงพบอุปสรรคคือเส้นทางการเงินของผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นทีมปฏิบัติการ “พาลีปราบยา” 16 ชุดจึงเกิดขึ้น
.
พาลีปราบยา เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มาทำงานร่วมกันเพื่อประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงิน ดำเนินการตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 และ พ.ร.บ.การฟอกเงิน เพราะข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ และไม่สอดคล้องกับฐานะ อาจเข้าข่ายเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถเรียกเจ้าของบัญชีมาชี้แจง หากอธิบายไม่ได้ก็สามารถยึดทรัพย์ได้ พร้อมขยายผลสืบสวนต่อไป
.
มาวันนี้ ทีมพาลีปราบยาชุดที่ 13 ได้ทำการสืบสวนเส้นทางการเงินของขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งพบความเชื่อมโยงกับนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ๆ ในภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และได้รวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ส่งให้ทาง ป.ป.ส. จนนำไปสู่การยึดและอายัดบัญชีผู้ค้ายาเสพติด มียอดเงินในบัญชีกว่า 135,038,186 บาท
.
นอกจากนี้ ได้สืบสวนเส้นทางการเงินในบัญชีอื่น ๆ เพิ่มอีก 1,239 บัญชี หากตรวจสอบพบว่าบัญชีเหล่านี้มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด จะดำเนินการออกคำสั่งยึด/อายัดบัญชีเพิ่มเติม เพื่อเป็นการตัดวงจรเส้นทางการเงินเครือข่ายยาเสพติดต่อไป
.
สำหรับประชาชนที่ต้องการให้สังคมไทยน่าอยู่ และปลอดภัย สามารถร่วมมือกันแจ้งเบาะแสยาเสพติดได้ที่
1. สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง
2. แจ้งด้วยตนเอง/ส่งหนังสือร้องเรียน
ถึงสำนักงาน ป.ป.ส. ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
3. เว็บไซต์ ป.ป.ส. https://1386.oncb.go.th
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่แม่สะเรียง ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
มท.1 ลงพื้นที่แม่สะเรียง ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน
มท.1 ลงพื้นที่แม่สะเรียง ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นย้ำ เร่งดำเนินการตามประเด็นความต้องการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนชาวแม่ฮ่องสอน
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 64 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 15 นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชัยณรงค์ วาสนะสมสิทธิ์ รองอธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ร่วมประชุม โดยมี นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมประชุม
นายสิธิชัย จินดาหลวง กล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามประเด็นกลุ่มปัญหาความเดือดร้อน/ความจำเป็นเร่งด่วนของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เช่น 1) โครงการจัดการปัญหาที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ซึ่งในขณะนี้ได้ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ประชาชนไปแล้ว 8,968 ไร่ 5,356 แปลง 4,014 ราย 2) ระบบการคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน ปี 2564 ได้ดำเนินการขยายความกว้างผิวจราจร ปรับปรุงผิวทางจราจรเดิม และติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง รวม 243 ล้านบาท และในด้านการขยายเขตไฟฟ้า ขณะนี้มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว 312 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 75 ของหมู่บ้านทั้งหมด โดยกำหนดเป้าหมายขยายเขตไฟฟ้า 29 หมู่บ้าน 11 เส้นทาง 3) การแพทย์ การสาธารณสุข มีสัดส่วนแพทย์ต่อจำนวนประชากร 1 : 3,643 ทำให้ประสบปัญหาการขาดแคลนแพทย์ และในส่วนสถานการณ์โรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ไม่เป็นพื้นที่เสี่ยงและไม่พบผู้ติดเชื้อ เป็นระยะเวลา 344 วัน 4) การผลักดันการเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านห้วยต้นนุ่นให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร 5) การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ด้วยการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และการพัฒนา Land markแห่งใหม่เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน 6) การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการน้ำเสีย พบว่าในพื้นที่ บ้านรักไทย อ.เมืองแม่ฮ่องสอน และหนองจองคำ เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ไม่มีผลกระทบจากน้ำเสีย และมีการติดตั้งถังดักไขมันและระบบบำบัดน้ำเสีย และในด้านการบริหารจัดการขยะ ได้มีการรณรงค์กิจกรรม 3ช (ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่) อย่างต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม โดยในปี 63 อปท. สามารถจัดการขยะอันตรายไปกำจัดให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ จำนวน 49 แห่ง 5,302 กิโลกรัม 7) การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง มีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 2 แห่ง ขนาดเล็ก 29 แห่ง โดย กปภ. และ อปท. 389 แห่ง คาดการณ์ว่าน้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอในฤดูแล้ง และ 8) การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ระหว่างวันที่ 1-7 มี.ค. 64 พบจุดฮอตสปอตสะสม 6,617 จุด PM2.5 เกินมาตรฐาน 16 วัน ซึ่งได้กำหนดเป็นวาระเร่งด่วนของจังหวัด และประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามเผาเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ 8 - 14 มี.ค. 64 รวม 7 วัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด เป็นกลไกติดตามการบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานของภาครัฐในพื้นที่จังหวัด เพื่อทำให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจากประเด็นปัญหาความต้องการของจังหวัดแม่ฮ่องสอน พบว่า ได้มีความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามความต้องการของพื้นที่ แต่ก็ยังมีปัญหาบางประเด็นที่ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามประเด็นความต้องการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนชาวแม่ฮ่องสอนให้ดีขึ้นและมีความสุขอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนสูงกว่าเป้าหมายดันการลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ” | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
“รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนสูงกว่าเป้าหมายดันการลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ”
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรง สำหรับปี 2564 รัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 สูงกว่าเป้าหมายโดยสามารถเบิกจ่ายได้ 78,337 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 107 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร.กำกับดูแลโดยตรง สำหรับปี 2564 รัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 สูงกว่าเป้าหมายโดยสามารถเบิกจ่ายได้78,337ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 107ของแผนการเบิกจ่ายสะสมประกอบด้วยการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจระบบปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - เดือนมกราคม2564) 34 แห่ง จำนวน 69,599ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 106ของแผนเบิกจ่ายสะสมและรัฐวิสาหกิจระบบปีปฏิทิน (เดือนมกราคม2564) 9 แห่ง จำนวน 8,738ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 117ของแผนเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2564
ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564
รัฐวิสาหกิจ
กรอบลงทุนทั้งปี
แผนเบิกจ่ายสะสม
ผลเบิกจ่ายสะสม %เบิกจ่ายสะสม/
แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 63–ม.ค. 64)
จำนวน 34 แห่ง 178,529 65,672 69,599 106%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 64)
จำนวน 9 แห่ง 142,432 7,487 8,738 117%
รวม 43 แห่ง 320,961 73,159 78,337 107%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงต้นปี2564โครงการลงทุนขนาดใหญ่ส่วนใหญ่สามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผนอาทิโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 12 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และงานก่อสร้างปรับปรุงขยายท่อประปาของการประปาส่วนภูมิภาค
นางปานทิพย์ ศรีพิมลผู้อำนวยการ สคร. กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปี 2564 ภาพรวมของรัฐวิสาหกิจยังคงสามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผนเนื่องจากรัฐวิสาหกิจมีการวางแผนการเบิกจ่ายที่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น และคาดว่าในปี 2564 นี้รัฐวิสาหกิจจะมีการเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังโดย สคร. จะยังคงติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิดและเมื่อวันที่4 มีนาคม 2564 ได้มีการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานเพื่อติดตามความคืบหน้าและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจด้วยซึ่งที่ประชุมได้รับทราบผลการเบิกจ่ายข้างต้น และเห็นควรมีมาตรการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปีเพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39646 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบเสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครม. เห็นชอบเสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก
ครม. เห็นชอบเสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้เสนอต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ พร้อมเห็นชอบให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในเอกสารที่จะเสนอต่อยูเนสโกในฐานะตัวแทนประเทศไทย
สำหรับสาระสำคัญของการนำเสนอต้มยำกุ้ง ภายใต้ชื่อ Tomyum Kung ต่อยูเนสโกมีดังนี้คือ ด้านคุณค่าและความสำคัญ ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทย ที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารผ่านการสังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติ โดยนำกุ้งที่มีมากมายในท้องถิ่นมาต้มในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรทั้งข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก และมะนาว ซึ่งนิยมปลูกไว้กินเองในครอบครัว ต้มยำกุ้งจึงสะท้อนถึงความเรียบง่ายและวิถีชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ พึ่งพาตนเองและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ทั้งนี้ ต้มยำกุ้งมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติตามที่นิยามไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒธรรมที่จับต้องไม่ได้ ปีค.ศ. 2003 ดังนี้คือ
1.ด้านธรรมเนียมและการแสดงออกทางมุขปาฐะ โดยแต่เดิมเป็นการสืบทอดในครัวเรือนจากรุ่นสู่รุ่นแบบปากเปล่า ไม่มีประวัติหรือบันทึกตำรับเป็นลายลักษณ์อักษรที่ตายตัว นอกจากนี้ยังเป็นการเรียกชื่ออาหารที่เป็นคำโดดหรือคำมูล 3 คำ คือ ต้ม ยำ และกุ้ง มาประสมกันให้เกิดเป็นความหมายใหม่
2.ด้านการปฏิบัติทางสังคมและพิธีกรรม เนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยพุทธที่เป็นชาวนาชาวสวนในลุ่มแม่น้ำภาคกลางที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งมักจะงดเว้นการฆ่าสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร โดยเฉพาะช่วงวันพระหรือวันเข้าพรรษา ดังนั้นกุ้งแม่น้ำ ซึ่งมีอย่างอุดมสมบูรณ์และลอยขึ้นมาให้จับง่ายๆในบางฤดูกาล จึงเหมาะใช้ทำอาหาร นอกจากนี้ยังสะท้อนเรื่องวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยโดยมีข้าว เป็นอาหารหลัก รับประทานร่วมกับ กับข้าว โดยคนในครอบครัวจะล้อมวงรับประทานอาหารพร้อมหน้ากัน กินข้าวหม้อเดียวกัน กินแกงหม้อเดียวกัน ซึ่งแสดงถึงความผูกพันใกล้ชิดกันในครอบครัว
และ 3.ด้านความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งต้มยำกุ้งถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะมีไขมันต่ำ และมีสรรพคุณจากเครื่องสมุนไพรช่วยบำรุงร่างกาย ปรับธาตุให้สมดุลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการหวัดได้ และช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงฤดูที่กุ้งมีชุกชุมในธรรมชาติ จึงสะท้อนถึงภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเรื่องการรับประทานอาหารตามฤดูกาล และเรื่องวงจรชีวิตของกุ้งแม่น้ำด้วย
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมายูเนสโกได้ประกาศให้โขนและนวดไทยขึ้นทะเบียนเป็นรายการที่เป็นตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปี 2561และ2562 ตามลำดับโดยขณะนี้โนราและสงกรานต์ ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของยูเนสโกสำหรับการเป็นตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40271 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และรมว.กห.ย้ำกองทัพ คุมเข้มคัดกรองพื้นที่ชายแดนและร่วมบริจาคโลหิตช่วยผู้ป่วย | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
นรม.และรมว.กห.ย้ำกองทัพ คุมเข้มคัดกรองพื้นที่ชายแดนและร่วมบริจาคโลหิตช่วยผู้ป่วย
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 4 มี.ค.64 : 1330 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. พร้อม ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ นขต.กห.และเหล่าทัพ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
เพื่อติดตามการปฏิบัติงานของทุกเหล่าทัพในการสนับสนุนการป้องกันและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19
พล.อ.ชัยชาญ’ ได้กล่าวย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ได้แสดงความขอบคุณกำลังพลของทุกเหล่าทัพ ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อเนื่องที่ผ่านมา โดยกำชับให้กองกำลังป้องกันชายแดนประสานการทำงานกับตำรวจ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันตก ควบคู่กับการคงความต่อเนื่องสนับสนุนการตรวจคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้ามาในประเทศทั้งทางบก ทางน้ำและท่าอากาศยาน การสนับสนุนดูแลพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค พร้อมทั้งขอให้กำลังพลทุกเหล่าทัพที่มีความพร้อม ร่วมสนับสนุนการบริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทยซึ่งยังคงขาดแคลน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาเร่งด่วน
พร้อมกันนี้ รมช.กห.ได้กำชับทุกหน่วยงานตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้เตรียมความพร้อมกำลังพลสนับสนุนการบริหารจัดการเร่งด่วนในพื้นที่ควบคุมโรคสูงสุดและเข้มงวดเมื่อจำเป็น ควบคู่กับโรงพยาบาลสนามทั้ง 30 แห่ง ( 7,822 เตียง) ให้พร้อมรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคอาจเกิดขึ้น รวมทั้งขอให้ดำรงความต่อเนื่องในการบริหารจัดการสถานกักกันควบคุมโรคแห่งรัฐ ทั้ง SQ และ ASQ รวม 156 แห่ง ( มีผู้ผ่านการคัดกรองแล้ว 213,411 คน พักอยู่ระหว่างคัดกรอง 13,482 คน พบผู้ติดเชื้อสะสม 1,694 ราย ) และขอขอบคุณในการบริหารจัดการดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศต่อเนื่องที่ผ่านมาให้มีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการได้รับการแสดงความชื่นชมจากสมาคมคนไทยในบาเรนห์ และเอกอัครราชทูตไทยประจำบาเรนห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39665 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เปิดตัวโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำปี 64 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ก.อุตฯ เปิดตัวโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำปี 64
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน เปิดตัวโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำโฉมใหม่พัฒนา “คลองสวยน้ำใส ชวน 1 ชุมชนใช้ถังดักไขมัน” ณ ชุมชนคลองคอต่อ จังหวัดสมุทรปราการ
จ.สมุทรปราการ : วันนี้ (12 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน เปิดตัวโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำโฉมใหม่พัฒนา “คลองสวยน้ำใส ชวน 1 ชุมชนใช้ถังดักไขมัน” ณ ชุมชนคลองคอต่อ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งเป้าพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบจัดการขยะอินทรีย์และขยะพลาสติก ปูทางสู่ “BCG บางปูโมเดล” เตรียมขยายผลเพิ่มในเฟสต่อไป โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39918 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มีสารถึงประชาชนเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2564 เน้นบริหารจัดการน้ำอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมใจใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นายกฯ มีสารถึงประชาชนเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2564 เน้นบริหารจัดการน้ำอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมใจใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
นายกฯ มีสารถึงประชาชนเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2564 เน้นบริหารจัดการน้ำอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมใจใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีสารในวันน้ำโลก ประจำปี 2564 (World Water Day 2021) ซึ่ง นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสำคัญของวันน้ำโลก และในปี 2564 นี้ให้ความสำคัญในเรื่อง “การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า” “น้ำ” เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปัจจุบันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤติด้านน้ำ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้น้ำในชีวิตประจำวันของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 80 ของน้ำที่ผ่านการใช้จะกลายเป็นน้ำที่มีการปนเปื้อนถูกปล่อยกลับลงสู่แหล่งน้ำ รวมถึงสถานการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลให้เกิดภัยแล้งและอุทกภัย ทำให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมีความเสี่ยง ซึ่งต้องวางแผนจัดการอย่างเหมาะสม และต้องพิจารณาให้คุ้มค่ากับการลงทุน
รัฐบาลได้กำหนดแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เพื่อจะสร้างความสมดุลในการดำเนินชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นไปตามนโยบายขององค์การสหประชาชาติสนับสนุนให้ทุกประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจึงเชิญชวนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมมือร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้ประเทศไทย
อนึ่ง องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้ทุกวันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศและประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ ร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สัปดาห์ที่ตรงกับวันที่ 22 มีนาคมของทุกปี เป็นสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40209 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐ ประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือด้านความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย - สาธารณรัฐ ประชาชนจีน | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐ ประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือด้านความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย - สาธารณรัฐ ประชาชนจีน
๑๖ มี.ค.๖๔ ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า ศาลาว่าการกลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับของ พล.ต.อู๋ เฉี่ยวยี่ (Wu Xiaoyi) ผู้ช่วยทูตทหาร สาธารณรัฐ ประชาชนจีน
เพื่อหารือด้านความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย - สาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี พล.ต.อู๋ เฉี่ยวยี่ (Wu Xiaoyi) ที่ได้พบกันอีกครั้ง สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทย - สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ที่มีการติดต่อกันมายาวนานกว่า ๗๐๐ ปี ตั้งแต่ราชวงศ์หยวน และความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ ๔๕ ปี เมื่อปี ๖๓ เป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันในทุกระดับ ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหม - กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐ ประชาชนจีน มีความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวชื่นชม สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี และยินดีกับความสำเร็จที่สามารถผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ได้ และยังกล่าวขอบคุณ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ที่ได้มอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงได้ส่งวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของบริษัท ซิโนแวค มายังประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม ยังชื่นชมความร่วมมือด้านการฝึกของกองทัพทั้งสองประเทศ ทั้งการฝึก Joint Strike, Blue Strike, Falcon Strike และการฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold ในโครงการช่วยเหลือประชาชน รวมถึงขอบคุณ กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐ ประชาชนจีน สำหรับการสนับสนุนที่นั่งศึกษาให้กำลังพลไทยในหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรสาธารณรัฐ ประชาชนจีน, เสธนาธิการเหล่าทัพ และ นักเรียนนายร้อยเหล่าทัพ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนที่ดีเช่นนี้ตลอดไป
สำหรับด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ปล.กห. ขอบคุณ กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ที่เสนอให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาด้านการป้องกันประเทศและกองทัพแบบไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม มีแผนจะเสนอ กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐ ประชาชนจีน เพื่อให้การสนับสนุนจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ เพื่อให้การซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ที่จัดหาจาก สาธารณรัฐ ประชาชนจีน มีประสิทธิภาพและครบวงจร จึงขอให้ทาง สำนักงานผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐ ประชาชนจีนประจำประเทศไทย ช่วยสนับสนุนและผลักดันต่อไป ปัจจุบันไทยได้กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve Industry) และมีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตและโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ทางทหารร่วมกับมิตรประเทศ จึงขอเชิญชวน สาธารณรัฐ ประชาชนจีน มาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยบริษัทจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนหรือร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการของไทยจะได้สิทธิประโยชน์ในการได้รับการยกเว้นภาษีอากรในรูปแบบต่างๆ
ทางด้าน ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐ ประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวขอบคุณ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ให้เกียรติต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับในวันนี้ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ยินดีให้การสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มีการพัฒนาที่ดีขึ้น กองทัพของทั้งสองประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มขีดความสามารถมากยิ่งขึ้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คุณหญิงกัลยา ถอดรหัสการศึกษา 3-5-7 ก้าวใหม่นักเรียนไทย ผ่าน 3 กลไก 5 นโยบาย 7 โครงการ เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกมิติ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
คุณหญิงกัลยา ถอดรหัสการศึกษา 3-5-7 ก้าวใหม่นักเรียนไทย ผ่าน 3 กลไก 5 นโยบาย 7 โครงการ เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกมิติ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การ “แถลงข่าว 3-5-7 ก้าวใหม่นักเรียนไทย ถอดรหัสนโยบายการศึกษา”
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การ “แถลงข่าว 3-5-7 ก้าวใหม่นักเรียนไทย ถอดรหัสนโยบายการศึกษา” โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. และรักษาราชการแทน รมว.ศธ. กล่าวว่า ในฐานะที่กำกับดูแลงานในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเวลากว่า 2 ปี ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เร่งเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาไปสู่ตัวผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการปฏิรูปการศึกษาต้องใช้เวลา เพราะต้องทำควบคู่กัน ทั้งทางด้านโครงสร้าง และการปฏิรูปไปสู่ตัวผู้เรียนโดยตรง เพื่อวางรากฐานการศึกษาไทย ให้สอดรับกับโลกในศตวรรษที่ 21 และในอนาคต ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่ไม่เคยท้อถอย และมั่นคงในแนวทางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้ทุกคนต้องปรับตัวในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
โดยในปี 2564 นี้ จะมีการขับเคลื่อนนโยบายสำหรับพัฒนาศักยภาพนักเรียนไทย ผ่าน 3 กลไก 5 นโยบาย 7 โครงการ ดังนี้
- 3 กลไกหลัก คือ ความทันสมัย เท่าเทียม และยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหัวใจในการพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพ และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
- 5 นโยบายสำคัญ คือ
1) Coding ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ ในการวางรากฐานการปฏิรูปโดยตรงถึงเยาวชนและการพัฒนามนุษย์ ผ่านคณะกรรมการโค้ดดิ้งแห่งชาติ และปัจจุบันได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการ Coding เพื่อการปฏิรูปประเทศ ภายใต้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
2) การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วยการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการการเรียนการสอน : STI (Science /Technology/Innovation)
3) การอ่านเขียนเรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อร่วมสมัย ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน และกระบวนการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรมและสื่อการสอนที่ทันสมัย จัดทำคลังข้อมูลดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับครู
4) อาชีวะเกษตรและประมง ด้วยการยกระดับอาชีวะศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งระบบ พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเกษตร ถ่ายถอดเทคโนโลยีเกษตรให้กับเยาวชนและชุมชน
5) นโยบายการศึกษาพิเศษ เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ
- 7 โครงการ คือ
1) โครงการ “Coding for All ” เด็กไทยต้องได้เรียนโค้ดดิ้ง ซึ่งจะไม่ได้เน้นการเรียนการสอนโค้ดดิ้งไปที่ครูและนักเรียนเท่านั้น แต่จะกระจายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ และทุกช่วงวัย รวมไปถึงขยายไปกระทรวงต่าง ๆ ภายใต้คณะกรรมการโค้ดดิ้งแห่งชาติ และร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อให้โค้ดดิ้งครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพมากยิ่งขึ้น
2) โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ซึ่งได้ขยายโอกาสให้นักเรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม หรือ STI อย่างกว้างขวาง โดยจะเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
3) โครงการการขับเคลื่อนโรงเรียนวิทยาศาสตร์ในกำกับ โดยให้การสนับสนุนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 12 แห่งทั่วประเทศ เพื่อขยายโอกาสให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้สูงทัดเทียมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก
4) โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จะเป็นแหล่งพัฒนาบุคลากรทางการเกษตร ที่พร้อมจะพัฒนาให้เป็นผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำในอนาคต ภายใต้ หลักสูตร “ชลกร” โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ การช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีน้ำกิน น้ำใช้ แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน รวมถึงการน้อมนำศาสตร์พระราชามาสู่สถานศึกษาในการจัดทำเนื้อหาหลักสูตรที่เหมาะสม
5) โครงการที่นำเอานวัตกรรมมาใช้กับการเกษตรและประมง อาทิ โครงการเกษตรประณีต 1 ไร่ 1 แสน ให้ทุกตารางเมตรของพื้นที่สามารถทำเงินได้ เป็นการจัดการพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ วางแผนปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อให้มีรายได้ทุกวัน ตลอดปี ช่วยแก้จน ตลอดจนโครงการสร้างบรรยากาศห้องเรียนธรรมชาติ เพื่อให้นักเรียนอาชีวะเกษตรได้เรียนรู้ ฝึกฝน ฝึกตน ฝึกทักษะชีวิตกับธรรมชาติ
6) โครงการด้านการอ่าน เขียน เรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย โดยจัดทำ AR เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านธนบัตร มีการอบรมกระบวนการสอน โดยใช้คลิปประวัติศาสตร์น่ารู้จำนวน 10 คลิป ที่ได้จัดทำเป็นคลังข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงความสนใจของเด็กในยุคปัจจุบัน
7) โครงการการศึกษาพิเศษ การศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาส ผ่านการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย และมีคุณภาพ มีทักษะชีวิตที่ดี สามารถพึ่งตนเองได้ อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี
“ขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่กรุณาส่งกำลังใจมาให้ในการทำงาน เพื่อวางรากฐานทางการศึกษา ท่านรองนายกวิษณุ เครืองาม ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งหัวหน้าส่วนราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนทุกคน ทั้งนี้ เป้าหมายที่วางไว้จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากปราศจากทุกท่าน นอกจากนี้ พร้อมสำหรับขับเคลื่อนงานตามนโยบายที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการบูรณาการการศึกษาจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียน 3 กลุ่ม คือ โรงเรียนคุณภาพของชุมชน, โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และโรงเรียน Stand Alone รวมถึงนโยบายการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อีกด้วย ตลอดจนจะผลักดันนโยบายการศึกษาโดยเน้นไปที่ตัวผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางรากฐานการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 และในอนาคต ด้วย 3 กลไก เพื่อการพัฒนาคุณภาพคนไทย 5 นโยบาย และ 7 โครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพ ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ ของนักเรียนไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกมิติ” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยตรวจศูนย์ทบทวนสิทธิ ม33เรารักกัน เคลื่อนที่ จ.ปทุมธานี พร้อมเปิดบริการทบทวนสิทธิวันแรกแก่กลุ่มที่ลงทะเบียนไม่ผ่านหรือตกค้างหรือไม่มีสมาร์ทโฟน วันที่ 15 – 28 มี.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ ลุยตรวจศูนย์ทบทวนสิทธิ ม33เรารักกัน เคลื่อนที่ จ.ปทุมธานี พร้อมเปิดบริการทบทวนสิทธิวันแรกแก่กลุ่มที่ลงทะเบียนไม่ผ่านหรือตกค้างหรือไม่มีสมาร์ทโฟน วันที่ 15 – 28 มี.ค.นี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ตรวจเยี่ยมการให้บริการศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิโครงการ ม33เรารักกัน ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี และศูนย์ประสานงานฯ เคลื่อนที่ ณ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการตรวจเยี่ยมการให้บริการศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิโครงการ ม33เรารักกัน ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี ตำบลบ้านกลางอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี และศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิโครงการ ม33เรารักกันสำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานีเคลื่อนที่ ณ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นางประพีร์ ปุ้ยพันธวงศ์ ประธานกรรมการบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. – 7 มี.ค.64 และมีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้นจำนวน 8,208,286 คน ซึ่งมีการตรวจสอบข้อมูลประมวลผลและคัดกรองผู้ที่ได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 8-14 มี.ค.64
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศผู้มีสิทธิได้รับเงินทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกันถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีสิทธิ์ จะต้องรีบทบทวนสิทธิ โดยในการทบทวนสิทธิตั้งแต่วันที่ 15 -28 มี.ค.64 มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ผู้ยังไม่ได้ลงทะเบียนมาก่อนกับผู้ที่ได้รับ SMS จากธนาคารกรุงไทยว่าชื่อ นามสกุลผิด ให้ทบทวนสิทธิผ่านทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ระบบแจ้งว่าไม่ได้อยู่ในมาตรา 33 จะต้องไปทบทวนสิทธิที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาด้วย ทั้งนี้ ศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิ ม33เรารักกัน จัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน มีหน้าที่รับเรื่องประสานงาน ตรวจสอบสิทธิการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับโครงการ ตอบข้อสอบถามในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิจากโครงการ ตลอดจนผู้ประกันตนไม่ได้รับสิทธิกรณีอื่น ๆ ด้วย ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ที่ศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิ ม33เรารักกัน ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี พบว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 มีสิทธิจำนวน 391,401 คน ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com แล้วจำนวน 316,549 คน ยังไม่ได้ลงทะเบียน 74,852 คน ซึ่งในวันนี้มีผู้ประกันตนมายื่นขอทบทวนสิทธิแล้ว 125 ราย ส่วนที่บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) จังหวัดปทุมธานีมีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 610 คน ยังไม่ได้ลงทะเบียน 123 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรดึงนักท่องเที่ยวลงเรือสำราญ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กรมศุลกากรดึงนักท่องเที่ยวลงเรือสำราญ
อธิบดีกรมศุลกากรซักซ้อมความเข้าใจ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับเรือสำราญและกีฬา ตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 29/2564 โดยเชิญ ก.ท่องเที่ยวฯ ก.คมนาคม กรมสรรพากร กรมเจ้าท่า กองบังคับการตำรวจน้ำ ททท. หารือร่วมกัน
วันนี้ (19 มีนาคม 2564) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ซักซ้อมความเข้าใจ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับเรือสำราญและกีฬา ตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 29/2564 โดยได้เชิญกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กรมสรรพากร กรมเจ้าท่า กองบังคับการตำรวจน้ำ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย ผู้ประกอบการมารีน่า และตัวแทนเรือ หารือร่วมกัน ณ ห้องภาสกรวงศ์
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางน้ำและเรือสำราญในภูมิภาคเอเซีย (Marina Hub of Asia) และเพื่อผลักดันนโยบายดังกล่าว กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 29/2564 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ในเรื่องของการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับเรือสำราญและกีฬา ตามประเภท 3 (ค) ภาค 4 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เพื่อขยายระยะเวลาเรือยอร์ชให้อยู่ในไทยได้ 2 ปี 6 เดือน และให้เรือซุปเปอร์ยอร์ชที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ 30 เมตรขึ้นไป บรรทุกคนโดยสารได้ไม่เกิน 12 คน ตามประกาศกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้อง เข้ามาชั่วคราวได้
กรมศุลกากรให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติโดยเรือยอร์ช ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยการแวะท่องเที่ยว เช่าท่าที่จอดเรือ (Marina) จ้างซ่อมบำรุงรักษาเรือ ใช้บริการโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายเสบียงอาหาร ฯลฯ รวมถึงการสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ ได้แก่ การจ้างกัปตันและลูกเรือเพื่อดูแลเรือ การจ้างช่างซ่อมเรือ อีกทั้งเป็นการพัฒนาความรู้ด้านวิชาชีพเกี่ยวกับการซ่อมเรือและการเป็นกัปตันเรือ ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการใช้จ่ายในประเทศด้วย ส่วนการให้เรือซุปเปอร์ยอร์ช ตามประกาศกระทรวงคมนาคมเข้ามาชั่วคราวได้นั้น จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวเศรษฐีต่างชาติโดยเรือซุปเปอร์ยอร์ช ที่ต้องการมาท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคเอเชีย และก่อให้เกิดเม็ดเงินจากการใช้จ่ายที่สูงมากของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศถึง 155 ล้านบาทต่อลำต่อปี และอาจมีการใช้จ่ายในประเทศสูงถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งส่งผลให้เกิดการสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องและยังสอดรับกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ โดยมีกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ กำหนดจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ณ เมืองหยางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ กำหนดจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ณ เมืองหยางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการจัดงานพืชสวนโลก 2021 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 2/2564 หนุนเพิ่มช่องทางการเปิดตลาดสินค้าเกษตรไทยในจีน
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานพืชสวนโลก 2021 ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลก 2021 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 เมษายน – 8 ตุลาคม 2564 ณ เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซู
สาธารณรัฐประชาชนจีน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เตรียมแนวทางการดำเนินการพิธีเปิดงานสวนไทยที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และรูปแบบการแถลงข่าวการจัดงานของประเทศไทย ซึ่งกำหนดในวันที่ 8 เมษายน 2564 รวมถึงพิจารณารูปแบบการจัดแสดงสินค้าเกษตรไทยและมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้เป้าและจัดส่งข้อมูลสินค้าเกษตรที่จะนำไปจัดแสดงและจำหน่าย โดยกำหนดให้หน่วยงานพิจารณาชนิดสินค้าที่มีแนวโน้มการตลาดที่ดี และสามารถผ่านการจดทะเบียนการนำเข้าของจีนได้ โดยได้มอบฝ่ายเลขาฯ ประสานกับสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยดูแลและอำนวยความสะดวกในการนำสินค้าการเกษตรของไทยเข้าประเทศจีน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ มุ่งหวังการจัดงานพืชสวนโลก 2021 ในครั้งนี้ จะสามารถเปิดโอกาสในการสร้างช่องทางการตลาดเพิ่มเติมให้สินค้าเกษตรไทยในตลาดจีนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39781 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ดึง อพม.พิษณุโลก ใช้สมุดพกครอบครัว ช่วยแก้ไขความยากจน พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
รมว.พม. ดึง อพม.พิษณุโลก ใช้สมุดพกครอบครัว ช่วยแก้ไขความยากจน พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง
รมว.พม. ดึง อพม.พิษณุโลก ใช้สมุดพกครอบครัว ช่วยแก้ไขความยากจน พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 64เวลา 13.30 น. ที่บ้านสวนดินทอง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลกนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนโครงการบูรณาการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติกล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ปัญหาสังคมของประเทศไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผลกระทบเพิ่มมากขึ้นต่อประชาชนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่มีกลุ่มเปราะบางและมีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น เด็กเล็ก แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตจากประเทศจีนและนำมาปรับใช้สำหรับประเทศไทย
นายจุติกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ สิ่งที่ได้พบคือ การทำสมุดพกครอบครัวเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของคนในชุมชน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยการนำข้อมูลจากการลงพื้นที่เข้าไปจัดเก็บข้อมูลจากครอบครัวกลุ่มเปราะบางมาวิเคราะห์ในการแก้ปัญหา ซึ่งจะมีการจัดทำแผนร่วมกันในการขับเคลื่อนงานตามขั้นตอน และจำเป็นต้องอาศัย อพม. ในพื้นที่ ช่วยในการชี้เป้าไปยังครอบครัวกลุ่มเปราะบาง การดูแลเด็กและเยาวชนในชุมชน การสนับสนุนกลุ่มสตรีในการส่งเสริมด้านอาชีพ และการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ไม่ใช่แค่กระทรวง พม. เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น โดยที่สมาชิกในครอบครัวสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน และอยู่ในสังคมและชุมชนได้อย่างปกติสุข
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีการจัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ประจำปี 2563 ชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ ให้แก่ อพม. จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1) นางยุวดี บำรุงบุตร ประธาน อพม.จังหวัดปทุมธานี และประธาน อพม. ภาคกลาง 2) นางทิพยวารี คีรีวรรณ์ ประธาน อพม. จังหวัดลำปาง และ 3) นางจันใด ผกากอง อพม.จังหวัดอุดรธานี เพื่อเป็นเกียรติประวัติสำหรับบุคคลซึ่งกระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน ทั้งนี้ อพม. คือคนสำคัญของกระทรวง พม. และรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือทุกท่านในนามทีมประเทศไทยที่จะบูรณาการทำงานเพื่อช่วยเหลือส่วนรวมในเป้าหมายเดียวกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ MOI KM Sharing Day ครั้งที่ 7 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ MOI KM Sharing Day ครั้งที่ 7 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ MOI KM Sharing Day ครั้งที่ 7
วันนี้ (19 มีนาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ MOI KM Sharing Day ครั้งที่ 7 เรื่อง เตรียมตัวอย่างไร…ให้ได้รับทุน และเรื่อง การแสดงเจตนาผู้รับบำเหน็จตกทอด โดยกองทรัพยากรบุคคล และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านโปรแกรม ZOOM ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวฯ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรได้รับความรู้ และวิทยาการใหม่ๆ ตลอดจนได้มีโอกาสในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินงานที่เป็น Best Practices เพื่อพัฒนาองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ต่อไป ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ผนึก กระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลงข่าว : กัญชา | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ ผนึก กระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลงข่าว : กัญชา
กระทรวงเกษตรฯ ผนึก กระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลงข่าว : กัญชา พืชเศรษฐกิจสุขภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ปลดล็อกกัญชง-กัญชา สู่พืชเศรษฐกิจใหม่
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมงานแถลงข่าว กัญชาในอุตสาหกรรมสุขภาพ เพื่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการแถลงข่าว และร่วมแถลงโดยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมแถลงข่าวในประเด็น "นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์: กัญชา พืชเศรษฐกิจสุขภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก" ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 1 ชั้น 1 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
รมช.มนัญญา กล่าวว่า ในส่วนความร่วมมือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้กรมวิชาการเกษตรเข้าไปดูแล สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถปลูกกัญชาได้ทุกครัวเรือน โดยกรมวิชาการเกษตรได้รับรองสายพันธุ์กัญชาพันธุ์แรกคือ “อิสระ 001” และพันธุ์กัญชง 4 สายพันธุ์ ซึ่งเกษตรกรสามารถปลูกได้ โดยเป็นไปตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้มีการควบคุมการนำเข้าให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่ตรงตามพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ปลอดจากโรคและแมลง และเมล็ดพันธุ์มีคุณภาพสูง และได้มาตรฐานคุณภาพตามที่สากลกำหนด รวมถึงการควบคุมและตรวจสอบการผลิตต้นกล้ากัญชาและกัญชงทุกขั้นตอน ตลอดจนเกษตรกรนำไปปลูกสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้ผลผลิตกัญชาและกัญชงตามความต้องการ พร้อมทั้งให้กรมวิชาการเกษตรเร่งสำรวจ รวบรวมสายพันธุ์กัญชาและกัญชงในประเทศไทย สนับสนุน ส่งเสริม และเร่งรัดการขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชาและกัญชงเพื่อเป็นทรัพย์สินของประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดตั้งโครงการ “ตลาดกลาง กัญชาของสหกรณ์” เมื่อแล้วเสร็จจะร่วมหารือกับ อย. เพื่อดำเนินการต่อไป โดยการจัดตั้งสหกรณ์กัญชา มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดราคาตลาดกลางสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายโดยต้องมีใบอนุญาตจาก อย. ซึ่งจะตั้งกระจายในแหล่งที่มีการปลูกกัญชา และใช้ระบบ network เชื่อมโยงทุกตลาดเป็นระบบตลาดเดียว หรือ Single Central Market ต่อไป
นอกจากนี้ ในงานยังมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ กัญชาในอุตสาหกรรมสุขภาพและการจับคู่เจรจาธุรกิจส่วนของกัญชาที่ไม่ใช่ยาเสพติด ระหว่างวิสาหกิจชุมชนและโรงงานผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร และจัดแสดงนิทรรศการสายพันธุ์ การปลูกและคุณภาพกัญชาไทย จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชาอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Krungthai COMPASS ชี้ Medical Textile ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กลุ่มสิ่งทอเติบโตรับ New Normal | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
Krungthai COMPASS ชี้ Medical Textile ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กลุ่มสิ่งทอเติบโตรับ New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยเผยสิ่งทอทางการแพทย์ (Medical Textile) เป็นผลิตภัณฑ์ย่อยในกลุ่มสิ่งทอเทคนิค (Technical Textile) ที่เนื้อหอมสุดในกลุ่ม ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการในธุรกิจสิ่งทอที่ในปัจจุบันจัดเป็นหนึ่งในธุรกิจ Zombie
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย เผยสิ่งทอทางการแพทย์ (Medical Textile) เป็นผลิตภัณฑ์ย่อยในกลุ่มสิ่งทอเทคนิค (Technical Textile) ที่เนื้อหอมสุดในกลุ่ม ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการในธุรกิจสิ่งทอที่ในปัจจุบันจัดเป็นหนึ่งในธุรกิจ Zombie หลังเจอปัจจัยกดดันจากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) จากสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 2558 เพิ่มเติมจากต้นทุนแรงงานที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ประเมินสิ่งทอทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รวมไทย) มีมูลค่าธุรกิจแตะ 3 พันล้านดอลลาร์ฯ และมีแนวโน้มเติบโตที่ 8.3% ต่อปี ในช่วงปี 2563-2570 ซึ่งสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าความต้องการสินค้าทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้นภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทำให้ธุรกิจสิ่งทอทางการแพทย์มีศักยภาพ จัดเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่ภาครัฐกำลังส่งเสริมการลงทุนผ่านมาตรการของ บีโอไอ (Thailand Board of Investment: BOI) สะท้อนจากมูลค่าเงินลงทุนของโครงการสิ่งทอทางการแพทย์ที่ได้รับอนุมัติจาก บีโอไอ เพิ่มขึ้นราว 4 เท่าตัว จาก 405 ล้านบาท ในปี 2561 เป็น 2,148 ล้านบาท ในปี 2563 ทั้งนี้ประเมินว่าธุรกิจสิ่งทอทางการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าสิ่งทอเทคนิคอื่น ได้แก่ สิ่งทอในกลุ่มยานยนต์ สิ่งทอในภาคอุตสาหกรรม และสิ่งทอทางกีฬา โดยคาดว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่จะเข้าสู่ธุรกิจสิ่งทอทางการแพทย์คือ ผู้ประกอบการในธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเดิม เนื่องจากสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์จากสายการผลิตที่มีอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจเคมีภัณฑ์ เนื่องจากมีความได้เปรียบที่มีวัตถุดิบหลัก อาทิ เม็ดพลาสติก
“สิ่งทอทางการแพทย์เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added) เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์สิ่งทอทั่วไป เป็นโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งศูนย์ทดสอบผ้าและรับรองคุณภาพสิ่งทอทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลโลก เช่น CE ของสหภาพยุโรป รวมถึงการช่วยเหลือ SMEs ให้มีอำนาจต่อรองราคาวัตถุดิบ และผนึกห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจนี้ให้เข้มแข็ง”
นางสาวนิรัติศัย ทุมวงษา นักวิเคราะห์ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอทางการแพทย์ที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพลงทุนในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า จะเป็นเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกร่างกาย ได้แก่ 1)ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะทางการแพทย์ (Medical and Patient Care) ที่ทำจากผ้า Woven (ชนิดที่ซักแล้วใช้ซ้ำได้) เช่น หน้ากากผ้าที่สะท้อนน้ำและกันแบคทีเรีย 2)ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ที่ทำจากผ้า Nonwoven (ชนิดที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง) เช่น ชุด PPE และ 3) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อสุขอนามัย (Health and Wellness) เช่น ผ้าปูเตียงที่กันไรฝุ่น โดยประเมินว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางการแพทย์จะขยายตัวเฉลี่ยที่ 8.7% ต่อปี ในช่วงปี 2563-2570 โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยที่มักใช้ในห้องผ่าตัดมีแนวโน้มเติบโตมากถึง 144% ต่อปี และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อสุขอนามัยจะขยายตัวเฉลี่ยที่ 8.0% ต่อปี โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันแบคทีเรีย มีแนวโน้มเติบโตที่ 8.4% ต่อปี ขณะที่สิ่งทอทางการแพทย์ที่ใช้ภายในร่างกายเป็นโจทย์ที่ท้าทายแก่ผู้ประกอบการไทย ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาอีก 5-10 ปี เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง
“แม้กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อสุขอนามัยมีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่า แต่มีความน่าสนใจตรงที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งหมายถึงฐานตลาดที่กว้าง และไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งมักใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายที่สูง จึงมองว่าทั้งสองกลุ่มมีศักยภาพไม่แพ้กัน”
ทีม Marketing Strategy
10 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39821 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2564 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2564
ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 21 มีนาคม 2564 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 1.5 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14,793,502 คน โดยเป็นการใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 12,530,056 คน และใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 6,315,918 คน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากทั่วประเทศ โดยความคืบหน้าล่าสุดของโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 21 มีนาคม 2564
มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 1.5 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14,793,502 คน โดยเป็นการใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 12,530,056 คน และใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 6,315,918 คน ยอดการใช้จ่ายสะสม 98,860 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 50,610.3 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 48,249.7 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2564 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีวงเงินเหลือเร่งใช้จ่ายให้ครบ 3,500 บาท หากพ้นกำหนดดังกล่าวจะไม่สามารถใช้สิทธิวงเงินที่เหลือได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิทธิของท่านแล้ว ยังเป็นการช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากผ่านการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40223 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนอ.คงอัตราค่าเช่าที่ดินช่วยเหลือผู้ประกอบการจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
กนอ.คงอัตราค่าเช่าที่ดินช่วยเหลือผู้ประกอบการจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ
ก.อุตฯ คงอัตราค่าเช่าที่ดินเขตอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2564-2568) ให้แก่ผู้ที่ทำสัญญาเช่าที่ดินหรือต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกับ กนอ.
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) คงอัตราค่าเช่าที่ดินเขตอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2564-2568) ให้แก่ผู้ที่ทำสัญญาเช่าที่ดินหรือต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกับ กนอ. ตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2568 และผู้เช่าที่ดินที่ทำสัญญารายเดิมที่ทำสัญญาเช่าที่ดิน และมีงวดการชำระเงินค่าเช่าตั้งแต่1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ชะลอตัว ได้ให้นโยบายกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมหาแนวทางลด ชะลอ หรือเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียม ค่าเช่า หรือค่าตอบแทนการบริการต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายอื่น เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ และบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้อยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนั้นๆ
นายนรินทร์ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) กล่าวว่า กนอ.ขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยในที่ประชุมบอร์ด กนอ.ครั้งล่าสุดให้ความเห็นชอบคงอัตราค่าเช่าให้แก่ผู้ประกอบการที่เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ที่อัตราราคาค่าเช่าที่ดินตามสัญญาเดิมหมดอายุลงในปี 2563 โดยเป็นการคงอัตราค่าเช่า 1 ปี (ปี 2564) เท่ากับค่าเช่าของปี 2563 และตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปจะปรับอัตราค่าเช่าเหลือเพียงร้อยละ 2 ต่อปี (จากเดิมที่อัตราค่าเช่าที่หมดอายุต้องปรับขึ้นร้อยละ 10 ในทุก 3 ปี) โดยอัตราดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับผู้เช่าที่ดินหรือผู้ต่อสัญญาเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ที่ทำสัญญาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาและผู้เช่าที่ดินรายใหม่หรือต่อสัญญาเช่าที่ดิน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 โดยอัตราดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่เช่าที่ดินที่ปฏิบัติตามสัญญา และผู้เช่าที่ดินรายใหม่หรือต่อสัญญาในทั้งสองนิคมอุตสาหกรรม ระหว่างปี 2564-2568 ชำระค่าเช่าที่ดินในอัตราที่ลดลงจากเดิม
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า การผ่อนปรนอัตราค่าเช่าในปี 2564 ด้วยการคงอัตราค่าเช่าเท่ากับอัตราค่าเช่าเดิมในปี 2563 และการปรับอัตราค่าเช่าใหม่ในปี 2565-2568 โดยลดเหลือเพียงร้อยละ 2 ต่อปีดังกล่าว เป็นการลดและทยอยปรับค่าเช่าในแต่ละปี ซึ่ง กนอ.ได้พิจารณาแล้วว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดปัญหาการเลิกประกอบกิจการอันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงาน และธุรกิจต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
“กนอ.เชื่อมั่นว่าในอนาคตแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาเป็นปกติและฟื้นตัวโดยเร็ว เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวปิดท้าย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39534 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses) | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)
29 กันยายน 2563
“การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และภาคเอกชน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท พานทอง กลการ จำกัด บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด บริษัท รถไฟฟ้า ประเทศไทย จำกัด และ บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดยพัฒนารถประจำทางที่หมดอายุการใช้งานมาดัดแปลง เป็นรถโดยสารไฟฟ้าต้นแบบ ขนาด 12 เมตร จำนวน 4 คัน มีความเร็วสูงสุดต่อเนื่อง 80 – 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งานจริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชูเรือนจำเอกชน ลดความแออัด - สู่มาตรฐานสากล | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชูเรือนจำเอกชน ลดความแออัด - สู่มาตรฐานสากล
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดตั้งเรือนจำเอกชน
ในวันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๘ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดตั้งเรือนจำเอกชน โดยมี พันตำรวจโท ดร. พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เป็นประธานการประชุม และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษาคณะกรรมการเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดตั้งเรือนจำเอกชน พร้อมด้วย นายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ ผู้ตั้งกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในประเด็นการตั้งเรือนจำเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ เข้าร่วมประชุม
นายสามารถ กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายที่จะจัดตั้งองค์การเอกชน (Private Prison) เพื่อลดความแออัดในเรือนจำและแก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ โดยได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ ๖๐/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดตั้งเรือนจำเอกชน ทำหน้าที่ ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเอกสารทางวิชาการ รวมถึงบทบัญญัติของกฎหมายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน และพิจารณากำหนดแนวทาง ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการจัดตั้งเรือนจำเอกชน โดยมีตนเป็นที่ปรึกษา และโฆษก ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นที่ปรึกษา ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เป็นเลขานุการ
การจัดตั้งเรือนจำเอกชนจะต้องศึกษาข้อมูลรอบด้านอย่างรอบคอบ โดยรัฐบาลไม่ควรแบกรับต้นทุนการดูแลผู้ต้องขังทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โทษจำคุกสถานเบา ไม่ควรอยู่ปะปนกับโทษสถานหนักเพราะอาจทำให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ขาดแคลนอัตรากำลังผู้คุม ขาดรูปแบบวิธีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขัง โดยเรือนจำเอกชนจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดความแออัดในเรือนจำ ซึ่งการแข่งขันของภาคเอกชน จะช่วยยกระดับการดูแลผู้ต้องขังให้มีมาตรฐานสากล ภายใต้การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน โดยต้องมีผลการศึกษาให้ชัดเจนโดยต้องเทียบเคียงกับในต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและ แอฟริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งการประชุมครั้งหน้าจะนำข้อมูลเหล่านี้มาหารือในที่ประชุมอีกครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39656 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินลงพื้นที่ตลาดบางแค ติดตามการควบคุมโควิด 19 | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
อนุทินลงพื้นที่ตลาดบางแค ติดตามการควบคุมโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมสถานการณ์โควิด19 ตลาดบางแค เน้นย้ำให้ผู้ค้าสวมหน้ากากอนามัย ขอให้ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาตลาด6 แห่งในเขตบางแค ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. – 13 มี.ค.2564
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมสถานการณ์โควิด19 ตลาดบางแค เน้นย้ำให้ผู้ค้าสวมหน้ากากอนามัย ขอให้ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาตลาด6 แห่งในเขตบางแค ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. – 13 มี.ค.2564 จำกัดการเดินทาง รักษาระยะห่างในครอบครัว ไปรับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาลหรือรถตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานบริการที่สวนสาธารณะ ข้างเดอะมอลล์ บางแค
วันนี้ (14 มีนาคม 2564) ที่ตลาดบางแคกรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยนพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอกาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิชย์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ค้าในตลาดโดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า จากการหารือกับเจ้าของตลาดและผู้อำนวยการเขตบางแค พบว่า ตลาดบางแคเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีตลาดย่อยในพื้นที่ 6 แห่งติดกัน อาจมีผู้ที่มาจากพื้นที่มีการแพร่ระบาดเข้ามา ทำให้เกิดการติดเชื้อแม้ว่ามีการทำความสะอาดตลาดและฆ่าเชื้อเป็นประจำก็ตาม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการควบคุมโรคแก้ไขสถานการณ์และเร่งตรวจเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ควบคุมโรคให้เร็วที่สุดพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการ ได้ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลบางขุนเทียนแล้วจะค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง โดยในวันนี้ได้ส่งรถตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน จำนวน2 คัน ลงพื้นที่หมู่บ้านวังทอง ถนนเพชรเกษม 77 เขตหนองแขม พร้อมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในชุมชนแล้ว นายอนุทินกล่าวต่อว่าขอความร่วมมือผู้ที่เคยเดินทางมาไปตลาด 6 แห่งในเขตบางแค ตั้งแต่วันที่20 กุมภาพันธ์ – 13 มีนาคม 2564ได้แก่ ตลาดสิริเศรษฐนนท์ (แสงฟ้าเก่า) ตลาดศูนย์การค้าบางแค ตลาดกิตติตลาดภาสม ตลาดใหม่บางแค และตลาดวันเดอร์ จำกัดการเดินทางไปยังพื้นที่อื่น แจ้งความเสี่ยงให้คนในครอบครัวทราบแยกตัวเอง รักษาระยะห่าง เลี่ยงการรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ให้ครบ14 วันนับตั้งแต่วันที่ไปตลาด และไปขอรับการตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลรัฐ หรือรถตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานซึ่งจะออกให้บริการที่สวนสาธารณะข้างเดอะมอลล์บางแค โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้ผู้ที่มีประวัติเดินทางไปตลาดบางแคในช่วงวันดังกล่าวตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ จะจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับประชาชนในเขตบางแคซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงหนึ่งให้มากขึ้น“
ขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขใช้ชีวิตในรูปแบบ NewNormal เน้นย้ำให้ทุกคนสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีตลอดเวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำและสบู่ที่สำคัญคือเว้นระยะห่าง ส่วนผู้ค้าและผู้ที่ไปตลาดให้เข้มการป้องกันตัวเอง หากทุกคนสวมหน้ากากอนามัยโอกาสการติดเชื้อจะน้อยลง” นายอนุทินกล่าว
********************************** 14 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธารณสุขและสำนักงานเขตหลักสี่เข้าดำเนินการสอบสวนโรคที่ CAAT | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
สาธารณสุขและสำนักงานเขตหลักสี่เข้าดำเนินการสอบสวนโรคที่ CAAT
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีสืบเนื่องจากที่พนักงานสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) 1 ราย ตรวจพบการติดเชื้อไวรัส COVID-19
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีสืบเนื่องจากที่พนักงานสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) 1 ราย ตรวจพบการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้องและสำนักงานเขตหลักสี่ได้เข้ามาสอบสวนโรคและตรวจสถานที่ ณ สำนักงาน CAAT พร้อมทั้งให้แนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาด CAAT จึงได้ออกมาตรการต่อเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1. เกณฑ์การประเมินว่าผู้ใดเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้องระบุว่า
1.1 ต้องเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อคนดังกล่าว เช่น เพื่อนสนิท อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน หรือนั่งทำงาน รับประทานอาหารอย่างใกล้ชิด
1.2 พูดคุยกับผู้ติดเชื้อโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ในระยะต่ำกว่า 1 เมตร นาน 5 นาทีขึ้นไป
1.3 อยู่ในสถานที่ปิดร่วมกับผู้ติดเชื้อนานกว่า 15 นาทีขึ้นไป เช่น นั่งในรถตู้หรือประชุมร่วมกับ ผู้ติดเชื้อ
ผู้ที่ถูกประเมินว่าเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง CAAT ได้สั่งการให้กักตัว 14 วัน และต้องถูกบังคับตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ทุกกรณี แต่การตรวจหาเชื้อต้องมีระยะเวลาหลังจากสัมผัสผู้ติดเชื้อครั้งสุดท้ายเป็นระยะเวลา 5-7 วัน (ระยะฟักตัวของเชื้อ) สำหรับกรณีนี้ให้ถือว่าวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันมาปฏิบัติงานวันสุดท้ายที่ตึก IT Square ของผู้ติดเชื้อ เป็นวันที่บุคคลแวดล้อมสัมผัสผู้ติดเชื้อ เป็นครั้งสุดท้าย หากต้องตรวจหาเชื้อและได้ผลที่ถูกต้องแน่ชัด ต้องดำเนินการตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
2. จากข้อ 1. บุคคลที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์เป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง แต่อยู่ในพื้นที่ที่ผู้ติดเชื้อมาปฏิบัติงาน จะถือว่าเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่พูดคุยโดยไม่สวมหน้ากากกับผู้สัมผัสความเสี่ยงสูงผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในชั้นเดียวกับผู้ติดเชื้อแต่ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งสำหรับผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำให้เฝ้าระวังอาการตนเอง 14 วัน และ CAAT มีมาตรการให้ต้องปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home)
3. งดการปฏิบัติหน้าที่ออกตรวจตามสถานที่ต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ CAAT ที่ปฏิบัติหน้าที่ออกตรวจ (Inspector) รวมถึงขอความร่วมมือบุคคลภายนอกไม่เข้ามาในพื้นที่สำนักงาน CAAT จนกว่าจะยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่ CAAT ทุกคนไม่ติดเชื้อ คาดการณ์คือจนถึงวันที่ 5 เมษายน 2564 หากมีความจำเป็นต้องประชุม ในช่วงเวลาก่อนวันดังกล่าว ขอความร่วมมือให้ดำเนินการทางช่องทางออนไลน์แทน
4. สำนักงานเขตหลักสี่ จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาฉีดฆ่าเชื้อทำความสะอาดในพื้นที่สำนักงาน CAAT อีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้น CAAT ได้ให้บริษัทเข้ามาฆ่าเชื้อรมควันภายในสำนักงาน และทำความสะอาดตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ แล้วในวันที่ 17 มีนาคม 2564
5. เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง จะเร่งสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อคนดังกล่าวอย่างละเอียด ซึ่งยังไม่มี Timeline อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ CAAT ได้รับแจ้งว่ามีการเผยแพร่ Timeline ของผู้ติดเชื้อคนดังกล่าว จึงขอให้ทุกท่านพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
ขณะนี้ CAAT ได้เร่งดำเนินการตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หากมีความคืบหน้าประการใด CAAT จะแจ้งให้ทราบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40124 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเตือนรถบรรทุกที่มีการตกแต่งติดตั้งไฟสปอตไลต์จำนวนมาก รบกวนสายตาผู้ใช้รถใช้ถนน มีความผิดตามกฎหมายปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางบกเตือนรถบรรทุกที่มีการตกแต่งติดตั้งไฟสปอตไลต์จำนวนมาก รบกวนสายตาผู้ใช้รถใช้ถนน มีความผิดตามกฎหมายปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนกรณีรถบรรทุกมีการตกแต่งติดตั้งไฟสปอตไลต์ (Spot light) ที่ด้านหน้ารถจำนวนมาก
ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนเกิดอาการสายตาพร่ามัว เนื่องจากโคมไฟสปอตไลต์มีความแตกต่างจากโคมไฟรถยนต์ โดยจะให้ความสว่างแบบเต็มพื้นที่โคมไม่มีการควบคุมการกระจายของแสง ไม่มีการจำกัดแนวของแสงเหมือนกับโคมไฟหน้ารถยนต์ที่จะมีแนวจำกัดแสง (Cut-off Line) เพื่อป้องกันแสงแยงตาผู้ขับรถที่ใช้ทางร่วมกัน ดังนั้น รถบรรทุกที่ติดตั้งไฟสปอตไลต์จึงก่อให้เกิดอันตรายและอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลต่อการบาดเจ็บที่รุนแรงและเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ ขบ. ได้กำหนดรายละเอียดโคมไฟสำหรับรถบรรทุกไว้แล้วซึ่งเจ้าของรถต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ประกอบด้วย โคมไฟแสงพุ่งไกล (ไฟสูง) แสงขาว/เหลืองอ่อน จำนวน 2 ดวง ติดที่ด้านหน้าระดับเดียวกันทั้งข้างซ้ายและขวา โคมไฟแสงพุ่งต่ำ (ไฟต่ำ) แสงขาว/เหลืองอ่อน จำนวน 2 ดวง ติดที่ด้านหน้าระดับเดียวกันทั้งข้างซ้ายและขวา และต้องมีทิศทางส่องสว่างไปด้านหน้าโดยจะต้องไม่เบี่ยงเบนไปทางด้านขวา หรือส่องขึ้นสูงเกินไปจนทำให้รบกวนสายตาผู้อื่น โคมไฟแสดงความกว้าง (ไฟหรี่) แสงขาว/เหลืองอ่อน จำนวน 2 - 4 ดวง ติดที่ด้านหน้าระดับเดียวกันทั้งข้างซ้ายและขวา โคมไฟเลี้ยวชนิดไฟกระพริบแสงเหลือง ติดที่ด้านหน้า 2 ดวง ด้านท้าย 2 - 4 ดวง โคมไฟท้าย จำนวน 2 - 4 ดวง โคมไฟหยุด จำนวน 2 - 4 ดวง โคมไฟถอยแสงขาว จำนวนไม่เกิน 2 ดวง โคมไฟส่องป้ายทะเบียนแสงขาว อย่างน้อย 1 ดวง และโคมไฟแสดงส่วนสูงแสงเขียว จำนวน 4 ดวง ที่ด้านหน้าบนตัวถังส่วนบรรทุกหรือหลังคารถด้านหน้าและ 2 ดวงแสงแดงที่ด้านท้าย
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบ. ได้กำชับสำนักงานขนส่งทุกแห่งดำเนินการเข้มงวดกวดขันรถบรรทุกในพื้นที่และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งรถบรรทุกที่ติดตั้งไฟสปอตไลต์มีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71 ฐานใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ถูกต้องตามที่กำหนดต้องระวางโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และอาจถูกสั่งระงับการใช้รถจนกว่าจะดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จึงขอให้เจ้าของรถบรรทุกให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ห้ามดัดแปลงตกแต่งโคมไฟให้ผิดไปจากที่กำหนด นอกจากนี้ กรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากรถบรรทุกที่ติดตั้งไฟสปอตไลต์ สามารถแจ้งข้อมูลมายังศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584 พร้อมหลักฐาน เช่น ภาพหรือคลิปวิดีโอบันทึกการกระทำความผิดชัดเจน วันเวลา สถานที่เกิดเหตุ รายละเอียดรถ ทะเบียนรถ รวบรวมแจ้งได้ที่ Line : @1584DLT
Facebook : 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ เว็บไซต์ http://ins.dlt.go.th/cmpweb/ E-mail: [email protected] ขบ. จะดำเนินการตรวจสอบการกระทำความผิดและดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามระเบียบ โดยค่าปรับส่วนแรกนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ส่วนที่เหลือจะนำมาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และมอบให้ผู้แจ้งพฤติการณ์การกระทำความผิด เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มงบ 400 ล้าน ป้องกันโควิด-19 ตามแนวชายแดน | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
เพิ่มงบ 400 ล้าน ป้องกันโควิด-19 ตามแนวชายแดน
...
การระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเฝ้าระวังและวางมาตรการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรค และเพิ่มความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน
.
ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติงบประมาณ 438.08 ล้านบาท สำหรับจัดตั้งโครงการ Organizational Quarantine (OQ) เพื่อบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในกลุ่มผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ตั้งแต่การควบคุม การคัดกรอง การป้องกัน และสามารถยกระดับขึ้นเป็นโรงพยาบาลสนามได้หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
.
โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเม.ย. - ก.ย. 64 ครอบคลุมพื้นที่ 14 แห่ง 7 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของตำรวจตระเวนชายแดน ได้แก่ จังหวัดตาก เชียงราย ระนอง สงขลา จันทบุรี สระแก้ว และหนองคาย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40135 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง ให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำ การมีวินัย ปฏิบัติหน้่าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และอดทน | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง ให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำ การมีวินัย ปฏิบัติหน้่าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และอดทน
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง ให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำ การมีวินัย ปฏิบัติหน้่าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และอดทน
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง ให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำ การมีวินัย ปฏิบัติหน้่าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และอดทน
วันนี้ (5 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและเครือข่ายอาสาสมัครฯ ในการปฏิบัติงาน พร้อมมอบเงินสนับสนุนเครือข่ายแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน รวมถึงมอบถุงยังชีพและอุปกรณ์สำหรับใช้ในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ เครือข่ายอาสาสมัครฯ และประชาชนทุกคน ที่ได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าทะเลน้อย ให้คงความอุดมสมบูรณ์ ตนได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในหลายจังหวัด จังหวัดพัทลุงเป็นจังหวัดที่ 69 ซึ่งที่ผ่านมาได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่และเครือข่าย ที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความยากลำบาก ดังนั้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ขอให้มีใจรัก มีความศรัทธาในงานที่ทำ และขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมีวินัย เสียสละ อดทน และซื่อสัตย์ ทั้งยังได้กล่าวเน้นย้ำว่า ตนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการดูแล สร้างขวัญกำลังใจ และดูแลเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคน นอกจากนี้ รมว.ทส. และปกท.ทส. ยังได้ร่วมปลูกต้นหว้านา และต้นจิกทะเล ในโอกาสนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39722 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยันแผนฉีดวัคซีนโควิดปัจจุบัน คือ ฉีดครบ 63 ล้านโดสในปี 64 | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
สธ. ยันแผนฉีดวัคซีนโควิดปัจจุบัน คือ ฉีดครบ 63 ล้านโดสในปี 64
กระทรวงสาธารณสุข แจงแผนฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยเสร็จภายในปี 2566 เป็นข้อมูลเก่า ไม่ตรงข้อเท็จจริง แผนปัจจุบันคือ ฉีด 63 ล้านโดสเสร็จสิ้นภายในปี 64 สอดคล้องกับสถานการณ์
กระทรวงสาธารณสุข แจงแผนฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยเสร็จภายในปี 2566 เป็นข้อมูลเก่า ไม่ตรงข้อเท็จจริง แผนปัจจุบันคือ ฉีด 63 ล้านโดสเสร็จสิ้นภายในปี 64 สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนอาการลิ่มเลือดอุดตันไม่น่าเกิดขึ้นจากวัคซีน คาดได้ข้อมูลในสัปดาห์หน้า หากไม่มีปัญหาฉีดต่อได้ตามแผน ยันวัคซีนที่ให้ประชาชนยึดความปลอดภัยเป็นสำคัญ
บ่ายวันนี้ (13 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 78 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 33 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 34 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 11 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 13 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 21,909 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.29 อยู่ระหว่างการรักษา 585 ราย เสียชีวิตสะสม 26 คน การติดเชื้อในประเทศพบ 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 48 ราย กรุงเทพมหานคร 13 ราย ปทุมธานี 4 ราย ตากและอ่างทอง จังหวัดละ 1 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้ เป็นหญิงไทย อายุ 56 ปี มีโรคประจำตัว เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง มีประวัติเดินทางและพักอาศัยในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคใน จ.สมุทรสาคร เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมามีอาการเหนื่อยมากขึ้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และเสียชีวิตวันที่ 12 มีนาคม 2564
สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ระยะแรกใน 13 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ -12 มีนาคม 2564 ฉีดแล้ว 44,409 คน ภาพรวมถือว่าทำได้เร็วกว่าเป้าหมาย มี 7 จังหวัดที่ฉีดครบ 100 เปอร์เซนต์ ส่วนสมุทรสาครและกรุงเทพมหานคร จะฉีดได้ตามเป้าหมายภายในสัปดาห์หน้า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 รวม 63 ล้านโดส จะฉีดได้ครบถ้วน 31.5 ล้านคน คนละ 2 โดส ก่อนสิ้นปี 2564 โดยตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไปที่มีวัคซีนมากขึ้น วางแผนฉีดเดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า แผนการฉีดวัคซีนจะเสร็จสิ้นในปี 2565-2566 เป็นแผนเก่าที่กรมควบคุมโรคเคยเสนอต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุข
สภาผู้แทนราษฎร เมื่อพฤศจิกายน 2563 เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการนำวัคซีนมาใช้ การวิจัยยังไม่แน่ใจถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยว่าจะป้องกันโรคได้หรือไม่ และผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่ากว่าวัคซีนจะใช้ได้คงอีกหลายปี
“เมื่อประเทศไทยมีการจองซื้อวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า 26 ล้านโดส โดยลงนามสัญญาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ต่อมามีการระบาดของ จ.สมุทรสาคร ได้จัดหาวัคซีนของซิโนแวค 2 ล้านโดสเข้ามาเพิ่มอย่างเร่งด่วน และจัดซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้าอีก 35 ล้านโดส จึงมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่ให้สอดคล้องสถานการณ์ โดยจะฉีด 63 ล้านโดสให้เสร็จภายในปี 2564 ซึ่งแผนการฉีดวัคซีนนี้ผ่านความเห็นชอบของ ศบค. คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ มีการแถลงต่อสื่อมวลชนให้ทราบต่อเนื่อง การนำแผนเก่ากลับมาพูดว่าฉีดวัคซีนล่าช้า จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน” นพ.โอภาสกล่าว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการชะลอการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ขณะนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นว่า อาการลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดในยุโรป ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขกำลังรวบรวมข้อมูล ทั้งข้อมูลทางการจากองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าจะมีผลสรุปได้ในสัปดาห์หน้า ถ้าไม่เกี่ยวกับวัคซีนก็จะกลับมาเริ่มฉีดวัคซีนต่อไปตามแผนที่กำหนดไว้ ยืนยันว่าวัคซีนที่จะนำมาให้คนไทยต้องมีความปลอดภัย
********************************** 13 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ น้อมนำศาสตร์พระราชาตั้งสหกรณ์ในสถานประกอบการ พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ น้อมนำศาสตร์พระราชาตั้งสหกรณ์ในสถานประกอบการ พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน น้อมนำศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ ให้มีความยั่งยืน มุ่งมั่น ผลักดัน เพื่อคุณภาพชีวิตแก่ผู้ใช้แรงงาน
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานครนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ พร้อมมอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้ง สหกรณ์ออมทรัพย์ในปี พ.ศ.2562 และ 2563 โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานมีวินัยการออม และมีแหล่งกู้ยืมในยามจำเป็นด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจเห็นความสำคัญของการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อเป็นสวัสดิการแก่คนทำงานในองค์กร ตลอดจนเพื่อสร้างความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ให้เป็นผลสำเร็จ
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ของประเทศไว้ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกระทรวงแรงงานได้กำหนดพันธกิจเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการให้พร้อมรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ “แรงงานมีศักยภาพสูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยได้น้อมนำศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานด้านสหกรณ์ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ นับเป็นภารกิจที่มีคุณค่า เพราะไม่เพียงจะช่วยสร้างวินัยการออม การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความไม่ประมาทต่อการดำรงชีวิตในอนาคตให้ผู้แก่ใช้แรงงาน
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การมอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติแก่สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในปี พ.ศ.2562 และ 2563 จำนวน 26 แห่ง การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “หลักคิดสหกรณ์กับแนวทาง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน” การจัดคลินิกให้คำปรึกษาการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ การจัดแสดงนิทรรศการผลการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการต้นแบบในด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์ การเสวนา เรื่อง “ธรรมาภิบาลในการบริหารสหกรณ์ตามรอยพ่อ” และประชุมกลุ่มย่อยเพื่อหารือแนวทางและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย สถานประกอบกิจการ สหกรณ์ออมทรัพย์ต้นแบบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการออมและการลงทุน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 380 คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพบก แจงยืนยัน ไม่มีนโยบายดำเนินโครงการฯ เชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
กองทัพบก แจงยืนยัน ไม่มีนโยบายดำเนินโครงการฯ เชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย
พันเอกหญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. ชี้แจงยืนยัน ทบ.ไม่มีนโยบายดำเนินโครงการฯ เชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 พันเอกหญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. ชี้แจงกรณีที่มีการวิจารณ์เกี่ยวกับโครงงานผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ของกองทัพบก มิใช่ภารกิจของกองทัพบก และดำเนินการผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และไม่สอดคล้องตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ว่า กองทัพบก (ทบ.) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนิน “โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก” ตามแนวความคิดจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกด้วยแสงอาทิตย์ (โซล่าฟาร์ม ) โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในการดูแลของ ทบ. ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นรวบรวมข้อมูลศึกษาความเป็นไปได้ด้านพื้นที่ กรอบระยะเวลา 2 ปี หากผลการศึกษาฯ ออกมาในรูปแบบใด ก็จะร่วมกันพิจารณาดำเนินการต่อไป และหากโครงการฯ มีความเป็นไปได้ ทบ.จะส่งมอบพื้นที่ราชพัสดุฯ ให้กับกรมธนารักษ์ เพื่อให้ กฟผ.ขอเช่าพื้นที่กับกรมธนารักษ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ยืนยัน ทบ.ไม่มีนโยบายดำเนินโครงการฯ ในเชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังเพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ ทบ. และ กฟผ. ได้มีการทำ MOU เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและผลกระทบต่างๆ รอบด้าน ซึ่งการศึกษายังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหรือการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบใดๆ ที่จะมีการขายเข้าระบบไฟฟ้านั้น จำเป็นจะต้องถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนการร่างแผน PDP แล้ว จะต้องมีการดำเนินการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย รวมถึงต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นจาก สศช. กกพ. กพช. และ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับ
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39975 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งผลิตครูคณิต-วิทย์ ยุคใหม่ ครม. อนุมัติทุนการศึกษา 1,200 ทุน งบ 1.65 พันลบ. | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
เร่งผลิตครูคณิต-วิทย์ ยุคใหม่ ครม. อนุมัติทุนการศึกษา 1,200 ทุน งบ 1.65 พันลบ.
เร่งผลิตครูคณิต-วิทย์ ยุคใหม่ ครม. อนุมัติทุนการศึกษา 1,200 ทุน งบ 1.65 พันลบ.
วันที่ 24 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ ว่า ครม. อนุมัติทุนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2560 - 2567) กรอบวงเงินรวม 1,654 ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เพื่อสร้างบุคลากรครูคุณภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้าสู่ระบบได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตครูระดับปริญญาโทที่มีความสามารถพิเศษวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ให้เป็นครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ มีความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สำหรับรูปแบบและจำนวนทุนการผลิตครู แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) ทุนระดับปริญญาตรี – โท ปีละ 150 ทุน รวม 600 ทุน ระยะเวลารับทุน 6 ปี ดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 – 2573 รวมระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี
2) ทุนระดับปริญญาโท ปีละ 150 ทุน รวม 600 ทุน ระยะเวลารับทุน 2 ปี ดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 – 2569 รวมระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี
โครงการนี้ใช้งบประมาณจำนวน 1,654 ล้านบาท โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จะขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยการทำความตกลงในรายละเอียดร่วมกับสำนักงบประมาณต่อไป
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ คือ 1) ส่งเสริมให้ผู้ที่มีศักยภาพระดับสูงด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี สมัครรับทุนโครงการเพื่อเป็นครูเพิ่มขึ้น 2) มีครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ที่มีศักยภาพสูงในการจัดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐานเพิ่มขึ้น และ 3) มีปริมาณครูผู้สอนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพเพียงพอต่อการทดแทนบุคลากรที่เกษียณอายุราชการและโยกย้ายภูมิลำเนา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด ECC ผลักดัน 5G ในพื้นที่อีอีซีนำร่อง “บ้านฉาง” เมืองอัจฉริยะ | วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
บอร์ด ECC ผลักดัน 5G ในพื้นที่อีอีซีนำร่อง “บ้านฉาง” เมืองอัจฉริยะ
บอร์ด ECC ผลักดัน 5G ในพื้นที่อีอีซีนำร่อง “บ้านฉาง” เมืองอัจฉริยะ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย ไทยเปิดให้บริการ 5 G เต็มรูปแบบในพื้นที่อีอีซีแล้ว ภายใต้แผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5 G ระยะที่ 1 ทำให้การขับเคลื่อน 5G ในไทยเร็วกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียนถึง 5 ปี ซึ่งในสัปดาห์หน้า (8 มีนาคม 64 )นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี 5G ในประเทศ และมอบแนวทางให้มีขยายการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ครอบคลุมทั้งด้านคมนาคม การศึกษา การเกษตร อุตสาหกรรม และสุขภาพ เพื่อให้ไทยก้าวสู่เศรษฐกิจสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม เต็มประสิทธิภาพ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2564 ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน รับทราบการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่อีอีซี ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้มีการเดินหน้าติดตั้ง ท่อ เสา สาย และสัญญาณแล้วเสร็จเกินร้อยละ 80 ด้วยการใช้เสาอัจฉริยะ (Smart pole) ทำให้สามารถกำหนดราคาต่ำสุด ลดภาระต้นทุน เพิ่มความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ รวมทั้งความพร้อมในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลคลาวด์ภาครัฐและภาคเอกชนที่เปิดเผยได้ จัดทำข้อมูลกลางเพื่อธุรกิจในอนาคต หรือ Common Data Lake ใน อีอีซี รวมถึงการใช้ประโยชนที่เน้นเพิ่มผู้ใช้5G ในภาคการผลิตและภาคธุรกิจ ได้แก่ โรงงานในอีอีซี 10,000 แห่งและโรงแรม 300 แห่ง สถานศึกษา โรงพยาบาล นำร่องใช้ 5G บริเวณสัตหีบ สนามบินอู่ตะเภา นิคมฯ มาบตาพุดและบ้านฉาง นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้ “บ้างฉาง เป็นต้นแบบชุมชนอนาคต” (Smart city) ให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จาก 5 G ในมิติต่างๆ ทั้งการวางแผนการเพาะปลูกด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ (precision farming) และดิจิทัลเพื่อดูแลสุขภาพชุมชน รวมทั้งส่งเสริมการสร้างธุรกิจใหม่จาก 5G เช่น แอปพลิเคชั่นด้านหุ่นยนต์และออโตเมชั่น เป็นต้น พร้อมทั้ง การพัฒนาบุคลากร ที่เน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน (Up-Re-New Skill) ด้วยการประสานกับบริษัทชั้นนำ เช่น Huawai, HP ในการผลิตบุคลากรร่วมกันกว่า 44,000 คน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเดินหน้า 5G ในไทยว่า ขณะนี้ได้เริ่มติดตั้งโครงข่าย 5G แล้วในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังมีโครงการนำร่องด้านต่างๆ อาทิ สถานีอัจฉริยะ (Smart Station) ณ สถานีกลางบางซื่อ ต้นแบบสถานีอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5G แห่งแรกของประเทศไทยและแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีบริการ Smart Information ช่วยเหลือผู้เดินทาง เช่น การนำทางภายในสถานี การช่วยเหลือฉุกเฉิน Automation Wheelchair บริการผู้พิการและผู้สูงอายุ โดยระบุจุดหมายและ wheelchair จะเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่เป้าหมายอัตโนมัติด้วย 5G และโครงการ Smart Campus ของ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พัฒนา Wireless Campus ยกระดับห้องเรียนแบบ Intelligent Hybrid Classroom ต้นแบบ จัดการความปลอดภัยด้วย Face Recognition/Anti-Fake Prevention/Smart Access Control System สำหรับการตรวจสอบผู้เข้า-ออกมหาวิทยาลัย เป็นต้น///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39695 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางรางจัดประชุม เพื่อจัดทำมาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางรางจัดประชุม เพื่อจัดทำมาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำมาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ ครั้งที่ 3-1/2564 พร้อมด้วย ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง
และผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมโรงงานอุตสาหกรรม การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จำกัด และ บริษัท JR-Freight เข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงการเสนอแนวทางในการขนส่งสินค้าอันตรายให้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาและเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง โดยการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขนส่งสินค้าอันตราย ร่วมกับสินค้าทั่วไป ที่ใช้การเว้นระยะห่างอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานของ RID (The Regulation concerning the International Carriage of Dangerous Goods by Rail) อันเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้กัน รวมถึงการเตรียมการทดสอบการขนส่ง LNG ทางรถไฟ ครั้งที่ 2 ที่จะทำการทดสอบในช่วงเดือนมิถุนายน
นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางรางจะดำเนินการจัดเตรียมมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟให้มีความพร้อมมากที่สุดและมีความเป็นสากล โดยการปรับใช้แนวทางการขนส่งสินค้าอันตรายตามที่ RID กำหนด เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟที่จะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งช่วยสนับสนุนนโยบายของกระทรวงคมนาคมในการเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40256 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.ตรัง ตรวจพื้นที่นอกเขตนำร่อง สร้างการรับรู้เตรียมความพร้อมให้ประชาชน ก่อนกฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อมประกาศใช้ ย้ำส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ชาวบ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.ตรัง ตรวจพื้นที่นอกเขตนำร่อง สร้างการรับรู้เตรียมความพร้อมให้ประชาชน ก่อนกฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อมประกาศใช้ ย้ำส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ชาวบ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบนโนบายปลดล็อกพืชกระท่อม
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา อ.เมือง จ.ตรัง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบนโนบายปลดล็อกพืชกระท่อม โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.ท. ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ผู้แทนตำรวจภูธรภาค ๙ นายอำเภอเมืองตรัง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เครือข่ายกองทุนแม่ รวมทั้ง ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากพื้นที่นำร่อง ๑๓๕ หมู่บ้าน/ชุมชน นักวิชาการ และประชาชน ที่ สนใจ เข้าร่วมประชุมกว่า ๖๐๐ คน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความคืบหน้าของกฎหมายการปลดล็อกพืชกระท่อมให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องชาวใต้ ที่มีการใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้านกันเป็นส่วนใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ได้จัดประชุมที่ จ.สุราษฎร์ธานี และในครั้งนี้เป็นสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และหลังจากนี้จะลงพื้นที่ ต.นาพละ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งถึงแม้ไม่ใช่พื้นที่นำร่อง แต่เป็นชุมชนที่มีความต้องการในการใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้านจึงต้องเร่งสร้างการรับรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชาชน เพราะเมื่อกฎหมายประกาศและมีผลบังคับใช้ ทุกคนจะได้มีความรู้ ความเข้าใจถึงการใช้พืชกระท่อมอย่างถูกต้อง สำหรับความคืบหน้าของการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษนั้น ขณะนี้วุฒิสภาได้ลงมติเห็นชอบในวาระที่ ๓ แล้ว เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขั้นตอนจากนี้ ประธานวุฒิสภาจะส่งร่างให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้เป็นกฎหมาย
นายสมศักดิ์กล่าวว่า เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา กฎหมายจะมีผลบังคับใช้หลังประกาศไปแล้ว พืชกระท่อมจะไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ ประชาชนจะสามารถใช้พืชกระท่อมได้ตามวิถีชาวบ้าน เช่น การเคี้ยวใบสด ซึ่งตรงนี้ต้องเร่งทำกฎหมายอีกฉบับ เพื่อควบคุมไม่ให้เด็กและเยาวชนนำกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด โดยกฎหมายดังกล่าวจะมีบทบัญญัติที่ระบุกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น เรื่องการปลูก การใช้ อายุของผู้ที่ใช้พืชกระท่อมได้ และวิธีการต่างๆ หรือแม้แต่การนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การจะปลูกพืชกระท่อมเชิงพาณิชย์จำนวนเท่าใดนั้น ควรต้องมีการศึกษาข้อมูลการตลาดให้ชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณ ความต้องการ ราคามีความเหมาะสม ไม่เกิดภาวะล้นตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน สามารถส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจบนฐานชุมชน และในท้ายที่สุดก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
จากนั้นในช่วงบ่าย นายสมศักดิ์ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมพื้นที่ บ้านไสยหยี ต.นาพละ อ.เมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีต้นกระท่อมขึ้นเองโดยธรรมชาติและมีการใช้แบบวิถีชาวบ้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ ที่ปรึกษาฯ ลงพื้นที่เพชรบุรี มอบใบรับรองมาตรฐานป้องกันยาเสพติดในสถานประกอบการ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ มอบ ที่ปรึกษาฯ ลงพื้นที่เพชรบุรี มอบใบรับรองมาตรฐานป้องกันยาเสพติดในสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เปิดอบรมการจัดทำระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ พร้อมมอบใบรับรอง “มยส.” และเกียรติบัตรโรงงานสีขาว
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานเปิดการอบรมโครงการจัดทำระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ พร้อมมอบเกียรติบัตรสถานศึกษาปลอดภัย และ สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยฯ เกียรติบัตรโครงการโรงงานสีขาว และใบรับรองมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) จำนวน 57 แห่ง เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ ให้นายจ้าง ลูกจ้าง ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน และสร้างภูมิคุ้มกันด้านยาเสพติดแก่แรงงานในสถานประกอบกิจการ ณ โรงแรมรอยัลไดมอน เพชรบุรี
นางธิวัลรัตน์กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงมอบหมายให้ดิฉันมาเป็นประธานในพิธีเปิดอบรมการจัดทำระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ พร้อมมอบใบรับรอง “มยส.” และเกียรติบัตรโรงงานสีขาวในวันนี้ ซึ่งดิฉันต้องขอแสดงความยินดีและชื่นชมสถานศึกษาที่ได้รับเกียรติบัตรติสถานศึกษาปลอดภัย และ สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยฯ เกียรติบัตรโครงการโรงงานสีขาว และใบรับรองมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ทั้ง 57 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านให้ความสำคัญกับปัญหาความปลอดภัยในการทำงาน ร่วมกันปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานให้กับเยาวชนที่จะเป็นกำลังแรงงานสำคัญของชาติ สร้างความตระหนักรู้ ให้นายจ้าง ลูกจ้าง ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อลดการประสบอันตรายจากการทำงานของลูกจ้าง รวมทั้งการดำเนินการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ แสดงให้เห็นว่าสถานประกอบกิจการของท่านได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาระดับประเทศ ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทำให้ปัญหายาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย เพื่อเป้าหมายความสงบสุขของประชาชนทุกคน
ทั้งนี้ การจัดอบรมฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างแนวคิดให้นายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของโทษ พิษภัยยาเสพติด และมีส่วนร่วมป้องกัน เฝ้าระวังไม่ให้ยาเสพติดแพร่ขยายเข้าสู่หน่วยงานของตนเอง โดยนำเอาโครงการโรงงานสีขาวและระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ไปดำเนินการและพัฒนา จนกระทั่งผ่านเกณฑ์ประเมินตามข้อกำหนด ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันด้านยาเสพติดแก่ผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัดและฟื้นฟู ให้หายจากการติดยาเสพติด และสามารถกลับเข้ามาทำงานได้ตามปกติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินครบรอบปีที่ 108 วันที่ 1 เม.ย.2564 | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ออมสินครบรอบปีที่ 108 วันที่ 1 เม.ย.2564
ออมสินครบรอบปีที่ 108 วันที่ 1 เม.ย.2564 ฝากสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ลุ้นรางวัลพิเศษ รางวัลละ 10,000 บ. พร้อมเปิดตัวเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษให้ดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดสูงสุด 10.8% ต่อปี พิเศษ จองสิทธิฝากเงินล่วงหน้า 25-26 มี.ค.นี้ ครบ 500 บ. รับกระปุก 1 ใบ
ออมสินฉลองครบรอบปีที่ 108 วันที่ 1 เมษายน 2564 เปิดรับฝากสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ลุ้นรางวัลพิเศษ รางวัลละ 10,000 บาท พร้อมเปิดตัวเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษให้ดอกเบี้ยแบบขั้นบันได สูงสุด 10.8% ต่อปี พิเศษ จองสิทธิฝากเงินล่วงหน้า 25-26 มี.ค.นี้ ครบ 500 บาท รับกระปุกธนาคารออมสิน 108 ปี ฟรี
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเตรียมเฉลิมฉลองการครบรอบก่อตั้งธนาคารเป็นปีที่ 108 ในวันที่ 1 เมษายน 2564 พร้อมเปิดรับฝาก สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฉลอง 108 ปี ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ระหว่างวันที่ 1 – 15 เมษายน 2564 วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยเปิดรับฝากตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป สูงสุดรายละไม่เกิน 10 ล้านบาท พร้อมสิทธิลุ้นรางวัลพิเศษจากการออกเลขสลากออมสินงวดวันที่ 16 เมษายน 2564 รางวัลละ 10,000 บาท จำนวน 108 รางวัล
โดยในวาระเดียวกันนี้ ธนาคารฯ ยังเปิดรับฝากเงินประเภท เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษฉลอง 108 ปี ให้ดอกเบี้ยในอัตราพิเศษแบบขั้นบันได สูงสุด 10.8% ต่อปี ระยะเวลาฝากเงิน 108 วัน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.08% ต่อปี กำหนดเงื่อนไขการเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ให้สิทธิรายละ 1 บัญชี โดยธนาคารจะเปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนจองสิทธิการฝากเงินผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th และช่องทาง LINE : @GSBsociety ในวันที่ 25-26 มีนาคม 2564 รวม 2 วัน วันละ 1,500 ล้านบาท วงเงินรับฝากรวม 3,000 ล้านบาท
สำหรับลูกค้าเงินฝากทุกประเภท (ยกเว้นเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษฉลอง 108 ปี) ที่ฝากเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป ยังมีสิทธิได้รับกระปุกออมสินที่จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระโอกาสพิเศษนี้อีกด้วย (ของมีจำนวนจำกัด) แต่ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารจึงจะเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้า ในวันที่ 25-26 มีนาคม 2564 เพื่อให้ลูกค้าเงินฝากจองสิทธิรับกระปุกออมสินได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th และช่องทาง LINE : @GSBsociety โดยผู้ที่จองสิทธิสำเร็จจะได้รับ SMS ให้ไปติดต่อรับกระปุกออมสินพร้อมฝากเงิน ณ สาขาธนาคารออมสิน ตามรอบวันและเวลาที่แจ้งความประสงค์ไว้ในการลงทะเบียน
นอกจากนี้ ธนาคารฯ ขอมอบเงินขวัญถุง เป็นเงิน 500 บาท แก่เด็กที่เกิดในวันที่ 1 เมษายน 2564 เพื่อเริ่มต้นปลูกฝังสร้างเสริมวินัยการออมตั้งแต่แรกเกิด โดยบิดาหรือมารดาเด็กมีสัญชาติไทย นำสูติบัตรฉบับจริงพร้อมสำเนาบัตรประชาชนบิดาหรือมารดา และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อบิดาหรือมารดา มาแสดงที่สาขาธนาคารออมสินภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564
ธนาคารออมสิน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้ง “คลังออมสิน” ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2456 และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคารออมสิน” ตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน โดยตลอดระยะเวลา 108 ปี ธนาคารออมสินได้มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ด้านการออมทรัพย์ พร้อมขยายบทบาทเพื่อรองรับความต้องการของประชาชนและสังคม สนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศเคียงคู่สังคมไทยจวบจนปัจจุบัน
https://www.gsb.or.th/news/pr9/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40287 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดันผ้าทออีสาน รุกตลาดแฟชั่น Gen Z ผสานเทคโนโลยีเพิ่มคอลลาเจนในเส้นใย ยกระดับสิ่งทอไทย คาดสร้างยอดขายกว่า 10 ล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ก.อุตฯ ดันผ้าทออีสาน รุกตลาดแฟชั่น Gen Z ผสานเทคโนโลยีเพิ่มคอลลาเจนในเส้นใย ยกระดับสิ่งทอไทย คาดสร้างยอดขายกว่า 10 ล้านบาท
กระทรวงอุตสาหกรรม ยกระดับผ้าทอไทย เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ตอบโจทย์เทรนด์แฟชั่น ต่อยอดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอด้วยการออกแบบเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผสานเทคโนโลยีเพิ่มคอลลาเจนในเส้นใยสู่อีสานแฟชั่น
กระทรวงอุตสาหกรรมยกระดับผ้าทอไทยเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ตอบโจทย์เทรนด์แฟชั่นต่อยอดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอด้วยการออกแบบเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมผสานเทคโนโลยีเพิ่มคอลลาเจนในเส้นใยสู่อีสานแฟชั่นเจาะพื้นที่เป้าหมาย“ขอนแก่นนครราชสีมาสุรินทร์และสกลนคร”ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ผ้าทอภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่กว่า40ผลิตภัณฑ์จาก280ผู้ประกอบการคาดหวังสร้างมูลค่าเพิ่มผ้าไทยกว่าร้อยละ50รับยอดขายรวมกว่า10ล้านบาท
นางวรวรรณชิตอรุณรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าผ้าทอของไทยถือได้ว่ามีความโดดเด่นประณีตสามารถสะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมรดกทางภูมิปัญญาโดยเฉพาะผ้าทอในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งได้รับการขนานนามในด้านคุณภาพและเสน่ห์ของการถักทอที่สะท้อนผ่านผืนผ้าซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการผ้าทอไทยยังขาดการปรับประยุกต์ออกแบบและตัดเย็บให้สอดคล้องกับเทรนด์แฟชั่นร่วมสมัยผ้าทอไทยในรูปแบบเดิมจึงเป็นสินค้าเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มไม่สามารถสวมใส่ได้ในหลากหลายโอกาสตลอดจนการผลิตจำกัดอยู่ในระดับวิสาหกิจชุมชนส่งผลให้ผลิตได้ในจำนวนน้อยขาดการเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งในความเป็นจริงผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าทอของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีทั้งผ้าไหมผ้าใยกัญชงผ้าฝ้ายซึ่งมีลวดลายการทอที่มีอัตลักษณ์สามารถนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยในปีพ.ศ. 2563ไทยมีตัวเลขการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีมูลค่า5,748.8ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ178,121.8ล้านบาทโดยตลาดส่งออกหลักของไทยคือกลุ่มประเทศอาเซียนและสหรัฐอเมริกาและคาดการณ์ว่าหากผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทยได้รับการพัฒนาต่อยอดจนสามารถตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ก็จะยิ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น
กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ต่อยอดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอด้วยการออกแบบเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมสู่อีสานแฟชั่นเพื่อเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทยสู่ภาคอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี2560และได้พัฒนาผ้าทอไทยจนเป็นที่รู้จักและสร้างการยอมรับจากตลาดคนรุ่นใหม่ภายใต้แบรนด์“มัดทอใจ”โดยการดำเนินงานในปี2564จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเนื่องจากมีรูปแบบการทำงานที่มุ่งหวังประสิทธิผลในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและเน้นให้ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้จริงโดยได้วางพื้นที่เป้าหมายไว้ใน4จังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านผ้าทออีสานได้แก่ขอนแก่นนครราชสีมาสุรินทร์และสกลนครด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐเอกชนและผู้ประกอบการผ่าน2กิจกรรมหลักได้แก่กิจกรรมการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการทางธุรกิจและนักออกแบบรุ่นใหม่ ในกลุ่มสินค้าผ้าทอและแฟชั่นให้ได้รับการพัฒนาเชิงลึกมีขีดความสามารถในการแข่งขันจำนวน280คนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมโยงการออกแบบโดยใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรมผสานเทคโนโลยีเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแบบใหม่ในกลุ่มตลาดใหม่ได้
กิจกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแฟชั่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต(New Heritage Thai Textile & Fashion) :ตั้งเป้าหมายจำนวน40ผลิตภัณฑ์ด้วยการออกแบบลวดลายผ้าไหมแบบใหม่เชิงสร้างสรรค์บนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการแปรรูปตัดเย็บเสื้อผ้าที่ทันสมัยเน้นความเป็นไทยแบบเรียบง่ายเป็นสากลและสามารถเพิ่มมูลค่าโดยผสมผสานเทคโนโลยีการใช้เส้นใยพิเศษวัสดุใหม่(New material fiber)โดยใช้เส้นใยคอลลาเจนนำมาใช้ทอร่วมกับไหมซึ่งมีคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื่นให้แก่ผิวและนุ่มสวมใส่สบายเพื่อให้สามารถใช้งานได้จริงเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันพร้อมเชื่อมโยงการผลิตและขยายฐานการตลาดโดยพัฒนาสินค้าสนองตอบต่อความต้องการของตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง และตลาดต่างประเทศในระดับบนโดยใช้แนวคิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม(Global inspiration cross culture)กับกลุ่มประเทศASEAN+3
นางวรวรรณกล่าวทิ้งท้ายว่าการดำเนินการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอสู่อีสานแฟชั่นในโครงการดังกล่าวกระทรวงอุตสาหกรรมเชื่อมั่นว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าสิ่งทอเครื่องแต่งกายเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ50ด้วยการผสานเทคโนโลยีและการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ตัวอย่างเช่นการจำหน่ายลวดลายผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมราคา1,500 – 2,000บาทต่อเมตรแต่เมื่อผ้าไหมมัดหมี่ที่มีการผ่านการพัฒนาและเพิ่มเติมคุณสมบัติพิเศษจะสามารถจำหน่ายได้ในราคาถึง3,000 – 3,500บาทต่อเมตรอีกทั้งยังคาดการณ์เป้าหมายจากยอดจำหน่ายจากร้านค้าและผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นร้อยละ12.80หรือคิดเป็น10.85ล้านบาทต่อปีตลอดจนยังเป็นโอกาสที่ดีให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่จะมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในระดับภูมิภาคอย่างได้ผลเป็นรูปธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40326 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันน้ำโลกประจำปี 2564 วันที่ 22 มีนาคม 2564 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันน้ำโลกประจำปี 2564 วันที่ 22 มีนาคม 2564
สารนายกรัฐมนตรีเนื่องในวันน้ำโลกประจำปี 2564 วันที่ 22 มีนาคม 2564
สารนายกรัฐมนตรี
เนื่องในวันน้ำโลกประจำปี 2564
วันที่ 22 มีนาคม 2564
------------------
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
ตามที่องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ ๒๒ มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก เพื่อให้ทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ และกระตุ้นให้ประชาคมโลกร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการ ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยในปี ๒๕๖๔ นี้ ได้ให้ความสำคัญในประเด็น “การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า”
“น้ำ” เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก ในอดีตน้ำมีความสมบูรณ์ทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่ปัจจุบันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตด้านน้ำ โดยมีสาเหตุมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมีปริมาณมากขึ้นทั้งในด้านการอุปโภคบริโภค การบริการ และการผลิต ซึ่งร้อยละ ๘๐ ของน้ำที่ผ่านการใช้ จะกลายเป็นน้ำที่มี
การปนเปื้อนปล่อยกลับลงสู่แหล่งน้ำ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจจะก่อให้เกิด
ภัยแล้งและอุทกภัย ทำให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเป็นไปด้วยความท้าทายมากยิ่งขึ้น
ในปีนี้ เป็นปีเริ่มต้นทศวรรษใหม่ องค์การสหประชาชาติจึงมีนโยบายให้เป็นทศวรรษแห่งการร่วมลงมือปฏิบัติของทุกประเทศเพื่อจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการบริหารจัดการน้ำ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจของ
ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ
โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เพื่อจะสร้างความสมดุลในด้านการดำเนินชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนทุกท่าน ร่วมมือร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้ประเทศไทยสืบต่อไป
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40219 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! มาตรการ เร่งลงโทษข้าราชการ กระทำผิดชู้สาว-ละเมิดทางเพศ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
เคาะ! มาตรการ เร่งลงโทษข้าราชการ กระทำผิดชู้สาว-ละเมิดทางเพศ
...
จากกระแสข่าว ที่มีข้าราชการกระทำไม่เหมาะสมในเรื่องชู้สาว การล่วงละเมิดทางเพศ การคุกคามทางเพศ รวมถึงการกระทำล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยและจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเหล่านี้ ควรมีการสอบสวนความผิดและดำเนินการลงโทษอย่างรวดเร็ว
.
เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้า ลักลั่น และการใช้ดุลยพินิจของบุคคลในการพิจารณาความผิด และกำหนดโทษ ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบ “มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม” ซึ่ง กำหนดให้ องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่างๆ ของข้าราชการฝ่ายพลเรือน นำมาตรการที่เกี่ยวกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรงมาใช้
.
เช่น การสั่งให้พักราชการ การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน การสั่งให้ประจำส่วนราชการ การสั่งสำรองราชการ เมื่อมีข้าราชการถูกกล่าวหา เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำชับผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัดดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว หากละเลย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่ากระทำผิดวินัย
.
และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคล ของข้าราชการพลเรือนประเภทต่างๆ ประชุมหารือ ศึกษาวิเคราะห์กฎหมายร่วมกัน เพื่อกำหนดมาตรฐาน หรือ หลักเกณฑ์กลาง ในการดำเนินการทางวินัย วินัยที่เกี่ยวเนื่องกับจริยธรรม และการกำหนดมาตรการลงโทษ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40086 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ประจำปี 2563 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
มอบรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ประจำปี 2563
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีมอบรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ประจำปี 2563 ให้แก่ สภาพัฒนาการเกษตรแห่งอินเดีย (Indian Council of Agricultural Research: ICAR)
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีมอบเหรียญรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ประจำปี 2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยหน่วยงานที่ชนะเลิศรางวัล ได้แก่ สภาพัฒนาการเกษตรแห่งอินเดีย (Indian Council of Agricultural Research: ICAR) จากประเทศอินเดีย ซึ่งมีผลงานการจัดกิจกรรม “Soil health awareness week” ในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษา เพื่อสร้างความตระหนักถึงสุขภาพของดิน และความสำคัญของการรักษาผลิตภาพดิน ควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลก และประเทศไทยอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวังส่งผลให้การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยมีมาตรการป้องกันเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้หน่วยงานสภาพัฒนาการเกษตรแห่งอินเดีย (ICAR-IISS) ของสาธารณรัฐอินเดีย ไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับเหรียญรางวัลได้ จึงได้เรียนเชิญเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย Mrs. Suchitra Durai (มิสซิส สุจิตรา ดูไร) เป็นผู้แทนรับมอบเหรียญรางวัลดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ รางวัล King Bhumibol World Soil Day Award เป็นรางวัลที่มอบให้แก่บุคคล หน่วยงาน องค์กร หรือประเทศ ที่มีความรู้ความเข้าใจ ดำเนินกิจกรรมด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืน สร้างจิตสำนึกในการรักษาทรัพยากรดินให้กับประชาชน ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร และการขจัดความอดอยากหิวโหย โดยที่ประชุมใหญ่สมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership: GSP) ครั้งที่ ๖ ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 มีมติรับรองการจัดตั้งรางวัล World Soil Day Award และให้มีพิธีมอบรางวัลทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และถวายสดุดีพระเกียรติคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดการปัญหาทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน นำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาต เชิญพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบรมฉายาลักษณ์ และพระราชดำรัสคัดตัดตอน เป็นชื่อรางวัล และประดิษฐานในเหรียญรางวัล
นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลงานการจัดกิจกรรม “Soil health awareness week” ประกอบด้วย การประชุมสัมมนาทางวิชาการ การตรวจเยี่ยมพื้นที่การทำเกษตรพร้อมให้คำแนะนำ การเดินขบวนพาเหรดรณรงค์ต่าง ๆ การจัดเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างนักวิชาการและเกษตรกร และการฝึกอบรมเกษตรกรโดยเน้นเรื่องสุขภาพของดินพร้อมทั้งแจก soil health card ให้แก่เกษตรกรที่ได้รับการตรวจสุขภาพดิน ระหว่างวันที่ 1 - 7 ธันวาคม 2562 ในมหาวิทยาลัย สถานศึกษา และชุมชนเกษตรกรรม เพื่อสร้างความตระหนักถึงสุขภาพของดิน และความสำคัญของการรักษาผลิตผลพืชควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39820 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ให้อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลไม้ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ปลัดกอบชัยฯ ให้อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลไม้
ปลัดกอบชัยฯ ให้อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลไม้
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นางไพรินทร์ กันทะวงษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลไม้ อาทิ มะม่วง มะยงชิต จากจังหวัดอุทัยธานี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน โดยจะจัดจำหน่าย ในระหว่างวันที่ 10 - 12 มีนาคม 2564 ณ สโมสรอาคารนารายณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.กองทุนสื่อปลอดภัยฯ รับทราบการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. พร้อมอนุมัติรายงานผลการปฏิบัติงานตรวจสอบและปฏิบัติงานอื่น ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
คกก.กองทุนสื่อปลอดภัยฯ รับทราบการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. พร้อมอนุมัติรายงานผลการปฏิบัติงานตรวจสอบและปฏิบัติงานอื่น ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คกก.กองทุนสื่อปลอดภัยฯ รับทราบการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. พร้อมอนุมัติรายงานผลการปฏิบัติงานตรวจสอบและปฏิบัติงานอื่น ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
วันนี้ (4 มี.ค. 64) เวลา 10.20 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้อนุมัติหลักการในการจัดทำความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานภายนอก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่กองทุนและประสานงานให้เกิดความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในลักษณะการจัดทำความร่วมมือ พร้อมทั้งอนุมัติ (ร่าง) รายงานประจำปี 2563 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และรายงานผลการปฏิบัติงานตรวจสอบและปฏิบัติงานอื่น ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ไตรมาสที่ 1/2564)
ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ปีงบประมาณ 2564 รายงานแผนงาน/โครงการภายใต้การดำเนินงานของอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ปี 2564 และรับทราบการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ในการร่วมโครงการบูรณาการความร่วมมือในการจัดทำฐานข้อมูลระหว่างกองทุนที่มีบทบาทเกี่ยวกับการจัดสรรเงินในการส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจในกิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคม
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานผลงานสำคัญของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 สรุปได้ดังนี้ 1. โครงการบทเรียนออนไลน์ หลักสูตร Covid19 และระบาดวิทยา โดยได้ขยายผลความคืบหน้าสร้างการเรียนรู้และการป้องกันอัตรายจากโควิด19 ผ่านสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ 2. “หม่องนะแจ้” ผลงานชนะเลิศอันดับ 1 จากโครงการประกวดหนังสั้น New Normal เป็นหนังสั้นจำนวน 19 เรื่อง จาก 7 ประเทศ ภายใต้หัวข้อ Covid19 และการตอบสนองของชุมชนในเรื่องภาวะวิกฤตทางสุขภาพ 3. รายการเล่าสู่กันฟัง นำเสนอผลงานจากผู้ที่ได้รับสนับสนุนทุน รวมทั้งผลงานที่ดำเนินการเองโดยกองทุนฯ ใสเผยแพร่ ต่อยอด ขยายผล ทำการสื่อสารให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง และ 4. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยและภาคีมหาวิทยาลัย 12 แห่ง ลงนามข้อตกลงการส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อโฆษณาอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบจรรยาบรรณวิชาชีพโฆษณา ในโครงการการประกวดผลิตสื่อโฆษณาออนไลน์ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เกาะสมุย และ เกาะพงัน | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ขยายเวลาคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เกาะสมุย และ เกาะพงัน
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลขยายเวลากำหนดเขตพื้นที่และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมบริเวณท้องที่ ต.ตลิ่งงาม บ่อผุด มะเร็ต แม่น้ำ หน้าเมือง อ่างทอง ลิปะน้อย ใน อ.เกาะสมุย และ ต.เกาะพงัน บ้านใต้ เกาะเต่า ใน อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ต่อไปอีก 2 ปี จากเดิมสิ้นสุด 31 พ.ค. 64 เป็น 31 พ.ค. 66 เพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลและพื้นที่ที่มีความลาดชัน รวมทั้งห้ามทำเหมืองแร่ ขุดเจาะ ผลิตน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ สร้างสนามกอล์ฟ หรือกระทำใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล เช่น เต่าทะเล ปะการัง และปลาสวยงาม เป็นต้น เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของไทยคงความสวยงามและอุดมสมบูรณ์ สร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39898 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” ลงพื้นที่ อ.พิมาย ชื่นชมความร่วมมือป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
“สาธิต” ลงพื้นที่ อ.พิมาย ชื่นชมความร่วมมือป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่นชมความร่วมมือรัฐ-สังคม-ประชาชน สร้างพฤติกรรมที่ดี ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ลดพิการ และลดสูญเสีย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่นชมความร่วมมือรัฐ-สังคม-ประชาชน สร้างพฤติกรรมที่ดี ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ลดพิการ และลดสูญเสีย
วันนี้ (10 มีนาคม 2564) ที่หอประชุมรัฐประชาสมาคาร โรงเรียนพิมายวิทยา อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดการอบรมโครงการ “รู้เท่าทัน Stroke โรคหลอดเลือดสมอง” พร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานกระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้เข้าร่วมอบรม เป็นประชาชนทั่วไป และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จำนวนกว่า 200 คน จากนั้น จากนั้น ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเสริมพลังบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พร้อมมอบเครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้วให้กับตัวแทนโรงเรียนเบาหวานวิทยา ที่วัดบ้านดงใหญ่
ดร.สาธิต กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันก่อนโรค โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน จากข้อมูลโดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี2563 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 800,749 รายและเสียชีวิตด้วยโรคนี้ จำนวนถึง 41,840 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.58 ในการดำเนินงานทุกอำเภอ จะมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ บูรณาการการทำงานหน่วยงานในพื้นที่ วิเคราะห์และดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยใช้ทรัพยากรร่วมกันในระดับอำเภอ
สำหรับอำเภอพิมาย จ.นครราชสีมา คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ได้จัดลำดับโรคหลอดเลือดสมองให้เป็นโรคที่ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากพบแนวโน้มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่เข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้น จากในปี 2559 มีจำนวน 172 ราย เพิ่มเป็น 189 รายในปี 2563 ซึ่งโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน โดยใช้กระบวนการ “โรงเรียนเบาหวานวิทยา” 21 แห่งที่กระจายอยู่ในพื้นที่ และร่วมมือกับภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมอบรม “รู้เท่าทันโรคหลอดเลือดสมอง” เพื่อให้ชาวพิมาย มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี มีความเข้าใจในการป้องกันโรค ห่างไกลโรคหลอดเลือดสมอง และเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ทันเวลาในกรณีที่เจ็บป่วยเพื่อป้องกันความพิการและเสียชีวิต โดยโรงพยาบาลพิมาย มีระบบการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้ยาสลายลิ่มเลือด และการดูแลรักษาต่อเนื่อง โดยทีมสหวิชาชีพ การฟื้นฟู การทำกายภาพบำบัด จนผู้ป่วยอาการดีขึ้น กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้
“ขอให้ประชาชนหันมาดูแลส่งเสริมสุขภาพ ใช้หลัก3 อ. คือ ออกกำลังกาย อารมณ์ดี อาหารดี และหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ เพื่อให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดสมอง และโรคติดต่อเรื้อรัง” ดร.สาธิตกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ป่วยในอำเภอพิมาย อันดับ 1-2 เป็นผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงประมาณ 13,500 คน เพิ่มขึ้นปีละ 1,000 คน เบาหวาน 6,200 คน เพิ่มปีละ 500 คน เบาหวานมีความรุนแรงขึ้น พชอ.พิมาย จึงมีแนวความคิดเปิดโรงเรียนเบาหวานวิทยา เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยเบาหวาน และความดันโลหิตสูง เน้นการให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติในการดูแลควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
********************************10 มีนาคม 2564
****************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ลงนามบันทึกข้อตกลง การสั่งซื้อ-สั่งจ้าง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ลงนามบันทึกข้อตกลง การสั่งซื้อ-สั่งจ้าง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้แทน ผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ประกอบด้วย พลเรือเอก ช่อฉัตร กระเทศ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกธรรมนูญ วิถี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม รองผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเอก ปราโมทย์ ศิริธรรมกุล และ พลเอก สราวุธ รัชตะนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การสั่งซื้อ-สั่งจ้างผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ณ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ศรีสมาน ซึ่งการจัดทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังร่วมกันของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่สามารถผลิตขึ้นใช้ได้เอง สะท้อนการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้ายุทโธปกรณ์ จากต่างประเทศ เป็นการวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้วยการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้มีความก้าวหน้า รวมทั้งต่อยอดนวัตกรรมที่ทันสมัย อาทิ ปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรอัตตาจรล้อยาง ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศผู้ผลิต ปัจจุบันส่งมอบให้กับกองทัพบกและกองทัพเรือนำไปทอสอบเพื่อใช้จริง ปืนใหญ่ขนาด 105 มิลลิเมตรอัตตาจรรอยาง ทำการผลิตขึ้นเองทั้งระบบกระบอก เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 มิลลิเมตรอัตราจรล้อยางได้วิจัยร่วมกับมิตรประเทศ ระบบดึงอัตโนมัติการผลิตกระสุนปืนใหญ่ ขนาด 105 และ 155 มิลลิเมตรแบบออโตเมชั่น โครงการวิจัย และพัฒนาปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มิลลิเมตร และปืนพกขนาด 11 มม. เพื่อเป็นปืนต้นแบบใช้ในกระทรวงกลาโหม โครงการวิจัยและพัฒนาสายการผลิตระบบกล้องวงจรปิดเชิงอุตสาหกรรม ด้านความมั่นคง รวมถึงการผลิตแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานในอนาคต สำหรับยานพาหนะทางยุทธวิธี นอกจากนั้นโรงงานเภสัชกรรมทหารได้กำหนดแผนก่อสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่เพื่อขยายความสามารถในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ให้กับกองทัพและประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
สำหรับการลงนามครั้งนี้ มีกรอบความร่วมมือ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2567 ถือเป็นการตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายลำดับที่ 11 หรือ S - Curve 11 ที่เป็นการเปิดแนวคิดใหม่ในการปฏิรูปอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและห่วงโซ่การผลิต เสริมสร้างความพร้อมรบ และพัฒนาศักยภาพบุคลากรของกองทัพเพื่อให้เป็นหลักประกันความมั่นคง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ในระดับสากลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39783 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สานต่อความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี พร้อมสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างกัน | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
นายกฯ สานต่อความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี พร้อมสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างกัน
นายกฯ สานต่อความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี พร้อมสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างกัน
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางเอฟเรน ดาเดเลน อักกุน (H.E. Mrs. Evren Dağdelen Akgün) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากตำแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี ตลอดระยะเวลาประจำการของเอกอัครราชทูตฯ และยินดีที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีพลวัตเพิ่มมากขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เชื่อมั่นว่า ไทยจะมีเอกอัครราชทูตฯ เป็น “Friend of Thailand” เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนในตุรกี พร้อมอวยพรให้ประสบความสำเร็จในภารกิจที่จะได้รับมอบหมายในอนาคต และขอฝากความระลึกถึงนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี และภริยา ทั้งนี้ ไทยยินดีที่จะขับเคลื่อนและเดินหน้าความร่วมมือต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และพร้อมขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมทุกมิติ
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอมาและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในประเทศไทยเป็นประเทศแรก พร้อมยืนยันว่าจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้น โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีของการทำงาน เอกอัครราชทูตฯ ได้รับประสบการณ์และความประทับใจผ่านเอกลักษณ์และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ในช่วงสัปดาห์ของการครบรอบหนึ่งปีการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซี่งได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจอันเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทย และในขณะเดียวกันได้เรียนรู้ถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคตได้
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอาเซียน-ยุโรป-แอฟริกา ให้แก่กันได้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ตุรกีเชื่อมั่นว่าเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญของอาเซียน
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นทวิภาคีต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว การศึกษาและวัฒนธรรม การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ในส่วนด้านการค้าการลงทุน การเห็นชอบจัดตั้งสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองอิซมีร์ และเมืองโบลู ด้านเศรษฐกิจ เป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศมีแนวทางที่จะเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกีให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนตุรกีที่ลงทุนในไทย พร้อมเชิญชวนให้นักธุรกิจตุรกีขยายการลงทุนให้มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งทางตุรกีให้ความสนใจในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของเขต EEC ในขณะเดียวกัน ไทยยินดีสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าลงทุนในตุรกีในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ ด้านการป้องกันประเทศ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะให้ความร่วมมือในระยะยาวผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยตุรกีพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันประเทศให้แก่ไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! หลักเกณฑ์ค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 แก่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ไฟเขียว! หลักเกณฑ์ค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 แก่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
...
ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจฟังทางนี้ แอดมินมีความคืบหน้าจากการประชุม ครม. นัดล่าสุด มาบอก... เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลในรัฐวิสาหกิจ กรณีโรคโควิด-19 เพื่อรองรับให้รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
.
กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันโรค และค่าใช้จ่ายอื่น สำหรับตนเอง คู่สมรส หรือบุตร ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
.
กรณีที่ผลการตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ยังมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน ให้เบิกค่ารักษา โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันไม่ใช่เนื่องจากการทำงานมาใช้บังคับ
.
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาล กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินจากโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
.
สำหรับกรณีลูกจ้าง คู่สมรส หรือบุตร หรือญาติ ปฏิเสธการส่งต่อผู้ป่วยโควิด ไปรับการรักษายังสถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อนายจ้างได้รับทราบค่าใช้จ่ายกรณีการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 แล้ว ให้นายจ้างดำเนินการเบิกจ่ายให้แก่สถานพยาบาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง
.
โดยคาดว่า ภายหลังการประกาศบังคับใช้ จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจรวมกว่า 285,598 คน ได้รับการคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 และทำให้สถานพยาบาลได้รับเงินคืนจากรัฐวิสาหกิจโดยเร็วอีกด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
Website :www.thaigov.go.th
Facebook/Twitter : ไทยคู่ฟ้า
YouTube : ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
LINE : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
TikTok : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40088 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสตรีสากล 2564 มุ่งส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ เพิ่มบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งแก่สังคม | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสตรีสากล 2564 มุ่งส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ เพิ่มบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งแก่สังคม
นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสตรีสากล 2564 มุ่งส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ เพิ่มบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งแก่สังคม
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) เวลา 10.12 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “เสริมพลังสตรีและเด็กหญิงสู่ความเสมอภาค ร่วมตัดสินใจ ไร้ความรุนแรง” ผ่านวีดิทัศน์ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีฝากความระลึงถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องสตรีไทย และผู้ที่ปฏิบัติงานด้านสตรีที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพสตรีในทุกมิติเนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2564
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของสตรีในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและการยุติการเลือกปฏิบัติในสังคม จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ การมีส่วนร่วมการรับผิดชอบครอบครัวและพัฒนาสังคม พร้อมทั้งเพิ่มโอกาส บทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการทำงานเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารในทุกระดับ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ภายใต้แนวคิด“เสริมพลังสตรีและเด็กหญิงสู่ความเสมอภาค ร่วมตัดสินใจ ไร้ความรุนแรง” เพื่อเห็นคุณค่า ศักดิ์ศรีที่เท่าเทียม และเป็นหนึ่งพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคม และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชม แสดงความยินดีกับกลุ่มสตรี และทุกองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณในปีนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของสตรีไทยให้เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
อนึ่ง ประเทศไทยได้เริ่มจัดกิจกรรมวันสตรีสากลเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 32 ปี โดยมีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งแนวคิดในปีนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs (Sustainable Development Goals) เป้าหมายที่ 5 ด้านการบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศและเสริมพลังแก่สตรีและเด็กหญิง เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมติดตามความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานจากผลกระทบจาก โควิด -19 เพื่อให้แรงงานมีงานทำ มีอาชีพ มีฝีมือ มีหลักประกันทางสังคม และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ร่วมกับ นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และคณะ โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎรมีประเด็นขอหารือและติดตามความก้าวหน้ากับกระทรวงแรงงาน จำนวน 8 ประเด็น ดังนี้ 1) ข้อมูลสถิติแรงงานช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 2) มาตรการและแนวทางเฝ้าระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 3) มาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ของกระทรวงแรงงาน 4) ปัญหาอุปสรรคที่พบจากการดำเนินงานตามมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว 5) ช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์ 6) ความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 7) ความคืบหน้าโครงการ “ม33เรารักกัน” และการขยายอายุการเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จากเดิม 60 ปี เป็น 65 ปี และ 8) ความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
นายสุชาติกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 มาอย่างต่อเนื่อง ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยผู้ใช้แรงงานเสมือนคนในครอบครัว จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ในหลายๆ ด้าน เช่น การตรวจคัดกรองโควิด – 19 เชิงรุก การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 การเยียวยา ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่แรงงาน ผู้ประกอบการ การส่งเสริมการจ้างงานโดยจัดโครงการ JOB EXPO THAILAND 2020 ตลอดจนพัฒนาศักยภาพผู้ที่อยู่ในตลาดแรงงานให้ได้รับการ Up skill, Re skill มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินโครงการ ม33เรารักกัน
ด้าน นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงานจากการประชุมหารือร่วมในครั้งนี้ว่า การปรับปรุงกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ ซึ่งหลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เช่น พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ร.บ.แรงงานนอกระบบ พ.ร.บ.ประกันสังคม กรณีการเลิกจ้างปิดกิจการและนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีคนตกงานจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องได้รับการอบรมพัฒนาฝีมือเพื่อให้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น ตลอดจนการวางโครงสร้างของแรงงานในอนาคต ซึ่งจะต้องทำอย่างไรให้แรงงานเข้ามามีส่วนร่วมกับกระทรวงแรงงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการฝึกภาษาให้แก่คนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อให้มีความพร้อมก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ การส่งเสริมการจ้างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39932 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. ย้ำเร่งรัดผลักดันให้เอสเอ็มอี ขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ตามเป้าหมาย | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. ย้ำเร่งรัดผลักดันให้เอสเอ็มอี ขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ตามเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด สสว. ย้ำเร่งรัดผลักดันให้เอสเอ็มอี ขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ตามเป้าหมาย
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายการผลักดันให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดเรื่องการขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอี ตั้งแต่ปี 2557 โดยในปัจจุบันมีเอสเอ็มอีจำนวนมากกว่า 3 ล้านราย แต่ในวันนี้ยังมีเอสเอ็มอีมาขึ้นทะเบียนจำนวนไม่มาก ทั้ง ๆ ที่บางรายมีขีดความสามารถสูง มีรายรับสูง แต่ก็ยังไม่มาขึ้นทะเบียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แนะให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาว่าเป็นเพราะเรื่องของภาษีด้วยหรือไม่ โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีร้องเรียนมาทั้งในช่วงปกติ และในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ว่า ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน ซึ่งการที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนได้นั้นก็เพราะไม่ได้มาขึ้นทะเบียน ดังนั้น จึงขอให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้มาขึ้นทะเบียนโดยเร็วที่สุด และขึ้นทะเบียนให้มากที่สุด โดยแยกเป็นรายสาขา เช่น อุตสาหกรรม เกษตรกรรม วิสาหกิจชุมชน ไมโครเอสเอ็มอี เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สสว. ต้องทำงานเดินหน้าไปตามเป้าหมาย หาทางทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาขึ้นทะเบียนตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และทุกกระทรวง จะสามารถช่วยสนับสนุนข้อมูล Big Data ได้ เพื่อช่วยกันสร้างความแข็งแรงให้กับเอสเอ็มอี โดยการทำงานจะต้องมีการบูรณาการข้อมูลทั้งหมด เพื่อให้งานเดินหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น พร้อมย้ำว่า รัฐบาลต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับเอสเอ็มอี เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนจะได้ประโยชน์ รวมทั้งจะส่งเสริมเอสเอ็มอีที่มีความแข็งแรง ให้สามารถไปได้ไกลยิ่งขึ้น ให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอีภาคการเกษตร ยกระดับเอสเอ็มอีจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับบน และส่งเสริมเอสเอ็มอีให้สามารถแข่งขันในได้ในระดับโลก รวมทั้งนายกรัฐมนตรียังต้องการให้มีการขับเคลื่อนเอสเอ็มอีในที่ประชุมเอเปกในปี 2565 ด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ด สสว. รับทราบรายงานความคืบหน้าการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่มีผลสะสมการขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอี เพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2564 มีเอสเอ็มอีมาขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน 5,782 ราย จาก 77 จังหวัด (เป้าหมาย 100,000 รายภายในเดือนกันยายน 2564) และที่ประชุมบอร์ด สสว. ยังรับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำ SME Big data/SME Master Data
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39765 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเปิดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 พร้อมนำอาเซียนมุ่งเดินหน้าประชาคมดิจิทัล ขยายโอกาสการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในทุกกลุ่ม | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
รมต.นร. อนุชา หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเปิดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 พร้อมนำอาเซียนมุ่งเดินหน้าประชาคมดิจิทัล ขยายโอกาสการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในทุกกลุ่ม
รมต.นร. อนุชา หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเปิดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 พร้อมนำอาเซียนมุ่งเดินหน้าประชาคมดิจิทัล ขยายโอกาสการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในทุกกลุ่ม
วันนี้ (12 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. ณ กรมประชาสัมพันธ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เทนไทยเป็นประธานเปิดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 ภายใต้แนวคิด "สานต่อประชาคมดิจิทัล ครอบคลุมเพื่อโอกาสของคนทุกกลุ่ม" ในปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบทางไกล ซึ่งมีรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกอาเซียน และสำนักงานเลขาธิการอาเซียนร่วมประชุม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญของหน่วยงานด้านสื่อและสารนิเทศของอาเซียน เชื่อในบทบาทความสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของอาเซียนมาโดยตลอด ที่ผ่านมาประเทศสมาชิกได้ร่วมดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของพลเมืองอาเซียน ซึ่งในช่วงที่ไทยเข้ามารับตำแหน่งประธานด้านสื่อและสารนิเทศอาเซียนในเดือนมิถุนายน 2563 เป็นช่วงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายบทบาทของสื่อและสารนิเทศ ในการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่ประเทศคู่เจรจาได้ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์มีการให้คำแนะนำและแลกเปลี่ยนบุคลากรรวมถึงการสนับสนุนรูปแบบอื่น เป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาที่ไม่ใช่หุ้นส่วนเพียงทางยุทธศาสตร์แต่เป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยาวนาน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบายด้านสารนิเทศ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องช่วยกันส่งเสริมการรับรู้ เข้าถึง และใช้ประโยชน์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อประชาชนทุกกลุ่ม ตามแนวความคิดของการเป็นประชาคมอาเซียน คือ เราจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญอย่างยิ่งในการส่งมอบอนาคตที่ดีสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป
สำหรับการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ "ASEAN A Digital Community with Accessibility for All" และประเทศสมาชิกจะได้ร่วมพิจารณาร่างกรอบความร่วมมือเพื่อพัฒนาความพร้อมด้านดิจิทัลสำหรับพลเมืองอาเซียน เพื่อนำไปปรับใช้กับการพัฒนาและส่งเสริมงานด้านสื่อและสารนิเทศของประเทศสมาชิกต่อไป
..............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39905 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้ารับมือภัยแล้ง ยกเคสโคราช - พิจิตร กรณีตัวอย่าง | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
เดินหน้ารับมือภัยแล้ง ยกเคสโคราช - พิจิตร กรณีตัวอย่าง
...
ก้าวเข้าสู่หน้าร้อน หน้าแล้งของไทยแล้ว รัฐบาลจะบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ รองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอ ทุกหน่วยจะร่วมกันสร้างความเข้าใจแก่ผู้นำชุมชนและกลุ่มผู้ใช้น้ำ เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักร เครื่องมือ กำลังเจ้าหน้าที่ และการกำหนดพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที
.
สำหรับสถานการณ์ภัยแล้งที่ จ.นครราชสีมา จากการสำรวจพบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน เช่น แหล่งน้ำชุมชนที่ใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้านโนนกราด ต.ลำคอหงส์ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความดูแลของ อบต.ลำคอหงษ์ ได้รับงบประมาณขุดสระเมื่อปี 2564 และเนื่องจากเพิ่งขุดเสร็จ จึงยังไม่มีน้ำไหลเข้าสระ
.
อบต.ลำคอหงษ์ ยืนยันว่าปัจจุบันยังมีน้ำเพียงพอไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ ส่วนปีที่ผ่านมากรมชลประทาน ได้ผันน้ำจากบึงพุดซา ระยะทางประมาณ 80 กม. เข้าไปช่วยเหลือ และจะจัดหาแหล่งน้ำใกล้เคียง เพื่อสูบน้ำไปเติมให้เป็นการถาวร เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว
.
อีกกรณี คือ ฝายแม้วของชาวบ้านวังลูกช้าง ต.สามง่าม อ.สามง่าม จ.พิจิตร ไม่สามารถกักเก็บน้ำและแห้งลง ในระยะสั้นกรมชลประทานได้ขอการสนับสนุนการทำฝนหลวงจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อเติมน้ำในพื้นที่ ส่วนระยะยาวได้เร่งก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำยม 3 แห่ง ได้แก่ ประตูระบายน้ำท่าแห คืบหน้าแล้ว 46% ประตูระบายน้ำวังจิก คืบหน้าแล้ว 44% และประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้าง อยู่ระหว่างเตรียมการสร้าง หากแล้วเสร็จจะช่วยเก็บกักน้ำและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
.
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนในพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือ โทร. สายด่วนกรมชลประทาน 1460
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39775 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบชุดอุปกรณ์ ระบบตรวจวัดอุณหภูมิตู้เก็บวัคซีนโควิด 19 ควบคุมโซ่ความเย็น | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
สธ.รับมอบชุดอุปกรณ์ ระบบตรวจวัดอุณหภูมิตู้เก็บวัคซีนโควิด 19 ควบคุมโซ่ความเย็น
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบชุดอุปกรณ์และระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นจากกลุ่ม ปตท. 2,000 ชุด ใช้ติดตามอุณหภูมิตู้จัดเก็บวัคซีนโควิด 19 ในโรงพยาบาลแบบเรียลไทม์ แจ้งเตือน รพ. และบน Dash Board ส่วนกลาง ควบคุมกำกับระดับความเย็นให้ได้ตามมาตรฐาน
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบชุดอุปกรณ์และระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นจากกลุ่ม ปตท. 2,000 ชุด ใช้ติดตามอุณหภูมิตู้จัดเก็บวัคซีนโควิด 19 ในโรงพยาบาลแบบเรียลไทม์ แจ้งเตือน รพ. และบน Dash Board ส่วนกลาง ควบคุมกำกับระดับความเย็นให้ได้ตามมาตรฐานทุกขั้นตอน
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบชุดอุปกรณ์ พร้อมระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นจำนวน 2,000 ชุด จากนายอรรถพล ฤกษ์วิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ฉีดให้ทุกคนในประเทศไทยโดยความสมัครใจ ขณะนี้ ได้จัดส่งวัคซีนล็อตแรกจากบริษัท Sinovac Life Sciences ให้กับโรงพยาบาลใน 13 จังหวัด เพื่อทยอยฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงเป้าหมายการฉีดระยะแรกแล้ว โดยใช้ระบบควบคุมโซ่ความเย็น (Cold chain system) มีการควบคุมอุณหภูมิให้ถูกต้องเหมาะสม อยู่ที่ 2 – 8 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จัดเก็บในคลังวัคซีน การขนส่งจนถึงในโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ทุกภาคส่วนให้การสนับสนุนการดำเนินการในครั้งนี้ ทั้งการขนส่งวัคซีนจากประเทศจีนมายังประเทศไทยโดยบริษัทการบินไทย และการท่าอากาศยาน การจัดเก็บและกระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลโดยองค์การเภสัชกรรมและบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จํากัด และในวันนี้ กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนชุดอุปกรณ์และระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นให้กับโรงพยาบาลใช้ในการติดตามอุณหภูมิตู้จัดเก็บวัคซีนโควิด 19 ในโรงพยาบาล 1,000 แห่งทั่วประเทศ แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และแสดงบน Dash Board ที่ส่วนกลาง
เพื่อควบคุมกำกับให้มั่นใจว่าวัคซีนได้ถูกจัดเก็บในระดับความเย็นที่ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน คงคุณภาพวัคซีนได้ดี
ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งมอบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยต่อผู้ที่ได้รับ จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนชุดอุปกรณ์ พร้อมระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นเพื่อประกันคุณภาพการจัดเก็บ จำนวน 2,000 ชุด มูลค่า 10,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข สำหรับบริหารการจัดเก็บวัคซีนโควิด 19 ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 1,000 แห่ง ซึ่งการสนับสนุนในครั้งนี้ ยังเป็นการใช้ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีวิศวกรรมของ กลุ่ม ปตท. ในการช่วยเหลือและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 อีกด้วย
ด้านนายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. ยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนชุดอุปกรณ์พร้อมระบบตรวจวัดอุณหภูมิและควบคุมโซ่ความเย็นเพื่อประกันคุณภาพการจัดเก็บวัคซีนโควิด 19 นวัตกรรมดังกล่าวพัฒนาขึ้นโดย บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท.สผ. ด้วยการนำเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic) ซึ่งเป็นองค์ความรู้ด้านการสำรวจปิโตรเลียม มาประยุกต์ใช้ในการสร้างเทคโนโลยีเพื่อติดตามและควบคุมอุณหภูมิการจัดเก็บวัคซีนของโรงพยาบาลทั่วประเทศ เช่นเดียวกับที่ได้ร่วมพัฒนานวัตกรรมเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบ และกล่องทำหัตถการแรงดันลบ ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์โรคโควิด 19 ในปีที่ผ่านมา
******************************** 2 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39553 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วมลงนาม MOU 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน ร่วมลงนาม MOU 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนอย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน” ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธี ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ในส่วนของกระทรวงแรงงาน มี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเฉพาะการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มเปราะบางในทุกมิติอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ขอบเขตความร่วมมือของกระทรวงแรงงาน เป็นการบริการจัดหางานในประเทศให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้มีงานทำและมีรายได้ที่เหมาะสมเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต ตลอดจนแนะแนวและส่งเสริมการประกอบอาชีพ รวมถึงการพัฒนาผีมือแรงงานให้แก่ครัวเรือนเปราะบาง ให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39580 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.